พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างไร?

วันที่ 28 เดือน 11 ปี 2021

ผู้คนต่างตระหนักแล้วว่าความวิบัติครั้งใหญ่มาถึงเราแล้ว ผู้ที่คาดหวังว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาบนเมฆก็รอคอยด้วยลมหายใจที่แผ่วลง หลังจากรอคอยมาหลายปี ก็ยังไม่เห็นพระองค์เสด็จมา แต่เห็นฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเป็นพยานถึงงานแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นี่คือความผิดหวังครั้งใหญ่สำหรับพวกเขา ต่างหวังจะถูกรับขึ้นไปโดยตรง ไปยังที่ที่จะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่เคยคาดหวังว่าจะทรงงานการพิพากษาเมื่อกลับมา พวกเขาไม่อยากยอมรับมัน หลายคนกำลังติดตามกำลังบังคับของศัตรูของพระคริสต์ในโลกศาสนา ตัดสินและกล่าวโทษการปรากฏและงานของพระเจ้า พวกเขาคิดว่า “บาปของเราถูกยกโทษแล้ว พระเจ้าถือว่าเราชอบธรรมแล้ว การพิพากษาของพระเจ้าจึงไม่จำเป็น เรารอให้ทรงนำเราขึ้นสู่ราชอาณาจักร ที่ซึ่งเราจะได้ชื่นชมพระพร” พวกเขายึดติดกับมโนคติอันหลงผิด ไม่เต็มใจแสวงหาและตรวจสอบหนทางที่แท้จริง ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมพวกเขาจึงยังไม่ต้อนรับพระเจ้า แต่ตกสู่ความวิบัติ สิ่งนี้ลุล่วงพระวจนะองค์พระเยซูเจ้าโดยครบถ้วน “เพราะว่าใครที่มีอยู่แล้วจะให้แก่คนนั้นจนมีอย่างเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่มีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา เอาไอ้บ่าวชั่วช้าไปทิ้งเสียยังที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน(มัทธิว 25:29-30) แต่ก็มีหลายคนที่รักความจริงและเมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็เห็นฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของมัน เห็นว่าทุกคำเป็นความจริง พวกเขาจำเสียงของพระเจ้าได้และไม่ถูกรั้งไว้โดยมโนคติอันหลงผิดอีก แต่ตรวจสอบหนทางที่แท้จริงต่อไป คำถามแรกของพวกเขาคึอ ทำไมพระเจ้ายังจะต้องทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา ในเมื่อบาปถูกยกโทษและทรงถือว่าพวกเขาชอบธรรมแล้ว และทรงชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดผ่านงานในยุคสุดท้ายนั้นอย่างไร คำถามสองข้อนี้สำคัญที่สุดและชวนสับสนที่สุด ซึ่งทุกคนที่ตรวจสอบหนทางที่แท้จริง จะต้องเข้าใจไว้

เรามาเริ่มกันจากคำถามว่า ทำไมต้องทรงงานการพิพากษาในยุคสุดท้าย สิ่งนี้สร้างความสับสนให้ผู้นับถือศาสนาหลายคน พวกเขาคิดว่า “พระเจ้าทรงยกโทษให้บาปของเราแล้ว และทรงไม่มองว่าเราบาป เราจึงถูกพาตรงเข้าไปสู่ราชอาณาจักรได้ ไม่ต้องรับการพิพากษาจากพระเจ้า” นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ครับ ทรงยกโทษให้บาปของมนุษย์แล้วจริง แต่การยกโทษนั้นแปลว่าเราถูกชำระให้บริสุทธิ์แล้วหรือ? แปลว่าเราบรรลุการนบนอบที่แท้จริงต่อพระเจ้าแล้วหรือ? เปล่าครับ เราทุกคนเคยเห็นข้อเท็จจริงนี้แล้ว แม้บาปของเราจะได้รับการยกโทษ ผู้เชื่อก็อยู่ในวัฏจักรของการทำบาปและสารภาพบาปโดยไม่ยกเว้น กลางวันทำบาป พอถึงกลางคืนก็สารภาพบาป พยายามรักษาพระบัญญัติขององค์พระเยซูเจ้าแต่ล้มเหลว พยายามรักและนบนอบต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ล้มเหลว ตั้งมั่นว่าจะทำดี แต่ยังโกหกและทำบาปโดยขัดแย้งกับตนเอง จะพยายามหนักแค่ไหนก็รั้งตัวเองไว้ไม่ได้ หลายคนรู้สึกว่าเนื้อหนังนั้นเสื่อมทรามเกินไป และการใช้ชีวิตในบาปนั้นเจ็บปวดจริงๆ แล้วทำไมผู้คนจึงหลุดพ้นจากพันธะแห่งบาปไม่ได้ล่ะครับ? ทำไมเราอดทำบาปอีกครั้งและอีกครั้งไม่ได้? นั่นก็เพราะธรรมชาติเปี่ยมบาปและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของคน สองสิ่งนั้นคือรากเหง้าของบาป ถ้าไม่แก้ไขรากเหง้าของบาป เราก็ไม่มีทางเป็นอิสระจากมันได้ แต่เรายังต้านทานพระเจ้าต่อไป กล่าวโทษ ทำตัวเป็นศัตรูต่อพระองค์ คิดถึงพวกฟาริสีสิครับ ที่มีความเชื่อมาหลายชั่วอายุคนและบูชาไถ่บาปอยู่เสมอ เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในฐานะองค์พระเยซูเจ้า และแสดงความจริงมากมาย ทำไมดูไม่ออกว่าพระองค์คือการปรากฏของพระยาห์เวห์พระเจ้า แต่กล่าวโทษและตัดสินพระองค์ ถึงกับตรึงพระองค์ไว้กับกางเขน? ปัญหาคืออะไรครับ? ในยุคสุดท้ายนี้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาและแสดงความจริง ทำไมผู้นับถือศาสนาหลายคนจึงปฏิเสธจะมองค้นเข้าไป แต่กล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระองค์อย่างบ้าคลั่ง แน่วแน่จะตรึงกางเขนพระเจ้าอีก? ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร? มันแสดงให้เห็นชัดว่า แม้บาปถูกยกโทษแล้ว ผู้คนก็ยังถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานปกครอง และอาจกล่าวโทษและต้านทานพระเจ้าได้ทุกเมื่อ ความเปี่ยมบาปของมวลมนุษย์ไม่ใช่แค่เรื่องของความประพฤติที่บาป แต่ร้ายแรงจนอยากตรึงกางเขนพระคริสต์ที่แสดงความจริง ต่อต้านพระเจ้าและความจริง ทำตัวและทำงานขัดกับพระเจ้า กลายเป็นศัตรูของพระองค์ ผู้ที่โสมมและเสื่อมทรามที่ต่อต้านพระเจ้าจะคู่ควรกับราชอาณาจักรเหรอครับ? พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ และพระอุปนิสัยมิอาจล่วงเกินได้ ถ้าผู้ที่บาปถูกยกโทษไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านงานการพิพากษา แต่ทำบาปและต้านทานพระเจ้าต่อ ก็ไม่มีทางคู่ควรกับราชอาณาจักร—เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลยครับ สิ่งนี้ลุล่วงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้(มัทธิว 7:21)เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป(ยอห์น 8:34-35) แล้วยังมีฮีบรู 12:14 ว่า “ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” องค์พระเยซูเจ้าจึงตรัสหลายครั้งในช่วงงานการไถ่บาปว่าจะมาอีก แล้วทรงมาที่นี่เพื่อทำอะไรล่ะ? ก็เพื่อแสดงความจริงและทรงงานการพิพากษา เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปและกำลังบังคับของซาตาน เพื่อให้เราหันไปหาพระเจ้าได้เต็มที่ กลายเป็นคนที่นบนอบและนมัสการพระเจ้า แล้วจึงจะทรงพาเราเข้าสู่บั้นปลายที่งดงาม อย่างที่มีเผยพระวจนะไว้ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:47-48)เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17) เราเห็นได้ว่าพระเจ้าวางแผนไว้นานแล้วว่าจะทรงงานการพิพากษาในยุคสุดท้าย นี่แหละสิ่งที่มนุษย์ที่เสื่อมทรามต้องถูกช่วยให้รอด ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังแสดงความจริงและทรงงานการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า ทรงเป็นพระวิญญาณแห่งความจริงที่มาท่ามกลางมนุษย์ นำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าไปสู่ความจริงทั้งปวง สิ่งนี้ลุล่วงคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า มาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กัน เพื่อให้ชัดเจนขึ้นว่าทำไมต้องทรงงานการพิพากษาในยุคสุดท้าย

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)

ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่ มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้ เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้… สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่… ไม่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะกลับกลายเป็นตระหนักรู้บาปทั้งหลายของเขาเอง เขาไม่มีหนทางที่จะตระหนักได้ถึงธรรมชาติอันหยั่งรากลึกของตัวเขาเอง และเขาต้องพึ่งพาการพิพากษาโดยพระวจนะ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้ เฉพาะเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถค่อยๆ ถูกเปลี่ยนแปลงจากจุดนี้เป็นต้นไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))

ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าเองถูกตรึงกางเขน กลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ และทรงไถ่บาปให้มนุษยชาติ แต่นั้นมา บาปของคนก็ถูกยกโทษ พระเจ้าทรงไม่มองว่าเราบาปอีก เราจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าได้โดยตรงและมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ได้ แต่การที่ไม่ทรงมองว่ามนุษย์บาปแปลว่าทรงยกโทษให้บาปเราแค่นั้น ไม่ได้แปลว่าเราปลอดจากบาปหรือบริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ เรายังมีธรรมชาติที่เปี่ยมบาปและอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เราต้องก้าวผ่านงานการพิพากษาในยุคสุดท้าย ให้ความเสื่อมทรามถูกชำระ ถูกช่วยให้รอดได้อย่างครบถ้วน งานการไถ่ของพระเจ้าในยุคพระคุณได้ปูทางให้งานการพิพากษาในยุคสุดท้าย นั่นคือ งานการพิพากษาของพระองค์ จะทำบนพื้นฐานของงานการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า งานการไถ่ของพระเจ้าทำให้งานความรอดเสร็จแค่ครึ่งเดียว สิ่งที่จะชำระและช่วยมนุษย์ให้รอดได้คืองานการพิพากษาในยุคสุดท้ายนี้เอง เป็นระยะสำคัญที่สุดของงานความรอดของพระเจ้า เราต้องประสบกับการพิพากษาและการชำระในยุคสุดท้าย ต้องปลอดจากบาปและถูกชำระให้บริสุทธิ์ ต้องนบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงและทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อให้คู่ควรกับราชอาณาจักร

ถึงจุดนี้ ผมว่าเราเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าทำไมพระเจ้าจึงกำลังทรงงานการพิพากษาในยุคสุดท้าย บางคนอาจสงสัยว่างานนี้ชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดได้อย่างไร มาดูกันว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสไว้อย่างไร “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)

ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษากับการตีสอน และการทนทุกข์กับกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้า หรือถูกจัดการ บ่มวินัยและตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ และไม่ทำเป็นขอไปทีกับพระองค์ ภายใต้กระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลง โดยผ่านทางการเปิดโปง การพิพากษา การบ่มวินัย และการจัดการของพระวจนะของพระองค์เท่านั้นพวกเขาจึงจะไม่กล้าที่จะปฏิบัติตนอย่างมุทะลุอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนักแน่นและสำรวมแทน ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือว่า พวกเขามีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าและต่อพระราชกิจของพระองค์ได้ ต่อให้พระราชกิจไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถที่จะละวางมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้และนบนอบได้อย่างเต็มใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว)

พระเจ้าทรงมีหลายวิถีทางในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม พระองค์ทรงนำสภาพแวดล้อมทุกลักษณะมาใช้ในการจัดการกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และทรงใช้สิ่งต่างๆ นานาในการตีแผ่มนุษย์ ในแง่หนึ่ง พระองค์ทรงจัดการกับมนุษย์ ในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ทรงตีแผ่มนุษย์ และในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ทรงเปิดเผยมนุษย์ โดยทรงขุดคุ้ยและเปิดเผย ‘ความล้ำลึก’ ในส่วนลึกของหัวใจของมนุษย์ และทรงแสดงให้มนุษย์เห็นธรรมชาติของเขาโดยการเปิดเผยสภาวะมากมายของเขาออกมา พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยผ่านทางวิธีการมากมาย—โดยผ่านทางการเปิดเผย โดยผ่านทางการจัดการกับมนุษย์ โดยผ่านทางกระบวนการการถลุงมนุษย์ และการตีสอน—เพื่อที่มนุษย์อาจรู้ว่าพระเจ้านั้นทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง” ตั (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้มุ่งเน้นการปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้)

นี่ช่วยให้กระจ่างขึ้นบ้าง ว่าพระเจ้าทรงงานการพิพากษาของพระองค์ยังไง ใช่ไหมครับ? ในงานการพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงเป็นหลัก เพื่อพิพากษาและเปิดโปงแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของคน และอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเรา ให้เห็นความจริงของความเสื่อมทรามของเรา สำนึกผิดจากใจ เกลียดและดูหมิ่นตัวเราเอง ละทิ้งเนื้อหนังและนำพระวจนะไปสู่การปฏิบัติ บรรลุการกลับใจและการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เปิดโปงการสำแดงของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนเต็มที่ เช่น ความเย่อหยิ่ง เล่ห์ลวงและความชั่ว อีกทั้งแรงจูงใจและสิ่งเจือปนในความเชื่อ แม้แต่ความคิดและความรู้สึกของเราที่ซ่อนอยู่ลึกที่สุด ทั้งหมดนี้ถูกเปิดเผยอย่างเฉียบขาด การอ่านพระวจนะของพระองค์เหมือนพระเจ้ากำลังพิพากษาเราต่อหน้าเรา เราเห็นตัวตนที่โสมม เสื่อมทรามและอัปลักษณ์ที่ทรงเปิดเผยโดยถ้วนทั่ว ทำให้เราละอายใจ ไร้ที่หลบซ่อน ไม่คู่ควรจะมีชีวิตต่อเบื้องพระพักตร์ ขณะพิพากษามนุษย์ด้วยพระวจนะ พระเจ้ายังสร้างสถานการณ์จริงเพื่อเปิดโปงเราด้วย แล้วเราก็ถูกตัดแต่ง ถูกจัดการและทดสอบโดยข้อเท็จจริง ให้เราได้ไตร่ตรองและรู้จักตนเอง เมื่อถูกความเป็นจริงเปิดโปง แล้วถูกพระวจนะเปิดโปงและพิพากษาต่อ เราก็เห็นความอัปลักษณ์ของการอยู่ด้วยธรรมชาติเยี่ยงซาตานชัดขึ้น เต็มไปด้วยความเสียใจและเกลียดตนเอง ค่อยๆ กลับใจอย่างแท้จริง อุปนิสัยที่เสื่อมทรามก็ถูกชำระและเปลี่ยนแปลง เรามาฟังพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์กันครับ ให้เข้าใจชัดขึ้นว่าพระเจ้าทรงงานการพิพากษาอย่างไร

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “กิจการของเรามีมากกว่าจำนวนของเม็ดทรายบนชายหาด และปัญญาของเราเหนือกว่าบุตรชายทั้งหมดของซาโลมอน กระนั้นผู้คนก็เพียงคิดว่าเราเป็นแพทย์ที่ไม่มีความสำคัญและเป็นครูที่ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของมนุษย์เท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้รักษาพวกเขาเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้ใช้ฤทธานุภาพของเราขับวิญญาณสกปรกออกจากร่างของพวกเขาเท่านั้น และผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงแค่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดีจากเรา ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อเรียกร้องทรัพย์สมบัติทางวัตถุจากเราให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตนี้อย่างสันติสุขและเพื่อที่จะอยู่อย่างปลอดภัยคลายกังวลในโลกที่จะมาถึง ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์จากนรกและเพื่อได้รับพรจากสวรรค์ ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อสิ่งชูใจชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใดในโลกที่จะมาถึง เมื่อเราได้ปล่อยความโกรธเคืองต่อมนุษย์ของเราออกมาและได้ยึดเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ เมื่อเราได้ให้ความทุกข์จากนรกแก่มนุษย์และได้เอาพรจากสวรรค์กลับคืน ความละอายของมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อมนุษย์ได้ขอให้เรารักษาเขา แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจและรู้สึกชิงชังต่อเขา มนุษย์ได้ออกห่างจากเราเพื่อแสวงหาวิธีการของยาและวิทยาคมอันชั่วร้ายแทน เมื่อเราได้เอาทุกอย่างที่มนุษย์เรียกร้องจากเรากลับไป ทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกว่ามนุษย์มีความเชื่อในเราเพราะเราให้พระคุณมากเกินไป และมีมากเกินไปที่จะได้รับ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?)

ผู้ติดตามพระเจ้ามากมายเพียงห่วงกับวิธีที่จะได้รับพระพร หรือไม่ก็วิธีที่จะป้องกันยับยั้งการเกิดความวิบัติ ทันทีที่มีการเอ่ยถึงพระราชกิจและการบริหารจัดการของพระเจ้า พวกเขาจะเงียบกริบและหมดความสนใจไป พวกเขาคิดว่า การเข้าใจหัวข้อต่างๆ ดังกล่าวที่น่าเหนื่อยหน่ายเช่นนั้นจะไม่ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาเติบโต หรือให้ผลประโยชน์ใดๆ ผลสืบเนื่องตามมาก็คือ แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการบริหารจัดการของพระเจ้ามาแล้ว พวกเขาก็ให้การใส่ใจเพียงน้อยนิด พวกเขาไม่ได้มองว่าเป็นบางสิ่งอันล้ำค่าที่ควรยอมรับ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะรับไว้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเขา ผู้คนเหล่านั้นมีเพียงจุดมุ่งหมายอันเรียบง่ายอยู่หนึ่งอย่างในการติดตามพระเจ้า และจุดมุ่งหมายนั้นก็คือ เพื่อที่จะได้รับพระพร ผู้คนดังกล่าวไม่พยายามที่จะให้การใส่ใจกับสิ่งอื่นใดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับจุดมุ่งหมายนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีเป้าหมายใดที่ถูกทำนองคลองธรรมมากไปกว่าการเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับพระพร—นั่นคือคุณค่าแท้จริงของความเชื่อของพวกเขา หากบางสิ่งไม่มีส่วนช่วยให้จุดมุ่งหมายนี้สัมฤทธิ์ พวกเขาจะยังคงไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งนั้นโดยสิ้นเชิง นี่เป็นกรณีของผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งเชื่อในพระเจ้าทุกวันนี้ จุดมุ่งหมายและเจตนาของพวกเขาดูเหมือนถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพราะในขณะที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาสละให้พระเจ้าทั้งหมด มอบอุทิศตนเองให้กับพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาด้วยเช่นกัน พวกเขายอมละทิ้งชีวิตวัยเยาว์ ละทิ้งครอบครัวและอาชีพการงาน และถึงขั้นใช้เวลาหลายปีจากบ้านไปผูกพันตัวเองกับกิจธุระมากมาย เพื่อเห็นแก่เป้าหมายสูงสุดของพวกเขา พวกเขาเปลี่ยนแปลงความสนใจต่างๆ ของตนเอง เปลี่ยนทัศนะของพวกเขาที่มีต่อชีวิต และถึงขั้นเปลี่ยนทิศทางที่พวกเขาแสวงหา กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนจุดมุ่งหมายของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาได้ พวกเขาวุ่นสาละวนกับการบริหารจัดการอุดมคติต่างๆ ของตัวพวกเขาเอง ไม่ว่าถนนเส้นนั้นจะยาวไกลเพียงใด ไม่ว่าความยากลำบากและอุปสรรคต่างๆ จะมากมายเพียงใดตลอดเส้นทางนั้น พวกเขายังคงยืนกรานและหาได้เกรงกลัวต่อความตายไม่ พลังอำนาจอะไรกันที่ขับดันพวกเขาให้มอบอุทิศตัวเองต่อไปในหนทางนี้? นี่คือมโนธรรมของพวกเขาอย่างนั้นหรือ? นี่คือบุคลิกลักษณะอันยิ่งใหญ่และสง่างามของพวกเขาอย่างนั้นหรือ? นี่คือความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเขาที่จะสู้รบกับกองกำลังของความชั่วไปจนถึงที่สุดเลยหรือ? นี่คือความเชื่อของพวกเขาที่จะเป็นพยานต่อพระเจ้าโดยปราศจากการแสวงหาบำเหน็จรางวัลหรือ? นี่คือความจงรักภักดีของพวกเขาในความเต็มใจที่จะยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อสัมฤทธิ์น้ำพระทัยของพระเจ้าหรือ? หรือว่านี่คือจิตวิญญาณแห่งการอุทิศของพวกเขาที่จะละแล้วซึ่งความต้องการฟุ้งเฟ้อส่วนตัวอย่างนั้นหรือ? การที่บางคนซึ่งไม่เคยเข้าใจพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าจะยังคงมอบให้อย่างมากมายนั้นเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ชัดๆ! ณ ตอนนี้ พวกเราจงหยุดหารือกันเถิดว่า ผู้คนเหล่านี้ได้ให้มาแล้วเท่าไรแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร พฤติกรรมของพวกเขานั้นก็มีค่าควรแก่การวิเคราะห์ของพวกเราอย่างยิ่ง นอกเหนือไปจากผลประโยชน์ต่างๆ ที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาอย่างมากแล้ว พอจะสามารถมีเหตุผลอื่นใดหรือไม่ว่า เหตุใดผู้คนเหล่านี้ซึ่งไม่เคยเข้าใจพระเจ้าเลย จึงจะมอบให้พระองค์อย่างมากมาย? พวกเราค้นพบปัญหาหนึ่งซึ่งไม่เคยถูกระบุมาก่อนหน้าอยู่ในการนี้ นั่นก็คือ สัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้านั้นเป็นแค่สัมพันธภาพแห่งผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้รับกับผู้ให้พร กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ลูกจ้างทำงานเพียงเพื่อได้รับสินจ้างรางวัลที่นายจ้างมอบให้ ไม่มีเสน่หาใดเลยในสัมพันธภาพเช่นนี้ มีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น ไม่มีการให้ความรัก หรือการได้รับความรัก มีเพียงการแบ่งปันและความปรานี ไม่มีความเข้าใจ มีเพียงความขัดเคืองคับข้องที่ถูกเก็บกดเอาไว้และความหลอกลวงเท่านั้น ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนม มีเพียงช่องว่างทางความนึกคิดที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้เท่านั้น บัดนี้เมื่อสิ่งต่างๆ ได้มาถึงจุดนี้ ใครเล่าที่สามารถเดินย้อนเส้นทางนั้นกลับไปได้? และมีคนมากแค่ไหนที่เข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าสัมพันธภาพนี้ได้กลับกลาย เป็นจริงจังยิ่งแล้วอย่างไร? เราเชื่อว่า เมื่อผู้คนชุ่มแช่ตัวเองอยู่ในความชื่นบานยินดีแห่งการได้รับพระพร ไม่มีใครเลยที่จะสามารถจินตนาการได้ว่า สัมพันธภาพกับพระเจ้าเช่นนั้นช่างน่าตะขิดตะขวงและไม่น่ามองเพียงไร(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น)

จะเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเจ้าที่จะมอบอุทิศความพยายามมากขึ้นให้กับความจริงของการรู้จักตนเอง เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า? เหตุใดอุปนิสัยของเจ้าจึงเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนสำหรับพระองค์? เหตุใดวาทะของเจ้าปลุกเร้าความเกลียดของพระองค์? ทันทีที่เจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีสักเล็กน้อย เจ้าก็ขับร้องสรรเสริญตนเอง และเจ้าเรียกร้องบำเหน็จรางวัลสำหรับการมีส่วนร่วมสนับสนุนเพียงน้อยนิดของเจ้า เจ้าดูถูกผู้อื่นเมื่อเจ้าแสดงความเชื่อฟังเพียงเล็กน้อยและกลายเป็นเหยียดหยามพระเจ้าเมื่อได้สำเร็จลุล่วงในภารกิจยิบย่อยบางอย่าง ในการต้อนรับขับสู้พระเจ้า พวกเจ้าร้องขอเงินทอง ของขวัญ และคำชมเชย เจ้ารู้สึกใจแป้วที่จะต้องบริจาคหนึ่งหรือสองเหรียญ ครั้นเจ้าบริจาคสิบเหรียญ เจ้าปรารถนาพรและต้องการได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างโดดเด่น ความเป็นมนุษย์เช่นที่พวกเจ้ามีนั้นช่างระคายปากและแสลงหูยิ่งนัก มีสิ่งใดบ้างที่น่ายกย่องในคำพูดและการกระทำของเจ้า? พวกที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนและพวกที่ไม่ปฏิบัติ พวกที่เป็นผู้นำและพวกที่ติดตาม พวกที่ต้อนรับขับสู้พระเจ้าและพวกที่ไม่ต้อนรับ พวกที่บริจาคและพวกที่ไม่บริจาค พวกที่ประกาศและพวกที่รับพระวจนะ และอื่นๆ มนุษย์เหล่านี้ทุกคนชมตัวเอง พวกเจ้าไม่คิดว่าสิ่งนี้น่าหัวเราะหรอกหรือ? ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เจ้าก็ไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกว่าพวกเจ้าปราศจากคุณความดีอย่างสิ้นเชิง เจ้าก็ยังยืนกรานที่จะอวดตัวอยู่ดี พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่า สำนึกรับรู้ของพวกเจ้าเสื่อมลงจนถึงจุดที่พวกเจ้าไม่มีการควบคุมตนเองอีกต่อไปแล้ว? ด้วยสำนึกรับรู้เช่นนี้ เจ้ายังเหมาะที่จะคบหาสมาคมกับพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเจ้าไม่กลัวว่าตัวพวกเจ้าเองกำลังตกอยู่ในอันตรายในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้หรอกหรือ? อุปนิสัยของพวกเจ้าได้เสื่อมลงแล้วจนถึงจุดที่พวกเจ้าไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความเชื่อของพวกเจ้าไม่น่าหัวเราะหรอกหรือ? ความเชื่อของพวกเจ้าไม่วิปริตหรอกหรือ? เจ้าจะเข้าหาอนาคตของเจ้าอย่างไร? เจ้าจะเลือกเส้นทางที่จะใช้อย่างไร?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์คือปรปักษ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน)

หลังจากหลายพันปีแห่งความเสื่อมทราม มนุษย์ด้านชาและปัญญาทึบ เขาได้กลายเป็นปีศาจตนหนึ่งซึ่งต่อต้านพระเจ้า จนถึงขนาดที่ความเป็นกบฏของมนุษย์ต่อพระเจ้านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหลาย และกระทั่งมนุษย์เองก็ไม่สามารถที่จะพรรณนาพฤติกรรมอันเป็นกบฏของเขาได้อย่างครบถ้วน—ด้วยเหตุที่มนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และได้ถูกซาตานพาออกนอกลู่นอกทางไปถึงขนาดที่ว่าเขาไม่รู้ว่าจะหันไปทางใด แม้กระทั่งวันนี้ มนุษย์ยังคงทรยศพระเจ้า กล่าวคือ เมื่อมนุษย์เห็นพระเจ้า เขาทรยศพระองค์ และเมื่อเขาไม่สามารถเห็นพระเจ้า เขาก็ทรยศพระองค์ด้วยเช่นกัน มีแม้กระทั่งพวกที่เมื่อได้เป็นประจักษ์พยานในคำสาปแช่งของพระเจ้าและพระพิโรธของพระเจ้าแล้ว ก็ยังคงทรยศพระองค์ และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าสำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้ว และมโนธรรมของมนุษย์ก็ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้วด้วยเช่นกัน มนุษย์ที่เราเฝ้ามองคือสัตว์เดียรัจฉานตัวหนึ่งในเครื่องแต่งกายของมนุษย์ เขาเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง และไม่สำคัญว่าเขาพยายามทำตัวให้ดูเหมือนน่าเวทนาต่อหน้าต่อตาของเราเพียงใด เราจะไม่มีวันเมตตาเขา ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่มีการจับความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างขาวกับดำ ในความแตกต่างระหว่างความจริงกับสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง สำนึกรับรู้ของมนุษย์ด้านชายิ่งนัก กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะได้รับพร สภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาต่ำศักดิ์ยิ่งนัก กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะมีอธิปไตยของกษัตริย์ เขาจะสามารถเป็นกษัตริย์ของใครได้ ด้วยสำนึกรับรู้เช่นนั้น? เขาที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นจะสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างไร? มนุษย์ไม่มีความละอายใจจริงๆ! เขาคือผู้เคราะห์ร้ายที่ทะนงตนคนหนึ่ง! สำหรับพวกเจ้าที่ปรารถนาจะได้รับพร เราขอแนะนำให้เจ้าหากระจกเงาบานหนึ่งแล้วมองดูภาพสะท้อนอันน่าเกลียดของเจ้าเองเสียก่อน—เจ้ามีสิ่งจำเป็นในการเป็นกษัตริย์หรือไม่? เจ้ามีหน้าตาเหมือนผู้หนึ่งซึ่งสามารถได้รับพรหรือไม่? ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเลยแม้แต่น้อยและเจ้ายังไม่ได้นำความจริงใดๆ มาปฏิบัติเลย กระนั้นเจ้ายังคงปรารถนาที่จะมีวันพรุ่งนี้ที่น่าอัศจรรย์อยู่อีก เจ้ากำลังหลอกตัวเอง!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า)

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก จริงทุกคำ เปิดเผยสิ่งเจือปนและแรงจูงใจชั่วช้าในความเชื่อเรา ตลอดจนธรรมชาติที่ต้านทานพระเจ้าของเรา เราเคยคิดอยู่เสมอว่าเราพลีอุทิศ ทนทุกข์และจ่ายราคาได้เพื่อพระเจ้า ซึ่งแปลว่าเรายำเกรงและเชื่อฟัง สามารถได้รับการทรงเห็นชอบ แต่เราไตร่ตรองและรู้จักตนเองผ่านการพิพากษาของพระวจนะ และเห็นว่าการพลีอุทิศทั้งหมดมีมลทิน ทำไปเพียงให้ได้พระพร เมื่อพระเจ้าอวยพรให้เรามีชีวิตที่เปี่ยมสันติ เราก็นบนอบและทำงานเพื่อพระองค์ แต่เมื่อความเจ็บปวดและความวิบัติมาถึง เราก็เข้าใจพระเจ้าผิด ตำหนิที่ไม่ทรงพิทักษ์รักษา อาจถึงกับหยุดทำงานเพื่อพระองค์ แล้วก็เห็นว่าความเชื่อและการพลีอุทิศของเราล้วนเป็นการแลกเปลี่ยน เพื่อรีดเอาพระคุณและพระพร นี่คือการโกงและใช้พระเจ้า เห็นแก่ตัวและฉลาดแกมโกงมาก! เราขาดมโนธรรมและเหตุผลสิ้นเชิง ไม่ควรถูกเรียกว่าคนด้วยซ้ำ โสมมและเสื่อมทรามมาก ยังคิดว่ามีสิทธิ์ได้รับพระพรและเข้าสู่ราชอาณาจักร ทั้งน่าละอายและไร้เหตุผล พระวจนะแห่งการพิพากษาและการเปิดเผย แสดงให้เราเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและบริสุทธิ์ที่ไม่อาจล่วงเกินได้ และเห็นว่าสิ่งที่ทรงขอจากเราก็คือความจริงใจและความทุ่มเท การมีความเชื่อและทำหน้าที่ด้วยมลทินและแรงจูงใจแบบนั้น คือการโกงและต้านทานพระเจ้า น่ารังเกียจและน่าชังสำหรับพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงรู้จักความเชื่อแบบนี้ ผ่านการพิพากษาของพระวจนะ และการถูกจัดการและทดสอบหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดเราก็เห็นความจริงของความเสื่อมทรามของเราได้ เกลียดชังตนเองและเสียใจจริงๆ และหมอบราบต่อพระพักตร์โดยกลับใจ เรายังเห็นความชอบธรรมของพระเจ้าได้ เห็นว่าทรงเห็นหัวใจและจิตใจของเราจริงๆ ทรงรู้จักเราเป็นอย่างดี เราแน่ใจมากและเริ่มมีใจที่เคารพนับถือพระเจ้า มุมมองความเชื่อก็เปลี่ยนสภาพ เราทำงานอย่างบริสุทธิ์ใจยิ่งขึ้น ปราศจากความปรารถนาฟุ่มเฟือย ยินดีนบนอบต่อการจัดเตรียมการของพระเจ้า และทำหน้าที่สิ่งทรงสร้าง ไม่ว่าจะทรงอวยพรหรือไม่ ไม่ว่าจะได้รับพระพรของราชอาณาจักรไหม เมื่อได้เห็นว่าที่จริงเราประกอบด้วยอะไร เราก็ไม่เย่อหยิ่งเหมือนเคย กลายเป็นมีเหตุผลในคำพูดและความประพฤติ แสวงหาและนบนอบต่อความจริง นี่คือการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ซึ่งค่อยๆ ชำระความเสื่อมทรามให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนมัน พวกเราที่เคยประสบกับงานของพระเจ้ารู้ดีว่า งานการพิพากษาในยุคสุดท้ายสัมพันธ์กับชีวิตจริงแค่ไหน ชำระมนุษย์และช่วยให้รอดได้อย่างไร ถ้าไม่มีการพิพากษาและการตัดแต่ง เราจะไม่มีวันเห็นความเสื่อมทรามของตนจริงๆ แต่จะติดอยู่ในชีวิตของการทำบาปและสารภาพบาปไม่รู้จบ คิดว่าเข้าสู่ราชอาณาจักรได้เพราะบาปถูกยกโทษแล้ว ว่าทรงเห็นชอบแล้ว อย่างนั้นมันโง่เขลาและน่าสมเพชมากครับ! ด้วยการพิพากษาของพระเจ้า เราจึงไดรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง เราเรียนรู้ความจริงมากมาย อุปนิสัยที่เสื่อมทรามถูกชำระและถูกเปลี่ยน มันอิสระอย่างไม่น่าเชื่อเลยครับ การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าให้อะไรเรามาก เป็นความรักแท้ที่ทรงมีให้เรา ความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ 30 ปีเต็มแล้วตั้งแต่ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เริ่มแสดงความจริงและทรงงานการพิพากษา และพระองค์ทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะสำเร็จแล้วก่อนเกิดความวิบัติ นั่นคือผลแรก ลุล่วงคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์อย่างครบถ้วน “คนเหล่านี้… เป็นพวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับการไถ่แล้วจากมวลมนุษย์เพื่อเป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก(วิวรณ์ 14:4) ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ประสบกับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบและการถลุง อุปนิสัยเสื่อมทรามถูกชำระให้บริสุทธิ์ เป็นอิสระจากกำลังบังคับของซาตานในที่สุด พวกเขามาเพื่อนบนอบและนมัสการพระเจ้า รับความรอดอันยิ่งใหญ่ ประสบการณ์และคำพยานของพวกเขาถูกทำเป็นหนังและวิดีโอที่ออนไลน์ทั้งหมด เป็นพยานต่อมวลมนุษย์ถึงการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า โดยไม่ทิ้งข้อสงสัยในใจของผู้ชม ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เผยแผ่ไปทั่วทุกมุมโลก ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากทุกแห่งกำลังเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรที่งดงามและไม่เคยมีมาก่อนอยู่ในมือเรา เห็นได้ชัดว่างานการพิพากษาที่เริ่มต้นที่พระนิเวศประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว พระเจ้าทรงเอาชนะซาตานและได้รับสง่าราศีทั้งหมด อย่างที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน เพื่อที่มนุษย์อาจได้รับความรู้เกี่ยวกับพระองค์ และเพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์ หากปราศจากการพิพากษาของพระองค์ต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์แล้ว มนุษย์คงไม่อาจสามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ได้ ซึ่งไม่ยินยอมให้มีการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ อีกทั้งมนุษย์คงจะไม่สามารถเปลี่ยนความรู้เก่าๆ ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าให้กลายเป็นความรู้ใหม่ได้ เพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์ และเพื่อประโยชน์ของการบริหารจัดการของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์เป็นสิ่งที่รู้กันโดยทั่วไป ดังนั้นจึงทำให้มนุษย์สามารถมาถึงจุดที่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ได้รับการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของเขา และเป็นคำพยานที่ดังกึกก้องต่อพระเจ้าโดยผ่านทางการทรงปรากฏต่อสาธารณะของพระองค์ได้ การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการทำให้สัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางพระราชกิจหลากหลายประเภทที่แตกต่างกันของพระเจ้า หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขาเช่นนั้นแล้ว มนุษย์คงจะไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและติดตามพระทัยของพระเจ้าได้ การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์เป็นเครื่องแสดงว่ามนุษย์ได้ทำให้ตัวเขาเองเป็นอิสระจากพันธนาการของซาตานและจากอิทธิพลของความมืด และได้กลายเป็นแบบอย่างและอุทาหรณ์ของพระราชกิจของพระเจ้า พยานของพระเจ้า และผู้ที่ติดตามพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง ในวันนี้ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้เสด็จมากระทำพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และพระองค์ทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์สัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระองค์ การเชื่อฟังต่อพระองค์ คำพยานต่อพระองค์ เพื่อให้รู้จักพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและปกติของพระองค์ เพื่อให้เชื่อฟังพระวจนะและพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ซึ่งไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และเพื่อเป็นคำพยานต่อพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด รวมทั้งกิจการทั้งหมดที่พระองค์ทรงสำเร็จลุล่วงเพื่อพิชิตมนุษย์ บรรดาผู้ที่เป็นคำพยานต่อพระเจ้าต้องมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่ถูกต้องแม่นยำและเป็นจริง และคำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ซาตานอับอายได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า)บรรดาผู้ซึ่งมีความสามารถที่จะตั้งมั่นในระหว่างพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าช่วงระหว่างยุคสุดท้าย—กล่าวคือ ในระหว่างพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ขั้นสุดท้ายนั้น—จะเป็นบรรดาผู้ซึ่งจะเข้าสู่การหยุดพักขั้นสุดท้ายเคียงข้างพระเจ้า เช่นนี้เอง บรรดาผู้ซึ่งเข้าสู่การหยุดพักทั้งหมดนั้นจะหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตาน และจะได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าหลังจากได้ก้าวผ่านพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ขั้นสุดท้ายของพระองค์แล้ว พวกมนุษย์เหล่านี้ ผู้ซึ่งในที่สุดจะได้ถูกรับไว้โดยพระเจ้านั้น จะเข้าสู่การหยุดพักขั้นสุดท้าย โดยแก่นแท้แล้วจุดประสงค์ของพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าหมายที่จะชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์ เพื่อการหยุดพักขั้นสุดท้าย หากไม่มีการชำระให้สะอาดดังกล่าว ก็คงจะไม่มีมนุษย์คนใดถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแตกต่างกันตามประเภท หรือเข้าสู่การหยุดพักได้ พระราชกิจนี้เป็นเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นของมนุษยชาติที่จะเข้าสู่การหยุดพัก(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ทำไมเราจึงต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เพียงด้วยการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าเท่านั้น?

ตอนนี้ ผู้เชื่อทุกคนต่างเฝ้ารอให้องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาบนเมฆ เพราะภัยพิบัติเริ่มรุนแรงขึ้น และพวกโรคระบาดต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นด้วย...

จริงหรือที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาบนก้อนเมฆ?

ตอนนี้ เรากำลังเห็นความวิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า กับโรคระบาดล้างโลก ผู้เชื่อรอคอยอย่างเร่งด่วนให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาบนเมฆ...

ใครเล่าที่สามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและปฏิวัติโชคชะตาของพวกเรา?

ในเรื่องโชคชะตา คนส่วนใหญ่ต่างก็อยาก มีเงินทอง สถานะ ประสบความสำเร็จ ด้วยโชคชะตาที่ดี คิดว่าคนจนไร้ชื่อเสียง ประสบหายนะ ลำบากและถูกดูแคลน...

ความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรยศองค์พระเยซูเจ้าหรือไม่?

กว่าสามสิบปีแล้ว ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงปรากฏ เริ่มทรงงานและแสดงความจริงในปี 1991...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger