คุณได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือยัง?
สวัสดีพี่น้องชายหญิง พวกเราโชคดีมากที่ได้มาชุมนุมร่วมกัน—ขอบคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า! พวกเราทุกคนคือผู้ที่ชอบฟังพระวจนะของพระเจ้าและถวิลหาที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันเล็กน้อยถึงคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าและพูดคุยถึงความเข้าใจต่างๆ เกี่ยวกับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่นิยามการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้อย่างแคบๆ ว่าพระองค์จะเสด็จลงมาบนหมู่เมฆ แต่ตามคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าในพระคัมภีร์ระบุว่า พระองค์จะทรงกลับมาและดำรัสพระวจนะในฐานะของบุตรมนุษย์ องค์พระผู้เป็นเจ้าเผยพระวจนะถึงการเสด็จมา—หรือการทรงปรากฏ—ของบุตรมนุษย์ไว้ในหลายโอกาส และการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็กล่าวอ้างถึงการที่พระเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง นี่เท่านั้นที่เป็นการตีความที่บริสุทธิ์ที่สุด และแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกคุณจะได้ยินการตีความแบบนี้ในคริสตจักรทางศาสนา การเสด็จมา—หรือการทรงปรากฏ—ของบุตรมนุษย์คือความล้ำลึกอันยิ่งใหญ่ ความล้ำลึกที่จะไม่มีใครรู้หากไม่ได้ต้อนรับการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระองค์มาแล้ว
มีคำเผยพระวจนะเกี่ยวกับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่มากมายในพระคัมภีร์ แต่ส่วนใหญ่มาจากมนุษย์ เช่น อัครทูตหรือผู้เผยพระวจนะ หรือจากทูตสวรรค์ คำเผยพระวจนะที่ผู้คนมักจะหยิบยกมาคือส่วนที่มาจากมนุษย์ และดังนั้นพวกเขาจึงถวิลหาที่จะเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาบนหมู่เมฆอย่างเปิดเผย แต่ที่จริงแล้ว การทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นความลับที่ไม่เคยถูกแพร่งพราย องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลาแม้แต่บรรดาทูตแห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว” (มัทธิว 24:36) ในเมื่อไม่มีใครรู้วันหรือเวลาดังกล่าว ไม่แม้แต่ทูตสวรรค์ผู้ประเสริฐหรือพระบุตร คำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่กล่าวโดยมนุษย์หรือทูตสวรรค์จะถูกต้องได้จริงหรือ? ไม่น่าจะเป็นไปได้ และดังนั้น ถ้าพวกเราต้องการจะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราก็ต้องถือตามคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าพระองค์เอง นั่นเป็นความหวังเดียวของพวกเราในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เฝ้ารอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาอย่างเปิดเผยบนหมู่เมฆก็ไม่พ้นต้องประสบกับความวิบัติ ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของตน องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น” (มัทธิว 24:27) “เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน” (ลูกา 17:24-25) “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล… และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น 16:12-13) “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20) “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” (วิวรณ์ 2:7) “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27) พวกเราสามารถมองเห็นอะไรบ้างในคำเผยพระวจนะเหล่านี้ขององค์พระเยซูเจ้า? พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าบอกพวกเราอย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้ายในฐานะบุตรมนุษย์ บุตรมนุษย์ที่จริงแล้วคือการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และพระองค์จะดำรัสพระวจนะ แสดงความจริงมากมาย และนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความจริงทั้งมวลเป็นสำคัญ พระราชกิจใดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้สำเร็จลุล่วงด้วยการเสด็จมาและแสดงความจริง? ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งยิ่งพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายด้วยการแสดงความจริง เช่นนั้นพวกเราจะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร? ในเมื่อพระองค์เสด็จมาในฐานะบุตรมนุษย์ และบุตรมนุษย์มีรูปลักษณ์ที่ธรรมดาสามัญอย่างสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติให้เห็นเลย ก็ย่อมจะไม่มีใครสามารถมองเห็นว่านี่คือการทรงปรากฏของพระเจ้าโดยดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของพระองค์เท่านั้น กุญแจสำคัญคือการฟังพระดำรัสของบุตรมนุษย์และดูว่านี่คือพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่ การต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าจะสำเร็จลุล่วงก็ด้วยการตระหนักรู้พระสุรเสียงของพระเจ้าและเปิดประตูให้แก่พระองค์ ถ้าพระองค์ดำรัสความจริงและผู้คนได้ยิน แต่ไม่ตระหนักรู้พระสุรเสียงของพระองค์ พวกเขาก็จะไม่มีหนทางต้อนรับพระองค์ มีการเผยพระวจนะซ้ำๆ ในหนังสือวิวรณ์ว่า “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” (วิวรณ์ บทที่ 2, 3) มีคำกล่าวเช่นนี้ทั้งสิ้นเจ็ดครั้ง ด้วยเหตุนี้เพื่อที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด นี่เป็นหนทางเดียวที่จะต้อนรับพระองค์ ทั้งนี้พวกคุณรู้ไหมว่ากุญแจสำคัญของการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าคืออะไร? ใช่แล้ว—เพื่อที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราต้องเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าอย่างเต็มที่ และ “พระสุรเสียง” นี้อ้างถึงความจริงมากมายที่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมาได้ทรงแสดงไว้ ความจริงทั้งมวลที่ผู้คนไม่เคยได้ยินมาก่อนและสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยมีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เมื่อหญิงพรหมจารีมีปัญญาได้ยินว่าพระวจนะที่บุตรมนุษย์แสดงล้วนเป็นความจริง ล้วนเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า ก็ยินดีปรีดาอย่างท่วมท้น พวกเธอต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่สามารถแสดงความจริงได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นคือหนทาง ความจริง และชีวิต ผู้ใดก็ตามที่ได้ฟังพระวจนะที่บุตรมนุษย์แสดง แต่ยังคงเฉยเมยหรือมองข้ามพระวจนะเหล่านั้น หรือปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง ก็คือหญิงพรหมจารีโง่ที่จะถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าทอดทิ้ง พวกเขาจะตกอยู่ในมหาวิบัติ ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของตนอย่างแน่นอน ในเวลานี้โลกศาสนายังไม่ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขากลับประสบความวิบัติ ตำหนิและปฏิเสธพระเจ้า อยู่ในสภาวะสิ้นไร้หนทางตลอดเวลา ส่วนผู้ที่เป็นแกะของพระเจ้าย่อมใฝ่ใจแสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริงหลังจากที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า เปิดโอกาสให้พวกเขาต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นพวกเราจึงต้องชัดเจนว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงปรากฏในฐานะบุตรมนุษย์และแสดงความจริงทั้งมวล และกุญแจสำคัญสำหรับพวกเราในการแสวงหาการทรงปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็คือการค้นหาว่าความจริงทั้งหมดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงไว้นี้อยู่ที่ใด คือการค้นหาคริสตจักรที่พระเจ้ากำลังตรัสอยู่ภายใน ทันทีที่คุณค้นพบความจริงที่บุตรมนุษย์ทรงแสดงไว้ คุณก็จะพบการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าด้วยการติดตามพระสุรเสียงนั้นไปถึงต้นทางได้ ทันทีที่คุณค้นพบว่าความจริงทั้งมวลที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงไว้ก็คือความจริงที่จะชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด คุณก็จะยอมรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจากนั้นคุณย่อมจะได้ต้อนรับพระองค์แล้ว นี่คือหนทางที่ดีที่สุดและเป็นหนทางที่เรียบง่ายที่สุดที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีความจำเป็นต้องยืนจ้องท้องฟ้า อีกทั้งไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปยืนอยู่บนยอดเขาเพื่อต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้ายามที่พระองค์เสด็จลงมาบนหมู่เมฆ และยิ่งไม่จำเป็นต้องเฝ้าอธิษฐานทั้งวันทั้งคืน หรือถืออดอาหารและอธิษฐาน พวกคุณจำเป็นต้องเฝ้ามองและรอเท่านั้น อย่าพักที่จะสืบเสาะเพื่อให้ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า
มาถึงจุดนี้ พวกคุณบางคนอาจจะนึกสงสัยว่า เช่นนั้นแล้วพวกเราจะตระหนักรู้ว่าสิ่งที่พวกเราได้ยินคือพระสุรเสียงของพระเจ้าได้อย่างไร? ที่จริงแล้วการได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้านั้นไม่ยากเลย องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” (มัทธิว 25:6) เมื่อไรก็ตามที่พวกคุณได้ยินใครบางคนให้คำพยานถึงการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า หรือให้คำพยานว่าพระองค์ได้ทรงแสดงความจริงมากมาย คุณต้องตรวจสอบเรื่องนี้ทันทีและดูว่าพระวจนะที่พูดกันว่าพระเจ้าตรัสนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ถ้าพระวจนะเหล่านั้นเป็นความจริง คุณก็ควรยอมรับพระวจนะ เพราะแกะของพระเจ้าย่อมสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้แล้ว และไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลหนึ่งมีการศึกษาเท่าใด พวกเขารู้พระคัมภีร์ดีเพียงไร หรือขึ้นอยู่กับความลึกซึ้งในประสบการณ์ของพวกเขา ในฐานะคริสตชน พวกเรารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังพระวจนะมากมายที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้? ต่อให้ไม่มีประสบการณ์หรือความเข้าใจใดๆ ในพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทันทีที่พวกเราได้ฟังพระวจนะเหล่านั้น พวกเราก็รู้สึกได้ว่าพระวจนะเหล่านั้นคือความจริง ว่าพระวจนะมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ พวกเรารับรู้ได้ว่าพระวจนะเหล่านั้นกินใจและล้ำลึก อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์—แรงบันดาลใจและการหยั่งรู้มีบทบาทเช่นนี้เอง ไม่ว่าพวกเราจะสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนหรือไม่ ความรู้สึกนี้ก็ถูกต้อง และเพียงพอที่จะแสดงว่าถ้าบุคคลหนึ่งมีหัวใจและดวงจิต พวกเขาจะสามารถรับรู้ได้ถึงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระวจนะจากพระเจ้า นี่คือลักษณะของการได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า เพื่อที่จะพูดถึงเรื่องนี้ให้ลึกลงไปอีกสักนิด พระวจนะของพระเจ้ามีลักษณะอื่นใดอีกบ้าง? พระวจนะของพระเจ้าให้การบำรุงเลี้ยงชีวิตของพวกเรา พระวจนะเปิดเผยความล้ำลึก เริ่มต้นยุคใหม่ และสิ้นสุดยุคเก่า ดังที่องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดงความจริงได้ทุกที่ทุกเวลาเพื่อเลี้ยงดู ให้น้ำ และจัดหาให้แก่ผู้คน องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเปิดเผยความล้ำลึกของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ นำเส้นทางแห่งการกลับใจเพื่อเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์มาให้มนุษยชาติ เริ่มต้นยุคพระคุณ สิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ และสำเร็จลุล่วงพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์อีกด้วย นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถสัมฤทธิ์ได้ ย่อมเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? ดังนั้นแล้ว ทุกวันนี้จึงมีบุตรมนุษย์ที่ดำรัสพระวจนะมานานหลายปี แสดงความจริงมากมายนัก มีผู้คนมากมายที่หลังจากอ่านพระวจนะเหล่านี้ก็รู้สึกว่านี่คือพระดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า และพวกเขาเกิดความแน่ใจว่าบุตรมนุษย์ที่กำลังทรงแสดงความจริงอยู่นี้ก็คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในเนื้อหนัง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงทั้งมวลที่จำเป็นเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมนุษย์ให้รอด ไขความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้า และกำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงเริ่มยุคราชอาณาจักรและสิ้นสุดยุคพระคุณ ทุกคนอยากฟังพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้ากันไหม? พวกเรามาอ่านพระดำรัสของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันสักสองสามบทตอนเถิด
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักในนามพระยาห์เวห์ เรายังเคยถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์เช่นกัน และครั้งหนึ่งผู้คนเรียกเราว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรักและความเคารพยกย่อง อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ เราไม่ใช่พระยาห์เวห์หรือพระเยซูซึ่งผู้คนได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกต่อไป เราคือพระเจ้าผู้ที่ได้กลับมาในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ที่จะนำพายุคนี้ไปสู่บทอวสาน เราคือพระเจ้าพระองค์เองซึ่งลุกขึ้นมาจากสุดปลายแผ่นดินโลก สมบูรณ์พร้อมด้วยอุปนิสัยอันครบถ้วนทั้งมวลของเรา และเต็มเปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจ เกียรติ และสง่าราศี ผู้คนไม่เคยเข้ามาร่วมสัมพันธ์กับเรา ไม่เคยได้รู้จักเรา และไม่รู้เท่าทันในอุปนิสัยของเราตลอดเวลา ตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่เคยเห็นเรา นี่คือพระเจ้าผู้ที่ทรงปรากฏต่อมนุษย์ในยุคสุดท้ายแต่ได้ทรงถูกซ่อนไว้ท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง ดุจดวงสุรีย์ที่แผดเผาและเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพและปริ่มล้นด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกพิพากษาโดยวจนะของเรา และไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางการแผดเผาของไฟ ในท้ายที่สุด ชนชาติทั้งมวลจะได้รับการอวยพรเพราะวจนะของเรา และจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นๆ เพราะวจนะของเราเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ผู้คนทั้งหมดในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายจะเห็นว่าเราคือพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้กลับมา และเห็นว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง และทุกคนจะเห็นว่าครั้งหนึ่งเราคือเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์ แต่เห็นว่าในยุคสุดท้ายเรายังได้กลายเป็นเปลวเพลิงแห่งสุริยันซึ่งเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นจุณเช่นเดียวกับองค์ตะวันแห่งความชอบธรรมซึ่งเปิดเผยทุกสรรพสิ่งด้วย นี่คืองานของเราในยุคสุดท้าย เราใช้ชื่อนี้และครองอุปนิสัยนี้เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดจะได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าที่ชอบธรรม ดวงสุรีย์ที่แผดเผา เปลวเพลิงที่ลุกโชน และเพื่อที่ทุกคนจะได้นมัสการเรา พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา เราไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และเราไม่ใช่เพียงพระผู้ไถ่ เราคือพระเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวลทั่วทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและห้วงทะเล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว) “ตลอดทั่วทั้งจักรวาลเรากำลังทำงานของเรา และในทิศตะวันออก เสียงกระแทกสนั่นราวฟ้าร้องดังขึ้นอย่างไม่รู้จบ ทำให้ชนชาติทั้งปวงและคณะนิกายทั้งหมดสั่นสะเทือน เป็นเสียงของเรานั่นเองที่ได้นำทางมนุษย์ทั้งหมดเข้ามาสู่ปัจจุบัน เราทำให้มนุษย์ทั้งหมดถูกพิชิตด้วยเสียงของเรา ตกลงสู่กระแสนี้ และนบนอบต่อหน้าเรา ด้วยเหตุที่เราได้เรียกคืนสง่าราศีของเราจากแผ่นดินโลกทั้งหมดและได้ให้สง่าราศีนั้นปรากฏขึ้นใหม่ในทิศตะวันออกนานมาแล้ว ใครบ้างไม่ถวิลหาที่จะได้เห็นสง่าราศีของเรา? ใครบ้างไม่รอคอยการกลับมาของเราอย่างกระวนกระวายใจ? ใครบ้างไม่กระหายการปรากฏอีกครั้งของเรา? ใครบ้างไม่คะนึงหาความดีงามของเรา? ใครบ้างจะไม่มาหาความสว่าง? ใครบ้างจะไม่เฝ้ามองความมั่งคั่งของคานาอัน? ใครบ้างไม่ถวิลหาการกลับมาของพระผู้ไถ่? ใครบ้างไม่ชื่นชมพระองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในฤทธานุภาพ? เสียงของเราจะแผ่ไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก เราจะเผชิญหน้าประชากรที่เราเลือกสรรและกล่าววจนะแก่พวกเขาเพิ่มเติมอีก เรากล่าววจนะของเราต่อทั้งจักรวาลและต่อมวลมนุษย์ ราวกับเสียงฟ้าร้องอันเปี่ยมพละกำลังที่ทำให้ภูเขาและแม่น้ำสั่นสะเทือน ดังนั้นวจนะในปากของเราจึงได้กลายเป็นขุมทรัพย์ของมนุษย์ และมนุษย์ทั้งหมดก็ทะนุถนอมวจนะของเรา ฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออกตลอดทางไปจนถึงทิศตะวันตก วจนะของเราเป็นวจนะที่มนุษย์ไม่เต็มใจที่จะละทิ้งไป และในเวลาเดียวกันก็พบว่าวจนะเหล่านั้นยากหยั่งถึง แต่ก็ชื่นบานในถ้อยคำเหล่านั้นอย่างหาใดปาน มนุษย์ทั้งหมดล้วนเปรมปรีดิ์และเต็มไปด้วยความชื่นบานยินดี เฉลิมฉลองการมาของเราราวกับว่าทารกคนหนึ่งเพิ่งจะได้ถือกำเนิด ด้วยเสียงของเรา เราจะนำพามนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเรา นับจากนั้นเป็นต้นไป เราจะเข้าสู่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์อย่างเป็นทางการเพื่อที่พวกเขาจะได้มานมัสการเรา ด้วยสง่าราศีที่เราแผ่รัศมีและวจนะในปากของเรา เราจะทำเช่นนั้นจนมนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเราและเห็นว่าฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออก และเห็นว่าเรายังได้ลงมาสู่ ‘ภูเขามะกอกเทศ’ แห่งทิศตะวันออกเช่นกัน พวกเขาจะเห็นว่าเราได้อยู่บนแผ่นดินโลกนานมาแล้ว ไม่ใช่ในฐานะบุตรของชาวยิวอีกต่อไป แต่ในฐานะฟ้าแลบแห่งทิศตะวันออก ด้วยเหตุที่เราได้คืนชีพมานานแล้ว และได้ไปจากท่ามกลางมวลมนุษย์แล้ว และจากนั้นได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยสง่าราศีท่ามกลางมนุษย์ เราคือพระองค์ผู้ทรงได้รับการนมัสการมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนปัจจุบันนี้แล้ว และเรายังเป็นทารกที่ถูกคนอิสราเอลละทิ้งมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนปัจจุบันนี้แล้วเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งเปี่ยมพระสิริแห่งยุคปัจจุบัน! ให้ทั้งหมดนั้นจงมาอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของเราและเห็นโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเรา ได้ยินเสียงของเรา และเฝ้ามองกิจการของเรา นี่คือเจตจำนงครบถ้วนบริบูรณ์ของเรา มันคือจุดสิ้นสุดและจุดสุดยอดของแผนการของเรา รวมทั้งจุดประสงค์ของการบริหารจัดการของเรา กล่าวคือ การให้ทุกชนชาตินมัสการเรา ทุกภาษายอมรับเรา มนุษย์ทุกคนมอบความเชื่อของเขาในตัวเรา และผู้คนทุกคนอยู่ภายใต้การกะเกณฑ์โดยเรา!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวาน—การเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล) “เมื่อเราหันหน้าพูดกับจักรวาล มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ยินเสียงเรา และในทันใดนั้นเอง ก็มองเห็นงานทั้งหมดที่เราได้ทำลงไปทั่วทั้งจักรวาล พวกที่ตั้งตนต่อต้านเจตจำนงแห่งเรา กล่าวคือ ผู้ที่ต่อต้านเราด้วยความประพฤติของมนุษย์ จะต้องตกอยู่ภายใต้การตีสอนของเรา เราจะนำเอามวลหมู่ดารามหาศาลในสวรรค์ชั้นฟ้ามาและทำให้พวกมันใหม่ และดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ก็จะถูกทำให้ใหม่เพราะเรา—ผืนฟ้าทั้งหลายจะไม่เป็นเหมือนดังที่พวกมันเคยเป็นอีกต่อไป และสิ่งต่างๆ นับหมื่นแสนบนแผ่นดินโลกจะถูกทำใหม่ ทั้งหมดจะกลายเป็นครบบริบูรณ์โดยผ่านทางวจนะของเรา ประชาชาติทั้งหลายภายในจักรวาลจะถูกแบ่งกั้นสัดส่วนใหม่และแทนที่ด้วยราชอาณาจักรของเรา เพื่อที่ประชาชาติบนแผ่นดินโลกจะหายลับไปตลอดกาล และทั้งหมดจะกลายเป็นราชอาณาจักรหนึ่งซึ่งนมัสการเรา ประชาชาติทั้งมวลแห่งแผ่นดินโลกจะถูกทำลายและยุติการดำรงอยู่ ในบรรดามนุษย์ภายในจักรวาล ทุกคนที่เป็นของมารจะถูกทำลายจนสิ้นซาก และพวกที่บูชาซาตานทั้งหมดจะคว่ำคะมำลงโดยไฟของเราที่กำลังเผาผลาญ—นั่นก็คือ ยกเว้นบรรดาผู้ที่อยู่ในกระแสตอนนี้ ทั้งหมดจะกลายเป็นเถ้าถ่าน เมื่อเราตีสอนกลุ่มชนทั้งหลาย บรรดาผู้ที่อยู่ในโลกศาสนาจะคืนสู่อาณาจักรของเรา ถูกงานของเราพิชิตในขอบข่ายที่ต่างกันไป เนื่องเพราะพวกเขาจะได้เห็นการลงมาจุติขององค์หนึ่งเดียวผู้บริสุทธิ์โดยการขี่เมฆขาวแล้ว ผู้คนทั้งหมดจะถูกแยกไปตามประเภทของพวกเขา และจะได้รับการตีสอนที่สมน้ำสมเนื้อกับการกระทำของพวกเขา ผู้คนทั้งหมดที่ได้ยืนต้านเราจะมีอันพินาศ นั่นคือ สำหรับบรรดาผู้ที่ความประพฤติของพวกเขาบนแผ่นดินโลกไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา พวกเขาจะดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกต่อไปภายใต้การปกครองของบุตรทั้งหลายของเราและประชากรของเรา ทั้งนี้ก็เพราะวิธีการที่พวกเขาได้พ้นผิดด้วยตัวพวกเขาเอง เราจะเปิดเผยตัวเราต่อกลุ่มชนนับหมื่นแสนและชนชาตินับหมื่นแสน และด้วยเสียงของเราเอง เราจะส่งเสียงก้องไปบนแผ่นดินโลก ป่าวประกาศถึงการเสร็จสิ้นงานอันยิ่งใหญ่ของเราเพื่อที่มวลมนุษย์ทั้งปวงจะได้เห็นด้วยตาของพวกเขาเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 26)
หลังจากที่ฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันไปบ้างแล้ว ตอนนี้ทุกคนรู้สึกอย่างไร? นี่คือพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่? พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทุกประโยคมีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ และสั่นสะเทือนผู้คนไปถึงแก่น มีใครนอกเหนือจากพระเจ้าที่สามารถตรัสกับมนุษยชาติทั้งปวงได้? ใครจะสามารถแสดงน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้? ใครจะสามารถเผยให้เห็นแผนการและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าสำหรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระองค์ได้อย่างแจ่มแจ้ง รวมทั้งเผยจุดจบและบั้นปลายของมวลมนุษย์ล่วงหน้าได้? ใครจะสามารถทำให้กฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งจักรวาลได้? นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครสามารถทำสิ่งเหล่านี้ พระดำรัสที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีถึงมวลมนุษยชาติเปิดโอกาสให้พวกเราได้รู้สึกถึงสิทธิอำนาจและอานุภาพแห่งพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระดำรัสจากพระเจ้าโดยตรง เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าพระองค์เอง! ด้วยพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็เหมือนมีพระเจ้าทรงยืนตระหง่านอยู่บนสวรรค์ ทอดพระเนตรและตรัสแก่โลกทั้งใบ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังตรัสแก่มนุษยชาติจากตำแหน่งของพระองค์ที่ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้าง ทรงเผยให้มนุษยชาติเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและเปี่ยมบารมีของพระเจ้าที่จะไม่ทนต่อการล่วงเกินใดๆ แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่เข้าใจความจริงภายในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หรือมีประสบการณ์หรือความเข้าใจที่แท้จริงใดๆ ในตอนที่พวกเขาได้ฟังพระวจนะเป็นครั้งแรก ทุกคนที่เป็นแกะของพระเจ้าย่อมจะรู้สึกอยู่ดีว่าพระวจนะทุกคำจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เปี่ยมด้วยฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ และย่อมจะแน่ใจว่านี่คือพระสุรเสียงของพระเจ้า และมาจากพระวิญญาณของพระเจ้าโดยตรง นี่ทำให้พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27) ลุล่วง
ตอนนี้พวกเราได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและได้เห็นความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงแล้ว ดังนั้นพระราชกิจใดที่พระเจ้าเสด็จมาทำด้วยการทรงแสดงความจริง? พระองค์เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยคำเผยพระวจนะจากพระโอษฐ์ขององค์พระเยซูเจ้าเอง ความว่า “เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร” (ยอห์น 5:22) “และทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะทำการพิพากษาเพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์” (ยอห์น 5:27) “เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย” (ยอห์น 12:47-48) “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล… และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น 16:12-13) และพวกเราไม่อาจลืมบทที่ 4 ข้อที่ 17 ในหนังสือเล่มแรกของเปโตรที่ว่า “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า” คำเผยพระวจนะเหล่านี้ล้วนชัดเจนมาก การพิพากษาในยุคสุดท้ายจะเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า และจะดำเนินไปในหมู่คนทุกผู้ที่ยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าแล้ว นั่นคือ บุตรมนุษย์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์จะทรงแสดงความจริงมากมายบนแผ่นดินโลกเพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์ นำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความจริงทั้งมวล นี่คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำในยุคสุดท้าย พระราชกิจที่พระเจ้าทรงวางแผนมานานแล้ว บัดนี้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ บุตรมนุษย์ในเนื้อหนัง ได้เสด็จมาถึงนานแล้ว ทรงแสดงความจริงทั้งปวงเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและเพื่อความรอดของมนุษย์ ทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน เขย่าทุกศาสนาและทุกภาคส่วนให้สั่นคลอน มีผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังสนใจพระสุรเสียงของพระเจ้า แสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้ทรงเปิดเผยเพียงความล้ำลึกใหญ่ๆ ทั้งปวงในแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้าและตรัสบอกพวกเราถึงความล้ำลึกของความจริง เช่น จุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการบริหารจัดการมวลมนุษย์ของพระองค์ วิธีดำเนินพระราชกิจสามระยะของพระองค์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งต่างๆ และเรื่องจริงเบื้องหลังพระคัมภีร์เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังได้ทรงเปิดเผยความจริงของการที่มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเราที่ต่อต้านพระเจ้า พลางทรงชี้ให้เห็นถึงเส้นทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อให้พวกเราละทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนเองและได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์อีกด้วย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังได้ทรงเปิดเผยจุดจบสำหรับคนแต่ละประเภท บั้นปลายสุดท้ายที่แท้จริงของผู้คน ทรงเผยว่าพระเจ้าจะทรงสิ้นสุดยุคนี้อย่างไร และราชอาณาจักรของพระคริสต์จะปรากฏขึ้นอย่างไร ความล้ำลึกทุกประการของความจริงได้รับการเปิดเผยแก่พวกเราหมดแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ดำรัสพระวจนะนับล้าน และพระวจนะเหล่านี้คือความจริงทั้งมวลที่ทรงใช้พิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์ นี่คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำในยุคสุดท้าย นี่คือพระราชกิจขั้นตอนหนึ่งที่กระทำผ่านทางพระวจนะเพียงอย่างเดียวเพื่อชำระมนุษยชาติให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดอย่างถ้วนทั่ว
เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงใช้ความจริงเพื่อทำให้พระราชกิจแห่งการพิพากษาเสร็จสมบูรณ์อย่างไร? มาดูกันว่าพระวจนะของพระองค์กล่าวไว้เช่นไร พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระราชกิจแห่งการพิพากษาคือพระราชกิจของพระเจ้าเอง ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว พระเจ้าจึงต้องทรงพระราชกิจนี้ด้วยพระองค์เอง มนุษย์ไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้ เนื่องจากการพิพากษาคือการใช้ความจริงเพื่อครอบครองมนุษยชาติ จึงไม่มีคำถามเลยว่าพระเจ้าจะยังคงทรงปรากฏในภาพลักษณ์ที่เป็นมนุษย์เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจนี้ท่ามกลางมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายจะทรงใช้ความจริงเพื่อสั่งสอนผู้คนทั่วโลกและทำให้ความจริงทั้งหมดเป็นที่รู้จักของพวกเขา นี่คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง) “พระราชกิจของพระเจ้าในการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งปัจจุบันคือการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ผ่านการตีสอนและการพิพากษาเป็นหลัก โดยการก่อร่างขึ้นบนรากฐานนี้ พระองค์ทรงนำความจริงมาสู่มนุษย์มากขึ้นและชี้ให้เขาเห็นหนทางแห่งการฝึกฝนปฏิบัติที่มากขึ้น ส่งผลให้สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของพระองค์ในการพิชิตมนุษย์และช่วยเขาให้รอดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาเอง นี่คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพระราชกิจของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักร” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)
หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วก็ควรจะชัดเจนว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าโดยหลักแล้วสำเร็จลงด้วยการแสดงความจริง ใช้ความจริงมาพิพากษา ชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด และช่วยมนุษย์ให้รอด นั่นคือ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงชำระความเสื่อมทรามของมนุษยชาติให้สะอาดผ่านทางพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ ทรงช่วยคนกลุ่มหนึ่งให้รอดและทำให้พวกเขาเพียบพร้อม สร้างกลุ่มของผู้ที่มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับพระเจ้า ซึ่งก็คือผลแห่งแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้า นี่คือจุดที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาของยุคสุดท้ายมุ่งเน้น! นี่คือสาเหตุที่พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้ทรงแสดงความจริงตั้งแต่พระองค์เสด็จมา ทรงเปิดโปงและพิพากษาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกประเภทที่ผู้คนมี พระองค์ยังได้ทรงชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเหล่านั้นด้วยการตัดแต่งและจัดการพวกเรา ด้วยการทดสอบและถลุงพวกเรา นี่ย่อมแก้ไขต้นเหตุแห่งความบาปของมนุษย์ เปิดโอกาสให้พวกเราละทิ้งบาปอย่างหมดจด เป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตาน และสามารถนบนอบและนมัสการพระเจ้าได้ ถึงจุดนี้บางคนอาจจะสับสนอยู่บ้าง ด้วยคิดว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงไถ่มวลมนุษย์แล้ว ดังนั้นทำไมพระเจ้ายังจะต้องแสดงความจริงในยุคสุดท้ายเพื่อพิพากษามวลมนุษย์อีก? นี่เป็นเพราะองค์พระเยซูเจ้าเพียงทรงพระราชกิจแห่งการไถ่เท่านั้น ซึ่งแปลว่าความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้านำการอภัยบาปมาให้ หรือหมายถึงการสร้างความชอบธรรมด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว ซึ่งทำให้ผู้คนมีคุณสมบัติที่จะมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เข้าสนิทกับพระเจ้า และชื่นชมพระคุณและพรจากพระองค์ อย่างไรก็ตาม บทบาทขององค์พระเยซูเจ้าในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาปเพียงแค่เปิดโอกาสให้เกิดการอภัยบาปแก่มนุษยชาติเท่านั้น ไม่ได้แก้ไขปัญหาที่รากเหง้าแห่งความบาปของมนุษย์โดยสมบูรณ์ ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริง นี่คือสาเหตุที่ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในยุคพระคุณยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า ต่อให้บาปของมวลมนุษย์ได้รับการอภัยแล้ว พวกเราก็ยังคงทำบาปอยู่ตลอดเวลา พวกเราไม่อาจหักห้ามใจได้ และแม้ว่าพวกเราจะถวิลหาการละทิ้งบาปกันขนาดไหน พวกเราก็ไม่สามารถทำได้ พวกเราดำเนินชีวิตด้วยการทำบาปในตอนกลางวัน และสารภาพในตอนกลางคืน นี่คือสาเหตุที่องค์พระเยซูเจ้าเผยพระวจนะไว้ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล… และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น 16:12-13) นี่กล่าวถึงพระราชกิจพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายที่องค์พระเยซูเจ้าจะทรงทำเมื่อพระองค์เสด็จมาอีกครั้ง ชำระมนุษย์ให้สะอาดจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาและแก้ไขรากเหง้าแห่งความบาปของพวกเขาให้หมดสิ้น นี่คือวิธีที่ผู้คนจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยบริบูรณ์ กล่าวได้ว่า ผู้ที่ได้รับการไถ่จากองค์พระเยซูเจ้าเท่านั้น ไม่มีประสบการณ์กับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของยุคสุดท้าย ย่อมจะไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากตระหนักรู้ว่าการกระทำใดของพวกเขาเป็นบาป พวกเขาไม่อาจมองเห็นต้นเหตุที่เป็นรากเหง้าแห่งความบาปของมนุษย์ได้ นั่นคือ พวกเขาไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติเยี่ยงซาตานและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของมนุษย์ได้ และยิ่งไม่สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านั้น หนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความบาปของมนุษย์ ก็คือการมีประสบการณ์กับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่ มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้ เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า ในความจริง ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการพิชิตชัยตลอดจนช่วงระยะที่สองในพระราชกิจแห่งความรอด โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะนี่เอง มนุษย์จึงมาถึงการได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า และโดยผ่านทางการใช้พระวจนะถลุง พิพากษา และเปิดเผยนี่เอง ความไม่บริสุทธิ์ มโนคติที่หลงผิด เหตุจูงใจ และความทะเยอทะยานของปัจเจกบุคคลภายในหัวใจมนุษย์จึงถูกเผยอย่างสมบูรณ์ สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่… ไม่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะกลับกลายเป็นตระหนักรู้บาปทั้งหลายของเขาเอง เขาไม่มีหนทางที่จะตระหนักได้ถึงธรรมชาติอันหยั่งรากลึกของตัวเขาเอง และเขาต้องพึ่งพาการพิพากษาโดยพระวจนะ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้ เฉพาะเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถค่อยๆ ถูกเปลี่ยนแปลงจากจุดนี้เป็นต้นไป” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)) “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) พระเจ้าพระองค์เองทรงบังเกิดในรูปของเนื้อหนังเพื่อเสด็จมาทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา แสดงความจริงมากมายยิ่ง และพระองค์กำลังทรงเปิดโปงและพิพากษาผู้คนในระยะยาว นี่เป็นหนทางเดียวที่ผู้คนจะสามารถมองเห็นความจริงแห่งความเสื่อมทรามของตนและตระหนักรู้ธรรมชาติและแก่นแท้ของตนเองได้อย่างชัดเจน ผ่านทางการพิพากษานี้ ผู้คนย่อมจะมองเห็นความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระเจ้าด้วย และเกิดความเคารพพระเจ้าด้วยเหตุนี้ นี่เป็นหนทางเดียวที่พวกเราจะสามารถค่อยๆ ละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริงได้ สามารถกล่าวได้ว่าหนทางเดียวที่จะสัมฤทธิ์สิ่งนี้คือการที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงแสดงความจริงเพื่อดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษา นี่คือสาเหตุที่การดำรัสพระวจนะและใช้ความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือกุญแจที่สำคัญอย่างยิ่ง จำเป็นอย่างยิ่ง และมีความหมายอย่างยิ่ง!
กุญแจสำคัญของการที่ผู้เชื่อจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์และมีบั้นปลายที่ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถต้อนรับการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าได้หรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเด็นสำคัญจึงเป็นว่าคนคนหนึ่งสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่ ผู้คนมากมายเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาตลอดชีวิต แต่ก็เข้าสู่วัยสนธยาโดยไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือเคยต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย แปลว่าความพยายามทั้งหมดของพวกเขาสูญเปล่า นี่คือสาเหตุที่การสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าเป็นกุญแจสำคัญที่จะตัดสินว่าคนคนหนึ่งสามารถได้รับความรอดโดยสมบูรณ์และมีบั้นปลายที่ดีได้หรือไม่ หลายคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และยอมรับว่าพระวจนะเหล่านี้คือความจริง แต่ก็ยอมรับไม่ได้อยู่ดีว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา นี่เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างแท้จริง และเป็นผลมาจากความโง่เขลาและมืดบอดของมนุษย์ ผู้ที่ไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมไม่แคล้วที่จะตกอยู่ในความวิบัติ ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของตนอย่างแน่นอน
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อเริ่มต้นยุคใหม่ เพื่อเปลี่ยนวิถีทางที่พระองค์ทรงใช้ปฏิบัติงาน และเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของทั้งยุค นี่คือหลักการซึ่งพระเจ้าทรงใช้ปฏิบัติงานในยุคพระวจนะ พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อพูดจากมุมมองที่ต่างออกไป เพื่อที่มนุษย์อาจได้เห็นพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้ทรงเป็นพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และอาจสามารถมองเห็นพระปรีชาญาณและความมหัศจรรย์ของพระองค์ พระราชกิจเช่นนั้นทำไปเพื่อให้สัมฤทธิ์เป้าหมายได้ดียิ่งขึ้นในการพิชิตมนุษย์ การทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และการขับมนุษย์ออกไป ซึ่งเป็นความหมายที่แท้จริงของการใช้พระวจนะเพื่อปฏิบัติพระราชกิจในยุคพระวจนะ โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ ผู้คนจึงได้มารู้จักกับพระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า แก่นแท้ของมนุษย์ และสิ่งที่มนุษย์ควรเข้าสู่ โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ พระราชกิจที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะทำในยุคพระวจนะจึงถูกนำพาไปสู่การบังเกิดผลโดยครบถ้วนบริบูรณ์ โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ ผู้คนได้ถูกเปิดโปง ถูกขับออกไป และถูกทดสอบ ผู้คนได้เห็นพระวจนะของพระเจ้า ได้ยินพระวจนะเหล่านี้ และระลึกรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของพระวจนะเหล่านี้ ผลก็คือ พวกเขาได้มาเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า ในฤทธานุภาพสูงสุดและพระปรีชาญาณของพระเจ้า รวมทั้งในความรักของพระเจ้าที่มีให้กับมนุษย์ และความปรารถนาของพระองค์ที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด คำว่า ‘พระวจนะ’ อาจฟังดูเรียบง่ายและธรรมดาสามัญ แต่พระวจนะที่กล่าวจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์นั้นสั่นสะเทือนจักรวาล พระวจนะเหล่านั้นแปลงสภาพหัวใจของผู้คน แปลงสภาพมโนคติที่หลงผิดและอุปนิสัยแต่เดิมของพวกเขา และแปลงสภาพหนทางที่โลกทั้งโลกเคยปรากฏ ตลอดหลายยุคหลายสมัยมานั้น มีเพียงพระเจ้าของวันนี้เท่านั้นที่ได้ทรงพระราชกิจด้วยวิธีนี้ และมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ตรัสด้วยเหตุนี้และเสด็จมาช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยเหตุนี้ จากเวลานี้ไป มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า ได้รับการเลี้ยงและจัดหาให้โดยพระวจนะของพระองค์ ผู้คนใช้ชีวิตในโลกแห่งพระวจนะของพระเจ้า ท่ามกลางคำสาปแช่งและพรของพระวจนะของพระเจ้า และมีผู้คนมากกว่านั้นอีกที่ได้มาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระองค์ พระวจนะเหล่านี้และพระราชกิจนี้ล้วนแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อความรอดของมนุษย์ เพื่อประโยชน์ต่อการทำให้น้ำพระทัยพระเจ้าลุล่วง และเพื่อประโยชน์ต่อการเปลี่ยนแปลงรูปสัณฐานดั้งเดิมของโลกแห่งการทรงสร้างเดิม พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกโดยใช้พระวจนะ พระองค์ทรงนำทางผู้คนทั่วทั้งจักรวาลโดยใช้พระวจนะ และพระองค์ทรงพิชิตและช่วยพวกเขาให้รอดโดยใช้พระวจนะ ในท้ายที่สุดแล้ว พระองค์จะทรงใช้พระวจนะเพื่อนำพาโลกเดิมทั้งโลกไปสู่บทอวสาน ด้วยเหตุนี้จึงจะเป็นการทำให้แผนการบริหารจัดการของพระองค์สำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ยุคแห่งราชอาณาจักรคือยุคพระวจนะ)
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ