การติดตามผู้นำศาสนาคือการติดตามพระเจ้าใช่หรือไม่?

วันที่ 15 เดือน 12 ปี 2021

2,000 ปีก่อน พระผู้ช่วยให้รอด องค์พระเยซูเจ้ามาทรงงานแห่งการไถ่ และถูกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และฟาริสีของความเชื่อแบบยิว กล่าวโทษอย่างบ้าคลั่ง เพราะชาวยูดายส่วนใหญ่นับถือผู้นำศาสนาของตน พวกเขากล่าวโทษและปฏิเสธองค์พระเยซูเจ้าตามศัตรูพระคริสต์ และร่วมตรึงกางเขนพระองค์ในที่สุด นี่เป็นบาปมหันต์และทำให้พวกเขาถูกพระเจ้าแช่งด่าและลงโทษ ทำลายชาติอิสราเอลมา 2,000 ปี องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาปรากฎในรูปมนุษย์เป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงแสดงความจริงและพิพากษาเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอด ทั้งยังต้องทรงถูกผู้นำศาสนาต้านทานและกล่าวโทษอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาปิดตายคริสตจักร และขวางทางผู้เชื่อที่มองค้นหนทางที่แท้จริง ทำให้ผู้คนกลัวที่จะเจาะลึกและยอมรับมัน แม้ต่างก็เห็นชัดแล้วว่า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริงและมีพลัง มีสิทธิอำนาจและมาจากพระเจ้า ทำให้หลายคนเสียโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และร่วงลงสู่ความวิบัติ ในเรื่องการต้อนรับพระเจ้า พวกเขาไปทำพลาดตรงไหน? ก็ตรงที่พวกเขายกย่องผู้นำศาสนาของตนนั่นเอง! พวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งผู้นำศาสนาและทรงใช้พวกเขา ว่าการเชื่อฟังพวกเขาคือการเชื่อฟังพระเจ้า ดังนั้นจึงพากันติดตามพวกเขาอย่างสมบูรณ์ นบนอบต่อคำพูดพวกเขาเสมือนว่าเป็นคำพูดจากพระเจ้า หลายคนคิดว่าพวกนักบวช จะรู้ก่อนใครเมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมา เมื่อไม่ได้ยินพวกเขาบอก ก็แปลว่าทรงยังไม่กลับมา ก็เลยไม่พยายามสืบค้นเรื่องงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่กลับกล่าวโทษพระองค์ไปตามพวกผู้นำศาสนา ดังนั้นจึงตกสู่ความวิบัติ สูญเสียโอกาสในการถูกรับขึ้นไป นี่เป็นความผิดใคร? คำตอบเรียบง่ายไม่มีเลยครับ พระเจ้าทรงแช่งด่าพวกฟาริสีที่กล่าวโทษต้านทานองค์พระเยซูเจ้ามานาน หลายคนในโลกศาสนาทุกวันนี้ไม่ได้เรียนรู้จากพวกฟาริสีเลย พวกเขาเคารพบูชาพวกนักบวชอย่างมืดบอด กล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าตามพวกนั้น ตอกตรึงพระเจ้ากับกางเขนอีกครั้ง สิ่งนี้น่าละอายจริงๆ ครับ! แล้วแบบนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งผู้นำศาสนาพวกนั้นไว้จริงหรือครับ? การนบนอบต่อพวกเขาก็เหมือนการติดตามพระเจ้าหรือครับ? คงต้องหาความชัดเจนในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนครับ

ผู้เชื่อหลายคนคิดว่าพวกผู้นำศาสนาและนักบวช เช่น พระสันตะปาปา พระสังฆราช ศิษยาภิบาล และผู้อาวุโส ได้รับการแต่งตั้งและใช้โดยองค์พระเยซูเจ้า และมีอำนาจในการนำผู้เชื่อ การเชื่อฟังพวกเขาจึงเป็นการเชื่อฟังพระเจ้า การเชื่อเช่นนี้มีพื้นฐานมาจากอะไร? องค์พระเยซูเจ้าเคยครัสไหม ว่าผู้นำศาสนาทุกคนได้รับการแต่งตั้งโดยพระเจ้า? ไม่เคยตรัสเลย พวกเขามีคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือข้อพิสูจน์ถึงงานของพระวิญญาณไหม? ไม่มี นี่ก็แปลว่าแนวคิดนี้เป็นมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ทั้งนั้น ลองคิดเรื่องนี้กันดู ถ้าอิงจากความคิดของมนุษย์ที่ว่าผู้นำศาสนาล้วนถูกพระเจ้าแต่งตั้ง แล้วนั่นจะเป็นจริงด้วยไหม กับหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และฟาริสี ที่ต้านทานและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า? การตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้าตามพวกเขาเป็นการนบนอบต่อพระเจ้าหรือไม่? นั่นเป็นการปฏิบัติต่อพวกนักบวชแบบไร้เหตุผลชัดๆ! เรายังสามารถเห็นได้จากพระคัมภีร์ ว่าในงานของพระเจ้าในทุกยุค ทรงแต่งตั้งผู้คนให้มาช่วยงานของพระองค์จริง พระเจ้าเรียกและเป็นพยานยืนยันต่อคนเหล่านั้นเป็นการส่วนตัว และพระวจนะของพระเจ้าก็แสดงไว้ พวกเขาไม่เคยได้รับการแต่งตั้งโดยมนุษย์คนอื่น และไม่ได้รับการฝึกอบรมโดยมนุษย์ ลองนึกถึงยุคธรรมบัญญัติ ตอนที่พระเจ้าใช้โมเสสเพื่อนำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ วจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าเองเป็นพยานถึงเรื่องนี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “บัดนี้เสียงร้องของชนชาติอิสราเอลมาถึงเราแล้ว ทั้งเราได้เห็นการบีบคั้นซึ่งคนอียิปต์ทำต่อพวกเขา และบัดนี้จงไปเถิด เราจะใช้เจ้าไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ เพื่อจะได้พาประชากรของเราคือชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์(อพยพ 3:9-10) ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงใช้เปโตรดูแลคริสตจักร และทรงเป็นพยานต่อเปโตรด้วย องค์พระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรว่า “‘ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?’… ‘จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด’(ยอห์น 21:17)เราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรไม่ได้ เราจะมอบลูกกุญแจต่างๆ แห่งแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน สิ่งใดที่ท่านกล่าวห้ามในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งใดที่ท่านกล่าวอนุญาตในโลก สิ่งนั้นก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์(มัทธิว 16:18-19) พระเจ้าทรงแต่งตั้งและเป็นพยานต่อผู้คนที่ พระองค์ทรงใช้ในแต่ละยุคเป็นการส่วนตัว งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันสิ่งนี้ ในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ บางครั้งคนที่พระเจ้าใช้ก็ถูกพระองค์แต่งตั้งและเป็นพยานให้เป็นการส่วนตัว บาครั้งพระองค์ก็ทรงใช้วิธีการอื่นๆ ถ้าไม่ใช่การแต่งตั้งโดยตรง พระองค์ก็จะทรงเปิดเผยถึงการนี้ผ่านผู้เผยพระวจนะ หรือมีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหลักฐาน นี่คือสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ในโลกศาสนาทุกวันนี้ ใครให้ตำแหน่งแก่พระสันตปาปา พระสังฆราช ปุโรหิต ศิษยาภิบาล และผู้อาวุโส? มีหลักฐานเป็นพระวจนะของพระเจ้า หรืองานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไหม? พระวิญญาณเคยเป็นพยานต่อพวกเขาไหม? แทนจะไม่เลย! ที่จริง เหล่าผู้นำศาสนาในคริสตจักรทั้งหลายส่วนใหญ่แล้ว เรียนจบจากโรงเรียนสอนศาสนาและโรงเรียนศาสนศาสตร์ และมีปริญญาด้านศาสนศาสตร์ ด้วยประกาศนียบัตรในมือ พวกเขาจึงถูกมอบหมายให้นำทางผู้เชื่อในคริสตจักร บางคนมีพรสวรรค์และมีวาทศิลป์ และเรียนรู้งานของตนได้ดี ผู้นำระดับสูงจึงแนะนำแต่งตั้งให้ได้ขึ้นตำแหน่ง นักบวชในโลกศาสนาเกือบทั้งหมดได้รับตำแหน่งด้วยวิธีนี้ แต่ส่วนใหญ่ขาดงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีแค่ไม่กี่คนที่อาจมีงานของพระวิญญาณ แต่ไม่มีคำพยานของพระองค์ ดังนั้นเราจึงมั่นใจได้ ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่พระเจ้าเป็นพยานหรือใช้งาน พวกเขาถูกคนอื่นอุปถัมภ์และเลือกเข้ามาอย่างชัดเจน แล้วทำไมถึงยืนกรานว่าพระเจ้าทรงให้ตำแหน่งพวกตน? นั่นมันไม่ขัดกับข้อเท็จจริงเหรอ? นั่นไม่ใช่การโกหกและเป็นพยานยืนยันให้ตัวเองอย่างโจ่งแจ้งเหรอ? ผลสืบเนื่องของเรื่องนี้คืออะไร? ไม่ใช่การหลอกลวงและทำร้ายผู้เชื่อหรอกเหรอ? ผู้นำศาสนาบางคนยกพระวจนะที่องค์พระเยซูเจ้าทรงเรียกใช้เปโตร มาอ้างอย่างไร้ยางอาย ว่าสิทธิอำนาจขององค์พระเยซูเจ้าตกทอดจากเปโตรสู่พระสันตปาปา ทำให้มีสิทธิอำนาจและเป็นตัวแทนองค์พระเยซูเจ้าได้ ปุโรหิตที่ติดตามก็พลอยมีสิทธิอำนาจไปด้วย พวกเขาจึงยกโทษให้บาปได้ นั่นมันไม่น่าเย้ยหยันเหรอครับ? องค์พระเยซูเจ้าเคยบอกเปโตรหรือครับว่า ให้ส่งต่อสิทธิอำนาจที่ประทานให้เขา ไปยังนักบวชแต่ละรุ่น? องค์พระเยซูเจ้าไม่เคยตรัสเลย! เปโตรเคยสื่ออะไรแบบนั้นหรือ? ไม่เคยแน่! ไม่มีเรื่องแบบนี้ขียนไว้ในพระคัมภีร์ อีกข้อเท็จจริงก็คือ ในตอนนั้นไม่มีพระสันตะปาปา ไม่มีปุโรหิต พวกผู้นำศาสนาที่อ้างว่าได้สิทธิอำนาจและเป็นตัวแทนองค์พระเยซูเจ้าได้ จึงปลอมเป็นพระเจ้าให้ผู้คนหลงผิด ใช่ไหมครับ? พวกที่เชื่อฟังและกราบไหว้พวกเขา บูชารูปเคารพไม่ใช่เหรอ? นั่นไม่ใช่การต่อต้านพระเจ้าหรือครับ? หลายคนไม่เข้าใจสิ่งนี้ และนมัสการผู้นำของตนต่อไปอย่างมืดบอด โดยคิดไปว่าพระเจ้าทรงให้ตำแหน่งพวกนั้น นี่มันโง่และเบาปัญญาแค่ไหนครับ? นี่ต่างอะไรกับการที่ผู้ไม่เชื่อบูชารูปเคารพ? ถ้าคุณเป็นผู้เชื่อแต่ไม่ติดตามพระวจนะของพระเจ้า ถ้าคุณบูชาและคุกเข่าสารภาพบาปต่อหน้ามนุษย์ราวกับเป็นพระเจ้า ไม่ใช่ว่าคุณไม่เคารพและหมิ่นประมาทพระเจ้าเหรอ? พระเจ้าจะทรงช่วยคนที่ทำโง่เขลาเช่นนี้ให้รอดหรือ? ไม่น่าเป็นไปได้ คนที่ทำโง่เขลาไม่อาจได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า

เราต้องเข้าใจชัดเจนว่า พระเจ้าไม่ทรงแต่งตั้งใครสักคนตามสบายหรือตามอำเภอใจ มันจะต้องมีข้อพิสูจน์ มีข้อพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งโมเสส และอย่างน้อยชาวอิสราเอลก็รู้เรื่องนี้ เหล่าอัครทูตก็รู้ว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงแต่งตั้งเปโตรจริงๆ ดังนั้น คำอ้างว่าพระเจ้าทรงให้ตำแหน่งใครนั้น ต้องอยู่บนข้อเท็จจริง มนุษย์ไม่อาจกล่าวอ้างตามอำเภอใจได้ เรายังได้เห็นอีกด้วยว่า คนที่พระเจ้าทรงให้ตำแหน่งนั้นจะมี จะมีการทรงนำและการพิสูจน์ยืนยันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ งานของพวกเขาบรรลุน้ำพระทัยพระเจ้าได้และจะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ชัดเจน พวกเขาดำเนินการตามพระบัญชาได้ มาดูกันว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่าอย่างไร “ในแง่ของสาระสำคัญของงานของเขาและปูมหลังของการใช้เขา มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ได้รับการอุ้มชูขึ้นมาโดยพระองค์ พระเจ้าทรงตระเตรียมเขาไว้สำหรับพระราชกิจของพระเจ้า และเขาก็ร่วมมือในพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง ไม่มีบุคคลใดสามารถมีวันทำงานของเขาแทนเขาได้—นี่เป็นการร่วมมือของมนุษย์อันขาดเสียมิได้เลยไปจนตลอดงานของพระเจ้า ในขณะเดียวกัน งานที่ดำเนินการเสร็จสิ้นโดยคนทำงานคนอื่นๆ หรือเหล่าอัครทูตนั้นเป็นแต่เพียงการลำเลียงและการนำหลายแง่มุมของการจัดการเตรียมการสำหรับคริสตจักรทั้งหลายในแต่ละช่วงเวลามาลงมือปฏิบัติให้เกิดผล หรือมิฉะนั้นก็เป็นงานของการจัดเตรียมชีวิตแบบเรียบง่ายบางอย่างเพื่อที่จะธำรงรักษาชีวิตคริสตจักร คนทำงานและอัครทูตเหล่านี้ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า นับประสาอะไรที่พวกเขาสามารถถูกเรียกได้ว่าเป็นบรรดาผู้ที่ถูกใช้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาถูกคัดเลือกจากในหมู่คริสตจักรทั้งหลายและหลังจากที่พวกเขาได้รับการฝึกอบรมและบ่มเพาะเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว บรรดาผู้ที่เหมาะสมก็ได้รับการเก็บรักษาไว้ ในขณะที่พวกที่ไม่เหมาะสมถูกส่งกลับไปยังที่ที่พวกเขาจากมา เนื่องจากผู้คนเหล่านี้ถูกคัดเลือกจากในหมู่คริสตจักรทั้งหลาย บางคนจึงแสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาออกมาหลังจากที่กลายเป็นผู้นำ และบางคนถึงขั้นทำสิ่งไม่ดีมากมายและจบลงด้วยการถูกขับออกไป ในทางกลับกัน มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้นั้นเป็นใครบางคนที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้แล้ว และเป็นผู้ที่ครองขีดความสามารถเฉพาะอย่างหนึ่ง และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ เขาได้รับการตระเตรียมและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมไว้ล่วงหน้าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้รับการนำทางอย่างครบบริบูรณ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาถึงเรื่องงานของเขา เขาได้รับการทรงชี้นำและการบัญชาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์—ผลที่ได้จากการนี้ก็คือ ไม่มีการเบี่ยงเบนใดเลยบนเส้นทางแห่งการนำทางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เพราะพระเจ้าทรงรับผิดชอบต่อพระราชกิจของพระองค์เองอย่างแน่นอน และพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์เองอยู่ตลอดเวลา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับการใช้มนุษย์ของพระเจ้า)

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงพระวจนะให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงตระเตรียมผู้ที่ทรงแต่งตั้งและทรงใช้ไว้ล่วงหน้านานแล้ว ว่าพระเจ้าทรงอุ้มชูให้พวกเขานำทางประชากรที่ทรงเลือกสรร พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำและจัดเตรียมงานและการเทศนาให้พวกเขาทั้งสิ้น และใครก็ตามที่ไม่ได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าเป็นการส่วนตัว ก็ไม่อาจแทนที่พวกเขาได้ โมเสสในยุคธรรมบัญญัติและเปโตรในยุคพระคุณ ทำตามพระวจนะและข้อเรียกร้องของพระเจ้าให้นำประชากรที่ทรงเลือกสรรอย่างเคร่งครัด พระเจ้าสถิตกับพวกเขา คอยทรงนำพวกเขาไปทุกแห่ง พระเจ้าไม่เคยใช้คนผิดหรือใช้ใครที่ต่อต้านพระองค์ ทรงรับผิดชอบต่องานของพระองค์เองเสมอ ผู้ที่ทรงใช้มีพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยให้ความรู้แจ้งทั้งในงานและคำพูด สามารถแบ่งปันความเข้าใจอันไร้ราคีเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าใจถ้อยดำรัส และน้ำพระทัย พวกเขาใช้ความจริงช่วยประชากรของพระเจ้าได้เสมอ ในการดิ้นรนแบบสัมพันธ์กับชีวิตจริง เพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะและร่องครรลองที่ถูกต้องในความเชื่อ เมื่อประชากรของพระเจ้านบนอบต่อการเลี้ยงของผู้ที่พระเจ้าใช้ พวกเขาย่อมได้รับเสบียงอาหารที่แท้จริง ค่อยๆ เข้าใจความจริงมากขึ้น รู้จักงานและพระอุปนิสัยของพระเจ้าดีขึ้น และเพิ่มพูนความเชื่อและความรักต่อพระเจ้า จนได้รับการสนับสนุนจากประชากรของพระเจ้า ผู้ที่รู้อยู่ในใจ ว่าคนเหล่านั้นถูกพระเจ้าแต่งตั้งและได้ดั่งพระทัยของพระเจ้า เมื่อเรายอมรับและนบนอบต่อภาวะผู้นำของพวกเขา นั่นคือการติดตามและนบนอบต่อพระเจ้า และสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เหล่าผู้ที่พระเจ้าใช้ถูกแต่งตั้งมา เพื่อนำทางประชากรของพระเจ้าให้ติดตามพระเจ้าและงานของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทางให้ความรู้แจ้งแก่งานและการเทศนาของพวกเขาทั้งสิ้น การยอมรับและนบนอบต่อการนำของพวกเขา ที่จริงแล้วคือการนบนอบต่อพระเจ้า การต้านทานพวกเขาคือการต้านทานพระเจ้า ซึ่งจะถูกเปิดโปงและกำจัดทิ้ง หรืออาจถึงกับถูกแช่งด่าและลงโทษ เหมือนตอนที่โมเสสนำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ กองทหารของโคราห์และดาธานที่ต่อสู้กับโมเสส ได้ถูกพระเจ้าลงโทษ นั่นเป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจน

ผู้นำศาสนาในปัจจุบันอย่างพระสันตะปาปา พระสังฆราชและบาทหลวงในนิกายคาทอลิก ศิษยาภิบาล ผู้อาวุโส และนักบวชอื่นในศาสนาคริสต์ พระเจ้าได้ทรงวางตำแหน่ง หรือตรัสสนับสนุนพวกเขาหรือไม่? มีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือผลงานของพวกเขาให้พิสูจน์ไหม? ไม่มีเลยตามที่กล่าวมา นี่พิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ได้ถูกแต่งตั้งโดยพระเจ้า แต่ถูกมนุษย์เลือกมา เนื่องจากเราได้เห็นแล้ว ว่าพวกเขาโตมาในโรงเรียนสอนศาสนา แต่งตั้งโดยสถาบันศาสนาของรัฐ เรารู้ว่าต้องระมัดระวังให้มาก พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เชื่อในความจริง ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า แต่เชื่อในศาสนศาสตร์ ยศ ตำแหน่ง และการใช้ชีวิตที่สร้างจากมัน ไม่ว่าความรู้ในพระคัมภีร์และคำเทศนาจะดีสูงส่งแค่ไหน ก็ไม่มีงานและการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือความรู้แจ้งของพระวิญญาณ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้เลี้ยงเทียมเท็จ ผู้ปราศจากความเชื่อ และพระเจ้าไม่ยอมรับรู้พวกเขา แล้วการเคารพบูชาติดตามพวกเขา มันไม่โง่เขลาหรือครับ? นอกจากการขาดคำพยานในพระวจนะและข้อพิสูจน์จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งที่ช่วยให้เรามองเห็นธาตุแท้ของพวกเขาได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้แสดงความจริงมากมาย เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของผู้คนอย่างโจ่งแจ้ง เปิดเผยว่าพวกเขารักความจริงหรือไม่ ว่าพวกเขายอมรับรู้ความจริงหรือไม่ ว่าพวกเขายอมรับความจริงหรือไม่ และว่าพวกเขาเกลียดและปฏิเสธความจริงหรือไม่ ทั้งหมดนั้นถูกเปิดเผย คนที่ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นความจริง ว่าพระองค์คือพระเจ้าในเนื้อหนังนั้น ก็คือบรรดาผู้รักความจริงและพระเจ้าทรงให้ความเห็นชอบ เป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญา ที่ได้ยินพระสุรเสียงและถูกรับขึ้นอยู่เบื้องพระบัลลังก์ ถ้าเห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้แสดงความจริงมากมาย แต่ยังต่อต้านงานและการทรงปรากฏของพระเจ้า แปลว่าพวกเขาดูหมิ่นความจริง เป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ต้านทานกล่าวโทษพระเจ้า พวกเขาได้ตกสู่ความวิบัติแล้วและจะต้องถูกพระเจ้าลงโทษ ไม่ใช่แค่ผู้นำคาทอลิกและคริสเตียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้นำและบุคคลสำคัญจากทุกนิกาย ที่ทำงานต่อต้านพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ โลกศาสนาอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มศัตรูของพระคริสต์ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันทั่ว ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นหากเรารู้ว่าพระสังฆราช ปุโรหิต ศิษยาภิบาล และผู้อาวุโสเหล่านี้ อยู่ในกลุ่มศัตรูของพระคริสต์ที่ต้านทานและกล่าวโทษงานของพระองค์ เราควรปฏิบัติอย่างไร? เราควรปฏิเสธและสาปแช่งพวกเขา ปลดปล่อยตนเองจากการบีบบังคับของพวกเขา นั่นคือการมีปัญญา ถ้าเรายังมองหาหนทางที่แท้จริงจากพวกเขา คาดหวังให้พวกเขาคอยบอกเราว่าอะไรผิดถูก นั่นคือความโง่เขลาอย่างที่สุด ทั้งมืดบอดและเบาปัญญา! คนตาบอดที่นำทางคนตาบอดก็มีแต่พินาศ สิ่งนี้ทำให้ข้อพระคัมภีร์นี้ลุล่วง “คนโง่ตายเพราะขาดสามัญสำนึก” (สุภาษิต 10:21)ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้(โฮเชยา 4:6)

มันชัดเจนอย่างไร้ที่ติ ว่าผู้นำคาทอลิกและคริสเตียน ตลอดจนผู้นำจากนิกายอื่นๆ กล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างเปิดเผย เพื่อรักษาสถานะและรายได้ไว้ พวกเขาจึงเก็บผู้เชื่อไว้ในเงื้อมมือของตน เอาเงินจากพวกเขา เลี้ยงชีวิตตนจากผู้เชื่อเหมือนเช่นปรสิต เช่นปีศาจที่กินซากศพ ศัตรูพระคริสต์แพร่คำโกหกชั่วๆ เพื่อรักษาตำแหน่งและการทำมาหากินของตน ว่าข่าวการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องเท็จ ว่าองค์พระเยซูเจ้าต้องมาบนเมฆ ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งที่สองเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ พวกเขาโกหกให้ผู้คนหลงผิด ทำทุกอย่างไม่ให้ผู้เชื่อสืบค้นหนทางที่แท้จริง และยอมร่วมมือกับพรรคจับกุมและข่มเหงผู้ที่แบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร ผู้นำศาสนาเหล่านี้ ต่างจากพวกฟาริสีที่ต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าในสมัยของพระองค์อย่างไร? พวกเขาทั้งหมดไม่ใช่ผู้คนที่ตรึงกางเขนพระเจ้าหรอกหรือ? ไม่ใช่ผู้เลี้ยงเทียมเท็จ ศัตรูพระคริสต์ที่ทำลายผู้คนหรอกเหรอ? ลองนึกถึงพระวจนะองค์พระเยซูเจ้าที่กล่าวโทษพวกฟาริสีว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม(มัทธิว 23:13)วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า(มัทธิว 23:15) เราจะเห็นได้ว่าผู้นำศาสนาส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ ไม่ต่างจากพวกฟาริสีที่ต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าอย่างบ้าคลั่งและ ยืนขวางทางของผู้เชื่อ พวกเขาเกลียดชังพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ เป็นปีศาจศัตรูของพระคริสต์ในยุคสุดท้าย

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีเพิ่มอีกว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “จงมองไปที่บรรดาผู้นำของแต่ละนิกาย—พวกเขาล้วนโอหังและมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ และการตีความพระคริสตธรรมคัมภีร์ของพวกเขาขาดบริบทและถูกชี้นำโดยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเอง พวกเขาล้วนพึ่งพาพรสวรรค์และความคงแก่เรียนในการทำงานของพวกเขา หากพวกเขาไม่สามารถประกาศได้เลย ผู้คนจะติดตามพวกเขากระนั้นหรือ? จะว่าไปแล้ว พวกเขาก็พอมีความรู้อยู่บ้าง และสามารถประกาศคำสอนบางอย่างได้ หรือพวกเขารู้วิธีที่จะเอาชนะผู้อื่น และใช้ประโยชน์จากชั้นเชิงบางอย่าง พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อหลอกลวงและพาผู้คนมาอยู่เบื้องหน้าพวกเขาเอง ผู้คนเหล่านี้เชื่อพระเจ้าก็เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงพวกเขาติดตามบรรดาผู้นำของพวกเขา เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับใครบางคนที่กำลังประกาศหนทางที่แท้จริง พวกเขาบางคนก็จะกล่าวว่า ‘พวกเราต้องปรึกษาผู้นำของพวกเราเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเรา’ จงดูเถิดว่าผู้คนยังคงต้องการความยินยอมและความเห็นชอบจากผู้อื่นอย่างไรแม้ในยามที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและยอมรับหนทางที่แท้จริง—นี่มิใช่ปัญหาหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำเหล่านั้นได้กลายเป็นสิ่งใดไปแล้วกันเล่า? พวกเขามิได้กลายเป็นพวกฟาริสี พวกผู้เลี้ยงเทียมเท็จ พวกศัตรูของพระคริสต์ และเครื่องสะดุดต่อการยอมรับหนทางที่แท้จริงของผู้คนไปแล้วกระนั้นหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)

มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า)

ที่เป็นกบฏที่สุดในบรรดาทั้งหมดก็คือพวกที่เยาะเย้ยท้าทายและต้านทานพระเจ้าโดยเจตนา พวกเขาเป็นศัตรูของพระเจ้า เป็นศัตรูของพระคริสต์ ท่าทีของพวกเขานั้นไม่เป็นมิตรต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเสมอ พวกเขาไม่มีความเอนเอียงแม้แต่น้อยนิดที่จะนบนอบ ทั้งยังไม่เคยนบนอบหรือถ่อมใจตนเองอย่างเปรมปรีดิ์ พวกเขายกย่องตนเองต่อหน้าผู้อื่นและไม่เคยยอมนบนอบต่อผู้ใด เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาพิจารณาว่าตนเองนั้นเก่งที่สุดในเรื่องการประกาศพระวจนะ และมีทักษะสูงสุดในการทำงานให้เกิดผลในตัวผู้อื่น พวกเขาไม่เคยทิ้งขว้าง ‘ขุมทรัพย์’ ที่ตนครอง แต่ปฏิบัติต่อขุมทรัพย์เหล่านั้นเฉกเช่นมรดกตกทอดของครอบครัวสำหรับนมัสการ เพื่อประกาศต่อผู้อื่นไปทั่ว และใช้ขุมทรัพย์เหล่านั้นเพื่ออบรมสั่งสอนพวกคนโง่เขลาที่ชื่นชูพวกเขา ในคริสตจักรมีผู้คนแบบนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียวจริงๆ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็น ‘วีรบุรุษผู้มิอาจมีผู้ใดพิชิตได้’ รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ผ่านมาพักแรมในบ้านของพระเจ้า พวกเขาถือการประกาศพระวจนะ (คำสอน) เป็นหน้าที่อันสูงส่งที่สุดของพวกเขา ปีแล้วปีเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า พวกเขายุ่งอยู่กับการบังคับใช้หน้าที่ ‘อันศักดิ์สิทธิ์และมิอาจฝ่าฝืนได้’ ของตนอย่างกร้าวแกร่ง ไม่มีใครกล้าแตะพวกเขา ไม่แม้แต่คนเดียวที่กล้าตำหนิพวกเขาอย่างเปิดเผย พวกเขากลายเป็น ‘กษัตริย์’ ในพระนิเวศของพระเจ้า อาละวาดเพ่นพ่านขณะที่พวกเขาปฏิบัติอย่างเผด็จการกับผู้อื่นมายุคแล้วยุคเล่า ปีศาจฝูงนี้พยายามหาทางร่วมมือกันรื้อทำลายงานของเรา เราสามารถยอมให้มารมีชีวิตพวกนี้ดำรงอยู่ต่อหน้าต่อตาเราได้อย่างไรกันเล่า?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหล่าผู้เชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจจริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน)

เอาล่ะ ผมแน่ใจว่าเราเข้าใจกันชัดเจนแล้ว ว่าผู้นำศาสนาส่วนใหญ่เป็นศัตรูของพระคริสต์ที่เกลียดความจริง เกลียดพระเจ้า เป็นผู้รับใช้ชั่วและผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่นำให้คนหลงผิด การฟังและนบนอบต่อพวกเขาไม่ใช่การนบนอบต่อพระเจ้า และไม่ใช่การติดตามพระเจ้า แต่ติดตามซาตาน และต่อต้านพระเจ้า กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน คนที่พระเจ้าเกลียดชังและแช่งด่า ดังนั้น ในฐานะผู้เชื่อ เราต้องตระหนัก ว่าเราต้องถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ยำเกรงพระองค์ นบนอบต่อพระองค์และความจริง ต้องไม่บูชาหรือติดตามมนุษย์เลย อย่างที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ “จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว(มัทธิว 4:10) ถ้าผู้นำศาสนาเป็นคนที่รักความจริง พูดตรงกับองค์พระผู้เป็นเจ้า นำทางให้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว การนบนอบทำตามคำพูดที่ตรงความจริง ย่อมเป็นการนบนอบต่อพระเจ้า ถ้าพูดไม่ตรงความจริง กระทำขัดกับพระวจนะองค์พระผู้เป็นพระเจ้า เราต้องปฏิเสธพวกเขา การติดตามพวกเขาย่อมเป็นการติดตามบุคคล ติดตามซาตาน ถ้าผู้นำศาสนาดูหมิ่นปฏิเสธความจริง กีดกันการสืบค้นหนทางที่แท้จริง พวกเขาก็เป็นศัตรูของพระคริสต์ และเราควรยืนข้างพระเจ้า เปิดโปงและปฏิเสธพวกเขา และกล้าพูดว่า “ไม่” หนีให้พ้นจากการควบคุมของพวกเขา แสวงหาและยอมรับหนทางที่แท้จริง เดินตามรอยเท้าของพระเจ้า นั่นคือความเชื่อที่แท้ คือการติดตามพระเจ้าที่แท้ สอดคล้องกับน้ำพระทัย อย่างที่เปโตรพูดเมื่อถูกพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีจับตัวไปว่า “เราจำเป็นต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์” (กิจการ 5:29)

เรามาอ่านอีกบทตอนจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กัน “ความสำคัญหลักในการติดตามพระเจ้าคือทุกสิ่งควรเป็นไปอย่างสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตหรือการทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วง ทุกสิ่งควรมีศูนย์กลางอยู่ที่พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ หากสิ่งที่เจ้าเข้าสนิทและไล่ตามเสาะหาไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็แปลกหน้าต่อพระวจนะของพระเจ้า และสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์คือผู้คนที่ติดตามรอยพระบาทของพระองค์ ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจมาก่อนนั้นจะมหัศจรรย์และบริสุทธิ์เพียงใด พระเจ้าก็ไม่ทรงต้องประสงค์สิ่งนั้น และหากเจ้าไม่สามารถละวางสิ่งเหล่านั้นได้ เช่นนั้นแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการเข้าสู่ของเจ้าในอนาคต บรรดาผู้ที่สามารถติดตามความสว่างปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมได้รับพร ผู้คนในยุคก่อนๆ ก็ติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าเช่นกัน แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถติดตามมาจนถึงทุกวันนี้ นี่จึงเป็นพรของผู้คนในยุคสุดท้าย บรรดาผู้ที่สามารถติดตามพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้และสามารถติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าจนถึงขนาดที่พวกเขาติดตามพระเจ้าไปไม่ว่าพระองค์จะทรงนำทางพวกเขาไปยังที่ใด—เหล่านี้คือผู้คนที่ได้รับพรจากพระเจ้า พวกที่ไม่ได้ติดตามพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่ได้เข้าสู่พระราชกิจแห่งพระวจนะของพระเจ้า และไม่ว่าพวกเขาจะทำงานมากมายเพียงใด หรือความทุกข์ของพวกเขาใหญ่หลวงเพียงใด หรือพวกเขาวิ่งวุ่นเพียงใด สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายอะไรกับพระเจ้า และพระองค์จะไม่ทรงชมเชยพวกเขา… ‘การติดตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์’ หมายถึงการเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในวันนี้ สามารถกระทำการอย่างสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ในปัจจุบันของพระเจ้า สามารถเชื่อฟังและติดตามพระเจ้าของวันนี้ และเข้าสู่อย่างสอดคล้องกับถ้อยดำรัสใหม่ล่าสุดของพระเจ้า นี่คือใครคนหนึ่งที่ติดตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และอยู่ในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ผู้คนเช่นนี้ไม่เพียงสามารถรับการสรรเสริญจากพระเจ้าและมองเห็นพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังสามารถรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากพระราชกิจล่าสุดของพระเจ้า และสามารถรู้จักมโนคติอันหลงผิดและความไม่เชื่อฟังของมนุษย์และธรรมชาติและแก่นแท้ของมนุษย์จากพระราชกิจล่าสุดของพระองค์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสามารถค่อยๆ สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขาในระหว่างการปรนนิบัติของพวกเขา เฉพาะผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถได้รับพระเจ้า และเป็นผู้ที่พบหนทางที่แท้จริงโดยแท้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์)

ตอนนี้ผมมั่นใจว่าเราเข้าใจชัดเจนขึ้นแล้วว่า การมีความเชื่อและติดตามพระเจ้าคือการนบนอบยอมรับความจริง การยอมรับงานและพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า ตามรอยเท้าพระองค์ ไม่ว่างานของพระเจ้าจะห่างจากมโนคติอันหลงผิดของคนแค่ไหน หรือมีคนต้านทานและกล่าวโทษสักกี่คน ตราบใดที่มันคือความจริงและเป็นงานของพระเจ้า เราก็ต้องยอมรับและนบนอบ การนั้นเท่านั้นคือการมีความเชื่อและติดตามพระเจ้า ตามที่กล่าวไว้ในวิวรณ์ว่า “เป็นพวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน(วิวรณ์ 14:4) ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงความจริงมากมายที่นี่ และเริ่มทรงงานพิพากษาที่พระนิเวศ เพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาด ช่วยให้รอดเต็มที่ ช่วยเราให้รอดจากความชั่วและกำลังบังคับของซาตาน นี่เป็นโอกาสและเส้นทางเดียวที่เราจะถูกช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ตอนนี้ ผู้คนทั่วโลกที่กระหายการปรากฏของพระเจ้าที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ค้นดูงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในอินเทอร์เน็ต พวกเขาได้เห็นแล้วว่าพระวจนะเป็นความจริงทั้งหมด ว่าเป็นเสียงของพระเจ้า พวกเขากำลังปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการของผู้นำศาสนาและคริสตจักร และมาอยู่เบื้องพระบัลลังก์เพื่อร่วมงานสมรสของพระเมษโปดก แต่ยังมีอีกหลายคนในโลกศาสนาที่ติดตามและบูชาพวกนักบวชอย่างมืดบอด ถูกกำลังบังคับของศัตรูพระคริสต์เข้าครอบงำบีบบังคับ พวกเขาถูกควบคุมไว้ในที่รกร้าง รอคอยให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆ ถูกพระเจ้าปฏิเสธและกำจัดทิ้งนานมาแล้ว และกำลังกัดฟันร่ำไห้อยู่ในความวิบัติ สิ่งนี้ทำให้พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง “ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนจะตกลงไปในบ่อ(มัทธิว 15:14) พวกเขาอ้างว่าเชื่อ แต่แท้จริงแล้วต่อต้านพระเจ้าและติดตามมนุษย์ พระเจ้ามองพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ ทรงเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ที่เกลียดชังความชั่ว ความชอบธรรมของพระองค์มิอาจล่วงเกินได้ พระองค์ไม่ทรงช่วยคนที่ยกย่องมนุษย์ ที่ต่อต้านและหมิ่นประมาทพระเจ้าตามพวกศัตรูพระคริสต์ พระเจ้าจะไม่มีวันช่วยใครก็ตามที่ไม่รักหรือยอมรับความจริง แต่เกาะเกี่ยวพระคัมภีร์อย่างมืดบอด น้ำพระทัยพระเจ้าคือการปล่อยผู้คนจากบาบิโลนทางศาสนา ให้เราไม่ถูกเหนี่ยวรั้งโดยศัตรูพระคริสต์ของโลกศาสนาอีกต่อไป ให้เราออกมาจากศาสนาเพื่อแสวงหาความจริงและงานของพระเจ้าได้ เราจึงจะมีหวังได้ต้อนรับการปรากฏและงานของพระเจ้า

มาดูพระวจนะของพระองค์เพิ่มเติมกันครับ “สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ แต่เป็นบรรดาผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่มีตำแหน่งอันโดดเด่นเหล่านั้น เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปัญญาของพระคริสต์ แต่เป็นพวกคนหลงระเริงที่เกลือกกลิ้งในความโสมมของโลก เจ้าหัวเราะให้กับความเจ็บปวดของพระคริสต์ที่ไม่มีที่จะวางพระเศียรของพระองค์ แต่เจ้ากลับเลื่อมใสบรรดาซากศพเหล่านั้นที่ตามล่าหาของถวายและใช้ชีวิตอยู่กับความเสเพล เจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์ แต่เจ้ากลับเปรมปรีดิ์ที่จะโผเข้าสู่อ้อมแขนของพวกต่อต้านพระคริสต์ที่บ้าบิ่นสิ้นคิดเหล่านั้น แม้พวกเขาจะจัดหาให้เจ้าเพียงแค่เนื้อหนัง คำพูดและการควบคุม แม้ว่าบัดนี้หัวใจของเจ้ายังคงหันเข้าหาพวกเขา เข้าหาความมีหน้ามีตาของพวกเขา เข้าหาสถานภาพของพวกเขา เข้าหาอิทธิพลของพวกเขา และกระนั้นเจ้าก็ยังคงสงวนท่าทีที่ทำให้เจ้าพบว่าพระราชกิจของพระคริสต์นั้นยากที่จะกลืนลง และเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระราชกิจนั้น นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงกล่าวว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะยอมรับพระคริสต์ เหตุผลที่เจ้าได้ติดตามพระองค์มาจนถึงวันนี้ก็เพียงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น ภาพลักษณ์อันสูงส่งเป็นชุดๆ ตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดกาล เจ้าไม่อาจลืมทั้งวาจาและความประพฤติทุกอย่างของพวกเขา และคำพูดกับมือที่มีอิทธิพลของพวกเขาได้ ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดตลอดกาลและเหล่าวีรบุรุษตลอดกาล แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นสำหรับพระคริสต์ในวันนี้ พระองค์ไม่มีนัยสำคัญตลอดกาลในหัวใจของเจ้าและไม่คู่ควรที่จะได้รับความเคารพตลอดกาล เพราะพระองค์นั้นทรงมีความเป็นธรรมดาเกินไปมาก ทรงมีอิทธิพลน้อยเกินไปมาก และห่างไกลจากคำว่าสูงส่ง”

ไม่ว่าในกรณีใด เราพูดเลยว่า ผู้คนทุกคนที่ไม่ได้เห็นคุณค่าของความจริงคือพวกที่ไม่เชื่อและพวกที่หักหลังความจริง พวกมนุษย์เช่นนั้นจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากพระคริสต์ บัดนี้เจ้าได้ระบุหรือยังว่ามีความไม่เชื่อมากเพียงใดอยู่ภายในตัวเจ้า และเจ้ามีการทรยศต่อพระคริสต์มากเพียงใด? เราเคี่ยวเข็ญเจ้าดังนี้ว่า เนื่องจากเจ้าได้เลือกหนทางแห่งความจริงเช่นนั้นแล้วเจ้าจึงควรอุทิศตัวเจ้าเองโดยสุดหัวใจ จงอย่าลังเลหรือไม่เต็มใจ เจ้าควรเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นของโลกหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นของผู้คนทุกคนที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง ผู้คนทุกคนที่นมัสการพระองค์ และผู้คนทุกคนที่อุทิศตนและสัตย์ซื่อต่อพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บาปของเราได้รับการอภัยแล้ว—เมื่อทรงกลับมาองค์พระผู้เป็นเจ้าจะนำเราตรงเข้าสู่ราชอาณาจักรหรือไม่

ความวิบัติก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเหล่าผู้เชื่อ ต่างรอคอยการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอดด้วยใจจดจ่อ โหยหาที่จะถูกยกขึ้นไปบนฟ้ายามหลับ...

ทำไมเราจึงต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เพียงด้วยการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าเท่านั้น?

ตอนนี้ ผู้เชื่อทุกคนต่างเฝ้ารอให้องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาบนเมฆ เพราะภัยพิบัติเริ่มรุนแรงขึ้น และพวกโรคระบาดต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นด้วย...

องค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่มวลมนุษย์แล้วเหตุใดพระองค์จึงทรงงานพิพากษาเมื่อทรงกลับมาในยุคสุดท้าย

สองพันปีก่อน องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่บาปของมวลมนุษย์ ทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger