หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (26)

ประการที่สิบสี่: แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป (ภาคที่ห้า)

ท่าทีที่เหล่าผู้นำและคนทำงานควรมีต่องานชำระคริสตจักรให้สะอาด

ปีนี้พวกเราได้สามัคคีธรรมกันอย่างต่อเนื่องถึงความรับผิดชอบของเหล่าผู้นำและคนทำงาน ตลอดจนการสำแดงของคนทุกประเภทที่เกี่ยวข้อง  หัวข้อของการสามัคคีธรรมจึงได้มีรายละเอียดและเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเกี่ยวโยงกับปัญหาต่างๆ ของผู้คนทุกประเภท อีกทั้งการสามัคคีธรรมถึงการสำแดงเฉพาะของคนเหล่านี้ และการจำแนกประเภทของพวกเขาก็มีความชัดเจนและเฉพาะเจาะจงมากด้วยเช่นกัน  ยิ่งสามัคคีธรรมถึงปัญหาที่มีรายละเอียดเหล่านี้อย่างเฉพาะเจาะจงและชัดเจนมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเป็นการจัดเตรียมความช่วยเหลือและคำชี้แนะที่เป็นบวกต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งเป็นการจัดเตรียมการชี้แนะกับความช่วยเหลือแก่เหล่าผู้นำและคนทำงานในการทำงานและทำหน้าที่ของพวกเขามากขึ้นเช่นกัน  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าการสามัคคีธรรมจะดำเนินไปอย่างไร ไม่ว่าการสามัคคีธรรมจะเฉพาะเจาะจงเพียงไร ผู้นำและคนทำงานบางคนก็ยังคงไม่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีรับมือและกำจัดผู้คนประเภทต่างๆ รวมถึงปัญหาทั้งหลายในคริสตจักร  ปัญหาของผู้คนทุกประเภทได้รับการสามัคคีธรรมกันอย่างชัดเจนแล้ว แต่ผู้นำและคนทำงานบางคนก็ยังไม่สามารถรับรู้วิธีแยกแยะและวิธีปฏิบัติต่อผู้คนประเภทต่างๆ  พวกเขายังคงไม่สามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง และไม่สามารถใช้ความจริงรับมือกับผู้คนและปัญหาหลากหลายประเภทในคริสตจักรได้  เหตุผลในเรื่องนี้คืออะไร?  ผู้คนเหล่านี้ขาดความเป็นจริงความจริง  ด้วยการสามัคคีธรรมถึงการสำแดงของผู้คนทุกประเภท คนเราควรมีวิจารณญาณแยกแยะขั้นพื้นฐานและจัดการเตรียมการอย่างสมเหตุสมผลต่อผู้คนในคริสตจักรทั้งที่ทำหน้าที่และไม่ทำหน้าที่ของตน พวกที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกที่เชื่อฟังและนบนอบ กับพวกที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน  อย่างไรก็ตาม เมื่อมองดูสถานการณ์ของคนทุกประเภทในคริสตจักร มีเพียงคนชั่วที่เห็นได้อย่างชัดเจนเท่านั้นที่ถูกเอาตัวออกไป ผู้ไม่เชื่อจำนวนมากยังคงไม่ถูกเอาตัวออกไปอย่างครบถ้วน  ในงานชำระคริสตจักรให้สะอาด เหล่าผู้นำและคนทำงานควรให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าในการชำระคนชั่วและผู้ไม่เชื่อออกไปโดยเร็วที่สุด แทนที่จะจัดการเรื่องนี้อย่างเฉื่อยชา ปฏิบัติตนเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน หรือคิดเพียงว่าการชำระคนชั่วที่เห็นได้ชัดเจนออกไปก็หมายความว่าทุกอย่างได้รับการแก้ไขและเรียบร้อยดีแล้ว  ผู้นำและคนทำงานควรตรวจสอบงานของสมาชิกแต่ละกลุ่มอย่างแข็งขัน ตรวจสอบสถานการณ์ของสมาชิกแต่ละกลุ่มว่ามีผู้ไม่เชื่อคนใดอยู่ที่นั่นเพียงเพื่อเพิ่มจำนวนหรือมีผู้ไม่เชื่อที่เผยแพร่ความคิดลบและมโนคติอันหลงผิดซึ่งก่อกวนงานของคริสตจักรหรือไม่ และทันทีที่ค้นพบ ผู้คนเหล่านี้ควรถูกเปิดโปงและเอาตัวออกไปให้หมด  นี่คืองานที่เหล่าผู้นำและคนทำงานควรทำ พวกเขาไม่ควรนิ่งเฉย ไม่ควรรอคอยคำสั่งและการกระตุ้นจากเบื้องบนจึงกระทำการ และไม่ควรทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ต่อเมื่อพี่น้องชายหญิงทุกคนเรียกร้องเท่านั้น  เหล่าผู้นำและคนทำงานพึงคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าในงานของตนและจงรักภักดีต่อพระองค์  หนทางที่ดีที่สุดที่พวกเขาควรประพฤติตนคือรับรู้และแก้ไขปัญหาทั้งหลายในเชิงรุก  พวกเขาต้องไม่อยู่เฉย โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามีวจนะและการสามัคคีธรรมในปัจจุบันเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติตน  พวกเขาควรเป็นฝ่ายริเริ่มแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นที่แท้จริงทั้งหลายอย่างถี่ถ้วนด้วยการสามัคคีธรรมความจริง และทำงานของตนอย่างถูกต้องตามที่ควรจะเป็น  พวกเขาควรติดตามความคืบหน้าของงานอย่างกระตือรือร้นและทันท่วงที พวกเขาไม่อาจรอคอยคำสั่งและการกระตุ้นจากเบื้องบนก่อนที่จะลงมือทำอย่างไม่เต็มใจอยู่ตลอดเวลา  หากผู้นำและคนทำงานมีความคิดลบและนิ่งเฉยอยู่เสมอ ไม่ทำงานที่แท้จริงเลย พวกเขาย่อมไม่คู่ควรกับการรับใช้ในฐานะผู้นำและคนทำงาน พวกเขาสมควรถูกปลดและปรับเปลี่ยนหน้าที่  ทุกวันนี้มีผู้นำและคนทำงานจำนวนมากที่ขาดความกระตือรือร้นในงานของตนเป็นอย่างยิ่ง  พวกเขาทำงานเพียงเล็กน้อยหลังจากเบื้องบนมอบคำสั่งและผลักดันพวกเขา ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็หย่อนยานและผัดวันประกันพรุ่ง  งานในคริสตจักรบางแห่งค่อนข้างวุ่นวาย บางคนที่ทำหน้าที่อยู่ที่นั่นก็หย่อนยานและสุกเอาเผากินเกินไปจนไม่มีผลลัพธ์ที่แท้จริงเลย  ปัญหาเหล่านี้รุนแรงและมีธรรมชาติที่เลวร้ายมากอยู่แล้ว แต่ผู้นำและคนทำงานของคริสตจักรเหล่านั้นก็ยังคงปฏิบัติตนเหมือนเจ้าหน้าที่หรือเจ้าขุนมูลนาย  ไม่เพียงพวกเขาไม่สามารถทำงานที่แท้จริงใดๆ ได้ แต่ยังไม่สามารถรับรู้หรือแก้ไขปัญหาทั้งหลายได้อีกด้วย  นี่ย่อมทำให้งานของคริสตจักรเป็นอัมพาตและหยุดชะงัก  ที่ใดก็ตามที่งานของคริสตจักรอยู่ในความยุ่งเหยิงอย่างยิ่งและไม่มีสัญญาณของความเป็นระเบียบ ที่นั่นย่อมมีผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจอยู่อย่างแน่นอน  ในทุกๆ คริสตจักรที่มีผู้นำเทียมเท็จกุมอำนาจ งานของคริสตจักรย่อมอยู่ในความโกลาหลและความยุ่งเหยิงโดยสิ้นเชิง—ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้  ตัวอย่างเช่น เราพบเจอปัญหาในคริสตจักรอเมริกันจำนวนมากด้วยหูหรือตาของเราเอง  ปัญหาส่วนใหญ่ที่เราพบเห็นแล้วย่อมได้รับการแก้ไขในทันที ส่วนปัญหาอื่นๆ เราได้ขอให้ผู้นำของคริสตจักรอเมริกันแก้ไขปัญหาเหล่านั้น  อย่างไรก็ตาม งานของผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่ทำกันอย่างเฉื่อยชามาก การติดตามงานล่าช้าเกินไปและประสิทธิภาพต่ำเกินไป กิจประจำวันส่วนใหญ่ของพวกเขาได้รับการดำเนินการก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งและการกระตุ้นจากเบื้องบนเท่านั้น  หลังจากเบื้องบนจัดการเตรียมงานให้ พวกเขาก็จะยุ่งอยู่สักพักหนึ่ง แต่เมื่องานในส่วนนั้นเสร็จสิ้น พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปเพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าหน้าที่ที่พวกเขาควรทำคืออะไร  พวกเขาไม่เคยเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับหน้าที่ที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานที่ตนควรปฏิบัติ ในสายตาของพวกเขา ไม่มีงานใดที่จำเป็นต้องทำ  จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้คนไม่คิดว่ามีงานที่จำเป็นต้องทำ?  (พวกเขาไม่แบกรับภาระ)  พูดให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาไม่แบกรับภาระ พวกเขาเกียจคร้านและละโมบความสะดวกสบาย หยุดพักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อมีโอกาส และพยายามหลีกเลี่ยงงานเพิ่มเติมใดก็ตาม  คนเกียจคร้านเหล่านี้มักคิดว่า “ทำไมฉันต้องกังวลมากขนาดนั้น?  การกังวลมากเกินไปรังแต่จะทำให้ฉันแก่เร็วขึ้น  ฉันจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำเช่นนั้น จากการวิ่งวุ่นมากมาย และทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนั้น?  จะเกิดอะไรขึ้นหากฉันเหนื่อยจนหมดแรงแล้วล้มป่วยขึ้นมา?  ฉันไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา  แล้วใครจะดูแลเวลาฉันแก่เฒ่า?”  คนเกียจคร้านเหล่านี้ก็แค่เฉื่อยชาและล้าหลังเช่นนี้  พวกเขาไม่มีความจริงเลยแม้แต่น้อย และไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อย่างชัดเจน  พวกเขาคือกลุ่มคนที่เลอะเลือนอย่างเห็นได้อย่างชัดเจนใช่หรือไม่?  พวกเขาล้วนเลอะเลือน ไม่ตระหนักถึงความจริงและไม่สนใจความจริง แล้วพวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร?  เหตุใดผู้คนจึงไร้วินัยและเกียจคร้านเสมอ ราวกับพวกเขาเป็นซากศพที่มีชีวิต?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาธรรมชาติของพวกเขา  ในธรรมชาติของมนุษย์มีความเกียจคร้าน  ไม่ว่าผู้คนกำลังทำกิจใดอยู่ก็ตาม พวกเขาจำเป็นต้องให้ใครบางคนกำกับดูแลและกระตุ้นพวกเขาอยู่เสมอ  บางครั้งผู้คนก็คำนึงถึงเนื้อหนัง ละโมบความสะดวกสบายทางกาย และเก็บซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้เพื่อตัวเองเสมอ—คนเหล่านี้เต็มไปด้วยเจตนาเยี่ยงมารและอุบายเจ้าเล่ห์ พวกเขาไม่มีความดีเลยจริงๆ  ไม่ว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่สำคัญอันใด พวกเขาก็ไม่ทำให้ดีที่สุดอยู่เสมอ  นี่คือการไม่รับผิดชอบและไม่จงรักภักดี  เราได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้ในวันนี้เพื่อเตือนความจำพวกเจ้าไม่ให้นิ่งเฉยในงาน  พวกเจ้าต้องสามารถทำตามสิ่งที่เรากล่าวได้  หากเราไปยังคริสตจักรต่างๆ และพบหรือเห็นว่าพวกเจ้าได้ทำงานไปแล้วมากมาย พวกเจ้าได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมาก และงานกำลังคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วจนถึงระดับที่น่าพึงพอใจ รวมทั้งทุกคนได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว เราย่อมจะพอใจมากทีเดียว  หากเราไปยังคริสตจักรต่างๆ และเห็นว่าความคืบหน้าของงานล่าช้าในทุกแง่มุม นั่นย่อมพิสูจน์ว่าพวกเจ้าไม่ได้ทำหน้าที่ของตนให้ดีและตามจังหวะปกติของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ทัน แล้วพวกเจ้าคิดว่าอารมณ์ของเราจะเป็นเช่นไร?  เราจะยังคงยินดีที่ได้พบพวกเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  เราย่อมจะไม่ยินดี  งานนี้ได้มอบหมายให้พวกเจ้าด้วยความไว้วางใจแล้ว และเราก็พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องพูดไปแล้ว เราได้บอกหลักธรรมแห่งการปฏิบัติและเส้นทางที่เฉพาะเจาะจงให้พวกเจ้าแล้วเช่นกัน  แต่พวกเจ้ากลับไม่ลงมือกระทำการ ไม่ทำงาน เอาแต่รอให้เรากำกับดูแลและกระตุ้นพวกเจ้าด้วยตัวเอง ตัดแต่งพวกเจ้าหรือแม้กระทั่งสั่งพวกเจ้าให้กระทำการ  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  เรื่องนี้ควรถูกชำแหละไม่ใช่หรือ?  เมื่อพวกเจ้าไม่ทำงานที่เห็นได้ชัดว่าควรทำและไม่สามารถแบกรับงานนั้นได้—เราจะมีท่าทีที่ดีต่อพวกเจ้าได้หรือ?  (ไม่ได้)  เหตุใดเราจึงมีท่าทีที่ดีต่อพวกเจ้าไม่ได้?  (พวกเราไม่มีความรับผิดชอบในการทำหน้าที่ของตน)  เพราะพวกเจ้าไม่ทำหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมด แต่ทำหน้าที่เหล่านั้นอย่างสุกเอาเผากินเท่านั้น  อย่างน้อยคนคนหนึ่งที่จงรักภักดีต่อหน้าที่ของตนก็ควรทุ่มเทสุดกำลังของตน แต่พวกเจ้ากลับไม่สามารถแม้แต่จะสัมฤทธิ์การนี้ได้ พวกเจ้ายังห่างไกลนัก!  ไม่ใช่เพราะขีดความสามารถของพวกเจ้าไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้าไม่ถูกต้องและพวกเจ้าไม่มีความรับผิดชอบ  มีสิ่งไร้สาระบางอย่างในหัวใจของพวกเจ้าที่ยับยั้งพวกเจ้าไม่ให้ทำหน้าของตน  นอกจากนี้ กรอบความคิดของการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนก็ขัดขวางพวกเจ้าจากการดำเนินงานชำระคริสตจักรให้สะอาดอีกด้วย  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านัยสำคัญของการชำระคริสตจักรให้สะอาดคืออะไร?  เหตุใดพระเจ้าจึงประสงค์ที่จะชำระคริสตจักรให้สะอาด?  ผลลัพธ์ของการไม่ชำระคริสตจักรให้สะอาดคืออะไร?  พวกเจ้าล้วนไม่มีความกระจ่างในเรื่องเหล่านี้และไม่แสวงหาความจริง ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเจ้าไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเจ้าเต็มใจทำเพียงงานปกติธรรมดาเล็กๆ น้อยๆ ตามตำแหน่งของตนและหลีกเลี่ยงงานพิเศษทั้งหลาย โดยเฉพาะงานที่อาจล่วงเกินผู้อื่น  พวกเจ้าล้วนชอบที่จะส่งต่องานเหล่านี้ไปให้คนอื่น  นี่เป็นวิธีคิดของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ?  นี่เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้ากล่าวเสมอว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ การเข้าใจในความจริงของฉันมีจำกัด และฉันมีประสบการณ์ในเรื่องงานไม่มากพอ  ฉันไม่เคยเป็นผู้นำคริสตจักร และไม่เคยดำเนินงานชำระคริสตจักรให้สะอาดมาก่อน”  นี่คือการหาข้ออ้างไม่ใช่หรือ?  งานชำระคริสตจักรให้สะอาดได้รับการสามัคคีธรรมอย่างชัดเจนมากแล้ว  การชำระศัตรูของพระคริสต์ คนชั่ว และผู้ไม่เชื่อออกไปเป็นเรื่องเรียบง่ายเช่นนั้นเอง  หลักธรรมไม่กี่ประการนั้นเข้าใจยากจริงๆ  หรือ?  หากเรื่องที่เรียบง่ายเช่นนี้ได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนและผู้คนยังคงไม่เข้าใจ ย่อมบ่งบอกถึงอะไร?  นั่นบ่งบอกว่าขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินกว่าจะเข้าใจภาษามนุษย์ หรือพวกเขาเป็นเพียงคนพาลที่ไม่มุ่งเน้นกิจที่ถูกควร  ในหมู่ผู้นำและคนทำงานย่อมมีบางคนที่มีขีดความสามารถต่ำอย่างแน่นอน และแน่นอนว่ามีบางคนที่ชอบเอาใจผู้คนโดยไม่ทำงานที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังมีคนพาลบางคนที่ละเลยกิจอันถูกควรและกระทำผิดโดยไม่ยั้งคิด—สถานการณ์เหล่านี้ล้วนมีอยู่จริง  ก่อนอื่นคนพาลที่ละเลยกิจอันถูกควรเหล่านี้จำเป็นต้องถูกชำระออกไป  ใครก็ตามที่สามารถทำงานที่แท้จริงได้ควรถูกใช้งาน แน่นอนว่าคนที่ชอบเอาใจผู้คนซึ่งปฏิบัติตนเป็นผู้นำควรถูกปลดออก และผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำแต่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์และสามารถทำงานจริงบางอย่างได้ควรถูกเก็บไว้  ปัญหาเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไขในลักษณะนี้  หลังจากพระเจ้าได้ทรงสามัคคีธรรมแล้ว หากเจ้าสามารถมองเห็นปัญหาทั้งหลายในงานของคริสตจักรที่ผู้นำและคนทำงานสมควรแก้ไขได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรแก้ไขในทันทีโดยไม่รอช้าอีกต่อไป  เจ้าควรริเริ่มกระทำการได้โดยไม่จำเป็นต้องรอเบื้องบนมอบหมายกิจทั้งหลายหรือออกคำสั่งเป็นการส่วนตัว  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดขึ้น ก็ควรได้รับการแก้ไขก่อนที่จะส่งผลต่องานนั้น  ก่อนที่เบื้องบนจะเริ่มตรวจสอบประเด็นปัญหาดังกล่าว เจ้าควรได้รายงานความเข้าใจของตนพร้อมทั้งวิธีแก้ปัญหา หลักธรรมในการรับมือกับปัญหา และผลลัพธ์เมื่อจัดการกับปัญหานั้นแล้ว  นั่นจะยอดเยี่ยมขนาดไหน!  แล้วเบื้องบนจะยังคงไม่พอใจเจ้าได้อยู่หรือ?  ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นงานในขอบข่ายความรับผิดชอบของตนเองอย่างต่อเนื่อง หรือถึงแม้เจ้ามีความตระหนักรู้หรือแนวคิดบางประการแต่ยังคงผัดวันประกันพรุ่งและไม่กระทำการใดๆ เอาแต่รอให้เบื้องบนจัดการเตรียมงานให้เจ้าตลอดเวลา  นี่คือการละทิ้งความรับผิดชอบไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือการละทิ้งความรับผิดชอบอย่างร้ายแรง!  เจ้าได้สูญเสียท่าทีและความรับผิดชอบที่ควรมีในบทบาทของผู้นำหรือคนทำงานถึงวิธีที่พึงปฏิบัติต่อหน้าที่  เหล่าผู้นำและคนทำงานควรทำตามข้อกำหนดของเบื้องบนในงานของตนอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าเรื่องใดที่เบื้องบนได้สามัคคีธรรมไปแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าควรนำไปดำเนินการ กระทำการและปฏิบัติโดยเร็วทันทีที่เจ้าเข้าใจแล้ว  การแก้ไขปัญหาทั้งหลายด้วยความจริงเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดของผู้นำและคนทำงาน และเจ้าไม่ควรอยู่เฉยรอให้เบื้องบนจัดการเตรียมงานให้ก่อนที่จะลงมือทำสิ่งใด  หากเจ้ามัวแต่รอคอยอย่างนิ่งเฉยเสมอ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าไม่สามารถแบกรับงานนี้ได้ การยอมรับความรับผิดชอบและลาออกจะเป็นสิ่งเดียวที่สมเหตุผลที่

การสำแดงและผลลัพธ์ของผู้คนสามประเภทที่เชื่อในพระเจ้า

I. คนลงแรง

ความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานมีทั้งหมดสิบห้าประการ และพวกเราได้สามัคคีธรรมมาจนถึงประการที่สิบสี่แล้ว  ปัญหาต่างๆ ภายในคริสตจักรที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องแก้ไข รวมถึงประเด็นปัญหาต่างๆ ของผู้คนทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเหล่านี้ ได้รับการสามัคคีธรรมไปแล้วประมาณแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกิจที่เหล่าผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องรับผิดชอบและเป็นปัญหาที่พวกเขาต้องแก้ไข  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหามากมาย  ในแง่หนึ่ง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบทั้งหลายที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำให้ลุล่วง ในอีกแง่หนึ่ง เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหานานัปการของผู้คนทุกประเภทในคริสตจักรอีกด้วย  แม้สาระสำคัญของการสามัคคีธรรมของพวกเราในช่วงเวลานี้คือความรับผิดชอบของเหล่าผู้นำและคนทำงาน รวมทั้งการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จ แต่พวกเราก็ได้สามัคคีธรรมกันมากมายถึงปัญหาของผู้คนประเภทต่างๆ—รวมถึงสภาวะและแก่นแท้ของผู้คนหลากหลายประเภท—ที่เกี่ยวข้องกับสาระสำคัญนี้อีกด้วย  แน่นอนว่า เนื้อหาเฉพาะนี้ส่งผลที่แตกต่างกันไปต่อผู้คนทุกประเภทที่ติดตามพระเจ้าในคริสตจักร  ในหมู่พวกเขา มีคนประเภทหนึ่งที่แม้ได้ยินการสามัคคีธรรมทั้งหมดนี้แล้ว แต่ยังคงมีท่าทีว่า “ฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันยินดีละทิ้งสิ่งต่างๆ ในความเชื่อในพระเจ้าของฉัน และฉันเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของฉัน”  พวกเขาไม่สนใจสภาวะต่างๆ ของผู้คนทุกประเภท ไม่สนใจความจริงที่เกี่ยวข้องกับสภาวะต่างๆ หรือหลักธรรมความจริงที่ผู้คนพึงเข้าใจ ซึ่งได้รับการสามัคคีธรรมในช่วงเวลานี้  นี่คือคนประเภทหนึ่งไม่ใช่หรือ?  คนประเภทนี้เป็นตัวแทนที่ชัดเจนมากไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนประเภทนี้มักยึดถือมุมมองหนึ่งเสมอ  มุมมองนี้มีอะไรเป็นองค์ประกอบหลัก?  องค์ประกอบหลักมีสามประการที่เราเพิ่งจะเอ่ยถึง ประการแรก พวกเขาเชื่อว่าความเป็นมนุษย์ของตนไม่แย่ และถึงขนาดที่ดีเสียด้วยซ้ำ  ประการที่สอง พวกเขาคิดว่าตนเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง หมายความว่าพวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าและในอธิปไตยของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งอย่างแท้จริง เชื่อว่าโชคชะตาของมนุษย์อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า ซึ่งเป็นการตีความแบบกว้างๆ ของการ “เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง”  ประการที่สาม พวกเขาเชื่อว่าตนสามารถละทิ้งสิ่งต่างๆ ในความเชื่อในพระเจ้าของตน สู้ทนต่อความยากลำบากและจ่ายราคาเพื่อทำหน้าที่ของตน  สามารถกล่าวได้ว่าทั้งสามประการนี้เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน เป็นองค์ประกอบหลัก และเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดที่คนเหล่านี้ยึดถือในความเชื่อในพระเจ้าของตน  แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ยังสามารถถือเป็นต้นทุนของพวกในการเชื่อในพระเจ้า รวมทั้งเป็นเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า เป็นแรงบันดาลใจและทิศทางในการปฏิบัติตนของพวกเขาอีกด้วย  พวกเขาเชื่อว่าการมีทั้งสามประการนี้ย่อมทำให้พวกเขามีคุณสมบัติตามเงื่อนไขพื้นฐานสามประการของการได้รับการช่วยให้รอด ทำให้พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงรักและยอมรับ  นี่คือความผิดพลาดร้ายแรง การมีทั้งสามประการนี้บ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น  แค่มีความเป็นมนุษย์เล็กน้อยสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน พระเจ้าทรงเห็นชอบผู้ที่ยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว  ทั้งสามประการนี้ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของความเป็นจริงความจริงเลย ทั้งสามประการนี้เป็นเพียงมาตรฐานสามประการสำหรับการเป็นคนลงแรงเท่านั้น  ต่อไปเราจะสามัคคีธรรมถึงรายละเอียดของทั้งสามประการนี้เพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจอย่างชัดเจน  ประการแรกคือการมีความเป็นมนุษย์ที่ดี  พวกเขาเชื่อว่าการไม่ทำชั่ว ไม่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศน์ของพระเจ้าก็เพียงพอแล้ว และนี่หมายความว่าพวกเขาสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าและปฏิบัติตนอย่างสอดคล้องกับหลักธรรม  ประการที่สองคือ “การเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง”  สำหรับพวกเขา สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง” หมายถึงการไม่เคยกังขาในการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งของพระองค์ และการเชื่อว่าโชคชะตาของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งพวกเขาคิดว่านั่นจะสามารถทำให้พวกเขาติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางได้  พวกเขาเชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมจะได้รับการเห็นชอบจากพระองค์  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงนำและทรงทำอย่างไร หรือไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญกับปัญหาใด พวกเขาก็กล่าวว่า “เพียงรักพระเจ้า ติดตามพระเจ้า นบนอบพระเจ้า”  วิธีการแก้ปัญหาของพวกเขานั้นเรียบง่ายเกินไป คำพูดทั่วไปเช่นนี้สามารถแก้ไขปัญหาใดได้หรือ?  ประการที่สามคือการสามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลายในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาเพื่อทำหน้าที่ของตน  พวกเขานำประเด็นนี้ไปปฏิบัติได้อย่างไร?  เพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อมีความต้องการในงานของคริสตจักร หรือเมื่อพวกเขารู้สึกถึงเจตนารมณ์อันเร่งด่วนของพระเจ้า พวกเขาย่อมสามารถละทิ้งครอบครัว การแต่งงาน และอาชีพการงานของตนได้อย่างแข็งขัน วางจุดหมายปลายทางในอนาคตเอาไว้ก่อน แล้วติดตามพระเจ้าพร้อมทั้งทำหน้าที่ของตนด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว โดยไม่เคยเสียใจเลย  พวกเขาสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาเพื่อหน้าที่ใดก็ตามที่พระนิเวศน์ของพระเจ้าจัดการเตรียมงานให้พวกเขา แม้ว่านั่นหมายถึงการกินน้อยลงหรือนอนน้อยลงก็ตาม  ไม่ว่าภาวะการดำรงชีวิตจะยากลำบากเพียงใด หรือแม้แต่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย พวกเขายังคงสามารถยืนหยัดในการทำหน้าที่ของตน  นอกเหนือจากสามประการนี้แล้ว การปฏิบัติในแง่อื่นๆ ทั้งหมดที่สัมพันธ์กับความจริงดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย  พวกเขาทำในสิ่งที่ดูเหมือนดีและถูกต้องสำหรับพวกเขา  ส่วนหลักธรรมแห่งการปฏิบัตินานัปการที่พระเจ้าได้ตรัสแก่มนุษย์ รวมถึงสภาวะ การสำแดง และแก่นแท้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่างๆ ของผู้คนที่พระเจ้าได้ทรงเปิดโปงนั้น พวกเขากลับคิดว่าการรู้เพียงเล็กน้อยหรือไม่รู้เลยนั้นไม่เป็นไร พวกเขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องค้นหาหลักธรรมต่างๆ อย่างเฉพาะเจาะจงและพิถีพิถันเพื่อตรวจสอบความเสื่อมทรามของตนและชดเชยข้อบกพร่องของตน หรือจำเป็นต้องเข้าร่วมการชุมนุมบ่อยครั้งเพื่อรับฟังสามัคคีธรรมถึงคำพยานจากประสบการณ์นานาประการของผู้อื่น แล้วจึงสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงตนเอง เป็นต้น  พวกเขารู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ยุ่งยากเกินไปและไม่จำเป็นเลย  พวกเขาติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนด้วยความเข้าใจอันผิวเผินต่อความเชื่อในพระเจ้าและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ตลอดจนมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันต่างๆ เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  คนประเภทนี้เป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียวมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาตั้งข้อกำหนดพื้นฐานสำหรับตนเอง และมีท่าทีพื้นฐานที่สุดต่อการเชื่อในพระเจ้า  นอกจากนี้ พวกเขายังละเลยความจริง การพิพากษาและการเปิดโปงของพระเจ้า การถูกตัดแต่ง รวมถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานาประการของผู้คน และสภาวะกับการสำแดงต่างๆ เป็นต้น  พวกเขาไม่เคยใคร่ครวญหรือไตร่ตรองประเด็นเหล่านี้เลย  นั่นคือ ผู้คนเหล่านี้ถือว่าตนเองมีความเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นคนดี และเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ในขณะที่ยอมรับว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขากลับเพิกเฉยต่อสภาวะและการสำแดงเฉพาะของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่างๆ ของผู้คนที่พระเจ้าทรงเปิดโปง โดยไม่ทุ่มเทความพยายามในการตรวจสอบสิ่งเหล่านี้เลย  นี่ก็คือคนประเภทหนึ่งไม่ใช่หรือ?  ทัศนะและการสำแดงเฉพาะของความเชื่อในพระเจ้าของคนประเภทนี้เป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียวไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อพิจารณามุมมองของคนเหล่านี้เกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า ความเข้าใจในการได้รับการช่วยให้รอด และท่าทีที่พวกเขามีต่อพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานาประการของผู้คน คนเหล่านี้ควรถูกจัดอยู่ในประเภทใด?  (พวกที่มีความเชื่ออันเลอะเลือนและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง)  นี่เป็นเพียงลักษณะภายนอกเท่านั้น จริงๆ แล้ว คนเหล่านี้ควรถูกจำแนกอยู่ในประเภทใด?  ในคริสตจักรมีผู้คนประเภทนี้มากมายใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อใดก็ตามที่มีการหารือประเด็นปัญหาเฉพาะและสามัคคีธรรมความจริงที่สอดคล้องกัน พวกเขาก็เริ่มรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน สัปหงก หรือกลายเป็นสับสน และแสดงให้เห็นว่าไม่มีความสนใจเลย  หากพวกเขาได้รับมอบหมายกิจหรืองานใดๆ พวกเขาก็ถลกแขนเสื้อและลงมือทำ โดยไม่พยายามหลบเลี่ยงความยากลำบากหรือความเหนื่อยล้า  พวกเขาคิดว่าหากการเชื่อในพระเจ้าเหมือนการทำงานประเภทนี้ก็คงจะดีมาก—เมื่อนั้นพวกเขาคงจะมีแรงจูงใจ  เมื่อถึงเวลาที่ต้องสู้ทนความยากลำบาก จ่ายราคา และทุ่มเทความพยายามให้กับงาน พวกเขาก็แสดงความจริงจังอย่างแท้จริง  แต่ความจริงจังและความกระตือรือร้นอย่างแท้จริงนี้เหมือนกับการจงรักภักดีหรือไม่?  นี่เป็นการสำแดงที่คนเราควรมีหลังจากเข้าใจหลักธรรมความจริงแล้วใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  จากการสามัคคีธรรมของเรา พวกเจ้ามองเห็นได้หรือไม่ว่าผู้คนเหล่านี้ควรจัดอยู่ในประเภทใด?  (คนลงแรง)  ถูกต้อง  ผู้คนเหล่านี้คือคนลงแรง และนี่คือวิธีที่คนลงแรงเชื่อในพระเจ้า

พวกเราเริ่มต้นด้วยการสามัคคีธรรมถึงแก่นแท้ธรรมชาติและการสำแดงนานาประการของพวกศัตรูของพระคริสต์ รวมถึงการสำแดงต่างๆ ของผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ แต่ไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ที่แท้จริง  ตอนนี้พวกเรากำลังสามัคคีธรรมถึงการสำแดงประเภทต่างๆ ของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของเหล่าผู้นำและคนทำงาน  แม้หัวข้อที่ได้สามัคคีธรรมกันแล้วจะเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์กับผู้นำเทียมเท็จ แต่ประเด็นเฉพาะและการสำแดงที่กล่าวถึงในแต่ละเรื่องนั้นสัมพันธ์กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม รวมถึงสภาวะและการสำแดงต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้การครอบงำของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  แม้ว่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์จะเป็นเพียงส่วนน้อย แต่อุปนิสัยของผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ รวมถึงสภาวะและการสำแดงต่างๆ ของพวกเขา กลับมีอยู่ในคนทุกคนในระดับที่แตกต่างกัน  บัดนี้ประเด็นเหล่านี้ได้รับการสามัคคีธรรมกันอย่างละเอียดเช่นนี้ ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเหล่านั้นย่อมจะมีเส้นทางและทิศทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และมีเป้าหมายที่แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นในการไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติความจริง เข้าใจหลักธรรมความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  นี่คือสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขาและเป็นเหตุให้ชื่นชมยินดี  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขากำลังเริ่มก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนใหม่ในความเชื่อในพระเจ้าของตน  พวกเขาไม่ใช้ชีวิตภายใต้ข้อบังคับ พิธีกรรมทางศาสนา หรือคำพูดและคำสอน รวมทั้งคำขวัญอีกต่อไป  แต่พวกเขากลับมีทิศทางและเป้าหมายสำหรับการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น และแน่นอนว่า มีหลักธรรมให้ทำตามที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น  วิธีปฏิบัติภายใต้รูปการณ์แวดล้อมและหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้อง หรือสภาวะกับความเสื่อมทรามที่ผู้คนมีและวิธีที่พวกเขาควรปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้น ตลอดจนวิธีแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น—หัวข้อหลักทั้งสองหัวข้อที่สามัคคีธรรมถึงศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จเกี่ยวข้องกับเนื้อหาเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่  สำหรับผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น ยิ่งสามัคคีธรรมความจริงอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีเส้นทางปฏิบัติมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งสามัคคีธรรมความจริงอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น หัวใจของผู้คนก็ยิ่งสว่างและชัดเจนมากขึ้น พวกเขาย่อมสามารถรู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้น  และพวกเขาก็ยิ่งตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขาควรเข้าสู่ต่อไปรวมทั้งปัญหาที่พวกเขาจำเป็นต้องแก้ไขต่อไปมากขึ้น  ส่วนผู้คนประเภทที่ถูกกล่าวถึงเมื่อครู่ว่าเป็นคนลงแรง หลังจากที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงสภาวะต่างๆ ที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ และปัญหาของความเสื่อมทรามนานัปการที่จำเป็นต้องแก้ไขอย่างครอบคลุม พวกเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงหมายถึงอะไร?  หมายถึงพวกเขายังคงคลุมเครือและไม่สามารถเข้าใจการไล่ตามเสาะหาความจริงและเส้นทางแห่งความรอดที่พระเจ้าตรัสได้  ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ หลังจากได้สามัคคีธรรมการสำแดงและปัญหาที่เป็นแก่นแท้ไปมากมายแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงคิดว่า “ฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันยินดีละทิ้งสิ่งต่างๆ ในความเชื่อในพระเจ้าของฉัน และฉันเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของฉัน นี่ก็เพียงพอแล้ว”  เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ พวกเขาไม่ตรวจสอบตนเองและไม่เปรียบเทียบตนเองกับพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับพยายามแก้ปัญหาตามความดีงามแบบมนุษย์ของตนเองหรือมโนธรรมและเหตุผลอันน้อยนิดที่พวกเขามี  แน่นอนว่า คนบางคนพึ่งพาการยับยั้งชั่งใจและความอดทน การสู้ทนครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่คนอื่นๆ พึ่งพาปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก ทำเรื่องใหญ่ให้ดูเหมือนเรื่องเล็ก แล้วจากนั้นก็ทำเรื่องเล็กให้ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไรเลย  เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าก็คือ “เมื่อถึงวันที่พระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง หากฉันยังทำหน้าที่ของฉันอยู่ในคริสตจักร และไม่ถูกเอาตัวออกไปเสียก่อน นั่นก็เพียงพอแล้ว  ไม่ว่าฉันจะมีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับตนเองหรือไม่ ไม่ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันได้รับการแก้ไขหรือยัง ไม่ว่าฉันมีการนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ ไม่ว่าฉันเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลีกเลี่ยงความชั่วหรือไม่—สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องเล็ก ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง  คุณทำทุกเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหมด สามัคคีธรรมความจริงอย่างละเอียดขนาดนี้ หยิบยกแม้แต่ประเด็นปัญหาที่เล็กที่สุดมาสามัคคีธรรมกันอย่างไม่รู้จบ ทำให้พวกเราแยกแยะอยู่ตลอดเวลา ฉันก็แค่ไม่ยินดีที่จะฟังสามัคคีธรรมความจริงเหล่านี้ ฉันไม่มีความสนใจเลย  เมื่อวันของพระเจ้ามาถึง จะวิเศษเพียงใดหากพวกเราสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรได้โดยตรง!”  แม้จะเป็นความจริงที่ว่าความอดทนของทุกคนมีขีดจำกัด แต่ความอดทนของคนเหล่านั้นกลับไม่มีขีดจำกัด  เพราะเหตุใด?  เพราะพวกเขาเชื่อว่าตนเองมีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง มีความสามารถที่จะละทิ้งสิ่งต่างๆ ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า และเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของตน เมื่อเผชิญกับสิ่งใด พวกเขาก็มีวิธีแก้ไขของตนเอง ท้ายที่สุดก็ยังคงสามารถทำหน้าที่ของตนอย่างแน่วแน่และยืนหยัดอยู่ได้  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าพวกเขายืนหยัดในการทำหน้าที่ของตนอย่างไร หรือใช้วิถีทางใดเพื่อสู้ทนจนถึงที่สุด ไม่ว่าด้วยแรงจูงใจใด สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ พวกเขาไม่มีการนบนอบพระเจ้าที่แท้จริง และไม่เคยเข้าใจในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง  กล่าวให้ถูกต้องยิ่งขึ้นคือ ผู้คนเหล่านี้ไม่ยอมรับว่ามีความเสื่อมทรามและพวกเขาไม่ยอมรับรู้สภาวะและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนที่พระเจ้าทรงเปิดโปง  แม้พวกเขาเปรียบเทียบตนเองกับสภาวะและปัญหาเหล่านี้เป็นบางโอกาส พวกเขาก็ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยท่าทีเย็นชา พร้อมกล่าวว่า “ทุกคนเสื่อมทรามเท่าเทียมกัน  แก่นแท้ธรรมชาติของทุกคนก็คือแก่นแท้ธรรมชาติของหมู่มารและซาตาน พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นศัตรูของพระเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้  แต่ตราบใดที่คนเรายืนหยัดในการทำหน้าที่ของตน พระเจ้าจะทรงเห็นชอบอย่างแน่นอน และผู้ที่ยืนหยัดจนถึงปลายทางย่อมจะเป็นผู้ชนะ”  เมื่อพิจารณาจากมุมมองของพวกเขา พวกเขามีความกระตือรือร้นในความเชื่อในพระเจ้าอย่างมาก แต่เมื่อเป็นเรื่องของการแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ พวกเขากลับเงียบงัน ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว  เมื่อถึงเวลาสามัคคีธรรมความจริงในการชุมนุม พวกเขาก็รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนและไม่สามารถเข้าใจความจริงได้  หากเจ้าถามพวกเขาว่า “คุณมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในหน้าที่ทุกวันของคุณอย่างไร?” พวกเขากล่าวว่า “คริสตจักรจัดการเตรียมงานอะไรให้ฉันทำ ฉันก็ทำ  เรื่องนี้จำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้วยหรือ?”  พวกเขาดูเหมือนไม่เข้าใจ  หากเจ้าถามพวกเขาต่อไปว่า “คุณมีความเสื่อมทรามที่ถูกเผยบ้างหรือไม่?  คุณเข้าใจตนเองอย่างไร?” พวกเขาย่อมตอบว่า “ฉันก็แค่นบนอบพระเจ้าและรักพระเจ้า จะมีปัญหาอะไรได้เล่า?”  ความคิดของพวกเขาเรียบง่ายเช่นนั้น  นี่คือทัศนะของพวกเขาที่ว่า “การเชื่อในพระเจ้าควรเป็นเช่นนี้  ทำไมต้องกังวลกับประเด็นปัญหาสัพเพเหระมากมายด้วยเล่า?  พวกคุณกำลังทำให้สิ่งต่างๆ ยุ่งยากซับซ้อนเกินไป!”  ดังนั้น พวกเขาจึงทำหน้าที่ของตนและทำกิจต่างๆ โดยไม่เคยแสวงหาหลักธรรมความจริง แต่กระทำการตามเจตนาที่ดีและความกระตือรือร้น  กล่าวให้ถูกต้องยิ่งขึ้นก็คือ พวกเขากระทำการภายใต้การครอบงำของมโนธรรมและเหตุผล โดยคิดว่า “ฉันได้ทนทุกข์และจ่ายราคาไปมากมายแล้ว ฉันได้ปฏิบัติความจริงและทำให้พระเจ้าพอพระทัยโดยส่วนใหญ่ อย่ามาขอจากฉันมากไปกว่านี้  ฉันเป็นเช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว ฉันเป็นคนดี และฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง”  แน่นอนว่า มีบางครั้งที่คนเหล่านี้อดไม่ได้ที่จะระบายออกมา และแล้วโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาก็ถูกเปิดโปง  พวกเขาสามารถพรั่งพรูคำพูดและคำสอนมากมาย แต่กลับขาดวุฒิภาวะที่แท้จริง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาไม่มีชีวิต  การไม่มีชีวิตหมายถึงอะไรเป็นการเฉพาะ?  (พวกเขาไม่มีความจริง)  การไม่มีความจริงเกิดขึ้นได้อย่างไร?  (พวกเขาไม่รักความจริง และพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง)  นั่นไม่ใช่เพียงแค่ว่าพวกเขารักความจริงหรือไม่ พูดให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาไม่ยอมรับความจริง  บางคนอาจกล่าวว่า “พระองค์ตรัสได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริง?  พวกเขาสู้ทนความยากลำบากมากมายขนาดนั้น แถมยังจ่ายราคาอย่างใหญ่หลวงในการทำหน้าที่ของตน ทำงานหนักตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวัน พระองค์ตรัสได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่มีความจริง?”  การกล่าวเช่นนี้เป็นการทำผิดต่อพวกเขาหรือไม่?  แต่หากเจ้ามองดูคนเหล่านี้ เบื้องหลังการทนทุกข์และการจ่ายราคาของพวกเขา ทุกสิ่งที่พวกเขาทำนั้นอยู่ในขอบเขตของหลักธรรมความจริงหรือไม่?  พวกเขาแสวงหาหลักธรรมในทุกสิ่งที่พวกเขาทำหรือไม่?  พวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและทำสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมที่กำหนดโดยพระนิเวศน์ของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ ทั้งหมดนั้นเป็นการกระทำของมนุษย์และเป็นการยับยั้งชั่งใจของมนุษย์  การสำแดงหลักของการไม่ยอมรับความจริงของพวกเขาคืออะไร?  นั่นก็คือ ก่อนที่จะทำสิ่งใด พวกเขาไม่เคยแสดงหาความจริงอย่างกระตือรือร้น และไม่เคยไตร่ตรองอย่างจริงจังว่าหลักธรรมความจริงคืออะไร แล้วจึงปฏิบัติให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าอย่างเข้มงวด  พวกเขาเก็บงำความคิดและท่าทีเช่นนี้เอาไว้หรือไม่?  พวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อการสำแดงนานัปการของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงเปิดโปง?  พวกเขายอมรับพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  พวกเขายอมรับหรือไม่ว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริง?  พวกเขายอมรับหรือไม่ว่าการสำแดงเฉพาะเหล่านี้เป็นการเผยความเสื่อมทราม?  พวกเขาอาจพยักหน้าเห็นด้วยหรือยอมรับโดยผิวเผิน แต่ในหัวใจของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่ยอมรับและเพิกเฉยต่อเรื่องนี้  การเพิกเฉยต่อเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายถึงการไม่ยอมรับ ไม่มีท่าทีที่ชัดเจน และไม่มีการต่อต้านหรือขัดขืนอย่างชัดแจ้ง แต่กลับใช้ท่าทีของการปฏิบัติอย่างเย็นชาต่อพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าเป็นพิเศษ  การกล่าวว่า “ปฏิบัติอย่างเย็นชา” นั้นค่อนข้างเป็นนามธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นั่นคือการที่พวกเขาคิดว่า “คุณบอกว่าผู้คนโอหังและหลอกลวง แต่มีใครที่ไม่หลอกลวงบ้าง?  ใครบ้างที่ไม่มีความเจ้าเล่ห์อยู่เลย?  ใครบ้างที่ไม่แสดงความโอหังหรือความหยิ่งยโสออกมา?  นี่เป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน?  ตราบเท่าที่คนเราสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว”  นี่คือท่าทีและการสำแดงเฉพาะของการไม่ยอมรับไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือการไม่ยอมรับความจริง  ท่าทีของพวกเขาต่อพระวจนะแห่งการพิพากษาและการเปิดโปงของพระเจ้าเป็นท่าทีของการเพิกเฉยและไม่ยอมรับ  ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของการประเมินและการเตือนความจำที่พี่น้องชายหญิงมอบให้กับพวกเขา แม้กระทั่งคำชี้แนะและความช่วยเหลือที่พี่น้องชายหญิงมีให้สำหรับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา พวกเขาสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  จงบอกเราทีว่า เช่นนั้นแล้ว การสำแดงเฉพาะของพวกเขาคืออะไร?  ทำไมพวกเขาจึงไม่สามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้?  หลักฐานของเจ้าสำหรับการกล่าวเช่นนี้อยู่ที่ใด?  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้ากล่าวกับพวกเขาว่า “คุณทำหน้าที่ของคุณอย่างสะเพร่าแบบนี้ไม่ได้ นี่เป็นการสุกเอาเผากิน” การสำแดงใดของพวกเขาที่พิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริง?  (พวกเขาจะพูดว่า “ฉันได้ทุ่มเทหัวใจลงไปแล้ว ฉันได้ทนทุกข์และจ่ายราคาไปแล้ว  คุณพูดได้อย่างไรว่าฉันทำอย่างสุกเอาเผากิน?”)  นี่คือการหาเหตุผลเข้าข้างตนเองของพวกเขา  พวกเขาจะมองหาข้ออ้างในบางครั้งหรือไม่?  แม้พวกเขายอมรับอยู่ในหัวใจ แต่ก็ยังคงคิดว่า “ฉันสุกเอาเผากินแล้วอย่างไร?  ใครบ้างที่ไม่มีวันที่แย่ๆ?  ใครบ้างที่ไม่มีประสบการณ์กับภาวะอารมณ์ปกติ?  แต่ฉันไม่อาจยอมรับว่าฉันเป็นคนสุกเอาเผากิน ฉันจำเป็นต้องหาข้ออ้างมากลบเกลื่อน  ฉันเสียหน้าไม่ได้”  ดังนั้น พวกเขาจึงหาเหตุผลและข้ออ้างมากมายเพื่อปกป้องตนเองอย่างชาญฉลาด ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงว่าตนสุกเอาเผากิน ไม่ยอมรับรู้ปัญหาของตนเองในเรื่องนี้ และไม่ยอมรับคำชี้แนะจากผู้อื่น  นี่คือการสำแดงเฉพาะของการไม่ยอมรับความจริง  เมื่อไม่เผชิญกับสถานการณ์ที่แท้จริง พวกเขาจึงถือว่าตนเองเป็น “คนดีที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง”  เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย แม้พวกเขาไม่สามารถใช้เรื่องนี้เป็นเกราะป้องกันได้อีกต่อไป พวกเขาก็ยังคงหาเหตุผลเพียงพอที่จะแก้ตัวและปกป้องตนเอง โดยการมองข้ามปัญหา ยุติปัญหา แล้วยังคงมองว่าตนเองเป็น “คนดี มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีความสามารถที่จะละทิ้ง และมีความสามารถในการสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาในการทำหน้าที่ของตน”  พูดให้ถูกต้องก็คือ การสำแดงทั้งหลาย และแก่นแท้ของผู้คนเหล่านี้คือการสำแดงและแก่นแท้ของคนลงแรง  คนกลุ่มนี้มีสัดส่วนที่สำคัญในคริสตจักร  ไม่ว่าสัดส่วนจะเป็นอย่างไร สุดท้ายแล้ว หากบุคคลเหล่านี้สามารถทนทุกข์และจ่ายราคาได้จริงๆ สู้ทนและยืนหยัดจนถึงปลายทางโดยไม่มีการกระทำผิดร้ายแรงใดๆ ไม่ละเมิดกฎการปกครองของพระเจ้า หรือก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระองค์ เมื่อนั้นพวกเขาก็คือคนลงแรงที่จงรักภักดี เป็นคนลงแรงที่สามารถอยู่ต่อไปได้  นี่คือพรที่ยิ่งใหญ่!  พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเขาไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่อาจเป็นพยานให้พระเจ้า หรือปฏิบัติตนเป็นพยานถึงพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า—การได้รับพรนี้ก็ดีมากแล้ว  คนเราสามารถคาดหวังว่าจะได้รับสิ่งใดโดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  การเป็นคนลงแรงที่จงรักภักดีก็ไม่เลวแล้ว  บางคนถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่บุคคลเหล่านี้จะกลายเป็นประชากรของพระเจ้า?”  เป็นไปได้  ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ หากบุคคลเหล่านี้สามารถยอมรับความจริง ยอมรับและเผชิญกับความเสื่อมทรามของตนเองอย่างถูกต้องบนพื้นฐานของการสามารถละทิ้งและทนทุกข์ จากนั้นก็แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข ไม่ใช่ปฏิบัติตนตามความดีของมนุษย์ หรือความยับยั้งชั่งใจ อดทนอดกลั้น และบากบั่นของมนุษย์ แต่ปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง เพื่อให้ในท้ายที่สุด อุปนิสัยของพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้บ้าง จากนั้นพวกเขาจึงมีโอกาสกลายเป็นประชากรของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม หากการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ไม่เกี่ยวข้องกับการยอมรับความจริงและได้รับการช่วยให้รอด เมื่อนั้นโอกาสของพวกเขาที่กลายเป็นประชากรของพระเจ้าย่อมเป็นศูนย์ นี่คือข้อเท็จจริง  หลักธรรมในการปฏิบัติต่อคนลงแรงที่จงรักภักดีคืออะไร?  คือการพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้ให้มีความเข้าใจที่แจ่มชัด  จุดประสงค์ของการทำให้คนเหล่านี้มีความเข้าใจที่แจ่มชัดคืออะไร?  เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาหลงอยู่ในความเพ้อฝัน  บางคนถามว่า “หลงอยู่ในความเพ้อฝันหมายถึงอะไร?”  เมื่อผู้คนมองว่าตนเอง “มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีความสามารถที่จะละทิ้งและเต็มใจที่จะจ่ายราคา” จากนั้นก็คาดหวังว่าจะได้รับความรอดจากพระเจ้า ซึ่งเป็นไปไม่ได้  จึงต้องทำให้พวกเขาเข้าใจชัดเจนถึงการยึดถือมุมมองที่ว่า “มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีความสามารถที่จะละทิ้งและเต็มใจที่จะจ่ายราคาสามารถนำไปสู่การได้รับความรอดจากพระเจ้า” นั้นไม่ถูกต้องและโง่เขลา  ต้องทำให้พวกเขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการมีคุณสมบัติเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าคนเราได้ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไปแล้ว และการมีพฤติกรรมที่ดีอยู่บ้างไม่ได้หมายความว่าคนเราสามารถได้รับการช่วยให้รอด ยิ่งไม่ได้หมายความว่าคนเราย่อมได้มาซึ่งความจริง และมุมมองของพวกเขาก็ไร้สาระ น่าขัน ไม่สอดคล้องและเข้ากันไม่ได้โดยสิ้นเชิงกับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง  สำหรับผู้คนเหล่านี้ที่ยึดถือมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาอย่างดื้อรั้นควรได้รับการช่วยเหลือ โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา  หากพวกเขายังคงไม่สามารถยอมรับความจริง และไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงไม่ได้รับความรู้แจ้งและไม่แสดงเจตนาที่จะแสวงหา เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องบังคับพวกเขา  พวกเขาสามารถรับใช้ในฐานะคนลงแรงจนถึงปลายทางได้เท่านั้น

II. ประชากรของพระเจ้า

หลังจากสามัคคีธรรมถึงการสำแดงต่างๆ ของคนลงแรงที่จงรักภักดีแล้ว พวกเรามาพูดถึงการสำแดงของคนอีกประเภทหนึ่งกันเถิด  หลังจากได้ยินการเปิดโปงและการพิพากษาต่างๆ ของพระเจ้าเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนทุกประเภท เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คนเหล่านี้ก็นึกย้อนถึงการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่างๆ ในอดีตของตนเอง รวมถึงท่าทีต่างๆ ที่มีต่อพระเจ้าและความจริงที่เกิดขึ้นภายใต้การครอบงำของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน—พวกเขาเริ่มทบทวนและรู้จักการสำแดงต่างๆ ของตน เปรียบเทียบตนเองกับพระวจนะของพระเจ้า ตรวจสอบท่าทีตนเองที่มีต่อหน้าที่ของตน และตรวจสอบความเสื่อมทรามนานัปการที่พวกเขาเผยออกมาระหว่างทำหน้าที่ของตนและท่ามกลางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้  พวกเขาตรวจสอบและรู้จักตนเองจากทุกๆ รายละเอียดในขณะที่พยายามยอมรับคำพิพากษา การเปิดโปง และการบ่มวินัยของพระเจ้า  คนเหล่านี้ดีกว่าคนลงแรงในหนทางใด?  พวกเขายอมรับความจริง ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า และยอมรับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกอย่างที่พระเจ้าทรงเปิดโปงอย่างเป็นบวกและกระตือรือร้น  แม้บางครั้งพวกเขาอาจคิดลบ หลีกเลี่ยง หรือแม้แต่คิดที่จะล้มเลิก แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ยังมีแรงผลักดันที่จะทำให้ตนเองยอมรับความจริง  แรงผลักดันนี้คืออะไร?  นั่นก็คือ “พระวจนะของพระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้  ตราบใดที่คนเรายอมรับความจริง ปัญหาและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดนี้ย่อมสามารถแก้ไขได้ แล้วคนคนนั้นก็สามารถได้รับการช่วยให้รอด  หากฉันต้องการได้รับการช่วยให้รอด ฉันก็ต้องร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าและยอมรับความจริง”  ตัวอย่างเช่น เมื่อได้ยินความจริงเกี่ยวกับการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ บางคนก็เริ่มทบทวนตนเองและมองเห็นความหลอกลวงและเล่ห์เหลี่ยมที่ตนกระทำ รวมถึงแง่มุมที่ยอกย้อนและเลวร้ายของตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น  พวกเขาหวนคิดถึงคำโกหกและวิธีการหลอกลวงในอดีตที่ยังคงอยู่ในหัวใจหรือความทรงจำของตน ซึ่งฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในจิตใจของพวกเขาราวกับฉากในภาพยนตร์ ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจ เจ็บปวด และโศกเศร้ามากขึ้นเรื่อยๆ  หลังจากตรวจสอบตนเองและทบทวนตนเองอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็รู้สึกเหมือนตนเป็นอาชญากร พวกเขาหมดเรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิงในทันใดและไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้  พวกเขารู้สึกว่าตนไม่ใช่คนดีแต่เป็นคนชั่ว และคิดว่าเป็นความโชคดีที่พวกเขาไม่ได้ต้านทานพระเจ้าโดยตรง ซึ่งเป็นการรอดพ้นมาอย่างหวุดหวิดจริงๆ!  จากนั้นพวกเขาก็เริ่มตื่นตัว ในฐานะคนคนหนึ่ง พวกเขาไม่เต็มใจที่จะล้มเหลวเช่นนี้ และตั้งปณิธานว่า “ฉันต้องเริ่มต้นใหม่และเป็นคนที่ซื่อสัตย์ มิฉะนั้นฉันก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าได้  ฉันต้องเป็นคนซื่อสัตย์เพื่อที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ฉันยอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด!”  ไม่ว่าคนเหล่านี้จะยอมรับความจริงเร็วหรือช้าก็ตาม และไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งหรือตื้นเขินเพียงใด ท่าทีที่พวกเขามีต่อพระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่ท่าทีของการดูหมิ่น และยิ่งไม่ใช่ท่าทีของการรังเกียจหรือการต้านทาน  ตรงกันข้าม พวกเขากลับรับรู้และยอมรับพระวจนะของพระเจ้าอย่างแข็งขัน และพร้อมที่จะนำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา  เมื่อพวกเขาปฏิบัติตนหรือทำหน้าที่ของตน พวกเขาย่อมพยายามอย่างเต็มที่ในการแสวงหาหลักธรรมจากพระวจนะของพระเจ้า แล้วจึงปฏิบัติตนตามหลักธรรมเหล่านี้อย่างมีสติ  แม้ในบางครั้งพวกเขาจะไม่สามารถค้นพบหลักธรรมเฉพาะหรือจับทิศทางได้ แต่เจตนาของพวกเขาคือการทำหน้าที่ของตนให้ดี ทำหน้าที่ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและตรงตามหลักธรรมความจริง  ความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านี้และของคนลงแรงเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างสูงและต่ำ หรือสูงส่งและต่ำต้อย  แน่นอนว่า หลายๆ คนในหมู่คนประเภทนี้ย่อมมองว่าตนเอง “มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง มีความสามารถที่จะละทิ้งสิ่งต่างๆ ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า และเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของตน”  แต่อะไรคือความแตกต่างระหว่างคนเหล่านี้กับคนทำงาน?  หลังจากพวกเขาได้ยินพระวจนะแห่งการพิพากษาและการเปิดโปงผู้คนของพระเจ้า ท่าทีของพวกเขาไม่เพิกเฉยหรือหลีกเลี่ยง แต่เป็นการยอมรับอย่างจริงจังและกระตือรือร้น  แม้พวกเขารู้สึกทุกข์ใจและสิ้นหวังหลังจากได้ยินพระวจนะเหล่านี้ ถึงขนาดแสดงความโกรธต่อความเสื่อมทรามของตนเองที่ถูกเผยออกมา แต่ในที่สุด พวกเขาก็ยังสามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง ยอมรับอย่างกระตือรือร้น อีกทั้งปฏิบัติและเข้าสู่สิ่งเหล่านั้นด้วยความตั้งใจ  นี่ก็คือคนประเภทหนึ่งเช่นกันไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนเหล่านี้เป็นตัวแทนในระดับหนึ่งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนเหล่านี้มีมากหรือไม่?  (ไม่มาก)  แม้ตอนนี้จะมีไม่มาก แต่มีความหวังว่าจำนวนของพวกเขาจะเพิ่มขึ้น  แล้วคนเหล่านี้ควรถูกจำแนกอยู่ในประเภทใด?  การสำแดงเฉพาะเหล่านี้สามารถบ่งชี้ได้หรือไม่ว่าคนเหล่านี้รักความจริงและสามารถยอมรับความจริง?  (ได้)  การสำแดงเฉพาะเหล่านี้สามารถบ่งชี้ได้  แม้คนบางคนที่มีความสามารถในการเข้าใจต่ำยอมรับความจริงได้ช้ากว่า แต่ในส่วนลึกของหัวใจพวกเขา พวกเขายอมรับความจริงและมีกรอบความคิดที่กระตือรือร้นในการเข้าสู่ความจริง  เมื่อใดก็ตามที่มีใครบางคนสามัคคีธรรมถึงความสว่างใหม่หรือเส้นทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง ดวงตาของพวกเขาย่อมเปล่งประกาย หัวใจของพวกเขาย่อมสว่างขึ้น และพวกเขาย่อมรู้สึกชื่นชมยินดี พลางคิดว่า “ในที่สุด ใครบางคนก็ได้สามัคคีธรรมถึงความสว่างนี้แล้ว  นี่แหละคือสิ่งที่ฉันขาด”  พวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งที่ตนขาดอยู่เสมอ ได้รับความสว่างและความรู้แจ้งสิ่งที่พวกเขาต้องการและขาดแคลนอย่างเร่งด่วน และสามารถค้นพบหลักธรรมความจริงที่พวกเขาจำเป็นต้องมีจากความเข้าใจเชิงประสบการณ์อย่างถ่องแท้ที่ได้รับการสามัคคีธรรมจากพี่น้องชายหญิง  จากการสำแดงเฉพาะเหล่านี้ หัวใจของพวกเขาย่อมโหยหาความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  หากพวกเรากล่าวว่าผู้คนเหล่านี้รักความจริง คำกล่าวนี้ย่อมไม่เป็นกลางหรือถูกต้องแม่นยำมากนัก  อย่างไรก็ตาม จากการสำแดงเฉพาะของพวกเขา คนเหล่านี้ย่อมโหยหาความจริง  ความโหยหานี้มาจากไหน?  มาจากความหวังที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ความหวังที่จะแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นต่างๆ นานาที่พวกเขาเผชิญในการเข้าสู่ชีวิตของตน รวมถึงความหวังของพวกเขาที่จะมีความก้าวหน้าในความจริง เจาะลึกลงไป ตลอดจนความหวังที่จะสามารถปฏิบัติตนอย่างมีหลักธรรมได้อย่างแท้จริง ปฏิบัติอย่างมีเส้นทาง รับรู้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นจากการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนว่าแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนคืออะไร รวมทั้งแก้ไขและทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นอย่างไร  แม้คนเหล่านี้มักใช้ชีวิตภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เช่น การแย่งชิงสถานะ ยืนกรานในหนทางของตนเองอย่างดื้อดึง และการคิดว่าตนเองถูก โอหัง หลอกลวง หรือแม้แต่การดื้อแพ่ง  แต่ผ่านการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างต่อเนื่องและมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ปัญหาที่เห็นได้ชัดเหล่านี้ย่อมจะค่อยๆ ได้รับการตรวจสอบและบ่งชี้  จากนั้นพวกเขาย่อมสามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้คือปัญหา เป็นการเผยของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ไม่สอดคล้องกับความจริง และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง  หลังจากตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนแล้ว พวกเขายิ่งโหยหาที่จะแก้ไขและทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นไป  นี่เป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของการโหยหาความจริงของพวกเขา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขามีความจำเป็นจะต้องแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน มีความรู้สึกนึกคิดเร่งด่วนที่จะทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าพวกเขาค้นพบว่าตนเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทใดออกมา หรือพวกเขาเผชิญปัญหาหรือความลำบากยากเย็นใดๆ พวกเขาก็ยิ่งกระหายที่จะค้นหาคำตอบที่ถูกต้องแม่นยำในพระวจนะของพระเจ้า และเข้าใจข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ รวมทั้งควรใช้ความจริงและพระวจนะข้อใดของพระเจ้าเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านี้  การสำแดงเฉพาะและแหล่งที่มาของความโหยหาความจริงของพวกเขาคือสิ่งเหล่านี้  นี่คือคำกล่าวที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  ไม่อาจกล่าวได้ว่าคนเหล่านี้รักความจริง  หากพวกเขารักความจริง พวกเขาย่อมจะกระตือรือร้นมาก และการสำแดงต่างๆ ของเขาก็จะเป็นบวกมากขึ้น  อย่างไรก็ดี จากการสำแดงนานัปการของผู้คนเหล่านี้และวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขายังไม่ถึงจุดที่รักความจริงแต่แค่โหยหาความจริงเท่านั้น  คำกล่าวนี้ค่อนข้างเป็นกลางแล้ว  ดังนั้น เมื่อพิจารณาการสำแดงต่างๆ ของผู้คนเหล่านี้แล้ว พวกเขาควรถูกจำแนกอยู่ในประเภทใด?  หากจะกล่าวให้ถูกต้องแล้ว ผู้คนเหล่านี้อยู่ในประเภทประชากรของพระเจ้า  การกล่าวอ้างนี้มีหลักการพื้นฐาน  หลักการพื้นฐานอะไร?  ผู้คนเหล่านี้มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นเดียวกับผู้อื่น  ในแง่ของความเป็นมนุษย์ ไม่อาจกล่าวได้ว่าความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านี้ดี และไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขามีความเพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขามีความเป็นมนุษย์ปานกลาง  “ปานกลาง” ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่ามีมโนสำนึกและเหตุผลในระดับหนึ่ง  แต่นี่ไม่ใช่แง่มุมที่สำคัญที่สุด  อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด?  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากได้ยินพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้า หลังจากได้ยินเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนทุกประเภทที่ถูกพระวจนะของพระเจ้าเปิดโปง พวกเขาก็มิได้เพิกเฉย แต่กลับรู้สึกสะเทือนใจและจะลงมือปฏิบัติ  การลงมือปฏิบัติหมายถึงอะไร?  หมายถึงหลังจากได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอีก และไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตในวิถีทางเดิมๆ อีกต่อไป  แต่พวกเขาเพียรพยายามที่จะเปลี่ยนความคิด มุมมอง และวิธีการดำรงอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตที่พวกเขาเคยพึ่งพามาก่อน  ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็แสวงหาความจริงอย่างแข็งขันในการทำหน้าที่ของตนและในสภาวการณ์ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ โดยใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานและหลักธรรมในการปฏิบัติ แทนที่จะทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น  จากความเป็นมนุษย์ ขีดความสามารถ ท่าทีและทัศนะของพวกเขาต่อพระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้า และข้อกำหนดของพระเจ้า และอื่นๆ ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะช่วยให้รอดอย่างแท้จริง  พวกเขามีความหวังที่จะทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและได้รับการช่วยให้รอดมากกว่าคนลงแรง  มีเพียงผู้ที่ยอมรับความจริงและสามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอดเท่านั้นจึงถือว่าเป็นประชากรของพระเจ้า  นิยามนี้เหมาะสมมากทีเดียวไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นิยามนี้เหมาะสมที่สุด  การได้รับความรอดไม่ใช่แค่การออกแรงพยายามเพียงเล็กน้อยและจ่ายราคานิดหน่อยเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ แล้วทุกอย่างก็จบลง  สถานะของผู้ที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดเป็นอย่างไร?  นั่นคือสถานะที่ผ่านการยอมรับและมีประสบการณ์กับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้รับการแก้ไข  ในขั้นตอนนี้ พวกเขามารู้จักพระเจ้า เข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และมีประสบการณ์จริงและเป็นรูปธรรมในพระวจนะของพระเจ้า จนสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าได้—พวกเขาสามารถเป็นคำพยานให้พระเจ้า  พวกเขาเป็นคำพยานถึงแง่มุมใดของพระเจ้าบ้าง?  พวกเขาเป็นคำพยานถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น พระอัตลักษณ์ของพระเจ้า และพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง  นี่คือสิ่งที่สามารถสำแดงในตัวบุคคลหลังจากบรรลุความรอด  เหตุใดผู้คนจึงสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้หลังจากได้รับการช่วยให้รอด?  นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาถือว่าตนเอง “มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง มีความสามารถที่จะละทิ้งสิ่งต่างๆ ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า และเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของตน” จึงทำให้พวกเขาสัมฤทธิ์ในการนี้  เหตุผลเดียว—และเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด—คือพวกเขาสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของตน สามารถปฏิบัติความจริงเพื่อที่จะทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ยอมวางหนทางการใช้ชีวิตแบบเก่าๆ และมุมมองการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ และยึดพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตใหม่ของตน  พวกเขาใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักพื้นฐานในการประพฤติปฏิบัติตน ทำสิ่งต่างๆ ติดตามพระเจ้า นบนอบพระเจ้า และทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  นี่คือผลลัพธ์ที่ผู้คนดังกล่าวสามารถสัมฤทธิ์ได้  อะไรคือแง่มุมที่สำคัญที่สุดในการสัมฤทธิ์ความรอด?  (การสามารถยอมรับความจริง)  ถูกต้อง  การยอมรับความจริงได้คือกุญแจสำคัญ

คนบางคนกล่าวว่า “หากฉันสละตนเองเพื่อพระเจ้าจนถึงปลายทาง พระเจ้าจะประทานพรฉันอย่างยิ่งใหญ่หรือไม่?”  หากเจ้าไม่ยอมรับความจริง แต่ยังสามารถยืนหยัดติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทาง ลงแรงจนวาระสุดท้าย โดยไม่มีการกระทำผิดร้ายแรงตลอดระยะเวลานั้น และเจ้าไม่ได้ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า แล้วภายใต้สภาวการณ์ดังกล่าว พระเจ้าจะทรงถือว่าเจ้าเป็นคนลงแรงที่จงรักภักดีและอยู่ต่อไปได้  บางคนถามว่า “การได้อยู่ต่อไปเป็นพรแบบใด?”  นั่นไม่ใช่พรเล็กๆ น้อยๆ เลย!  หากมีโอกาสและความเป็นไปได้ เจ้าอาจจะเห็นพระองค์จริงของพระเจ้า และนี่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พระเจ้าทรงทำในยุคต่อไป  หากมีโอกาสอยู่ต่อไปได้และมีชีวิตอยู่อีกหลายสิบปี นั่นก็คือพรที่สำคัญมากแล้ว  พรนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  พรนี้สัมฤทธิ์ได้ด้วยการลงแรงอย่างจงรักภักดีในขณะที่ยึดมั่นมุมมองที่ว่า “ฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันสามารถละทิ้ง และเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของตน”  คนลงแรงควรรู้จักพึงพอใจไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาควรพึงพอใจที่ได้รับพรนี้  เจ้าไม่ยอมรับแม้แต่พระวจนะของพระเจ้า แต่เพราะพระเจ้าทรงเห็นความจงรักภักดีและความสามารถในการลงแรงจนถึงปลายทางของเจ้า โดยไม่ละทิ้งหน้าที่ในระหว่างช่วงเวลานี้ ไม่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือละเมิดกฎการปกครองของพระองค์ ไม่กระทำผิดร้ายแรง พระองค์จึงประทานพรและพระคุณนี้แก่เจ้า—ตั้งแต่ทรงสร้างมวลมนุษย์ นี่คือพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ที่เสื่อมทรามซึ่งได้แต่ลงแรงด้วยความจงรักภักดีหากยังไม่บรรลุความรอด  เจ้าได้แต่ใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย และไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ—การสามารถได้รับพรอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว นี่คือพระคุณอันล้นพ้นของพระเจ้า  อีกประเภทหนึ่งคือประชากรของพระเจ้าที่เราเพิ่งพูดถึง  พรที่ประชากรของพระเจ้าได้รับย่อมยิ่งใหญ่กว่าพรที่คนลงแรงได้รับอย่างแน่นอน  แล้วพรของประชากรของพระเจ้าคืออะไร?  แน่นอนว่า พรนั้นไม่เรียบง่ายเหมือนการได้อยู่ต่อไปหรือมีโอกาสได้เห็นพระเจ้าพระองค์จริงเท่านั้น  มีพรอีกมากมาย แต่พวกเราจะไม่สนทนากันในที่นี้  การพูดถึงเรื่องนั้นจับต้องไม่ได้ และนอกจากนี้ ต่อให้เราบอกพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะไม่เข้าใจหรือบรรลุถึงพรเหล่านั้นในตอนนี้  ประชากรของพระเจ้าคือผู้ที่พระเจ้าตั้งพระทัยช่วยให้รอด และในหมู่มวลมนุษย์ทั้งหมด พวกเขาได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นี่ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเลย  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะในพระราชกิจของพระเจ้า ภายในพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ประชากรของพระเจ้าที่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า สามารถปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงและเป็นหลักธรรมในการดำรงอยู่ของตน และทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของตน ได้ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานและดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เป็นคำพยานที่แข็งแกร่งและดังก้องให้กับพระเจ้า  พวกเขาสามารถใช้สิ่งที่พวกเขาดำเนินชีวิตและชีวิตพวกเขาเพื่อโต้กลับและทำให้ซาตานอับอาย สามารถเป็นพยานให้พระเจ้าท่ามกลางมวลมนุษย์ และนำพระสิริมาสู่พระเจ้า  ดังนั้น ประชากรของพระเจ้าคือผู้ที่พระเจ้าตั้งพระทัยจะช่วยให้รอด และเป็นผู้ที่ได้รับความรอด  บางคนกล่าวว่า “เนื่องจากคนเหล่านี้สามารถทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา ดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และเป็นพยานให้พระเจ้า นั่นทำให้พวกเขาเป็นบุตรอันเป็นที่รักของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงปีติยินดีหรือไม่”  เจ้ากำลังคิดมากเกินไป การเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้านั้นดีพอแล้ว  หากพระเจ้าทรงเรียกเจ้าว่าบุตรของพระองค์ ลูกหลานพระองค์ หรือบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ นั่นเป็นกิจธุระของพระองค์ แต่ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม เจ้าต้องไม่อ้างว่าเป็นบุตรอันเป็นที่รักของพระเจ้า บุตรของพระเจ้า หรือผู้เป็นที่รักของพระเจ้าเป็นอันขาด  จงอย่าอ้างตนเช่นนั้น และจงอย่ามองตนเองเช่นนั้น เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—นี่จึงถูกต้อง  แม้สักวันหนึ่งเจ้าถูกเรียกให้เป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้า หรือเจ้าได้เริ่มต้นเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอดแล้ว เจ้าก็ยังเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หากเจ้าคิดในหนทางนี้ นั่นย่อมพิสูจน์ว่าเส้นทางที่เจ้าเดินอยู่นั้นเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง  หากเจ้าแสวงหาการเป็นบุตรอันเป็นที่รักของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรัก เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงปีติยินดีอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังเดินบนเส้นทางที่ผิด เส้นทางนี้ไม่มีจุดหมาย และเจ้าไม่ควรจมอยู่ในความคิดเพ้อฝันเช่นนี้  ไม่ว่าพระเจ้าเคยตรัสพระวจนะเช่นนี้ หรือเคยประทานสัญญากับผู้คนหรือไม่ เจ้าก็ไม่ควรมองตนเองในหนทางนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรพยายามที่จะบรรลุ  การเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าก็ดีพอแล้ว ประชากรของพระเจ้านั้นได้มาตรฐานในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแล้ว—แค่เพียงน่าเสียดายที่เจ้ายังไม่ใช่หนึ่งในนั้น  ดังนั้น จงอย่าไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่คลุมเครือ ลวงตา และว่างเปล่าเหล่านั้น  การสามารถไล่ตามเสาะหาการได้รับความรอดได้นั้น เป็นการเริ่มต้นเดินบนเส้นทางแห่งการได้รับการช่วยให้รอดในระดับหนึ่งแล้ว  ลักษณะนิสัยที่สำคัญของประชากรของพระเจ้าก็คือ พวกเขาสามารถยอมรับความจริงและแสดงให้เห็นความรักที่มีต่อความจริง  ในขั้นตอนของการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความรอด อุปนิสัยอันเสื่อมทราม ความคิดเก่าๆ รวมทั้งสภาวะและการสำแดงที่เป็นลบต่างๆ นานาซึ่งสัมพันธ์กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมสามารถได้รับการแก้ไข ทิ้ง และเปลี่ยนแปลงระดับที่แตกต่างกัน  จากนั้น พวกเขาก็สามารถดำเนินชีวิตตามข้อกำหนดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า เป็นคนที่เข้าใจหลักธรรมความจริง เป็นคนที่มีความจงรักภักดีและการนบนอบ และเป็นคนที่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ส่วนการเป็นคนของพระเจ้าที่ได้มาตรฐานและตรงตามเกณฑ์ควรทำอย่างไรนั้น พวกเราจะไม่ลงรายละเอียดกันในที่นี้ เพราะนั่นไม่ใช่หัวข้อที่พวกเราสามัคคีธรรมกันในวันนี้

III. ลูกจ้าง

นอกเหนือจากคนลงแรงและประชากรของพระเจ้าแล้ว ยังมีบุคคลอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นพวกที่น่าเวทนาที่สุดในหมู่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  หลังจากได้ยินความจริงนานัปการที่พระเจ้าทรงแสดงและพระวจนะต่างๆ ที่พระองค์ทรงเปิดโปงมวลมนุษย์แล้ว พฤติกรรมของพวกเขา การดำเนินชีวิตของพวกเขา และการไล่ตามไขว่คว้าของพวกเขากลับไม่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย  ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงไม่แยแส “ฉันไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง  ฉันจะใช้ชีวิตแบบที่ฉันต้องการ และไม่มีใครสามารถควบคุมฉันได้  คุณอยากจะทำอะไรก็เชิญ ฉันไม่สนใจ!  ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นพวกคุณไม่ควรมาตอแยฉัน  หากคุณทำ ฉันจะไม่ไว้หน้าละนะ!”  พวกเขาไม่มองตนเองด้วยท่าทีและมุมมองที่ชัดเจนว่า “ฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันสามารถละทิ้ง และเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบาก” แต่พวกเขากลับแสดงท่าทีที่ชัดเจนมากกว่านั้นในหมู่พี่น้องชายหญิง  ท่าทีที่ว่านี้คืออะไร?  ท่าทีนี้ก็คือ “ฉันจะกระทำการอย่างที่ฉันต้องการ ทำสิ่งที่ฉันปรารถนา  ไม่มีใครควรบังคับให้ฉันยอมรับความจริง ไม่มีใครควรพยายามเปลี่ยนแปลงฉัน  ใครก็ตามที่พยายามบังคับให้ฉันยอมรับความจริงย่อมเป็นการแส่หาเรื่องเท่านั้น และถ้าใครพยายามตัดแต่งฉัน ฉันจะสู้กลับด้วยชีวิต!”  พวกเขาไม่มีความสนใจประโยคใดๆ ที่พระเจ้าตรัสเลยแม้แต่น้อย และไม่สนใจพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำอีกด้วย  แน่นอนว่า ในเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและหลักธรรมในการทำสิ่งทั้งหลาย ตลอดจนท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อพระเจ้าและหลักธรรมที่ควรปฏิบัติตามในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล—ซึ่งพี่น้องชายหญิงกล่าวถึงระหว่างการชุมนุมหรือในขณะที่กำลังทำหน้าที่ของตน—พวกเขากลับปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยท่าทีดูหมิ่น  คนบางคนทำหน้าที่ แต่พวกเขากลับเพิกเฉยหลักธรรมที่พระนิเวศน์ของพระเจ้ากำหนดไว้อย่างสิ้นเชิง โดยทำสิ่งทั้งหลายตามที่พวกเขาได้วางแผนเอาไว้  ทันทีที่เจ้าสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมกับพวกเขาเสร็จสิ้น พวกเขาเห็นพ้องต่อหน้าเจ้า แต่จากนั้นก็หันกลับไปกระทำการตามอำเภอใจและมุทะลุ แสดงแง่มุมที่เป็นปิศาจของพวกเขาออกมา  นอกจากนี้ ยังมีคนที่ดูจากภายนอกเหมือนมนุษย์ที่ดี แต่เมื่อเจ้าพูดคุยหรือสนทนากับพวกเขา ทัศนะของพวกเขากลับผิดเพี้ยน น้ำเสียงของพวกเขาก็ไม่ถูกต้อง และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คืออุปนิสัยของพวกเขาไม่ถูกต้อง ทำให้ไม่อาจสนทนากับพวกเขาได้  เมื่อเจ้าถามพวกเขาว่า “พระเจ้าทรงดำรงอยู่ในโลกหรือไม่?” พวกเขาย่อมตอบว่า “ฉันไม่รู้”  เจ้ากล่าวว่า “เรื่องนี้ควรทำเช่นนี้ นี่เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า”  พวกเขาตอบกลับว่า “คุณไม่พอใจฉันหรือ?  คุณกำลังหาเรื่องฉันอยู่หรือเปล่า?  คุณกำลังพยายามขับไล่ฉันอย่างนั้นหรือ?”  เจ้ากล่าวว่า “การกระทำเช่นนี้เป็นการเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและระบายความคิดลบออกมา นั่นอาจทำให้ผู้เชื่อใหม่บางคนสะดุด  พวกเราต้องยึดมั่นกฎเกณฑ์ของพระนิเวศน์ของพระเจ้า และพวกเราต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับหลักธรรมที่ควรทำตามในการปฏิสัมพันธ์และการสมาคมระหว่างผู้คน  หากสิ่งที่พูดและทำไม่สามารถช่วยหรือเจริญใจผู้อื่นได้ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ควรมีผลกระทบที่เป็นลบต่อผู้อื่น  นี่คือเหตุผลที่ใครบางคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี”  พวกเขากล่าวว่า “พูดเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ปกติกับฉัน สั่งสอนฉันเรื่องกฎเกณฑ์ คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร?  ฉันระบายความคิดลบแล้วผิดตรงไหน?  สำหรับผู้เชื่อใหม่แต่ละคนที่สะดุด นั่นคือผู้เชื่อใหม่ลดลงหนึ่งคน—ช่วยให้ฉันไม่ต้องรำคาญกับการพบเห็นพวกเขา!”  การพูดคุยเรื่องกฎเกณฑ์กับพวกเขาย่อมไร้ประโยชน์ และการหารือเรื่องความเป็นมนุษย์ก็เช่นกัน  แล้วการสามัคคีธรรมความจริงและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าเล่า?  พวกเขาไม่ฟังการสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าเช่นกัน  ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์พวกเขา ไม่มีใครกล้ารบกวนหรือยั่วยุพวกเขา  มีผู้คนประเภทนี้ในคริสตจักรหรือไม่?  (มี)  ในบรรดาผู้ที่ถูกเอาตัวออกไป ย่อมมีคนประเภทนี้อยู่จริงๆ  คนเหล่านี้เป็นคนลงแรง ประชากรของพระเจ้า หรือเป็นอะไร?  (พวกเขาคือคนที่ถูกกำจัดออกไป)  เหตุใดพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป?  (เพราะไม่ยอมรับความจริง เพราะรังเกียจความจริง)  นี่คือแก่นแท้ของปัญหา  แล้วทำไมพวกเขาจึงไม่ยอมรับความจริง?  ทำไมพวกเขาจึงรังเกียจความจริง?  สาเหตุรากฐานคืออะไร?  (แก่นแท้ของคนเหล่านี้คือผู้ไม่เชื่อ)  ถูกต้อง แก่นแท้ของพวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ  ในคริสตจักรมีผู้ไม่เชื่ออยู่ไม่น้อย แต่ผู้ไม่เชื่อทั้งหมดเป็นเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  บุคคลเหล่านี้ที่ขาดแม้แต่คุณธรรมขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์และการอบรมเลี้ยงดู—พวกเขาถูกกำจัดออกไปเพียงเพราะเป็นผู้ไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป?  โดยรากฐานแล้ว นี่คือปัญหาของความเป็นมนุษย์ ผู้คนเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีและมุ่งร้าย  พูดให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาขาดความเป็นมนุษย์  เมื่อพวกเขาขาดความเป็นมนุษย์ พวกเขาย่อมเป็นเช่นไร?  พวกเขาเป็นคนที่มีธรรมชาติเยี่ยงมาร  คนที่มีธรรมชาติเยี่ยงมารเปรียบเทียบกับสัตว์เดรัจฉานแล้วเป็นอย่างไร?  เราคิดว่าพวกเขาแย่ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก สัตว์เดรัจฉานบางชนิดสามารถเชื่อฟังและหลีกเลี่ยงการทำผิดได้  ตัวอย่างเช่น สุนัขสามารถเป็นสัตว์ที่ดีมากได้ สุนัขบางตัวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ยอดเยี่ยม เข้ากับมนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยม!  พวกมันเชื่อฟังและเฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ เข้าใจทุกสิ่งที่ผู้คนพูด และพวกมันเหมาะที่จะเลี้ยงเอาไว้ในบ้าน  สุนัขดังกล่าวดีกว่ามนุษย์ที่ไม่เชื่อฟังมากมายนัก  มีผู้คนจำนวนมากที่แย่ยิ่งกว่าสุนัขดีๆ เสียอีก  แล้วพวกเขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?  ไม่ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาไร้ความเป็นมนุษย์  ผู้คนมากมายไม่เข้าใจภาษามนุษย์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสื่อสารกับพวกเขา  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงไม่ว่าจะสามัคคีธรรมกันอย่างไร พวกเขาพร่ำบ่นเมื่อถูกตัดแต่ง และเมื่อถูกกำจัดออกไป พวกเขาก็โกรธเกรี้ยวพูดจาหยาบคาย แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเชื่อมานานกี่ปีแล้วก็ตาม พวกเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย  ยังอนุญาตให้ผู้คนเหล่านี้อยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าได้อีกหรือ?  (ไม่ได้)  พวกเขาไม่อาจถูกปล่อยให้อยู่ต่อไปได้  บุคคลเช่นนี้ควรถูกจำแนกอยู่ในประเภทใด?  ก่อนอื่น ควรจัดคนเหล่านี้ให้อยู่ในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่?  (ไม่)  หากพวกเขาไม่อยู่ในหมู่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาควรถูกจัดอยู่ในประเภทใด?  การไม่อยู่ในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—ควรตีความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่าจากมุมมองของความเป็นมนุษย์ที่พวกเขาแสดงออกและใช้ชีวิตอยู่นั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการเป็นผู้ไม่เชื่อ แก่นแท้ของพวกเขาไม่ใช่มนุษย์  มีผู้ไม่เชื่อมากมาย—แต่พวกเขาทั้งหมดเป็นคนไม่ดีและมุ่งร้ายเหมือนคนเหล่านี้หรือไม่?  ไม่  แม้แต่ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อก็ใช่ว่าทุกคนเลวถึงเพียงนั้น คนบางคนมีมาตรฐานศีลธรรมขั้นพื้นฐานที่สุด  แล้วคนเหล่านี้เล่า?  พวกเขาขาดแม้กระทั่งศีลธรรมและการอบรมเลี้ยงดูขั้นพื้นฐานที่สุดที่ผู้ไม่มีความเชื่อมี พูดให้ถูกต้องก็คือ การเผยของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาดำเนินชีวิตไม่เป็นไปตามมาตรฐานศีลธรรมของมนุษย์  แก่นแท้ของคนเหล่านี้คือความเป็นมาร  จากมุมมองเรื่องแก่นแท้ของพวกเขา พระเจ้าจะทรงช่วยพวกเขาให้รอดหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  และเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเลวและมุ่งร้าย มีธรรมชาติเยี่ยงปิศาจ และด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงรังเกียจความจริงและต้านทานความจริง  จริงๆ แล้ว การกล่าวเช่นนี้เป็นการยกย่องพวกเขา หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ คนเหล่านี้รังเกียจและเกลียดชังสิ่งที่เป็นบวก แต่ไม่ถึงระดับรังเกียจความจริงและไม่ยอมรับความจริง  พวกเขารังเกียจ เกลียดชัง และต้านทานแม้แต่สิ่งที่เป็นบวกขั้นพื้นฐานที่สุด กฎเกณฑ์ที่คนคนหนึ่งซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรทำตามและการอบรมเลี้ยงดูที่พวกเขาควรมีล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาขยะแขยง  พวกเขายอมรับความจริงได้หรือไม่?  (พวกเขาไม่ถึงระดับนั้น)  ถูกต้อง พวกเขาไม่ถึงระดับนั้น พวกเขาเป็นไม่ได้แม้แต่คนลงแรง  บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อเขาเป็นไม่ได้แม้แต่คนลงแรง แล้วพวกเขาถูกมองว่าเป็นอะไรในพระนิเวศน์ของพระเจ้า?  พวกเขาเข้ามาในพระนิเวศน์ของพระเจ้าได้อย่างไร?”  หากพวกเราจะบรรยายถึงพวกเขาและจัดประเภทให้กับพวกเขา พูดให้ถูกต้องแล้ว คนเหล่านี้ก็เหมือนลูกจ้างหรือคนทำงานชั่วคราวที่นำเข้ามาจากหมู่ไม่มีความเชื่อ  ความหมายนี้ชัดเจนหรือไม่?  นี่คือประเภทของพวกเขา รวมถึงบทบาทที่พวกเขาแสดงในพระนิเวศน์ของพระเจ้า  พวกเขาไม่ใช่แม้แต่คนลงแรง เราไม่ถือว่าพวกเขาเป็นคนลงแรง เพราะพวกเขาไม่คู่ควร!  คนลงแรงมีลักษณะนิสัยอย่างการมีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบาก และพวกเขาดำเนินชีวิตตามสิ่งเหล่านี้  คนเหล่านี้ขาดแม้แต่คุณสมบัติเหล่านี้ ดังนั้น การจำแนกพวกเขาเป็นลูกจ้างย่อมเป็นการแสดงความเมตตาต่อพวกเขาอย่างที่สุดและสุภาพมากแล้ว  การเป็นลูกจ้างหรือคนทำงานชั่วคราวหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่า เมื่อมีความจำเป็นพิเศษในช่วงเวลาหนึ่ง พระนิเวศน์ของพระเจ้าจึงสรรหาบุคคลบางคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการได้รับความรอดมาเพื่อทำกิจบางอย่างให้เสร็จสิ้น  หลังจากที่กิจเหล่านี้เสร็จสิ้นแล้ว ธาตุแท้ของพวกเขาก็ถูกเผยออกมา  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ทนทุกข์จากการปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้มามากพอแล้ว จนกลายเป็นความเอือมระอาอย่างสุดจะทน และนอกจากนี้ ยังได้รับวิจารณญาณแยกแยะพวกเขาอย่างเพียงพอแล้ว  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น คนเหล่านี้ควรถูกเอาตัวออกไป นี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการกระทำดังกล่าว  เมื่อครู่ได้บรรยายอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าคนเหล่านี้มาจากไหน?  (ใช่)  พวกเขาคือลูกจ้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการได้รับการช่วยให้รอด ซึ่งถูกนำเข้ามาในช่วงเวลาพิเศษของงานคริสตจักร  หลังจากทำงานเล็กๆ น้อยๆ และทำงานรับใช้ไปสักพักหนึ่ง คนเหล่านี้ก็กระทำความผิดอย่างไม่ยั้งคิดภายในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนมากมาย  บทบาทที่พวกเขาแสดงคือลักษณะนิสัยที่เป็นลบ  พวกเขาสะท้อนโฉมหน้าที่แท้จริงของซาตานและหมู่มาร ก่อกวนงานของคริสตจักร และทำลายระเบียบของชีวิตคริสตจักร  พูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ สามารถกล่าวได้ว่าคนเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศน์ของพระเจ้า เช่น สร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์ เครื่องจักร สิ่งของมีค่าในพระนิเวศน์ของพระเจ้าเป็นจำนวนมาก เป็นต้น  สามารถกล่าวได้ว่าการกระทำและพฤติกรรมของคนเหล่านี้ได้กระตุ้นให้เกิดความโกรธอย่างกว้างขวาง  แน่นอนว่า พวกเขายังได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรียนรู้บทเรียนและได้รับวิจารณญาณแยกแยะ เรียนรู้ว่ามารคืออะไรและอะไรคือความหมายของการขาดความเป็นมนุษย์ และได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ไม่เชื่ออย่างชัดเจน พวกเขาได้ทำให้ผู้คนมองเห็นในหนทางที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้นถึงความคิดและมุมมองของผู้ไม่เชื่อ สิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า สิ่งที่พวกเขาปรารถนาที่อยู่ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา ท่าทีต่อพระเจ้าและความจริงที่พวกเขาเก็บงำไว้ และท่าทีต่อหน้าที่ที่พวกเขาเก็บงำเอาไว้ และต่อสิ่งที่เป็นบวก แม้แต่ท่าทีที่คนเหล่านี้เก็บงำไว้ต่อข้อบังคับบางประการที่พระนิเวศน์ของพระเจ้าจัดทำขึ้น เป็นต้น  เมื่อเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ วิธีที่คนเหล่านี้ดำเนินชีวิตตามความเป็นมนุษย์ของตน แก่นแท้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า ล้วนถูกเปิดโปงโดยสมบูรณ์  ดังนั้น การเก็บคนเหล่านี้ไว้ในคริสตจักรจึงดูเหมือนเกินความจำเป็น นั่นจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเลย  นี่เป็นเวลาที่พวกเขาต้องจากไป  เช่นนั้น หากพวกเรากล่าวว่าพระนิเวศน์ของพระเจ้าได้ให้เวลาและให้โอกาสพวกเขาอย่างเพียงพอแก่การยอมรับความจริงและนมัสการพระเจ้า นี่เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  แล้วควรจะกล่าวอย่างไร?  พระนิเวศน์ของพระเจ้าได้ให้โอกาสมากพอและให้เวลาอย่างเพียงพอที่พวกเขาจะกลับตัว แต่ผลลัพธ์สุดท้ายกลับเผยให้เห็นข้อเท็จจริงว่า มารย่อมเป็นมารเสมอไม่ว่าเวลาใด และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย  นี่คือข้อเท็จจริง  เป็นไปได้หรือที่จะทำให้พญานาคใหญ่สีแดงยอมรับพระสถานะและพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า?  การทำให้ผู้คนที่มีธรรมชาติเยี่ยงปิศาจเหล่านี้เปลี่ยนแปลงและทำตามกฎเกณฑ์บางอย่าง—การนี้สามารถสัมฤทธิ์ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาไม่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้  การให้โอกาสพวกเขาไม่ใช่เพื่อให้พวกเขายอมรับความจริง ตระหนักถึงพระราชกิจของพระเจ้า หรือกระทำการตามหลักธรรมความจริง แต่เป็นการให้โอกาสพวกเขาที่จะกลับตัว  หากมีสัญญาณแม้เพียงเล็กน้อยว่าพวกเขาได้กลับตัวแล้ว จุดจบสุดท้ายของพวกเขาอาจเปลี่ยนไป  อย่างไรก็ตาม ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับพวกเขา ธรรมชาติเยี่ยงปิศาจของพวกเขามักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ  ไม่ว่าจะให้เวลาและโอกาสกับพวกเขามากมายเพียงใดก็ตาม สิ่งที่พวกเขาดำเนินชีวิตและแก่นแท้ของพวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือข้อเท็จจริง  เพราะฉะนั้น หนทางสุดท้ายที่จะรับมือกับผู้คนเหล่านี้คือการปลดพวกเขาออกจากหน้าที่ ให้พวกเขาไปจากคริสตจักร และทำให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่มีความผูกพันหรือสัมพันธภาพกับพระนิเวศน์ของพระเจ้าอีกต่อไป  มีใครบ้างหรือไม่ที่จะลังเลเมื่อเห็นพวกเขาจากไปและสงสารพวกเขาด้วยการกล่าวว่า “คนเหล่านี้ยังค่อนข้างอายุน้อยอยู่ ถ้าให้เวลาพวกเขา พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยม  พวกเขามีขีดความสามารถดีขนาดนั้น มีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษอย่างมาก—ถ้าพวกเขายอมรับความจริงได้จะยอดเยี่ยมขนาดไหน!  ถ้าพระนิเวศน์ของพระเจ้าสามารถมีความผ่อนปรนและเปี่ยมรักมากขึ้น รวมทั้งให้โอกาสพวกเขากลับใจมากขึ้น บางทีเมื่อพวกเขาอายุมากขึ้น สิ่งต่างๆ อาจจะลงเอยแตกต่างออกไปก็ได้”?  ผู้คนที่คิดแบบนี้เป็นคนประเภทใด?  (คนเลอะเลือน คนที่สับสนงุนงง)  ถูกต้อง  พวกเขาล้วนเป็นคนเลอะเลือนและสับสนงุนงง—แค่คนพาล!  พระเจ้าไม่ทรงช่วยคนประเภทนี้ให้รอด  และพระนิเวศน์ของพระเจ้าก็ไม่อนุญาตให้พวกเขาอยู่—พวกเขามีอะไรให้น่าสงสาร?  พระเจ้าตรัสว่า พระองค์จะไม่ทรงช่วยผู้คนเหล่านั้น แต่เจ้ากลับแนะนำว่าให้โอกาสพวกเขากลับใจ  เจ้าสามารถช่วยผู้คนให้รอดได้เช่นนั้นหรือ?  นี่เป็นการต่อต้านพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  เจ้ากำลังพยายามทำให้คนอื่นคิดว่าเจ้าเปี่ยมรักกว่าพระเจ้าอยู่หรือเปล่า?  เจ้ามีความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  เจ้าสามารถมองทะลุแก่นแท้ของคนคนหนึ่งหรือไม่?  ใครกันที่สามารถช่วยผู้คนให้รอดได้ พระเจ้าหรือเจ้า?  การอาจหาญต่อต้านพระเจ้า—นี่เป็นการโอหัง คิดว่าตนเองถูก และขาดเหตุผลมากเกินไปใช่หรือไม่?  นี่คือการกบฏครั้งใหญ่ไม่ใช่หรือ?  นี่คือซาตานหรือวิญญาณชั่วที่มาเกิดใหม่และมีความสุขกับการต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอไม่ใช่หรือ?  ผู้ไม่เชื่อที่เพิ่งถูกกล่าวถึงเมื่อครู่แย่ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน  ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ แม้แต่การตัดแต่งพวกเขาก็ไร้ผล  สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขามีธรรมชาติของซาตานและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  หากใครบางคนต้องการให้โอกาสพวกที่เป็นเยี่ยงซาตานเหล่านี้กลับใจ ก็ให้พวกเขาดูแลคนเหล่านี้ พวกเราจะได้เห็นว่าพวกเขามีความรักที่แท้จริงหรือไม่  ผู้ไม่เชื่อที่ไม่ยอมรับความจริงเลยเหล่านั้นเป็นพวกที่เลวร้ายที่สุดในคริสตจักร พวกเขาล้วนเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉาน อยู่เหนือเหตุผลและไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด  ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน การปฏิบัติของคริสตจักรต่อพวกเขานั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว คริสตจักรได้แสดงความอดทนและความผ่อนปรนต่อพวกเขาอย่างใหญ่หลวง และให้โอกาสพวกเขามากเพียงพอแล้ว  แต่จนถึงทุกวันนี้ พวกเขายังไม่เปลี่ยนแปลงเลย มิหนำซ้ำหนทางของพวกเขายังทวีความรุนแรงขึ้น  ในตอนแรก เมื่อคนเหล่านี้มาเชื่อในพระเจ้าด้วยมโนคติอันหลงคิด ความคิดฝัน และความอยากได้พรของตน พวกเขาสามารถยับยั้งตนเองได้บ้าง รวมทั้งทำหน้าที่ของตนด้วยความกระตือรือร้นและความฮึกเหิมอยู่บ้าง  อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด เมื่อพวกเขาเห็นว่า “การเชื่อในพระเจ้าหมายถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า และนบนอบพระเจ้า และนั่นคือทั้งหมด” ท่าทีของพวกเขาต่อพระเจ้าและความจริง รวมถึงธาตุแท้ของพวกเขาก็ถูกเปิดโปงอย่างครบถ้วน  สิ่งใดที่ถูกเปิดโปงบ้าง?  พวกเขาไม่เพียงไร้ความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และเหตุผลเท่านั้น แต่พวกเขายังโหดเหี้ยม เลวร้าย และป่าเถื่อนอย่างที่สุด  พวกเขาดูหมิ่นพระเจ้าและความจริง อีกทั้งยังมองข้อกำหนดและกฎของพระนิเวศน์ของพระเจ้า—และกฎการปกครองของพระเจ้า—ด้วยความเป็นปฏิปักษ์และแข็งขืน  การสำแดงเหล่านี้ของพวกเขาได้ทำให้ความรังเกียจและสะอิดสะเอียนที่ประชากรของพระเจ้ามีต่อพวกเขาทวีความรุนแรงขึ้น อีกทั้งยังเร่งให้พระนิเวศน์ของพระเจ้าชำระพวกเขาออกไปให้เร็วขึ้นอีกด้วย สุดท้ายก็พิจารณาอย่างรวดเร็วว่าพวกเขาจะอยู่หรือไป ตัดสินจุดจบและโชคชะตาของพวกเขา  จุดจบและโชคชะตาของพวกเขาเกิดจากพวกเขาเอง ไม่ได้เกิดจากการยุยงหรือปลุกปั่นของใคร หรือเพราะใครบีบบังคับหรือล่อลวงคนเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากรูปการณ์แวดล้อมที่เป็นข้อเท็จจริงอย่างแน่นอน จุดจบและโชคชะตาของพวกเขาเกิดจากตัวพวกเขาเอง เป็นผลจากการเลือกของพวกเขา และถูกกำหนดโดยแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาและเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดิน  จุดจบและโชคชะตาของคนเหล่านี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เมื่อพวกเขาถูกเอาตัวออกจากกลุ่มของผู้ที่ทำหน้าที่ของตนแล้ว จากนั้นพวกเขาก็ไม่ใช่แม้แต่คนลงแรงอีกต่อไป  เจ้าย่อมสามารถจินตนาการได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาจะมีโชคชะตาแบบใด—นั่นไม่ควรค่าที่จะกล่าวในที่นี้ เพราะพวกเขาไม่คู่ควร

เมื่อพูดถึงประเภทของผู้คนที่ถูกเผยและถูกกำจัดออกไป การสำแดงของการทำชั่วนานัปการของพวกเขา รวมถึงวาจาและถ้อยคำที่มุ่งร้ายซึ่งพวกเขาเผยออกมาในชีวิตประจำวัน ย่อมมองเห็นได้อย่างชัดเจน  กระนั้นก็ตาม ผู้นำและคนทำงานบางคนกลับไม่สามารถแยกแยะผู้คนที่ชั่วเหล่านี้ว่าแท้จริงแล้วคนชั่วเหล่านี้เป็นใคร หรือมองทะลุถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  ดูเหมือนผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ไม่ตระหนักเลยว่าคนเหล่านี้เป็นคนชั่วและเป็นผู้ไม่เชื่อ ดังนั้นจึงไม่มีแผนการที่จะชำระพวกเขาออกจากคริสตจักร หรือจัดการกับพวกเขาอย่างเหมาะสม  นี่เป็นการละเลยความรับผิดชอบของตนในฐานะผู้นำและคนทำงานอย่างร้ายแรง  ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้มองดูด้วยความตระหนักว่าคนที่มีธรรมชาติเยี่ยงปีศาจเหล่านี้ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ใดๆ ของพระนิเวศของพระเจ้า ในขณะที่คนเหล่านี้ก่อความวุ่นวาย ก่อกวนและทำลายงานของคริสตจักรรวมถึงระเบียบของชีวิตคริสตจักรโดยไม่ยั้งคิด พวกเขาถึงกับปล่อยให้คนเหล่านี้กระทำการอย่างอุกอาจและไม่ระมัดระวัง ประพฤติตนอย่างไม่เคารพกฎระเบียบ และทำลายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าภายใต้ข้ออ้างในการทำหน้าที่ของตน  การทำลายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าครอบคลุมหลายสิ่งหลายอย่าง อาทิ การทำลายเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า ทำลายอุปกรณ์และเครื่องใช้สำนักงานต่างๆ ของพระนิเวศของพระเจ้า แม้แต่การผลาญของถวายตามใจชอบ เป็นต้น  สิ่งที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือพวกเขาปล่อยให้ความเห็นนอกรีตและตรรกะวิบัติต่างๆ แพร่หลายโดยไม่ใส่ใจ เป็นเหตุให้เกิดการก่อกวนจนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างสงบสุข เป็นการก่อกวนจนคนที่อ่อนแอและคิดลบละทิ้งหน้าที่ของตนและสูญเสียความเชื่อในการติดตามพระเจ้า  คนชั่วเหล่านี้ทำสิ่งเลวร้ายทั้งหมดนี้ พวกเขากระทำความชั่วทั้งหมดนี้ที่เป็นการก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร แถมยังสร้างความเสียหายแก่พี่น้องชายหญิง แต่ผู้นำและคนทำงานกลับแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด พวกเขาบางคนถึงกับกล่าวว่า “ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย ไม่เคยมีใครบอกฉัน!”  พวกสัตว์เดรัจฉานและปีศาจกลุ่มนั้นได้ก่อความหายนะมากมาย ก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายในคริสตจักร แต่ผู้นำและคนทำงานกลับไม่รู้และไม่ตระหนักในเรื่องนี้เลย!  พวกเขาต่ำช้าไม่ใช่หรือ?  หัวใจของพวกเขาอยู่ที่ใด?  พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่?  พวกเขาก็แค่พูดจาไร้สาระเท่านั้นไม่ใช่หรือ?  พวกเขากำลังละเลยงานที่ถูกที่ควรของตนอยู่ไม่ใช่หรือ?  แต่ละวันที่ผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นทำงานก็คืออีกหนึ่งวันที่คนชั่วสารพัดประเภทก่อกวนคริสตจักรอย่างไม่ยั้งคิดและทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นั่นเป็นเพราะพวกผู้นำเทียมเท็จไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน กลุ่มสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นจึงปล่อยเวลาให้หมดวันด้วยการอยู่เฉยๆ ไม่ทำหน้าที่หรือทำตามกฎเกณฑ์ใดๆ เกาะพระนิเวศของพระเจ้ากิน เพลิดเพลินกับผลประโยชน์ทางวัตถุและสวัสดิการอันหลากหลายในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างเสรี—พวกเขาถึงกับจงใจก่อกวนงานของคริสตจักร ทำให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ในพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย  นี่คือวิธีปฏิบัติตนของพวกเขา แต่พวกเขากลับยังคงคาดหวังที่จะใช้ชีวิตสบายๆ และทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ตนพอใจในพระนิเวศของพระเจ้าโดยไม่ให้ใครมารบกวนหรือยั่วยุพวกเขา  นี่เป็นประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงยิ่ง แต่ผู้นำและคนทำงานกลับเพิกเฉย ไม่ยอมแก้ไขเรื่องนี้แม้เมื่อมีคนมารายงานแล้วก็ตาม—พวกเขาคือขยะที่ไม่ทำงานจริงจังไม่ใช่หรือ?  นี่คือการละเลยความรับผิดชอบอย่างร้ายแรงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่ได้แก้ปัญหานั้นเพราะฉันยุ่งกับงานอื่นอยู่  ฉันยังไม่มีเวลาทำเลยจริงๆ!”  คำพูดเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่?  หากเจ้าไม่แก้ปัญหาที่ร้ายแรงเช่นนี้แล้วเจ้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับอะไร?  เรื่องที่เจ้ายุ่งอยู่นั้นมีคุณค่าหรือไม่?  เจ้าสามารถจัดลำดับความสำคัญของงานของตนหรือไม่?  ไม่ว่าเจ้าจะยุ่งกับงานมากแค่ไหน ก็ควรให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาก่อนไม่ใช่หรือ?  การเข้าใจและจัดการกับผู้คนหลากหลายประเภทที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีก็คือความรับผิดชอบของเหล่าผู้นำและคนทำงาน  หากเจ้าวางปัญหาที่แท้จริงเอาไว้แล้วไปยุ่งกับเรื่องอื่น เจ้ากำลังทำงานที่แท้จริงอยู่หรือไม่?  หากเจ้าพบประเด็นปัญหาหรือใครบางคนมารายงานประเด็นปัญหาหนึ่งต่อเจ้า เจ้าควรวางงานในมือลงแล้วรีบไปที่สถานที่เกิดเหตุทันที พร้อมดูว่าต้นกำเนิดของปัญหานั้นคืออะไร  หากเป็นคนชั่วสักคนที่ก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร เจ้าก็ควรชำระคนชั่วคนนี้ออกไปเสียก่อน  หลังจากนั้น การแก้ปัญหาอื่นๆ ก็จะง่ายดาย  หากเจ้าพบปัญหาและไม่จัดการแก้ไข โดยอ้างว่าเจ้ายุ่งเกินไป ในความเป็นจริงเจ้าก็แค่กำลังวิ่งวุ่นเหมือนหนูติดจั่นไม่ใช่หรือ?  อย่างไรก็ตาม เจ้ายุ่งกับอะไรนักหนากันแน่?  นั่นคืองานที่แท้จริงหรือไม่?  เจ้าสามารถอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างได้หรือไม่?  เหตุผลกับข้อแก้ตัวทั้งหลายของเจ้าฟังขึ้นหรือไม่?  เหตุใดเจ้าจึงปฏิบัติต่อการแก้ปัญหาเหมือนไม่มีความสำคัญเลย?  เหตุใดเจ้าจึงไม่แก้ปัญหาอย่างทันท่วงที?  เหตุใดเจ้าจึงหาข้อแก้ตัวและหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆ ด้วยการกล่าวว่า เจ้ายุ่งเกินไปที่จะดูแลเรื่องเหล่านี้?  นี่คือการไม่รับผิดชอบไม่ใช่หรือ?  ในฐานะผู้นำในคริสตจักร การไม่จัดลำดับความสำคัญให้กับการแก้ปัญหาเป็นอันดับแรก การทำตัวยุ่งอยู่กับเรื่องสัพเพเหระต่างๆ การไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่งยวด การไม่สามารถแยกแยะความสำคัญกับความเร่งด่วนในงานและไม่สามารถเข้าใจประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งได้—สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงขีดความสามารถที่อ่อนด้อยเป็นอย่างยิ่ง และคนเช่นนั้นคือคนเลอะเลือน  ไม่ว่าเจ้าได้เป็นผู้นำมากี่ปีแล้วก็ตาม เจ้าก็ไม่สามารถปฏิบัติงานของคริสตจักรให้ดีได้  เจ้าควรยอมรับผิดชอบและลาออกเสีย  หากผู้นำมีขีดความสามารถที่อ่อนด้อยเกินไป การฝึกฝนใดๆ ย่อมไร้ประโยชน์ พวกเขาจะไม่สามารถทำงานใดให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน—พวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จที่ต้องถูกปลดและถูกโยกย้าย  เมื่อผู้นำเทียมเท็จทำงาน ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร?  หากพูดอย่างเป็นกลางแล้ว ทุกสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จทำล้วนนำมาซึ่งความสูญเสียต่อคริสตจักรในหลากหลายแง่มุม  ประการหนึ่งก็คือ ไม่ได้ทำงานสำคัญของคริสตจักรให้ดี ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิผลของงานต่างๆ นานาในคริสตจักร  พร้อมกันนั้น ก็ยังทำร้ายและส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอีกด้วย  ที่สำคัญที่สุด นั่นยังส่งผลต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร  ผลสืบเนื่องเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง  กล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการที่ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริงทั้งสิ้น  หากผู้นำและคนทำงานอื่นๆ สามารถทำงานจริงบางอย่างได้อย่างแข็งขัน โดยเร่งความเร็วและลดระยะเวลาในการแก้ปัญหาลง ความสูญเสียต่างๆ นานาที่ผู้นำเทียมเท็จก่อให้เกิดกับพระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะบรรเทาลงบ้างไม่ใช่หรือ?  อย่างน้อยที่สุด ความสูญเสียเหล่านั้นย่อมลดลงได้  ต่อให้พระนิเวศของพระเจ้าไม่เรียกร้องให้เจ้าจัดการกับปัญหาทั้งหลายทันทีที่เกิดปัญหาขึ้น แต่อย่างน้อยที่สุด เมื่อมีการรายงานปัญหา เจ้าก็ควรเริ่มจัดการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นในทันที กล่าวคือ สอบถามสถานการณ์จากพี่น้องชายหญิง รวมทั้งหารือและสามัคคีธรรมกับผู้นำและคนทำงานอื่นๆ ว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร  หากประเด็นปัญหานี้ร้ายแรงและเจ้าไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร เจ้าก็ควรรายงานประเด็นปัญหานี้ขึ้นไปทันทีและแสวงหาหนทางแก้ไข  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานทุกคนควรสัมฤทธิ์  แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือ แม้ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ก็ไม่รายงานขึ้นไป  พวกเขากลัวการรายงานขึ้นไปเป็นอย่างมาก เพราะเกรงจะเป็นการแพร่งพรายการไร้ความสามารถ ขีดความสามารถที่อ่อนด้อยจนเกินไป และการไม่สามารถทำงานจริงของตนเอง พวกเขากังวลว่าจะถูกปลด  กระนั้น พวกเขากลับไม่คิดริเริ่มที่จะทำงาน พวกเขาหัวทึบและด้านชา แถมกระทำการอย่างเชื่องช้า  เนื่องจากไม่มีเส้นทางในการแก้ปัญหา พวกเขาจึงได้แต่ทำแบบมั่วซั่วจนนำไปสู่การสะสมปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขมากมายเกินไป ดังนั้น จึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนชั่ว  ถึงตอนนี้ เมื่อเห็นว่าผู้นำเทียมเท็จเป็นคนไม่เอาไหน คนชั่วและพวกที่มีความทะเยอทะยานเหล่านั้นย่อมฉวยโอกาสกระทำความชั่วตามอำเภอใจโดยไม่ยั้งคิด ผลักให้คริสตจักรตกอยู่ในความวุ่นวายและไร้ระเบียบ ทำให้งานหยุดชะงักทุกด้าน  ถึงแม้เหล่าผู้นำเทียมเท็จควรแบกรับความรับผิดชอบหลัก แต่ผู้นำและคนทำงานอื่นๆ ก็ไม่ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนเช่นกัน  นี่คือการละเลยความรับผิดชอบอย่างร้ายแรงของผู้นำและคนทำงานไม่ใช่หรือ?  ในความเป็นจริง ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรมักเกี่ยวข้องโดยตรงกับการก่อกวนที่เกิดจากคนชั่วและผู้ไม่เชื่อ  หากผู้นำและคนทำงานไม่สามารถระบุต้นตอของปัญหาเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที ไม่สามารถหาตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหา และมองหาเหตุผลจากที่อื่นอยู่ร่ำไป เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถึงรากถึงโคน และปัญหาก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในภายภาคหน้า  หากจับตัวพวกที่ก่อปัญหาหรือผู้ที่สร้างปัญหาอยู่เบื้องหลังมารับผิดชอบโดยตรงได้ วิธีรับมือกับปัญหาเช่นนี้จึงจะมีประสิทธิผลมากที่สุด  อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ไม่เชื่อและคนชั่วเหล่านั้นจะไม่กล้าอาละวาดและเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนอีกต่อไป  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรสัมฤทธิ์ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  กล่าวอย่างแน่ชัดได้ว่าสาเหตุหลักที่ปัญหาของคริสตจักรเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงทีนั้นก็เพราะการไร้ความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน หรือเพราะผู้นำเทียมเท็จขาดความเป็นจริงความจริงและไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้  หากผู้นำและคนทำงานไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรได้ พวกเขาย่อมไม่สามารถปฏิบัติงานตามตำแหน่งของตนได้อย่างแน่นอน  ในที่นี้มีสถานการณ์และเหตุผลมากมายที่ต้องทำความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งคือ หากผู้นำและคนทำงานเป็นมือใหม่ที่ไร้ประสบการณ์ พวกเขาก็ควรได้รับความช่วยเหลืออย่างอดทน นำไปสู่การแก้ปัญหา รวมทั้งเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างและจับความเข้าใจหลักธรรมความจริงในกระบวนการแก้ปัญหา  พวกเขาจะค่อยๆ เรียนรู้การแก้ปัญหาในหนทางนี้  หากผู้นำและคนทำงานไม่ใช่คนที่เหมาะสม ปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิงและใช้มุมมองกับวิธีการแก้ไขปัญหาของผู้ไม่มีความเชื่อแทน เช่นนี้ย่อมไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  ผู้คนเช่นนั้นไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานและควรถูกปลดรวมทั้งถูกกำจัดออกไปทันที จากนั้นควรให้มีการเลือกสรรใหม่เพื่อเลือกผู้นำและคนทำงานที่เหมาะสม  แนวทางนี้เท่านั้นจึงจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างหมดจด  การเป็นผู้นำคริสตจักรไม่ใช่งานง่ายๆ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีบางปัญหาที่รับมือไม่ได้  อย่างไรก็ดี หากคนเรามีเหตุผล เมื่อเผชิญกับปัญหาทั้งหลายที่ตนแก้ไม่ได้ ก็ไม่ควรซ่อนเร้นหรือปิดบังและเพิกเฉยต่อปัญหาเหล่านั้น  แต่ควรปรึกษากับคนหลายๆ คนที่เข้าใจความจริงเพื่อร่วมกันหาทางแก้ไข ซึ่งอาจจะแก้ไขปัญหาได้ร้อยละเจ็ดสิบถึงแปดสิบ อย่างน้อยที่สุดก็ป้องกันไม่ให้เกิดประเด็นปัญหาใหญ่ๆ ขึ้นได้เป็นการชั่วคราว  นี่คือเส้นทางที่สามารถปฏิบัติได้  หากไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหลายได้จริง เช่นนั้นคนเราก็ควรแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบน ซึ่งเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด  หากเจ้าปิดบังปัญหาและไม่รายงานปัญหาเหล่านั้นเพราะเกรงเสียหน้าหรือเกรงเบื้องบนจะตัดแต่งเจ้าที่เจ้าไร้ความสามารถ นี่คือการนิ่งเฉยโดยสิ้นเชิง  หากเจ้าปฏิบัติตนเหมือนคนโง่เขลาทึ่มทื่อสมองทึบ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นี่ย่อมจะทำให้เรื่องต่างๆ ล่าช้าออกไป  สถานการณ์เช่นนี้เปิดโอกาสให้กับคนชั่วกับพวกศัตรูของพระคริสต์ เอื้ออำนวยให้พวกนั้นฉวยโอกาสจากความโกลาหลเพื่อกระทำการได้โดยง่าย  เหตุใดจึงกล่าวว่าพวกเขาฉวยโอกาสจากความโกลาหลเพื่อกระทำการ?  เพราะพวกเขากำลังรอโอกาสนี้อยู่นั่นเอง  เมื่อผู้นำและคนทำงานไม่สามารถรับมือกับปัญหาใดๆ ได้ และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกำลังรู้สึกวิตกกังวล ไม่สบายใจ และได้สูญเสียความไว้วางใจในตัวผู้นำและคนทำงานไปแล้ว คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ย่อมกำลังหาทางฉกฉวยประโยชน์จากช่องว่างนี้  คนพวกนั้นคิดว่าคริสตจักรอยู่ในสภาวะไร้ผู้นำหรือไร้การบริหารจัดการ  พวกเขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อโอ้อวดความสามารถของตนเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรยกย่องนับถือตน เกื้อหนุนตน และเชื่อว่าตนมีขีดความสามารถที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำและคนทำงานทั้งหลาย พวกเขามีความสามารถที่ดีกว่าในการแก้ปัญหาและนำไปสู่ทางออก รวมทั้งสามารถพลิกสถานการณ์ท่ามกลางความวุ่นวายได้ดีกว่า  นี่คือสิ่งที่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ต้องการทำมากที่สุดไม่ใช่หรือ?  ในเวลานี้ เมื่อผู้นำและคนทำงานไม่มีอำนาจ เมื่อคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ลุกขึ้นมาแก้ปัญหา ถึงขนาดนำไปสู่ทางออก ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะเชื่อใคร?  โดยธรรมชาติแล้ว ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมจะเชื่อคนชั่วและกองกำลังของศัตรูของพระคริสต์  การนี้แสดงถึงสิ่งใด?  แสดงให้เห็นว่าผู้นำและคนทำงานไร้ประโยชน์และไม่อาจทำสิ่งใดให้สำเร็จได้เลย และล้มเหลวในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง  ผู้คนเช่นนั้นยังคู่ควรที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานหรือ?  แม้ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีความเป็นจริงความจริงและไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้ พวกเขาล้วนมีพรสวรรค์ในระดับที่แตกต่างกันและค่อนข้างมีไหวพริบในเรื่องภายนอกมากกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองคือข้อได้เปรียบของพวกเขาและเป็นวิธีที่พวกเขาชักพาผู้คนให้หลงผิด  แต่หากพวกเขากลายเป็นผู้นำและคนทำงานขึ้นมา พวกเขาจะสามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้จริงหรือ?  พวกเขาสามารถนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้จริงหรือ?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  แม้พวกเขามีพรสวรรค์บางอย่างและพูดจาคล่องแคล่ว แต่พวกเขาก็ปราศจากความเป็นจริงความจริงโดยสิ้นเชิง  พวกเขาเหมาะที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานของคริสตจักรหรือไม่?  ไม่เลย!  นี่คือสิ่งที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องไม่มีวันถูกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดหรือหลอกลวงเป็นอันขาด  ผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเลย และไม่มีความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย  เช่นนั้นจงบอกเราทีว่า พวกเขาสามารถพูดสิ่งที่มีมโนธรรมและเหตุผล เช่น “แม้ตอนนี้คริสตจักรไม่มีใครรับผิดชอบดูแล พวกเราก็ต้องปฏิบัติตนตามความคิดริเริ่มของตนเอง  ข้อบังคับของพระนิเวศของพระเจ้าไม่สามารถละเมิดได้ และหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  พวกเราพึงทำสิ่งที่พวกเราควรทำ ทุกคนพึงยึดมั่นหน้าที่ที่ตนควรทำ ปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบของตน และไม่ขัดขวางความเป็นระเบียบ” หรือไม่?  พวกเขาพูดสิ่งเช่นนี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ไม่ได้อย่างแน่นอน!  ผู้ไม่เชื่อและผู้คนที่ชั่วเหล่านี้จะลงมือทำสิ่งใดบ้าง?  เมื่อไม่มีการเฝ้าระวังและการกำกับดูแล พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะทำหน้าที่ของตน หมกมุ่นอยู่กับการกิน การดื่ม การเล่น และความสนุกสนาน มีส่วนร่วมในการพูดจาเรื่อยเปื่อยไร้สาระ หยอกล้อ และถึงขั้นเกี้ยวพาราสีกัน  บางคนใช้เวลาทั้งคืนไปกับการดูวีดิทัศน์ของโลกที่ไม่มีความเชื่อ จากนั้นก็ใช้การนอนดึกเพราะทำหน้าที่ของตนเป็นข้ออ้างในการอู้งานและนอนหลับอย่างเกินพอดี  เหล่านี้คือการปฏิบัติตนของผู้คนที่ชั่วซึ่งจัดว่าเป็นพวกมาร  เมื่อพวกเขากระทำความชั่วเหล่านี้ พวกเขารู้สึกผิดบ้างหรือไม่?  พวกเขาจะมีมโนธรรมขึ้นมาทันทีและริเริ่มที่จะลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของมนุษย์บางประการ และทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักร และพี่น้องชายหญิงบ้างหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  เมื่อใครบางคนกำลังเฝ้าดู พวกเขาก็ทำงานบางอย่างโดยไม่เต็มใจนักเพื่อให้ตนดูดีและเพียงเพื่อแลกกับอาหารพอประทังชีวิต  นี่คือสิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้ นอกเหนือจากนี้ ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่มีคุณสมบัติที่ดีเลยแม้แต่ประการเดียว  ดังนั้น การที่ผู้คนเหล่านี้อาศัยอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้ามีประโยชน์อันใดหรือไม่?  ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย  ผู้คนดังกล่าวเป็นส่วนเกินและต้องถูกชำระออกไป

เจ้าจะประเมินได้อย่างไรว่าใครบางคนรักความจริงหรือไม่?  เราขอยกตัวอย่างหนึ่งเพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจ  คนบางคนมีส่วนร่วมในวิชาชีพหนึ่ง และยิ่งพวกเขาเรียนรู้มากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งศึกษาให้ลึกซึ้งขึ้น ยิ่งพวกเขาเข้าใจมากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในวิชาชีพนั้นและไม่เต็มใจที่จะละทิ้งวิชาชีพนั้น  นี่เป็นการสำแดงประเภทใด?  นี่หมายความว่าพวกเขาชอบวิชาชีพนี้อย่างแท้จริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  ไม่ว่าพวกเขาจะสู้ทนกับความยากลำบากเพียงใด ไม่ว่าจะจ่ายราคาเท่าใด ไม่ว่าพวกเขาจะทุ่มเทความพยายามมากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงอยู่ในวิชาชีพนี้ต่อไปโดยไม่เสียใจและไม่ท้อถอยเลย  นี่คือความรักอย่างแท้จริง เป็นความชื่นชอบอย่างจริงใจและลึกซึ้ง  สมมติว่ามีใครบางคนอ้างว่าตนชอบงานอย่างหนึ่งแต่ไม่เต็มใจที่จะสู้ทนความยากลำบากหรือจ่ายราคาระหว่างขั้นตอนของการเรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพ และเมื่อมีปัญหามากมายเกิดขึ้นในงาน พวกเขากลับไม่แสวงหาทางแก้ไข เกรงว่าจะเดือดร้อน และถึงกับรู้สึกว่าการมีส่วนร่วมในวิชาชีพนี้เป็นความยุ่งยากหรือเป็นภาระอยู่บ่อยครั้ง  อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนวิชาชีพไม่ใช่เรื่องง่าย และเมื่อพิจารณาถึงผลประโยชน์ทางวัตถุที่วิชาชีพนี้สามารถนำมาให้ คนคนนี้จึงมีส่วนร่วมอย่างเสียไม่ได้ แต่จะไม่มีวันกลายเป็นคนที่โดดเด่นในวิชาชีพนี้ได้เลย  แล้วพวกเขาชอบวิชาชีพนี้อย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่ชอบอย่างเห็นได้ชัด  มีคนอีกประเภทหนึ่งคือ คนที่แสดงออกถึงความชื่นชอบในวิชาชีพบางวิชาชีพด้วยคำพูด แต่ไม่เคยสู้ทนความยากลำบากหรือจ่ายราคาเพื่อเรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพให้ดีเลย  พวกเขาอาจถึงขั้นเกิดความรังเกียจหรือความสะอิดสะเอียนต่อวิชาชีพนั้นในระหว่างขั้นตอนของการเรียนรู้ จนกลายเป็นไม่เต็มใจที่จะเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อความสะอิดสะเอียนของพวกเขาไปถึงระดับหนึ่ง พวกเขาก็สับเปลี่ยนอาชีพ และหลังจากนั้นก็ไม่เต็มใจที่จะเอ่ยถึงกระบวนการ เรื่องราว หรือสิ่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่พวกเขามีส่วนร่วมในวิชาชีพนั้น  ผู้คนดังกล่าวชอบวิชาชีพนี้อย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่ชอบวิชาชีพนี้  พวกเขาสามารถละทิ้งวิชาชีพนี้ไปได้อย่างง่ายดาย รู้สึกขยะแขยงและถึงขั้นเปลี่ยนอาชีพ ซึ่งนั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ชอบวิชาชีพนี้จริงๆ  เหตุผลที่พวกเขาสามารถละทิ้งอาชีพนี้ได้ก็คือ หลังจากที่ลงทุนทั้งเวลา พละกำลัง และราคาไปอย่างมากมาย วิชาชีพนี้ก็ไม่เอื้ออำนวยให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งอย่างที่พวกเขาปรารถนา หรือเพลิดเพลินกับการตอบแทนทางวัตถุที่ดี  พวกเขาจึงเริ่มรังเกียจและสาปแช่งวิชาชีพนี้อยู่ในหัวใจ ถึงขนาดห้ามคนอื่นไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้ โดยตนเองก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป และถึงขั้นรู้สึกอับอายที่เคยมีส่วนร่วมในวิชาชีพนี้มาก่อน และเคยถือว่าวิชาชีพนี้คือความใฝ่ฝันของพวกเขาและเป็นเป้าหมายสูงสุดในการไล่ตามไขว่คว้าในชีวิต  เมื่อพิจารณาถึงระดับที่พวกเขาสามารถรังเกียจวิชาชีพนี้ การแสดงออกถึงความชื่นชอบวิชาชีพนี้ของพวกเขาในตอนแรกนั้นแท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  มีคนเพียงประเภทเดียวเท่านั้นที่รักวิชาชีพนี้อย่างแท้จริง—ไม่ว่าวิชาชีพนั้นจะมอบชีวิตทางวัตถุที่ดีหรือผลประโยชน์ที่มากมายแก่พวกเขาหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญความลำบากยากเย็นมากมายเพียงใดหรือสู้ทนความทุกข์ในวิชาชีพนี้มากมายเพียงใด พวกเขาก็สามารถยืนหยัดในวิชาชีพนี้ไปจนสุดทาง  นี่คือความชื่นชอบที่แท้จริง  สิ่งเดียวกันนี้นำมาใช้กับการที่คนคนหนึ่งรักความจริงหรือไม่  หากเจ้ารักสิ่งที่เป็นบวกอย่างแท้จริง โดยคืบหน้าจากการรักสิ่งที่เป็นบวกไปสู่การรักความจริง เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าเผชิญกับสถานการณ์ใด เจ้าก็จะยืนกรานที่จะแสวงหาและไล่ตามเสาะหาความจริง โดยไม่เปลี่ยนเป้าหมายชีวิตของเจ้า  หากเจ้าสามารถละทิ้งการเชื่อในพระเจ้าและทอดทิ้งเส้นทางแห่งความรอดได้อย่างง่ายดาย นี่ย่อมไม่ใช่การรักความจริงอย่างแท้จริง  ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่ก็ไม่ละทิ้งเช่นกัน พวกเขาบากบั่นด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้นคือ พวกเขาคิดว่าตราบใดที่มีความหวังเล็กๆ น้อยๆ สำหรับจุดจบและบั้นปลายที่ดี อนาคตที่ดี ก็ควรค่าที่จะเสี่ยง และพวกเขาควรบากบั่นไปจนถึงปลายทาง  พวกเขาเชื่อว่าความบากบั่นนี้เป็นสิ่งจำเป็น แต่บังเอิญว่าความวิบัติกำลังก่อตัวขึ้นและไม่มีที่อื่นให้ไปอีกแล้ว ดังนั้นพวกเขาคงต้องอยู่ที่นี่และลองเสี่ยงโชคดู  ในหัวใจของผู้คนดังกล่าวมีความรักให้กับความจริงแม้สักนิดหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่มีเลย  เมื่อพวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าในตอนแรก ผู้คนเหล่านี้ก็พูดถึงการเกลียดชังโลก เกลียดซาตาน เกลียดสิ่งที่เป็นลบ รักสิ่งที่เป็นบวก และถวิลหาความสว่างเช่นกัน  แต่เมื่อก้าวเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าและเข้ามาในคริสตจักรแล้ว พฤติกรรมของพวกเขาเป็นอย่างไร?  เมื่อพวกเขาพบว่าตนเป็นคนลงแรง เมื่อพวกเขาตระหนักว่าการปฏิบัติตน พฤติกรรม และธรรมชาติของพวกเขาไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า พวกเขามีท่าทีอย่างไร?  พวกเขาแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมประเภทใด?  สามารถกล่าวได้ว่า เมื่อพวกเขารับรู้ รู้สึก หรือคิดว่าพวกเขาไม่เป็นที่โปรดปรานในพระนิเวศของพระเจ้าอีกต่อไป และพวกเขากำลังจะถูกกำจัด บางคนก็เลือกที่จะจากไป  ส่วนคนอื่นแม้จะอยู่ในคริสตจักรอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ปล่อยตัวเองให้อยู่ในความสิ้นหวัง และถูกบังคับให้จากไปในที่สุด  ผู้คนเช่นนั้นไม่รักความจริงเลยสักนิด เมื่อความอยากได้พรของพวกเขาถูกทำลาย พวกเขาก็สามารถทรยศพระเจ้าและหันหลังให้กับพระองค์  การสำแดงนานัปการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงท่าทีของผู้คนประเภทต่างๆ ที่มีต่อความจริง

IV. จุดจบที่แตกต่างกันของผู้คนทั้งสามประเภทนี้

เมื่อครู่พวกเราสามัคคีธรรมถึงลักษณะนิสัยของผู้คนสามประเภท ได้แก่ คนลงแรง ลูกจ้าง และประชากรของพระเจ้า  จากลักษณะนิสัยของพวกเขา เป็นที่ประจักษ์ว่าจุดจบสุดท้ายของพวกเขาไม่ได้ถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อมหรือภาวะที่เป็นจริง แต่โดยการไล่ตามเสาะหาและแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  แน่นอนว่า หากพูดในแง่ของข้อเท็จจริงแล้ว พระเจ้าคือผู้ที่ทรงกำหนดชะตากรรมของผู้คน แต่พระเจ้าทรงกำหนดสิ่งเหล่านี้บนพื้นฐานที่ว่าผู้คนรักความจริงหรือไม่ และพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่  คนลงแรงก็อ้างตัวว่ารักความจริงและสิ่งที่เป็นบวกเช่นกัน แต่ในท้ายที่สุด เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้า ข้อเรียกร้องอันเกินควรที่พวกเขามีต่อพระเจ้า และการทรยศพระเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง  นี่เป็นเพราะว่า ในระหว่างช่วงเวลาแห่งพระราชกิจของพระเจ้า ในขั้นตอนของการติดตามพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตน พวกเขาจะไม่มีวันแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้เลย  สาเหตุรากเหง้าของการที่พวกเขาไม่สามารถจัดการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ก็คือการที่พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเป็นหลัก  แม้พวกเขามีความปรารถนาที่จะนบนอบพระเจ้า แต่สิ่งที่พวกเขาสำแดงอย่างแท้จริงมีเพียงความสามารถในการละทิ้งและความเต็มใจที่จะจ่ายราคา โดยไม่เคยแสวงหาหลักธรรมความจริงหรือหนทางแห่งการนบนอบพระเจ้าเลย  ผลลัพธ์สุดท้ายคือ แม้พวกเขาจะทุ่มเทความพยายามอย่างมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  พวกเขายังคงสามารถทรยศพระเจ้าและกล่าวแสดงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเกี่ยวกับพระองค์ รวมทั้งข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าอย่างไม่สมเหตุผลต่อหน้าผู้คนอื่นๆ และซาตาน  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง พวกเขาก็ยังคงถือว่าตนเอง “มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง มีความสามารถที่จะละทิ้งและสู้ทนกับความยากลำบาก และสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน” และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรู้สึกสงบสุข  ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาได้เดินบนเส้นทางของคนลงแรงอยู่เป็นนิจ โดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเลย ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมีอัตลักษณ์ของคนลงแรงอยู่ตลอดเวลา  สำหรับผู้คนอีกประเภทหนึ่งคือลูกจ้าง พวกเราจะไม่เสวนาถึงคนประเภทนี้  ยังมีอีกประเภทหนึ่งคือประชากรของพระเจ้าที่พวกเราเพิ่งจะเอ่ยถึง  ตลอดช่วงเวลาของการติดตามพระเจ้า พวกเขาสละตนเองเพื่อพระองค์เช่นเดียวกับคนลงแรง อุทิศเวลาและพละกำลังของตน แม้กระทั่งวัยหนุ่มสาวของพวกเขา และสู้ทนความทุกข์รวมทั้งจ่ายราคามากมาย  นี่ก็เหมือนกับคนลงแรง  แล้วสิ่งที่แตกต่างกันคืออะไร?  สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง มโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และข้อเรียกร้องอันเกินควรที่พวกเขามีต่อพระเจ้าย่อมจะได้รับการแก้ไขแล้ว  การสำแดง สภาวะ และการเผยความเสื่อมทรามที่เป็นการไม่ยอมรับพระเจ้าอย่างชัดเจนภายในอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมจะถูกทิ้งไปแล้ว  ส่วนสิ่งที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขก็จะสลายไปเมื่อพวกเขาค่อยๆ เข้าใจความจริงผ่านประสบการณ์  แม้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะยังไม่ได้ถูกทิ้งไปโดยสิ้นเชิง แต่อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว  โดยส่วนใหญ่ พวกเขาจะสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงที่พวกเขาเข้าใจ และการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  แม้ไม่ใช่ความจริงที่ว่าพวกเขาจะไม่เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนในทุกสภาพแวดล้อม แต่คนเหล่านี้จะเป็นไปตามข้อกำหนดพื้นฐานประการหนึ่งที่ว่า พวกเขาจะเป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้าที่ให้พวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ พวกเขาจะเป็นคนซื่อสัตย์โดยพื้นฐาน  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้คนเหล่านี้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา หรือกระทำผิด หรือเก็บงำมโนคติอันหลงผิดและการกบฏต่อพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใด พวกเขาก็จะมีท่าทีของการกลับใจ  และมีอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าพระเจ้าทรงกระทำการเฉพาะใด และไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายอย่างไร ไม่ว่าพระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำสิ่งใดในภายภาคหน้า ไม่ว่าพระองค์จะทรงจัดเตรียมชะตากรรมของมวลมนุษย์อย่างไร และไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดไว้ให้อย่างไร พวกเขาก็ล้วนจะมีหัวใจที่นบนอบและท่าทีของการนบนอบ ปราศจากทางเลือกส่วนตัว และปราศจากแผนการและจุดประสงค์ส่วนตน  ด้วยการสำแดงนานัปการที่เป็นบวกเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะกลายเป็นคนประเภทที่พระเจ้าต้องประสงค์ไปแล้ว เป็นผู้ที่เดินตามหนทางของพระเจ้า นั่นคือยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว  แม้พวกเขาจะยังคงห่างไกลจากมาตรฐานที่แท้จริง—นั่นคือ “ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และเป็นมนุษย์ที่เพียบพร้อม”—ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ เมื่อบททดสอบของพระเจ้ามาถึงพวกเขา พวกเขาจะสามารถแสวงหาและนบนอบ ซึ่งก็เพียงพอแล้ว  พวกเขาจะไม่มีการพร่ำบ่นใดๆ พวกเขาจะเพียงแค่รอคอยและนบนอบเท่านั้น  แม้สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเจ้าอาจจะยังคงห่างไกลจากผลลัพธ์ดังกล่าว และสำหรับบางคนแล้ว นั่นอาจจะดูห่างไกลมากและเกินเอื้อม หากพวกเจ้าสามารถยอมรับความจริงและปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักธรรมและเป็นรากฐานแห่งการมีชีวิตอยู่ของพวกเจ้า เช่นนั้นจงเชื่อเถิดว่าสักวันหนึ่ง เจ้าหรือพวกเจ้าทุกคนจะไม่ห่างไกลจากการกลายเป็นประชากรที่แท้จริงของพระเจ้าและเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักอีกต่อไป—เชื่อว่าวันนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ได้รับการเผยพระวจนะในเวลานี้หรือเป็นสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่ใช่การเพ้อฝันทั้งสองกรณี แต่เป็นข้อเท็จจริงกำลังจะเป็นจริงและลุล่วง  แล้วข้อเท็จจริงนี้จะได้รับการทำให้ลุล่วงในผู้ใด จะได้รับการทำให้ลุล่วงในผู้คนประเภทใด ย่อมขึ้นอยู่กับว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าเจ้ารักความจริงอย่างแท้จริงจนถึงระดับที่เจ้าสามารถไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงได้ หรือเจ้าแค่มีความรักในความจริงเล็กน้อยแต่ไม่สามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้โดยสมบูรณ์ ผลลัพธ์สุดท้ายจะมอบคำตอบให้กับเจ้า  เอาละ พวกเราจะจบสามัคคีธรรมหัวข้อนี้ไว้ตรงนี้

มาตรฐานและหลักในการแยกแยะคนชั่วประเภทต่างๆ

II. ตามความเป็นมนุษย์ของคนเรา

ต่อไป พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานที่ว่า “ระบุแยกแยะ ชำระล้าง และขับไล่ผู้คนที่ชั่วและพวกศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบอย่างทันท่วงที”  มาตรฐานในการระบุแยกแยะผู้คนที่ชั่วทุกรูปแบบถูกจำแนกออกเป็นสามประเภทหลัก  ก่อนหน้านี้พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงจุดประสงค์ของคนเราในการเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว และจากนั้นก็กล่าวถึงความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  ในแง่ของความเป็นมนุษย์ของคนเรานั้น พวกเราจัดหมวดหมู่ของการสำแดงที่แตกต่างกันเอาไว้มากมายเช่นกัน  การสำแดงนานัปการที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปแล้วมีอะไรบ้าง?  อ่านทีเถิด  (ประการที่สองเป็นการระบุแยกแยะผู้คนที่ชั่วทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ของคนเรา  ประเภทแรกคือรักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ ประเภทที่สองคือรักที่จะเอาเปรียบ ประเภทที่สามคือเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ ประเภทที่สี่คือมีแนวโน้มที่จะแก้แค้น ประเภทที่ห้าคือไม่สามารถระวังปากตนเองได้)  พวกเราได้สามัคคีธรรมกันมาถึงข้อที่ห้าเรื่องการไม่สามารถระวังปากตนเองได้  ไม่ว่าพวกเรากำลังสามัคคีธรรมถึงการสำแดงเฉพาะของความเป็นมนุษย์หรือเรื่องอื่นๆ นั่นย่อมจะส่งผลที่แตกต่างกันไปในผู้คนแต่ละประเภทดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว  หลังจากที่ได้รับฟัง พวกที่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็จะมุ่งเน้นที่การตรวจสอบตนเอง พวกเขาจะเอาสามัคคีธรรมของเราไปประเมินตนเอง และมีการเข้าสู่ความจริงในเชิงรุกและเป็นบวก  อย่างไรก็ตาม พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่น คนลงแรง ก็จะเพียงรับฟังเท่านั้น  พวกเขาไม่ใส่ใจหรือตั้งใจฟัง  บางครั้งพวกเขาอาจถึงกับเผลอหลับไปในขณะที่กำลังฟังคำเทศนาเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาไม่สามารถซึมซับอะไรได้เลย แถมยังคิดว่า “การฟังเรื่องสัพเพเหระพวกนี้มีประโยชน์อะไร?  เสียเวลาเปล่า—ฉันยังทำงานที่คั่งค้างอยู่ไม่เสร็จเลย!”  พวกเขากังวลกับงานที่ต้องลงแรงอยู่ตลอดเวลา  พวกเขากระตือรือร้นและทุ่มเทกับการลงแรง แสดงให้เห็นความจงรักภักดี แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจริง พวกเขากลับไม่สามารถรวบรวมเรี่ยวแรงใดๆ ได้เลย  นี่ย่อมเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้คนเหล่านั้นไม่สนใจความจริง พวกเขาพึงพอใจกับการลงแรงเพียงอย่างเดียว  มีผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังคงรักษาท่าทีเช่นเดิมไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร “ฉันก็แค่ไม่ยอมรับและคัดค้าน  ต่อให้คุณชี้ให้เห็นปัญหาของฉันและเปิดโปงการสำแดง การเผย และอุปนิสัยของฉัน ฉันก็จะยังคงไม่สนใจหรือเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้  ถ้าคนอื่นรู้ว่าฉันกำลังถูกเปิดโปง แล้วจะเป็นอย่างไร?”  พวกเขาก็แค่ขัดขืนและต่อต้านต่อไปอย่างไร้ยางอาย ซึ่งเกินกว่าจะเยียวยาได้  ไม่ว่าอย่างไร การสำแดงของผู้คนประเภทต่างๆ นั้นสามารถจำแนกแยกแยะได้  ความจริง—ไม่ว่าจะสำหรับผู้ที่ไล่ตามเสาะหา ผู้ที่เต็มใจลงแรงแต่ไม่รักความจริง หรือผู้ที่สะอิดสะเอียนและรังเกียจความจริง—ก็ล้วนเป็นดาบสองคม เป็นมาตรฐานการทดสอบ  นั่นสามารถวัดท่าทีของผู้คนที่มีต่อความจริงรวมทั้งเส้นทางที่พวกเขากำลังเดินอยู่ด้วย

ฉ. ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา จนไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกเขา

ก่อนหน้านี้ พวกเราสามัคคีธรรมถึงการแยกแยะการสำแดงทั้งห้าประการของคนชั่วหลากหลายรูปแบบ  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมประเภทที่หกกันต่อไป  ประเภทที่หกก็เป็นการสำแดงของคนชั่วประเภทหนึ่งเช่นกัน หรือแม้ผู้คนจะไม่ถือว่าคนประเภทนี้เป็นคนชั่ว แต่ทุกคนก็ยังคงไม่ชอบพวกเขาอยู่ดี  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  นั่นเพราะคนเหล่านี้ขาดมโนธรรมและเหตุผล ขาดความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และการปฏิสัมพันธ์กับพวกเขานั้นยุ่งยากและลำบากยากเย็นเป็นพิเศษ กระตุ้นให้เกิดความสะอิดสะเอียน  การสำแดงเฉพาะของผู้คนเหล่านี้คืออะไร?  คือการไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา จนไม่มีใครกล้ายุ่งพวกเขา  ในคริสตจักรมีคนเช่นนี้หรือไม่?  แม้จะไม่มากนัก แต่ก็มีอยู่อย่างแน่นอน  แล้วการสำแดงเฉพาะของพวกเขาเป็นอย่างไร?  ภายใต้สภาพการณ์ทั่วไป ผู้คนเหล่านี้สามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติและปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้อย่างเป็นปกติมากทีเดียว เจ้าจะไม่เห็นอุปนิสัยชั่วร้ายใดๆ จากพวกเขา  อย่างไรก็ดี เมื่อการกระทำของพวกเขาขัดต่อหลักธรรมความจริงและถูกตัดแต่ง พวกเขาก็จะระเบิดความโกรธ ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงพร้อมหาข้อแก้ตัวที่ซับซ้อนเข้าข้างตนเอง  เจ้าย่อมตระหนักขึ้นมาทันทีว่าพวกเขาเหมือนเม่นที่เต็มไปด้วยหนาม เหมือนเสือที่แตะต้องไม่ได้  เจ้าจึงคิดว่า “ฉันมีปฏิสัมพันธ์กับคนคนนี้มานานแล้ว ฉันคิดว่าเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดี มีความเข้าใจ และพูดคุยง่าย เชื่อว่าพวกเขายอมรับความจริงได้  ฉันไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะเป็นคนที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา  ในอนาคต ฉันต้องระวังในการปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาให้มากขึ้น ลดการติดต่อกับพวกเขาเว้นแต่เมื่อมีความจำเป็น และรักษาระยะห่างของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วยุพวกเขา”  พวกเจ้าเคยเห็นคนที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาดังกล่าวแล้วหรือยัง?  โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่เข้าใจพวกเขาย่อมรู้ว่าพวกเขาน่ากลัวแค่ไหนและพูดคุยกับพวกเขาด้วยความสุภาพและระมัดระวังเป็นพิเศษ  โดยเฉพาะเวลาพูดคุยกับพวกเขา เจ้าไม่อาจพูดจาทำร้ายพวกเขาได้เป็นอันเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหากับพวกเขาไม่รู้จบ  บางคนกล่าวว่า “คนหยาบกระด้างพวกนี้เป็นใครกันแน่?  พวกเรายังไม่เคยพบเจอพวกเขาเลย”  ถ้าอย่างนั้น พวกเราจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้กันจริงๆ เสียแล้ว  ตัวอย่างเช่น ขณะที่พี่น้องชายหญิงกำลังสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของตน เมื่อมีบางคนเอ่ยถึงสภาวะอันเสื่อมทรามของตนหรือความลำบากยากเย็นส่วนตัว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเห็นอกเห็นใจ เพราะเคยมีประสบการณ์หรือความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันมาก่อน  นี่เป็นเรื่องปกติมาก  หลังจากรับฟังแล้ว คนเราอาจคิดว่า “ฉันก็เคยมีประสบการณ์แบบนั้นเหมือนกัน อย่างนั้นพวกเรามาสามัคคีธรรมหัวข้อนี้ด้วยกันเถิด  ฉันอยากฟังว่าคุณผ่านมาได้อย่างไร  หากสามัคคีธรรมของคุณมีความสว่าง และเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ฉันมีอยู่ เช่นนั้นฉันจะยอมรับและปฏิบัติตามประสบการณ์และเส้นทางของคุณเพื่อดูว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”  เมื่อได้ยินคนอื่นสามัคคีธรรมถึงการรู้จักตนเองและเปิดเผยความเสื่อมทรามและความอัปลักษณ์ของตน มีคนเพียงประเภทเดียวเท่านั้นที่เชื่อว่าเป็นการเปิดโปงและตัดสินเขาทางอ้อม และอดไม่ได้ที่จะตบโต๊ะและระเบิดความโกรธออกมาว่า “ใครบ้างไม่มีความเสื่อมทราม?  ใครบ้างมีชีวิตโดยไม่ได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอก?  ในสายตาของฉัน ความเสื่อมทรามของพวกคุณแย่กว่าของฉันเสียอีก!  พวกคุณมีคุณสมบัติอะไรถึงได้วิพากษ์วิจารณ์ฉันและเปิดโปงฉัน?  เท่าที่ฉันเห็น พวกคุณก็แค่ต้องการหาเรื่องให้ฉันลำบากเพื่อกีดกันฉัน!  เป็นเพียงเพราะฉันมาจากชนบทและไม่สามารถพูดคำหวานเพื่อยกยอปอปั้นพวกคุณทุกคนไม่ใช่หรือ?  เป็นเพราะการศึกษาของฉันไม่สูงเท่าพวกคุณไม่ใช่หรือ?  ขนาดพระเจ้ายังไม่ดูแคลนฉันแล้วพวกคุณมีสิทธิ์อะไรมาดูแคลนฉัน!”  บางคนกล่าวว่า “นี่เป็นการสามัคคีธรรมปกติ ไม่ได้มีคุณเป็นเป้าหมาย  ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหมือนกันไม่ใช่หรือ?  เวลามีใครสามัคคีธรรมบางหัวข้อและเอ่ยถึงสภาวะอันเสื่อมทรามของตนเอง ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนอื่นจะพบว่าตนก็อยู่ในสภาวะเดียวกัน  หากคุณรู้สึกว่าคุณอยู่ในสภาวะเดียวกัน คุณย่อมสามารถสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของตนเองด้วยเช่นกัน”  แต่เขากลับตอบว่า “อย่างนั้นหรือ?  ฉันยอมทนกับการสามัคคีธรรมแบบนั้นจากคนคนเดียวได้ แต่ทำไมพวกคุณสองสามคนถึงรวมหัวกันมารังแกฉัน?  คุณคิดว่าฉันเป็นคนที่ถูกรังแกได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ?”  คำพูดของเขายิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเทอะไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนดังกล่าวมีเหตุผลในการพูดเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  หากเจ้าคิดจริงๆ ว่าหัวข้อสามัคคีธรรมของคนอื่นพุ่งเป้ามาที่เจ้า เจ้าก็สามารถหารือหรือสามัคคีธรรมหัวข้อนี้ โดยถามตรงๆ ว่าเป็นการพุ่งเป้ามาที่เจ้าหรือไม่ แทนที่จะดึงเรื่องพื้นเพที่เจ้าเป็นชาวไร่ชาวนา ระดับการศึกษาต่ำ หรือผู้คนดูแคลนเจ้ามาข้องเกี่ยว  การพูดถึงสิ่งเหล่านั้นมีประโยชน์อะไร?  นั่นเป็นการพร่ำเพ้อถึงเรื่องถูกผิดไม่ใช่หรือ?  นั่นคือการไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าไม่คิดหรือว่าคนเหล่านั้นน่ากลัว?  (คิด)  หลังจากที่เขาตีโพยตีพายเช่นนี้ขึ้นมา ทุกคนก็รู้ว่าเขาเป็นคนประเภทไหน และเมื่อมีการสามัคคีธรรมกันในการชุมนุมครั้งต่อๆ ไป ทุกคนก็ต้องพูดด้วยความระมัดระวังและคอยพิจารณาการแสดงออกของเขาตลอดเวลา  หากสีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นหดหู่ คนอื่นก็เริ่มลังเลที่จะพูด และทุกคนย่อมรู้สึกอึดอัดระหว่างสามัคคีธรรมกันในการชุมนุม  นี่คือข้อจำกัดและการรบกวนที่เกิดจากการไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาของเขาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาเหล่านั้นล้วนไม่มีสำนึกทั้งสิ้น บุคคลเช่นนี้จะไม่ยอมรับความจริงและไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด

คนประเภทที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหานี้มีการสำแดงอีกอย่างหนึ่ง  บางคนพูดในระหว่างการชุมนุมเสมอว่า “ฉันไม่สามารถกระทำการอย่างสุกเอาเผากินได้อีกแล้ว  ฉันจำเป็นต้องมุ่งเน้นที่การปฏิบัติตามความจริง ฉันจำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความเพียบพร้อม  โดยปกติ ฉันเพียรพยายามที่จะเป็นเลิศ  ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ฉันก็ต้องทำให้ดี”  พวกเขาดีแต่พูด แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลาทำหน้าที่ของตัวเอง พวกเขาก็ยังคงกระทำการอย่างสุกเอาเผากิน และหน้าที่ที่พวกเขาทำก็มีปัญหามากมาย ห่างไกลจากการสัมฤทธิ์ผลในการเป็นพยานให้พระเจ้า  เมื่อผู้นำชี้ให้เห็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็โกรธขึ้นมาทันที และกล่าวว่า “ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้  พวกคุณแอบตัดสินฉันลับหลัง หาว่าทักษะเชิงวิชาชีพของฉันแย่  นั่นก็เป็นเพราะพวกคุณทุกคนดูแคลนฉันไม่ใช่หรือ?  ก็แค่ความผิดพลาดเล็กน้อยเท่านั้นเอง  จำเป็นต้องตัดแต่งฉันเช่นนี้เลยหรือ?  อีกอย่าง มีใครไม่ทำความผิดบ้างเล่า?  บอกว่าฉันกระทำการอย่างสุกเอาเผากิน—คุณก็เคยทำงานอย่างสุกเอาเผากินมาก่อนเหมือนกันไม่ใช่หรือ?  คุณมีคุณสมบัติที่จะวิพากษ์วิจารณ์ฉันอย่างนั้นหรือ?  หากฉันไม่ให้ความร่วมมือ พวกคุณคนไหนสามารถแบกรับงานนี้ได้บ้าง?”  เจ้าคิดอย่างไรกับคนเช่นนี้?  พวกเขาไม่ยอมให้คนอื่นชี้ให้เห็นข้อบกพร่องหรือให้คำแนะนำในสิ่งที่พวกเขาทำเลย พวกเขาไม่ยอมรับแม้กระทั่งการตัดแต่งที่ชอบด้วยเหตุผล  ไม่ว่าใครพูดขึ้นมา พวกเขาก็พร้อมที่จะขัดแย้งและต่อต้านคนเหล่านั้น โดยกล่าวถ้อยคำที่ไร้เหตุผล ถึงกับบอกว่าตนถูกดูถูก หรือพวกเขาถูกรังแกเพราะตัวคนเดียวและไม่มีอำนาจ หรืออะไรทำนองนี้  นี่ไม่ใช่การเกเร ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาหรอกหรือ?  มีแม้กระทั่งบางคนที่ละทิ้งหน้าที่หลังจากถูกตัดแต่งโดยกล่าวว่า “ฉันจะไม่ทำหน้าที่นี้อีกแล้ว  ถ้าพวกคุณทำได้ก็เชิญเลย  แล้วฉันจะดูว่าพวกคุณยังทำงานนี้ต่อไปได้ไหมถ้าไม่มีฉัน!”  พี่น้องชายหญิงพยายามเกลี้ยกล่อมพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ฟัง  แม้แต่เมื่อผู้นำและคนทำงานสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะยอมรับ เริ่มวางท่าและละทิ้งหน้าที่ของตน  ในระหว่างการชุมนุม พวกเขาก็บึ้งตึง ไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าและไม่สามัคคีธรรม มาถึงเป็นคนสุดท้ายและกลับเป็นคนแรกเสมอ  เวลากลับ พวกเขาก็กระแทกเท้าและปิดประตูเสียงดัง จนคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไรดี  เมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับผู้คนดังกล่าว พวกเขาก็พร่ำโต้เถียงอย่างเหลวไหลและพูดจาไร้สาระ พวกเขาแสดงความเกกมะเหรกเกเรถึงขนาดขว้างปาข้าวของโดยไม่สนใจเหตุผลเลย  บางคนมีการสำแดงที่รุนแรงยิ่งกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ—หากพี่น้องชายหญิงไม่ทักทายพวกเขา พวกเขาก็เริ่มไม่พอใจและฉวยโอกาสระหว่างการชุมนุมเพื่อโอดครวญว่า “ฉันรู้ว่าพวกคุณทุกคนถูกฉัน  ระหว่างการชุมนุม พวกคุณก็เอาแต่มุ่งเน้นสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและเสวนาถึงความเข้าใจที่ได้จากประสบการณ์ของตนเอง  ไม่มีใครสนใจฉันเลย ไม่มีใครส่งยิ้มให้ฉัน และเวลาฉันกลับก็ไม่มีใครคอยส่ง  พวกคุณเป็นผู้เชื่อแบบไหนกัน?  คนอย่างพวกคุณนี่ช่างไม่มีความเป็นมนุษย์เลยจริงๆ!”  พวกเขาอาละวาดเช่นนี้ในคริสตจักร  พวกเขาเดือดดาลแม้แต่กับเรื่องสัพเพเหระ ระบายความคับข้องใจที่สะสมเอาไว้ออกมา  พวกเขากำลังเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองอย่างชัดเจน แต่พวกเขากลับไม่ทบทวนตนเองและไม่รู้จักตัวเอง และพวกเขาไม่มีความปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือความเปลี่ยนแปลงเลย  พวกเขากลับหันไปหาเรื่องคนอื่น หาข้อแก้ตัวต่างๆ นานาเพื่อปลอบประโลมจิตใจตนเอง—และในระหว่างที่พวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาก็เสาะหาโอกาสเพื่อระบายความคับข้องใจของตน  ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขามุ่งหวังที่จะทำให้ผู้คนสังเกตเห็นและหวาดกลัวตนมากขึ้น เพื่อให้ได้รับความสนใจและมีเกียรติในหมู่ผู้คน  ผู้คนเช่นนี้ช่างสร้างปัญหาเสียจริง!  ไม่ว่าพวกเขาพูดอะไรก็ไม่มีใครกล้าบอกว่า “ไม่” ไม่มีใครกล้าประเมินพวกเขาอย่างผิวเผิน และไม่มีใครกล้าเปิดใจและสามัคคีธรรมกับพวกเขา  ต่อให้สังเกตเห็นข้อบกพร่องและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในตัวพวกเขาก็ไม่มีใครกล้าชี้ให้เห็น  ระหว่างการชุมนุม เมื่อทุกคนสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ส่วนตัวและความเข้าใจที่ตนมีต่อพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาหลีกเลี่ยง “รังแตน” ซึ่งก็คือคนคนนี้อย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะไปยั่วยุคนคนนี้และก่อให้เกิดปัญหา  บางคนระบายออกมาระหว่างการชุมนุมหลังจากรู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมหรือเมื่อเผชิญความไม่พอใจที่บ้านหรือที่ทำงาน  ชัดเจนว่าพวกเขากำลังทำให้พี่น้องชายหญิงเป็นที่ระบายและเป็นกระสอบทรายของตน  เวลาพวกเขาหงุดหงิด พวกเขาก็พรั่งพรูข้อโต้เถียงที่ไร้เหตุผล ร้องไห้ และอาละวาด  แล้วใครจะกล้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาเล่า?  หากพวกเขายอมสามัคคีธรรมด้วย และเกิดมีคำพูดบางคำไปกระทบกระเทือนจิตใจ พวกเขาก็จะขู่ฆ่าตัวตาย  นั่นจะยิ่งเป็นปัญหามากกว่าเดิม  การสามัคคีธรรมปกติย่อมจะใช้ไม่ได้กับคนเช่นนั้น จะสนทนาปกติก็ไม่ได้ จะกันเองเกินไปหรือเย็นชาเกินไปก็ไม่ได้ จะหลีกเลี่ยงก็ไม่ได้ จะใกล้ชิดก็ไม่ได้ และหากพี่น้องชายหญิงไม่แสดงความสุขให้เท่าเทียมกับที่พวกเขามีความสุขก็ไม่ได้ และเมื่อผู้คนเหล่านี้เผชิญความลำบากยากเย็นบางประการ หากพี่น้องชายหญิงไม่ได้เป็นทุกข์เท่ากับที่พวกเขาเป็นทุกข์ นั่นก็จะไม่ได้เช่นกัน  ไม่มีวิธีไหนใช้ได้ผลกับพวกเขา  ไม่ว่าจะทำอะไรก็สามารถทำให้พวกเขาหงุดหงิดและเดือดดาลได้  ไม่ว่าจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่เคยพึงพอใจเลย  แม้แต่คำเทศนาหรือสามัคคีธรรมของเราถึงสภาวะของผู้คนบางคนก็สามารถยั่วยุพวกเขาได้  ยั่วยุพวกเขาอย่างไร?  พวกเขาคิดว่า “นี่เป็นการเปิดโปงข้าพระองค์ไม่ใช่หรือ?  พระองค์ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับข้าพระองค์เลย แล้วข้าพระองค์ก็ไม่เคยบอกอะไรพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่ข้าพระองค์ได้ทำเป็นการส่วนตัว  พระองค์รู้ได้อย่างไร?  ต้องมีใครฟ้องแน่  ข้าพระองค์ต้องหาให้พบว่าใครเคยคิดต่อกับพระองค์ ใครฟ้อง ใครรายงานเรื่องข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ปล่อยไว้แน่!”  คนประเภทนี้ที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาสามารถมีความคิดที่บิดเบี้ยวในทุกเรื่องและไม่สามารถปฏิบัติต่อสิ่งใดอย่างถูกต้องได้เลย  พวกเขาอยู่เหนือเหตุผล!  ความมีเหตุผลนั้นอยู่ไกลพวกเขามาก และพวกเขายิ่งไม่สามารถยอมรับความจริงได้เลย  การที่พวกเขายังอยู่ในคริสตจักรรังแต่จะเป็นภัย ไม่เป็นประโยชน์  พวกเขาเป็นเพียงตัวถ่วง เป็นภาระที่ควรสลัดทิ้งโดยเร็ว พวกเขาควรถูกชำระออกไปในทันที!

ในประเทศจีน การเชื่อในพระเจ้านำไปสู่การกดขี่และข่มเหงโดยพญานาคใหญ่สีแดง และมีคนมากมายเหลือเกินที่ถูกไล่ล่าจนไม่สามารถกลับบ้านได้  อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกข่มเหงและไม่สามารถกลับบ้านได้ บางคนจึงเชื่อว่าตนมีคุณความดีและมีคุณสมบัติเพียงพอแล้ว  พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวเจ้าภาพ และไม่เพียงให้ผู้คนปรนนิบัติพวกเขา—หากมีสิ่งใดขัดใจพวกเขาแม้เพียงเล็กน้อย หรือหากพวกเขาคิดถึงบ้าน พวกเขาก็เริ่มหาเรื่อง และอีกฝ่ายก็ต้องคอยปลอบโยนและอดทนต่อพวกเขา  คนเช่นนี้ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาไม่ใช่หรือ?  มีคนถูกข่มเหงมากมายก่ายกอง และครอบครัวเจ้าภาพก็มีไม่มากนัก  พี่น้องชายหญิงเป็นเจ้าภาพให้คนที่ไม่สามารถกลับบ้านได้ด้วยความรัก  พวกเขาไม่ปล่อยให้คนเหล่านั้นอยู่ข้างถนนและยอมให้เข้ามาอยู่ในบ้านของตน  นี่คือพระคุณของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  ทว่าบางคนกลับไม่อาจซาบซึ้งในพระคุณของพระเจ้า และมองไม่เห็นความรักของพี่น้องชายหญิง  แต่กลับรู้สึกคับข้องใจ และจะถึงขนาดพร่ำบ่นและทำตัวเกกมะเหรกเกเร  ภาวะความเป็นอยู่ในบ้านของพี่น้องชายหญิงนั้น จริงๆ แล้วดีกว่าบ้านของตนเองเสียอีก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่ของการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตน การอาศัยอยู่ในบ้านพี่น้องชายหญิงนั้นดีกว่าอยู่ที่บ้านตนเองเสียด้วยซ้ำ และการมีพี่น้องชายหญิงให้ความร่วมมืออย่างปรองดองก็ดีกว่าการอยู่เพียงลำพังอย่างมากเสมอ  ต่อให้ภาวะความเป็นอยู่ในบางภูมิภาคอาจขาดแคลนไปบ้าง แต่พวกเขาก็ยังคงมีมาตรฐานการดำรงชีวิตในระดับปานกลาง  สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขาสามารถใช้ชีวิตกับพี่น้องชายหญิง สามารถชุมนุม กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าบ่อยครั้ง เข้าใจความจริงมากขึ้นและรู้เป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริงของตน  ดังนั้นบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมสามารถจ่ายราคาและผ่านความทุกข์นั้นมาได้  ผู้คนส่วนใหญ่มีท่าทีที่ถูกต้องต่อเรื่องนี้ สามารถยอมรับความทุกข์จากพระเจ้า โดยตระหนักว่าความทุกข์นั้นมีคุณค่า และเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องผ่านไปให้ได้  พวกเขาสามารถมองความทุกข์ได้อย่างถูกต้อง  แต่คนไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาบางคนที่ดื้อด้านย่อมไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ได้เลย  พวกเขาอาจจะยอมทนได้บ้างเมื่อไม่สามารถกลับบ้านนานหนึ่งสัปดาห์ แต่หลังจากสองสัปดาห์ พวกเขาก็เริ่มอารมณ์เสีย และพอผ่านไปสักหนึ่งหรือสองเดือน พวกเขาก็เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้โดยกล่าวว่า “ทำไมครอบครัวของพวกคุณถึงสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ แล้วฉันกลับไปหาครอบครัวไม่ได้?  ทำไมฉันถึงไม่มีเสรีภาพในขณะที่พวกคุณทุกคนไปมากันได้ตามชอบใจ?”  คนอื่นๆ จึงตอบว่า “นั่นเพราะพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงไม่ใช่หรือ?  พวกเราในฐานะผู้ติดตามพระเจ้าก็ควรอดทนกับความทุกข์เช่นนี้มิใช่หรือ?  ความทุกข์เล็กน้อยเช่นนี้เป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน?  ในสภาพการณ์เช่นนี้ มีอะไรให้เลือกได้บ้าง?  หากคนอื่นอดทนกับความทุกข์นี้ได้ ทำไมคุณจะทำไม่ได้เล่า?”  พวกไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาไม่ต้องการทนทุกข์เลยแม้แต่น้อย  หากพวกเขาถูกจับเข้าคุก พวกเขาย่อมจะกลายเป็นยูดาสอย่างแน่นอน  แค่อาศัยอยู่กับครอบครัวเจ้าภาพนั้นมีความทุกข์มากมายขนาดไหนกัน?  ประการแรก อาหารก็ยังคงเป็นอาหารของมนุษย์ ประการที่สอง ไม่มีใครทำให้เจ้าลำบากใจ และประการที่สาม ไม่มีใครรังแกเจ้า  ก็แค่เจ้ากลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวไม่ได้—คนที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหากลับไม่สามารถยอมรับความทุกข์เล็กน้อยเช่นนั้นได้  เวลาคนอื่นสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาปฏิเสธที่จะรับฟัง แต่กลับพูดสิ่งต่างๆ เช่น “อย่ามาสั่งสอนฉันเรื่องคำสอนที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นเลย  ฉันเข้าใจไม่น้อยไปกว่าคุณหรอก ฉันรู้หมดแล้ว!  แค่บอกฉันว่า เมื่อไหร่ฉันถึงกลับบ้านได้?  เมื่อไหร่พญานาคใหญ่สีแดงจะหยุดจับตามองบ้านฉันเสียที?  เมื่อไหร่ฉันจะกลับบ้านได้โดยไม่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุม?  ถ้าฉันไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ เช่นนั้นฉันก็ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว!”  พวกเขาเล่นใหญ่อีกครั้ง และระหว่างที่พูดพวกเขาก็นั่งลงกับพื้น ถีบขาไปมา—ยิ่งถีบขาพวกเขาก็ยิ่งโมโห และระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญอีกด้วย  คนอื่นๆ จึงบอกว่า “เบาเสียงหน่อยสิ  ถ้าคุณขืนทำแบบนี้ต่อไปแล้วเพื่อนบ้านได้ยินจนรู้ว่ามีคนนอกมาอยู่ที่นี่ ก็จะเป็นการเปิดโปงพวกเราไม่ใช่หรือ?”  พวกเขาตอบว่า “ฉันไม่สน ฉันแค่อยากหาเรื่อง!  พวกคุณกลับบ้านได้ทุกคน แต่ฉันกลับไม่ได้  ไม่เป็นธรรมเลย!  ฉันจะหาเรื่องไปอย่างนี้จนกว่าพวกคุณจะกลับบ้านไม่ได้เหมือนกับฉัน!”  การระเบิดอารมณ์อย่างควบคุมไม่ได้ของพวกเขาไม่บรรเทาลงเลย ความอาฆาตแค้นปรากฏขึ้นมา ไม่มีใครสามารถพูดให้พวกเขาเข้าใจได้เลย ไม่มีใครเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้  เมื่ออารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย พวกเขาก็เงียบเสียงและหยุดก่อเรื่อง  แต่ใครจะไปรู้—พวกเขาอาจจะเกเรและก่อเรื่องขึ้นมาอีกไม่วันใดก็วันหนึ่ง นั่นคือ พวกเขาจะต้องออกไปเดินเล่นและรู้สึกเป็นอิสระ พูดคุยเสียงดังในบ้าน โดยวางแผนกลับบ้านตลอดเวลา  พี่น้องชายหญิงเตือนพวกเขาว่า “การกลับบ้านนั้นเสี่ยงเกินไป มีตำรวจคอยเฝ้าและจับตาดูอยู่”  พวกเขาก็ตอบว่า “ฉันไม่สน ฉันอยากกลับ!  ถ้าพวกเขาจะจับฉัน ก็จับเลย!  จะเป็นอะไรนักหนา?  อย่างแย่ที่สุด ฉันก็แค่จะเป็นยูดาส!”  นี่ไม่ใช่ความบ้าหรอกหรือ?  (ใช่)  พวกเขาพูดอย่างเปิดเผยว่าเขายินดีที่จะเป็นยูดาส  ใครจะกล้าเป็นเจ้าภาพรับรองพวกเขา?  มีใครต้องการเป็นเจ้าภาพรับรองยูดาสอย่างนั้นหรือ?  (ไม่มี)  คนแบบนั้นเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  พี่น้องชายหญิงเป็นเจ้าภาพรับรองเขาในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า  หากความเป็นมนุษย์ของพวกเขาขาดพร่องไปบ้างก็ยังพอผ่อนปรนให้ได้ การไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็ผ่อนปรนให้ได้เช่นกัน  แต่พวกเขากลับสามารถทำร้ายพี่น้องชายหญิงด้วยการหักหลังคริสตจักรและกลายเป็นยูดาส ทำให้ผู้คนมากมายไม่สามารถกลับบ้านหรือทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ—ใครจะแบกรับความรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาเหล่านี้ได้?  เจ้าจะกล้าเป็นเจ้าภาพรับรองศัตรูประเภทนี้หรือ?  การเป็นเจ้าภาพรับรองพวกเขาคือการเชื้อเชิญปัญหามาสู่ตัวเองอย่างแท้จริงมิใช่หรือ?

เมื่อผู้คนที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหากระทำการใดก็คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง และทำสิ่งใดก็ได้ที่ตนพอใจ  คำพูดของพวกเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากข้อโต้แย้งที่ไร้สาระและความเห็นนอกรีต และพวกเขาไม่รับฟังเหตุผลเลย  อุปนิสัยอันชั่วช้าของพวกเขาก็พรั่งพรูออกมา  ไม่มีใครกล้าคบหากับพวกเขา และไม่มีใครยินดีที่จะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาด้วยเกรงว่าจะเป็นการเชื้อเชิญความวิบัติมาสู่ตัวเอง  คนอื่นๆ ย่อมเป็นกังวลเมื่อต้องพูดความในใจกับพวกเขา เกรงว่าหากพูดไม่ถูกใจหรือไม่ตรงกับที่พวกเขาปรารถนาแม้แต่คำเดียว พวกเขาจะฉวยโอกาสนั้นมากล่าวหาตนอย่างอุกอาจ  คนเช่นนั้นเป็นมารไม่ใช่หรือ?  พวกเขาคือปีศาจที่มีชีวิตมิใช่หรือ?  พวกที่มีอุปนิสัยอันชั่วช้าและเหตุผลวิปริตล้วนเป็นปีศาจที่มีชีวิตทั้งสิ้น  และเมื่อใครก็ตามมีปฏิสัมพันธ์กับปีศาจมีชีวิต ก็อาจนำความวิบัติมาสู่ตนเองเพราะความประมาทแม้เพียงชั่วขณะ  หากปีศาจที่มีชีวิตนั้นอยู่ในคริสตจักรย่อมจะเป็นปัญหาใหญ่มิใช่หรือ?  (ใช่)  หลังจากปีศาจที่มีชีวิตเหล่านี้ระเบิดอารมณ์และระบายความโกรธของตนออกมาแล้ว พวกเขาอาจจะพูดจาเหมือนมนุษย์ได้อยู่สักครู่แล้วก็ขอโทษ แต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากนั้น  ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะอารมณ์เสียและอาละวาดอีกเมื่อใด จะพร่ำพูดข้อโต้แย้งที่ไร้สาระอีกเมื่อใด  เป้าหมายการอาละวาดและระบายความโกรธของพวกเขาแตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง เช่นเดียวกับต้นเหตุและเบื้องหลังในการระบายความโกรธของพวกเขา  นั่นคือ ไม่ว่าอะไรก็สามารถทำให้พวกเขาโมโห ไม่ว่าอะไรก็สามารถทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจ และไม่ว่าอะไรก็สามารถทำให้พวกเขาแสดงพฤติกรรมเกกมะเหรกเกเรและอาละวาดออกมาได้  แย่เหลือเกิน!  น่ารำคาญจริงๆ!  พวกคนชั่วที่ฟั่นเฟือนเหล่านี้อาจเสียสติได้ทุกเมื่อ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาทำอะไรได้บ้าง  เราเกลียดชังคนเหล่านี้มากที่สุด  พวกเขาทุกคนควรถูกชำระออกไป—พวกเขาต้องถูกชำระออกไปทั้งหมด  เราไม่ปรารถนาที่จะข้องเกี่ยวกับพวกเขา  พวกเขามีความคิดที่เลอะเลือนและมีอุปนิสัยโหดร้าย เต็มไปด้วยข้อโต้แย้งที่ไร้สาระและวาจาเยี่ยงมาร เมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ระบายสิ่งเหล่านั้นออกมาอย่างหุนหันพลันแล่น  บางคนร้องไห้ระหว่างระบายออกมา บ้างร้องตะโกน บ้างกระทืบเท้า และมีบางคนถึงกับสะบัดศีรษะและโบกไม้โบกมือ  พวกเขาเป็นสัตว์เดรัจฉานโดยแท้ หาใช่มนุษย์ไม่  พ่อครัวแม่ครัวบางคนขว้างหม้อขว้างจานเวลาโมโห บางคนที่เลี้ยงหมูหรือเลี้ยงสุนัขก็เตะและตีสัตว์เหล่านี้เวลาอารมณ์เสีย ระบายความโกรธทั้งหมดของตนลงกับสัตว์เหล่านี้  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนเหล่านี้ก็ตอบสนองด้วยความโกรธเสมอ ไม่เคยสงบใจเพื่อคิดทบทวนและไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นจากพระเจ้า  พวกเขาไม่อธิษฐานหรือแสวงหาความจริง และไม่แสวงหาการสามัคคีธรรมกับผู้อื่นเลย  เมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาก็สู้ทน เมื่อพวกเขาไม่เต็มใจที่จะสู้ทน พวกเขาก็บ้าคลั่ง พรั่งพรูข้อโต้แย้งที่ไร้เหตุผล กล่าวหาและกล่าวโทษผู้อื่น  พวกเขามักจะกล่าวคำพูดต่างๆ เช่น “ฉันรู้ว่าพวกคุณทุกคนมีศึกษาดีและดูแคลนฉัน” “ฉันรู้ว่าครอบครัวของพวกคุณมั่งคั่ง และพวกคุณก็ดูหมิ่นฉันที่จน” หรือ “ฉันรู้ว่าพวกคุณดูหมิ่นฉันเพราะฉันไม่มีรากฐานในความเชื่อ และพวกคุณดูหมิ่นฉันเพราะฉันไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง”  แม้ตระหนักชัดถึงปัญหาอันมากมายของตนเอง แต่พวกเขาก็ไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น และไม่เคยหารือเรื่องการรู้จักตนเองในการสามัคคีธรรมกับผู้อื่นเลย  เมื่อมีการกล่าวถึงปัญหาทั้งหลายของพวกเขา พวกเขาก็เบี่ยงประเด็นและกล่าวหาเท็จเป็นการตอบโต้ ผลักปัญหาและความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับผู้อื่น และถึงกับพร่ำบ่นว่าสาเหตุที่พวกเขามีพฤติกรรมเช่นนั้นก็เพราะผู้อื่นปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม  ดูเหมือนการอาละวาดและการก่อปัญหาอย่างไร้สำนึกนั้นเกิดขึ้นเพราะผู้อื่น ราวกับคนอื่นเป็นฝ่ายผิดทั้งสิ้น พวกเขาเพียงแค่ไม่มีทางเลือกจึงต้องกระทำเช่นนี้ และพวกเขากำลังปกป้องตัวเองอย่างชอบธรรม  เวลาพวกเขาไม่พึงพอใจ พวกเขาก็เริ่มระบายความขุ่นเคืองและพร่ำพูดวาจาเหลวไหล ยืนกรานข้อโต้เถียงที่ไร้เหตุผลราวกับคนอื่นผิดทั้งหมด ราวกับมีแต่พวกเขาที่เป็นคนดี ส่วนคนอื่นเป็นคนเลวทรามต่ำช้า  ไม่ว่าพวกเขาจะอาละวาดหรือพร่ำพูดข้อโต้แย้งที่ไร้เหตุผลมากมายเพียงใด พวกเขาก็ยังเรียกร้องให้ผู้อื่นพูดถึงตนในแง่ดี  แม้เมื่อทำผิด พวกเขาก็ไม่ยอมให้ผู้อื่นเปิดโปงหรือวิพากษ์วิจารณ์พวกเขา  หากเจ้าชี้ให้เห็นแม้แต่ปัญหาเล็กน้อยของพวกเขา พวกเขาก็จะพัวพันถกเถียงกับเจ้าอย่างไม่รู้จบ และเจ้าลืมไปได้เลยว่าจะมีชีวิตที่สงบสุขนับจากนั้น  คนคนนี้เป็นคนประเภทใด?  นี่คือคนที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา และคนที่ทำเช่นนี้คือคนชั่ว

โดยปกติแล้ว คนที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาอาจไม่ได้กระทำความชั่วหรือทรยศอย่างร้ายแรงใดๆ แต่ทันทีที่มีผลประโยชน์ ชื่อเสียง หรือศักดิ์ศรีมาเกี่ยวข้อง พวกเขาก็ระเบิดความโกรธ อาละวาด และทำตัวเกกมะเหรกเกเรขึ้นมาทันที ถึงขนาดขู่จะฆ่าตัวตาย  บอกเราทีเถิดว่าหากมีคนหยาบช้าที่ไร้สาระและไร้เหตุผลเช่นนี้ปรากฏอยู่ในครอบครัวหนึ่ง คนทั้งครอบครัวย่อมจะต้องทนทุกข์ไม่ใช่หรือ?  ครอบครัวนั้นย่อมจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย อึกทึกไปด้วยเสียงร้องและเสียงโหยหวนจนไม่อาจอาศัยอยู่ได้  คริสตจักรบางแห่งมีคนดังกล่าวอยู่ แม้อาจจะไม่ประจักษ์ชัดเมื่อทุกสิ่งเป็นปกติก็ตาม แต่เจ้าไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขาจะระเบิดอารมณ์และเผยตนเองออกมาเมื่อใด  การสำแดงหลักของผู้คนเช่นนี้ ได้แก่ การอาละวาด พร่ำพูดข้อโต้แย้งที่ไร้เหตุผล และสาบานในที่สาธารณะ เป็นต้น  แม้พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงเดือนละครั้งหรือครึ่งปีต่อหนึ่งครั้ง แต่ก็เป็นก่อให้เกิดความทุกข์ใจและความลำบากยากเย็นอย่างใหญ่หลวง ส่งผลให้ชีวิตคริสตจักรของผู้คนส่วนใหญ่ถูกก่อกวนในระดับที่แตกต่างกัน  หากได้รับการยืนยันแน่ชัดแล้วว่าใครอยู่ในจำพวกนี้ ก็ควรจัดการทันทีและเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร  บางคนอาจกล่าวว่า “ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ทำชั่วใดๆ  ไม่อาจถือได้ว่าพวกเขาเป็นคนชั่ว พวกเราควรผ่อนปรนและอดทนกับพวกเขา”  บอกเราทีเถิดว่า การไม่จัดการกับผู้คนประเภทนั้นเหมาะสมหรือไม่?  (ย่อมไม่เหมาะสม)  เพราะเหตุใด?  (เพราะการกระทำของพวกเขาทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เดือดร้อนและทุกข์ใจอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังก่อให้เกิดการรบกวนชีวิตคริสตจักรอีกด้วย)  จากผลลัพธ์นี้ ชัดเจนว่าต่อให้พวกที่ก่อกวนชีวิตคริสตจักรจะไม่ใช่คนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ควรให้อยู่ในคริสตจักรต่อไป  นั่นก็เพราะผู้คนเหล่านั้นไม่รักความจริงแต่รังเกียจความจริง และไม่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีหรือได้ยินคำเทศนามากี่ปีแล้วก็ตาม พวกเขาก็จะไม่ยอมรับความจริง  เมื่อพวกเขาทำสิ่งที่ไม่ดีหรือถูกตัดแต่ง พวกเขาก็อาละวาดและพร่ำพูดคำพูดเหลวไหลออกมาเสมอ  แม้เมื่อใครบางคนสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่ยอมรับ  ไม่มีใครสามารถใช้เหตุผลกับพวกเขาได้  แม้เมื่อเราสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา ภายนอกพวกเขาอาจนิ่งเงียบแต่ในใจกลับไม่ยอมรับ  เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง พวกเขาก็ยังคงปฏิบัติตนเหมือนที่เคยทำเสมอ  พวกเขาไม่ฟังวจนะของเรา ดังนั้นพวกเขายิ่งจะไม่ยอมรับคำแนะนำของพวกเจ้า  แม้ผู้คนเหล่านี้อาจไม่ได้กระทำชั่วอย่างร้ายแรง แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย  เมื่อพิจารณาจากแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา พวกเขาไม่เพียงไม่มีมโนธรรมและสำนึก แต่พวกเขายังไร้เหตุผล จงใจสร้างปัญหา และไม่ยอมรับเหตุผลอีกด้วย  คนเช่นนั้นสามารถสัมฤทธิ์ความรอดจากพระเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน!  พวกที่ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อยคือผู้ไม่เชื่อ พวกเขาเป็นข้ารับใช้ของซาตาน  เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นดังที่ตนต้องการ พวกเขาก็อาละวาด พร่ำพูดข้อโต้เถียงที่ไร้เหตุผลอย่างต่อเนื่อง และไม่รับฟังความจริงไม่ว่าจะสามัคคีธรรมกันอย่างไร  ผู้คนเช่นนั้นไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา เป็นพวกมารและเหล่าวิญญาณชั่วอย่างแท้จริง พวกเขาแย่ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก!  พวกเขาเป็นคนวิกลจริตที่ขาดสำนึกที่ถูกต้อง และไม่มีวันที่จะกลับใจอย่างแท้จริงได้เลย  ยิ่งพวกเขาอยู่ในคริสตจักรนานเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ยิ่งพวกเขาเรียกร้องอย่างไร้เหตุผลต่อคริสตจักร พวกเขาก็ยิ่งก่อให้เกิดการรบกวนและความเสียหายต่อชีวิตคริสตจักร  เรื่องนี้ย่อมส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและความคืบหน้าตามปกติของงานคริสตจักร  ความเสียหายที่พวกเขาก่อให้เกิดกับงานของคริสตจักรก็ไม่น้อยไปกว่าคนชั่วเลย พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรเสียแต่เนิ่นๆ  บางคนกล่าวว่า “พวกเขาก็แค่เกเรไปหน่อยไม่ใช่หรือ?  พวกเขายังไม่ถึงขั้นชั่วร้าย ไม่ดีกว่าหรือหากจะปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความรัก?  หากพวกเราเก็บพวกเขาไว้ บางทีพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงและได้รับการช่วยให้รอด”  เราขอบอกพวกเจ้าว่า เป็นไปไม่ได้!  ไม่มีคำว่า “บางที” ในเรื่องนี้—ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน  นั่นก็เพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริง นับประสาอะไรกับการยอมรับความจริง พวกเขาไร้มโนธรรมและสำนึก กระบวนการความคิดของพวกเขาผิดปกติ และพวกเขาถึงขนาดไม่มีสามัญสำนึกขั้นพื้นฐานที่สุดที่จำเป็นต่อการประพฤติปฏิบัติตน  พวกเขาคือผู้คนที่มีสำนึกบกพร่อง  พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเช่นนั้นให้รอด  แม้พวกที่มีความคิดที่เป็นปกติกว่าเล็กน้อยและมีขีดความสามารถที่ดีกว่า หากพวกเขาไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย ย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด นับประสาอะไรกับพวกที่สำนึกบกพร่อง  การยังคงปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นด้วยความรักและความหวังย่อมเป็นความโง่เขลาและไม่รู้ความไม่ใช่หรือ?  เราขอบอกพวกเจ้าตอนนี้เลยว่า การชำระพวกที่ไร้เหตุผล จงใจสร้างปัญหา และไม่ยอมรับเหตุผลออกไปจากคริสตจักรเป็นเรื่องถูกต้องอย่างยิ่ง  เป็นการขุดรากถอนโคนการคุกคามคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  หากมีคนที่ไม่มีสำนึกอยู่ในคริสตจักรใด ประชากรที่พระเจ้าเลือกสรรควรรายงาน และเมื่อผู้นำและคนทำงานได้รับรายงานเหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็ควรจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างทันท่วงที  นี่คือหลักธรรมในการจัดการกับผู้คนประเภทที่หก—พวกที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา

ช. มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรมอย่างสม่ำเสมอ

ประเภทที่เจ็ดคือผู้ที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกกล่าวถึงอยู่เป็นประจำ  แม้การสำแดงของความเป็นมนุษย์จะไม่ชั่วร้ายนัก—ไม่มีการยุยงให้แตกแยก หรือการกระทำชั่วและก่อให้เกิดการรบกวน—แต่พวกเขากลับมีลักษณะร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ การมีปัญหาและเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของพวกเขากับเพศตรงข้ามเสมอ  ไม่ว่าจะมีโอกาสหรือไม่ก็ตาม ปัญหาเช่นนั้นก็เกิดขึ้นกับพวกเขาตลอดเวลา และหากไม่มีโอกาส พวกเขาก็สร้างโอกาสขึ้นมา เพื่อให้เกิด “เรื่องราว” แบบนี้ขึ้นมาจนได้  ไม่ว่าในสภาพการณ์ใด ไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หรือคนคนนั้นจะอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงใด เหตุการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นกับพวกเขาอยู่เป็นระยะ  เหตุการณ์แบบไหนบ้าง?  พวกเขาคบหาดูใจใครบางคน หรือต้องการใกล้ชิดใครบางคน หรือเกิดความรู้สึกชอบพอใครบางคน หรือหมายตาใครบางคน และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  พวกเขาไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติและทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ เพราะตกอยู่ในอิทธิพลของความอยากที่เปี่ยมไปด้วยตัณหาตลอดเวลา  นั่นคือ ในสถานการณ์ทั่วไปซึ่งผู้คนปกติจะไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นเหล่านั้น แต่พวกเขากลับข้องเกี่ยวอยู่เป็นประจำ  ไม่จำเป็นต้องมีสภาพการณ์พิเศษหรือจำเป็นต้องให้ใครสร้างโอกาสให้พวกเขา เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ  หลังจากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด กลุ่มคนหรือใครคนใดคนหนึ่งต้องจ่ายราคาให้เสมอ  พวกเขาต้องจ่ายราคาอะไรบ้าง?  การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้รับผลกระทบ งานของคริสตจักรล่าช้าและถูกขัดขวาง คนหนุ่มสาวบางคนว้าวุ่นใจและตกอยู่ในการทดลอง รวมทั้งสูญเสียความสนใจต่อการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตน บางคนก็ถึงขนาดสูญเสียหน้าที่หรือละทิ้งหน้าที่ของตนไปเลย  ผู้คนที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรมนั้นสร้างปัญหาอย่างยิ่ง  มีสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามมารุมล้อมพวกเขาในทุกๆ ที่ ใกล้ชิดพวกเขา หว่านเสน่ห์ และถึงกับพูดจาหยอกเย้ากัน  แม้อาจจะยังไม่มีปัญหาร้ายแรงในแก่นแท้ธรรมชาติเกิดขึ้น แต่พวกเขากลับก่อกวนสภาวะที่เป็นปกติของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างรุนแรงระหว่างที่คนเหล่านั้นทำหน้าที่ของตน  ไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด พวกเขาก็สร้างความเดือดร้อนและทำการรบกวนผู้อื่น ก่อกวนงาน และก่อกวนคริสตจักร ถึงกับล่อลวงสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามที่ตนรู้สึกว่าดึงดูดใจในทุกโอกาส และสานสัมพันธ์กับคนเหล่านั้น  นี่คือการก่อความรำคาญอย่างใหญ่หลวงจริงๆ  เมื่อพวกเขาหลงรักใครสักคน คนคนนั้นย่อมประสบกับความโชคร้าย ไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าหรือทำหน้าที่ของตนอย่างเป็นปกติอีกต่อไป  ผลที่ตามมาเกินกว่าจะคาดคิด  คนคนนั้นไม่สามารถอยู่ได้โดยขาดการติดต่อ หรือไม่ได้พบเจอคนที่ล่อลวงตน และในขณะที่พวกเขายุ่งกับการทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็ไม่สามารถแต่งงานหรือลงหลักปักฐานได้ และความสัมพันธ์ดังกล่าวยังคงตัดไม่ขาด  สุดท้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?  พวกเขาเริ่มทนทุกข์อย่างแสนสาหัส ด้วยความเจ็บปวดยิ่ง!  หากพวกเขาสู้ทนจนถูกลงโทษในความวิบัติ ความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดของพวกเขาย่อมพังทลายลง  บางคนก้าวล่วงเพียงครั้งเดียวและไม่กลับใจหลังจากถูกตัดแต่ง แต่กลับก้าวล่วงเป็นครั้งที่สองหรือกระทั่งเป็นครั้งที่สาม มีความสัมพันธ์กับคนสามหรือสี่คนในระยะเวลาสองปีหรือสามปี ซึ่งถือเป็นการก่อกวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและชีวิตคริสตจักร รวมทั้งทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรรังเกียจพวกเขา  เรื่องนี้ย่อมทิ้งรอยด่างไว้กับพวกเขาซึ่งพวกเขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

บางคนมีสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามมาติดพัน คอยอยู่รายรอบพวกเขาตลอดเวลาไม่ต่างจากแมลงวัน เพราะพวกเขาค่อนข้างหน้าตาดี มีความสง่างามกับพรสวรรค์และความสามารถพิเศษในระดับหนึ่ง หรือรับผิดชอบหน้าที่สำคัญบางอย่าง  บางคนคอยนำอาหารมาให้ บางคนปูที่หลับที่นอนให้ บางคนซักผ้าให้ บางคนซื้ออาหารเสริมกับเครื่องสำอางและมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้ เป็นต้น  พวกเขาต้อนรับผู้มาเยือนทุกคน รู้อยู่แก่ใจว่าพฤติกรรมดังกล่าวของคนเหล่านี้ไม่เหมาะสมแต่ก็ไม่เคยปฏิเสธ กลับล่อลวงสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามหลายคนในเวลาเดียวกัน  ผู้คนเหล่านั้นต่างแย่งชิงกันเองเพื่อจะได้มีโอกาสรับใช้พวกเขา แข่งขันกันจนกลายเป็นอิจฉากันเอง ในขณะที่คนมักมากในกามกลับเพลิดเพลินกับความรู้สึกเช่นนี้ โดยเชื่อว่าตนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง  ในความเป็นจริง เรื่องของชายหญิงนั้น พวกผู้ใหญ่ย่อมเข้าใจกันดี กระทั่งเยาวชนบางคนก็ยังเข้าใจ มีแต่คนเขลา คนที่บกพร่องทางสติปัญญา หรือป่วยทางจิตเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ  เหตุใดคนเหล่านี้จึงแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อรับใช้หรือเอาใจสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้าม?  เป็นความต้องการล่อลวงทั้งสิ้นใช่หรือไม่?  ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาตรงๆ ทุกคนก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  เป็นสิ่งที่ผู้คนตระหนักดี เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างชัดเจน ทว่าคนคนนั้นกลับไม่ปฏิเสธ แต่กลับยอมรับอย่างเงียบๆ—แบบนี้เรียกว่าอะไร?  นั่นเรียกว่าหว่านเสน่ห์  เขารู้ว่านี่คือการล่อลวงระหว่างชายหญิง แต่ความตื่นเต้นที่เกิดจากการสนองความอยากที่เปี่ยมไปด้วยตัณหาของเนื้อหนังทำให้เขาไม่ต้องการปฏิเสธ  เขารู้สึกว่าความรู้สึกเช่นนี้คือความสุขสำราญอย่างหนึ่ง ความสุขสำราญที่ดียิ่งกว่าอาหารโอชะใดๆ ในโลกเสียอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธ  เมื่อคนคนนั้นไม่ปฏิเสธ พวกที่ล่อลวงก็ยิ่งมีความสุข คิดว่าตนเป็นผู้ที่คนคนนั้นชอบ เพลิดเพลินกับสถานการณ์นั้นอยู่ในใจ  และคนคนนั้นก็คิดว่าตราบใดที่ไม่เกิดความสัมพันธ์อันลึกซึ้งก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง ความมักมากในกามในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อยิ่งแย่กว่านี้มาก อย่างมากที่สุด นี่ก็ถือว่าเป็นการล่อลวง เหมือนกับการคบหาดูใจกันปกติ  แต่การคบหาดูใจกันสมควรเป็นเช่นนี้หรือ?  วันนี้กับคนหนึ่ง พรุ่งนี้กับอีกคนหนึ่ง คบหาดูใจและล่อลวงใครก็ได้แบบไม่ยั้งคิด  ไม่ว่าจะไปที่ไหน พวกมักมากในกามเช่นนั้นก็ให้ความสำคัญกับการปลดปล่อยความอยากในกำหนัดของตน อวดตัว และล่อลวง  ยิ่งพวกเขาล่อลวงผู้คนมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น  สุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น?  หลังจากโอ้อวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พี่น้องชายหญิงก็แยกแยะพฤติกรรมของพวกเขาและร่วมกันเขียนจดหมายถึงผู้นำระดับสูงขึ้นไป  การสอบสวนพิสูจน์ว่าคำกล่าวอ้างของพี่น้องชายหญิงเป็นจริง แล้วคนที่มักมากในกามก็ถูกชำระออกจากคริสตจักร  เห็นไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?  เส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาย่อมจบลงเพียงเท่านั้นมิใช่หรือ?  จุดจบของพวกเขาถูกเผยให้เห็นแล้ว  การกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาซึ่งผู้คนพบว่าเกินทนนั้น ยิ่งน่าชิงชังสำหรับพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ  พฤติกรรมที่ผู้คนเหล่านี้แสดงออกไม่ได้แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ถูกควรระหว่างผู้คน และไม่ได้สะท้อนความต้องการปกติของมนุษย์  การกระทำของพวกเขาสามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดเดียวว่า “ความมักมากในกาม”  ความมักมากในกามหมายถึงอะไร?  หมายถึงการมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามโดยไม่ยั้งคิด ล่อลวงผู้อื่นตามอำเภอใจอย่างไร้ความรับผิดชอบ ยั่วยวนและคุกคามสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้าม  นี่เป็นการเล่นกับตัณหา และทำเช่นนั้นโดยไม่คำนึงถึงราคาที่ต้องจ่ายและผลที่ตามมา  หากท้ายที่สุดมีใครบางคนติดเบ็ดและมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับพวกเขา พวกเขากลับไม่ยอมรับพร้อมกล่าวว่า “ฉันแค่ล้อเล่น  คุณคิดจริงจังหรือนี่?  ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักนิด  คุณคิดมากเกินไป”  นี่คือมารที่กำลังทดลองผู้คนอยู่ไม่ใช่หรือ?  หลังจากทดลองคนคนหนึ่ง เขาก็มองหาเป้าหมายต่อไป เพื่อล่อลวงคนอื่นๆ  เขาช่างน่ารังเกียจและเลวร้ายเหลือเกิน!  หลังจากล่อลวงใครบางคนแล้ว เขาก็ปฏิเสธที่จะยอมรับ  หากใครบางคนถูกคนเช่นนี้ชักพาให้หลงผิดและเข้าไปพัวพันด้วย ย่อมน่าขยะแขยงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนที่ล่อลวงผู้อื่นโดยไม่ยั้งคิดนั้นน่าเกลียดใช่หรือไม่  (ใช่)  พระนิเวศของพระเจ้าได้กล่าวไว้ตั้งแต่เริ่มแรกว่า หากคนคนหนึ่งถึงวัยที่จะแต่งงานและเป็นผู้ใหญ่ พระนิเวศของพระเจ้าไม่ต่อต้านการคบหาดูใจที่เป็นปกติของพวกเขา หรือต่อต้านการแต่งงานและการใช้ชีวิตร่วมกันในหนทางปกติ พระนิเวศของพระเจ้าอนุญาตและให้เสรีภาพแก่พวกเขาในการทำเช่นนั้น  อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขหลายประการคือ ไม่อนุญาตให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม ล่อลวงและหว่านเสน่ห์โดยไม่ยั้งคิด และไม่อนุญาตให้คุกคามเพศตรงข้ามตามอำเภอใจ  พระนิเวศของพระเจ้าไม่จำกัดการคบหาดูใจ แต่ไม่อนุญาตให้มีการล่อลวงโดยไม่ยั้งคิด  การล่อลวงโดยไม่ยั้งคิดหมายความว่าอย่างไร?  หมายถึงการคุกคามสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามคนใดก็ตาม และหลังจากทำเช่นนั้นแล้วก็ไม่ยอมรับว่าตนทำ  ผู้คนที่พวกเขาคุกคามก็ไม่ใช่รักแท้ของพวกเขา พวกเขาไม่เจตนาที่จะมีความสัมพันธ์ในระยะยาวหรือเจตนาที่จะแต่งงาน แต่ปรารถนาเพียงจะล่อลวง เล่นสนุกกับอีกฝ่าย หาความเพลิดเพลินจากอีกฝ่าย เสาะหาความตื่นเต้น มีความสัมพันธ์กับคู่รักหลายๆ คน ทำตัวเป็นคนเจ้าชู้—เช่นนี้เรียกว่าความมักมากในกาม  ในคริสตจักร ไม่อนุญาตให้มีการมักมากในกาม และหากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็ควรจัดการกับพวกที่เกี่ยวข้องตามหลักธรรมของการเอาตัวผู้คนออกไป  แน่นอนว่า ในฝ่ายข่าวประเสริฐ สภาพการณ์เช่นนั้นไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ว่าพวกเขามาจากคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาหรือจากคริสตจักรทั่วไป  หากใครสักคนแสร้งประกาศข่าวประเสริฐเพื่อล่อลวงผู้อื่นโดยไม่ยั้งคิด โดยเลือกเฉพาะสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามมาร่วมมือกัน หรือเพียงประกาศข่าวประเสริฐให้กับสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้าม โดยถือโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควร นี่ย่อมเป็นการขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจข่าวประเสริฐของพระเจ้า  ผู้นำและคนทำงานต้องชำระผู้คนเหล่านั้นออกไปในทันที

เพื่อค้นหาสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามและเพื่อมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม บางคนไม่คำนึงถึงอายุและไม่มีขีดจำกัดเรื่องอายุ  พวกเขาเพียงพยายามล่อลวงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ละอายเลยแม้แต่น้อย  บางคนไม่เพียงสนองความอยากที่เปี่ยมไปด้วยตัณหาของเนื้อหนังของตนในการล่อลวงเพศตรงข้าม—พวกเขาถึงกับจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายออกค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของตน ซื้อสิ่งต่างๆ ให้ และอื่นๆ  หากพวกเจ้าพบคนแบบนั้นหรือพบใครบางคนรายงานเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ควรจัดการกับพวกเขาทันที  วิธีเดียวที่จะแก้ไขได้คือเอาตัวคนเหล่านี้ออกไป เอาตัวพวกเขาออกไปเป็นการถาวร  นี่เป็นเพราะผู้คนที่มีประเด็นปัญหาเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่ปัญหาชั่วคราวอย่างแน่นอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่แต่งงานแล้ว—ถึงแม้จะมีคู่ครองอยู่ที่บ้าน พวกเขาก็ยังคงมุ่งเป้าไปที่เพศตรงข้ามภายใต้ข้ออ้างของการประกาศข่าวประเสริฐ  พวกเขามองหาคนแบบไหนก็ได้ ไม่ว่ารวยหรือจน และหากพวกเขาพบใครบางคนที่พวกเขาชอบ พวกเขาอาจถึงกับหนีตามกันไป ถึงขนาดไม่ประกาศข่าวประเสริฐอีกเลย—นั่นคือ ไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป  หากพบผู้คนดังกล่าวได้แต่เนิ่นๆ ก็ควรเอาตัวพวกเขาออกจากบรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐเป็นการถาวรโดยเร็ว ไม่ให้โอกาสพวกเขาอีก และไม่จำเป็นต้องเฝ้าสังเกตอีกต่อไป  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “สำหรับบางคน ชีวิตเป็นเรื่องยาก  ถ้าพวกเขาล่อลวงเพศตรงข้ามบางคนเพื่อสร้างครอบครัว และอีกฝ่ายก็สามารถเชื่อในพระเจ้าและเกื้อหนุนพวกเขาได้ นั่นย่อมจะเป็นสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?”  เราขอบอกเจ้าว่าจำเป็นต้องเอาตัวคนเช่นนั้นออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อสร้างชีวิตครอบครัวเลย แต่เพื่อมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม ทำไมเราจึงมั่นใจนัก?  หากพวกเขาไม่ใช่ประเภทที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม หลังจากมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้นต่อไป อีกทั้งจะเห็นว่าพฤติกรรมเช่นนั้นน่ารังเกียจ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาแต่งงานแล้ว  กระแสนิยมต่างๆ ทั่วทั้งโลกในทุกวันนี้ล้วนเลวร้ายและไร้ศีลธรรม ผู้คนหมกมุ่นในตัณหาและแข่งขันกันว่าใครสามารถล่อลวงสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามได้มากกว่ากันโดยไม่จำเป็นต้องมีการยับยั้งชั่งใจใดๆ เพราะสังคมนี้และมวลมนุษย์เหล่านี้ไม่กล่าวโทษหรือเย้ยหยันการกระทำเหล่านี้  ดังนั้นผู้คนจึงคิดว่าหากพวกเขาสามารถหาเงินได้จากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรมและขายเนื้อหนังของตน นั่นจะเป็นเครื่องหมายแสดงทักษะหรือความสามารถ  พวกเขามองว่านั่นเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ  อย่างไรก็ตาม หลังจากมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ทัศนะของผู้คนในเรื่องเหล่านี้ย่อมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง  พวกเขาพบหนทางที่ถูกต้องที่จะรับมือกับความอยากในกำหนัดของเนื้อหนัง ซึ่งสิ่งแรกและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการยับยั้งชั่งใจ  คนเราสามารถฝึกการยับยั้งชั่งใจได้อย่างไร?  ผู้คนจำเป็นต้องรู้จักอายและมีสำนึกของความละอาย  นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ทุกคนมีความอยากที่เปี่ยมไปด้วยตัณหา แต่ผู้คนจำเป็นต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจตนเอง มีสำนึกแห่งความละอาย  ต่อให้พวกเขามีความคิดประเภทนี้อยู่บ้าง พวกเขาก็ควรยับยั้งชั่งใจตนเองเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้า รวมทั้งมีมโนธรรมและสำนึก  พวกเขาต้องไม่ทำตามความคิดที่ไม่ถูกไม่ควรในความรู้สึกนึกคิดของตน และยิ่งไม่ควรหมกมุ่นในความคิดเหล่านั้น  พวกเขาควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้  ต่อให้พวกเขาเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ไม่เข้าใจความจริงก็ตาม พวกเขาก็ยังควรประเมินตนเองตามมาตรฐานขั้นพื้นฐานที่สุดของศีลธรรมมนุษย์  หากเจ้าขาดแม้กระทั่งการยับยั้งชั่งใจในระดับนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ไร้ความเป็นมนุษย์ที่ปกติ รวมทั้งมโนธรรมและสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  สัตว์ทุกชนิดเชื่อฟังคำสั่งบางอย่างและทำตามกฎเกณฑ์ในแง่มุมนี้ ไม่ทำอะไรโดยประมาท ในฐานะมนุษย์ ผู้คนยิ่งไม่ควรมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตนโดยประมาท และควรมีความยับยั้งชั่งใจมากมายยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ  หากเจ้าขาดแม้แต่ความยับยั้งชั่งใจและการควบคุมตนเองในระดับนี้ แล้วเจ้าหวังที่จะแสวงหาและปฏิบัติความจริงได้อย่างไร?  หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะแก้ไขตัณหาอันเลวร้ายของตนเอง แล้วเจ้าจะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้อย่างไร?  ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขธรรมชาติที่ไม่ยอมรับและทรยศพระเจ้าของเจ้าไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะจัดการกับความอยากที่เปี่ยมไปด้วยตัณหาของเนื้อหนัง แล้วเจ้าหวังที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้อย่างไร?  ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้เลย  เจ้าย่อมจะไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้

บางคนมองหาโอกาสที่จะคบหาดูใจในระหว่างประกาศข่าวประเสริฐอยู่เสมอ และเหตุการณ์เช่นนั้นก็เกิดขึ้นเป็นประจำ  พวกที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเป็นนิสัยพร้อมทั้งละเลยงานที่ถูกควรของตนได้ถูกเอาตัวออกไปและถูกจัดการไปแล้ว ในขณะที่พวกที่กระทำผิดเป็นครั้งคราวได้รับการตักเตือน  เมื่อบุคคลที่มีอุปนิสัยอันเลวร้ายเหล่านี้พบสภาพการณ์ที่เหมาะสมและพบเจอใครบางคนที่พวกเขาถือว่าเป็นคนรัก พวกเขาก็ตกอยู่ในการทดลอง  เจตนาของพวกเขาก็เพื่อให้ได้รับพรจากการเชื่อในพระเจ้าจึงหายไปท่ามกลางตัณหาอันเลวร้ายของตน  ทันทีที่พวกเขาเข้าสู่ความสัมพันธ์ฉันชู้สาว พวกเขาก็ละเลยสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด ถึงขนาดละทิ้งเจตนาที่จะได้รับพรของตน และไล่ตามไขว่คว้าเพียงความสุขของเนื้อหนัง  หลังจากการก้าวล่วงครั้งหรือสองครั้ง พวกเขาอาจรู้สึกกล่าวโทษตนเองหรือทุกข์ใจอยู่บ้าง แต่หลังจากสามหรือสี่ครั้ง นั่นก็กลายเป็นความมักมากในกาม  ทันทีที่ความมักมากในกามหยั่งรากลง พวกเขาย่อมไม่รู้สึกถึงการกล่าวโทษตนเองหรือทุกข์ใจอีกต่อไปเพราะชั้นของความละอายซึ่งเป็นขีดต่ำสุดในความเป็นมนุษย์ของคนเราได้ถูกทำลายลงแล้ว  พวกเขาไม่ถือว่าความมักมากในกามเป็นเรื่องเรื่องน่าละอายอีกต่อไป ดังนั้นจึงเกิดความมักมากในกามอย่างต่อเนื่อง  พวกที่สามารถมีส่วนร่วมในความมักมากในกามอย่างต่อเนื่องคือผู้ที่หมกมุ่นในความอยากที่เปี่ยมไปด้วยตัณหาของตน และไม่แสดงให้เห็นการยับยั้งชั่งใจใดๆ  บุคคลเช่นนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในคริสตจักร และต้องถูกชำระออกไป อย่ายอมตามใจพวกเขาหรือหาข้ออ้างใดๆ เพื่อเก็บพวกเขาเอาไว้  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ขาดผู้คนที่จะประกาศข่าวประเสริฐ ไม่จำเป็นต้องให้พวกตัณหากลับเหล่านี้มาเติมเต็มที่ว่าง เพราะนี่เป็นการนำความเสื่อมเสียมาสู่พระนามของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น หากใครบางคนรายงานหรือหากเจ้าค้นพบด้วยตัวเองว่ามีบุคคลเช่นนั้นในฝ่ายประกาศข่าวประเสริฐ เจ้าควรรู้ว่าจะทำอย่างไร  หากผู้เชื่อใหม่บางคนมีประเด็นปัญหานี้ เช่นนั้นเจ้าก็ควรสามัคคีธรรมความจริงเกี่ยวกับประเด็นนี้เสียก่อน เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าอะไรคือหลักธรรมและท่าทีของคริสตจักรที่มีต่อผู้ที่กระทำการที่เป็นความมักมากในกาม  อย่างน้อยที่สุด พวกเขาควรมีการตักเตือนในเบื้องต้นเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาตกอยู่ในความมักมากในกามและไม่ให้ใช้การประกาศข่าวประเสริฐเป็นโอกาสในการทำพฤติกรรมเช่นนั้น ท้ายที่สุดก็ตำหนิผู้ที่ดูแลรับผิดชอบหรือผู้นำและคนทำงานว่าไม่สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้องตั้งแต่แรก  เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ก่อนที่คนบางคนจะตระหนักถึงท่าทีของพระนิเวศของพระเจ้าต่อบุคคลหรือเรื่องราวดังกล่าว เมื่อผู้คนไม่กระจ่างในประเด็นปัญหาเหล่านี้ ผู้นำและคนทำงานต้องสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมเหล่านี้กับพวกเขาอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาเพื่อให้พวกเขารู้ว่าเรื่องเหล่านี้มีธรรมชาติและพฤติกรรมเช่นใด  หลังจากได้สามัคคีธรรมถึงหลักธรรมเหล่านี้อย่างครบถ้วนแล้ว หากพวกเขายังคงยึดติดกับครรลองของตนเองและยืนกรานในหนทางของตนแม้จะรู้จักหลักธรรมเหล่านี้แล้วก็ตาม พวกเขาก็ต้องถูกเอาตัวออกไป  หากบุคคลเช่นนั้นปรากฏตัวในคริสตจักร โดยมักจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยการล่อลวงผู้อื่นหรือมักจะก่อการคุกคามสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาย่อมมีปัญหาอย่างแน่นอน  แม้ไม่เคยมีปัญหาที่ร้ายแรงเกิดขึ้นก็ตาม ผู้นำและคนทำงานควรตักเตือนและจัดการบุคคลเหล่านี้ หรือเอาพวกเขาออกจากสถานที่ที่ผู้คนทำหน้าที่ของตน ในกรณีร้ายแรง พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไปโดยตรง  นี่คือบทสรุปการสามัคคีธรรมของพวกเราถึงประเภทที่เจ็ดเกี่ยวกับการสำแดงความเป็นมนุษย์ของคนเรา

18 ธันวาคม ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (25)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger