บทที่ 41

ครั้งหนึ่งเราได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในหมู่มนุษย์ แต่พวกเขาไม่ได้สังเกต ดังนั้นเราจึงต้องใช้วจนะของเราเพื่อเปิดเผยมันต่อพวกเขาทีละขั้นทีละตอน  ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ไม่สามารถเข้าใจวจนะของเรา และเขาก็ยังคงไม่รู้เท่าทันจุดประสงค์ของแผนการของเรา  และดังนั้น เนื่องด้วยความขาดตกบกพร่องและข้อบกพร่องของพวกเขา พวกมนุษย์จึงได้ทำสิ่งต่างๆ เพื่อทำให้การบริหารจัดการของเราหยุดชะงัก และนี่ได้ให้โอกาสที่จะเข้าสู่แก่พวกวิญญาณที่มีมลทินทุกลักษณะ เพื่อให้มวลมนุษย์กลายเป็นเหยื่อของพวกมันและถูกพวกวิญญาณที่มีมลทินเหล่านี้ทรมานจนกระทั่งพวกเขาเน่าเสียจนหมดสิ้น  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เราได้มองเห็นเจตนาและเป้าหมายของมนุษย์อย่างชัดเจน  เราได้ถอนใจจากภายในกลุ่มเมฆ กล่าวคือ เหตุใดพวกมนุษย์จึงกระทำการเพื่อตัวพวกเขาเองเสมอ?  การตีสอนของเราไม่หมายที่จะทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อมหรือ?  เราจงใจซัดกระหน่ำท่าทีด้านบวกของพวกเขาหรือ?  ภาษาของมนุษย์นั้นสวยงามและอ่อนโยนมาก แต่ทว่าการกระทำของเขาอยู่ในความอลหม่านอย่างสิ้นเชิง  เหตุใดข้อเรียกร้องที่เราทำต่อมนุษย์จึงไม่ได้ผลอันใดเสมอ?  มันจะสามารถเป็นไปได้ไหมว่าเรากำลังขอในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้?  ว่าเรากำลังตื่นเต้นกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน?  ในครรลองแห่งแผนการบริหารจัดการทั้งปวงของเรา เราได้ถาง “แปลงทดลอง” ที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเพราะสภาพเงื่อนไขที่แย่ของมันและการที่มันขาดพร่องแสงแดดเป็นเวลาหลายปี อันนำไปสู่ “การแตกสลาย” ในแผ่นดิน  และดังนั้น ภายในความทรงจำของเรา เราได้ทอดทิ้งผืนแผ่นดินมากเหลือคณานับเหล่านั้น  แม้แต่ตอนนี้ ที่ดินส่วนใหญ่ก็ยังเปลี่ยนแปลงต่อไป  หากว่าสักวันหนึ่ง แผ่นดินเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกชนิดหนึ่งอย่างแท้จริง เราก็จะทิ้งขว้างมันด้วยการสะบัดมือของเราแค่ครั้งเดียว—นี่ไม่ใช่งานของเราในช่วงระยะปัจจุบันอย่างแน่นอนหรอกหรือ?  แต่มนุษยชาติไม่ตระหนักรู้การนี้แม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแค่ถูก “ตีสอน” ภายใต้ “การนำ” ของเรา  เช่นนั้นจะดีอย่างไรเล่า?  เราจะสามารถเป็นพระเจ้าที่เสด็จมาเพื่อตีสอนมนุษย์อย่างแจ่มแจ้งได้หรือ?  ในฟ้าสวรรค์เบื้องบน ครั้งหนึ่งเราได้วางแผนไว้ว่า เมื่อเราได้มาท่ามกลางมนุษย์ เราก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา เพื่อให้บรรดาผู้ที่เรารักทั้งหมดสามารถใกล้ชิดเรา  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เมื่อได้มาถึงช่วงระยะนี้ในวันนี้ ไม่เพียงแต่มนุษย์ไม่มาติดต่อเราเท่านั้น แต่เว้นระยะห่างจากเราแทนเพราะการตีสอนของเรา  เราไม่ร่ำไห้ต่อการหลีกเลี่ยงของเขา  จะสามารถทำสิ่งใดได้กับการนั้น?  พวกมนุษย์ทั้งหมดเป็นนักแสดงที่ขับร้องไปพร้อมกับเสียงเพลงใดก็ตามที่กำลังเล่นอยู่  เรามั่นใจในความสามารถของเราที่จะให้พวกมนุษย์ “ลื่นหลุด” จากการคว้าจับของเรา และเรายิ่งมั่นใจขึ้นอีกในความสามารถของเราที่จะนำพวกเขากลับไปที่ “โรงงาน” ของเราจาก “ส่วนอื่นๆ”  ณ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ มนุษย์จะสามารถมีความยากลำบากอันใดบ้าง?  และมนุษย์สามารถทำสิ่งใดกับเราได้บ้าง?  พวกมนุษย์ไม่ใช่ต้นหญ้าที่ขึ้นบนยอดกำแพงหรอกหรือ?  และถึงกระนั้น เราก็ไม่ทำอันตรายพวกมนุษย์สำหรับความผิดนี้ แต่กลับให้สารอาหารของเราแก่พวกเขาเสียมากกว่า  มนุษย์อ่อนแอ ไร้พลังอำนาจ และขาดพร่องสารอาหาร พวกเขาเป็นเช่นนั้นเอง  เราเปลี่ยนสภาพหัวใจอันเย็นชาของพวกมนุษย์ด้วยอ้อมแขนอันอบอุ่นของเรา กล่าวคือ ผู้ใดอื่นสามารถทำสิ่งเช่นนี้ได้?  เหตุใดเราจึงได้ทำงานเช่นนั้นท่ามกลางมนุษย์?  มนุษย์สามารถเข้าใจหัวใจของเราอย่างแท้จริงได้หรือ?

ท่ามกลางบรรดาผู้ที่เราได้เลือกสรรทั้งหมด เราได้มีส่วนร่วมใน “ธุรกิจ” ดังนั้นจึงมีผู้คนเข้ามาและไปจากนิเวศของเราเสมอ เป็นทิวแถวที่ไม่มีที่สิ้นสุด  พวกเขาทั้งหมดมีส่วนร่วมในพิธีการต่างๆ ที่นิเวศของเรา ราวกับว่าพวกเขากำลังหารือเรื่องธุรกิจกับเรา ซึ่งทำให้งานของเราวุ่นวายอย่างท่วมท้น บางครั้งก็มากเสียจนเราไม่มีโอกาสรับมือกับการทะเลาะเบาะแว้งท่ามกลางพวกเขา  เรารบเร้าให้ผู้คนไม่เพิ่มภาระให้กับเรา พวกเขาน่าจะวาดเส้นทางของพวกเขาเองแทนที่จะพึ่งพาเราตลอดเวลา  พวกเขาไม่สามารถเป็นเด็กในนิเวศของเราเสมอ จะมีประโยชน์อันใดในการนั้น?  สิ่งที่เราทำคือธุรกิจสำคัญ เราไม่ได้ทำ “ร้านของว่างใกล้บ้าน” สักร้าน หรือ “ร้านสะดวกซื้อ” เล็กๆ สักร้าน  พวกมนุษย์ทั้งหมดล้มเหลวที่จะเข้าใจกรอบความคิดของเรา ราวกับว่าพวกเขากำลังจงใจล้อเล่นกับเรา ราวกับว่าพวกเขาเป็นเด็กซุกซนที่มีความกระหายการเล่นอย่างไม่รู้จักพอ ไม่มีวันคำนึงถึงเรื่องที่จริงจัง ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้หลายคนล้มเหลวที่จะทำ “การบ้าน” ที่เราได้มอบหมายให้พวกเขาจนเสร็จสิ้น  ผู้คนแบบนี้จะสามารถมีความกล้าที่จะแสดงให้เห็นใบหน้าของพวกเขาต่อ “ครู” ของพวกเขาได้อย่างไร?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีวันเอาใจใส่สิ่งที่พวกเขาควรทำ?  หัวใจของมนุษย์เป็นวัตถุประเภทใดกัน?  จนถึงวันนี้ เรายังคงไม่ชัดเจนในการนี้  เหตุใดหัวใจของมนุษย์จึงเปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน?  มันเป็นเหมือนวันหนึ่งในเดือนมิถุนายน กล่าวคือ ตอนนี้ดวงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผา ตอนนี้เมฆหนาทึบ และตอนนี้ลมเกรี้ยวกราดร้องดัง  ดังนั้น เหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์?  บางที สิ่งที่เราได้พูดไปอาจเป็นการพูดเกินจริง  พวกมนุษย์ไม่แม้แต่จะรู้จักนำร่มไปด้วยในระหว่างฤดูฝน และดังนั้น เนื่องด้วยความไม่รู้เท่าทันของพวกเขา พวกเขาจึงได้เปียกโชกไปทั้งตัวนับครั้งไม่ถ้วนด้วยฝนตกหนักอย่างฉับพลัน ราวกับว่าเราจงใจล้อพวกเขาเล่นและพวกเขามักถูกฝนจากฟ้าสวรรค์จู่โจมสมอ  หรือบางที อาจเป็นว่าเรา “ทารุณ” เกินไป ซึ่งทำให้พวกมนุษย์วอกแวก และด้วยเหตุนั้น มึนงงอยู่เสมอ โดยไม่มีวันรู้ว่าจะต้องทำสิ่งใด  ไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้เคยจับความเข้าใจเป้าหมายหรือนัยสำคัญของงานของเราอย่างแท้จริง  ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดจึงกำลังทำงานนี้ซึ่งรบกวนตัวพวกเขาเองหยุดชะงักและตีสอนตัวพวกเขาเอง  เราตั้งใจที่จะตีสอนมนุษย์จริงๆ หรือ?  เหตุใดพวกมนุษย์จึงสร้างความยากลำบากให้ตัวพวกเขาเอง?  เหตุใดพวกเขาจึงเดินเข้าไปในกับดักเสมอ?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เจรจาต่อรองกับเรา แต่กลับหาหนทางที่จะสร้างงานให้กับตัวพวกเขาเองแทน?  มันจะสามารถเป็นไปได้ไหมว่าทั้งหมดที่เราให้กับมนุษย์นั้นไม่เพียงพอ?

เราได้ตีพิมพ์ “งานชิ้นแรก” ของเราท่ามกลางมนุษยชาติทั้งหมด และเพราะสิ่งพิมพ์ของเราปลุกความเลื่อมใสยิ่งใหญ่ในพวกมนุษย์ พวกเขาทั้งหมดจึงจัดให้สิ่งพิมพ์นั้นได้รับการศึกษาโดยละเอียดและอย่างรอบคอบระมัดระวัง และโดยผ่านทางการศึกษาอย่างใส่ใจนี้ พวกเขาก็ได้รับมามากมาย  งานเขียนของเราดูเหมือนจะเป็นนวนิยายที่น่าทึ่ง ยุ่งยากซับซ้อนมาก มันดูเหมือนจะเป็นบทกวีร้อยแก้วที่พาฝัน ดูเหมือนจะเป็นการหารือเรื่องแผนงานทางการเมือง ดูเหมือนว่าจะเป็นบทสรุปของภูมิปัญญาทางเศรษฐกิจ  เนื่องจากงานเขียนของเรามีมากมายเหลือเกิน จึงมีข้อคิดเห็นที่แตกต่างกันมากมายเกี่ยวกับมัน และไม่มีผู้ใดจะสามารถจัดเตรียมคำนำที่สรุปงานนี้ของเราได้  พวกมนุษย์อาจมีความรู้และพรสวรรค์ “อันโดดเด่น” แต่งานนี้ของเราก็เพียงพอที่จะทำให้เหล่าผู้คนที่มีความสามารถและพรสวรรค์งุนงง  แม้แต่ในขณะที่พวกเขาพูดว่า “เลือดอาจไหล น้ำตาอาจหลั่งริน แต่คนเราต้องไม่ยอมก้มศีรษะลง” พวกเขาก็ได้ก้มศีรษะลงโดยไม่รู้สึกตัวเพื่อแสดงการยอมจำนนเบื้องหน้างานเขียนของเรา  จากบทเรียนแห่งประสบการณ์ของเขา มนุษย์ได้สรุปงานเขียนของเราว่าเป็นเหมือนหนังสือสวรรค์ที่ได้หล่นลงมาจากท้องฟ้า  ถึงกระนั้นเรารบเร้าให้มนุษย์ไม่รู้สึกไวเกินไป  ในทรรศนะของเรา สิ่งที่เราได้พูดไปทั้งหมดนั้นธรรมดามาก อย่างไรก็ตาม เราหวังว่าใน “สารานุกรมแห่งชีวิต” ที่งานของเราบรรจุไว้ ผู้คนจะสามารถค้นพบบางสิ่งเกี่ยวกับหนทางดำรงชีพ ใน “บั้นปลายของมนุษย์” พวกเขาอาจแสวงหาความหมายของชีวิต ใน “ความลับแห่งฟ้าสวรรค์” พวกเขาอาจแสวงหาจนพบเจตจำนงของเรา และใน “เส้นทางแห่งมวลมนุษย์” พวกเขาอาจแสวงหาจนพบศิลปะแห่งการดำรงชีวิต  สรรพสิ่งจะไม่ดีขึ้นในหนทางนี้หรือ?  เราไม่บังคับมนุษย์ หากใครบางคน “ไม่สนใจ” ในงานเขียนของเรา เราก็จะให้ “เงินคืน” สำหรับหนังสือของเราแก่พวกเขา บวกด้วย “ค่าบริการ”  เราไม่บังคับผู้ใด  ในฐานะผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้ ความหวังเดียวของเราคือผู้อ่านจะรักงานของเรา แต่ความชอบของผู้คนแตกต่างกันเสมอ  และดังนั้น เราจึงรบเร้าพวกมนุษย์ไม่ให้เป็นภัยต่อความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของพวกเขาเพียงเพราะพวกเขาไม่สามารถทนได้ที่จะต้องปล่อยมือจากการคำนึงถึงหน้าตา  หากพวกเขาต้องทำเช่นนั้น เราจะสามารถสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามใหญ่หลวงเช่นนั้นได้อย่างไรทั้งๆ ที่เราก็ใจดีมีเมตตา?  หากเจ้าเป็นผู้อ่านที่รักงานของเรา เราหวังว่าเจ้าจะถ่ายทอดคำแนะนำอันล้ำค่าของเจ้าเองให้แก่เรา ซึ่งช่วยให้การเขียนของเราก้าวหน้าดีขึ้น และด้วยเหตุนั้น ปรับปรุงเนื้อหาของการเขียนของเราให้ดีขึ้นโดยผ่านทางข้อผิดพลาดของมนุษย์  การนี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ประพันธ์และผู้อ่านใช่หรือไม่?  เราไม่รู้ว่าการพูดของเราแบบนั้นถูกต้องหรือไม่ และบางทีในหนทางนี้ เราอาจสามารถปรับปรุงความสามารถในการเขียนของเราให้ดีขึ้น หรือบางทีอาจทำให้มิตรภาพระหว่างเราแข็งแกร่งขึ้น  โดยรวมแล้ว เราหวังว่าผู้คนทั้งหมดอาจร่วมมือกับงานของเราโดยไม่ทำให้งานหยุดชะงัก เพื่อที่วจนะของเราอาจถูกถ่ายทอดไปสู่ทุกครอบครัวและทุกบ้าน และเพื่อให้ผู้คนทั้งหมดบนแผ่นดินโลกอาจสามารถดำรงชีวิตภายในวจนะของเรา  นี่คือเป้าหมายของเรา  เราหวังว่า โดยการอ่านบทที่เกี่ยวกับชีวิตในวจนะของเรา ทั้งหมดอาจได้รับบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคติพจน์เกี่ยวกับชีวิต หรือความรู้เกี่ยวกับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับพิภพมนุษย์ หรือสิ่งใดที่เราพึงประสงค์จากมนุษย์ หรือ “ความลับ” ของผู้คนของราชอาณาจักรในวันนี้  อย่างไรก็ตาม เรารบเร้าพวกมนุษย์ให้ดูที่ “เรื่องอื้อฉาวของพวกมนุษย์แห่งวันนี้” นี่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งหมด  อีกทั้งมันก็ไม่น่าจะเสียหายที่จะอ่าน “ความลับล่าสุด” บ่อยๆ ซึ่งคงจะเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้นไปอีกต่อชีวิตของผู้คน  อีกครั้ง จงอ่านคอลัมน์ “หัวข้อร้อนๆ” ให้บ่อย—นี่จะไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของผู้คนมากยิ่งขึ้นไปอีกหรือ?  ไม่มีอันตรายใดในการพิจารณาคำแนะนำของเรา ดูว่ามันมีผลกระทบใดหรือไม่ และจากนั้นก็เล่าให้เราฟังว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรหลังจากอ่านมัน เพื่อที่เราอาจสามารถสั่งจ่ายยาที่ถูกต้องได้ดีขึ้น และในที่สุดก็กำจัดโรคภัยไข้เจ็บของมนุษยชาติทั้งหมดจนสิ้นซาก  เราไม่รู้ว่าเจ้าคิดสิ่งใดกับคำแนะนำของเรา แต่เราหวังว่าเจ้าจะถือว่าพวกมันเป็นเอกสารเพื่อการอ้างอิงของเจ้า  เช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร?

12 พฤษภาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า: บทที่ 40

ถัดไป: บทที่ 42

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger