ทำไมเราจึงต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เพียงด้วยการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าเท่านั้น?
ตอนนี้ ผู้เชื่อทุกคนต่างเฝ้ารอให้องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาบนเมฆ เพราะภัยพิบัติเริ่มรุนแรงขึ้น และพวกโรคระบาดต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นด้วย ความยากจนกับสงครามเองก็ใกล้เข้ามา ผู้เชื่อรู้สึกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาได้ทุกเมื่อ และพวกเขานั้นไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จลงมาบนเมฆเมื่อไร ดังนั้นพวกเขาจึงเอาแต่เฝ้าอธิษฐาน รอการเสด็จมาของพระองค์ แต่ว่า ภัยพิบัติทั้งหลายได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่จนวันนี้ พวกเขาก็ยังไม่เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏบนเมฆ ทำให้หลายคนเกิดความสับสน และสงสัยว่า “ทำไมพระองค์ยังไม่เสด็จ ที่พระองค์ตรัสไม่มีความซื่อสัตย์หรอกหรือ?” ไม่ใช่เลยครับ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักษาสัจจะ ทุกอย่างย่อมเป็นไปดังพระวจนะ ในยามที่ไม่มีใครคาดคิด พระองค์ก็ได้ทรงปรากฏเป็นบุตรมนุษย์และเสด็จลงมาอย่างลับๆ มีหลายคนที่ได้ต้อนรับพระองค์แล้ว หลายปีก่อน หลังจากค้นหารอยพระบาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาก็พบว่า บุตรมนุษย์ได้ตรัสและแสดงความจริงมากมาย ยิ่งพวกเขาอ่านพระวจนะ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเสียงแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า สุดท้ายก็พบว่า บุตรมนุษย์องค์นี้ คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์! พวกเขาทุกคนต่างก็ร้องดีใจว่า “องค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา เราได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว!” ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็รีบกระจายข่าว เป็นพยานแก่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ทรงปรากฏและแสดงความจริง ผู้คนจากทุกนิกายที่รักความจริง และปรารถนาถึงการทรงปรากฏของพระเจ้า จำพระสุรเสียงของพระเจ้าจากการอ่านพระวจนะได้ ต่างมาอยู่ต่อหน้าพระที่นั่งทีละคน และเข้าร่วมงานอภิเษกของพระเมษโปดก เป็นดังคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27) “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20) การทรงปรากฏของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ยังเป็นไปดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เราจะมาในเร็วๆ นี้” “การเสด็จมาของบุตรมนุษย์” “บุตรมนุษย์มา” “บุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้น” ตามที่ว่ามานี้ นี่จึงพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงรักษาสัจจะ คำเผยพระวจนะและพระวจนะทั้งหมดจะต้องสัมฤทธิผล ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายไปเลย” (มัทธิว 24:35) และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกอาจล่วงไป แต่สิ่งที่เรากล่าวจะไม่มีวันล่วงไปแม้สักขีดหรือสักตัวอักษรเดียว” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 53) พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จกลับมาแล้ว ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงแสดงความจริงมากมาย ทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย ได้ทำให้กลุ่มผู้ชนะนั้นสมบูรณ์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเอาชนะซาตาน และได้รับพระสิริทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ภัยพิบัติครั้งใหญ่ได้เริ่มขึ้น เราจะเห็นว่า พระราชกิจนั้นเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมาย สะเทือนโลกศาสนา รวมถึงโลกทั้งใบด้วย แต่ว่า ผู้นับถือศาสนาจำนวนมาก ยังคงมองไปบนฟ้า รอคอยพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาบนเมฆ พวกเขาทั้งหมดตกอยู่ในภัยพิบัติ โดยยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พูดได้ว่าเป็นแค่พวกหญิงพรหมจารีโง่เท่านั้น มีเหล่าคนโง่และรู้ไม่เท่าทัน ที่ถูกศัตรูของพระคริสต์ในโลกศาสนาหลอกและควบคุม ยังคงตัดสินและกล่าวโทษ การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขารู้ดีว่าพระวจนะของพระองค์เป็นความจริง แต่ก็ไม่ยอมรับ ยังคงยึดติดกับถ้อยคำในพระคัมภีร์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาบนเมฆ ไม่มองความจริงแม้แต่น้อย ไม่รับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ส่งผลให้ตกอยู่ในภัยพิบัติ เฝ้าพร่ำบ่นคร่ำครวญ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน บางคนอาจถามว่า “ทำไมเราต้องฟังพระสุรเสียงเพื่อต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าล่ะ?” วันนี้ ผมจะมาแบ่งปันความเข้าใจของผมสักเล็กน้อย
ก่อนอื่น เราต้องรู้ให้ชัดเจนก่อน ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาจากสวรรค์บนเมฆจริงๆ จนทุกคนมองเห็นได้ งั้นเราคงไม่ต้องฟังพระสุรเสียง เพียงแค่มองก็พอแล้ว แต่เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาในเนื้อหนัง มาเป็นบุตรมนุษย์ ดูจากภายนอก พระองค์เป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีพระฉายาของพระเจ้า ไม่มีความเหนือธรรมชาติเลย มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่จะต้องตาย ไม่อาจมองเห็นพระวิญญาณ เราเห็นเพียงรูปกายของบุตรมนุษย์เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีทางรู้ว่าเป็นบุตรมนุษย์ นอกเสียจากการฟังพระสุรเสียงของพระองค์ เราจะระบุได้ก็ด้วยถ้อยดำรัสเท่านั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27) อย่างที่เรารู้กัน เมื่อสองพันปีก่อน พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ในฐานะองค์พระเยซูเจ้าเพื่อไถ่บาปให้มนุษยชาติ พระองค์ทรงอยู่ในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ทรงใช้ชีวิตเหมือนกับคนทั่วไป ไม่มีใครรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ แม้แต่ครอบครัวของพระองค์ก็ไม่ทราบ แม้แต่องค์พระเยซูเจ้าเองก็ไม่ทรงทราบ ว่าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ทุกหนแห่ง ทรงแสดงความจริงมากมาย ทรงสอนให้ผู้คนสารภาพบาปและกลับใจ มีความอดทนอดกลั้น ให้อภัยเจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด และแบกกางเขนติดตามพระองค์ พระองค์บอกให้ผู้คนรักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ สุดความคิด และให้รักผู้อื่นเช่นรักตัวเอง และยังทรงเปิดเผยความล้ำลึกของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ บอกผู้คนที่สามารถเข้าราชอาณาจักรได้ เป็นต้น ความจริงเหล่านี้เป็นหนทางแห่งการกลับใจ ที่พระเจ้าทรงแสดงไว้เพื่อการไถ่ของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นมาก่อน มีหลายคนที่ติดตามองค์พระเยซูเจ้า เพราะได้ยินว่าพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพเพียงไร เป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดแสดงออกได้ พวกเขาจำพระสุรเสียงได้ และติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า นี่คือแกะของพระเจ้า ที่ได้ยินพระสุรเสียงและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เหล่ามหาปุโรหิต ธรรมาจารย์ และพวกฟาริสีแห่งศาสนายิว ถึงแม้พวกเขาจะยอมรับถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระวจนะ แต่เพราะองค์พระเยซูเจ้านั้นเหมือนกับบุตรมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ไม่มีครอบครัวที่มีชื่อเสียง ไม่มีสถานะและอำนาจสูงส่ง เพราะพระวจนะของพระองค์ ไม่ได้อยู่ในองค์พระคัมภีร์ และเพราะพระองค์ไม่ได้มีพระนามว่าเมสสิยาห์ ซึ่งไม่ตรงกับคำเผยพระวจนะในองค์พระคัมภีร์ พวกเขาจึงไม่ยอมรับและปฏิเสธพระองค์ ถึงกับกล่าวโทษพระองค์ว่า ตรัสดูหมิ่นศาสนา ท้ายที่สุด พวกเขาก็จับพระองค์ตรึงกางเขน และพระเจ้าก็ทรงลงโทษและสาปแช่งพวกเขา ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการฟังพระสุรเสียง เพื่อต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นสำคัญมาก! ถ้าเราไม่ฟังพระสุรเสียง แต่ดูแค่รูปปรากฏภายนอกของบุตรมนุษย์ เราก็จะไม่มีทางเห็นว่าพระองค์คือพระเจ้า เราจะกล่าวโทษและปฏิเสธพระองค์ ด้วยมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของเรา ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง โดยทรงปรากฏและปฏิบัติพระราชกิจในฐานะบุตรมนุษย์ ถ้าเราต้องการต้อนรับพระองค์ เราต้องใช้การฟังพระสุรเสียง เพื่อฟังดูว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ เป็นความจริงหรือไม่ มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ เราต้องอาศัยความมุ่งมั่นของเราในเรื่องนี้ เมื่อนั้นเราก็จะจำพระคริสต์ อันเป็นการสำแดงของพระเจ้าได้ การฟังพระสุรเสียงเท่านั้น เราจึงจะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้
ดังที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เนื่องจากว่าพวกเรากำลังตามหารอยพระบาทของพระเจ้า จึงจำเป็นที่พวกเราต้องค้นหาน้ำพระทัยของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า ถ้อยดำรัสของพระองค์—เพราะที่ใดก็ตามที่มีพระวจนะใหม่ๆ ที่พระเจ้าตรัส พระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่ที่นั่น และที่ใดที่มีก้าวพระบาทของพระเจ้า กิจการต่างๆ ของพระเจ้าก็อยู่ที่นั่น ที่ใดก็ตามที่มีการทรงแสดงออกของพระเจ้า ที่นั่นพระเจ้าทรงปรากฏ และที่ใดที่พระเจ้าทรงปรากฏ ที่นั่นความจริง หนทาง และชีวิตดำรงอยู่ ในการค้นหารอยพระบาทของพระเจ้า พวกเจ้าได้ละเลยคำว่า ‘พระเจ้าคือความจริง หนทาง และชีวิต’ และดังนั้น ผู้คนมากมายแม้ในเวลาที่พวกเขาได้รับความจริงจึงไม่เชื่อว่าพวกเขาได้พบรอยพระบาทของพระเจ้าแล้ว และพวกเขายิ่งไม่ยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้า เป็นความผิดพลาดร้ายแรงยิ่งนัก!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่) “พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์เขลาและไม่รู้เท่าทัน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)
“ในคราวนี้ พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจไม่ใช่ในกายจิตวิญญาณ แต่ในกายที่ธรรมดาสามัญมาก ยิ่งไปกว่านั้น กายนี้ไม่เพียงเป็นพระกายในการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นพระกายที่พระเจ้าทรงใช้กลับคืนสู่เนื้อหนังด้วยเช่นกัน เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งธรรมดาสามัญมาก เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่ทำให้พระองค์โดดเด่นออกมาจากผู้อื่น แต่เจ้าสามารถได้รับความจริงซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนจากพระองค์ได้ เนื้อหนังซึ่งไร้นัยสำคัญนี้คือสิ่งที่พระวจนะแห่งความจริงทั้งหมดจากพระเจ้าจำแลงร่างขึ้นมาดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และแสดงพระอุปนิสัยทั้งหมดของพระเจ้าให้มนุษย์เข้าใจ เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะเข้าใจพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นบั้นปลายของมวลมนุษย์หรอกหรือ? พระองค์จะทรงบอกความลับเหล่านี้ทั้งหมดแก่เจ้า—ความลับที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสามารถบอกเจ้าได้ และพระองค์จะทรงบอกกับเจ้าเช่นกันถึงความจริงที่เจ้านั้นไม่เข้าใจ พระองค์ทรงเป็นประตูให้เจ้าเข้าไปสู่ราชอาณาจักร และเป็นผู้นำเจ้าเข้าไปสู่ยุคใหม่ มนุษย์ที่ธรรมดาสามัญเช่นนั้นถือครองความล้ำลึกอันมิอาจหยั่งลึกได้อยู่มากมาย กิจการของพระองค์อาจมิอาจพิเคราะห์ได้สำหรับเจ้า แต่เป้าหมายโดยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นเพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นว่าพระองค์มิใช่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง อย่างที่ผู้คนเชื่อ เพราะพระองค์เป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้าและความใส่ใจที่พระเจ้าทรงแสดงต่อมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย แม้เจ้าจะไม่สามารถได้ยินพระวจนะของพระองค์ที่ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก แม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นพระเนตรของพระองค์ดังเช่นเปลวเพลิงแห่งไฟ และแม้เจ้าไม่สามารถรับความมีวินัยแห่งคทาเหล็กของพระองค์ แต่ถึงกระนั้น เจ้าก็สามารถได้ยินจากพระวจนะของพระองค์ว่าพระเจ้าทรงพิโรธ และรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงความเมตตาสงสารต่อมวลมนุษย์ เจ้าสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและพระปรีชาญาณของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ตระหนักถึงความกังวลห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลมนุษย์?)
พระวจนะแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้วิธีแสวงหาการทรงปรากฏ และหนทางรับรู้การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ซึ่งชัดเจนอย่างมาก พระคริสต์คือหนทาง ความจริง และชีวิต การแสดงความจริงและพระสุรเสียงของพระเจ้า เปิดเผยเทวสภาพของพระคริสต์ ดังนั้น ไม่ว่าการทรงปรากฏของพระคริสต์ จะเป็นปกติและธรรมดาแค่ไหน ตราบที่พระองค์ทรงแสดงความจริง แสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น เช่นนั้น พระองค์ก็คือการสำแดงของพระเจ้า ไม่ว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ จะเป็นปกติและธรรมดาแค่ไหน ตราบที่พระองค์ทรงแสดงความจริง และแสดงพระสุรเสียง พระองค์ก็คือผู้ทรงมีแก่นแท้ที่เกี่ยวกับพระเจ้า เป็นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย ตั้งแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงปรากฏและเริ่มพระราชกิจ หลายคนจากทุกนิกายที่รักความจริง ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และได้พบว่าพระวจนะ ล้วนเป็นความจริง มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งหมด และเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า และได้ยืนยันว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือการทรงปรากฏของพระเจ้า พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา เรื่องนี้เป็นความจริง ที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนยืนยันได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทรงใช้ชีวิตกินอยู่และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทรงแสดงความจริง ให้น้ำ อุปถัมภ์ และคอยนำประชากรฯ ทุกที่ทุกเวลา เราได้เห็นพระวจนะมากมาย ที่ถูกแสดงออกมาบทแล้วบทเล่า และตอนนี้ได้ถูกเรียบเรียงไว้ในหนังสือแห่งพระวจนะ เช่นพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ โดยมีพระวจนะนับล้านๆ คำ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เปิดเผยความล้ำลึกทั้งหมด แห่งพระราชกิจการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า อย่างเช่น เป้าหมายในการบริหารจัดการมนุษยชาติของพระเจ้า การที่ซาตานทำให้มนุษยชาติเสื่อมทราม การที่พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยให้รอดทีละขั้นตอน เรื่องราวภายในแห่งพระคัมภีร์ ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เรื่องพระราชกิจแห่งการพิพากษา ที่ได้ช่วยมนุษยชาติให้รอดและชำระให้บริสุทธิ์ การที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนตามประเภท ปูนบำเหน็จผู้ทำความดี ลงโทษผู้ทำความชั่วไปจนสิ้นยุค เรื่องที่ราชอาณาจักรของพระคริสต์เกิดขึ้นบนโลก เป็นต้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังทรงเปิดเผย แก่นแท้ที่ต่อต้านพระเจ้าและความเสื่อมทรามของมนุษย์ พระองค์ทรงจัดเตรียมเส้นทางให้ เพื่อกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและได้รับความรอด และยังตรัสบอกถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับพระเจ้า การปฏิบัติเพื่อเป็นคนซื่อสัตย์ การจงรักภักดีต่อพระเจ้า การติดตามหนทางของพระเจ้าเพื่อยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว การเชื่อฟังและรักพระเจ้า และอื่นๆ อีกมาก ความจริงทั้งหมดเหล่านี้ เป็นความจริงที่จำเป็น เพื่อให้ได้รับอิสรภาพจากบาปและความรอดโดยพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดนี้ สำเร็จลุล่วงดังคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น 16:12-13) ยิ่งเราอ่านพระวจนะมากเท่าไร หัวใจเราก็ยิ่งสดใส และพิชิตเราอย่างสมบูรณ์ การเห็นความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ พระบารมีและพระพิโรธที่ถูกเปิดเผย ผ่านพระวจนะแห่งการพิพากษา การประสบกับพระอุปนิสัยที่มิอาจล่วงเกินได้ เราขอยืนยันว่าพระวจนะคือความจริง และเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า คือพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่อคริสตจักร ลองคิดดูครับ นอกจากพระเจ้า ใครจะเปิดเผยความล้ำลึกแห่งพระราชกิจได้ ใครจะแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นได้ นอกจากพระเจ้า ใครจะพิพากษาและเปิดโปงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของมนุษยชาติได้ ใครจะสามารถช่วยมนุษยชาติให้รอดจากบาปได้ ไม่ต้องสงสัยเลย มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงแสดงความจริงได้ ที่จะชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์จากความเสื่อมทราม และช่วยให้รอดจากบาปและอำนาจของซาตานได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อาจดูเหมือนบุตรมนุษย์ธรรมดาที่เป็นปกติ แต่จากพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ เราจะเห็นว่า พระองค์มีทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และมีแก่นแท้ที่เกี่ยวกับพระเจ้าด้วย พระองค์ทรงมีพระวิญญาณแห่งพระเจ้าสถิตอยู่ และพระวจนะ คือการสำแดงโดยตรงจากพระวิญญาณของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือหนทาง ความจริง และชีวิต คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าทรงเปล่งถ้อยดำรัสของพระองค์ต่อไป โดยใช้วิธีการและมุมมองต่างๆ นานา เพื่อเตือนสอนพวกเราเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเราควรทำ ในขณะเดียวกันก็ทรงเก็บพระสุรเสียงไว้แต่ภายในพระหทัยของพระองค์ พระวจนะของพระองค์นำพาพลังชีวิต แสดงให้พวกเราเห็นหนทางที่พวกเราควรเดิน และทำให้พวกเราสามารถเข้าใจว่าอะไรคือความจริง พวกเราเริ่มถูกดึงดูดด้วยพระวจนะของพระองค์ พวกเราเริ่มจดจ่อกับพระกระแสเสียงและลักษณะที่พระองค์ตรัส และในจิตใต้สำนึก พวกเราเริ่มให้ความสนใจในความรู้สึกที่อยู่ภายในที่สุดของบุคคลซึ่งแสนจะธรรมดาผู้นี้… ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่จะสามารถรู้ความคิดทั้งหมดของพวกเรา หรือมีความเข้าใจอย่างชัดเจนและบริบูรณ์ในธรรมชาติและธาตุแท้ของพวกเรา หรือตัดสินความเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของมนุษยชาติ หรือตรัสกับพวกเราและทรงพระราชกิจกับพวกเราเช่นนี้ในนามของพระเจ้าในสวรรค์ ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่ทรงมีสิทธิอำนาจ พระปรีชาญาณ และพระเกียรติภูมิของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นถูกนำมาแสดงไว้อย่างบริบูรณ์ในพระองค์ ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่สามารถบอกทางให้พวกเราและนำพาแสงสว่างมาให้พวกเรา ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่สามารถเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหลายที่พระเจ้าไม่ได้ทรงเปิดเผยตั้งแต่การทรงสร้างจวบจนวันนี้ ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่สามารถช่วยพวกเราให้รอดจากพันธนาการของซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวพวกเราเอง พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงออกถึงพระหทัยส่วนในสุดของพระเจ้า คำเตือนสติของพระเจ้า และพระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง พระองค์ได้ทรงเริ่มยุคใหม่ ยุคสมัยใหม่ และทรงนำมาซึ่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกแห่งใหม่และพระราชกิจใหม่ และพระองค์ได้ทรงนำพาความหวังมาให้พวกเรา ยุติชีวิตที่พวกเราได้ดำเนินมาในความคลุมเครือและทรงทำให้ความเป็นตัวตนทั้งหมดของพวกเราได้มองดูเส้นทางสู่ความรอดอย่างแจ่มชัดเต็มตา พระองค์ได้ทรงพิชิตความเป็นตัวตนทั้งหมดของพวกเราและทรงได้หัวใจของพวกเราไป นับแต่ชั่วขณะนั้นเป็นต้นมาจิตใจของพวกเราก็กลายเป็นรู้สึกตัวขึ้นมาและจิตวิญญาณของพวกเราก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนมา บุคคลธรรมดาไร้ความสำคัญผู้นี้ที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเราและถูกพวกเราปฏิเสธมาเนิ่นนาน—นี่ไม่ใช่องค์พระเยซูเจ้าผู้ซึ่งอยู่ในความคิดของพวกเราตลอดเวลา ทั้งในยามตื่นหรือยามฝัน และคือผู้ที่พวกเราถวิลหาทั้งกลางคืนและกลางวันหรอกหรือ? เป็นพระองค์นั่นเอง! เป็นพระองค์นั่นเองจริงๆ! พระองค์คือพระเจ้าของพวกเรา! พระองค์คือความจริง หนทางและชีวิต!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 4: มองดูการทรงปรากฏของพระเจ้าในการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์)
เมื่อถึงจุดนี้ ทุกท่านคงรู้ชัดเจนแล้วว่าทำไมเราจึงต้องฟัง พระสุรเสียงของพระเจ้า เพื่อต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่จริงแล้ว การฟังพระสุรเสียงนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ลูกแกะของพระเจ้าสามารถได้ยินพระสุรเสียงได้ สิ่งนี้พระเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว ระดับการศึกษาของคนไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความรู้ในพระคัมภีร์และระดับประสบการณ์ ก็ไม่สำคัญเช่นกัน ใครก็ตามที่มีหัวใจและวิญญาณ ที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จะรู้สึกได้ว่า พระวจนะล้วนเป็นความจริง มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ และเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเขารู้สึกได้ถึงความรักของพระเจ้าต่อมนุษยชาติ พระอุปนิสัยที่เปี่ยมพระบารมีและชอบธรรมของพระเจ้า ที่จะไม่ยอมให้มนุษย์ทำการล่วงเกิน นี่คือการทำหน้าที่ของความรู้สึกทางวิญญาณและการหยั่งรู้ เหมือนที่เรารู้สึกตอนอ่านพระวจนะแห่งองค์พระเยซูเจ้า เพราะทั้งพระวจนะแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพระวจนะแห่งองค์พระเยซูเจ้า เป็นการแสดงออกของพระวิญญาณเดียวกัน ทั้งสองมาจากแหล่งเดียวกัน ซึ่งทั้งสองพระองค์นั้น คือพระเจ้าหนึ่งเดียว มาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันอีกสักสองสามบทตอนครับ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตลอดทั่วทั้งจักรวาลเรากำลังทำงานของเรา และในทิศตะวันออก เสียงกระแทกสนั่นราวฟ้าร้องดังขึ้นอย่างไม่รู้จบ ทำให้ชนชาติทั้งปวงและคณะนิกายทั้งหมดสั่นสะเทือน เป็นเสียงของเรานั่นเองที่ได้นำทางมนุษย์ทั้งหมดเข้ามาสู่ปัจจุบัน เราทำให้มนุษย์ทั้งหมดถูกพิชิตด้วยเสียงของเรา ตกลงสู่กระแสนี้ และนบนอบต่อหน้าเรา ด้วยเหตุที่เราได้เรียกคืนสง่าราศีของเราจากแผ่นดินโลกทั้งหมดและได้ให้สง่าราศีนั้นปรากฏขึ้นใหม่ในทิศตะวันออกนานมาแล้ว ใครบ้างไม่ถวิลหาที่จะได้เห็นสง่าราศีของเรา? ใครบ้างไม่รอคอยการกลับมาของเราอย่างกระวนกระวายใจ? ใครบ้างไม่กระหายการปรากฏอีกครั้งของเรา? ใครบ้างไม่คะนึงหาความดีงามของเรา? ใครบ้างจะไม่มาหาความสว่าง? ใครบ้างจะไม่เฝ้ามองความมั่งคั่งของคานาอัน? ใครบ้างไม่ถวิลหาการกลับมาของพระผู้ไถ่? ใครบ้างไม่ชื่นชมพระองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในฤทธานุภาพ? เสียงของเราจะแผ่ไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก เราจะเผชิญหน้าประชากรที่เราเลือกสรรและกล่าววจนะแก่พวกเขาเพิ่มเติมอีก เรากล่าววจนะของเราต่อทั้งจักรวาลและต่อมวลมนุษย์ ราวกับเสียงฟ้าร้องอันเปี่ยมพละกำลังที่ทำให้ภูเขาและแม่น้ำสั่นสะเทือน ดังนั้นวจนะในปากของเราจึงได้กลายเป็นขุมทรัพย์ของมนุษย์ และมนุษย์ทั้งหมดก็ทะนุถนอมวจนะของเรา ฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออกตลอดทางไปจนถึงทิศตะวันตก วจนะของเราเป็นวจนะที่มนุษย์ไม่เต็มใจที่จะละทิ้งไป และในเวลาเดียวกันก็พบว่าวจนะเหล่านั้นยากหยั่งถึง แต่ก็ชื่นบานในถ้อยคำเหล่านั้นอย่างหาใดปาน มนุษย์ทั้งหมดล้วนเปรมปรีดิ์และเต็มไปด้วยความชื่นบานยินดี เฉลิมฉลองการมาของเราราวกับว่าทารกคนหนึ่งเพิ่งจะได้ถือกำเนิด ด้วยเสียงของเรา เราจะนำพามนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเรา นับจากนั้นเป็นต้นไป เราจะเข้าสู่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์อย่างเป็นทางการเพื่อที่พวกเขาจะได้มานมัสการเรา ด้วยสง่าราศีที่เราแผ่รัศมีและวจนะในปากของเรา เราจะทำเช่นนั้นจนมนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเราและเห็นว่าฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออก และเห็นว่าเรายังได้ลงมาสู่ ‘ภูเขามะกอกเทศ’ แห่งทิศตะวันออกเช่นกัน พวกเขาจะเห็นว่าเราได้อยู่บนแผ่นดินโลกนานมาแล้ว ไม่ใช่ในฐานะบุตรของชาวยิวอีกต่อไป แต่ในฐานะฟ้าแลบแห่งทิศตะวันออก ด้วยเหตุที่เราได้คืนชีพมานานแล้ว และได้ไปจากท่ามกลางมวลมนุษย์แล้ว และจากนั้นได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยสง่าราศีท่ามกลางมนุษย์ เราคือพระองค์ผู้ทรงได้รับการนมัสการมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนปัจจุบันนี้แล้ว และเรายังเป็นทารกที่ถูกคนอิสราเอลละทิ้งมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนปัจจุบันนี้แล้วเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งเปี่ยมพระสิริแห่งยุคปัจจุบัน! ให้ทั้งหมดนั้นจงมาอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของเราและเห็นโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเรา ได้ยินเสียงของเรา และเฝ้ามองกิจการของเรา นี่คือเจตจำนงครบถ้วนบริบูรณ์ของเรา มันคือจุดสิ้นสุดและจุดสุดยอดของแผนการของเรา รวมทั้งจุดประสงค์ของการบริหารจัดการของเรา กล่าวคือ การให้ทุกชนชาตินมัสการเรา ทุกภาษายอมรับเรา มนุษย์ทุกคนมอบความเชื่อของเขาในตัวเรา และผู้คนทุกคนอยู่ภายใต้การกะเกณฑ์โดยเรา!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวาน—การเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล)
“ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักในนามพระยาห์เวห์ เรายังเคยถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์เช่นกัน และครั้งหนึ่งผู้คนเรียกเราว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรักและความเคารพยกย่อง อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ เราไม่ใช่พระยาห์เวห์หรือพระเยซูซึ่งผู้คนได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกต่อไป เราคือพระเจ้าผู้ที่ได้กลับมาในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ที่จะนำพายุคนี้ไปสู่บทอวสาน เราคือพระเจ้าพระองค์เองซึ่งลุกขึ้นมาจากสุดปลายแผ่นดินโลก สมบูรณ์พร้อมด้วยอุปนิสัยอันครบถ้วนทั้งมวลของเรา และเต็มเปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจ เกียรติ และสง่าราศี ผู้คนไม่เคยเข้ามาร่วมสัมพันธ์กับเรา ไม่เคยได้รู้จักเรา และไม่รู้เท่าทันในอุปนิสัยของเราตลอดเวลา ตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่เคยเห็นเรา นี่คือพระเจ้าผู้ที่ทรงปรากฏต่อมนุษย์ในยุคสุดท้ายแต่ได้ทรงถูกซ่อนไว้ท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง ดุจดวงสุรีย์ที่แผดเผาและเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพและปริ่มล้นด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกพิพากษาโดยวจนะของเรา และไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางการแผดเผาของไฟ ในท้ายที่สุด ชนชาติทั้งมวลจะได้รับการอวยพรเพราะวจนะของเรา และจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นๆ เพราะวจนะของเราเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ผู้คนทั้งหมดในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายจะเห็นว่าเราคือพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้กลับมา และเห็นว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง และทุกคนจะเห็นว่าครั้งหนึ่งเราคือเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์ แต่เห็นว่าในยุคสุดท้ายเรายังได้กลายเป็นเปลวเพลิงแห่งสุริยันซึ่งเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นจุณเช่นเดียวกับองค์ตะวันแห่งความชอบธรรมซึ่งเปิดเผยทุกสรรพสิ่งด้วย นี่คืองานของเราในยุคสุดท้าย เราใช้ชื่อนี้และครองอุปนิสัยนี้เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดจะได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าที่ชอบธรรม ดวงสุรีย์ที่แผดเผา เปลวเพลิงที่ลุกโชน และเพื่อที่ทุกคนจะได้นมัสการเรา พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา เราไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และเราไม่ใช่เพียงพระผู้ไถ่ เราคือพระเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวลทั่วทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและห้วงทะเล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว)
“เมื่อเราหันหน้าพูดกับจักรวาล มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ยินเสียงเรา และในทันใดนั้นเอง ก็มองเห็นงานทั้งหมดที่เราได้ทำลงไปทั่วทั้งจักรวาล พวกที่ตั้งตนต่อต้านเจตจำนงแห่งเรา กล่าวคือ ผู้ที่ต่อต้านเราด้วยความประพฤติของมนุษย์ จะต้องตกอยู่ภายใต้การตีสอนของเรา เราจะนำเอามวลหมู่ดารามหาศาลในสวรรค์ชั้นฟ้ามาและทำให้พวกมันใหม่ และดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ก็จะถูกทำให้ใหม่เพราะเรา—ผืนฟ้าทั้งหลายจะไม่เป็นเหมือนดังที่พวกมันเคยเป็นอีกต่อไป และสิ่งต่างๆ นับหมื่นแสนบนแผ่นดินโลกจะถูกทำใหม่ ทั้งหมดจะกลายเป็นครบบริบูรณ์โดยผ่านทางวจนะของเรา ประชาชาติทั้งหลายภายในจักรวาลจะถูกแบ่งกั้นสัดส่วนใหม่และแทนที่ด้วยราชอาณาจักรของเรา เพื่อที่ประชาชาติบนแผ่นดินโลกจะหายลับไปตลอดกาล และทั้งหมดจะกลายเป็นราชอาณาจักรหนึ่งซึ่งนมัสการเรา ประชาชาติทั้งมวลแห่งแผ่นดินโลกจะถูกทำลายและยุติการดำรงอยู่ ในบรรดามนุษย์ภายในจักรวาล ทุกคนที่เป็นของมารจะถูกทำลายจนสิ้นซาก และพวกที่บูชาซาตานทั้งหมดจะคว่ำคะมำลงโดยไฟของเราที่กำลังเผาผลาญ—นั่นก็คือ ยกเว้นบรรดาผู้ที่อยู่ในกระแสตอนนี้ ทั้งหมดจะกลายเป็นเถ้าถ่าน เมื่อเราตีสอนกลุ่มชนทั้งหลาย บรรดาผู้ที่อยู่ในโลกศาสนาจะคืนสู่อาณาจักรของเรา ถูกงานของเราพิชิตในขอบข่ายที่ต่างกันไป เนื่องเพราะพวกเขาจะได้เห็นการลงมาจุติขององค์หนึ่งเดียวผู้บริสุทธิ์โดยการขี่เมฆขาวแล้ว ผู้คนทั้งหมดจะถูกแยกไปตามประเภทของพวกเขา และจะได้รับการตีสอนที่สมน้ำสมเนื้อกับการกระทำของพวกเขา ผู้คนทั้งหมดที่ได้ยืนต้านเราจะมีอันพินาศ นั่นคือ สำหรับบรรดาผู้ที่ความประพฤติของพวกเขาบนแผ่นดินโลกไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา พวกเขาจะดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกต่อไปภายใต้การปกครองของบุตรทั้งหลายของเราและประชากรของเรา ทั้งนี้ก็เพราะวิธีการที่พวกเขาได้พ้นผิดด้วยตัวพวกเขาเอง เราจะเปิดเผยตัวเราต่อกลุ่มชนนับหมื่นแสนและชนชาตินับหมื่นแสน และด้วยเสียงของเราเอง เราจะส่งเสียงก้องไปบนแผ่นดินโลก ป่าวประกาศถึงการเสร็จสิ้นงานอันยิ่งใหญ่ของเราเพื่อที่มวลมนุษย์ทั้งปวงจะได้เห็นด้วยตาของพวกเขาเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 26)
พระวจนะทุกคำ ล้วนทรงฤทธานุภาพและเปี่ยมสิทธิอำนาจ สั่นสะเทือนจิตใจผู้คน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสกับมนุษยชาติทุกคน ในฐานะที่ทรงเป็นพระผู้สร้าง สิทธิอำนาจ และพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า ถูกสำแดงอย่างชัดเจนผ่านพระวจนะ น้ำเสียงของพระวจนะ ตำแหน่งที่พระองค์ทรงดำรงอยู่ พระอุปนิสัยและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น เป็นคุณลักษณะเฉพาะของพระเจ้า จะเป็นทูตองค์ใด จะเป็นสิ่งทรงสร้างใด จะเป็นซาตานหรือวิญญาณชั่วร้ายใด ก็ไม่อาจครอบครองหรือได้ทั้งหมดนี้ได้ พระวจนะได้เปิดเผยสิทธิอำนาจอันพิเศษของพระเจ้าอย่างเต็มที่ แสดงให้เห็นอุปนิสัยที่มิอาจล่วงเกินและชอบธรรมของพระเจ้า เราได้เห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ล้วนเป็นการแสดงออกและพระสุรเสียงของพระเจ้า
วันนี้ พระวจนะของพระองค์ ในพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และวิดีโอการอ่านพระวจนะมากมาย ล้วนเข้าถึงได้ทางออนไลน์ ผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ จากหลายประเทศ และจากทุกนิกายก็กำลังพิจารณาและยอมรับพระองค์ แต่ว่า ยังมีคนมากมายในศาสนา ที่ยังยึดติดกับพระวจนะในพระคัมภีร์ ผู้ที่ยึดติดด้วยมโนคติอันหลงผิด ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาบนเมฆ พวกเขาเห็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงความจริงมากมาย แต่พวกเขากลับไม่แสวงหา พิจารณา หรือฟังพระสุรเสียง พวกเขาถึงกับไปร่วมกับศัตรูของพระคริสต์ของโลกศาสนา ตัดสิน ใส่ร้าย และกล่าวโทษพระองค์ ราวกับหัวใจของพวกเขามืดบอด ได้ยินแต่ไม่รู้ ได้เห็นแต่ไม่เข้าใจ คนพวกนี้ ไม่อาจได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แสดงว่าพวกเขาไม่ใช่ลูกแกะของพระเจ้า แต่เป็นข้าวละมานที่ถูกเปิดเผยโดยพระราชกิจในยุคสุดท้าย เป็นหญิงพรหมจารีโง่ ผู้ซึ่งจะถูกพระเจ้าทอดทิ้งและกำจัดทิ้ง และตกสู่ความวิบัติ จะเป็นหรือตายก็ยากที่จะบอกได้ หากพวกเขารอดมาได้ ก็ได้แค่เพียงรอให้องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาบนเมฆ ปรากฏให้ทุกคนเห็นหลังความวิบัติ แต่ถึงตอนนั้น เมื่อเห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ตัวเองกล่าวโทษและต้านทาน คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา พวกเขาก็จะตะลึง แต่นึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เรื่องนี้ทำให้คำเผยพระวจนะของคำวิวรณ์นี้ลุล่วงอย่างสมบูรณ์ “นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์” (วิวรณ์ 1:7)
ท้ายที่สุด มาอ่านพระวจนะอีกหนึ่งบทกันครับ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ที่ใดก็ตามที่พระเจ้าทรงปรากฏ ความจริงก็จะถูกแสดงที่นั่น และพระสุรเสียงของพระเจ้าก็จะอยู่ที่นั่น เฉพาะบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงเท่านั้นที่จะสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และเฉพาะผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะประจักษ์ในการทรงปรากฏของพระเจ้า จงปลดปล่อยมโนคติที่หลงผิดของเจ้า! จงเงียบเสียงตัวเจ้าเองและนำถ้อยคำเหล่านี้มาอ่านอย่างระมัดระวัง หากเจ้าโหยหาความจริง พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งกับเจ้าและเจ้าจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และพระวจนะของพระองค์ จงปลดปล่อยความเห็นของพวกเจ้าเกี่ยวกับ ‘เป็นไปไม่ได้’! ยิ่งผู้คนเชื่อว่าบางสิ่งเป็นไปไม่ได้มากเท่าใด ก็มีโอกาสที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้มากเท่านั้น เพราะพระปรีชาญาณของพระเจ้าทะยานสูงกว่าฟ้าสวรรค์ พระราชดำริของพระเจ้าอยู่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ และพระราชกิจของพระเจ้าอยู่เหนือขอบเขตของความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ ยิ่งบางสิ่งเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีความจริงที่สามารถค้นหาได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งบางสิ่งอยู่เลยมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์มากเท่าใด มันก็ยิ่งบรรจุน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น นี่เป็นเพราะ ไม่ว่าพระองค์จะทรงเปิดเผยพระองค์ที่ใด พระเจ้าก็ยังคงเป็นพระเจ้า และเนื้อแท้ของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลงด้วยเหตุของสถานที่หรือลักษณะของการทรงปรากฏของพระองค์… ดังนั้นให้พวกเราแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าและค้นพบการทรงปรากฏของพระองค์ในถ้อยดำรัสของพระองค์ และก้าวตามให้ทันก้าวพระบาทของพระองค์! พระเจ้าทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต พระวจนะของพระองค์และการทรงปรากฏของพระองค์ดำรงอยู่ในเวลาเดียวกัน และพระอุปนิสัยและรอยพระบาทของพระองค์เปิดกว้างต่อมวลมนุษย์ตลอดเวลา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่)
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ