ถูกเปิดโปงถึงสิ่งที่ฉันเป็น

วันที่ 29 เดือน 07 ปี 2022

โดย เหวยเสี่ยว, สเปน

เรื่องเกิดเมื่อต้นปีนี้ค่ะ ตอนที่ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร และพี่หวาง หัวหน้าทีมข่าวประเสริฐ ได้ย้ายไปอีกคริสตจักรหนึ่ง วันหนึ่งพี่น้องหญิงอีกคนบอกฉันว่า พี่หวางบอกพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ว่าฉันมีพฤติกรรมผู้นำที่เทียมเท็จ ว่าฉันสะเพร่ากับงานข่าวประเสริฐ และไม่จัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพอ ทำให้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของทีมลดลง ฉันรู้สึกโมโห คิดว่า “พักหลังมานี้ ฉันไม่ได้ติดตามผลอย่างละเอียด แต่ฉันก็มีเหตุผลที่ดี ที่เธอพูดลับหลังฉันแทนที่จะพูดกับฉันต่อหน้า ไม่ใช่ว่าพยายามจะสร้างปัญหาเหรอ? แล้วพี่น้องชายหญิงจะคิดยังไงกับฉัน? ฉันไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก ฉันจะเปิดโปงข้อผิดพลาดของคุณบ้าง” ฉันเลยพูดไปว่า “พี่หวางดูถูกและคอยจับผิดฉันอยู่ตลอดนั่นแหละค่ะ เธอไม่ใช่คนดีนัก ใครๆ ก็รู้ ไม่เคยทำงานกับคนอื่นได้ดี แต่ว่าจู้จี้จุกจิกมาก ตอนนี้เธอพุ่งเป้ามาที่ฉัน แต่ฉันไม่เคยทำอะไรให้เธอเลย อาจเป็นเพราะฉันย้ายเธอไปคริสตจักรอื่นมั้ง เธอก็เลยเสียตำแหน่งหัวหน้าทีมและอยากจะแก้แค้นฉันเพราะเรื่องนั้น” ฉันอยากให้พี่น้องหญิงคนนั้นคิดว่าฉันปกติดี นั่นมันเป็นปัญหาของพี่หวาง หลังจากนั้นฉันก็คิดว่า มันน่าอับอายแค่ไหน ที่่พี่หวางเปิดโปงฉันต่อหน้าทุกคนแบบนั้น ถ้าทุกคนเชื่อเธอและคิดว่าฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จ แล้วพวกเขาจะมองฉันยังไง? แล้วถ้าเรื่องนี้ถูกรายงานต่อผู้นำระดับสูง ฉันอาจถึงกับเสียตำแหน่งของฉันไปก็ได้ ฉันหมกมุ่นอยู่กับมันมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มเกลียดพี่หวาง เธอเจาะจงฉันอย่างชัดเจนเลยไม่ใช่เหรอ? ฉันคิดว่าถ้าเธอใจร้าย ก็โทษฉันไม่ได้นะที่ไม่เป็นธรรม ตราบใดที่ฉันเป็นผู้นำ เธอก็จะไม่ได้เลื่อนตำแหน่งอีกเลย ฉันจะเปิดโปงพฤติกรรมทุกอย่างของเธอ ให้ทุกคนได้หยั่งรู้ และถ้าฉันรู้ว่าเธอตัดสินคนอื่นลับหลัง ฉันจะทำให้เธอออกจากคริสตจักร ฉันไม่ค่อยสบายใจกับความคิดแบบนี้นัก สงสัยว่าการทำกับเธอแบบนั้นจะสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าไหม? พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดสิ่งนี้ และฉันไม่ได้แสวงหาความจริงหรือไตร่ตรองตัวเอง แต่กลับเพ่งเล็งเธออย่างไม่อ้อมค้อม และอยากจะตะครุบความผิดพลาดของเธอเพื่อเอามาตอบโต้ ฉันรู้ว่านั่นไม่ได้แสดงการยอมรับความจริง

คืนนั้นฉันลองคิดๆ ดู พี่หวางพูดว่าฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จ และฉันไม่มีคุณสมบัติ แต่พอลองคิดดูจริงๆ ฉันเป็นผู้นำที่ดีและมีความสามารถไหม? ผู้นำควรเข้าใจทุกแง่มุมของงาน และแก้ไขปัญหาทันทีที่พบ ฉันมีหน้าที่ดูแลข่าวประเสริฐ ดังนั้นเมื่อทีมประสบปัญหา ฉันก็ควรให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงทันที แต่ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นมากสักเท่าไหร่เลย ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงไม่ใช่เหรอ? พี่หวางไม่ได้พูดผิดตรงไหน เธอไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีนัก แต่เธอไม่ใช่คนชั่ว เธอทำหน้าที่จนได้ผลลัพธ์ และมีพรสวรรค์และจุดแข็งอยู่บ้าง เธอจึงดีต่องานของพระนิเวศ ถ้าฉันไม่ปล่อยให้เธอทำหน้าที่หรือถึงกับไล่เธอออกเพราะความคับข้องใจส่วนตัว นั่นไม่เพียงเป็นการทำร้ายพี่หวาง แต่จะทำให้งานพระนิเวศหยุดชะงักด้วย ฉันไม่อาจทำสิ่งที่ทำให้พระเจ้ารังเกียจได้ เมื่อคิดอย่างนั้น ฉันก็ปล่อยอคติที่มีต่อเธอไปได้เล็กน้อย ฉันยังไตร่ตรองถึงงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่ฉันไม่ได้ทำด้วย ฉันเริ่มเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ที่เธอกล่าวถึง และสัมพันธ์สนิทกับพี่น้องชายหญิงถึงความยากลำบากพวกเขา พอทำแบบนั้นแล้วฉันก็รู้สึกดีขึ้น

ตอนนั้นฉันคิดว่าเรื่องทั้งหมดผ่านไปแล้ว แต่สองวันต่อมา พี่น้องหญิงอีกคนก็พูดกับฉันว่า “พี่หวางพูดถึงสัญญาณต่างๆ ที่บอกว่าคุณเป็นผู้นำเทียมเท็จ ในการชุมนุมที่มีคนกว่า 40 คน” ความโมโหทั้งมวลของฉันก็ผุดขึ้นมาอีกเมื่อได้ยินอย่างนั้น คิดว่า พี่หวางเปิดโปงฉันต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น ทำให้ชื่อของฉันแปดเปื้อนชัดๆ ฉันจะเงยหน้าอยู่ได้ยังไงถ้าเธอทำแบบนั้นต่อไป? ฉันอาจถึงกับถูกปลดเพราะเป็นผู้นำเทียมเท็จก็ได้ ฉันอยากแสดงให้เธอเห็นว่าอะไรเป็นอะไร เธอจะได้ไม่คิดว่าฉันเป็นลูกแกะน้อยเชื่องๆ! ฉันจะให้เธอเจอแบบเดียวกันที่ฉันเจอ ถ้าเธออยากเปิดโปงฉันต่อหน้าทุกคนและทำลายชื่อเสียงฉัน ฉันก็จะหาให้เจอว่าเธอทำอะไรผิดและรวบรวมหลักฐาน แล้วก็หาโอกาสกำจัดเธอไปซะ ฉันตึงเครียดอยู่ตลอดเวลาในช่วงสองสามวันจากนั้น คิดว่าจะกอบกู้ภาคภูมิและศักดิ์ศรีตัวเองยังไง จะเอาคืนกับเธอยังไง ฉันบอกผู้นำที่คริสตจักรใหม่ของเธอ ว่าเธอไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี คอยตัดสินผู้นำและคนทำงานคนอื่น ควรจับตาดูเธอไว้ และอย่ารีรอที่จะปลดหรือไล่เธออก ถ้าเห็นว่าเธอเริ่มมีพฤติกรรมไม่ดี พอพูดไปอย่างนั้นแล้ว ฉันประมาณว่ารู้สึกผิดและไม่สบายใจ คิดว่า “ฉันทำอะไรของฉันเนี่ย? นี่ไม่ใช่ว่าฉันตาต่อตา ไม่ใช่ว่าฟาดฟันและกีดกันคนอื่นออกไปเหรอ? พระเจ้าทรงต้องการให้ฉันได้รับบทเรียนแบบไหนจากเรื่องนี้กันนะ?” จากนั้น สุดท้ายฉันก็มาอยู่เฉพาะพระพักตร์เพื่ออธิษฐานและแสวงหา

ในการแสวงหา ฉันคิดถึงพระวจนะที่เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ที่กีดกันคนที่ตนไม่เห็นด้วย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สิ่งใดเล่าคือวัตถุประสงค์หลักของศัตรูของพระคริสต์เมื่อพวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง? พวกเขาเสาะแสวงที่จะสร้างสถานการณ์หนึ่งขึ้นมาในคริสตจักรที่ไม่มีเสียงใดเลยที่สวนทางกับของพวกเขาเอง โดยที่อำนาจของพวกเขา การปกครองของพวกเขา และคำพูดของพวกเขานั้นเป็นที่เด็ดขาดในสถานการณ์นั้น ทุกคนต้องใส่ใจพวกเขา และหากใครบางคนมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป พวกเขาก็ต้องเก็บความคิดเห็นนั้นเอาไว้กับตัวเองโดยไม่บอกให้ใครรู้และตัดไฟเสียแต่ต้นลม นี่คือหนึ่งเทคนิคที่พวกเหล่านั้นที่โจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่างใช้เพื่อทำให้สถานะของพวกเขามั่นคงขึ้นและธำรงไว้ซึ่งอำนาจของพวกเขา พวกเขาพูดว่า ‘ไม่เป็นไรเลยที่คุณจะมีความคิดเห็นทั้งหลายที่ต่างออกไป แต่คุณไม่สามารถเที่ยวไปพูดคุยเกี่ยวกับความคิดเห็นเหล่านั้นตามแต่คุณจะยินดีได้ นับประสาอะไรที่จะทำให้อำนาจและสถานะของฉันต้องเสี่ยง หากคุณมีบางสิ่งจะพูด ก็สามารถพูดสิ่งนั้นกับฉันได้เป็นการส่วนตัว หากคุณพูดสิ่งนั้นต่อหน้าทุกคนและเป็นเหตุให้ฉันเสียหน้า คุณก็กำลังขอให้ไม่มีใครสนใจใยดี และฉันก็จะจำเป็นต้องจัดการกับคุณ’ นี่คืออุปนิสัยประเภทใดหรือ? พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นพูดอย่างอิสระ หากพวกเขามีความเห็น—ไม่ว่าจะเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์หรือสิ่งอื่นใด—พวกเขาต้องเก็บความเห็นนั้นไว้กับตัวเอง พวกเขาต้องพิจารณาความมีหน้ามีตาในสังคมของศัตรูของพระคริสต์ ถ้าไม่อย่างนั้น ศัตรูของพระคริสต์ก็จะตราหน้าพวกเขาว่าเป็นศัตรู และโจมตีและกีดกันพวกเขาออกจากกลุ่ม นี่คือธรรมชาติประเภทใดหรือ? นี่ก็คือธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ แล้วเหตุใดเล่าพวกเขาจึงทำเช่นนี้? เพราะพวกเขาต้องการที่จะทำให้อำนาจและสถานะของพวกเขามั่นคงขึ้นอย่างต่อเนื่องในจิตใจของผู้คน และเพื่อให้อำนาจและสถานะของพวกเขามั่นคงและไม่สั่นคลอน พวกเขาไม่ทนยอมรับสิ่งใดก็ตามที่จะคุกคามหรือมีผลพวงต่อการเคารพนับถือ ความมีหน้ามีตา หรือสถานะและคุณค่าของพวกเขาในฐานะผู้นำ นี่ไม่ใช่การสำแดงถึงธรรมชาติที่เลวทรามของพวกศัตรูของพระคริสต์กระนั้นหรือ? ด้วยความที่ไม่พอใจกับอำนาจที่พวกเขาครองอยู่แล้ว พวกเขาจึงสร้างความมั่นคงให้กับอำนาจนั้นและรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้กับอำนาจนั้น และแสวงหาการครอบงำเด็ดขาด พวกเขาไม่เพียงต้องการควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่นเท่านั้น แต่ต้องการควบคุมหัวใจของคนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน มิใช่ว่า การกระทำทั้งหลายดังกล่าวเป็นไปเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอำนาจ—ถูกบันดาลใจและถูกนำทางโดยความทะยานอยากเพื่ออำนาจหรอกหรือ?…นี่แท้จริงเป็นพิเศษเมื่อคนที่เห็นต่างปรากฏอยู่ด้วย และศัตรูของพระคริสต์ได้ยินว่าคนที่เห็นต่างได้พูดบางสิ่งเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ หรือวิจารณ์ศัตรูของพระคริสต์ลับหลังศัตรูของพระคริสต์ ในกรณีนี้พวกเขาย่อมจะรีบแก้ไขเรื่องนี้ทันที โดยไม่กินไม่นอนจนกว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้น เป็นอย่างไรหนอนี่ พวกเขาจึงสามารถทุ่มเทความพยายามดังกล่าวได้? นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าอำนาจของพวกเขาได้ถูกคุกคาม และรู้สึกว่าชื่อ ผลตอบแทน และสถานะของพวกเขาได้ถูกทำให้เสียหาย หากบุคคลนี้บอกความจริงเกี่ยวกับประเด็นปัญหานี้ เช่นนั้นแล้ว สถานะของศัตรูของพระคริสต์ในฐานะผู้นำก็ย่อมอาจสูญไป หากข่าวนี้ไปถึงเบื้องบน หรือไปเข้าหูเหล่าพี่น้องชายหญิงในจำนวนที่มากขึ้น เช่นนั้นแล้ว เบื้องบนก็อาจจะแทนที่พวกเขา หรือเหล่าพี่น้องชายหญิงอาจจะปลดพวกเขาออก พวกเขาอาจถูกบังคับให้ลาออก เป็นเหตุผลพื้นฐานนี้นี่เองที่พวกเขาสละความพยายามมากเหลือเกินและยอมลงทุนลำบากเช่นนั้น ซึ่งบางครั้งก็พลาดมื้ออาหารหรือไม่หลับไม่นอนทั้งคืนเพื่อสามัคคีธรรมว่าด้วยเรื่องนี้ โดยพูดคุยกันจนพวกเขาคอแห้งเป็นผง อะไรเล่าคือวัตถุประสงค์ของพวกเขา? นั่นก็คือการเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของพวกเขา สำหรับผู้คนเช่นนี้ ตำแหน่งคือโลหิตเลี้ยงชีวิตของพวกเขา ทันทีที่พวกเขาได้ยินแว่วมาเข้าหูเพียงเล็กน้อยว่าสถานะของพวกเขาถูกคุกคาม พวกเขาก็กลายเป็นทุรนทุรายในหัวใจ และพวกเขาก็ขวัญหนีดีฝ่อ—เกรงกลัวว่าวันพรุ่งนี้ แทนที่จะเป็นผู้นำ พวกเขาอาจจะเป็นพี่น้องชายหญิงธรรมดา และจะไม่สามารถได้ชื่นชมความรู้สึกเหนือกว่าที่สถานะของพวกเขามอบให้หรือผลประโยชน์ที่ได้รับอีกต่อไป จะไม่มีใครเลยที่จะปฏิบัติตามหรือติดตามพวกเขาอีกต่อไป จะไม่มีใครเลยที่จะพยายามประจบประแจงพวกเขา และจะไม่มีใครเลยอ่อนน้อมยอมรับใช้พวกเขา นี่คือสิ่งที่สุดจะทนได้สำหรับพวกเขา(“พวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว คนที่เห็นต่างคนนี้เป็นภัยคุกคามต่อสถานะและอำนาจของพวกเขา ใครก็ตามที่คุกคามสถานะและอำนาจของพวกเขา ไม่สำคัญว่าผู้นั้นอาจเป็นใคร พวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะพยายามจนสุดทุกทางเพื่อ ‘จัดการ’ พวกเขา หากไม่สามารถบังคับผู้คนเหล่านี้ให้เชื่อฟังหรือรวมผู้คนเหล่านี้เข้ากับกำลังบังคับของพวกเขาเองได้ เช่นนั้นแล้ว พวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะโค่นอำนาจพวกเขาหรือชำระล้างพวกเขาออกไป สุดท้ายแล้ว พวกศัตรูของพระคริสต์ก็จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาในการมีอำนาจเด็ดขาด และอยู่เหนือกฎเกณฑ์ นี่คือหนึ่งในเทคนิคที่พวกศัตรูของพระคริสต์ใช้จนติดเป็นนิสัยเพื่อธำรงไว้ซึ่งสถานะของพวกเขา—พวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง(“พวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พระวจนะสะเทือนอารมณ์จริงๆ ทำให้ฉันกลัว ฉันไม่ได้รู้เลยว่าฉันสามารถฟาดฟันและกีดกันใครสักคนได้เพื่อชื่อและสถานะของฉัน และฉันทำชั่วอย่างศัตรูพระคริสต์ พอได้ยินว่าพี่หวางบอกคนอื่นๆ ว่าฉันไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันก็ไม่ยอมรับมันจากพระเจ้าหรือไตร่ตรองตนเอง ฉันไม่ได้คิดว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ คิดแค่ว่าเธอพุ่งเป้าเจาะจงฉันและตัดสินฉันลับหลัง ทำร้ายความภาคภูมิใจของฉัน ฉันก็เลยเริ่มไม่ชอบเธอและแบกความคับข้องใจไว้ ถึงกับอยากจะฟาดฟันเธอ จากนั้นพอฉันได้รู้ว่าเธอเปิดโปงฉันที่การชุมนุมที่มีคนมากขึ้น ฉันยิ่งเกลียดเธอมากกว่าเดิม ฉันอยากกอบกู้ความภาคภูมิใจและตำแหน่ง ก็เลยเอาการฝ่าฝืนในอดีตของเธอมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ให้คนอื่นๆ คิดว่าเธอไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี และบอกปัดเธอ ฉันถึงกับรวบรวมสิ่งต่างๆ ที่เธอเคยทำและนำไปบอกผู้นำปัจจุบันของเธอ เพื่อให้เธอถูกไล่ออก ฉันตระหนักดีว่าเธอมีพรสวรรค์และจุดแข็ง และทำหน้าที่ของเธอเองได้ดี รู้ว่าเธอเหมาะสมที่จะทำหน้าที่ในคริสตจักรต่อไป ฉันยังรู้ด้วยว่าพี่หวางเปิดเผยปัญหาจริงๆ ของฉัน แต่มันกระทบกับหน้าตาและสถานะของฉัน ฉันก็เลยเริ่มเห็นเธอเป็นผู้คัดค้าน ศัตรู และเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจของฉัน ฉันต้องการที่จะแก้แค้นให้ได้ ฉันได้เห็นว่าฉันมีธรรมชาติที่ชั่วร้ายจริงๆ! แล้วฉันก็คิดถึงศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกขับไล่ไปจากพระนิเวศ พวกเขาไม่ได้ไล่ตามความจริง ดังนั้นทันทีที่มีใครคุกคามสถานะของพวกเขา พวกเขาก็จะฟาดฟัน อยากให้คริสตจักรเป็นอาณาจักรตัวเอง อยากปกครองทุกอย่าง สุดท้ายก็ถูกไล่ออกเพราะทำชั่วมากเกินไป พฤติกรรมฉันไม่ต่างจากพฤติกรรมของพวกศัตรูของพระคริสต์

ฉันยังคงไตร่ตรองตัวเองต่อไป ว่าทำไมเป็นผู้เชื่อมาหลายปีแต่หยุดตัวเองไม่ให้เดินไปตามเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ และทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนั้นไม่ได้ จากนั้นในการชุมนุมหนึ่ง เราอ่าน “เหล่าผู้เชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจจริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน” มีบทตอนหนึ่งที่ตรงเข้ากลางใจฉัน และในที่สุดฉันก็เข้าใจเรื่องนี้ได้ดีขึ้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องเชื่อในพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าและในพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ ซึ่งพูดได้ว่า ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ต้องเชื่อฟังพระองค์ หากเจ้าไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ก็ย่อมไม่สำคัญแล้วว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ หากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี แต่ไม่เคยเชื่อฟังพระองค์ และไม่ยอมรับพระวจนะของพระองค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ แต่กลับขอให้พระเจ้าทรงนบนอบต่อเจ้าและทรงกระทำตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เจ้าก็คือกบฏตัวร้ายที่สุดในบรรดาทั้งหมด เจ้าก็คือผู้ปราศจากความเชื่อคนหนึ่งนั่นเอง ผู้คนเช่นนั้นจะเชื่อฟังพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าซึ่งไม่ประจวบพ้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้อย่างไรกัน? ที่เป็นกบฏที่สุดในบรรดาทั้งหมดก็คือพวกที่เยาะเย้ยท้าทายและต้านทานพระเจ้าโดยเจตนา พวกเขาเป็นศัตรูของพระเจ้า เป็นศัตรูของพระคริสต์ ท่าทีของพวกเขานั้นไม่เป็นมิตรต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเสมอ พวกเขาไม่มีความเอนเอียงแม้แต่น้อยนิดที่จะนบนอบ ทั้งยังไม่เคยนบนอบหรือถ่อมใจตนเองอย่างเปรมปรีดิ์ พวกเขายกย่องตนเองต่อหน้าผู้อื่นและไม่เคยยอมนบนอบต่อผู้ใด เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาพิจารณาว่าตนเองนั้นเก่งที่สุดในเรื่องการประกาศพระวจนะ และมีทักษะสูงสุดในการทำงานให้เกิดผลในตัวผู้อื่น พวกเขาไม่เคยทิ้งขว้าง ‘ขุมทรัพย์’ ที่ตนครอง แต่ปฏิบัติต่อขุมทรัพย์เหล่านั้นเฉกเช่นมรดกตกทอดของครอบครัวสำหรับนมัสการ เพื่อประกาศต่อผู้อื่นไปทั่ว และใช้ขุมทรัพย์เหล่านั้นเพื่ออบรมสั่งสอนพวกคนโง่เขลาที่ชื่นชูพวกเขา ในคริสตจักรมีผู้คนแบบนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียวจริงๆ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็น ‘วีรบุรุษผู้มิอาจมีผู้ใดพิชิตได้’ รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ผ่านมาพักแรมในบ้านของพระเจ้า พวกเขาถือการประกาศพระวจนะ (คำสอน) เป็นหน้าที่อันสูงส่งที่สุดของพวกเขา ปีแล้วปีเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า พวกเขายุ่งอยู่กับการบังคับใช้หน้าที่ ‘อันศักดิ์สิทธิ์และมิอาจฝ่าฝืนได้’ ของตนอย่างกร้าวแกร่ง ไม่มีใครกล้าแตะพวกเขา ไม่แม้แต่คนเดียวที่กล้าตำหนิพวกเขาอย่างเปิดเผย พวกเขากลายเป็น ‘กษัตริย์’ ในพระนิเวศของพระเจ้า อาละวาดเพ่นพ่านขณะที่พวกเขาปฏิบัติอย่างเผด็จการกับผู้อื่นมายุคแล้วยุคเล่า ปีศาจฝูงนี้พยายามหาทางร่วมมือกันรื้อทำลายงานของเรา เราสามารถยอมให้มารมีชีวิตพวกนี้ดำรงอยู่ต่อหน้าต่อตาเราได้อย่างไรกันเล่า? แม้แต่บรรดาผู้ที่เชื่อฟังเพียงครึ่งใจก็ยังไม่อาจรอดไปถึงปลายทางได้ นับประสาอะไรกับพวกเผด็จการเหล่านี้ที่ไม่มีความเชื่อฟังแม้เพียงน้อยนิดในหัวใจ! พระราชกิจของพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ได้รับอย่างง่ายดาย แม้จะใช้สรรพกำลังทั้งหมดที่พวกเขามี มนุษย์ก็สามารถได้รับเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งก็เปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมในท้ายที่สุด เช่นนั้นแล้ว บรรดาลูกหลานของหัวหน้าทูตสวรรค์ที่พยายามหาทางทำลายพระราชกิจของพระเจ้าล่ะว่าอย่างไร? พวกเขายิ่งมีความหวังน้อยสักเท่าใดที่จะได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า(พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระวจนะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีมากให้ฉัน ฉันได้เห็นพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมและเปี่ยมบารมี โดยเฉพาะในส่วนนี้ที่ว่า “พวกเขาไม่เคยยอมนบนอบต่อผู้ใด…ไม่มีใครกล้าแตะพวกเขา ไม่แม้แต่คนเดียวที่กล้าตำหนิพวกเขาอย่างเปิดเผย พวกเขากลายเป็น ‘กษัตริย์’ ในพระนิเวศของพระเจ้า อาละวาดเพ่นพ่านขณะที่พวกเขาปฏิบัติอย่างเผด็จการกับผู้อื่นมายุคแล้วยุคเล่า ปีศาจฝูงนี้พยายามหาทางร่วมมือกันรื้อทำลายงานของเรา เราสามารถยอมให้มารมีชีวิตพวกนี้ดำรงอยู่ต่อหน้าต่อตาเราได้อย่างไรกันเล่า?” ส่วนนี้ยิ่งทำให้ฉันกลัวมากขึ้น ตอนที่พี่หวางเปิดโปงฉันว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ ฉันตอบโต้ด้วยความเกลียดชัง ไม่พอใจ ขุ่นเคือง และต่อต้าน ฉันโจมตีอย่างชั่วร้ายด้วยความโมโห แม้จะเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันก็ไม่ยอมรับความจริงและขาดการนบนอบโดยสิ้นเชิง พอมีคนเปิดเผยถึงปัญหาของฉัน พอความภาคภูมิใจถูกทำร้ายและตำแหน่งถูกคุกคาม ฉันอยากใช้ทุกวิธีการเพื่อหน่วงเธอไว้และเอาคืน ถึงกับพยายามจะเอาสิทธิในการทำหน้าที่ของเธอไป ขับไล่เธอจากคริสตจักร ฉันมีความคิดมุ่งร้ายว่าฉันจะไม่พักจนกว่าจะทำลายเธอได้อย่างย่อยยับ ฉันกลายเป็น “กษัตริย์” ในพระนิเวศของพระเจ้า ที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง นั่นมันต่างจากปีศาจอย่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนตรงไหน? พวกเผด็จการนั่น ภาษิตพวกเขาคือ “ผู้ที่ทำตามเราเจริญ พวกที่ต้านทานเราพินาศ” เพื่อรักษากฎและรวมอำนาจของมันไว้เป็นหนึ่ง พรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งกดขี่ ถอนรากถอนโคน และกำจัด คนที่ไม่เห็นด้วยหรือกล้าวิจารณ์ความชั่วที่มันทำให้สิ้นซาก เช่นเดียวกับการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เช่นเดียวกับบรรดาชนกลุ่มน้อย และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือกับผู้เชื่อ ทั้งจับกุม กดขี่ และข่มเหงเรา ชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องสูญเสียด้วยน้ำมือพวกมัน พวกมันต้องถูกพระเจ้าลงโทษอย่างชอบธรรม ฉันคิดถึงตัวเองที่ได้รับการศึกษาจากพวกปีศาจคอมมิวนิสต์ตั้งแต่เด็ก คำพูดอย่าง “เราครองราชย์สูงสุด” “ทำตามเราเจริญ ต่อต้านเราพินาศ” “ถ้าเธอใจร้าย ก็อย่าโทษฉันที่ไม่เป็นธรรม” “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” พิษร้ายจากซาตานมากมายได้หยั่งรากลึกในใจฉัน กลายเป็นกฎเกณฑ์เพื่อความอยู่รอด ทำให้ฉันหยิ่งผยองและชั่วร้ายยิ่งขึ้น ฉันใช้ชีวิตตามคำพูดพวกนี้ จึงสามารถทำชั่ว กดขี่และทำร้ายคนอื่นได้ แล้วฉันยังคิดถึง ความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับการหยั่งรู้ผู้นำเทียมเท็จ แต่ฉันไม่เคยยึดถือมัน หรือไตร่ตรองว่าฉันทำตัวเหมือนผู้นำเทียมเท็จยังไงเลย ตอนนี้ทุกคนกำลังเรียนรู้ความจริงและตื่นขึ้น ดังนั้นจึงมีบางคนเปิดโปงและรายงานเรื่องผู้นำเทียมเท็จ นี่คือการปฏิบัติความจริงและปกป้องงานของคริสตจักร ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ไม่ว่าคนที่เปิดโปงฉันเป็นคนแบบไหน ไม่ว่าจะพุ่งเป้าเจาะจงฉันหรือไม่ ไม่ว่าจะพูดต่อหน้าฉันหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่สิ่งที่พวกเขาพูดเป็นความจริง ฉันก็ควรยอมรับมันจากพระเจ้า ยอมรับมันอย่างถูกต้อง นบนอบและเรียนรู้บทเรียน นั่นคือการยอมรับความจริงและนบนอบต่อพระเจ้า แต่สำหรับฉัน ฉันไม่ใช่แค่ปฏิเสธไม่นบนอบ แต่ยังฟาดฟันผู้ที่เปิดโปงฉันด้วย นั่นไม่ใช่ข้อพิพาทส่วนตัว แต่ฉันกำลังบอกปัดความจริงและต่อต้านพระเจ้า เมื่อตระหนักอย่างนี้ ฉันก็เกลียดตัวเองและค่อนข้างรู้สึกกลัว ฉันรีบมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและกลับใจว่า “พระเจ้า ข้าฯ ผิดไปแล้ว ตอนที่ถูกเปิดโปง ข้าฯ ไม่ได้ไตร่ตรองตนเองหรือเรียนรู้บทเรียน แต่พยายามเอาชนะเธอ ข้าฯ ได้เห็นว่าข้าฯ มีธรรมชาติที่ชั่วร้ายจริงๆ พระเจ้า ข้าฯ อยากกลับใจต่อพระองค์ ขอทรงนำด้วยเถิด”

ฉันไตร่ตรองถึงสิ่งที่พี่หวางพูดเกี่ยวกับตัวฉัน และเริ่มติดตามรายละเอียดงานจริงๆ ฉันได้พบว่างานมีปัญหาเยอะจริงๆ ค่ะ อย่างคนที่ยังใหม่ต่อทีมข่าวประเสริฐ ไม่คุ้นเคยกับความจริงแห่งนิมิต จึงแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความลำบากของคนที่ประกาศให้ไม่ได้ บางคนก็ไม่เข้าใจหลักการของงานข่าวประเสริฐ ก็เลยเปลี่ยนความเชื่อให้คนที่ไม่เหมาะสม บางคนไม่เข้าใจความจริงสักนิดแม้ถูกให้น้ำไปแล้วระยะหนึ่ง และบางคนก็ไม่สนใจความจริงและลาออกไป เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรของเราเป็นอย่างมาก ฉันหยิบยกปัญหาที่ฉันเห็นขึ้นมาพูดในการชุมนุม และสามัคคีธรรมถึงหลักการต่างๆ เพื่อทำให้ทุกอย่างถูกต้อง พี่น้องชายหญิงเริ่มวางแผนเพื่อให้ตนเองพร้อมมูลด้วยความจริงแห่งนิมิต และเมื่อไม่เข้าใจหรือสามัคคีธรรมเรื่องไหนไม่ได้ชัดเจน เราก็จะสามัคคีธรรมในเรื่องนั้นด้วยกัน ไม่นานพวกเขาก็มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับความจริงแห่งนิมิต และทีมก็ประสบความสำเร็จมากขึ้น ฉันรู้ว่าพระเจ้าให้พี่หวางเปิดโปงฉันว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จและชี้ให้เห็นว่า ฉันไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เพื่อให้ฉันได้ไตร่ตรองเกี่ยวกับตัวเองและทำหน้าที่ของฉันให้ดี พระองค์ทรงพิทักษ์รักษาฉัน

ภายหลัง ฉันนึกถึงพระวจนะอีกบทตอนหนึ่งค่ะ “พระเจ้าทรงพระราชกิจในบุคคลทุกๆ คน และไม่สำคัญว่าวิธีการของพระองค์คือสิ่งใด ผู้คน เรื่อง และสิ่งของประเภทใดที่พระองค์ทรงใช้ให้เป็นประโยชน์ในการปรนนิบัติของพระองค์ หรือว่าพระวจนะของพระองค์มีกระแสเสียงประเภทใด พระองค์ก็เพียงทรงมีเป้าหมายปลายทางเดียวเท่านั้น นั่นคือ การช่วยเจ้าให้รอด แล้วพระองค์ทรงช่วยเจ้าให้รอดอย่างไรเล่า? พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงเจ้า ดังนั้น เจ้าจะไม่สามารถทนทุกข์เล็กน้อยได้อย่างไร? เจ้ากำลังจะต้องทนทุกข์ ความทุกข์นี้สามารถเกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่าง บางครั้งพระเจ้าทรงโปรดให้สภาพแวดล้อมหนึ่งเกิดขึ้นรอบๆ เจ้าเพื่อตีแผ่เจ้า เพื่อที่เจ้าจะสามารถมารู้จักตัวเจ้าเองได้ มิฉะนั้นแล้วเจ้าอาจจะถูกจัดการ ตัดแต่ง และเปิดโปงโดยตรง เหมือนกันไม่มีผิดกับใครบางคนบนเตียงผ่าตัด—โดยการก้าวผ่านความเจ็บปวดและความทุกข์บ้างเท่านั้น จึงจะสามารถไปถึงบทอวสานที่ดีได้ หากทุกครั้งที่เจ้าได้รับการตัดแต่งและจัดการ และทุกครั้งที่เจ้าถูกตีแผ่โดยสภาพแวดล้อมหนึ่ง นั่นปลุกเร้าความรู้สึกของเจ้าและให้สิ่งชูกำลังแก่เจ้า เช่นนั้นแล้ว โดยผ่านทางกระบวนการนี้เจ้าจะมีวุฒิภาวะและจะเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งความจริง…หากพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อม ผู้คน เรื่องทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลายเฉพาะบางอย่างสำหรับเจ้า หากพระองค์ทรงตัดแต่งและทรงจัดการกับเจ้า และหากเจ้าเรียนรู้บทเรียนจากการนี้ หากเจ้าได้เรียนรู้ที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริง และได้รับการให้ความรู้แจ้งและการให้ความกระจ่างและบรรลุความจริงโดยไม่รู้ตัว หากเจ้าได้รับประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งในสภาพแวดล้อมเหล่านี้ ได้เก็บเกี่ยวบำเหน็จ และได้สร้างความก้าวหน้า หากเจ้าเริ่มมีการจับใจความเล็กน้อยเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และเจ้าหยุดพร่ำบ่นร้องทุกข์ เช่นนั้นแล้วทั้งหมดนี้ก็จะหมายความว่า เจ้าได้ตั้งมั่นในท่ามกลางบททดสอบของสภาพแวดล้อมเหล่านี้แล้ว และได้ทานทนกับการทดสอบแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะได้ก้าวผ่านความทุกข์ยากสาหัสนี้แล้ว พระเจ้าจะทรงคำนึงถึงบรรดาผู้ที่ทานทนกับการทดสอบอย่างไร? พระเจ้าจะตรัสว่าพวกเขามีหัวใจที่แท้จริง การที่พวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ประเภทนี้ได้แสดงให้เห็นว่า ลึกลงไปแล้วพวกเขารักความจริงและต้องการความจริง หากพระเจ้าทรงมีการประเมินเจ้าประเภทนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่ใช่ใครคนหนึ่งซึ่งมีวุฒิภาวะหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่มีชีวิตหรอกหรือ? และชีวิตนี้บรรลุมาอย่างไร? นั่นประทานโดยพระเจ้าหรือ? พระเจ้าทรงจัดหาให้เจ้าในหนทางนานาสารพันและทรงใช้ผู้คน สิ่งของ และวัตถุที่เป็นเป้าหมายนานาสารพันเพื่อฝึกฝนเจ้า นี่เป็นราวกับว่าพระเจ้ากำลังทรงมอบอาหารและเครื่องดื่มให้เจ้าด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะและกำลังทรงถืออาหารและเครื่องดื่มนั้นไว้ตรงหน้าเจ้าพอดีเพื่อป้อนอาหารให้เจ้า และปล่อยให้เจ้าชื่นชมอาหารและเครื่องดื่มนั้น และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเติบโตและยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง นี่คือวิธีที่เจ้าต้องมีทรรศนะและจับความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ นี่คือวิธีนบนอบต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้า(“การที่จะได้รับความจริง เจ้าต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลายรอบตัวเจ้า” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันได้รับประสบการณ์อย่างลึกซึ้งจากเรื่องนี้ ว่าพระเจ้าทรงใช้พี่หวางเพื่อเปิดโปงปัญหาในหน้าที่ของฉัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ ที่ฉันจะยอมรับ แต่มันเป็นประโยชน์มากต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉัน การถูกจัดการด้วยวิธีนั้น ช่วยให้ฉันเห็นคุณลักษณะต่างๆ ของการเป็นผู้นำเทียมเท็จในตัวฉัน กระตุ้นให้ฉันแสวงหาความจริงและเปลี่ยนแปลง ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเห็นธรรมชาติที่เย่อหยิ่งและชั่วร้ายของฉัน ฉันสามารถกดขี่และกีดกันใครสักคนเพื่อปกป้องชื่อและสถานะตัวเองได้ การเห็นอย่างนั้นทำให้ฉันไล่ตามความจริง ละความเสื่อมทราม ถูกชำระให้บริสุทธิ์ นี่คือพระคุณพิเศษ ความรักและความรอดของพระองค์ที่มีต่อฉัน ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามากค่ะ!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การสู้รบกับการล้างสมอง

โดย จ้าวเลี่ยง ประเทศจีน ผมถูกตำรวจพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับเพราะความเชื่อตอนอายุ 19 ปี พวกเขาทรมานและล้างสมองผมอยู่ 60 วัน...

ตัวเลือกท่ามกลางวิกฤต

โดย จาง จิ้น, ประเทศจีน ช่วงก่อนหน้านี้ คือผมได้รับจดหมายจากพี่จ้าว ผู้นำคริสตจักรของพวกเขา รวมถึงพี่น้องชายและพี่น้องหญิง...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger