การแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จออกจากพระคริสต์แท้จริง
วันนี้ผมขอพูดถึง การแยกแยะพระคริสต์เทียมจากพระคริสต์แท้ บางคนอาจถามว่า มันเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าของเรายังไง เกี่ยวค่อนข้างมากครับ ทุกคนรู้ไหมครับว่าพระคริสต์คือใคร? ถ้าคุณรู้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่มายังโลก ตอนนี้ความวิบัติกำลังมา และยุคสุดท้ายก็มาถึงเรา คุณว่าพระผู้ช่วยให้รอดจำเป็นสำหรับคุณไหม? ถ้าพระผู้ช่วยให้รอดจำเป็นสำหรับคุณ คุณรู้ไหมว่าต้องเป็นคนไหนที่จะช่วยคุณให้รอด? คุณรู้วิธีการต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอดไหม? คุณคิดว่านี่สำคัญและเกี่ยวข้องกับคุณหรือไม่? ยกตัวอย่างเช่น 2,000 ปีก่อน พระเยซูผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาไถ่มวลมนุษย์ และทรงแสดงความจริงมากมาย ชาวยิวในเวลานั้นรู้ว่าพระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจ มีฤทธิานุภาพ และเป็นความจริงทั้งหมด แต่เพราะพระองค์ไม่ได้ชื่อพระเมสสิยาห์ ไม่ได้ช่วยพวกเขาให้รอดจากการปกครองของโรมอย่างที่พวกเขาคิด พวกเขาจึงไม่ยอมรับรู้องค์พระเยซูเจ้าว่าเป็นพระคริสต์ กล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระองค์ว่าหลอกลวงผู้คน สุดท้ายก็ก็จับพระองค์ตรึงกางเขนทั้งเป็น ผลสืบเนื่องคืออะไร? การที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ถูกชาวยิวตรึงกางเขนเป็นเรื่องเรียบง่ายหรือไม่? มันถูกพระเจ้าแช่งสาปแน่ครับ เรารู้ว่า 60 ปีต่อมา ประชาชาติอิสราเอลถูกทิตัสแห่งโรมทำลายล้าง ถูกทำลายไปนานแค่ไหน? เกือบ 2,000 ปี! ชาวอิสราเอลจ่ายราคาหนักมาก เพราะตรึงกางเขนพระผู้ช่วยให้รอด ถ้าอย่างนั้น การต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอดสำคัญหรือไม่ครับ? ใครบ้างจะล่วงเกินพระผู้ช่วยให้รอดบนโลกไหว? ถ้าคุณไม่รู้จักหรือยอมรับพระองค์ แต่กลับต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์ด้วยซ้ำ แสดงว่าคุณจบเห่แล้ว จบเห่จริงๆ และต้องพินาศแน่นอน หากคุณอยากถูกช่วยให้รอดและอยู่รอดจากความวิบัติ ก็ต้องยอมรับพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงสถิตอยู่ที่นี่แล้ว เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ลงมา แสดงความจริงและทรงงานพิพากษาของยุคสุดท้าย เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากบาปและความวิบัติ แต่คุณจะจำพระองค์ได้ไหม? จะยอมรับพระองค์ไหม? แม้หลายคนยอมรับรู้ว่าพระวจนมีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ แต่เมื่อเห็นว่า พระองค์ไม่ได้มาบนเมฆและไม่ได้ถูกเรียกว่าองค์พระเยซูเจ้า ก็ปฏิเสธแน่วแน่ไม่ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ถึงกับคล้อยตามโลกศาสนา กล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระองค์ ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มาปรากฏในรูปมนุษย์คงเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ หลอกลวง กำลังบังคับศัตรูของพระคริสต์ในโลกศาสนาก็เห็นดีกับพวกปิศาจพรรคคอมมิวนิสต์ พยายามทำลายและไล่ล่าพระคริสต์อย่างบ้าคลั่ง ข่มเหงผู้ที่แบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า อยากทำลายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิให้สิ้นซาก ขับพระเจ้าออกจากมนุษยชาติ นี่เป็นการก่อบาปครั้งใหญ่ด้วยการตรึงกางเขนพระเจ้าซ้ำอีกครั้ง พวกเขาจะถูกพระเจ้าแช่งสาปและลงโทษอย่างแน่นอน ตามที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความวิบัติจงบังเกิดแก่พวกที่ตรึงกางเขนพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คนชั่วจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน) “ที่ใดก็ตามที่มีการทรงปรากฏในรูปมนุษย์เกิดขึ้นก็คือสถานที่ที่ศัตรูถูกทำลายจนสิ้นซาก ประเทศจีนจะเป็นชาติแรกที่ถูกทำลายล้าง โดยจะถูกทำให้ย่อยยับด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่นั่นพระเจ้าจะไม่ทรงแสดงความปรานีอย่างเด็ดขาด” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 10) ท่าทีของผู้คนที่มีต่อพระผู้ช่วยให้รอดจึงเป็นตัวกำหนดว่าจะอยู่รอดหรือถูกกวาดล้าง
ตอนนี้ทุกคนรู้ว่า การจะต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอดได้นั้นเกี่ยวข้องกับว่าความเชื่อเราสำเร็จหรือล้มเหลว ตลอดจนจุดจบและบั้นปลายสุดท้าย! ดังนั้น ต่อจากนี้ไป เรามาคุยกันว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงกลับมาในยุคสุดท้ายยังไง ตามมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมของโลกศาสนา องค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาบนเมฆและ นำผู้เชื่อขึ้นไปพบพระองค์บนฟ้าแน่นอน เข้าใจผิดทั้งนั้นครับ เป็นแค่มโนคติอันหลงผิดของคน ไม่สอดคล้องกับพระวจนะสักนิด องค์พระเยซูเจ้าเผยพระวจนะด้วยตนเองถึง “การเสด็จมาของบุตรมนุษย์” “บุตรมนุษย์จะมาปรากฏ” “บุตรมนุษย์เสด็จมา” และ “บุตรมนุษย์ในวันของพระองค์” ทรงเน้นย้ำถึง “บุตรมนุษย์” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แปลว่าเมื่อทรงกลับมา ทรงปรากฏในรูปมนุษย์เป็นบุตรมนุษย์อีกครั้ง นี่คือการปรากฏของพระคริสต์ การนี้ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ บางคนอาจถามว่า “บุตรมนุษย์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ไม่เหมือนองค์พระเยซูเจ้าเหรอ? พระองค์ต้องดูเหมือนคนปกติ มีผู้คนจากทั่วโลกที่อ้างว่าตนเป็นพระคริสต์ที่ทรงกลับมา บ้างว่าคนนี้คือพระคริสต์ บ้างว่าคนนั้นคือพระคริสต์ แล้วคนไหนจริงแท้ และคนไหนเทียมเท็จล่ะครับ? เราจะต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอดได้ยังไง?” คนส่วนใหญ่ติดขัดจุดนี้เมื่อมองค้นเข้าไปในหนทางแท้จริง อันที่จริง นี่ไม่ใช่คำถามยากครับ หากไตร่ตรองคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าอย่างจริงจัง เราก็จะพบหนทาง องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยอห์น 16:12-13) “เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” (มัทธิว 25:6) “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27) “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20) “ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า ‘นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่โน่น’ อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้” (มัทธิว 24:23-24) องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ชัดมาก เมื่อองค์พระเยซูเจ้ากลับมาในยุคสุดท้าย จะทรงดำรัสวจนะอีกมากมาย นำมนุษย์ให้เข้าใจและเข้าสู่ความจริงทั้งมวล จึงทรงย้ำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าว่า กุญแจของการต้อนรับคือการฟังเสียงพระเจ้า ถ้าได้ยินใครเป็นพยานว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว” เราต้องเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญา แสวงหาและฟังสุรเสียงพระเจ้า นั่นเป็นทางเดียวที่จะรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเส้นทางเดียวที่จะต้อนรับการทรงกลับมา พระคริสต์มาในยุคสุดท้ายแล้ว จึงแน่นอนว่าพระองค์กำลังแสดงความจริงเพิ่มอีกเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ แต่พระคริสต์เทียมแค่แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อนำให้คนหลงทาง นี่เป็นหลักธรรมสำคัญที่องค์พระเยซูเจ้าบอกเราให้แยกแยะพระคริสต์เทียมจากพระคริสต์แท้ ตามหลักธรรมนี้ เรารู้ได้ว่านี่คือพระคริสต์แท้จริงหรือพระคริสต์เทียมเท็จ โดยดูว่าพวกเขาแสดงความจริงหรือไม่ ถ้าทำได้ ก็ต้องเป็นพระคริสต์แน่ พวกที่แสดงความจริงไม่ได้ต้องเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ ถ้าใครสักคนอ้างว่าเป็นพระคริสต์ แต่แสดงความจริงใดๆ ไม่ได้เลย กลับพึ่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ก็ไม่ต้องสงสัยว่านั่นเป็นฉากหน้าของวิญญาณชั่ว พระคริสต์เทียมที่มาเพื่อนำผู้คนผิดๆ การทำตามพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเพื่อแยกแยะพระคริสต์แท้จากพระคริสต์เท็จเรียบง่ายมากใช่ไหม? แต่น่าเสียดายที่ผู้นับถือศาสนาไม่ได้แสวงหาความจริงหรือสุรเสียงของพระเจ้า ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า กลัวถูกพระคริสต์เทียมนำให้หลง จึงไม่แสวงหาการปรากฏและราชกิจของพระเจ้าด้วยซ้ำ นั่นไม่ใช่การตายประชดป่าช้าเหรอครับ? เสียน้อยยาก เสียมากง่าย ยึดถือตามพระคัมภีร์อย่างมืดบอดถึงการมาบนเมฆ กล่าวโทษและปฏิเสธงานของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ผลก็คือพวกเขาเสียโอกาสต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอดและตกสู่ความวิบัติ เป็นผลมาจากความโง่เขลาและรู้ไม่เท่าทันไม่ใช่หรือ? ทำให้ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ลุล่วง: “คนโง่ตายเพราะขาดสามัญสำนึก” (สุภาษิต 10:21) “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้” (โฮเชยา 4:6)
ส่วนเรื่องการแยกแยะพระคริสต์แท้และเทียม เรามาดูรายละเอียดของเรื่องนี้จากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันครับ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เรียกว่าพระคริสต์ และพระคริสต์คือเนื้อหนังมนุษย์ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงจุติมา เนื้อหนังมนุษย์นี้ไม่เหมือนกับมนุษย์คนใดที่มีเนื้อหนัง ความแตกต่างนี้เป็นเพราะว่า พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นเลือดเนื้อ พระองค์ทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ของพระวิญญาณ พระองค์ทรงมีทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ ไม่มีมนุษย์คนใดครอบครองเทวสภาพของพระองค์ สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ช่วยในการทำกิจกรรมตามปกติทั้งหมดของพระองค์ในเนื้อหนัง ในขณะที่เทวสภาพของพระองค์ปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของพระคริสต์คือการเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์)
“พระเจ้าซึ่งทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการขานพระนามว่าพระคริสต์ และดังนั้นแล้วพระคริสต์ที่สามารถประทานความจริงแก่ผู้คนได้จึงมีพระนามเรียกขานว่าพระเจ้า ไม่มีอะไรที่เกินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงครองเนื้อแท้ของพระเจ้า และทรงครองพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระปรีชาญาณในพระราชกิจของพระองค์ ที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์ บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นเนื้อหนังพิเศษเฉพาะที่ได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการและทำให้พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์เสร็จสิ้น เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้อย่างเพียงพอ และสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นตัวแทนพระเจ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกที่แสร้งแสดงตนเป็นพระคริสต์จะพินาศกันทั้งหมด เพราะแม้พวกเขาจะอ้างว่าเป็นพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่ได้ครองเนื้อแท้ของพระคริสต์เลย และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าความจริงแท้แห่งพระคริสต์ไม่สามารถนิยามได้โดยมนุษย์ แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ตอบและตัดสินด้วยพระองค์เอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)
“พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์เขลาและไม่รู้เท่าทัน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)
“มีบางคนผู้ถูกวิญญาณชั่วเข้าครองและส่งเสียงร้องอย่างระเบ็งเซ็งแซ่ว่า ‘เราคือพระเจ้า!’ กระนั้น ในที่สุดพวกเขาก็ถูกเปิดเผย เพราะพวกเขาทำผิดในสิ่งที่พวกเขาเป็นตัวแทน พวกเขาเป็นตัวแทนซาตาน และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใส่พระทัยพวกเขา เจ้าจะยกย่องตัวเจ้าเองอย่างสูงเพียงใดก็ตาม หรือเจ้าจะส่งเสียงร้องอย่างแข็งกร้าวเพียงใดก็ตาม เจ้าก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งและเป็นผู้ที่เป็นของซาตาน… เจ้าไร้ความสามารถที่จะสร้างเส้นทางใหม่ๆ ขึ้นมา หรือเป็นตัวแทนพระวิญญาณได้ เจ้าไม่สามารถแสดงออกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณหรือพระวจนะที่พระองค์ตรัส เจ้าไร้ความสามารถที่จะทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองได้ และเจ้าก็ไร้ความสามารถที่จะทำพระราชกิจของพระวิญญาณได้ พระปัญญา การอัศจรรย์ และความมิอาจหยั่งถึงได้ของพระเจ้า และความครบถ้วนบริบูรณ์แห่งพระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงใช้ตีสอนมนุษย์—เหล่านี้ทั้งหมดล้วนเกินความสามารถของเจ้าที่จะแสดงออกได้ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามกล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้า เจ้าคงจะมีเพียงชื่อเท่านั้นและไม่มีสิ่งใดจากเนื้อแท้เลย พระเจ้าพระองค์เองได้เสด็จมาแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดจำพระองค์ได้ กระนั้นพระองค์ยังทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ต่อไป และทรงทำเช่นนั้นในการเป็นตัวแทนของพระวิญญาณ ไม่ว่าเจ้าจะเรียกพระองค์ว่ามนุษย์หรือพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าหรือพระคริสต์ หรือเรียกพระองค์ว่าพี่น้องหญิง นั่นก็ไม่สำคัญ แต่พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำคือพระราชกิจของพระวิญญาณและเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์ไม่ใส่พระทัยกับพระนามที่มนุษย์ใช้เรียกพระองค์ พระนามนั้นสามารถกำหนดพระราชกิจของพระองค์ได้หรือ? ไม่ว่าเจ้าจะเรียกพระองค์ว่าอย่างไร เท่าที่พระเจ้าทรงคำนึงก็คือ พระองค์ทรงเป็นเนื้อหนังที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระวิญญาณและได้รับความเห็นชอบโดยพระวิญญาณ หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะกรุยทางให้แก่ยุคใหม่ หรือนำพายุคเก่าไปถึงปลายทาง หรือนำยุคใหม่เข้ามา หรือทำงานใหม่ได้ เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถเรียกเจ้าว่าพระเจ้าได้!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (1))
“หากในระหว่างยุคปัจจุบันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่ออกมาซึ่งสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไล่ผี รักษาคนป่วย และทำปาฏิหาริย์มากมาย และหากบุคคลผู้นี้อ้างว่าพวกเขาคือพระเยซูผู้ได้เสด็จมา เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นสิ่งเทียมเท็จที่ทำขึ้นโดยพวกวิญญาณชั่วที่เลียนแบบพระเยซู จงจดจำการนี้ไว้! พระเจ้าไม่ทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ ช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเยซูได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีวันทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนั้นอีกครั้ง พระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ได้ ยกตัวอย่างเช่น พันธสัญญาเดิมได้บอกล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ และผลลัพธ์ของคำพยากรณ์นี้คือการเสด็จมาของพระเยซู เมื่อการนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็น่าจะผิดที่จะมีพระเมสสิยาห์อีกองค์เสด็จมาอีกครั้ง พระเยซูได้เสด็จมาแล้วครั้งหนึ่ง และย่อมจะผิดหากพระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งในครานี้ มีหนึ่งชื่อสำหรับแต่ละยุค และแต่ละชื่อประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญของยุคนั้น ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พระเจ้าต้องทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เสมอ ต้องทรงรักษาคนป่วยและไล่ผีเสมอ และต้องทรงเป็นดุจดั่งพระเยซูเสมอ กระนั้นในครานี้ พระเจ้ามิได้ทรงเป็นเช่นนั้นแต่อย่างใด หากในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้ายังคงทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และยังคงทรงไล่ผีและรักษาคนป่วย—หากพระองค์ทรงทำอย่างเดียวกันกับพระเยซู—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็คงจะกำลังทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ และพระราชกิจของพระเยซูก็จะไม่มีนัยสำคัญหรือคุณค่า ดังนั้นในทุกยุคพระเจ้าจึงทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะเดียวจนแล้วเสร็จ ทันทีที่แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระองค์ได้ดำเนินการครบบริบูรณ์แล้ว ในไม่ช้าก็ถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว และหลังจากซาตานเริ่มตามหลังพระเจ้าไปติดๆ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนแปลงไปสู่วิธีการที่ต่างออกไป ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ ก็จะถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว พวกเจ้าต้องชัดเจนเกี่ยวกับการนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้)
หลังจากอ่านพระวจนะแล้ว เราทุกคนเข้าใจมากขึ้นใช่ไหมว่าพระคริสต์คืออะไร จะแยกแยะพระคริสต์แท้ จากพระคริสต์เทียมยังไง พระคริสต์คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระวิญญาณที่นุ่งห่มเนื้อหนังเป็นบุตรมนุษย์ จากภายนอก พระคริสต์เป็นแค่คนปกติธรรมดา แต่แก่นแท้ของพระองค์แตกต่างจากคนธรรมดาโดยสิ้นเชิง ทรงมีพระวิญญาณอยู่ภายใน ทรงเป็นการแปลงรูปของพระวิญญาณ พระองค์จึงมีแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ โดยแก่นแท้ ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้าง! พระคริสต์แสดงความจริง แสดงอุปนิสัยพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นได้ทุกที่ทุกเมื่อ สามารถทรงงานไถ่ของมนุษย์ได้เช่นเดียวกับงานพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ นอกจากพระคริสต์แล้ว ทั้งมนุษย์ที่ทรงสร้าง ทูตสวรรค์ หรือวิญญาณชั่วของซาตาน ไม่มีใครแสดงความจริงได้ ช่วยมวลมนุษย์ให้รอดยิ่งแล้วใหญ่ เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยเลย ดังนั้น กุญแจในการแยกแยะพระคริสต์แท้จากเทียม หลักๆ คือมองว่าแสดงความจริงไหม ทำงานแห่งความรอดของมนุษย์ได้ไหม นี่เป็นหลักธรรมที่สำคัญและเป็นพื้นฐานที่สุด เราต่างรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าแสดงความจริงมากมาย ประกาศหนทางแห่งการกลับใจ ทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมาย เสร็จสิ้นงานแห่งการไถ่ของมวลมนุษย์ ทรงเริ่มยุคพระคุณและยุติยุคธรรมบัญญัติ พระวจนะมีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจมากมาย อบอวลไปด้วยอุปนิสัยของพระเจ้า กับสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ในหัวใจเรา เรารู้กันอยู่ว่า องค์พระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ในเนื้อหนัง เป็นการปรากฏของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงมาในยุคสุดท้าย แสดงวจนะแห่งความจริงนับล้านคำ ทรงงานพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า พระวจนะไม่เพียงแต่เปิดเผยความล้ำลึกในพระคัมภีร์ แต่ยังรวมถึงแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้าด้วย รวมทั้งเป้าหมายของแผนการบริหารจัดการ ความจริงภายในของราชกิจสามขั้นตอน ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามยังไง พระเจ้าทรงงานทีละขั้นตอนเพื่อช่วยมนุษย์ยังไง ความล้ำลึกของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ความจริงภายในของพระคัมภีร์ บทอวสานของคนทุกประเภท ราชอาณาจักรของพระคริสต์เป็นจริงขึ้นบนโลกยังไง และอีกมาก ความล้ำลึกทั้งหมดนี้ถูกไขแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังทรงพิพากษาและเปิดโปงธรรมชาติบาปที่ต่อต้านพระเจ้าและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนอีกด้วย ทรงจัดเตรียมเส้นทางที่จะขจัดความเสื่อมทรามและถูกชำระให้สะอาด และอีกมาก พระวจนะพระองค์รุ่มรวยมาก ล้วนเป็นความล้ำลึกและความจริงที่ผู้คนไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งเปิดหูเปิดตาและเติมเต็ม ใครก็ตามที่ได้อ่านต้องยอมรับว่าเป็นความจริง ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ผ่านการพิพากษาแห่งพระวจนะ ได้เข้าใจความจริงมากมาย ค่อยๆ ถูกชำระให้สะอาดจากความเสื่อมทราม เป็นพยานที่ดังกึกก้องถึงการพ้นจากบาปและมีชัยเหนือซาตาน การนี้ทำให้คำเผยวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น 16:12-13) สิ่งนี้พิสูจน์ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือ “พระวิญญาณแห่งความจริง” คือการปรากฏของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระผู้ช่วยให้รอดที่มายังโลก
เอาล่ะครับ ผมคิดว่าทุกคนคงเข้าใจกันชัดแล้ว ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด นี่ไม่ใช่แค่การพูดลอยๆ แต่ได้รับการพิสูจน์บนพื้นฐานของความจริงที่ทรงแสดงและงานที่ทรงทำ แล้วพระคริสต์เทียมล่ะ? พวกเขาตะโกนอยู่ตลอดเวลาว่า “ฉันคือพระคริสต์” คุณถามพวกเขาดูได้ “คุณแสดงความจริงได้ไหม? เปิดเผยความจริงแห่งความเสื่อมทรามของคนได้ไหม? ช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ไหม?” ทำไม่ได้สักอย่าง พอถูกถามแบบนี้ พวกเขาจะตกตะลึง พระคริสต์เทียมเป็นแค่สิ่งเทียมเท็จจากซาตานหรือวิญญาณชั่ว ซึ่งขาดชีวิตและแก่นแท้ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ดังนั้น พวกเขาจึงแสดงความจริงไม่ได้ ทำงานการชำระให้สะอาดและช่วยให้รอดไม่ได้ ทั้งหมดที่ทำได้คือเผยแผ่คำสอนเท็จที่ดูเหมือนจริงหรือแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์หลอกคน พระคริสต์เทียมเท็จบางคนมีของประทานบางอย่าง อาจเขียนหนังสือของตนเอง อธิบายความรู้ที่ลึกซึ้งในพระคัมภีร์ได้ แต่สิ่งที่พวกเขาแบ่งปันล้วนเป็นความคิดและทฤษฎีของมนุษย์ และต่อให้ฟังดูดีต่อมนุษย์เพียงใด สิ่งนั้นก็ไม่ใช่ความจริง พวกเขาไม่อาจจัดเตรียมเสบียงอาหารสำหรับชีวิตมนุษย์หรือช่วยให้ผู้คนรู้จักพระเจ้าและความจริง และยิ่งไม่อาจช่วยเราให้รอดจากบาปเพื่อให้เราถูกชำระให้สะอาด นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจน พระคริสต์เทียมขาดความจริงสิ้นเชิง แต่มีความทะเยอทะยานสูงมาก อยากให้ผู้คนบูชาตนเหมือนเป็นพระเจ้า แล้วพวกเขาทำยังไง? พวกเขาเลียนแบบราชกิจในอดีตของพระเจ้า แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ง่ายๆ เพื่อแสร้งเป็นพระคริสต์ หลอกลวงผู้อื่นด้วยความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ หากผู้เชื่อไม่รักความจริง แต่เพียงต้องการกินอิ่มและอิ่มเอมด้วยพระคุณ ตัดสินว่าใครคือพระเจ้าจากแค่หมายสำคัญและการอัศจรรย์เท่านั้น พวกเขาก็ถูกนำให้หลงผิดได้ง่าย อันที่จริง กลอุบายของพระคริสต์เทียมเท็จหลอกได้แค่คนปัญญาอ่อนและคนงี่เง่า แกะของพระเจ้า หญิงพรหมจารีมีปัญญา จะไม่มีวันถูกพระคริสต์เทียมเท็จหลอก เพราะพวกเขารักความจริงและฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า เมื่อได้ยินพระสุรเสียง พวกเขาก็ยอมรับและติดตาม พระเจ้ากำหนดไว้นานแล้ว ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27) “พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เราทรงเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีใครสามารถชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้” (ยอห์น 10:29)
ตอนนี้ผมว่าเราทุกคนเข้าใจแล้วว่าจะแยกแยะพระคริสต์แท้ออกจากพระคริสต์เทียมได้ยังไง พระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าในเนื้อหนัง เป็นความจริง เป็นทางนั้น และเป็นชีวิต แก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์ หลักๆ สำแดงเป็น ความสามารถในการแสดงความจริงและทรงงานของพระเจ้าเอง ไม่ว่าจะทรงปรากฏธรรมดาแค่ไหน ไม่ว่าจะทรงไม่มีอำนาจและสถานะเพียงใด ไม่ว่าจะทรงถูกมนุษย์โอบกอดหรือปฏิเสธก็ตาม ตราบใดที่ทรงแสดงความจริง พระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และทรงงานความรอดได้ ก็ทรงเป็นการปรากฏของพระเจ้า เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยเลย ความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดง ราชกิจในการพิพากษาและชำระมนุษย์ให้สะอาด ได้พิสูจน์โดยสมบูรณ์ว่าทรงเป็นพระเจ้าในเนื้อหนัง เป็นการปรากฏของพระคริสต์ เราต้องยอมรับและติดตามพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อได้รับความจริง ถูกช่วยให้รอดอย่างเต็มที่ และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า แต่ตอนนี้หลายคนเห็นศิษยาภิบาลและผู้นำทางศาสนาและระบอบซาตานของพรรคคอมมิวนิสต์ ต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง จึงคิดว่างานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ใช่หนทางที่แท้จริง เหตุผลของพวกเขาคือ ถ้านี่เป็นงานของพระเจ้า มันจะแล่นไปอย่างราบรื่น และทุกคนจะมั่นใจอย่างเต็มที่ การมองแบบนี้ก็ถือว่าโง่มากๆ ครับ! มองไม่ออกว่ามนุษย์ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก ถึงขั้นเป็นศัตรูกับพระเจ้าและไม่มีที่ว่างให้พระเจ้า ผู้คนได้ต้อนรับองค์พระเยซูเจ้าเมื่อเสด็จมาไหม? ชาวยิวไม่ได้รวมกำลังกับรัฐบาลโรมันเพื่อตรึงกางเขนพระองค์หรอกหรือ? คุณจะพูดไหมว่าราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่หนทางที่แท้จริง? และผู้คนปฏิบัติต่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังไง เมื่อเสด็จมาในยุคสุดท้าย? ศัตรูของพระคริสต์ในโลกศาสนากำลังต้านทานและกล่าวโทษพระองค์ ระบอบซาตานของพรรคคอมมิวนิสต์ไล่ล่าพระองค์อย่างบ้าคลั่ง ใช้ทุกกลวิธีเพื่อกวาดล้างการปรากฏและราชกิจของพระเจ้า ทำให้สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าเผยพระวจนะไว้ลุล่วง “เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน” (ลูกา 17:24-25) นี่หมายความว่ายังไง? หนทางที่แท้จริงถูกกดขี่มาตลอด! พระคริสต์แสดงความจริงเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด มันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะทรงถูกกำลังบังคับชั่วของซาตานกดขี่ กล่าวโทษและไล่ล่า ถ้ามีคำอ้างว่าใครสักคนเป็นพระคริสต์ แต่คนนั้นแสดงความจริงไม่ได้ ไม่ถูกคนรุ่นนี้ปฏิเสธ ไม่ถูกกำลังบังคับของซาตานกล่าวโทษและโจมตีอย่างบ้าคลั่ง นั่นก็พิสูจน์ว่าคนนั้นไม่ใช่พระคริสต์ เหนือสิ่งอื่นใด ซาตานเกลียดการปรากฏและราชกิจของพระเจ้า เกลียดการมาของพระผู้ช่วยให้รอด ซาตานรู้ว่าเมื่อพระผู้ช่วยให้รอดมา ผู้คนจะมีโอกาสได้รับความรอด ได้เข้าใจความจริงและมองทะลุกลอุบายของซาตาน แล้วก็จะได้รับการหยั่งรู้ได้ ปฏิเสธซาตาน หันไปหาพระเจ้าเต็มที่และถูกรับไว้โดยพระเจ้า แล้วซาตานก็จะพ่ายอย่างเต็มที่ วันสุดท้ายของมันจะอยู่ต่อหน้ามัน คุณคิดว่าซาตานจะยอมหมอบราบคาบไหม? ถ้าไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ เอาแต่เกาะเกี่ยวมโนคติอันหลงผิดและไม่สืบค้นราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หรือถึงกับกล่าวโทษและต้านทานพระองค์ไปตามศัตรูของพระคริสต์ จะมีผลสืบเนื่องที่เลวร้าย มาดูกันว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่ายังไง “พวกที่ปรารถนาที่จะได้รับชีวิตโดยไม่พึ่งพาความจริงที่ตรัสโดยพระคริสต์คือผู้คนที่ไร้สาระน่าขันที่สุดบนแผ่นดินโลก และพวกที่ไม่ยอมรับหนทางแห่งชีวิตซึ่งนำพามาโดยพระคริสต์เป็นคนที่หลงอยู่ในความเพ้อฝัน และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าพวกที่ไม่ยอมรับพระคริสต์ของยุคสุดท้ายจะถูกพระเจ้าทรงเกลียดไปตลอดกาล พระคริสต์ทรงเป็นประตูให้มนุษย์ไปสู่ราชอาณาจักรระหว่างยุคสุดท้าย และไม่มีใครที่สามารถอ้อมเลี่ยงพระองค์ได้ อาจไม่มีใครเลยที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเว้นแต่จะผ่านทางพระคริสต์ เจ้าเชื่อในพระเจ้า และดังนั้นเจ้าต้องยอมรับพระวจนะของพระองค์และเชื่อฟังหนทางของพระองค์ เจ้าไม่สามารถคิดถึงเพียงแค่การได้รับพรเท่านั้นในขณะที่ไม่สามารถได้รับความจริงและไม่สามารถยอมรับการจัดเตรียมชีวิตได้ พระคริสต์เสด็จมาระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อที่ทุกคนซึ่งเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงอาจได้รับการจัดเตรียมชีวิตไว้ให้ พระราชกิจของพระองค์นั้นเป็นไปเพื่อการสรุปปิดตัวยุคเก่าและเข้าสู่ยุคใหม่ และพระราชกิจของพระองค์คือเส้นทางที่ทุกคนที่จะเข้าสู่ยุคใหม่จำต้องรับไว้ หากเจ้าไม่สามารถรับรู้พระองค์ได้ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับกล่าวโทษ หมิ่นประมาท หรือกระทั่งถึงกับข่มเหงพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีแนวโน้มที่จะถูกเผาไหม้ไปชั่วนิรันดร์และจะไม่มีวันเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ เพราะพระคริสต์พระองค์นี้ทรงเป็นการแสดงออกด้วยพระองค์เองของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นการแสดงออกของพระเจ้า ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่พระเจ้าได้มอบความไว้วางพระทัยให้ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าหากเจ้าไม่สามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายได้ทรงปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ บทลงโทษซึ่งพวกที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้รับนั้นประจักษ์ชัดในตัวของมันเองต่อทุกคน เรายังบอกเจ้าอีกว่าหากเจ้าต่อต้านพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย หากเจ้าเหยียดหยันพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย จะไม่มีใครอื่นอีกที่จะแบกรับผลสืบเนื่องแทนเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น นับจากวันนี้ไปเจ้าจะไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะได้รับการรับรองจากพระเจ้า ต่อให้เจ้าพยายามไถ่บาปให้แก่ตัวเจ้าเองก็ตาม เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้าอีกแล้ว เพราะสิ่งที่เจ้าต่อต้านนั้นไม่ใช่มนุษย์ สิ่งที่เจ้าเหยียดหยันนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ อ่อนแอบางอย่าง แต่เป็นพระคริสต์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลสืบเนื่องของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร? เจ้าจะไม่ได้ทำความผิดพลาดเล็กๆ แต่จะได้ก่ออาชญากรรมอันชั่วร้าย และดังนั้นเราจึงแนะนำทุกคนไม่ให้แสดงอาการแยกเขี้ยวข่มขู่เมื่ออยู่ต่อหน้าความจริง หรือทำการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ระมัดระวัง เพราะความจริงเท่านั้นที่สามารถนำชีวิตมาสู่เจ้าได้ และไม่มีอะไรเว้นแต่ความจริงที่สามารถเปิดโอกาสให้เจ้าเกิดใหม่และได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้าอีกครั้ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ