มีเพียงการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหกประเภทเท่านั้นที่เป็นการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง

จุดประสงค์ของการที่มนุษย์เชื่อในพระเจ้าคืออะไร?  (เพื่อให้ได้รับความรอด)  ความรอดเป็นหัวข้อที่มีมาโดยตลอดกับเรื่องของความเชื่อในพระเจ้า  แล้วคนเราจะสัมฤทธิ์ความรอดได้อย่างไร?  (ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริงและใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ)  นั่นเป็นการปฏิบัติประเภทหนึ่ง  สิ่งใดเป็นผลจากการใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่เสมอ?  อะไรคือจุดมุ่งหมายในการทำเช่นนั้น?  (เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับพระเจ้า)  (เพื่อยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว รวมถึงเข้าใจความจริงและสัมฤทธิ์ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า)  มีอะไรอีก?  (เพื่อแสวงหาความจริง เพื่อทำให้ความจริงกลายมาเป็นชีวิตของพวกเรา)  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้งในระหว่างเทศนา เป็นวลีฝ่ายวิญญาณ  มีอะไรอีก?  (เพื่อให้มีประสบการณ์กับการถูกตัดแต่งโดยพระเจ้า พร้อมทั้งการพิพากษาและการตีสอน รวมถึงบททดสอบและการถลุงจากพระองค์เพื่อที่จะได้มาทบทวนและรู้จักตัวเอง แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราในระหว่างกระบวนการนี้ และบรรลุความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า จนกลายเป็นผู้ที่ครองความจริงและความเป็นมนุษย์ได้ในที่สุด)  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าได้เข้าใจอะไรมากมายจากการฟังคำเทศนาตลอดหลายปีที่ผ่านมา  แล้วสิ่งที่พวกเจ้าเข้าใจนี้สามารถนำมาใช้ในประสบการณ์ของพวกเจ้าเพื่อแก้ไขปัญหาและความยากลำบากที่แท้จริงได้บ้างหรือไม่?  ตัวอย่างเช่นความคิดและแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง ความคิดลบและความอ่อนแอชั่วครั้งชั่วคราว รวมไปถึงประเด็นปัญหาบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดยเร็วหรือไม่?  คนบางคนอาจแก้ไขปัญหาเล็กน้อยได้สองสามประการ แต่พวกเขาอาจจะยังต่อสู้กับปัญหาใหญ่ที่มาจากต้นตอ  จากระดับความเข้าใจความจริงที่พวกเจ้ามีในวันนี้ หากพวกเจ้าเผชิญกับบททดสอบประเภทเดียวกับโยบ พวกเจ้าจะสามารถยืนหยัดได้หรือไม่?  (พวกเราย่อมจะมุ่งมั่นที่จะยืนหยัด แต่ไม่รู้ว่าหากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเราเข้าจริง วุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเราจะเป็นอย่างไร)  แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็ควรรู้มิใช่หรือว่าวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้าเป็นอย่างไร?  การไม่รู้เรื่องนี้นั้นอันตรายมาก!  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของคำกล่าวฝ่ายวิญญาณและกลุ่มวลีเหล่านี้ที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งคืออะไร?  เจ้าเข้าใจนัยยะที่แท้จริงของแต่ละวลีหรือไม่?  เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าความจริงที่อยู่ในวลีเหล่านี้คืออะไร?  หากเจ้ารู้และได้มีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้แล้ว เช่นนั้น นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าเข้าใจความจริง  หากเจ้าได้แต่เอ่ยคำกล่าวและวลีฝ่ายวิญญาณไม่กี่ประการซ้ำไปซ้ำมา แต่เมื่อเจ้าประสบกับบางสิ่งเข้าจริง สิ่งเหล่านี้กลับไม่มีประโยชน์ต่อเจ้า อีกทั้งไม่สามารถแก้ไขปัญหาของเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็พิสูจน์ว่าตลอดหลายปีของการเชื่อในพระเจ้านั้น เจ้ายังคงไม่เข้าใจความจริง และไม่มีประสบการณ์จริงแต่อย่างใด  คำกล่าวนี้ของเราหมายความว่าอย่างไร?  การที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้ามาจนถึงตอนนี้ พวกเขาเข้าใจความจริงมากกว่าคนที่เชื่อในศาสนาหรือผู้ไม่มีความเชื่อเล็กน้อย พวกเขาเข้าใจนิมิตบางอย่างของพระราชกิจของพระเจ้าและสามารถทำตามเรื่องที่เป็นไปตามข้อบังคับได้สองสามประการ ทั้งยังกล่าวได้ว่ามีความเข้าใจและความซาบซึ้งบางอย่าง และมีการทำความเข้าใจที่แท้จริงในอธิปไตยของพระเจ้าอยู่บ้าง—แต่สิ่งเหล่านี้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาหรือไม่?  โดยรวมแล้ว พวกเจ้าแต่ละคนสามารถพูดถึงความจริงที่สัมพันธ์กับนิมิตซึ่งได้ยินอยู่บ่อยครั้งได้เล็กน้อย อันได้แก่นิมิตเรื่องพระราชกิจของพระเจ้า จุดประสงค์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า และเจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ และความรู้ที่พวกเจ้าเอ่ยถึงก็สูงส่งกว่าพวกที่เชื่อในศาสนา—แต่ทั้งหมดนี้สามารถนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่อุปนิสัยของพวกเจ้า หรือแม้กระทั่งความเปลี่ยนแปลงบางส่วนมาสู่อุปนิสัยของพวกเจ้าได้หรือไม่?  พวกเจ้าประเมินเรื่องนี้ได้หรือไม่?  นี่คือเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวดทีเดียว

สามัคคีธรรมในช่วงนี้พูดถึงเรื่องที่ว่าจะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไรกันแน่บนแผ่นดินโลก วิธีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าบนแผ่นดินโลก และวิธีสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่คำถามที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดหรอกหรือ?  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความจริงที่สัมพันธ์กับแง่มุมของการปฏิบัติ และเป้าหมายของการสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้คือเพื่อทำให้ผู้คนรู้จักวิธีเชื่อในพระเจ้า รวมถึงวิธีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าและสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับพระเจ้าในชีวิตประจำวันของพวกเขา  สำหรับความจริงที่สัมพันธ์กับการปฏิบัตินั้น จากความจริงทั้งหลายที่พวกเจ้าได้ฟัง เข้าใจ และสามารถนำไปปฏิบัติ ความจริงเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเจ้าได้หรือไม่?  เรื่องนี้สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าหากผู้คนนำความจริงไปปฏิบัติในหนทางนี้และเพียรพยายามอย่างแท้จริงที่จะสัมฤทธิ์การนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็กำลังปฏิบัติความจริง และหากพวกเขาทำให้ความจริงเหล่านี้กลายเป็นความเป็นจริงของตนเอง พวกเขาก็สามารถสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยได้?  (กล่าวเช่นนั้นได้)  ผู้คนมากมายไม่ตระหนักเลยว่าความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยคืออะไร  พวกเขาคิดว่าการพูดคำสอนทางวิญญาณซ้ำไปซ้ำมาและการเข้าใจความจริงมากมายนั้นแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย  ทว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง  จากจุดที่เข้าใจความจริง ไปสู่การนำความจริงนี้ไปปฏิบัติ แล้วเกิดความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยนั้นเป็นกระบวนการอันยาวนานของประสบการณ์ในชีวิต  พวกเจ้าเข้าใจความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยว่าอย่างไร?  จากทั้งหมดที่พวกเจ้าได้ประสบพบเจอมาจนถึงจุดนี้ อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเจ้าเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่?  พวกเจ้าอาจไม่สามารถมองเห็นในเรื่องเหล่านี้ได้ และทั้งหมดนี้เองที่เป็นปัญหา  คำว่า “ความเปลี่ยนแปลง” ใน “ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย” อันที่จริงไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินความเข้าใจ แล้วคำว่า “อุปนิสัย” คืออะไร?  (คือกฎแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ เป็นพิษร้ายของซาตาน)  แล้วมีอะไรอีก?  (คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติในตัวมนุษย์ สิ่งที่เป็นแก่นชีวิตของพวกเขา)  พวกเจ้าเอาแต่ยกคำศัพท์ทางวิญญาณเหล่านี้ขึ้นมา แต่คำศัพท์เหล่านั้นล้วนเป็นคำสอนและเค้าโครงที่ไม่ได้มีรายละเอียดใดทั้งสิ้น  นี่ไม่ใช่การเข้าใจแก่นแท้ของความจริง  พวกเรามักจะพูดถึงความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย และหัวข้อดังกล่าวก็ถูกพูดคุยหารือมาตลอดตั้งแต่ที่ผู้คนเริ่มเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจะเข้าชุมนุมหรือฟังคำเทศนา สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนควรพยายามหาคำตอบให้ได้เมื่อพวกเขาเชื่อในพระเจ้า  แต่เรื่องที่ว่าความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยคืออะไรกันแน่ อุปนิสัยของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ และการสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้หรือไม่นั้น—ผู้คนมากมายไม่รู้เรื่องเหล่านี้ พวกเขาไม่เคยนึกถึงเรื่องเหล่านี้ และไม่รู้ว่าจะเริ่มนึกถึงเรื่องเหล่านี้จากจุดไหน  อุปนิสัยคืออะไร?  นี่เป็นหัวข้อหลัก  เมื่อเจ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เช่นนั้นเจ้าย่อมจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่มากก็น้อย ที่ว่าอุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่ สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปจนถึงระดับใด เปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน และหลังจากที่เจ้าได้ประสบกับอะไรบางอย่าง อุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่  การจะพูดคุยหารือถึงความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยนั้น อันดับแรกเจ้าต้องรู้เสียก่อนว่าอุปนิสัยคืออะไร  ทุกคนรู้จักคำว่า “อุปนิสัย” พวกเขาต่างคุ้นเคยกับคำนี้  แต่พวกเขาไม่รู้ว่าอุปนิสัยคืออะไร  เรื่องที่ว่าอุปนิสัยคืออะไรกันแน่นั้นไม่สามารถอธิบายโดยชัดเจนด้วยคำเพียงไม่กี่คำ อีกทั้งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำนาม เพราะคำคำนี้เป็นนามธรรมเกินไปและไม่อาจทำความเข้าใจได้โดยง่าย  เราจะยกตัวอย่างที่จะทำให้พวกเจ้าเข้าใจ  ทั้งแกะและหมาป่าเป็นสัตว์  แกะกินหญ้า และหมาป่ากินเนื้อ  นี่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดโดยธรรมชาติของสัตว์ทั้งสองชนิด  หากว่าวันหนึ่งแกะกินเนื้อและหมาป่ากินหญ้า ธรรมชาติของพวกมันจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?  (ไม่เปลี่ยน)  เมื่อแกะไม่มีหญ้ากินและอดอยาก ถ้ายื่นเนื้อให้มันบ้าง มันย่อมจะกินเนื้อ แต่จะยังคงเชื่องกับเจ้ามาก  นี่คืออุปนิสัย นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของแกะ  ความเชื่องของแกะแสดงออกมาในแง่มุมใด?  (มันไม่โจมตีผู้คน)  ถูกต้อง—นี่คืออุปนิสัยที่เชื่อง  อุปนิสัยที่แสดงออกมาจากแกะคือความว่านอนสอนง่ายและการเชื่อฟัง  ไม่ใช่ความชั่วร้าย แต่เป็นความเชื่องและความใจดี  ทว่าหมาป่านั้นต่างออกไป  อุปนิสัยของหมาป่านั้นชั่วร้ายและมันกินเนื้อของสัตว์เล็กทุกชนิด  การเผชิญหน้ากับหมาป่าที่หิวโหยเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะมันอาจพยายามที่จะกินเจ้าได้ ต่อให้เจ้าไม่ได้ยั่วยุมันก็ตาม  อุปนิสัยของหมาป่าไม่ใช่ความเชื่องหรือความใจดี แต่เป็นความโหดเหี้ยมและความดุร้าย ไม่มีความเห็นอกเห็นใจหรือความสงสารเลยแม้แต่น้อย  อุปนิสัยของหมาป่าเป็นเช่นนี้เอง  อุปนิสัยของหมาป่าและแกะเป็นตัวแทนของแก่นแท้ธรรมชาติของสัตว์ทั้งสองชนิด  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะสิ่งที่เผยให้เห็นจากสัตว์สองชนิดนี้แสดงออกมาตามธรรมชาติโดยไม่เกี่ยวกับบริบท ไม่ต้องมีการป้อนหรือแรงกระตุ้นจากมนุษย์ สิ่งเหล่านี้เผยออกมาตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องมีการป้อนข้อมูลเพิ่มเติมจากมนุษย์  ความโหดร้ายและความโหดเหี้ยมของหมาป่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกบีบให้แสดงออกมาโดยมนุษย์ และความใจดีกับความเชื่องของแกะก็ไม่ใช่สิ่งที่ปลูกฝังโดยมนุษย์ ทั้งแกะและหมาป่าเกิดมาพร้อมอุปนิสัยเหล่านี้ นี่คือสิ่งที่เผยออกมาตามธรรมชาติ เป็นแก่นแท้ของสัตว์ทั้งสองชนิด  นี่คืออุปนิสัย  ตัวอย่างนี้ทำให้พวกเจ้าเข้าใจความหมายของอุปนิสัยขึ้นบ้างใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่ไม่ใช่เรื่องในเชิงแนวความคิด พวกเราไม่ได้กำลังอธิบายคำนามบางคำอยู่  สิ่งที่อยู่ในเรื่องนี้คือความจริง  แล้วความจริงในเรื่องนี้คืออะไร?  อุปนิสัยของมนุษย์สัมพันธ์กับธรรมชาติของมนุษย์  อุปนิสัยของมนุษย์และธรรมชาติของมนุษย์ต่างก็เป็นของซาตาน สองสิ่งนี้เป็นปฏิปักษ์และอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  หากผู้คนไม่ได้รับความรอดของพระเจ้าและไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่ผู้คนใช้ในการดำเนินชีวิตและเผยออกมาตามธรรมชาติก็ย่อมจะเป็นชั่ว เป็นลบ และละเมิดต่อความจริงเท่านั้น—เรื่องนี้ไม่มีข้อกังขาแต่อย่างใด

พวกเราเพิ่งพูดถึงอุปนิสัยของแกะและหมาป่ากันไป  สัตว์สองชนิดนี้เป็นสัตว์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  ทั้งแกะและหมาป่าต่างก็มีอุปนิสัยของตัวเอง และมีสิ่งที่ถูกเผยออกมาจากตัว  แต่ว่าสิ่งที่เชื่อมโยงกับอุปนิสัยของมนุษย์คืออะไร?  จงดูความหมายที่แท้จริงของอุปนิสัยมนุษย์ผ่านตัวอย่างนี้อีกครั้งเถิด ในที่นี้มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทใดอยู่?  (โดยปกติแล้ว พวกเราสามารถรู้ได้ว่าผู้คนมีอุปนิสัยประเภทใดผ่านการปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา  ตัวอย่างเช่น ขณะที่คุยกับใครบางคน พวกเราอาจจะรู้สึกว่าพวกเขาพูดจาอ้อมค้อม รู้สึกว่าพวกเขาพูดจาคลุมเครืออยู่เสมอจนผู้อื่นไม่สามารถบอกได้ว่าที่จริงแล้วพวกเขาหมายความว่าอย่างไร ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขามีอุปนิสัยหลอกลวงอยู่ในตัว  พวกเราสามารถเข้าใจแนวคิดโดยทั่วไปได้จากสิ่งที่พวกเขาพูดและทำอยู่เป็นประจำ รวมถึงจากการกระทำและความประพฤติของพวกเขา)  เจ้าสามารถเห็นถึงปัญหาบางอย่างทางอุปนิสัยได้จากการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน  เมื่อได้ฟังตัวอย่างนี้ก็ดูราวกับว่าพวกเจ้ามีแนวคิดโดยทั่วไปว่าอุปนิสัยคืออะไร  แล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ทุกคนล้วนมีคืออะไร?  อุปนิสัยใดที่ผู้คนไม่ตระหนักถึงและไม่สามารถรู้สึกได้ ทว่าเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างไม่ต้องสงสัย?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าบางคนเป็นคนอ่อนไหวมาก และพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าเป็นคนอ่อนไหวมาก  เมื่อเป็นเรื่องของคนที่เจ้าชื่นชอบหรืออะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวเจ้า ไม่ว่าใครพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับพวกเขา เจ้าก็จะไม่เปิดเผยเรื่องที่เกี่ยวกับพวกเขา ทั้งยังคอยปกปิดให้  นี่คือความอ่อนไหว”  พวกเขาได้ยินสิ่งนี้ และพวกเขาก็เข้าใจ รับรู้ และยอมรับว่านี่คือข้อเท็จจริง  พวกเขารับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้อง รู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และพวกเขาก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเปิดโปงเรื่องนี้แก่พวกเขา  จากเรื่องนี้สามารถเห็นถึงอุปนิสัยของพวกเขาได้หรือไม่?  นี่เป็นเรื่องที่ชัดเจนใช่หรือไม่ว่าพวกเขายอมรับความจริง ยอมรับข้อเท็จจริง นบนอบ และไม่ขืนต้าน?  (ไม่ใช่ สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับว่า พวกเขาปฏิบัติตนอย่างไรในยามที่เผชิญปัญหา และสิ่งที่พวกเขาพูดกับสิ่งที่พวกเขาทำเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่)  คำตอบของเจ้าใกล้เคียงทีเดียว  ในตอนนั้นพวกเขายอมรับ—แต่ต่อมาเมื่อมีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นกับพวกเขา การปฏิบัติตนของพวกเขากลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย  นี่แสดงถึงอุปนิสัยประเภทหนึ่ง  อุปนิสัยที่ว่าคืออะไร?  ในเวลานั้นพวกเขารับฟัง ต่อมาพวกเขาก็กลับมาคิดถึงเรื่องนั้นและพูดกับตัวเองว่า “ฉันฟังคำเทศนามาตั้งมากมาย จะไม่รู้ได้ยังไงว่าตัวเองเป็นคนอ่อนไหว?  ฉันเป็นคนอ่อนไหว แต่ใครไม่อ่อนไหวกันล่ะ?  ถ้าฉันไม่ปกปิดให้ครอบครัวกับคนสนิทแล้วใครจะทำ?  ขนาดคนเก่งยังต้องการแรงเกื้อหนุนจากคนอีกสามคนเลย”  นี่คือสิ่งที่พวกเขาคิดอย่างแท้จริง  เมื่อถึงเวลาปฏิบัติตน สิ่งที่พวกเขาคิดและวางแผนอยู่ในหัวใจ รวมถึงท่าทีที่พวกเขามีต่อพระวจนะของพระเจ้าก็ล้วนถูกกำหนดโดยอุปนิสัยของพวกเขา  ท่าทีของพวกเขาเป็นอย่างไร?  “พระเจ้าสามารถตรัสและทรงเปิดโปงได้ตามที่พระองค์ทรงต้องการ และฉันก็จะยอมรับสิ่งที่ควรยอมรับเมื่อฉันอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ แต่ฉันตัดสินใจแล้ว และฉันก็ไม่มีความตั้งใจที่จะทิ้งความรู้สึกของตัวเองด้วย”  นี่คืออุปนิสัยของพวกเขาใช่หรือไม่?  อุปนิสัยของพวกเขาแสดงตัวออกมา และโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาก็ถูกเปิดโปงใช่หรือไม่?  พวกเขาคือคนที่ยอมรับความจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วสิ่งนี้คืออะไร?  นี่คือความดื้อรั้นนั่นเอง  พวกเขากล่าวอาเมนและแสร้งทำเป็นยอมรับเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  แต่หัวใจของพวกเขายังคงไม่สะทกสะท้าน  พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระวจนะของพระเจ้า ไม่ได้ถือว่าพระวจนะเหล่านั้นคือความจริง นับประสาอะไรการนำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติในฐานะความจริง  นี่คืออุปนิสัยประเภทหนึ่งใช่หรือไม่?  และอุปนิสัยเช่นนี้ก็เป็นการเผยถึงธรรมชาติบางประเภทมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วแก่นแท้ของอุปนิสัยประเภทนี้คืออะไร?  คือการดื้อแพ่งใช่หรือไม่?  (ใช่)  การดื้อแพ่งเป็นอุปนิสัยประเภทหนึ่งของมนุษย์ และเป็นสิ่งที่พบได้ในคนทุกคน  เหตุใดเราจึงกล่าวว่านี่คืออุปนิสัย?  นี่คือสิ่งที่ผุดขึ้นมาจากแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คน  เจ้าไม่ต้องนึกถึงเรื่องนี้ ผู้อื่นไม่ต้องสอนเจ้าหรือจัดการความคิดของเจ้า และซาตานก็ไม่ต้องชักพาเจ้าให้หลงผิด สิ่งนี้เผยให้เห็นในตัวเจ้าโดยธรรมชาติ และเป็นสิ่งที่ผุดมาจากธรรมชาติของเจ้า  มีบางคนที่ไม่ว่าพวกเขาทำเรื่องที่แย่อย่างไร พวกเขาก็โทษซาตานอยู่เสมอ  พวกเขามักกล่าวว่า “ซาตานเอาแนวคิดนี้มาใส่หัวฉัน ซาตานบอกให้ฉันทำแบบนี้”  พวกเขาโยนเรื่องแย่ๆ ทั้งหมดให้ซาตาน และไม่เคยยอมรับปัญหาในธรรมชาติของพวกเขาเองเลย  สิ่งนี้ถูกต้องหรือไม่?  เจ้าก็เคยถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกมิใช่หรือ?  หากเจ้าไม่ยอมรับสิ่งนี้ เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยของซาตานจะเผยออกมาจากตัวเจ้าได้อย่างไร?  แน่นอนว่ามีหลายครั้งที่ซาตานทำตัวขัดขวาง รวมถึงมีคราวที่ผู้คนถูกคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและยุยงให้ทำอะไรบางอย่าง หรือคราวที่วิญญาณชั่วดำเนินการและมอบความคิดทั้งหลายให้พวกเขา—แต่สิ่งเหล่านี้เป็นข้อยกเว้น เพราะส่วนใหญ่แล้วผู้คนถูกชี้นำจากธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขา และพวกเขาก็เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกประการออกมา  เมื่อผู้คนปฏิบัติตนตามความลำเอียงและความชอบส่วนตนของพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาทำสิ่งทั้งหลายตามวิธีการ ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเอง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กำลังดำเนินชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และเมื่อพวกเขาดำเนินชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็กำลังดำเนินชีวิตด้วยธรรมชาติของพวกเขาเอง  นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถโต้แย้งได้  เมื่อผู้คนถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาควบคุม เมื่อพวกเขาดำเนินชีวิตด้วยธรรมชาติเยี่ยงซาตาน ทุกสิ่งที่เผยออกมาจากพวกเขาก็ย่อมเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเอง นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถผลักไปให้ซาตานได้ เจ้าไม่สามารถกล่าวได้ว่าความคิดเหล่านี้ถูกส่งมาจากซาตาน  เนื่องจากผู้คนถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก พวกเขาจึงมีธรรมชาติของซาตาน และเพราะผู้คนไม่ต่างอะไรจากซาตาน พวกเขาคือปีศาจที่มีชีวิต คือซาตานที่มีชีวิต ด้วยเหตุนั้นเจ้าจึงต้องไม่ผลักทุกอย่างเยี่ยงซาตานที่เผยออกมาจากตัวเจ้าไปให้ซาตาน  เจ้าไม่ได้ดีไปกว่าซาตาน และนั่นคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า

เมื่อผู้คนมีอุปนิสัยดื้อแพ่ง สิ่งที่อยู่ในตัวพวกเขาจะเป็นสภาวะประเภทใดหรือ?  โดยหลักแล้วคือสภาวะที่ดื้อรั้นและคิดว่าตนเองถูกนั่นเอง  พวกเขามักยึดติดกับแนวคิดของตนเอง คิดอยู่เสมอว่าสิ่งที่ตนเองพูดนั้นถูกต้อง พวกเขาไม่ผ่อนปรนโดยเด็ดขาด ทั้งยังดื้อดึงอีกด้วย  นี่คือท่าทีของการดื้อแพ่ง  พวกเขาทำตัวดันทุรังเหมือนแผ่นเสียงที่ตกร่อง ไม่ฟังใคร ยังคงยึดมั่นอยู่กับการปฏิบัติตนในหนทางหนึ่งอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น ไม่ว่าหนทางนั้นจะถูกหรือผิด  ในเรื่องนี้มีการไม่กลับใจบางอย่างอยู่  ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า “ตาบอดไม่กลัวเสือ”  ผู้คนต่างรู้อยู่เต็มอกว่าการทำสิ่งใดถูกต้อง แต่พวกเขาไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาปฏิเสธการยอมรับความจริงอย่างหัวชนฝา  นี่คืออุปนิสัยประเภทหนึ่ง การดื้อแพ่งนั่นเอง  พวกเจ้าเผยอุปนิสัยดื้อแพ่งในสถานการณ์ประเภทใด?  พวกเจ้าทำตัวดื้อแพ่งอยู่บ่อยครั้งใช่หรือไม่?  (ใช่)  บ่อยมากเสียด้วย!  และเนื่องจากการดื้อแพ่งคืออุปนิสัยของเจ้า สิ่งนี้จึงอยู่กับเจ้าทุกวินาทีในทุกๆ วันที่เจ้ามีชีวิตอยู่  การดื้อแพ่งกีดกันผู้คนจากการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ สิ่งนี้หยุดยั้งผู้คนจากการสามารถยอมรับความจริง และหยุดยั้งพวกเขาจากการสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  และหากเจ้าไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ อุปนิสัยในแง่มุมนี้ของเจ้าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้หรือ?  ได้อย่างลำบากยากเย็นเหลือแสนเท่านั้น  ขณะนี้อุปนิสัยในแง่มุมที่ดื้อแพ่งของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือยัง?  และความเปลี่ยนแปลงนั้นมีมากแค่ไหนแล้ว?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าเคยเป็นคนที่ดื้อรั้นถึงที่สุด แต่ตอนนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงแล้วเล็กน้อยในตัวเจ้า  เมื่อเจ้าเผชิญกับประเด็นปัญหาบางอย่าง เจ้าก็พอจะมีสำนึกของมโนธรรมอยู่ในหัวใจ และเจ้าก็พูดกับตัวเองว่า “ฉันต้องปฏิบัติความจริงบางอย่างในเรื่องนี้  ในเมื่อพระเจ้าได้ทรงเปิดโปงอุปนิสัยอันดื้อแพ่งนี้แล้ว—ในเมื่อฉันได้ฟังแล้ว และตอนนี้ฉันก็รู้แล้ว—ดังนั้นฉันจะต้องเปลี่ยนแปลง  เมื่อก่อน เวลาที่ฉันเผชิญกับสิ่งเหล่านี้อยู่สองสามครั้ง ฉันก็ทำตามเนื้อหนังของตัวเองและล้มเหลว แล้วฉันก็ไม่ได้มีความสุขกับเรื่องที่เกิดขึ้น  คราวนี้ฉันต้องปฏิบัติความจริง”  เมื่อมีความแน่วแน่เช่นนั้นก็ย่อมเป็นไปได้ที่จะปฏิบัติความจริง และนี่คือความเปลี่ยนแปลง  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้สักระยะหนึ่งและเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้มากขึ้น อีกทั้งสิ่งนี้นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และอุปนิสัยที่ดื้อแพ่งและเป็นกบฏของเจ้าก็เผยตัวออกมาน้อยลงเรื่อยๆ อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่?  หากอุปนิสัยที่เป็นกบฏของเจ้าน้อยลงมากอย่างเห็นได้ชัด และการนบนอบพระเจ้าของเจ้าก็ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าที่เคย เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมมีความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง  แล้วเจ้าต้องเปลี่ยนแปลงจนถึงระดับใดจึงจะสัมฤทธิ์การนบนอบที่แท้จริง?  การนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเจ้าไม่มีการดื้อแพ่งเหลืออยู่แม้แต่น้อย มีเพียงการนบนอบเท่านั้น  นี่เป็นกระบวนการที่เชื่องช้า  ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน สิ่งเหล่านี้ใช้ประสบการณ์อันยาวนาน อาจจะชั่วชีวิตเสียด้วยซ้ำ  บางครั้งก็จำเป็นที่จะต้องทนทุกข์กับความยากลำบากหนักหนามากมาย ซึ่งความยากลำบากนั้นคล้ายกับการตายและการฟื้นคืนชีวิต ความยากลำบากนั้นเจ็บปวดและยากเย็นยิ่งกว่าการขูดพิษร้ายออกจากกระดูกของเจ้า  แล้วอุปนิสัยที่ดื้อแพ่งของพวกเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด?  เจ้าสามารถประเมินการนี้ได้หรือไม่?  (เมื่อก่อน ข้าพระองค์เชื่อว่าบางสิ่งควรกระทำด้วยวิธีการบางอย่าง  เวลาผู้คนเสนอมุมมองที่ต่างออกไป ข้าพระองค์ก็ไม่ฟัง จนกระทั่งเจอกับความล้มเหลวที่แท้จริงข้าพระองค์จึงได้เปลี่ยนใจ  ตอนนี้ข้าพระองค์ดีขึ้นแล้วเล็กน้อย  ข้าพระองค์รู้สึกคัดค้านเมื่อมีคนเสนอทัศนะที่ต่างออกไป แต่หลังจากนั้นข้าพระองค์ก็สามารถยอมรับบางอย่างที่พวกเขาพูดได้)  การปรับเปลี่ยนท่าทีก็เป็นความเปลี่ยนแปลงอีกประเภทหนึ่ง สิ่งนี้หมายความว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเล็กน้อย  การนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เจ้ารู้ว่าอีกฝ่ายถูกต้อง แต่เจ้ากลับปฏิเสธและไม่ยอมรับสิ่งนั้น ยังคงยึดติดอยู่กับแนวคิดของตนเอง แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว  ท่าทีของเจ้าเปลี่ยนแปลงกลับมาแล้ว  เมื่อเจ้าเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้แล้ว เจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนหรือ?  ไม่ถึงร้อยละสิบเสียด้วยซ้ำ  ความเปลี่ยนแปลงร้อยละสิบนั้นหมายความว่าหลังจากอีกฝ่ายแสดงมุมมองที่ต่างไปจากเจ้า อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ไม่มีความรู้สึกที่ต่อต้านหรือความคิดที่ขัดขืนอยู่เลย เจ้ามีท่าทีที่เป็นปกติ  แม้ว่าสิ่งนั้นจะยังไม่ตรงกับสิ่งที่อยู่ในหัวใจเจ้า แต่เจ้าก็ไม่มีท่าทีดื้อแพ่ง เจ้าสามารถหารือเรื่องนี้กับคนคนนั้นได้ ทั้งยังมีการนบนอบอยู่บ้างเมื่อเจ้าปฏิบัติ และเจ้าก็ไม่ทำสิ่งทั้งหลายตามแนวคิดของตัวเจ้าเองอย่างเดียวอีกต่อไป  หลังจากนั้น มีหลายครั้งที่เจ้ายึดติดกับแนวคิดของตนเอง และมีหลายครั้งที่เจ้าสามารถยอมรับสิ่งที่ผู้อื่นพูดได้  ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยนั้นกลับไปกลับมา  เจ้าต้องมีประสบการณ์กับความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย และประสบกับความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้น การที่อุปนิสัยของเจ้าจะเปลี่ยนแปลงโดยไม่เผชิญกับบททดสอบและการถลุงเป็นเวลาหลายปีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย  บางครั้ง เวลาผู้คนอยู่ในสภาวะจิตใจที่ดี พวกเขาก็สามารถยอมรับสิ่งที่ถูกต้องที่ผู้อื่นพูดได้ แต่เมื่อพวกเขารู้สึกแย่ พวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริง  การนี้ไม่ทำให้สิ่งทั้งหลายล่าช้าหรอกหรือ?  บางครั้งเมื่อเจ้าเข้ากับคู่ทำงานของตนไม่ได้ เจ้าก็ไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง ทั้งยังดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาของซาตาน  บางครั้งเมื่อเจ้าร่วมมือกับผู้อื่นที่มีขีดความสามารถดีกว่าเจ้าและเป็นคนที่เก่งกว่าเจ้า เจ้าย่อมรู้สึกว่าถูกพวกเขาบีบคั้น และไร้ซึ่งความกล้าที่จะค้ำจุนหลักธรรมเมื่อเจ้าเผชิญประเด็นปัญหา  บางครั้ง เจ้าเก่งกว่าคู่ทำงานของเจ้า และพวกเขาก็ปฏิบัติตนอย่างโง่เง่า เจ้าย่อมดูถูกพวกเขาและไม่เต็มใจที่จะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา  บางครั้งเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติความจริงแต่ถูกบีบคั้นจากความรู้สึกทางเนื้อหนัง  บางครั้งเจ้ามีความละโมบในความพอใจทางเนื้อหนัง และแม้ว่าเจ้าปรารถนาที่จะกบฏต่อเนื้อหนัง เจ้าก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  บางครั้งเจ้าฟังคำเทศนาและเข้าใจความจริง แต่ไม่สามารถที่จะนำไปปฏิบัติได้  ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ง่ายงั้นหรือ?  ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่แก้ไขได้ง่ายด้วยตัวเจ้าเอง  พระเจ้าทรงสามารถนำบททดสอบและการถลุงมาสู่ผู้คนได้เท่านั้น ทำให้พวกเขาทนทุกข์แสนสาหัส และท้ายที่สุดก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในตัวเอง แต่ไร้ซึ่งความจริง และรู้สึกราวกับพวกเขาไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากความจริง  สิ่งนี้ถลุงผู้คนให้เกิดความเชื่อ และทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขาต้องเพียรพยายามเพื่อความจริง พวกเขาจะไม่รู้สึกสบายใจจนกว่าจะนำความจริงไปปฏิบัติ และหากพวกเขาไม่สามารถนบนอบพระเจ้าได้ พวกเขาย่อมจะประสบกับความทรมานแสนสาหัส  นั่นคือผลสัมฤทธิ์ของบททดสอบและการถลุง  ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยยากลำบากเช่นนี้เอง  เหตุใดเราจึงบอกพวกเจ้าว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย?  เป็นเพราะเราไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะเกิดความคิดลบอย่างนั้นหรือ?  การนี้เป็นไปเพื่อทำให้พวกเจ้ารู้ถึงความสำคัญของความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย  เราหวังให้พวกเจ้าทุกคนมุ่งความสนใจมาที่เรื่องนี้ หยุดไล่ตามไขว่คว้าภาพลักษณ์ฝ่ายวิญญาณที่เป็นเท็จ หน้าซื่อใจคด และไม่สมจริงเหล่านั้น อีกทั้งเลิกทำตามคำสอน การปฏิบัติ และข้อบังคับที่เพ้อฝันเหล่านั้นอยู่เสมอ การทำเช่นนั้นย่อมจะสร้างความเสียหายแก่เจ้า และไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเจ้าเลย

พวกเราเพิ่งพูดถึงอุปนิสัยในแง่มุมหนึ่งไป นั่นคือการดื้อแพ่งนั่นเอง  การดื้อแพ่งมักจะเป็นท่าทีประเภทหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจผู้คน  โดยปกติแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนจากภายนอก แต่เมื่อชัดเจน สิ่งนี้ก็ย่อมจะตรวจพบได้ง่าย และผู้คนจะกล่าวว่า “พวกเขาดื้อรั้นเสียจริง!  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย—พวกเขาช่างดื้อแพ่งเหลือเกิน!”  พวกที่มีอุปนิสัยดื้อแพ่งมักยึดติดอยู่กับวิธีการใดวิธีการหนึ่ง และยึดติดอยู่กับสิ่งเดียวเท่านั้นโดยไม่เคยปล่อยวาง  แล้วนี่คืออุปนิสัยเพียงด้านเดียวของผู้คนใช่หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่—ยังมีอุปนิสัยอื่นๆ อีกมากมาย  มาดูกันว่าพวกเจ้าจะสามารถบอกได้หรือไม่ว่าเรากำลังอธิบายถึงอุปนิสัยประเภทใดเป็นลำดับต่อไป  บางคนกล่าวว่า “ในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันไม่นบนอบใครทั้งนั้นนอกจากพระเจ้า เพราะมีเพียงพระเจ้าที่ทรงมีความจริง ผู้คนไม่มีความจริง พวกเขามีอุปนิสัยเสื่อมทราม ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดไม่สามารถเชื่อถือได้ ดังนั้นฉันจึงนบนอบแต่เพียงพระเจ้าเท่านั้น”  การที่พวกเขากล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  นี่คืออุปนิสัยประเภทใด?  (อุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน)  (เป็นอุปนิสัยของซาตาน ของหัวหน้าทูตสวรรค์)  นี่คืออุปนิสัยที่โอหังนั่นเอง  จงอย่าพูดอยู่เป็นนิจว่านี่คืออุปนิสัยของซาตานหรืออุปนิสัยของหัวหน้าทูตสวรรค์ นี่เป็นวิธีพูดที่กว้างและคลุมเครือเกินไป และยากที่ผู้คนจะเข้าใจ  การกล่าวว่านี่คืออุปนิสัยอันโอหังย่อมเฉพาะเจาะจงมากกว่า  แน่นอนว่านี่ไม่ใช่อุปนิสัยประเภทเดียวที่พวกเขาเผยออกมา ทว่าเป็นเพียงอุปนิสัยอันโอหังที่เผยตัวออกมาอย่างแสนโจ่งแจ้ง  การกล่าวว่านี่คืออุปนิสัยโอหังย่อมจะทำให้ผู้คนเข้าใจได้โดยง่าย ดังนั้นการพูดเช่นนี้จึงเหมาะสมที่สุด  บางคนมีทักษะ มีพรสวรรค์ มีความถนัดเล็กน้อยบางอย่างและได้ทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อคริสตจักร  สิ่งที่คนพวกนี้คิดก็คือ “ความเชื่อในพระเจ้าของพวกคุณเกี่ยวโยงกับการใช้เวลาทั้งวันเพื่ออ่าน คัดลอก เขียน และจดจำพระวจนะของพระเจ้าเหมือนกับคนฝ่ายวิญญาณบางคน  ทำไปเพื่ออะไรกัน?  พวกคุณทำสิ่งที่จริงได้บ้างหรือเปล่า?  คุณจะเรียกตัวเองว่าอยู่ฝ่ายวิญญาณได้อย่างไรหากคุณไม่ได้ทำอะไรเลย?  พวกคุณไม่มีชีวิต  ฉันมีชีวิต ทุกสิ่งที่ฉันทำล้วนเป็นจริง”  นี่คืออุปนิสัยใด?  พวกเขามีทักษะพิเศษบางอย่าง มีพรสวรรค์บางอย่าง พวกเขาทำดีได้อยู่บ้าง แล้วพวกเขาก็ถือสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นชีวิต  ผลก็คือ พวกเขาไม่เชื่อฟังใครเลย พวกเขาไม่กลัวที่จะสั่งสอนใคร พวกเขาดูถูกทุกคน—นี่คือความโอหังใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือความโอหัง  โดยปกติแล้วผู้คนมักเผยความโอหังภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใด?  (เมื่อพวกเขามีพรสวรรค์หรือมีทักษะพิเศษบางอย่าง เมื่อพวกเขาสามารถทำบางสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ เมื่อพวกเขามีต้นทุน)  นั่นเป็นสถานการณ์ประเภทหนึ่ง  แล้วคนที่ไม่มีพรสวรรค์หรือไม่มีทักษะพิเศษอยู่เลยนั้นไม่โอหังหรอกหรือ?  (พวกเขาก็โอหังเช่นกัน)  คนที่พวกเราเพิ่งพูดถึงมักจะกล่าวว่า “ฉันไม่นบนอบใครทั้งนั้นนอกจากพระเจ้า” และเมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้คนก็จะคิดกับตัวเองว่า “คนคนนี้ช่างนบนอบต่อความจริงเหลือเกิน พวกเขาไม่นบนอบใครทั้งนั้นนอกจากความจริง สิ่งที่พวกเขาพูดน่ะถูกต้องแล้ว!”   ที่จริงแล้ว ภายในคำพูดที่ดูเหมือนถูกต้องนั้นมีอุปนิสัยโอหังประเภทหนึ่งอยู่  คำว่า “ฉันไม่นบนอบใครทั้งนั้นนอกจากพระเจ้า” นั้นหมายความโดยชัดเจนว่าพวกเขาไม่นบนอบใครเลย  เราขอถามเจ้าว่า พวกที่กล่าวเช่นนั้นสามารถนบนอบพระเจ้าได้จริงหรือ?  พวกเขาไม่มีทางนบนอบพระเจ้าได้  พวกที่มีแนวโน้มจะเอ่ยคำพูดเช่นนั้นคือคนที่โอหังที่สุดในบรรดาอย่างไม่ต้องสงสัย  จากภายนอก สิ่งที่พวกเขาพูดฟังดูถูกต้อง—แต่อันที่จริง นี่เป็นหนทางอันแยบยลที่สุดที่อุปนิสัยโอหังถูกสำแดงออกมา  พวกเขาใช้คำว่า “นอกจากพระเจ้า” ในการพยายามพิสูจน์ว่าพวกเขามีเหตุผล แต่ที่จริงแล้ว นั่นเป็นเหมือนการขุดหลุมฝังทองแล้วปักป้ายไว้ด้านบนว่า “ไม่มีทองฝังอยู่ตรงนี้”  นี่คือสิ่งที่โง่เขลามิใช่หรือ?  พวกเจ้าคิดว่าคนประเภทใดโอหังมากที่สุด?  สิ่งใดที่ผู้คนพูดแล้วทำให้พวกเขาเป็นคนที่โอหังมากที่สุด?  ก่อนหน้านี้พวกเจ้าอาจจะได้ฟังเรื่องความโอหังมาบ้าง  ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ สิ่งใดโอหังที่สุด?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  มีใครกล้าพูดหรือไม่ว่า “ฉันไม่นบนอบใครทั้งนั้น—แม้แต่ฟ้าสวรรค์หรือแผ่นดินโลก ฉันไม่นบนอบแม้กระทั่งพระวจนะของพระเจ้า”?  มีเพียงพญานาคใหญ่สีแดง มารชั่วตนนี้เท่านั้นที่กล้าพูดเช่นนี้  ไม่มีผู้เชื่อในพระเจ้าคนใดจะกล่าวเช่นนี้  อย่างไรก็ตาม หากเหล่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้ากล่าวว่า “ฉันไม่นบนอบใครทั้งนั้นนอกจากพระเจ้า” เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ต่างจากพญานาคใหญ่สีแดงมากนัก พวกเขาคือที่หนึ่งของโลกร่วมกัน เป็นพวกที่โอหังที่สุดในบรรดา  ผู้คนล้วนโอหัง แล้วพวกเจ้าคิดว่าความโอหังของพวกเขามีความแตกต่างอยู่หรือไม่?  พวกเจ้าแยกแยะจากสิ่งใด?  มนุษย์ผู้เสื่อมทรามล้วนมีอุปนิสัยโอหัง แต่ในความโอหังของพวกเขานั้นมีความแตกต่างอยู่  เมื่อคนคนหนึ่งมีความโอหังจนถึงระดับหนึ่ง หลังจากนั้นพวกเขาย่อมสูญสิ้นเหตุผลทั้งปวง  ความแตกต่างคือสิ่งที่ใครบางคนกล่าวนั้นมีเหตุผลหรือไม่  คนบางคนเป็นคนโอหังแต่ยังมีเหตุผลอยู่เล็กน้อย  หากพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ยังคงมีหวังในความรอด  คนบางคนโอหังมากเสียจนพวกเขาไม่มีเหตุผล—ความโอหังของพวกเขานั้นไร้ขีดจำกัด—และผู้คนเช่นนั้นไม่เคยยอมรับความจริงเลย  หากผู้คนโอหังมากเสียจนพวกเขาไม่มีเหตุผล เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมสูญสิ้นสำนึกของความละอายใจ และเป็นเพียงคนที่โอหังอย่างโง่เง่าเท่านั้น  ทั้งหมดนี้คือการเผยและการสำแดงซึ่งอุปนิสัยโอหัง  พวกเขาจะกล่าวว่า “ฉันไม่นบนอบใครทั้งนั้นนอกจากพระเจ้า” ได้อย่างไรหากพวกเขาไม่มีอุปนิสัยโอหัง?  พวกเขาจะไม่กล่าวเช่นนั้นอย่างแน่นอน  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากใครบางคนมีอุปนิสัยโอหัง เช่นนั้นพวกเขาก็ย่อมสำแดงซึ่งความโอหัง และคนคนนั้นก็ย่อมจะพูดและทำในสิ่งที่โอหังและไร้ซึ่งเหตุผลทั้งปวงอย่างแน่นอน  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่มีอุปนิสัยโอหัง แต่สิ่งนั้นกลับเผยออกมาจากตัวฉัน”  คำพูดเช่นนั้นมีเหตุผลหรือไม่?  (ไม่มี)  คนอื่นๆ กล่าวว่า “ฉันห้ามตัวเองไม่ได้  ทันทีที่ฉันเลิกระวังตัว ฉันก็เผยบางอย่างที่โอหังออกมา”  คำพูดเหล่านี้มีเหตุผลหรือไม่?  (ไม่มี)  เหตุใดจึงไม่มีเล่า?  สาเหตุต้นตอของคำพูดเหล่านี้คืออะไร?  (การไม่รู้จักตนเอง)  ไม่ใช่—พวกเขารู้ว่าตัวเองโอหัง แต่เมื่อได้ยินผู้อื่นเยาะเย้ยถากถางพวกเขาว่า “ทำไมคุณโอหังขนาดนี้?  คุณโอหังเรื่องอะไรนักหนา?” พวกเขาก็รู้สึกละอายใจ จนเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขากล่าวอะไรเช่นนั้นออกมา  พวกเขารู้สึกเสียหน้า พวกเขามองหาข้อแก้ตัวที่จะปกปิด ปลอมแปลง และตกแต่งเรื่องนั้นเพื่อให้ตัวเองพ้นจากความรับผิดชอบ  ดังนั้นคำพูดของพวกเขาจึงไม่มีเหตุผล  เมื่ออุปนิสัยที่โอหังของเจ้ายังไม่ได้รับการแก้ไข เจ้าย่อมโอหังแม้ในยามที่เจ้าไม่ได้พูด  ความโอหังนั้นอยู่ในธรรมชาติของผู้คน ซ่อนอยู่ในหัวใจของพวกเขา และสามารถเผยออกมาได้ทุกเมื่อ  ดังนั้น ตราบเท่าที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย ผู้คนก็ยังคงโอหังและคิดว่าตนเองถูก  เราจะยกตัวอย่างให้ฟัง  ผู้นำที่ได้รับเลือกมาใหม่มาถึงคริสตจักรและพบว่าสีหน้าท่าทางและสายตาที่ผู้คนมองเขานั้นค่อนข้างเฉยเมย  เขาคิดกับตัวเองอยู่ในใจว่า “คนที่นี่ไม่ต้อนรับฉันเหรอ?  ฉันเป็นผู้นำที่เพิ่งถูกเลือกมานะ พวกคุณปฏิบัติกับฉันด้วยท่าทีแบบนั้นได้อย่างไร?  ทำไมพวกคุณไม่ประทับใจในตัวฉันล่ะ?  ฉันได้รับเลือกจากพี่น้องชายหญิง ดังนั้นวุฒิภาวะฝ่ายวิญญาณของฉันก็ย่อมดีกว่าพวกคุณไม่ใช่เหรอ?”  และผลคือเขากล่าวว่า “ผมเป็นผู้นำที่เพิ่งได้รับเลือกมาใหม่  บางคนอาจจะไม่ยอมรับผม แต่ช่างเถอะ  มาแข่งกันว่าใครจำบทตอนในพระวจนะของพระเจ้าได้มากกว่ากัน ใครที่สามารถสามัคคีธรรมความจริงของนิมิตได้  ถ้าใครสามารถสามัคคีธรรมความจริงได้ชัดเจนกว่าผม ผมจะยกตำแหน่งผู้นำให้เลย  พวกคุณว่ายังไง?”  นี่คือกลยุทธ์ประเภทใดหรือ?  เมื่อผู้คนเมินเฉยใส่เขา เขาก็ไม่พอใจ พลางต้องการที่จะทำให้คนเหล่านั้นต้องทนทุกข์และเอาคืนพวกเขา ตอนนี้เมื่อเขาเป็นผู้นำ เขาก็ต้องการที่จะควบคุมผู้คน—เขาต้องการเป็นคนที่อยู่สูงสุด  นี่คืออุปนิสัยใด?  (ความโอหัง)  แล้วอุปนิสัยโอหังนั้นแก้ไขได้ง่ายหรือไม่?  (ไม่)  อุปนิสัยโอหังของผู้คนนั้นเผยออกมาบ่อยมาก  สำหรับบางคน การได้ฟังผู้อื่นสามัคคีธรรมความรู้แจ้งและความเข้าใจใหม่เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด “ทำไมฉันไม่รู้จะพูดอะไรในเรื่องนี้เลย?  แบบนี้ไม่ได้การ  ฉันต้องคิดหาอะไรบางอย่างที่ดีกว่านี้”  และดังนั้นพวกเขาจึงพ่นคำสอนออกมามากมาย พยายามที่จะเอาชนะผู้อื่น  นี่คืออุปนิสัยใดหรือ?  นี่คือการแข่งขันเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ ทั้งยังเป็นความโอหังอีกด้วย  ในเรื่องของอุปนิสัยนั้นเจ้าอาจจะนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้พูดหรือทำอะไรเลย แต่อุปนิสัยนั้นก็จะยังดำรงอยู่ในหัวใจของเจ้า และจะยังเผยตัวออกมาในความคิดและการแสดงสีหน้าท่าทางของเจ้าได้เสียด้วยซ้ำ  ต่อให้ผู้คนพยายามคิดหาวิธีที่จะข่มหรือควบคุมมันไว้ และระมัดระวังอย่างมากในการห้ามไม่ให้มันเผยตัวออกมา ทว่าการนี้มีประโยชน์หรือไม่?  (ไม่มีประโยชน์)  บางคนตระหนักได้ในทันทีที่พวกเขาพูดสิ่งที่โอหังออกไป “ฉันเผยอุปนิสัยโอหังออกไปอีกแล้ว—น่าอายเสียจริง!  ฉันต้องไม่พูดอะไรที่โอหังแบบนั้นออกไปอีก”  แต่สาบานได้ว่าต่อให้เจ้าจะคอยปิดปากไว้สนิท การนั้นก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า แต่ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยของเจ้า  เพราะฉะนั้นหากเจ้าไม่ต้องการให้อุปนิสัยโอหังของเจ้าเผยตัวออกมา เจ้าก็ต้องแก้ไขอุปนิสัยนั้นเสีย  นี่ไม่ใช่เรื่องของการแก้ไขคำพูดไม่กี่คำให้ถูกต้องหรือการใช้วิธีที่ถูกต้องในการทำสิ่งทั้งหลาย นับประสาอะไรกับการทำตามข้อบังคับบางอย่าง  นี่เป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาทางอุปนิสัยของเจ้า  คราวนี้ที่เราได้กล่าวถึงหัวข้อที่ว่าอุปนิสัยคืออะไรกันแน่นั้น เจ้าก็ได้มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นและทะลุปรุโปร่งมากขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  การรู้จักตนเองไม่ใช่เรื่องของการรู้จักบุคลิกภายนอก ภาวะอารมณ์ นิสัยแย่ๆ รวมถึงสิ่งที่โง่เขลาและไม่รู้ความที่คนเราได้กระทำในอดีต—การรู้จักตนเองไม่ใช่เรื่องของสิ่งเหล่านี้เลย  ในทางกลับกัน นี่เป็นเรื่องของการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองและอุปนิสัยชั่วที่สามารถต่อต้านพระเจ้าได้  นี่เป็นกุญแจสำคัญ  บางคนกล่าวว่า “ฉันมีอารมณ์ที่พร้อมระเบิด และฉันก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้  แล้วเมื่อไรฉันจะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยนี้ได้เล่า?”  ส่วนคนอื่นๆ ก็กล่าวว่า “ฉันแสดงออกได้แย่มาก ฉันไม่ใช่นักพูดที่ดี  ทุกครั้งที่พูด ฉันก็ลงเอยด้วยการล่วงเกินผู้คนหรือทำร้ายความรู้สึกพวกเขา  เมื่อไหร่เรื่องนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเสียที?”  การที่พวกเขากล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ความผิดพลาดของพวกเขาอยู่ที่ไหน?  (นี่ไม่ใช่การรับรู้ถึงสิ่งทั้งหลายในธรรมชาติของคนเรา)  ถูกต้อง  บุคลิกไม่ใช่สิ่งที่กำหนดธรรมชาติ  ไม่ว่าใครบางคนมีบุคลิกที่ดีเพียงใด พวกเขาก็ยังสามารถมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้

เราเพิ่งพูดถึงอุปนิสัยไปสองแง่มุม  แง่มุมแรกคือการดื้อแพ่ง และแง่มุมที่สองคือความโอหัง  พวกเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมายเกี่ยวกับความโอหัง  ทุกคนต่างเผยพฤติกรรมโอหังออกมามากมาย และพวกเจ้าเพียงต้องรู้ว่าความโอหังเป็นแง่มุมหนึ่งของอุปนิสัย  ทว่ายังมีอุปนิสัยอีกประเภทหนึ่ง  คนบางคนไม่เคยพูดความจริงกับใครเลย  พวกเขาตรึกตรองและขัดเกลาทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในใจก่อนที่จะพูดกับผู้คน  เจ้าไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งใดที่พวกเขาพูดนั้นจริงและสิ่งใดเท็จ  พวกเขาพูดสิ่งหนึ่งในวันนี้และอีกสิ่งหนึ่งในวันพรุ่ง พวกเขาพูดสิ่งหนึ่งกับคนหนึ่ง และสิ่งอื่นกับอีกคนหนึ่ง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดล้วนย้อนแย้ง  จะเชื่อผู้คนเหล่านี้ได้อย่างไร?  เป็นการยากมากที่จะจับความเข้าใจในข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และเจ้าจะไม่สามารถได้รับคำพูดที่ถูกต้องจากพวกเขา  นี่คืออุปนิสัยใด?  นี่คือความหลอกลวง  อุปนิสัยที่หลอกลวงนั้นเปลี่ยนแปลงง่ายหรือไม่?  มันเปลี่ยนแปลงยากที่สุด  สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยทั้งหลายย่อมเกี่ยวพันกับธรรมชาติของผู้คน และไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงได้ยากเท่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของคนเรา  คำกล่าวที่ว่า “เสือดาวเปลี่ยนแปลงลายของมันไม่ได้”  นั้นจริงแท้แน่นอนที่สุด!  ไม่ว่าพวกเขากำลังพูดหรือทำสิ่งใด ผู้คนที่หลอกลวงย่อมเก็บงำจุดมุ่งหมายและเจตนาของตนเองไว้เสมอ  หากพวกเขาไม่มีจุดมุ่งหมายหรือเจตนา พวกเขาก็จะไม่พูดสิ่งใด  หากเจ้าพยายามทำความเข้าใจว่าจุดมุ่งหมายและเจตนาของพวกเขาคือสิ่งใด พวกเขาก็จะปิดปากเงียบ  หากพวกเขาเผลอหลุดบางสิ่งที่แท้จริงออกมา พวกเขาก็จะพยายามขบคิดหาหนทางบิดเบือนสิ่งนั้นเพื่อทำให้เจ้าสับสน และยับยั้งเจ้าจากการรู้ความจริง  ไม่ว่าผู้คนที่หลอกลวงกำลังทำสิ่งใด พวกเขาย่อมจะไม่ปล่อยให้ใครรู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับสิ่งนั้น  ไม่ว่าผู้คนใช้เวลากับพวกเขามากเพียงใด ก็ไม่มีใครรู้ว่าที่จริงแล้วในจิตใจของพวกเขามีสิ่งใดเกิดขึ้น  นั่นคือธรรมชาติของผู้คนที่หลอกลวง  ไม่ว่าบุคคลที่หลอกลวงพูดมากมายเพียงใด ผู้อื่นก็จะไม่มีวันรู้ว่าเจตนาของพวกเขาคืออะไร ที่จริงแล้วพวกเขาคิดอะไรอยู่ หรือพวกเขากำลังพยายามทำสิ่งใดให้ลุล่วงกันแน่  แม้แต่บิดามารดาของพวกเขาก็มีช่วงเวลาอันยากลำบากที่จะรู้ถึงสิ่งนี้  การพยายามทำความเข้าใจผู้คนที่หลอกลวงนั้นยากเย็นแสนเข็ญ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในจิตใจของพวกเขา  นี่คือวิธีที่ผู้คนที่หลอกลวงพูดและปฏิบัติตน พวกเขาไม่มีวันพูดสิ่งที่อยู่ในจิตใจหรือถ่ายทอดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ  นี่คืออุปนิสัยชนิดหนึ่งมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้ามีอุปนิสัยหลอกลวง ไม่สำคัญว่าเจ้าพูดหรือทำสิ่งใด—อุปนิสัยนี้ย่อมมีอยู่ในตัวเจ้าเสมอ ควบคุมเจ้า ทำให้เจ้าเล่นเกมและมีส่วนร่วมในการวางอุบาย ล้อเล่นกับความรู้สึกของผู้คน ปิดบังความจริง และเสแสร้งแกล้งทำ  นี่คือความหลอกลวง  คนหลอกลวงมีส่วนในพฤติกรรมอันเฉพาะเจาะจงประการใดอีก?  เราจะยกตัวอย่างให้ฟัง  มีคนสองคนกำลังพูดคุยกัน และหนึ่งในสองคนนั้นกำลังพูดถึงการรู้จักตนเองของพวกเขา คนคนนี้เฝ้าแต่พูดว่าเขาพัฒนาขึ้นเพียงใด อีกทั้งพยายามทำให้อีกคนหนึ่งเชื่อในเรื่องนี้ แต่เขาไม่ได้พูดถึงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้เลย  ในเรื่องนี้มีบางอย่างถูกปิดบังเอาไว้ และสิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงอุปนิสัยบางอย่าง—อุปนิสัยของความหลอกลวงนั่นเอง  มาดูกันเถิดว่าพวกเจ้าสามารถหยั่งรู้เรื่องนี้ได้หรือไม่  คนคนนี้กล่าวว่า “เมื่อเร็วๆ นี้ฉันได้ประสบกับอะไรบางอย่าง และรู้สึกว่าหลายปีที่ฉันเชื่อในพระเจ้ามานี้ช่างเปล่าประโยชน์  ฉันไม่ได้รับอะไรเลย  ฉันน่าสงสารและน่าเวทนาเหลือเกิน!  ช่วงนี้ฉันมีพฤติกรรมที่ไม่ดีนัก แต่ฉันก็พร้อมที่จะกลับใจ”  แต่หลังจากที่พวกเขากล่าวเช่นนี้ ผ่านไประยะหนึ่งก็ยังไม่พบการแสดงออกซึ่งการกลับใจจากพวกเขาเลย  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  คือพวกเขาโกหกและใช้เล่ห์กับผู้อื่นนั่นเอง  เมื่อผู้อื่นได้ฟังสิ่งเหล่านั้น พวกเขาก็คิดว่า “เมื่อก่อนคนคนนี้ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าตอนนี้เขาสามารถพูดเช่นนั้นได้ก็แสดงให้เห็นว่าเขากลับใจอย่างแท้จริงแล้ว  เรื่องนั้นไม่ต้องสงสัยเลย  พวกเราต้องไม่มองเขาอย่างที่เคยมอง แต่ต้องมองในแง่มุมใหม่ที่ดีขึ้น”  นั่นเป็นสิ่งที่ผู้คนคิดและใคร่ครวญหลังจากได้ฟังคำพูดเหล่านั้น  แต่สภาวะในปัจจุบันของคนคนนั้นเป็นดังที่พวกเขาพูดหรือไม่?  ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น  พวกเขายังไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง แต่คำพูดของพวกเขาได้สร้างภาพลวงว่าพวกเขาทำเช่นนั้นแล้ว พวกเขาเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนที่ดีขึ้น และเป็นคนที่ต่างไปจากเมื่อก่อน  นี่คือผลสัมฤทธิ์ที่พวกเขาต้องการจากคำพูดของตัวเอง  จากการพูดในหนทางนี้เพื่อหลอกผู้คน พวกเขากำลังเผยอุปนิสัยใดหรือ?  ความหลอกลวงนั่นเอง—และนี่เป็นสิ่งที่ร้ายกาจมาก!  ข้อเท็จจริงก็คือ พวกเขาไม่ตระหนักเลยว่าตัวเองล้มเหลวในการเชื่อพระเจ้าเสียแล้ว และไม่ตระหนักว่าพวกเขาเป็นคนที่น่าสงสารและเวทนา  พวกเขากำลังหยิบยืมคำพูดและภาษาฝ่ายวิญญาณเพื่อมาหลอกผู้คน เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายในการทำให้ผู้อื่นนับถือพวกเขาและมองพวกเขาในทางที่ดี  นี่คือความหลอกลวงมิใช่หรือ?  ใช่ และเมื่อใครบางคนเป็นคนหลอกลวงมากเกินไป ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลง

ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่ไม่เคยพูดอย่างเรียบง่ายหรือเปิดใจ  พวกเขาแอบซ่อนและปิดบังสิ่งทั้งหลาย เก็บข้อมูลจากผู้คนในทุกหนแห่ง และคอยหยั่งเชิงคนเหล่านั้นอยู่เสมอ  พวกเขาปรารถนาที่จะรู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับผู้คนอยู่เป็นนิจ แต่ไม่พูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจตัวเองออกมา  ทุกคนที่ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาต่างก็ไม่มีหวังที่จะรู้ถึงความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับพวกเขาเลย  ผู้คนเช่นนั้นไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ถึงแผนการของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่เล่าแผนนั้นให้ใครฟังทั้งสิ้น  นี่คืออุปนิสัยใด?  นี่คืออุปนิสัยหลอกลวง  ผู้คนเช่นนั้นหลักแหลมอย่างยิ่ง ไม่มีใครหยั่งถึงพวกเขาได้  หากคนเราครองอุปนิสัยหลอกลวง พวกเขาก็ย่อมเป็นคนหลอกลวงอย่างไม่ต้องสงสัย และพวกเขาก็เป็นคนหลอกลวงจากแก่นแท้ธรรมชาติ  คนประเภทนี้ไล่ตามเสาะหาความจริงในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาหรือไม่?  หากพวกเขาไม่พูดความจริงต่อหน้าผู้อื่น พวกเขาจะสามารถพูดความจริงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือ?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  คนหลอกลวงไม่เคยพูดความจริง  พวกเขาอาจจะเชื่อในพระเจ้า แต่นั่นเป็นความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่?  พวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อพระเจ้าหรือ?  แน่นอนว่าพวกเขาจะมีข้อกังขามากมายอยู่ในหัวใจ อย่างเช่น “พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหนกัน?  ฉันมองไม่เห็นพระองค์เลย  มีข้อพิสูจน์อะไรว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง?”  “พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่งงั้นเหรอ?  จริงหรือเปล่า?  ระบอบการปกครองของซาตานกำลังกดขี่และจับกุมผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างบ้าคลั่ง  ทำไมพระเจ้าไม่ทรงทำลายระบอบนั้นเสียเล่า?”  “พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไรกันแน่?  ความรอดของพระองค์มีจริงหรือ?  เรื่องนี้ไม่ชัดเจนเลย”  “ผู้เชื่อในพระเจ้าจะสามารถเข้าสู่ราชอาณาแห่งจักรสวรรค์ได้หรือไม่?  หากไม่มีสิ่งยืนยัน นี่ก็เป็นเรื่องที่พูดได้ยาก”  เมื่อพวกเขามีข้อกังขาเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่มากมายในหัวใจ พวกเขาจะสามารถสละตนเพื่อพระองค์อย่างจริงใจได้หรือ?  เรื่องนั้นไม่มีทางเป็นไปได้  พวกเขาเห็นบรรดาคนเหล่านี้ที่ยอมทิ้งทุกอย่างที่มีเพื่อติดตามพระเจ้า คนที่สละตนเองเพื่อพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พลางคิดว่า “ฉันจำเป็นต้องยั้งเอาไว้บ้าง  ฉันจะทำตัวโง่เขลาอย่างคนพวกนั้นไม่ได้  หากฉันมอบทุกอย่างให้พระเจ้า แล้วในอนาคตฉันจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร?  ใครจะดูแลฉันเล่า?  ฉันต้องมีแผนสำรอง”  เจ้าจะสามารถเห็นได้ว่าคนหลอกลวงนั้น “ปราดเปรื่อง” เพียงใด และพวกเขามองการณ์ไกลแค่ไหน  มีคนบางคนที่เมื่อเห็นผู้อื่นเปิดใจถึงความรู้เกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตนเองในการชุมนุม นำเสนอสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของพวกเขาในการสามัคคีธรรม และพูดด้วยความสัตย์จริงว่าพวกเขากระทำการผิดประเวณีมาแล้วกี่ครั้ง พวกเขาก็คิดว่า “คุณนี่โง่เหลือเกิน!  เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว จะเล่าให้คนอื่นฟังทำไม?  คุณไม่มีทางเค้นเรื่องพวกนั้นจากปากฉันได้หรอก!”  ผู้คนที่หลอกลวงเป็นเช่นนี้—พวกเขายอมตายเสียดีกว่าที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ และพวกเขาก็ไม่เล่าความจริงทั้งหมดให้ใครฟังทั้งสิ้น  บางคนกล่าวว่า “ฉันเคยกระทำผิดและทำเรื่องย่ำแย่บางอย่างมา และฉันก็รู้สึกค่อนข้างละอายใจที่จะเล่าเรื่องพวกนี้ให้คนอื่นฟังแบบต่อหน้า  อย่างไรเสีย เรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นสิ่งที่น่าละอาย  แต่ฉันไม่สามารถเก็บซ่อนหรือปิดบังเรื่องพวกนี้จากพระเจ้าได้  ฉันควรเล่าเรื่องพวกนี้ให้พระเจ้าฟังอย่างหมดเปลือกและเปิดอก  ฉันไม่กล้าเล่าความคิดหรือเรื่องส่วนตัวให้กับคนอื่นฟัง แต่ฉันต้องบอกพระเจ้า  ไม่ว่าฉันจะเก็บความลับจากใครอื่นก็ตาม ฉันก็ไม่อาจเก็บความลับจากพระเจ้าได้”  นี่คือท่าทีที่คนซื่อสัตย์มีต่อพระเจ้า  แต่คนหลอกลวงนั้นตั้งแง่กับทุกคน พวกเขาไม่ไว้ใจใคร และไม่พูดจาซื่อสัตย์กับใครทั้งสิ้น  พวกเขาไม่บอกความจริงทั้งหมดกับใคร และไม่มีผู้ใดสามารถรู้เรื่องเหล่านั้นได้  คนเหล่านี้เป็นคนหลอกลวงที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด  ทุกคนต่างมีอุปนิสัยหลอกลวง ความแตกต่างหนึ่งเดียวอยู่ที่ว่าอุปนิสัยนั้นร้ายแรงเพียงใด  แม้ว่าเจ้าอาจจะเปิดใจและสามัคคีธรรมปัญหาของเจ้าในการชุมนุม แต่นั่นหมายความว่าเจ้าไม่มีอุปนิสัยหลอกลวงอย่างนั้นหรือ?  ไม่ใช่ เจ้าก็มีอุปนิสัยดังกล่าวเช่นกัน  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  นี่คือตัวอย่าง เจ้าอาจจะเปิดอกสามัคคีธรรมถึงสิ่งทั้งหลายที่ไม่แตะต้องศักดิ์ศรีหรือความทะนงตนของเจ้า สิ่งที่ไม่ได้น่าละอายใจ และสิ่งที่จะไม่ทำให้เจ้าถูกตัดแต่งได้—แต่หากเจ้าได้ทำอะไรบางอย่างที่ละเมิดหลักธรรมความจริง บางอย่างที่ทุกคนจะเกลียดชังและขยะแขยง เจ้าจะสามารถสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านั้นอย่างเปิดอกในการชุมนุมได้หรือไม่?  และหากเจ้าทำอะไรบางอย่างที่ไม่อาจพูดได้ การที่เจ้าจะเปิดใจเผยความจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นย่อมจะยากยิ่งกว่าเดิม  หากมีใครมาตรวจสอบหรือพยายามที่จะหาคนผิดในเรื่องดังกล่าว เจ้าย่อมจะใช้ทุกวิธีการที่ทำได้เพื่อซ่อนมันไว้ อีกทั้งเจ้าจะหวาดกลัวว่าเรื่องนี้อาจถูกเปิดโปง  เจ้าจะพยายามปิดบังและพยายามหนีความผิดอยู่เสมอ  นี่คืออุปนิสัยหลอกลวงมิใช่หรือ?  เจ้าอาจจะเชื่อว่าหากเจ้าไม่พูดออกไปย่อมจะไม่มีใครรู้ และแม้แต่พระเจ้าก็จะไม่มีทางรู้เรื่องนั้นเสียด้วยซ้ำ  นั่นเป็นความเข้าใจผิด!  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจของผู้คน  หากเจ้าไม่สามารถรับรู้เรื่องนี้ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่รู้จักพระเจ้าเลย  คนหลอกลวงไม่เพียงแต่ใช้เล่ห์กับผู้อื่นเท่านั้น—พวกเขายังกล้าที่จะพยายามใช้เล่ห์กับพระเจ้าและใช้วิธีการอันหลอกลวงเพื่อต้านทานพระองค์เสียด้วยซ้ำ  ผู้คนเช่นนั้นจะสามารถบรรลุความรอดของพระเจ้าได้หรือ?  พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและบริสุทธิ์ อีกทั้งคนหลอกลวงก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจมากที่สุด  ดังนั้นแล้ว คนหลอกลวงจึงเป็นพวกที่บรรลุความรอดได้ยากที่สุด  ผู้คนที่มีธรรมชาติอันหลอกลวงเป็นคนที่โกหกมากที่สุด  พวกเขาจะถึงกับโกหกพระเจ้าและพยายามหลอกพระองค์ และพวกเขาก็เป็นพวกที่ดันทุรังไม่ยอมกลับใจ  สิ่งนี้หมายความว่า พวกเขาจะไม่สามารถบรรลุความรอดของพระเจ้าได้  หากใครบางคนเพียงแต่เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นครั้งคราว หากพวกเขาโกหกและหลอกผู้คนแต่เป็นทำตัวเรียบง่ายและเปิดใจต่อพระเจ้า อีกทั้งกลับใจต่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว คนประเภทนี้ก็ยังคงมีหวังที่จะบรรลุความรอด  หากเจ้าเป็นคนที่มีเหตุผลโดยแท้จริงเจ้าก็ควรเปิดใจต่อพระเจ้า พูดจากหัวใจกับพระองค์ รวมถึงทบทวนและรู้จักตนเอง  เจ้าไม่ควรโกหกพระเจ้าอีกต่อไป  ไม่ว่าในเวลาใดเจ้าก็ไม่ควรพยายามที่จะใช้เล่ห์กับพระองค์ ไม่ต้องพูดถึงการที่เจ้าพยายามจะซ่อนสิ่งใดจากพระองค์เลย  ข้อเท็จจริงก็คือ มีบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องรู้  เพราะฉะนั้นตราบเท่าที่เจ้าเปิดใจแก่พระเจ้าในเรื่องเหล่านั้น นั่นก็เป็นอันใช้ได้  เมื่อเจ้าทำสิ่งต่างๆ จงแน่ใจว่าเจ้าไม่ได้เก็บความลับไว้จากพระเจ้า  เจ้าสามารถพูดทุกอย่างที่ไม่เหมาะที่จะพูดกับผู้อื่นให้พระเจ้าฟังได้  บุคคลที่ทำเช่นนั้นคือคนที่ฉลาดปราดเปรื่อง  ถึงแม้จะมีบางสิ่งที่พวกเขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเปิดใจกับผู้อื่น สิ่งนี้ก็ไม่ควรเรียกว่าความหลอกลวง  คนหลอกลวงนั้นต่างออกไป พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาควรแอบซ่อนทุกสิ่ง เชื่อว่าพวกเขาไม่สามารถพูดอะไรกับใครได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องส่วนตัว  หากการพูดอะไรบางสิ่งออกไปไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาก็จะไม่พูด แม้แต่กับพระเจ้าก็ตาม  นี่มิใช่อุปนิสัยหลอกลวงหรอกหรือ?  คนเช่นนั้นคือคนหลอกลวงโดยแท้จริง!  หากใครบางคนหลอกลวงมากเสียจนไม่บอกความจริงกับพระเจ้า อีกทั้งเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับจากพระเจ้า พวกเขาจะยังเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าอยู่หรือ?  พวกเขามีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  พวกเขาคือคนที่กังขาในพระเจ้า และในหัวใจของพวกเขาก็ไม่ได้เชื่อในพระองค์  แล้วความเชื่อของพวกเขาไม่เป็นเท็จหรอกหรือ?  พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ คือผู้เชื่อเทียมเท็จ  พวกเจ้าก็มีช่วงเวลาที่กังขาในพระเจ้าและตั้งแง่กับพระองค์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  การกังขาในพระเจ้าและตั้งแง่กับพระองค์คืออุปนิสัยประเภทใด?  นี่คืออุปนิสัยหลอกลวง  คนทุกคนต่างมีอุปนิสัยหลอกลวง การนี้เป็นเพียงเรื่องของความร้ายแรงเท่านั้น  เพราะฉะนั้นตราบเท่าที่เจ้าสามารถยอมรับความจริงได้ เจ้าก็ย่อมจะสัมฤทธิ์การกลับใจและความเปลี่ยนแปลงได้

สำหรับบางคนแล้ว เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา พวกเขามีแนวคิดและมโนคติอันหลงผิด พวกเขามีอคติเกี่ยวกับผู้อื่น ทั้งยังตัดสินและบ่อนทำลายคนเหล่านั้นลับหลัง  พวกเขาสามารถทบทวนตนเองและเปิดใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อพวกเขาทำอะไรบางอย่างที่น่าละอายใจ พวกเขาก็ต้องการจะเก็บเอาไว้กับตัว และปิดเรื่องนั้นไว้ในหัวใจตลอดกาล  พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่พูดเรื่องเหล่านี้กับคนอื่นเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่พูดเรื่องเหล่านี้กับพระเจ้าในยามที่อธิษฐานด้วย  พวกเขาถึงกับพยายามทุกวิถีทางเพื่อกุเรื่องเท็จขึ้นมาปกปิดหรืออำพรางเรื่องเหล่านี้  นี่คืออุปนิสัยหลอกลวง  เมื่อเจ้ามีความคิดเช่นนั้น เมื่อเจ้าดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนั้น เจ้าก็ควรทบทวนตนเอง รวมถึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเจ้าไม่ใช่คนซื่อสัตย์ เห็นว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงอธิบายถึงการเป็นคนซื่อสัตย์นั้นไม่ปรากฏในตัวเจ้าเลย เห็นว่าเจ้าเป็นคนหลอกลวงโดยแท้ และแม้ว่าเจ้าจะเป็นคนเขลา มีขีดความสามารถย่ำแย่ และเป็นคนทึ่ม เจ้าก็ยังเป็นใครบางคนที่หลอกลวง  นี่คือความหมายของการรู้จักตนเอง  สิ่งที่เจ้าควรจะสัมฤทธิ์ได้จากการรู้จักตนเอง อย่างน้อยที่สุดคือการสามารถมองเห็นและหยั่งรู้ได้โดยชัดเจนถึงความเสื่อมทรามอันชัดแจ้งที่เจ้าเผยออกมา รวมถึงการสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งนี้  หากเจ้ารู้จักอุปนิสัยอันหลอกลวงของตนเองอย่างแท้จริง เจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าให้บ่อย ทบทวนตนเอง หยั่งรู้และชำแหละอุปนิสัยหลอกลวงของเจ้าตามพระวจนะของพระเจ้า และรู้ถึงแก่นแท้ของอุปนิสัยนั้น แล้วจากนั้น เจ้าย่อมจะมีหวังที่จะสลัดทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในแง่ของความหลอกลวงไปได้  คนบางคนไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าคนหลอกลวงกับคนซื่อสัตย์แตกต่างกันอย่างไร—ซึ่งหมายความว่า พวกเขามีขีดความสามารถที่ย่ำแย่เกินไป  บางคนมักจะใช้ขีดความสามารถที่ย่ำแย่ของพวกเขา ใช้ความโง่เขลา ไม่รู้ความ การขาดพร่องความรู้เชิงลึก การพูดจาตะกุกตะกัก การไร้ซึ่งทักษะทางสังคม และแนวโน้มในการถูกโกงมาเป็นหลักฐานของความซื่อสัตย์  พวกเขาบอกผู้อื่นอยู่เสมอว่า “ฉันเป็นคนซื่อสัตย์เกินไป ผลคือฉันมักจะได้รับสิ่งที่แย่ที่สุดอยู่ประจำ ฉันไม่รู้ว่าจะฉวยโอกาสจากผู้อื่นอย่างไร—แต่พระเจ้าก็ทรงโปรดปรานในตัวฉันเพราะฉันเป็นคนซื่อสัตย์”  คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  คำพูดดังกล่าวนั้นไร้สาระ เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด ทั้งยังเป็นสิ่งที่ไร้ยางอายและไร้ความละอายใจ  คนที่โง่เขลาและหัวทึบจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ได้อย่างไร?  สิ่งเหล่านี้เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน  การปฏิบัติต่อสิ่งโง่เง่าที่เจ้าเคยกระทำมาว่าเป็นความซื่อสัตย์คือความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่  ทุกคนล้วนเห็นได้ว่าแม้กระทั่งคนโง่ก็มีแนวโน้มที่จะทำตัวโอหังและทะนงตน รวมถึงคิดยกย่องตัวเอง  ไม่ว่าผู้คนจะไม่รู้ความและขาดพร่องขีดความสามารถเพียงไร พวกเขาก็ยังโกหกและหลอกลวงผู้อื่นได้  ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  คนที่โง่เขลาและคนที่มีขีดความสามารถย่ำแย่ไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายจริงหรือ?  พวกเขาไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามจริงหรือ?  พวกเขามีสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน  คนบางคนก็กล่าวว่าพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์และเปิดใจเกี่ยวกับคำโกหกของตัวเองกับผู้อื่น แต่พวกเขาไม่กล้าเปิดใจเกี่ยวกับเรื่องน่าละอายใจที่พวกเขาทำ  เมื่อคริสตจักรจัดการพวกเขาเพราะปัญหาต่างๆ พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับได้และไม่นบนอบแม้แต่น้อย กลับเลือกที่จะสอดส่องอยู่เบื้องหลังและค่อยๆ สกัดความจริงออกไป  คนหลอกหลวงประเภทนี้ไม่ยอมรับความจริงเลย ทั้งยังไม่นบนอบสิ่งใดทั้งสิ้น แต่พวกเขาก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์  นี่คือความไร้ยางอายโดยสิ้นเชิงของพวกเขามิใช่หรือ?  นี่คือความโง่เขลาอย่างที่สุด  คนประเภทนี้ไม่ใช่คนซื่อสัตย์โดยเด็ดขาด และพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ไร้เล่ห์มารยา  คนทึ่มก็คือคนทึ่ม คนโง่เขลาก็คือคนโง่เขลา  มีเพียงคนไร้เล่ห์มารยาที่ไม่หลอกลวงเท่านั้นที่เป็นคนซื่อสัตย์

คนเราจะหยั่งรู้ถึงพวกคนหลอกลวงได้อย่างไร?  สิ่งใดคือพฤติกรรมของคนหลอกลวง?  ไม่ว่าพวกเขาร่วมงานหรือคบค้าสมาคมกับผู้ใด พวกเขาก็ไม่เคยอนุญาตให้ใครมาตรวจสอบว่าอันที่จริงเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา พวกเขาระวังตัวจากผู้อื่นอยู่เสมอ พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายลับหลังผู้คนอยู่เป็นนิจ และไม่เคยพูดสิ่งที่คิดอยู่จริงเลย  บางครั้งพวกเขาอาจจะพูดถึงการรู้จักตนเองบ้าง ทว่าพวกเขาไม่เคยเอ่ยถึงจุดที่สำคัญอย่างยิ่งยวดหรือคำที่เป็นกุญแจสำคัญเลย ทั้งยังกลัวว่าจะหลุดพูดอะไรบางอย่างออกไป  พวกเขาอ่อนไหวต่อเรื่องพวกนี้มาก ด้วยกลัวว่าผู้อื่นอาจจะจับจุดอ่อนของพวกเขาได้  นี่เป็นอุปนิสัยหลอกลวงประเภทหนึ่ง  นอกจากนี้ คนบางคนยังจงใจที่จะสร้างภาพเพื่อให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาเป็นคนไร้เล่ห์มารยา พวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ได้และไม่พร่ำบ่น หรือทำให้คิดว่าพวกเขาเป็นคนฝ่ายวิญญาณและเป็นคนที่รักและไล่ตามเสาะหาความจริง  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่คนประเภทนี้ แต่พวกเขาก็ยืนกรานที่จะแสร้งทำเช่นนี้ต่อผู้อื่น  นี่ก็เป็นอุปนิสัยหลอกลวงเช่นเดียวกัน  ทุกอย่างที่คนหลอกลวงพูดและทำล้วนมีเจตนาอยู่เบื้องหลัง  หากพวกเขาไม่มีเจตนาอยู่เลย พวกเขาย่อมจะไม่พูดหรือทำ  ในตัวของพวกเขามีอุปนิสัยที่คอยควบคุมพวกเขาให้ทำเช่นนี้อยู่ และสิ่งนั้นคืออุปนิสัยหลอกลวงนั่นเอง  เมื่อผู้คนมีอุปนิสัยหลอกลวง การนั้นจะเปลี่ยนแปลงได้โดยง่ายดายหรือ?  พวกเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนแล้ว?  พวกเจ้าก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความซื่อสัตย์แล้วหรือยัง?  (ใช่ นี่คือทิศทางที่พวกเรากำลังมุ่งไปสู่)  พวกเจ้าก้าวเดินไปแล้วกี่ก้าว?  หรือเจ้ายังคงติดอยู่ในช่วงระยะที่ต้องการทำเช่นนั้นเล่า?  (นี่ยังเป็นเพียงบางสิ่งที่พวกเราต้องการจะทำ  บางครั้งพวกเราได้ทำอะไรบางอย่างลงไป แล้วจึงจะตระหนักว่าสิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับความหลอกลวง ตระหนักว่าพวกเราพยายามที่จะสร้างความประทับใจผิดๆ ต่อผู้คน เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเราจึงตระหนักได้ว่ากำลังทำตัวหลอกลวงอยู่)  เจ้าตระหนักว่านี่คือการทำตัวหลอกลวง—แต่เจ้าสามารถตระหนักได้หรือไม่ว่านี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทหนึ่ง?  แล้วสิ่งทั้งหลายอันหลอกลวงนี้มาจากไหนหรือ?  (มาจากธรรมชาติของพวกเรา)  ถูกต้อง มาจากธรรมชาติของพวกเจ้า  แล้วสิ่งอันเสื่อมทรามเหล่านี้รบกวนพวกเจ้าหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก จัดการได้ยาก และหนีพ้นได้ยาก—ทั้งยังเป็นปัญหาอย่างมากด้วยเช่นกัน  อะไรทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาหรือ?  อะไรทำให้สิ่งเหล่านี้สร้างความเจ็บปวดแก่เจ้า?  (พวกเราต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อไม่สามารถทำได้พวกเราก็รู้สึกเจ็บปวดมาก)  นั่นคือแง่มุมหนึ่ง แต่ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นปัญหา  เมื่อคนคนหนึ่งถูกอุปนิสัยหลอกลวงควบคุม พวกเขาก็สามารถโกหกและเล่นไม่ซื่อกับผู้อื่นได้ทุกที่ทุกเวลา และไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็จะหาวิธีโกหกเพื่อเล่นไม่ซื่อและชักพาผู้คนให้หลงผิด  ต่อให้พวกเขาต้องการควบคุมตัวเองพวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว  ปัญหาอยู่ในตรงนี้เอง  นี่คือปัญหาทางอุปนิสัย  อุปนิสัยหลอกลวงสามารถเผยตัวออกมาได้กี่วิธี?  ในการทดสอบ การหลอกลวง การระมัดระวังตัว รวมไปถึงความเคลือบแคลงสงสัย การเสแสร้ง และความหน้าซื่อใจคดนั่นเอง  อุปนิสัยที่เปิดโปงและสำแดงผ่านพฤติกรรมเหล่านั้นคือความหลอกลวง  หลังจากสามัคคีธรรมหัวข้อเหล่านี้แล้ว พวกเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยหลอกลวงที่ชัดเจนขึ้นหรือไม่?  ยังมีพวกเจ้าคนใดหรือไม่ที่กล่าวว่า “ฉันไม่มีอุปนิสัยหลอกลวง ฉันไม่ใช่คนหลอกลวง ฉันเกือบจะเป็นคนซื่อสัตย์แล้ว”?  (ไม่มี)  มีคนมากมายที่ไม่ค่อยเข้าใจว่าคนซื่อสัตย์คืออะไรกันแน่  บางคนกล่าวว่า คนซื่อสัตย์คือคนที่ไร้เล่ห์มารยาและตรงไปตรงมา คนที่ถูกกลั่นแกล้งและถูกกีดกันไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด หรือคนที่เชื่องช้าและมักจะพูดและทำช้ากว่าผู้อื่นอยู่ครึ่งจังหวะเสมอ  คนบางคนที่เป็นพวกโง่เขลาและไม่รู้ความ คนที่ทำเรื่องงี่เง่าจนผู้อื่นดูถูกต่างก็อธิบายว่าพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์เช่นกัน  อีกทั้งบรรดาคนที่ไร้การศึกษาจากชนชั้นล่างของสังคม คนที่รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยก็กล่าวว่าพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์เช่นเดียวกัน  ความผิดพลาดของคนเหล่านี้อยู่ที่ใด?  พวกเขาไม่รู้ว่าคนซื่อสัตย์คืออะไร  ความเข้าใจผิดของพวกเขามีต้นตอมาจากสิ่งใดหรือ?  สาเหตุหลักก็คือพวกเขาไม่เข้าใจความจริง  พวกเขาเชื่อว่า “คนซื่อสัตย์” ที่พระเจ้าตรัสถึงคือพวกคนโง่เขลาและคนงี่เง่า คนที่ไร้การศึกษา คนที่พูดจาตะกุกตะกัก คนที่ถูกกลั่นแกล้งและกดขี่ รวมถึงคนที่หลงกลและถูกหลอกได้ง่าย  นัยยะของการนี้คือ เป้าหมายแห่งความรอดของพระเจ้าคือบรรดาพวกไร้สมองที่อยู่จุดต่ำสุดของสังคมซึ่งมักจะถูกผู้อื่นข่มเหงรังแกอยู่ตลอดนั่นเอง  หากไม่ใช่คนที่ต่ำต้อยและน่าเวทนาเหล่านี้ ใครคือคนที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอดกันเล่า?  นี่คือสิ่งที่พวกเขาเชื่อมิใช่หรือ?  คนเหล่านั้นคือคนที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอดจริงหรือ?  นี่เป็นการตีความเจตนารมณ์ของพระเจ้าแบบผิดๆ  คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดคือคนที่รักความจริง คนที่มีขีดความสามารถและความสามารถในการทำความเข้าใจ พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีมโนธรรมและเหตุผล เป็นคนที่สามารถทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วงและทำหน้าที่ของตนเองได้ดี  พวกเขาคือคนที่สามารถยอมรับความจริงและทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้ อีกทั้งเป็นคนที่รักพระเจ้า นบนอบพระเจ้า และนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง  ถึงแม้ว่าในบรรดาคนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมาจากชนชั้นล่างของสังคม มาจากครอบครัวของชนชั้นแรงงานและชาวนา แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่เลอะเลือน คนที่โง่เขลา หรือคนที่ไร้ประโยชน์  ในทางกลับกัน พวกเขาเป็นคนฉลาดหลักแหลมที่สามารถยอมรับ ปฏิบัติและนบนอบความจริงได้  พวกเขาล้วนเป็นคนยุติธรรม คนที่จะละทิ้งความรุ่งโรจน์และความร่ำรวยในทางโลกเพื่อติดตามพระเจ้าและได้รับความจริงและชีวิต—พวกเขาคือคนที่มีปัญญามากที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด  พวกเขาล้วนเป็นคนซื่อสัตย์ที่เชื่อในพระเจ้าและสละตนเพื่อพระองค์อย่างแท้จริง  พวกเขาย่อมได้รับความเห็นชอบและพรจากพระเจ้า อีกทั้งได้รับการทำให้เพียบพร้อมเพื่อกลายเป็นประชากรของพระองค์และเป็นเสาหลักแห่งวิหารของพระองค์  พวกเขาคือคนที่เป็นดั่งเงิน ทอง และเพชรนิลจินดาอันล้ำค่า  ส่วนคนที่เลอะเลือน โง่เขลา ไร้สาระ และไม่มีประโยชน์คือคนที่จะถูกกำจัดออกไป  พวกผู้ไม่เชื่อและพวกคนไร้สาระมองพระราชกิจและแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าว่าอย่างไร?  ว่าเป็นที่ทิ้งขยะมิใช่หรือ?  คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีขีดความสามารถที่ย่ำแย่เท่านั้น พวกเขายังไร้สาระอีกด้วย  ไม่ว่าพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ และไม่ว่าพวกเขาฟังคำเทศนามากเท่าไร พวกเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะเข้าสู่ความเป็นจริง—หากพวกเขาโง่เขลาถึงเพียงนี้ พวกเขาจะยังถูกช่วยให้รอดได้อีกหรือ?  พระเจ้าจะทรงต้องการคนประเภทนี้หรือไม่?  ไม่ว่าพวกเขาเป็นผู้เชื่อมาแล้วกี่ปี พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจความจริงแม้แต่ประการเดียว ทั้งยังพูดจาไร้สาระ แต่พวกเขากลับยังถือว่าตนเองเป็นคนซื่อสัตย์—คนพวกนี้ไม่มีความละอายใจเลยหรือ?  ผู้คนเช่นนั้นไม่เข้าใจความจริง  พวกเขาตีความเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิดอยู่เสมอ แต่ไม่ว่าไปที่ใด พวกเขาก็พูดพร่ำแต่สิ่งที่พวกเขาตีความผิด ประกาศสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นความจริงและบอกผู้คนว่า “การถูกกลั่นแกล้งเล็กน้อยเป็นเรื่องที่ดี ผู้คนควรจะยอมสูญเสียบ้าง พวกเขาควรจะโง่เขลาสักเล็กน้อย—เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเป้าหมายแห่งความรอดของพระเจ้า และพวกเขาก็คือคนที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด”  คนที่พูดจาเช่นนั้นช่างน่ารังเกียจ นี่สร้างความเสื่อมเสียให้พระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง!  ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน!  เสาหลักแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าและผู้ชนะที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดล้วนเป็นคนที่เข้าใจความจริงและเป็นคนมีปัญญา  คนเหล่านี้ย่อมจะมีที่ทางอยู่ในราชอาณาจักรสวรรค์  ส่วนบรรดาคนที่โง่เขลาและไม่รู้ความ ไร้ยางอายและไร้สำนึก คนที่ไม่เข้าใจความจริงเลยแม้แต่น้อย รวมถึงคนที่เซ่อซ่าและคนทึ่ม—พวกเขาล้วนเป็นคนที่ไร้ประโยชน์มิใช่หรือ?  ผู้คนเช่นนั้นจะมีที่ทางในราชอาณาจักรสวรรค์ได้อย่างไร?  คนซื่อสัตย์ที่พระเจ้าตรัสถึงคือคนที่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้เมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงนั้น คนที่ฉลาดและมีปัญญา คนที่เปิดใจต่อพระเจ้าได้อย่างเรียบง่าย รวมถึงคนที่ปฏิบัติตนตามหลักธรรมและนบนอบพระเจ้าโดยสมบูรณ์  คนเหล่านี้ล้วนมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขามุ่งที่การทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรม และต่างไล่ตามเสาะหาการนบนอบพระเจ้าและรักพระเจ้าโดยสมบูรณ์ในหัวใจ  มีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นคนซื่อสัตย์โดยแท้จริง  หากใครบางคนไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าการเป็นคนซื่อสัตย์หมายความว่าอย่างไร หากพวกเขาไม่สามารถเห็นได้ว่าแก่นแท้ของคนที่ซื่อสัตย์คือการนบนอบพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว หรือไม่สามารถเห็นได้ว่าคนซื่อสัตย์นั้นซื่อสัตย์เพราะพวกเขารักความจริง เพราะพวกเขารักพระเจ้า และเพราะพวกเขาปฏิบัติความจริง—เช่นนั้นแล้ว คนประเภทนั้นก็แสนโง่เขลา ทั้งยังขาดพร่องวิจารณญาณโดยแท้จริง  แน่นอนว่าคนซื่อสัตย์ไม่ใช่คนที่ไร้เล่ห์มารยา เลอะเลือน ไม่รู้ความ และโง่เขลาตามที่ผู้คนคิดฝัน พวกเขาคือคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เป็นคนที่มีมโนธรรมและเหตุผล  สิ่งที่ปราดเปรื่องเกี่ยวกับคนซื่อสัตย์คือพวกเขาสามารถเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าและทำตัวซื่อสัตย์ได้ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาได้รับการทรงอวยพรจากพระเจ้า

ไม่มีสิ่งใดที่มีนัยยะสำคัญยิ่งใหญ่ไปกว่าการที่พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนทำตัวซื่อสัตย์—พระองค์ทรงขอให้ผู้คนดำเนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ทรงขอให้พวกเขายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ และขอให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง  มีเพียงคนซื่อสัตย์เท่านั้นที่เป็นสมาชิกที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์มนุษย์  คนที่ไม่ซื่อสัตย์คือสัตว์ร้าย พวกเขาคือสัตว์ที่เดินไปมาในเครื่องนุ่งห่มของมนุษย์ คนพวกนั้นไม่ใช่มนุษย์  ในการเสาะแสวงที่จะเป็นคนซื่อสัตย์นั้น เจ้าต้องประพฤติปฏิบัติตนตามข้อกำหนดของพระเจ้า เจ้าต้องก้าวผ่านการพิพากษา  การตีสอน และการตัดแต่ง  เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงและดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์  คนที่ไม่รู้ความ โง่เขลา และไร้เล่ห์มารยาไม่ใช่คนซื่อสัตย์อย่างแน่นอน  ในการเรียกร้องให้ผู้คนทำตัวซื่อสัตย์นั้นพระเจ้าทรงขอให้พวกเขาครองความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ทิ้งความหลอกลวงและการจำแลงตน ไม่โกหกหรือใช้เล่ห์กับผู้อื่น ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยการอุทิศตน รวมถึงสามารถรักและนบนอบพระองค์ได้อย่างแท้จริง  มีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นประชากรแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า  พระเจ้าทรงเรียกร้องให้ผู้คนเป็นทหารที่ดีของพระคริสต์  ทหารที่ดีของพระคริสต์คืออะไร?  พวกเขาต้องพร้อมด้วยความเป็นจริงความจริง อีกทั้งมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์  ไม่ว่าเมื่อไรและไม่ว่าที่ใดพวกเขาก็ต้องสามารถยกชูและเป็นคำพยานให้พระเจ้าได้ รวมถึงสามารถใช้ความจริงเพื่อทำสงครามกับซาตานได้  พวกเขาต้องยืนอยู่ข้างพระเจ้า เป็นพยาน และดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงความจริงในทุกสรรพสิ่ง  พวกเขาต้องสามารถทำให้ซาตานอับอายและนำชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มาสู่พระเจ้าได้  นั่นคือความหมายของการเป็นทหารที่ดีของพระคริสต์  ทหารที่ดีของพระคริสต์คือผู้ชนะ พวกเขาคือคนที่เอาชนะซาตานได้  ในการมีพระประสงค์ให้ผู้คนทำตัวซื่อสัตย์และไม่หลอกลวงนั้น พระเจ้าไม่ทรงร้องขอให้พวกเขาเป็นคนโง่เขลา แต่ทรงขอให้พวกเขาทิ้งอุปนิสัยหลอกลวง สัมฤทธิ์การนบนอบพระองค์และนำพระสิริมาสู่พระองค์  นี่คือสิ่งที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยการปฏิบัติความจริง  นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของคนคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องของการพูดให้มากขึ้นหรือพูดให้น้อยลง อีกทั้งไม่เกี่ยวกับว่าคนคนหนึ่งปฏิบัติตนอย่างไร  ในทางกลับกัน สิ่งนี้เกี่ยวกับเจตนาที่อยู่เบื้องหลังคำพูดและการกระทำของคนเรา ความคิดและแนวคิดของคนเรา รวมถึงความทะเยอทะยานและความอยากของคนเรา  ทุกสิ่งที่เป็นการเผยถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและข้อผิดพลาดนั้นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงที่ต้นตอเพื่อให้สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับความจริง  หากคนเราจะสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย พวกเขาต้องสามารถมองทะลุไปถึงแก่นแท้แห่งอุปนิสัยของซาตานได้  หากเจ้าสามารถมองทะลุไปถึงแก่นแท้ของอุปนิสัยหลอกลวงได้ว่านี่คืออุปนิสัยของซาตานและเป็นโฉมหน้าของหมู่มาร หากเจ้าสามารถเกลียดชังซาตานและละทิ้งหมู่มารได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเจ้าเองได้โดยง่าย  หากเจ้าไม่รู้ว่าในตัวเจ้ามีสภาวะที่หลอกลวง หากเจ้าไม่รู้ถึงการเผยอุปนิสัยอันหลอกลวง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะไม่รู้ว่าจะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร และการที่เจ้าจะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยหลอกลวงของเจ้านั้นก็จะเป็นเรื่องยาก  เจ้าต้องรู้ถึงสิ่งเผยอยู่ในตัวเจ้าเสียก่อน และรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในแง่มุมใด  หากสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเผยออกมาเป็นของอุปนิสัยหลอกลวง เจ้าจะเกลียดสิ่งนั้นในหัวใจของเจ้าหรือไม่?  และหากเจ้าเกลียด เจ้าควรจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร?  เจ้าต้องตัดแต่งเจตนาและแก้ไขทัศนะของเจ้าให้ถูกต้อง  ก่อนอื่นเจ้าต้องแสวงหาความจริงในเรื่องนี้เพื่อแก้ไขปัญหาของเจ้า เพียรพยายามที่จะสัมฤทธิ์สิ่งที่พระเจ้าทรงร้องขอและทำให้พระองค์พอพระทัย และกลายเป็นคนที่ไม่พยายามใช้เล่ห์กับพระเจ้าหรือกับผู้อื่น แม้ว่าคนเหล่านั้นจะโง่เขลาหรือไม่รู้ความอยู่บ้างก็ตาม  การพยายามใช้เล่ห์กับคนที่โง่เขลาหรือไม่รู้ความนั้นไร้ศีลธรรมอย่างมาก—สิ่งนั้นย่อมทำให้เจ้ากลายเป็นมาร  การจะเป็นคนซื่อสัตย์นั้น เจ้าต้องไม่โกหกหรือใช้เล่ห์กับใคร  อย่างไรก็ตาม สำหรับหมู่มารและเหล่าซาตานเจ้าต้องฉลาดในการเลือกคำพูด หากไม่ทำเช่นนั้น เจ้าย่อมหมิ่นเหม่ที่จะถูกพวกมันหลอกและทำให้พระเจ้าทรงอับอายได้  มีเพียงการเลือกคำพูดอย่างชาญฉลาดและการปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่จะทำให้เจ้ากลายเป็นผู้ชนะและทำให้ซาตานอับอายได้  คนที่ไม่รู้ความ โง่เขลา และดื้อรั้นย่อมจะไม่มีทางสามารถเข้าใจความจริง พวกเขาทำได้เพียงถูกซาตานชักพาให้หลงผิด หลอกใช้ และเหยียบย่ำ และท้ายที่สุดก็ถูกกลืนกินไปเท่านั้น

ต่อไปพวกเรามาพูดถึงอุปนิสัยประเภทที่สี่กันเถิด  ระหว่างการชุมนุม คนบางคนสามารถสามัคคีธรรมสภาวะของพวกเขาเองได้เล็กน้อย แต่เมื่อเป็นเรื่องแก่นแท้ของประเด็นปัญหา รวมถึงแนวคิดและแรงจูงใจส่วนตัว พวกเขาก็เริ่มหลีกเลี่ยง  เมื่อผู้คนเปิดโปงว่าพวกเขามีเหตุจูงใจและจุดมุ่งหมาย พวกเขาก็ดูเหมือนพยักหน้ายอมรับเรื่องนั้น  แต่เมื่อผู้คนพยายามเปิดโปงหรือชำแหละบางสิ่งอย่างดิ่งลึกมากขึ้น  พวกเขาก็รับไม่ได้ และลุกขึ้นออกจากการชุมนุมไป  เหตุใดพวกเขาจึงหลบออกไปในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งยวดเช่นนั้น?  (พวกเขาไม่ยอมรับความจริงและไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาของตนเอง)  นี่คือปัญหาทางอุปนิสัย  เมื่อพวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีในตัวเอง สิ่งนี้หมายความว่าพวกเขารังเกียจความจริงมิใช่หรือ?  เหล่าผู้นำและคนทำงานเต็มใจที่จะฟังคำเทศนาประเภทใดน้อยที่สุด?  (คำเทศนาถึงวิธีหยั่งรู้ศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จ)  ถูกต้อง  พวกเขาคิดว่า “การเทศนาเรื่องการชี้ตัวศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จกับการพูดถึงฟาริสีทั้งหมดนี้—คุณจะพูดเรื่องพวกนี้ไปทำไมนัก?  คุณกำลังทำให้ฉันเครียด”  เมื่อได้ยินว่าจะมีการเทศนาเรื่องการชี้ตัวเหล่าผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จ พวกเขาก็หาข้อแก้ตัวที่จะออกไป  คำว่า “ออกไป” ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  คำนี้หมายถึงการหลบลี้หนีหน้าและการซ่อนตัวนั่นเอง  เหตุใดพวกเขาจึงพยายามที่จะซ่อนตัว?  ในยามที่ผู้อื่นพูดข้อเท็จจริงเจ้าก็ควรฟัง เพราะการฟังนั้นดีต่อตัวเจ้า  จงจดบันทึกสิ่งทั้งหลายที่กร้าวกระด้างหรือสิ่งที่เจ้ามองว่ายากที่จะยอมรับ จากนั้นแล้วเจ้าก็ควรไตร่ตรองถึงสิ่งเหล่านี้ให้บ่อย ค่อยๆ เปิดใจรับ แล้วเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย  แล้วเหตุใดจึงซ่อนตัว?  ผู้คนเช่นนั้นรู้สึกว่า คำตัดสินเหล่านี้รุนแรงเกินไปและเป็นสิ่งที่ทนฟังได้ยาก เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเกิดการขืนต้านและความเกลียดชังขึ้นในใจ  พวกเขากล่าวกับตัวเองว่า “ฉันไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์หรือผู้นำเทียมเท็จ—ทำไมเอาแต่พูดถึงฉันอยู่นั่น?  ทำไมไม่พูดถึงคนอื่นบ้าง?  พูดถึงสิ่งที่เป็นการชี้ตัวคนชั่วสิ อย่าพูดถึงฉัน!”  พวกเขาเริ่มหลบเลี่ยงและทำตัวต่อต้าน  อุปนิสัยเช่นนี้คืออะไรหรือ?  หากพวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริง ทั้งยังหาเหตุผลและโต้แย้งเพื่อปกป้องตนเองอยู่เสมอ ในการนี้ย่อมมีปัญหาเรื่องของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่มิใช่หรือ?  นี่คืออุปนิสัยของการรังเกียจความจริง  เหล่าผู้นำและคนทำงานมีสภาวะประเภทนี้ แล้วพี่น้องชายหญิงธรรมดาเล่า?  (พวกเขาก็มีสภาวะนี้เช่นกัน)  ตอนที่ทุกคนเจอกันเป็นครั้งแรก พวกเขาล้วนแสนเปี่ยมรักและค่อนข้างมีความสุขที่ได้เอ่ยถึงคำพูดและคำสอนเป็นนกแก้วนกขุนทอง  ทุกคนต่างดูเหมือนรักความจริง  แต่เมื่อเป็นเรื่องของปัญหาส่วนตัวและความยากลำบากที่แท้จริง ผู้คนมากมายก็กลับน้ำท่วมปาก  ตัวอย่างเช่น บางคนถูกการแต่งงานจำกัดอยู่เป็นนิจ  พวกเขาเริ่มไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่หรือไล่ตามเสาะหาความจริง และการแต่งงานก็กลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดและเป็นเครื่องถ่วงที่หนักหนาที่สุดของพวกเขา  เมื่อทุกคนสามัคคีธรรมถึงสภาวะนี้ในการชุมนุม พวกเขาก็นำเอาคำสามัคคีธรรมของผู้อื่นมาเปรียบเทียบกับตัวเอง และรู้สึกว่าผู้อื่นกำลังพูดถึงพวกเขาอยู่  พวกเขากล่าวว่า “ฉันไม่มีปัญหากับการที่พวกคุณสามัคคีธรรมความจริง แต่ทำไมต้องพูดถึงฉันขึ้นมา?  พวกคุณไม่มีปัญหากันบ้างหรือ?  ทำไมพูดถึงฉันแค่คนเดียวล่ะ?”  นี่คืออุปนิสัยใด?  เมื่อเจ้าชุมนุมกันเพื่อสามัคคีธรรมความจริง เจ้าก็ต้องชำแหละประเด็นปัญหาที่แท้จริงและอนุญาตให้ทุกคนพูดถึงความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถรู้จักตนเองและแก้ไขปัญหาของเจ้าได้  ทว่าเหตุใดผู้คนถึงไม่สามารถยอมรับการนี้ได้?  อุปนิสัยของการที่ผู้คนไม่สามารถยอมรับการถูกตัดแต่ง และไม่สามารถยอมรับความจริงได้คืออะไร?  เจ้าควรหยั่งรู้เรื่องนี้ให้ชัดเจนมิใช่หรือ?  ทั้งหมดนี้คือการสำแดงถึงการรังเกียจความจริง—นี่คือแก่นแท้ของปัญหา  เมื่อผู้คนรังเกียจความจริง ก็ย่อมยากมากที่พวกเขาจะยอมรับความจริง—และหากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้ ปัญหาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะสามารถแก้ไขได้หรือ?  (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นคนที่เป็นเช่นนี้ คนที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้—พวกเขาจะสามารถได้รับความจริงอย่างนั้นหรือ?  พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าหรือ?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  คนที่ไม่ยอมรับความจริงนั้นเชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงหรือ?  แน่นอนว่าไม่ใช่  แง่มุมที่สำคัญที่สุดของคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงคือการสามารถยอมรับความจริงได้  ผู้คนที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้ย่อมไม่ได้เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงอย่างแน่นอน  แล้วผู้คนเช่นนั้นจะสามารถนั่งเฉยในระหว่างเทศนาได้หรือ?  พวกเขาจะได้รับอะไรบ้างหรือไม่?  ไม่ได้  สิ่งนี้เป็นเพราะคำเทศนาเปิดโปงสภาวะอันเสื่อมทรามนานาประการของผู้คน  ผู้คนได้รับความรู้ผ่านการชำแหละจากพระวจนะของพระเจ้า แล้วจากนั้นพวกเขาก็ได้รับเส้นทางในการปฏิบัติผ่านการสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมของการปฏิบัติ และหนทางนี้ย่อมนำมาซึ่งผลสัมฤทธิ์  เมื่อผู้คนเช่นนั้นได้ยินว่าสภาวะที่เปิดโปงอยู่เกี่ยวข้องกับพวกเขา—เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาของพวกเขาเอง—ความอับอายขายหน้าก็พาลให้พวกเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และพวกเขาก็อาจจะถึงขั้นลุกออกจากการชุมนุมไปเสียด้วยซ้ำ  ต่อให้พวกเขาไม่ออกจากการชุมนุม พวกเขาก็อาจจะเริ่มรู้สึกว่าไม่ถูกต้องและแค้นเคืองอยู่ในใจ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการที่พวกเขาเข้าชุมนุมหรือฟังคำเทศนาก็ย่อมเปล่าประโยชน์  เป้าหมายของการฟังคำเทศนาคือการเข้าใจความจริงและแก้ไขปัญหาจริงของพวกเราเองมิใช่หรือ?  หากเจ้ากลัวว่าปัญหาของตัวเจ้าจะถูกเปิดโปงอยู่เสมอ หากเจ้ากลัวการถูกกล่าวถึงอยู่เป็นนิจ เจ้าจะเชื่อในพระเจ้าไปทำไมเล่า?  หากในความเชื่อนั้นเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงได้ เจ้าก็ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  หากเจ้ากลัวการถูกเปิดโปงอยู่เสมอ เจ้าจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องความเสื่อมทรามของตนได้อย่างไร?  หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องความเสื่อมทรามของตนได้ เจ้าจะเชื่อในพระเจ้าไปเพื่ออะไรเล่า?  จุดประสงค์ของความเชื่อในพระเจ้าคือการยอมรับความรอดของพระเจ้า ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง ทั้งหมดนี้สัมฤทธิ์ได้ด้วยการยอมรับความจริง  หากเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงเลย หรือไม่แม้แต่จะยอมรับการถูกตัดแต่งหรือการถูกเปิดโปงได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางบรรลุความรอดของพระเจ้า  ดังนั้นจงบอกเราทีว่า ในคริสตจักรแต่ละแห่งมีคนที่ยอมรับความจริงได้อยู่กี่คน?  แล้วคนที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้นั้นมีอยู่มากหรือน้อย?  (มีอยู่มาก)  นี่คือสถานการณ์ที่เป็นอยู่จริงในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักร นี่คือปัญหาจริงใช่หรือไม่?  บรรดาผู้ที่ไม่สามารถยอมรับความจริงและไม่สามารถยอมรับการถูกตัดแต่งได้ล้วนแต่เป็นคนที่รังเกียจความจริง  การรังเกียจความจริงคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทหนึ่ง และหากอุปนิสัยนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  วันนี้ ผู้คนมากมายมีความยากลำบากในการยอมรับความจริง  สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใดเลย  ในการแก้ไขเรื่องนี้นั้น คนคนหนึ่งต้องมีประสบการณ์บางอย่างกับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงของพระเจ้า  แล้วพวกเจ้าคิดว่า เมื่อผู้คนไม่สามารถยอมรับการถูกตัดแต่ง เมื่อพวกเขาไม่สามารถนำพระวจนะของพระเจ้าหรือสภาวะที่ถูกเปิดโปงระหว่างเทศนามาเปรียบเทียบกับตนเองได้ อุปนิสัยนั้นคืออะไร?  (อุปนิสัยของการรังเกียจความจริง)  นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทที่สี่ การรังเกียจความจริงนั่นเอง  พวกเขารังเกียจเพียงใดหรือ?  (พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังคำเทศนา และไม่ปรารถนาที่จะสามัคคีธรรมความจริง)  สิ่งเหล่านี้เป็นการสำแดงที่เห็นได้ชัดที่สุด  ตัวอย่างเช่น เมื่อใครบางคนกล่าวว่า “คุณเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  คุณละวางครอบครัวและอาชีพการงานเพื่อมาปฏิบัติหน้าที่ แถมยังทนทุกข์มากมายและยอมลำบากอย่างหนักมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา  พระเจ้าทรงอวยพรผู้คนเช่นนั้น  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า บรรดาผู้ที่สละตนเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริงย่อมจะได้รับพรที่ยิ่งใหญ่”  เจ้าพูดว่าอาเมนและยอมรับความจริงดังกล่าว  อย่างไรก็ตาม เมื่อคนคนนั้นกล่าวต่อไปว่า “แต่คุณต้องเพียรพยายามเพื่อความจริงต่อไป!  หากผู้คนมีแรงจูงใจในสิ่งที่ทำอยู่เสมอ แถมยังกระทำการโดยไม่ยั้งคิดตามเจตนาของพวกเขาเองอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็วพวกเขาย่อมจะล่วงเกินพระเจ้าและทำให้พระองค์ทรงเกลียดชัง”  เมื่อพวกเขากล่าวเช่นนี้ เจ้าก็ไม่สามารถยอมรับได้  การได้ฟังความจริงที่ถูกสามัคคีธรรม นอกจากเจ้าจะไม่สามารถยอมรับความจริงนั้นได้แล้ว เจ้ายังเกิดความโกรธเคือง พลางโต้กลับอยู่ในใจว่า “พวกคุณสามัคคีธรรมความจริงกันทั้งวี่ทั้งวัน แต่ฉันไม่เห็นพวกคุณจะได้ไปสวรรค์กันสักคน”  นี่คืออุปนิสัยใดหรือ?  (การรังเกียจความจริง)  เมื่อการพูดเปลี่ยนเป็นการปฏิบัติ เมื่อผู้คนเอาจริงเอาจังกับเจ้า เจ้าย่อมแสดงออกซึ่งความไม่ชอบใจ ความหมดความอดกลั้น และความต้านทานอย่างที่สุด  นี่คือการรังเกียจความจริง  โดยส่วนมากแล้วอุปนิสัยประเภทที่รังเกียจความจริงนี้สำแดงออกมาอย่างไร?  ด้วยการไม่ยอมรับการถูกตัดแต่งนั่นเอง  การไม่ยอมรับการถูกตัดแต่งเป็นสภาวะประเภทหนึ่งที่สำแดงออกมาจากอุปนิสัยประเภทนี้  ในหัวใจของผู้คนรู้สึกต้านทานเป็นพิเศษเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง  พวกเขาคิดว่า “ฉันไม่อยากฟังเรื่องนี้!  ฉันไม่อยากฟัง!” หรือคิดว่า “ทำไมไม่ไปตัดแต่งคนอื่นล่ะ?  ทำไมถึงเลือกฉัน?”  ความหมายของการรังเกียจความจริงคืออะไร?  การรังเกียจความจริงคือการที่คนคนหนึ่งหมดสิ้นความสนใจต่อสิ่งใดก็ตามที่สัมพันธ์กับสิ่งที่เป็นบวก ต่อความจริง ต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงร้องขอ หรือต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้า  บางครั้งพวกเขาก็รู้สึกสะอิดสะเอียนสิ่งเหล่านี้ บางครั้งพวกเขาก็เพิกเฉยโดยสิ้นเชิง บางครั้งพวกเขาก็ใช้ท่าทีที่ไม่เคารพและไม่แยแส ไม่จริงจังกับสิ่งเหล่านี้ สุกเอาเผากินกับสิ่งเหล่านี้และไม่เห็นความสำคัญ หรือจัดการเรื่องเหล่านี้โดยใช้ท่าทีที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง  ลักษณะสำคัญที่สำแดงให้เห็นการรังเกียจความจริงไม่ใช่เพียงผู้คนรู้สึกไม่ชอบใจเวลาได้ฟังความจริงเท่านั้น  การสำแดงนี้ยังรวมถึงความไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง การหันกลับเมื่อถึงเวลาปฏิบัติความจริง ราวกับว่าความจริงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย  เมื่อบางคนสามัคคีธรรมระหว่างการชุมนุม พวกเขาดูมีชีวิตชีวามาก พวกเขาชอบเอ่ยถ้อยคำและคำสอนซ้ำ ตลอดจนกล่าวถ้อยแถลงที่สูงส่งเพื่อทำให้ผู้อื่นหลงผิดและชนะใจผู้อื่น  พวกเขาดูเปี่ยมด้วยพลังงานและรื่นเริงยิ่งนักขณะที่ทำเช่นนี้ และพวกเขาจะทำต่อเรื่อยไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ในขณะที่คนอื่น ใช้เวลาตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำง่วนอยู่กับเรื่องของความเชื่อ การอ่านพระวจนะของพระเจ้า การอธิษฐาน การฟังบทเพลงนมัสการ การจดบันทึก ราวกับว่าพวกเขาไม่สามารถอยู่ห่างจากพระเจ้าได้แม้ชั่วขณะเดียว  ตั้งแต่รุ่งอรุณจรดพลบค่ำ พวกเขาง่วนอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน  จริงๆ แล้วคนเหล่านี้รักความจริงหรือไม่?  พวกเขามีอุปนิสัยที่รังเกียจความจริงมิใช่หรือ?  สภาวะที่แท้จริงของพวกเขาจะถูกมองเห็นได้เมื่อใด?  (เมื่อถึงเวลาปฏิบัติความจริง พวกเขาวิ่งหนี อีกทั้งไม่เต็มใจที่จะยอมรับการถูกตัดแต่ง)  เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาได้ยิน หรือเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงจนพวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริง?  คำตอบไม่ใช่ทั้งสองประการที่กล่าวมา  พวกเขาถูกธรรมชาติของตนเองควบคุม  นี่เป็นปัญหาของอุปนิสัย  ผู้คนเหล่านี้รู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจของตนว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พระวจนะคือสิ่งที่เป็นบวก และการปฏิบัติความจริงสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของผู้คนและทำให้พวกเขาสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้—แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับหรือนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ  นี่คือการรังเกียจความจริง  พวกเจ้าเห็นถึงอุปนิสัยที่รังเกียจความจริงนี้ในตัวผู้ใดหรือ?  (ผู้ไม่เชื่อ)  เหล่าผู้ไม่เชื่อรังเกียจความจริง นั่นเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดมาก  พระเจ้าทรงไม่มีทางช่วยคนเช่นนั้นให้รอด  แล้วในหมู่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้านั้น เจ้าได้เห็นผู้คนรังเกียจความจริงในเรื่องใดหรือ?  อาจเป็นในยามที่เจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาแล้วพวกเขาไม่ลุกออกไป และเมื่อสามัคคีธรรมนั้นแตะไปยังประเด็นปัญหาและความยากลำบากของพวกเขาเอง พวกเขาก็เผชิญกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง—แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงมีอุปนิสัยที่รังเกียจความจริง  สิ่งนี้สามารถมองเห็นได้จากเรื่องใด?  (พวกเขามักจะฟังคำเทศนา แต่พวกเขาไม่นำความจริงไปปฏิบัติ)  ผู้คนที่ไม่นำความจริงไปปฏิบัติย่อมมีอุปนิสัยที่รังเกียจความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย  บางคนสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้เล็กน้อยเป็นครั้งคราว แล้วพวกเขามีอุปนิสัยที่รังเกียจความจริงหรือไม่?  อุปนิสัยดังกล่าวก็พบในบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเช่นกัน เพียงแต่ในระดับที่แตกต่างกันเท่านั้น  การที่เจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่มีอุปนิสัยที่รังเกียจความจริง  การปฏิบัติความจริงไม่ได้หมายความว่าอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยพลัน—เรื่องนี้มิได้เป็นเช่นนั้น  เจ้าต้องแก้ไขปัญหาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง นี่เป็นหนทางเดียวที่เจ้าจะบรรลุความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตได้  การปฏิบัติความจริงครั้งหนึ่งไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอีกต่อไปแล้ว  เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงในด้านหนึ่งได้ แต่ไม่จำเป็นว่าเจ้าจะต้องปฏิบัติความจริงในด้านอื่นๆ ได้  บริบทและเหตุผลที่เกี่ยวข้องนั้นแตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้นมีอยู่ ซึ่งนี่คือต้นตอของปัญหา  ด้วยเหตุนั้นเมื่ออุปนิสัยของคนคนหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงไป ความยากลำบาก ข้ออ้าง และข้อแก้ตัวทั้งหมดของพวกเขาที่สัมพันธ์กับการปฏิบัติความจริง—ปัญหาทั้งหมดนี้ย่อมได้รับการแก้ไข อีกทั้งความเป็นกบฏ ข้อเสีย และข้อผิดพลาดทั้งหมดของพวกเขาก็ล้วนได้รับการแก้ไขด้วย  หากอุปนิสัยของผู้คนไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาย่อมจะมีความยากลำบากอยู่เสมอในการปฏิบัติความจริง อีกทั้งจะมีข้ออ้างและข้อแก้ตัวอยู่ตลอดเวลา  หากเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้ในทุกสิ่งให้ได้ อันดับแรกเจ้าก็ต้องเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ที่ต้นตอ

โดยหลักแล้ว อุปนิสัยที่รังเกียจความจริงนั้นอ้างอิงถึงสิ่งใด?  อันดับแรกพวกเรามาพูดคุยถึงประเภทของสภาวะกันก่อน  คนบางคนให้ความสนใจในการฟังคำเทศนามาก ยิ่งพวกเขาฟังสามัคคีธรรมความจริงมากเท่าไร หัวใจของพวกเขาก็ยิ่งสว่างมากขึ้น และพวกเขาก็ยิ่งเกิดความปีติมากขึ้นเท่านั้น  พวกเขามีท่าทีที่เป็นบวกและกระตือรือร้น  สิ่งนี้พิสูจน์ว่าพวกเขาไม่มีอุปนิสัยที่รังเกียจความจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ตัวอย่างเช่น เด็กที่อายุราวเจ็ดถึงแปดปีบางคนรู้สึกสนใจเวลาพวกเขาได้ยินเรื่องความเชื่อในพระเจ้า ทั้งยังอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเข้าร่วมการชุมนุมกับพ่อแม่ของพวกเขาอยู่เสมอ มีบางคนกล่าวว่า “เด็กคนนี้ไม่มีอุปนิสัยที่รังเกียจความจริง พวกเขาฉลาดมาก พวกเขาเกิดมาเพื่อเชื่อในพระเจ้า พวกเขาได้รับการทรงเลือกสรรจากพระเจ้า”  เด็กเหล่านี้อาจเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แต่คำพูดเหล่านี้ก็ถูกต้องเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น  สิ่งนี้เป็นเพราะพวกเขายังเด็ก อีกทั้งทิศทางในการไล่ตามเสาะหาและเป้าหมายในชีวิตของพวกเขาก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง  เมื่อมุมมองในชีวิตและสังคมของพวกเขายังไม่เป็นรูปเป็นร่าง เจ้าย่อมกล่าวได้ว่าดวงจิตที่เยาว์วัยของพวกเขารักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก แต่เจ้าไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่มีอุปนิสัยที่รังเกียจความจริง  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้หรือ?  พวกเขาอายุยังน้อย  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขายังไม่เติบโต พวกเขาไร้ซึ่งประสบการณ์ ขาดพร่องความรู้ และพวกเขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าความจริงคืออะไร  พวกเขาเพียงแต่มีรสนิยมชื่นชอบสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกเท่านั้น  เจ้าไม่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขารักความจริง นับประสาอะไรกับการกล่าวว่าพวกเขาครองความเป็นจริงความจริง  ที่มากกว่านั้นคือเด็กๆ ไม่มีประสบการณ์ และไม่มีผู้ใดสามารถเห็นได้ว่าสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวใจของพวกเขาคืออะไรหรือพวกเขามีแก่นแท้ธรรมชาติประเภทใด  เพียงเพราะพวกเขาสนใจเรื่องความเชื่อในพระเจ้าและการฟังคำเทศนา ผู้คนก็ปักใจเชื่อว่าพวกเขารักความจริง—ซึ่งเป็นการสำแดงถึงความโง่เขลาและไม่รู้ความ เพราะบรรดาเด็กน้อยไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล่าวถึงได้เสียด้วยซ้ำว่าพวกเขาชอบความจริงหรือรังเกียจความจริง  โดยหลักแล้ว การรังเกียจความจริงนั้นอ้างอิงถึงการไร้ซึ่งความสนใจและความเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงและสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก  การรังเกียจความจริงคือเมื่อผู้คนสามารถเข้าใจความจริงและรู้ว่าสิ่งที่เป็นบวกคืออะไร แต่ยังคงปฏิบัติต่อความจริงและสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกด้วยท่าทีและสภาวะที่ต้านทาน ไม่ลงรอยกัน สุกเอาเผากิน บ่ายเบี่ยง และไม่แยแส  นี่คืออุปนิสัยของการรังเกียจความจริง  อุปนิสัยประเภทนี้มีอยู่ในทุกคนใช่หรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “ถึงฉันจะรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ฉันก็ยังไม่ชอบหรือไม่ยอมรับพระวจนะเหล่านั้น หรืออย่างน้อย ฉันก็ยังไม่สามารถยอมรับพระวจนะเหล่านั้นได้ในตอนนี้”  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  นี่คือการรังเกียจความจริงนั่นเอง  อุปนิสัยที่มีอยู่ในตัวพวกเขาไม่อนุญาตให้พวกเขายอมรับความจริง  สิ่งใดเป็นการสำแดงที่เฉพาะเจาะจงถึงการไม่ยอมรับความจริง?  บางคนกล่าวว่า “ฉันเข้าใจความจริงทั้งหมด เพียงแต่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้”  สิ่งนี้เผยให้เห็นว่านี่คือคนที่รังเกียจความจริง พวกเขาไม่รักความจริง เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถนำความจริงใดไปปฏิบัติได้  บางคนกล่าวว่า “การที่ฉันสามารถหาเงินได้มากมายนั้นเป็นบางสิ่งที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า  พระเจ้าทรงอวยพรฉันอย่างแท้จริง พระเจ้าทรงดีกับฉันเหลือเกิน พระเจ้าประทานความร่ำรวยเหลือล้นให้ฉัน  ทุกคนในครอบครัวของฉันกินดีอยู่ดีและมีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ พวกเขาไม่ได้ขาดเหลือในสิ่งเหล่านี้เลย”  เมื่อเห็นว่าตนเองได้รับการอวยพรจากพระเจ้า คนเหล่านี้ก็ขอบคุณพระเจ้าอยู่ในหัวใจ พวกเขารู้ว่าทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า และหากพวกเขาไม่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า—หากพวกเขาพึ่งพาความสามารถพิเศษของตนเอง—พวกเขาย่อมจะไม่มีทางหาเงินทั้งหมดนี้มาได้  นี่คือสิ่งที่พวกเขาคิดอยู่จริงในหัวใจ เป็นสิ่งที่พวกเขารู้โดยแท้ และพวกเขาก็ขอบคุณพระเจ้าอย่างแท้จริง  แต่วันหนึ่งเมื่อธุรกิจของพวกเขาพังไม่เป็นท่า เมื่อพวกเขาอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และทนทุกข์กับความยากจน  การนี้เป็นเพราะอะไร?  เพราะพวกเขาลุ่มหลงในความสะดวกสบายและไม่คำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกควร ทั้งยังใช้เวลาทั้งหมดไปกับการไล่ตามความร่ำรวย กลายเป็นทาสของเงิน จนส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ด้วยเหตุนั้นพระเจ้าจึงทรงปลดเปลื้องหน้าที่นี้จากพวกเขาเสีย  พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่าพระเจ้าทรงอวยพรสิ่งมากมายให้พวกเขา ประทานหลายสิ่งแก่พวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่อยากตอบแทนความรักของพระเจ้า พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะออกไปปฏิบัติหน้าที่ของตน ทั้งยังขี้ขลาดและหวาดกลัวว่าจะถูกจับกุมอยู่ตลอดเวลา และพวกเขาก็กลัวว่าจะสูญเสียความร่ำรวยและความพึงพอใจทั้งหมดนี้ไป ผลก็คือ พระเจ้าทรงเปลื้องสิ่งเหล่านี้ไปจากพวกเขานั่นเอง  หัวใจของพวกเขากระจ่างแจ้งราวกระจก พวกเขารู้ว่าพระเจ้าได้ทรงพรากสิ่งเหล่านี้ไปจากพวกเขา และพวกเขาก็กำลังถูกพระเจ้าทรงบ่มวินัย ดังนั้นพวกเขาจึงเอ่ยคำอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  พระองค์ทรงอวยพรข้าพระองค์แล้วครั้งหนึ่ง  เพราะฉะนั้นพระองค์ย่อมอวยพรข้าพระองค์เป็นครั้งที่สองได้  พระองค์สถิตอยู่ชั่วนิรันดร์ อีกทั้งพรของพระองค์ก็อยู่กับมวลมนุษย์  ข้าพระองค์ขอขอบพระคุณพระองค์!  ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น พระพรและพระสัญญาของพระองค์จะไม่เปลี่ยนไป  หากพระองค์ทรงพรากสิ่งเหล่านั้นไป ข้าพระองค์ก็จะยังคงนบนอบ”  แต่คำว่า “นบนอบ” ยามที่พวกเขาพูดออกมานั้นไร้ซึ่งความเชื่อ  พวกเขากล่าวอ้างว่าตนสามารถนบนอบ แต่หลังจากนั้นเมื่อพวกเขานึกถึงเรื่องนี้ และมีบางสิ่งที่พวกเขาไม่เห็นด้วย พลางคิดว่า “อะไรๆ ก็เคยดีเหลือเกิน  ทำไมพระเจ้าถึงทรงพรากทั้งหมดไป?  การทำหน้าที่อยู่บ้านก็เหมือนกับการออกไปทำหน้าที่ข้างนอกไม่ใช่เหรอ?  มีอะไรที่ล่าช้าเพราะฉันเหรอ?”  พวกเขารำลึกถึงความหลังอยู่เสมอ  พวกเขามีคำพร่ำบ่นและความไม่พอใจต่อพระเจ้า ทั้งยังรู้สึกหดหู่อยู่ตลอดเวลา  พระเจ้ายังทรงอยู่ในหัวใจของพวกเขาอีกหรือ?  สิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเขาคือเงินทอง ความสะดวกสบายทางวัตถุ และช่วงเวลาที่ดีเหล่านั้น  พระเจ้าทรงไม่มีที่ทางอยู่ในหัวใจของพวกเขาแต่อย่างใด พระองค์ทรงไม่ใช่พระเจ้าของพวกเขาอีกต่อไป  ถึงแม้พวกเขาจะรู้ถึงความจริงที่ว่า “พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงพรากเอาไป” พวกเขาก็ชอบคำว่า “พระเจ้าประทาน” และรังเกียจคำว่า “พระเจ้าทรงพรากเอาไป”  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาช่างเลือกในการยอมรับความจริง  เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรพวกเขา พวกเขาก็ยอมรับสิ่งนั้นว่าคือความจริง—แต่ทันทีที่พระเจ้าทรงพรากสิ่งเหล่านั้นไปจากพวกเขา พวกเขาก็ไม่อาจยอมรับได้  พวกเขาไม่สามารถยอมรับอธิปไตยเช่นนั้นจากพระเจ้าได้ และพวกเขาก็กลับต้านทาน อีกทั้งเริ่มเกิดความขุ่นเคืองใจ  เมื่อถูกขอให้ปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาก็กล่าวว่า “ฉันจะทำก็ต่อเมื่อพระเจ้าประทานพรและพระคุณให้กับฉัน  หากพระเจ้าไม่ทรงอวยพรและครอบครัวของฉันตกอยู่ในสภาวะที่ยากจน ฉันจะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไร?  ฉันไม่อยากทำ!”  นี่คืออุปนิสัยใดหรือ?  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้อยู่ในหัวใจว่าพวกเขามีประสบการณ์กับพรของพระเจ้าและการที่พระองค์ประทานหลายสิ่งหลายอย่างให้พวกเขาด้วยตัวเอง แต่เมื่อพระเจ้าทรงพรากสิ่งเหล่านั้น พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะพวกเขาไม่สามารถปล่อยวางเงินทองและชีวิตที่สะดวกสบายของตนไปได้  ถึงแม้พวกเขาอาจจะไม่ได้ทำตัวเอะอะโวยวายกับเรื่องนี้ อาจจะไม่ได้ไม่ได้ดึงดันเรียกร้องจากพระเจ้า และพวกเขาอาจจะไม่ได้พยายามแย่งชิงทรัพย์สินของตนกลับคืนมาด้วยการพึ่งพาความพยายามของพวกเขาเอง แต่พวกเขาก็เกิดความไม่พอใจต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเสียแล้ว พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้โดยสิ้นเชิง ทั้งยังกล่าวว่า “การที่พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้เป็นการไม่ใส่พระทัยอย่างแท้จริง  เรื่องนี้เกินที่จะทำความเข้าใจ  ฉันจะเชื่อในพระเจ้าต่อไปได้อย่างไร?  ฉันไม่ปรารถนาที่จะยอมรับอีกต่อไปแล้วว่าพระองค์คือพระเจ้า   หากฉันไม่ยอมรับว่าพระองค์คือพระเจ้า พระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้า”  นี่คืออุปนิสัยประเภทหนึ่งใช่หรือไม่?  (ใช่)  ซาตานมีอุปนิสัยประเภทนี้ ซาตานปฏิเสธพระเจ้าในหนทางนี้เอง  อุปนิสัยประเภทนี้เป็นหนึ่งในการรังเกียจความจริงและการเกลียดชังความจริง  เมื่อผู้คนรังเกียจความจริงจนถึงระดับนี้ การนี้จะพาพวกเขาไปสู่จุดใด?  การนี้ย่อมพาให้ผู้คนต่อต้านพระเจ้า และพาให้พวกเขาต่อต้านพระเจ้าอย่างหัวชนฝาไปจนถึงปลายทาง—ซึ่งหมายความว่าสำหรับพวกเขา ทุกอย่างล้วนจบสิ้นแล้วนั่นเอง

อะไรคือธรรมชาติของอุปนิสัยที่รังเกียจความจริงกันเล่า?  ผู้คนที่รังเกียจความจริงนั้นไม่รักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกหรือสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำ  จงดูอย่างพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำระหว่างยุคสุดท้ายเถิด ไม่มีใครต้องการยอมรับพระราชกิจนี้  มีผู้คนเพียงไม่กี่คนที่เต็มใจฟังคำเทศนาเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงเปิดโปงผู้คน กล่าวโทษผู้คน ตีสอนผู้คน ทดสอบผู้คน ถลุงผู้คน สั่งสอนผู้คน และบ่มวินัยผู้คน แต่พวกเขาก็มีความสุขที่ได้ฟังเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงอวยพรผู้คน ตักเตือนผู้คน รวมถึงเรื่องของพระสัญญาที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน—ไม่มีใครปฏิเสธสิ่งเหล่านี้เลย  เช่นเดียวกับในยุคพระคุณ เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการอภัย การยกโทษ การอวยพร และการประทานพระคุณแก่มนุษย์ เมื่อพระองค์ทรงรักษาคนป่วยและขับผี อีกทั้งทรงให้คำมั่นสัญญากับผู้คน—ผู้คนก็เต็มใจที่จะยอมรับทั้งหมดนั้น ทุกคนต่างสรรเสริญพระเยซูสำหรับความรักยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์  แต่เวลานี้ที่ยุคราชอาณาจักรมาถึงและพระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา รวมถึงทรงแสดงความจริงมากมายก็กลับไม่มีใครสนใจ  ไม่ว่าพระเจ้าทรงเปิดโปงและทรงพิพากษาผู้คนอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับการนั้น และถึงกับพูดกับตัวเองว่า “พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นได้เหรอ?  พระเจ้าทรงรักมนุษย์ไม่ใช่เหรอ?”  หากพวกเขาถูกตัดแต่ง สั่งสอน หรือบ่มวินัย พวกเขาก็ยิ่งมีมโนคติอันหลงผิดมากกว่าเดิม และพูดกับตัวเองว่า “นี่จะเป็นความรักของพระเจ้าได้อย่างไร?  พระวจนะแห่งการพิพากษาและการกล่าวโทษเหล่านี้ไม่เปี่ยมรักเลย ฉันไม่ยอมรับพระวจนะเหล่านี้หรอก  ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น!”  นี่คืออุปนิสัยของการรังเกียจความจริง  เมื่อได้ฟังความจริง บางคนก็กล่าวว่า “ความจริงอะไร?  นี่มันก็แค่ทฤษฎี  คำพูดพวกนี้ฟังดูช่างสูงส่ง ช่างเปี่ยมฤทธิ์ และช่างศักดิ์สิทธิ์—แต่ก็เป็นแค่คำพูดที่รื่นหูเท่านั้นเอง”  นี่มิใช่อุปนิสัยของการรังเกียจความจริงหรือ?  นี่คืออุปนิสัยของการรังเกียจความจริง  ในตัวพวกเจ้าก็มีอุปนิสัยประเภทนี้อยู่ใช่หรือไม่?  (ใช่)  จากสภาวะที่เราเพิ่งกล่าวถึงนั้น สภาวะใดที่พวกเจ้ามีแนวโน้มจะตกเป็นเหยื่อมากที่สุด พบเห็นได้ทั่วไปมากที่สุด และรู้สึกซาบซึ้งอย่างลึกซึ้งมากที่สุดหรือ?  (การไม่ต้องการเผชิญหน้ากับความยากลำบากเวลาที่พวกเราปฏิบัติหน้าที่ การไม่ปรารถนาที่จะถูกพิพากษาและตีสอนจากพระเจ้า และการอยากให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น)  การปฏิเสธอธิปไตยของพระเจ้า การปฏิเสธการบ่มวินัยและการสั่งสอนของพระเจ้า การรู้แน่ชัดว่าพระเจ้าทรงทำได้ดีในเรื่องนี้แต่เจ้าก็ยังขืนต้านอยู่ในหัวใจ นี่เป็นการสำแดงประเภทหนึ่ง  มีสิ่งใดอีก?  (การมีความสุขเมื่อพวกเราเกิดผลในการปฏิบัติหน้าที่ และเมื่อไม่เป็นเช่นนั้น พวกเราก็คิดลบ อ่อนแอ และไม่สามารถร่วมมือได้โดยแข็งขัน)  นี่เป็นการสำแดงประเภทใด?  (การดื้อแพ่ง)  เจ้าต้องเข้าใจถูกต้องในเรื่องนี้  จงอย่าสับสนและนำกฎมาปรับใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า  บางครั้งสภาวะของผู้คนนั้นแสนซับซ้อน สภาวะดังกล่าวไม่ได้มีเพียงหนึ่งประเภท แต่มีสองหรือสามประเภทอยู่รวมกัน  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะระบุลักษณะสิ่งนั้นอย่างไร?  บางครั้งอุปนิสัยหนึ่งจะเผยตัวให้เห็นในสองสภาวะ บางคราวก็สามสภาวะ แต่ถึงแม้สภาวะเหล่านี้จะแตกต่างกัน ท้ายที่สุดแล้วทุกสภาวะก็เกิดจากอุปนิสัยเดียวกันอยู่ดี  พวกเจ้าต้องเข้าใจอุปนิสัยของการรังเกียจความจริงนี้ อีกทั้งควรจะตรวจสอบว่าการสำแดงถึงการรังเกียจความจริงเป็นเช่นไร  เจ้าจะเข้าใจอุปนิสัยของการรังเกียจความจริงโดยแท้จริงได้ในหนทางนี้  เจ้ารังเกียจความจริง  เจ้ารู้ดีอยู่เต็มอกว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นถูกต้อง—สิ่งนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นพระวจนะของพระเจ้าหรือหลักธรรมความจริง บางครั้งอาจเป็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก สิ่งทั้งหลายที่ถูกต้อง คำพูดที่ถูกต้อง ข้อเสนอแนะที่ถูกต้อง—แต่เจ้ายังคงกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่ความจริง สิ่งเหล่านี้เป็นแค่คำพูดที่ถูกต้อง  ฉันไม่อยากฟัง—ฉันไม่ฟังคำพูดจากผู้คน!”  สิ่งนี้คืออุปนิสัยใดหรือ?  ในที่นี้คือความโอหัง การดื้อแพ่ง และการรังเกียจความจริงนั่นเอง—อุปนิสัยเหล่านี้มีอยู่ทุกประการ  อุปนิสัยแต่ละประเภทสามารถทำให้เกิดสภาวะได้หลายประเภท  หนึ่งสภาวะสามารถเชื่อมโยงกับอุปนิสัยต่างๆ ได้หลายประการ  เจ้าต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าสภาวะเหล่านี้เกิดขึ้นจากอุปนิสัยประเภทใด  แล้วเจ้าจะสามารถหยั่งรู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหลากหลายประเภทได้ในหนทางนี้

จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามสี่ประเภทที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมไปนั้น เพียงหนึ่งประเภทก็เพียงพอแล้วที่จะกล่าวโทษผู้คนให้ถึงแก่ความตาย—การกล่าวเช่นนั้นเกินไปหรือไม่?  (ไม่)  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดมาจากซาตาน  ผู้คนเริ่มซึมซับตรรกะวิบัติและความเข้าใจผิดทุกประการที่ซาตาน หมู่มาร รวมถึงบุคคลที่โด่งดังและมีชื่อเสียงปล่อยออกมา และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานาประการนี้ก็ถือกำเนิดขึ้น  อุปนิสัยเหล่านี้เป็นบวกหรือเป็นลบ?  (เป็นลบ)  รากฐานใดที่เจ้าใช้กล่าวว่าสิ่งเหล่านี้เป็นลบ?  (ความจริง)  เนื่องด้วยอุปนิสัยเหล่านี้ละเมิดความจริงและต้านทานพระเจ้า ทั้งยังเป็นปฏิปักษ์ต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าและทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ด้วยเหตุนั้น หากหนึ่งในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ถูกพบในตัวผู้คน พวกเขาก็ย่อมกลายเป็นคนที่ต้านทานพระเจ้า  หากอุปนิสัยทั้งสี่ประการถูกพบในตัวของคนคนหนึ่ง เช่นนั้นแล้วการนี้ย่อมเป็นปัญหา พวกเขาได้กลายเป็นศัตรูของพระเจ้า และจุดจบหนึ่งของพวกเขาก็คือความตายแน่นอน  ไม่ว่านี่คืออุปนิสัยประการใด หากเจ้านำมาชั่งน้ำหนักโดยใช้ความจริง เจ้าย่อมจะเห็นว่าแก่นแท้ที่อุปนิสัยแต่ละประการสำแดงออกมาล้วนมุ่งไปที่พระเจ้า ต้านทานพระเจ้า และเป็นอริกับพระเจ้า  ดังนั้นหากอุปนิสัยของเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า เจ้าจะเกลียดความจริง และเจ้าจะเป็นศัตรูกับพระเจ้า

ต่อไป พวกเรามาพูดถึงอุปนิสัยประเภทที่ห้ากันเถิด  เราจะยกตัวอย่างให้พวกเจ้าฟัง และพวกเจ้าก็ลองหาคำตอบดูได้ว่านี่คืออุปนิสัยประเภทใด  จินตนาการว่ามีคนสองคนกำลังพูดคุยกัน และหนึ่งในสองคนนั้นเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมามากเกินไปจนทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจ  เขาคิดอยู่ในใจว่า “ทำไมคุณถึงชอบทำลายความภาคภูมิใจของฉันนัก?  คุณคิดว่าฉันจะยอมให้คนอื่นมารังแกเหรอ?” แล้วจากนั้นความเกลียดชังก็ก่อตัวขึ้นในใจของพวกเขา  ในความเป็นจริงแล้วนี่คือปัญหาที่แก้ไขได้โดยง่าย  หากฝ่ายหนึ่งพูดจาทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายหนึ่ง ตราบเท่าที่ผู้พูดขอโทษผู้ฟัง เรื่องนั้นก็ย่อมจะผ่านไป  แต่หากฝ่ายที่โดนล่วงเกินไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ และสำหรับพวกเขานั้น “ไม่เคยสายเกินไปสำหรับสุภาพบุรุษที่จะแก้แค้น” นี่คืออุปนิสัยใด?  (ความมุ่งร้าย)  ถูกต้อง—นี่คือความมุ่งร้าย และนี่คือคนที่มีอุปนิสัยชั่วร้ายนั่นเอง  ในคริสตจักร บางคนถูกตัดแต่งเพราะพวกเขาไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกควร  สิ่งที่กล่าวในยามตัดแต่งผู้คนนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการที่คนคนนั้นถูกตำหนิและอาจจะถึงกับถูกดุด่าว่ากล่าว  สิ่งนี้จะต้องทำให้พวกเขาหัวเสียและหาข้อแก้ตัวเพื่อตอบโต้กลับอย่างแน่นอน  พวกเขากล่าวสิ่งทั้งหลายอย่างเช่น “ถึงแม้ว่าคุณจะตัดแต่งฉันด้วยการพูดในสิ่งที่ถูกต้อง แต่บางอย่างที่คุณพูดก็ล่วงเกินกันจริงๆ แถมคุณยังทำให้ฉับอับอายและทำร้ายความรู้สึกฉันด้วย  ตลอดหลายปีมานี้ฉันเชื่อในพระเจ้า  ต่อให้ฉันจะไม่ได้ผลสัมฤทธิ์ ฉันก็สู้ทนความยากลำบากมา  ทำไมคุณถึงปฏิบัติต่อฉันเช่นนี้?  ทำไมไม่ไปตัดแต่งคนอื่นเล่า?  ฉันไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ และฉันก็จะไม่ทน!”  นี่เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทหนึ่งใช่หรือไม่?  (ใช่)  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทนี้สำแดงผ่านการพร่ำบ่น การไม่เชื่อฟัง และการเป็นปฏิปักษ์เท่านั้น แต่นี่ยังไปไม่ถึงจุดที่หนักที่สุด สิ่งนี้ยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดแม้จะแสดงให้เห็นถึงหมายสำคัญบางอย่าง อีกทั้งเริ่มไปถึงจุดที่กำลังจะเกินขีดจำกัดแล้วก็ตาม  ไม่นานหลังจากนี้ท่าทีของพวกเขาจะเป็นเช่นไร?  พวกเขาไม่นบนอบ พวกเขารู้สึกโกรธเคือง แข็งขืน และเริ่มปฏิบัติตนด้วยความไม่พอใจ  พวกเขาเริ่มเถียงกลับและพยายามหาความชอบด้วยเหตุผลให้กับตนเองว่า “เวลาที่เหล่าผู้นำและคนทำงานตัดแต่งผู้คนก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาถูกต้องเสมอไป  พวกคุณที่เหลืออาจจะยอมรับได้ แต่ฉันรับไม่ได้  การที่พวกคุณยอมรับเรื่องนี้ได้เป็นเพราะพวกคุณโง่เขลาและขี้ขลาด  ฉันไม่ยอมรับเรื่องนี้!  พวกเรามาถกเรื่องนี้กัน แล้วดูว่าใครถูกใครผิด”  แล้วจากนั้นผู้คนก็สามัคคีธรรมกับพวกเขาโดยกล่าวว่า “ไม่ว่าจะถูกหรือผิด สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือเชื่อฟัง  เป็นไปได้เหรอว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคุณจะไม่แปดเปื้อนเลยแม้แต่น้อย?  คุณทำทุกอย่างถูกต้องหมดอย่างนั้นเหรอ?  ต่อให้คุณทำทุกอย่างถูกต้อง การถูกตัดแต่งก็ยังเป็นประโยชน์สำหรับคุณอยู่ดี!  พวกเราสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมกับคุณหลายครั้งหลายหน แต่คุณก็ไม่เคยฟังและเลือกที่จะทำตามใจตัวเองแบบสุ่มสี่สุ่มห้าจนก่อกวนงานของคริสตจักรและทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง แล้วคุณจะไม่เผชิญกับการถูกตัดแต่งได้อย่างไร?  คำพูดอาจจะฟังดูรุนแรง และอาจจะทนฟังได้ยาก แต่นั่นเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?  แล้วคุณกำลังเถียงเรื่องอะไร?  คุณควรได้รับอนุญาตให้ทำเรื่องแย่ๆ โดยที่คนอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้ตัดแต่งคุณงั้นเหรอ?”  แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะสามารถยอมรับการถูกตัดแต่งได้หรือไม่?  ไม่ได้  พวกเขาจะเพียงเถียงกลับและต้านทานต่อไป  พวกเขาเผยอุปนิสัยใดออกมา?  ความเป็นมารร้ายนั่นเอง นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วร้าย  อันที่จริงพวกเขาหมายความว่าอย่างไร?  “ฉันไม่ยอมทนให้คนอื่นมายั่วโมโหฉัน  ใครก็ไม่ควรที่จะพยายามทำร้ายฉันทั้งนั้น  หากฉันทำให้คุณเห็นว่าฉันไม่ใช่คนที่จะมายุ่งด้วยง่ายๆ คราวหลังคุณก็จะไม่กล้าตัดแต่งฉัน  ถึงตอนนั้นฉันก็จะชนะไม่ใช่เหรอ?”  สิ่งนี้เล่าเป็นเช่นไร?  อุปนิสัยนี้ได้ถูกเปิดโปงแล้วใช่หรือไม่?  นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วร้าย  คนที่มีอุปนิสัยที่ชั่วร้ายไม่เพียงแต่รังเกียจความจริงเท่านั้น—พวกเขายังเกลียดชังความจริงอีกด้วย!  เมื่อพวกเขาเป็นเป้าหมายของการตัดแต่ง พวกเขาก็พยายามที่จะหลบหนี หรือพยายามไม่สนใจการตัดแต่งนั้น—ทว่าในหัวใจพวกเขากลับเป็นปฏิปักษ์อย่างเหลือเชื่อ  นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของการที่พวกเขาเถียงกลับ  นั่นไม่ใช่ท่าทีของพวกเขาเลย  พวกเขาขัดขืนและไม่ยอมทำตาม ถึงขนาดพยายามหาเรื่องเหมือนเป็นตัวร้าย  พวกเขาคิดอยู่ในหัวใจว่า “ฉันเข้าใจว่าคุณกำลังพยายามทำให้ฉันอับอายและจงใจจะทำให้ฉันขายหน้า และถึงแม้ฉันจะไม่กล้าแย้งคุณกลับแบบซึ่งหน้า แต่ฉันจะหาโอกาสเอาคืนให้ได้!  คุณคิดว่าคุณจะสามารถตัดแต่งฉันและบังคับฉันได้เหรอ?  ฉันจะดึงทุกคนมาเป็นพวก ให้คุณหัวเดียวกระเทียมลีบ จากนั้นก็ปล่อยให้คุณลิ้มรสเสียบ้างว่าการถูกกระทำนั้นให้ความรู้สึกอย่างไร!”  นี่คือสิ่งที่พวกเขาคิดอยู่ในหัวใจ ในที่สุดอุปนิสัยที่ชั่วร้ายของพวกเขาก็เผยตนเองออกมา  ในการที่พวกเขาจะบรรลุเป้าหมายและระบายความอาฆาตแค้นของตนนั้น พวกเขาก็เถียงกลับคอเป็นเอ็นทำให้ตัวเองชอบธรรมด้วยเหตุผลและทำให้ทุกคนหันมาเข้าข้างพวกเขา  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะมีความสุขและรู้สึกเบาใจ  สิ่งนี้มุ่งร้ายมิใช่หรือ?  นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วร้าย  เมื่อพวกเขายังไม่ถูกตัดแต่ง ผู้คนเช่นนั้นก็เป็นดั่งเช่นลูกแกะน้อย  ทว่าเมื่อพวกเขาตกเป็นเป้าของการถูกตัดแต่ง หรือเมื่อตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาถูกเปิดโปง พวกเขาก็พลันเปลี่ยนจากลูกแกะน้อยเป็นหมาป่า และความเป็นหมาป่าของพวกเขาก็โผล่ออกมา  นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วร้ายมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วเหตุใดส่วนใหญ่สิ่งนี้จึงไม่อาจมองเห็นได้เล่า?  (เพราะพวกเขาไม่ได้ถูกยั่วยุ)  ถูกต้อง พวกเขาไม่ได้ถูกยั่วยุ และผลประโยชน์ของพวกเขาก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย  นี่ก็เหมือนกับการที่หมาป่าจะไม่กินเจ้าเวลาที่มันไม่หิว—เช่นนั้นแล้วเจ้าจะกล่าวได้หรือไม่ว่ามันมิใช่หมาป่า?  หากเจ้ารอจนกระทั่งมันพยายามจะกินเจ้าแล้วจึงเรียกมันว่าเป็นหมาป่า นั่นย่อมจะสายเกินไปมิใช่หรือ?  แม้ในยามที่หมาป่านั้นไม่ได้พยายามที่จะกินเจ้า เจ้าก็ควรที่จะระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา  การที่หมาป่าไม่กินเจ้าไม่ได้หมายความว่ามันไม่ต้องการที่จะกินเจ้า เพียงแต่เวลานั้นยังมาไม่ถึง—และเมื่อเวลานั้นมาถึง ธรรมชาติเยี่ยงหมาป่าของมันก็ย่อมจู่โจม  การถูกตัดแต่งเผยให้เห็นมนุษย์ทุกๆ ประเภท  บางคนคิดกับตัวเองว่า “ทำไมฉันเป็นคนเดียวที่ถูกตัดแต่ง?  ทำไมฉันถึงโดนหาเรื่องอยู่เสมอ?  พวกเขาเห็นฉันเป็นเป้าหมายที่โจมตีได้ง่ายอย่างนั้นเหรอ?  ฉันไม่ใช่คนประเภทที่คุณจะมายุ่งด้วยได้นะ!”  นี่คืออุปนิสัยใด?  พวกเขาจะเป็นคนเดียวที่ถูกตัดแต่งได้อย่างไร?  ที่จริงแล้วสิ่งทั้งหลายมิได้เป็นเช่นนี้  ในหมู่พวกเจ้ามีใครบ้างที่ไม่ถูกตัดแต่ง?  ทุกคนล้วนถูกตัดแต่งทั้งสิ้น  บางครั้งเหล่าผู้นำและคนทำงานก็ทำตัวดื้อรั้นและบุ่มบ่ามในงานของตน หรือไม่พวกเขาก็ไม่ได้ดำเนินการงานนั้นตามการจัดการเตรียมงาน—ส่วนใหญ่พวกเขาต่างถูกตัดแต่ง  สิ่งนี้เป็นไปเพื่อปกป้องงานของคริสตจักรและป้องกันไม่ให้ผู้คนทำตามใจตัวเอง  การนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อชี้เป้าไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง  เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และนี่ยังเป็นการสำแดงถึงอุปนิสัยที่ชั่วร้ายอีกด้วย

อุปนิสัยที่ชั่วร้ายสำแดงออกมาในหนทางอื่นใดอีกหรือ?  สิ่งนี้สัมพันธ์กับการรังเกียจความจริงอย่างไร?  อันที่จริงเมื่อการรังเกียจความจริงสำแดงตนออกมาในหนทางที่ร้ายแรง คือมีลักษณะของการต้านทานและการตัดสิน สิ่งนี้ย่อมเผยให้เห็นอุปนิสัยที่ชั่วร้าย  การรังเกียจความจริงนั้นรวมถึงสภาวะนานัปการ ตั้งแต่การไร้ซึ่งความสนใจความจริงไปจนถึงการรังเกียจความจริง ซึ่งพัฒนาไปสู่การตัดสินพระเจ้าและการกล่าวโทษพระเจ้านั่นเอง  เมื่อการรังเกียจความจริงไปจนถึงจุดหนึ่ง ผู้คนก็มีแนวโน้มที่จะปฏิเสธพระเจ้า เกลียดชังพระเจ้า และต่อต้านพระเจ้า  สภาวะทั้งหลายนี้คืออุปนิสัยที่ชั่วร้ายมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้นพวกที่รังเกียจความจริงจึงมีสภาวะที่ร้ายแรงยิ่งกว่า และสิ่งที่อยู่ภายในสภาวะนี้คืออุปนิสัยประเภทหนึ่ง นั่นคือ อุปนิสัยที่ชั่วร้ายนั่นเอง  ตัวอย่างเช่น บางคนรับรู้ว่าพระเจ้าทรงชี้ขาดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่อพระเจ้าทรงพรากสิ่งเหล่านั้นไปและพวกเขาทนทุกข์กับการเสียผลประโยชน์ ถึงภายนอกพวกเขาจะไม่ได้พร่ำบ่นหรือต่อต้าน แต่ในใจนั้นพวกเขาไม่มีการยอมรับหรือการนบนอบอยู่เลย  ท่าทีของพวกเขาเป็นท่าทีของการนั่งเฉยและเฝ้ารอการทำลายล้าง—ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่คือสภาวะของการรังเกียจความจริง  ยังมีอีกสภาวะหนึ่งซึ่งร้ายแรงเสียยิ่งกว่า นั่นคือ พวกเขาไม่ได้นั่งเฉยและเฝ้ารอการทำลายล้าง แต่พวกเขากลับต้านทานการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า รวมถึงขืนต้านการที่พระเจ้าทรงพรากสิ่งทั้งหลายไป  พวกเขาขืนต้านอย่างไรหรือ?  (ด้วยการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร หรือบ่อนทำลายสิ่งทั้งหลาย พยายามที่จะก่อตั้งอาณาจักรของตนเอง)  นั่นเป็นรูปแบบหนึ่ง  หลังจากผู้นำคริสตจักรบางคนถูกปลด ขณะที่ใช้ชีวิตคริสตจักร พวกเขาก็ขัดขวางสิ่งทั้งหลายและก่อกวนคริสตจักร พวกเขาต้านทานและไม่เชื่อฟังสิ่งที่ผู้นำคนใหม่กล่าวเลย และพวกเขาก็พยายามบ่อนทำลายคนเหล่านั้นลับหลัง  นี่คืออุปนิสัยใด?  นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วร้าย  สิ่งที่พวกเขากำลังคิดอยู่จริงๆ ก็คือ “หากฉันไม่ได้เป็นผู้นำ เช่นนั้นแล้วใครก็อยู่ในตำแหน่งนี้ไม่ได้ทั้งนั้น ฉันจะไล่พวกเขาไปให้หมด!  หากฉันบีบให้คุณออกไปได้ ฉันก็จะได้กลับมาทำหน้าที่เหมือนแต่ก่อน!”  สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงการรังเกียจความจริง แต่เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย!  การแก่งแย่งสถานะ การแก่งแย่งอาณาเขต การแก่งแย่งผลประโยชน์ส่วนตัวและชื่อเสียง การยอมทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้น การทำทุกสิ่งที่ใครคนหนึ่งสามารถทำได้ การใช้ทุกทักษะที่มี การที่ใครคนหนึ่งทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน การกอบกู้ชื่อเสียง ความภาคภูมิใจ และสถานะของคนเรา หรือการสนองความอยากของคนเราเพื่อแก้แค้น—ทั้งหมดนี้คือการสำแดงถึงความชั่วร้าย  พฤติกรรมบางประการของอุปนิสัยที่ชั่วร้ายนั้นสัมพันธ์กับการพูดสิ่งต่างๆ มากมายที่ขัดขวางและก่อกวน บ้างก็สัมพันธ์กับการทำหลายสิ่งที่แย่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเอง  ไม่ว่าในคำพูดหรือการกระทำของพวกเขา ทุกอย่างที่ผู้คนเช่นนั้นทำล้วนขัดต่อความจริง ละเมิดต่อความจริง และทั้งหมดล้วนเป็นการเผยให้เห็นอุปนิสัยที่ชั่วร้าย  บางคนไม่สามารถหยั่งรู้ในสิ่งเหล่านี้ได้  หากคำพูดหรือพฤติกรรมที่ผิดพลาดไม่ได้โจ่งแจ้งนัก พวกเขาย่อมไม่อาจเห็นสิ่งเหล่านั้นตามที่เป็นได้  แต่สำหรับผู้ที่เข้าใจความจริง ทุกอย่างที่คนชั่วพูดและทำย่อมชั่ว และไม่มีทางประกอบด้วยสิ่งที่ถูกต้องหรือสอดคล้องกับความจริง สิ่งที่เหล่าพวกนี้พูดและทำย่อมกล่าวได้ว่าชั่วแบบเต็มร้อย และเป็นการเผยให้เห็นอุปนิสัยที่ชั่วร้ายอย่างแน่นอน  อะไรคือแรงจูงใจก่อนที่คนชั่วจะเผยอุปนิสัยที่ชั่วร้ายนี้ออกมาหรือ?  พวกเขาพยายามบรรลุเป้าหมายประเภทใดหรือ?  พวกเขาทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร?  พวกเจ้าสามารถหยั่งรู้เรื่องนี้ได้หรือไม่?  เราจะยกตัวอย่างให้พวกเจ้าฟัง  มีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นที่บ้านของใครบางคน  บ้านหลังนี้ถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับตาดู ทำให้ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถกลับไปยังบ้านของตนได้ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาเจ็บปวดแสนสาหัส  พี่น้องชายหญิงบางคนรับพวกเขามาอยู่ด้วย และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งในบ้านของเจ้าภาพเหล่านี้นั้นดีงามเพียงใด พวกเขาก็คิดกับตัวเองว่า “ทำไมบ้านคุณถึงไม่โดนอะไรเลย?  มาเกิดขึ้นกับบ้านของฉันได้อย่างไร?  ไม่ยุติธรรมเลย  อย่างนี้ไม่ได้การละ ฉันต้องหาทางทำให้บ้านคุณโดนอะไรเสียบ้าง คุณจะได้กลับบ้านไม่ได้  ฉันจะทำให้คุณลิ้มรสความยากลำบากแบบเดียวกับที่ฉันเจอ”  ไม่ว่าพวกเขาทำอะไรลงไปหรือไม่ ไม่ว่าความคิดนี้กลายเป็นจริงหรือไม่ หรือไม่ว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมายของตนหรือไม่ พวกเขาก็ยังมีความตั้งใจประเภทนี้อยู่ดี  นี่คืออุปนิสัยประเภทหนึ่งใช่หรือไม่?  (ใช่)  หากพวกเขาไม่สามารถมีชีวิตที่ดีได้ พวกเขาก็จะไม่ยอมให้ผู้อื่นมีชีวิตที่ดีได้เช่นกัน  ธรรมชาติของอุปนิสัยดังกล่าวคืออะไร?  (ความมุ่งร้าย)  อุปนิสัยที่ชั่วร้าย—ผู้คนเหล่านี้น่าสะอิดสะเอียนนัก!  พวกเขาเป็นดังคำกล่าวที่ว่าเน่าจนถึงแก่น  สิ่งนี้อธิบายว่าพวกเขาชั่วร้ายเพียงไหน  ธรรมชาติของอุปนิสัยดังกล่าวเป็นอย่างไร?  พวกเราลองมาชำแหละกันดูว่าเมื่อพวกเขาเผยอุปนิสัยนี้ออกมา แรงจูงใจ ความตั้งใจ และเป้าหมายของพวกเขาคืออะไร?  จุดเริ่มต้นของการที่พวกเขาเผยอุปนิสัยนี้ออกมาคืออะไร?  พวกเขาปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์สิ่งใด?  มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นที่บ้านของพวกเขา และพวกเขาก็ได้รับการจัดหาเป็นอย่างดีที่บ้านของเจ้าภาพเหล่านี้—แล้วเหตุใดพวกเขาจึงต้องการทำให้สิ่งนี้พังไม่เป็นท่าหรือ?  พวกเขาจะมีความสุขก็ต่อเมื่อได้ทำให้สิ่งต่างๆ ในบ้านของเจ้าภาพวุ่นวายเละเทะ จะได้มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับบ้านของเจ้าภาพเหล่านี้ และเจ้าภาพของพวกเขาก็ไม่อาจกลับบ้านได้เหมือนกันงั้นหรือ?  เพื่อตัวพวกเขาเองแล้ว พวกเขาควรปกป้องสถานที่เหล่านี้ หยุดยั้งไม่ให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับบ้านเหล่านี้ และไม่สร้างความเสียหายให้กับเจ้าภาพ เพราะการสร้างความเสียหายให้เจ้าภาพก็เหมือนการสร้างความเสียหายให้ตัวพวกเขาเอง  แล้วจุดประสงค์ที่พวกเขาต้องการทำเช่นนี้คืออะไรกันแน่?  (สำหรับพวกเขาเมื่อสิ่งทั้งหลายไม่เป็นไปด้วยดี พวกเขาก็ไม่ต้องการให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปด้วยดีสำหรับผู้อื่นเช่นกัน)  สิ่งนี้เรียกว่าความชั่วร้าย  สิ่งที่พวกเขาคิดอยู่ก็คือ “บ้านของฉันถูกพญานาคใหญ่สีแดงทำลาย และตอนนี้ฉันก็ไม่มีบ้านแล้ว  แต่คุณยังมีบ้านแสนสวยที่อบอุ่นให้กลับไปได้  เรื่องนี้ไม่ยุติธรรม  ฉันทนเห็นคุณยังมีบ้านให้กลับไม่ได้  ฉันจะสอนบทเรียนให้คุณ  ฉันจะทำให้คุณกลับบ้านไม่ได้และเป็นเหมือนฉัน  แบบนี้จะได้ทำให้อะไรๆ ดูยุติธรรม”  การทำเช่นนี้ไม่ใช่ความมุ่งร้ายและเจตนาที่ไม่ดีหรอกหรือ?  นี่คือธรรมชาติของสิ่งใด?  (ความชั่วร้าย)  ทุกสิ่งที่คนชั่วพูดและทำล้วนทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายหนึ่ง  โดยปกติแล้วพวกเขามักทำสิ่งประเภทใด?  ผู้คนที่มีอุปนิสัยที่ชั่วร้ายมักทำสิ่งใดมากที่สุด?  (พวกเขาขัดขวาง ก่อกวน และทำลายงานของคริสตจักร)  (เวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนพวกเขาก็พยายามประจบประแจง แต่จากนั้นพวกเขาก็พยายามบ่อนทำลายผู้คนลับหลัง)  (พวกเขาโจมตีผู้คน อาฆาต และระเบิดอารมณ์ใส่ผู้อื่นด้วยความมุ่งร้าย)  (พวกเขาเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูลและว่าร้ายผู้อื่น)  (พวกเขากล่าวหา ตัดสิน และกล่าวโทษผู้อื่น)  ธรรมชาติของการกระทำเหล่านี้คือการก่อกวนและทำลายงานของคริสตจักร และทั้งหมดล้วนเป็นการสำแดงถึงการต้านทานและการโจมตีพระเจ้า เป็นการเผยอุปนิสัยที่ชั่วร้าย  บรรดาผู้ที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ย่อมเป็นคนชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย และสามารถระบุได้ว่าคนที่สำแดงอุปนิสัยชั่วร้ายบางอย่างออกมาเป็นคนชั่ว  แก่นแท้ของคนชั่วคืออะไร?  คือแก่นแท้ของมารและของซาตาน  คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงเลย  พวกเจ้าสามารถกระทำสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  ในบรรดาการกระทำเหล่านี้ พวกเจ้าสามารถทำสิ่งใดได้?  (การทำตัวชอบตัดสิน)  แล้วเจ้ากล้าโจมตีหรือแก้แค้นผู้คนหรือไม่?  (บางครั้งข้าพระองค์ก็มีความคิดประเภทนี้ แต่ไม่กล้าที่จะกระทำตามความคิดนั้น)  พวกเจ้าเพียงมีความคิดเหล่านี้แต่ไม่กล้าที่จะกระทำตามที่คิด  หากคนที่มีสถานะต่ำกว่ามาสร้างความเจ็บปวดให้แก่เจ้า เจ้าจะกล้าเอาคืนพวกเขาหรือไม่?  (บางครั้งข้าพระองค์ก็กล้าที่จะทำเช่นนั้น ข้าพระองค์สามารถทำเช่นนั้นได้)  หากคนคนนี้เป็นคนที่น่าเกรงขามโดยแท้—หากพวกเขาเป็นคนที่พูดจาฉะฉานมาก และพวกเขาทำให้เจ้าเจ็บปวด—เจ้าจะกล้าเอาคืนพวกเขาหรือไม่?  อาจจะมีเพียงไม่กี่คนที่ไม่กลัวที่จะเอาคืนพวกเขา  ผู้คนประเภทนี้ คนที่รังแกผู้ที่อ่อนแอแต่หวาดกลัวผู้ที่แข็งแกร่ง พวกเขามีอุปนิสัยที่ชั่วร้ายใช่หรือไม่?  (ใช่)  ไม่ว่านี่คือพฤติกรรมประเภทใด และไม่ว่าการนี้มุ่งเป้าไปที่ใคร หากเจ้าสามารถปฏิบัติความชั่วเพื่อตอบโต้พี่น้องชายหญิงคนอื่นได้ นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าในตัวเจ้ามีอุปนิสัยที่ชั่วร้ายอยู่  ดูจากภายนอก อุปนิสัยที่ชั่วร้ายนี้ไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่เจ้าต้องแยกแยะให้ได้ และเจ้าต้องแยกแยะให้ได้ว่าเจ้ากำลังพุ่งเป้าไปที่ใคร  หากเจ้าทำตัวโหดเหี้ยมใส่ซาตาน อีกทั้งสามารถกำราบและทำให้ซาตานอับอายได้ สิ่งนี้จะถือว่าเป็นอุปนิสัยที่ชั่วร้ายหรือไม่?  นี่ย่อมไม่ใช่อุปนิสัยที่ชั่วร้าย  นี่เป็นการยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องและไม่หวั่นเกรงเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูของตน  นี่คือการมีสำนึกของความยุติธรรมนั่นเอง  สิ่งนี้จะถือว่าเป็นอุปนิสัยที่ชั่วร้ายในรูปการณ์แวดล้อมแบบใด?  หากเจ้ากลั่นแกล้ง เหยียบย่ำ และทำให้คนดีหรือพี่น้องชายหญิงอับอาย เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมจะเป็นอุปนิสัยที่ชั่วร้าย  ด้วยเหตุนั้นเจ้าจึงต้องครองมโนธรรมและเหตุผล เข้าหาผู้คนและเรื่องทั้งหลายด้วยหลักธรรม สามารถหยั่งรู้คนชั่ว หมู่มาร มีสำนึกของความยุติธรรม เจ้าต้องมีความอดทนและอดกลั้นต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและบรรดาพี่น้องชายหญิง และเจ้าต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับความจริง  นี่คือสิ่งที่ถูกต้องและตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์  ผู้คนซึ่งมีอุปนิสัยที่ชั่วร้ายไม่ปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมเช่นนี้  หากใครก็ตามกระทำบางสิ่งบางอย่างที่สร้างความเจ็บปวดให้พวกเขา และพวกเขาก็พยายามที่จะแก้แค้นคนเหล่านั้น—สิ่งนี้ย่อมเป็นความชั่วร้าย  หนทางที่คนชั่วกระทำนั้นไม่มีหลักธรรม  พวกเขาไม่แสวงหาความจริง  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นการทำเพราะความพยาบาทส่วนตัว เป็นการรังแกคนอ่อนแอและหวาดกลัวคนแข็งแกร่ง หรือเป็นการกล้าแก้แค้นใครบางคนก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยที่ชั่วร้าย และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เรื่องนี้ไม่มีข้อกังขาเลย

สิ่งใดคือการสำแดงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของคนที่มีอุปนิสัยชั่วร้าย?  นั่นก็คือเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับคนที่ไร้เล่ห์มารยาซึ่งถูกรังแกได้ง่าย พวกเขาก็เริ่มรังแกและเล่นกับความรู้สึกของคนเหล่านั้น  นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เห็นได้ทั่วไป  เมื่อคนที่ค่อนข้างใจดีเจอคนที่ไร้เล่ห์มารยาและใจเสาะ พวกเขาจะรู้สึกถึงสำนึกแห่งความเห็นอกเห็นใจคนคนนั้น และต่อให้พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือได้ พวกเขาก็จะไม่กลั่นแกล้งคนคนนั้น  เมื่อเจ้าเห็นว่าหนึ่งในบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าเป็นคนที่ไร้เล่ห์มารยา เจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  เจ้ากลั่นแกล้งหรือเย้าหยอกพวกเขาหรือไม่?  (ข้าพระองค์อาจจะดูถูกพวกเขา)  การดูถูกผู้คนเป็นวิธีการหนึ่งในการมองพวกเขา ดูพวกเขา เป็นความรู้สึกนึกคิดแบบหนึ่ง ทว่าวิธีที่เจ้าพูดและกระทำต่อพวกเขานั้นสัมพันธ์กับอุปนิสัยของเจ้า  บอกเราทีเถิดว่า พวกเจ้าปฏิบัติตนต่อคนที่ขี้ขลาดและใจเสาะอย่างไร?  (ข้าพระองค์ออกคำสั่งกับพวกเขาและหาเรื่องพวกเขา)  (เมื่อข้าพระองค์เห็นว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่ดี ข้าพระองค์ก็เลือกปฏิบัติกับพวกเขาและกีดกันพวกเขาออกไป)  สิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้ากล่าวถึงเป็นการสำแดงถึงอุปนิสัยที่ชั่วร้ายและเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยของผู้คน  ในเรื่องนี้ยังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะลงรายละเอียดในสิ่งเหล่านี้  พวกเจ้าเคยพบเจอคนที่อยากให้ผู้ที่ล่วงเกินพวกเขาถึงแก่ความตาย และถึงกับอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอพระองค์ให้ทรงสาปแช่งคนเหล่านั้น ทรงกวาดล้างคนเหล่านั้นไปจากโลกนี้บ้างหรือไม่?  ถึงแม้จะไม่มีบุคคลใดที่มีอำนาจเช่นนั้น แต่พวกเขาก็คิดอยู่ในหัวใจว่าถ้าพวกเขามีอำนาจเช่นนั้นก็คงจะดี หรือไม่พวกเขาก็อธิษฐานถึงพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงทำเช่นนี้  พวกเจ้ามีความคิดดังกล่าวอยู่ในหัวใจหรือไม่?  (ตอนที่พวกเรากำลังประกาศข่าวประเสริฐและเผชิญหน้ากับคนชั่วที่ทำร้ายพวกเราและรายงานเรื่องของพวกเราต่อตำรวจ ข้าพระองค์ก็รู้สึกเกลียดชังพวกเขา และมีความคิดที่ว่า “สักวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงลงโทษพวกคุณ”)  นั่นเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรมทีเดียว  เจ้าถูกโจมตี เจ้าทนทุกข์ เจ้ารู้สึกเจ็บปวด ความซื่อตรงและความเคารพตนเองของเจ้าถูกเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี—ในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างยากลำบาก  (คนบางคนเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูลเกี่ยวกับคริสตจักรของพวกเราทางออนไลน์ พวกเขาสร้างข้อกล่าวหามากมาย และเมื่อได้อ่านก็ทำให้ข้าพระองค์รู้สึกโกรธจริงๆ และในหัวใจของข้าพระองค์ก็มีความเกลียดชังอยู่มากมาย)  นี่คือความชั่วร้าย ความหัวร้อน หรือความเป็นมนุษย์ที่ปกติกันเล่า?  (นี่คือความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  การไม่เกลียดชังพวกปีศาจและศัตรูของพระเจ้าต่างหากที่ไม่ใช่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติ)  ถูกต้อง  นี่คือการเผย การสำแดง และการตอบสนองจากความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  หากผู้คนไม่เกลียดชังสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบหรือรักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก หากพวกเขาไม่มีมาตรฐานของมโนธรรม เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ใช่ผู้คน  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ การกระทำใดของผู้คนที่สามารถพัฒนาไปเป็นอุปนิสัยที่ชั่วร้ายได้?  หากความรังเกียจและความเกลียดชังแปรเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมบางประเภท หากเจ้าสูญสิ้นเหตุผลทั้งปวง และการกระทำของเจ้าก็ล้ำเส้นบางอย่างของความเป็นมนุษย์ไป หากเจ้าถึงขั้นหมิ่นเหม่ที่จะปลิดชีพพวกเขาและทำผิดกฎหมาย เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความชั่วร้าย นี่คือการปฏิบัติตนด้วยความหัวร้อน  เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงและสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะคนชั่ว อีกทั้งเกลียดชังความเลวร้าย นี่ย่อมเป็นความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  แต่หากผู้คนรับมือกับสิ่งทั้งหลายด้วยความหัวร้อน พวกเขาก็กำลังปฏิบัติตนอย่างไร้หลักธรรม  การกระทำเช่นนี้ต่างจากการกระทำชั่วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เรื่องนี้มีความแตกต่างกันอยู่  หากคนคนหนึ่งทำตัวแย่อย่างถึงที่สุด ชั่วร้ายถึงที่สุด ชั่วอย่างถึงที่สุด ไร้ศีลธรรมถึงที่สุด และเจ้ารู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขาอย่างยิ่ง อีกทั้งความเป็นปฏิปักษ์นี้ไปถึงจุดที่เจ้าขอให้พระเจ้าทรงสาปแช่งพวกเขา เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับได้  แต่หากเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าไปแล้วสองหรือสามครั้ง ทว่าพระองค์ไม่ทรงกระทำการใดเลย และเจ้าก็จัดการเรื่องนั้นด้วยตัวเอง นี่จะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เจ้าสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสดงทัศนะกับความคิดเห็นของเจ้า จากนั้นก็ค้นหาหลักธรรมความจริง ในกรณีนั้นเจ้าจึงจะสามารถรับมือกับสิ่งทั้งหลายได้อย่างถูกต้อง  แต่เจ้าไม่ควรเรียกร้องหรือพยายามบีบบังคับให้พระเจ้าทรงทำการชำระแค้นแทนเจ้า นับประสาอะไรกับการที่เจ้าจะยอมให้ความหัวร้อนมาทำให้เจ้าทำเรื่องโง่เง่าทั้งหลาย  เจ้าควรจัดการเรื่องทั้งหลายด้วยความมีเหตุมีผล  เจ้าควรอดทน รอให้ถึงเวลาของพระเจ้า และใช้เวลากับการอธิษฐานถึงพระเจ้าให้มากขึ้น  จงดูว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อซาตานและพวกมารด้วยพระปัญญาอย่างไร และในหนทางนี้เจ้าย่อมจะสามารถอดทนได้  การเป็นคนมีเหตุผลหมายถึงการไว้วางใจมอบทั้งหมดนี้แก่พระเจ้า และปล่อยให้พระเจ้าทรงกระทำการ  นี่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงกระทำ  จงอย่าปฏิบัติตนด้วยความหัวร้อน  การปฏิบัติตนด้วยความหัวร้อนนั้นไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับพระเจ้า และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษ  ในช่วงเวลาเช่นนั้น อุปนิสัยที่เผยให้เห็นในตัวผู้คนไม่ใช่ความอ่อนแอของมนุษย์หรือการระบายความโกรธ ในทางกลับกันนี่คืออุปนิสัยที่ชั่วร้าย  เมื่อสิ่งนี้ถูกกำหนดว่าเป็นอุปนิสัยที่ชั่วร้าย เจ้าย่อมตกที่นั่งลำบาก และมีแนวโน้มว่าจะไม่ได้รับการช่วยให้รอด  นั่นเป็นเพราะเมื่อผู้คนมีอุปนิสัยที่ชั่วร้าย พวกเขาย่อมหมิ่นเหม่ที่จะกระทำการละเมิดต่อมโนธรรมและเหตุผล อีกทั้งพวกเขามีแนวโน้มอย่างสูงที่จะทำผิดกฎหมายและละเมิดกฎการปกครองของพระเจ้า  แล้วเจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงการนี้ได้อย่างไร?  อย่างน้อยที่สุด มีเส้นแบ่งอยู่สามเส้นที่เจ้าต้องไม่ก้าวข้าม เส้นแรกคือการไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่ละเมิดมโนธรรมและสำนึก เส้นที่สองคือการไม่ทำผิดกฎหมาย และเส้นที่สามคือการไม่ละเมิดกฎการปกครองของพระเจ้า  ทั้งหมดนี้ยังรวมถึงการไม่ทำสิ่งใดที่สุดโต่งหรือก่อกวนงานของคริสตจักร  หากเจ้าทำตามหลักธรรมเหล่านี้ อย่างน้อยที่สุดเจ้าย่อมจะได้รับรองความปลอดภัย และเจ้าจะไม่ถูกกำจัดออกไป  หากเจ้าต้านทานอย่างชั่วร้ายในยามที่เจ้าถูกตัดแต่งเพราะทำชั่วทุกประเภท เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมจะอันตรายเสียยิ่งกว่าเดิม  เจ้ามีแนวโน้มที่จะก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าโดยตรง และมีแนวโน้มที่จะถูกขับไล่และถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร  การลงโทษสำหรับการก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นร้ายแรงกว่าการทำผิดกฎหมายมากนัก—นี่คือชะตากรรมที่แย่ยิ่งกว่าความตาย  อย่างมากที่สุดการทำผิดกฎหมายก็นำมาซึ่งโทษจำคุก เจ้าต้องอยู่อย่างยากลำบากเพียงไม่กี่ปีแล้วก็ถูกปล่อยตัว ก็เท่านั้นเอง  แต่หากเจ้าก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า เจ้าจะทนทุกข์กับการลงโทษไปชั่วนิรันดร์  เพราะฉะนั้นหากคนที่มีอุปนิสัยชั่วร้ายปราศจากความมีเหตุผล พวกเขาย่อมตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง พวกเขาหมิ่นเหม่ที่จะกระทำชั่ว อีกทั้งพวกเขาต้องถูกลงโทษและทนทุกข์กับโทษทัณฑ์ที่สาสมอย่างแน่นอน  หากผู้คนมีเหตุผลอยู่บ้าง สามารถแสวงหาและนบนอบความจริง และสามารถงดเว้นจากการทำชั่วที่มากเกินไปได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน  การที่คนคนหนึ่งมีเหตุผลและมีความมีเหตุมีผลนั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด  คนที่มีเหตุผลมีแนวโน้มที่จะยอมรับความจริงและรับมือกับการถูกตัดแต่งได้ในหนทางที่ถูกต้อง  แต่คนที่ไม่มีเหตุผลย่อมตกอยู่ในอันตรายเวลาที่พวกเขาถูกตัดแต่ง  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าใครบางคนรู้สึกโกรธจัดหลังจากที่พวกเขาถูกผู้นำตัดแต่ง  พวกเขารู้สึกอยากจะเผยแพร่ข่าวลือและโจมตีผู้นำคนนั้น แต่ไม่กล้าทำเพราะกลัวว่าจะก่อให้เกิดปัญหา  อย่างไรก็ตาม อุปนิสัยดังกล่าวมีอยู่ในหัวใจของพวกเขาแล้ว และนี่ก็บอกได้ยากว่าพวกเขาจะกระทำตามอุปนิสัยนั้นหรือไม่  ตราบเท่าที่ใครบางคนมีอุปนิสัยประเภทนี้อยู่ในหัวใจ ตราบเท่าที่ความคิดเหล่านี้ดำรงอยู่ ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ทำเช่นนั้น แต่พวกเขาก็ตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว  เมื่อรูปการณ์แวดล้อมเอื้ออำนวย—เมื่อพวกเขาสบโอกาส—พวกเขาอาจจะทำเช่นนั้นก็ได้  ดังนั้นตราบเท่าที่อุปนิสัยที่ชั่วร้ายของพวกเขายังคงอยู่ หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็วคนคนนี้ย่อมจะกระทำชั่ว  แล้วมีสถานการณ์ใดอีกบ้างที่คนคนหนึ่งจะเผยอุปนิสัยที่ชั่วร้ายออกมา?  จงบอกเราที  (ข้าพระองค์ทำหน้าที่ของข้าพระองค์อย่างสุกเอาเผากินและไม่เกิดผลลัพธ์ใดเลย และจากนั้นข้าพระองค์ก็ถูกผู้นำปลดตามหลักธรรม ข้าพระองค์รู้สึกขัดขืนอยู่บ้าง  ต่อมา เมื่อข้าพระองค์เห็นเขาเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา ข้าพระองค์ก็คิดที่จะเขียนจดหมายรายงานเรื่องของเขา)  แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากความว่างเปล่าเช่นนั้นหรือ?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  แนวคิดนี้เกิดมาจากธรรมชาติของเจ้า  ไม่ช้าก็เร็วสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติของผู้คนย่อมถูกเผยและแสดงออกมาโดยไม่รู้เลยว่าธรรมชาติเหล่านั้นจะปรากฏออกมาในสถานการณ์หรือบริบทใด  บางครั้งผู้คนไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น แต่นั่นเป็นเพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย  อย่างไรก็ตามหากพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมจะสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งนี้ได้  หากพวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมจะทำตามใจชอบ และทันทีที่สถานการณ์เอื้ออำนวย พวกเขาย่อมจะกระทำชั่ว  ด้วยเหตุนั้น หากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่ได้รับการแก้ไข ก็มีแนวโน้มอย่างยิ่งว่าผู้คนจะพาตัวเองให้ตกที่นั่งลำบาก หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะต้องรับผลของสิ่งที่กระทำลงไป  คนบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินอยู่เป็นนิจ  เมื่อถูกตัดแต่งพวกเขาก็ไม่ยอมรับเรื่องนี้ พวกเขาไม่เคยกลับใจ และท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกตัดขาดด้วยจุดประสงค์ที่จะให้ไปทบทวนตนเอง  บางคนถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรเพราะพวกเขาก่อกวนชีวิตคริสตจักรอย่างไม่หยุดหย่อนและกลายเป็นแอปเปิลเน่า และบางคนก็ถูกขับไล่เพราะพวกเขาปฏิบัติความชั่วทุกประเภท  เพราะฉะนั้นไม่ว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด หากใครบางคนเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่เป็นประจำและไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งนี้ พวกเขาก็หมิ่นเหม่ที่จะกระทำชั่ว  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ไม่ได้ประกอบด้วยความโอหังเพียงอย่างเดียว แต่ยังประกอบด้วยความเลวและความชั่วร้ายอีกด้วย  ความโอหังและความชั่วร้ายเป็นเพียงปัจจัยที่พบได้ทั่วไปเท่านั้น

แล้วปัญหาเรื่องการเผยอุปนิสัยที่ชั่วร้ายควรได้รับการแก้ไขอย่างไรหรือ?  ผู้คนต้องรับรู้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาคืออะไร  อุปนิสัยของคนบางคนนั้นชั่วร้าย มุ่งร้าย และโอหังเป็นพิเศษ และพวกเขาก็เป็นคนที่ไร้ศีลธรรมโดยสิ้นเชิง  นี่คือธรรมชาติของคนชั่ว และคนเหล่านี้เป็นพวกที่อันตรายที่สุดในบรรดาทั้งปวง  เมื่อผู้คนเช่นนี้มีอำนาจ หมู่มารย่อมมีอำนาจ และเหล่าซาตานก็มีอำนาจ  ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น บรรดาคนชั่วล้วนถูกเผยให้เห็นและถูกกำจัดเพราะพวกเขาการกระทำชั่วทุกประเภท  เมื่อเจ้าพยายามสามัคคีธรรมความจริงหรือพยายามตัดแต่งคนชั่ว พวกเขาย่อมมีโอกาสสูงที่จะโจมตีเจ้า ตัดสินเจ้า หรือแม้กระทั่งแก้แค้นเอาคืนเจ้า ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผลจากอุปนิสัยอันแสนมุ่งร้ายของพวกเขา  ที่จริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก  ตัวอย่างเช่น อาจมีคนสองคนที่เข้ากันได้ดีมาก เป็นคนที่เอาใจใส่และเข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างมาก—แต่สุดท้ายพวกเขาก็แตกคอกันด้วยเรื่องของผลประโยชน์เพียงเรื่องเดียว และพวกเขาก็ตัดขาดซึ่งกันและกัน  บางคนถึงกลับกลายเป็นศัตรูและพยายามแก้แค้นเอาคืนอีกฝ่ายหนึ่ง  คนเหล่านี้ล้วนชั่วร้ายอย่างยิ่ง  ในเรื่องการทำหน้าที่ของผู้คนนั้น  พวกเจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่าจากสิ่งที่สำแดงและเผยออกมาจากพวกเขานั้น สิ่งใดอยู่ในขอบเขตของอุปนิสัยที่ชั่วร้าย?  สิ่งเหล่านี้ย่อมมีอยู่อย่างแน่นอน และเจ้าต้องถอนรากถอนโคนสิ่งเหล่านั้นออกไปเสีย  การนี้จะช่วยให้พวกเจ้าหยั่งรู้และรับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้  หากเจ้าไม่รู้วิธีถอนรากถอนโคนและแยกแยะสิ่งเหล่านี้ พวกเจ้าจะไม่มีวันหยั่งรู้ในคนชั่วได้  หลังจากถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและตกอยู่ใต้การควบคุมของพวกเขาแล้ว ชีวิตของบางคนก็ได้รับความเสียหาย และเมื่อนั้นเองพวกเขาจึงได้รู้ว่าศัตรูของพระคริสต์คืออะไร และอุปนิสัยที่ชั่วร้ายคืออะไร  ความเข้าใจต่อความจริงของพวกเจ้านั้นตื้นเขินเหลือเกิน  ความเข้าใจต่อความจริงส่วนใหญ่ของพวกเจ้านั้นหยุดอยู่ที่ระดับของการพูดหรือการเขียน หรือเจ้าสามารถเข้าใจได้เพียงคำพูดและคำสอนเท่านั้น และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจเทียบเท่าความเป็นจริงได้เลย  หลังจากได้ฟังคำเทศนามามากมาย ในหัวใจของเจ้าดูเหมือนจะมีความเข้าใจและความรู้แจ้ง แต่เมื่อเผชิญกับความเป็นจริง เจ้าก็ยังไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริงได้  หากพูดกันตามทฤษฎีแล้ว พวกเจ้าทุกคนต่างรู้ว่าการสำแดงของศัตรูของพระคริสต์คืออะไร แต่เมื่อเจ้ามองดูศัตรูของพระคริสต์ตัวจริง เจ้ากลับไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์  นี่เป็นเพราะเจ้ามีประสบการณ์น้อยเกินไป  เมื่อเจ้าได้มีประสบการณ์มากขึ้น เมื่อเจ้าถูกศัตรูของพระคริสต์ทำให้เจ็บปวดมามากพอ เจ้าจะสามารถหยั่งรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาเป็นได้อย่างแท้จริง  วันนี้ ถึงแม้ว่าคนส่วนมากจะฟังคำเทศนาอย่างมีสติในระหว่างชุมนุม และต้องการที่จะเพียรพยายามเพื่อความจริง แต่เมื่อพวกเขาได้ฟังคำเทศนา พวกเขากลับเข้าใจเพียงความหมายตามตัวอักษรเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เข้าใจไปมากกว่าระดับของทฤษฎี และพวกเขาก็ไม่สามารถมีประสบการณ์ในด้านของความเป็นจริงความจริงได้  ด้วยเหตุนั้น การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของพวกเขาจึงอยู่ในระดับที่ผิวเผินมาก ซึ่งหมายความว่าพวกเขาขาดพร่องการหยั่งรู้ต่อคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์  ศัตรูของพระคริสต์มีแก่นแท้ของคนชั่ว ทว่านอกเหนือจากศัตรูของพระคริสต์และคนชั่ว คนอื่นๆ ไม่มีอุปนิสัยที่ชั่วร้ายหรอกหรือ?  ในความเป็นจริง ไม่อาจวอแวใครได้ง่ายๆ  เมื่อไม่มีอะไรผิดพลาด ทุกคนต่างก็ยิ้มแย้ม แต่เมื่อพวกเขาเผชิญกับบางสิ่งที่สร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาก็กลับกลายเป็นอัปลักษณ์  นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วร้าย  อุปนิสัยที่ชั่วร้ายสามารถเผยออกมาได้ทุกขณะ ทว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้  แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องนี้เล่า?  นี่เป็นเรื่องของการถูกวิญญาณชั่วสิงสู่หรือ?  นี่เป็นเรื่องของการกลับชาติมาเกิดของปีศาจชั่วอย่างนั้นหรือ?  หากเป็นหนึ่งในสองกรณีดังกล่าว เช่นนั้นแล้วคนคนนั้นก็ย่อมมีแก่นแท้ของคนชั่ว และพวกเขาย่อมเกินจะช่วยเหลือ  หากพวกเขาไม่ได้มีแก่นแท้ของคนชั่วและพวกเขาเพียงแค่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ เช่นนั้นแล้ว ภาวะของพวกเขาก็ยังไม่ใช่จุดสุดท้าย และหากพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้ พวกเขาก็ยังมีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  แล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและชั่วร้ายนั้นแก้ไขได้อย่างไร?  อันดับแรก เมื่อเจ้าเผชิญกับเรื่องทั้งหลาย เจ้าต้องหมั่นอธิษฐานและทบทวนแรงจูงใจและความอยากที่เจ้ามี  เจ้าต้องยอมรับการทรงพินิจพิเคราะห์จากพระเจ้า และคอยควบคุมพฤติกรรมของตน  นอกจากนี้ เจ้าต้องไม่เผยคำพูดหรือพฤติกรรมชั่วออกมา  หากคนคนหนึ่งพบว่าตนเองมีเจตนาที่ไม่ถูกต้องและมีความมุ่งร้ายอยู่ในหัวใจ ต้องการที่จะทำเรื่องแย่ๆ พวกเขาก็ต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งนี้ พวกเขาต้องหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องเพื่อทำความเข้าใจและแก้ไขเรื่องนี้ พวกเขาต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า วอนขอการคุ้มครองจากพระองค์ สาบานต่อพระเจ้า และเมื่อพวกเขาไม่ยอมรับความจริงและกระทำชั่ว พวกเขาก็ต้องสาปแช่งตัวเอง  การสามัคคีธรรมกับพระเจ้าในหนทางนี้ย่อมมอบการคุ้มครองและการหยุดยั้งคนคนหนึ่งจากการทำชั่ว  หากมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่งและมีเจตนาชั่วเกิดขึ้น ทว่าพวกเขาไม่ใส่ใจและปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินต่อไป หรือทึกทักไปว่านี่คือหนทางที่พวกเขาควรกระทำ เช่นนั้นพวกเขาก็คือคนชั่ว และไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าหรือรักความจริงโดยแท้  คนเช่นนั้นคือคนที่ยังคงต้องการเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า อีกทั้งต้องการได้รับพรและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์—แต่เรื่องนั้นเป็นไปได้หรือ?  พวกเขากำลังฝันอยู่  อุปนิสัยประเภทที่ห้าคือความชั่วร้ายนั่นเอง  นี่ก็เป็นประเด็นที่สัมพันธ์กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นกัน และนั่นคือทั้งหมดสำหรับหัวข้อนี้

เจ้าควรคุ้นเคยกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทที่หกด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือความเลวร้ายนั่นเอง  พวกเรามาเริ่มต้นจากเวลาที่ผู้คนประกาศข่าวประเสริฐกันเถิด  คนบางคนเผยอุปนิสัยอันเลวร้ายในยามที่พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐ  พวกเขาไม่ได้ประกาศตามหลักธรรม อีกทั้งไม่รู้ว่าผู้คนประเภทใดที่รักความจริงและครองความเป็นมนุษย์ พวกเขาเพียงแต่มองหาสมาชิกเพศตรงข้ามที่พวกเขารู้สึกถูกคอ คนที่พวกเขาชื่นชอบและอยากคบหาด้วย  พวกเขาไม่ประกาศกับคนที่พวกเขาไม่ชอบหรือไม่อยากคบหาด้วย  ไม่สำคัญว่าคนคนหนึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมของการประกาศข่าวประเสริฐหรือไม่—หากนั่นคือคนที่พวกเขาสนใจ พวกเขาย่อมจะตามตื๊อคนคนนั้น  ผู้อื่นอาจจะบอกพวกเขาว่าคนคนนั้นไม่ตรงกับหลักธรรมของการประกาศข่าวประเสริฐ แต่พวกเขาก็ยังยืนกรานที่จะประกาศกับคนคนนั้น  ภายในตัวของพวกเขามีอุปนิสัยที่ควบคุมการกระทำของพวกเขา ที่ทำให้พวกเขาสนองความปรารถนาอันต่ำช้าของตัวเองและสัมฤทธิ์เป้าหมายส่วนตัวภายใต้ธงของการประกาศข่าวประเสริฐ  สิ่งนี้เป็นเพียงอุปนิสัยอันเลวร้ายโดยแท้จริง  นอกจากนี้ยังมีแม้กระทั่งคนที่รู้อยู่เต็มอกว่าพวกเขาผิดที่ทำเช่นนี้ อีกทั้งรู้ว่าการทำเช่นนี้ล่วงเกินพระเจ้าและละเมิดกฎการปกครองของพระองค์—แต่พวกเขาก็ยังไม่หยุด  นี่เป็นอุปนิสัยประเภทหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นหนึ่งในการสำแดงถึงอุปนิสัยอันเลวร้าย ไม่เพียงแต่การเผยความปรารถนาอันต่ำช้าเท่านั้นที่ควรถูกอธิบายว่าเป็นสิ่งเลวร้าย ขอบเขตของความเลวร้ายนั้นกว้างขวางกว่าแค่ความกำหนัดทางเนื้อหนัง  ลองคิดดูว่า การสำแดงอุปนิสัยอันเลวร้ายมีอะไรอีกบ้าง?  เนื่องจากนี่คืออุปนิสัย สิ่งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงหนทางในการปฏิบัติตนเท่านั้น ทว่ายังเกี่ยวข้องกับสภาวะ การสำแดงและการเผยต่างๆ มากมาย และนั่นคือสิ่งที่ระบุว่านี่คืออุปนิสัย  (การทำตามกระแสทางโลก การไม่ปล่อยวางจากสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับกระแสทางโลก)  การไม่ปล่อยวางจากกระแสที่เลวร้ายนั้นเป็นประเภทหนึ่ง  การถูกดึงดูดจากกระแสอันเลวร้ายทางโลก การวิ่งตาม การหมกมุ่น รวมถึงการไล่ตามไขว่คว้ากระแสเหล่านั้นด้วยความหลงใหลอย่างแรงกล้า  มีบางคนที่ไม่ว่าจะถูกสามัคคีธรรมความจริงเพียงไร หรือไม่ว่าพวกเขาจะถูกตัดแต่งอย่างไร พวกเขาก็ไม่เคยปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้เลย สิ่งนี้ไปจนถึงจุดของความลุ่มหลงเสียด้วยซ้ำ  นี่คือความเลวร้าย  แล้วเมื่อผู้คนทำตามกระแสอันเลวร้าย การสำแดงใดหรือที่บ่งชี้ว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันเลวร้าย?  เหตุใดพวกเขาจึงรักสิ่งเหล่านี้?  สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับกระแสอันเลวร้ายทางโลกซึ่งทำให้พวกเขาเกิดความพึงพอใจทางจิตใจ สนองความต้องการ ความมีใจชอบ และความอยากของพวกเขา?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าพวกเขาชื่นชอบดาราภาพยนตร์ จากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับดาราเหล่านี้ สิ่งใดเป็นตัวขับเคลื่อนความหมกมุ่นและทำให้พวกเขาทำตามดาราคนนั้นหรือ?  สิ่งนั้นคือความโก้เก๋ ความมีรสนิยม รูปลักษณ์ และชื่อเสียงของคนเหล่านี้ รวมไปถึงชีวิตอันฟุ้งเฟ้อที่พวกเขาโหยหานั่นเอง  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเขาเฝ้าติดตาม—สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เลวร้ายใช่หรือไม่?  (ใช่)  เหตุใดจึงกล่าวว่าพวกเขาเป็นคนเลวร้าย?  (เพราะพวกเขาขัดต่อความจริงและสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และพวกเขาไม่ได้เป็นไปตามที่พระเจ้าทรงร้องขอ)  นี่คือคำสอน  ลองมาวิเคราะห์คนดังและดาราภาพยนตร์เหล่านี้กันเถิด จากวิถีชีวิตของพวกเขา กิริยาท่าทางของพวกเขา แม้กระทั่งบุคลิกในที่สาธารณะของพวกเขาและเสื้อผ้าที่ทุกคนต่างบูชาเหลือเกิน  เหตุใดพวกเขาจึงใช้ชีวิตเช่นนั้น?  และเหตุใดพวกเขาจึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นติดตามพวกเขา?  พวกเขาทุ่มเทความพยายามอย่างมากให้กับทั้งหมดนี้  พวกเขามีช่างแต่งหน้าและคนดูแลเสื้อผ้าส่วนตัวเพื่อสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ให้พวกเขา  แล้วเป้าหมายของการที่พวกเขาสร้างสรรค์ภาพลักษณ์นี้คืออะไร?  เพื่อดึงดูดผู้คน เพื่อชักพาคนเหล่านั้นให้หลงผิด และทำให้มาติดตามพวกเขา—รวมถึงเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการนี้  เพราะฉะนั้นไม่ว่าผู้คนบูชาชื่อเสียง รูปลักษณ์ภายนอก หรือชีวิตของดาราเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นการกระทำที่โง่เขลาและไร้สาระโดยแท้จริง  หากคนคนหนึ่งครองความมีเหตุผล พวกเขาจะบูชาหมู่มารได้อย่างไร?  หมู่มารคือสิ่งทั้งหลายที่หลอกลวง สร้างความเสียหาย และชักพาผู้คนให้หลงผิด  หมู่มารไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่มีการยอมรับความจริงแต่อย่างใด  หมู่มารล้วนทำตามซาตาน  เป้าหมายของพวกที่ทำตามและบูชาหมู่มารและซาตานคืออะไร?  พวกเขาต้องการเอาเยี่ยงอย่างมารเหล่านี้ ทำตัวเลียนแบบมารเหล่านี้ ด้วยหวังว่าวันหนึ่งพวกเขาจะกลายเป็นมารที่สวยงามและเซ็กซี่เช่นเดียวกับมารและคนดังเหล่านี้  พวกเขาชอบที่ได้เพลิดเพลินกับความรู้สึกนี้  ไม่ว่าคนดังหรือบุคคลมีชื่อเสียงคนใดก็ตามที่คนคนหนึ่งบูชา เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาล้วนเหมือนกัน—คือเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด ดึงดูดผู้คน และทำให้คนเหล่านั้นบูชาและติดตามพวกเขานั่นเอง  นี่มิใช่อุปนิสัยอันเลวร้ายหรอกหรือ?  นี่คืออุปนิสัยอันเลวร้าย และเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด

อุปนิสัยอันเลวร้ายยังสำแดงออกมาในอีกหนทางหนึ่งด้วย  คนบางคนเห็นว่าการชุมนุมในพระนิเวศของพระเจ้ามักเกี่ยวข้องกับการอ่านพระวจนะของพระเจ้า การสามัคคีธรรมความจริง และการพูดคุยถึงการรู้จักตนเอง การปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกควร วิธีปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับหลักธรรม วิธียำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว วิธีเข้าใจและปฏิบัติความจริง รวมถึงแง่มุมนานาประการของความจริง  การได้ฟังสิ่งเหล่านี้มาตลอดหลายปีทำให้พวกเขายิ่งฟังก็ยิ่งเบื่อหน่าย และพวกเขาก็เริ่มพร่ำบ่นว่า “จุดประสงค์ของความเชื่อในพระเจ้าคือเพื่อให้ได้รับพรไม่ใช่เหรอ?  ทำไมพวกเราถึงมัวแต่พูดถึงความจริงและสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้าล่ะ?  จะพูดเรื่องนี้จบเมื่อไร?  ฉันเบื่อเต็มทีแล้ว!”  แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะกลับไปทางโลก  พวกเขาคิดกับตัวเองว่า “ความเชื่อในพระเจ้าช่างห่อเหี่ยวและน่าเบื่อสิ้นดี—ฉันจะทำให้สิ่งนี้น่าสนใจขึ้นอีกนิดได้อย่างไรบ้าง?  ฉันต้องหาอะไรที่น่าสนใจเสียหน่อย”  แล้วพวกเขาก็เฝ้าถามว่า “ที่คริสตจักรนี้มีผู้เชื่อในพระเจ้ากี่คน?  ที่นี่มีผู้นำและคนทำงานกี่คน?  มีคนที่ถูกปลดไปแล้วกี่คน?  มีวัยรุ่นที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรีกับปริญญาโทกี่คน?  มีใครรู้จำนวนบ้าง?”  พวกเขาปฏิบัติราวกับสิ่งเหล่านี้และข้อมูลนี้เป็นความจริง  นี่คืออุปนิสัยใดหรือ?  นี่คือความเลวร้าย หรือที่พูดถึงกันโดยทั่วไปว่า “ความเลวทราม” นั่นเอง  พวกเขาได้ฟังความจริงมามากมาย แต่ไม่มีสักข้อเดียวที่จุดประกายให้พวกเขาเกิดความสนใจหรือมุ่งเน้นในความจริงเหล่านั้นได้มากพอ  ทันทีที่ใครบางคนมีเรื่องซุบซิบหรือข่าววงใน พวกเขาก็พลันหูผึ่งและกลัวว่าจะพลาดข่าวนั้นไป  นี่คือความเลวทรามใช่หรือไม่?  (ใช่)  สิ่งใดที่แสดงถึงลักษณะนิสัยของคนเลวทราม?  พวกเขาไม่สนใจในความจริงเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาสนใจเพียงแค่เรื่องภายนอก ทั้งยังสอดส่องหาเรื่องซุบซิบและสิ่งทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตหรือกับความจริงอย่างตะกละตะกลามและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  พวกเขาคิดว่าการหาคำตอบของเรื่องนี้ การหาข้อมูลทั้งหมดนี้ และจำใส่ใจไว้หมายความว่าพวกเขาครองความเป็นจริงความจริง พวกเขาคือสมาชิกที่ดีอย่างแท้จริงในพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาย่อมจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าและสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้อย่างแน่นอน  พวกเจ้าคิดว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่?  (ไม่จริง)  พวกเจ้าสามารถมองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ผู้เชื่อใหม่ในพระเจ้าหลายคนไม่สามารถทำได้  พวกเขาจับจ้องอยู่กับข้อมูลนี้ คิดว่าการรู้สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขากลายเป็นสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า—แต่ที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงเกลียดผู้คนเช่นนั้นมากที่สุด พวกเขาคือคนที่กลวงเปล่า ตื้นเขิน และไม่รู้ความที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง  พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ ผลคือเพื่อประทานความจริงให้เป็นชีวิตของผู้คน  แต่หากผู้คนไม่มุ่งเน้นที่การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งพยายามมองหาเรื่องซุบซิบและพยายามที่จะรู้เรื่องราวภายในคริสตจักรอยู่เสมอ พวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างนั้นหรือ?  พวกเขาคือคนที่ทำงานอันเหมาะควรหรือ?  สำหรับเรา คนเหล่านี้คือคนเลวร้าย  พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ  ผู้คนเช่นนี้อาจเรียกว่าเลวทรามได้เช่นกัน  พวกเขาแค่มุ่งเน้นไปที่ข่าวลือ  สิ่งนี้สนองความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา แต่พวกเขาเป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า  คนเหล่านี้มิใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง นับประสาอะไรกับการเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาเป็นทาสรับใช้ของซาตานที่มาก่อกวนงานของคริสตจักร  นอกจากนั้นแล้ว ผู้คนที่มักสืบค้นและตรวจสอบพระเจ้าอยู่เสมอเป็นสมุนและข้ารับใช้ของพญานาคใหญ่สีแดง  พระเจ้าทรงเกลียดชังและทรงขยะแขยงคนเหล่านี้มากที่สุดในบรรดาทั้งหมด  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่ไว้วางใจในพระเจ้าเล่า?  เมื่อเจ้าสืบค้นและตรวจสอบพระเจ้า เจ้าก็กำลังค้นหาความจริงอยู่ใช่หรือไม่?  การค้นหาความจริงนั้นเกี่ยวข้องกับครอบครัวที่พระคริสต์ถือประสูติหรือสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงเติบโตมาใช่หรือไม่?  คนที่คอยเพ่งพินิจพระเจ้าอยู่เสมอนั้น—พวกเขาคือคนที่น่าขยะแขยงมิใช่หรือ?  หากเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์อยู่เป็นนิจ เจ้าก็ควรให้เวลากับไล่ตามเสาะหาความรู้ทางพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น มีเพียงตอนที่เจ้าเข้าใจความจริงเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องมโนคติอันหลงผิดของเจ้าได้  การตรวจสอบภูมิหลังครอบครัวของพระคริสต์หรือรูปการณ์แวดล้อมที่พระองค์ประสูติจะทำให้เจ้ารู้จักพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  การนี้จะทำให้เจ้าค้นพบแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์หรือ?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้นอุทิศตนให้กับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง มีเพียงการนี้ที่นำมาซึ่งการรู้จักแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์  แต่เหตุใดพวกที่พินิจพิเคราะห์พระเจ้าอยู่ตลอดเวลาจึงกระทำเรื่องเลวทรามอยู่ไม่ว่างเว้น?  เหล่าคนต่ำช้าที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณพวกนี้ควรรีบลุกออกไปจากพระนิเวศของพระเจ้าเสีย!  ระหว่างการชุมนุมและการเทศนามีการแสดงความจริงมากมาย อีกทั้งมีหลายสิ่งที่ได้รับการสามัคคีธรรม—เหตุใดเจ้ายังต้องพินิจพิเคราะห์พระเจ้าอยู่เล่า?  การที่เจ้าพินิจพิเคราะห์พระเจ้าอยู่เสมอหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าเลวร้ายอย่างยิ่ง!  นอกจากนี้ยังมีคนที่ถึงกับคิดว่าการศึกษาข้อมูลสัพเพเหระทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขามีต้นทุน และพวกเขาก็เที่ยวเบ่งเรื่องนี้กับคนอื่นไปทั่ว  สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้น?  พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเกลียดชังและขยะแขยงนั่นเอง  พวกเขายังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?  พวกเขาคือเหล่าปีศาจที่มีชีวิตมิใช่หรือ?  พวกเขาจะเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาอุทิศความคิดทั้งหมดของตนให้กับหนทางของความเลวร้ายและความคดเคี้ยว  สิ่งนี้ราวกับพวกเขาคิดว่า ยิ่งพวกเขารู้คำบอกเล่ามากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งเป็นสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า และยิ่งเข้าใจความจริงมากเท่านั้น  ผู้คนเช่นนี้ไร้สาระสิ้นดี  ในพระนิเวศของพระเจ้าไม่มีใครน่าขยะแขยงไปกว่าพวกเขาแล้ว

ในความเชื่อ คนบางคนมุ่งอยู่กับสิ่งที่ไม่สมจริงอยู่เป็นนิจ  ตัวอย่างเช่น บางคนมักตรวจสอบอยู่เสมอว่าราชอาณาจักรเป็นอย่างไร สวรรค์ชั้นที่สามอยู่แห่งหนใด โลกใต้พิภพเป็นเช่นไร และนรกอยู่ที่ไหน  พวกเขามักตรวจสอบความล้ำลึกทั้งหลายอยู่เสมอแทนที่จะมุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิต  นี่คือความเลวทราม สิ่งนี้คือความเลวร้าย  ไม่ว่าพวกเขาฟังคำเทศนาและสามัคคีธรรมมากมายแค่ไหน ก็ยังมีคนที่ไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร และไม่ตระหนักว่าพวกเขาควรนำความจริงไปปฏิบัติอย่างไร  ในยามที่พวกเขามีเวลา พวกเขาก็ตรวจสอบพระวจนะของพระเจ้า เอาใจใส่ถ้อยคำ สืบเสาะหาความรู้สึกบางอย่าง อีกทั้งพวกเขายังพินิจพิเคราะห์อยู่เสมอว่าพระวจนะของพระเจ้าลุล่วงไปแล้วหรือยัง  หากพระวจนะเหล่านั้นลุล่วงไปแล้ว พวกเขาก็เชื่อว่านี่คือพระราชกิจของพระเจ้า แต่หากยังไม่ลุล่วง พวกเขาก็ไม่ยอมรับว่านี่คือพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาช่างไร้สาระมิใช่หรือ?  นี่คือความเลวทรามมิใช่หรือ?  ในยามที่พระวจนะของพระเจ้าลุล่วง ผู้คนสามารถเห็นได้ตลอดอย่างนั้นหรือ?  ในยามที่พระวจนะบางส่วนลุล่วงไป ไม่จำเป็นว่าผู้คนจะต้องมองเห็นได้  สำหรับผู้คนพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าอาจดูเหมือนยังไม่ลุล่วง แต่สำหรับพระเจ้าพระวจนะเหล่านั้นลุล่วงไปแล้ว  ผู้คนไม่มีทางมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน หากพวกเขาสามารถทำความเข้าใจได้สักร้อยละยี่สิบ ก็ถือว่าดีพอแล้ว  คนบางคนใช้เวลาทั้งหมดที่มีในการศึกษาพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่ใส่ใจที่จะปฏิบัติความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงเลย  นี่คือการไม่คำนึงถึงหน้าที่อันถูกควรของคนเรามิใช่หรือ?  พวกเขาได้ฟังความจริงมามากมายแต่ก็ยังไม่เข้าใจความจริงเหล่านั้น และพวกเขาก็เฝ้าหาหลักฐานที่ว่าคำเผยพระวจนะทั้งหลายนั้นลุล่วงไปแล้ว โดยปฏิบัติราวกับสิ่งนี้เป็นชีวิตและแรงจูงใจของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น เมื่อใครบางคนอธิษฐาน พวกเขากล่าวสิ่งต่างๆ อย่าง “ข้าแต่พระเจ้า หากพระองค์ทรงปรารถนาให้ข้าพระองค์ทำเช่นนี้ พรุ่งนี้ก็ได้โปรดปลุกข้าพระองค์ตอนหกโมงเช้า แต่หากไม่ทรงปรารถนาให้ข้าพระองค์ทำเช่นนี้ ก็ปล่อยให้ข้าพระองค์ได้นอนต่อจนถึงเจ็ดโมงเถิด”  พวกเขามักจะปฏิบัติตนเช่นนี้ พวกเขาใช้สิ่งนี้เป็นหลักธรรมของตน ปฏิบัติสิ่งนี้ราวกับเป็นความจริง  สิ่งนี้เรียกว่าความเลวทราม  พวกเขามักพึ่งพาความรู้สึก มุ่งเน้นที่เรื่องเหนือธรรมชาติ พึ่งพาคำบอกเล่า รวมถึงสิ่งที่ไม่สมจริงทั้งหลายอยู่เสมอในยามปฏิบัติตน พวกเขาทุ่มเทเรี่ยวแรงไปกับสิ่งเลวทรามอยู่เป็นนิจ  นี่คือความเลวร้าย  ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็คิดว่าความจริงนั้นไร้ประโยชน์ และไม่ถูกต้องแม่นยำเท่ากับการพึ่งพาความรู้สึกหรือการหาความถูกต้องผ่านการเปรียบเทียบ  สิ่งนี้คือความเลวทราม  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมของผู้คน และถึงแม้พวกเขาจะกล่าวว่าพวกเขารู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่ในหัวใจของพวกเขายังคงไม่ยอมรับความจริง และพวกเขาไม่เคยมองดูสิ่งทั้งหลายผ่านพระวจนะของพระเจ้าเลย  หากคนที่มีชื่อเสียงกล่าวอะไรบางอย่างกับใคร พวกเขาย่อมเชื่อว่าสิ่งนั้นคือความจริงและปฏิบัติตามสิ่งนั้น  หากหมอดูหรือซินแสดูโหงวเฮ้งบอกพวกเขาว่าปีหน้าพวกเขาจะได้รับเลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการ พวกเขาย่อมเชื่อคนเหล่านั้น  นี่คือความเลวทรามมิใช่หรือ?  พวกเขาเชื่อในการทำนายทายทัก การดูดวง เรื่องเหนือธรรมชาติ และสิ่งเลวทรามเหล่านี้เท่านั้น  การนี้เหมือนกับที่ใครบางคนกล่าวว่า “ฉันเข้าใจความจริงทั้งหมด เพียงแต่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้  ฉันไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร”  ตอนนี้พวกเรามีคำตอบให้คำถามนี้แล้ว พวกเขาเลวทรามนั่นเอง  ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงแก่คนเช่นนั้นอย่างไร แต่นั่นย่อมจะไม่เข้าหูพวกเขา และเจ้าจะไม่เห็นผลลัพธ์ใดทั้งสิ้น  คนเหล่านี้ไม่เพียงรังเกียจความจริงเท่านั้น แต่พวกเขายังครองอุปนิสัยอันเลวร้ายอีกด้วย  การสำแดงที่สำคัญที่สุดของการรังเกียจความจริงคืออะไร?  คือคนคนนั้นเข้าใจความจริง แต่พวกเขาไม่นำความจริงไปปฏิบัติ  พวกเขาไม่อยากจะฟัง ทั้งยังขืนต้านและขุ่นเคืองความจริงนั้น  พวกเขารู้ว่าความจริงนั้นถูกต้องและดีงามแต่กลับไม่นำไปปฏิบัติ พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเดินบนเส้นทางนี้ และพวกเขาก็ไม่ปรารถนาที่จะทนทุกข์หรือยอมลำบาก ไม่ต้องพูดถึงการทนทุกข์กับความสูญเสียเลย  แต่คนเลวร้ายมิได้เป็นเช่นนี้  พวกเขาคิดว่าสิ่งทั้งหลายที่เลวร้ายเป็นความจริง คิดว่านั่นเป็นหนทางที่ถูกต้อง และพวกเขาก็พยายามไล่ตามสิ่งเหล่านี้ พยายามเลียนแบบสิ่งเหล่านี้ และทุ่มเรี่ยวแรงให้กับสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา  พระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมในการอธิษฐานอยู่บ่อยครั้งว่าผู้คนสามารถอธิษฐานได้ทุกที่และทุกเวลาที่พวกเขาปรารถนา ไม่มีข้อจำกัดทางด้านเวลา พวกเขาเพียงต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจ และแสวงหาความจริง  คำพูดเหล่านี้ควรถูกรับฟังเป็นประจำ และควรเป็นคำที่เข้าใจได้ง่าย แต่คนเลวร้ายนำสิ่งนี้ไปปฏิบัติอย่างไรหรือ?  ทุกๆ เช้าในโมงยามของเสียงประสานแห่งรุ่งอรุณ พวกเขาหันหน้าไปทางทิศใต้ คุกเข่าทั้งสองข้างลง พร้อมกับวางมือทั้งสองลงบนพื้น โค้งคำนับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่ออธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยไม่เคยขาด  พวกเขาคิดว่านั่นเป็นช่วงเวลาเดียวที่พระเจ้าจะทรงได้ยินคำอธิษฐานของพวกเขา เพราะนี่คือเวลาที่พระเจ้าทรงไม่ยุ่ง พระองค์ทรงมีเวลา และพระองค์ก็ทรงรับฟัง  นี่เป็นเรื่องที่น่าขันมิใช่หรือ?  นี่เป็นเรื่องเลวร้ายมิใช่หรือ?  ยังมีคนอื่นๆ ที่กล่าวว่า ช่วงเวลาในการอธิษฐานให้เห็นผลมากที่สุดคือตอนกลางคืนราวตีหนึ่งถึงตีสอง ในยามที่ทุกอย่างเงียบสงัด  เหตุใดพวกเขาจึงกล่าวเช่นนี้?  พวกเขาต่างก็มีเหตุผลของตนเองเช่นกัน  พวกเขากล่าวว่าในเวลาที่ทุกคนหลับใหล พระเจ้าทรงมีเวลาจัดการกับเรื่องต่างๆ ของพวกเขาในเวลาที่พระองค์ทรงไม่ยุ่งเท่านั้น  สิ่งนี้ไม่ไร้สาระหรอกหรือ?  สิ่งนี้เลวร้ายมิใช่หรือ?  ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริงนั้น  พวกเขาเป็นคนที่ไร้สาระมากที่สุดและพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้  ยังมีคนอื่นๆ ที่กล่าวว่า “เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ต้องทำเรื่องดีๆ และมีจิตใจที่ดี และพวกเขาก็ห้ามฆ่าหรือกินเนื้อสัตว์ด้วย  การกินเนื้อสัตว์คือการฆ่า การทำบาป และพระเจ้าไม่ทรงต้องการคนที่ทำเช่นนี้”  คำพูดเหล่านี้มีรากฐานหรือไม่?  พระเจ้าเคยตรัสเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่เคย)  แล้วใครเป็นคนกล่าวเช่นนี้?  สิ่งนี้กล่าวโดยผู้ไม่มีความเชื่อ กล่าวโดยพวกที่ไร้สาระ  อันที่จริง ไม่จำเป็นว่าคนที่กล่าวเช่นนี้จะต้องไม่กินเนื้อสัตว์—หรือพวกเขาอาจจะไม่กินต่อหน้าคนอื่น ทว่ากินเยอะมากเมื่ออยู่ในที่ส่วนตัว  คนเหล่านี้เก่งเรื่องการเสแสร้งและการเผยแพร่วิธีคิดผิดๆ ในทุกที่ที่พวกเขาไปอย่างแท้จริง  นี่คือความเลวร้าย  ผู้คนเช่นนั้นช่างเลวทราม  พวกเขาปฏิบัติต่อความนอกรีตและวิธีคิดผิดๆ เหล่านี้ราวกับเป็นพระบัญญัติและข้อบังคับ และพวกเขาก็ถึงกับปฏิบัติและยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ราวกับเป็นความจริง เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เที่ยวสั่งสอนให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและหน้าไม่อาย  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าหนทางในการทำสิ่งทั้งหลายของคนเหล่านี้ หนทางในการใช้ถ้อยคำพูดต่อสิ่งทั้งหลายของพวกเขา รวมถึงวิธีการที่พวกเขาไล่ตามเสาะหานั้นเลวร้าย?  (เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงเลย)  แล้วสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงเลวร้ายอย่างนั้นหรือ?  ความเข้าใจเช่นนั้นเป็นปัญหามาก  ในชีวิตประจำวันของผู้คนนั้นมีสิ่งต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง  การกล่าวว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เลวร้ายย่อมบิดเบือนข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  สิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษย่อมไม่อาจเรียกว่าเป็นสิ่งเลวร้ายได้ มีเพียงสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษเท่านั้นที่สามารถเรียกว่าเป็นสิ่งเลวร้าย  การระบุทุกสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงว่าเลวร้ายย่อมจะเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง  รายละเอียดต่างๆ ของสิ่งที่จำเป็นในชีวิต—ตัวอย่างเช่น การกิน การดื่ม การนอนหลับ การพักผ่อน—สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความจริงหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเลวร้ายอย่างนั้นหรือ?  ทั้งหมดนี้คือความต้องการทั่วไป เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของผู้คน ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย  แล้วเหตุใดการกระทำที่เราเพิ่งกล่าวถึงไปนั้นจึงถูกจัดว่าเป็นสิ่งเลวร้าย?  เพราะนั่นเป็นหนทางในการทำสิ่งทั้งหลายซึ่งพาให้ผู้คนก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ผิดและน่าหัวร่อ—สิ่งเหล่านั้นพาให้พวกเขาก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งศาสนา  การที่พวกเขาปฏิบัติและสั่งสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติตนในหนทางนี้พาให้ผู้คนก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความเลวร้าย  นี่เป็นผลลัพธ์ที่เลี่ยงไม่ได้  เมื่อผู้คนบูชากระแสอันเลวร้ายทางโลกและเดินไปบนเส้นทางแห่งความเลวร้าย พวกเขาลงเอยอย่างไร?  พวกเขากลายเป็นคนต่ำช้า สูญสิ้นเหตุผล ไร้ซึ่งความละอายใจ และท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกกระแสของโลกใบนี้พัดพาไปโดยสมบูรณ์ ทั้งยังเดินไปสู่การทำลายล้าง ไม่ต่างอะไรจากผู้ไม่มีความเชื่อเลย  คนบางคนไม่เพียงถือว่าความนอกรีตและวิธีคิดผิดๆ เหล่านี้เป็นข้อบังคับที่ต้องทำตามหรือเป็นพระบัญญัติที่ต้องเชื่อฟังเท่านั้น พวกเขายังยึดถือสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นความจริงอีกด้วย  นี่คือคนไร้สาระผู้ไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิง  ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะได้แต่ถูกกำจัดทิ้งเท่านั้น  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสามารถทรงพระราชกิจในตัวคนที่มีความเข้าใจอันบิดเบือนในความจริงเหลือเกินได้หรือ?  (ไม่ได้)  พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจในคนเหล่านั้น ในกรณีนี้วิญญาณชั่วเป็นฝ่ายทำ เพราะเส้นทางที่คนเหล่านี้เดินเป็นเส้นทางแห่งความเลวร้าย พวกเขารีบรุดไปตามเส้นทางของวิญญาณชั่ว—ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่วิญญาณชั่วเหล่านี้ต้องการอย่างพอดิบพอดี  แล้วผลลัพธ์เป็นเช่นไรหรือ?  คนเหล่านี้ถูกวิญญาณชั่วสิงสู่  ก่อนหน้านี้เรากล่าวว่า “หมู่มารและซาตานออกล่าเหยื่อไปทั่วเหมือนสิงโตคำราม หาผู้คนไว้สวาปาม”  เมื่อผู้คนก้าวเดินไปบนเส้นทางที่คดเคี้ยวและเลวร้าย พวกเขาย่อมจะถูกวิญญาณชั่วคว้าเอาไปอย่างเลี่ยงไม่ได้  พระเจ้าทรงไม่จำเป็นจะต้องมอบเจ้าให้เหล่าวิญญาณชั่ว  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าจะไม่ได้รับการคุ้มครอง และพระเจ้าจะไม่ทรงอยู่กับเจ้า  หากพระเจ้าไม่อาจรับเจ้าไว้ได้ พระองค์ย่อมจะไม่ทรงสนใจเจ้า และเหล่าวิญญาณชั่วจะถือโอกาสนี้เคลื่อนตัวเข้ามาสิงสู่เจ้า  ผลที่ตามมาเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  บรรดาคนที่รังเกียจความจริงและคนที่กล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงประสูติเป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา รวมถึงคนที่ไหลไปกับกระแสทางโลก คนที่ตีความพระวจนะของพระเจ้าและพระคัมภีร์ผิดอย่างโจ่งแจ้ง คนที่เผยแพร่ความนอกรีตและวิธีคิดผิดๆ—ทั้งหมดที่พวกเขาทำนี้ล้วนเกิดจากอุปนิสัยอันเลวร้าย  คนบางคนไล่ตามไขว่คว้าความเป็นฝ่ายวิญญาณ และเนื่องจากพวกเขามีความเข้าใจที่บิดเบือน พวกเขาจึงปรุงแต่งวิธีคิดผิดๆ มากมายเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด และพวกเขาก็กลายเป็นนักทฤษฎีและคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกอุดมคติ ซึ่งนี่เป็นการกระทำความเลวทรามเช่นกัน  พวกเขาคือคนเลวร้าย  พวกเขาเป็นเช่นเดียวกับพวกฟาริสีที่ทุกอย่างที่ทำล้วนหน้าซื่อใจคด พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติความจริงและชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วยการทำให้คนเหล่านั้นเทิดทูนและบูชาพวกเขา  ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏเพื่อทรงพระราชกิจ พวกฟาริสีก็ถึงกับตรึงพระองค์บนไม้กางเขน  นี่คือสิ่งเลวร้าย และสุดท้ายพวกเขาก็ถูกพระเจ้าทรงสาปแช่ง  วันนี้ โลกศาสนาไม่เพียงแค่กระทำการตัดสินและกล่าวโทษการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าเกลียดชังมากที่สุดก็คือโลกศาสนายังยืนเคียงข้างพญานาคใหญ่สีแดง เข้าร่วมกองกำลังอันเลวร้ายเพื่อข่มเหงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และยืนหยัดเป็นศัตรูของพระเจ้าคู่กับมันอีกด้วย  นี่คือสิ่งที่เลวร้าย  โลกศาสนาไม่เคยเกลียดชังกองกำลังอันเลวร้ายของซาตาน คนกลุ่มนี้ไม่ได้เกลียดความเลวร้ายของประเทศแห่งพญานาคใหญ่สีแดง แต่กลับอธิษฐานและอวยพรพวกนั้น  นี่คือสิ่งที่เลวร้าย  พฤติกรรมก็ตามใดที่เชื่อมโยงหรือให้ความร่วมมือกับซาตานและวิญญาณชั่ว โดยรวมแล้วย่อมเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เลวร้าย  หนทางในการปฏิบัติเหล่านั้นเบี่ยงเบน ชั่ว สุดโต่ง และเลยเถิดไปอย่างแท้จริง—นี่ก็เป็นสิ่งที่เลวร้ายเช่นเดียวกัน  บางคนเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่เป็นนิจ และไม่ว่าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไรก็ไม่อาจสะสางความเข้าใจผิดเหล่านี้ไปได้  พวกเขาประกาศการให้เหตุผลของตนเอง ยืนกรานในวิธีคิดผิดๆ ของพวกเขาเองอยู่เสมอ  ในที่นี้ก็มีความเลวร้ายอยู่เล็กน้อยเช่นกันมิใช่หรือ?  คนบางคนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า หลังจากมีการสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาหลายครั้งหลายหน พวกเขาก็กล่าวว่าเข้าใจ และมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาก็ได้รับการสะสางแล้ว แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็ยังยึดติดอยู่กับมโนคติอันหลงผิดของตน คิดลบ และเกาะแน่นอยู่กับข้อแก้ตัวของพวกเขาเองเสมอ  นี่คือสิ่งที่เลวร้ายมิใช่หรือ?  นี่ก็เป็นความเลวร้ายประเภทหนึ่งเช่นกัน  โดยสรุปแล้ว ใครก็ตามซึ่งทำในสิ่งที่ไร้เหตุผล อีกทั้งไม่ว่าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไรพวกเขาก็ไม่ยอมรับ คนคนนั้นย่อมเป็นคนเลวทราม และเป็นคนที่เลวร้ายทีเดียว  การที่คนที่มีอุปนิสัยอันเลวร้ายจะได้ความรอดจากพระเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงและไม่ยอมปล่อยวางวิธีคิดผิดๆ อันเลวร้ายของตนไปเสีย สำหรับพวกเขาแล้วไม่มีสิ่งใดที่ทำได้เลย

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงอุปนิสัยไปทั้งหมดหกประการ นั่นคือ การดื้อแพ่ง ความโอหัง ความหลอกลวง การรังเกียจความจริง ความชั่วร้าย และความเลวร้าย  การชำแหละอุปนิสัยทั้งหกประการนี้ได้มอบความรู้และความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยให้พวกเจ้าบ้างหรือไม่?  ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยคืออะไรหรือ?  สิ่งนี้หมายถึงการกำจัดข้อตำหนิบางอย่าง การปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมบางอย่าง หรือการเปลี่ยนแปลงบุคลิกบางอย่างใช่หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่  แล้วขณะนี้พวกเจ้าเข้าใจชัดเจนขึ้นบ้างหรือยังว่าอุปนิสัยหมายถึงอะไร?  อุปนิสัยหกประการนี้สามารถอธิบายว่าเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เป็นแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ได้หรือไม่?  (ได้)  อุปนิสัยหกประการนี้คือสิ่งที่เป็นบวกหรือสิ่งที่เป็นลบ?  (สิ่งที่เป็นลบ)  นี่คืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์ทั้งสิ้น เป็นแง่มุมหลักของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าและต่อความจริง และไม่มีสักประการเดียวที่เป็นบวก  ด้วยเหตุนั้น อุปนิสัยหกประการนี้จึงเป็นหกแง่มุมที่เรียกโดยรวมว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั่นเอง  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามคือแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์  คำว่า “แก่นแท้” จะสามารถอธิบายได้ว่าอย่างไร?  แก่นแท้หมายถึงธรรมชาติของมนุษย์  ธรรมชาติของมนุษย์หมายถึงสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์พึ่งพาอาศัยเพื่อการดำรงอยู่ของเขา สิ่งทั้งหลายที่ควบคุมวิธีดำเนินชีวิตของเขา  ผู้คนดำเนินชีวิตด้วยธรรมชาติของตน  ไม่ว่าเจ้าใช้ชีวิตตามสิ่งใด ไม่ว่าเป้าหมายและทิศทางของเจ้าเป็นเช่นไร ไม่ว่าเจ้าดำเนินชีวิตด้วยกฎเกณฑ์แบบใด แก่นแท้ธรรมชาติของเจ้าย่อมไม่เปลี่ยนไป—นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจแย้งได้  และดังนั้น เมื่อเจ้าไม่มีความจริง อีกทั้งดำเนินชีวิตด้วยการพึ่งพาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ ทุกสิ่งที่เจ้าใช้ในการดำเนินชีวิตย่อมขัดต่อพระเจ้า ตรงข้ามกับความจริง และขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ขณะนี้เจ้าควรเข้าใจเรื่องนี้ที่ว่า ผู้คนจะสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่ หากอุปนิสัยของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลง?  (ไม่ได้)  เรื่องนั้นย่อมจะเป็นไปไม่ได้  แล้วหากว่าอุปนิสัยของผู้คนไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาจะสามารถเข้ากันได้กับพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ได้)  การนั้นจะเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง  สำหรับอุปนิสัยทั้งหกประการนี้ ไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัยข้อใดและไม่ว่าสิ่งที่สำแดงหรือเผยออกมาจากเจ้าจะอยู่ในระดับใด หากเจ้าไม่สามารถปลดปล่อยตนเองจากการจำกัดของอุปนิสัยเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเหตุจูงใจหรือเป้าหมายในการกระทำของเจ้าจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าเจ้าจงใจกระทำการนั้นหรือไม่ ธรรมชาติของทุกสิ่งที่เจ้าทำย่อมจะขัดต่อพระเจ้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษอย่างเลี่ยงไม่ได้—ซึ่งนั่นเป็นผลลัพธ์ที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง  การถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคนปรารถนาในท้ายที่สุดใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  และในเมื่อนี่ไม่ใช่จุดจบที่ผู้คนปรารถนา สิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเขาพึงกระทำคืออะไร?  พวกเขาควรรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตนเอง เข้าใจความจริง จากนั้นพวกเขาก็ควรยอมรับความจริง—ค่อยๆ ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ไปทีละน้อยภายใต้สถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้พวกเขา แล้วบรรลุซึ่งความเข้ากันได้กับพระเจ้าและความจริง  นี่คือเส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา

ก่อนหน้านี้ มีบรรดาผู้ที่มองว่าการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเป็นสิ่งที่แสนง่ายดายและตรงไปตรงมา  พวกเขาเชื่อว่า “ตราบเท่าที่ฉันบังคับไม่ให้ตัวเองพูดในสิ่งที่ขัดแย้งกับพระเจ้าหรือทำอะไรก็ตามที่จะขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร และตราบเท่าที่ฉันมีมุมมองที่ถูกต้อง มีหัวใจที่ถูกต้อง อีกทั้งเข้าใจความจริงมากขึ้นเล็กน้อย ทุ่มเทความพยายามมากขึ้น ทนทุกข์มากขึ้น และยอมลำบากให้มากขึ้น พอผ่านไปสักสองสามปี ฉันจะต้องสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยได้แน่นอน”  คำพูดเหล่านี้สมเหตุสมผลหรือไม่?  (ไม่สมเหตุสมผล)  ความผิดพลาดของพวกเขาอยู่ตรงไหน?  (พวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง)  เป้าหมายในการที่เจ้ารู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนคืออะไร?  (เพื่อเปลี่ยนแปลง)  แล้วผลลัพธ์ของความเปลี่ยนแปลงนี้คืออะไร?  เจ้าย่อมได้รับความจริง  การประเมินว่าอุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือยังพึงต้องดูว่าการกระทำของเจ้านั้นสอดคล้องกับความจริงหรือละเมิดความจริง สิ่งเหล่านั้นเกิดจากเจตจำนงของมนุษย์หรือเกิดจากการสนองข้อกำหนดของพระเจ้า  การที่จะดูว่าอุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปถึงระดับใดแล้วนั้น คือดูว่าในยามที่เจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้าสามารถทบทวนตนเอง ขัดขืนต่อเนื้อหนัง เหตุจูงใจ ความทะเยอทะยาน และความอยากของเจ้าได้หรือไม่ อีกทั้งเมื่อเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าสามารถปฏิบัติให้สอดคล้องกับความจริงได้หรือไม่  ระดับของความสามารถในการปฏิบัติให้สอดคล้องกับความจริงและพระวจนะของพระเจ้าของเจ้า รวมถึงเรื่องที่ว่าการปฏิบัติของเจ้าสอดคล้องกับมาตรฐานของความจริงโดยสมบูรณ์หรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าอุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแล้ว  นี่คือสิ่งที่แปรผันตามกัน  จงดูอุปนิสัยอันดื้อแพ่งเป็นตัวอย่าง ในช่วงแรกที่อุปนิสัยของเจ้ายังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เจ้าไม่เข้าใจความจริง และไม่ตระหนักว่าตนเองมีอุปนิสัยอันดื้อแพ่ง อีกทั้งเมื่อเจ้าได้ฟังความจริง เจ้าก็คิดกับตัวเองว่า “ความจริงจะเปิดเผยบาดแผลของผู้คนอยู่เสมอได้อย่างไร?”  หลังจากได้ฟังความจริง เจ้าก็รู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้อง แต่เมื่อผ่านไปหนึ่งหรือสองปี หากเจ้าไม่ได้รับความจริงเหล่านั้นมาใส่หัวใจ หากเจ้ายังไม่ได้ยอมรับความจริงเหล่านั้นเลย เช่นนั้นแล้วนี่คือความดื้อแพ่งมิใช่หรือ?  หากสองถึงสามปีผ่านไปก็ยังไร้ซึ่งการยอมรับ หากสภาวะภายในตัวเจ้าไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลง และแม้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจะไม่ได้ต่ำกว่ามาตรฐาน อีกทั้งเจ้าได้ทนทุกข์มามากมาย สภาวะอันดื้อแพ่งของเจ้าก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขหรือไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้ว อุปนิสัยของเจ้าในแง่มุมนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือยัง?  (ยังไม่เปลี่ยนแปลง)  แล้วเหตุใดเจ้าจึงวิ่งวุ่นอยู่กับงานเล่า?  ไม่ว่าเหตุผลที่เจ้าทำเช่นนั้นคืออะไร เจ้าก็กำลังสาละวนทำงานอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะเจ้าวิ่งวุ่นมากขนาดนี้และทำงานมามากถึงเพียงนี้ แต่อุปนิสัยของเจ้ากลับยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย  จนกระทั่งวันหนึ่งที่เจ้าฉุกคิดกับตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงไม่สามารถกล่าวคำพยานได้แม้แต่คำเดียว?  อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย?”  ในตอนนี้เองที่เจ้ารู้สึกว่าปัญหานี้ร้ายแรงเพียงใด พลางคิดกับตัวเองว่า “ฉันช่างเป็นกบฏและดื้อแพ่งจริงๆ!  ฉันไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง!  ในหัวใจของฉันไม่มีที่ทางสำหรับพระเจ้าเลย!  แบบนี้จะเรียกว่าความเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร?  ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ก็ยังไม่ได้ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ และหัวใจของฉันก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับพระเจ้าเลย!  แถมฉันยังไม่ได้รับพระวจนะของพระเจ้ามาใส่หัวใจ และเมื่อฉันทำอะไรบางอย่างที่ผิด ฉันก็ไม่มีสำนึกของการตำหนิหรือไม่มีแนวโน้มที่จะกลับใจ—นี่คือการดื้อแพ่งไม่ใช่เหรอ?  ฉันคือบุตรแห่งความเป็นกบฏไม่ใช่เหรอ?”  เจ้ารู้สึกกังวลใจ  แล้วการที่เจ้ารู้สึกกังวลใจหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าปรารถนาที่จะกลับใจ  เจ้าตระหนักถึงการดื้อแพ่งและความเป็นกบฏของตัวเจ้าเอง  และในเวลานี้เอง อุปนิสัยของเจ้าจึงเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง  เมื่อรู้ตัวอีกที เจ้าก็ย่อมมีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดหรือความปรารถนาบางอย่างในมโนสำนึกของตน และเจ้าย่อมพบว่าตนเองไม่ได้เจอทางตันกับพระเจ้าอีกต่อไป  เจ้าพบว่าตัวเจ้าต้องการที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ของตนกับพระเจ้าให้ดีขึ้น เจ้าไม่ทำตัวแสนดื้อแพ่งอีกต่อไป สามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งปฏิบัติพระวจนะเหล่านั้นในฐานะหลักธรรมความจริง—เจ้าย่อมมีมโนสำนึกเช่นนี้  การที่เจ้ามีมโนสำนึกต่อสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ดี แต่นั่นหมายความว่าเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทันทีใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เจ้าต้องก้าวผ่านประสบการณ์มากมายหลายปี ซึ่งระหว่างช่วงเวลานั้นเจ้าจะมีความตระหนักรู้ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในหัวใจ และเจ้าจะมีความต้องการอันแรงกล้า อีกทั้งเจ้าจะคิดกับตัวเองอยู่ในหัวใจว่า “แบบนี้ไม่ถูกต้อง—ฉันต้องเลิกเสียเวลาได้แล้ว  ฉันต้องไล่ตามเสาะหาความจริง และต้องทำในสิ่งที่ถูกควร  เมื่อก่อนฉันเคยละเลยหน้าที่ที่ถูกควรของตัวเอง มัวนึกถึงแต่สิ่งของทางวัตถุทั้งหลายอย่างอาหารและเสื้อผ้า และฉันก็ไล่ตามไขว่คว้าแต่ชื่อเสียงและผลประโยชน์เท่านั้น  ผลก็คือฉันไม่ได้รับความจริงเลย  ฉันเสียใจกับเรื่องนี้และฉันต้องกลับใจ!”  จุดนี้เองที่เจ้าออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้า  เพราะฉะนั้น ตราบเท่าที่ผู้คนเริ่มมุ่งเน้นที่การปฏิบัติความจริง สิ่งนี้ก็ย่อมพาให้พวกเขาเข้าใกล้ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยมากขึ้นอีกหนึ่งก้าวมิใช่หรือ?  ไม่ว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้ามานานเพียงไร หากเจ้าสามารถสัมผัสถึงความไม่ชัดเจนของตัวเจ้าเองได้—ว่าเจ้าเอาแต่ทำตัวเลื่อนลอยอยู่เสมอ และหลังจากที่เจ้าทำตัวเลื่อนลอยอยู่หลายปีเจ้าก็ไม่ได้รับสิ่งใดเลย อีกทั้งยังคงรู้สึกว่างเปล่า—หากสิ่งนี้ทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายใจ เจ้าเริ่มที่จะทบทวนตนเอง และรู้สึกว่าการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นการเสียเวลา เช่นนั้นแล้ว ในเวลานั้นเจ้าย่อมจะตระหนักว่าพระวจนะแห่งการตักเตือนของพระเจ้าคือความรักที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ และเจ้าจะเกลียดตัวเองที่ไม่ฟังพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งขาดพร่องมโนธรรมและเหตุผลอย่างยิ่ง  เจ้าจะรู้สึกเสียใจ แล้วจากนั้นเจ้าจะต้องการประพฤติตนเสียใหม่และต้องการใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าจะกล่าวกับตัวเองว่า “ฉันไม่อาจทำร้ายพระเจ้าได้อีกต่อไป  พระเจ้าตรัสเอาไว้มากมาย และพระวจนะทุกๆ คำต่างก็เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ อีกทั้งชี้หนทางที่ถูกต้องให้มนุษย์  พระเจ้าช่างทรงน่ารัก และทรงคู่ควรกับความรักของมนุษย์เหลือเกิน!”  นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนสภาพของผู้คน  การมีความซาบซึ้งเช่นนี้เป็นเรื่องที่ดี!  หากเจ้าด้านชาเสียจนไม่รู้ถึงสิ่งเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ เช่นนั้นเจ้าย่อมตกที่นั่งลำบากมิใช่หรือ?  วันนี้ ผู้คนตระหนักว่ากุญแจสำคัญของความเชื่อในพระเจ้าคือการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น การเข้าใจความจริงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในบรรดาทั้งปวง อีกทั้งการเข้าใจความจริงและการรู้จักตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด และมีเพียงการสามารถที่จะปฏิบัติความจริงและทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นความเป็นจริงของพวกเขาเท่านั้นที่เป็นการเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้า  แล้วพวกเจ้าคิดว่า พวกเจ้าต้องมีประสบการณ์กี่ปีจึงจะมีความรู้และความรู้สึกเช่นนี้อยู่ในหัวใจ?  บรรดาคนที่ปราดเปรื่อง คนที่มีความรู้เชิงลึก และคนที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าต่อพระเจ้า—ผู้คนเช่นนั้นอาจจะเปลี่ยนตนเองกลับมาได้ในหนึ่งหรือสองปีและเริ่มเข้าสู่  แต่คนที่เลอะเลือน คนที่ด้านชาและหัวทึบ คนที่ขาดความรู้เชิงลึก—ย่อมจะใช้เวลาสามถึงห้าปีอยู่ในความสับสนมึนงง ไม่ตระหนักว่าพวกเขายังไม่ได้รับสิ่งใดเลย  หากพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกระตือรือร้น พวกเขาก็อาจจะใช้เวลาสิบกว่าปีอยู่ในความสับสนมึนงงและยังคงไม่ได้รับสิ่งใดที่ชัดเจนหรือไม่สามารถพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้  จนกระทั่งวันหนึ่งที่พวกเขาถูกขับหรือถูกกำจัดออกไป ในที่สุดพวกเขาก็ตื่นขึ้นและคิดกับตัวเองว่า “ฉันไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย  ฉันยังไม่ได้เป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง!”  การที่พวกเขาตื่นขึ้นมาตอนนี้นั้นไม่สายไปหน่อยหรือ?  บางคนทำตัวเลื่อนลอยอยู่ในความสับสนมึนงง เฝ้าฝันถึงวันที่พระเจ้าเสด็จมาอยู่เป็นนิจแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเลย  ผลคือผ่านไปสิบกว่าปีโดยที่พวกเขาไม่ได้รับสิ่งใดหรือไม่สามารถแบ่งปันคำพยานใดได้เลย  มีเพียงตอนที่พวกเขาถูกตัดแต่งและถูกตักเตือนอย่างรุนแรงเท่านั้นที่ในที่สุดพวกเขาจะรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าทิ่มแทงหัวใจพวกเขา  หัวใจของพวกเขาช่างดื้อแพ่งเหลือเกิน!  แล้วการที่พวกเขาไม่ถูกตัดแต่งหรือถูกลงโทษจะเป็นเรื่องที่ใช้ได้ได้อย่างไร?  การที่พวกเขาไม่ถูกบ่มวินัยอย่างรุนแรงจะเป็นเรื่องที่ใช้ได้ได้อย่างไร?  การจะทำให้พวกเขาตระหนักและมีปฏิกิริยาตอบสนองนั้นต้องทำอย่างไร?  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากไม่เห็นหลุมศพของตัวเองก็ย่อมจะไม่หลั่งน้ำตา  มีเพียงตอนที่พวกเขาได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายเยี่ยงมารอย่างหนักหนาเท่านั้นที่พวกเขาจะเกิดความตระหนักรู้และพูดกับตัวเองว่า “ความเชื่อในพระเจ้าของฉันจบลงแล้วใช่ไหม?  พระเจ้าไม่ทรงต้องการฉันอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?  ฉันถูกกล่าวโทษแล้วเหรอ?”  พวกเขาก็เริ่มคิดทบทวน  เมื่อพวกเขาคิดลบ พวกเขาก็รู้สึกว่าตลอดหลายปีที่เชื่อในพระเจ้ามานั้นช่างเปล่าประโยชน์ และพวกเขาก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะยอมแพ้ในตนเองด้วยความสิ้นหวัง  แต่เมื่อพวกเขาได้สติ พวกเขาก็ตระหนักว่า “ฉันกำลังทำร้ายตัวเองอยู่ไม่ใช่เหรอ?  ฉันต้องลุกขึ้นหยัดยืน  มีคนบอกว่าฉันไม่รักความจริง  ทำไมถึงบอกฉันแบบนี้?  ฉันจะไม่รักความจริงได้อย่างไร?  ไม่นะ!  นอกจากฉันจะไม่รักความจริงแล้ว ฉันยังไม่สามารถนำความจริงที่เข้าใจไปปฏิบัติได้ด้วยซ้ำ!  นี่คือการสำแดงถึงการรังเกียจความจริง!”  เมื่อคิดได้เช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกค่อนข้างเสียใจ และค่อนข้างกลัวด้วยเช่นกัน “หากเป็นแบบนี้ต่อไปฉันจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน  ไม่ได้ ฉันต้องรีบกลับใจ—พระอุปนิสัยของพระเจ้าต้องไม่ถูกก้าวล่วง”  ในเวลานี้ ระดับการดื้อแพ่งของพวกเขาลดลงหรือไม่?  สิ่งนี้เป็นเหมือนเข็มทิ่มแทงหัวใจที่ทำให้พวกเขารู้สึกอะไรบางอย่าง  และเมื่อเจ้ามีความรู้สึกเช่นนี้ หัวใจของเจ้าย่อมปั่นป่วน และเจ้าจะเริ่มรู้สึกสนใจในความจริงขึ้นมา  เหตุใดเจ้าจึงมีความสนใจนี้?  เพราะเจ้าต้องการความจริง  หากไร้ซึ่งความจริง เมื่อเจ้าถูกตัดแต่ง เจ้าจะไม่สามารถนบนอบการตัดแต่งหรือยอมรับความจริงได้ และเจ้าจะไม่สามารถตั้งมั่นได้ในยามที่เผชิญกับบททดสอบ  หากเจ้ากลายเป็นผู้นำ เจ้าจะสามารถยับยั้งตนเองจากการเป็นผู้นำเทียมเท็จและจากการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ได้หรือไม่?  เจ้าจะไม่สามารถทำได้  เจ้าจะสามารถเอาชนะการมีสถานะและการได้รับการยกย่องจากผู้อื่นได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถเอาชนะสถานการณ์หรือการทดลองที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้เจ้าได้หรือไม่?  เจ้ารู้จักและเข้าใจตนเองดีเกินไป และเจ้าจะกล่าวว่า “หากฉันไม่เข้าใจความจริง ฉันก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งหมดนี้ได้—ฉันช่างไร้ค่า ฉันไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น”  นี่คือภาวะจิตใจประเภทใด?  นี่คือการต้องการความจริงนั่นเอง  เมื่อเจ้าต้องการ เมื่อเจ้าอยู่ในจุดที่สิ้นหวังถึงที่สุด เจ้าจะต้องการพึ่งพาความจริงเพียงเท่านั้น  เจ้าจะรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดที่สามารถพึ่งพาได้ และมีเพียงการพึ่งพาความจริงที่สามารถแก้ไขปัญหาของเจ้า และทำให้เจ้าผ่านพ้นการตัดแต่ง บททดสอบ และการทดลองไปได้ รวมถึงช่วยให้เจ้าก้าวผ่านสถานการณ์ต่างๆ ไปได้  ยิ่งเจ้าพึ่งพาความจริงมากเท่าไร เจ้าจะยิ่งรู้สึกว่าความจริงเป็นสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ และช่วยเหลือเจ้าได้มากที่สุด และเจ้าจะรู้สึกว่าความจริงสามารถแก้ไขความยากลำบากทั้งปวงของเจ้าได้  ในเวลานั้นเองที่เจ้าจะเริ่มโหยหาความจริง  เมื่อผู้คนมาถึงจุดนี้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็เริ่มลดลงหรือเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยใช่หรือไม่?  จากตอนที่พวกเขาเริ่มเข้าใจและยอมรับความจริงนั้น หนทางในการมองสิ่งต่างๆ ของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไป แล้วจากนั้นอุปนิสัยของพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน  นี่เป็นกระบวนการที่เชื่องช้า  ในช่วงระยะแรกผู้คนย่อมไม่อาจรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเหล่านี้ได้ แต่เมื่อพวกเขาเข้าใจและสามารถปฏิบัติความจริงได้โดยแท้ เมื่อนั้นจะเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ และพวกเขาจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้  จากจุดที่ผู้คนเริ่มโหยหาความจริง กระหายที่จะได้รับความจริง และปรารถนาที่จะแสวงหาความจริง ไปจนถึงจุดที่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็สามารถนำความจริงตามที่เข้าใจไปปฏิบัติและสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ อีกทั้งไม่กระทำการตามเจตจำนงส่วนตัว และสามารถเอาชนะเหตุจูงใจของพวกเขา เอาชนะหัวใจที่ทรยศ ดื้อแพ่ง เป็นกบฏ และโอหังของพวกเขาเองมาได้ เมื่อนั้นความจริงก็ได้กลายมาเป็นชีวิตของพวกเขาทีละน้อยมิใช่หรือ?  และเมื่อความจริงกลายมาเป็นชีวิตของเจ้า อุปนิสัยอันทรยศ ดื้อแพ่ง เป็นกบฏ และโอหังที่อยู่ภายในตัวเจ้าก็ย่อมเลิกเป็นชีวิตของเจ้า และไม่สามารถควบคุมเจ้าได้อีกต่อไป  แล้วสิ่งใดที่ชี้แนะการประพฤติปฏิบัติตนของเจ้าในช่วงเวลานี้?  พระวจนะของพระเจ้านั่นเอง  เมื่อพระวจนะของพระเจ้ากลายมาเป็นชีวิตของเจ้าก็ย่อมเกิดความเปลี่ยนแปลงแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  หลังจากนั้นยิ่งเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร สิ่งทั้งหลายย่อมจะดีมากขึ้นเท่านั้น  นี่คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของผู้คน และการจะสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ก็ใช้เวลานานทีเดียว

ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยจะใช้เวลายาวนานเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เรื่องนี้ไม่มีกรอบเวลาที่กำหนดไว้  หากเป็นใครบางคนที่รักและไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะเห็นความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของพวกเขาได้ในเวลาเจ็ด แปด จนถึงสิบปี  หากพวกเขามีขีดความสามารถในระดับปานกลางและเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง การจะเห็นความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของพวกเขาก็อาจจะใช้เวลาราวสิบห้าถึงยี่สิบปี  กุญแจสำคัญคือความแน่วแน่ในการไล่ตามเสาะหาของผู้คนและการมีความรู้เชิงลึกของคนคนนั้น สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่เป็นตัวกำหนด  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกประเภทล้วนมีอยู่ในตัวของทุกคนในระดับที่แตกต่างกัน ทั้งหมดคือธรรมชาติของมนุษย์ และล้วนเป็นสิ่งที่ฝังรากลึก  อย่างไรก็ตาม อุปนิสัยทุกประเภทย่อมสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในระดับต่างๆ ได้ด้วยการไล่ตามเสาะหาและการปฏิบัติความจริง รวมถึงการยอมรับการพิพากษา การตีสอน การตัดแต่ง บททดสอบ และการถลุงของพระเจ้า  คนบางคนกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยก็แค่เป็นเรื่องของเวลาไม่ใช่เหรอ?  เมื่อถึงเวลาฉันก็จะรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยคืออะไร และฉันก็จะสามารถเข้าสู่ได้”  การนี้เป็นเช่นนี้หรือ?  (ไม่ใช่)  แน่นอนว่าไม่ใช่  หากสิ่งเดียวที่ต้องใช้ในการสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยคือเวลา เช่นนั้นแล้ว ทุกๆ คนที่เชื่อในพระเจ้ามาทั้งชีวิตก็น่าจะสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยอย่างแน่นอน  แต่สิ่งทั้งหลายเป็นเช่นนี้จริงหรือ?  ผู้คนเหล่านี้ได้รับความจริงแล้วหรือยัง?  พวกเขาสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของตนแล้วหรือยัง?  ยังเลย  คนที่เชื่อในพระเจ้านั้นมีมากมายมหาศาลราวกับเม็ดทราย แต่บรรดาผู้ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยแล้วหาได้ยากราวกับงมเข็มในมหาสมุทร  การที่อุปนิสัยของผู้คนจะเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงนั้น พวกเขาต้องพึ่งพาการไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อให้สัมฤทธิ์สิ่งนี้ พวกเขาได้รับความเพียบพร้อมจากการพึ่งพาพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยนั้นสัมฤทธิ์ได้ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง  ในมุมหนึ่งนั้นผู้คนต้องยอมลำบาก พวกเขาต้องยอมลำบากในการไล่ตามเสาะหาความจริง และต้องเต็มใจสู้ทนความทุกข์ไม่ว่าจะมากน้อยเท่าใดเพื่อการได้รับความจริง  นอกจากนี้ก็ต้องได้รับการรับรองจากพระเจ้าว่าเป็นผู้คนที่ถูกต้อง ผู้คนที่มีจิตใจดี และรักพระเจ้าอย่างแท้จริงเพื่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจและทำให้พวกเขาเพียบพร้อม  การให้ความร่วมมือของผู้คนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ทว่าการได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นสำคัญยิ่งยวดยิ่งกว่า  หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาหรือรักความจริง หากพวกเขาไม่เคยรู้จักที่จะแสดงออกซึ่งการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า นับประสาอะไรกับการรักพระเจ้า หากพวกเขาไร้ซึ่งสำนึกถึงภาระต่องานของคริสตจักร และไร้ซึ่งความรักต่อผู้อื่น—และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพวกเขาไม่มีการอุทิศตนในยามที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน—เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่พระเจ้าทรงรัก และไม่มีวันได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า  เพราะฉะนั้นผู้คนต้องไม่นำกฎมาปรับใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าตรัสหรือทรงกระทำสิ่งใด พวกเขาก็ต้องสามารถนบนอบและปกป้องงานของคริสตจักรให้ได้ พวกเขาต้องมีหัวใจที่ถูกต้อง และตอนนั้นเองพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงจะทรงพระราชกิจได้  หากผู้คนปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาการได้รับความเพียบพร้อมจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องมีหัวใจที่รักพระเจ้า หัวใจที่นบนอบพระเจ้า หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และในยามที่ปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาก็ต้องจงรักภักดีต่อพระเจ้า และทำให้พระเจ้าพอพระทัย  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เมื่อผู้คนมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาย่อมได้รับความรู้แจ้งเวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาย่อมมีเส้นทางในการปฏิบัติความจริงและหลักธรรมเมื่อปฏิบัติหน้าที่ พระเจ้าจะทรงชี้นำพวกเขาในยามที่พวกเขาตกที่นั่งลำบาก และไม่ว่าพวกเขาทนทุกข์แค่ไหน หัวใจของพวกเขาก็ย่อมจะชื่นบานและสงบสุข  เมื่อพวกเขาได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหนทางนี้ราวสิบถึงยี่สิบปี พวกเขาย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว  ยิ่งเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเท่าไรก็จะยิ่งสงบสุขเร็วขึ้นเท่านั้น ยิ่งเกิดความเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเท่าไร พวกเขาก็จะเริ่มมีความสุขเร็วขึ้นเท่านั้น  มีเพียงตอนที่อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปแล้วเท่านั้นที่พวกเขาจะพบกับสันติสุขและความชื่นบานยินดีที่แท้จริง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตที่มีความสุขได้อย่างแท้จริง  เหล่าคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นไร้ซึ่งสันติสุขและความชื่นบานยินดีฝ่ายวิญญาณ แต่ละวันของพวกเขาว่างเปล่ายิ่งกว่าเดิม ทั้งยังเกินทานทนยิ่งกว่าเดิม  สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ละวันของพวกเขาย่อมเต็มไปด้วยความทุกข์และความเจ็บปวด  เพราะฉะนั้น เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการได้รับความจริง  การได้รับความจริงคือการได้รับชีวิต และยิ่งได้รับความจริงเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี  หากไร้ซึ่งความจริง ชีวิตของผู้คนย่อมว่างเปล่า  การได้รับความจริงคือการค้นพบสันติสุขและความชื่นบานยินดี การสามารถใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า การได้รับความรู้แจ้ง การนำ และการชี้ทางจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หัวใจของพวกเขาจะสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาจะยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ  ดังนั้นแล้วในตอนนี้ พวกเจ้าเข้าใจความจริงที่เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยชัดเจนขึ้นแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่ ตอนนี้พวกเราเข้าใจแล้ว)  หากพวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้โดยชัดเจนอย่างแท้จริง เช่นนั้นพวกเจ้าก็ย่อมมีเส้นทาง และย่อมรู้ถึงวิธีไล่ตามเสาะหาความจริงให้เกิดผลแล้ว

28 เมษายน ค.ศ. 2017

ก่อนหน้า: ด้วยการนบนอบที่แท้จริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความไว้วางใจจริงได้

ถัดไป: สิ่งใดหรือคือความเป็นจริงความจริง?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger