เหตุใดพระเจ้าต้องทรงงานสามช่วงระยะเพื่อความรอดของมนุษย์?

วันที่ 01 เดือน 01 ปี 2022

เราทุกคนต่างรู้ ว่า 2,000 ปีก่อน องค์พระเยซูเจ้าปรากฏและทรงงานแห่งการไถ่ในแคว้นยูเดีย และประกาศว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว(มัทธิว 4:17) ทรงแสดงความจริงมากมาย เปิดเผยหมายสำคัญและการอัศจรรย์เยอะมาก ทำให้ชาติยูเดียสั่นคลอน ผู้นำระดับสูงของศาสนายิวเห็นว่างานและวจนะของพระองค์ มีสิทธิอำนาจและทรงพลังเพียงใด เห็นว่าทรงได้รับผู้ติดตามตลอด ผู้นำพวกนี้รู้สึกว่างานของพระเยซูคุกคามสถานะของตน จึงเริ่มพยายามหาสิ่งต่างๆ มาใช้ต่อต้านพระองค์ กุข่าวลือและคำโกหก กล่าวโทษพระเยซู กีดกันผู้คนไม่ให้ติดตามพระองค์ การที่พระเยซูเป็นบุตรมนุษย์ ไม่ได้อยู่ในรูปวิญญาณ ทำให้พวกนั้นยิ่งจองหองขาดการควบคุม งานและพระวจนะพระองค์ที่นอกเหนือธรรมบัญญัติคือข้ออ้าง เพื่อกล่าวโทษและไล่ตามพระองค์อย่างบ้าคลั่ง ตรึงพระองค์ไว้กับกางเขน ทำให้พระเจ้าแช่งด่าและลงโทษ ทำลายชาติอิสราเอลเป็นเวลา 2,000 ปี ตอนนี้พระเยซูได้กลับมาเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในรูปมนุษย์ แสดงความจริงและทรงงานพิพากษา โดยเริ่มที่พระนิเวศ เพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอด ผู้ที่โหยหาพระเจ้าได้อ่านพระวจนะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จำพระสุรเสียงได้ จึงหันหาพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ผู้นำศาสนาหลายคนยอมรับการนี้ไม่ได้ แกะดีทิ้งฝูงไป สถานะความเป็นอยู่ของพวกเขามีภัย พวกเขาทนไม่ได้ กุคำโกหก กล่าวโทษไม่ยอมรับการทรงปรากฏและงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำให้ผู้เชื่อหลงทาง ไม่สืบค้นหนทางที่แท้จริง พวกเขาพูด ว่าองค์พระเยซูเจ้าไถ่มนุษย์แล้ว งานแห่งความรอดของพระเจ้าเสร็จแล้ว และพระองค์จะรับผู้เชื่อขึ้นไปเมื่อเสด็จมา ไม่มีงานแห่งความรอดอีก ถึงกับโหวกเหวกโวยวายว่า “ถ้ากลับมาแล้วไม่พาเราเข้าไปสู่ราชอาณาจักร ก็ไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ! เป็นไปไม่ได้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าในเนื้อหนังที่ทรงงานพิพากษาคือตัวจริง! จะมีก็เพียงองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น องค์นั้นที่เราเชื่อ ที่จะรับเราขึ้นไป!” และยิ่งเมื่อเห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้อยู่ในรูปวิญญาณ แต่เป็นบุตรมนุษย์ธรรมดา พวกเขายิ่งหัวรั้นกว่าเดิม กล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระองค์รุนแรงยิ่งขึ้น ถึงกับร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อจับกุมผู้เชื่อที่แบ่งปันข่าวประเสริฐ การกระทำของพวกเขาเท่ากับเป็นการตรึงกางเขนพระเจ้าอีกครั้ง ลองคิดดูครับ ทำไมโลกศาสนาจึงไม่ยอมรับ งานของพระเจ้าทุกขั้นตอน ทั้งกล่าวโทษและต้านทาน? นั่นก็เพราะมนุษยชาติถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามลึกมาก ทุกคนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตาน เกลียดและเบื่อหน่ายความจริงเต็มที อีกเหตุผลหนึ่งคือผู้คนไม่เข้าใจงานของพระเจ้า จึงเห็นว่าราชกิจที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดนั้นเรียบง่ายกว่าที่เป็น เรารู้ว่าชาวอิสราเอลเชื่อว่า เมื่อพระเจ้าเสร็จงานในยุคธรรมบัญญัติแล้ว พวกเขาก็แค่ต้องปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แล้วจะถูกช่วยให้รอด และจะถูกพาตรงขึ้นสู่ราชอาณาจักร เมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมา แล้วเกิดอะไรขึ้น? องค์พระเยซูเจ้าทรงมาและชาวยิวก็จับพระองค์ตรึงกางเขน เหล่าคนจากยุคพระคุณคิดว่า บาปของพวกเขาได้รับการอภัยแล้ว พวกเขาถูกช่วยให้รอดแล้วด้วยการไถ่ของพระเยซู ครั้งเดียวโดยถาวร จึงควรถูกพาตรงขึ้นไปสู่ราชอาณาจักรเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้ากลับมา แล้วเกิดอะไรขึ้น? พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมา และถูกโลกศาสนาที่เข้าร่วมกับระบอบซาตานตรึงกางเขนอีกครั้ง พวกเขาคิดว่า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสร็จงาน งานแห่งความรอดของพระเจ้าก็เสร็จสิ้น แต่นั่นมันจริงเหรอครับ?

ที่จริงคือ ทุกขั้นตอนใหม่ของงานที่ทรงทำได้ถูก เผยพระวจนะไว้ล่วงหน้านานแล้ว เมื่อพระเยซูมาทรงงานการไถ่ ผู้เผยพระวจนะก็กล่าวถึงการมาไว้ก่อนแล้ว “หญิงสาวคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และคนจะเรียกนามของเขาว่า อิมมานูเอล(อิสยาห์ 7:14)ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า ‘ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช’(อิสยาห์ 9:6) งานพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ก็มีคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์อยู่อย่างน้อย 200 ชิ้น ดูที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสสิครับ ว่า “ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48)เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร(ยอห์น 5:22) และในหนังสือของเปโตร “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17) ใครที่สนใจในงานของพระเจ้าก็จะหาพื้นฐานได้ง่ายมาก แล้วก็จะไม่ก้าวร้าวดึงดันไม่เปลี่ยนใจที่จะตรึงกางเขนพระเจ้า แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าซาตานทำมนุษย์เสื่อมทรามลึกแค่ไหน มนุษย์ทุกคนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตาน จะบอกว่ามนุษย์เป็นศัตรูของพระเจ้าก็เป็นธรรมอยู่ เราทุกคนได้เห็นข้อเท็จจริงนี้แล้ว จากยุคธรรมบัญญัติ จนถึงการไถ่ของพระเยซูในยุคพระคุณ และในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังทรงงานพิพากษาในเนื้อหนังเพื่อจบงานของยุคเหล่านี้ เห็นชัดว่างานของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดมีสามช่วงระยะพอดี แล้วทำไมงานแห่งความรอดของพระองค์ต้องดำเนินการสามช่วงระยะ? นั่นคือสิ่งที่มนุษย์หยั่งไม่ถึง ซึ่งนำให้หลายคนต้านทานและกล่าวโทษงานของพระเจ้า ผลสืบเนื่องของการนี้ร้ายแรงครับ เพราะอย่างนั้น ประเด็นที่เราสำรวจกันวันนี้จึงเป็นเหตุผลที่พระเจ้าทรงงานสามขั้นตอน

ในยุคสุดท้าย งานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เปิดเผยทุกความลึกล้ำของแผนการบริหารจัดการ เรามาอ่านพระวจนะของพระองค์ให้เข้าใจการนี้ได้ดีขึ้นกันเถอะครับ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ระยะเวลา 6,000 ปีแห่งพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะ ได้แก่ ยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคราชอาณาจักร พระราชกิจสามช่วงระยะนี้ล้วนเป็นไปเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ กล่าวคือ เป็นไปเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันก็เป็นไปเพื่อให้พระเจ้าทรงสู้รบกับซาตานด้วย ด้วยเหตุนี้ ดังเช่นที่พระราชกิจแห่งความรอดถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะ การสู้รบกับซาตานจึงถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะด้วย และดังนั้นพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสองแง่มุมนี้จึงดำเนินไปพร้อมกัน การสู้รบกับซาตานเป็นไปเพื่อความรอดของมวลมนุษย์โดยแท้ และเพราะพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์มิใช่บางสิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จสมบูรณ์ได้ในช่วงระยะเดียว การสู้รบกับซาตานจึงถูกแบ่งออกเป็นระยะและเป็นช่วงเวลาเช่นกัน และมีการเปิดศึกกับซาตานโดยสอดคล้องกับความต้องการของมนุษย์และขอบข่ายแห่งความเสื่อมทรามของซาตานในตัวเขา… มีสามช่วงระยะในพระราชกิจแห่งความรอดของมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าการสู้รบกับซาตานถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะเพื่อที่จะทำให้ซาตานปราชัยอย่างเบ็ดเสร็จ กระนั้นความจริงเบื้องลึกเกี่ยวกับพระราชกิจทั้งหมดแห่งการสู้รบกับซาตานก็คือว่า พระราชกิจนี้สัมฤทธิ์ผลได้โดยผ่านทางพระราชกิจหลายขั้นตอน ได้แก่ การประทานพระคุณแก่มนุษย์ การกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ การยกโทษให้กับบาปทั้งหลายของมนุษย์ การพิชิตมนุษย์ และการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์) จะเห็นได้ว่างานแห่งความรอดมีสามช่วงระยะ นั่นคือ งานของพระยาห์เวห์พระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติ การไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าในยุคพระคุณ และงานพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ยุคราชอาณาจักร สามช่วงระยะนี้ประกอบด้วยราชกิจแห่งความรอดเต็มรูปแบบ พระเจ้าช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากกำลังบังคับของซาตานทีละขั้นตอนอย่างนี้เองครับ เราจึงจะถูกพระเจ้ารับไว้ได้เต็มที่ นัยสำคัญเบื้องหลังแต่ละขั้นตอนนั้นลุ่มลึกมาก นี่คืองานที่ขาดไม่ได้ในแผนการบริหารจัดการเพื่อทรงช่วยมนุษย์ให้รอด สำคัญมากต่อกระบวนการช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปและกำลังบังคับของซาตาน

ถัดไป ผมขออธิบายคร่าวๆ ถึงราชกิจสามช่วงระยะตามพระวจนะพระเจ้าเอง เริ่มที่ขั้นตอนแรกของราชกิจเพื่อความรอดของมนุษย์ ซึ่งก็คือยุคธรรมบัญญัติ เรารู้กันว่า ก่อนพระราชกิจของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติ มนุษย์นั้นไร้เดียงสาโดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าจะนมัสการพระเจ้าอย่างไรหรือใช้ชีวิตอย่างไรบนโลกนี้ ทำบาปและล่วงเกินพระเจ้าอยู่ตลอด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบาปคืออะไร พระเจ้าจึงเริ่มงานยุคธรรมบัญญัติ เพื่อช่วยให้ผู้คนห่างไกลจากบาป และดำรงชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสม มาอ่านพระวจนะพระเจ้าถึงเรื่องนี้กันครับ “ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบพระบัญญัติมากมายเพื่อให้โมเสสส่งต่อไปยังผู้คนแห่งอิสราเอลที่ติดตามเขาออกจากอียิปต์ พระบัญญัติเหล่านี้พระยาห์เวห์ประทานแก่ผู้คนแห่งอิสราเอล และไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับชาวอียิปต์แม้แต่น้อย พระบัญญัติเหล่านี้มุ่งหมายเพื่อควบคุมผู้คนแห่งอิสราเอล และทรงใช้พระบัญญัติเหล่านี้เพื่อเรียกร้องให้พวกเขาปฏิบัติตาม ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติวันสะบาโตหรือไม่ เคารพบิดามารดาหรือไม่ นมัสการรูปเคารพหรือไม่ และอื่นๆ—เหล่านี้คือหลักธรรมที่พวกเขาจะถูกตัดสินว่าผิดบาปหรือชอบธรรม ท่ามกลางพวกเขา บางคนได้ถูกไฟของพระยาห์เวห์ลงทัณฑ์ บ้างก็ถูกหินขว้างให้ตาย และบ้างก็ได้รับพระพรจากพระยาห์เวห์ และนี่ถูกกำหนดพิจารณาตามข้อที่ว่าพวกเขาเชื่อฟังพระบัญญัติเหล่านี้หรือไม่ คนที่ไม่ปฏิบัติวันสะบาโตจะถูกขว้างด้วยหินจนตาย บรรดาปุโรหิตที่ไม่ปฏิบัติวันสะบาโตจะถูกไฟลงทัณฑ์ของพระยาห์เวห์ พวกที่ไม่เคารพบิดามารดาก็จะถูกขว้างด้วยหินจนตายเช่นกัน ทั้งหมดนี้ถูกสั่งโดยพระยาห์เวห์ทั้งสิ้น พระยาห์เวห์ทรงสถาปนาพระบัญญัติและธรรมบัญญัติเพื่อที่ขณะที่พระองค์ทรงนำทางชีวิตของพวกเขานั้น ประชาชนจะได้ฟังและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์และไม่กบฏต่อพระองค์ พระองค์ทรงใช้ธรรมบัญญัติเหล่านี้เพื่อรักษาชาติพันธุ์มนุษย์แรกเกิดให้อยู่ในการควบคุม ซึ่งจะเป็นผลดียิ่งขึ้นต่อการวางรากฐานพระราชกิจในอนาคตของพระองค์ และดังนั้น บนพื้นฐานของพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำไว้ ยุคแรกจึงเรียกว่ายุคธรรมบัญญัติ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ) จาก พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ในยุคนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ออกธรรมบัญญัติและพระบัญญัติมากมาย เพื่อสอนมวลมนุษย์ถึงวิธีนมัสการพระเจ้าและดำเนินชีวิต คนที่ทำตามธรรมบัญญัติได้รับการทรงคุ้มครองและพรจากพระเจ้า แต่คนที่ละเมิดธรรมบัญญัติต้องถวายเครื่องบูชาเพื่อให้บาปถูกยกโทษ ไม่งั้นจะถูกพระเจ้าลงโทษและแช่งด่า คนในยุคธรรมบัญญัติ ได้รู้จักความชอบธรรมและพระพิโรธของพระเจ้าด้วยตนเอง และรู้จักความกรุณาและพระพรของพระองค์ ทุกคนจึงยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้า ทำตามธรรมบัญญัติและพระบัญญัติของพระองค์ พวกเขาได้รับการทรงคุ้มครองจากพระเจ้า ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมบนโลก ทีนี้ลองมาคิดกันดูครับ ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงงานในยุคธรรมบัญญัติ จะเกิดอะไรขึ้นกับมวลมนุษย์? ถ้าไม่ข้อจำกัดหวงห้ามในธรรมบัญญัติหรือการทรงนำ มวลมนุษย์คงตกอยู่ในความโกลาหลและถูกซาตานจับไว้ การที่พระเจ้าประทานธรรมบัญญัติให้มนุษย์คืองานที่สำคัญมาก! งานของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติสอนคนว่าอะไรบาป อะไรชอบธรรม และแสดงให้คนเห็นว่าการทำบาปต้องมีเครื่องบูชาเพื่อลบมลทิน ราชกิจช่วงระยะแรกไม่เพียงแต่นำมนุษย์ไปสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องในชีวิต แต่ยังวางรากฐาน ปูทางเพื่องานการไถ่ของยุคพระคุณอีกด้วย

ในช่วงปลายยุคธรรมบัญญัติ มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามลึกจนทำบาปมากขึ้นเรื่อยๆ ธรรมบัญญัติก็ไม่อาจควบคุมพวกเขาได้อีก พวกเขาไม่มีเครื่องบูชาพอสำหรับบาปของตน จึงต้องโดนกล่าวโทษและประหารภายใต้ธรรมบัญญัติ ต่างร้องเรียกพระเจ้าด้วยความเจ็บปวด พระเจ้าจึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยตนเอง เป็นองค์พระเยซูเจ้าและทรงงานแห่งการไถ่ เริ่มต้นยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ มาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันอีกเถอะ “ในช่วงระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูเสด็จมาเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมดที่ตกในบาป (ไม่ใช่แค่คนอิสราเอลเท่านั้น) พระองค์ทรงแสดงความปรานีและความรักมั่นคงต่อมนุษย์ พระเยซูที่มนุษย์เห็นในยุคพระคุณนั้นทรงเปี่ยมด้วยความรักมั่นคงและมีความรักให้แก่มนุษย์อยู่เสมอ เพราะพระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป พระองค์ทรงสามารถยกโทษมนุษย์จากบาปของพวกเขาจนกระทั่งการตรึงกางเขนของพระองค์ได้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์ ในระหว่างช่วงเวลานี้ พระเจ้าทรงปรากฏต่อหน้ามนุษย์พร้อมกับความปรานีและความรักมั่นคง กล่าวคือ พระองค์ทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้กับมนุษย์ และทรงถูกตรึงกางเขนเพราะบาปของมนุษย์ เพื่อที่พวกเขาอาจได้รับการยกโทษไปตลอดกาล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์)หากปราศจากการไถ่ของพระเยซู มวลมนุษย์คงจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในบาปและกลายเป็นลูกหลานแห่งบาป เป็นพงค์พันธุ์ของมารตลอดไปแล้ว หากเป็นเช่นนั้นต่อเนื่องมา โลกทั้งโลกคงจะได้กลายเป็นดินแดนที่ซาตานอยู่อาศัย เป็นที่สิงสถิตอาศัยของมันไปแล้ว อย่างไรก็ดี พระราชกิจแห่งการไถ่บาปต้องพึงอาศัยการแสดงออกถึงความกรุณาและความเมตตาต่อมวลมนุษย์ โดยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถได้รับการอภัย และท้ายที่สุดก็จะได้รับสิทธิ์ที่จะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์และได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ หากปราศจากงานช่วงระยะนี้ แผนการจัดการระยะ 6,000 ปีคงจะก้าวหน้าไม่ได้เลย หากพระเยซูไม่ได้ทรงถูกตรึงกางเขน หากพระองค์เพียงทรงรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจเท่านั้น เช่นนั้นแล้วผู้คนก็จะไม่สามารถได้รับการอภัยบาปของพวกเขาโดยสมบูรณ์ ในระยะเวลาสามปีครึ่งที่พระเยซูทรงใช้ไปในการทรงพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงทำให้พระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่หลังจากนั้น โดยการทรงถูกตอกตรึงบนกางเขนและกลายเป็นสภาพเหมือนของมนุษย์คนบาป โดยการทรงถูกมอบไว้กับมารร้าย พระองค์ได้ทรงทำให้พระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนเสร็จสมบูรณ์และได้ทรงเรียนรู้ลิขิตชีวิตของมวลมนุษย์จนเชี่ยวชาญ เพียงหลังจากที่พระองค์ทรงถูกนำส่งถึงมือของซาตานแล้วเท่านั้น พระองค์จึงได้ทรงไถ่มวลมนุษย์ เป็นเวลาถึงสามสิบสามปีครึ่งที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์บนแผ่นดินโลก ถูกเยาะเย้ยถากถาง ถูกให้ร้ายป้ายสี และถูกทอดทิ้ง จนถึงจุดที่พระองค์ไม่ทรงมีแม้ที่จะให้วางพระเศียร ไม่มีที่ให้หยุดพัก และพระองค์ได้ทรงถูกตรึงกางเขนในเวลาต่อมา ด้วยทั้งองค์รวมของพระองค์ พระกายซึ่งบริสุทธิ์และไร้มลทินได้ถูกตอกตรึงกับกางเขน พระองค์ได้ทรงสู้ทนต่อความทุกข์ทุกชนิดที่พึงมี พวกผู้มีอำนาจต่างพากันเย้ยหยันและโบยตีพระองค์ กระทั่งพวกทหารก็ยังถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ของพระองค์ แต่พระองค์ยังทรงเงียบเฉยและสู้ทนจนกระทั่งวาระสุดท้าย ทรงยอมจำนนโดยปราศจากเงื่อนไขจนถึงจุดแห่งความตายอันเป็นจุดที่พระองค์ได้ทรงไถ่มนุษยชาติทั้งมวล มีเพียงยามนั้นเองที่พระองค์ได้รับอนุญาตให้หยุดพัก พระราชกิจที่พระเยซูได้ทรงกระทำลงไปเป็นตัวแทนของยุคพระคุณเท่านั้น มิได้เป็นตัวแทนของยุคธรรมบัญญัติ อีกทั้งยังหาได้เป็นการทดแทนพระราชกิจของยุคสุดท้ายแต่อย่างใดไม่ นี่คือสาระสำคัญของพระราชกิจของพระเยซูในยุคพระคุณ ยุคที่สองที่มวลมนุษย์ได้ผ่านมาแล้ว—ซึ่งก็คือยุคแห่งการไถ่(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่) จาก พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ตอนที่พระเยซูอยู่ท่ามกลางพวกเรา ทรงประกาศว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว(มัทธิว 4:17) ทรงสอนให้สารภาพผิดและกลับใจ ให้รักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง ให้อภัยผู้อื่นเจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด ให้รักพระเจ้าทั้งดวงใจ ดวงจิต และความคิด ให้นมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง และอื่นๆ พระวจนะของพระเยซูแสดงน้ำพระทัยพระเจ้าและมอบ เป้าหมายทิศทางที่เด่นชัดในความเชื่อให้ผู้คน นี่เป็นขั้นตอนเหนือข้อหวงห้ามของธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์ พระองค์ยังแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมาย รักษาคนป่วย ขับปีศาจออก และให้อภัยบาป ทรงเปี่ยมความอดกลั้นพระทัยและความอดทน ทุกคนสัมผัสได้ถึงความรักและความกรุณาของพระเจ้า เห็นความน่ารักของพระองค์ และใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น สุดท้าย องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตอกตรึงกับกางเขน เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปนิรันดร์ ทรงยกโทษบาปเราครั้งเดียวโดยถาวร จากนั้น ผู้คนก็แค่ต้องกลับใจสารภาพต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าให้บาปถูกยกโทษ ไม่ถูกกล่าวโทษ ลงโทษโดยธรรมบัญญัติ มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ในการอธิษฐาน ได้ชื่นชมสันติสุข ความชื่นบาน และพระพรอันอุดมที่พระเจ้าประทาน เห็นชัดว่างานแห่งการไถ่ของพระเยซูเป็นพรที่ยิ่งใหญ่สำหรับมวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้เราอยู่รอดและเจริญรุ่งเรืองต่อมาจนทุกวันนี้

ดังนั้น เมื่อพระเยซูทรงงานเสร็จแล้วและไถ่เราจากเงื้อมมือของซาตานแล้ว แปลว่าราชกิจแห่งความรอดเสร็จสมบูรณ์แล้วหรือ? แปลว่าพระราชกิจแห่งความรอดไม่จำเป็นต่อเราแล้วหรือ? คำตอบคือ ไม่ใช่ครับ พระราชกิจยังไม่สรุปปิด ยังจำเป็นต้องมีงานแห่งความรอดของมนุษย์อีกหนึ่งขั้นตอน องค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่มนุษย์แล้ว บาปเราถูกอภัยแล้ว แต่ธรรมชาติที่เป็นบาปของเรายังไม่ถูกแก้ไข เราใช้ชีวิตในความเสื่อมทราม ถูกขับเคลื่อนโดยธรรมชาติที่เป็นบาป เราอดโกหกไม่ได้ ทำบาปอยู่ตลอด เรากบฏและต้านทานพระเจ้า และนำพระวจนะพระองค์ไปปฏิบัติไม่ได้ เราอยู่ในวัฏจักรของการทำบาป สารภาพ และทำบาปอีก ต่อสู้กับบาปอย่างเจ็บปวด ไม่มีใครหลุดพ้นจากพันธะและการรัดตัวของบาปได้ แล้วคนที่หนีบาปไม่พ้นจะถูกรับขึ้นไปสู่ราชอาณาจักร โดยไม่ต้องรับการพิพากษาและการชำระให้สะอาดได้จริงหรือ? ไม่ได้แน่นอน พระเจ้าคือพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ “ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย(ฮีบรู 12:14) ทรงไม่มีวันยอมให้ผู้ที่ยังทำบาปและต้านทานพระองค์เข้าสู่ราชอาณาจักร เพราะอย่างนั้นจึงเผยพระวจนะว่าจะเสด็จมาอีกครั้งหลังเสร็จสิ้นงานการไถ่ องค์พระเยซูเจ้ากลับมาเพื่อแก้ไขธรรมชาติเปี่ยมบาปของคนอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยเราให้รอดจากบาป ให้เราบริสุทธิ์และเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง(ยอห์น 17:17) วิวรณ์ยังเผยพระวจนะไว้ด้วยว่า “ท่านประกาศเสียงดังว่า ‘จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว’(วิวรณ์ 14:7) เห็นได้ว่าองค์พระเยซูเจ้ากลับมาแสดงความจริงและทรงงานพิพากษา นำมนุษย์เข้าสู่ความจริงทั้งปวง ช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างเต็มที่จากบาปและกำลังบังคับของซาตาน นำเราไปสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า นี่เป็นขั้นตอนงานที่พระเจ้าวางแผนไว้นานแล้ว และเป็นขั้นตอนสุดท้ายในแผนการบริหารจัดการ มาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อเข้าใจความจริงแง่นี้ให้มากขึ้นกัน

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)

มนุษย์ได้รับการยกโทษต่อบาปของเขาโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาป เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนได้มาถึงปลายทางแล้ว และพระเจ้าก็ได้ทรงมีอำนาจเหนือซาตานแล้ว แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา มนุษย์ยังคงสามารถทำบาปและต้านทานพระเจ้าได้ และพระเจ้าก็ยังไม่ทรงได้รับมวลมนุษย์เอาไว้เลย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พระเจ้าจึงทรงใช้พระวจนะมาตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เป็นเหตุให้เขาปฏิบัติไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง ช่วงระยะนี้เปี่ยมความหมายมากกว่าช่วงระยะก่อนหน้า รวมถึงออกผลมากกว่า เพราะตอนนี้ พระวจนะนี่เองที่จัดหาให้กับชีวิตมนุษย์โดยตรง และทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการเริ่มใหม่อย่างครบบริบูรณ์ มันเป็นช่วงระยะของพระราชกิจที่ละเอียดทั่วถึงกว่ามาก เพราะฉะนั้น การจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายได้ทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าครบบริบูรณ์และเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมนุษย์โดยสมบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))

พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)

การอ่านพระวจนะช่วยให้เราเห็นว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย งานการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าแค่อภัยให้บาปของเรา แต่ธรรมชาติเปี่ยมบาปของเรายังคงฝังแน่นอยู่ลึก พระเจ้าจำเป็นต้องตรัสความจริงเพิ่มและดำเนิน ขั้นตอนงานพิพากษาเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดโดยถ้วนและช่วยให้รอด กล่าวคือ งานการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าแค่ปูทางให้งานพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดและเป็นศูนย์กลางที่สุดของงานความรอดทั้งหมดของพระเจ้า และยังเป็นเส้นทางเดียวสู่ความรอดที่สมบูรณ์และการเข้าสู่ราชอาณาจักร เมื่อขั้นตอนนี้เสร็จสิ้น อุปนิสัยเสื่อมทรามของคนจะถูกชำระให้สะอาด เราจะหยุดทำบาปและต้านทานพระเจ้า เราจะนบนอบและรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดก็จะเสร็จสมบูรณ์ แผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้าก็จะเสร็จสมบูรณ์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ปรากฏและเริ่มทรงงานในยุคสุดท้าย ยุติยุคพระคุณและเริ่มต้นยุคราชอาณาจักร ทรงแสดงความจริงที่ชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอดอย่างเต็มที่ ไม่เพียงแต่เปิดเผยทุกความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการ แต่ยังพิพากษาและเปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของคนและอุปนิสัยที่ขัดต่อพระเจ้า เปิดเผยมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ความคิดที่ผิดพลาดในความเชื่อ ยังทรงมอบเส้นทางให้เราหนีจากบาปและถูกช่วยให้รอดอย่างเต็มที่ด้วย และยังอื่นๆ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ช่างล้ำค่า! นี่คือความเป็นจริงของความจริงที่ผู้คนต้องมี เพื่อถูกชำระให้บริสุทธิ์และถูกช่วยให้รอดเต็มที่ และเป็นพระวจนะที่พระเจ้าไม่เคยดำรัสในยุคธรรมบัญญัติหรือยุคพระคุณ นี่คือการที่พระเจ้านำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์ในยุคสุดท้าย ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหลายคนที่ถูกพระองค์พิพากษา ได้เห็นความจริงเรื่องความเสื่อมทรามและธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่ต้านทานพระเจ้า ได้เข้าใจแท้จริงถึงความชอบธรรม พระอุปนิสัยที่มิอาจล่วงเกินได้ และเกิดความเคารพต่อพระเจ้า เป็นอิสระจากโซ่ตรวนแห่งบาป ใช้ชีวิตตามสภาพเหมือนของมนุษย์ที่จริง ทุกคนมีคำพยานที่น่าเหลือเชื่อ ถึงการเป็นอิสระจากบาปและมีชัยเหนือซาตาน ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต่างรู้ว่า งานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าคือความรอดสูงสุดสำหรับมวลมนุษย์! หากไม่มีงานการพิพากษา เราจะไม่มีวันเห็นความจริงของความเสื่อมทรามของเราเอง ไม่มีวันรู้ถึงรากเหง้าของบาปของเราเอง ไม่มีวันเปลี่ยนและชำระอุปนิสัยที่เสื่อมทรามให้สะอาดได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทำให้กลุ่มผู้ชนะครบบริบูรณ์แล้วก่อนความวิบัติ ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรได้เผยแผ่ไปทั่วโลก ข้อเท็จจริงนี้แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้ซาตานพ่ายและได้รับพระสิริทั้งมวล และแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีก็เสร็จสมบูรณ์ ความวิบัติครั้งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกคนทำชั่วที่ต้านทานพระเจ้าจะถูกลงโทษและทำลายในความวิบัตินั้น ส่วนผู้ที่รับการพิพากษาและถูกชำระให้สะอาด พระเจ้าจะคุ้มครองให้ผ่านความวิบัติไปได้ แล้วจะมีสวรรค์และโลกใหม่ ราชอาณาจักรของพระคริสต์จะปรากฎบนแผ่นดินโลก ผู้ที่เหลืออยู่จะเป็นประชากรของพระเจ้า ที่จะอยู่ตลอดไปในราชอาณาจักร ชื่นชมพระพรและสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ นี่ลุล่วงคำเผยพระวจนะของวิวรณ์อย่างแท้จริง “อาณาจักรของโลกนี้กลับกลายเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว และเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์(วิวรณ์ 11:15)ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากพระที่นั่งว่า ‘นี่แน่ะ ที่ประทับของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว และพระองค์จะประทับกับเขาทั้งหลาย พวกเขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ พระเจ้าเองจะสถิตกับเขา และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆ หยดจากตาของเขาทั้งหลาย และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้า การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นผ่านไปแล้ว’(วิวรณ์ 21:3-4)

ถึงจุดนี้ เราจะเห็นได้ว่า พระราชกิจสามขั้นตอนนั้นล้ำค่าและสัมพันธ์กับชีวิตจริงแค่ไหน! ทุกขั้นตอนเป็นไปเพื่อแก้ไขบาปของคนและเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียว นั่นคือการช่วยมนุษย์จากอำนาจของซาตานและจากบาป ทีละขั้นตอน ให้เราเข้าสู่ราชอาณาจักรได้และรับสัญญาและพระพรของพระเจ้า งานแต่ละขั้นตอนเชื่อมโยงกับขั้นตอนถัดไป และถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของขั้นตอนก่อน ลึกซึ้งและสูงส่งกว่าขั้นตอนก่อน ทุกขั้นตอนโยงกันใกล้ชิด แยกไม่ออก และไม่ได้ผลเลยหากไม่มีขั้นตอนอื่น นี่แหละครับ หากปราศจากงานของยุคธรรมบัญญัติ จะไม่มีใครรู้ว่าบาปคืออะไร เราจะใช้ชีวิตในบาป ถูกซาตานเหยียบย่ำ เราจะถูกซาตานกระชากไป ถูกลบล้าง ถ้าไม่มีงานการไถ่ในยุคพระคุณ มวลมนุษย์คงต้องถูกลงโทษเพราะทำบาปมากเกินไป เราคงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงงานพิพากษาของยุคสุดท้ายล่ะ? เราก็คงไม่มีวันหนีพันธะแห่งบาปพ้น หรือมีค่าควรแก่ การเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เราคงลงเอยตรงโดนทำลายเพราะบาปหนาอย่างสุดลึก ถ้าขาดงานสักขั้นตอนในสามระยะนี้ มวลมนุษย์ก็จะเป็นของซาตานและไม่อาจถูกช่วยให้รอดได้เต็มที่ งานสามระยะนี้มีแผนการบริหารจัดการเต็มรูปแบบเพื่อความรอดของมนุษย์ แต่ละขั้นตอนยิ่งสำคัญกว่าขั้นตอนก่อนหน้า ล้วนเป็นการจัดเตรียมการที่พิถีพิถันของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด นี่แสดงให้เราเห็นถึงความรอดและความรักยิ่งใหญ่ที่ทรงมี แสดงให้เห็นพระปัญญาและความทรงมหิทธิฤทธิ์ อย่างที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสไว้ “แผนการจัดการทั้งหมดของเรา ซึ่งเป็นแผนการจัดการระยะเวลา 6,000 ปีนั้นประกอบด้วยสามระยะ หรือสามยุค ได้แก่ ยุคธรรมบัญญัติปฐมกาล ยุคพระคุณ (ซึ่งเป็นยุคแห่งการทรงไถ่ด้วยเช่นกัน) และยุคแห่งราชอาณาจักรแห่งยุคสุดท้าย งานของเราในสามยุคดังกล่าวแตกต่างกันในด้านเนื้อหาตามลักษณะของแต่ละยุค ทว่าในแต่ละระยะ งานส่วนนี้จะมีความเหมาะสมกับความจำเป็นของมนุษย์ หรือกล่าวให้ชัดเจนกว่านั้นได้ว่า ถูกกระทำไปโดยสอดรับกับเล่ห์เพทุบายที่ซาตานนำมาใช้ในสงครามที่เราต้องเข้าต่อกรด้วย วัตถุประสงค์แห่งงานของเราคือเพื่อทำให้ซาตานพ่ายแพ้ เพื่อสำแดงปัญญาและฤทธานุภาพอันไม่สิ้นสุดของเราให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อเปิดโปงเล่ห์เพทุบายทั้งสิ้นของซาตาน และด้วยเหตุนั้นจะเป็นการช่วยเผ่าพันธุ์มนุษยชาติทั้งมวลซึ่งอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานให้รอด ทั้งหมดก็เพื่อแสดงถึงปัญญาและฤทธานุภาพอันไม่มีที่สิ้นสุดของเรา และเพื่อเผยให้เห็นความน่าขยะแขยงเกินจะทานทนของซาตาน และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ เพื่อช่วยให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายสามารถแยกแยะระหว่างความดีกับความชั่วได้ เพื่อจะรับรู้ได้ว่าเราคือผู้ปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง เพื่อให้ได้เห็นกันอย่างชัดแจ้งว่าซาตานคือศัตรูแห่งมนุษยชาติ เป็นผู้ที่เสื่อม เป็นมารชั่วร้าย และเพื่อให้พวกเขาสามารถบอกกล่าวด้วยความเชื่อมั่นเต็มหัวใจถึงข้อแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว ความจริงและความลวง ความบริสุทธิ์และความโสมม รวมถึงสิ่งใดยิ่งใหญ่เลอค่าและสิ่งใดไร้เกียรติควรเหยียดหยาม ด้วยเหตุนี้มนุษย์ผู้ไม่รู้เท่าทันจึงจะสามารถเป็นประจักษ์พยานฝ่ายเราได้ว่า ไม่ใช่เราที่เป็นผู้บ่อนทำลายมนุษยชาติให้เสื่อมทราม และมีแต่เรา—พระผู้สร้าง—เท่านั้น ที่สามารถช่วยมนุษยชาติให้อยู่รอด ที่สามารถมอบสิ่งต่างๆ ซึ่งให้ความสุขแก่พวกเขาได้ จนกระทั่งพวกเขาได้ตระหนักรู้ว่าเราคือผู้ปกครองทุกสรรพสิ่ง และซาตานเป็นเพียงหนึ่งในสิ่งดำรงอยู่ที่เราได้สร้างขึ้นมาและซึ่งต่อมากลับผันแปรพักตร์ไปจากเรา แผนการจัดการระยะเวลา 6,000 ปีของเราแบ่งออกเป็นสามระยะ และด้วยเหตุนั้นเราได้ดำเนินงานเพื่อให้บรรลุผลในการทำให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสามารถเป็นพยานต่อเราได้ เข้าใจเจตนาของเราได้ และรู้ได้ว่าเราคือความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

แนวความคิดเรื่องตรีเอกานุภาพสมเหตุสมผลไหม?

ตั้งแต่องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงพระราชกิจแห่งยุคพระคุณ นานสองพันปี คริสตศาสนาทั้งหมดได้นิยามพระเจ้าแท้จริงหนึ่งเดียวในฐานะ...

ความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรยศองค์พระเยซูเจ้าหรือไม่?

กว่าสามสิบปีแล้ว ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงปรากฏ เริ่มทรงงานและแสดงความจริงในปี 1991...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger