องค์พระเยซูเจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เมื่อพระองค์ตรัสบนไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว”?

วันที่ 23 เดือน 09 ปี 2021

คริสตชนเชื่อว่า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสบนไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว” คือการตรัสว่าพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ของพระเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว ทุกคนก็เลยแน่ใจ ว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา จะไม่ทรงพระราชกิจแห่งความรอดอีก แต่จะทรงยกชูผู้เชื่อขึ้นสู่ฟ้าเพื่อพบองค์พระผู้เป็นเจ้า พาเราเข้าสู่สวรรค์ เพียงแค่นั้น นี่คือสิ่งที่ผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเชื่อกันหนักแน่น เพราะอย่างนั้น หลายคนจึงเพ่งมองท้องฟ้าอยู่เสมอ รอให้องค์พระผู้เป็นเจ้านำพาตรงเข้าสู่ราชอาณาจักร แต่ว่า ตอนนี้มหาวิบัติได้มาถึงแล้ว คนส่วนมากยังไม่เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา ความเชื่อจึงลดลง ต่างรู้สึกท้อแท้ บางคนถึงกับสงสัยว่า พระสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีจริงไหม? พระองค์จะเสด็จมาไหม? ที่จริง องค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาอย่างลับๆ ในฐานะบุตรมนุษย์นานแล้ว ทรงแสดงความจริงมากมาย ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา โดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า แต่คนส่วนมากไม่พยายามฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ไม่แสวงหาให้ได้ยินพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ตรัสกับคริสตจักร คอยแต่สันนิษฐานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องเสด็จมาบนเมฆเพื่อนำพวกเขาเข้าสู่สวรรค์ จึงพลาดโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า นั่นจะเป็นความเสียใจชั่วชีวิตครับ นี่อาจเกี่ยวข้องกับการตีความพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว

เรามาเริ่มกันจากตรงนี้นะครับ ทำไมผู้เชื่อหลายคนคิดว่า ที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” หมายถึงพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ของพระเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว? มีพื้นฐานพระคัมภีร์มารองรับไหม? พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ยืนยันไหม องค์พระผู้เป็นเจ้าเคยตรัสไหมว่าจะไม่ทรงพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์อีก? พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ให้คำพยานไว้ไหมว่าพระวจนะนั้น หมายถึงพระเจ้าทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งความรอดแล้ว? เราพูดได้อย่างแน่ใจว่า ไม่ แล้วทำไมทุกคนถึงนิยามพระวจนะนี้ที่มาจากองค์พระเยซูเจ้า ว่าหมายถึงพระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสมบูรณ์แล้ว? นั่นมันไม่ไร้สาระเหรอครับ? การเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่งานง่าย 2 เปโตร 1:20 กล่าวไว้ว่า “ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน คือผู้หนึ่งผู้ใดจะตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้” การตีความองค์พระคัมภีร์เอาเองมีผลสืบเนื่องร้ายแรง คิดถึงพวกฟาริสีนะครับ พวกเขาตีความคำเผยพระวจนะถึงพระเมสสิยาห์เอาเอง และผลก็คือ พระเมสสิยาห์เสด็จมา และพวกเขาก็เห็นว่าองค์พระเยซูเจ้าไม่สอดคล้องกับการตีความของตน จึงกล่าวโทษพระราชกิจพระองค์ และถึงกับตรึงกางเขนพระองค์ พวกเขาได้รับผลสืบเนื่องร้ายแรง สิ่งนี้นำพวกเขาไปสู่การถูกกล่าวโทษโดยองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาถูกสาปแช่ง!

ดังนั้นเมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสบนไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว” พระองค์ตรัสถึงอะไร? การทำความเข้าใจต่อสิ่งนี้ ต้องคิดถึงคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ถึงการเสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า โดยเฉพาะสิ่งต่างๆ ที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสเองว่าจะทรงทำ และอุปมาของพระองค์ถึงราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงโดยตรงกับพระราชกิจในยุคสุดท้าย เราต้องเข้าใจเบื้องต้นถึงคำเผยพระวจนะและอุปมาเหล่านี้ เพื่อทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง ว่าที่จริงองค์พระเยซูเจ้าตรัสถึงอะไรกันแน่ เมื่อตรัสเช่นนั้นบนไม้กางเขน แม้เราจะไม่เข้าใจเต็มที่ แต่ก็ต้องไม่ทึกทักเอาว่าทรงหมายถึง ว่าพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ของพระเจ้าเสร็จสิ้นไปแล้ว นั่นคือการเชื่อโดยพลการและน่าหัวเราะครับ ที่จริง ถ้าพิจารณาคำเผยพระวจนะและอุปมาถึงราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ขององค์พระเยซูเจ้า เราก็จะเข้าใจเบื้องต้นถึงราชอาณาจักรและพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อเสด็จกลับมา แล้วเราก็จะไม่ตีความพระดำรัสของพระองค์ว่า “สำเร็จแล้ว” ผิด องค์พระผู้เป็นเจ้าเผยพระวจนะไว้ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:47-48)เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร… และทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะทำการพิพากษาเพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์(ยอห์น 5:22, 27) และใน 1 เปโตร ก็บอกว่า “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17) ในวิวรณ์ เราเห็นว่า “นี่แน่ะ สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ ซึ่งเป็นรากเหง้าของดาวิด ทรงมีชัยชนะแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถเปิดหนังสือและแกะตราทั้งเจ็ดดวงได้(วิวรณ์ 5:5)ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ 2:7) องค์พระเยซูเจ้ายังทรงใช้อุปมามากมายเพื่อพรรณนาถึงราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เช่น “อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลามาทุกชนิด เมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่ง นั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ตะกร้า แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น ทูตสวรรค์ทั้งหลายจะออกมาแยกพวกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน(มัทธิว 13:47-50) เราเห็นได้จากคำเผยพระวจนะและอุปมา ว่าองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่าจะทรงงานมหาศาลเมื่อเสด็จกลับมา ส่วนสำคัญที่สุดคือการแสดงความจริงและทรงพระราชกิจการพิพากษา นี่จะนำให้ผู้คนเข้าสู่ความจริงทั้งปวง และจะจัดแยกผู้คนตามประเภท ทำให้บางคนเพียบพร้อม กำจัดบางคนทิ้ง นี่จะทำให้ทุกสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ถึงราชอาณาจักรเป็นจริง คิดถึงข้าวสาลีและข้าวละมาน อวนจับปลา หญิงพรหมจารีที่โง่และที่มีปัญญา แกะกับแพะ ผู้รับใช้ที่ดีและที่ชั่ว พระราชกิจการพิพากษาซึ่งเริ่มที่พระนิเวศพระเจ้า จะแยกข้าวสาลีออกจากข้าวละมาน ผู้รับใช้ที่ดีออกจากที่ชั่ว คนที่รักในความจริงออกจากคนที่แค่อยากได้สิ่งชูใจ หญิงพรหมจารีมีปัญญาจะร่วมงานสมรสของพระเมษโปดก และพระเจ้าจะทรงทำให้เพียบพร้อม หญิงพรหมจารีโง่ล่ะ? พวกเขาจะตกลงสู่ความวิบัติ ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะไม่ได้ฟังพระสุรเสียงพระเจ้า นี่คือพระราชกิจแห่งการพิพากษา คือจัดประเภทให้ทุกคน ให้รางวัลความดี พิพากษาความชั่ว ทำให้คำเผยพระวจนะในวิวรณ์ลุล่วงโดยสมบูรณ์ “จงให้คนอธรรมประพฤติการอธรรมต่อไป จงให้คนโสมมประพฤติการโสมมต่อไป จงให้คนชอบธรรมทำการชอบธรรมต่อไปและจงให้คนบริสุทธิ์เป็นคนบริสุทธิ์ต่อไป(วิวรณ์ 22:11)นี่แน่ะ เราจะมาในเร็วๆ นี้ และจะนำบำเหน็จของเรามาด้วย เพื่อตอบแทนตามการกระทำของแต่ละคน(วิวรณ์ 22:12) เมื่อเข้าใจคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าจริงๆ ก็เห็นได้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้ายเพื่อแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา จัดประเภทให้ทุกคนและกำหนดบทอวสานให้ เราอ้างได้จริงเหรอว่าเมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสบนไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว” ทรงพูดว่าพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ให้รอดสำเร็จแล้ว? เราจะมองฟ้าอย่างโง่เขลารอให้องค์พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาบนเมฆ และพาเราขึ้นสู่ฟ้าเพื่อพบพระองค์ไหม? เราจะยังทำตัวสบายๆ กล่าวโทษความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าทรงแสดงเมื่อทรงงานในยุคสุดท้ายไหม? เราจะยังปฏิเสธว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จกลับมาในฐานะบุตรมนุษย์ เพื่อทรงพระราชกิจการพิพากษาของยุคสุดท้ายไหม? มหาวิบัติได้มาถึงแล้ว และผู้นับถือศาสนาหลายคน ยังคงหลงอยู่ในความฝันว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมา คิดว่าจะไม่ทรงขับออก ได้เวลาตื่นกันแล้วครับ ถ้าไม่ตื่น เมื่อความวิบัติสิ้นสุดลงและพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปรากฏแก่ทุกคน พระเจ้าจะทรงสร้างฟ้าและแผ่นดินใหม่ และทุกคนในโลกศาสนาจะร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นั่นจะทำให้คำเผยพระวจนะในวิวรณ์ลุล่วง “นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์(วิวรณ์ 1:7)

หลายคนคงมีคำถาม ว่าองค์พระเยซูเจ้าหมายถึงอะไรกันแน่ตอนที่ตรัสบนไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว” ที่จริงแล้วมันเรียบง่ายมากครับ พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเน้นการปฏิบัติเสมอ ดังนั้นเมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ คือกำลังตรัสถึงพระราชกิจแห่งการไถ่แน่นอน แต่ผู้คนยืนกรานจะทำความเข้าใจ พระวจนะจากองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเกี่ยวกับกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอด แต่นั่นเป็นไปตามอำเภอใจครับ เพราะพระเจ้าทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์เพียงส่วนเดียว ยังมีขั้นตอนสำคัญที่สุดอยู่ คือพระราชกิจการพิพากษาในยุคสุดท้าย ทำไมคุณถึงยึดมั่นว่า “สำเร็จแล้ว” หมายถึงพระราชกิจความรอดของพระเจ้าเสร็จสิ้นหมดแล้วล่ะ? นั่นไร้สาระและไม่มีเหตุผลไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมองค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนตั้งแต่แรก? ที่จริงแล้วเมื่อทรงถูกตรึงกางเขน ทรงทำอะไรสำเร็จ? ผลคืออะไร? ผู้เชื่อทุกคนรู้ถึงสิ่งนี้ครับ เพราะว่ามีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างชัดเจน องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อไถ่มนุษยชาติ ทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้มนุษยชาติ รับบาปของทุกคนเอาไว้ ไม่ให้ถูกกล่าวโทษและประหารตามธรรมบัญญัติอีก แล้วบาปก็จะได้รับยกโทษ ตราบที่เชื่อในพระเจ้า อธิษฐานและสารภาพต่อพระองค์ และชื่นชมพระคุณอันเหลือเชื่อจากพระเจ้า นั่นคือความรอดโดยพระคุณ คือสิ่งที่พระราชกิจการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าบรรลุผล แม้บาปเราได้รับยกโทษผ่านทางความเชื่อ แต่ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าเรายังอดไม่ได้ที่จะทำบาปตลอดเวลา เราใช้ชีวิตในวัฏจักรของการทำบาป สารภาพ และทำบาปอีก เรายังไม่พ้นจากบาปเลย หมายความว่ายังไง? หมายความว่าเรายังมีธรรมชาติบาปหนา มีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เราจึงแก้ปัญหาของการทำบาปต่อไปหลังจากที่บาปของเราได้รับการยกโทษไม่ได้ ทำให้ผู้เชื่อทุกคนสับสน—นี่เป็นสิ่งที่เจ็บปวดมากครับ พระวจนะพระเจ้าบอกว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์(เลวีนิติ 11:45) พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ ใครที่ไม่บริสุทธิ์จะไม่เห็นพระองค์ แล้วคนที่ทำบาปและต้านทานพระเจ้าอยู่ตลอด ควรค่าได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าไหม? เพราะคนยังไม่พ้นจากบาปและถูกชำระให้บริสุทธิ์ พระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงได้จริงเหรอ? ความรอดของพระเจ้าจะเป็นความรอดที่สมบูรณ์—จะไม่ทรงละทิ้งพระราชกิจไว้กลางทาง องค์พระเยซูเจ้าจึงได้เผยพระวจนะถึงการเสด็จกลับมาหลายครั้ง ทรงกลับมาในยุคสุดท้ายนานแล้ว เป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา บนพื้นฐานพระราชกิจการไถ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์จากอุปนิสัยเสื่อมทราม ให้เราเป็นอิสระจากโซ่ตรวนของบาป ช่วยเราให้รอดจากกำลังบังคับของซาตาน นำเราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ตอนที่พระราชกิจการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสร็จสมบูรณ์ พระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ของพระเจ้าจึงจะสำเร็จ

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)

ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้ เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))

โดยแก่นแท้แล้วจุดประสงค์ของพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าหมายที่จะชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์ เพื่อการหยุดพักขั้นสุดท้าย หากไม่มีการชำระให้สะอาดดังกล่าว ก็คงจะไม่มีมนุษย์คนใดถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแตกต่างกันตามประเภท หรือเข้าสู่การหยุดพักได้ พระราชกิจนี้เป็นเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นของมนุษยชาติที่จะเข้าสู่การหยุดพัก เฉพาะพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่จะชำระพวกมนุษย์ให้สะอาดจากความไม่ชอบธรรมของพวกเขา และเฉพาะพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์เท่านั้นที่จะนำส่วนประกอบของมนุษยชาติที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้นไปสู่ความสว่าง ด้วยวิธีนั้น จึงเป็นการแยกบรรดาผู้ที่สามารถถูกช่วยให้รอดออกจากบรรดาผู้ที่ไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้ และแยกบรรดาผู้ที่จะคงเหลืออยู่ออกจากบรรดาผู้ที่จะไม่คงเหลืออยู่ได้ เมื่อพระราชกิจนี้สิ้นสุดลง บรรดาผู้คนที่ได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่จะถูกชำระให้สะอาดทั้งหมดและเข้าสู่สภาวะที่สูงขึ้นของมนุษยชาติ ซึ่งพวกเขาจะได้ชื่นชมกับชีวิตที่สองของมนุษย์อันน่าอัศจรรย์มากยิ่งขึ้นบนแผ่นดินโลก กล่าวคือ พวกเขาจะเริ่มวันแห่งการหยุดพักแบบมนุษย์ของพวกเขา และดำรงอยู่ร่วมกันกับพระเจ้า หลังจากที่บรรดาผู้ไม่ได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่ได้ถูกตีสอนและถูกพิพากษาแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาจะถูกตีแผ่ออกมาโดยถ้วนทั่ว ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดจะถูกทำลาย และไม่ได้รับอนุญาตให้รอดชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกอีกต่อไป เช่นเดียวกับซาตาน มนุษยชาติแห่งอนาคตจะไม่รวมเข้ากับผู้คนประเภทนี้คนใดเลยอีกต่อไป ผู้คนเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะเข้าสู่แผ่นดินแห่งการหยุดพักขั้นสูงสุด อีกทั้งไม่เหมาะสมที่จะร่วมในวันแห่งการหยุดพักที่พระเจ้าและมนุษยชาติจะร่วมแบ่งปันกัน ด้วยเพราะพวกเขาเป็นเป้าหมายแห่งการลงโทษและเป็นผู้คนไม่ชอบธรรมที่ชั่วร้าย… จุดประสงค์ทั้งหมดทั้งมวลเบื้องหลังพระราชกิจขั้นสูงสุดแห่งการลงโทษคนชั่วและการให้บำเหน็จรางวัลคนดีของพระเจ้านั้นคือการชำระพวกมนุษย์ทั้งหมดให้บริสุทธิ์อย่างถ้วนทั่ว เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงนำมนุษยชาติที่บริสุทธิ์สะอาดเข้าสู่การหยุดพักอันเป็นนิรันดร์ได้ พระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระองค์มีความสำคัญยิ่งยวดเป็นที่สุด ซึ่งเป็นช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ทั้งหมด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ชัดเจนมาก ในยุคพระคุณ พระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าเป็นไปเพื่อยกโทษให้บาปของมนุษย์เท่านั้น พระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สิที่ชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พิพากษาและเปิดโปงแก่นแท้และธรรมชาติกบฎที่ต่อต้านพระเจ้าของมนุษย์ ให้เรารู้อุปนิสัยเยี่ยงซาตานและความเสื่อมทรามของเรา มันแสดงให้เห็นว่าเราเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เช่น ความโอหัง ความเจ้าเล่ห์ และความอธรรม ไม่มีความเหมือนมนุษย์แม้แต่น้อย นี่คือทางเดียวที่คนจะเห็นความจริงว่าถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามลึกซึ้งแค่ไหน พวกเขาจะได้ดูหมิ่นตัวเอง สำนึกผิดจริงๆ และกลับใจต่อพระเจ้า แล้วจะเห็นว่าความจริงล้ำค่าแค่ไหน เริ่มเน้นการนำพระวจนะพระเจ้าไปสู่การปฏิบัติและการเข้าไปสู่ความจริงความเป็นจริง ให้ค่อยๆ กำจัดอุปนิสัยเสื่อมทราม เริ่มเปลี่ยนอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต กลายเป็นนบนอบและยำเกรงพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ดำรงชีวิตด้วยพระวจนะ นี่คือวิธีละทิ้งกำลังบังคับของซาตานและถูกช่วยให้รอดโดยพระเจ้า แล้วก็จะได้รับการอารักขาโดยพระเจ้า รอดชีวิตจากมหาวิบัติในยุคสุดท้ายได้ และเข้าสู่บั้นปลายที่สวยงามซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ สิ่งนี้บรรลุคำเผยพระวจนะในวิวรณ์ 21:3-6 ว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากพระที่นั่งว่า ‘นี่แน่ะ ที่ประทับของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว และพระองค์จะประทับกับเขาทั้งหลาย พวกเขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ พระเจ้าเองจะสถิตกับเขา [และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา] พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆ หยดจากตาของเขาทั้งหลาย และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้า การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นผ่านไปแล้ว’ แล้วพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งตรัสว่า ‘นี่แน่ะ เราสร้างทุกสิ่งขึ้นใหม่’ และตรัสอีกว่า ‘จงเขียนลงไปเถิด เพราะว่าคำเหล่านี้เป็นคำที่เชื่อถือได้และสัตย์จริง’ แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘สำเร็จแล้ว เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ใครที่กระหาย เราจะให้เขาดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย’” ตรงนี้เอง พระเจ้าตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” ซึ่งนั่นไม่เหมือนกับที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสบนไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว” คนละบริบท คนละโลก เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสบนไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว” ทรงพูดถึงพระราชกิจการไถ่ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว พระวจนะ “สำเร็จแล้ว” ในหนังสือวิวรณ์ คือพระเจ้าดำรัสถึงการทำพระราชกิจเพื่อช่วยมวลมนุษย์จนเสร็จสิ้น พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์ พระองค์สถิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์ พวกเขาจะเป็นประชากรของราชอาณาจักร ที่นั่นจะไม่มีน้ำตา ความตายหรือความทุกข์ระทมอีก นี่เป็นแค่เครื่องหมายแสดงว่าพระเจ้าทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งความรอดแล้ว

พอถึงตรงนี้ ทุกคนควรเข้าใจชัดเจนแล้ว ว่าการอ้างว่าพระวจนะบนไม้กางเขนขององค์พระเยซูเจ้า หมายถึงพระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นแล้ว ตรงข้ามกับความเป็นจริงของพระราชกิจพระเจ้า เป็นมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ เป็นการตีความที่หลอกลวงและทำให้หลงผิด และไม่อาจบอกได้ว่ามันทำลายคนไปกี่คนแล้ว คนที่หลับหูหลับตายึดติดกับสิ่งนี้ รอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏบนเมฆ เพื่อตนจะได้ถูกนำขึ้นสู่ราชอาณาจักร แต่ปฏิเสธที่จะตรวจสอบความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสไว้ จะพลาดโอกาสได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีทางพ้นจากบาปและถูกช่วยให้รอดได้ครบถ้วน แล้วความเชื่อทั้งชีวิตก็จะมาสูญเปล่า ต้องตกลงสู่ความวิบัติ ถูกพระเจ้าทรงกำจัดทิ้ง

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ยืนนานและสถาพร ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการรับรองจากพระเจ้า หากเจ้าไม่แสวงหาหนทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการรับรองจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเจ้านั้นเป็นทั้งหุ่นเชิดและนักโทษของประวัติศาสตร์ พวกที่ถูกควบคุมโดยกฎระเบียบต่างๆ โดยตัวอักษร และถูกพันธนาการโดยประวัติศาสตร์จะไม่มีทางได้รับชีวิตหรือได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ นี่เป็นเพราะทั้งหมดที่พวกเขามีนั้นคือน้ำขุ่นซึ่งได้ถูกเก็บกักมาเป็นเวลาหลายพันปีแทนที่จะเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งไหลมาจากพระบัลลังก์ พวกที่ไม่ได้รับการจัดหาน้ำแห่งชีวิตมาให้จะยังคงเป็นซากศพ ของเล่นของซาตาน และบุตรแห่งนรกไปตลอดกาล เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะเห็นพระเจ้าได้อย่างไร? หากเจ้าเพียงแค่พยายามยึดติดกับอดีต เพียงแค่พยายามเก็บรักษาสิ่งต่างๆ อย่างที่เป็นอยู่โดยการอยู่นิ่งเฉย และไม่พยายามเปลี่ยนสถานภาพปัจจุบันและละทิ้งประวัติศาสตร์ไปเสีย เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ต่อต้านพระเจ้าตลอดเวลาหรอกหรือ? ขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้านั้นมากมายมหาศาลและมีฤทธานุภาพ ดั่งคลื่นที่ถาโถมและฟ้าที่ร้องคำรามต่อเนื่อง—กระนั้นเจ้าก็นั่งรอคอยการทำลายล้างอย่างนิ่งเฉย เกาะติดอยู่กับความโง่เขลาของเจ้าและไม่ทำอะไรเลย อย่างนี้แล้ว เจ้าจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นใครสักคนที่ติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกได้อย่างไร? เจ้าจะสามารถแก้ต่างให้พระเจ้าที่เจ้ายึดติดนั้นว่าเป็นพระเจ้าที่มีความใหม่และไม่เคยเก่าอยู่เสมอได้อย่างไร? และถ้อยคำจากบรรดาหนังสือที่เก่าจนเหลืองคร่ำคร่าของเจ้าจะสามารถหอบหิ้วเจ้าข้ามเข้าสู่ยุคใหม่ได้อย่างไร? ถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถนำทางเจ้าในการแสวงหาขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร? และถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถพาเจ้าขึ้นไปสู่สวรรค์ได้อย่างไร? สิ่งที่เจ้าถือไว้ในมือของเจ้านั้นคือตัวอักษรที่สามารถให้ได้แต่เพียงการปลอบใจชั่วคราว ไม่ใช่ความจริงที่สามารถให้ชีวิตได้ คัมภีร์ที่เจ้าอ่านสามารถประเทืองปลายลิ้นของเจ้าได้เท่านั้น และไม่ใช่ถ้อยคำแห่งปรัชญาที่สามารถช่วยให้เจ้ารู้จักชีวิตมนุษย์ได้ นับประสาอะไรกับเส้นทางที่สามารถนำทางเจ้าไปสู่ความเพียบพร้อม ความคลาดเคลื่อนนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุให้เจ้าพิจารณาไตร่ตรองหรอกหรือ? มันไม่ได้ทำให้เจ้าตระหนักถึงความล้ำลึกต่างๆ ที่บรรจุอยู่ภายในหรอกหรือ? เจ้าสามารถนำส่งตัวเจ้าเองสู่สวรรค์เพื่อพบพระเจ้าด้วยตัวของเจ้าเองได้หรือ? หากปราศจากการเสด็จมาของพระเจ้า เจ้าจะสามารถพาตัวเจ้าเองเข้าสู่สวรรค์เพื่อชื่นชมความสุขในครอบครัวกับพระเจ้าได้หรือ? เจ้ายังคงฝันกลางวันอยู่ในขณะนี้หรือไม่? เช่นนั้นแล้ว เราแนะนำให้เจ้าหยุดฝันแล้วมองดูว่าใครที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนี้ ดูว่าใครที่กำลังดำเนินงานในการช่วยมนุษย์ให้รอดระหว่างยุคสุดท้ายอยู่ในขณะนี้ หากเจ้าไม่ทำ เจ้าก็จะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่มีวันได้รับชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การมองให้ออกว่าพระเจ้าพระองค์เดียวทรงราชกิจสามระยะอย่างไร

วันนี้หัวข้อการสามัคคีธรรมของเราก็คือ “การมองให้ออกว่าพระเจ้าพระองค์เดียวทรงราชกิจสามระยะอย่างไร” หัวข้อนี้สำคัญ...

เหตุใดในยุคสุดท้าย พระเจ้าจึงเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์ มิใช่กายวิญญาณ?

เพราะว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงเพื่อทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย หลายคนจึงแสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริง...

จริงหรือที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาบนก้อนเมฆ?

ตอนนี้ เรากำลังเห็นความวิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า กับโรคระบาดล้างโลก ผู้เชื่อรอคอยอย่างเร่งด่วนให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาบนเมฆ...

ความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรยศองค์พระเยซูเจ้าหรือไม่?

กว่าสามสิบปีแล้ว ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงปรากฏ เริ่มทรงงานและแสดงความจริงในปี 1991...

ติดต่อเราผ่าน Messenger