คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น
ตอนนี้พวกเจ้ามีหนทางที่จะรู้จักตนเอง ที่จะได้รับการเข้าสู่ชีวิต และที่จะเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าแล้วใช่หรือไม่? พวกเจ้ามีสักเป้าหมายหรือสักทิศทางหนึ่งหรือไม่? พวกเจ้าควรมีแนวคิดบางอย่างเพราะพวกเราได้สามัคคีธรรมเรื่องทั้งหลายกันมาพอสมควร อาทิ เรื่องของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เกี่ยวกับการรู้จักตนเอง วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า วิธีที่เจ้าควรสามัคคีธรรมถึงความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลาย วิธีที่เจ้าควรให้ความร่วมมืออย่างปรองดองในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า วิธีที่พี่น้องชายหญิงควรเริ่มสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นปกติต่อกัน และอื่นๆ ตอนนี้ที่พวกเจ้าเข้าใจทุกแง่มุมของความจริงที่เกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีความรู้บางอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และเจ้าไม่เป็นเหมือนที่เจ้าเคยเป็นมาก่อน—คือไม่ว่าพวกเจ้าถูกถามในแง่มุมใด พวกเจ้าก็รู้สึกคลุมเครือไปหมด—เจ้าย่อมรู้สึกดีขึ้นมากมิใช่หรือ? (ตอนนี้ข้าพระองค์รู้สึกชัดเจนขึ้นทุกที) คำว่า “ชัดเจนขึ้นทุกที” นั้นถูกต้องแล้ว ในความเป็นจริง ไม่สำคัญว่าคนเราปฏิบัติความจริงในแง่มุมใด ไม่ว่าการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือการฝึกตนเองให้นบนอบต่อพระเจ้า หรือไม่ว่าจะเป็นวิธีสมานฉันท์กับพี่น้องชายหญิง วิธีใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ หรือบางสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ไม่สำคัญว่าเจ้าแสวงหาการเข้าสู่ความจริงในแง่มุมใด เจ้าต้องเริ่มต้นจากประเด็นปัญหาเรื่องการรู้จักตนเอง การซื่อสัตย์ไม่เกี่ยวข้องกับการรู้จักตนเองหรอกหรือ? เจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติความซื่อสัตย์ได้จนกว่าเจ้าได้มารู้จักเล่ห์ลวงและความไม่ซื่อสัตย์ของตนเอง เมื่อเจ้ารู้ว่าตัวเจ้าล้มเหลวในการเชื่อฟังพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเชื่อฟังพระองค์ หรือแสวงหาสิ่งที่เจ้าต้องทำในการเชื่อฟังพระองค์ หากเจ้าไม่รู้จักตนเอง เช่นนั้นแล้วความปรารถนาทั้งหลายของเจ้าที่จะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งซื่อสัตย์ เชื่อฟังพระเจ้า หรือบรรลุความรอดก็ล้วนว่างเปล่า นี่เป็นเพราะผู้คนมีอุปนิสัยเสื่อมทราม และไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาในการปฏิบัติความจริงในแง่มุมใดก็ตาม เพราะการปฏิบัติของพวกเขามักแปดเปื้อนและมีอุปสรรคอยู่เสมอจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เมื่อเจ้าปฏิบัติความจริงแง่มุมใดก็ตาม แน่นอนว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะโผล่หน้าขึ้นมาขัดขวางความพยายามในการที่จะซื่อสัตย์ของเจ้า เป็นอุปสรรคต่อการนบนอบต่อพระเจ้าของเจ้า และยับยั้งเความอดทนและความยอมผ่อนปรนของเจ้าที่มีต่อพี่น้องชายหญิงของเจ้า หากเจ้าไม่คิดทบทวน ขุดคุ้ย ชำแหละ หรือมาระลึกรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ และพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้าในการปฏิบัติความจริงแทน เช่นนั้นเจ้าจะเพียงเชื่อฟังกฎเกณฑ์ เพราะเจ้าไม่เข้าใจความจริงและเจ้าไม่รู้ว่าต้องยึดมั่นหลักธรรมความจริงใด เพราะฉะนั้นไม่สำคัญว่าบุคคลหนึ่งกำลังปฏิบัติความจริงในแง่มุมใดหรือพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ พวกเขาต้องคิดทบทวนและรู้จักตนเองเสียก่อน การรู้จักตนเองคือการรู้ทุกคำพูดและความประพฤติ และแต่ละการกระทำในการกระทำทั้งหมดของเจ้า นั่นคือการรู้ถึงความคิดและแนวคิดของเจ้า รู้เจตนาของเจ้า อีกทั้งรู้ถึงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้า เจ้าต้องรู้ถึงหลักปรัชญาในการดำเนินชีวิตและสารพัดพิษของซาตาน รวมถึงความรู้ทางวัฒนธรรมตามประเพณีด้วย เจ้าต้องแสวงหาความจริงและหยั่งรู้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้ชัดเจน ในหนทางนั้นเจ้าจึงจะเข้าใจความจริงและรู้จักตนเองอย่างแท้จริง แม้บุคคลหนึ่งอาจทำความดีมาตั้งมากมายนับตั้งแต่เริ่มเชื่อในพระเจ้า ทว่าพวกเขาก็ยังไม่สามารถมองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างชัดเจน นับประสาอะไรกับการสัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง แต่เพราะความประพฤติดีมากมายของพวกเขาที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองก็กำลังปฏิบัติความจริงอยู่แล้ว ได้นบนอบต่อพระเจ้าแล้ว และได้สนองน้ำพระทัยของพระองค์มาพอสมควรแล้ว เมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็สามารถทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าถูกบอกทำ เจ้ามิมีความหวั่นใจกับการปฏิบัติหน้าที่ใด และเจ้าก็ไม่แข็งขืน เมื่อเจ้าถูกบอกให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าก็ไม่พร่ำบ่นและสามารถยืนหยัดต่อความยากลำบากนี้ได้ และเมื่อเจ้าถูกบอกให้วิ่งวุ่นและทำงานหรือทำกิจอย่างหนึ่ง เจ้าก็ทำตามนั้น เพราะสิ่งนี้เอง เจ้าจึงรู้สึกว่าเจ้าคือผู้ที่นบนอบต่อพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ แต่หากเจ้าถูกถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าเป็นคนซื่อสัตย์หรือไม่? เจ้าเป็นบุคคลผู้หนึ่งที่นบนอบต่อพระเจ้าโดยแท้จริงหรือไม่? เป็นบุคคลผู้หนึ่งที่อุปนิสัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วใช่หรือไม่?”—หากทุกคนถูกนำมาพินิจพิเคราะห์ตามความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า—ก็อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครถึงตามมาตรฐาน และไม่มีใครสามารถกระทำการตามหลักธรรมความจริงได้เลย ดังนั้นมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามทั้งปวงจึงต้องทบทวนตนเอง พวกเขาต้องทบทวนอุปนิสัยที่พวกเขาใช้ในการดำเนินชีวิต รวมถึงหลักปรัชญา ตรรกะ ความนอกรีตและตรรกะวิบัติเยี่ยงซาตานซึ่งเป็นที่มาของการกระทำและความประพฤติทั้งปวงของพวกเขา พวกเขาต้องคิดทบทวนถึงสาเหตุรากเหง้าว่าทำไมพวกเขาจึงเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา อะไรคือแก่นแท้ของการกระทำตามอำเภอใจของพวกเขา พวกเขามีชีวิตเพื่ออะไรหรือเพื่อใคร หากนำสิ่งนี้มาเปรียบเทียบกับความจริง เช่นนั้นผู้คนทั้งหมดย่อมจะถูกกล่าวโทษ เหตุผลของการนี้คืออะไร? เหตุผลก็คือ มวลมนุษย์ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง ผู้คนไม่เข้าใจความจริงและล้วนใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง พวกเขาไม่รู้จักตนเองเลยสักนิด พวกเขามักเชื่อในพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน ปฏิบัติหน้าที่ตามวิธีการและความชอบส่วนตน รวมถึงรับใช้พระเจ้าตามทฤษฎีทางศาสนาอยู่เสมอ ยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขายังคงคิดว่าตนเองเปี่ยมความเชื่อ คิดว่าการกระทำของตนนั้นสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง และในตอนท้ายพวกเขารู้สึกว่าตนเองนั้นได้รับอะไรมามากมาย โดยไม่ตระหนักรู้ พวกเขาก็เผลอคิดว่าตนเองปฏิบัติตนในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าและได้สนองน้ำพระทัยโดยครบบริบูรณ์ อีกทั้งคิดว่าพวกเขาสมดังข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและกำลังติดตามน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว หากเจ้ารู้สึกเช่นนี้ หรือหากเจ้าคิดว่าตนเองได้เก็บเกี่ยวประโยชน์ประโยชน์บางอย่างจากการเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี เช่นนั้นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้าต้องกลับมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อตรวจสอบตนเอง เจ้าควรมองดูเส้นทางที่เจ้าเดินมาตลอดหลายปีของความเชื่อเพื่อดูว่าทุกการกระทำและความประพฤติเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเจ้านั้นสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์โดยสมบูรณ์หรือไม่ จงตรวจสอบว่าพฤติกรรมใดของเจ้าที่ต่อต้านพระเจ้า พฤติกรรมใดที่สัมฤทธิ์การนบนอบต่อพระองค์ การกระทำของเจ้าสนองและสมดังข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าควรเข้าใจทั้งหมดนี้ให้กระจ่าง เพราะเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะรู้จักตนเอง
นี่คือกุญแจสำคัญสู่การคิดทบทวนกับตัวเองและการรู้จักตัวเอง กล่าวคือ ยิ่งเจ้ารู้สึกมากขึ้นเท่าไรว่า เจ้าทำได้ดี หรือทำในสิ่งที่ถูกในหลายด้านเฉพาะ และยิ่งเจ้าคิดมากขึ้นเท่าไรว่า เจ้าสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้หรือมีความสามารถที่จะอวดตัวในบางด้าน เช่นนั้นแล้วการรู้จักตัวเจ้าเองในด้านเหล่านั้นก็จะคุ้มค่ามากขึ้น และการขุดลึกลงไปในด้านเหล่านั้นเพื่อดูว่าเจ้ามีความมีราคีใดอยู่ในตัวก็ย่อมจะคุ้มค่ามากขึ้นเท่านั้น รวมถึงดูว่าอะไรคือสิ่งทั้งหลายในตัวเจ้าที่ไม่สามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ พวกเราจงมาดูเปาโลเป็นตัวอย่างกันเถิด เปาโลนั้นมีความรู้ดีเป็นพิเศษ เขาได้ทนทุกข์ไปมากมายในงานประกาศของเขาและผู้คนมากมายก็ชื่นชมบูชาเขาเป็นพิเศษ ผลลัพธ์ก็คือ หลังจากที่ได้ทำงานมากมายไปจนครบบริบูรณ์แล้ว เขาก็ได้ทึกทักไปว่าคงจะมีมงกุฎพักวางเอาไว้ให้เขา นี่เป็นเหตุให้เขาล่องไปตามเส้นทางที่ผิดไกลขึ้นทุกที จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้ถูกพระเจ้าทรงลงโทษ หากเขาได้คิดทบทวนและชำแหละตนเอง ณ เวลานั้น เช่นนั้นแล้ว เขาย่อมจะไม่ได้คิดในหนทางที่เคยคิด กล่าวได้อีกนัยหนึ่งก็คือ เปาโลไม่ได้มุ่งเน้นที่การแสวงหาความจริงในพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า เขาเพียงเชื่อในมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการทั้งหลายของตัวเขาเองเท่านั้น เขาได้คิดไปว่าการแค่ทำสิ่งที่ดีบ้าง และแสดงพฤติกรรมที่ดีงามบ้าง พระเจ้าก็คงจะทรงสรรเสริญและประทานบำเหน็จให้แก่เขา ในตอนท้ายนั้น มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทั้งหลายของตัวเขาเองได้ทำให้หัวใจของเขามืดบอดและบดบังความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของเขา แต่ผู้คนไม่สามารถแยกแยะการนี้ พวกเขาไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ และดังนั้นก่อนที่พระเจ้าจะทรงเผยการนี้ พวกเขาจึงถือเอาเปาโลเป็นมาตรฐานที่ใช้เป็นเป้าหมายอยู่เสมอ เป็นตัวอย่างที่จะดำเนินชีวิตตามกันต่อไป และได้คำนึงถึงเขาในฐานะรูปเคารพที่พวกเขาเสาะแสวงและถวิลหาที่จะเป็นเช่นนั้น และในฐานะบุคคลในดวงใจที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา กรณีของเปาโลคือการตักเตือนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเราที่ติดตามพระเจ้าสามารถทนทุกข์และยอมลำบากในหน้าที่ของพวกเรา และเมื่อพวกเรารับใช้พระเจ้า พวกเราย่อมรู้สึกว่าพวกเรานั้นสัตย์ซื่อและรักพระเจ้า และในเวลาเช่นนี้ พวกเราควรคิดทบทวนและเข้าใจตนเองยิ่งขึ้นไปอีกเกี่ยวกับเส้นทางที่พวกเรากำลังใช้อยู่ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นเพราะสิ่งที่เจ้าคิดว่าดีคือสิ่งที่เจ้าจะกำหนดว่าถูกต้อง และเจ้าจะไม่กังขา คิดทบทวน หรือชำแหละว่าสิ่งนั้นมีอะไรที่ต้านทานพระเจ้าหรือไม่ ตัวอย่างเช่น มีผู้คนที่เชื่อว่าตัวพวกเขาเองมีหัวใจที่ใจดีมีเมตตาสุดขั้ว พวกเขาไม่เคยเกลียดชังหรือทำอันตรายผู้อื่น และพวกเขายื่นมือช่วยเหลือพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงที่มีความจำเป็นในครอบครัวของพวกเขาเสมอ เพื่อกันมิให้ปัญหาของพวกเขาไปไกลเกินแก้ไข พวกเขามีไมตรีจิตอันยิ่งใหญ่ และทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของพวกเขาเพื่อช่วยเหลือทุกคนที่พวกเขาสามารถช่วยได้ แต่พวกเขาไม่เคยมุ่งปฏิบัติความจริง และพวกเขาก็ไร้ซึ่งการเข้าสู่ชีวิต อะไรหรือคือผลลัพธ์ของการมีน้ำใจเช่นนั้น? พวกเขาทำให้ชีวิตของตัวพวกเขาเองต้องชะลอออกไป แต่พวกเขาก็ค่อนข้างยินดีกับตัวเอง และพึงพอใจสุดขีดกับทั้งหมดที่พวกเขาได้ทำลงไป ที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเขาภูมิใจในการนั้นอย่างใหญ่หลวง โดยเชื่อว่าในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ไม่มีสิ่งใดขัดกับความจริงเลย ว่าการนั้นย่อมจะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน และเชื่อว่าพวกเขาคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขามองความใจดีมีเมตตาตามธรรมชาติของพวกเขาเป็นบางสิ่งที่สามารถอาศัยประโยชน์ได้ และทันทีที่พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาก็นึกไปเองว่านั่นคือความจริง ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือความดีแบบมนุษย์ พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงแต่อย่างใด เพราะพวกเขาทำเช่นนั้นต่อหน้ามนุษย์ หาใช่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะปฏิบัติไปตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและตามความจริง เพราะฉะนั้นความประพฤติทั้งปวงของพวกเขาจึงสูญเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่พวกเขาทำที่เป็นการปฏิบัติความจริงหรือปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า นับประสาอะไรกับการทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ในทางกลับกัน พวกเขาใช้ความใจดีมีเมตตาและพฤติกรรมที่ดีแบบมนุษย์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยสรุปแล้ว พวกเขาไม่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ อีกทั้งพวกเขาก็มิได้กระทำไปโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงสรรเสริญพฤติกรรมอันดีประเภทนี้ของมนุษย์ สำหรับพระเจ้าแล้วนี่ควรที่จะถูกกล่าวโทษ และไม่คู่ควรแก่การจดจำของพระองค์
การรู้จักตนเองเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนทุกคน เพราะการนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเรื่องสำคัญที่ว่า คนเราสามารถกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและสัมฤทธิ์ความรอดได้หรือไม่ จงอย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ง่าย การรู้จักตนเองไม่ใช่การเข้าใจการกระทำหรือการปฏิบัติของเจ้า แต่เป็นการรู้ถึงแก่นแท้ของปัญหาของเจ้า รู้ถึงรากเหง้าและแก่นแท้ของความไม่เชื่อฟังของเจ้า รู้ว่าทำไมเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริง และเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นและก่อกวนเจ้าในยามที่เจ้าปฏิบัติความจริง สิ่งเหล่านี้คือบางแง่มุมที่สำคัญที่สุดของการรู้จักตนเอง ตัวอย่างเช่น ด้วยภาวะทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวจีน ในมโนคติอันหลงผิดแบบดั้งเดิมของชาวจีนนั้นพวกเขาเชื่อว่าคนเราต้องรักษาความกตัญญูต่อบิดามารดาของพวกเขาไว้ ใครที่ไม่รักษาความกตัญญูต่อบิดามารดาย่อมเป็นลูกอกตัญญู แนวคิดเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังในตัวผู้คนมาตั้งแต่เด็ก และสิ่งเหล่านี้ก็ถูกสอนกันอย่างจริงจังในทุกครอบครัว รวมถึงในทุกโรงเรียนและในสังคมขนาดใหญ่ เมื่อคนคนหนึ่งเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้อยู่ในหัว พวกเขาย่อมคิดว่า “ความกตัญญูนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าฉันไม่รักษาสิ่งนี้ไว้ฉันก็จะไม่ใช่คนดี—ฉันจะเป็นลูกอกตัญญูและจะถูกสังคมประณาม ฉันจะเป็นคนที่ไร้มโนธรรม” ทรรศนะนี้ถูกต้องหรือไม่? ผู้คนได้เห็นความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงมากมาย—พระเจ้าทรงเรียกร้องให้คนเราแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดาของพวกเขาหรือไม่? นี่เป็นหนึ่งในความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าใจใช่หรือไม่? ไม่ใช่เลย พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมบางอย่างเท่านั้น พระวจนะของพระเจ้าเอ่ยขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมใดหรือ? จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และจงเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง กล่าวคือ นี่คือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติตาม พระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เหล่านี้ยังเป็นผู้คนที่พวกเราควรรักด้วยเช่นกัน พวกที่ไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ที่เกลียดชังและกบฏต่อพระเจ้า—พระเจ้าทรงรังเกียจผู้คนเหล่านี้ และพวกเราก็ควรรังเกียจพวกเขาเช่นกัน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอต่อมนุษย์ หากบิดามารดาของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า หากพวกเขารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่าความเชื่อในพระเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้อง และสามารถนำไปสู่ความรอด แต่ทว่ายังคงไม่ยอมรับ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือผู้คนที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง และพวกเขาคือผู้ที่ขัดขืนและเกลียดชังพระเจ้า—แล้วก็เป็นธรรมดาที่พระเจ้าจะทรงชังและเกลียดพวกเขา เจ้าจะนึกชังบิดามารดาเยี่ยงนี้ได้หรือไม่? พวกเขาต่อต้านและด่าว่าพระเจ้า—ซึ่งในกรณีนั้นแน่นอนว่าพวกเขาย่อมเป็นปีศาจและเป็นซาตาน เจ้าจะสามารถเกลียดชังและสาปแช่งพวกเขาได้หรือไม่? เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่แท้จริง หากบิดามารดาของเจ้ากีดกันเจ้าไม่ให้เชื่อในพระเจ้า เจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร? ตามที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอ เจ้าควรรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ใครเป็นมารดาของเรา? ใครเป็นพี่น้องของเรา?” “เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา” พระวจนะเหล่านี้มีอยู่แล้วย้อนหลังไปในยุคพระคุณ และบัดนี้พระวจนะของพระเจ้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก กล่าวคือ “จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง” พระวจนะเหล่านี้ตัดตรงเข้าจุด ทว่าบ่อยครั้งที่ผู้คนไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านั้น หากบุคคลผู้หนึ่งคือใครบางคนที่ปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า ผู้ซึ่งถูกพระเจ้าสาปแช่ง แต่พวกเขาเป็นบิดามารดาหรือญาติของเจ้า และเท่าที่เจ้าสามารถบอกได้พวกเขาไม่ใช่คนทำชั่ว และปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี เช่นนั้นแล้วเจ้าอาจพบว่าตนเองไม่สามารถเกลียดชังบุคคลผู้นั้น และอาจยังคงมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาด้วยซ้ำ สัมพันธภาพของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง การได้ฟังว่าพระเจ้าทรงดูหมิ่นคนเหล่านี้ย่อมจะทำให้เจ้าลำบากใจ และเจ้าก็ไม่สามารถยืนอยู่ฝั่งพระเจ้าและปฏิเสธพวกเขาอย่างใจดำได้ เจ้าถูกพันธนาการไว้ด้วยภาวะอารมณ์เสมอ และเจ้าไม่สามารถปล่อยวางพวกเขาได้โดยสมบูรณ์ อะไรคือสาเหตุของการนี้เล่า? นี่เกิดขึ้นเพราะภาวะอารมณ์ของเจ้าแข็งแกร่งเกินไป และนั่นขัดขวางเจ้าจากการปฏิบัติความจริง บุคคลผู้นั้นดีต่อเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถบังคับตนเองให้เกลียดชังพวกเขาได้ เจ้าจะสามารถเกลียดชังพวกเขาได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาทำร้ายเจ้าเท่านั้น ความเกลียดชังนั้นจะเป็นไปตามหลักธรรมความจริงหรือไม่? นอกจากนี้ เจ้ายังถูกพันธนาการด้วยมโนคติอันหลงผิดแบบเดิมๆ อีกด้วย คิดไปว่าพวกเขาคือบิดามารดาหรือญาติ ดังนั้นหากเจ้าเกลียดชังพวกเขา เจ้าก็จะถูกสังคมสบประมาทและถูกด่าทอโดยประชามติ ถูกกล่าวโทษว่าอกตัญญู ไม่มีมโนธรรม และไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ เจ้าคิดไปว่าเจ้าจะทนทุกข์กับการกล่าวโทษและการลงโทษจากสวรรค์ ต่อให้เจ้าต้องการเกลียดชังพวกเขา มโนธรรมของเจ้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าทำ เหตุใดมโนธรรมของเจ้าจึงทำหน้าที่ในหนทางเช่นนี้? นี่เป็นเพราะวิธีคิดที่ถูกปลูกฝังในตัวเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก ผ่านการถ่ายทอดในครอบครัวของเจ้า ผ่านการศึกษาที่เจ้าได้รับจากบิดามารดา และการสั่งสอนวัฒนธรรมดั้งเดิม วิธีคิดเช่นนี้หยั่งรากลึกในหัวใจของเจ้ามาก และทำให้เจ้าเชื่อแบบผิดๆ ว่าความกตัญญูนั้นเป็นธรรมชาติและเป็นสิ่งที่ชอบธรรมโดยสมบูรณ์ และสิ่งใดที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเจ้าย่อมดีเสมอ เจ้าเรียนรู้สิ่งนี้เป็นอันดับแรก ซึ่งยังคงมีอำนาจครอบงำ สร้างสิ่งสะดุดและการรบกวนอันใหญ่หลวงในความเชื่อและการยอมรับความจริงของเจ้า ทิ้งให้เจ้าไม่สามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่สามารถรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก เกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าชีวิตของเจ้ามาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากบิดามารดาของเจ้า และเจ้าก็รู้เช่นกันว่าบิดามารดาของเจ้าไม่เพียงไม่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังขัดขืนพระเจ้าอีกด้วย รู้ว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังพวกเขา และเจ้าก็ควรนบนอบพระเจ้า ยืนข้างพระองค์ แต่เจ้าก็ไม่สามารถบังคับตนเองให้เกลียดชังพวกเขา แม้ว่าเจ้าต้องการที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม เจ้าไม่สามารถผ่านจุดวิกฤตนั้นไปได้ เจ้าไม่สามารถแข็งใจทำได้ และเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริง สิ่งใดคือต้นเหตุของการนี้? ซาตานใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมและมโนคติอันหลงผิดทางด้านศีลธรรมมาพันธนาการความคิดของเจ้า จิตใจของเจ้า และหัวใจของเจ้า ทิ้งให้เจ้าไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า เจ้าถูกสิ่งเหล่านี้ที่เป็นของซาตานครอบงำ และถูกทำให้ไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ยามที่เจ้าต้องการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เกิดการรบกวนในตัวเจ้า ทำให้เจ้าต่อต้านความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และทำให้เจ้าไร้พลังที่จะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากแอกแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิม หลังจากดิ้นรนต่อสู้มาระยะหนึ่ง เจ้าก็ประนีประนอม นั่นคือ เจ้าพอใจที่จะเลือกเชื่อว่ามโนคติอันหลงผิดตามประเพณี ทางด้านศีลธรรมนั้นถูกต้องและตรงกับความจริง ดังนั้นเจ้าจึงปฏิเสธหรือละทิ้งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นความจริง และเจ้าไม่เห็นความสำคัญของการได้รับการช่วยให้รอด รู้สึกว่าเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และสามารถอยู่รอดได้ด้วยการพึ่งพาคนเหล่านี้เท่านั้น เมื่อไม่สามารถสู้ทนการกล่าวโทษของสังคมได้ เจ้าจึงเลือกที่จะยอมทิ้งความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเสีย ปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับมโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดทางด้านศีลธรรมและอิทธิพลของซาตาน เลือกที่จะล่วงเกินพระเจ้าและไม่ปฏิบัติความจริงแทน มนุษย์ไม่น่าเวทนาหรอกหรือ? พวกเขาจำเป็นต้องได้รับความรอดจากพระเจ้ามิใช่หรือ? บางคนเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่ยังไม่มีความเข้าใจเชิงลึกเรื่องความกตัญญู พวกเขาไม่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาไม่มีวันสามารถทำลายกำแพงแห่งสัมพันธภาพทางโลกนี้ได้ พวกเขาไร้ความกล้าหาญและความมั่นใจ นับประสาอะไรกับความมุ่งมั่น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถรักและเชื่อฟังพระเจ้าได้ คนบางคนสามารถมองไปไกลกว่านี้ และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ที่พวกเขาจะพูดว่า “พ่อแม่ของฉันไม่เชื่อในพระเจ้า และพวกท่านก็ห้ามฉันไม่ให้เชื่อ พวกท่านคือมาร” ไม่มีผู้ไม่เชื่อคนไหนเชื่อว่ามีพระเจ้า หรือเชื่อว่าพระองค์ทรงสร้างสวรรค์กับแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง หรือมนุษย์ได้รับการทรงสร้างจากพระเจ้า คนบางคนถึงกับพูดว่า “มนุษย์ได้รับชีวิตมาจากพ่อแม่ของพวกเขา และพวกเขาก็ควรให้เกียรติพ่อแม่ของตน” ความคิดหรือทรรศนะดังกล่าวมาจากไหน? มาจากซาตานใช่หรือไม่? วัฒนธรรมดั้งเดิมนับพันปีได้สั่งสอนและหลอกลวงมนุษย์ในหนทางนี้ ทำให้พวกเขาไม่ยอมรับสิ่งทรงสร้างและอธิปไตยของพระเจ้า หากไร้ซึ่งการหลอกลวงและการควบคุมของซาตานแล้ว มวลมนุษย์ย่อมจะสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระองค์ และพวกเขาย่อมจะรู้ว่าตนเองถูกสร้างโดยพระเจ้า รู้ว่าชีวิตของตนได้รับประทานจากพระเจ้า พวกเขาจะรู้ว่าทุกสิ่งที่ตนมีล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ และเป็นพระเจ้าที่พวกเขาควรขอบคุณ หากใครสักคนช่วยเหลือพวกเรา พวกเราก็ควรยอมรับการนั้นจากพระเจ้า—โดยเฉพาะบิดามารดาผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา การนี้ได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้าทั้งสิ้น พระเจ้าทรงปกครองสรรพสิ่ง มนุษย์เป็นเพียงเครื่องมือในการปรนนิบัติ หากใครบางคนสามารถละวางบิดามารดาของพวกเขา หรือสามี (หรือภรรยา) และลูกๆ ของพวกเขาลงได้เพื่อที่จะสละตนเพื่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว คนคนนั้นย่อมจะแข็งแกร่งขึ้นและจะมีสำนึกแห่งความชอบธรรมที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเฉพาะพระพักตร์ขพระองค์ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้คนจะหลุดพ้นจากพันธนาการของการศึกษาระดับชาติ รวมถึงแนวคิดทางวัฒนธรรมดั้งเดิม มโนคติอันหลงผิด และถ้อยแถลงทางศีลธรรม เพราะพิษและปรัชญาเยี่ยงซาตานเหล่านี้ได้หยั่งรากลึกลงในหัวใจของผู้คนมานานแล้ว ก่อกำเนิดเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกประเภทที่กีดกันพวกเขาจากการฟังพระวจนะของพระเจ้าและการเชื่อฟังพระองค์ ในส่วนลึกของหัวใจมนุษย์ผู้เสื่อมทราม ขาดพร่องความเต็มใจขั้นพื้นฐานในการนำความจริงมาปฏิบัติและทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ดังนั้นผู้คนจึงกบฏต่อพระเจ้าและต้านทานพระเจ้า พวกเขาอาจทรยศพระองค์และละทิ้งพระองค์ได้ทุกเมื่อ หากคนเรามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และมีพิษและปรัชญาเยี่ยงซาตานอยู่ในตัว พวกเขาจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่? คนเราสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบต่อพระเจ้าได้หรือไม่? เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ หากไม่ใช่เพราะพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าพระองค์เอง เช่นนั้นแล้วมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งก็ไม่อาจสัมฤทธิ์ความรอดและไม่อาจถูกชำระให้สะอาดจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานทั้งปวงได้ ต่อให้ผู้คนเชื่อในพระเจ้าและเต็มใจที่จะติดตามพระองค์ พวกเขาก็ไม่สามารถรับฟังพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ได้ เพราะการที่ผู้คนจะยอมรับความจริงได้นั้นใช้ความพยายามมากเกินไป เพราะฉะนั้น การไล่ตามเสาะหาความจริงจึงต้องนำด้วยการไล่ตามเสาะหาการรู้จักตนเองและแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราเสียก่อน เมื่อนั้นเท่านั้นที่การยอมรับความจริงจะง่ายขึ้น ไม่ว่าอย่างไรการรู้จักตนเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มีเพียงผู้ที่ยอมรับความจริงเท่านั้นที่สามารถรู้จักตนเองได้ ด้วยเหตุนี้การรู้จักตนเองจึงสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่พวกเจ้าต้องไม่มองข้าม
ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะยอมรับความจริง และเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าที่พวกเขาจะรู้จักตนเอง หากพวกเขาต้องการที่จะสัมฤทธิ์ความรอด พวกเขาต้องมารู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ธรรมชาติของตนเอง เมื่อนั้นเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถยอมรับความจริงและนำความจริงมาปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ผู้คนส่วนมากที่เชื่อในพระเจ้านั้นพึงพอใจแค่กับการสามารถกล่าวคำพูดและคำสอน โดยคิดว่าตนเองเข้าใจความจริง นี่คือความผิดพลาดอันใหญ่หลวง เพราะคนที่ไม่รู้จักตนเองย่อมไม่เข้าใจความจริง ด้วยเหตุนี้ ผู้คนต้องมุ่งเน้นที่การรู้จักตนเองเพื่อการเข้าใจและได้มาซึ่งความจริงในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ไม่ว่าพวกเราอยู่ที่ไหนหรือเวลาใด และไม่ว่าพวกเราอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นไร หากพวกเราสามารถมารู้จักตนเอง ขุดคุ้ยและชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง รวมถึงปฏิบัติต่อการรู้จักตนเองว่าเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดอันดับแรกของพวกเรา เช่นนั้นย่อมแน่นอนว่าพวกเราจะได้รับอะไรบางอย่าง และจะค่อยๆ รู้จักตนเองอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันพวกเราก็จะปฏิบัติความจริง ปฏิบัติการรักและเชื่อฟังพระเจ้า อีกทั้งเข้าใจความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นความจริงก็จะกลายเป็นชีวิตของพวกเราไปโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตามหากเจ้าไม่เข้าไปสู่การรู้จักตนเองเลย การที่เจ้าบอกว่าเจ้าปฏิบัติความจริงย่อมเป็นเท็จ เหตุเพราะเจ้าตามืดบอดจากปรากฏการณ์แบบผิวเผินทุกรูปแบบ เจ้ารู้สึกราวกับว่าพฤติกรรมของเจ้าได้พัฒนาขึ้นแล้ว รู้สึกว่าเจ้ามีมโนธรรมและเหตุผลมากขึ้นกว่าแต่ก่อน รู้สึกว่าเจ้าสุภาพอ่อนโยนมากขึ้น คำนึงถึงและผ่อนปรนต่อผู้อื่นมากขึ้น รวมถึงอดทนและให้อภัยผู้คนได้มากขึ้น ผลที่ตามมาก็คือ เจ้าคิดว่าตนเองใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติแล้ว และคิดว่าตนเองเป็นคนที่ยิ่งใหญ่และเพียบพร้อมคนหนึ่ง แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น เจ้ายังไม่เป็นไปตามข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของพระองค์ และเจ้าก็ยังห่างไกลจากการเชื่อฟังและนมัสการพระองค์อย่างแท้จริงอยู่มาก นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้ายังไม่ได้รับความจริง เจ้ายังไม่มีความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย และยังห่างไกลจากการไปถึงมาตรฐานแห่งความรอด ผู้คนต้องเข้าใจว่าความจริงประการใดที่พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมตนเองให้พร้อมเพื่อให้เป็นไปตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า ผู้คนยังไม่สามารถแยกแยะระหว่างพฤติกรรมที่ดีภายนอกกับการปฏิบัติความจริงได้ ทั้งหมดที่ผู้คนมีในตอนนี้เป็นแค่ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในพฤติกรรมภายนอก ในปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่มาชุมนุมกันบ่อยครั้งเพื่อฟังคำเทศนา อีกทั้งสามารถเข้ากันได้ดีและปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงของพวกเขาด้วยลักษณะที่เป็นปกติ พวกเขาไม่ทะเลาะเบาะแว้ง พวกเขาสามารถผ่อนปรนและอดทนต่อผู้อื่น และพวกเขาก็มีมโนธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของตนมากกว่าแต่ก่อน อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจในความจริงของพวกเขาตื้นเขินเกินไป ความคิดและทรรศนะของพวกเขาในหลายเรื่องยังคงห่างไกลจากความจริง หรือขัดแย้งกับความจริง และทรรศนะบางอย่างของพวกเขาก็เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ นี่มากพอที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้คนยังไม่ได้มาซึ่งความจริง นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราต้องแสวงหาความจริงในทุกแง่มุมของการรู้จักตนเองและพยายามที่จะรู้จักตนเองให้ลึกซึ้งมากขึ้น ผ่านการสามัคคีธรรมนี้ พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าการรู้จักตนเองนั้นสำคัญมาก? เราเพิ่งยกตัวอย่างของแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดาไป นี่เป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญซึ่งทุกคนต้องเผชิญ หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจความจริงและหลุดออกจากความคิดและมโนคติอันหลงผิดแบบดั้งเดิมได้ ก็ย่อมเป็นเรื่องยากที่พวกเจ้าจะตัดขาดจากทุกสิ่งและสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง มีผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายต่อหลายปีแต่ไม่ได้ทำหน้าที่ให้ลุล่วง ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่พวกเขาดิ้นรนต่อสู้อยู่ในหัวใจ ไม่แน่ชัดว่าเมื่อไรพวกเขาจะสามารถเข้าใจความจริงและหลุดพ้นจากการยับยั้งและโซ่ตรวนของความรักใคร่เอ็นดูทางเนื้อหนังกับความคิดและมโนคติอันหลงผิดแบบดั้งเดิม และไปถึงจุดที่ “รักในสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดในสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด” ได้อย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่สิ่งที่สัมฤทธิ์ผลได้โดยง่าย การมองเห็นแก่นแท้ของครอบครัวอย่างทะลุปรุโปร่งและการปลดเปลื้องข้อจำกัดแห่งความสัมพันธ์ทางเนื้อหนังของคนเราเป็นอุปสรรคที่ยากลำบากสำหรับผู้ที่ติดตามพระเจ้า มีกระบวนการของการทำลายโซ่ตรวนแห่งครอบครัวและความรักใคร่เอ็นดูทางเนื้อหนังของคนเรา รวมทั้งกระบวนการหลุดพ้นจากข้อจำกัดของความคิดเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิม—สิ่งนี้พึงต้องให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมที่พวกเราสามารถที่จะปฏิบัติการเข้าไปสู่ความจริงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของคนที่พวกเรารัก ก็ยิ่งจำเป็นที่พวกเราจะต้องเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาและแก่นแท้ธรรมชาติแต่ละอย่างของพวกเขาให้ชัดเจน ขณะเดียวกันพวกเราก็จำเป็นต้องคิดทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเราเปิดเผยไปตามความจริง รวมถึงความนอกรีตและตรรกะวิบัติเยี่ยงซาตานที่ยังมีอยู่ในหัวใจของพวกเรา การนี้พึงต้องให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อมนานาประการเพื่อเปิดโปงพวกเรา เพื่อให้พวกเรารู้ว่ายังมีสิ่งใดในหัวใจพวกเราที่แข็งขืนหรือเข้ากันไม่ได้กับพระองค์ จากนั้นจึงแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น พวกเราจำเป็นต้องให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเปิดเผยความเสื่อมทรามและวุฒิภาวะของพวกเรา อย่างไรก็ตาม พวกเราต้องร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแข็งขันและในเชิงบวก อีกทั้งตั้งข้อเรียกร้องกับตนเองตามพระวจนะของพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเราจึงสามารถถูกทำให้สมบูรณ์แบบโดยพระองค์ได้ ทว่าก่อนที่พระเจ้าทรงกระทำ พวกเราต้องเตรียมสภาพจิตใจของตนเองให้พร้อม อันดับแรกพวกเราจำเป็นต้องรู้จักพิษเยี่ยงซาตานที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ และเข้าใจว่าความคิดและมโนคติอันหลงผิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นหลอกลวงและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม พวกเราต้องเข้าใจว่าสิ่งเยี่ยงซาตานทั้งหลายเหล่านี้—ซึ่งพวกเรารับสืบทอดมา และเป็นสิ่งที่มาจากการศึกษาและสังคมนั้น—แข็งขืนต่อพระเจ้าอย่างร้ายแรงเพียงไร และขัดแย้งกับความจริงมากแค่ไหน ต่อเมื่อเจ้ามองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งเท่านั้น เจ้าถึงจะสามารถกล่าวได้ว่าเจ้าเข้าใจความจริงโดยแท้จริง
เราเพิ่งพูดถึงวิธีที่คนเราปฏิบัติต่อบิดามารดาของตน สามารถกล่าวได้ว่านี่เป็นประเด็นหลักในชีวิต อีกทั้งเป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญที่ทุกคนต้องเผชิญอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ ต่อมาพวกเราจะสามัคคีธรรมกันอีกหัวข้อหนึ่ง กล่าวคือวิธีปฏิบัติต่อลูกๆ ของคนเรา เมื่อเป็นเรื่องวิธีปฏิบัติต่อลูกๆ และบิดามารดาของเจ้า วิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทว่าเรื่องสำคัญคือมุมมองของเจ้า นี่เป็นเรื่องของมุมมองและท่าทีของเจ้าในการเข้าหาพวกเขา นี่คือสิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องมีความเข้าใจในหัวใจของพวกเรา แต่ละคนเริ่มวางแผนตั้งแต่วินาทีที่พวกเขามีลูกว่าพวกเขาอยากให้ลูกๆ ของตนได้รับการศึกษาแบบไหน ควรเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแบบไหน และหลังจากนั้น ลูกๆ ของพวกเขาจะสามารถหางานที่ดีทำได้อย่างไร เพื่อให้ลูกๆ ของพวกเขาสามารถมีรากฐานที่มั่นคงและมีสถานะในสังคมระดับหนึ่ง ทุกคนเชื่อว่าในชีวิตนี้ คนเราต้องมีความรู้และมีวุฒิการศึกษาขั้นสูงเป็นอันดับแรก—ในสายตาของพวกเขา นี่เป็นหนทางเดียวที่จะมีงานทำและมีความเป็นอยู่ที่มั่นคงในสังคมเพื่อให้คนเราไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน อย่างเช่น อาหาร เสื้อผ้าและที่อยู่อาศัยในภายหน้า เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องของวิธีที่ผู้คนปฏิบัติต่อลูกๆ ของพวกเขา พ่อแม่ทุกคนต่างก็หวังว่าลูกของตนจะได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น พวกเขาหวังว่าสักวันหนึ่งลูกของตนจะสามารถประสบความสำเร็จบนโลกใบนี้ได้ หวังว่าลูกๆ จะมีที่ทางในสังคม มีรายได้ที่สูงและมั่นคง รวมถึงมีเกียรติยศและมีสถานะ พวกเขาคิดว่ามีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะนำเกียรติมาสู่บรรพบุรุษของตนได้ คนทุกคนล้วนเก็บงำทรรศนะนี้ไว้ “ขอให้ลูกๆ ของเรากลายเป็นพวกหัวกะทิ”—ทรรศนะนี้ถูกต้องหรือไม่? ทุกคนต้องการให้บุตรหรือธิดาของตนได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติแล้วจึงไล่ตามไขว่คว้าที่จะศึกษาต่อ ด้วยความเชื่อว่าลูกของตนจะสามารถประสบความสำเร็จบนโลกใบนี้ได้เมื่อมีวุฒิการศึกษาขั้นสูง ผู้คนต่างบูชาความรู้อยู่ในหัวใจและเชื่อว่า “การไล่ตามเสาะหาอื่นๆ ล้วนด้อยกว่าตำรา” นอกจากนี้พวกเขายังคิดว่าว่าการแข่งขันในสังคมทุกวันนี้ดุเดือดเป็นพิเศษ และหากใครไม่มีคุณวุฒิด้านการศึกษา แค่การพยายามหาเลี้ยงปากท้องของพวกเขายังเป็นเรื่องยาก นี่คือความคิดและทรรศนะที่ทุกคนเก็บงำไว้—ราวกับว่าตราบใดที่ใครบางคนมีวุฒิการศึกษาขั้นสูง ความเป็นอยู่และโอกาสประสบความสำเร็จในอนาคตของพวกเขาก็จะมั่นคงไปด้วย ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องข้อเรียกร้องที่พวกเขามีต่อบุตรและธิดาของตน ผู้คนก็ถือว่าการได้เข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่สูงขึ้นและได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเป็นอันดับแรก ในความเป็นจริงนั้นการศึกษาทั้งหมด ความรู้ทั้งหมด และแนวคิดทั้งหมดที่ผู้คนได้รับมาล้วนขัดแย้งกับพระเจ้าและความจริง ทั้งยังเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดและทรงกล่าวโทษด้วย นี่พิสูจน์ว่าทรรศนะของมนุษย์ผิดและไร้สาระ ผู้คนควรเข้าใจว่าหากพวกเขาได้รับการศึกษาประเภทนี้ นอกเหนือจากการได้รับความรู้ทางปัญญาที่เป็นประโยชน์อยู่บ้างแล้ว พวกเขาก็จะได้รับการปลูกฝังพิษ ความคิด ทฤษฎี อีกทั้งความนอกรีตและตรรกะวิบัติต่างๆ ของซาตานอย่างมากมายด้วย และพวกเขาควรเข้าใจว่าผลที่ตามมาของเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร ผู้คนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง สิ่งเดียวที่พวกเขาเชื่อคือลูกๆ ของตนจะมีอนาคตที่สดใสมากขึ้นและจะนำเกียรติมาสู่บรรพบุรุษของพวกเขา หากพวกเขาได้เข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่สูงขึ้น ผลก็คือวันหนึ่งเมื่อลูกของเจ้ากลับมาบ้านและเจ้าพูดคุยกับพวกเขาเรื่องการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาจะรู้สึกชิงชัง และเมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็จะเห็นว่าเจ้าโง่เขลา เย้ยหยันเจ้า และปฏิบัติต่อคำพูดของเจ้าด้วยการดูถูก ถึงตอนนั้นเจ้าจะตระหนักว่าเจ้าเลือกเส้นทางผิดที่เจ้าส่งลูกไปเรียนในสถาบันการศึกษาที่สูงขึ้นเพื่อให้ได้รับการศึกษาขั้นสูง อย่างไรก็ตาม เวลานั้นย่อมสายเกินไปสำหรับความเสียใจ ทันทีที่บุคคลหนึ่งยอมรับหลักปรัชญาและทรรศนะของซาตาน และสิ่งเหล่านี้ได้ฝังราก เบ่งบาน และเริ่มผลิดอกออกผลในตัวพวกเขาแล้ว ก็ย่อมเป็นเหมือนก้อนมะเร็งร้ายที่เติบโตขึ้น—สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถกำจัดทิ้งหรือเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน เมื่อถึงจุดนั้นย่อมกลายเป็นเรื่องยากที่คนคนนั้นจะยอมรับความจริง และไม่มีทางที่พวกเขาจะถูกช่วยให้รอดได้เลย เรื่องนี้เทียบเท่ากับการที่พวกเขาถูกซาตานวางยาพิษจนตาย เราไม่เคยเห็นใครพูดว่า “เวลาลูกฉันไปโรงเรียนก็แค่ปล่อยให้พวกเขาเรียนรู้การอ่าน พวกเขาจะได้เข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้าหมายถึงอะไร หลังจากนั้นฉันจะชี้แนะพวกเขาให้เชื่อในพระเจ้าอย่างสุดใจ และเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพที่เป็นประโยชน์เล็กน้อย เพื่อให้พวกเขาสามารถมีงานที่ดีทำและมีชีวิตที่มั่นคงในอนาคต เมื่อนั้นฉันถึงสามารถวางใจได้ หากพวกเขามีขีดความสามารถสูง มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี และสามารถปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า หากพวกเขาไม่สามารถลุล่วงหน้าที่ได้ การมีงานทำนอกคริสตจักรเพื่อให้สามารถจุนเจือครอบครัวของตนก็เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด ฉันอยากให้พวกเขาได้รับความจริงของพระเจ้าในพระนิเวศของพระองค์ และไม่แปดเปื้อนหรือตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของสังคม” ผู้คนไม่มีความเชื่อที่จะนำลูกๆ ของพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขากังวลอยู่เสมอว่าลูกๆ ของตนจะไม่มีโอกาสที่ดีในอนาคตหากพวกเขาไม่ได้เข้ารับการศึกษาที่สูงขึ้น พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อเป็นเรื่องของลูกๆ ของตน ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เต็มใจจะนำลูกๆ มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อให้พวกเขาสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติตนตามความจริงและตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าได้ ผู้คนไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนี้ และพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำเช่นนี้ พวกเขากลัวว่าหากพวกเขากระทำในหนทางนี้ ลูกๆ ของตนจะไม่มีช่องทางในการทำมาหากินหรือโอกาสประสบความสำเร็จในสังคมนี้ ทรรศนะนี้ยืนยันว่าอย่างไร? ทรรศนะนี้ยืนยันว่าผู้คนซึ่งถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งไม่มีความสนใจความจริงหรือการเชื่อในพระเจ้าเลย ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าจริงๆ นี่ก็เพียงเพื่อให้ได้รับการอวยพรเท่านั้น พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เพราะสิ่งที่ผู้คนบูชาในหัวใจของพวกเขา คือสิ่งที่เป็นวัตถุทั้งหลาย เงินทอง และอิทธิพลของซาตาน เจ้าไม่มีความเชื่อที่จะกล่าวว่า “หากคนเราละทิ้งกระแสทางโลกและพึ่งพาพระเจ้า พระองค์จะประทานทางออกให้พวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดได้” เจ้าขาดความเชื่อนี้ ทรรศนะที่หลงผิดของเจ้าในเรื่องการบูชาความรู้ได้หยั่งรากลงในหัวใจของเจ้า สิ่งนี้ควบคุมทุกคำพูดและการกระทำของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถยอมรับและนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรกับการยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะความคิดและทรรศนะนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า สิ่งนี้ทรยศพระเจ้า ไม่ยอมรับพระเจ้า และเข้ากันไม่ได้กับความจริง เมื่อบุคคลหนึ่งเข้าใจความจริง พวกเขาย่อมสามารถมองเห็นปัญหานี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และตระหนักว่ามีสิ่งต่างๆ มากมายในตัวพวกเขาที่ต่อต้านพระเจ้า—สิ่งต่างๆ ที่โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง ทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์จากการมีประสบการณ์ในพระราชกิจของพระเจ้า หากไร้ซึ่งการเปิดเผยพระวจนะของพระเจ้าและไร้ซึ่งการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะ ผู้คนก็จะคิดว่าตนเองได้กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ คิดว่าพวกเขาเปี่ยมด้วยความรักต่อพระเจ้า และคิดว่าความเชื่อในพระองค์ของพวกเขาแข็งแกร่ง หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาสองสามปีและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่างของตน ตอนนี้พวกเขาเข้าใจความจริง จู่ๆ พวกเขาก็ตระหนักว่า “สิ่งอันเสื่อมทรามเหล่านี้ยังมีอยู่ในตัวผู้คนได้อย่างไร? ทำไมฉันถึงไม่ตระหนักรู้มาก่อน? ผู้คนช่างไม่รู้ความเสียเหลือเกิน!” ในเวลานี้พวกเขาเรียนรู้ว่า การที่พระเจ้าทรงเปิดเผยความเสื่อมทรามของมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่เหลือเกินและเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และพวกเขาก็รู้ว่า หากพระเจ้าไม่ทรงเปิดเผยและพิพากษาความเสื่อมทรามของพวกเขา พวกเขาจะไม่มีวันตระหนักรู้เรื่องนี้ ผู้คนล้วนมีทักษะในการเสแสร้งและอำพรางตน พวกเขาสามารถอำพรางตัวได้ค่อนข้างดี หรือปิดบังและเสริมแต่งตนเองได้ดี แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเปิดเผยและความคิดที่ฝังรากลึกในจิตใจของพวกเขานั้นแข็งขืนต่อพระเจ้า และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดและชัง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ที่จะเปิดเผย และเป็นสิ่งที่ผู้คนควรรู้จัก อย่างไรก็ตามผู้คนมักจะคิดว่า “ในแง่คำพูดของพวกเรา พวกเราไม่เคยพูดคำพูดใดที่แข็งขืนต่อพระเจ้า และพวกเรามีเหตุผล ในแง่พฤติกรรมของพวกเรา พวกเราไม่ได้ทำอะไรที่ออกนอกลู่นอกทาง พวกเรามาถึงจุดที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้เหมาะสมอย่างมากแล้ว พวกเราไม่มีปัญหาที่เห็นเด่นชัด แล้วพวกเราควรรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเองอีก? พวกเรายังจำเป็นต้องรู้จักตัวเองด้วยหรือ?” ทรรศนะนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงหรือไม่? หากสอดคล้องกับข้อเท็จจริง เหตุใดผู้คนถึงยังสารภาพบาปของพวกเขาต่อพระเจ้าอยู่เสมอ? เหตุใดผู้คนยังเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่บ่อยครั้งและถึงขนาดกระทำการฝ่าฝืนด้วย? เพราะฉะนั้น ยิ่งเจ้าเห็นว่าตนเองเก่งในด้านหนึ่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งคุ้มค่าที่เจ้าจะแสวงหาความจริง คิดทบทวน และรู้จักตนเองในด้านนั้นให้มากขึ้นเท่านั้น มีเพียงการนี้เท่านั้นที่จะทำให้เจ้าสามารถได้มารู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าอย่างแท้จริง นี่คือผลลัพธ์ของการมีประสบการณ์ในพระราชกิจของพระเจ้า
มีผู้คนมากมายที่เชื่อว่าความกตัญญูเป็นสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยและทรงอวยพร พวกเขาคิดว่าการกตัญญูต่อบิดามารดาของตนต้องเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงโปรดปรานอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาเชื่อว่าความกตัญญูนั้นเป็นไปตามธรรมชาติและชอบธรรมโดยสมบูรณ์ อีกทั้งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าคนคนหนึ่งมีมโนธรรม และพวกเขาไม่เคยลืมว่าตนมาจากไหน คนเช่นนั้นย่อมถูกมองว่าเป็นคนดีและเป็นลูกกตัญญูตามมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิม เมื่อพูดถึงลูกกตัญญู ทุกคนต่างก็ยกนิ้วโป้งให้พวกเขา ผู้คนรักพวกเขา รวมถึงพ่อแม่ของพวกเขาด้วย ฉะนั้นแล้วเจ้าจึงทึกทักเอาเองโดยปริยายว่าพระเจ้าต้องโปรดปรานพวกเขาเช่นกัน และคิดอย่างฝันเฟื่องว่า “พระเจ้าต้องโปรดคนที่แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ของพวกเขา—พระองค์โปรดพวกเขาอย่างแน่นอน!” ดังนั้นเจ้าจึงล้มเลิกการปฏิบัติหน้าที่ของตน และกลับบ้านเพื่อแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดาของเจ้า ขณะที่ทำเช่นนั้นเจ้าจะเริ่มมีแรงจูงใจมากขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าปักใจเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่คือสิ่งที่ชอบธรรมและเหมาะสม ทั้งเชื่อว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง เจ้าเริ่มเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่าเจ้าทำให้พระเจ้าพอพระทัยแล้ว และเชื่อว่าเจ้ามีต้นทุนที่จำเป็นในการได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ความพอพระทัยของพระองค์ และการยอมรับจากพระองค์ เมื่อพระเจ้าตรัสว่าเจ้ากำลังท้าทายและทรยศพระองค์ หรือเมื่อพระองค์ตรัสว่าเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย เจ้าก็แข็งขืนและทำการตัดสินพระองค์ เจ้าปฏิเสธพระวจนะของพระองค์ด้วยการอ้างว่าพระองค์ตรัสผิด นี่คือปัญหาประเภทใด? เมื่อพระเจ้าตรัสว่าเจ้าเป็นคนดีและทรงเห็นชอบในตัวเจ้า เจ้าก็ยอมรับสิ่งนั้น แต่เมื่อพระเจ้าทรงเปิดโปงเจ้าว่ากำลังไม่เชื่อฟังและกำลังท้าทายพระองค์ เจ้ากลับไม่ยอมรับและปฏิเสธเรื่องนี้ และถึงขั้นแข็งขืนและตัดสินพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ นี่คืออุปนิสัยประเภทใด? เห็นได้ชัดว่าผู้คนนั้นโอหัง ทะนงตน และคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ โดยปกติแล้วดูเหมือนผู้คนสามารถรับรู้ได้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และทุกคนต่างเห็นว่าตนเองเชื่อฟังพระเจ้า แต่เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาพวกเขาและเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา พวกเขากลับไม่มีใครใส่ใจในพระวจนะของพระองค์ และไม่มีสักคนเดียวที่นำพระวจนะของพระองค์มาเปรียบเทียบกับการกระทำของตนเองในแต่ละครั้งที่พวกเขาทำอะไรบางอย่าง ในทางกลับกันพวกเขาเพียงแค่พูดคุยเล็กน้อย และจบลงเพียงเท่านั้น หรือไม่พวกเขาก็ท่องพระวจนะของพระเจ้าสองสามบรรทัดในระหว่างการชุมนุม สามัคคีธรรมถึงพระวจนะดังกล่าวเล็กน้อย แล้วก็เสร็จสิ้นกันไป ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเจ้าทำสิ่งต่างๆ เจ้าไม่ได้ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเลย ดังนั้นแล้วเจ้าอ่านและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าไปเพื่ออะไร? เจ้าไม่ได้นำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติในยามที่มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า แล้วเหตุใดเจ้าจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้า? นี่ไม่ใช่แค่ธรรมเนียมปฏิบัติหรอกหรือ? เจ้าสามารถเข้าใจความจริงด้วยวิธีนี้หรือไม่? เจ้าสามารถได้มาซึ่งความจริงหรือไม่? การเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ไม่มีความหมาย ผู้คนมากมายเพียงอ่านพระวจนะของพระเจ้าเล็กน้อย ได้รับความเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะ และคิดว่าการเอ่ยคำพูดและคำสอนไม่กี่คำก็ทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริงความจริง บางคนกล่าวว่า “ฉันกำลังสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า แล้วนั่นจะเป็นแค่คำพูดและคำสอนได้อย่างไร?” เจ้าไม่รู้จักแก่นแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าไม่ได้นำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติ และแน่นอนว่าเจ้าไม่มีความรู้ในเชิงประสบการณ์จากการนี้ ดังนั้นเจ้าจึงกำลังเอ่ยคำพูดและคำสอนในยามที่เจ้าสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระองค์ แน่นอนว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่เจ้าไม่ได้เข้าใจพระวจนะโดยแท้จริงหรือนำมาปฏิบัติ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เจ้าเข้าใจจึงเป็นเพียงคำสอน พวกเจ้าสามารถเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่? พวกเจ้ารู้สึกไหมว่าการฟังวจนะเหล่านี้แทงใจดำเจ้า? พวกเจ้าจะกล่าวหรือไม่ว่า “หากฉันไม่ให้เกียรติพ่อแม่ของฉัน นั่นจะไม่เป็นการล่วงเกินที่เลวร้ายหรอกหรือ? ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนนั้นไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขาใช่หรือไม่?” จงบอกเราเถิดว่า มาตรฐานที่พระเจ้าทรงประสงค์จากมนุษย์นั้นสูงใช่หรือไม่? อันที่จริงมาตรฐานเหล่านั้นไม่ได้สูงเลย—ตามมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์แล้ว สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นมาตรฐานที่ผู้คนสามารถไปถึงได้ นี่เป็นเพราะอิทธิพลของความรักใคร่เอ็นดูของมนุษย์และวัฒนธรรมดั้งเดิมที่หยั่งรากอย่างมั่นคงและไม่สั่นคลอนในหัวใจของพวกเขาที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าข้อกำหนดของพระเจ้านั้นสูงเกินไป และสูงเกินกว่าที่พวกเขาจะเอื้อมถึงจริงๆ นี่เกิดจากการขาดความเข้าใจในความจริง หากเจ้าเข้าใจความจริงโดยแท้จริง และมองทะลุไปถึงธรรมชาติที่แท้จริงของเรื่องนี้ เจ้าจะสามารถจัดการและรับมือกับปัญหานี้ได้ในหนทางที่ถูกต้อง เป็นเวลาหลายพันปีที่มนุษย์ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมดั้งเดิม ปรัชญาของซาตานและกฎในการปฏิบัติตนนั้นได้หยั่งรากลงในหัวใจของผู้คนแล้ว เจ้าใช้ชีวิตด้วยแนวคิดดังกล่าว แล้วเจ้าใช้ชีวิตตามสิ่งใดกันแน่? เจ้าเคยใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? เจ้าเคยใช้ชีวิตตามชีวิตจริงหรือไม่? เป็นเรื่องคุ้มค่าสำหรับเจ้าที่ได้มารู้จักและชำแหละเรื่องนี้ เจ้าจำเป็นต้องคิดทบทวนว่าเจ้าได้รับอะไรจากวัฒนธรรมดั้งเดิม รวมถึงปรัชญาและทรรศนะของซาตาน ต้องคิดทบทวนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงโดยแท้จริงหรือไม่ และนำอะไรมาให้เจ้า จากนั้นเจ้าก็ควรสามัคคีธรรมถึงเรื่องเหล่านี้และวิเคราะห์ไปตามพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าทำเช่นนี้ ก็ย่อมง่ายที่เจ้าจะค้นพบความจริง เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้แล้ว เจ้าย่อมจะเห็นว่าข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนล้วนเป็นสิ่งที่สำเร็จลุล่วงได้ด้วยมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์ โดยปรกติเจ้าจะเลิกบ่นไปโดยปริยายว่าพระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ทำมากเกินไป ในทางกลับกันเจ้าจะกล่าวว่า “พวกเราเข้าใจหลักธรรม พวกเรามีเส้นทางปฏิบัติ และพวกเราเข้าใจวิธีรับมือกับสิ่งเหล่านี้” ในหนทางนี้ เจ้าจะค่อยๆ เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าทีละน้อย นี่คือกระบวนการของการเข้าใจความจริง
ในการเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงนั้น การรู้จักตนเองสำคัญมากเป็นพิเศษ การรู้จักตนเองหมายถึงการรู้ว่าสิ่งใดในความคิดและทรรศนะของพวกเราที่โดยพื้นฐานแล้วเข้ากันไม่ได้กับความจริง และเป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ทั้งยังเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า เป็นเรื่องง่ายที่จะได้รับความเข้าใจในอุปนิสันอันเสื่อมทรามของมนุษย์ อย่างเช่น ความโอหัง ความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ การโกหก และการใช้เล่ห์ลวง เจ้าสามารถรู้จักสิ่งเหล่านี้ได้เล็กน้อยด้วยการสามัคคีธรรมความจริงอย่างแท้จริงไม่กี่ครั้ง หรือผ่านการสามัคคีธรรมเป็นประจำ หรือจากการที่พี่น้องชายหญิงของเจ้าชี้ให้เจ้าเห็นถึงสภาวะของตนเอง นอกจากนี้ ความโอหังและการใช้เล่ห์ลวงมีอยู่ในตัวคนทุกคน ต่างกันในเรื่องของระดับเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่รู้ได้ค่อนข้างง่าย แต่การแยกแยะว่าความคิดและทรรศนะของคนเราเป็นไปตามความจริงหรือไม่นั้นเป็นเรื่องยาก และไม่ง่ายเหมือนการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา เมื่อพฤติกรรมหรือการปฏิบัติภายนอกของบุคคลหนึ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย คนคนนั้นย่อมรู้สึกเหมือนตนเองได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ที่จริงนี่เป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมเท่านั้น และไม่ได้หมายความว่าทัศนคติต่อสิ่งต่างๆ ของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปโดยแท้จริงแล้ว ในส่วนลึกของหัวใจผู้คนยังมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันมากมาย มีความคิด ทรรศนะ และพิษแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิมนานาประการ และมีสิ่งทั้งหลายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวพวกเขาแต่ยังไม่ได้ถูกขุดออกมา นี่คือต้นกำเนิดของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และสิ่งเหล่านี้มาจากภายในแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเมื่อพระเจ้าทรงทำบางสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้าก็จะแข็งขืนและต่อต้านพระองค์ เจ้าจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าถึงทรงกระทำเช่นนั้น และแม้เจ้ารู้ว่ามีความจริงอยู่ในทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำและเจ้าปรารถนาที่จะนบนอบ เจ้าก็จะพบว่าตัวเจ้าเองไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถนบนอบได้? เหตุผลของการต่อต้านและการแข็งขืนของเจ้าคืออะไร? นี่เป็นเพราะในความคิดและทรรศนะของมนุษย์มีสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า เป็นปฏิปักษ์ต่อหลักธรรมที่พระเจ้าทรงกระทำและเป็นปฏิปักษ์ต่อแก่นแท้ของพระองค์ เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะได้รับความรู้ในสิ่งเหล่านี้ เมื่อเราได้สามัคคีธรรมพระวจนะเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าก็ควรจะสามารถได้รับความเข้าใจเชิงลึกและความเข้าใจบางประการได้ สมมุติว่าพวกเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นและคิดว่า “นี่ไม่ใช่การทรงทำของพระเจ้า เพราะถ้าเป็นพระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนี้หรือตรัสเช่นนั้น ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำคือความรัก และง่ายต่อผู้คนที่จะยอมรับ” ในทางตรงกันข้าม สมมุติว่าพวกเจ้าคิดว่า “การคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง พระเจ้าได้ตรัสไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า มีความจริงให้แสวงหาในทุกที่ที่ผู้คนไม่มีความเข้าใจ ฉันควรคิดทบทวนตนเอง เพราะมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันในหัวใจของฉันกำลังสร้างปัญหา ทำให้ฉันนิยามพระราชกิจของพระเจ้า ฉันไม่ควรเข้าใจพระองค์ผิด”—นี่เป็นหนทางที่ถูกต้องในการคิดทบทวนตนเอง เมื่อไรที่เจ้าเห็นว่าพระราชกิจหรือพระวจนะของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า นั่นคือเวลาที่เจ้าควรคิดทบทวนตนเอง รีบแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ประเมินวัดตนเองกับความจริงนั้นแล้วจึงปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับความจริง นี่มิใช่หนทางก้าวไปข้างหน้าหรือ?
พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงวิธีปฏิบัติต่อบิดามารดาของคนเราไป พวกเจ้าหลายคนรู้สึกติดค้างบิดามารดาของตนอยู่มากเพราะพวกท่านได้ทนทุกข์มากมายแทนพวกเจ้ามาตลอดชีวิต อีกทั้งแสดงความรักและความเอาใจใส่อันยิ่งใหญ่ต่อพวกเจ้า หากวันหนึ่งพวกท่านล้มป่วย มโนธรรมของเจ้าย่อมถูกก่อกวนและเจ้าจะรู้สึกถูกตำหนิ ทันใดนั้นเจ้าก็คิดขึ้นมาว่าเจ้าควรอยู่กับพ่อแม่ของเจ้าเพื่อทำหน้าที่ของลูกกตัญญูให้ลุล่วง ชูใจพวกท่าน และดูให้แน่ใจว่าพวกท่านมีความสุขในวัยชรา เจ้าคิดว่านี่คือความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้าในฐานะลูก ขณะที่เจ้าทำภาระผูกพันนี้ให้ลุล่วง หากพระเจ้าทรงขอบางสิ่งจากเจ้าหรือประทานบททดสอบที่ไม่คาดคิดให้กับเจ้า เจตนารมณ์ของพระองค์คือเจ้าไม่ควรทำเช่นนั้น แต่ควรมีความเชื่อในพระเจ้า ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และไล่ตามเสาะหาความจริงตามหลักธรรม เจ้าจะรู้สึกเช่นไรหากพระเจ้าทรงขอเจ้าตรงๆ ไม่ให้เจ้ากตัญญูต่อบิดามารดาของเจ้าหรือปฏิบัติต่อพวกท่านเช่นนั้น? เจ้าจะพิจารณาเรื่องนี้ผ่านมุมมองของมโนคติอันหลงผิดแบบดั้งเดิมและพร่ำบ่นพระเจ้าอยู่ในหัวใจโดยคิดว่าพระองค์ทรงทำไปโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเจ้า และคิดว่านั่นไม่สนองความกตัญญูของเจ้า เจ้าเชื่อว่าเจ้ากำลังกระทำการที่เปี่ยมไปด้วยความกตัญญู สภาวะความเป็นมนุษย์ และมโนธรรม แต่พระเจ้าไม่ทรงปล่อยให้เจ้ากระทำการตามมโนธรรมหรือความกตัญญูของเจ้า ดังนั้นเจ้าจะแข็งขืน กบฏ และต่อต้านพระเจ้า รวมทั้งไม่ยอมรับความจริง เรากำลังกล่าวทั้งหมดนี้เพื่อให้ผู้คนตระหนักว่ารากเหง้าและแก่นแท้ของธรรมชาติอันเป็นกบฏของมนุษย์นั้น โดยหลักแล้วมาจากความคิดและทรรศนะของผู้คนซึ่งก่อร่างจากการศึกษาที่พวกเขาได้รับจากครอบครัวและสังคม รวมถึงจากวัฒนธรรมดั้งเดิมด้วย หลังจากสิ่งเหล่านี้ถูกฝังลึกลงในหัวใจของผู้คนทีละน้อยผ่านขนบธรรมเนียนของครอบครัวหรือผ่านอิทธิพลทางสังคมและการศึกษาเชิงวิชาการ แล้วพวกเขาก็เริ่มดำเนินชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจะเริ่มเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไร้ข้อครหา และไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ อีกทั้งเชื่อว่ามีเพียงการกระทำตามข้อกำหนดของวัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาสามารถเป็นคนที่แท้จริงได้ หากไม่ทำเช่นนั้นพวกเขาก็จะรู้สึกว่าตนเองไร้มโนธรรม ขัดแย้งและไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์ใดๆ และพวกเขาจะไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ ความคิดและทรรศนะเหล่านี้ของมนุษย์ไม่ห่างไกลจากความจริงหรือ? สิ่งต่างๆ ในความคิดและทรรศนะของมนุษย์ รวมถึงเป้าหมายที่ผู้คนไล่ตามไขว่คว้านั้นล้วนมุ่งไปทางโลก มุ่งไปสู่ซาตาน ส่วนข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเพื่อให้มนุษย์ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นมุ่งไปสู่พระเจ้า ไปสู่ความสว่าง นี่คือสองทิศทางที่แตกต่างกัน เป็นสองเป้าหมายที่แตกต่างกัน การกระทำตามเป้าหมายและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ สภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าก็จะเป็นปกติมากขึ้น เจ้าจะมีสภาพเสมือนมนุษย์มากขึ้น และเจ้าจะเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น หากเจ้ากระทำการตามความคิดและทรรศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม เจ้าจะเสียมโนธรรมและเหตุผลของเจ้าไปเรื่อยๆ กลายเป็นคนเทียมเท็จและจอมปลอมยิ่งขึ้น ติดตามกระแสทางโลกมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังแห่งความชั่ว แล้วจากนั้นเจ้าก็จะใช้ชีวิตอยู่ในความมืดภายใต้อำนาจของซาตานโดยสมบูรณ์ เจ้าจะละเมิดความจริงและทรยศพระเจ้าโดยสิ้นเชิง
ผู้คนที่ใช้ชีวิตในสังคมแท้จริงนี้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกเสียแล้ว ไม่ว่าผู้คนมีการศึกษาหรือไม่ วัฒนธรรมดั้งเดิมมากมายก็ฝังแน่นอยู่ในความคิดและทรรศนะของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ผู้หญิงต้องช่วยเหลือสามีและอบรมสั่งสอนลูกๆ ของตน ต้องเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ที่เปี่ยมรัก อุทิศทั้งชีวิตของพวกเธอให้กับสามีและลูกๆ รวมถึงมีชีวิตอยู่เพื่อพวกเขา ต้องแน่ใจว่าครอบครัวจะได้รับประทานอาหารสามมื้อต่อวัน ทำการซักล้าง ทำความสะอาด และทำงานบ้านทุกอย่างให้ดี นี่คือมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรัก ผู้หญิงทุกคนต่างคิดด้วยว่านี่เป็นหนทางที่ควรทำ หากไม่ทำเช่นนี้ เธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี และเธอได้ละเมิดมโนธรรมและมาตรฐานทางศีลธรรมแล้ว การละเมิดมาตรฐานทางศีลธรรมเหล่านี้จะเป็นความหนักใจในมโนธรรมของคนบางคนอย่างมาก พวกเธอจะรู้สึกว่าตนทำให้สามีและลูกๆ ผิดหวัง และรู้สึกว่าพวกเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี แต่หลังจากที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า ได้อ่านพระวจนะของพระองค์มากมาย เข้าใจความจริงบางประการ และมองเรื่องบางเรื่องได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าย่อมจะคิดว่า “ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและควรปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเช่นนี้ และสละตนเองเพื่อพระเจ้า” ในยามนี้มีความขัดแย้งระหว่างการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรัก กับการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่? หากเจ้าต้องการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรัก เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้เต็มเวลา แต่หากเจ้าต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มเวลา เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สามารถเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรักได้ คราวนี้เจ้าจะทำเช่นไร? หากเจ้าเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีและรับผิดชอบต่องานของคริสตจักร อุทิศตนแด่พระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ต้องล้มเลิกการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรัก ตอนนี้เจ้าจะคิดอย่างไร? ความขัดแย้งประเภทใดจะเกิดขึ้นในจิตใจของเจ้า? เจ้าจะรู้สึกเหมือนเจ้าทำให้ลูกๆ และสามีของตนผิดหวังหรือไม่? ความรู้สึกผิดและความไม่สบายใจนี้มาจากไหน? เมื่อเจ้าไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเจ้าทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง? เจ้าไม่มีสำนึกของความรู้สึกผิดหรือการตำหนิ เพราะเจ้าไม่ได้มีความจริงอยู่ในหัวใจหรือจิตใจแม้แต่น้อย ดังนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าเข้าใจคืออะไร? วัฒนธรรมดั้งเดิมกับการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรักนั่นเอง เพราะฉะนั้น มโนคติอันหลงผิดที่ว่า “หากฉันไม่ใช่ภรรยาที่ดีและไม่ใช่แม่ผู้เปี่ยมรัก ฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีหรือคู่ควร” ย่อมจะผุดขึ้นมาในจิตใจของเจ้า เจ้าจะถูกมโนคติอันหลงผิดนี้พันธนาการและตีตรวนไว้นับแต่นั้น และจะยังคงเป็นเช่นนั้นแม้หลังจากเจ้าเชื่อในพระเจ้าและลุล่วงหน้าที่ของตนแล้วก็ตาม เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างการลุล่วงหน้าที่ของเจ้ากับการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรัก ในขณะที่เจ้าอาจฝืนใจเลือกการลุล่วงหน้าที่ของตน โดยอาจมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่เล็กน้อย ทว่าเจ้าก็ยังคงมีความรู้สึกไม่สบายใจและการตำหนิอยู่ในหัวใจของตน ด้วยเหตุนั้นเมื่อเจ้าพอมีเวลาว่างระหว่างการลุล่วงหน้าที่ของเจ้า เจ้าจะมองหาโอกาสในการดูแลลูกๆ และสามีของเจ้า เจ้าต้องการชดเชยให้พวกเขามากยิ่งขึ้น และคิดว่าต่อให้เจ้าต้องทนทุกข์มากกว่านี้ก็ไม่เป็นไร ตราบที่เจ้ามีสันติสุขแห่งจิตใจ สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากอิทธิพลของแนวคิดและทฤษฎีทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเกี่ยวกับการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรักหรือ? ตอนนี้เจ้ากำลังจับปลาสองมือ เจ้าต้องการที่จะลุล่วงหน้าที่ของเจ้าด้วยดีแต่ก็ต้องการจะเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรักด้วย แต่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพวกเรามีเพียงความรับผิดชอบและภาระผูกพันเดียว ภารกิจหนึ่งเดียวนั้นคือลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างถูกต้องเหมาะสม เจ้าได้ได้ลุล่วงหน้าที่นี้ด้วยดีแล้วหรือยัง? เหตุใดเจ้าจึงพลัดหลงออกจากครรลองนี้อีกครั้ง? ในหัวใจของเจ้าไม่มีสำนึกของการตำหนิหรือติเตียนอยู่จริงใช่หรือไม่? เพราะความจริงยังไม่ได้วางรากฐากในหัวใจของเจ้า และยังไม่ได้เป็นใหญ่เหนือหัวใจของเจ้า เจ้าจึงยังสามารถพลัดหลงออกจากครรลองขณะที่กำลังลุล่วงหน้าที่ของเจ้าได้ แม้ในเวลานี้เจ้าสามารถลุล่วงหน้าที่ของเจ้า แต่ที่จริงเจ้ายังคงห่างไกลจากมาตรฐานของความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามาก ตอนนี้เจ้าสามารถมองเห็นข้อเท็จจริงนี้ได้อย่างชัดเจนหรือยัง? เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์” พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร? นี่เป็นการทำให้ทุกคนตระหนักในเรื่องนี้ว่า ชีวิตและดวงจิตของพวกเราล้วนมาจากพระเจ้าและถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์—ไม่ได้มาจากบิดามารดาของพวกเรา และไม่ได้มาจากธรรมชาติอย่างแน่นอน แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้แก่พวกเรา มีเพียงเนื้อหนังของพวกเราที่กำเนิดมาจากบิดามารดา เหมือนกับลูกๆ ของพวกเราที่กำเนิดมาจากพวกเรา แต่ชะตากรรมของพวกเขาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง การที่พวกเราสามารถเชื่อในพระเจ้าคือโอกาสที่พระองค์ประทานให้ นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงลิขิตเอาไว้แล้ว และเป็นพระคุณของพระองค์ ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงไม่จำเป็นจะต้องลุล่วงภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบต่อใครอื่น เจ้าควรลุล่วงหน้าที่ต่อพระเจ้าของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ผู้คนต้องทำเหนือสิ่งอื่นใด เป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำเป็นงานหลักในชีวิตของคนเรา หากเจ้าไม่ลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยดี เจ้าก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติดีพอ ในสายตาของผู้อื่น เจ้าอาจเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรัก เป็นแม่บ้านที่ยอดเยี่ยม เป็นลูกกตัญญู และเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม แต่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าคือคนที่กบฏต่อพระองค์ คนที่ไม่ได้ลุล่วงภาระผูกพันหรือหน้าที่ของตนเลย คนที่ยอมรับแต่ไม่ได้ทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น คนที่ยอมแพ้กลางคัน คนเช่นนี้สามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่? ผู้คนเช่นนี้ไม่มีคุณค่า ไม่ว่าเจ้าเป็นภรรยาหรือแม่ผู้เพียบพร้อมเพียงใด ไม่ว่าเจ้ามีมาตรฐานศีลธรรมทางสังคมที่สูงส่งเพียงไหน หรือไม่ว่าเจ้าได้รับการสรรเสริญจากคนอื่นมากเพียงไร ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังนำความจริงมาปฏิบัติ นับประสาอะไรกับการเชื่อฟังพระเจ้า หากเจ้าเบื่อหน่ายและไม่ยอมรับความจริง นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเป็นคนบางคนที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจเลย บุคคลประเภทนี้ไม่ห่างไกลจากข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามากจนเกินไปหรอกหรือ? บรรดาผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมเป็นเช่นนี้ พวกเขาใช้ชีวิตตามแนวคิดและทฤษฎีของวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่เสมอ ติดตามกระแสสังคมอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ยอมรับความจริงและไม่สามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้ คนเหล่านี้ไม่น่าอนาถและน่าเวทนาหรือ? พวกเขาไม่โง่เขลาและไม่รู้ความหรอกหรือ? การเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรัก การเป็นผู้หญิงที่ดีและเป็นที่ชื่นชอบควรค่าแก่การโอ้อวดและภาคภูมิใจแล้วใช่หรือไม่?
ทุกสิ่งที่ผู้คนยึดถือไว้ในหัวใจของพวกเขา แท้จริงแล้วขัดกับความจริงและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า นั่นหมายรวมถึงสิ่งต่างๆ ที่พวกเราเชื่อว่าเป็นบวก ดี และสิ่งที่โดยทั่วไปถือว่าถูกต้องด้วย พวกเราถึงกับมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง เป็นความต้องการของมนุษย์และเป็นสิ่งที่ผู้คนควรเข้าไปสู่ อย่างไรก็ตาม สำหรับพระเจ้าแล้วสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่น่าชิงชัง ทรรศนะทั้งหลายที่มนุษย์เห็นว่าถูกต้อง หรือสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นบวกนั้นห่างไกลจากความจริงที่พระเจ้าตรัสเพียงไหน? ที่จริงแล้วไกลทีเดียว—ระยะห่างนั้นไม่อาจประเมินวัดได้ ดังนั้นพวกเราจึงต้องรู้จักตนเอง และทุกสิ่งที่พวกเราได้รับจากการศึกษาเชิงวิชาการไปจนถึงการไล่ตามเสาะหาและความชอบส่วนตนของพวกเรา จากความคิดและทรรศนะไปจนถึงเส้นทางที่พวกเราเลือกเดิน ล้วนควรค่าแก่การขุดค้นและวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งทั้งสิ้น สิ่งเหล่านั้นบางอย่างสืบทอดจากครอบครัวตนเอง บางอย่างมาจากการเรียนในโรงเรียน บางอย่างมาจากอิทธิพลและการปรับสภาพของสภาพแวดล้อมทางสังคม บางอย่างเรียนรู้มาจากหนังสือ และบางอย่างก็มาจากความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของพวกเรา สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะสิ่งเหล่านี้ครอบงำจิตใจของพวกเรา ควบคุมแรงจูงใจ เจตนา และเป้าหมายในการกระทำของพวกเรา อีกทั้งยังผูกมัดและควบคุมคำพูดและการกระทำของพวกเราด้วย หากพวกเราไม่ขุดสิ่งเหล่านี้ออกมาและไม่ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ พวกเราจะไม่มีวันยอมรับพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ และจะไม่มีวันยอมรับและนำข้อพึงประสงค์ของพระองค์มาปฏิบัติได้โดยสมบูรณ์ ตราบเท่าที่เจ้าเก็บงำแนวคิดและมุมมองของเจ้า รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้องไว้ เจ้าจะไม่มีวันยอมรับพระวจนะของพระเจ้าได้โดยสมบูรณ์ และจะไม่ปฏิบัติพระวจนะเหล่านั้นในรูปแบบดั้งเดิม เจ้ามั่นใจที่จะจัดการพระวจนะของพระเจ้าภายในหัวใจของเจ้า และจะปฏิบัติก็ต่อเมื่อทำให้พระวจนะเหล่านั้นสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเท่านั้น นี่คือวิธีที่เจ้าจะกระทำการ และนี่คือวิธีที่เจ้าจะ “ช่วยเหลือ” ผู้อื่นด้วยการนำพวกเขาทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีการของเจ้า เจ้าจะดูเหมือนนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ ทว่าสิ่งที่เจ้าปฏิบัตินั้นจะเป็นการปลอมปนของมนุษย์ เจ้าจะไม่รู้เรื่องนี้ และเจ้าจะคิดว่าตนเองกำลังปฏิบัติความจริง คิดว่าเจ้าได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว คิดว่าเจ้าได้รับความจริงแล้ว นั่นไม่ใช่ความโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอหรือ? สภาวะเช่นนั้นไม่น่ากลัวหรอกหรือ? หากผู้คนไม่ปฏิบัติความจริงด้วยความละเอียดรอบคอบ การเบี่ยงเบนต่างๆ ย่อมจะเกิดขึ้นได้ หากคนเราพึ่งพาความคิดฝันของตนในการนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริง แต่พวกเขายังไม่สามารถสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าได้อีกด้วย หากคนเราตั้งใจที่จะเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง พวกเขาต้องคิดทบทวนว่าตนเองมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันใดอยู่ในตัว รวมถึงทรรศนะใดของพวกเขาที่ไม่เป็นไปตามความจริง เมื่อวิเคราะห์ถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว คำพูดหนึ่งหรือสองคำก็ไม่เพียงพอที่จะอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้ครบถ้วนหรือทำให้ชัดเจนได้ โดยธรรมชาติแล้วมีเรื่องอื่นๆ ที่คล้ายกันนี้อยู่ในชีวิตมากมาย เหมือนกับพิษของซาตานกว่าร้อยที่ถูกสั่งสมในอดีต—เจ้าอาจเข้าใจคำพูดและวลีต่างๆ แต่เจ้าเคยประเมินวัดตนเองตามคำพูดหรือวลีเหล่านั้นหรือไม่? เจ้าเคยคิดทบทวนถึงสิ่งเหล่านั้นหรือไม่? เจ้าไม่มีส่วนในพิษเหล่านี้ด้วยหรือ? สิ่งเหล่านั้นไม่ได้สะท้อนวิธีคิดของเจ้าด้วยหรอกหรือ? ในยามที่เจ้าทำสิ่งต่างๆ เจ้าไม่ได้กระทำการตามพิษเหล่านี้ด้วยหรือ? เจ้าต้องขุดให้ลึกลงไปในประสบการณ์ส่วนตัวของเจ้า และนำมาเปรียบเทียบกับพระวจนะเหล่านั้น หากพวกเจ้าได้แต่อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดเผยพิษของซาตาน แค่เหลือบมองผ่านตา หรือหากพวกเจ้าแค่คิดเกี่ยวกับพระวจนะเหล่านั้นอย่างง่ายๆ โดยยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพิษจริงๆ ยอมรับว่าพิษเหล่านี้ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามและทำร้ายผู้คนอย่างแท้จริง แล้วก็ละวางพระวจนะของพระเจ้าไว้ เจ้าก็จะไม่มีทางแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้เลย ผู้คนมากมายอ่านพระวจนะของพระเจ้าและไม่สามารถเชื่อมโยงพระวจนะเหล่านั้นกับความเป็นจริงได้ พวกเขาแค่อ่านพระวจนะและเหลือบตามองตัวหนังสือ และตราบเท่าที่พวกเขาเข้าใจความหมายตามตัวอักษร พวกเขาก็เชื่อว่าตนเองเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า หรือเชื่อแม้กระทั่งว่าพวกเขาเข้าใจความจริงแล้ว แต่พวกเขาไม่เคยคิดทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และเมื่อพวกเขารู้ว่าตนเองกำลังเปิดเผยความเสื่อมทรามอยู่ พวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนั้น พวกเขาพอใจเพียงการยอมรับว่าทุกสภาวะที่ถูกเปิดเผยโดยพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นจริง และยอมรับว่าพวกเขากำลังพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา แล้วหยุดลงแค่นั้น คนที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าเช่นนี้สามารถรู้จักตนเองได้โดยแท้จริงหรือไม่? พวกเขาสามารถละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ได้ คนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้าก็ทำเช่นนี้ในหนทางนี้ และผลก็คือ พวกเขามองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตนเองหลังจากเชื่อมานานสิบถึงยี่สิบปี สาเหตุต้นตอของเรื่องนี้ คือพวกเขาไม่ให้ทุ่มเทความพยายามให้กับพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาไม่สามารถยอมรับและนบนอบต่อความจริงในหัวใจของตน พวกเขาเพียงแค่ยินยอมทำตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายในการปฏิบัติและหลีกเลี่ยงการทำชั่วร้ายแรง และนั่นก็ทำให้พวกเขาคิดว่าตนเองกำลังปฏิบัติความจริง นั่นไม่มีความเบี่ยงเบนในการปฏิบัติของพวกเขาหรือ? การปฏิบัติความจริงง่ายดายเช่นนั้นหรือไม่? ผู้คนเป็นสิ่งมีชีวิตและพวกเขาล้วนมีความคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนทุกคนต่างมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ฝังรากลึกในหัวใจของตน ทั้งยังมีความคิดและทรรศนะนานาประการที่เกิดขึ้นจากการครอบงำของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขา ความคิดและทรรศนะทั้งหมดนี้คือการพรั่งพรูของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน หากผู้คนไม่สามารถวิเคราะห์และรู้จักสิ่งเหล่านี้ได้ตามความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่มีทางรู้จักแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็ไม่สามารถถูกชำระให้สะอาดได้ เหตุใดคนที่ไม่ยอมรับความจริงถึงโอหัง คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และหัวแข็งเหลือเกิน? นี่เป็นเพราะพวกเขาล้วนมีความคิดและทรรศนะในเรื่องต่างๆ ที่แตกต่างกันไป และทุกคนต่างมีแนวคิดและทฤษฎีบางอย่างที่ชี้นำพวกเขา พวกเขาจึงรู้สึกว่าตนเองถูกต้อง ดูถูกผู้อื่น ทั้งยังโอหัง คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และหัวแข็ง ไม่ว่าคนอื่นๆ สามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริงนั้น—พวกเขายังคงใช้ชีวิตตามความคิดและทรรศนะในตนเองต่อไป เพราะสิ่งเหล่านั้นได้กลายมาเป็นชีวิตของพวกเขาแล้ว ข้อเท็จจริงคือทุกสิ่งที่เจ้าทำย่อมมีความคิดและทรรศนะภายในตัวเจ้าที่คอยบงการวิธีการที่เจ้าทำ รวมถึงทิศทางของสิ่งที่เจ้าทำ หากเจ้าไม่ตระหนักถึงการนี้ เจ้าก็ควรคิดทบทวนตนเองบ่อยๆ แล้วเจ้าก็จะรู้ว่าความคิดและทรรศนะใดภายในตัวเจ้าที่กำลังควบคุมการกระทำและความประพฤติของเจ้าอยู่ แน่นอนว่าหากเจ้าต้องตรวจสอบความคิดและทรรศนะของเจ้าในตอนนี้ เจ้าจะรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดในตัวเจ้าที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า เจ้าซื่อสัตย์และจงรักภักดี เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเต็มใจ เจ้าสามารถละทิ้งสิ่งต่างๆ และสละตนเองเพื่อพระเจ้าได้ เจ้าจะรู้สึกว่าตนเองกำลังทำได้ดีในเรื่องทั้งหมดนี้ แต่เมื่อพระเจ้าทรงเอาจริงเอาจังกับเจ้าจริงๆ เมื่อพระองค์ทรงให้เจ้าทำบางสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า บางสิ่งที่เจ้าไม่เต็มใจทำ เจ้าจะเข้าถึงได้อย่างไร? นั่นคือเมื่อความคิด ทรรศนะ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะถูกเปิดโปง เสมือนน้ำที่ไหล่บ่าออกจากประตูน้ำที่เปิดอยู่—เจ้าไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างที่เจ้าอยากทำ นี่จะกีดกันเจ้าจากการปฏิบัติความจริงและการนบนอบต่อพระเจ้า เจ้าจะกล่าวว่า “ทำไมฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้? ฉันไม่อยากแข็งขืนต่อพระเจ้า แล้วทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้? ฉันไม่อยากตัดสินพระเจ้า และฉันก็ไม่อยากมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการกระทำของพระองค์—แล้วทำไมฉันถึงตัดสินพระองค์? ทำไมฉันยังมีมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อยู่?” เวลานี้เจ้าควรคิดทบทวนและรู้จักตนเอง และตรวจดูว่าสิ่งใดภายในตัวเจ้าที่แข็งขืนต่อพระเจ้า หรือเป็นปฏิปักษ์และขัดต่อพระราชกิจที่พระองค์กำลังทรงทำอยู่ในปัจจุบันนี้ หากเจ้าสามารถตรวจสอบและแก้ไขสิ่งเหล่านี้ตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้าได้ เจ้าย่อมจะมีความก้าวหน้าในชีวิต และเจ้าจะเป็นใครบางคนที่เข้าใจความจริง
ประเทศจีนถูกปกครองโดยพรรคการเมืองที่ไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า และคนจีนถูกอบรมสั่งสอนในเรื่องลัทธิอเทวนิยมและวิวัฒนาการ โดยมีคำกล่าวยอดนิยมอย่าง “ทุกสิ่งล้วนมาจากธรรมชาติ” และ “มนุษย์สืบเชื้อสายมาจากวานร” หลังจากเชื่อในพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระองค์ เจ้าย่อมรู้ว่าสวรรค์กับแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งนั้นถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า รวมถึงมนุษย์ด้วย และทุกคนก็สามารถรู้สึกในหัวใจได้ว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง ทุกสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า และไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาได้หากพระเจ้าไม่ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา คำกล่าวที่ว่ามนุษย์สืบเชื้อสายมาจากวานรนั้นจึงยิ่งฟังไม่ขึ้น เพราะในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่ผ่านมา ไม่มีใครเคยเห็นวานรกลายเป็นมนุษย์มาก่อน เมื่อไม่มีหลักฐาน ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงเป็นคำโกหกและการหลอกลวงของซาตาน ผู้ที่เข้าใจความจริงเหล่านั้นปฏิเสธคำโกหก ความนอกรีต และตรรกะวิบัติของซาตาน อีกทั้งเชื่อในพระคัมภีร์และพระวจนะของพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เป็นไปไม่ได้ที่คนที่ไม่รักความจริงจะยอมรับโดยสมบูรณ์ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง บางคนอาจสงสัยว่า “มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า แต่โดยวิธีใด? ทำไมฉันไม่เคยเห็นมาก่อน? ฉันไม่เชื่อในสิ่งที่ไม่เคยเห็นหรอก” ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาอ้างอิงจากสิ่งที่พวกเขาเห็นด้วยตาของตนเอง นี่ไม่ใช่การมีความเชื่อ มนุษย์มาจากพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงนำมนุษย์ทีละก้าวมาจนถึงตอนนี้ ทรงมีอำนาจครอบครองเหนือชะตากรรมของมนุษย์เสมอ นี่คือข้อเท็จจริง ในยุคสุดท้ายนั้นพระเจ้าทรงทำให้ความล้ำลึกทั้งปวงนี้เป็นที่รับรู้ โดยตรัสว่ามนุษย์มีการกลับมาสู่ชีวิตอีกครั้งและมีการเปลี่ยนผ่านของดวงจิตจากร่างเก่าสู่ร่างใหม่ และชีวิตกับดวงจิตของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้และมาจากพระองค์ นี่คือความจริง แต่เพราะเจ้าไม่ยอมรับว่าพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าคือความจริง เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเห็นความจริงแง่มุมนี้เจ้าก็จะนำมาเปรียบเทียบกับความคิดและทรรศนะของเจ้าว่า “ในเมื่อมนุษย์ไม่ได้มาจากวานร แต่มาจากพระเจ้า แล้วมนุษย์มาจากพระเจ้าได้อย่างไร? พระองค์ประทานชีวิตให้มนุษย์อย่างไร?” หากเจ้าไม่เข้าใจพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพ มีพระปัญญา หรือสิทธิอำนาจในการสร้างมนุษย์ด้วยลมหายใจหรือพระวจนะเพียงครั้งเดียว เจ้าไม่เชื่อว่านี่คือข้อเท็จจริง หรือเชื่อว่านี่คือความจริง เมื่อเจ้ามีข้อสงสัย เจ้าย่อมแข็งขืนต่อพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า โดยกล่าวว่าเจ้าไม่เชื่อในพระวจนะเหล่านี้ แต่อันที่จริงหัวใจของเจ้าอยู่ในสภาวะแข็งขืนและมีท่าทีของการต่อต้าน เมื่อพระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้เจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะฟัง รู้สึกเป็นปฏิปักษ์อยู่ในหัวใจ และไม่สามารถกล่าวอาเมนต่อพระวจนะของพระเจ้าได้ ในความเป็นจริงเมื่อมองดูข้อเท็จจริงเหล่านี้ พวกเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสืบค้นว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เมื่อใดหรืออย่างไร ใครเห็น หรือมีใครสามารถเป็นพยานยืนยันการนี้หรือไม่ ผู้คนไม่จำเป็นจะต้องศึกษาเรื่องนี้ เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงและรู้ถึงกิจการของพระเจ้าโดยแท้จริง พวกเขาก็จะสามารถเป็นพยานได้ด้วยตัวเอง สิ่งใดคือประเด็นสำคัญที่พวกเขาควรมุ่งเน้นในเวลานี้? การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้านั่นเอง ตั้งแต่ต้นจนจบ พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจของพระองค์ในการบริหารจัดการมนุษย์และช่วยให้รอดท่ามกลางมวลมนุษย์ ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นมีเพียงพระเจ้าพระองค์เดียวที่ทรงพระราชกิจ ตรัส ทรงสอน และทรงชี้นำมวลมนุษย์ พระเจ้าพระองค์นี้ทรงดำรงอยู่ ตอนนี้พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะไว้มากมาย พวกเราได้เห็นพระองค์แบบเผชิญหน้ากันโดยตรง ได้ยินที่พระองค์ตรัส ได้มีประสบการณ์ในพระราชกิจของพระองค์ และได้กินดื่มพระวจนะของพระองค์ ยอมรับพระวจนะของพระองค์เข้ามาเป็นชีวิตของพวกเรา และพระวจนะเหล่านี้กำลังชี้นำพวกเราและเปลี่ยนแปลงพวกเราอยู่ตลอดเวลา พระเจ้าพระองค์นี้ทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงควรเชื่อตามที่พระเจ้าตรัสในข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ และข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างอาดัมกับเอวาในปฐมกาล ในเมื่อเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าพระองค์นี้ทรงดำรงอยู่ และตอนนี้เจ้าได้มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์แล้ว เช่นนั้นเจ้ายังจำเป็นต้องยืนยันว่าพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงปฏิบัติคือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์นี้อีกหรือไม่? หากไม่มีใครสามารถยืนยันเรื่องนี้และไม่มีใครเป็นพยานในเรื่องนี้ได้ เจ้าจะไม่เชื่อเช่นนั้นหรือ? หรือในเรื่องของพระราชกิจจากยุคพระคุณ เจ้าไม่เชื่อว่าพระเยซูคือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพราะเจ้าไม่เคยเห็นพระองค์เช่นนั้นหรือ? หากเจ้าไม่เห็นพระเจ้าพระองค์ปัจจุบันตรัส ทรงพระราชกิจ หรือทรงปรากฏในรูปมนุษย์ด้วยตนเอง เจ้าก็จะไม่เชื่อเช่นนั้นหรือ? หากเจ้าไม่เห็นหรือไม่มีพยานยืนยันในสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะไม่เชื่อทั้งหมดเลยใช่หรือไม่? นี่เป็นเพราะผู้คนมีมุมมองเทียมเท็จที่ไร้สาระในตัวพวกเขา นี่คือความผิดพลาดที่เกิดจากผู้คนมากมายเหลือเกิน พวกเขาต้องเห็นทุกอย่างด้วยตัวเอง และหากไม่เห็นพวกเขาก็ไม่เชื่อ นี่เป็นสิ่งที่ผิด หากบุคคลหนึ่งรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง ย่อมสามารถเชื่อในพระวจนะของพระองค์ได้แม้ไม่ได้เห็นข้อเท็จจริง และสามารถยืนยันสนับสนุนพระวจนะของพระองค์ได้ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาถึงจะเป็นคนประเภทที่เข้าใจความจริงและมีความเชื่อที่แท้จริง ขณะนี้พวกเราได้เห็นพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าและได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะมอบความเชื่อที่แท้จริงให้พวกเรา แล้วทำให้พวกเราติดตามพระองค์ และทำให้พวกเราเชื่อในทุกพระวจนะและทุกพระราชกิจที่มาจากพระเจ้า พวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องเฝ้าวิเคราะห์หรือค้นคว้าสิ่งต่างๆ นั่นไม่ใช่สำนึกในแบบที่ผู้คนควรมีหรือ? ไม่มีใครเป็นพยานตอนที่พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ แต่ตอนนี้พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแสดงความจริงและช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง เพื่อเสด็จไปมาระหว่างคริสตจักรทั้งหลายและทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ ผู้คนมากมายไม่ได้เห็นการนี้ใช่ไหม? ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถได้เห็น แต่เจ้าก็เชื่อเรื่องนี้ เหตุใดเจ้าจึงเชื่อในเรื่องนี้? เจ้าไม่ได้เชื่อเพียงเพราะรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง และนี่คือหนทางที่แท้จริง และเป็นพระราชกิจของพระเจ้าใช่หรือไม่? เจ้ายังสามารถพูดได้ไหมว่า “ในขั้นตอนนี้ของพระราชกิจของพระเจ้า ฉันได้ยินพระองค์ตรัส และได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าด้วย เป็นความจริงที่พระวจนะเหล่านี้มาจากพระเจ้า แต่ในเรื่องของพระราชกิจแห่งการตรึงกางเขนขององค์พระเยซูเจ้า ฉันไม่ได้สัมผัสร่องรอยตะปูของพระองค์ ดังนั้นฉันจึงไม่เชื่อในข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน ฉันไม่ได้เป็นพยานในพระราชกิจที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำในยุคธรรมบัญญัติ และฉันก็ไม่ได้ยินธรรมบัญญัติตอนที่พระองค์ทรงประกาศออกมา มีเพียงโมเสสที่เท่านั้นได้ยินธรรมบัญญัติเหล่านั้นและเขียนเป็นหนังสือห้าเล่มของโมเสส แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาเขียนหนังสือพวกนั้นอย่างไร?” ผู้คนที่กล่าวสิ่งเหล่านี้มีสภาวะทางจิตใจที่เป็นปกติหรือไม่? พวกเขาคือผู้ปราศจากความเชื่อและไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง นี่ก็เหมือนตอนที่ชาวอิสราเอลกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ตรัสผ่านโมเสสคนเดียวเท่านั้นจริงหรือ? พระองค์ไม่ตรัสผ่านเราบ้างหรือ?” (กันดารวิถี 12:2) ความหมายของพวกเขาก็คือ “พวกเราจะไม่ฟังโมเสส พวกเราต้องฟังสิ่งนี้จากพระยาห์เวห์พระเจ้าด้วยตัวเอง” เช่นเดียวกับตอนที่ผู้คนในยุคพระคุณกล่าวว่า เพราะพวกเขาไม่ได้เห็นตาตัวเอง พวกเขาจึงไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนหรือทรงฟื้นจากความตาย มีสาวกคนหนึ่งนามว่าโธมัสเป็นผู้ที่ยืนกรานว่าต้องสัมผัสร่องรอยตะปูของพระเยซู แล้วองค์พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่าอย่างไร? “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” (ยอห์น 20:29) “คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” จริงๆ แล้วคำกล่าวนี้หมายความว่าอย่างไร? พวกเขาไม่เห็นอะไรเลยจริงหรือ? อันที่จริงทุกสิ่งที่พระเยซูตรัสและพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าพระเยซูคือพระเจ้า ดังนั้นผู้คนจึงควรเชื่อในเรื่องนี้ พระเยซูไม่จำเป็นต้องทรงปฏิบัติหมายสำคัญและการอัศจรรย์ หรือตรัสพระวจนะมากไปกว่านี้ และผู้คนก็ไม่จำเป็นต้องสัมผัสร่องรอยตะปูของพระองค์เพื่อให้เชื่อ ความเชื่อที่แท้จริงไม่ได้พึ่งพาแค่การมองเห็นเท่านั้น แต่ด้วยการยืนยันทางฝ่ายวิญญาณ ความเชื่อนั้นจะคงอยู่ไปจนถึงที่สุดและไม่เคยมีข้อสงสัยใดๆ โธมัสเป็นคนปราศจากความเชื่อผู้พึ่งพาแต่การเห็นด้วยตาเท่านั้น จงอย่าเป็นเยี่ยงโธมัส
ในคริสตจักรมีคนส่วนหนึ่งที่เป็นอย่างโธมัสอยู่จริง พวกเขากังขาเรื่องการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา และเฝ้ารอให้พระเจ้าทรงจากแผ่นดินโลก หวนคืนสู่สวรรค์ชั้นที่สาม และได้เห็นถึงร่างที่แท้จริงของพระเจ้าจึงจะเชื่อในที่สุด พวกเขาไม่เชื่อในพระองค์เพราะพระวจนะที่พระองค์ตรัสระหว่างที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เมื่อถึงเวลาที่คนจำพวกนี้เชื่อ ทุกอย่างก็จะสายเกินไป และนั่นคือเวลาที่พวกเขาจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” พระวจนะเหล่านี้หมายความว่า เขาได้ถูกองค์พระเยซูเจ้าทรงกล่าวโทษไปแล้ว และเขาคือผู้ปราศจากความเชื่อ หากเจ้าเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและเชื่อในทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสอย่างแท้จริง เจ้าจะได้รับการอวยพร หากเจ้าติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้ามานานแต่ไม่เชื่อในความสามารถเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ หรือเชื่อว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงและจะไม่สามารถได้รับพระพร มีเพียงความเชื่อเท่านั้นจึงสามารถได้มาซึ่งพระพร และหากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็จะไม่ได้รับพรเหล่านั้น เจ้าสามารถเชื่อในเรื่องใดก็ตามหากพระเจ้าทรงปรากฏต่อเจ้า ทรงอนุญาตให้เจ้าเห็นพระองค์ และโน้มน้าวเจ้าด้วยพระองค์เองเท่านั้นหรือ? ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เจ้ามีคุณสมบัติใดที่จะขอให้พระเจ้าทรงปรากฏต่อเจ้าเป็นการส่วนพระองค์? เจ้าจะมีคุณสมบัติใดที่จะทำให้พระองค์ตรัสกับมนุษย์ผู้เสื่อมทรามอย่างเจ้าเป็นการส่วนพระองค์? นอกจากนี้ อะไรทำให้เจ้ามีคุณสมบัติที่จำเป็นจะต้องให้พระองค์ทรงอธิบายทุกอย่างกับเจ้าอย่างชัดเจนก่อนที่เจ้าจะเชื่อ? หากเจ้ามีเหตุผล เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมเชื่อหลังจากแค่อ่านพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัสออกมา หากเจ้าเชื่ออย่างแท้จริง เช่นนั้นก็ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำหรือพระองค์ตรัสอะไร ในทางตรงกันข้าม เมื่อเห็นว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง เจ้าก็จะปักใจเชื่อเต็มร้อยว่าพระวจนะเหล่านี้ตรัสโดยพระเจ้าและพระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งเจ้าจะเตรียมตัวพร้อมแล้วที่จะติดตามพระองค์ไปจนถึงปลายทาง เจ้าไม่จำเป็นต้องสงสัยในเรื่องนี้ ผู้คนที่เต็มไปด้วยข้อสงสัยล้วนเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงยิ่งนัก พวกเขาก็แค่ไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าได้ พวกเขาพยายามที่จะเข้าใจความล้ำลึกเหล่านั้นอยู่เสมอ และจะเชื่อก็ต่อเมื่อพวกเขาเข้าใจความล้ำลึกเหล่านั้นโดยถ่องแท้แล้วเท่านั้น เงื่อนไขเบื้องต้นในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาคือการได้คำตอบที่ชัดเจนต่อคำถามเหล่านี้ที่ว่า พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างไร? พระองค์เสด็จมาถึงเมื่อไร? พระองค์จะทรงอยู่นานแค่ไหนก่อนที่ต้องทรงจากไป? หลังจากพระองค์ทรงจากไปแล้ว พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน? การจากไปของพระองค์มีกระบวนการอย่างไร? พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงพระราชกิจอย่างไร และพระองค์ทรงจากไปอย่างไร?... พวกเขาต้องการเข้าใจความล้ำลึกบางอย่าง พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อสืบค้นความล้ำลึกเหล่านั้น ไม่ใช่เพื่อแสวงหาความจริง พวกเขาคิดว่าตนเองจะไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าได้จนกว่าพวกเขาสามารถหยั่งถึงความล้ำลึกเหล่านี้ ราวกับว่าความเชื่อของพวกเขาถูกขัดขวาง มุมมองที่คนพวกนั้นมีเป็นปัญหา เมื่อพวกเขามีความปรารถนาที่จะค้นคว้าความล้ำลึก พวกเขาก็ไม่สนใจที่จะใส่ใจกับความจริงหรือเอาใจใส่พระวจนะของพระเจ้า คนแบบนั้นสามารถรู้จักตนเองได้หรือไม่? สำหรับพวกเขา การรู้จักตนเองไม่ใช่ได้มาง่ายๆ นี่ไม่ใช่การกล่าวโทษบุคคลบางประเภท หากใครบางคนไม่ยอมรับความจริงและไม่เชื่อในพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่มีความเชื่อที่แท้จริง พวกเขาจะมุ่งแต่การคิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดบางคำ ความล้ำลึก เรื่องสัพเพเหระ หรือปัญหาที่ผู้คนไม่ได้สังเกต แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันที่วันหนึ่งพระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเขา หรือพี่น้องชายหญิงของพวกเขาจะช่วยพวกเขาด้วยการสามัคคีธรรมความจริงกันเป็นประจำ แล้วพวกเขาก็จะหันกลับมาได้ เมื่อถีงวันนั้น พวกเขาจะรู้สึกว่าทรรศนะเดิมของตนนั้นไร้สาระเกินไป รู้สึกว่าพวกเขาโอหังและอวดดีมากเกินไป และพวกเขาจะรู้สึกละอายใจ บรรดาผู้ที่มีความเชื่อโดยแท้จริงจะไว้วางใจในทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสโดยไร้ข้อกังขา เมื่อพวกเขาได้มีประสบการณ์บางอย่างและเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าลุล่วงและสำเร็จเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว ความเชื่อของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ผู้คนประเภทนี้เป็นคนที่เข้าใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้ที่เชื่อและสามารถยอมรับความจริงได้ และเป็นผู้ที่มีความเชื่ออย่างแท้จริง
ฤดูใบไม้ผลิ ปี 2008