การทบทวนผ่านช่วงเวลาแห่งความเจ็บป่วย
ฉันอ่อนแอและเจ็บป่วยได้ง่ายมาตั้งแต่ฉันยังเด็กค่ะ แม่บอกว่าฉันคลอดก่อนกำหนด แล้วก็ป่วยมาตลอดตั้งแต่ออกจากครรภ์ จากนั้นหลังจากฉันมาเป็นคริสเตียน สุขภาพของฉันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลาเจ็ดปีที่ฉันไม่ต้องไปโรงพยาบาล หรือกระทั่งกินยาใดๆ เลย ฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระเจ้าอย่างยิ่ง และจากนั้นใน ค.ศ. 2001 ฉันได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ ในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และรู้สึกว่าได้รับพระพรอย่างมาก ฉันล้มเลิกธุรกิจของฉัน และเริ่มแบ่งปันข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ ฉันมีพลังงานมากมายสำหรับเดินทางไปทั่วเพื่อทำหน้าที่ของฉัน และฉันก็ทุ่มเทเต็มที่ หลายครั้งที่ฉันหลบหนีการจับกุมได้แบบฉิวเฉียด และฉันก็พึ่งพิงพระเจ้า ไม่เคยยอมแพ้ ฉันยังเอาความปลอดภัยของตัวเองไปเสี่ยง เพื่อช่วยเหลือเหล่าพี่น้องชายหญิงอีกด้วย บางครั้งฉันก็ถึงกับไปที่ภูเขา เดินแต่ละครั้งห้าถึงหกชั่วโมง ในบางที่ ฉันไม่มีแม้แต่น้ำสะอาดให้จิบด้วย แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกถึงความยากลำบากเลย ฉันรู้สึกว่าด้วยการสละตัวเองแบบนั้น ฉันจะได้รับพระพรและได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าแน่นอน
มันคือค.ศ. 2015 ค่ะ ไม่นานหลังจากย้ายไปต่างประเทศ ฉันเริ่มรู้สึกไม่สบายมากขึ้นเรื่อยๆ และบางครั้งตอนกลางคืน ฉันก็จะเหงื่อออกท่วมตัว ฉันรู้สึกตื่นตระหนก แล้วมันก็ยากที่จะตั้งสมาธิ ฉันกินยาจีนแล้วก็ได้รับการฝังเข็ม แต่ก็ไม่ช่วยอะไร ทีแรกฉันไม่ได้คิดอะไรมาก และคิดว่า สุขภาพของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ตราบใดฉันทำหน้าที่ของฉันได้ดี พระองค์ก็จะทรงสอดส่องดูแลและปกป้องฉัน แต่ฉันก็ต้องแปลกใจ เพราะสุขภาพของฉันก็ทรุดลงเรื่อยๆ จากนั้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016 ฉันก็สังเกตว่าคอของฉันข้างหนึ่งเจ็บ และประมาณหนึ่งเดือนต่อมา ในตอนที่ฉันเข้าร่วมการชุมนุมในเย็นวันหนึ่ง อาการก็แย่ลงจนฉันพูดไม่ได้ ฉันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและหนาวไปทั้งตัว ฉันวัดอุณหภูมิร่างกายได้ที่ 39.5 องศา ฉันกินยาลดไข้แล้วก็ยาแก้อักเสบ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มมีไข้ทุกๆ ตอนเย็น และในตอนกลางดึกฉันก็จะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ฉันทุกข์ทรมานอย่างมากจนไม่สามารถนอนหลับได้เลยทั้งคืน พี่น้องหญิงคนหนึ่งบอกว่าฉันควรจะไปตรวจร่างกาย และฉันบอกว่าฉันจะไป แต่ฉันก็คิด ว่าฉันคงไม่เป็นอะไร ฉันทำงานอย่างหนักและทำหน้าที่ของฉันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันจึงคิดว่าพระเจ้าจะต้องทรงคอยสอดส่องดูแลและปกป้องฉันแน่นอน และต่อให้ฉันเป็นอะไร ก็คงไม่ร้ายแรง แต่เมื่อผ่านไปสองสามสัปดาห์ ฉันก็มีไข้ไม่หยุด น้ำหนักลดลงไปมากกว่าสิบปอนด์ และคอของฉันก็บวมอย่างเห็นได้ชัด ฉันรู้สึกเวียนหัวแล้วก็อ่อนเพลียทุกๆ วัน ฉันรู้สึกใจสั่น หัวใจเต้นแรงมาก และมือฉันก็เริ่มสั่นด้วย เมื่อถึงจุดหนึ่ง ฉันก็ทนไม่ไหวอีก และมีพี่น้องหญิงคนหนึ่งมาพาฉันไปห้องฉุกเฉินในตอนกลางดึก เมื่อฉันไปถึงที่นั่น หมอหลายคนเข้ามารายล้อมรอบเตียงฉันด้วยใบหน้าเคร่งเครียด และฉันสงสัยว่าตัวเองจะเป็นอะไรร้ายแรงจริงๆ หรือเปล่า เขาบอกว่า ผลวินิจฉัยเบื้องต้นคือต่อมไทรอยด์อักเสบเฉียบพลันและภาวะไทรอยด์เป็นพิษ และฉันต้องเข้าโรงพยาบาลทันที เขายังบอกด้วยว่ามีก้อนเนื้อที่คอฉัน และพวกเขาไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่มันจะเป็นเนื้องอก พวกเขาอยากรอจนกว่าไข้ฉันจะลดลง จากนั้นพวกเขาค่อยเอาเนื้อเยื่อออกไปตรวจเพิ่มเติม ตอนนั้นฉันยังแสดงอาการของภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษวิกฤติด้วย ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หมอพูดกับฉันอย่างจริงจังมากว่า “ถ้าคุณมัวรีรอการรักษาแบบนี้อีก รู้ไหมว่าผลสืบเนื่องจะร้ายแรงแค่ไหน?” สีหน้าเขาดูจริงจังมาก พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็หมดแรงแล้วก็คิดว่า “ฉันยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อที่จะทำงานให้พระเจ้าและทำหน้าที่ของฉันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันทนทุกข์มาไม่น้อยทีเดียว พระองค์ควรจะทรงปกป้องแล้วก็ทรงคอยดูแลฉัน ฉันมีเนื้องอกได้อย่างไรกัน?” ในช่วงเวลานั้น ฉันเฝ้าอธิษฐานและแสวงหา และฉันรู้จากในหลักธรรมว่าฉันควรจะนบนอบต่อกฎและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า แต่ในหัวใจของฉันก็ยังหวังซึ่งการปกป้องจากพระเจ้า ว่าพระองค์จะทรงเอาโรคภัยไข้เจ็บของฉันออกไปโดยเร็ว
แต่มันก็กลับมาอยู่เรื่อยๆ และฉันก็มีไข้ขึ้นอยู่ตลอด บางครั้งก็ขึ้นสูงถึง 40 ฉันรู้สึกมึนงงจริงๆ ตอนกลางคืนฉันเหงื่อออก จนผ้าห่มกับผ้าคลุมเตียงเปียก สิ่งแรกที่ฉันทำทุกเช้าคืออาบน้ำแล้วก็ตากที่นอนให้แห้ง มือฉันสั่นมากจนถือตะเกียบให้นิ่งไม่ได้ ฉันต้องเข้าโรงพยาบาลทุกสัปดาห์ เพราะว่าฉันยังคงมีไข้อยู่มาก แล้วต่อมา หมอคนหนึ่งก็บอกกับฉันอย่างยอมแพ้ “ผมไม่เคยเห็นเคสแบบคุณเลย” ทั้งหมดที่เขาทำได้คือเพิ่มปริมาณฮอร์โมนที่เขาให้ฉัน เขาไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว แต่การได้รับฮอร์โมนเหล่านั้น ก็ทำให้เกิดผลข้างเคียงอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ เช่นอาการบวมที่หน้าแล้วก็ตามตัว กับอาการปวดที่ขา การต้องผ่านเรื่องทั้งหมดนี้มันช่างทุกข์ทรมานจริงๆ ค่ะ ในเวลานั้น ฉันไม่เหลือความเชื่อใดๆ แล้วจริงๆ และฉันก็สงสัยว่าตัวเองจะตายจริงๆ หรือเปล่า พอผ่านไปสักพัก ผู้นำคนหนึ่งเห็นว่าสภาพฉันนั้นแย่มาก และได้ให้ฉันหยุดทำหน้าที่การให้น้ำชั่วคราว เพื่อตั้งใจดูแลสุขภาพของตัวเอง ฉันรู้ว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงคิดถึงสวัสดิภาพของฉันเอง แต่แบบนั้นมันยากสำหรับฉันจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือน ถ้าฉันไม่สามารถทำหน้าที่ได้ นั่นแปลว่าฉันจะถูกกำจัดทิ้งหรือเปล่า?
คืนเดียวกันนั้นฉันก็มีไข้อีก และฉันก็นั่งมองห้องที่ว่างเปล่า ห้องที่ไม่มีใครเลยนอกจากฉัน แล้วอยู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ และไร้ซึ่งความหวัง ฉันคิดว่า “ฉันจะตายที่นี่จริงๆ หรือ?” ฉันนึกถึงลูกชายฉัน และนึกถึงแม่ที่บ้าน ฉันไม่รู้ว่าจะได้เจอหน้าพวกเขาอีกครั้งก่อนตายหรือเปล่า มันเหมือนกับตายทั้งเป็น ฉันกลับบ้านไม่ได้ ฉันสูญเสียหน้าที่ และฉันรู้สึกเหมือนพระเจ้าไม่ต้องการฉันอีกต่อไป ฉันสละอะไรไปมากมาย และทนทุกข์อย่างมากมาตลอดหลายปี แล้วทั้งหมดที่ฉันได้คืนกลับมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ยิ่งฉันคิดเรื่องนี้ในแง่นี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ระทมมากเท่านั้น แล้วฉันก็เริ่มร้องไห้ไม่หยุด ฉันคิดว่าฉันน่าจะตายไปซะเลยแล้วมันจะได้จบๆ ไป แล้วจู่ๆ ก็มีคำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวฉันว่า การต้านทาน! คำคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวฉันซ้ำไปซ้ำมา แล้วจากนั้นฉันก็นึกถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “หากบุคคลมีท่าทีที่เป็นลบต่อชะตากรรม นั่นก็พิสูจน์ว่า พวกเขากำลังฝืนต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้พวกเขา ว่าพวกเขาไม่มีท่าทีนบนอบ” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) พระวจนะของพระเจ้ากระตุกใจฉันให้สั่นไหว ซึ่งตอนนั้นมันด้านชายิ่งนัก ฉันมาคิดว่า ฉันเอาแต่เรียกร้องจากพระเจ้าอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ที่ฉันเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ฉันรู้สึกเหมือนว่าพระเจ้าควรจะปกป้องฉัน เพราะฉันทิ้งบ้านและงานไว้เบื้องหลังเพื่อมาทำหน้าที่ ตอนที่ฉันรู้ว่าอาการของฉันหนักแค่ไหน ว่าฉันอาจจะถึงตายได้ ฉันรู้สึกเหมือนกับอนาคตและบั้นปลายของฉันมันหายไป ฉันเสียใจที่ทำงานหนักมาหลายปี และถึงกับอยากจะตายและจบเรื่องทั้งหมด แบบนั้นเป็นการต้านทานพระเจ้าตลอดทางเลยไม่ใช่หรือ? การเชื่อฟังพระเจ้าของฉันไปอยู่ไหน? การตระหนักรู้ครั้งนี้เป็นเหมือนการปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างทันทีทันใด และในที่สุดฉันก็ได้คุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและกล่าวอธิษฐานทั้งน้ำตา ฉันพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว! ข้าพระองค์ไม่ควรเข้าใจพระองค์ผิดหรือพร่ำบ่นเลย และไม่ควรต้านทานพระองค์ แต่ข้าพระองค์มีความทุกข์มากเหลือเกิน และตอนนี้ก็อ่อนแอมาก ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร ได้โปรดนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” ฉันรู้สึกเหมือนกับมีพละกำลังขึ้นมาหลังจากอธิษฐาน ฉันจึงพยายามลุกขึ้นมาและเปิดพระวจนะของพระเจ้า ที่ฉันเห็นคือบทตอนนี้ค่ะ “หากเจ้าจงรักภักดีอย่างมากมาโดยตลอด มีความรักมากมายให้เรา กระนั้นเจ้าก็ยังทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ความยากจน และการทอดทิ้งของเพื่อนๆ และญาติๆ ของเจ้า หรือหากเจ้าทนฝ่าโชคร้ายอื่นใดในชีวิต ความจงรักภักดีและความรักของเจ้าที่มีต่อเราจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่? หากสิ่งที่เราได้ทำไม่ตรงกับสิ่งที่เจ้าได้จินตนาการไว้ในหัวใจของเจ้าเลยสักอย่าง เจ้าจะเดินตามเส้นทางอนาคตของเจ้าอย่างไร? หากเจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยจากสิ่งต่างๆ ที่เจ้าหวังไว้ว่าจะได้รับ เจ้าจะสามารถเป็นผู้ติดตามของเราต่อไปได้หรือไม่?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (2)) การได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดมากจริงๆ ฉันนึกถึงทุกครั้งที่ฉันอ่านบทตอนนี้มาก่อน และฉันก็สาบานต่อพระเจ้าอย่างตั้งใจ ว่าฉันจะติดตามพระองค์อย่างแน่วแน่ไปจนถึงปลายทาง และฉันจะไม่มีวันทรยศพระองค์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่เมื่อฉันได้เผชิญหน้ากับโรคภัยไข้เจ็บ ความเชื่อตลอดหลายปีของฉันก็ถูกเปิดเผยอย่างที่มันเป็น และฉันได้ตระหนักว่าตลอดหลายปีที่ฉันเชื่อมา ฉันไม่เคยจริงใจกับพระเจ้าหรือมีความรักแก่พระองค์เลย ตอนที่ความปรารถนาจะได้รับความปลอดภัยจากความเชื่อของฉันไม่เป็นผล ตอนที่ความหวังสำหรับพระพรของฉันถูกทำลาย ฉันก็เริ่มเข้าใจผิดและติเตียนพระเจ้า และกระทั่งต้องการที่จะต่อสู้กับพระองค์ด้วยการตาย ฉันได้เห็นว่าทุกอย่างที่ฉันเสียสละไปก็เพื่อตัวฉันเองเท่านั้น เพียงเพื่อจะได้รับพระพร ฉันต่อรองกับพระเจ้า มันช่างเป็นเป็นกบฏเหลือเกิน! ในฐานะสิ่งทรงสร้าง ทุกลมหายใจของฉันนั้นได้รับมาจากพระเจ้า ดังนั้นฉันควรจะนบนอบต่อกฎและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ฉันมีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากพระเจ้า ที่จะทำข้อตกลงกับพระองค์? ขณะที่คิดเรื่องนั้นฉันเต็มไปด้วยความเสียใจ และฉันก็เกลียดความไร้เหตุผล ความไร้สำนึกที่ฉันเป็นจริงๆ
ฉันจำเพลงสรรเสริญที่เราเคยร้องกันบ่อยๆ ได้ว่า “บัดนี้ ข้าพระองค์ไม่ได้คำนึงถึงโอกาสที่มองว่าเป็นไปได้ในอนาคตของข้าพระองค์อีกทั้งข้าพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ภายใต้แอกแห่งความตาย ด้วยหัวใจที่รักพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะแสวงหาหนทางชีวิตนั้น ทุกเรื่อง ทุกสิ่ง—ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ชะตากรรมของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และพระองค์ทรงกุมชีวิตที่แท้จริงของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ บัดนี้ ข้าพระองค์พยายามที่จะรักพระองค์ และโดยไม่คำนึงว่าพระองค์จะทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์รักพระองค์หรือไม่ โดยไม่คำนึงถึงว่าซาตานจะแทรกแซงอย่างไร ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะรักพระองค์ ตัวข้าพระองค์เองเต็มใจที่จะแสวงหาพระเจ้าและติดตามพระองค์ ตอนนี้ ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทอดทิ้งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะยังคงติดตามพระองค์ ข้าพระองค์จะยังคงรักพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะทรงต้องการข้าพระองค์หรือไม่ก็ตาม และในท้ายที่สุด ข้าพระองค์จะต้องได้รับพระองค์…” (“ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะรักพระเจ้า” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ด้วยเนื้อเพลงเหล่านี้ที่บรรเลงอยู่ในหัวฉัน ฉันก็ได้ตัดสินใจเงียบๆ ว่าไม่ว่าอนาคตและบั้นปลายของฉันจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าฉันจะได้รับพระพรหรือไม่ ฉันจะทำหน้าที่ของฉันและยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า ฉันคิดว่าถึงแม้สุขภาพฉันจะไม่ดี และฉันก็แทบออกจากบ้านไม่ได้ ฉันยังสามารถทำหน้าที่ผ่านทางออนไลน์ได้ ดังนั้นตั้งแต่นั้นมา ฉันจึงทุ่มตัวเองในการแบ่งปันข่าวประเสริฐทางออนไลน์ และเมื่อฉันหยุดคิดเรื่องอนาคตและบั้นปลายของฉัน แต่หันมาใช้ความพยายามทั้งหมดไปกับการทำหน้าที่ ฉันก็รู้สึกสงบสุขและประสบความสำเร็จในการประกาศข่าวประเสริฐ หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ได้ตระหนัก ว่าไข้ของฉันไม่ได้แย่อย่างที่เคยเป็นมา และฉันก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาลมากเท่าที่เคย ภายหลังหมอก็ได้ยืนยันมา ว่าที่ฉันมีนั้นเป็นก้อนที่ต่อมไทรอยด์ ไม่ใช่เนื้องอกร้าย ฉันต้องกินยาต่อไปและเข้าไปติดตามผล แต่ฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระเจ้าจริงๆ
ฉันได้มีความเข้าใจในตัวเองมากขึ้นหลังจากนั้น แต่ความเสื่อมทรามและการปลอมปนนั้นมันรุกล้ำเข้ามาลึกจริงๆ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถบรรลุการเปลี่ยนแปลง แค่เพราะเราได้รับความเข้าใจบางอย่าง ยังมีอะไรอีกมากที่ฉันผ่านมาหลังจากนี้
สองหรือสามเดือนหลังจากนั้น ฉันได้รับข้อความจากที่บ้าน บอกว่าแม่ของฉันเป็นโรคหลอดเลือดสมองกะทันหัน และต้องนอนติดเตียง ลูกชายฉันเทียวไปทุกๆ ที่พยายามขอยืมเงินมาเพื่อรักษาท่าน เมื่อได้ข่าวฉันก็ตกใจ เรื่องนี้มันน่ากลัดกลุ้มเหลือเกิน ตลอดทั้งชีวิตของฉัน แม่ฉันดูแลฉันเป็นพิเศษยิ่งกว่าพี่น้องคนอื่นมาตลอด เพราะสุขภาพที่อ่อนแอของฉัน แต่ตอนนี้ที่ท่านป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันกลับไม่สามารถไปอยู่ข้างๆ และดูแลท่านได้ ฉันรู้ว่า ไม่ว่าแม่ฉันจะหายดีหรือไม่นั้น ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และฉันก็พร้อมที่จะนบนอบ แต่ฉันก็ยังยึดมั่นในความหวังครั้งนี้ ว่าตราบใดที่ฉันทำหน้าที่ของฉันได้ดี พระเจ้าอาจจะทรงดูแลและปกป้องท่าน ฉันหวังจริงๆ ว่าท่านจะดีขึ้น และทุกอย่างที่บ้านจะไม่เป็นอะไร แต่ผ่านไปไม่กี่เดือน ไม่เพียงอาการของท่านจะไม่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ท่านยังเป็นอัมพาตซีกซ้าย และมีความทุกข์จากอาการสับสนอีกด้วย ดูเหมือนความหวังในการฟื้นตัวของท่านจะมีไม่มากนัก มันทำให้ฉันเจ็บปวดจริงๆ ฉันเองก็ยังมีความทุกข์จากปัญหาสุขภาพของฉันด้วย ฉันหนาวสั่นไปทั่วตัวอยู่ตลอดและไม่อาจทนรับลมได้ คนอื่นใช้เครื่องปรับอากาศและเสื่อไม้ไผ่เพื่อความเย็น แต่ฉันต้องใช้ผ้าห่ม และความดันเลือดของฉันก็ต่ำลงอยู่ที่ 45 ถึง 80 มิลลิเมตรปรอท ฉันเป็นโลหิตจาง น้ำตาลในเลือดต่ำ และขาก็เจ็บ การมองเห็นของฉันก็แย่ลงด้วยจริงๆ เย็นวันหนึ่ง ฉันมีไข้ขึ้นมาอีกครั้ง ฉันกำลังคิดว่าฉันไม่ได้ดีขึ้น แต่ก็ต้องกินยา และคอยติดตามผลต่อไป อีกทั้งอาการของแม่ฉันแย่มากจริงๆ และไม่รู้ว่าท่านจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ฉันรู้สึกเศร้าจริงๆ และไม่มีแรงผลักดันใดๆ ในการทำหน้าที่ ในความทุกข์ทรมานของฉัน ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์รู้สึกอ่อนแอเหลือเกิน และข้าพระองค์ไม่สามารถนบนอบต่อสถานการณ์นี้ที่พระองค์กำหนดไว้ ขอได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ เพื่อให้เห็นสิ่งต่างๆ ที่สอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ด้วยเถิด เพื่อไม่ให้ข้าพระองค์ติเตียนหรือเข้าใจพระองค์ผิด และข้าพระองค์จะได้เข้าใจสภาวะของตัวข้าพระองค์เองได้บ้าง”
หลังจากนั้นฉันอ่านบทนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้รักษาพวกเขาเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้ใช้ฤทธานุภาพของเราขับวิญญาณสกปรกออกจากร่างของพวกเขาเท่านั้น และผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงแค่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดีจากเรา ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อเรียกร้องทรัพย์สมบัติทางวัตถุจากเราให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตนี้อย่างสันติสุขและเพื่อที่จะอยู่อย่างปลอดภัยคลายกังวลในโลกที่จะมาถึง ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์จากนรกและเพื่อได้รับพรจากสวรรค์ ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อสิ่งชูใจชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใดในโลกที่จะมาถึง เมื่อเราได้ปล่อยความโกรธเคืองต่อมนุษย์ของเราออกมาและได้ยึดเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ เมื่อเราได้ให้ความทุกข์จากนรกแก่มนุษย์และได้เอาพรจากสวรรค์กลับคืน ความละอายของมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อมนุษย์ได้ขอให้เรารักษาเขา แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจและรู้สึกชิงชังต่อเขา มนุษย์ได้ออกห่างจากเราเพื่อแสวงหาวิธีการของยาและวิทยาคมอันชั่วร้ายแทน เมื่อเราได้เอาทุกอย่างที่มนุษย์เรียกร้องจากเรากลับไป ทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกว่ามนุษย์มีความเชื่อในเราเพราะเราให้พระคุณมากเกินไป และมีมากเกินไปที่จะได้รับ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?) “พวกที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมไม่สามารถรักพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ เมื่อสภาพแวดล้อมมีความปลอดภัยและมั่นคงหรือเมื่อมีผลกำไรให้ทำ พวกเขาจะเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเต็มที่ แต่เมื่อสิ่งที่พวกเขาอยากได้อยากมีถูกประนีประนอมลงมาหรือถูกหักล้างในที่สุด พวกเขาก็ลุกฮือทันที แม้แต่ในระยะชั่วข้ามคืนเท่านั้น พวกเขาก็อาจเปลี่ยนจากบุคคลที่ยิ้มแย้มและ ‘ใจดี’ เป็นฆาตกรที่น่าเกลียดและดุดัน…” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์) ฉันรู้สึกอับอายจริงๆ เมื่อได้อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า การพิพากษานี้จากพระเจ้าได้เปิดโปงแรงจูงใจอันน่ารังเกียจของฉันในการไล่ตามเสาะหาพระพร ในความเชื่อของฉัน ตั้งแต่เริ่มต้น ฉันต้องการสุขภาพที่ดีและครอบครัวที่สงบสุข มีความสุข โดยแลกกับความเชื่อของฉัน ตอนที่ฉันได้รับพระคุณและพระพรนี้จากพระเจ้า ตอนที่ฉันรู้สึกดี คือตอนที่ฉันยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อทำงานให้พระเจ้า แต่เมื่อฉันป่วยอีกครั้ง และแม่ของฉันก็มีปัญหาสุขภาพด้วย ฉันพร่ำบ่นกับพระเจ้า และกลายเป็นคิดลบ แล้วถอยกลับ ฉันไม่ใส่ใจเรื่องการทำหน้าที่ของฉันให้ดีด้วยซ้ำ ฉันเป็นผู้เชื่อประเภทไหนกัน? นั่นคือฉันแค่ใช้พระเจ้าเพื่อทำให้สมดังความปรารถนาของฉันเพื่อพระพรมิใช่หรือ? ฉันฉ้อฉลต่อพระเจ้ามิใช่หรือ? พระเจ้าทรงประทานแก่ฉันมามากมายแล้ว และถ้าไม่เป็นเพราะความรอดของพระเจ้า ฉันคงมาไม่ได้ไกลถึงขนาดนี้ ต่อให้พวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อ ใครก็ตามที่มีมโนธรรมย่อมรู้ดีที่จะซาบซึ้งบุญคุณสำหรับการช่วยเหลือ แต่ฉันได้ชื่นชมการให้น้ำและการบำรุงเลี้ยงของพระเจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยไม่ได้ให้สิ่งใดตอบแทนเลย ฉันชื่นชมพระคุณของพระองค์เป็นอย่างมาก แต่ฉันก็ไม่ได้มีความรู้สึกซาบซึ้งต่อพระองค์เลยแม้แต่น้อย ฉันไม่ได้เข้าหาหน้าที่ของฉันด้วยความจริงใจ แต่ฉันกลับปฏิบัติกับพระเจ้าเหมือนกล่องสมบัติแห่งความอุดมสมบูรณ์ ต้องการเพียงแค่พระคุณและพระพรจากพระองค์ ฉันได้ตระหนักว่าขาดพร่องมโนธรรมพื้นฐานที่สุดและเหตุผลที่คนคนหนึ่งควรมี ฉันเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ ละโมบ และใจแคบ! ด้วยการตระหนักรู้เช่นนี้ ฉันรู้สึกขยะแขยงตัวเองจริงๆ ฉันรู้สึกผิดและเป็นหนี้บุญคุณ และฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทั้งน้ำตาเพื่ออธิษฐาน ฉันพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์ได้เห็นแล้วว่าทุกอย่างที่ข้าพระองค์ทำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นแค่เพียงเพื่อพระพร ข้าพระองค์ฉ้อฉลพระองค์ ต่อรองกับพระองค์ ทำให้พระองค์รู้สึกขยะแขยงจริงๆ ขอพระองค์ทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใจรากของแรงผลักดันในการไล่ตามเสาะหาพระพร เพื่อให้ข้าพระองค์สามารถกลับใจและเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงด้วยเถิด”
ในการแสวงหาของฉัน ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์ ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาทอดทิ้งสิ่งทั้งหลาย สละตัวเองเพื่อพระองค์ และสัตย์ซื่อต่อพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังคงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง โดยสรุป ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพระพรให้ตัวเอง ในสังคมนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างทำไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การเชื่อในพระเจ้าก็ทำไปเพื่อที่จะได้รับพระพรแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพระพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ทั้งหมดนี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงธรรมชาติอันเสื่อมทรามของมนุษย์” (“ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือชีวิตและปรัชญาของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย คำพูดเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว เป็นภาพเหมือนของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามโดยแท้ และธรรมชาติเยี่ยงซาตานนี้ได้กลายเป็นบาทฐานสำหรับการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามดำรงชีวิตตามพิษของซาตานนี้มาเป็นเวลาหลายพันปีจวบจนปัจจุบัน” (“วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังจากอ่านแล้ว ฉันก็ได้รับความเข้าใจภายในหัวใจของฉัน ว่าแหล่งกำเนิดของการไล่ตามเสาะหาพระพรในความเชื่อของฉัน คือการที่ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกจริงๆ ฉันใช้ชีวิตโดยตรรกะของซาตานที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” ดังนั้นทุกอย่างที่ฉันทำมันก็เพื่อตัวฉันเอง ความเชื่อของฉันนั้นก็เพื่อประโยชน์แห่งสุขภาพร่างกายของฉัน และสวัสดิภาพของครอบครัวของฉัน และการเสียสละและการทำงานหนักในหน้าที่ของฉันทั้งหมด ก็เพื่อให้ฉันได้มีบั้นปลายที่ดี ช่วงเวลาที่ฉันไม่ได้ประโยชน์จากความเชื่อของฉัน ตอนที่ความหวังของฉันถูกทำลาย ฉันก็สูญเสียแรงผลักดันที่จะทำหน้าที่ของฉัน ที่จริงแล้ว มันเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งสำหรับคนทั่วไป ที่จะมีปัญหาสุขภาพตลอดการใช้ชีวิตปกติ มันคือกฎธรรมชาติ แต่ฉันกลับติเตียนพระเจ้า เมื่อฉันป่วย ฉันถึงกับพร่ำบ่นต่อพระเจ้าในตอนที่แม่ฉันล้มป่วย ฉันมันช่างไร้เหตุผลเหลือเกิน! ฉันนึกถึงโยบขึ้นมา เขานั้นซื่อตรงและจิตใจดี และไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากพระเจ้า เขาเชื่อว่าทุกสิ่งมาจากพระเจ้า และไม่ว่าเราจะได้รับพระพรหรือทนทุกข์ในความวิบัติ เราควรยังคงสรรเสริญและนมัสการพระเจ้า เพราะเหตุนั้น เมื่อซาตานได้ทดลองโยบ เขาสูญเสียลูกๆ ของเขาในชั่วข้ามคืน และทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาก็ถูกขโมยไป แล้วทั้งร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยฝี เขาไม่ได้พร่ำบ่นแม้สักคำ แต่เขากลับยังคงสรรเสริญพระนามของพระเจ้า กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) เมื่อกล่าวและทำทั้งหมดเสร็จแล้ว เขาก็ได้ยืนหยัดเป็นพยานและเหยียดหยามซาตาน แต่ถึงกระนั้น แม้ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมาย ในหัวใจของฉันก็ยังคงไม่มีที่ให้กับพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย ความเชื่อของฉันนั้นมีเพียงเพื่อพระพรของฉันเอง เพื่อประโยชน์ของฉันเอง ความเป็นมนุษย์ของฉันช่างต่ำนัก!
หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มคิดสิ่งต่างๆ ผ่านการที่ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้า น้ำพระทัยของพระเจ้าในปัญหาสุขภาพเหล่านี้คืออะไร? ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าสองสามบทตอนที่ช่วยได้ “กระบวนการถลุงเป็นวิถีทางที่ดีที่สุดที่พระเจ้าทรงใช้ในการทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อม มีเพียงกระบวนการถลุงและการทดสอบอันขมขื่นเท่านั้นที่สามารถนำความรักแท้จริงสำหรับพระเจ้าออกมาจากหัวใจของผู้คนได้ เมื่อปราศจากความยากลำบาก ผู้คนก็ย่อมขาดความรักที่แท้จริงสำหรับพระเจ้า หากพวกเขาไม่ถูกทดสอบภายใน หากพวกเขาไม่อยู่ภายใต้กระบวนการถลุงแล้วไซร้ หัวใจของพวกเขาก็จะล่องลอยไร้จุดหมายอยู่ภายนอก เมื่อได้รับการถลุงจนถึงจุดหนึ่งแล้ว เจ้าจะมองเห็นความอ่อนแอและความลำบากยากเย็นของตัวเจ้าเอง เจ้าจะเห็นว่าเจ้ากำลังขาดพร่องอยู่มากเพียงใด และว่าเจ้าไร้ความสามารถที่จะเอาชนะปัญหาต่างๆ มากมายที่เจ้าเผชิญได้ และเจ้าจะได้เห็นว่าความไม่เชื่อฟังของเจ้านั้นใหญ่หลวงเพียงใด มีเพียงในระหว่างการทดสอบต่างๆ เท่านั้นที่ผู้คนมีความสามารถที่จะรู้จักสภาวะจริงของพวกเขาอย่างแท้จริงได้ การทดสอบต่างๆ ทำให้ผู้คนมีความสามารถที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้ดีขึ้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์สามารถมีความรักแท้จริงได้ โดยการได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงเท่านั้น) “หากทั้งหมดที่เจ้าแสวงหาคือการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าและได้รับพรในท้ายที่สุด เช่นนั้นแล้วมุมมองของความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าก็จะไม่บริสุทธิ์ เจ้าควรกำลังไล่ตามเสาะหาวิธีมองเห็นกิจการของพระเจ้าในชีวิตจริง วิธีทำให้พระองค์พึงพอพระทัยเมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยน้ำพระทัยของพระองค์ต่อเจ้า และแสวงหาวิธีที่เจ้าควรจะเป็นพยานต่อความน่าอัศจรรย์และพระปรีชาญาณของพระองค์ และวิธีเป็นพยานสำหรับวิธีที่พระองค์ทรงบ่มวินัยและทรงจัดการกับเจ้า ทั้งหมดนี้คือสิ่งทั้งหลายที่เจ้าควรกำลังใคร่ครวญอยู่ในตอนนี้ หากความรักพระเจ้าของเจ้าเป็นไปเพื่อให้เจ้าสามารถมีส่วนแบ่งปันในพระสิริของพระเจ้าหลังจากที่พระองค์ทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เช่นนั้นแล้วมันก็ยังคงไม่เพียงพอและไม่สามารถประจวบพ้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าได้ เจ้าจำเป็นต้องมีความสามารถที่จะเป็นพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้าได้ ทำให้สมดังข้อเรียกร้องของพระองค์ได้ และผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำกับผู้คนในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด น้ำตา หรือความเศร้าใจ เจ้าต้องผ่านประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดในการปฏิบัติของเจ้า สิ่งเหล่านี้หมายที่จะทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมในฐานะผู้หนึ่งซึ่งเป็นพยานสำหรับพระเจ้า อะไรกันแน่ที่บัดนี้บีบให้เจ้ายอมทนทุกข์และแสวงหาความเพียบพร้อม? ความทุกข์ปัจจุบันของเจ้าเป็นเพื่อประโยชน์แห่งการรักพระเจ้าและการเป็นพยานสำหรับพระองค์อย่างแท้จริงหรือไม่? หรือเป็นเพื่อประโยชน์แห่งพรทั้งหลายของเนื้อหนัง เพื่อความสำเร็จซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในภายภาคหน้าและชะตากรรมของเจ้าหรือไม่? เจตนา แรงจูงใจ และเป้าหมายของเจ้าที่เจ้าไล่ตามเสาะหาทั้งหมดต้องได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องและไม่สามารถถูกนำโดยเจตจำนงของเจ้าเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) เมื่อฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนนี้ ฉันรู้สึกเหมือนฉันได้รับความเข้าใจเชิงลึกบางอย่างจริงๆ ฉันได้เห็นว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าเบื้องหลังโรคภัยไข้เจ็บของฉัน ก็เพื่อเปิดเผยความเสื่อมทรามและการปลอมปนในความเชื่อของฉัน เพื่อชำระฉันให้บริสุทธิ์ ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ฉันจะไม่มีวันตระหนักถึงแรงผลักดันอันน่าขยะแขยงของฉันในการไล่ตามพระพร และฉันก็คงไม่ได้เห็นจริงๆ ว่าการทำงานหนักทั้งหมดของฉันนั้น คือการทำธุรกิจกับพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้งมาก การมีความเชื่อและการทำหน้าที่ของฉันเช่นนั้น เป็นการฉ้อฉลพระเจ้าและต้านทานพระองค์ ฉันรู้ว่าถ้าฉันไม่กลับใจและเปลี่ยนแปลง สุดท้ายฉันจะถูกพระเจ้ากำจัดทิ้ง แล้วฉันก็เข้าใจ ว่าโรคภัยไข้เจ็บของฉันนั้น ที่จริงเป็นความรักและความรอดของพระเจ้าเพื่อฉัน และฉันควรใช้สถานการณ์นั้นในการทบทวนและทำความรู้จักตัวเอง เพื่อแสวงหาความจริงและแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน เมื่อฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันก็สาบานต่อพระองค์ว่า ไม่ว่าแม่และฉันจะดีขึ้นหรือไม่ ฉันก็พร้อมที่จะนบนอบ ที่จะละวางข้อเรียกร้องและข้อพึงปรารถนาของฉัน และหยุดไล่ตามเสาะหาพระพร หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มทุ่มตัวเองไปกับการทำหน้าที่แบ่งปันข่าวประเสริฐ ไม่กี่เดือนต่อมา เมื่อฉันไปที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย หมอบอกว่าผลการตรวจเลือดทั้งหมดของฉันดูปกติ และผลอัลตราซาวนด์ก็แสดงให้เห็นว่า ก้อนที่ต่อมไทรอยด์ของฉันนั้นได้หายไปแล้ว เขายังบอกด้วยว่าฉันสามารถหยุดกินยาได้แล้ว ฉันรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นการปกป้องจากพระเจ้า และฉันก็รู้สึกซาบซึ้งในพระองค์อย่างมาก ฉันแค่อยากทำหน้าที่ของฉันให้ดี เพื่อชดใช้หนี้ที่ฉันติดค้างพระเจ้าอยู่
กว่าสามปีมานี้สุขภาพของฉันดีมากค่ะ และปัญหาไทรอยด์ของฉันก็ไม่ได้กลับมาอีกจริงๆ แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาบ้างที่คอ และพอฉันมองดูในกระจก ฉันก็เห็นว่าตรงนั้นมีอาการบวมที่มองเห็นได้ พอเย็นวันนั้น มันก็ปวดอย่างมากจนฉันพลิกตัวกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ แล้ววันรุ่งขึ้นตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาและดื่มน้ำ มือฉันที่จับแก้วอยู่ก็สั่นขึ้นมา ฉันรู้สึกกลัวจริงๆ—เพราะมันเป็นอาการเดียวกันกับเมื่อก่อนนี้ ในตอนนั้นฉันยังไม่แน่ใจจริงๆ ฉันจึงไปคุยกับแพทย์แผนจีนเกี่ยวกับอาการของฉัน เขาบอกว่ามันเป็นปัญหาไทรอยด์ของฉันอีก ฉันกังวลมากจริงๆ เพราะมีผู้คนทางออนไลน์จำนวนมากที่กำลังสืบสวนพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเลยยุ่งอยู่กับการแบ่งปันคำพยาน และบางครั้งฉันก็เข้าร่วมชุมนุมหลายครั้งในหนึ่งวัน ฉันคิดว่า ถ้าฉันยังคงทำหน้าที่ของฉันแบบนั้นต่อไป ฉันจะทำให้ตัวเองเหน็ดเหนื่อยและเริ่มเป็นไข้อีกครั้งได้ แล้วถ้าอาการฉันทรุดลง ฉันจะทำอย่างไร? และด้วยสถานการณ์โคโรนาไวรัสที่หนักหนาอยู่ในตอนนี้ด้วย หากฉันป่วยและต้องเข้าโรงพยาบาล นอกจากจะไม่รู้ว่าการรักษาไทรอยด์ของฉันจะสำเร็จหรือไม่ ฉันอาจจะติดโควิดก็ได้ วันนั้น หลังจากสามัคคีธรรมกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งเพียงหนึ่งชั่วโมง ร่างกายของฉันก็ไม่ไหว คอของฉันเจ็บ และฉันก็สั่นไปหมดทั้งตัว อีกอย่าง ฉันรู้สึกเหมือนได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ และสมองฉันก็เลอะเลือน ฉันสงสัยว่าฉันควรจะหยุดพักสักสองสามวัน และเริ่มทำหน้าที่อีกครั้งหลังจากรู้สึกดีขึ้นแล้วหรือไม่ แต่แล้วฉันก็นึกถึงผู้ทำงานทุกคนในคริสตจักรคริสเตียนอื่นๆ ที่ฉันได้จัดการเตรียมการที่จะแบ่งปันคำพยานในวันต่อไป มันสายเกินไปที่จะหาคนอื่นในเวลากระชั้นชิดแบบนี้ ดังนั้นถ้าฉันไม่ไป จะทำให้การสืบสวนเรื่องหนทางที่แท้จริงล่าช้าหรือไม่? เย็นวันนั้น คอของฉันทั้งบวมแล้วก็เจ็บ และฉันก็นอนไม่หลับทั้งคืนอีกครั้ง แต่ฉันก็คิดว่าพระราชกิจของพระเจ้าทำอะไรให้กับฉันมากเพียงไร และตอนฉันป่วย ฉันกลับคิดถึงแต่ตัวเอง—ฉันรู้สึกแย่มาก ฉันคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์อยู่เบื้องหลังความป่วยไข้ของข้าพระองค์อีกครั้ง ขอได้โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและนำข้าพระองค์ ให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด ข้าพระองค์เชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าชีวิตของข้าพระองค์นั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับสุขภาพของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยินดีที่จะนบนอบต่อกฎและการจัดการเตรียมการของพระองค์” หลังจากอธิษฐาน พระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ก็เข้ามาในจิตใจค่ะ ที่ว่า “หากในความเชื่อในพระเจ้าและในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า เจ้าสามารถกล่าวได้ว่า ‘ความป่วยไข้หรือเหตุการณ์ไม่น่าพึงใจอันใดก็ตามที่พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้บังเกิดกับฉัน—ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด—ฉันต้องเชื่อฟัง และอยู่ในที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ก่อนสิ่งอื่นทั้งปวง ฉันต้องนำความจริงแง่มุมนี้—การเชื่อฟัง—มาปฏิบัติ ฉันนำการนี้มาทำให้เป็นผล และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า ที่มากกว่านั้นคือ ฉันต้องไม่ทิ้งสิ่งที่พระเจ้าได้มีพระบัญชาแก่ฉันและหน้าที่ที่ฉันควรปฏิบัติ ต่อให้เป็นลมหายใจห้วงสุดท้ายของฉัน ฉันก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของฉัน’ นี่ไม่ใช่การเป็นคำพยานหรอกหรือ? เมื่อเจ้ามีการตัดสินใจแน่วแน่ประเภทนี้และสภาวะประเภทนี้ เจ้าจะยังคงมีความสามารถที่จะคร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าได้หรือ? ไม่ เจ้าทำไม่ได้” (“เส้นทางมาจากการไตร่ตรองความจริงบ่อยครั้ง” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะจากพระเจ้าเหล่านี้ได้ช่วยให้ฉันเข้าใจ ว่าหน้าที่ของฉันเป็นพระบัญชาของพระเจ้า ว่ามันเป็นความรับผิดชอบของฉัน และมันถูกต้องเหมาะสมสำหรับฉันที่จะปฏิบัติ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้มันจะเป็นลมหายใจสุดท้ายของฉัน ฉันก็ควรจะปฏิบัติตามหน้าที่ของฉัน ดังนั้นฉันจึงทำตัวให้เข้มแข็งและทุ่มเททุกอย่างเต็มที่ ต่อให้อาการของฉันจะแย่ลงหลังจากแบ่งปันคำพยานในวันถัดไป ต่อให้ฉันจะจบลงด้วยการเข้าโรงพยาบาล ฉันก็จะปฏิบัติหน้าที่ของฉัน เมื่อฉันเริ่มคิดแบบนั้น ฉันก็ได้รับสำนึกแห่งความสงบสุข วันต่อมา ฉันก็พร้อมที่คอมพิวเตอร์ก่อนเวลาที่เราได้จัดการเตรียมการ และฉันก็ต้องประหลาดใจที่พบว่า จากการชุมนุมหลายครั้งที่ฉันจัดขึ้นวันนั้น ยิ่งฉันพูดออกไปมากเท่าไร ฉันก็รู้สึกแจ่มใสและรู้สึกได้รับความรู้แจ้งมากเท่านั้น ฉันพูดตลอดทั้งวัน และไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่คอเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่นั้นมา คอของฉันก็ไม่บวมและเจ็บอีก พอเห็นการปกป้องของพระเจ้าอีกครั้ง ฉันก็รู้สึกซาบซึ้งในพระเจ้าอย่างยิ่ง และฉันคิดกับตัวเองว่า ไม่ว่าปัญหามันจะกลับมาอีกหรือไม่ ฉันก็พร้อมที่จะนบนอบและผ่านมันไป
ฉันรู้สึกถึงความรักของพระเจ้าผ่านประสบการณ์นั้นได้จริงๆ ถึงแม้ฉันจะทนทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บของฉัน มันก็ได้เปิดตาฉันให้เห็นแรงจูงใจของฉันที่จะรับพระพร และความเสื่อมทรามและการปลอมปนในความเชื่อของฉัน พระวจนะของพระเจ้าได้เปลี่ยนมุมมองที่ผิดพลาดของฉันในการไล่ตามเสาะหา และช่วยให้ฉันได้รับความนบนอบต่อพระเจ้าขึ้นมาบ้าง ยิ่งกว่านั้น มันยังทำให้ฉันได้เห็นสิทธิอำนาจและการปกป้องของพระเจ้า และให้ความเชื่อในพระองค์กับฉันมากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นความรักที่แท้จริงและความรอดของพระเจ้าสำหรับฉัน
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ