การทรงปรากฏในรูปมนุษย์คืออะไร?

วันที่ 02 เดือน 11 ปี 2021

เราทุกคนต่างรู้ ว่าสองพันปีก่อน พระเจ้าเสด็จมาทรงปรากฏในรูปมนุษย์บนโลกนี้ในฐานะองค์พระเยซูเจ้า เพื่อทรงไถ่มนุษยชาติ ทรงประกาศว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว(มัทธิว 4:17) พระองค์ ยังแสดงความจริงมากมาย และเสร็จสิ้นงานแห่งการไถ่ พระองค์ทรงถูกตรึงบนกางเขน ในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษยชาติ เป็นการสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ และเริ่มต้นยุคพระคุณ นี่คืองานที่ทำเพื่อไถ่มนุษยชาติ ในครั้งแรกที่พระเจ้าเสด็จมาทรงปรากฏในรูปมนุษย์ แม้ว่าศาสนายิว พยายามอย่างหมดท่าในการกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า และเข้าร่วมกับรัฐโรมันเพื่อตรึงพระองค์บนกางเขน สองพันปีต่อมา ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้าก็ได้แผ่ขยายไปทั่วทุกมุมโลก สิ่งนี้พิสูจน์ว่า องค์พระเยซูเจ้า คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเป็นพระผู้สร้างที่ทรงปรากฏมาทรงงานในเนื้อหนัง แต่หลายคน ก็ยังไม่ยอมรับว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พวกเขากลับปฏิบัติต่อพระองค์เยี่ยงคนธรรมดา ขนาดศิษยาภิบาลในศาสนาหลายคน ก็ไม่ยอมรับว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้า คิดเพียงว่าพระองค์คือพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้า ปัจจุบัน แม้มีผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่นับไม่ถ้วน ก็มีไม่มากนักที่รู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้า และไม่มีใครรู้ถึงความหมายและคุณค่าของความจริงทั้งปวงที่พระองค์ทรงแสดง ดังนั้น เรื่องของการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า หลายคนจึงตกลงสู่ความวิบัติ เพราะพวกเขาไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า สำหรับคนที่ไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า แม้ภายนอกพวกเขาจะดูเชื่ออย่างแรงกล้า หากพวกเขาเห็นภาพบุตรมนุษย์ในองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาจะเชื่อและติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อไปได้จริงหรือ? พวกเขาจะกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าว่าเป็นเพียงคนธรรมดา และปฏิเสธว่าพระองค์คือพระเจ้าได้ไหม? หากพวกเขาได้ยินองค์พระเยซูเจ้าแสดงความจริงมากมายในวันนี้ พวกเขาจะยังกล่าวโทษพระองค์ที่พูดจาหมิ่นประมาท และตรึงพระองค์บนกางเขนอีกครั้งไหม? อ้างอิงจากข้อเท็จจริงเรื่องการกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าของพวกฟาริสี เราก็พูดได้อย่างมั่นใจว่า ถ้าเหล่าผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าวันนี้ ได้เห็นพระองค์ในรูปบุตรมนุษย์อันเป็นรูปดั้งเดิม หลายคนก็คงจะหนีไป และอีกหลายคนคงจะตัดสินและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า เช่นเดียวกับพวกฟาริสี และคงตรึงพระองค์บนกางเขนอีกครั้ง บางคนอาจจะค้านเมื่อผมพูดแบบนี้ แต่ทุกสิ่งที่ผมพูดคือข้อเท็จจริง มันย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะมนุษยชาติเสื่อมทรามอย่างหนัก และพึ่งพาแค่ตาเมื่อเชื่อในพระเจ้า ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ คือการทรงปรากฏของพระเจ้า นี่แสดงว่า การทรงปรากฏในรูปมนุษย์คือความล้ำอันลึกยิ่งใหญ่ เป็นเวลาหลายพันปี ที่ไม่มีใครเข้าใจความจริงในแง่มุมนี้ได้ ถึงแม้ผู้เชื่อต่างรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ แต่ก็ไม่มีใครอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า การทรงปรากฏในรูปมนุษย์คืออะไร และเราควรเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร

แล้ว ทำไมพระเจ้าถึงตัดสินพระทัยปรากฏในรูปมนุษย์ในเนื้อหนังเพื่อทรงงานล่ะครับ? พูดให้ถูกก็คือ ความเสื่อมทรามของมนุษยชาตินั้น จำเป็นต้องให้พระเจ้าเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์เพื่อทรงงานแห่งความรอด พูดอีกอย่างคือ มีเพียงการเสด็จมาในรูปมนุษย์ที่บรรลุความรอดอันสมบูรณ์ของมนุษยชาติได้ พระเจ้าเสด็จมาในรูปมนุษย์สองครั้ง เพื่อไถ่และช่วยมนุษย์ให้รอด องค์พระเยซูเจ้า คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และพระองค์เสด็จมาทรงงานแห่งการไถ่ บางคนอาจถามว่า ทำไมพระเจ้าไม่ทรงใช้คนทำงานแห่งการไถ่? ทำไมพระเจ้าถึงทรงปรากฏในรูปมนุษย์? นั่นเพราะมนุษย์ผู้เสื่อมทรามทุกคนแบกบาปไว้ เราต่างเป็นคนบาป ซึ่งแปลว่า เราไม่มีคุณสมบัติของเครื่องบูชาลบล้างบาป มีเพียงบุตรมนุษย์ที่ปรากฏในรูปมนุษย์เท่านั้นที่ไร้บาป ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์เพื่อทรงงานแห่งการไถ่ด้วยพระองค์เอง นี่แสดงให้เห็นถึงความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทำให้ซาตานอับอาย และไร้เหตุที่จะกล่าวหาพระเจ้าโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้ยังทำให้มนุษยชาติได้รู้จักความรักและความเมตตาที่จริงใจ ที่พระเจ้ามีต่อพวกเขาด้วย ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสร็จสิ้นงานแห่งการไถ่ พระองค์เผยพระวจนะไว้ว่าจะเสด็จมาอีกครั้ง วันนี้ องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมาย และทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย เพื่อชำระความเสื่อมทรามของมนุษยชาติให้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ เพื่อช่วยพวกเขาให้รอดจากบาป และอำนาจของซาตาน และเพื่อพามวลมนุษย์ไปสู่บั้นปลายที่สวยงาม แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ แม้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงมากมาย พระองค์ก็ยังถูกต่อต้านและกล่าวโทษอย่างบ้าคลั่งจากกองกำลังแห่งศัตรูของพระคริสต์ในโลกศาสนา ผู้ร่วมมือกับคณะปกครองพรรคคอมมิวนิสต์จีน พยายามสกัดกั้น ทำลาย และสั่งห้ามการทรงปรากฏและงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อปฏิเสธว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า แถมยังกล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระองค์ว่าเป็นคนธรรมดา อันเป็นการเปิดโปงโฉมหน้าอันน่าเกลียดของกองกำลังแห่งศัตรูของพระคริสต์ในโลกศาสนาอย่างหมดเปลือก ว่าเป็นผู้เกลียดความจริงและต่อต้านพระเจ้า ถ้ามองย้อนไปเมื่อสองพันปีก่อน เราจะเห็นว่าหัวหน้านักบวช ปุโรหิต และฟาริสีแห่งศาสนายิว ยอมตายมากกว่ายอมรับว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเมสสิยาห์ พวกเขาบรรยายว่าองค์พระเยซูเจ้าว่าเป็นคนธรรมดาที่พูดจาหมิ่นประมาท ทำทุกอย่างเพื่อต่อต้าน กล่าวโทษ และหมิ่นประมาทองค์พระองค์ และในที่สุดก็ตรึงพระองค์บนกางเขน ก่ออาชญากรรมอันชั่วร้ายจนถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษ วันนี้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปรากฏและทรงงานในรูปบุตรมนุษย์ หลายคนเห็นแล้วว่า พระวจนะที่ทรงแสดงเป็นความจริง พวกเขาได้ยินพระสุรเสียง และต่างยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า และต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างมีความสุข ถึงอย่างนั้น ก็มีอีกหลายคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ คนที่ยังทำกับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ราวกับคนธรรมดา รวมถึงคนที่ตัดสินและกล่าวโทษ คนที่ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ว่าพวกเขาเชื่อในคนธรรมดา คนพวกนี้คิดว่าตัวเองเข้าใจพระคัมภีร์ จึงปฏิเสธที่จะสืบค้นหนทางที่แท้จริง อีกทั้งกล่าวโทษและต่อต้านพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง กระทำบาปแห่งการตรึงกางเขนพระเจ้าอีกครั้ง ทำไมมนุษย์ถึงบอกปัดการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าทั้งสองครั้ง? นั่นเพราะผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร และยิ่งเข้าใจความล้ำลึกอันยิ่งใหญ่แห่งการปรากฏในรูปมนุษย์น้อยลงไปอีก นี่เป็นเพราะมนุษย์ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งและมีธรรมชาติเยี่ยงซาตานด้วย พวกเขาไม่เพียงเกลียดชังความจริง แต่ยังตั้งตนเป็นศัตรูกับพระเจ้าอย่างบ้าคลั่ง และไม่กลัวเลย ที่จริง มีผู้เชื่อในพระเจ้าที่ค่อนข้างเคร่งบางคน ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีน ราชาปีศาจ และกองกำลังศัตรูของพระคริสต์ในศาสนาหลอกเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกเขา และเลือกเดินบนทางแห่งการต่อต้านพระเจ้า พวกเขาล้มเหลวเพราะขาดความรู้เรื่องการทรงปรากฏในรูปมนุษย์และความจริง พวกเขาจึงไม่ได้ยินพระสุรเสียง และจึงทำกับการทรงปรากฏในรูปมนุษย์เยี่ยงคนธรรมดา แถมยังกล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระองค์ เห็นง่ายๆ ว่า การเข้าใจความจริงเรื่องการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเรา ที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและถูกยกขึ้นสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ นี่คือปัญหาสำคัญที่เกี่ยวกับบั้นปลายสุดท้ายของเรา

หลายคนจะถามว่า ในเมื่อองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และได้ทรงงานแห่งการไถ่ แถมมนุษยชาติก็ถูกช่วยให้รอดและหันเข้าสู่พระเจ้าแล้ว ทำไมพระเจ้ายังทรงต้องเสด็จมาในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้าย เพื่อทรงงานพิพากษาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดอีก? เรื่องนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งมากอยู่ครับ พูดง่ายๆคือ การที่พระเจ้าเสด็จมาในรูปมนุษย์สองครั้งเพื่อไถ่มนุษยชาติ แล้วจึงชำระเราให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้เนิ่นนานก่อนที่โลกจะถูกสร้างขึ้น ในพระคัมภีร์มีคำเผยพระวจนะมากมายที่ระบุว่าพระเจ้าจะเสด็จมาในฐานะบุตรมนุษย์สองครั้ง ครั้งแรกผ่านการตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป พระองค์ทรงเสร็จสิ้นงานแห่งการไถ่ เพื่อให้บาปของผู้คนได้รับการอภัย แต่ผู้คนก็ยังไม่ได้หนีพ้นจากบาปและได้รับความบริสุทธิ์ ครั้งที่สอง ผ่านการแสดงความจริงและผ่านงานพิพากษา พระองค์จะชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์โดยถ้วนทั่ว ช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปและอิทธิพลของซาตานโดยสมบูรณ์ นำจุดสิ้นสุดมาสู่ยุคนี้ และพามวลมนุษย์ไปสู่บั้นปลายที่สวยงาม ดังนั้น การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทั้งสองครั้ง จึงมีเพื่อไถ่มนุษยชาติ แล้วจึงช่วยพวกเขาให้รอดโดยสมบูรณ์ พระเจ้าเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์สองครั้ง เพื่อเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด วันนี้ งานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้พิชิตและทำให้กลุ่มผู้ชนะเพียบพร้อม พระเจ้าทรงมีชัยเหนือซาตาน และได้รับพระสิริ กล่าวได้ว่า พระเจ้าทรงเสร็จสิ้นงานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว เหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ตอนนี้ เราได้เห็นถึงนัยสำคัญอันเหลือเชื่อของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้ายของพระเจ้า แง่หนึ่ง มันสิ้นสุดยุคเก่านั่นคือยุคพระคุณ และเริ่มต้นยุคใหม่ คือยุคแห่งราชอาณาจักร อีกแง่หนึ่ง มันชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ และพาพวกเขาไปสู่บั้นปลายอันสวยงาม ทั้งงานแห่งการไถ่และงานพิพากษา ต่างก็เสร็จสิ้นโดยพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ดังนั้น การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าทั้งสอง จึงมีนัยสำคัญอันลึกซึ้งโดยแท้ วันนี้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้แสดงความจริงมากมาย และทำหลายสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในโลกของเรา ทำไมถึงยังมีคนอีกมากมายที่ไม่รู้จักงานของพระเจ้า หลายคนยังปฏิเสธที่จะยอมรับว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ยังยึดติดอยู่กับมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา เชื่อว่ามีเพียงองค์พระเยซูเจ้าที่เป็นพระเจ้า และยืนกรานว่ามีเพียงการยึดถือพระคัมภีร์ที่เราจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ ทำแบบนั้นช่างโง่เขลาและรู้ไม่เท่าทันจริงๆ! คนโง่แบบนั้นจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าได้ยังไง? พวกเขาจะค้นพบ ความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงได้อย่างไร? ท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นเพราะผู้คนขาดความรู้เรื่องพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และจำพระสุรเสียงไม่ได้ พวกเขาจึงไม่ถูกยกขึ้นสู่เบื้องพระบัลลังก์ พวกคนไม่รู้ความเหล่านี้ หญิงพรหมจารีโง่ จะไม่มีวันได้รับการทรงเห็นชอบของพระเจ้าไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมานานแค่ไหน เห็นชัดว่า ถ้าคุณอยากต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ความรู้เรื่องพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และการเข้าใจความจริงแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์นั้นสำคัญมาก! แล้ว การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ที่แท้จริงคืออะไร? และเราควรเข้าใจอย่างไร? เราจะแยกแยะระหว่าง พระคริสต์แท้จริงและเทียมเท็จได้อย่างไร? เราจะเข้าใจหลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ครับ

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “‘การจุติเป็นมนุษย์’ คือการทรงปรากฏของพระเจ้าในเนื้อหนัง พระเจ้าทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นในพระฉายาของเนื้อหนัง ดังนั้น เพื่อที่พระเจ้าจะทรงจุติเป็นมนุษย์ได้นั้น ประการแรกพระองค์ต้องทรงเป็นเนื้อหนังก่อน นั่นคือ เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้นที่สำคัญที่สุด อันที่จริงแล้ว ความหมายโดยนัยของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คือว่า พระเจ้าทรงพระชนม์ชีพและทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง คือว่าพระเจ้าในแก่นสารที่แท้จริงของพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงกลายเป็นมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ)พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เรียกว่าพระคริสต์ และพระคริสต์คือเนื้อหนังมนุษย์ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงจุติมา เนื้อหนังมนุษย์นี้ไม่เหมือนกับมนุษย์คนใดที่มีเนื้อหนัง ความแตกต่างนี้เป็นเพราะว่า พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นเลือดเนื้อ พระองค์ทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ของพระวิญญาณ พระองค์ทรงมีทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ ไม่มีมนุษย์คนใดครอบครองเทวสภาพของพระองค์ สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ช่วยในการทำกิจกรรมตามปกติทั้งหมดของพระองค์ในเนื้อหนัง ในขณะที่เทวสภาพของพระองค์ปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของพระคริสต์คือการเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์)พระเจ้าซึ่งทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการขานพระนามว่าพระคริสต์ และดังนั้นแล้วพระคริสต์ที่สามารถประทานความจริงแก่ผู้คนได้จึงมีพระนามเรียกขานว่าพระเจ้า ไม่มีอะไรที่เกินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงครองเนื้อแท้ของพระเจ้า และทรงครองพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระปรีชาญาณในพระราชกิจของพระองค์ ที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์ บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นเนื้อหนังพิเศษเฉพาะที่ได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการและทำให้พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์เสร็จสิ้น เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้อย่างเพียงพอ และสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นตัวแทนพระเจ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) พระวจนะกล่าวไว้ชัดเจน การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ คือพระวิญญาณของพระเจ้าเป็นจริงขึ้นในเนื้อหนัง ซึ่งกล่าวได้ว่าพระวิญญาณของพระเจ้า สวมใส่เนื้อหนังเพื่อมาเป็นคนธรรมดา แล้วทรงปรากฏและทรงงานในโลกมนุษย์ พูดง่ายๆ คือ แปลว่าพระวิญญาณของพระเจ้าสวมใส่เนื้อหนังและกลายมาเป็นบุตรมนุษย์นั่นเอง มองที่ภายนอก พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ คือคนปกติธรรมดา เป็นเพียงคนที่ ไม่ได้สูงส่งหรือพิเศษอะไร ทรงเสวย นุ่งห่มพระองค์ และเดินทางเช่นเดียวกับคนธรรมดา และใช้ชีวิตที่ธรรมดา พระองค์ต้องเสวยเมื่อหิวและต้องบรรทมเมื่อเหนื่อย พระองค์ประสบกับอารมณ์ของมนุษย์ปกติ ทรงใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์อย่างแท้จริง และไม่มีใครเห็นได้ว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้สัมพันธ์กับชีวิตจริงผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ แต่ถึงแม้จะทรงเป็นคนปกติธรรมดา แต่ก็มีความแตกต่างอันเป็นรูปธรรม ระหว่างพระองค์กับมนุษย์ทรงสร้าง พระองค์คือการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า และมีพระวิญญาณอยู่ภายใน พระองค์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่ก็มีเทวสภาพอันสมบูรณ์ด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่มองเห็นและจับต้องได้ โดยหลักมันสำแดงว่าพระองค์แสดงความจริง และเปิดเผยความล้ำลึกได้ทุกที่ทุกเวลา พระองค์แสดงและให้คำพยานได้ ถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า ทุกสิ่งที่ทรงมีและทรงเป็น พระหฤทัยและพระดำริ ความรัก มหิทธานุภาพ และพระปัญญาของพระเจ้า เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้และเข้าใจพระเจ้า พระองค์ยังทรงเปิดเผยทุกความล้ำลึกในพระคัมภีร์ ซึ่งแปลว่า พระองค์ทรงเปิดม้วนหนังสือที่ถูกเผยพระวจนะในวิวรณ์ได้ นี่พิสูจน์ว่า พระองค์ทรงมีเทวสภาพอันสมบูรณ์ ภายนอกนั้น พระคริสต์ก็คือคนธรรมดา แต่พระองค์ทรงแสดงความจริงได้มากมาย ปลุกผู้คนให้ตื่น และช่วยมนุษยชาติผู้เสื่อมทรามให้รอดจากอิทธิพลซาตาน หากไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าในนั้น ใครจะทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร? แน่นอนว่า ไม่มีคนดังหรือผู้ยิ่งใหญ่คนไหนทำแบบนั้นได้ เพราะคนเหล่านั้นไม่มีใครแสดงความจริงได้ พวกเขาไม่ได้ครอบครองความจริงเลย พวกเขาช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วจะช่วยมนุษย์ทุกคนได้อย่างไร? พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์แสดงความจริง และทรงงานพิพากษาเพื่อชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดได้ ซึ่งเป็นความสามารถที่ไม่มีมนุษย์คนไหนมี หนังสือ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ คือถ้อยดำรัสของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และเป็นคำพยานถึงงานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ขณะที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ได้ประสบกับงานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ยอมรับการให้น้ำและเลี้ยงดูแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พระองค์เอง พวกเขาล้วนรู้สึกว่างานของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์สัมพันธ์กับขีวิตมาก พระเจ้าทรงใช้ชีวิตท่ามกลางมนุษย์โดยแท้จริง และทรงแสดงความจริงตามสถานการณ์จริงของเรา เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมเรา รวมทั้งเปิดโปงการเฉไฉในการเชื่อในพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาอันผิดพลาด และทุกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานในตัวเรา เพื่อให้เราได้รับความรู้และเปลี่ยนแปลง พระเจ้ายังทรงบอกเราถึงความปรารถนาและข้อพึงประสงค์ที่ทรงมีต่อผู้คน ทรงมอบเป้าหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดในการไล่ตาม และหลักธรรมในการปฏิบัติให้เรา เพื่อที่เราจะได้เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง ได้รับความรอดของพระเจ้า และหลีกหนีจากกองกำลังมืดของซาตานได้โดยสิ้นเชิง ผู้ที่ติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่างประสบอย่างลึกซึ้ง ว่าถ้าไม่มีพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เสด็จมาแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและตีสอนผู้คน พวกเขาคงไม่มีวันได้รู้ถึงธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของตัวเอง หรือคงไม่มีวันหลีกหนีจากพันธนาการและการควบคุมแห่งบาปได้ พวกเขายังตระหนักว่า มีเพียงการยอมรับการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า ที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะถูกชำระให้บริสุทธิ์ มีเพียงความรู้เรื่องพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ที่พวกเขาจะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ และผ่านการใช้ชีวิตด้วยพระวจนะเท่านั้น พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง มีคุณสมบัติที่จะได้รับคำมั่นและพระพรจากพระเจ้า และถูกพาเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ ลองคิดแบบนี้ ถ้าไม่มีพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์เสด็จมาแสดงความจริงมากมายในยุคสุดท้าย เราจะได้มีโอกาสถูกช่วยให้รอดสักครั้งในชีวิตไหม? เราจะได้รับการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า ได้ชื่นชมพระพรอันบริบูรณ์ของพระเจ้าไหม? ถ้าไม่มีการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้ายของพระเจ้า มนุษยชาติทุกคนคงถึงวาระแห่งการทำลาย และคงไม่มีใครได้รับความรอดเลย เหมือนกับที่พระวจนะกล่าวไว้ “ในคราวนี้ พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจไม่ใช่ในกายจิตวิญญาณ แต่ในกายที่ธรรมดาสามัญมาก ยิ่งไปกว่านั้น กายนี้ไม่เพียงเป็นพระกายในการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นพระกายที่พระเจ้าทรงใช้กลับคืนสู่เนื้อหนังด้วยเช่นกัน เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งธรรมดาสามัญมาก เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่ทำให้พระองค์โดดเด่นออกมาจากผู้อื่น แต่เจ้าสามารถได้รับความจริงซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนจากพระองค์ได้ เนื้อหนังซึ่งไร้นัยสำคัญนี้คือสิ่งที่พระวจนะแห่งความจริงทั้งหมดจากพระเจ้าจำแลงร่างขึ้นมาดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และแสดงพระอุปนิสัยทั้งหมดของพระเจ้าให้มนุษย์เข้าใจ เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะเข้าใจพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นบั้นปลายของมวลมนุษย์หรอกหรือ? พระองค์จะทรงบอกความลับเหล่านี้ทั้งหมดแก่เจ้า—ความลับที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสามารถบอกเจ้าได้ และพระองค์จะทรงบอกกับเจ้าเช่นกันถึงความจริงที่เจ้านั้นไม่เข้าใจ พระองค์ทรงเป็นประตูให้เจ้าเข้าไปสู่ราชอาณาจักร และเป็นผู้นำเจ้าเข้าไปสู่ยุคใหม่ มนุษย์ที่ธรรมดาสามัญเช่นนั้นถือครองความล้ำลึกอันมิอาจหยั่งลึกได้อยู่มากมาย กิจการของพระองค์อาจมิอาจพิเคราะห์ได้สำหรับเจ้า แต่เป้าหมายโดยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นเพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นว่าพระองค์มิใช่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง อย่างที่ผู้คนเชื่อ เพราะพระองค์เป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้าและความใส่ใจที่พระเจ้าทรงแสดงต่อมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย แม้เจ้าจะไม่สามารถได้ยินพระวจนะของพระองค์ที่ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก แม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นพระเนตรของพระองค์ดังเช่นเปลวเพลิงแห่งไฟ และแม้เจ้าไม่สามารถรับความมีวินัยแห่งคทาเหล็กของพระองค์ แต่ถึงกระนั้น เจ้าก็สามารถได้ยินจากพระวจนะของพระองค์ว่าพระเจ้าทรงพิโรธ และรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงความเมตตาสงสารต่อมวลมนุษย์ เจ้าสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและพระปรีชาญาณของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ตระหนักถึงความกังวลห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายคือ การเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นพระเจ้าในสวรรค์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์บนแผ่นดินโลก และทำให้มนุษย์สามารถรู้จัก เชื่อฟัง เคารพ และรักพระเจ้า นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังเป็นครั้งที่สอง แม้ว่าสิ่งที่มนุษย์เห็นในวันนี้คือพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเหมือนกับมนุษย์ พระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งมีหนึ่งพระนาสิกและสองพระเนตร และพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งไม่มีอะไรโดดเด่น ในตอนท้าย พระเจ้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงมหาศาล หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์จะสลัวลง แผ่นดินโลกจะดิ่งพรวดลงสู่ความอลหม่าน และมวลมนุษย์ทั้งปวงจะดำรงชีวิตท่ามกลางการกันดารอาหารและภัยพิบัติทั้งหลาย พระองค์จะทรงแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อช่วยพวกเจ้าให้รอดในยุคสุดท้าย พระเจ้าก็คงจะได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ทั้งปวงในนรกไปเสียนานแล้ว หากไม่มีมนุษย์ผู้นี้อยู่ พวกเจ้าก็จะเป็นพวกคนบาปตัวฉกาจไปตลอดกาล และเจ้าจะกลายเป็นซากศพชั่วนิรันดร พวกเจ้าควรรู้ว่า หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ เช่นนั้นแล้ว มวลมนุษย์ทั้งปวงคงจะเผชิญหน้ากับหายนะที่มิอาจหลบหลีกได้เลย และคงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกหนีการลงโทษอันรุนแรงเสียยิ่งกว่าซึ่งพระเจ้าทรงตวงแบ่งให้กับมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย หากเนื้อหนังธรรมดาสามัญนี้ไม่ถือกำเนิดขึ้น เจ้าทั้งหมดก็คงจะอยู่ในสภาวะที่พวกเจ้าร้องขอชีวิตโดยที่ไม่มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตได้ และอธิษฐานขอความตายโดยที่ไม่สามารถตายได้ หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ พวกเจ้าจะไม่สามารถได้รับความจริงและมาอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าในวันนี้ได้ แต่เจ้ากลับจะถูกพระเจ้าลงโทษเพราะบาปอันหนักหนาสาหัสของเจ้าแทน พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า หากมิใช่เพราะพระเจ้าทรงกลับคืนสู่เนื้อหนัง ก็คงจะไม่มีผู้ใดเลยที่มีโอกาสได้รับความรอด และหากมิใช่เพราะการมาของเนื้อหนังนี้ พระเจ้าก็คงจะวางบทอวสานให้กับยุคเก่าไปเสียนานแล้ว? ด้วยความที่เป็นเช่นนี้ พวกเจ้ายังสามารถปฏิเสธการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าได้อยู่อีกหรือ? เพราะพวกเจ้าสามารถได้รับประโยชน์มากมายเหลือเกินจากมนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้ เหตุใดพวกเจ้าจึงจะไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปรมปรีดิ์เล่า?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลมนุษย์?)

ถึงจุดนี้ บางคนอาจถามว่า ภายนอกของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์นั้นดูธรรมดา และเทวสภาพของพระองค์ถูกซ่อนอยู่ภายในเนื้อหนัง แล้วถ้าพระเจ้าเสด็จมา เราจะจำพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้อย่างไร? พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แสดงหนทางให้เราครับ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์เขลาและไม่รู้เท่าทัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) จากพระวจนะ เราเห็นได้ว่า การรับรู้ถึงพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทรงปรากฏ หรือครอบครัวที่ทรงประสูติ ไม่ว่าจะทรงมีตำแหน่งหรืออำนาจไหม หรือไม่ว่าจะทรงมีเกียรติภูมิในโลกศาสนาไหม นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ มันอยู่ที่ว่าพระองค์มีแก่นแท้ของพระเจ้าไหม พระองค์แสดงความจริงและทรงงานของพระเจ้าพระองค์เองได้ไหม นี่คือองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ถ้าพระองค์แสดงความจริงและทรงงานเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดได้ แม้พระองค์จะประสูติในครอบครัวสามัญและไร้ซึ่งอำนาจและตำแหน่งใดในสังคม ก็ทรงเป็นพระเจ้า เช่นเดียวกับในยุคพระคุณ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน พระองค์ประสูติในครอบครัวธรรมดา เสด็จมายังโลกในรางหญ้า พระองค์ไม่ได้เกิดมาสูงส่งหรือเปี่ยมอำนาจ ไม่ได้ทรงมีสถานะหรืออำนาจ แต่พระองค์ทรงแสดงความจริง มอบหนทางกลับใจ และอภัยแก่บาปให้คนได้ เหล่าผู้ที่รักความจริง อย่างบรรดาสาวก เปโตร และยอห์น เห็นในงานขององค์พระเยซูเจ้า และในความจริงที่ทรงแสดง ว่าพระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า และจำได้ว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ พวกเขาจึงติดตามพระองค์ และได้รับความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้า วันนี้ พระเจ้าทรงเสด็จมาปรากฎในรูปมนุษย์บนโลกอีกครั้ง และแม้ภายนอกพระองค์จะดูเหมือนคนธรรมดา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็แสดงความจริงมากมาย และทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้ายได้ หลายคนจากทั่วทุกมุมโลก ได้เห็นความจริงที่ทรงแสดง จำเสียงของพระเจ้าได้ ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และถูกยกขึ้นไปเบื้องพระบัลลังก์ พวกเขาเริ่มประสบกับการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า และเข้าใจความจริงขึ้นบ้าง พวกเขาล้วนมีประสบการณ์และคำพยานอันเยี่ยมยอด และทุ่มเททุกสิ่งเพื่อประกาศข่าวประเสริฐและให้คำพยานแก่พระเจ้า ข้อเท็จจริงพิสูจน์ว่า มีเพียงคนที่แสดงความจริง พิพากษา ชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ และช่วยมนุษยชาติให้รอดโดยสมบูรณ์ได้ ที่เป็นพระคริสต์และพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้เลย หากใครไม่อาจแสดงความจริง ทำได้แค่หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ นี่คืองานของวิญญาณชั่ว ถ้าพวกเขาเรียกตัวเองว่าพระเจ้า นั่นคือพระคริสต์เทียมเท็จที่ปลอมตัวเป็นพระเจ้า การจะรู้ถึงพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เราต้องแน่ใจกับข้อเท็จจริงนี้ว่า มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ที่แสดงความจริง ทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย และช่วยมนุษยชาติให้รอดจากกองกำลังซาตานโดยสมบูรณ์ได้

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้แสดงความจริงมากมาย และทรงงานอันยิ่งใหญ่ในยุคสุดท้าย แต่ก็ยังมีหลายคนที่ตามืดบอด และเฝ้ารอแต่องค์พระเยซูเจ้าให้เสด็จมาบนก้อนเมฆอย่างเปิดเผย คนพวกนั้นจะร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขณะที่ถูกทำลายในความวิบัติ สิ่งนี้ทำให้คำเผยพระวจนะในวิวรณ์ลุล่วง ที่ว่า “นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์(วิวรณ์ 1:7) พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังตรัสอีกว่า “ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว” สุดท้าย เรามาอ่านพระวจนะสักหนึ่งบทนะครับ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พวกที่ปรารถนาที่จะได้รับชีวิตโดยไม่พึ่งพาความจริงที่ตรัสโดยพระคริสต์คือผู้คนที่ไร้สาระน่าขันที่สุดบนแผ่นดินโลก และพวกที่ไม่ยอมรับหนทางแห่งชีวิตซึ่งนำพามาโดยพระคริสต์เป็นคนที่หลงอยู่ในความเพ้อฝัน และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าพวกที่ไม่ยอมรับพระคริสต์ของยุคสุดท้ายจะถูกพระเจ้าทรงเกลียดไปตลอดกาล พระคริสต์ทรงเป็นประตูให้มนุษย์ไปสู่ราชอาณาจักรระหว่างยุคสุดท้าย และไม่มีใครที่สามารถอ้อมเลี่ยงพระองค์ได้ อาจไม่มีใครเลยที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเว้นแต่จะผ่านทางพระคริสต์ เจ้าเชื่อในพระเจ้า และดังนั้นเจ้าต้องยอมรับพระวจนะของพระองค์และเชื่อฟังหนทางของพระองค์ เจ้าไม่สามารถคิดถึงเพียงแค่การได้รับพรเท่านั้นในขณะที่ไม่สามารถได้รับความจริงและไม่สามารถยอมรับการจัดเตรียมชีวิตได้ พระคริสต์เสด็จมาระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อที่ทุกคนซึ่งเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงอาจได้รับการจัดเตรียมชีวิตไว้ให้ พระราชกิจของพระองค์นั้นเป็นไปเพื่อการสรุปปิดตัวยุคเก่าและเข้าสู่ยุคใหม่ และพระราชกิจของพระองค์คือเส้นทางที่ทุกคนที่จะเข้าสู่ยุคใหม่จำต้องรับไว้ หากเจ้าไม่สามารถรับรู้พระองค์ได้ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับกล่าวโทษ หมิ่นประมาท หรือกระทั่งถึงกับข่มเหงพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีแนวโน้มที่จะถูกเผาไหม้ไปชั่วนิรันดร์และจะไม่มีวันเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ เพราะพระคริสต์พระองค์นี้ทรงเป็นการแสดงออกด้วยพระองค์เองของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นการแสดงออกของพระเจ้า ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่พระเจ้าได้มอบความไว้วางพระทัยให้ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าหากเจ้าไม่สามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายได้ทรงปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ บทลงโทษซึ่งพวกที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้รับนั้นประจักษ์ชัดในตัวของมันเองต่อทุกคน เรายังบอกเจ้าอีกว่าหากเจ้าต่อต้านพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย หากเจ้าเหยียดหยันพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย จะไม่มีใครอื่นอีกที่จะแบกรับผลสืบเนื่องแทนเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น นับจากวันนี้ไปเจ้าจะไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะได้รับการรับรองจากพระเจ้า ต่อให้เจ้าพยายามไถ่บาปให้แก่ตัวเจ้าเองก็ตาม เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้าอีกแล้ว เพราะสิ่งที่เจ้าต่อต้านนั้นไม่ใช่มนุษย์ สิ่งที่เจ้าเหยียดหยันนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ อ่อนแอบางอย่าง แต่เป็นพระคริสต์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลสืบเนื่องของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร? เจ้าจะไม่ได้ทำความผิดพลาดเล็กๆ แต่จะได้ก่ออาชญากรรมอันชั่วร้าย และดังนั้นเราจึงแนะนำทุกคนไม่ให้แสดงอาการแยกเขี้ยวข่มขู่เมื่ออยู่ต่อหน้าความจริง หรือทำการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ระมัดระวัง เพราะความจริงเท่านั้นที่สามารถนำชีวิตมาสู่เจ้าได้ และไม่มีอะไรเว้นแต่ความจริงที่สามารถเปิดโอกาสให้เจ้าเกิดใหม่และได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้าอีกครั้ง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

จริงหรือที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาบนก้อนเมฆ?

ตอนนี้ เรากำลังเห็นความวิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า กับโรคระบาดล้างโลก ผู้เชื่อรอคอยอย่างเร่งด่วนให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาบนเมฆ...

ใครคือพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว?

ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนมากมีความเชื่อและเชื่อว่ามีพระเจ้า พวกเขาเชื่อในพระเจ้าที่สถิตอยู่ในหัวใจของพวกเขา ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนในหลายๆ...

องค์พระเยซูเจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เมื่อพระองค์ตรัสบนไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว”?

คริสตชนเชื่อว่า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสบนไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว” คือการตรัสว่าพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ของพระเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger