ด้วยการนบนอบที่แท้จริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความไว้วางใจจริงได้

ความเชื่อในพระเจ้าคืออะไร?  นี่คือคำถามที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุด ทั้งยังเป็นความจริงพื้นฐานที่สุดที่ผู้เชื่อต้องเข้าใจ  ความเชื่อในพระเจ้าเป็นความเชื่อมั่นประเภทหนึ่ง หรือเป็นทิศทางและเป้าหมายในชีวิตของบุคคล?  ในหัวใจของเจ้านั้น จุดประสงค์ของความเชื่อคืออะไรกันแน่?  เหตุใดเจ้าจึงต้องการมีความเชื่อในพระเจ้า?  นั่นก็คือ ความเชื่อของเจ้าคืออะไร?  สิ่งใดคือพื้นฐานและรากฐานของความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า?  สิ่งใดคือแรงจูงใจของเจ้า?  พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้ามีความตั้งใจและจุดประสงค์ใดในการเชื่อในพระเจ้า?  ท้ายที่สุดแล้วการนี้เป็นไปเพื่อสิ่งใด?  สิ่งเหล่านี้คือคำถามที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุด  เจ้าสามารถกล่าวได้ว่า ผู้คนยอมรับและเชื่อในพระเจ้าเพื่อจุดประสงค์ในการได้รับพระพร  ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้มีบางสิ่งเอาไว้ยึดเหนี่ยวความหวัง โหยหา และไล่ตามเสาะหาในขอบเขตของความคิดและวิญญาณ  นี่คือความตั้งใจแรกเริ่มที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อในพระเจ้าของทุกคน  อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผู้คนมาเชื่อในพระเจ้า หลังจากที่พวกเขามาประสบกับพระวจนะของพระเจ้า ความจริง พระราชกิจของพระเจ้า รวมถึงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า ทัศนะที่พวกเขามีต่อความเชื่อก็เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว และพวกเขาเข้าใจความจริงอยู่บ้าง เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะตระหนักว่าความเชื่อในพระเจ้าทำให้พวกเขาได้รับความจริง ตระหนักว่าความเชื่อเป็นสิ่งที่มีนัยสำคัญที่สุด สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้อย่างแท้จริงในหลายแง่มุมและแก้ไขปัญหาเรื่องความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้ในท้ายที่สุด  การมีความเชื่อในพระเจ้านั้น อันดับแรกเจ้าต้องหาคำตอบให้แก่คำถามเหล่านี้ที่ว่า เหตุใดผู้คนจึงเชื่อในพระเจ้า?  อะไรคือจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้า?  สิ่งใดเป็นแรงจูงใจเพื่อเชื่อในพระเจ้า?  ความอยากได้อยากมีและความมุ่งมาดปรารถนาแรกเริ่มในการเชื่อในพระเจ้าคืออะไร?  พวกเจ้าใช้ความคิดไตร่ตรองคำถามเหล่านี้มากแค่ไหน?  เจ้ามีคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่?  (เดิมทีนั้น ข้าพระองค์เชื่อในพระเจ้าด้วยความปรารถนาที่จะได้รับพระพร  เมื่อมีประสบการณ์บางอย่างกับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า ข้าพระองค์ก็เห็นว่าตัวเองเพียงแต่ไล่ตามไขว่คว้าพระพร ข้าพระองค์ไม่มีมโนธรรมหรือสำนึกเลย แถมยังเห็นแก่ตัวมากเกินไป  ข้าพระองค์รู้สึกว่าข้าพระองค์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก และดังนั้นข้าพระองค์จึงปรารถนาที่จะเป็นใครบางคนซึ่งมีมโนธรรมและสำนึกเป็นใครบางคนที่สามารถมีที่ทางอันเหมาะสมของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและติดตามพระเจ้าได้  ทุกวันนี้ข้าพระองค์แค่มีความรู้เล็กน้อยเช่นนี้เท่านั้น)  เมื่อผู้คนเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ต้องการที่จะได้รับพระคุณ ได้รับพระพรและผลประโยชน์ อีกทั้งสนองความต้องการและความอยากได้อยากมีนานาประการของเนื้อหนังหรือวิญญาณอยู่เสมอ  ตั้งแต่แรกเริ่มของความเชื่อ เมื่อพวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านั้น พวกเขาก็ทนทุกข์อย่างมาก และตอนนี้พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่านัยสำคัญของความเชื่อนั้นเกินจากสิ่งเหล่านี้ไปอีก  นัยสำคัญของความเชื่อนั้นล้ำลึกและสัมพันธ์กับชีวิตจริงเหลือเกิน อีกทั้งประโยชน์ที่พวกเขาได้รับก็มากมายเกินกว่าจะสรุปออกมาเป็นคำพูดไม่กี่คำ  ในการเชื่อของคนเราในพระเจ้านั้น พวกเขาต้องแก้ไขปัญหาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและบาปของมนุษย์ รวมถึงสัมฤทธิ์การนบนอบและมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเสียก่อน  มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้อย่างแท้จริง และรอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานเพื่อที่จะหันเข้าหาพระเจ้าได้โดยสมบูรณ์  จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าและการติดตามพระเจ้าคือเพื่อให้ได้รับความจริงและชีวิตจากพระเจ้า กลายเป็นคนที่ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าและสามารถนบนอบและนมัสการพระเจ้าได้ในที่สุด  นี่คือความหมายที่แท้จริงของความเชื่อ  เมื่อดูที่ความเข้าใจของผู้คนในเรื่องความเชื่อ พวกเราย่อมเห็นได้ว่าทัศนะ ความตั้งใจ และแรงจูงใจที่พวกเขามีต่อความเชื่อของตนได้ก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากสิ่งใด?  (สิ่งนี้เป็นผลจากการทรงแสดงความจริงของพระเจ้าและพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในตัวผู้คน)  ถูกต้องแล้ว  ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่ผลลัพธ์ของเวลาที่ผ่านพ้นไปเท่านั้น และไม่ใช่สิ่งที่ใครคนใดมาบังคับเจ้า และสิ่งนี้ก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ของอิทธิพลหรือการเผยแพร่หลักคำสอนทางศาสนาใดทั้งสิ้น นับประสาอะไรกับการที่ความดีในหัวใจของเจ้าดลใจฟ้าสวรรค์ให้เปลี่ยนเจ้าเป็นคนที่ดีขึ้นและเป็นคนที่มีสภาพเสมือนมนุษย์มากขึ้น  ทั้งหมดนี้เป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์  อันที่จริง ผลประโยชน์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุดก็คือ เมื่อได้รับการนำโดยพระวจนะของพระเจ้า ให้น้ำและเลี้ยงดูโดยพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนก็มาเข้าใจความจริงและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า เห็นถึงความมืดและความชั่วท่ามกลางมนุษย์ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งแนวคิดกับทัศนะทั้งหลายของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก  ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นจากอะไร?  สิ่งเหล่านี้เป็นผลจากการค่อยๆ มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้าไปทีละน้อย  ดังนั้นแล้ว ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกี่ยวข้องกับอะไร?  ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด—เรื่องของความรอดนั่นเอง  นี่คือนัยสำคัญสูงสุดในของความเชื่อของมนุษย์  ที่จริงแล้วผู้คนไม่ได้เรียกร้องความเชื่อมากมายนัก  เป้าหมายของพวกเขาคือเพียงแค่ได้รับพระคุณและแสวงหาสันติสุข  จากนั้นสิ่งนี้ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความปรารถนาที่จะเป็นคนดีแทนที่จะเป็นคนชั่ว และท้ายที่สุด พวกเขาก็เพียงต้องการที่จะได้รับบั้นปลายที่ดี  อย่างไรก็ตาม คำถามที่ใหญ่ที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ อันที่จริงแล้วพระเจ้าทรงต้องการให้พระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ รวมถึงความรอดที่พระองค์ทรงมีให้มนุษย์นั้นสัมฤทธิ์ผลใด?  นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ  ในพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า พระองค์ทรงใช้สิ่งใดเพื่อให้สัมฤทธิ์ความรอดนี้?  พระองค์ทรงใช้ความเข้าใจที่เขามีต่อความจริงและต่อพระวจนะของพระองค์ แล้วจึงใช้ประสบการณ์ที่เขามีต่อการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบและกระบวนการถลุงปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากบาปและอิทธิพลของซาตาน  เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว นัยสำคัญสูงสุดในความเชื่อของผู้คนคืออะไร?  กล่าวโดยง่ายก็คือ ก็เพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอด  แล้วนัยสำคัญของความรอดคืออะไร?  เราต้องการให้พวกเจ้าทุกคนใคร่ครวญเรื่องนี้และบอกเราว่าที่จริงแล้วการถูกช่วยให้รอดมีความหมายว่าอย่างไร  (การถูกช่วยให้รอดหมายถึงการที่พวกเราสามารถหลุดพ้นจากอิทธิพลมืดของซาตาน หันเข้าหาพระเจ้าโดยสมบูรณ์ และอยู่รอดในท้ายที่สุด)  (ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานสมควรตาย แต่ผู้คนที่ได้รับการช่วยให้รอดจากการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าจะไม่ตาย)  พวกเจ้าทุกคนเข้าใจและสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ในระดับคำสอน แต่พวกเจ้าไม่รู้ว่าที่จริงแล้วการถูกช่วยให้รอดหมายความว่าอย่างไร  การถูกช่วยให้รอดทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าถูกทิ้งไปใช่หรือไม่?  การถูกช่วยให้รอดหมายถึงการไม่โกหก การเป็นคนซื่อสัตย์และเลิกกบฏต่อพระเจ้าใช่หรือไม่?  หลังจากถูกช่วยให้รอดแล้วผู้คนเป็นอย่างไร?  กล่าวโดยง่ายคือ การถูกช่วยให้รอดหมายความว่าเจ้าจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปและเจ้าได้รับการฟื้นคืนชีวิตกลับมา  ครั้งหนึ่งเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในบาปและมุ่งหน้าสู่ความตาย—เจ้าคือคนที่ตายไปแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า  การพูดเช่นนี้มีสิ่งใดเป็นพื้นฐานเล่า?  ก่อนที่ผู้คนจะได้บรรลุความรอด พวกเขาดำรงชีวิตภายใต้อำนาจของใครหรือ?  (ภายใต้อำนาจของซาตาน)  และผู้คนพึ่งพาสิ่งใดหรือในการดำรงชีวิตภายใต้อำนาจของซาตาน?  พวกเขาพึ่งพาธรรมชาติเยี่ยงซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาในการดำรงชีวิต  เช่นนั้นแล้ว ตัวตนทั้งหมดของพวกเขา—เนื้อหนังของพวกเขา และด้านอื่นๆ ทั้งหมด อาทิ วิญญาณของพวกเขาและความคิดทั้งหลายของพวกเขา—จะเป็นหรือตาย?  จากมุมมองของพระเจ้า พวกเขาตายแล้ว พวกเขาคือซากศพที่เดินได้  จากภายนอกผิวเผิน เจ้าดูเหมือนว่ากำลังหายใจและกำลังคิด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากำลังคิดอยู่เนืองนิตย์คือความชั่ว คือการต่อต้านพระเจ้าและกบฏต่อพระเจ้า ความคิดทั้งหมดของเจ้าเป็นของสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงรังเกียจ ทรงเกลียดชัง และทรงกล่าวโทษ  ในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไม่เพียงแค่มีธรรมชาติของเนื้อหนังเท่านั้น แต่ทั้งหมดนั้นมีธรรมชาติของซาตานและพวกมาร  ดังนั้นแล้ว ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้นมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือไม่?  ไม่ พวกเขาคือสัตว์ร้าย  คือพวกมารและซาตาน พวกเขาคือซาตานที่มีชีวิต!  ผู้คนล้วนใช้ชีวิตด้วยธรรมชาติและอุปนิสัยของซาตาน และตามที่พระเจ้าทรงเห็นนั้น พวกเขาก็คือซาตานที่มีชีวิตซึ่งสวมใส่เนื้อหนังของมนุษย์ เป็นมารที่ห่อหุ้มด้วยผิวหนังของมนุษย์  พระเจ้าทรงบรรยายลักษณะของผู้คนเช่นนั้นว่าเป็นซากศพเดินได้ เป็นคนที่ตายแล้ว  ขณะนี้พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจแห่งความรอด ซึ่งหมายความว่าพระองค์จะทรงเปลี่ยนซากศพที่เดินได้ซึ่งใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของมัน—พวกคนที่ตายแล้ว—ให้กลับมาเป็นคนที่มีชีวิต  นั่นคือนัยสำคัญของการถูกช่วยให้รอด  คนเราเชื่อในพระเจ้าเพื่อจะได้ถูกช่วยให้รอด—แล้วการถูกช่วยให้รอดคืออะไร?  เมื่อคนเราได้รับความรอดของพระเจ้า พวกเขาก็คือคนตายที่กลับมามีชีวิต  ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยมีธรรมชาติของซาตาน ถูกกำหนดให้ตาย แต่ตอนนี้พวกเขาได้กลับมามีชีวิตในฐานะผู้คนที่เป็นของพระเจ้า  หากผู้คนสามารถนบนอบพระเจ้า รู้จักพระองค์ และโค้งคำนับนมัสการพระองค์เมื่อพวกเขาติดตามและเชื่อในพระเจ้าได้ หากในหัวใจของพวกเขาไม่มีความรู้สึกคัดค้านและความเป็นกบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป และจะไม่ต้านทานหรือทำร้ายพระองค์อีก อีกทั้งสามารถนบนอบต่อพระองค์ได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาก็เป็นคนที่มีชีวิตโดยแท้จริง  คนที่เพียงแต่ยอมรับพระเจ้าด้วยคำพูดเป็นคนที่มีชีวิตหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วคนที่มีชีวิตคือคนประเภทใดเล่า?  ความเป็นจริงของคนที่มีชีวิตคืออะไร?  คนที่มีชีวิตพึงต้องมีสิ่งใด?  จงบอกความคิดเห็นของพวกเจ้าแก่เรา  (คนที่มีชีวิตคือคนที่สามารถยอมรับความจริงได้  เมื่อทัศนะทางอุดมการณ์และทัศนะเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปและสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็คือคนที่มีชีวิต)  (คนที่มีชีวิตคือบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงและสามารถปฏิบัติความจริงได้)  (คนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเช่นเดียวกับโยบคือคนที่มีชีวิต)  (ผู้คนที่รู้จักพระเจ้า สามารถใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และสามารถใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงได้—คนเหล่านั้นคือคนที่มีชีวิต)  พวกเจ้าทุกคนได้พูดถึงการสำแดงชนิดหนึ่ง  อย่างน้อยใครบางคนก็ต้องสามารถเอาใจใส่พระวจนะของพระเจ้า และสามารถกล่าวคำพูดที่มีมโนธรรมและสำนึกได้ อีกทั้งพวกเขาต้องคิดคำนึงและแยกแยะ สามารถเข้าใจความจริงและปฏิบัติความจริงได้ สามารถนบนอบต่อพระเจ้าและนมัสการพระองค์ได้  คนเหล่านี้จึงจะได้รับการช่วยให้รอดและกลายเป็นคนที่มีชีวิตในท้ายที่สุด  นั่นคือความหมายของคนมีชีวิตที่แท้จริง  คนที่มีชีวิตมักจะคิดเรื่องอะไรและทำสิ่งใด?  พวกเขาสามารถทำในสิ่งที่คนปกติควรทำได้อยู่บ้าง  โดยหลักแล้วพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี และพวกเขาก็ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วในสิ่งที่พวกเขาคิดและเผยออกมา ในสิ่งที่พวกเขาพูดและทำเป็นกิจวัตร  นั่นคือธรรมชาติของสิ่งที่พวกเขามักจะคิดและทำ  พูดให้ตรงขึ้นอีกเล็กน้อยก็คือ อย่างน้อยสิ่งที่พวกเขาพูดและทำโดยมากก็สอดคล้องกับความจริง  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษหรือเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์ ทว่าเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงยอมรับและเห็นชอบ  นี่คือสิ่งที่คนที่มีชีวิตทำ และเป็นสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ  หากเจ้าเพียงแต่ยอมรับพระเจ้าด้วยปากและเชื่ออยู่ในหัวใจของตน เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความเห็นชอบและความรอดของพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เหตุใดจึงไม่ได้?  บางคนกล่าวว่า “ฉันเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่” “ฉันเชื่อในอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือทุกสรรพสิ่งและชะตากรรมของมวลมนุษย์” “ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เชื่อว่าพระเจ้าทรงนำฉันไปสู่ส่วนที่ดีขึ้นกว่าเดิมในชีวิต และเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถนำฉันไปบนเส้นทางในอนาคตได้เช่นกัน” และ “ฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของฉันได้”  การมี “ความเชื่อ” เช่นนั้นหมายความว่าเจ้าถูกช่วยให้รอดใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วความเชื่อประเภทใดที่หมายความว่าผู้คนได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริง?  (ความเชื่อที่ทำให้พวกเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเช่นเดียวกับโยบ)  ผู้คนจะสามารถมาครองความเชื่อจริงแท้เช่นนั้นได้อย่างไร?  ด้วยการยอมรับทางวาจาและการเชื่ออยู่ในหัวใจของพวกเขา ความเชื่อเช่นนี้สามารถก่อให้เกิดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้หรือไม่?  การเชื่อเช่นนี้หมายความว่าผู้คนมีความรู้เรื่องพระเจ้าใช่หรือไม่?  การนี้สามารถทำให้ผู้คนสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่?  การนี้สามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้หรือไม่?  ในที่นี้มีสิ่งใดตกหล่นไปอีก?  คำถามเหล่านี้คือคำถามที่ต้องได้รับการไตร่ตรองและทำความเข้าใจ

ระหว่างคำว่าความเชื่อ ความเชื่อมั่น และความเชื่อจริงแท้นั้นมีความแตกต่างใดหรือไม่?  (มี)  สิ่งเหล่านี้ย่อมแตกต่างกันอย่างแน่นอน และเจ้าต้องหาคำตอบให้ได้ว่าความแตกต่างที่แน่นอนแล้วคืออะไร  หากเจ้าไม่สามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าอาจรู้สึกว่าเจ้ามีความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้าในขณะที่เจ้ามีเพียงความเชื่ออันคลุมเครือหรือมีความเชื่อมั่นเท่านั้น  ความเชื่อมั่นที่คลุมเครือจะสามารถแทนที่ความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้าของเจ้าได้อย่างไร?  ที่จริงแล้ว เจ้ากลับใช้ความเชื่อมั่นและความเชื่อของตนเองแทนที่จะมีความไว้วางใจจริง  หากการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเป็นเพียงความเชื่อหรือความเชื่อมั่น เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีวันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริงได้ และพระเจ้าก็ไม่ทรงเห็นชอบต่อความเชื่อเช่นนั้นของเจ้า  อะไรคือความแตกต่างระหว่างความเชื่อ ความเชื่อมั่น และความเชื่อจริงแท้?  ความเชื่อและความเชื่อมั่นไม่ใช่สิ่งที่อธิบายให้ชัดเจนได้โดยง่าย ดังนั้นมาพูดถึงความเชื่อจริงแท้กันก่อน  ความเชื่อที่จริงแท้ในพระเจ้าคืออะไร?  (การเชื่อว่าทุกเหตุการณ์และทุกสรรพสิ่งอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า)  นี่คือความเชื่อหรือความเชื่อจริงแท้?  (ความเชื่อ)  (ความเชื่อจริงแท้ตั้งอยู่บนรากฐานความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า  เมื่อผู้คนรู้จักพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถมีความเชื่อจริงแท้ได้)  ความเข้าใจนี้ถูกต้องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ผู้คนจะสามารถมามีความเชื่อจริงแท้ได้อย่างไร?  อะไรคือการสำแดงถึงความเชื่อจริงแท้?  หากผู้คนมีความเชื่อจริงแท้ พวกเขาจะพร่ำบ่นหรือเข้าใจพระเจ้าผิดหรือไม่?  พวกเขาจะต่อต้านพระเจ้าบ้างหรือไม่?  (ไม่)  หากผู้คนมีความเชื่อจริงแท้ พวกเขาจะกบฏต่อพระเจ้าหรือไม่?  ผู้คนจะสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้หรือไม่เมื่อพวกเขาพยายามทำดีและเป็นคนดีบนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง?  (ไม่ได้)  เรามาวางทั้งสามแนวคิดอย่างความเชื่อ ความเชื่อมั่น และความเชื่อจริงแท้เอาไว้ แล้วมาสามัคคีธรรมถึงเรื่องหนึ่งกันก่อน  ก่อนเปโตรจะได้รับการช่วยให้รอดและทำให้เพียบพร้อมนั้น การกระทำอันเป็นที่รู้จักกันดีของเขาคืออะไร?  (ปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง)  เปโตรทำสิ่งอื่นใดอีกก่อนเขาปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง?  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่าพระองค์จะทรงถูกตรึงกางเขน เปโตรกล่าวว่าอย่างไร?  (“อย่าให้เป็นเช่นนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า จะให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับพระองค์ไม่ได้” (มัทธิว 16:22))  สิ่งที่ทำให้เปโตรกล่าวเช่นนี้คือความเชื่อจริงแท้ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วคืออะไรกันเล่า?  สิ่งนั้นก็คือความตั้งใจดีของมนุษย์ และเป็นการขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า  เปโตรได้ความตั้งใจดีแบบนี้มาจากไหน?  (จากเจตจำนงของมนุษย์)  เหตุใดเขาจึงใส่ใจกับเจตจำนงเช่นนี้ของมนุษย์?  เขาไม่ได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า เขาไม่เข้าใจว่าพันธกิจขององค์พระเยซูเจ้าคืออะไร อีกทั้งเขาไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงในเรื่องขององค์พระเยซูเจ้า  เขาเพียงแต่ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความเลื่อมใส  เขานมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในหัวใจ ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะรักและคุ้มครององค์พระผู้เป็นเจ้า  เขาคิดว่า “สิ่งนี้ต้องไม่มีวันเกิดขึ้นกับพระองค์  พระองค์จะทนทุกข์กับความเจ็บปวดนั้นไม่ได้!  หากจำเป็นต้องทนทุกข์ ข้าพระองค์ก็จะทนทุกข์  ข้าพระองค์จะทนทุกข์แทนพระองค์เอง”  เขาไม่รู้ถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเขาก็มีความตั้งใจดีบางอย่างที่มาจากเจตจำนงของมนุษย์และต้องการที่จะป้องกันไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น  แล้วอะไรทำให้เขาปฏิบัติตนในหนทางนี้?  ในแง่มุมหนึ่งนี่เป็นเพราะความหัวร้อน เจตจำนงของมนุษย์ และความล้มเหลวในการทำความเข้าใจ  อีกแง่มุมหนึ่งคือเขาไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า  เขาทำสิ่งนี้ด้วยความไว้วางใจจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วเหตุใดเขาจึงมามีความตั้งใจดีเช่นนั้นเล่า?  ความตั้งใจดีดังกล่าวสอดคล้องกับความจริงหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นคือความประพฤติดีใช่หรือไม่?  ถึงแม้เขาแสวงหาที่จะทำดีและปฏิบัติตนจากความตั้งใจดีและความจริงใจ ทว่าธรรมชาติของการกระทำของเขาคืออะไร?  สิ่งเหล่านั้นเป็นพฤติกรรมและการกระทำที่เกิดจากความเชื่อจริงแท้ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าคำตอบคือไม่ใช่อย่างแน่นอน  แล้วสิ่งนี้คือความเชื่อใช่หรือไม่?  (ใช่)  เรามาใช้สิ่งนี้เพื่อพูดถึงความหมายของความเชื่อกัน  ความเชื่อเป็นความโหยหาที่ดีและเป็นความปรารถนาที่ดีซึ่งสอดคล้องอย่างใกล้ชิดกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์มากที่สุด  โดยทั่วไปแล้ว นี่คือบางสิ่งที่มวลมนุษย์ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และเป็นสิ่งทางบวก  เป็นความคิดที่ดีประเภทหนึ่ง แนวคิดที่ดี การปฏิบัติที่ดี และแรงจูงใจที่ดีชนิดหนึ่งอันสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์โดยสมบูรณ์  นี่คือสิ่งที่มนุษย์โหยหา  นี่คือความเชื่อ  ความเชื่อไม่ใช่ความเชื่อจริงแท้  สิ่งนี้มาจากเจตจำนงของมนุษย์โดยแท้จริงและไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนด ดังนั้นความเชื่อจึงไม่ใช่ความไว้วางใจจริง  เปโตรเป็นคนดีจริงๆ  เขาครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี อีกทั้งเป็นคนที่เรียบง่าย ซื่อสัตย์ มีความหลงใหล และจริงจังกับการไล่ตามเสาะหาของตน  ในหัวใจของเปโตรไม่ได้เก็บซ่อนข้อกังขาต่อพระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูเจ้าไว้เลย  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้จากก้นบึ้งของหัวใจได้ว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า จะให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับพระองค์ไม่ได้”  การที่เขาสามารถกล่าวสิ่งเหล่านั้นได้แสดงให้เห็นถึงสภาวะความเป็นมนุษย์และความสัตย์สุจริตของเขา  ถึงแม้นี่คือความปรารถนาประเภทหนึ่ง เป็นความตั้งใจดีประเภทหนึ่ง และเป็นเพียงพฤติกรรม การปฎิบัติ และการแสดงออกซึ่งเกิดจากความเชื่อประเภทหนึ่งเท่านั้น แต่พวกเราก็สามารถเห็นได้ว่าเปโตรมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่มีเมตตา  เขามีความเชื่อที่เป็นบวก แต่โชคไม่ดีที่เพราะเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป รู้เกี่ยวกับพระเจ้าน้อยเกินไป ไม่รู้ถึงแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ไม่รู้ถึงพระราชกิจที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทำ และไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า เขาจึงทำเรื่องโง่เขลาอันตั้งอยู่บนเจตจำนงของมนุษย์โดยแท้และขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า  นี่คือการกระทำของมนุษย์อันเกิดจากความเชื่อ และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ความเชื่อจริงแท้  หากใครบางคนยึดถือความเชื่อดังกล่าวซึ่งก่อให้เกิดพฤติกรรมอันดีและทำให้พวกเขามีความตั้งใจดีอยู่บ้าง พระเจ้าจะทรงจดจำสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำหรือไม่?  พระเจ้าไม่ทรงจดจำสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ทำลงไปโดยเปล่าประโยชน์!  ในทางกลับกัน พระเจ้าตรัสสิ่งนี้ว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน” (มัทธิว 16:23)  จงใคร่ครวญสิ่งนี้  เหตุใดองค์พระเยซูเจ้าจึงตรัสพระวจนะที่ผู้คนมองว่าไม่คำนึงถึงใจผู้อื่น?  เหตุใดองค์พระเยซูเจ้าไม่ทรงแสดงความเข้าใจเมื่อพระองค์ทรงเห็นถึงความตั้งใจดีของเปโตร?  พระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นไรต่อเรื่องนี้?  พระเจ้าทรงเห็นชอบต่อความตั้งใจดีเช่นนี้ของเปโตรหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของเปโตรและทรงเห็นว่าเขาไม่มีเจตนาชั่ว ดังนั้นพระองค์จึงไม่จำเป็นต้องเปิดโปงแก่นแท้ของเรื่องนี้  แบบนั้นใช้ได้หรือไม่?  (ไม่)  เพราะเหตุใดเล่า?  พระเจ้าดำริเช่นไรกับความตั้งใจที่ดีของผู้คน ความเชื่อของผู้คน และสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนคิดว่าดี ทว่าไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า?  พระเจ้าตรัสว่าสิ่งเหล่านั้นมาจากซาตานและเป็นการแข็งขืนต่อพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเชื่อ  พระดำริดังกล่าวขัดต่อวิธีคิดของมนุษย์หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อปฏิบัติตนจากความรักใคร่ชอบพอของมนุษย์ ผู้คนทั่วไปจะตอบสนองต่อเปโตรอย่างไร?  พวกเขาย่อมจะอนุญาตให้เปโตรรักษาหน้าและเผื่อทางให้แก่เขาโดยคิดอยู่ในใจว่า “เปโตรมีความตั้งใจดีและเขาต้องการที่จะคุ้มครองพระองค์  การตำหนิเปโตรเช่นนี้ดูเป็นการไม่คำนึงถึงใจผู้อื่นเลย!”  แต่การปฏิบัติตนของพระเจ้าไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  สิ่งใดคือธรรมชาติของพระวจนะที่พระเจ้าตรัส?  ในแง่มุมหนึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการเปิดโปง ในอีกแง่มุมหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นการกล่าวโทษ และในแง่มุมที่สาม สิ่งเหล่านี้เป็นการพิพากษา  เปโตรรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินพระวจนะเหล่านี้?  เขาถูกตีสอน และการนี้ราวกับมีดที่บิดแทงเข้ามาในหัวใจของเขา  เขารู้สึกแย่และไม่เข้าใจ พลางคิดกับตนเองว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รักพระองค์ด้วยความจริงใจ!  ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์อย่างมาก รักพระองค์อย่างสุดซึ้ง และต้องการที่จะคุ้มครองพระองค์เหลือเกิน แต่ทำไมพระองค์จึงทรงปฏิบัติต่อข้าพระองค์เช่นนี้เล่า?  พระองค์ตรัสว่าข้าพระองค์คือซาตานและสั่งให้ข้าพระองค์ไปให้พ้น  ข้าพระองค์คือซาตานหรือ?  ข้าพระองค์คือคนที่ติดตามพระองค์อย่างจริงใจไม่ใช่หรือ แล้วพระองค์ทรงมองว่าข้าพระองค์คือซาตานได้อย่างไร?  ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังทรงไม่คำนึงถึงใจผู้อื่นที่บอกให้ข้าพระองค์ไปให้พ้น  เรื่องนี้เจ็บปวดเกินไป ทำร้ายจิตใจกันเกินไป!”  จากการที่พระเจ้าทรงรับมือและทรงปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นในหนทางนี้ พวกเจ้าเห็นได้ถึงท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อความเชื่อของมนุษย์หรือไม่?  (กล่าวโทษ พิพากษา และเปิดโปง)  ถูกต้องแล้ว  พระเจ้าไม่เพียงไม่โปรดสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น ทว่าพระองค์ทรงเกลียดชังสิ่งเหล่านั้น และที่จริงจังที่สุดคือพระองค์ทรงกล่าวโทษสิ่งเหล่านั้นด้วย  จากสิ่งเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทรงเผย พวกเจ้าเห็นถึงอุปนิสัยของพระเจ้าบ้างหรือไม่?  (อุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม)  นี่คือสิ่งที่แน่นอน  แล้วมีอะไรอีก?  สำหรับพระเจ้านั้น แม้ว่าการผ่อนปรน ความกรุณา ความอดทน และความเมตตาเปี่ยมรักจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างมาก แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นส่วนที่ผู้คนย่อมพบว่ายอมรับได้ง่ายกว่า และแม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและประทานแก่ผู้คนอยู่เสมอ เมื่อผู้คนล่วงเกินอุปนิสัยของพระเจ้าและละเมิดหลักธรรมของพระองค์ พระเจ้าจะทรงจัดการกับพวกเขาอย่างไร?  พระเจ้าย่อมกล่าวโทษพวกเขา!  พระเจ้าไม่ทรงกล่าวถ้อยแถลงที่คลุมเครือแก่ผู้คน โดยตรัสว่า “ผู้คนทำสิ่งนี้ด้วยความตั้งใจดีและไม่มีสิ่งจูงใจแอบแฝง เพราะฉะนั้นคราวนี้เราจะไม่ลงโทษพวกเขา”  กับพระเจ้าแล้วไม่มีทางสายกลาง ไม่มีการปลอมปนด้วยเจตจำนงของมนุษย์  หนึ่งคือหนึ่ง สองคือสอง ถูกคือถูก และผิดก็คือผิด  สำหรับพระเจ้าแล้วไม่มีความคลุมเครือใดๆ ทั้งสิ้น  จากการชำแหละสิ่งที่เปโตรพูดต่อองค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า จะให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับพระองค์ไม่ได้” ผู้คนย่อมเห็นได้ว่าความเชื่อคืออะไร  ผู้คนที่มีความเชื่อสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้หรือไม่?  ความเชื่อสามารถทำให้เกิดความเชื่อจริงแท้ได้หรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นสามารถแทนที่ความเชื่อจริงแท้ที่ผู้คนมีต่อพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน

สุดท้ายแล้วความเชื่อคืออะไร?  สิ่งเหล่านี้คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน ความปรารถนาอันดี เป้าหมายที่ดี รวมถึงความมุ่งมาดปรารถนาอันสูงส่งประเภทหนึ่งที่ผู้คนสร้างขึ้นมา  หลังจากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาแล้ว ผู้คนก็วิ่งไปในทิศทางนี้ ไล่ตามไขว่คว้าและได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ด้วยการพึ่งพาเจตนาอันดีของมนุษย์ ความพยายามของมนุษย์ เจตจำนงที่จะทนทุกข์ของมนุษย์ หรือพฤติกรามที่ดีมากขึ้นของมนุษย์  สิ่งใดที่ขาดพร่องไปในเรื่องนี้?  เหตุใดผู้ที่มีความเชื่อจึงไม่สามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้?  (ผู้คนก่อกวนและขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้าบนพื้นฐานความเชื่อของพวกเขา)  นี่คือแง่มุมหนึ่งซึ่งเห็นได้ชัด  นอกจากนี้ เมื่อผู้คนทำสิ่งต่างๆ บนพื้นฐานความเชื่อของตน สิ่งที่พวกเขาทำนั้นมีความจริงอยู่บ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  มาชำแหละสิ่งที่เปโตรทำกัน  เปโตรกล่าวว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า จะให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับพระองค์ไม่ได้”  ในคำพูดเหล่านี้มีความจริงหรือไม่?  (ไม่)  การที่เขากล่าวว่า “จะให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับพระองค์ไม่ได้” หมายความว่าอย่างไร?  เหตุใดเหตุการณ์นี้จึงเกิดกับพระเจ้าไม่ได้?  เป็นเพราะทั้งหมดนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้าใช่หรือไม่?  พระเจ้าไม่ทรงมีคำขาดในทั้งหมดนี้หรือ?  หากพระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็จะเกิดขึ้น  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น สิ่งนี้จะไม่ถูกเลี่ยงไปหรอกหรือ?  คำพูดของเปโตรที่ว่า “จะให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับพระองค์ไม่ได้” สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้หรือไม่?  ใครเป็นผู้กำหนดอุบัติการณ์ ความก้าวหน้า และจุดจบของเรื่องทั้งหมดนี้?  (พระเจ้าเป็นผู้ทรงกำหนด)  เช่นนั้นแล้ว คำพูดเหล่านี้ที่เปโตรกล่าวมาคืออะไร?  คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่โง่เขลา เป็นคำที่กล่าวออกมาด้วยความไม่รู้ เป็นคำที่กล่าวออกมาในนามของซาตาน  นี่คือผลที่เกิดขึ้นจากความเชื่อของมนุษย์  นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงใช่หรือไม่?  (นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรง)  ร้ายแรงเพียงใด?  (นี่คือการแข็งขืนต่อพระเจ้าและทำตัวเป็นช่องทางระบายของซาตาน)  ถูกต้อง  นี่คือการทำตัวเป็นช่องทางระบายของซาตาน ซึ่งหมายถึงการแข็งขืนต่อพระเจ้าและทำลายพระราชกิจของพระเจ้าแทนซาตาน  หากองค์พระเยซูเจ้าทรงกระทำตามที่เปโตรกล่าวในเรื่องนี้ พระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ของพระองค์จะไม่ถูกทำลายหรือ?  คำพูดที่เปโตรกล่าวออกมาเหล่านี้มีธรรมชาติเป็นเช่นไร?  (คำพูดเหล่านี้ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า)  นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าตรัสพระวจนะอันโกรธเกรี้ยวเหล่านั้นอย่างไร้ความกรุณาว่า—“จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน!”  พระวจนะเหล่านี้เป็นการกล่าวโทษ อีกทั้งเป็นการพิพากษา  ในพระวจนะเหล่านี้มีอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่!  เมื่อผู้คนมีความเชื่อเช่นนั้น ซึ่งเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยความตั้งใจดี ความปรารถนาของมนุษย์ ความประสงค์อันงดงามของมนุษย์ รวมถึงสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์ถือว่าเป็นสิ่งทางบวก และดี พระเจ้าทรงเห็นชอบในเรื่องนี้หรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนมองว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ดี แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงเห็นชอบเล่า?  ในแง่มุมหนึ่ง นี่เป็นเพราะผู้คนไม่มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า  นี่คือสาเหตุโดยทั่วไป  นอกจากนี้แล้ว จากมุมมองที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ผู้คนไม่ได้นบนอบอย่างแท้จริงต่อพระวจนะที่พระเจ้าตรัสและการกระทำที่พระองค์ทรงกระทำ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้ทำความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริงด้วย  บนพื้นฐานความคิดของมนุษย์ พวกเขาต้องการให้พระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนี้หรือเช่นนั้นอยู่เสมอ  พวกเขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “การที่พระเจ้าจะทรงทำเช่นนี้ไม่ดีเลย  การที่ทรงทำเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราคาดหวังไว้ นี่คือการไม่คำนึงถึงใจผู้คนอย่างยิ่ง”  เมื่อผู้คนเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น พวกเขามักจะเกิดมโนคติอันหลงผิด เต็มไปด้วยความคิดฝันที่มนุษย์สร้างขึ้น และอาศัยวิธีการทุกรูปแบบของมนุษย์ในการทำสิ่งต่างๆ  ในจุดนี้นั้นไม่มีการนบนอบ ไม่มีความรู้ที่แท้จริง ไม่มีความยำเกรงที่แท้จริงต่อพระเจ้า มีเพียงการขัดขวางและการทำลายพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น  สิ่งนี้ขาดพร่ององค์ประกอบของความเชื่อจริงแท้  ด้วยเหตุนั้น หลังจากที่เปโตรกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมา เขาจึงถูกพิพากษา  หลังถูกพิพากษาเขาได้รับสิ่งใดบ้างหรือไม่?  (เขาสามารถเข้าใจตนเองและเข้าใจอุปนิสัยของพระเจ้าได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย)  การพิพากษาดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี?  อย่างน้อยที่สุด นี่ก็เป็นการเคาะกะโหลกเขาอย่างแรงจนทำให้เขาหยุดและคิดว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์คือซาตานงั้นหรือ?  ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง ข้าพระองค์คือคนที่รักพระองค์ ข้าพระองค์คือผู้ติดตามที่สัตย์ซื่อของพระองค์!  แล้วข้าพระองค์จะเป็นซาตานได้อย่างไร?”  เมื่อใคร่ครวญเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง เขาก็คิดว่า  “องค์พระเยซูเจ้าทรงว่ากล่าวฉันด้วยพระวจนะที่ชัดเจนและเรียบง่าย  พระองค์ทรงบอกให้ฉันไปให้พ้นพระพักตร์และทรงว่ากล่าวฉันว่าเป็นซาตาน  หมายความว่าฉันออกตัวแทนซาตานในเรื่องนี้!  คนประเภทไหนที่สามารถออกตัวแทนซาตานได้?  คนที่เข้ากันไม่ได้กับพระเจ้านั่นเอง  ไม่ว่าที่ไหนและเวลาใด คนเช่นนั้นก็สามารถต้านทานและทรยศพระเจ้า สามารถทำลายพระราชกิจของพระเจ้า และสามารถก่อกวนและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าอัปปาง และกลายเป็นศัตรูของพระเจ้า  นี่คือเรื่องที่เลวร้าย!  ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันจะรีบถอยไปให้พ้นพระพักตร์พระเจ้าและหุบปากเสีย”  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเปโตรค่อยๆ เกิดสำนึกคืนมา ได้รับความเข้าใจ และตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหามิใช่หรือ?  เขาตระหนักว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์เสมอ และพระเจ้าก็คือพระเจ้าเสมอ และระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าย่อมมีระยะห่าง  เมื่อมนุษย์ปฏิบัติตนตามรากฐานของความตั้งใจดี พระเจ้าก็ทรงมองว่าสิ่งนี้เป็นการขัดขวางและการก่อกวน  จากการดำเนินการในหนทางนี้ทีละน้อย การพิพากษามนุษย์ของพระเจ้าย่อมกลายเป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้นการที่บุคคลหนึ่งเผยความโง่เขลาอยู่บ้างเป็นเรื่องที่แย่หรือไม่?  เมื่อมองแบบนี้เรื่องนี้ก็ย่อมไม่ใช่สิ่งที่แย่ทว่าเป็นสิ่งที่ดี  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าเรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่ดี?  (เพราะผู้คนได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้)  ถูกต้อง ผู้คนได้รับประโยชน์บางอย่าง  ประโยชน์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  เมื่อเจ้าตกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้าและเจ้านบนอบต่อการพิพากษานั้น ตรวจสอบตนเอง และยอมรับทุกสิ่งที่มาจากพระเจ้า—ซึ่งก็คือทุกการทรงแสดงออกของพระเจ้า การเผยของพระเจ้า รวมถึงทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดให้กับเจ้า—และสิ่งนั้นกลายมาเป็นความเป็นจริงของเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ความเสื่อมทรามของเจ้าจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยไม่รู้ตัว  ดังนั้นการถูกพิพากษาเป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี?  (เป็นสิ่งที่ดี)  พวกเจ้าเต็มใจที่จะรับการพิพากษาหรือไม่?  (พวกเราเต็มใจ)  หากพวกเจ้าถูกพิพากษาทุกวันจะเป็นเรื่องที่รับได้หรือไม่?  เจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้กิน นอน หรือพักผ่อนได้ตามปกติ พระเจ้าจะทรงบอกให้เจ้าถอยไป  เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น และพระองค์จะทรงพิพากษาเจ้าโดยไม่มีเหตุผลใดๆ  แบบนั้นจะเป็นอะไรหรือไม่?  เจ้าจะสามารถทนเรื่องนี้ได้หรือไม่?  ผู้คนจะไม่สามารถทนเรื่องนี้ได้ และพระเจ้าจะไม่ทรงทำเช่นนั้น  พระเจ้าทรงต้องการอย่างจริงจังที่จะให้เจ้าเติบโตและเป็นผู้ใหญ่โดยเร็ว  นี่คือเหตุผลที่การพิพากษาของพระเจ้านั้นมีขั้นตอนมากมาย  บางครั้งพระองค์อาจทรงกริ้ว แล้วจากนั้นก็ให้ความชูใจให้เจ้าอยู่บ้าง  บางครั้งพระองค์อาจทรงตีเจ้า แล้วจึงทรงให้ความกรุณาแก่เจ้า  ถึงแม้พระเจ้าทรงกริ้วอยู่บ่อยครั้ง ก็ย่อมมีช่วงเวลาระหว่างพระโทสะของพระองค์ที่ให้ผู้คนได้มีเวลาพักหายใจ  มีเพียงตอนที่พระเจ้าทรงพิพากษาและกล่าวโทษผู้คนโดยตรงในหนทางนี้เท่านั้นจึงจะช่วยให้พวกเขาเติบโตในชีวิตได้  การทนทุกข์เล็กน้อยเพื่อให้ได้รับความจริงย่อมเป็นเรื่องที่คุ้มค่า

ผู้คนที่ยึดถือความเชื่อเพียงอย่างเดียวนั้นห่างไกลจากการสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และความเชื่อก็ห่างไกลจากการแทนที่ความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้าได้ดีพอ  หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้าตามความเชื่อ ผู้คนย่อมไม่มีวันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริง นับประสาอะไรกับการนบนอบพระองค์และมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยแท้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  ความเชื่อของผู้คนไม่เกี่ยวอะไรกับความจริงเลย ทั้งยังห่างไกลจากการสมดังข้อกำหนดของพระเจ้า  เมื่อผู้คนมีความเชื่อ นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริง  การเชื่อในพระเจ้าโดยอ้างอิงตามความเชื่อย่อมทำให้ผู้คนไม่มีวันที่จะเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า และได้แต่ก่อกวนและขัดขวางพระราชกิจเท่านั้น  การเชื่อโดยอ้างอิงตามความเชื่อนั้นไม่ได้หมายความว่าผู้คนจะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า นับประสาอะไรกับการนบนอบพระเจ้า  ดังนั้นแล้ว ต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเปโตร?  ก่อนองค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขน พระองค์ตรัสเช่นนี้กับเปโตรว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ในคืนวันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” (มัทธิว 26:34)  เปโตรตอบไปว่าอย่างไร?  (“ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย” (มัทธิว 26:35))  สิ่งนี้ทำให้เปโตรเสียใจ และไม่ยอมรับว่าเขาจะทำดั่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส แต่ท้ายที่สุดข้อเท็จจริงก็ยืนยันสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัส  ความไว้วางใจที่เปโตรมีในเวลานั้นยิ่งใหญ่กว่าหรือน้อยกว่าของพวกเจ้า?  (ยิ่งใหญ่กว่า เขาตัดหูผู้รับใช้ของปุโรหิตระดับสูงเพื่อคุ้มครององค์พระผู้เป็นเจ้า)  นั่นเกิดจากความหัวร้อน  ความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าและการยอมรับอัตลักษณ์ของพระองค์แสดงให้เห็นถึงระดับความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าของเปโตร  สิ่งนี้ทำให้เขาสู้เพื่อองค์พระเยซูเจ้าอย่างสุดกำลัง โดยกล่าวว่า “ผู้ใดแตะต้ององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เราจะเสี่ยงชีวิตเข้าสู้!”  ความเชื่อของเขาไปจนถึงระดับนี้ แต่พระเจ้าทรงต้องการความหัวร้อนของมนุษย์อย่างนั้นหรือ?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  ความเชื่อของเปโตรไปถึงจุดที่เขาจะสละชีวิตของตนเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่แล้วเหตุใดเปโตรจึงยังคงปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง?  นี่เป็นเพราะเขาถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าให้ทำเช่นนี้โดยคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วสาเหตุคืออะไร?  เหตุใดเขาจึงขี้ขลาดยิ่งนัก?  เขาสามารถเสี่ยงชีวิตของตนต่อสู้กับผู้อื่นเพื่อองค์พระเยซูเจ้าและตัดหูของใครบางคนได้  ด้วยความรักที่เขามีต่อองค์พระเยซูเจ้า เขาจึงสามารถกล่าวคำเหล่านั้นจากก้นบึ้งของหัวใจและกระทำตามคำพูดนั้นได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงใจเป็นพิเศษของเขา  ดังนั้นเมื่อถึงเวลา เหตุใดเขาจึงไม่กล้ายอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า?  (เพราะเขารู้ถึงผลที่จะตามมา  หากตอนนั้นกองทัพโรมันจับตัวเขาไป เขาจะถูกประหารชีวิต  เขากลัวจะถูกจับ และกลัวตายด้วยเช่นกัน)  เหตุผลหลักก็คือความปรารถนาที่จะรักษาชีวิตของเขาเอาไว้  จริงอยู่ที่เปโตรมีความเชื่อ แต่เขามีองค์ประกอบของความเชื่อจริงแท้หรือไม่?  ในเวลานั้นเปโตรได้ตระหนักแล้วว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงมีชีวิต และเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  เขามีความเชื่อจริงแท้เช่นนั้น แล้วเหตุใดเขาจึงยังขลาดกลัวเหลือเกิน?  (เขาขาดวุฒิภาวะเช่นนั้น)  เขาหวงแหนชีวิตของตนและกลัวความตาย ความทุกข์ และการทรมานทางกาย  ไม่ว่าเหตุผลคืออะไร ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังคงปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง  สิ่งนี้เป็นดั่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “ในคืนวันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง”  พระวจนะเหล่านี้ลุล่วงอย่างแท้จริงในตัวเปโตร  เหตุใดองค์พระเยซูเจ้าจึงสามารถตรัสสิ่งเหล่านั้นและได้ข้อสรุปเช่นนั้นเกี่ยวกับเปโตรได้?  (พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของผู้คน)  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์สิ่งใดในหัวใจของเปโตร?  (วุฒิภาวะและความเชื่อในพระเจ้าของเปโตร)  องค์พระเยซูเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นวุฒิภาวะของเปโตรและระดับความไว้วางใจของเขา  ด้วยวุฒิภาวะที่น้อยเช่นนั้น การที่เขาปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจหรือไม่?  จากวุฒิภาวะของเขา การที่เขากระทำไปเช่นนั้นในสถานการณ์นั้นย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้  เหตุใดในตอนนั้นเขาจึงมีความไว้วางใจที่น้อยเช่นนั้น?  (ในตอนนั้นเปโตรได้ติดตามองค์พระเยซูเจ้ามาประมาณสามปี เขาจึงมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าน้อยเหลือเกิน)  หลังจากติดตามองค์พระเยซูเจ้ามาสามปี ความไว้วางใจของเขาจึงยิ่งใหญ่ได้เพียงเท่านั้น  นั่นคือวุฒิภาวะของเปโตรในเวลานั้น  การเติบโตทางวุฒิภาวะของเขาสัมฤทธิ์ผ่านทางการมีประสบการณ์อันลึกซึ้งอย่างต่อเนื่อง

การติดตามพระเจ้าโดยไร้ซึ่งความไว้วางใจจริงนั้นเป็นเรื่องที่ใช้ได้หรือไม่?  ที่จริงแล้วการที่ผู้คนมีความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร?  พูดเรื่องนี้ในแง่ที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ก็คือ นี่เป็นเรื่องของระดับความไว้วางใจของเจ้าในพระวจนะและพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้า รวมถึงระดับที่เจ้าสามารถเชื่อได้อย่างแท้จริง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่เป็นเรื่องของระดับที่เจ้าสามารถเชื่อและยอมรับได้ในหัวใจถึงการลุล่วงและวิธีการทำให้พระวจนะที่พระเจ้าตรัส สิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าลิขิตไว้ อธิปไตยของพระเจ้า การจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้านั้นลุล่วง วิธีที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการบั้นปลายในอนาคตของผู้คน และสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย รวมถึงระดับความไว้วางใจจริงที่เจ้ามีต่อสิ่งเหล่านี้  ในเวลานั้นเปโตรไม่กล้ายอมรับพระนามขององค์พระเยซูเจ้า หรือยอมรับความสัมพันธ์ของเขากับองค์พระเยซูเจ้าด้วยซ้ำ  เขาเพียงแต่มีความไว้วางใจเล็กน้อย และความไว้วางใจเล็กน้อยนี้ก็บ่งบอกถึงวุฒิภาวะจริงของเขา  วุฒิภาวะจริงของเขาเป็นอย่างไร?  (เขาเพียงแต่ยอมรับองค์พระเยซูเจ้าว่าคือพระคริสต์ แต่เขารู้เกี่ยวกับพระเจ้าเพียงเล็กน้อย)  เขามีวุฒิภาวะน้อยเหลือเกินและไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้  ดังนั้นสำหรับพวกเจ้า ขณะนี้พวกเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้าในระดับใด?  ความเชื่อของพวกเจ้าแข็งแกร่งกว่าของเปโตรหรือไม่?  อ่อนแอกว่าหรือไม่?  หรือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน?  (อยู่ในระดับเดียวกันในแง่ของการยอมรับพระคริสต์  พวกเราเข้าใจความจริงมากกว่าเปโตรเล็กน้อย แต่พวกเรายังไม่ได้เข้าไปสู่ความจริงเหล่านี้มากมายนัก)  หากความเชื่อในพระเจ้าของผู้คนหยุดอยู่เพียงแค่การยอมรับว่าพระองค์คือพระเจ้า ยอมรับว่าพระเจ้าสามารถทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการทุกสิ่ง และยอมรับว่าพระองค์ทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง เหนือโชคชะตาของเจ้า และเหนือชีวิตของเจ้า—หากเจ้าเพียงยอมรับเรื่องนี้ แต่มีองค์ประกอบของการเชื่อเพียงไม่กี่ประการ อีกทั้งมีองค์ประกอบของการนบนอบน้อยกว่านั้นจนเกือบจะไม่มีเสียด้วยซ้ำ และไม่มีองค์ประกอบของการเฝ้ารอและแสวงหาพระเจ้าเลย—นี่คือความเชื่อประเภทใด?  เจ้าพูดอยู่เสมอว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งและทรงจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่ง เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ประทานชีวิตให้แก่ผู้คน และเชื่อว่าเจ้าจะทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงรับสั่งให้เจ้าทำ แม้กระทั่งสละชีวิตของเจ้าให้แก่พระเจ้าก็ตาม  แต่แล้วเจ้าก็เผชิญหน้ากับสถานการณ์ดั่งที่เปโตรประสบ ที่ผู้คนถามว่า “นั่นคือพระเจ้าของท่านหรือ?”  เจ้าจะใคร่ครวญถึงเรื่องนี้พลางคิดว่า “มีผู้ปราศจากความเชื่ออยู่รอบตัว หากฉันยอมรับพระองค์ ฉันจะไม่โดนจับหรือ?  พระเจ้าตรัสว่าพวกเราสามารถใช้ปัญญาได้ในเวลาคับขันเช่นนี้และเว้นจากการยอมรับพระองค์ได้ ดังนั้นฉันจะใช้ปัญญา และพระเจ้าจะไม่จดจำเรื่องนี้”  หากเจ้าหวงแหนชีวิตของตนและทำตัวขี้ขลาด เจ้าจะไม่กล้ายอมรับพระเจ้า และอาจปฏิเสธพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ  ในเวลาเช่นนั้น ความไว้วางใจที่เจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งนั้นหายไปไหน?  (ความไว้วางใจนั้นไม่มีอยู่)  ความไว้วางใจที่เจ้าคิดว่าเจ้ามีในช่วงเวลาปกตินั้นเป็นจริงหรือเป็นเท็จ?  (เป็นเท็จ)  เมื่อมีบางสิ่งที่ละเมิดมโนคติอันหลงผิดหรือรสนิยมของเจ้าเป็นพิเศษเกิดขึ้น และเจตนารมณ์ของพระเจ้าในเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้ถูกเผยโดยสมบูรณ์ พระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้านบนอบในเรื่องนี้  พระองค์ทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมนี้เพื่อให้เจ้าสามารถเรียนรู้บทเรียนได้  ดังนั้นเจ้าจะทำเช่นไร?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้ามีความเชื่อที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ และเป็นคนที่เคร่งและจริงใจเป็นพิเศษ แต่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของเจ้า ทรงปฏิบัติต่อเจ้าราวกับเจ้าเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ  เมื่อรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เป็นธรรม เจ้าจะน้ำตาเอ่อและจะพร่ำบ่นพระเจ้า โดยพูดอยู่ในหัวใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์ ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ แต่พระองค์ก็ยังทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเช่นนี้มาให้ข้าพระองค์ ให้ข้าพระองค์มาอยู่ท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อและปะปนกับพวกวิญญาณสกปรก  ข้าพระองค์จะไม่แปดเปื้อนจากการนี้หรือ?  ข้าพระองค์นั้นแตกต่างและพิสุทธิ์ เป็นคนที่เป็นของพระเจ้า  พระองค์ไม่ควรจัดการเตรียมการเช่นนี้  พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าข้าพระองค์คิดถึงพระองค์มากเพียงใด ข้าพระองค์รักพระองค์มากเพียงใด?  ข้าพระองค์ไม่อาจแยกจากพระองค์ได้  พระองค์ทรงปฏิบัติเช่นนี้กับข้าพระองค์ไม่ได้ สิ่งนี้ไม่เป็นธรรมต่อข้าพระองค์เลย!”  สิ่งนี้เป็นเช่นไร?  เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับสิ่งทั้งหลายที่ไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของเจ้า การนบนอบของเจ้าอยู่ที่ไหน?  (สิ่งนี้ไม่มีอยู่)  เจ้าเอาสิ่งใดมาแทนที่การนบนอบ?  (การพร่ำบ่น ความเข้าใจผิด และการไม่ยอมรับ)  นี่คือความไว้วางใจจริงใช่หรือไม่?  ความเชื่อจริงแท้ควรมีสิ่งใด?  สิ่งนี้แสดงตนให้เห็นอย่างไร?  (การแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าและการนบนอบพระเจ้า)  เหตุการณ์หนึ่งย่อมเผยให้เห็นว่าใครบางคนมีความไว้วางใจจริงหรือไม่

เรามาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งที่ขัดต่อมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์มากที่สุดกัน  โมเสสใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นทุรกันดารกว่าสี่สิบปี  สี่สิบปีนั้นถือเป็นเกือบทั้งชีวิตของคนคนหนึ่ง  หากใครมีชีวิตอยู่ถึงแปดสิบปี สี่สิบปีย่อมเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตพวกเขา  สภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตประเภทใดที่เรียกว่าถิ่นทุรกันดาร?  ถิ่นทุรกันดารไม่ใช่เพียงสภาพแวดล้อมย่ำแย่สุดขีดซึ่งโมเสสต้องเผชิญการใช้ชีวิตกับความลำบากยากเย็นมากมายเท่านั้น แต่สิ่งที่เป็นปัญหายิ่งกว่าคือการที่เขาไม่ได้ติดต่อกับคนอิสราเอลเลยตลอดสี่สิบปีนั้น และพระเจ้าก็ไม่ทรงปรากฏต่อเขาด้วยเช่นกัน  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมนี้ให้แก่โมเสสเพื่อถลุงเขา  สิ่งนี้สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์หรือไม่?  หากผู้คนขาดพร่องความเชื่อจริงแท้ โดยทั่วไปแล้วสิ่งนี้จะแสดงตัวอย่างไร?  ในสองปีแรกพวกเขาจะยังมีความแข็งแกร่งในหัวใจอยู่บ้างและคิดว่า “พระเจ้าทรงกำลังทดสอบฉัน แต่ฉันไม่กลัว  ฉันมีพระเจ้าอยู่!  ตราบใดที่พระเจ้าไม่ทรงปล่อยให้ฉันตาย ฉันก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ตราบเท่าที่ฉันยังมีลมหายใจเหลืออยู่เฮือกหนึ่ง ฉันมีชีวิตอยู่โดยพึ่งพาพระเจ้า  ฉันมีความไว้วางใจ  ฉันต้องทำให้พระเจ้าพอพระทัย!”  พวกเขามีความแน่วแน่เช่นนี้อยู่บ้างเพราะพวกเขายังมีเหล่าแกะอยู่เป็นเพื่อน  แต่ผ่านไปราวสองสามปี แกะเหล่านั้นก็น้อยลงเรื่อยๆ ทั้งยังมีลมพัดโหมตลอดทั้งวัน  ในยามค่ำคืนที่นิ่งสงัด ผู้คนย่อมจะรู้สึกโดดเดี่ยว  พวกเขาไม่มีใครให้แบ่งปันสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตน  เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ทั้งหมดที่พวกเขาเห็นก็คือหมู่ดาวและพระจันทร์  ในคืนที่เมฆครึ้มและฝนกระหน่ำ แม้แต่พระจันทร์ก็หลบไปจากการมองเห็น พวกเขายิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าเดิม  ความไว้วางใจของพวกเขาค่อยๆ เยือกเย็นลงไปโดยไม่รู้ตัว  เมื่อความไว้วางใจของพวกเขาเยือกเย็น หัวใจที่เต็มไปด้วยการพร่ำบ่นและการเข้าใจผิดก็เริ่มแสดงตัว  หลังจากนั้น สภาวะภายในของพวกเขาก็เริ่มสิ้นหวังลงเรื่อยๆ และชีวิตก็เริ่มไร้ความหมายไปทีละน้อย  พวกเขารู้สึกอยู่ตลอดว่าพระเจ้าไม่ใส่พระทัยพวกเขาและทรงทอดทิ้งพวกเขาไปแล้ว  พวกเขาเกิดคำถามต่อการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า และความไว้วางใจของพวกเขาก็หดหายลงไปเรื่อยๆ  หากเจ้าขาดพร่องความเชื่อจริงแท้ เจ้าจะไม่ทานทนต่อการทดสอบของเวลาหรือการทดสอบของสภาพแวดล้อมได้  หากเจ้าไม่อาจทานทนการทดสอบที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้าได้ พระเจ้าย่อมจะไม่ตรัสกับเจ้าหรือทรงปรากฏต่อเจ้า  พระเจ้าทรงต้องการดูว่าเจ้าเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระองค์หรือไม่ ยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระองค์หรือไม่ และเจ้ามีความเชื่อจริงแท้ในหัวใจของเจ้าหรือไม่  นี่คือการที่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ห้วงลึกของหัวใจของผู้คน  ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลกนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าใช่หรือไม่?  พวกเขาล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน  ไม่สำคัญว่าเจ้าอยู่ในถิ่นทุรกันดารหรืออยู่บนดวงจันทร์ เจ้าก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  สิ่งทั้งหลายย่อมเป็นไปในหนทางนั้น  หากพระเจ้าไม่ทรงปรากฏต่อเจ้า เจ้าจะสามารถเห็นถึงการทรงดำรงอยู่และอธิปไตยของพระเจ้าได้อย่างไร?  เจ้าจะสามารถอนุญาตให้ความจริงที่ว่า “พระเจ้าทรงดำรงอยู่และทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง” หยั่งรากในหัวใจของเจ้าและไม่มีวันจางหายไปได้อย่างไร?  เจ้าจะทำให้ถ้อยแถลงนี้เป็นชีวิตของเจ้า เป็นแรงขับเคลื่อนในชีวิตเจ้า อีกทั้งเป็นความไว้วางใจและพละกำลังที่ทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร?  (ด้วยการอธิษฐาน)  นั่นสัมพันธ์กับชีวิตจริง  นั่นคือเส้นทางในการปฏิบัติ  เมื่อเจ้าอยู่ในช่วงเวลาที่ลำบากยากเย็นที่สุดของเจ้า เมื่อเจ้าสามารถรู้สึกถึงพระเจ้าได้น้อยที่สุด เมื่อเจ้ารู้สึกเจ็บปวดและโดดเดี่ยวอย่างที่สุด เมื่อเจ้ารู้สึกราวกับตนเองไกลห่างจากพระเจ้า สิ่งหนึ่งที่เจ้าควรทำเหนือสิ่งอื่นใดคืออะไร?  จงส่งเสียงร้องถึงพระเจ้า  การส่งเสียงร้องถึงพระเจ้ามอบพละกำลังให้เจ้า  การส่งเสียงร้องถึงพระเจ้าทำให้เจ้ารู้สึกถึงการสถิตของพระองค์  การส่งเสียงร้องถึงพระเจ้าทำให้เจ้ารู้สึกถึงอธิปไตยของพระเจ้า  เมื่อเจ้าส่งเสียงร้องถึงพระเจ้า อธิษฐานถึงพระเจ้า และวางชีวิตของเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่เคียงข้างเจ้าและพระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเจ้า เมื่อเจ้ารู้สึกอย่างแท้จริงว่าพระองค์สถิตอยู่เคียงข้างเจ้า ความไว้วางใจของเจ้าจะเติบโตขึ้นหรือไม่?  หากเจ้ามีความไว้วางใจที่แท้จริง เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความไว้วางใจนั้นจะเสื่อมลงและเลือนหายไปหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  ขณะนี้ปัญหาเรื่องความไว้วางใจได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง?  ผู้คนสามารถมีความไว้วางใจจริงด้วยการแค่หอบหิ้วพระคัมภีร์ไปทุกที่และท่องจำข้อพระคัมภีร์แบบคำต่อคำอย่างเข้มงวดได้หรือไม่?  เจ้ายังคงต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าเพื่อแก้ไขปัญหานี้  โมเสสก้าวผ่านช่วงเวลาสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดารนั้นมาได้อย่างไร?  ตอนนั้นไม่มีพระคัมภีร์ และมีผู้คนอยู่รอบตัวเขาเพียงไม่กี่คน  เขามีเพียงแกะที่อยู่กับเขา  แน่นอนว่าโมเสสได้รับการทรงนำจากพระเจ้า  ถึงแม้พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงนำเขาอย่างไร พระเจ้าทรงปรากฏต่อเขาหรือไม่ พระเจ้าตรัสกับเขาหรือไม่ หรือพระเจ้าทรงอนุญาตให้โมเสสเข้าใจเหตุผลที่พระองค์ทรงให้เขาใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปีหรือไม่ นี่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าโมเสสรอดชีวิตจากการอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปีจริงๆ  ไม่มีใครปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ได้  โมเสสรอดชีวิตจากการอยู่ในถิ่นทุรกันดารเพียงลำพังถึงสี่สิบปีได้อย่างไรโดยไม่มีใครอยู่รอบตัวเขาให้ได้แบ่งปันเรื่องราวในหัวใจเลยสักคน?  หากไร้ซึ่งความเชื่อจริงแท้ เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ไม่ว่ากับใครก็ตาม  นี่เป็นปาฏิหาริย์!  ไม่ว่าผู้คนใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างไร พวกเขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีวันเกิดขึ้นได้  สิ่งนี้ขัดต่อมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์มากเกินไป!  ทว่านี่ไม่ใช่ตำนานเล่าขาน ไม่ใช่เรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ นี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นจริง ไม่มีวันเปลี่ยน และไม่สามารถปฏิเสธได้  การมีอยู่ของข้อเท็จจริงข้อนี้แสดงให้ผู้คนเห็นถึงสิ่งใด?  หากเจ้ามีความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้า ตราบใดที่เจ้ายังมีลมหายใจสุดท้ายเหลืออยู่ พระเจ้าก็จะไม่ทรงทอดทิ้งเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริงข้อหนึ่งของการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า  หากเจ้ามีความไว้วางใจจริงและมีความเข้าใจที่แท้จริงเช่นนั้นต่อพระเจ้า ความไว้วางใจของเจ้าก็ย่อมยิ่งใหญ่มากพอ  ไม่ว่าเจ้าพบว่าตนเองอยู่ในสภาพแวดล้อมใด และไม่ว่าเจ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมนี้นานแค่ไหน  ความไว้วางใจของเจ้าก็จะไม่มีวันเสื่อมไป

โมเสสอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี  พระเจ้าทรงไม่เคยปรากฏต่อเขา และไม่เคยจัดเตรียมความจริงให้แก่เขาเลย  โมเสสไม่มีหนังสือที่มีพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในมือ เขาไม่มีประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอยู่เคียงข้างแม้แต่คนเดียว และไม่มีใครให้แบ่งปันเรื่องราวในหัวใจของเขาเลยสักคน  การใช้ชีวิตเพียงลำพังในถิ่นทุรกันดารนั้น เขาทำได้แค่มีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาการอธิษฐานถึงพระเจ้า  สุดท้ายแล้ว สิ่งนี้ก็ทำให้โมเสสสัมฤทธิ์ความไว้วางใจจริง  แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงทำเช่นนี้?  พระเจ้ากำลังจะทรงไว้วางพระทัยมอบหมายพระบัญชาให้แก่โมเสส ใช้ประโยชน์ยิ่งใหญ่จากเขา และพระเจ้าทรงจำเป็นที่จะต้องทรงพระราชกิจในตัวเขา ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น  พระองค์ทำให้โมเสสแข็งแกร่งขึ้นในเรื่องใด?  (ความไว้วางใจของเขา)  พระเจ้าทรงต้องการทำให้ความไว้วางใจของเขาเพียบพร้อม ไม่ใช่ทำให้ความไว้วางใจของเขาแข็งแกร่ง  สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นคือความตั้งใจดีของมนุษย์ สิ่งที่เรียกว่าความมุ่งมั่นตั้งใจของมนุษย์และความสามารถกับทักษะของเขา รวมถึงความหัวร้อนของเขา  เหตุใดตอนนั้นโมเสสจึงออกจากอียิปต์มา?  (เพราะเขาสังหารชาวอียิปต์ด้วยความหัวร้อน)  พระเจ้าทรงสามารถใช้เขาในเวลานั้นได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  หากพระเจ้าทรงใช้เขาตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น?  เขาเกลียดชาวอียิปต์และจงใจกระทำการอย่างหุนหันพลันแล่นเสมอ  หากเขาสังหารคนอีกคนหนึ่ง นั่นจะไม่ทำให้เกิดปัญหาหรือ?  หากพระเจ้าทรงขอให้เขาไปนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ และโมเสสกระทำการอย่างหุนหันพลันแล่นในยามที่ฟาโรห์ไม่ทรงเห็นด้วย นั่นจะไม่ทำให้เกิดปัญหาหรือ?  พระเจ้าจะตรัสว่า “หากเจ้าปฏิบัติตนเช่นนี้ เจ้าจะสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้หรือ?”  ด้วยเหตุนั้น พระเจ้าจึงไม่สามารถใช้เขาได้เนื่องจากความหัวร้อนของเขา  ความหัวร้อนนั้นเป็นข้อห้ามหลักสำหรับมนุษย์  หากเจ้าเป็นคนใจร้อน หากเจ้าต้องการทำสิ่งทั้งหลายตามความเป็นธรรมชาติและความหุนหันพลันแล่นของเจ้าเสมอ และหากเจ้าต้องการที่จะแก้ไขปัญหาโดยใช้วิธีการของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา หากเจ้าไม่มีความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้า อีกทั้งไม่พึ่งพาพระเจ้าและเชื่อในอธิปไตยของพระองค์ด้วยความเชื่อจริงแท้เช่นนั้น พระเจ้าจะไม่สามารถใช้เจ้าได้  หากพระเจ้าทรงพยายามที่จะใช้เจ้า ไม่เพียงเจ้าจะไม่บรรลุสิ่งใดเลยเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วเจ้าจะทำให้สิ่งต่างๆ วุ่นวายอีกด้วย  นั่นทำให้หลังจากโมเสสสังหารชาวอียิปต์คนนั้น เขาจึงหลบหนีไปยังถิ่นทุรกันดาร  พระเจ้าทรงใช้สภาพแวดล้อมของถิ่นทุรกันดารทำให้เจตจำนง ความใจร้อน ความตั้งใจดี ความกระตือรือร้น และแรงกระตุ้น รวมถึงความเป็นวีรบุรุษของเขาที่ทำให้เขาปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนของตนและต่อสู้เพื่อความอยุติธรรมแข็งแกร่งขึ้น  สิ่งเหล่านี้คือล้วนเป็นของเจตจำนง ความใจร้อน และความเป็นธรรมชาติของมนุษย์  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงจัดการเตรียมการให้คนอิสราเอลสักสองสามคนติดตามไปกับเขา?  หากมีคนอยู่กับเขาอีกหนึ่งคน เขาก็อาจจะไม่พึ่งพาพระเจ้า แต่กลับพึ่งพาอีกคนหนึ่ง  สุดท้ายแล้ว โมเสสถูกถลุงจนกลายเป็นคนประเภทใดในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น?  เขาสามารถนบนอบพระเจ้าและมีความไว้วางใจจริงได้  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความหัวร้อนโดยธรรมชาติของเขานั้นหมดไปแล้ว  เมื่อเขาออกมาจากถิ่นทุรกันดารนั้น เขายังคงมีความหัวร้อนและความเป็นวีรบุรุษอยู่หรือไม่?  (ไม่มี)  การนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร?  (โมเสสกล่าวว่าเขาไม่ใช่ผู้พูดที่ดีอีกต่อไปแล้ว)  เขาไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป แล้วเขายังคงมีความตั้งใจและแรงกระตุ้นของตนเองอยู่หรือไม่?  (ไม่มี)  เมื่อดูจากเรื่องนี้ ในยามที่พระเจ้าทรงต้องการทำให้บุคคลหนึ่งเพียบพร้อม ทำให้ความไว้วางใจในพระเจ้าของบุคคลหนึ่งเพียบพร้อม ไม่ว่าพระองค์ทรงใช้คนคนนี้หรือไม่ พระเจ้าย่อมจะทำให้ความเข้าใจต่อความจริงและต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้าของบุคคลนี้เพียบพร้อม และทรงอนุญาตให้บุคคลนี้นบนอบพระเจ้าอย่างสมบูรณ์และแท้จริงโดยไร้ซึ่งการปลอมปน ไร้ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าความเป็นวีรบุรุษ แรงกระตุ้น ความมักใหญ่ใฝ่สูง และความหลงใหลอันสูงส่งของมนุษย์ ไร้ซึ่งความใจร้อน และไร้ซึ่งความตั้งใจและความมีใจกระตือรือร้นอันดีของมนุษย์—ไร้ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่เรียกว่าเป็นความเชื่อ  ทุกคนเลื่อมใสและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ที่มาจากเจตจำนงของมนุษย์ หากพูดให้สอดคล้องกัน สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่หัวใจของมนุษย์เรียกว่าดี และเป็นบวก  สิ่งเหล่านี้คือสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนเต็มใจใช้ชีวิตตาม  สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อของผู้คน  เมื่อผู้คนไม่มีสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็สามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และพวกเขาจะไม่พูดและทำสิ่งต่างๆ ตามความคิดฝันของมนุษย์และความดีงามของมนุษย์  เมื่อผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกครั้ง พวกเขาย่อมจะมีองค์ประกอบของความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้ามากขึ้น  องค์ประกอบของความเชื่อจริงแท้คืออะไร?  พวกเขาจะยังคงแนะนำพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า สิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงทำนั้นไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และผู้คนก็ยอมรับการกระทำของพระองค์ได้ยาก  พระองค์จำเป็นต้องทรงทำในลักษณะเช่นนี้เช่นนั้น” และ “ข้าแต่พระเจ้า สิ่งที่พระองค์ตรัสฟังดูไม่ถูกต้อง  น้ำเสียงดูไม่เข้าท่า อีกทั้งวิธีการก็ผิด และพระวจนะที่พระองค์ทรงใช้ก็ไม่ถูกต้อง” อยู่หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้ย่อมเสื่อมลงไปจากพวกเขาและพวกเขาจะไม่ให้คำแนะนำพระเจ้าอีกต่อไป  พวกเขาจะสามารถนบนอบพระเจ้า มีสำนึก และมีความยำเกรงพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  การถูกทำให้แข็งแกร่งกว่าสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดารทำให้โมเสสรู้สึกถึงการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าอย่างแท้จริง  ในสภาพแวดล้อมที่แค่การมีชีวิตรอดสำหรับคนคนหนึ่งยังเป็นไปไม่ได้ เขาพึ่งพาพระเจ้าเพื่อที่จะมีชีวิตรอดในแต่ละวันและยึดมั่นในความหวังปีแล้วปีเล่า และใช้ชีวิตมาจนถึงปลายทาง  เขาได้เห็นพระเจ้าจริงๆ  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญและไม่ใช่ตำนานเล่าขาน  ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือกะทันหันในเรื่องนี้  ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องจริง  เขาได้เห็นการทรงดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้าและเห็นว่าอธิปไตยของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งนั้นเป็นจริง  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าในตัวผู้คนสัมฤทธิ์ผลเช่นนั้น หัวใจของพวกเขาก็ย่อมจะเกิดความเปลี่ยนแปลง  มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาจะมลายหายไปและพวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า และไม่สามารถทำสิ่งใดได้หากไร้ซึ่งพระเจ้า  ผลก็คือ พวกเขาจะไม่ต้องการยืนกรานที่จะทำสิ่งทั้งหลายตามหนทางของตนเอง  เมื่อถึงคราวนี้ ผู้คนจะกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า จะให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับพระองค์ไม่ได้” หรือไม่?  (ไม่)  พวกเราสามารถกล่าวได้ว่า เมื่อถึงคราวนี้ ผู้คนจะไม่พูดขัดพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และพวกเขาจะไม่ทำสิ่งทั้งหลายด้วยเจตจำนงของมนุษย์หรือยืนกรานที่จะทำสิ่งทั้งหลายตามที่พวกเขาเห็นว่าเหมาะสม  ในเวลานี้ ผู้คนย่อมใช้ชีวิตตามรากฐานใด?  พวกเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใด?  โดยวิสัยแล้ว พวกเขาสามารถนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้  จากการกระทำภายนอก พวกเขาก็สามารถปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามครรลอง รอคอยและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า รวมถึงนบนอบพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงขอให้พวกเขาทำได้ด้วยความจำนน

ย้อนกลับไปตอนที่พระเจ้าทรงส่งโมเสสไปนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ ปฏิกิริยาที่โมเสสมีต่อการที่พระเจ้าประทานพระบัญชาเช่นนี้แก่เขาคืออะไร?  (เขากล่าวว่าเขาไม่มีคารมคมคาย ทั้งยังพูดจาไม่เก่ง)  เขามีสิ่งนั้น ซึ่งก็คือความแคลงใจเล็กน้อย ว่าเขาไม่มีคารมคมคาย ทั้งยังพูดจาไม่เก่ง  แต่เขาต้านทานพระบัญชาของพระเจ้าหรือไม่?  เขาปฏิบัติต่อพระบัญชาอย่างไร?  เขาทิ้งตัวหมอบราบ  การทิ้งตัวหมอบราบหมายถึงสิ่งใด?  หมายถึงการนบนอบและยอมรับ  เขาหมอบราบทั้งกายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่คำนึงถึงความชอบส่วนตัวของตน และไม่เอ่ยถึงความลำบากยากเย็นใดๆ ที่เขาอาจมี  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงให้เขาทำสิ่งใด เขาจะทำสิ่งนั้นทันที  เหตุใดเขาจึงสามารถยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าแม้ในเวลาที่เขารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้?  เพราะเขามีความเชื่อใจจริงอยู่ในตัวเขา  เขามีประสบการณ์มาบ้างแล้วกับอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือทุกสิ่งและทุกเหตุการณ์ และในช่วงเวลาสี่สิบปีที่เขามีประสบการณ์อยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาได้รู้ว่าอธิปไตยของพระเจ้านั้นเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์  ดังนั้นเขาจึงยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าด้วยความกระตือรือร้น และเริ่มลงมือทำสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาให้เขาทำโดยไม่ลังเล  ที่กล่าวว่าเขาเริ่มลงมือหมายความว่ากระไร?  หมายความว่าเขามีความเชื่อใจที่แท้จริงในพระเจ้า มีการพึ่งพาพระองค์อย่างแท้จริง และมีความนบนอบพระองค์อย่างแท้จริง  เขาไม่ใช่คนขลาด และเขาไม่ได้เลือกด้วยตนเองหรือพยายามที่จะปฏิเสธ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับเชื่ออย่างเต็มเปี่ยม และเขาเริ่มลงมือกระทำการตามพระบัญชาที่พระเจ้ามีแก่เขา เปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจ  เขามีความเชื่อเช่นนี้ “หากพระเจ้าทรงบัญชาให้ทำดังนี้ เช่นนั้นแล้วทั้งหมดนี้ย่อมจะสำเร็จตามที่พระเจ้าตรัส  พระเจ้าตรัสบอกให้ฉันนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ ดังนั้นฉันจะไป  ในเมื่อนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชา พระองค์ย่อมจะเสด็จไปทรงพระราชกิจ และพระองค์จะประทานเรี่ยวแรงแก่ฉัน  ฉันเพียงต้องให้ความร่วมมือเท่านั้น”  นี่คือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่โมเสสมี  ผู้คนที่ขาดความเข้าใจทางวิญญาณคิดว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่พวกเขาได้ด้วยตนเอง  ผู้คนมีความสามารถเช่นนั้นหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่มี  หากผู้คนขี้ขลาด พวกเขาย่อมจะไม่มีแม้แต่ความกล้าหาญที่จะเข้าพบฟาโรห์แห่งอียิปต์เสียด้วยซ้ำ  พวกเขาจะพูดกับตัวเองว่า “ฟาโรห์แห่งอียิปต์เป็นกษัตริย์ผู้ชั่วร้าย  พระองค์ทรงมีกองทัพที่อยู่ใต้พระบัญชาและสามารถสังหารฉันได้ในคำเดียว  ฉันจะพาคนอิสราเอลมากมายออกไปได้อย่างไร?  ฟาโรห์แห่งอียิปต์จะฟังฉันหรือ?”  คำพูดเหล่านี้ประกอบด้วยการปฏิเสธ ความรู้สึกคัดค้าน และความเป็นกบฏ  สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการไร้ซึ่งความศรัทธาในพระเจ้า และนี่ไม่ใช่ความไว้วางใจจริง  รูปการณ์แวดล้อมในเวลานั้นไม่เอื้ออำนวยต่อคนอิสราเอลหรือต่อโมเสส  การนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ในทรรศนะของมนุษย์ย่อมเป็นเพียงกิจที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้น เพราะอียิปต์มีทะเลแดงขวางกั้นอยู่ และการข้ามทะเลแดงย่อมจะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่  โมเสสไม่อาจรู้ได้จริงๆ หรือว่าการทำให้พระบัญชานี้ลุล่วงลำบากยากเย็นเพียงใด?  ในหัวใจของเขา เขารู้ แต่เขากลับพูดเพียงว่าเขาพูดจาไม่เก่ง ว่าจะไม่มีผู้ใดสนใจคำพูดของเขา  หัวใจของเขาไม่ได้ปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าตรัสบอกโมเสสให้นำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ เขาหมอบราบและยอมรับพระบัญชา  เหตุใดเขาจึงไม่เอ่ยถึงความลำบากยากเย็นต่างๆ?  ใช่เพราะหลังจากสี่สิบปีที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาก็ไม่รู้ถึงภัยทั้งหลายในโลกมนุษย์ หรือไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ ในอียิปต์ก้าวหน้าไปถึงสภาวะไหนแล้ว หรือไม่รู้ถึงสถานการณ์อันเลวร้ายของคนอิสราเอลในห้วงเวลานั้นกระนั้นหรือ?  เขาไม่อาจมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนกระนั้นหรือ?  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นหรือ?  แน่นอนว่าไม่ใช่  โมเสสฉลาดและมีปัญญา  เขารู้ทั้งหมดนั้นเพราะได้ก้าวผ่าน และมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้นในโลกของมนุษย์มาแล้วด้วยตัวเอง และเขาจะไม่มีวันลืมสิ่งเหล่านั้น  เขารู้ทั้งหมดนั้นเป็นอย่างดียิ่ง  ดังนั้นเขารู้หรือไม่ว่าพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เขาลำบากยากเย็นเพียงใด?  (รู้)  หากเขารู้ เขาสามารถยอมรับพระบัญชานั้นได้อย่างไร?  เขาวางใจในพระเจ้า  ด้วยประสบการณ์ที่เขามีมาตลอดชีวิต เขาจึงเชื่อในมหิทธานุภาพของพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงยอมรับพระบัญชาครั้งนี้ของพระเจ้าด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจและไม่กังขาแม้แต่น้อย  เขามีประสบการณ์ใด?  จงบอกเราที  (ในประสบการณ์ของเขานั้น ทุกครั้งที่เขาส่งเสียงร้องหาพระเจ้าและทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้พระเจ้า พระเจ้าก็ทรงนำและทรงชี้แนะเขา  โมเสสเห็นว่าพระเจ้าทรงไม่เคยกลับคำตรัสของพระองค์ และเขาก็มีความไว้วางใจจริงต่อพระเจ้า)  นี่คือแง่มุมหนึ่ง  มีด้านอื่นหรือไม่?  (ช่วงเวลาสี่สิบปีที่โมเสสอยู่ในถิ่นทุรกันดาร อันที่จริงเขาได้เห็นถึงอธิปไตยของพระเจ้าผ่านการส่งเสียงร้องและอธิษฐานถึงพระเจ้า  เขาสามารถมีชีวิตรอดและก้าวผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ และเขาก็มีความเชื่อจริงแท้ในอธิปไตยของพระเจ้า)  มีอะไรอีก?  (พระเจ้าทรงพระราชกิจมากมายแล้วในตัวโมเสส  โมเสสรู้บางอย่างเกี่ยวกับว่าพระเจ้าทรงสร้างสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่งอย่างไร พระเจ้าทรงใช้น้ำท่วมเพื่อทำลายโลกในยุคของโนอาห์อย่างไร รวมถึงรู้เกี่ยวกับอับราฮัมและสิ่งอื่นๆ เหล่านั้น  เขาเขียนสิ่งเหล่านี้ลงในหนังสือปัญจบรรพ ซึ่งพิสูจน์ว่าเขาได้รับความเข้าใจเชิงลึกในกิจการทั้งปวงของพระเจ้าและรู้ว่าพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์และทรงรู้แจ้งเห็นจริง  ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเชื่อว่าหากพระเจ้าจะทรงนำเขา ภารกิจของเขาก็ย่อมจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน  เขาต้องการที่จะดูกิจการของพระเจ้า ดูว่าพระเจ้าจะทรงกระทำสิ่งใดผ่านเขา รวมถึงพระเจ้าจะทรงช่วยเหลือและทรงนำเขาอย่างไร  นี่คือความไว้วางใจที่เขามี)  สิ่งนี้เป็นเช่นนั้น  จงบอกเราสิว่าในช่วงสี่สิบปีที่เขาอยู่ในถิ่นทุรกันดาร โมเสสสามารถมีประสบการณ์หรือไม่ว่าในพระเจ้าไม่มีสิ่งใดลำบากยากเย็น และมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า?  เป็นเช่นนั้นจริงๆ—นั่นคือประสบการณ์ที่จริงแท้ที่สุดของเขา  ในช่วงสี่สิบปีที่เขาอยู่ในถิ่นทุรกันดาร มีหลายสิ่งเหลือเกินที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตของเขา และเขาไม่รู้ว่าเขาจะรอดตายจากสิ่งเหล่านั้นหรือไม่  ทุกวันเขาย่อมจะดิ้นรนต่อสู้เพื่อชีวิตของตนและอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อขอการคุ้มครอง  นั่นคือความปรารถนาเพียงประการเดียวของเขา  ในช่วงสี่สิบปีนั้น สิ่งที่เขามีประสบการณ์ด้วยอย่างลึกซึ้งที่สุดคืออธิปไตยและการคุ้มครองของพระเจ้า  เช่นนั้นแล้ว เมื่อเขายอมรับพระบัญชาของพระเจ้าในเวลาต่อมา ความรู้สึกแรกของเขาจึงต้องเป็นว่า “ไม่มีสิ่งใดลำบากยากเย็นในพระเจ้า  หากพระเจ้าตรัสว่าสามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน  ในเมื่อพระเจ้ามีพระบัญชาเช่นนั้นแก่ฉัน พระองค์ย่อมจะทรงดูแลเรื่องนี้ให้อย่างแน่นอน—เป็นพระองค์ที่จะทรงทำสิ่งนั้น หาใช่มนุษย์คนใดไม่”  ก่อนลงมือกระทำการ ผู้คนต้องวางแผนและเตรียมการล่วงหน้า  พวกเขาต้องจัดการขั้นตอนเบื้องต้นทั้งหลายเสียก่อน  พระเจ้าต้องทรงทำสิ่งเหล่านี้ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำการหรือไม่?  พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงทำเช่นนั้น  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกชนิดไม่ว่าจะมีอิทธิพลเพียงใด ไม่ว่าจะมีความสามารถหรือมีพลังอำนาจเพียงใด ไม่ว่าจะบ้าคลั่งเพียงใด ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  โมเสสมีความเชื่อใจ ความรู้ และประสบการณ์ในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่มีความกังขาหรือความกลัวอยู่ในหัวใจของเขาแม้แต่น้อย  ด้วยเหตุนี้ ความเชื่อใจที่เขามีต่อพระเจ้าจึงจริงแท้และบริสุทธิ์เป็นพิเศษ  อาจกล่าวได้ว่าเขามีความเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยม

เราเพิ่งพูดถึงความหมายของความเชื่อจริงแท้ไป  บอกเราทีว่า สุดท้ายแล้วพระเจ้าทรงต้องการความศรัทธาของผู้คนหรือความเชื่อจริงแท้ของผู้คน?  (พระองค์ทรงต้องการความเชื่อจริงแท้ของผู้คน)  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการคือความเชื่อจริงแท้ของผู้คน  ความเชื่อจริงแท้คืออะไร?  พูดให้ตรงและเรียบง่ายที่สุด นี่ก็คือความไว้วางใจจริงต่อพระเจ้าของผู้คนนั่นเอง  ความไว้วางใจจริงดูเป็นเช่นไรในทางปฏิบัติ?  สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทั้งหมดในชีวิตจริงของผู้คนอย่างไร?  (ผู้คนเชื่อว่าพระเจ้าทรงลิขิตและทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง  พวกเขาเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้าที่อยู่เหนือทุกสิ่งที่พวกเขาเผชิญ และเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดลำบากยากเย็นสำหรับพระเจ้า)  (ผู้คนเชื่อว่าพระวจนะทุกคำที่พระเจ้าตรัสย่อมจะเกิดขึ้น)  จงใคร่ครวญเรื่องนี้เพิ่มเติม  ความไว้วางใจจริงจะเผยตนอย่างไรหรือ?  (ความไว้วางใจของโมเสสต่างจากของผู้เชื่อธรรมดาทั่วไป  ตอนที่เขาเขียนหนังสือปฐมกาล เขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งด้วยพระวจนะของพระองค์ เขาเชื่อว่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งนั้นเกิดขึ้นผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า เขาเชื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัสย่อมบังเกิดขึ้นและสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาก็จะยืนหยัด และเขาก็เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าล้วนจะเกิดขึ้นและถูกทำให้ลุล่วง  เขามีความไว้วางใจจริงต่อพระเจ้าในเรื่องนี้  เขาไม่ได้เชื่อเพียงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง  เขาเชื่อว่าฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่งล้วนถูกสร้างโดยพระเจ้า  ในหัวใจของเขา เขาเชื่อโดยแท้จริงว่าพระวจนะของพระเจ้าทำให้ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ผล และเขาเชื่อในมหิทธานุภาพของพระเจ้า  หากเขาขาดความไว้วางใจในพระเจ้าเช่นนั้น เขาย่อมไม่มีวันเขียนหนังสือปฐมกาลได้  คำพูดเหล่านี้ต่างก็ได้รับการดลใจหรือการเปิดเผยจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน)  บอกเราทีว่า การทรงดำรงอยู่จริงของพระเจ้าเป็นข้อเท็จจริงเพราะผู้คนเชื่อในเรื่องนี้ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  การทรงดำรงอยู่จริงของพระเจ้าเป็นข้อเท็จจริงประเภทใด?  (ไม่ว่าผู้คนจะเชื่อหรือไม่ พระเจ้าก็ทรงดำรงอยู่ และพระเจ้าก็ทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เองและทรงเป็นนิรันดร์)  อย่างน้อยที่สุดความไว้วางใจในพระเจ้าก็ต้องอยู่บนรากฐานนี้ที่ว่า พระเจ้าไม่ทรงดำรงอยู่เพราะการยอมรับพระองค์ด้วยวาจาของเจ้า อีกทั้งไม่ใช่ว่าพระองค์จะไม่ทรงดำรงอยู่หากเจ้าไม่ยอมรับพระองค์  ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงดำรงอยู่ไม่ว่าเจ้าเชื่อในพระองค์หรือยอมรับพระองค์หรือไม่  พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างอยู่ชั่วนิรันดร์และมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งตลอดกาล  เหตุใดผู้คนจำเป็นต้องมาเข้าใจเรื่องนี้?  สิ่งนี้สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดในตัวผู้คนได้?  บางคนกล่าวว่า “หากพวกเราเชื่อในพระองค์ พระองค์ก็คือพระเจ้า แต่หากพวกเราไม่เชื่อในพระองค์ พระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้า”  คำพูดเหล่านี้คืออะไร?  คำพูดเหล่านี้คือคำพูดที่เป็นกบฏและคลาดเคลื่อน  พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้าไม่เชื่อในเรา เราก็ยังคงเป็นพระเจ้าและเราก็ยังคงมีอธิปไตยเหนือโชคชะตาของเจ้า  เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้”  นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้  ไม่ว่าผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าจะแข็งขืนหรือไม่ยอมรับพระเจ้ามากเพียงใด ชะตากรรมของพวกเขาก็ยังคงอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่สามารถหนีไปจากการลงโทษของพระเจ้าได้  หากเจ้ายอมรับและนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ อีกทั้งสามารถยอมรับความจริงทุกประการที่พระเจ้าทรงแสดงได้ พระวจนะของพระเจ้าก็ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงหนทางในชีวิตของเจ้า เปลี่ยนแปลงเป้าหมายในชีวิตและทิศทางในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เปลี่ยนแปลงเส้นทางที่เจ้าเลือก และเปลี่ยนแปลงความหมายชีวิตของเจ้าได้  คนบางคนพูดจากปากของพวกเขาว่าพวกเขาเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า และเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งและทุกสิ่งที่มีอยู่ แต่พวกเขาไม่สามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกเขามองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสำหรับแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป  ผู้คนเหล่านี้ต้องการไล่ตามไขว่คว้าความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของตนอยู่เสมอ ทั้งยังต้องการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ตลอดเวลา แต่พวกเขาก็เผชิญกับความพลาดพลั้งซ้ำๆ และในที่สุดก็ถูกทุบตีจนแตกสลายและหลั่งโลหิต  ตอนนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงยอมจำนน  หากพวกเขาเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาจะปฏิบัติตนในหนทางนี้หรือไม่?  ย่อมเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา  พวกเขาควรดำเนินการต่อไปอย่างไร?  อันดับแรก พวกเขาควรเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ในพระราชกิจเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงช่วยผู้คนให้ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตาน ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิต และใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า  หากผู้คนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมจะทำตามข้อกำหนดของพระเจ้าในการไล่ตามเสาะหาความจริงและการสืบเสาะที่จะเข้าใจพระเจ้า สัมฤทธิ์ความนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  มีเพียงหนทางนี้ที่พวกเขาจะสามารถตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้  มีผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่สามารถนบนอบพระเจ้าได้  พวกเขาอยากไล่ตามไขว่คว้าความต้องการของพวกเขาเองอยู่เสมอ แต่ในท้ายที่สุดทุกคนก็ล้มเหลว  ตอนนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตนว่า “นี่คือโชคชะตา และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ได้!”  ตอนนี้เอง เมื่อพวกเขากล่าวอีกครั้งว่า “ฉันเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า และเชื่อว่าพระเจ้าทรงกุมทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” คำพูดเหล่านี้ต่างจากที่พวกเขาพูดก่อนหน้านี้หรือไม่?  คำพูดเหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่าคำสอนที่พวกเขาพูดถึงเมื่อก่อน  ก่อนหน้านี้ พวกเขาเพียงเชื่อและยอมรับด้วยวาจาว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง แต่เมื่อสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถนบนอบพระเจ้าและไม่สามารถปฏิบัติความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าได้  พวกเขาคิดอยู่ในหัวใจว่าพวกเขาสามารถทำให้ความมุ่งมาดปรารถนาทั้งหลายของตนเป็นจริงได้ด้วยตัวพวกเขาเอง  ในหนทางนี้ พระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาเชื่ออยู่ในหัวใจ อีกทั้งคำสอนที่อยู่บนลิ้นของพวกเขาย่อมไม่สามารถกลายเป็นหลักธรรมในการกระทำของพวกเขาได้  นั่นก็คือ พวกเขาไม่ได้เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าล้วนเป็นความจริงและสามารถทำให้ทุกสรรพสิ่งสัมฤทธิ์ผลได้  พวกเขาคิดว่าพวกเขาเข้าใจความจริง แต่พวกเขาไม่สามารถนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาเข้าใจจึงเป็นเพียงคำพูดและคำสอน ไม่ใช่ความเป็นจริงความจริง  พวกเขาพูดจากปากของตนว่าพวกเขาเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า แต่ในชีวิตจริง พวกเขากลับไม่สามารถนบนอบพระเจ้าได้  พวกเขาเดินไปบนเส้นทางของตนเองอยู่เสมอ ต้องการไล่ตามไขว่คว้าความต้องการของตนเองอยู่ตลอด อีกทั้งละเมิดข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  นี่คือการนบนอบที่แท้จริงหรือ?  ในจุดนี้มีความเชื่อแท้จริงและความไว้วางใจจริงอยู่หรือไม่?  (ไม่)  ไม่มีเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเวทนาเหลือเกิน!  สิ่งใดคือการสำแดงถึงความไว้วางใจจริงในพระเจ้า?  อย่างน้อยผู้คนที่มีความไว้วางใจจริงก็เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง อีกทั้งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นและถูกทำให้ลุล่วง และพวกเขาก็เชื่อว่าการปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเป็นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต  ในชีวิตของพวกเขานั้น พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า นำพระวจนะของพระเจ้ามาสู่ชีวิตจริงของตน ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เสาะแสวงที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  ไม่เพียงแต่พวกเขาเชื่อในการทรงดำรงอยู่และอธิปไตยของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังแสวงหาที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าในชีวิตจริงของพวกเขาอีกด้วย  หากพวกเขาเป็นกบฏ พวกเขาก็สามารถทบทวนตนเอง ยอมรับความจริง ยอมรับการบ่มวินัยของพระเจ้า และสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าได้  หากเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้ ความจริงที่เจ้าเชื่อและยอมรับย่อมจะกลายมาเป็นความเป็นจริงของชีวิตของเจ้า  ความจริงนี้จะสามารถนำความคิดของเจ้า นำชีวิตของเจ้า และนำทิศทางที่เจ้าเดินตลอดทั้งชีวิตได้  ในเวลานี้ เจ้าจะสามารถเกิดความไว้วางใจจริงในพระเจ้า  เมื่อเจ้าครองความศรัทธาจริงในพระเจ้าและการนบนอบที่แท้จริง สิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดความไว้วางใจที่แท้จริง  ความไว้วางใจนี้คือความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้า  ความเชื่อจริงแท้นี้มาจากไหน?  สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้นจากการปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าแล้วจึงมาเข้าใจความจริง  ยิ่งผู้คนเข้าใจความจริงมากขึ้น ความไว้วางใจในพระเจ้าของพวกเขาก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ยิ่งพวกเขารู้เกี่ยวกับพระเจ้ามากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งนบนอบพระเจ้าโดยแท้จริงมากขึ้น  นี่คือวิธีที่ผู้คนมามีความเชื่อจริงแท้

ในกระบวนการที่ผู้คนมามีความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้านั้น  พระเจ้าทรงทำสิ่งใด?  (พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้ง ทรงนำ ทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อม จากนั้นก็ทรงนำความจริงมาทรงพระราชกิจลงไปในตัวผู้คน)  ตอนที่เปโตรถูกองค์พระเยซูเจ้าว่ากล่าว นั่นคือการที่พระเจ้าทรงเปิดโปง พิพากษา และกล่าวโทษเขา  ผู้คนต้องมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ก่อนที่พวกเขาจะได้มาซึ่งความไว้วางใจจริงในพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  เหตุใดพวกเขาจึงต้องมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้?  หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ย่อมจะเป็นไปไม่ได้งั้นหรือ?  เป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่ใส่ใจการพิพากษา การเปิดโปง การติติง การบ่มวินัย การว่ากล่าว และแม้กระทั่งการสาปแช่ง?  (เป็นไปไม่ได้)  สมมุติว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงพูดคุยเรื่องนี้กับเปโตรด้วยกิริยาที่เป็นมิตรแทนที่จะว่ากล่าวเขา โดยตรัสว่า “เปโตร เรารู้ว่าเจ้ามีเจตนาที่ดีในสิ่งที่เจ้าพูด แต่คราวหลังอย่าพูดเช่นนั้นอีก  จงอย่าขัดขวางแผนการของเราด้วยเจตนาที่ดีของมนุษย์  อย่าพูดแทนซาตานและทำตัวเป็นช่องทางระบายของซาตาน  คราวหน้าจงระมัดระวังให้มากขึ้นและอย่าพูดจาไร้สาระอีก  ก่อนจะพูด จงพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าคำพูดของเจ้าถูกต้องหรือไม่ และคำพูดเหล่านั้นจะทำให้พระเจ้าทรงขุ่นข้องหมองพระทัยหรือทรงกริ้วหรือไม่”  การตรัสในหนทางนี้จะได้ผลหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ได้ผล?  มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งเกินไป และรากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็ฝังอยู่ลึกเกินไป  พวกเขาใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  ทุกความคิด การกระทำ ความคิดฝัน มโนคติอันหลงผิด ทุกเป้าหมายและทิศทางในชีวิตของพวกเขา รวมถึงแรงจูงใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดและทำล้วนมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  การที่พระเจ้าไม่ทรงว่ากล่าวพวกเขานั้นไม่เป็นไรหรอกหรือ?  พวกเขาจะตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหานี้หรือไม่?  รากเหง้าต้นตอแห่งบาปของพวกเขาสามารถถูกกำจัดให้สิ้นซากได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  หากรากเหง้าต้นตอแห่งบาปของพวกเขาไม่สามารถกำจัดให้สิ้นซากได้ ผู้คนจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ตอนนี้เจ้าเข้าใจชัดเจนหรือยังว่า การที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษและทรงสาปแช่งผู้คนนั้นเป็นเรื่องที่ดีหรือเรื่องที่แย่?  (เป็นเรื่องที่ดี)  การที่พระเจ้าทรงเผยผู้คนเป็นเรื่องที่ดีใช่หรือไม่?  (ใช่)  พระองค์ทรงเผยให้เห็นถึงสิ่งใดในตัวผู้คน?  (พระองค์ทรงเผยให้เห็นถึงจุดอ่อน วุฒิภาวะ และความไว้วางใจในพระเจ้าของพวกเขา)  พระองค์ทรงเผยผู้คนอย่างหมดเปลือก  คำสอนที่เจ้ายึดถือ วลีติดปากที่เจ้าพูดพร่ำอยู่เป็นนิจ ความศรัทธาของเจ้า ความกระตือรือร้นที่ภายนอก และเจตนาดีของเจ้านั้นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ  ไม่ว่าเจ้ามีใจกระตือรือร้นมากแค่ไหนหรือเจ้าเดินทางไกลเพียงไร สิ่งนี้สามารถแสดงให้เห็นได้หรือไม่ว่าเจ้าครองความจริง?  สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้หรือไม่ว่าเจ้ามีความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้า?  (ไม่ได้)  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ  ความดีงามและความคิดฝันของมนุษย์นั้นไร้ประโยชน์  การที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าและมีความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้านั้น เจ้าต้องมีประสบการณ์กับวิธีการต่างๆ นานาในการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ นั่นคือการเปิดโปง การพิพากษา การกล่าวโทษ การสาปแช่ง—บางครั้งก็จำเป็นต้องใช้การบ่มวินัยและลงโทษเสียด้วยซ้ำ  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องกลัวหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว  ในสิ่งเหล่านี้มีเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจตนารมณ์อันเปี่ยมไปด้วยความอุตสาหะของพระเจ้า และความรักของพระเจ้าอยู่  การสู้ทนความยากลำบากนี้เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเหลือเกิน!  พระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้และทรงใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อทรงพระราชกิจในตัวผู้คน  การนี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงคาดหวังสิ่งต่างๆ จากคนเหล่านี้ และทรงต้องการได้รับบางอย่างจากพวกเขา  พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งเหล่านี้โดยไร้แผนการ โดยไร้เหตุผล หรือกระทำตามความคิดฝัน  สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์  เจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร?  พระองค์ทรงต้องการพาผู้คนให้มีความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้าและยอมรับความจริง ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และสัมฤทธิ์ความรอด

จงบอกเราทีว่า หลังจากเปโตรปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง เขาได้ทบทวนความเชื่อของตนเองหรือไม่?  (ทบทวน)  ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมจะทบทวนตนเองเมื่อพวกเขาเผชิญกับความล้มเหลวและความพ่ายแพ้  แน่นอนว่าเปโตรย่อมจะทบทวนตนเองในหนทางนี้  คนที่ไม่รักความจริงจะไม่มีวันทบทวนตนเอง  หากพวกเขาเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกับเปโตร พวกเขาจะกล่าวว่า “ถึงฉันจะปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสถานการณ์ที่ผิดปกติ  ใครจะไม่รู้สึกกังวล หวาดกลัว และอ่อนแอภายใต้สถานการณ์ที่ผิดปกติเช่นนั้นเล่า?  นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่  ความรักที่ฉันมีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้ายังคงยิ่งใหญ่  หัวใจของฉันลุกโชนด้วยความมีใจกระตือรือร้น วิญญาณของฉันแข็งแกร่ง และฉันจะไม่มีวันจากไป จะไม่มีวันทอดทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า!  การปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้งเป็นเพียงจุดด่างพร้อยเล็กๆ และพระเจ้าก็อาจจะไม่ทรงจดจำเรื่องนี้  อย่างไรก็ตาม ความไว้วางใจที่ฉันมีต่อพระเจ้าก็ค่อนข้างมากมายทีเดียว”  นี่เป็นการคิดทบทวนประเภทใด?  นี่คือท่าทีของการยอมรับความจริงหรือ?  นี่คือหนทางในการได้มาซึ่งความไว้วางใจจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้าหากเปโตรคิดว่า “องค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงรู้จักผู้คนดีเหลือเกิน แต่พระองค์ทรงกล้าเดิมพันได้อย่างไรว่าข้าพระองค์จะทำเช่นนั้น?  พระองค์ไม่ควรทรงทำนายว่าข้าพระองค์จะปฏิเสธพระองค์  ในทางกลับกัน พระองค์ควรทรงทำนายว่าข้าพระองค์จะยอมรับพระองค์สามครั้ง  แบบนั้นคงจะดีเยี่ยม แล้วข้าพระองค์ก็จะสามารถติดตามพระองค์ด้วยความภูมิใจ  นอกจากนี้ นี่คงจะแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจอย่างมากที่ข้าพระองค์มีต่อพระองค์ และการทำนายของพระองค์ก็จะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง  พวกเราทั้งคู่ย่อมจะพอใจในสิ่งนั้น  ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงขนาดไหน  พระองค์ต้องทรงทำให้ข้าพระองค์เพียบพร้อมและทรงมอบเกียรติยศให้แก่ข้าพระองค์!  พระองค์ไม่ควรว่ากล่าวข้าพระองค์  พระองค์ไม่ควรทรงปฏิบัติต่อข้าพระองค์ด้วยกิริยาเช่นนี้  ข้าพระองค์คือเปโตรผู้ทรงเกียรติ  ข้าพระองค์ไม่ควรเอ่ยคำพูดที่ปฏิเสธพระเจ้า  เรื่องนี้น่าอับอายและน่าละอายใจเกินไป!  เหตุใดพระองค์จึงทำเช่นนั้นกับข้าพระองค์?  เหตุใดไม่เป็นคนอื่น?  สิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นไม่เป็นธรรม!  ถึงข้าพระองค์จะยอมรับว่าข้าพระองค์ปฏิเสธพระองค์ แต่พระองค์ต้องเผยข้าพระองค์เช่นนี้เพื่อให้ทุกคนสามารถเห็นถึงความน่าอับอายของข้าพระองค์หรือ?  ต่อแต่นี้ข้าพระองค์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?  ข้าพระองค์ยังคงสามารถมีบั้นปลายที่ดีในอนาคตได้หรือไม่?  นี่แปลว่าพระองค์ทรงถอดใจในตัวข้าพระองค์แล้วไม่ใช่หรือ?  ในหัวใจของข้าพระองค์รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เป็นธรรม”  การโต้แย้งกับพระเจ้าเช่นนี้เป็นเรื่องที่ถูกหรือผิด?  (เป็นเรื่องที่ผิด)  นี่คือสภาวะประเภทใด?  ในที่นี้คือเปโตรมีความไม่เชื่อฟังและการพร่ำบ่น  เปโตรพร่ำบ่นว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดและความพึงพอใจของเขา  สิ่งนี้ทำให้เขาเสียหน้าและเสียจุดยืนจนเขาไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้  ในที่นี้เขามีตัวเลือกแบบมนุษย์ เขามีการพร่ำบ่น การไม่เชื่อฟัง การไม่ยอมรับ และการเป็นกบฏแบบมนุษย์  ทั้งหมดนี้คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม  การคิดแบบนี้ การกระทำเช่นนี้ รวมถึงการมีท่าทีและสภาวะเช่นนี้ย่อมไม่ถูกต้องอย่างเห็นได้ชัด  หากผู้คนคิดและกระทำเช่นนี้และพระเจ้าไม่ทรงติติงพวกเขา หลังจากถูกเปิดเผยแล้วพวกเขาจะสามารถเกิดความเชื่อจริงแท้ได้หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถเกิดความไว้วางใจจริงในพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ผลลัพธ์ประเภทใดที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนที่พร่ำบ่น ต่อต้าน ขัดขืน และปฏิเสธสิ่งที่พระเจ้าทรงเผยในตัวพวกเขาและวิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนี้?  สิ่งนี้นำสิ่งใดมาสู่ชีวิตของคนเช่นนั้น?  ประการแรกที่สิ่งนี้นำมาคือความสูญเสีย  ความนัยของคำว่า “ความสูญเสีย” คืออะไร?  เท่าที่พระเจ้าทรงเห็นนั้น เจ้าเป็นปัญหาเกินกว่าจะจัดการ  ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าก็มีตัวเลือกอยู่เสมอและเจ้าก็มีความพึงพอใจของตนเอง มีเจตจำนงของตนเอง มีความคิดเห็นของตนเอง อีกทั้งมีความคิดฝัน มโนคติอันหลงผิด และการสรุปความของตนเองอยู่ตลอดเวลา  เช่นนั้นแล้วหตุใดเจ้าจึงยังเชื่อในพระเจ้า?  สำหรับเจ้า พระเจ้าทรงเป็นเพียงสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจและสิ่งเกื้อหนุนทางวิญญาณของเจ้า  เจ้าไม่ต้องการพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า ความจริงของพระเจ้า หรือการจัดเตรียมชีวิตของพระเจ้า และแน่นอนว่าเจ้าไม่ต้องการให้พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาประเภทใดก็ตามในตัวเจ้าที่ทำให้เจ้าเจ็บปวดอย่างมาก  พระเจ้าจึงทรงตอบเจ้ากลับไปว่า “เรื่องนั้นง่ายทีเดียว เราไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนั้นต่อเจ้า  มีเพียงสิ่งเดียวคือเจ้าต้องไปจากเรา  เจ้ามีสิทธิ์ในการเลือกของเจ้า และเราก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเลือกเช่นเดียวกัน  เจ้าสามารถเลือกที่จะไม่ยอมรับวิธีการของเราในการช่วยเจ้าให้รอด เช่นเดียวกับเราที่สามารถเลือกที่จะไม่ช่วยเจ้าให้รอดได้”  สิ่งนี้หมายความว่าเจ้ากับพระเจ้าไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันใช่หรือไม่?  นี่คือเสรีภาพของพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผู้คนมีสิทธิ์ที่จะเลือกไม่ยอมรับความรอดของพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผู้คนก็มีสิทธิ์นี้เช่นกัน  เจ้าสามารถล้มเลิกหรือปฏิเสธความรอดที่พระเจ้าทรงมีให้เจ้าได้ แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเจ้าเองที่ทนทุกข์กับความสูญเสีย  ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้าเท่านั้น แต่พระเจ้าจะทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดเจ้าออกไปอีกด้วย  สุดท้ายแล้วเจ้าจะถูกลงโทษเป็นสองเท่า  นี่คือจุดจบสำหรับเจ้า  นั่นคือปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับเจ้า!  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนที่ต้องการจะได้รับความรอดจึงต้องเลือกที่จะนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้า  มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่ผู้คนสามารถเกิดความไว้วางใจจริงในพระเจ้าและได้มาซึ่งความเชื่อจริงแท้ในพระองค์  ความเชื่อเช่นนั้นค่อยๆ เกิดขึ้นในกระบวนการของการนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า

อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนถูกซ่อนอยู่ในความตั้งใจเบื้องหลังของคำพูดและการกระทำของพวกเขา ในทัศนคติที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ ในทุกความคิดและแนวคิดของพวกเขา รวมถึงในทัศนะ ความเข้าใจ มโนคติอันหลงผิด ทัศนคติ ความปรารถนา และข้อเรียกร้องของพวกเขาในเรื่องของความจริง ของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้า  สิ่งนี้เผยออกมาจากคำพูดและการกระทำของผู้คนโดยพวกเขาไม่ทันรู้ตัว  เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ที่อยู่ในตัวของผู้คนอย่างไร?  พระองค์ทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมนานาเพื่อเผยเจ้า  พระองค์จะไม่เพียงทรงเผยเจ้าเท่านั้น แต่พระองค์จะทรงพิพากษาเจ้าด้วย  เมื่อเจ้าเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เมื่อเจ้ามีความคิดและแนวคิดที่ท้าทายพระเจ้า เมื่อเจ้ามีสภาวะและมุมมองที่โต้แย้งต่อพระเจ้า เมื่อเจ้ามีสภาวะที่เจ้าเข้าใจพระเจ้าผิด หรือต่อต้านและแข็งขืนต่อพระองค์ พระเจ้าจะทรงว่ากล่าวเจ้า พิพากษาเจ้า และตีสอนเจ้า และบางครั้งพระองค์ก็จะทรงบ่มวินัยเจ้าและลงโทษเจ้าด้วยซ้ำ  จุดมุ่งหมายของการบ่มวินัยและว่ากล่าวเจ้าคืออะไร?  (เพื่อให้พวกเรากลับใจและเปลี่ยนแปลง)  ใช่แล้ว การนี้เป็นไปเพื่อให้เจ้ากลับใจ  ผลของการบ่มวินัยและว่ากล่าวเจ้าก็คือ สิ่งนี้ทำให้เจ้าได้หวนคืนครรลองของตน  การนี้ก็เพื่อทำให้เจ้าเข้าใจว่าความคิดของเจ้าคือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ว่านั่นเป็นสิ่งที่ผิด แรงจูงใจของเจ้าเกิดมาจากซาตาน สิ่งเหล่านั้นถือกำเนิดจากเจตจำนงของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริง เข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า ไม่สามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า เป็นสิ่งที่น่าชิงชังและน่าเกลียดชังต่อพระเจ้า เป็นสิ่งที่กระตุ้นพระพิโรธของพระองค์ และเร้าการสาปแช่งของพระองค์เสียด้วยซ้ำ  หลังจากตระหนักการนี้แล้ว เจ้าต้องเปลี่ยนแปลงแรงจูงใจและท่าทีของเจ้า  และแรงจูงใจของเจ้าถูกเปลี่ยนแปลงอย่างไร?  แรกที่สุด เจ้าต้องนบนอบต่อหนทางที่พระเจ้าปฏิบัติต่อเจ้า และนบนอบต่อสภาพแวดล้อมและผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้า  จงอย่าหาข้อตำหนิ จงอย่าใช้ข้ออ้างเชิงวัตถุวิสัย และจงอย่าปัดความรับผิดชอบของเจ้า  ประการที่สอง จงแสวงหาความจริงที่ผู้คนควรปฏิบัติและเข้าไปสู่เมื่อพระเจ้าทรงทำสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  พระเจ้าทรงขอให้เจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้  พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้เจ้าระลึกรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้เยี่ยงซาตานของเจ้า เพื่อที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะนบนอบต่อสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้า และในท้ายที่สุด เพื่อให้เจ้าสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์และข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อเจ้า  เมื่อนั้นเจ้าก็จะได้ผ่านการทดสอบแล้ว  ทันทีที่เจ้าหยุดต้านทานและต่อต้าน จากนั้นเจ้าก็จะไม่โต้เถียงพระเจ้าและจะสามารถนบนอบได้  เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน” เจ้าตอบว่า “หากพระเจ้าตรัสว่าข้าพระองค์เป็นซาตาน ข้าพระองค์ก็เป็นซาตาน  แม้ว่าข้าพระองค์ไม่เข้าใจว่าข้าพระองค์ได้ทำสิ่งใดผิด หรือว่าเหตุใดพระเจ้าจึงตรัสว่าข้าพระองค์เป็นซาตาน พระองค์ทรงสั่งให้ข้าพระองค์ไปให้พ้นพระองค์ ดังนั้นข้าพระองค์ก็จะไม่ลังเล  ข้าพระองค์ต้องแสวงหาความพึงปรารถนาของพระเจ้า”  เมื่อพระเจ้าตรัสว่าธรรมชาติของการกระทำของเจ้านั้นเป็นเยี่ยงซาตาน เจ้าพูดว่า “ข้าพระองค์ระลึกรู้ถึงสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส ข้าพระองค์ยอมรับการนั้นทั้งหมด”  การนี้คือท่าทีใด?  นี่คือการนบนอบ  การนั้นคือการนบนอบหรือไม่เมื่อเจ้ามีความสามารถที่จะยอมรับอย่างลังเลถึงการที่พระเจ้าตรัสว่าเจ้าคือมารและซาตาน แต่ไม่สามารถยอมรับการนั้นได้—และไร้ความสามารถที่จะนบนอบ—เมื่อพระองค์ตรัสว่าเจ้าคือสัตว์ร้าย?  การนบนอบหมายถึงการปฏิบัติตามเด็ดขาดและการยอมรับ ไม่ใช่การโต้เถียงหรือกำหนดเงื่อนไข  การนั้นหมายถึงการไม่วิเคราะห์เหตุและผล ไม่ว่าเหตุผลตามข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไรก็เพียงยอมรับไปเท่านั้น  เมื่อผู้คนได้บรรลุการนบนอบเช่นนี้แล้ว พวกเขาย่อมอยู่ใกล้กับความเชื่อในพระเจ้าที่จริงแท้  ยิ่งพระเจ้าทรงกระทำและยิ่งเจ้ามีประสบการณ์มากเท่าไร สำหรับเจ้าอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งของพระเจ้าก็ยิ่งเป็นจริงมากขึ้น ความไว้วางใจในพระเจ้าของเจ้าจะยิ่งใหญ่ขึ้น และเจ้าจะยิ่งรู้สึกมากขึ้นเท่านั้นว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นดีงาม ไม่มีสิ่งใดเลยจากการนั้นที่ไม่ดี  ฉันต้องไม่บรรจงเลือก แต่ควรนบนอบ  หน้าที่รับผิดชอบของฉัน ภาระผูกพันของฉัน หน้าที่ของฉัน—การนั้นคือการนบนอบ  นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หากฉันไม่สามารถแม้แต่จะนบนอบพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ฉันคืออะไร?  ฉันคือสัตว์ร้าย ฉันคือมาร!”  สิ่งนี้ไม่แสดงให้เห็นหรือว่าตอนนี้เจ้ามีความเชื่อที่จริงแท้แล้ว?  ทันทีที่เจ้าได้ไปถึงจุดนี้ เจ้าย่อมจะปราศจากสิ่งแปดเปื้อน และดังนั้นจะเป็นการง่ายที่พระเจ้าจะทรงใช้เจ้า และยังจะเป็นการง่ายอีกเช่นกันที่เจ้าจะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า  เมื่อเจ้าได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า เจ้าจะสามารถได้รับพระพรของพระองค์  ด้วยเหตุนี้ จึงมีบทเรียนมากมายที่จะต้องเรียนรู้ในการนบนอบ

เปโตรมีการนบนอบที่แท้จริงต่อพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน” เขาก็ปิดปากเงียบและทบทวนตนเอง  ผู้คนในปัจจุบันไม่สามารถทำเช่นนี้ได้  หากพระเจ้าตรัสว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน” พวกเขาก็จะกล่าวว่า “พระองค์ทรงเรียกใครว่าซาตาน?  การที่ทรงกล่าวว่าข้าพระองค์เป็นซาตานนั้นใช้ไม่ได้  ขอให้กล่าวว่าข้าพระองค์คือคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—นั่นถึงจะดีมากทีเดียว  แบบนั้นข้าพระองค์จึงสามารถยอมรับและนบนอบได้  หากพระองค์ตรัสว่าข้าพระองค์เป็นซาตาน ข้าพระองค์ก็ไม่สามารถนบนอบได้”  หากเจ้าไม่สามารถนบนอบได้ เช่นนั้นเจ้ามีความไว้วางใจจริงในพระเจ้าหรือไม่?  เจ้ามีการนบนอบจริงหรือไม่?  (ไม่มี)  สิ่งใดคือความสัมพันธ์ระหว่างการนบนอบและความไว้วางใจจริง?  เมื่อเจ้ามีความเชื่อจริงแท้เท่านั้นเจ้าจึงสามารถครองการนบนอบที่แท้จริงได้  เมื่อเจ้าสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะค่อยๆ เกิดความไว้วางใจจริงต่อพระเจ้าภายในตัวเจ้าได้  เจ้าได้รับความไว้วางใจจริงในกระบวนการของการนบนอบพระเจ้าโดยแท้จริง แต่หากเจ้าขาดความไว้วางใจจริง เจ้าจะสามารถนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงถึงกัน และนี่ไม่ใช่เรื่องของข้อบังคับหรือตรรกะ  ความจริงไม่ใช่ปรัชญา นี่ไม่ใช่เรื่องในทางตรรกะ  ความจริงทั้งหลายนั้นสัมพันธ์กันและไม่สามารถแยกออกจากกันได้โดยสิ้นเชิง  หากเจ้ากล่าวว่า “การจะนบนอบพระเจ้า เราต้องมีความไว้วางใจในพระเจ้า และหากพวกเรามีความไว้วางใจในพระเจ้า พวกเราก็ต้องนบนอบพระเจ้า”  นี่คือข้อบังคับ คือวลี คือทฤษฎี คือทัศนะที่ฟังดูสูงส่ง!  เรื่องของชีวิตไม่ใช่ข้อบังคับ  เจ้าเอาแต่ยอมรับด้วยวาจาว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระผู้ช่วยให้รอดองค์เดียวของเจ้าและเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว แต่เจ้ามีความไว้วางใจจริงในพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าพึ่งพาสิ่งใดเพื่อตั้งมั่นในยามที่เจ้าเจอกับความทุกข์เข็ญ?  ผู้คนมากมายยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพราะพระองค์ทรงแสดงความจริงมากมาย  พวกเขายอมรับพระองค์เพื่อจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์  อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับการจับกุมและความทุกข์ลำบาก ผู้คนมากมายก็ถอยหนี มีหลายคนที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านและไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่ของตน  ในเวลานี้ คำพูดที่เจ้ากล่าวไว้ว่า—“ฉันเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า ฉันเชื่อในการทรงควบคุมโชคชะตามนุษย์ของพระเจ้า และเชื่อว่าโชคชะตาของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า”—ก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งนานแล้ว  คำพูดนี้เป็นเพียงแค่วลีติดหูสำหรับเจ้า  ในเมื่อเจ้าไม่กล้าปฏิบัติและมีประสบการณ์กับคำพูดเหล่านี้ อีกทั้งเจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตตามคำพูดเหล่านี้ แล้วเจ้ามีความไว้วางใจจริงในพระเจ้าหรือไม่?  แก่นแท้ของการมีความเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่แค่การเชื่อในพระนามของพระเจ้า แต่เป็นการเชื่อในข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง  เจ้าต้องทำให้ข้อเท็จจริงนี้กลายมาเป็นชีวิตของเจ้า เปลี่ยนสิ่งนี้ให้กลายมาเป็นคำพยานที่แท้จริงของชีวิตเจ้า  เจ้าต้องใช้ชีวิตตามคำพูดเหล่านี้  นั่นหมายถึงการเปิดโอกาสให้คำพูดเหล่านี้ได้นำพฤติกรรมของเจ้า อีกทั้งนำทิศทางและเป้าหมายของการกระทำของเจ้าเมื่อเจ้าเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย  เหตุใดเจ้าจึงต้องใช้ชีวิตตามคำพูดเหล่านี้?  ยกตัวอย่าง สมมุติว่าเจ้าสามารถไปต่างประเทศเพื่อเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ และเจ้าคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างดี  ที่ต่างประเทศนั้นไม่มีการปกครองของพญานาคใหญ่สีแดง และไม่มีการข่มเหงเรื่องของความเชื่อ การเชื่อในพระเจ้าไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่ต้องเสี่ยง  ขณะเดียวกัน ผู้เชื่อในพระเจ้าที่จีนแผ่นดินใหญ่ตกอยู่ในอันตรายจากการถูกจับกุมได้ทุกเมื่อ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำของปีศาจ และนั่นเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก!  แล้วในวันหนึ่งพระเจ้าก็ตรัสว่า “เจ้าเชื่อในพระเจ้าอยู่ที่ต่างประเทศมาหลายปี อีกทั้งได้รับประสบการณ์ในชีวิตมาบ้าง  ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่นั้นมีสถานที่หนึ่งซึ่งพี่น้องชายหญิงที่นั่นยังไม่เป็นผู้ใหญ่ในเรื่องของชีวิต  เจ้าควรกลับไปและเลี้ยงดูพวกเขา”  เจ้าจะทำอย่างไรเมื่อเผชิญกับความรับผิดชอบนี้?  (จะนบนอบและยอมรับ)  ภายนอกเจ้าอาจยอมรับความรับผิดชอบนี้ แต่ในหัวใจของเจ้าย่อมจะรู้สึกไม่สบายใจ  เมื่อเจ้านอนอยู่บนเตียงตอนกลางคืน เจ้าจะร้องไห้และอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงรู้ถึงจุดอ่อนของข้าพระองค์  วุฒิภาวะของข้าพระองค์นั้นน้อยเกินไป  ต่อให้ข้าพระองค์กลับไปยังแผ่นดินใหญ่ ข้าพระองค์ก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้!  พระองค์ทรงเลือกคนอื่นไปไม่ได้หรือ?  พระบัญชานี้มาสู่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็อยากไปจริงๆ แต่ข้าพระองค์กลัวว่าหากไปข้าพระองค์จะทำความรับผิดชอบนี้ได้ไม่ดี กลัวว่าข้าพระองค์จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้เป็นที่น่าพึงพอใจ และกลัวว่าข้าพระองค์จะไม่สามารถทำได้ดีสมกับเจตนารมณ์ของพระองค์ได้!  ข้าพระองค์ขออยู่ที่ต่างประเทศอีกสักสองปีไม่ได้หรือ?”  ตัวเลือกที่เจ้ากำลังเลือกคืออะไร?  เจ้าไม่ได้ไม่ยอมไปอย่างสิ้นเชิง แต่เจ้าก็ไม่ได้ตกลงปลงใจที่จะไปเช่นกัน  สิ่งนี้คือการบอกปัดไปโดยปริยาย  นี่คือการนบนอบพระเจ้าใช่หรือไม่?  นี่คือความเป็นกบฏต่อพระเจ้าโดยชัดเจนที่สุด  การที่เจ้าไม่ต้องการกลับไปหมายความว่าเจ้ามีอารมณ์ที่รู้สึกคัดค้าน  พระเจ้าทรงรู้เรื่องนี้หรือไม่?  (พระองค์ทรงรู้)  พระเจ้าจะตรัสว่า “อย่าไปเลย  เราไม่ได้กำลังสร้างความลำบากใจแก่เจ้า เราแค่กำลังมอบบททดสอบให้เจ้า”  ในหนทางนี้ พระองค์ได้ทรงเผยเจ้า  เจ้ารักพระเจ้าหรือไม่?  เจ้านบนอบพระเจ้าหรือไม่?  เจ้ามีความไว้วางใจจริงหรือไม่?  (ไม่มี)  นี่คือจุดอ่อนใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  สิ่งนี้คือความเป็นกบฏ คือการต่อต้านพระเจ้า  บททดสอบนี้ได้เผยให้เห็นว่าเจ้าไม่มีความไว้วางใจจริงต่อพระเจ้า เจ้าไม่มีการนบนอบที่แท้จริง และเจ้าไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง  เจ้ากล่าวว่า “ตราบใดที่ฉันกลัว ฉันก็มีความชอบธรรมในการเลือกที่จะไม่ไป  ตราบใดที่ชีวิตของฉันตกอยู่ในอันตราย ฉันก็สามารถปฏิเสธได้  ฉันไม่ต้องยอมรับพระบัญชานี้และสามารถเลือกเส้นทางของตนเองได้  ฉันสามารถเต็มไปด้วยการพร่ำบ่นและความขุ่นข้องหมองใจได้”  นี่คือความไว้วางใจประเภทใด?  ในเรื่องนี้ไม่มีความไว้วางใจจริงอยู่เลย  ไม่ว่าคำขวัญที่เจ้าท่องสูงส่งแค่ไหน สิ่งเหล่านั้นจะมีผลกระทบใดหรือไม่ในตอนนี้?  ไม่มีเลย  คำมั่นสัญญาของเจ้าจะมีผลกระทบใดหรือไม่?  หากผู้อื่นสามัคคีธรรมถึงความจริงและพยายามโน้มน้าวเจ้าจะมีประโยชน์อันใดหรือไม่?  (ไม่มี)  ต่อให้เจ้าฝืนใจไปยังแผ่นดินใหญ่หลังจากที่พวกเขาพยายามโน้มน้าวเจ้า สิ่งนี้จะเป็นการนบนอบที่แท้จริงหรือไม่?  นี่ไม่ใช่วิธีที่พระเจ้าทรงต้องการให้เจ้านบนอบ  หากเจ้าไปโดยไม่เต็มใจ เจ้าย่อมจะไปโดยเปล่าประโยชน์  พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า และเจ้าจะไม่ได้รับสิ่งใดจากการนี้เลย  พระเจ้าไม่ทรงบีบบังคับผู้คนให้ทำสิ่งทั้งหลาย  เจ้าต้องเต็มใจที่จะทำ  หากเจ้าไม่ต้องการที่จะไป ต้องการที่จะเดินทางสายกลาง และหาทางหลบหนี ปฏิเสธ และหลบเลี่ยงอยู่เสมอ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องไป  เมื่อวุฒิภาวะของเจ้าเติบโตมากพอและเจ้ามีความไว้วางใจเช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะสมัครใจที่จะขอไป โดยกล่าวว่า “ต่อให้ไม่มีใครไปฉันก็จะไป  คราวนี้ฉันไม่กลัวจริงๆ และฉันจะเสี่ยงชีวิต!  พระเจ้าทรงมอบชีวิตนี้มาให้ไม่ใช่หรือ?  ซาตานมีอะไรน่ากลัวขนาดนั้นเล่า?  มันคือของเล่นในพระหัตถ์ของพระเจ้า และฉันก็ไม่กลัวมัน!  หากฉันไม่ถูกจับ นั่นก็จะเป็นเพราะพระคุณและความกรุณาของพระเจ้า  หากสถานการณ์กลายเป็นว่าฉันถูกจับ นี่ก็เป็นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาต  ต่อให้ฉันตายในเรือนจำ ฉันก็ยังต้องเป็นพยานแด่พระเจ้า!  ฉันต้องมีความแน่วแน่ดังนี้—ฉันจะมอบชีวิตของฉันแก่พระเจ้า  ฉันจะเอาสิ่งที่ฉันได้เข้าใจ ได้มีประสบการณ์ และได้รู้ในชีวิตนี้ไปสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นที่ขาดความเข้าใจและขาดความรู้  นี่ทำให้พวกเขาสามารถมีความไว้วางใจและความแน่วแน่อย่างที่ฉันมี และสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเป็นพยานยืนยันแด่พระองค์ได้  ฉันต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้  ถึงแม้การแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้พึงให้ฉันต้องยอมเสี่ยงและสละชีวิต ฉันก็ไม่กลัว  ฉันไม่นึกถึงตัวเองอีกต่อไป ฉันมีพระเจ้า ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และฉันเต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์”  เมื่อเจ้ากลับไปแล้ว เจ้าจะต้องทนทุกข์ในสภาพแวดล้อมนั้น  เจ้าอาจแก่ลงอย่างรวดเร็ว โดยที่ผมของเจ้าเปลี่ยนเป็นผมหงอกขาวและมีรอยเหี่ยวย่นเกิดขึ้นบนใบหน้า  เจ้าอาจเจ็บป่วยหรือถูกจับและถูกข่มเหง หรือแม้แต่พบว่าตัวเจ้าเองอยู่ในอันตรายถึงชีวิต  เจ้าควรเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านี้อย่างไร?  สิ่งนี้ก็เกี่ยวข้องกับความไว้วางใจจริงอีกเช่นกัน  บางคนสามารถกลับไปได้ด้วยความมุ่งมั่นที่พุ่งพล่าน แต่พวกเขาจะทำอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับความยากลำบากเหล่านี้หลังจากกลับไป?  เจ้าต้องกระโจนลงไปและเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า  ต่อให้เห็นได้ชัดว่าเจ้าแก่ลงไปเล็กน้อยหรือเจ็บป่วยอยู่บ้าง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องขี้ประติ๋ว  หากเจ้าทำบาปต่อพระเจ้าและไม่ยอมให้กับพระบัญชาของพระองค์ เจ้าย่อมจะเสียโอกาสในการถูกพระเจ้าทรงทำให้เพียบพร้อมในชีวิตนี้  ในชีวิตของเจ้า หากเจ้าทำบาปต่อพระเจ้าและปฏิเสธพระบัญชาของพระองค์ นั่นย่อมจะเป็นตราบาปตลอดกาล!  การเสียโอกาสนี้ไปย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ว่าวัยเยาว์กี่ปีของเจ้าก็ซื้อคืนมาไม่ได้  การมีร่างกายที่สมบูรณ์และแข็งแรงมีประโยชน์อะไร?  การมีใบหน้าที่สะสวยและรูปร่างที่ดีนั้นมีประโยชน์อะไร?  ต่อให้เจ้ามีชีวิตอยู่จนถึงอายุแปดสิบและมีจิตใจที่ยังคงเฉียบแหลม หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจความหมายของพระวจนะที่พระเจ้าตรัสได้แม้แต่ประโยคเดียว นั่นจะไม่ใช่เรื่องที่น่าเวทนาหรอกหรือ?  นั่นจะเป็นเรื่องที่น่าเวทนาอย่างยิ่ง!  แล้วอะไรคือสิ่งที่สำคัญและล้ำค่าที่สุดที่ผู้คนต้องได้รับเมื่อพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า?  ความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้านั่นเอง  ไม่ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้า หากเจ้านบนอบก่อน ต่อให้ในเวลานั้นเจ้ามีความเข้าใจผิดเล็กน้อยเกี่ยวกับพระเจ้า หรือเจ้าไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงกระทำเช่นนั้น เจ้าก็จะไม่คิดลบและอ่อนแอ  ดังที่เปโตรกล่าวว่า “ต่อให้พระเจ้าได้กำลังทรงเล่นกับมนุษย์ราวกับว่าพวกเขาเป็นของเล่น มนุษย์จะมีเรื่องร้องทุกข์อันใด?”  หากเจ้าขาดพร่องแม้กระทั่งความไว้วางใจเล็กน้อยนี้ เจ้าจะยังสามารถนบนอบได้อย่างเปโตรหรือไม่?  หลายครั้งสิ่งที่พระเจ้าทรงทำต่อเจ้านั้นเหมาะสมและมีเหตุผล สอดคล้องกับวุฒิภาวะ ความคิดฝัน และมโนคติอันหลงผิดของเจ้า  พระเจ้าทรงพระราชกิจตามวุฒิภาวะของเจ้า  หากเจ้ายังไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้ เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบของเปโตรได้หรือ?  นั่นจะเป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม  ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงต้องไล่ตามเสาะหาไปตามทิศทางนี้และเป้าหมายนี้  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้าได้

หากผู้คนขาดความเชื่อจริงแท้ พวกเขาจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่?  เป็นเรื่องที่พูดยาก มีเพียงการมีความไว้วางใจจริงในพระเจ้าเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถนบนอบพระองค์ได้อย่างแท้จริง  เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน  หากเจ้าไม่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าจะไม่มีโอกาสได้รับการให้ความรู้แจ้ง การทรงนำ หรือการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้าอีกต่อไป  เจ้าได้ผลักไสโอกาสที่พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าเพียบพร้อมทั้งหมดนี้ไปเสียแล้ว  เจ้าไม่ต้องการโอกาสเหล่านั้น  เจ้าปฏิเสธ หลบเลี่ยง และบ่ายเบี่ยงโอกาสเหล่านี้อยู่ตลอด  เจ้าเลือกสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายต่อเนื้อหนังและไร้ซึ่งความทุกข์อยู่เสมอ  สิ่งนี้คือปัญหา!  เจ้าย่อมไม่สามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าได้  เจ้าไม่สามารถมีประสบการณ์กับการทรงนำของพระเจ้า ความเป็นผู้นำของพระเจ้า และการคุ้มครองของพระเจ้าได้  เจ้าไม่อาจมองเห็นกิจการของพระเจ้าได้  ผลก็คือเจ้าจะไม่ได้รับความจริงและจะไม่ได้รับความไว้วางใจจริง—เจ้าจะไม่ได้รับสิ่งใดเลย!  หากเจ้าไม่สามารถได้รับความจริงและไม่สามารถได้รับพระวจนะของพระเจ้าเพื่อทำให้มาเป็นชีวิตของเจ้าได้ เจ้าจะสามารถถูกพระเจ้าทรงรับไว้ได้หรือ?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  โดยหลักแล้ว อะไรคือสิ่งที่เจ้าตั้งใจจะได้รับจากการได้รับความรู้แจ้ง การทรงนำ และการถูกทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า?  เจ้าได้รับความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  นั่นก็คือ พระวจนะของพระเจ้ากลายมาเป็นความเป็นจริงของเจ้า เป็นต้นกำเนิดชีวิตของเจ้า และเป็นหลักธรรม รากฐาน และหลักเกณฑ์สำหรับการกระทำของเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าใช้ชีวิตตามสิ่งใด?  ยังคงเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พระเจ้าจะตรัสต่อเจ้าว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน” หรือไม่?  (พระองค์จะไม่ตรัสเช่นนั้น)  พระเจ้าจะตรัสว่าอย่างไร?  พระเจ้าทรงนิยามโยบว่าอย่างไร?  (เขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เขาเป็นคนที่เพียบพร้อม)  เป็นการเหมาะสมที่จะอ้างอิงพระวจนะเหล่านี้ตรงนี้  หากพวกเจ้าต้องการได้มาซึ่งสมญานามและคำนิยามนี้ที่พระเจ้าทรงมอบให้โยบ การทำเช่นนั้นจะเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  (ไม่)  เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย  เจ้าต้องทำตามพระทัยของพระเจ้าในทุกสิ่ง แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทุกที่ ปฏิบัติตนตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า และนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  หากเจ้าเพียงแต่กล่าวว่าเจ้าจะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการเตรียมการของพระเจ้า แต่แล้วกลับพยายามที่จะวิเคราะห์ว่าทำไมสถานการณ์ ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายบางอย่างจึงเกิดขึ้นกับเจ้า มีการพร่ำบ่นและความเข้าใจผิด และตีความเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิด นั่นย่อมจะทำให้พระเจ้าโทมมนัสนัก!  หากเจ้าไม่ต้องการพระเจ้า พระเจ้าก็จะไม่ทรงต้องการเจ้า  เจ้าจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพระองค์เลย  หากสิ่งทั้งหลายเป็นไปเช่นนี้จะไม่เป็นปัญหาหรือ?  เมื่อเจ้าไม่ต้องการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า พระเจ้าก็จะไม่ทรงเป็นองค์อธิปัตย์ของเจ้า และไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า  ท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าจะทรงนิยามเจ้าว่าอย่างไร?  “เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”  พวกเจ้าต้องการให้ตนเองถูกพูดถึงด้วยคำพูดเหล่านี้หรือ?  (ไม่ต้องการ)  หากเจ้าถูกกล่าวถึงเช่นนี้นั้นหมายความว่าอย่างไร?  (หมายความว่าพวกเราถูกพระเจ้ากล่าวโทษ ถูกกำจัดออกไป และถูกลงโทษ)  นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย!  ครั้นเจ้าถูกพระเจ้ากล่าวโทษและถูกกำจัดออกไป การนี้ไม่เหมือนกับการถูกกล่าวโทษจากผู้นำหรือใครบางคนที่มีอำนาจ—นี่คือพระเจ้า!  พระเจ้าประทานชีวิตแก่เจ้าและทรงค้ำจุนชีวิตของเจ้า  ตอนนี้ที่พระเจ้าไม่ทรงต้องการเจ้าแล้ว เจ้าจะยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  การนี้หมายความว่าอย่างไร?  การนี้ย่อมชี้ให้เห็นถึงจุดจบสุดท้ายสำหรับเจ้า ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดี  นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย  หากเรากล่าวว่าบุคคลหนึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ทั้งยังเป็นคนที่เพียบพร้อม นี่ย่อมเป็นสัญญาณที่ดี และแน่นอนว่าพระพรของพระเจ้าจะมาสู่คนเช่นนั้น  พวกเจ้าควรมีความคิดอย่างไรกับพระวจนะที่พระเจ้าทรงประเมินโยบ?  หากเจ้านึกถึงสิ่งที่โยบรับประทาน สิ่งที่เขาสวมใส่ วิธีการเดิน  รวมถึงนิสัยใจคอของเขา และพยายามเอาอย่างสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็กำลังทำผิด  เจ้าต้องรีบใคร่ครวญและแสวงหา คิดว่า “โยบทำเช่นนั้นได้อย่างไร?  เขาใช้ชีวิตตามสิ่งใดถึงได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า?  พระเจ้าตรัสว่าโยบยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เขาเป็นคนที่เพียบพร้อม  นั่นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย  นั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เอง  ฉันต้องเอาอย่างโยบ แสวงหาหนทางที่จะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และเพียรพยายามที่จะเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเช่นกัน  สิ่งนี้ย่อมจะทำให้พระเจ้าทรงเห็นชอบฉันและทรงเรียกฉันด้วยสมญานามนี้เช่นกัน  ฉันต้องการที่จะเป็นคนที่เพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า”  ความคิดนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า

30 ธันวาคม ค.ศ. 2016

ก่อนหน้า: คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่ผิดของตนเท่านั้น

ถัดไป: มีเพียงการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหกประเภทเท่านั้นที่เป็นการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger