บทที่ 42

ทันทีที่พระราชกิจใหม่เริ่มขึ้น ผู้คนทั้งหมดก็มีการเข้าสู่ใหม่ และพวกเขาเคลื่อนไปข้างหน้ากับเราจูงมือกัน  พวกเราเดินบนถนนยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักรด้วยกัน และมีความสนิทสนมใกล้ชิดยิ่งนักระหว่างมนุษย์กับตัวเราเอง  เราได้พูดกับมนุษย์เสมอเพื่อแสดงให้เห็นความรู้สึกของเราและเพื่อแสดงท่าทีของเราต่อมนุษย์  อย่างไรก็ตาม วจนะเหล่านี้บางคำอาจทำร้ายผู้คน ขณะที่บางคำอาจเป็นความช่วยเหลือยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา และดังนั้นเราจึงให้คำแนะนำแก่ผู้คนให้ฟังวจนะที่มาจากปากของเราบ่อยขึ้น  ถ้อยคำของเราอาจไม่สง่างามเป็นพิเศษ แต่ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นวจนะทั้งหมดที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจของเรา  เพราะมวลมนุษย์เป็นสหายของเรา เราจึงได้ดำเนินงานของเราท่ามกลางมนุษย์จนเสร็จสิ้นต่อไป และก็เช่นกัน มนุษย์ทำอย่างสุดตัวของเขาเพื่อร่วมมือกับเรา กลัวอยู่ลึกๆ ว่าจะทำให้งานของเราหยุดชะงัก  ณ ชั่วขณะนี้ หัวใจของเราเต็มไปด้วยความปีติยินดีอันยิ่งใหญ่ เนื่องจากเราได้รับผู้คนมาแล้วส่วนหนึ่ง และดังนั้น “วิสาหกิจ” ของเราจึงไม่อยู่ในความซบเซาอีกต่อไป  มันไม่ประกอบด้วยวจนะที่ว่างเปล่าอีกต่อไป และ “ตลาดสินค้าเฉพาะอย่าง” ของเราไม่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าอีกต่อไป  จะว่าไปแล้ว ผู้คนก็มีเหตุผล—พวกเขาทั้งหมดเต็มใจที่จะ “มอบถวายตัวพวกเขาเอง” เพื่อนามของเราและสง่าราศีของเรา และมันเป็นเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่ “ร้านค้าเฉพาะอย่าง” ของเราได้รับ “สินค้า” ใหม่มาบ้าง และดังนั้น ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ “ลูกค้า” มากมายก็มาเพื่อซื้อ “สินค้า” ของเรา  จากชั่วขณะนี้เป็นต้นไปเท่านั้นที่เราได้รับสง่าราศี เมื่อนั้นเท่านั้นที่วจนะที่ถูกพูดจากปากของเราไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป  เราได้มีชัยชนะและได้กลับมาในความมีชัย และผู้คนทั้งหมดก็เฉลิมฉลองเรา  ณ ชั่วขณะนี้ พญานาคใหญ่สีแดงก็มาเพื่อ “เฉลิมฉลอง” ด้วยเช่นกัน เพื่อแสดงให้เห็นความเลื่อมใสของมันต่อเรา เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันได้ยอมจำนนแทบเท้าของเรา ซึ่งเรามีทรรศนะว่าเป็นสง่าราศี  จากเวลาแห่งการสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ เราได้ต่อสู้ในการสู้รบแห่งชัยชนะมากมาย และได้ทำสิ่งที่น่าเลื่อมใสมากมาย  ครั้งหนึ่งผู้คนมากมายได้เฉลิมฉลองเรา ได้ถวายคำสรรเสริญแก่เรา และได้เต้นรำเพื่อเรา  ถึงแม้ว่าเหล่านี้เป็นฉากที่เร้าใจและลืมไม่ลง แต่เราก็ไม่เคยได้แสดงให้เห็นรอยยิ้มของเรา เนื่องจากเรายังไม่ได้พิชิตมนุษย์ และได้เพียงแค่กำลังทำงานส่วนหนึ่งที่คล้ายกับการสร้างโลก  วันนี้ไม่เหมือนอดีต  เรายิ้มจากบนบัลลังก์ เราได้พิชิตมนุษย์ และผู้คนทั้งหมดกราบไหว้เพื่อนมัสการเบื้องหน้าเรา  ผู้คนของวันนี้ไม่ใช่ผู้คนของอดีต  งานของเราจะสามารถเป็นเพื่อประโยชน์ของสิ่งใดนอกจากปัจจุบันได้อย่างไร?  มันจะสามารถเป็นเพื่อสิ่งใดนอกจากสง่าราศีของเราได้อย่างไร?  เพื่อประโยชน์แห่งวันพรุ่งนี้ที่สดใสกว่า เราจะทำให้งานทั้งหมดของเราในมนุษย์ชัดแจ้งมากขึ้นอีกหลายต่อหลายเท่า เพื่อที่สง่าราศีทั้งหมดของเราอาจ “หยุดพัก” ในมนุษย์ผู้ซึ่งได้ถูกทรงสร้าง  เราจะถือว่าการนี้เป็นหลักการของงานของเรา  สำหรับบรรดาผู้ที่เต็มใจที่จะร่วมมือกับเรา จงลุกขึ้นและทำงานหนักเพื่อให้สง่าราศีของเราอาจเติมพื้นฟ้ามากขึ้นจนเต็ม  บัดนี้เป็นเวลาที่จะดำเนินแผนการอันยิ่งใหญ่ให้เสร็จสิ้น  บรรดาผู้ที่อยู่ภายใต้การห่วงใยใส่ใจและการคุ้มครองปกป้องแห่งความรักของเรามีโอกาสที่จะนำความสามารถของพวกเขามาใช้ที่นี่กับเรา และเราจะยักย้ายทุกสรรพสิ่งให้ “หมุนรอบ” เพื่อประโยชน์แห่งงานของเรา  เหล่านกที่กำลังบินในท้องฟ้าคือสง่าราศีของเราในท้องฟ้า ทะเลทั้งหลายบนแผ่นดินโลกคือการกระทำของเราบนแผ่นดินโลก เจ้านายของทุกสรรพสิ่งคือการสำแดงของเราท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และเรานำทั้งหมดที่มีอยู่บนแผ่นดินโลกมาใช้เป็นทุนสำหรับการบริหารจัดการของเรา ซึ่งเป็นเหตุให้ทุกสรรพสิ่งเพิ่มทวีคูณ เจริญรุ่งเรืองและฉายแสงด้วยชีวิตชีวา

ณ เวลาแห่งการสร้างโลก เราได้กำหนดพิจารณาแล้วว่างานของเราบนแผ่นดินโลกจะมาถึงบทอวสานอย่างครบบริบูรณ์ในยุคสุดท้าย  เวลาที่งานของเรามาถึงบทอวสานนั้นจะเป็นเวลาจริงที่การกระทำทั้งหมดของเราได้ถูกสำแดงในพื้นฟ้า  เราจะทำให้ผู้คนบนแผ่นดินโลกยอมรับรู้การกระทำของเรา และกิจการของเราจะได้รับการพิสูจน์เบื้องหน้า “บัลลังก์พิพากษา” เพื่อที่กิจการเหล่านั้นอาจเป็นที่รับรู้ท่ามกลางผู้คนทั่วแผ่นดินโลก ซึ่งทุกคนจะยอมจำนน  ด้วยเหตุนั้น หลังจากนี้เราจะเริ่มดำเนินการวิสาหกิจที่ไม่เคยถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้นมาก่อนในยุคทั้งหลายที่ผ่านไป  จากวันนี้เป็นต้นไป เราจะทำให้กิจการของเราชัดแจ้งทีละขั้น เพื่อที่ปัญญาของเรา ความน่าอัศจรรย์ของเรา และความไม่อาจหยั่งถึงได้ของเราจะได้รับการยอมรับรู้และพิสูจน์ในทุกภาคส่วนของสังคม  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรครัฐบาลทั้งหมดของแผ่นดินโลกจะต้องถูกทำให้ยอมรับรู้กิจการของเรา จนกระทั่งการกระทำของเราจะถูกพิพากษาโดย “ผู้พิพากษา” และ “ถูกแก้ต่าง” โดย “ทนายความ” และด้วยเหตุนั้น การกระทำของเราก็จะได้รับการยอมรับรู้ ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้คนทั้งหมดค้อมศีรษะของพวกเขาและยอมจำนน  จากเวลานี้เป็นต้นไป การกระทำของเราจะได้รับการยอมระลึกรู้โดยทุกภาคส่วนของสังคม และนี่จะเป็นชั่วขณะที่เราได้รับสง่าราศีทั้งหมดบนแผ่นดินโลก  ณ เวลานั้น เราจะปรากฏต่อมนุษย์และจะไม่ซ่อนเร้นอีกต่อไป  ณ ปัจจุบัน กิจการของเรายังไม่ถึงจุดสูงสุดของพวกมัน  งานของเรากำลังก้าวหน้าต่อไป และเมื่อมันไปถึงยอด งานก็จะเสร็จสิ้น  เราจะพิชิตผู้คนทุกชาติอย่างครบบริบูรณ์ เราจะเป็นเหตุให้สัตว์เดียรัจฉานที่ดุดันกลายเป็นเชื่องพอๆ กับลูกแกะเบื้องหน้าเรา และเราจะเป็นเหตุให้พญานาคใหญ่สีแดงนบนอบเบื้องหน้าเราเหมือนผู้คนบนแผ่นดินโลก  เราจะชนะศัตรูทั้งหมดของเราในฟ้าสวรรค์ และเราจะเป็นเหตุให้คู่อริของเราทั้งหมดบนแผ่นดินโลกถูกพิชิต  นี่คือแผนการของเรา และนี่คือความน่าอัศจรรย์แห่งกิจการของเรา  ทั้งหมดที่มนุษย์สามารถทำได้คือดำรงชีวิตตามอิทธิพลของธรรมชาติ ภายใต้การนำของเรา—เขาไม่สามารถทำการตัดสินใจของเขาเองได้!  ผู้ใดสามารถรอดพ้นจากมือของเรา?  เราได้จัดสรรธรรมชาติทั้งหมดให้เป็นหมวดหมู่ต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุให้มันดำรงอยู่ภายในกฎ และมันเป็นเพราะการนี้นี่เองที่มีกฎเช่นนี้บนแผ่นดินโลก อาทิ ความอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิและความเย็นในฤดูใบไม้ร่วง  เหตุผลที่ว่าเหตุใดดอกไม้บนแผ่นดินโลกเหี่ยวเฉาในฤดูหนาวและเบ่งบานในฤดูร้อนก็เป็นเพราะความน่าอัศจรรย์ของมือของเรา เหตุผลที่ว่าเหตุใดห่านบินไปทางใต้ในฤดูหนาวก็เป็นเพราะเราปรับแก้อุณหภูมิ และเหตุผลที่ว่าเหตุใดทะเลคำรามก็เป็นเพราะเราต้องการจมสิ่งต่างๆ บนพื้นผิวของน้ำ  สิ่งใดไม่ถูกเราจัดการเตรียมการ?  จากชั่วขณะนี้เป็นต้นไป “เศรษฐศาสตร์แห่งธรรมชาติ” ของมนุษย์ถูกวจนะของเราปราบอย่างสิ้นเชิง และผู้คนจะไม่ขจัดการสถิตของเราอีกต่อไปเพราะการดำรงอยู่ของ “กฎธรรมชาติ”  ผู้ใดจะมีวันปฏิเสธการดำรงอยู่ขององค์ผู้ปกครองแห่งทุกสรรพสิ่งอีกครั้ง?  ในฟ้าสวรรค์ เราเป็นองค์หัวหน้า ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า และท่ามกลางผู้คนทั้งหมด เราอยู่หน้าสุด  ผู้ใดกล้าที่จะป้ายทับการนี้ด้วย “สี” อย่างเบามือ?  ความเท็จทั้งหลายจะสามารถรบกวนการดำรงอยู่ของความจริงได้หรือ?  ณ โอกาสอันล้ำค่านี้ เราเริ่มงานในมือของเราอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่ทนทุกข์กับการรบกวนของมนุษย์อีกต่อไป และคง “การหมุน” ของเครื่องจักรต่อไป

เราได้เติม “เครื่องปรุงรส” หลากหลายลงในวจนะของเรา และด้วยเหตุนั้น มันจึงดูราวกับว่าเราเป็นหนึ่งในเชฟยอดนิยมของพวกมนุษย์  แม้ว่าผู้คนไม่รู้วิธีปรุงรสอาหารของพวกเขา แต่พวกเขาก็เพลิดเพลินกับรสชาติของมัน พวกเขาทั้งหมดเอร็ดอร่อยกับ “อาหารรสเลิศ” ที่เราได้ตระเตรียมไว้ใน “จาน” ที่พวกเขาถืออยู่  เราไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ผู้คนต้องการที่จะกินอาหารรสเลิศที่เราตระเตรียมด้วยตัวเราเองมากขึ้นเสมอ  มันเป็นราวกับว่าพวกเขามองเราสูงเกินไป ราวกับว่าพวกเขามองเห็นเราว่าสูงที่สุดในบรรดาเครื่องปรุงรสทั้งหมด และไม่คำนึงถึงผู้คนอื่นๆ เลย  เพราะเรามีความเคารพตัวเองมากเกินไป เราจึงไม่ปรารถนาที่จะทุบ “ชามข้าวเหล็ก” ของคนอื่นๆ เพื่อเหตุผลของเราเอง  ด้วยเหตุนั้น เราจึงถือโอกาสที่จะก้าวถอยจาก “ครัว” และเปิดโอกาสให้คนอื่นๆ แยกแยะด้วยตัวพวกเขาเอง  ในหนทางนี้เท่านั้นที่หัวใจของเรามั่นคง เราไม่ต้องการที่จะทำให้ผู้คนเคารพนับถือเราและดูถูกดูแคลนคนอื่นๆ การนั้นย่อมจะไม่ถูกต้อง  สิ่งใดคือคุณค่าของการมีสถานะในหัวใจของผู้คน?  เราหยาบคายและไร้เหตุผลเหลือเกินจริงๆ หรือ?  เราเต็มใจที่จะเรียกร้องสถานะจริงๆ หรือ?  หากเป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ เหตุใดเราจึงริเริ่มวิสาหกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้?  เราไม่ปรารถนาที่จะดิ้นรนต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและโชคลาภกับคนอื่นๆ และเราดูถูกชื่อเสียงและโชคลาภทางโลก นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราไล่ตามเสาะหา  เราไม่มองเห็นมนุษย์ในฐานะบุคคลต้นแบบ เราไม่ต่อสู้หรือฉกฉวย แต่ทำมาหากินโดยพึ่งพา “งานฝีมือ” ของเรา และเราไม่กระทำการที่ไร้มโนธรรม  ด้วยเหตุนั้น เมื่อเราเดินไปรอบแผ่นดินโลก เราก็กระทำการก่อนและขอ “การชำระเงินสำหรับงานฝีมือของเรา” ในภายหลัง—การนี้เท่านั้นคือความเป็นธรรมและความสมเหตุสมผลที่มนุษย์พูดถึง  ไม่มีการพูดเกินจริงในการนี้ อีกทั้งมันไม่ถูกลดความสำคัญลงแม้แต่น้อย  เราพูดตามความหมายที่แท้จริงของข้อเท็จจริง  เราเดินกลับไปกลับมาท่ามกลางมนุษย์ สำรวจค้นบรรดาผู้ที่เป็นธรรมและมีเหตุผล และถึงกระนั้น การนี้ไม่ได้ให้ดอกผล  และเพราะผู้คนรักที่จะต่อรอง ราคาจึงสูงเกินไปหรือไม่ก็ต่ำเกินไป และดังนั้นเราจึงยังคงทำงานที่อยู่ในมือของเราซึ่งได้ “ตกลงมาให้เราทำ”  วันนี้เรายังคงไม่รู้ว่าเหตุใดมนุษย์ไม่ยอมปฏิบัติตามหน้าที่ของเขา และเหตุใดเขาไม่รู้ว่าวุฒิภาวะของเขายิ่งใหญ่เพียงใด  ผู้คนไม่แม้แต่จะรู้ว่าวุฒิภาวะของพวกเขามีน้ำหนักหลายกรัมหรือหลายเหลี่ยง[ก]  และด้วยเหตุนั้น พวกเขายังคงป้อยอเรา  มันเป็นราวกับว่างานทั้งหมดของเราได้เป็นการสูญเปล่า ราวกับว่าวจนะของเราเป็นเพียงเสียงสะท้อนในภูเขาอันกว้างใหญ่ และไม่มีผู้ใดได้เคยล่วงรู้รากเหง้าของวจนะและถ้อยคำของเรา  และดังนั้นเราจึงใช้การนี้เป็นรากฐานเพื่อสรุปความคำพังเพยที่สามว่า “ผู้คนไม่รู้จักเรา เนื่องจากพวกเขามองไม่เห็นเรา”  มันเป็นราวกับว่า เมื่อได้กินวจนะของเราแล้ว ผู้คนก็ดื่มยาบ้างเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร และเพราะผลข้างเคียงของยานั้นรุนแรงมากจนพวกเขาทนทุกข์กับการสูญเสียความทรงจำ และดังนั้นวจนะของเราจึงกลายเป็นสิ่งซึ่งถูกมวลมนุษย์ลืม และสถานที่ที่เราอยู่กลายเป็นมุมที่พวกเขาลืม  ด้วยเหตุนี้เราจึงถอนใจ  เหตุใดในเมื่อเราได้ทำงานมาแล้วมากมายเหลือเกิน ถึงกระนั้นก็ไม่มีบทพิสูจน์ของการนี้ในผู้คน?  เราไม่ได้ให้ความพยายามเพียงพอแล้วหรือ?  หรือว่ามันเป็นเพราะเราไม่ได้จับความเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมี?  ไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่เราสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ และทางเลือกเดียวของเราคือใช้ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราเพื่อพิชิตผู้คนทั้งหมด  เราจะไม่เป็นมารดาผู้รักใคร่อีกต่อไป แต่จะบริหารจัดการมวลมนุษย์ทั้งปวงในฐานะบิดาผู้เข้มขรึม!

15 พฤษภาคม ค.ศ. 1992

เชิงอรรถ:

ก. “เหลี่ยง” เป็นมาตราชั่งน้ำหนักของจีน หนึ่งเหลี่ยงเท่ากับ 50 กรัม

ก่อนหน้า: บทที่ 41

ถัดไป: บทที่ 43

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger