หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (26)

ประการที่สิบสี่: แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป (ภาคที่ห้า)

ท่าทีที่เหล่าผู้นำและคนทำงานควรมีต่องานชำระคริสตจักรให้สะอาด

ปีนี้พวกเราได้สามัคคีธรรมกันอย่างต่อเนื่องถึงความรับผิดชอบของเหล่าผู้นำและคนทำงาน ตลอดจนการสำแดงของคนทุกประเภทที่เกี่ยวข้อง  หัวข้อของการสามัคคีธรรมจึงได้มีรายละเอียดและเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเกี่ยวโยงกับปัญหาต่างๆ ของผู้คนทุกประเภท อีกทั้งการสามัคคีธรรมถึงการสำแดงเฉพาะของคนเหล่านี้ และการจำแนกประเภทของพวกเขาก็มีความชัดเจนและเฉพาะเจาะจงมากด้วยเช่นกัน  ยิ่งสามัคคีธรรมถึงปัญหาที่มีรายละเอียดเหล่านี้อย่างเฉพาะเจาะจงและชัดเจนมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเป็นการจัดเตรียมความช่วยเหลือและคำชี้แนะที่เป็นบวกต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งเป็นการจัดเตรียมการชี้แนะกับความช่วยเหลือแก่เหล่าผู้นำและคนทำงานในการทำงานและทำหน้าที่ของพวกเขามากขึ้นเช่นกัน  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าการสามัคคีธรรมจะดำเนินไปอย่างไร ไม่ว่าการสามัคคีธรรมจะเฉพาะเจาะจงเพียงไร ผู้นำและคนทำงานบางคนก็ยังคงไม่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีรับมือและกำจัดผู้คนประเภทต่างๆ รวมถึงปัญหาทั้งหลายในคริสตจักร  ปัญหาของผู้คนทุกประเภทได้รับการสามัคคีธรรมกันอย่างชัดเจนแล้ว แต่ผู้นำและคนทำงานบางคนก็ยังไม่สามารถรับรู้วิธีแยกแยะและวิธีปฏิบัติต่อผู้คนประเภทต่างๆ  พวกเขายังคงไม่สามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง และไม่สามารถใช้ความจริงรับมือกับผู้คนและปัญหาหลากหลายประเภทในคริสตจักรได้  เหตุผลในเรื่องนี้คืออะไร?  ผู้คนเหล่านี้ขาดความเป็นจริงความจริง  ด้วยการสามัคคีธรรมถึงการสำแดงของผู้คนทุกประเภท คนเราควรมีวิจารณญาณแยกแยะขั้นพื้นฐานและจัดการเตรียมการอย่างสมเหตุสมผลต่อผู้คนในคริสตจักรทั้งที่ทำหน้าที่และไม่ทำหน้าที่ของตน พวกที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกที่เชื่อฟังและนบนอบ กับพวกที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน  อย่างไรก็ตาม เมื่อมองดูสถานการณ์ของคนทุกประเภทในคริสตจักร มีเพียงคนชั่วที่เห็นได้อย่างชัดเจนเท่านั้นที่ถูกเอาตัวออกไป ผู้ไม่เชื่อจำนวนมากยังคงไม่ถูกเอาตัวออกไปอย่างครบถ้วน  ในงานชำระคริสตจักรให้สะอาด เหล่าผู้นำและคนทำงานควรให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าในการชำระคนชั่วและผู้ไม่เชื่อออกไปโดยเร็วที่สุด แทนที่จะจัดการเรื่องนี้อย่างเฉื่อยชา ปฏิบัติตนเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน หรือคิดเพียงว่าการชำระคนชั่วที่เห็นได้ชัดเจนออกไปก็หมายความว่าทุกอย่างได้รับการแก้ไขและเรียบร้อยดีแล้ว  ผู้นำและคนทำงานควรตรวจสอบงานของสมาชิกแต่ละกลุ่มอย่างแข็งขัน ตรวจสอบสถานการณ์ของสมาชิกแต่ละกลุ่มว่ามีผู้ไม่เชื่อคนใดอยู่ที่นั่นเพียงเพื่อเพิ่มจำนวนหรือมีผู้ไม่เชื่อที่เผยแพร่ความคิดลบและมโนคติอันหลงผิดซึ่งก่อกวนงานของคริสตจักรหรือไม่ และทันทีที่ค้นพบ ผู้คนเหล่านี้ควรถูกเปิดโปงและเอาตัวออกไปให้หมด  นี่คืองานที่เหล่าผู้นำและคนทำงานควรทำ พวกเขาไม่ควรนิ่งเฉย ไม่ควรรอคอยคำสั่งและการกระตุ้นจากเบื้องบนจึงกระทำการ และไม่ควรทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ต่อเมื่อพี่น้องชายหญิงทุกคนเรียกร้องเท่านั้น  เหล่าผู้นำและคนทำงานพึงคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าในงานของตนและจงรักภักดีต่อพระองค์  หนทางที่ดีที่สุดที่พวกเขาควรประพฤติตนคือรับรู้และแก้ไขปัญหาทั้งหลายในเชิงรุก  พวกเขาต้องไม่อยู่เฉย โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามีวจนะและการสามัคคีธรรมในปัจจุบันเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติตน  พวกเขาควรเป็นฝ่ายริเริ่มแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นที่แท้จริงทั้งหลายอย่างถี่ถ้วนด้วยการสามัคคีธรรมความจริง และทำงานของตนอย่างถูกต้องตามที่ควรจะเป็น  พวกเขาควรติดตามความคืบหน้าของงานอย่างกระตือรือร้นและทันท่วงที พวกเขาไม่อาจรอคอยคำสั่งและการกระตุ้นจากเบื้องบนก่อนที่จะลงมือทำอย่างไม่เต็มใจอยู่ตลอดเวลา  หากผู้นำและคนทำงานมีความคิดลบและนิ่งเฉยอยู่เสมอ ไม่ทำงานที่แท้จริงเลย พวกเขาย่อมไม่คู่ควรกับการรับใช้ในฐานะผู้นำและคนทำงาน พวกเขาสมควรถูกปลดและปรับเปลี่ยนหน้าที่  ทุกวันนี้มีผู้นำและคนทำงานจำนวนมากที่ขาดความกระตือรือร้นในงานของตนเป็นอย่างยิ่ง  พวกเขาทำงานเพียงเล็กน้อยหลังจากเบื้องบนมอบคำสั่งและผลักดันพวกเขา ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็หย่อนยานและผัดวันประกันพรุ่ง  งานในคริสตจักรบางแห่งค่อนข้างวุ่นวาย บางคนที่ทำหน้าที่อยู่ที่นั่นก็หย่อนยานและสุกเอาเผากินเกินไปจนไม่มีผลลัพธ์ที่แท้จริงเลย  ปัญหาเหล่านี้รุนแรงและมีธรรมชาติที่เลวร้ายมากอยู่แล้ว แต่ผู้นำและคนทำงานของคริสตจักรเหล่านั้นก็ยังคงปฏิบัติตนเหมือนเจ้าหน้าที่หรือเจ้าขุนมูลนาย  ไม่เพียงพวกเขาไม่สามารถทำงานที่แท้จริงใดๆ ได้ แต่ยังไม่สามารถรับรู้หรือแก้ไขปัญหาทั้งหลายได้อีกด้วย  นี่ย่อมทำให้งานของคริสตจักรเป็นอัมพาตและหยุดชะงัก  ที่ใดก็ตามที่งานของคริสตจักรอยู่ในความยุ่งเหยิงอย่างยิ่งและไม่มีสัญญาณของความเป็นระเบียบ ที่นั่นย่อมมีผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจอยู่อย่างแน่นอน  ในทุกๆ คริสตจักรที่มีผู้นำเทียมเท็จกุมอำนาจ งานของคริสตจักรย่อมอยู่ในความโกลาหลและความยุ่งเหยิงโดยสิ้นเชิง—ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้  ตัวอย่างเช่น เราพบเจอปัญหาในคริสตจักรอเมริกันจำนวนมากด้วยหูหรือตาของเราเอง  ปัญหาส่วนใหญ่ที่เราพบเห็นแล้วย่อมได้รับการแก้ไขในทันที ส่วนปัญหาอื่นๆ เราได้ขอให้ผู้นำของคริสตจักรอเมริกันแก้ไขปัญหาเหล่านั้น  อย่างไรก็ตาม งานของผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่ทำกันอย่างเฉื่อยชามาก การติดตามงานล่าช้าเกินไปและประสิทธิภาพต่ำเกินไป กิจประจำวันส่วนใหญ่ของพวกเขาได้รับการดำเนินการก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งและการกระตุ้นจากเบื้องบนเท่านั้น  หลังจากเบื้องบนจัดการเตรียมงานให้ พวกเขาก็จะยุ่งอยู่สักพักหนึ่ง แต่เมื่องานในส่วนนั้นเสร็จสิ้น พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปเพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าหน้าที่ที่พวกเขาควรทำคืออะไร  พวกเขาไม่เคยเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับหน้าที่ที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานที่ตนควรปฏิบัติ ในสายตาของพวกเขา ไม่มีงานใดที่จำเป็นต้องทำ  จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้คนไม่คิดว่ามีงานที่จำเป็นต้องทำ?  (พวกเขาไม่แบกรับภาระ)  พูดให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาไม่แบกรับภาระ พวกเขาเกียจคร้านและละโมบความสะดวกสบาย หยุดพักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อมีโอกาส และพยายามหลีกเลี่ยงงานเพิ่มเติมใดก็ตาม  คนเกียจคร้านเหล่านี้มักคิดว่า “ทำไมฉันต้องกังวลมากขนาดนั้น?  การกังวลมากเกินไปรังแต่จะทำให้ฉันแก่เร็วขึ้น  ฉันจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำเช่นนั้น จากการวิ่งวุ่นมากมาย และทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนั้น?  จะเกิดอะไรขึ้นหากฉันเหนื่อยจนหมดแรงแล้วล้มป่วยขึ้นมา?  ฉันไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา  แล้วใครจะดูแลเวลาฉันแก่เฒ่า?”  คนเกียจคร้านเหล่านี้ก็แค่เฉื่อยชาและล้าหลังเช่นนี้  พวกเขาไม่มีความจริงเลยแม้แต่น้อย และไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อย่างชัดเจน  พวกเขาคือกลุ่มคนที่เลอะเลือนอย่างเห็นได้อย่างชัดเจนใช่หรือไม่?  พวกเขาล้วนเลอะเลือน ไม่ตระหนักถึงความจริงและไม่สนใจความจริง แล้วพวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร?  เหตุใดผู้คนจึงไร้วินัยและเกียจคร้านเสมอ ราวกับพวกเขาเป็นซากศพที่มีชีวิต?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาธรรมชาติของพวกเขา  ในธรรมชาติของมนุษย์มีความเกียจคร้าน  ไม่ว่าผู้คนกำลังทำกิจใดอยู่ก็ตาม พวกเขาจำเป็นต้องให้ใครบางคนกำกับดูแลและกระตุ้นพวกเขาอยู่เสมอ  บางครั้งผู้คนก็คำนึงถึงเนื้อหนัง ละโมบความสะดวกสบายทางกาย และเก็บซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้เพื่อตัวเองเสมอ—คนเหล่านี้เต็มไปด้วยเจตนาเยี่ยงมารและอุบายเจ้าเล่ห์ พวกเขาไม่มีความดีเลยจริงๆ  ไม่ว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่สำคัญอันใด พวกเขาก็ไม่ทำให้ดีที่สุดอยู่เสมอ  นี่คือการไม่รับผิดชอบและไม่จงรักภักดี  เราได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้ในวันนี้เพื่อเตือนความจำพวกเจ้าไม่ให้นิ่งเฉยในงาน  พวกเจ้าต้องสามารถทำตามสิ่งที่เรากล่าวได้  หากเราไปยังคริสตจักรต่างๆ และพบหรือเห็นว่าพวกเจ้าได้ทำงานไปแล้วมากมาย พวกเจ้าได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมาก และงานกำลังคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วจนถึงระดับที่น่าพึงพอใจ รวมทั้งทุกคนได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว เราย่อมจะพอใจมากทีเดียว  หากเราไปยังคริสตจักรต่างๆ และเห็นว่าความคืบหน้าของงานล่าช้าในทุกแง่มุม นั่นย่อมพิสูจน์ว่าพวกเจ้าไม่ได้ทำหน้าที่ของตนให้ดีและตามจังหวะปกติของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ทัน แล้วพวกเจ้าคิดว่าอารมณ์ของเราจะเป็นเช่นไร?  เราจะยังคงยินดีที่ได้พบพวกเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  เราย่อมจะไม่ยินดี  งานนี้ได้มอบหมายให้พวกเจ้าด้วยความไว้วางใจแล้ว และเราก็พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องพูดไปแล้ว เราได้บอกหลักธรรมแห่งการปฏิบัติและเส้นทางที่เฉพาะเจาะจงให้พวกเจ้าแล้วเช่นกัน  แต่พวกเจ้ากลับไม่ลงมือกระทำการ ไม่ทำงาน เอาแต่รอให้เรากำกับดูแลและกระตุ้นพวกเจ้าด้วยตัวเอง ตัดแต่งพวกเจ้าหรือแม้กระทั่งสั่งพวกเจ้าให้กระทำการ  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  เรื่องนี้ควรถูกชำแหละไม่ใช่หรือ?  เมื่อพวกเจ้าไม่ทำงานที่เห็นได้ชัดว่าควรทำและไม่สามารถแบกรับงานนั้นได้—เราจะมีท่าทีที่ดีต่อพวกเจ้าได้หรือ?  (ไม่ได้)  เหตุใดเราจึงมีท่าทีที่ดีต่อพวกเจ้าไม่ได้?  (พวกเราไม่มีความรับผิดชอบในการทำหน้าที่ของตน)  เพราะพวกเจ้าไม่ทำหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมด แต่ทำหน้าที่เหล่านั้นอย่างสุกเอาเผากินเท่านั้น  อย่างน้อยคนคนหนึ่งที่จงรักภักดีต่อหน้าที่ของตนก็ควรทุ่มเทสุดกำลังของตน แต่พวกเจ้ากลับไม่สามารถแม้แต่จะสัมฤทธิ์การนี้ได้ พวกเจ้ายังห่างไกลนัก!  ไม่ใช่เพราะขีดความสามารถของพวกเจ้าไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้าไม่ถูกต้องและพวกเจ้าไม่มีความรับผิดชอบ  มีสิ่งไร้สาระบางอย่างในหัวใจของพวกเจ้าที่ยับยั้งพวกเจ้าไม่ให้ทำหน้าของตน  นอกจากนี้ กรอบความคิดของการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนก็ขัดขวางพวกเจ้าจากการดำเนินงานชำระคริสตจักรให้สะอาดอีกด้วย  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านัยสำคัญของการชำระคริสตจักรให้สะอาดคืออะไร?  เหตุใดพระเจ้าจึงประสงค์ที่จะชำระคริสตจักรให้สะอาด?  ผลลัพธ์ของการไม่ชำระคริสตจักรให้สะอาดคืออะไร?  พวกเจ้าล้วนไม่มีความกระจ่างในเรื่องเหล่านี้และไม่แสวงหาความจริง ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเจ้าไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเจ้าเต็มใจทำเพียงงานปกติธรรมดาเล็กๆ น้อยๆ ตามตำแหน่งของตนและหลีกเลี่ยงงานพิเศษทั้งหลาย โดยเฉพาะงานที่อาจล่วงเกินผู้อื่น  พวกเจ้าล้วนชอบที่จะส่งต่องานเหล่านี้ไปให้คนอื่น  นี่เป็นวิธีคิดของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ?  นี่เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้ากล่าวเสมอว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ การเข้าใจในความจริงของฉันมีจำกัด และฉันมีประสบการณ์ในเรื่องงานไม่มากพอ  ฉันไม่เคยเป็นผู้นำคริสตจักร และไม่เคยดำเนินงานชำระคริสตจักรให้สะอาดมาก่อน”  นี่คือการหาข้ออ้างไม่ใช่หรือ?  งานชำระคริสตจักรให้สะอาดได้รับการสามัคคีธรรมอย่างชัดเจนมากแล้ว  การชำระศัตรูของพระคริสต์ คนชั่ว และผู้ไม่เชื่อออกไปเป็นเรื่องเรียบง่ายเช่นนั้นเอง  หลักธรรมไม่กี่ประการนั้นเข้าใจยากจริงๆ  หรือ?  หากเรื่องที่เรียบง่ายเช่นนี้ได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนและผู้คนยังคงไม่เข้าใจ ย่อมบ่งบอกถึงอะไร?  นั่นบ่งบอกว่าขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินกว่าจะเข้าใจภาษามนุษย์ หรือพวกเขาเป็นเพียงคนพาลที่ไม่มุ่งเน้นกิจที่ถูกควร  ในหมู่ผู้นำและคนทำงานย่อมมีบางคนที่มีขีดความสามารถต่ำอย่างแน่นอน และแน่นอนว่ามีบางคนที่ชอบเอาใจผู้คนโดยไม่ทำงานที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังมีคนพาลบางคนที่ละเลยกิจอันถูกควรและกระทำผิดโดยไม่ยั้งคิด—สถานการณ์เหล่านี้ล้วนมีอยู่จริง  ก่อนอื่นคนพาลที่ละเลยกิจอันถูกควรเหล่านี้จำเป็นต้องถูกชำระออกไป  ใครก็ตามที่สามารถทำงานที่แท้จริงได้ควรถูกใช้งาน แน่นอนว่าคนที่ชอบเอาใจผู้คนซึ่งปฏิบัติตนเป็นผู้นำควรถูกปลดออก และผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำแต่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์และสามารถทำงานจริงบางอย่างได้ควรถูกเก็บไว้  ปัญหาเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไขในลักษณะนี้  หลังจากพระเจ้าได้ทรงสามัคคีธรรมแล้ว หากเจ้าสามารถมองเห็นปัญหาทั้งหลายในงานของคริสตจักรที่ผู้นำและคนทำงานสมควรแก้ไขได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรแก้ไขในทันทีโดยไม่รอช้าอีกต่อไป  เจ้าควรริเริ่มกระทำการได้โดยไม่จำเป็นต้องรอเบื้องบนมอบหมายกิจทั้งหลายหรือออกคำสั่งเป็นการส่วนตัว  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดขึ้น ก็ควรได้รับการแก้ไขก่อนที่จะส่งผลต่องานนั้น  ก่อนที่เบื้องบนจะเริ่มตรวจสอบประเด็นปัญหาดังกล่าว เจ้าควรได้รายงานความเข้าใจของตนพร้อมทั้งวิธีแก้ปัญหา หลักธรรมในการรับมือกับปัญหา และผลลัพธ์เมื่อจัดการกับปัญหานั้นแล้ว  นั่นจะยอดเยี่ยมขนาดไหน!  แล้วเบื้องบนจะยังคงไม่พอใจเจ้าได้อยู่หรือ?  ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นงานในขอบข่ายความรับผิดชอบของตนเองอย่างต่อเนื่อง หรือถึงแม้เจ้ามีความตระหนักรู้หรือแนวคิดบางประการแต่ยังคงผัดวันประกันพรุ่งและไม่กระทำการใดๆ เอาแต่รอให้เบื้องบนจัดการเตรียมงานให้เจ้าตลอดเวลา  นี่คือการละทิ้งความรับผิดชอบไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือการละทิ้งความรับผิดชอบอย่างร้ายแรง!  เจ้าได้สูญเสียท่าทีและความรับผิดชอบที่ควรมีในบทบาทของผู้นำหรือคนทำงานถึงวิธีที่พึงปฏิบัติต่อหน้าที่  เหล่าผู้นำและคนทำงานควรทำตามข้อกำหนดของเบื้องบนในงานของตนอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าเรื่องใดที่เบื้องบนได้สามัคคีธรรมไปแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าควรนำไปดำเนินการ กระทำการและปฏิบัติโดยเร็วทันทีที่เจ้าเข้าใจแล้ว  การแก้ไขปัญหาทั้งหลายด้วยความจริงเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดของผู้นำและคนทำงาน และเจ้าไม่ควรอยู่เฉยรอให้เบื้องบนจัดการเตรียมงานให้ก่อนที่จะลงมือทำสิ่งใด  หากเจ้ามัวแต่รอคอยอย่างนิ่งเฉยเสมอ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าไม่สามารถแบกรับงานนี้ได้ การยอมรับความรับผิดชอบและลาออกจะเป็นสิ่งเดียวที่สมเหตุผลที่

การสำแดงและผลลัพธ์ของผู้คนสามประเภทที่เชื่อในพระเจ้า

I. คนลงแรง

ความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานมีทั้งหมดสิบห้าประการ และพวกเราได้สามัคคีธรรมมาจนถึงประการที่สิบสี่แล้ว  ปัญหาต่างๆ ภายในคริสตจักรที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องแก้ไข รวมถึงประเด็นปัญหาต่างๆ ของผู้คนทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเหล่านี้ ได้รับการสามัคคีธรรมไปแล้วประมาณแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกิจที่เหล่าผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องรับผิดชอบและเป็นปัญหาที่พวกเขาต้องแก้ไข  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหามากมาย  ในแง่หนึ่ง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบทั้งหลายที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำให้ลุล่วง ในอีกแง่หนึ่ง เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหานานัปการของผู้คนทุกประเภทในคริสตจักรอีกด้วย  แม้สาระสำคัญของการสามัคคีธรรมของพวกเราในช่วงเวลานี้คือความรับผิดชอบของเหล่าผู้นำและคนทำงาน รวมทั้งการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จ แต่พวกเราก็ได้สามัคคีธรรมกันมากมายถึงปัญหาของผู้คนประเภทต่างๆ—รวมถึงสภาวะและแก่นแท้ของผู้คนหลากหลายประเภท—ที่เกี่ยวข้องกับสาระสำคัญนี้อีกด้วย  แน่นอนว่า เนื้อหาเฉพาะนี้ส่งผลที่แตกต่างกันไปต่อผู้คนทุกประเภทที่ติดตามพระเจ้าในคริสตจักร  ในหมู่พวกเขา มีคนประเภทหนึ่งที่แม้ได้ยินการสามัคคีธรรมทั้งหมดนี้แล้ว แต่ยังคงมีท่าทีว่า “ฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันยินดีละทิ้งสิ่งต่างๆ ในความเชื่อในพระเจ้าของฉัน และฉันเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของฉัน”  พวกเขาไม่สนใจสภาวะต่างๆ ของผู้คนทุกประเภท ไม่สนใจความจริงที่เกี่ยวข้องกับสภาวะต่างๆ หรือหลักธรรมความจริงที่ผู้คนพึงเข้าใจ ซึ่งได้รับการสามัคคีธรรมในช่วงเวลานี้  นี่คือคนประเภทหนึ่งไม่ใช่หรือ?  คนประเภทนี้เป็นตัวแทนที่ชัดเจนมากไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนประเภทนี้มักยึดถือมุมมองหนึ่งเสมอ  มุมมองนี้มีอะไรเป็นองค์ประกอบหลัก?  องค์ประกอบหลักมีสามประการที่เราเพิ่งจะเอ่ยถึง ประการแรก พวกเขาเชื่อว่าความเป็นมนุษย์ของตนไม่แย่ และถึงขนาดที่ดีเสียด้วยซ้ำ  ประการที่สอง พวกเขาคิดว่าตนเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง หมายความว่าพวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าและในอธิปไตยของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งอย่างแท้จริง เชื่อว่าโชคชะตาของมนุษย์อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า ซึ่งเป็นการตีความแบบกว้างๆ ของการ “เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง”  ประการที่สาม พวกเขาเชื่อว่าตนสามารถละทิ้งสิ่งต่างๆ ในความเชื่อในพระเจ้าของตน สู้ทนต่อความยากลำบากและจ่ายราคาเพื่อทำหน้าที่ของตน  สามารถกล่าวได้ว่าทั้งสามประการนี้เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน เป็นองค์ประกอบหลัก และเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดที่คนเหล่านี้ยึดถือในความเชื่อในพระเจ้าของตน  แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ยังสามารถถือเป็นต้นทุนของพวกในการเชื่อในพระเจ้า รวมทั้งเป็นเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า เป็นแรงบันดาลใจและทิศทางในการปฏิบัติตนของพวกเขาอีกด้วย  พวกเขาเชื่อว่าการมีทั้งสามประการนี้ย่อมทำให้พวกเขามีคุณสมบัติตามเงื่อนไขพื้นฐานสามประการของการได้รับการช่วยให้รอด ทำให้พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงรักและยอมรับ  นี่คือความผิดพลาดร้ายแรง การมีทั้งสามประการนี้บ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น  แค่มีความเป็นมนุษย์เล็กน้อยสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน พระเจ้าทรงเห็นชอบผู้ที่ยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว  ทั้งสามประการนี้ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของความเป็นจริงความจริงเลย ทั้งสามประการนี้เป็นเพียงมาตรฐานสามประการสำหรับการเป็นคนลงแรงเท่านั้น  ต่อไปเราจะสามัคคีธรรมถึงรายละเอียดของทั้งสามประการนี้เพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจอย่างชัดเจน  ประการแรกคือการมีความเป็นมนุษย์ที่ดี  พวกเขาเชื่อว่าการไม่ทำชั่ว ไม่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศน์ของพระเจ้าก็เพียงพอแล้ว และนี่หมายความว่าพวกเขาสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าและปฏิบัติตนอย่างสอดคล้องกับหลักธรรม  ประการที่สองคือ “การเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง”  สำหรับพวกเขา สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง” หมายถึงการไม่เคยกังขาในการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งของพระองค์ และการเชื่อว่าโชคชะตาของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งพวกเขาคิดว่านั่นจะสามารถทำให้พวกเขาติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางได้  พวกเขาเชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมจะได้รับการเห็นชอบจากพระองค์  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงนำและทรงทำอย่างไร หรือไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญกับปัญหาใด พวกเขาก็กล่าวว่า “เพียงรักพระเจ้า ติดตามพระเจ้า นบนอบพระเจ้า”  วิธีการแก้ปัญหาของพวกเขานั้นเรียบง่ายเกินไป คำพูดทั่วไปเช่นนี้สามารถแก้ไขปัญหาใดได้หรือ?  ประการที่สามคือการสามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลายในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาเพื่อทำหน้าที่ของตน  พวกเขานำประเด็นนี้ไปปฏิบัติได้อย่างไร?  เพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อมีความต้องการในงานของคริสตจักร หรือเมื่อพวกเขารู้สึกถึงเจตนารมณ์อันเร่งด่วนของพระเจ้า พวกเขาย่อมสามารถละทิ้งครอบครัว การแต่งงาน และอาชีพการงานของตนได้อย่างแข็งขัน วางจุดหมายปลายทางในอนาคตเอาไว้ก่อน แล้วติดตามพระเจ้าพร้อมทั้งทำหน้าที่ของตนด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว โดยไม่เคยเสียใจเลย  พวกเขาสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาเพื่อหน้าที่ใดก็ตามที่พระนิเวศน์ของพระเจ้าจัดการเตรียมงานให้พวกเขา แม้ว่านั่นหมายถึงการกินน้อยลงหรือนอนน้อยลงก็ตาม  ไม่ว่าภาวะการดำรงชีวิตจะยากลำบากเพียงใด หรือแม้แต่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย พวกเขายังคงสามารถยืนหยัดในการทำหน้าที่ของตน  นอกเหนือจากสามประการนี้แล้ว การปฏิบัติในแง่อื่นๆ ทั้งหมดที่สัมพันธ์กับความจริงดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย  พวกเขาทำในสิ่งที่ดูเหมือนดีและถูกต้องสำหรับพวกเขา  ส่วนหลักธรรมแห่งการปฏิบัตินานัปการที่พระเจ้าได้ตรัสแก่มนุษย์ รวมถึงสภาวะ การสำแดง และแก่นแท้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่างๆ ของผู้คนที่พระเจ้าได้ทรงเปิดโปงนั้น พวกเขากลับคิดว่าการรู้เพียงเล็กน้อยหรือไม่รู้เลยนั้นไม่เป็นไร พวกเขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องค้นหาหลักธรรมต่างๆ อย่างเฉพาะเจาะจงและพิถีพิถันเพื่อตรวจสอบความเสื่อมทรามของตนและชดเชยข้อบกพร่องของตน หรือจำเป็นต้องเข้าร่วมการชุมนุมบ่อยครั้งเพื่อรับฟังสามัคคีธรรมถึงคำพยานจากประสบการณ์นานาประการของผู้อื่น แล้วจึงสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงตนเอง เป็นต้น  พวกเขารู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ยุ่งยากเกินไปและไม่จำเป็นเลย  พวกเขาติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนด้วยความเข้าใจอันผิวเผินต่อความเชื่อในพระเจ้าและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ตลอดจนมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันต่างๆ เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  คนประเภทนี้เป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียวมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาตั้งข้อกำหนดพื้นฐานสำหรับตนเอง และมีท่าทีพื้นฐานที่สุดต่อการเชื่อในพระเจ้า  นอกจากนี้ พวกเขายังละเลยความจริง การพิพากษาและการเปิดโปงของพระเจ้า การถูกตัดแต่ง รวมถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานาประการของผู้คน และสภาวะกับการสำแดงต่างๆ เป็นต้น  พวกเขาไม่เคยใคร่ครวญหรือไตร่ตรองประเด็นเหล่านี้เลย  นั่นคือ ผู้คนเหล่านี้ถือว่าตนเองมีความเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นคนดี และเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ในขณะที่ยอมรับว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขากลับเพิกเฉยต่อสภาวะและการสำแดงเฉพาะของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่างๆ ของผู้คนที่พระเจ้าทรงเปิดโปง โดยไม่ทุ่มเทความพยายามในการตรวจสอบสิ่งเหล่านี้เลย  นี่ก็คือคนประเภทหนึ่งไม่ใช่หรือ?  ทัศนะและการสำแดงเฉพาะของความเชื่อในพระเจ้าของคนประเภทนี้เป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียวไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อพิจารณามุมมองของคนเหล่านี้เกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า ความเข้าใจในการได้รับการช่วยให้รอด และท่าทีที่พวกเขามีต่อพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานาประการของผู้คน คนเหล่านี้ควรถูกจัดอยู่ในประเภทใด?  (พวกที่มีความเชื่ออันเลอะเลือนและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง)  นี่เป็นเพียงลักษณะภายนอกเท่านั้น จริงๆ แล้ว คนเหล่านี้ควรถูกจำแนกอยู่ในประเภทใด?  ในคริสตจักรมีผู้คนประเภทนี้มากมายใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อใดก็ตามที่มีการหารือประเด็นปัญหาเฉพาะและสามัคคีธรรมความจริงที่สอดคล้องกัน พวกเขาก็เริ่มรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน สัปหงก หรือกลายเป็นสับสน และแสดงให้เห็นว่าไม่มีความสนใจเลย  หากพวกเขาได้รับมอบหมายกิจหรืองานใดๆ พวกเขาก็ถลกแขนเสื้อและลงมือทำ โดยไม่พยายามหลบเลี่ยงความยากลำบากหรือความเหนื่อยล้า  พวกเขาคิดว่าหากการเชื่อในพระเจ้าเหมือนการทำงานประเภทนี้ก็คงจะดีมาก—เมื่อนั้นพวกเขาคงจะมีแรงจูงใจ  เมื่อถึงเวลาที่ต้องสู้ทนความยากลำบาก จ่ายราคา และทุ่มเทความพยายามให้กับงาน พวกเขาก็แสดงความจริงจังอย่างแท้จริง  แต่ความจริงจังและความกระตือรือร้นอย่างแท้จริงนี้เหมือนกับการจงรักภักดีหรือไม่?  นี่เป็นการสำแดงที่คนเราควรมีหลังจากเข้าใจหลักธรรมความจริงแล้วใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  จากการสามัคคีธรรมของเรา พวกเจ้ามองเห็นได้หรือไม่ว่าผู้คนเหล่านี้ควรจัดอยู่ในประเภทใด?  (คนลงแรง)  ถูกต้อง  ผู้คนเหล่านี้คือคนลงแรง และนี่คือวิธีที่คนลงแรงเชื่อในพระเจ้า

พวกเราเริ่มต้นด้วยการสามัคคีธรรมถึงแก่นแท้ธรรมชาติและการสำแดงนานาประการของพวกศัตรูของพระคริสต์ รวมถึงการสำแดงต่างๆ ของผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ แต่ไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ที่แท้จริง  ตอนนี้พวกเรากำลังสามัคคีธรรมถึงการสำแดงประเภทต่างๆ ของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของเหล่าผู้นำและคนทำงาน  แม้หัวข้อที่ได้สามัคคีธรรมกันแล้วจะเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์กับผู้นำเทียมเท็จ แต่ประเด็นเฉพาะและการสำแดงที่กล่าวถึงในแต่ละเรื่องนั้นสัมพันธ์กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม รวมถึงสภาวะและการสำแดงต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้การครอบงำของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  แม้ว่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์จะเป็นเพียงส่วนน้อย แต่อุปนิสัยของผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ รวมถึงสภาวะและการสำแดงต่างๆ ของพวกเขา กลับมีอยู่ในคนทุกคนในระดับที่แตกต่างกัน  บัดนี้ประเด็นเหล่านี้ได้รับการสามัคคีธรรมกันอย่างละเอียดเช่นนี้ ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเหล่านั้นย่อมจะมีเส้นทางและทิศทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และมีเป้าหมายที่แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นในการไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติความจริง เข้าใจหลักธรรมความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  นี่คือสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขาและเป็นเหตุให้ชื่นชมยินดี  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขากำลังเริ่มก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนใหม่ในความเชื่อในพระเจ้าของตน  พวกเขาไม่ใช้ชีวิตภายใต้ข้อบังคับ พิธีกรรมทางศาสนา หรือคำพูดและคำสอน รวมทั้งคำขวัญอีกต่อไป  แต่พวกเขากลับมีทิศทางและเป้าหมายสำหรับการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น และแน่นอนว่า มีหลักธรรมให้ทำตามที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น  วิธีปฏิบัติภายใต้รูปการณ์แวดล้อมและหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้อง หรือสภาวะกับความเสื่อมทรามที่ผู้คนมีและวิธีที่พวกเขาควรปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้น ตลอดจนวิธีแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น—หัวข้อหลักทั้งสองหัวข้อที่สามัคคีธรรมถึงศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จเกี่ยวข้องกับเนื้อหาเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่  สำหรับผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น ยิ่งสามัคคีธรรมความจริงอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีเส้นทางปฏิบัติมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งสามัคคีธรรมความจริงอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น หัวใจของผู้คนก็ยิ่งสว่างและชัดเจนมากขึ้น พวกเขาย่อมสามารถรู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้น  และพวกเขาก็ยิ่งตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขาควรเข้าสู่ต่อไปรวมทั้งปัญหาที่พวกเขาจำเป็นต้องแก้ไขต่อไปมากขึ้น  ส่วนผู้คนประเภทที่ถูกกล่าวถึงเมื่อครู่ว่าเป็นคนลงแรง หลังจากที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงสภาวะต่างๆ ที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ และปัญหาของความเสื่อมทรามนานัปการที่จำเป็นต้องแก้ไขอย่างครอบคลุม พวกเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงหมายถึงอะไร?  หมายถึงพวกเขายังคงคลุมเครือและไม่สามารถเข้าใจการไล่ตามเสาะหาความจริงและเส้นทางแห่งความรอดที่พระเจ้าตรัสได้  ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ หลังจากได้สามัคคีธรรมการสำแดงและปัญหาที่เป็นแก่นแท้ไปมากมายแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงคิดว่า “ฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันยินดีละทิ้งสิ่งต่างๆ ในความเชื่อในพระเจ้าของฉัน และฉันเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของฉัน นี่ก็เพียงพอแล้ว”  เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ พวกเขาไม่ตรวจสอบตนเองและไม่เปรียบเทียบตนเองกับพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับพยายามแก้ปัญหาตามความดีงามแบบมนุษย์ของตนเองหรือมโนธรรมและเหตุผลอันน้อยนิดที่พวกเขามี  แน่นอนว่า คนบางคนพึ่งพาการยับยั้งชั่งใจและความอดทน การสู้ทนครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่คนอื่นๆ พึ่งพาปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก ทำเรื่องใหญ่ให้ดูเหมือนเรื่องเล็ก แล้วจากนั้นก็ทำเรื่องเล็กให้ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไรเลย  เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าก็คือ “เมื่อถึงวันที่พระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง หากฉันยังทำหน้าที่ของฉันอยู่ในคริสตจักร และไม่ถูกเอาตัวออกไปเสียก่อน นั่นก็เพียงพอแล้ว  ไม่ว่าฉันจะมีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับตนเองหรือไม่ ไม่ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันได้รับการแก้ไขหรือยัง ไม่ว่าฉันมีการนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ ไม่ว่าฉันเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลีกเลี่ยงความชั่วหรือไม่—สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องเล็ก ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง  คุณทำทุกเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหมด สามัคคีธรรมความจริงอย่างละเอียดขนาดนี้ หยิบยกแม้แต่ประเด็นปัญหาที่เล็กที่สุดมาสามัคคีธรรมกันอย่างไม่รู้จบ ทำให้พวกเราแยกแยะอยู่ตลอดเวลา ฉันก็แค่ไม่ยินดีที่จะฟังสามัคคีธรรมความจริงเหล่านี้ ฉันไม่มีความสนใจเลย  เมื่อวันของพระเจ้ามาถึง จะวิเศษเพียงใดหากพวกเราสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรได้โดยตรง!”  แม้จะเป็นความจริงที่ว่าความอดทนของทุกคนมีขีดจำกัด แต่ความอดทนของคนเหล่านั้นกลับไม่มีขีดจำกัด  เพราะเหตุใด?  เพราะพวกเขาเชื่อว่าตนเองมีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง มีความสามารถที่จะละทิ้งสิ่งต่างๆ ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า และเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของตน เมื่อเผชิญกับสิ่งใด พวกเขาก็มีวิธีแก้ไขของตนเอง ท้ายที่สุดก็ยังคงสามารถทำหน้าที่ของตนอย่างแน่วแน่และยืนหยัดอยู่ได้  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าพวกเขายืนหยัดในการทำหน้าที่ของตนอย่างไร หรือใช้วิถีทางใดเพื่อสู้ทนจนถึงที่สุด ไม่ว่าด้วยแรงจูงใจใด สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ พวกเขาไม่มีการนบนอบพระเจ้าที่แท้จริง และไม่เคยเข้าใจในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง  กล่าวให้ถูกต้องยิ่งขึ้นคือ ผู้คนเหล่านี้ไม่ยอมรับว่ามีความเสื่อมทรามและพวกเขาไม่ยอมรับรู้สภาวะและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนที่พระเจ้าทรงเปิดโปง  แม้พวกเขาเปรียบเทียบตนเองกับสภาวะและปัญหาเหล่านี้เป็นบางโอกาส พวกเขาก็ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยท่าทีเย็นชา พร้อมกล่าวว่า “ทุกคนเสื่อมทรามเท่าเทียมกัน  แก่นแท้ธรรมชาติของทุกคนก็คือแก่นแท้ธรรมชาติของหมู่มารและซาตาน พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นศัตรูของพระเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้  แต่ตราบใดที่คนเรายืนหยัดในการทำหน้าที่ของตน พระเจ้าจะทรงเห็นชอบอย่างแน่นอน และผู้ที่ยืนหยัดจนถึงปลายทางย่อมจะเป็นผู้ชนะ”  เมื่อพิจารณาจากมุมมองของพวกเขา พวกเขามีความกระตือรือร้นในความเชื่อในพระเจ้าอย่างมาก แต่เมื่อเป็นเรื่องของการแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ พวกเขากลับเงียบงัน ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว  เมื่อถึงเวลาสามัคคีธรรมความจริงในการชุมนุม พวกเขาก็รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนและไม่สามารถเข้าใจความจริงได้  หากเจ้าถามพวกเขาว่า “คุณมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในหน้าที่ทุกวันของคุณอย่างไร?” พวกเขากล่าวว่า “คริสตจักรจัดการเตรียมงานอะไรให้ฉันทำ ฉันก็ทำ  เรื่องนี้จำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้วยหรือ?”  พวกเขาดูเหมือนไม่เข้าใจ  หากเจ้าถามพวกเขาต่อไปว่า “คุณมีความเสื่อมทรามที่ถูกเผยบ้างหรือไม่?  คุณเข้าใจตนเองอย่างไร?” พวกเขาย่อมตอบว่า “ฉันก็แค่นบนอบพระเจ้าและรักพระเจ้า จะมีปัญหาอะไรได้เล่า?”  ความคิดของพวกเขาเรียบง่ายเช่นนั้น  นี่คือทัศนะของพวกเขาที่ว่า “การเชื่อในพระเจ้าควรเป็นเช่นนี้  ทำไมต้องกังวลกับประเด็นปัญหาสัพเพเหระมากมายด้วยเล่า?  พวกคุณกำลังทำให้สิ่งต่างๆ ยุ่งยากซับซ้อนเกินไป!”  ดังนั้น พวกเขาจึงทำหน้าที่ของตนและทำกิจต่างๆ โดยไม่เคยแสวงหาหลักธรรมความจริง แต่กระทำการตามเจตนาที่ดีและความกระตือรือร้น  กล่าวให้ถูกต้องยิ่งขึ้นก็คือ พวกเขากระทำการภายใต้การครอบงำของมโนธรรมและเหตุผล โดยคิดว่า “ฉันได้ทนทุกข์และจ่ายราคาไปมากมายแล้ว ฉันได้ปฏิบัติความจริงและทำให้พระเจ้าพอพระทัยโดยส่วนใหญ่ อย่ามาขอจากฉันมากไปกว่านี้  ฉันเป็นเช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว ฉันเป็นคนดี และฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง”  แน่นอนว่า มีบางครั้งที่คนเหล่านี้อดไม่ได้ที่จะระบายออกมา และแล้วโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาก็ถูกเปิดโปง  พวกเขาสามารถพรั่งพรูคำพูดและคำสอนมากมาย แต่กลับขาดวุฒิภาวะที่แท้จริง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาไม่มีชีวิต  การไม่มีชีวิตหมายถึงอะไรเป็นการเฉพาะ?  (พวกเขาไม่มีความจริง)  การไม่มีความจริงเกิดขึ้นได้อย่างไร?  (พวกเขาไม่รักความจริง และพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง)  นั่นไม่ใช่เพียงแค่ว่าพวกเขารักความจริงหรือไม่ พูดให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาไม่ยอมรับความจริง  บางคนอาจกล่าวว่า “พระองค์ตรัสได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริง?  พวกเขาสู้ทนความยากลำบากมากมายขนาดนั้น แถมยังจ่ายราคาอย่างใหญ่หลวงในการทำหน้าที่ของตน ทำงานหนักตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวัน พระองค์ตรัสได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่มีความจริง?”  การกล่าวเช่นนี้เป็นการทำผิดต่อพวกเขาหรือไม่?  แต่หากเจ้ามองดูคนเหล่านี้ เบื้องหลังการทนทุกข์และการจ่ายราคาของพวกเขา ทุกสิ่งที่พวกเขาทำนั้นอยู่ในขอบเขตของหลักธรรมความจริงหรือไม่?  พวกเขาแสวงหาหลักธรรมในทุกสิ่งที่พวกเขาทำหรือไม่?  พวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและทำสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมที่กำหนดโดยพระนิเวศน์ของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ ทั้งหมดนั้นเป็นการกระทำของมนุษย์และเป็นการยับยั้งชั่งใจของมนุษย์  การสำแดงหลักของการไม่ยอมรับความจริงของพวกเขาคืออะไร?  นั่นก็คือ ก่อนที่จะทำสิ่งใด พวกเขาไม่เคยแสดงหาความจริงอย่างกระตือรือร้น และไม่เคยไตร่ตรองอย่างจริงจังว่าหลักธรรมความจริงคืออะไร แล้วจึงปฏิบัติให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าอย่างเข้มงวด  พวกเขาเก็บงำความคิดและท่าทีเช่นนี้เอาไว้หรือไม่?  พวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อการสำแดงนานัปการของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงเปิดโปง?  พวกเขายอมรับพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  พวกเขายอมรับหรือไม่ว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริง?  พวกเขายอมรับหรือไม่ว่าการสำแดงเฉพาะเหล่านี้เป็นการเผยความเสื่อมทราม?  พวกเขาอาจพยักหน้าเห็นด้วยหรือยอมรับโดยผิวเผิน แต่ในหัวใจของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่ยอมรับและเพิกเฉยต่อเรื่องนี้  การเพิกเฉยต่อเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายถึงการไม่ยอมรับ ไม่มีท่าทีที่ชัดเจน และไม่มีการต่อต้านหรือขัดขืนอย่างชัดแจ้ง แต่กลับใช้ท่าทีของการปฏิบัติอย่างเย็นชาต่อพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าเป็นพิเศษ  การกล่าวว่า “ปฏิบัติอย่างเย็นชา” นั้นค่อนข้างเป็นนามธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นั่นคือการที่พวกเขาคิดว่า “คุณบอกว่าผู้คนโอหังและหลอกลวง แต่มีใครที่ไม่หลอกลวงบ้าง?  ใครบ้างที่ไม่มีความเจ้าเล่ห์อยู่เลย?  ใครบ้างที่ไม่แสดงความโอหังหรือความหยิ่งยโสออกมา?  นี่เป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน?  ตราบเท่าที่คนเราสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว”  นี่คือท่าทีและการสำแดงเฉพาะของการไม่ยอมรับไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือการไม่ยอมรับความจริง  ท่าทีของพวกเขาต่อพระวจนะแห่งการพิพากษาและการเปิดโปงของพระเจ้าเป็นท่าทีของการเพิกเฉยและไม่ยอมรับ  ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของการประเมินและการเตือนความจำที่พี่น้องชายหญิงมอบให้กับพวกเขา แม้กระทั่งคำชี้แนะและความช่วยเหลือที่พี่น้องชายหญิงมีให้สำหรับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา พวกเขาสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  จงบอกเราทีว่า เช่นนั้นแล้ว การสำแดงเฉพาะของพวกเขาคืออะไร?  ทำไมพวกเขาจึงไม่สามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้?  หลักฐานของเจ้าสำหรับการกล่าวเช่นนี้อยู่ที่ใด?  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้ากล่าวกับพวกเขาว่า “คุณทำหน้าที่ของคุณอย่างสะเพร่าแบบนี้ไม่ได้ นี่เป็นการสุกเอาเผากิน” การสำแดงใดของพวกเขาที่พิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริง?  (พวกเขาจะพูดว่า “ฉันได้ทุ่มเทหัวใจลงไปแล้ว ฉันได้ทนทุกข์และจ่ายราคาไปแล้ว  คุณพูดได้อย่างไรว่าฉันทำอย่างสุกเอาเผากิน?”)  นี่คือการหาเหตุผลเข้าข้างตนเองของพวกเขา  พวกเขาจะมองหาข้ออ้างในบางครั้งหรือไม่?  แม้พวกเขายอมรับอยู่ในหัวใจ แต่ก็ยังคงคิดว่า “ฉันสุกเอาเผากินแล้วอย่างไร?  ใครบ้างที่ไม่มีวันที่แย่ๆ?  ใครบ้างที่ไม่มีประสบการณ์กับภาวะอารมณ์ปกติ?  แต่ฉันไม่อาจยอมรับว่าฉันเป็นคนสุกเอาเผากิน ฉันจำเป็นต้องหาข้ออ้างมากลบเกลื่อน  ฉันเสียหน้าไม่ได้”  ดังนั้น พวกเขาจึงหาเหตุผลและข้ออ้างมากมายเพื่อปกป้องตนเองอย่างชาญฉลาด ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงว่าตนสุกเอาเผากิน ไม่ยอมรับรู้ปัญหาของตนเองในเรื่องนี้ และไม่ยอมรับคำชี้แนะจากผู้อื่น  นี่คือการสำแดงเฉพาะของการไม่ยอมรับความจริง  เมื่อไม่เผชิญกับสถานการณ์ที่แท้จริง พวกเขาจึงถือว่าตนเองเป็น “คนดีที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง”  เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย แม้พวกเขาไม่สามารถใช้เรื่องนี้เป็นเกราะป้องกันได้อีกต่อไป พวกเขาก็ยังคงหาเหตุผลเพียงพอที่จะแก้ตัวและปกป้องตนเอง โดยการมองข้ามปัญหา ยุติปัญหา แล้วยังคงมองว่าตนเองเป็น “คนดี มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีความสามารถที่จะละทิ้ง และมีความสามารถในการสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาในการทำหน้าที่ของตน”  พูดให้ถูกต้องก็คือ การสำแดงทั้งหลาย และแก่นแท้ของผู้คนเหล่านี้คือการสำแดงและแก่นแท้ของคนลงแรง  คนกลุ่มนี้มีสัดส่วนที่สำคัญในคริสตจักร  ไม่ว่าสัดส่วนจะเป็นอย่างไร สุดท้ายแล้ว หากบุคคลเหล่านี้สามารถทนทุกข์และจ่ายราคาได้จริงๆ สู้ทนและยืนหยัดจนถึงปลายทางโดยไม่มีการกระทำผิดร้ายแรงใดๆ ไม่ละเมิดกฎการปกครองของพระเจ้า หรือก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระองค์ เมื่อนั้นพวกเขาก็คือคนลงแรงที่จงรักภักดี เป็นคนลงแรงที่สามารถอยู่ต่อไปได้  นี่คือพรที่ยิ่งใหญ่!  พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเขาไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่อาจเป็นพยานให้พระเจ้า หรือปฏิบัติตนเป็นพยานถึงพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า—การได้รับพรนี้ก็ดีมากแล้ว  คนเราสามารถคาดหวังว่าจะได้รับสิ่งใดโดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  การเป็นคนลงแรงที่จงรักภักดีก็ไม่เลวแล้ว  บางคนถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่บุคคลเหล่านี้จะกลายเป็นประชากรของพระเจ้า?”  เป็นไปได้  ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ หากบุคคลเหล่านี้สามารถยอมรับความจริง ยอมรับและเผชิญกับความเสื่อมทรามของตนเองอย่างถูกต้องบนพื้นฐานของการสามารถละทิ้งและทนทุกข์ จากนั้นก็แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข ไม่ใช่ปฏิบัติตนตามความดีของมนุษย์ หรือความยับยั้งชั่งใจ อดทนอดกลั้น และบากบั่นของมนุษย์ แต่ปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง เพื่อให้ในท้ายที่สุด อุปนิสัยของพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้บ้าง จากนั้นพวกเขาจึงมีโอกาสกลายเป็นประชากรของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม หากการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ไม่เกี่ยวข้องกับการยอมรับความจริงและได้รับการช่วยให้รอด เมื่อนั้นโอกาสของพวกเขาที่กลายเป็นประชากรของพระเจ้าย่อมเป็นศูนย์ นี่คือข้อเท็จจริง  หลักธรรมในการปฏิบัติต่อคนลงแรงที่จงรักภักดีคืออะไร?  คือการพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้ให้มีความเข้าใจที่แจ่มชัด  จุดประสงค์ของการทำให้คนเหล่านี้มีความเข้าใจที่แจ่มชัดคืออะไร?  เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาหลงอยู่ในความเพ้อฝัน  บางคนถามว่า “หลงอยู่ในความเพ้อฝันหมายถึงอะไร?”  เมื่อผู้คนมองว่าตนเอง “มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีความสามารถที่จะละทิ้งและเต็มใจที่จะจ่ายราคา” จากนั้นก็คาดหวังว่าจะได้รับความรอดจากพระเจ้า ซึ่งเป็นไปไม่ได้  จึงต้องทำให้พวกเขาเข้าใจชัดเจนถึงการยึดถือมุมมองที่ว่า “มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีความสามารถที่จะละทิ้งและเต็มใจที่จะจ่ายราคาสามารถนำไปสู่การได้รับความรอดจากพระเจ้า” นั้นไม่ถูกต้องและโง่เขลา  ต้องทำให้พวกเขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการมีคุณสมบัติเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าคนเราได้ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไปแล้ว และการมีพฤติกรรมที่ดีอยู่บ้างไม่ได้หมายความว่าคนเราสามารถได้รับการช่วยให้รอด ยิ่งไม่ได้หมายความว่าคนเราย่อมได้มาซึ่งความจริง และมุมมองของพวกเขาก็ไร้สาระ น่าขัน ไม่สอดคล้องและเข้ากันไม่ได้โดยสิ้นเชิงกับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง  สำหรับผู้คนเหล่านี้ที่ยึดถือมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาอย่างดื้อรั้นควรได้รับการช่วยเหลือ โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา  หากพวกเขายังคงไม่สามารถยอมรับความจริง และไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงไม่ได้รับความรู้แจ้งและไม่แสดงเจตนาที่จะแสวงหา เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องบังคับพวกเขา  พวกเขาสามารถรับใช้ในฐานะคนลงแรงจนถึงปลายทางได้เท่านั้น

II. ประชากรของพระเจ้า

หลังจากสามัคคีธรรมถึงการสำแดงต่างๆ ของคนลงแรงที่จงรักภักดีแล้ว พวกเรามาพูดถึงการสำแดงของคนอีกประเภทหนึ่งกันเถิด  หลังจากได้ยินการเปิดโปงและการพิพากษาต่างๆ ของพระเจ้าเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนทุกประเภท เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คนเหล่านี้ก็นึกย้อนถึงการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่างๆ ในอดีตของตนเอง รวมถึงท่าทีต่างๆ ที่มีต่อพระเจ้าและความจริงที่เกิดขึ้นภายใต้การครอบงำของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน—พวกเขาเริ่มทบทวนและรู้จักการสำแดงต่างๆ ของตน เปรียบเทียบตนเองกับพระวจนะของพระเจ้า ตรวจสอบท่าทีตนเองที่มีต่อหน้าที่ของตน และตรวจสอบความเสื่อมทรามนานัปการที่พวกเขาเผยออกมาระหว่างทำหน้าที่ของตนและท่ามกลางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้  พวกเขาตรวจสอบและรู้จักตนเองจากทุกๆ รายละเอียดในขณะที่พยายามยอมรับคำพิพากษา การเปิดโปง และการบ่มวินัยของพระเจ้า  คนเหล่านี้ดีกว่าคนลงแรงในหนทางใด?  พวกเขายอมรับความจริง ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า และยอมรับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกอย่างที่พระเจ้าทรงเปิดโปงอย่างเป็นบวกและกระตือรือร้น  แม้บางครั้งพวกเขาอาจคิดลบ หลีกเลี่ยง หรือแม้แต่คิดที่จะล้มเลิก แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ยังมีแรงผลักดันที่จะทำให้ตนเองยอมรับความจริง  แรงผลักดันนี้คืออะไร?  นั่นก็คือ “พระวจนะของพระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้  ตราบใดที่คนเรายอมรับความจริง ปัญหาและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดนี้ย่อมสามารถแก้ไขได้ แล้วคนคนนั้นก็สามารถได้รับการช่วยให้รอด  หากฉันต้องการได้รับการช่วยให้รอด ฉันก็ต้องร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าและยอมรับความจริง”  ตัวอย่างเช่น เมื่อได้ยินความจริงเกี่ยวกับการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ บางคนก็เริ่มทบทวนตนเองและมองเห็นความหลอกลวงและเล่ห์เหลี่ยมที่ตนกระทำ รวมถึงแง่มุมที่ยอกย้อนและเลวร้ายของตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น  พวกเขาหวนคิดถึงคำโกหกและวิธีการหลอกลวงในอดีตที่ยังคงอยู่ในหัวใจหรือความทรงจำของตน ซึ่งฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในจิตใจของพวกเขาราวกับฉากในภาพยนตร์ ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจ เจ็บปวด และโศกเศร้ามากขึ้นเรื่อยๆ  หลังจากตรวจสอบตนเองและทบทวนตนเองอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็รู้สึกเหมือนตนเป็นอาชญากร พวกเขาหมดเรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิงในทันใดและไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้  พวกเขารู้สึกว่าตนไม่ใช่คนดีแต่เป็นคนชั่ว และคิดว่าเป็นความโชคดีที่พวกเขาไม่ได้ต้านทานพระเจ้าโดยตรง ซึ่งเป็นการรอดพ้นมาอย่างหวุดหวิดจริงๆ!  จากนั้นพวกเขาก็เริ่มตื่นตัว ในฐานะคนคนหนึ่ง พวกเขาไม่เต็มใจที่จะล้มเหลวเช่นนี้ และตั้งปณิธานว่า “ฉันต้องเริ่มต้นใหม่และเป็นคนที่ซื่อสัตย์ มิฉะนั้นฉันก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าได้  ฉันต้องเป็นคนซื่อสัตย์เพื่อที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ฉันยอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด!”  ไม่ว่าคนเหล่านี้จะยอมรับความจริงเร็วหรือช้าก็ตาม และไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งหรือตื้นเขินเพียงใด ท่าทีที่พวกเขามีต่อพระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่ท่าทีของการดูหมิ่น และยิ่งไม่ใช่ท่าทีของการรังเกียจหรือการต้านทาน  ตรงกันข้าม พวกเขากลับรับรู้และยอมรับพระวจนะของพระเจ้าอย่างแข็งขัน และพร้อมที่จะนำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา  เมื่อพวกเขาปฏิบัติตนหรือทำหน้าที่ของตน พวกเขาย่อมพยายามอย่างเต็มที่ในการแสวงหาหลักธรรมจากพระวจนะของพระเจ้า แล้วจึงปฏิบัติตนตามหลักธรรมเหล่านี้อย่างมีสติ  แม้ในบางครั้งพวกเขาจะไม่สามารถค้นพบหลักธรรมเฉพาะหรือจับทิศทางได้ แต่เจตนาของพวกเขาคือการทำหน้าที่ของตนให้ดี ทำหน้าที่ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและตรงตามหลักธรรมความจริง  ความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านี้และของคนลงแรงเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างสูงและต่ำ หรือสูงส่งและต่ำต้อย  แน่นอนว่า หลายๆ คนในหมู่คนประเภทนี้ย่อมมองว่าตนเอง “มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง มีความสามารถที่จะละทิ้งสิ่งต่างๆ ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า และเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของตน”  แต่อะไรคือความแตกต่างระหว่างคนเหล่านี้กับคนทำงาน?  หลังจากพวกเขาได้ยินพระวจนะแห่งการพิพากษาและการเปิดโปงผู้คนของพระเจ้า ท่าทีของพวกเขาไม่เพิกเฉยหรือหลีกเลี่ยง แต่เป็นการยอมรับอย่างจริงจังและกระตือรือร้น  แม้พวกเขารู้สึกทุกข์ใจและสิ้นหวังหลังจากได้ยินพระวจนะเหล่านี้ ถึงขนาดแสดงความโกรธต่อความเสื่อมทรามของตนเองที่ถูกเผยออกมา แต่ในที่สุด พวกเขาก็ยังสามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง ยอมรับอย่างกระตือรือร้น อีกทั้งปฏิบัติและเข้าสู่สิ่งเหล่านั้นด้วยความตั้งใจ  นี่ก็คือคนประเภทหนึ่งเช่นกันไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนเหล่านี้เป็นตัวแทนในระดับหนึ่งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนเหล่านี้มีมากหรือไม่?  (ไม่มาก)  แม้ตอนนี้จะมีไม่มาก แต่มีความหวังว่าจำนวนของพวกเขาจะเพิ่มขึ้น  แล้วคนเหล่านี้ควรถูกจำแนกอยู่ในประเภทใด?  การสำแดงเฉพาะเหล่านี้สามารถบ่งชี้ได้หรือไม่ว่าคนเหล่านี้รักความจริงและสามารถยอมรับความจริง?  (ได้)  การสำแดงเฉพาะเหล่านี้สามารถบ่งชี้ได้  แม้คนบางคนที่มีความสามารถในการเข้าใจต่ำยอมรับความจริงได้ช้ากว่า แต่ในส่วนลึกของหัวใจพวกเขา พวกเขายอมรับความจริงและมีกรอบความคิดที่กระตือรือร้นในการเข้าสู่ความจริง  เมื่อใดก็ตามที่มีใครบางคนสามัคคีธรรมถึงความสว่างใหม่หรือเส้นทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง ดวงตาของพวกเขาย่อมเปล่งประกาย หัวใจของพวกเขาย่อมสว่างขึ้น และพวกเขาย่อมรู้สึกชื่นชมยินดี พลางคิดว่า “ในที่สุด ใครบางคนก็ได้สามัคคีธรรมถึงความสว่างนี้แล้ว  นี่แหละคือสิ่งที่ฉันขาด”  พวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งที่ตนขาดอยู่เสมอ ได้รับความสว่างและความรู้แจ้งสิ่งที่พวกเขาต้องการและขาดแคลนอย่างเร่งด่วน และสามารถค้นพบหลักธรรมความจริงที่พวกเขาจำเป็นต้องมีจากความเข้าใจเชิงประสบการณ์อย่างถ่องแท้ที่ได้รับการสามัคคีธรรมจากพี่น้องชายหญิง  จากการสำแดงเฉพาะเหล่านี้ หัวใจของพวกเขาย่อมโหยหาความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  หากพวกเรากล่าวว่าผู้คนเหล่านี้รักความจริง คำกล่าวนี้ย่อมไม่เป็นกลางหรือถูกต้องแม่นยำมากนัก  อย่างไรก็ตาม จากการสำแดงเฉพาะของพวกเขา คนเหล่านี้ย่อมโหยหาความจริง  ความโหยหานี้มาจากไหน?  มาจากความหวังที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ความหวังที่จะแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นต่างๆ นานาที่พวกเขาเผชิญในการเข้าสู่ชีวิตของตน รวมถึงความหวังของพวกเขาที่จะมีความก้าวหน้าในความจริง เจาะลึกลงไป ตลอดจนความหวังที่จะสามารถปฏิบัติตนอย่างมีหลักธรรมได้อย่างแท้จริง ปฏิบัติอย่างมีเส้นทาง รับรู้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นจากการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนว่าแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนคืออะไร รวมทั้งแก้ไขและทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นอย่างไร  แม้คนเหล่านี้มักใช้ชีวิตภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เช่น การแย่งชิงสถานะ ยืนกรานในหนทางของตนเองอย่างดื้อดึง และการคิดว่าตนเองถูก โอหัง หลอกลวง หรือแม้แต่การดื้อแพ่ง  แต่ผ่านการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างต่อเนื่องและมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ปัญหาที่เห็นได้ชัดเหล่านี้ย่อมจะค่อยๆ ได้รับการตรวจสอบและบ่งชี้  จากนั้นพวกเขาย่อมสามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้คือปัญหา เป็นการเผยของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ไม่สอดคล้องกับความจริง และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง  หลังจากตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนแล้ว พวกเขายิ่งโหยหาที่จะแก้ไขและทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นไป  นี่เป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของการโหยหาความจริงของพวกเขา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขามีความจำเป็นจะต้องแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน มีความรู้สึกนึกคิดเร่งด่วนที่จะทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าพวกเขาค้นพบว่าตนเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทใดออกมา หรือพวกเขาเผชิญปัญหาหรือความลำบากยากเย็นใดๆ พวกเขาก็ยิ่งกระหายที่จะค้นหาคำตอบที่ถูกต้องแม่นยำในพระวจนะของพระเจ้า และเข้าใจข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ รวมทั้งควรใช้ความจริงและพระวจนะข้อใดของพระเจ้าเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านี้  การสำแดงเฉพาะและแหล่งที่มาของความโหยหาความจริงของพวกเขาคือสิ่งเหล่านี้  นี่คือคำกล่าวที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  ไม่อาจกล่าวได้ว่าคนเหล่านี้รักความจริง  หากพวกเขารักความจริง พวกเขาย่อมจะกระตือรือร้นมาก และการสำแดงต่างๆ ของเขาก็จะเป็นบวกมากขึ้น  อย่างไรก็ดี จากการสำแดงนานัปการของผู้คนเหล่านี้และวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขายังไม่ถึงจุดที่รักความจริงแต่แค่โหยหาความจริงเท่านั้น  คำกล่าวนี้ค่อนข้างเป็นกลางแล้ว  ดังนั้น เมื่อพิจารณาการสำแดงต่างๆ ของผู้คนเหล่านี้แล้ว พวกเขาควรถูกจำแนกอยู่ในประเภทใด?  หากจะกล่าวให้ถูกต้องแล้ว ผู้คนเหล่านี้อยู่ในประเภทประชากรของพระเจ้า  การกล่าวอ้างนี้มีหลักการพื้นฐาน  หลักการพื้นฐานอะไร?  ผู้คนเหล่านี้มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นเดียวกับผู้อื่น  ในแง่ของความเป็นมนุษย์ ไม่อาจกล่าวได้ว่าความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านี้ดี และไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขามีความเพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขามีความเป็นมนุษย์ปานกลาง  “ปานกลาง” ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่ามีมโนสำนึกและเหตุผลในระดับหนึ่ง  แต่นี่ไม่ใช่แง่มุมที่สำคัญที่สุด  อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด?  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากได้ยินพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้า หลังจากได้ยินเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนทุกประเภทที่ถูกพระวจนะของพระเจ้าเปิดโปง พวกเขาก็มิได้เพิกเฉย แต่กลับรู้สึกสะเทือนใจและจะลงมือปฏิบัติ  การลงมือปฏิบัติหมายถึงอะไร?  หมายถึงหลังจากได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอีก และไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตในวิถีทางเดิมๆ อีกต่อไป  แต่พวกเขาเพียรพยายามที่จะเปลี่ยนความคิด มุมมอง และวิธีการดำรงอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตที่พวกเขาเคยพึ่งพามาก่อน  ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็แสวงหาความจริงอย่างแข็งขันในการทำหน้าที่ของตนและในสภาวการณ์ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ โดยใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานและหลักธรรมในการปฏิบัติ แทนที่จะทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น  จากความเป็นมนุษย์ ขีดความสามารถ ท่าทีและทัศนะของพวกเขาต่อพระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้า และข้อกำหนดของพระเจ้า และอื่นๆ ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะช่วยให้รอดอย่างแท้จริง  พวกเขามีความหวังที่จะทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและได้รับการช่วยให้รอดมากกว่าคนลงแรง  มีเพียงผู้ที่ยอมรับความจริงและสามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอดเท่านั้นจึงถือว่าเป็นประชากรของพระเจ้า  นิยามนี้เหมาะสมมากทีเดียวไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นิยามนี้เหมาะสมที่สุด  การได้รับความรอดไม่ใช่แค่การออกแรงพยายามเพียงเล็กน้อยและจ่ายราคานิดหน่อยเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ แล้วทุกอย่างก็จบลง  สถานะของผู้ที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดเป็นอย่างไร?  นั่นคือสถานะที่ผ่านการยอมรับและมีประสบการณ์กับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้รับการแก้ไข  ในขั้นตอนนี้ พวกเขามารู้จักพระเจ้า เข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และมีประสบการณ์จริงและเป็นรูปธรรมในพระวจนะของพระเจ้า จนสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าได้—พวกเขาสามารถเป็นคำพยานให้พระเจ้า  พวกเขาเป็นคำพยานถึงแง่มุมใดของพระเจ้าบ้าง?  พวกเขาเป็นคำพยานถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น พระอัตลักษณ์ของพระเจ้า และพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง  นี่คือสิ่งที่สามารถสำแดงในตัวบุคคลหลังจากบรรลุความรอด  เหตุใดผู้คนจึงสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้หลังจากได้รับการช่วยให้รอด?  นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาถือว่าตนเอง “มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง มีความสามารถที่จะละทิ้งสิ่งต่างๆ ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า และเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของตน” จึงทำให้พวกเขาสัมฤทธิ์ในการนี้  เหตุผลเดียว—และเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด—คือพวกเขาสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของตน สามารถปฏิบัติความจริงเพื่อที่จะทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ยอมวางหนทางการใช้ชีวิตแบบเก่าๆ และมุมมองการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ และยึดพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตใหม่ของตน  พวกเขาใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักพื้นฐานในการประพฤติปฏิบัติตน ทำสิ่งต่างๆ ติดตามพระเจ้า นบนอบพระเจ้า และทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  นี่คือผลลัพธ์ที่ผู้คนดังกล่าวสามารถสัมฤทธิ์ได้  อะไรคือแง่มุมที่สำคัญที่สุดในการสัมฤทธิ์ความรอด?  (การสามารถยอมรับความจริง)  ถูกต้อง  การยอมรับความจริงได้คือกุญแจสำคัญ

คนบางคนกล่าวว่า “หากฉันสละตนเองเพื่อพระเจ้าจนถึงปลายทาง พระเจ้าจะประทานพรฉันอย่างยิ่งใหญ่หรือไม่?”  หากเจ้าไม่ยอมรับความจริง แต่ยังสามารถยืนหยัดติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทาง ลงแรงจนวาระสุดท้าย โดยไม่มีการกระทำผิดร้ายแรงตลอดระยะเวลานั้น และเจ้าไม่ได้ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า แล้วภายใต้สภาวการณ์ดังกล่าว พระเจ้าจะทรงถือว่าเจ้าเป็นคนลงแรงที่จงรักภักดีและอยู่ต่อไปได้  บางคนถามว่า “การได้อยู่ต่อไปเป็นพรแบบใด?”  นั่นไม่ใช่พรเล็กๆ น้อยๆ เลย!  หากมีโอกาสและความเป็นไปได้ เจ้าอาจจะเห็นพระองค์จริงของพระเจ้า และนี่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พระเจ้าทรงทำในยุคต่อไป  หากมีโอกาสอยู่ต่อไปได้และมีชีวิตอยู่อีกหลายสิบปี นั่นก็คือพรที่สำคัญมากแล้ว  พรนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  พรนี้สัมฤทธิ์ได้ด้วยการลงแรงอย่างจงรักภักดีในขณะที่ยึดมั่นมุมมองที่ว่า “ฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันสามารถละทิ้ง และเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของตน”  คนลงแรงควรรู้จักพึงพอใจไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาควรพึงพอใจที่ได้รับพรนี้  เจ้าไม่ยอมรับแม้แต่พระวจนะของพระเจ้า แต่เพราะพระเจ้าทรงเห็นความจงรักภักดีและความสามารถในการลงแรงจนถึงปลายทางของเจ้า โดยไม่ละทิ้งหน้าที่ในระหว่างช่วงเวลานี้ ไม่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือละเมิดกฎการปกครองของพระองค์ ไม่กระทำผิดร้ายแรง พระองค์จึงประทานพรและพระคุณนี้แก่เจ้า—ตั้งแต่ทรงสร้างมวลมนุษย์ นี่คือพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ที่เสื่อมทรามซึ่งได้แต่ลงแรงด้วยความจงรักภักดีหากยังไม่บรรลุความรอด  เจ้าได้แต่ใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย และไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ—การสามารถได้รับพรอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว นี่คือพระคุณอันล้นพ้นของพระเจ้า  อีกประเภทหนึ่งคือประชากรของพระเจ้าที่เราเพิ่งพูดถึง  พรที่ประชากรของพระเจ้าได้รับย่อมยิ่งใหญ่กว่าพรที่คนลงแรงได้รับอย่างแน่นอน  แล้วพรของประชากรของพระเจ้าคืออะไร?  แน่นอนว่า พรนั้นไม่เรียบง่ายเหมือนการได้อยู่ต่อไปหรือมีโอกาสได้เห็นพระเจ้าพระองค์จริงเท่านั้น  มีพรอีกมากมาย แต่พวกเราจะไม่สนทนากันในที่นี้  การพูดถึงเรื่องนั้นจับต้องไม่ได้ และนอกจากนี้ ต่อให้เราบอกพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะไม่เข้าใจหรือบรรลุถึงพรเหล่านั้นในตอนนี้  ประชากรของพระเจ้าคือผู้ที่พระเจ้าตั้งพระทัยช่วยให้รอด และในหมู่มวลมนุษย์ทั้งหมด พวกเขาได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นี่ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเลย  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะในพระราชกิจของพระเจ้า ภายในพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ประชากรของพระเจ้าที่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า สามารถปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงและเป็นหลักธรรมในการดำรงอยู่ของตน และทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของตน ได้ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานและดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เป็นคำพยานที่แข็งแกร่งและดังก้องให้กับพระเจ้า  พวกเขาสามารถใช้สิ่งที่พวกเขาดำเนินชีวิตและชีวิตพวกเขาเพื่อโต้กลับและทำให้ซาตานอับอาย สามารถเป็นพยานให้พระเจ้าท่ามกลางมวลมนุษย์ และนำพระสิริมาสู่พระเจ้า  ดังนั้น ประชากรของพระเจ้าคือผู้ที่พระเจ้าตั้งพระทัยจะช่วยให้รอด และเป็นผู้ที่ได้รับความรอด  บางคนกล่าวว่า “เนื่องจากคนเหล่านี้สามารถทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา ดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และเป็นพยานให้พระเจ้า นั่นทำให้พวกเขาเป็นบุตรอันเป็นที่รักของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงปีติยินดีหรือไม่”  เจ้ากำลังคิดมากเกินไป การเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้านั้นดีพอแล้ว  หากพระเจ้าทรงเรียกเจ้าว่าบุตรของพระองค์ ลูกหลานพระองค์ หรือบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ นั่นเป็นกิจธุระของพระองค์ แต่ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม เจ้าต้องไม่อ้างว่าเป็นบุตรอันเป็นที่รักของพระเจ้า บุตรของพระเจ้า หรือผู้เป็นที่รักของพระเจ้าเป็นอันขาด  จงอย่าอ้างตนเช่นนั้น และจงอย่ามองตนเองเช่นนั้น เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—นี่จึงถูกต้อง  แม้สักวันหนึ่งเจ้าถูกเรียกให้เป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้า หรือเจ้าได้เริ่มต้นเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอดแล้ว เจ้าก็ยังเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หากเจ้าคิดในหนทางนี้ นั่นย่อมพิสูจน์ว่าเส้นทางที่เจ้าเดินอยู่นั้นเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง  หากเจ้าแสวงหาการเป็นบุตรอันเป็นที่รักของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรัก เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงปีติยินดีอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังเดินบนเส้นทางที่ผิด เส้นทางนี้ไม่มีจุดหมาย และเจ้าไม่ควรจมอยู่ในความคิดเพ้อฝันเช่นนี้  ไม่ว่าพระเจ้าเคยตรัสพระวจนะเช่นนี้ หรือเคยประทานสัญญากับผู้คนหรือไม่ เจ้าก็ไม่ควรมองตนเองในหนทางนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรพยายามที่จะบรรลุ  การเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าก็ดีพอแล้ว ประชากรของพระเจ้านั้นได้มาตรฐานในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแล้ว—แค่เพียงน่าเสียดายที่เจ้ายังไม่ใช่หนึ่งในนั้น  ดังนั้น จงอย่าไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่คลุมเครือ ลวงตา และว่างเปล่าเหล่านั้น  การสามารถไล่ตามเสาะหาการได้รับความรอดได้นั้น เป็นการเริ่มต้นเดินบนเส้นทางแห่งการได้รับการช่วยให้รอดในระดับหนึ่งแล้ว  ลักษณะนิสัยที่สำคัญของประชากรของพระเจ้าก็คือ พวกเขาสามารถยอมรับความจริงและแสดงให้เห็นความรักที่มีต่อความจริง  ในขั้นตอนของการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความรอด อุปนิสัยอันเสื่อมทราม ความคิดเก่าๆ รวมทั้งสภาวะและการสำแดงที่เป็นลบต่างๆ นานาซึ่งสัมพันธ์กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมสามารถได้รับการแก้ไข ทิ้ง และเปลี่ยนแปลงระดับที่แตกต่างกัน  จากนั้น พวกเขาก็สามารถดำเนินชีวิตตามข้อกำหนดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า เป็นคนที่เข้าใจหลักธรรมความจริง เป็นคนที่มีความจงรักภักดีและการนบนอบ และเป็นคนที่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ส่วนการเป็นคนของพระเจ้าที่ได้มาตรฐานและตรงตามเกณฑ์ควรทำอย่างไรนั้น พวกเราจะไม่ลงรายละเอียดกันในที่นี้ เพราะนั่นไม่ใช่หัวข้อที่พวกเราสามัคคีธรรมกันในวันนี้

III. ลูกจ้าง

นอกเหนือจากคนลงแรงและประชากรของพระเจ้าแล้ว ยังมีบุคคลอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นพวกที่น่าเวทนาที่สุดในหมู่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  หลังจากได้ยินความจริงนานัปการที่พระเจ้าทรงแสดงและพระวจนะต่างๆ ที่พระองค์ทรงเปิดโปงมวลมนุษย์แล้ว พฤติกรรมของพวกเขา การดำเนินชีวิตของพวกเขา และการไล่ตามไขว่คว้าของพวกเขากลับไม่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย  ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงไม่แยแส “ฉันไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง  ฉันจะใช้ชีวิตแบบที่ฉันต้องการ และไม่มีใครสามารถควบคุมฉันได้  คุณอยากจะทำอะไรก็เชิญ ฉันไม่สนใจ!  ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นพวกคุณไม่ควรมาตอแยฉัน  หากคุณทำ ฉันจะไม่ไว้หน้าละนะ!”  พวกเขาไม่มองตนเองด้วยท่าทีและมุมมองที่ชัดเจนว่า “ฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันสามารถละทิ้ง และเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบาก” แต่พวกเขากลับแสดงท่าทีที่ชัดเจนมากกว่านั้นในหมู่พี่น้องชายหญิง  ท่าทีที่ว่านี้คืออะไร?  ท่าทีนี้ก็คือ “ฉันจะกระทำการอย่างที่ฉันต้องการ ทำสิ่งที่ฉันปรารถนา  ไม่มีใครควรบังคับให้ฉันยอมรับความจริง ไม่มีใครควรพยายามเปลี่ยนแปลงฉัน  ใครก็ตามที่พยายามบังคับให้ฉันยอมรับความจริงย่อมเป็นการแส่หาเรื่องเท่านั้น และถ้าใครพยายามตัดแต่งฉัน ฉันจะสู้กลับด้วยชีวิต!”  พวกเขาไม่มีความสนใจประโยคใดๆ ที่พระเจ้าตรัสเลยแม้แต่น้อย และไม่สนใจพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำอีกด้วย  แน่นอนว่า ในเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและหลักธรรมในการทำสิ่งทั้งหลาย ตลอดจนท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อพระเจ้าและหลักธรรมที่ควรปฏิบัติตามในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล—ซึ่งพี่น้องชายหญิงกล่าวถึงระหว่างการชุมนุมหรือในขณะที่กำลังทำหน้าที่ของตน—พวกเขากลับปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยท่าทีดูหมิ่น  คนบางคนทำหน้าที่ แต่พวกเขากลับเพิกเฉยหลักธรรมที่พระนิเวศน์ของพระเจ้ากำหนดไว้อย่างสิ้นเชิง โดยทำสิ่งทั้งหลายตามที่พวกเขาได้วางแผนเอาไว้  ทันทีที่เจ้าสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมกับพวกเขาเสร็จสิ้น พวกเขาเห็นพ้องต่อหน้าเจ้า แต่จากนั้นก็หันกลับไปกระทำการตามอำเภอใจและมุทะลุ แสดงแง่มุมที่เป็นปิศาจของพวกเขาออกมา  นอกจากนี้ ยังมีคนที่ดูจากภายนอกเหมือนมนุษย์ที่ดี แต่เมื่อเจ้าพูดคุยหรือสนทนากับพวกเขา ทัศนะของพวกเขากลับผิดเพี้ยน น้ำเสียงของพวกเขาก็ไม่ถูกต้อง และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คืออุปนิสัยของพวกเขาไม่ถูกต้อง ทำให้ไม่อาจสนทนากับพวกเขาได้  เมื่อเจ้าถามพวกเขาว่า “พระเจ้าทรงดำรงอยู่ในโลกหรือไม่?” พวกเขาย่อมตอบว่า “ฉันไม่รู้”  เจ้ากล่าวว่า “เรื่องนี้ควรทำเช่นนี้ นี่เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า”  พวกเขาตอบกลับว่า “คุณไม่พอใจฉันหรือ?  คุณกำลังหาเรื่องฉันอยู่หรือเปล่า?  คุณกำลังพยายามขับไล่ฉันอย่างนั้นหรือ?”  เจ้ากล่าวว่า “การกระทำเช่นนี้เป็นการเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและระบายความคิดลบออกมา นั่นอาจทำให้ผู้เชื่อใหม่บางคนสะดุด  พวกเราต้องยึดมั่นกฎเกณฑ์ของพระนิเวศน์ของพระเจ้า และพวกเราต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับหลักธรรมที่ควรทำตามในการปฏิสัมพันธ์และการสมาคมระหว่างผู้คน  หากสิ่งที่พูดและทำไม่สามารถช่วยหรือเจริญใจผู้อื่นได้ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ควรมีผลกระทบที่เป็นลบต่อผู้อื่น  นี่คือเหตุผลที่ใครบางคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี”  พวกเขากล่าวว่า “พูดเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ปกติกับฉัน สั่งสอนฉันเรื่องกฎเกณฑ์ คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร?  ฉันระบายความคิดลบแล้วผิดตรงไหน?  สำหรับผู้เชื่อใหม่แต่ละคนที่สะดุด นั่นคือผู้เชื่อใหม่ลดลงหนึ่งคน—ช่วยให้ฉันไม่ต้องรำคาญกับการพบเห็นพวกเขา!”  การพูดคุยเรื่องกฎเกณฑ์กับพวกเขาย่อมไร้ประโยชน์ และการหารือเรื่องความเป็นมนุษย์ก็เช่นกัน  แล้วการสามัคคีธรรมความจริงและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าเล่า?  พวกเขาไม่ฟังการสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าเช่นกัน  ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์พวกเขา ไม่มีใครกล้ารบกวนหรือยั่วยุพวกเขา  มีผู้คนประเภทนี้ในคริสตจักรหรือไม่?  (มี)  ในบรรดาผู้ที่ถูกเอาตัวออกไป ย่อมมีคนประเภทนี้อยู่จริงๆ  คนเหล่านี้เป็นคนลงแรง ประชากรของพระเจ้า หรือเป็นอะไร?  (พวกเขาคือคนที่ถูกกำจัดออกไป)  เหตุใดพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป?  (เพราะไม่ยอมรับความจริง เพราะรังเกียจความจริง)  นี่คือแก่นแท้ของปัญหา  แล้วทำไมพวกเขาจึงไม่ยอมรับความจริง?  ทำไมพวกเขาจึงรังเกียจความจริง?  สาเหตุรากฐานคืออะไร?  (แก่นแท้ของคนเหล่านี้คือผู้ไม่เชื่อ)  ถูกต้อง แก่นแท้ของพวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ  ในคริสตจักรมีผู้ไม่เชื่ออยู่ไม่น้อย แต่ผู้ไม่เชื่อทั้งหมดเป็นเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  บุคคลเหล่านี้ที่ขาดแม้แต่คุณธรรมขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์และการอบรมเลี้ยงดู—พวกเขาถูกกำจัดออกไปเพียงเพราะเป็นผู้ไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป?  โดยรากฐานแล้ว นี่คือปัญหาของความเป็นมนุษย์ ผู้คนเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีและมุ่งร้าย  พูดให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาขาดความเป็นมนุษย์  เมื่อพวกเขาขาดความเป็นมนุษย์ พวกเขาย่อมเป็นเช่นไร?  พวกเขาเป็นคนที่มีธรรมชาติเยี่ยงมาร  คนที่มีธรรมชาติเยี่ยงมารเปรียบเทียบกับสัตว์เดรัจฉานแล้วเป็นอย่างไร?  เราคิดว่าพวกเขาแย่ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก สัตว์เดรัจฉานบางชนิดสามารถเชื่อฟังและหลีกเลี่ยงการทำผิดได้  ตัวอย่างเช่น สุนัขสามารถเป็นสัตว์ที่ดีมากได้ สุนัขบางตัวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ยอดเยี่ยม เข้ากับมนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยม!  พวกมันเชื่อฟังและเฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ เข้าใจทุกสิ่งที่ผู้คนพูด และพวกมันเหมาะที่จะเลี้ยงเอาไว้ในบ้าน  สุนัขดังกล่าวดีกว่ามนุษย์ที่ไม่เชื่อฟังมากมายนัก  มีผู้คนจำนวนมากที่แย่ยิ่งกว่าสุนัขดีๆ เสียอีก  แล้วพวกเขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?  ไม่ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาไร้ความเป็นมนุษย์  ผู้คนมากมายไม่เข้าใจภาษามนุษย์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสื่อสารกับพวกเขา  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงไม่ว่าจะสามัคคีธรรมกันอย่างไร พวกเขาพร่ำบ่นเมื่อถูกตัดแต่ง และเมื่อถูกกำจัดออกไป พวกเขาก็โกรธเกรี้ยวพูดจาหยาบคาย แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเชื่อมานานกี่ปีแล้วก็ตาม พวกเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย  ยังอนุญาตให้ผู้คนเหล่านี้อยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าได้อีกหรือ?  (ไม่ได้)  พวกเขาไม่อาจถูกปล่อยให้อยู่ต่อไปได้  บุคคลเช่นนี้ควรถูกจำแนกอยู่ในประเภทใด?  ก่อนอื่น ควรจัดคนเหล่านี้ให้อยู่ในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่?  (ไม่)  หากพวกเขาไม่อยู่ในหมู่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาควรถูกจัดอยู่ในประเภทใด?  การไม่อยู่ในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—ควรตีความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่าจากมุมมองของความเป็นมนุษย์ที่พวกเขาแสดงออกและใช้ชีวิตอยู่นั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการเป็นผู้ไม่เชื่อ แก่นแท้ของพวกเขาไม่ใช่มนุษย์  มีผู้ไม่เชื่อมากมาย—แต่พวกเขาทั้งหมดเป็นคนไม่ดีและมุ่งร้ายเหมือนคนเหล่านี้หรือไม่?  ไม่  แม้แต่ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อก็ใช่ว่าทุกคนเลวถึงเพียงนั้น คนบางคนมีมาตรฐานศีลธรรมขั้นพื้นฐานที่สุด  แล้วคนเหล่านี้เล่า?  พวกเขาขาดแม้กระทั่งศีลธรรมและการอบรมเลี้ยงดูขั้นพื้นฐานที่สุดที่ผู้ไม่มีความเชื่อมี พูดให้ถูกต้องก็คือ การเผยของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาดำเนินชีวิตไม่เป็นไปตามมาตรฐานศีลธรรมของมนุษย์  แก่นแท้ของคนเหล่านี้คือความเป็นมาร  จากมุมมองเรื่องแก่นแท้ของพวกเขา พระเจ้าจะทรงช่วยพวกเขาให้รอดหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  และเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเลวและมุ่งร้าย มีธรรมชาติเยี่ยงปิศาจ และด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงรังเกียจความจริงและต้านทานความจริง  จริงๆ แล้ว การกล่าวเช่นนี้เป็นการยกย่องพวกเขา หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ คนเหล่านี้รังเกียจและเกลียดชังสิ่งที่เป็นบวก แต่ไม่ถึงระดับรังเกียจความจริงและไม่ยอมรับความจริง  พวกเขารังเกียจ เกลียดชัง และต้านทานแม้แต่สิ่งที่เป็นบวกขั้นพื้นฐานที่สุด กฎเกณฑ์ที่คนคนหนึ่งซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรทำตามและการอบรมเลี้ยงดูที่พวกเขาควรมีล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาขยะแขยง  พวกเขายอมรับความจริงได้หรือไม่?  (พวกเขาไม่ถึงระดับนั้น)  ถูกต้อง พวกเขาไม่ถึงระดับนั้น พวกเขาเป็นไม่ได้แม้แต่คนลงแรง  บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อเขาเป็นไม่ได้แม้แต่คนลงแรง แล้วพวกเขาถูกมองว่าเป็นอะไรในพระนิเวศน์ของพระเจ้า?  พวกเขาเข้ามาในพระนิเวศน์ของพระเจ้าได้อย่างไร?”  หากพวกเราจะบรรยายถึงพวกเขาและจัดประเภทให้กับพวกเขา พูดให้ถูกต้องแล้ว คนเหล่านี้ก็เหมือนลูกจ้างหรือคนทำงานชั่วคราวที่นำเข้ามาจากหมู่ไม่มีความเชื่อ  ความหมายนี้ชัดเจนหรือไม่?  นี่คือประเภทของพวกเขา รวมถึงบทบาทที่พวกเขาแสดงในพระนิเวศน์ของพระเจ้า  พวกเขาไม่ใช่แม้แต่คนลงแรง เราไม่ถือว่าพวกเขาเป็นคนลงแรง เพราะพวกเขาไม่คู่ควร!  คนลงแรงมีลักษณะนิสัยอย่างการมีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสู้ทนกับความยากลำบาก และพวกเขาดำเนินชีวิตตามสิ่งเหล่านี้  คนเหล่านี้ขาดแม้แต่คุณสมบัติเหล่านี้ ดังนั้น การจำแนกพวกเขาเป็นลูกจ้างย่อมเป็นการแสดงความเมตตาต่อพวกเขาอย่างที่สุดและสุภาพมากแล้ว  การเป็นลูกจ้างหรือคนทำงานชั่วคราวหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่า เมื่อมีความจำเป็นพิเศษในช่วงเวลาหนึ่ง พระนิเวศน์ของพระเจ้าจึงสรรหาบุคคลบางคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการได้รับความรอดมาเพื่อทำกิจบางอย่างให้เสร็จสิ้น  หลังจากที่กิจเหล่านี้เสร็จสิ้นแล้ว ธาตุแท้ของพวกเขาก็ถูกเผยออกมา  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ทนทุกข์จากการปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้มามากพอแล้ว จนกลายเป็นความเอือมระอาอย่างสุดจะทน และนอกจากนี้ ยังได้รับวิจารณญาณแยกแยะพวกเขาอย่างเพียงพอแล้ว  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น คนเหล่านี้ควรถูกเอาตัวออกไป นี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการกระทำดังกล่าว  เมื่อครู่ได้บรรยายอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าคนเหล่านี้มาจากไหน?  (ใช่)  พวกเขาคือลูกจ้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการได้รับการช่วยให้รอด ซึ่งถูกนำเข้ามาในช่วงเวลาพิเศษของงานคริสตจักร  หลังจากทำงานเล็กๆ น้อยๆ และทำงานรับใช้ไปสักพักหนึ่ง คนเหล่านี้ก็กระทำความผิดอย่างไม่ยั้งคิดภายในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนมากมาย  บทบาทที่พวกเขาแสดงคือลักษณะนิสัยที่เป็นลบ  พวกเขาสะท้อนโฉมหน้าที่แท้จริงของซาตานและหมู่มาร ก่อกวนงานของคริสตจักร และทำลายระเบียบของชีวิตคริสตจักร  พูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ สามารถกล่าวได้ว่าคนเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศน์ของพระเจ้า เช่น สร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์ เครื่องจักร สิ่งของมีค่าในพระนิเวศน์ของพระเจ้าเป็นจำนวนมาก เป็นต้น  สามารถกล่าวได้ว่าการกระทำและพฤติกรรมของคนเหล่านี้ได้กระตุ้นให้เกิดความโกรธอย่างกว้างขวาง  แน่นอนว่า พวกเขายังได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรียนรู้บทเรียนและได้รับวิจารณญาณแยกแยะ เรียนรู้ว่ามารคืออะไรและอะไรคือความหมายของการขาดความเป็นมนุษย์ และได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ไม่เชื่ออย่างชัดเจน พวกเขาได้ทำให้ผู้คนมองเห็นในหนทางที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้นถึงความคิดและมุมมองของผู้ไม่เชื่อ สิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า สิ่งที่พวกเขาปรารถนาที่อยู่ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา ท่าทีต่อพระเจ้าและความจริงที่พวกเขาเก็บงำไว้ และท่าทีต่อหน้าที่ที่พวกเขาเก็บงำเอาไว้ และต่อสิ่งที่เป็นบวก แม้แต่ท่าทีที่คนเหล่านี้เก็บงำไว้ต่อข้อบังคับบางประการที่พระนิเวศน์ของพระเจ้าจัดทำขึ้น เป็นต้น  เมื่อเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ วิธีที่คนเหล่านี้ดำเนินชีวิตตามความเป็นมนุษย์ของตน แก่นแท้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า ล้วนถูกเปิดโปงโดยสมบูรณ์  ดังนั้น การเก็บคนเหล่านี้ไว้ในคริสตจักรจึงดูเหมือนเกินความจำเป็น นั่นจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเลย  นี่เป็นเวลาที่พวกเขาต้องจากไป  เช่นนั้น หากพวกเรากล่าวว่าพระนิเวศน์ของพระเจ้าได้ให้เวลาและให้โอกาสพวกเขาอย่างเพียงพอแก่การยอมรับความจริงและนมัสการพระเจ้า นี่เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  แล้วควรจะกล่าวอย่างไร?  พระนิเวศน์ของพระเจ้าได้ให้โอกาสมากพอและให้เวลาอย่างเพียงพอที่พวกเขาจะกลับตัว แต่ผลลัพธ์สุดท้ายกลับเผยให้เห็นข้อเท็จจริงว่า มารย่อมเป็นมารเสมอไม่ว่าเวลาใด และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย  นี่คือข้อเท็จจริง  เป็นไปได้หรือที่จะทำให้พญานาคใหญ่สีแดงยอมรับพระสถานะและพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า?  การทำให้ผู้คนที่มีธรรมชาติเยี่ยงปิศาจเหล่านี้เปลี่ยนแปลงและทำตามกฎเกณฑ์บางอย่าง—การนี้สามารถสัมฤทธิ์ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาไม่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้  การให้โอกาสพวกเขาไม่ใช่เพื่อให้พวกเขายอมรับความจริง ตระหนักถึงพระราชกิจของพระเจ้า หรือกระทำการตามหลักธรรมความจริง แต่เป็นการให้โอกาสพวกเขาที่จะกลับตัว  หากมีสัญญาณแม้เพียงเล็กน้อยว่าพวกเขาได้กลับตัวแล้ว จุดจบสุดท้ายของพวกเขาอาจเปลี่ยนไป  อย่างไรก็ตาม ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับพวกเขา ธรรมชาติเยี่ยงปิศาจของพวกเขามักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ  ไม่ว่าจะให้เวลาและโอกาสกับพวกเขามากมายเพียงใดก็ตาม สิ่งที่พวกเขาดำเนินชีวิตและแก่นแท้ของพวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือข้อเท็จจริง  เพราะฉะนั้น หนทางสุดท้ายที่จะรับมือกับผู้คนเหล่านี้คือการปลดพวกเขาออกจากหน้าที่ ให้พวกเขาไปจากคริสตจักร และทำให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่มีความผูกพันหรือสัมพันธภาพกับพระนิเวศน์ของพระเจ้าอีกต่อไป  มีใครบ้างหรือไม่ที่จะลังเลเมื่อเห็นพวกเขาจากไปและสงสารพวกเขาด้วยการกล่าวว่า “คนเหล่านี้ยังค่อนข้างอายุน้อยอยู่ ถ้าให้เวลาพวกเขา พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยม  พวกเขามีขีดความสามารถดีขนาดนั้น มีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษอย่างมาก—ถ้าพวกเขายอมรับความจริงได้จะยอดเยี่ยมขนาดไหน!  ถ้าพระนิเวศน์ของพระเจ้าสามารถมีความผ่อนปรนและเปี่ยมรักมากขึ้น รวมทั้งให้โอกาสพวกเขากลับใจมากขึ้น บางทีเมื่อพวกเขาอายุมากขึ้น สิ่งต่างๆ อาจจะลงเอยแตกต่างออกไปก็ได้”?  ผู้คนที่คิดแบบนี้เป็นคนประเภทใด?  (คนเลอะเลือน คนที่สับสนงุนงง)  ถูกต้อง  พวกเขาล้วนเป็นคนเลอะเลือนและสับสนงุนงง—แค่คนพาล!  พระเจ้าไม่ทรงช่วยคนประเภทนี้ให้รอด  และพระนิเวศน์ของพระเจ้าก็ไม่อนุญาตให้พวกเขาอยู่—พวกเขามีอะไรให้น่าสงสาร?  พระเจ้าตรัสว่า พระองค์จะไม่ทรงช่วยผู้คนเหล่านั้น แต่เจ้ากลับแนะนำว่าให้โอกาสพวกเขากลับใจ  เจ้าสามารถช่วยผู้คนให้รอดได้เช่นนั้นหรือ?  นี่เป็นการต่อต้านพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  เจ้ากำลังพยายามทำให้คนอื่นคิดว่าเจ้าเปี่ยมรักกว่าพระเจ้าอยู่หรือเปล่า?  เจ้ามีความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  เจ้าสามารถมองทะลุแก่นแท้ของคนคนหนึ่งหรือไม่?  ใครกันที่สามารถช่วยผู้คนให้รอดได้ พระเจ้าหรือเจ้า?  การอาจหาญต่อต้านพระเจ้า—นี่เป็นการโอหัง คิดว่าตนเองถูก และขาดเหตุผลมากเกินไปใช่หรือไม่?  นี่คือการกบฏครั้งใหญ่ไม่ใช่หรือ?  นี่คือซาตานหรือวิญญาณชั่วที่มาเกิดใหม่และมีความสุขกับการต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอไม่ใช่หรือ?  ผู้ไม่เชื่อที่เพิ่งถูกกล่าวถึงเมื่อครู่แย่ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน  ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ แม้แต่การตัดแต่งพวกเขาก็ไร้ผล  สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขามีธรรมชาติของซาตานและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  หากใครบางคนต้องการให้โอกาสพวกที่เป็นเยี่ยงซาตานเหล่านี้กลับใจ ก็ให้พวกเขาดูแลคนเหล่านี้ พวกเราจะได้เห็นว่าพวกเขามีความรักที่แท้จริงหรือไม่  ผู้ไม่เชื่อที่ไม่ยอมรับความจริงเลยเหล่านั้นเป็นพวกที่เลวร้ายที่สุดในคริสตจักร พวกเขาล้วนเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉาน อยู่เหนือเหตุผลและไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด  ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน การปฏิบัติของคริสตจักรต่อพวกเขานั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว คริสตจักรได้แสดงความอดทนและความผ่อนปรนต่อพวกเขาอย่างใหญ่หลวง และให้โอกาสพวกเขามากเพียงพอแล้ว  แต่จนถึงทุกวันนี้ พวกเขายังไม่เปลี่ยนแปลงเลย มิหนำซ้ำหนทางของพวกเขายังทวีความรุนแรงขึ้น  ในตอนแรก เมื่อคนเหล่านี้มาเชื่อในพระเจ้าด้วยมโนคติอันหลงคิด ความคิดฝัน และความอยากได้พรของตน พวกเขาสามารถยับยั้งตนเองได้บ้าง รวมทั้งทำหน้าที่ของตนด้วยความกระตือรือร้นและความฮึกเหิมอยู่บ้าง  อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด เมื่อพวกเขาเห็นว่า “การเชื่อในพระเจ้าหมายถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า และนบนอบพระเจ้า และนั่นคือทั้งหมด” ท่าทีของพวกเขาต่อพระเจ้าและความจริง รวมถึงธาตุแท้ของพวกเขาก็ถูกเปิดโปงอย่างครบถ้วน  สิ่งใดที่ถูกเปิดโปงบ้าง?  พวกเขาไม่เพียงไร้ความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และเหตุผลเท่านั้น แต่พวกเขายังโหดเหี้ยม เลวร้าย และป่าเถื่อนอย่างที่สุด  พวกเขาดูหมิ่นพระเจ้าและความจริง อีกทั้งยังมองข้อกำหนดและกฎของพระนิเวศน์ของพระเจ้า—และกฎการปกครองของพระเจ้า—ด้วยความเป็นปฏิปักษ์และแข็งขืน  การสำแดงเหล่านี้ของพวกเขาได้ทำให้ความรังเกียจและสะอิดสะเอียนที่ประชากรของพระเจ้ามีต่อพวกเขาทวีความรุนแรงขึ้น อีกทั้งยังเร่งให้พระนิเวศน์ของพระเจ้าชำระพวกเขาออกไปให้เร็วขึ้นอีกด้วย สุดท้ายก็พิจารณาอย่างรวดเร็วว่าพวกเขาจะอยู่หรือไป ตัดสินจุดจบและโชคชะตาของพวกเขา  จุดจบและโชคชะตาของพวกเขาเกิดจากพวกเขาเอง ไม่ได้เกิดจากการยุยงหรือปลุกปั่นของใคร หรือเพราะใครบีบบังคับหรือล่อลวงคนเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากรูปการณ์แวดล้อมที่เป็นข้อเท็จจริงอย่างแน่นอน จุดจบและโชคชะตาของพวกเขาเกิดจากตัวพวกเขาเอง เป็นผลจากการเลือกของพวกเขา และถูกกำหนดโดยแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาและเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดิน  จุดจบและโชคชะตาของคนเหล่านี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เมื่อพวกเขาถูกเอาตัวออกจากกลุ่มของผู้ที่ทำหน้าที่ของตนแล้ว จากนั้นพวกเขาก็ไม่ใช่แม้แต่คนลงแรงอีกต่อไป  เจ้าย่อมสามารถจินตนาการได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาจะมีโชคชะตาแบบใด—นั่นไม่ควรค่าที่จะกล่าวในที่นี้ เพราะพวกเขาไม่คู่ควร

เมื่อพูดถึงประเภทของผู้คนที่ถูกเผยและถูกกำจัดออกไป การสำแดงของการทำชั่วนานัปการของพวกเขา รวมถึงวาจาและถ้อยคำที่มุ่งร้ายซึ่งพวกเขาเผยออกมาในชีวิตประจำวัน ย่อมมองเห็นได้อย่างชัดเจน  กระนั้นก็ตาม ผู้นำและคนทำงานบางคนกลับไม่สามารถแยกแยะผู้คนที่ชั่วเหล่านี้ว่าแท้จริงแล้วคนชั่วเหล่านี้เป็นใคร หรือมองทะลุถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  ดูเหมือนผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ไม่ตระหนักเลยว่าคนเหล่านี้เป็นคนชั่วและเป็นผู้ไม่เชื่อ ดังนั้นจึงไม่มีแผนการที่จะชำระพวกเขาออกจากคริสตจักร หรือจัดการกับพวกเขาอย่างเหมาะสม  นี่เป็นการละเลยความรับผิดชอบของตนในฐานะผู้นำและคนทำงานอย่างร้ายแรง  ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้มองดูด้วยความตระหนักว่าคนที่มีธรรมชาติเยี่ยงปีศาจเหล่านี้ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ใดๆ ของพระนิเวศของพระเจ้า ในขณะที่คนเหล่านี้ก่อความวุ่นวาย ก่อกวนและทำลายงานของคริสตจักรรวมถึงระเบียบของชีวิตคริสตจักรโดยไม่ยั้งคิด พวกเขาถึงกับปล่อยให้คนเหล่านี้กระทำการอย่างอุกอาจและไม่ระมัดระวัง ประพฤติตนอย่างไม่เคารพกฎระเบียบ และทำลายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าภายใต้ข้ออ้างในการทำหน้าที่ของตน  การทำลายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าครอบคลุมหลายสิ่งหลายอย่าง อาทิ การทำลายเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า ทำลายอุปกรณ์และเครื่องใช้สำนักงานต่างๆ ของพระนิเวศของพระเจ้า แม้แต่การผลาญของถวายตามใจชอบ เป็นต้น  สิ่งที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือพวกเขาปล่อยให้ความเห็นนอกรีตและตรรกะวิบัติต่างๆ แพร่หลายโดยไม่ใส่ใจ เป็นเหตุให้เกิดการก่อกวนจนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างสงบสุข เป็นการก่อกวนจนคนที่อ่อนแอและคิดลบละทิ้งหน้าที่ของตนและสูญเสียความเชื่อในการติดตามพระเจ้า  คนชั่วเหล่านี้ทำสิ่งเลวร้ายทั้งหมดนี้ พวกเขากระทำความชั่วทั้งหมดนี้ที่เป็นการก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร แถมยังสร้างความเสียหายแก่พี่น้องชายหญิง แต่ผู้นำและคนทำงานกลับแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด พวกเขาบางคนถึงกับกล่าวว่า “ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย ไม่เคยมีใครบอกฉัน!”  พวกสัตว์เดรัจฉานและปีศาจกลุ่มนั้นได้ก่อความหายนะมากมาย ก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายในคริสตจักร แต่ผู้นำและคนทำงานกลับไม่รู้และไม่ตระหนักในเรื่องนี้เลย!  พวกเขาต่ำช้าไม่ใช่หรือ?  หัวใจของพวกเขาอยู่ที่ใด?  พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่?  พวกเขาก็แค่พูดจาไร้สาระเท่านั้นไม่ใช่หรือ?  พวกเขากำลังละเลยงานที่ถูกที่ควรของตนอยู่ไม่ใช่หรือ?  แต่ละวันที่ผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นทำงานก็คืออีกหนึ่งวันที่คนชั่วสารพัดประเภทก่อกวนคริสตจักรอย่างไม่ยั้งคิดและทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นั่นเป็นเพราะพวกผู้นำเทียมเท็จไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน กลุ่มสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นจึงปล่อยเวลาให้หมดวันด้วยการอยู่เฉยๆ ไม่ทำหน้าที่หรือทำตามกฎเกณฑ์ใดๆ เกาะพระนิเวศของพระเจ้ากิน เพลิดเพลินกับผลประโยชน์ทางวัตถุและสวัสดิการอันหลากหลายในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างเสรี—พวกเขาถึงกับจงใจก่อกวนงานของคริสตจักร ทำให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ในพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย  นี่คือวิธีปฏิบัติตนของพวกเขา แต่พวกเขากลับยังคงคาดหวังที่จะใช้ชีวิตสบายๆ และทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ตนพอใจในพระนิเวศของพระเจ้าโดยไม่ให้ใครมารบกวนหรือยั่วยุพวกเขา  นี่เป็นประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงยิ่ง แต่ผู้นำและคนทำงานกลับเพิกเฉย ไม่ยอมแก้ไขเรื่องนี้แม้เมื่อมีคนมารายงานแล้วก็ตาม—พวกเขาคือขยะที่ไม่ทำงานจริงจังไม่ใช่หรือ?  นี่คือการละเลยความรับผิดชอบอย่างร้ายแรงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่ได้แก้ปัญหานั้นเพราะฉันยุ่งกับงานอื่นอยู่  ฉันยังไม่มีเวลาทำเลยจริงๆ!”  คำพูดเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่?  หากเจ้าไม่แก้ปัญหาที่ร้ายแรงเช่นนี้แล้วเจ้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับอะไร?  เรื่องที่เจ้ายุ่งอยู่นั้นมีคุณค่าหรือไม่?  เจ้าสามารถจัดลำดับความสำคัญของงานของตนหรือไม่?  ไม่ว่าเจ้าจะยุ่งกับงานมากแค่ไหน ก็ควรให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาก่อนไม่ใช่หรือ?  การเข้าใจและจัดการกับผู้คนหลากหลายประเภทที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีก็คือความรับผิดชอบของเหล่าผู้นำและคนทำงาน  หากเจ้าวางปัญหาที่แท้จริงเอาไว้แล้วไปยุ่งกับเรื่องอื่น เจ้ากำลังทำงานที่แท้จริงอยู่หรือไม่?  หากเจ้าพบประเด็นปัญหาหรือใครบางคนมารายงานประเด็นปัญหาหนึ่งต่อเจ้า เจ้าควรวางงานในมือลงแล้วรีบไปที่สถานที่เกิดเหตุทันที พร้อมดูว่าต้นกำเนิดของปัญหานั้นคืออะไร  หากเป็นคนชั่วสักคนที่ก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร เจ้าก็ควรชำระคนชั่วคนนี้ออกไปเสียก่อน  หลังจากนั้น การแก้ปัญหาอื่นๆ ก็จะง่ายดาย  หากเจ้าพบปัญหาและไม่จัดการแก้ไข โดยอ้างว่าเจ้ายุ่งเกินไป ในความเป็นจริงเจ้าก็แค่กำลังวิ่งวุ่นเหมือนหนูติดจั่นไม่ใช่หรือ?  อย่างไรก็ตาม เจ้ายุ่งกับอะไรนักหนากันแน่?  นั่นคืองานที่แท้จริงหรือไม่?  เจ้าสามารถอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างได้หรือไม่?  เหตุผลกับข้อแก้ตัวทั้งหลายของเจ้าฟังขึ้นหรือไม่?  เหตุใดเจ้าจึงปฏิบัติต่อการแก้ปัญหาเหมือนไม่มีความสำคัญเลย?  เหตุใดเจ้าจึงไม่แก้ปัญหาอย่างทันท่วงที?  เหตุใดเจ้าจึงหาข้อแก้ตัวและหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆ ด้วยการกล่าวว่า เจ้ายุ่งเกินไปที่จะดูแลเรื่องเหล่านี้?  นี่คือการไม่รับผิดชอบไม่ใช่หรือ?  ในฐานะผู้นำในคริสตจักร การไม่จัดลำดับความสำคัญให้กับการแก้ปัญหาเป็นอันดับแรก การทำตัวยุ่งอยู่กับเรื่องสัพเพเหระต่างๆ การไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่งยวด การไม่สามารถแยกแยะความสำคัญกับความเร่งด่วนในงานและไม่สามารถเข้าใจประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งได้—สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงขีดความสามารถที่อ่อนด้อยเป็นอย่างยิ่ง และคนเช่นนั้นคือคนเลอะเลือน  ไม่ว่าเจ้าได้เป็นผู้นำมากี่ปีแล้วก็ตาม เจ้าก็ไม่สามารถปฏิบัติงานของคริสตจักรให้ดีได้  เจ้าควรยอมรับผิดชอบและลาออกเสีย  หากผู้นำมีขีดความสามารถที่อ่อนด้อยเกินไป การฝึกฝนใดๆ ย่อมไร้ประโยชน์ พวกเขาจะไม่สามารถทำงานใดให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน—พวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จที่ต้องถูกปลดและถูกโยกย้าย  เมื่อผู้นำเทียมเท็จทำงาน ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร?  หากพูดอย่างเป็นกลางแล้ว ทุกสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จทำล้วนนำมาซึ่งความสูญเสียต่อคริสตจักรในหลากหลายแง่มุม  ประการหนึ่งก็คือ ไม่ได้ทำงานสำคัญของคริสตจักรให้ดี ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิผลของงานต่างๆ นานาในคริสตจักร  พร้อมกันนั้น ก็ยังทำร้ายและส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอีกด้วย  ที่สำคัญที่สุด นั่นยังส่งผลต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร  ผลสืบเนื่องเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง  กล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการที่ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริงทั้งสิ้น  หากผู้นำและคนทำงานอื่นๆ สามารถทำงานจริงบางอย่างได้อย่างแข็งขัน โดยเร่งความเร็วและลดระยะเวลาในการแก้ปัญหาลง ความสูญเสียต่างๆ นานาที่ผู้นำเทียมเท็จก่อให้เกิดกับพระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะบรรเทาลงบ้างไม่ใช่หรือ?  อย่างน้อยที่สุด ความสูญเสียเหล่านั้นย่อมลดลงได้  ต่อให้พระนิเวศของพระเจ้าไม่เรียกร้องให้เจ้าจัดการกับปัญหาทั้งหลายทันทีที่เกิดปัญหาขึ้น แต่อย่างน้อยที่สุด เมื่อมีการรายงานปัญหา เจ้าก็ควรเริ่มจัดการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นในทันที กล่าวคือ สอบถามสถานการณ์จากพี่น้องชายหญิง รวมทั้งหารือและสามัคคีธรรมกับผู้นำและคนทำงานอื่นๆ ว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร  หากประเด็นปัญหานี้ร้ายแรงและเจ้าไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร เจ้าก็ควรรายงานประเด็นปัญหานี้ขึ้นไปทันทีและแสวงหาหนทางแก้ไข  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานทุกคนควรสัมฤทธิ์  แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือ แม้ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ก็ไม่รายงานขึ้นไป  พวกเขากลัวการรายงานขึ้นไปเป็นอย่างมาก เพราะเกรงจะเป็นการแพร่งพรายการไร้ความสามารถ ขีดความสามารถที่อ่อนด้อยจนเกินไป และการไม่สามารถทำงานจริงของตนเอง พวกเขากังวลว่าจะถูกปลด  กระนั้น พวกเขากลับไม่คิดริเริ่มที่จะทำงาน พวกเขาหัวทึบและด้านชา แถมกระทำการอย่างเชื่องช้า  เนื่องจากไม่มีเส้นทางในการแก้ปัญหา พวกเขาจึงได้แต่ทำแบบมั่วซั่วจนนำไปสู่การสะสมปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขมากมายเกินไป ดังนั้น จึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนชั่ว  ถึงตอนนี้ เมื่อเห็นว่าผู้นำเทียมเท็จเป็นคนไม่เอาไหน คนชั่วและพวกที่มีความทะเยอทะยานเหล่านั้นย่อมฉวยโอกาสกระทำความชั่วตามอำเภอใจโดยไม่ยั้งคิด ผลักให้คริสตจักรตกอยู่ในความวุ่นวายและไร้ระเบียบ ทำให้งานหยุดชะงักทุกด้าน  ถึงแม้เหล่าผู้นำเทียมเท็จควรแบกรับความรับผิดชอบหลัก แต่ผู้นำและคนทำงานอื่นๆ ก็ไม่ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนเช่นกัน  นี่คือการละเลยความรับผิดชอบอย่างร้ายแรงของผู้นำและคนทำงานไม่ใช่หรือ?  ในความเป็นจริง ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรมักเกี่ยวข้องโดยตรงกับการก่อกวนที่เกิดจากคนชั่วและผู้ไม่เชื่อ  หากผู้นำและคนทำงานไม่สามารถระบุต้นตอของปัญหาเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที ไม่สามารถหาตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหา และมองหาเหตุผลจากที่อื่นอยู่ร่ำไป เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถึงรากถึงโคน และปัญหาก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในภายภาคหน้า  หากจับตัวพวกที่ก่อปัญหาหรือผู้ที่สร้างปัญหาอยู่เบื้องหลังมารับผิดชอบโดยตรงได้ วิธีรับมือกับปัญหาเช่นนี้จึงจะมีประสิทธิผลมากที่สุด  อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ไม่เชื่อและคนชั่วเหล่านั้นจะไม่กล้าอาละวาดและเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนอีกต่อไป  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรสัมฤทธิ์ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  กล่าวอย่างแน่ชัดได้ว่าสาเหตุหลักที่ปัญหาของคริสตจักรเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงทีนั้นก็เพราะการไร้ความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน หรือเพราะผู้นำเทียมเท็จขาดความเป็นจริงความจริงและไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้  หากผู้นำและคนทำงานไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรได้ พวกเขาย่อมไม่สามารถปฏิบัติงานตามตำแหน่งของตนได้อย่างแน่นอน  ในที่นี้มีสถานการณ์และเหตุผลมากมายที่ต้องทำความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งคือ หากผู้นำและคนทำงานเป็นมือใหม่ที่ไร้ประสบการณ์ พวกเขาก็ควรได้รับความช่วยเหลืออย่างอดทน นำไปสู่การแก้ปัญหา รวมทั้งเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างและจับความเข้าใจหลักธรรมความจริงในกระบวนการแก้ปัญหา  พวกเขาจะค่อยๆ เรียนรู้การแก้ปัญหาในหนทางนี้  หากผู้นำและคนทำงานไม่ใช่คนที่เหมาะสม ปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิงและใช้มุมมองกับวิธีการแก้ไขปัญหาของผู้ไม่มีความเชื่อแทน เช่นนี้ย่อมไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  ผู้คนเช่นนั้นไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานและควรถูกปลดรวมทั้งถูกกำจัดออกไปทันที จากนั้นควรให้มีการเลือกสรรใหม่เพื่อเลือกผู้นำและคนทำงานที่เหมาะสม  แนวทางนี้เท่านั้นจึงจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างหมดจด  การเป็นผู้นำคริสตจักรไม่ใช่งานง่ายๆ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีบางปัญหาที่รับมือไม่ได้  อย่างไรก็ดี หากคนเรามีเหตุผล เมื่อเผชิญกับปัญหาทั้งหลายที่ตนแก้ไม่ได้ ก็ไม่ควรซ่อนเร้นหรือปิดบังและเพิกเฉยต่อปัญหาเหล่านั้น  แต่ควรปรึกษากับคนหลายๆ คนที่เข้าใจความจริงเพื่อร่วมกันหาทางแก้ไข ซึ่งอาจจะแก้ไขปัญหาได้ร้อยละเจ็ดสิบถึงแปดสิบ อย่างน้อยที่สุดก็ป้องกันไม่ให้เกิดประเด็นปัญหาใหญ่ๆ ขึ้นได้เป็นการชั่วคราว  นี่คือเส้นทางที่สามารถปฏิบัติได้  หากไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหลายได้จริง เช่นนั้นคนเราก็ควรแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบน ซึ่งเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด  หากเจ้าปิดบังปัญหาและไม่รายงานปัญหาเหล่านั้นเพราะเกรงเสียหน้าหรือเกรงเบื้องบนจะตัดแต่งเจ้าที่เจ้าไร้ความสามารถ นี่คือการนิ่งเฉยโดยสิ้นเชิง  หากเจ้าปฏิบัติตนเหมือนคนโง่เขลาทึ่มทื่อสมองทึบ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นี่ย่อมจะทำให้เรื่องต่างๆ ล่าช้าออกไป  สถานการณ์เช่นนี้เปิดโอกาสให้กับคนชั่วกับพวกศัตรูของพระคริสต์ เอื้ออำนวยให้พวกนั้นฉวยโอกาสจากความโกลาหลเพื่อกระทำการได้โดยง่าย  เหตุใดจึงกล่าวว่าพวกเขาฉวยโอกาสจากความโกลาหลเพื่อกระทำการ?  เพราะพวกเขากำลังรอโอกาสนี้อยู่นั่นเอง  เมื่อผู้นำและคนทำงานไม่สามารถรับมือกับปัญหาใดๆ ได้ และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกำลังรู้สึกวิตกกังวล ไม่สบายใจ และได้สูญเสียความไว้วางใจในตัวผู้นำและคนทำงานไปแล้ว คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ย่อมกำลังหาทางฉกฉวยประโยชน์จากช่องว่างนี้  คนพวกนั้นคิดว่าคริสตจักรอยู่ในสภาวะไร้ผู้นำหรือไร้การบริหารจัดการ  พวกเขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อโอ้อวดความสามารถของตนเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรยกย่องนับถือตน เกื้อหนุนตน และเชื่อว่าตนมีขีดความสามารถที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำและคนทำงานทั้งหลาย พวกเขามีความสามารถที่ดีกว่าในการแก้ปัญหาและนำไปสู่ทางออก รวมทั้งสามารถพลิกสถานการณ์ท่ามกลางความวุ่นวายได้ดีกว่า  นี่คือสิ่งที่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ต้องการทำมากที่สุดไม่ใช่หรือ?  ในเวลานี้ เมื่อผู้นำและคนทำงานไม่มีอำนาจ เมื่อคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ลุกขึ้นมาแก้ปัญหา ถึงขนาดนำไปสู่ทางออก ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะเชื่อใคร?  โดยธรรมชาติแล้ว ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมจะเชื่อคนชั่วและกองกำลังของศัตรูของพระคริสต์  การนี้แสดงถึงสิ่งใด?  แสดงให้เห็นว่าผู้นำและคนทำงานไร้ประโยชน์และไม่อาจทำสิ่งใดให้สำเร็จได้เลย และล้มเหลวในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง  ผู้คนเช่นนั้นยังคู่ควรที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานหรือ?  แม้ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีความเป็นจริงความจริงและไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้ พวกเขาล้วนมีพรสวรรค์ในระดับที่แตกต่างกันและค่อนข้างมีไหวพริบในเรื่องภายนอกมากกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองคือข้อได้เปรียบของพวกเขาและเป็นวิธีที่พวกเขาชักพาผู้คนให้หลงผิด  แต่หากพวกเขากลายเป็นผู้นำและคนทำงานขึ้นมา พวกเขาจะสามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้จริงหรือ?  พวกเขาสามารถนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้จริงหรือ?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  แม้พวกเขามีพรสวรรค์บางอย่างและพูดจาคล่องแคล่ว แต่พวกเขาก็ปราศจากความเป็นจริงความจริงโดยสิ้นเชิง  พวกเขาเหมาะที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานของคริสตจักรหรือไม่?  ไม่เลย!  นี่คือสิ่งที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องไม่มีวันถูกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดหรือหลอกลวงเป็นอันขาด  ผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเลย และไม่มีความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย  เช่นนั้นจงบอกเราทีว่า พวกเขาสามารถพูดสิ่งที่มีมโนธรรมและเหตุผล เช่น “แม้ตอนนี้คริสตจักรไม่มีใครรับผิดชอบดูแล พวกเราก็ต้องปฏิบัติตนตามความคิดริเริ่มของตนเอง  ข้อบังคับของพระนิเวศของพระเจ้าไม่สามารถละเมิดได้ และหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  พวกเราพึงทำสิ่งที่พวกเราควรทำ ทุกคนพึงยึดมั่นหน้าที่ที่ตนควรทำ ปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบของตน และไม่ขัดขวางความเป็นระเบียบ” หรือไม่?  พวกเขาพูดสิ่งเช่นนี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ไม่ได้อย่างแน่นอน!  ผู้ไม่เชื่อและผู้คนที่ชั่วเหล่านี้จะลงมือทำสิ่งใดบ้าง?  เมื่อไม่มีการเฝ้าระวังและการกำกับดูแล พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะทำหน้าที่ของตน หมกมุ่นอยู่กับการกิน การดื่ม การเล่น และความสนุกสนาน มีส่วนร่วมในการพูดจาเรื่อยเปื่อยไร้สาระ หยอกล้อ และถึงขั้นเกี้ยวพาราสีกัน  บางคนใช้เวลาทั้งคืนไปกับการดูวีดิทัศน์ของโลกที่ไม่มีความเชื่อ จากนั้นก็ใช้การนอนดึกเพราะทำหน้าที่ของตนเป็นข้ออ้างในการอู้งานและนอนหลับอย่างเกินพอดี  เหล่านี้คือการปฏิบัติตนของผู้คนที่ชั่วซึ่งจัดว่าเป็นพวกมาร  เมื่อพวกเขากระทำความชั่วเหล่านี้ พวกเขารู้สึกผิดบ้างหรือไม่?  พวกเขาจะมีมโนธรรมขึ้นมาทันทีและริเริ่มที่จะลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของมนุษย์บางประการ และทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักร และพี่น้องชายหญิงบ้างหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  เมื่อใครบางคนกำลังเฝ้าดู พวกเขาก็ทำงานบางอย่างโดยไม่เต็มใจนักเพื่อให้ตนดูดีและเพียงเพื่อแลกกับอาหารพอประทังชีวิต  นี่คือสิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้ นอกเหนือจากนี้ ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่มีคุณสมบัติที่ดีเลยแม้แต่ประการเดียว  ดังนั้น การที่ผู้คนเหล่านี้อาศัยอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้ามีประโยชน์อันใดหรือไม่?  ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย  ผู้คนดังกล่าวเป็นส่วนเกินและต้องถูกชำระออกไป

เจ้าจะประเมินได้อย่างไรว่าใครบางคนรักความจริงหรือไม่?  เราขอยกตัวอย่างหนึ่งเพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจ  คนบางคนมีส่วนร่วมในวิชาชีพหนึ่ง และยิ่งพวกเขาเรียนรู้มากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งศึกษาให้ลึกซึ้งขึ้น ยิ่งพวกเขาเข้าใจมากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในวิชาชีพนั้นและไม่เต็มใจที่จะละทิ้งวิชาชีพนั้น  นี่เป็นการสำแดงประเภทใด?  นี่หมายความว่าพวกเขาชอบวิชาชีพนี้อย่างแท้จริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  ไม่ว่าพวกเขาจะสู้ทนกับความยากลำบากเพียงใด ไม่ว่าจะจ่ายราคาเท่าใด ไม่ว่าพวกเขาจะทุ่มเทความพยายามมากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงอยู่ในวิชาชีพนี้ต่อไปโดยไม่เสียใจและไม่ท้อถอยเลย  นี่คือความรักอย่างแท้จริง เป็นความชื่นชอบอย่างจริงใจและลึกซึ้ง  สมมติว่ามีใครบางคนอ้างว่าตนชอบงานอย่างหนึ่งแต่ไม่เต็มใจที่จะสู้ทนความยากลำบากหรือจ่ายราคาระหว่างขั้นตอนของการเรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพ และเมื่อมีปัญหามากมายเกิดขึ้นในงาน พวกเขากลับไม่แสวงหาทางแก้ไข เกรงว่าจะเดือดร้อน และถึงกับรู้สึกว่าการมีส่วนร่วมในวิชาชีพนี้เป็นความยุ่งยากหรือเป็นภาระอยู่บ่อยครั้ง  อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนวิชาชีพไม่ใช่เรื่องง่าย และเมื่อพิจารณาถึงผลประโยชน์ทางวัตถุที่วิชาชีพนี้สามารถนำมาให้ คนคนนี้จึงมีส่วนร่วมอย่างเสียไม่ได้ แต่จะไม่มีวันกลายเป็นคนที่โดดเด่นในวิชาชีพนี้ได้เลย  แล้วพวกเขาชอบวิชาชีพนี้อย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่ชอบอย่างเห็นได้ชัด  มีคนอีกประเภทหนึ่งคือ คนที่แสดงออกถึงความชื่นชอบในวิชาชีพบางวิชาชีพด้วยคำพูด แต่ไม่เคยสู้ทนความยากลำบากหรือจ่ายราคาเพื่อเรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพให้ดีเลย  พวกเขาอาจถึงขั้นเกิดความรังเกียจหรือความสะอิดสะเอียนต่อวิชาชีพนั้นในระหว่างขั้นตอนของการเรียนรู้ จนกลายเป็นไม่เต็มใจที่จะเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อความสะอิดสะเอียนของพวกเขาไปถึงระดับหนึ่ง พวกเขาก็สับเปลี่ยนอาชีพ และหลังจากนั้นก็ไม่เต็มใจที่จะเอ่ยถึงกระบวนการ เรื่องราว หรือสิ่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่พวกเขามีส่วนร่วมในวิชาชีพนั้น  ผู้คนดังกล่าวชอบวิชาชีพนี้อย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่ชอบวิชาชีพนี้  พวกเขาสามารถละทิ้งวิชาชีพนี้ไปได้อย่างง่ายดาย รู้สึกขยะแขยงและถึงขั้นเปลี่ยนอาชีพ ซึ่งนั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ชอบวิชาชีพนี้จริงๆ  เหตุผลที่พวกเขาสามารถละทิ้งอาชีพนี้ได้ก็คือ หลังจากที่ลงทุนทั้งเวลา พละกำลัง และราคาไปอย่างมากมาย วิชาชีพนี้ก็ไม่เอื้ออำนวยให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งอย่างที่พวกเขาปรารถนา หรือเพลิดเพลินกับการตอบแทนทางวัตถุที่ดี  พวกเขาจึงเริ่มรังเกียจและสาปแช่งวิชาชีพนี้อยู่ในหัวใจ ถึงขนาดห้ามคนอื่นไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้ โดยตนเองก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป และถึงขั้นรู้สึกอับอายที่เคยมีส่วนร่วมในวิชาชีพนี้มาก่อน และเคยถือว่าวิชาชีพนี้คือความใฝ่ฝันของพวกเขาและเป็นเป้าหมายสูงสุดในการไล่ตามไขว่คว้าในชีวิต  เมื่อพิจารณาถึงระดับที่พวกเขาสามารถรังเกียจวิชาชีพนี้ การแสดงออกถึงความชื่นชอบวิชาชีพนี้ของพวกเขาในตอนแรกนั้นแท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  มีคนเพียงประเภทเดียวเท่านั้นที่รักวิชาชีพนี้อย่างแท้จริง—ไม่ว่าวิชาชีพนั้นจะมอบชีวิตทางวัตถุที่ดีหรือผลประโยชน์ที่มากมายแก่พวกเขาหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญความลำบากยากเย็นมากมายเพียงใดหรือสู้ทนความทุกข์ในวิชาชีพนี้มากมายเพียงใด พวกเขาก็สามารถยืนหยัดในวิชาชีพนี้ไปจนสุดทาง  นี่คือความชื่นชอบที่แท้จริง  สิ่งเดียวกันนี้นำมาใช้กับการที่คนคนหนึ่งรักความจริงหรือไม่  หากเจ้ารักสิ่งที่เป็นบวกอย่างแท้จริง โดยคืบหน้าจากการรักสิ่งที่เป็นบวกไปสู่การรักความจริง เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าเผชิญกับสถานการณ์ใด เจ้าก็จะยืนกรานที่จะแสวงหาและไล่ตามเสาะหาความจริง โดยไม่เปลี่ยนเป้าหมายชีวิตของเจ้า  หากเจ้าสามารถละทิ้งการเชื่อในพระเจ้าและทอดทิ้งเส้นทางแห่งความรอดได้อย่างง่ายดาย นี่ย่อมไม่ใช่การรักความจริงอย่างแท้จริง  ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่ก็ไม่ละทิ้งเช่นกัน พวกเขาบากบั่นด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้นคือ พวกเขาคิดว่าตราบใดที่มีความหวังเล็กๆ น้อยๆ สำหรับจุดจบและบั้นปลายที่ดี อนาคตที่ดี ก็ควรค่าที่จะเสี่ยง และพวกเขาควรบากบั่นไปจนถึงปลายทาง  พวกเขาเชื่อว่าความบากบั่นนี้เป็นสิ่งจำเป็น แต่บังเอิญว่าความวิบัติกำลังก่อตัวขึ้นและไม่มีที่อื่นให้ไปอีกแล้ว ดังนั้นพวกเขาคงต้องอยู่ที่นี่และลองเสี่ยงโชคดู  ในหัวใจของผู้คนดังกล่าวมีความรักให้กับความจริงแม้สักนิดหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่มีเลย  เมื่อพวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าในตอนแรก ผู้คนเหล่านี้ก็พูดถึงการเกลียดชังโลก เกลียดซาตาน เกลียดสิ่งที่เป็นลบ รักสิ่งที่เป็นบวก และถวิลหาความสว่างเช่นกัน  แต่เมื่อก้าวเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าและเข้ามาในคริสตจักรแล้ว พฤติกรรมของพวกเขาเป็นอย่างไร?  เมื่อพวกเขาพบว่าตนเป็นคนลงแรง เมื่อพวกเขาตระหนักว่าการปฏิบัติตน พฤติกรรม และธรรมชาติของพวกเขาไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า พวกเขามีท่าทีอย่างไร?  พวกเขาแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมประเภทใด?  สามารถกล่าวได้ว่า เมื่อพวกเขารับรู้ รู้สึก หรือคิดว่าพวกเขาไม่เป็นที่โปรดปรานในพระนิเวศของพระเจ้าอีกต่อไป และพวกเขากำลังจะถูกกำจัด บางคนก็เลือกที่จะจากไป  ส่วนคนอื่นแม้จะอยู่ในคริสตจักรอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ปล่อยตัวเองให้อยู่ในความสิ้นหวัง และถูกบังคับให้จากไปในที่สุด  ผู้คนเช่นนั้นไม่รักความจริงเลยสักนิด เมื่อความอยากได้พรของพวกเขาถูกทำลาย พวกเขาก็สามารถทรยศพระเจ้าและหันหลังให้กับพระองค์  การสำแดงนานัปการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงท่าทีของผู้คนประเภทต่างๆ ที่มีต่อความจริง

IV. จุดจบที่แตกต่างกันของผู้คนทั้งสามประเภทนี้

เมื่อครู่พวกเราสามัคคีธรรมถึงลักษณะนิสัยของผู้คนสามประเภท ได้แก่ คนลงแรง ลูกจ้าง และประชากรของพระเจ้า  จากลักษณะนิสัยของพวกเขา เป็นที่ประจักษ์ว่าจุดจบสุดท้ายของพวกเขาไม่ได้ถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อมหรือภาวะที่เป็นจริง แต่โดยการไล่ตามเสาะหาและแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  แน่นอนว่า หากพูดในแง่ของข้อเท็จจริงแล้ว พระเจ้าคือผู้ที่ทรงกำหนดชะตากรรมของผู้คน แต่พระเจ้าทรงกำหนดสิ่งเหล่านี้บนพื้นฐานที่ว่าผู้คนรักความจริงหรือไม่ และพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่  คนลงแรงก็อ้างตัวว่ารักความจริงและสิ่งที่เป็นบวกเช่นกัน แต่ในท้ายที่สุด เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้า ข้อเรียกร้องอันเกินควรที่พวกเขามีต่อพระเจ้า และการทรยศพระเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง  นี่เป็นเพราะว่า ในระหว่างช่วงเวลาแห่งพระราชกิจของพระเจ้า ในขั้นตอนของการติดตามพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตน พวกเขาจะไม่มีวันแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้เลย  สาเหตุรากเหง้าของการที่พวกเขาไม่สามารถจัดการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ก็คือการที่พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเป็นหลัก  แม้พวกเขามีความปรารถนาที่จะนบนอบพระเจ้า แต่สิ่งที่พวกเขาสำแดงอย่างแท้จริงมีเพียงความสามารถในการละทิ้งและความเต็มใจที่จะจ่ายราคา โดยไม่เคยแสวงหาหลักธรรมความจริงหรือหนทางแห่งการนบนอบพระเจ้าเลย  ผลลัพธ์สุดท้ายคือ แม้พวกเขาจะทุ่มเทความพยายามอย่างมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  พวกเขายังคงสามารถทรยศพระเจ้าและกล่าวแสดงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเกี่ยวกับพระองค์ รวมทั้งข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าอย่างไม่สมเหตุผลต่อหน้าผู้คนอื่นๆ และซาตาน  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง พวกเขาก็ยังคงถือว่าตนเอง “มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง มีความสามารถที่จะละทิ้งและสู้ทนกับความยากลำบาก และสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน” และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรู้สึกสงบสุข  ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาได้เดินบนเส้นทางของคนลงแรงอยู่เป็นนิจ โดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเลย ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมีอัตลักษณ์ของคนลงแรงอยู่ตลอดเวลา  สำหรับผู้คนอีกประเภทหนึ่งคือลูกจ้าง พวกเราจะไม่เสวนาถึงคนประเภทนี้  ยังมีอีกประเภทหนึ่งคือประชากรของพระเจ้าที่พวกเราเพิ่งจะเอ่ยถึง  ตลอดช่วงเวลาของการติดตามพระเจ้า พวกเขาสละตนเองเพื่อพระองค์เช่นเดียวกับคนลงแรง อุทิศเวลาและพละกำลังของตน แม้กระทั่งวัยหนุ่มสาวของพวกเขา และสู้ทนความทุกข์รวมทั้งจ่ายราคามากมาย  นี่ก็เหมือนกับคนลงแรง  แล้วสิ่งที่แตกต่างกันคืออะไร?  สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง มโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และข้อเรียกร้องอันเกินควรที่พวกเขามีต่อพระเจ้าย่อมจะได้รับการแก้ไขแล้ว  การสำแดง สภาวะ และการเผยความเสื่อมทรามที่เป็นการไม่ยอมรับพระเจ้าอย่างชัดเจนภายในอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมจะถูกทิ้งไปแล้ว  ส่วนสิ่งที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขก็จะสลายไปเมื่อพวกเขาค่อยๆ เข้าใจความจริงผ่านประสบการณ์  แม้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะยังไม่ได้ถูกทิ้งไปโดยสิ้นเชิง แต่อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว  โดยส่วนใหญ่ พวกเขาจะสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงที่พวกเขาเข้าใจ และการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  แม้ไม่ใช่ความจริงที่ว่าพวกเขาจะไม่เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนในทุกสภาพแวดล้อม แต่คนเหล่านี้จะเป็นไปตามข้อกำหนดพื้นฐานประการหนึ่งที่ว่า พวกเขาจะเป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้าที่ให้พวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ พวกเขาจะเป็นคนซื่อสัตย์โดยพื้นฐาน  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้คนเหล่านี้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา หรือกระทำผิด หรือเก็บงำมโนคติอันหลงผิดและการกบฏต่อพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใด พวกเขาก็จะมีท่าทีของการกลับใจ  และมีอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าพระเจ้าทรงกระทำการเฉพาะใด และไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายอย่างไร ไม่ว่าพระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำสิ่งใดในภายภาคหน้า ไม่ว่าพระองค์จะทรงจัดเตรียมชะตากรรมของมวลมนุษย์อย่างไร และไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดไว้ให้อย่างไร พวกเขาก็ล้วนจะมีหัวใจที่นบนอบและท่าทีของการนบนอบ ปราศจากทางเลือกส่วนตัว และปราศจากแผนการและจุดประสงค์ส่วนตน  ด้วยการสำแดงนานัปการที่เป็นบวกเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะกลายเป็นคนประเภทที่พระเจ้าต้องประสงค์ไปแล้ว เป็นผู้ที่เดินตามหนทางของพระเจ้า นั่นคือยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว  แม้พวกเขาจะยังคงห่างไกลจากมาตรฐานที่แท้จริง—นั่นคือ “ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และเป็นมนุษย์ที่เพียบพร้อม”—ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ เมื่อบททดสอบของพระเจ้ามาถึงพวกเขา พวกเขาจะสามารถแสวงหาและนบนอบ ซึ่งก็เพียงพอแล้ว  พวกเขาจะไม่มีการพร่ำบ่นใดๆ พวกเขาจะเพียงแค่รอคอยและนบนอบเท่านั้น  แม้สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเจ้าอาจจะยังคงห่างไกลจากผลลัพธ์ดังกล่าว และสำหรับบางคนแล้ว นั่นอาจจะดูห่างไกลมากและเกินเอื้อม หากพวกเจ้าสามารถยอมรับความจริงและปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักธรรมและเป็นรากฐานแห่งการมีชีวิตอยู่ของพวกเจ้า เช่นนั้นจงเชื่อเถิดว่าสักวันหนึ่ง เจ้าหรือพวกเจ้าทุกคนจะไม่ห่างไกลจากการกลายเป็นประชากรที่แท้จริงของพระเจ้าและเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักอีกต่อไป—เชื่อว่าวันนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ได้รับการเผยพระวจนะในเวลานี้หรือเป็นสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่ใช่การเพ้อฝันทั้งสองกรณี แต่เป็นข้อเท็จจริงกำลังจะเป็นจริงและลุล่วง  แล้วข้อเท็จจริงนี้จะได้รับการทำให้ลุล่วงในผู้ใด จะได้รับการทำให้ลุล่วงในผู้คนประเภทใด ย่อมขึ้นอยู่กับว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าเจ้ารักความจริงอย่างแท้จริงจนถึงระดับที่เจ้าสามารถไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงได้ หรือเจ้าแค่มีความรักในความจริงเล็กน้อยแต่ไม่สามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้โดยสมบูรณ์ ผลลัพธ์สุดท้ายจะมอบคำตอบให้กับเจ้า  เอาละ พวกเราจะจบสามัคคีธรรมหัวข้อนี้ไว้ตรงนี้

มาตรฐานและหลักในการแยกแยะคนชั่วประเภทต่างๆ

II. ตามความเป็นมนุษย์ของคนเรา

ต่อไป พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานที่ว่า “ระบุแยกแยะ ชำระล้าง และขับไล่ผู้คนที่ชั่วและพวกศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบอย่างทันท่วงที”  มาตรฐานในการระบุแยกแยะผู้คนที่ชั่วทุกรูปแบบถูกจำแนกออกเป็นสามประเภทหลัก  ก่อนหน้านี้พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงจุดประสงค์ของคนเราในการเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว และจากนั้นก็กล่าวถึงความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  ในแง่ของความเป็นมนุษย์ของคนเรานั้น พวกเราจัดหมวดหมู่ของการสำแดงที่แตกต่างกันเอาไว้มากมายเช่นกัน  การสำแดงนานัปการที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปแล้วมีอะไรบ้าง?  อ่านทีเถิด  (ประการที่สองเป็นการระบุแยกแยะผู้คนที่ชั่วทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ของคนเรา  ประเภทแรกคือรักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ ประเภทที่สองคือรักที่จะเอาเปรียบ ประเภทที่สามคือเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ ประเภทที่สี่คือมีแนวโน้มที่จะแก้แค้น ประเภทที่ห้าคือไม่สามารถระวังปากตนเองได้)  พวกเราได้สามัคคีธรรมกันมาถึงข้อที่ห้าเรื่องการไม่สามารถระวังปากตนเองได้  ไม่ว่าพวกเรากำลังสามัคคีธรรมถึงการสำแดงเฉพาะของความเป็นมนุษย์หรือเรื่องอื่นๆ นั่นย่อมจะส่งผลที่แตกต่างกันไปในผู้คนแต่ละประเภทดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว  หลังจากที่ได้รับฟัง พวกที่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็จะมุ่งเน้นที่การตรวจสอบตนเอง พวกเขาจะเอาสามัคคีธรรมของเราไปประเมินตนเอง และมีการเข้าสู่ความจริงในเชิงรุกและเป็นบวก  อย่างไรก็ตาม พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่น คนลงแรง ก็จะเพียงรับฟังเท่านั้น  พวกเขาไม่ใส่ใจหรือตั้งใจฟัง  บางครั้งพวกเขาอาจถึงกับเผลอหลับไปในขณะที่กำลังฟังคำเทศนาเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาไม่สามารถซึมซับอะไรได้เลย แถมยังคิดว่า “การฟังเรื่องสัพเพเหระพวกนี้มีประโยชน์อะไร?  เสียเวลาเปล่า—ฉันยังทำงานที่คั่งค้างอยู่ไม่เสร็จเลย!”  พวกเขากังวลกับงานที่ต้องลงแรงอยู่ตลอดเวลา  พวกเขากระตือรือร้นและทุ่มเทกับการลงแรง แสดงให้เห็นความจงรักภักดี แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจริง พวกเขากลับไม่สามารถรวบรวมเรี่ยวแรงใดๆ ได้เลย  นี่ย่อมเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้คนเหล่านั้นไม่สนใจความจริง พวกเขาพึงพอใจกับการลงแรงเพียงอย่างเดียว  มีผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังคงรักษาท่าทีเช่นเดิมไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร “ฉันก็แค่ไม่ยอมรับและคัดค้าน  ต่อให้คุณชี้ให้เห็นปัญหาของฉันและเปิดโปงการสำแดง การเผย และอุปนิสัยของฉัน ฉันก็จะยังคงไม่สนใจหรือเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้  ถ้าคนอื่นรู้ว่าฉันกำลังถูกเปิดโปง แล้วจะเป็นอย่างไร?”  พวกเขาก็แค่ขัดขืนและต่อต้านต่อไปอย่างไร้ยางอาย ซึ่งเกินกว่าจะเยียวยาได้  ไม่ว่าอย่างไร การสำแดงของผู้คนประเภทต่างๆ นั้นสามารถจำแนกแยกแยะได้  ความจริง—ไม่ว่าจะสำหรับผู้ที่ไล่ตามเสาะหา ผู้ที่เต็มใจลงแรงแต่ไม่รักความจริง หรือผู้ที่สะอิดสะเอียนและรังเกียจความจริง—ก็ล้วนเป็นดาบสองคม เป็นมาตรฐานการทดสอบ  นั่นสามารถวัดท่าทีของผู้คนที่มีต่อความจริงรวมทั้งเส้นทางที่พวกเขากำลังเดินอยู่ด้วย

ฉ. ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา จนไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกเขา

ก่อนหน้านี้ พวกเราสามัคคีธรรมถึงการแยกแยะการสำแดงทั้งห้าประการของคนชั่วหลากหลายรูปแบบ  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมประเภทที่หกกันต่อไป  ประเภทที่หกก็เป็นการสำแดงของคนชั่วประเภทหนึ่งเช่นกัน หรือแม้ผู้คนจะไม่ถือว่าคนประเภทนี้เป็นคนชั่ว แต่ทุกคนก็ยังคงไม่ชอบพวกเขาอยู่ดี  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  นั่นเพราะคนเหล่านี้ขาดมโนธรรมและเหตุผล ขาดความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และการปฏิสัมพันธ์กับพวกเขานั้นยุ่งยากและลำบากยากเย็นเป็นพิเศษ กระตุ้นให้เกิดความสะอิดสะเอียน  การสำแดงเฉพาะของผู้คนเหล่านี้คืออะไร?  คือการไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา จนไม่มีใครกล้ายุ่งพวกเขา  ในคริสตจักรมีคนเช่นนี้หรือไม่?  แม้จะไม่มากนัก แต่ก็มีอยู่อย่างแน่นอน  แล้วการสำแดงเฉพาะของพวกเขาเป็นอย่างไร?  ภายใต้สภาพการณ์ทั่วไป ผู้คนเหล่านี้สามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติและปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้อย่างเป็นปกติมากทีเดียว เจ้าจะไม่เห็นอุปนิสัยชั่วร้ายใดๆ จากพวกเขา  อย่างไรก็ดี เมื่อการกระทำของพวกเขาขัดต่อหลักธรรมความจริงและถูกตัดแต่ง พวกเขาก็จะระเบิดความโกรธ ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงพร้อมหาข้อแก้ตัวที่ซับซ้อนเข้าข้างตนเอง  เจ้าย่อมตระหนักขึ้นมาทันทีว่าพวกเขาเหมือนเม่นที่เต็มไปด้วยหนาม เหมือนเสือที่แตะต้องไม่ได้  เจ้าจึงคิดว่า “ฉันมีปฏิสัมพันธ์กับคนคนนี้มานานแล้ว ฉันคิดว่าเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดี มีความเข้าใจ และพูดคุยง่าย เชื่อว่าพวกเขายอมรับความจริงได้  ฉันไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะเป็นคนที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา  ในอนาคต ฉันต้องระวังในการปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาให้มากขึ้น ลดการติดต่อกับพวกเขาเว้นแต่เมื่อมีความจำเป็น และรักษาระยะห่างของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วยุพวกเขา”  พวกเจ้าเคยเห็นคนที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาดังกล่าวแล้วหรือยัง?  โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่เข้าใจพวกเขาย่อมรู้ว่าพวกเขาน่ากลัวแค่ไหนและพูดคุยกับพวกเขาด้วยความสุภาพและระมัดระวังเป็นพิเศษ  โดยเฉพาะเวลาพูดคุยกับพวกเขา เจ้าไม่อาจพูดจาทำร้ายพวกเขาได้เป็นอันเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหากับพวกเขาไม่รู้จบ  บางคนกล่าวว่า “คนหยาบกระด้างพวกนี้เป็นใครกันแน่?  พวกเรายังไม่เคยพบเจอพวกเขาเลย”  ถ้าอย่างนั้น พวกเราจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้กันจริงๆ เสียแล้ว  ตัวอย่างเช่น ขณะที่พี่น้องชายหญิงกำลังสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของตน เมื่อมีบางคนเอ่ยถึงสภาวะอันเสื่อมทรามของตนหรือความลำบากยากเย็นส่วนตัว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเห็นอกเห็นใจ เพราะเคยมีประสบการณ์หรือความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันมาก่อน  นี่เป็นเรื่องปกติมาก  หลังจากรับฟังแล้ว คนเราอาจคิดว่า “ฉันก็เคยมีประสบการณ์แบบนั้นเหมือนกัน อย่างนั้นพวกเรามาสามัคคีธรรมหัวข้อนี้ด้วยกันเถิด  ฉันอยากฟังว่าคุณผ่านมาได้อย่างไร  หากสามัคคีธรรมของคุณมีความสว่าง และเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ฉันมีอยู่ เช่นนั้นฉันจะยอมรับและปฏิบัติตามประสบการณ์และเส้นทางของคุณเพื่อดูว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”  เมื่อได้ยินคนอื่นสามัคคีธรรมถึงการรู้จักตนเองและเปิดเผยความเสื่อมทรามและความอัปลักษณ์ของตน มีคนเพียงประเภทเดียวเท่านั้นที่เชื่อว่าเป็นการเปิดโปงและตัดสินเขาทางอ้อม และอดไม่ได้ที่จะตบโต๊ะและระเบิดความโกรธออกมาว่า “ใครบ้างไม่มีความเสื่อมทราม?  ใครบ้างมีชีวิตโดยไม่ได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอก?  ในสายตาของฉัน ความเสื่อมทรามของพวกคุณแย่กว่าของฉันเสียอีก!  พวกคุณมีคุณสมบัติอะไรถึงได้วิพากษ์วิจารณ์ฉันและเปิดโปงฉัน?  เท่าที่ฉันเห็น พวกคุณก็แค่ต้องการหาเรื่องให้ฉันลำบากเพื่อกีดกันฉัน!  เป็นเพียงเพราะฉันมาจากชนบทและไม่สามารถพูดคำหวานเพื่อยกยอปอปั้นพวกคุณทุกคนไม่ใช่หรือ?  เป็นเพราะการศึกษาของฉันไม่สูงเท่าพวกคุณไม่ใช่หรือ?  ขนาดพระเจ้ายังไม่ดูแคลนฉันแล้วพวกคุณมีสิทธิ์อะไรมาดูแคลนฉัน!”  บางคนกล่าวว่า “นี่เป็นการสามัคคีธรรมปกติ ไม่ได้มีคุณเป็นเป้าหมาย  ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหมือนกันไม่ใช่หรือ?  เวลามีใครสามัคคีธรรมบางหัวข้อและเอ่ยถึงสภาวะอันเสื่อมทรามของตนเอง ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนอื่นจะพบว่าตนก็อยู่ในสภาวะเดียวกัน  หากคุณรู้สึกว่าคุณอยู่ในสภาวะเดียวกัน คุณย่อมสามารถสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของตนเองด้วยเช่นกัน”  แต่เขากลับตอบว่า “อย่างนั้นหรือ?  ฉันยอมทนกับการสามัคคีธรรมแบบนั้นจากคนคนเดียวได้ แต่ทำไมพวกคุณสองสามคนถึงรวมหัวกันมารังแกฉัน?  คุณคิดว่าฉันเป็นคนที่ถูกรังแกได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ?”  คำพูดของเขายิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเทอะไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนดังกล่าวมีเหตุผลในการพูดเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  หากเจ้าคิดจริงๆ ว่าหัวข้อสามัคคีธรรมของคนอื่นพุ่งเป้ามาที่เจ้า เจ้าก็สามารถหารือหรือสามัคคีธรรมหัวข้อนี้ โดยถามตรงๆ ว่าเป็นการพุ่งเป้ามาที่เจ้าหรือไม่ แทนที่จะดึงเรื่องพื้นเพที่เจ้าเป็นชาวไร่ชาวนา ระดับการศึกษาต่ำ หรือผู้คนดูแคลนเจ้ามาข้องเกี่ยว  การพูดถึงสิ่งเหล่านั้นมีประโยชน์อะไร?  นั่นเป็นการพร่ำเพ้อถึงเรื่องถูกผิดไม่ใช่หรือ?  นั่นคือการไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าไม่คิดหรือว่าคนเหล่านั้นน่ากลัว?  (คิด)  หลังจากที่เขาตีโพยตีพายเช่นนี้ขึ้นมา ทุกคนก็รู้ว่าเขาเป็นคนประเภทไหน และเมื่อมีการสามัคคีธรรมกันในการชุมนุมครั้งต่อๆ ไป ทุกคนก็ต้องพูดด้วยความระมัดระวังและคอยพิจารณาการแสดงออกของเขาตลอดเวลา  หากสีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นหดหู่ คนอื่นก็เริ่มลังเลที่จะพูด และทุกคนย่อมรู้สึกอึดอัดระหว่างสามัคคีธรรมกันในการชุมนุม  นี่คือข้อจำกัดและการรบกวนที่เกิดจากการไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาของเขาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาเหล่านั้นล้วนไม่มีสำนึกทั้งสิ้น บุคคลเช่นนี้จะไม่ยอมรับความจริงและไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด

คนประเภทที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหานี้มีการสำแดงอีกอย่างหนึ่ง  บางคนพูดในระหว่างการชุมนุมเสมอว่า “ฉันไม่สามารถกระทำการอย่างสุกเอาเผากินได้อีกแล้ว  ฉันจำเป็นต้องมุ่งเน้นที่การปฏิบัติตามความจริง ฉันจำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความเพียบพร้อม  โดยปกติ ฉันเพียรพยายามที่จะเป็นเลิศ  ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ฉันก็ต้องทำให้ดี”  พวกเขาดีแต่พูด แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลาทำหน้าที่ของตัวเอง พวกเขาก็ยังคงกระทำการอย่างสุกเอาเผากิน และหน้าที่ที่พวกเขาทำก็มีปัญหามากมาย ห่างไกลจากการสัมฤทธิ์ผลในการเป็นพยานให้พระเจ้า  เมื่อผู้นำชี้ให้เห็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็โกรธขึ้นมาทันที และกล่าวว่า “ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้  พวกคุณแอบตัดสินฉันลับหลัง หาว่าทักษะเชิงวิชาชีพของฉันแย่  นั่นก็เป็นเพราะพวกคุณทุกคนดูแคลนฉันไม่ใช่หรือ?  ก็แค่ความผิดพลาดเล็กน้อยเท่านั้นเอง  จำเป็นต้องตัดแต่งฉันเช่นนี้เลยหรือ?  อีกอย่าง มีใครไม่ทำความผิดบ้างเล่า?  บอกว่าฉันกระทำการอย่างสุกเอาเผากิน—คุณก็เคยทำงานอย่างสุกเอาเผากินมาก่อนเหมือนกันไม่ใช่หรือ?  คุณมีคุณสมบัติที่จะวิพากษ์วิจารณ์ฉันอย่างนั้นหรือ?  หากฉันไม่ให้ความร่วมมือ พวกคุณคนไหนสามารถแบกรับงานนี้ได้บ้าง?”  เจ้าคิดอย่างไรกับคนเช่นนี้?  พวกเขาไม่ยอมให้คนอื่นชี้ให้เห็นข้อบกพร่องหรือให้คำแนะนำในสิ่งที่พวกเขาทำเลย พวกเขาไม่ยอมรับแม้กระทั่งการตัดแต่งที่ชอบด้วยเหตุผล  ไม่ว่าใครพูดขึ้นมา พวกเขาก็พร้อมที่จะขัดแย้งและต่อต้านคนเหล่านั้น โดยกล่าวถ้อยคำที่ไร้เหตุผล ถึงกับบอกว่าตนถูกดูถูก หรือพวกเขาถูกรังแกเพราะตัวคนเดียวและไม่มีอำนาจ หรืออะไรทำนองนี้  นี่ไม่ใช่การเกเร ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาหรอกหรือ?  มีแม้กระทั่งบางคนที่ละทิ้งหน้าที่หลังจากถูกตัดแต่งโดยกล่าวว่า “ฉันจะไม่ทำหน้าที่นี้อีกแล้ว  ถ้าพวกคุณทำได้ก็เชิญเลย  แล้วฉันจะดูว่าพวกคุณยังทำงานนี้ต่อไปได้ไหมถ้าไม่มีฉัน!”  พี่น้องชายหญิงพยายามเกลี้ยกล่อมพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ฟัง  แม้แต่เมื่อผู้นำและคนทำงานสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะยอมรับ เริ่มวางท่าและละทิ้งหน้าที่ของตน  ในระหว่างการชุมนุม พวกเขาก็บึ้งตึง ไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าและไม่สามัคคีธรรม มาถึงเป็นคนสุดท้ายและกลับเป็นคนแรกเสมอ  เวลากลับ พวกเขาก็กระแทกเท้าและปิดประตูเสียงดัง จนคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไรดี  เมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับผู้คนดังกล่าว พวกเขาก็พร่ำโต้เถียงอย่างเหลวไหลและพูดจาไร้สาระ พวกเขาแสดงความเกกมะเหรกเกเรถึงขนาดขว้างปาข้าวของโดยไม่สนใจเหตุผลเลย  บางคนมีการสำแดงที่รุนแรงยิ่งกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ—หากพี่น้องชายหญิงไม่ทักทายพวกเขา พวกเขาก็เริ่มไม่พอใจและฉวยโอกาสระหว่างการชุมนุมเพื่อโอดครวญว่า “ฉันรู้ว่าพวกคุณทุกคนถูกฉัน  ระหว่างการชุมนุม พวกคุณก็เอาแต่มุ่งเน้นสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและเสวนาถึงความเข้าใจที่ได้จากประสบการณ์ของตนเอง  ไม่มีใครสนใจฉันเลย ไม่มีใครส่งยิ้มให้ฉัน และเวลาฉันกลับก็ไม่มีใครคอยส่ง  พวกคุณเป็นผู้เชื่อแบบไหนกัน?  คนอย่างพวกคุณนี่ช่างไม่มีความเป็นมนุษย์เลยจริงๆ!”  พวกเขาอาละวาดเช่นนี้ในคริสตจักร  พวกเขาเดือดดาลแม้แต่กับเรื่องสัพเพเหระ ระบายความคับข้องใจที่สะสมเอาไว้ออกมา  พวกเขากำลังเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองอย่างชัดเจน แต่พวกเขากลับไม่ทบทวนตนเองและไม่รู้จักตัวเอง และพวกเขาไม่มีความปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือความเปลี่ยนแปลงเลย  พวกเขากลับหันไปหาเรื่องคนอื่น หาข้อแก้ตัวต่างๆ นานาเพื่อปลอบประโลมจิตใจตนเอง—และในระหว่างที่พวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาก็เสาะหาโอกาสเพื่อระบายความคับข้องใจของตน  ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขามุ่งหวังที่จะทำให้ผู้คนสังเกตเห็นและหวาดกลัวตนมากขึ้น เพื่อให้ได้รับความสนใจและมีเกียรติในหมู่ผู้คน  ผู้คนเช่นนี้ช่างสร้างปัญหาเสียจริง!  ไม่ว่าพวกเขาพูดอะไรก็ไม่มีใครกล้าบอกว่า “ไม่” ไม่มีใครกล้าประเมินพวกเขาอย่างผิวเผิน และไม่มีใครกล้าเปิดใจและสามัคคีธรรมกับพวกเขา  ต่อให้สังเกตเห็นข้อบกพร่องและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในตัวพวกเขาก็ไม่มีใครกล้าชี้ให้เห็น  ระหว่างการชุมนุม เมื่อทุกคนสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ส่วนตัวและความเข้าใจที่ตนมีต่อพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาหลีกเลี่ยง “รังแตน” ซึ่งก็คือคนคนนี้อย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะไปยั่วยุคนคนนี้และก่อให้เกิดปัญหา  บางคนระบายออกมาระหว่างการชุมนุมหลังจากรู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมหรือเมื่อเผชิญความไม่พอใจที่บ้านหรือที่ทำงาน  ชัดเจนว่าพวกเขากำลังทำให้พี่น้องชายหญิงเป็นที่ระบายและเป็นกระสอบทรายของตน  เวลาพวกเขาหงุดหงิด พวกเขาก็พรั่งพรูข้อโต้เถียงที่ไร้เหตุผล ร้องไห้ และอาละวาด  แล้วใครจะกล้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาเล่า?  หากพวกเขายอมสามัคคีธรรมด้วย และเกิดมีคำพูดบางคำไปกระทบกระเทือนจิตใจ พวกเขาก็จะขู่ฆ่าตัวตาย  นั่นจะยิ่งเป็นปัญหามากกว่าเดิม  การสามัคคีธรรมปกติย่อมจะใช้ไม่ได้กับคนเช่นนั้น จะสนทนาปกติก็ไม่ได้ จะกันเองเกินไปหรือเย็นชาเกินไปก็ไม่ได้ จะหลีกเลี่ยงก็ไม่ได้ จะใกล้ชิดก็ไม่ได้ และหากพี่น้องชายหญิงไม่แสดงความสุขให้เท่าเทียมกับที่พวกเขามีความสุขก็ไม่ได้ และเมื่อผู้คนเหล่านี้เผชิญความลำบากยากเย็นบางประการ หากพี่น้องชายหญิงไม่ได้เป็นทุกข์เท่ากับที่พวกเขาเป็นทุกข์ นั่นก็จะไม่ได้เช่นกัน  ไม่มีวิธีไหนใช้ได้ผลกับพวกเขา  ไม่ว่าจะทำอะไรก็สามารถทำให้พวกเขาหงุดหงิดและเดือดดาลได้  ไม่ว่าจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่เคยพึงพอใจเลย  แม้แต่คำเทศนาหรือสามัคคีธรรมของเราถึงสภาวะของผู้คนบางคนก็สามารถยั่วยุพวกเขาได้  ยั่วยุพวกเขาอย่างไร?  พวกเขาคิดว่า “นี่เป็นการเปิดโปงข้าพระองค์ไม่ใช่หรือ?  พระองค์ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับข้าพระองค์เลย แล้วข้าพระองค์ก็ไม่เคยบอกอะไรพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่ข้าพระองค์ได้ทำเป็นการส่วนตัว  พระองค์รู้ได้อย่างไร?  ต้องมีใครฟ้องแน่  ข้าพระองค์ต้องหาให้พบว่าใครเคยคิดต่อกับพระองค์ ใครฟ้อง ใครรายงานเรื่องข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ปล่อยไว้แน่!”  คนประเภทนี้ที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาสามารถมีความคิดที่บิดเบี้ยวในทุกเรื่องและไม่สามารถปฏิบัติต่อสิ่งใดอย่างถูกต้องได้เลย  พวกเขาอยู่เหนือเหตุผล!  ความมีเหตุผลนั้นอยู่ไกลพวกเขามาก และพวกเขายิ่งไม่สามารถยอมรับความจริงได้เลย  การที่พวกเขายังอยู่ในคริสตจักรรังแต่จะเป็นภัย ไม่เป็นประโยชน์  พวกเขาเป็นเพียงตัวถ่วง เป็นภาระที่ควรสลัดทิ้งโดยเร็ว พวกเขาควรถูกชำระออกไปในทันที!

ในประเทศจีน การเชื่อในพระเจ้านำไปสู่การกดขี่และข่มเหงโดยพญานาคใหญ่สีแดง และมีคนมากมายเหลือเกินที่ถูกไล่ล่าจนไม่สามารถกลับบ้านได้  อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกข่มเหงและไม่สามารถกลับบ้านได้ บางคนจึงเชื่อว่าตนมีคุณความดีและมีคุณสมบัติเพียงพอแล้ว  พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวเจ้าภาพ และไม่เพียงให้ผู้คนปรนนิบัติพวกเขา—หากมีสิ่งใดขัดใจพวกเขาแม้เพียงเล็กน้อย หรือหากพวกเขาคิดถึงบ้าน พวกเขาก็เริ่มหาเรื่อง และอีกฝ่ายก็ต้องคอยปลอบโยนและอดทนต่อพวกเขา  คนเช่นนี้ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาไม่ใช่หรือ?  มีคนถูกข่มเหงมากมายก่ายกอง และครอบครัวเจ้าภาพก็มีไม่มากนัก  พี่น้องชายหญิงเป็นเจ้าภาพให้คนที่ไม่สามารถกลับบ้านได้ด้วยความรัก  พวกเขาไม่ปล่อยให้คนเหล่านั้นอยู่ข้างถนนและยอมให้เข้ามาอยู่ในบ้านของตน  นี่คือพระคุณของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  ทว่าบางคนกลับไม่อาจซาบซึ้งในพระคุณของพระเจ้า และมองไม่เห็นความรักของพี่น้องชายหญิง  แต่กลับรู้สึกคับข้องใจ และจะถึงขนาดพร่ำบ่นและทำตัวเกกมะเหรกเกเร  ภาวะความเป็นอยู่ในบ้านของพี่น้องชายหญิงนั้น จริงๆ แล้วดีกว่าบ้านของตนเองเสียอีก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่ของการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตน การอาศัยอยู่ในบ้านพี่น้องชายหญิงนั้นดีกว่าอยู่ที่บ้านตนเองเสียด้วยซ้ำ และการมีพี่น้องชายหญิงให้ความร่วมมืออย่างปรองดองก็ดีกว่าการอยู่เพียงลำพังอย่างมากเสมอ  ต่อให้ภาวะความเป็นอยู่ในบางภูมิภาคอาจขาดแคลนไปบ้าง แต่พวกเขาก็ยังคงมีมาตรฐานการดำรงชีวิตในระดับปานกลาง  สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขาสามารถใช้ชีวิตกับพี่น้องชายหญิง สามารถชุมนุม กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าบ่อยครั้ง เข้าใจความจริงมากขึ้นและรู้เป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริงของตน  ดังนั้นบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมสามารถจ่ายราคาและผ่านความทุกข์นั้นมาได้  ผู้คนส่วนใหญ่มีท่าทีที่ถูกต้องต่อเรื่องนี้ สามารถยอมรับความทุกข์จากพระเจ้า โดยตระหนักว่าความทุกข์นั้นมีคุณค่า และเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องผ่านไปให้ได้  พวกเขาสามารถมองความทุกข์ได้อย่างถูกต้อง  แต่คนไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาบางคนที่ดื้อด้านย่อมไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ได้เลย  พวกเขาอาจจะยอมทนได้บ้างเมื่อไม่สามารถกลับบ้านนานหนึ่งสัปดาห์ แต่หลังจากสองสัปดาห์ พวกเขาก็เริ่มอารมณ์เสีย และพอผ่านไปสักหนึ่งหรือสองเดือน พวกเขาก็เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้โดยกล่าวว่า “ทำไมครอบครัวของพวกคุณถึงสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ แล้วฉันกลับไปหาครอบครัวไม่ได้?  ทำไมฉันถึงไม่มีเสรีภาพในขณะที่พวกคุณทุกคนไปมากันได้ตามชอบใจ?”  คนอื่นๆ จึงตอบว่า “นั่นเพราะพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงไม่ใช่หรือ?  พวกเราในฐานะผู้ติดตามพระเจ้าก็ควรอดทนกับความทุกข์เช่นนี้มิใช่หรือ?  ความทุกข์เล็กน้อยเช่นนี้เป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน?  ในสภาพการณ์เช่นนี้ มีอะไรให้เลือกได้บ้าง?  หากคนอื่นอดทนกับความทุกข์นี้ได้ ทำไมคุณจะทำไม่ได้เล่า?”  พวกไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาไม่ต้องการทนทุกข์เลยแม้แต่น้อย  หากพวกเขาถูกจับเข้าคุก พวกเขาย่อมจะกลายเป็นยูดาสอย่างแน่นอน  แค่อาศัยอยู่กับครอบครัวเจ้าภาพนั้นมีความทุกข์มากมายขนาดไหนกัน?  ประการแรก อาหารก็ยังคงเป็นอาหารของมนุษย์ ประการที่สอง ไม่มีใครทำให้เจ้าลำบากใจ และประการที่สาม ไม่มีใครรังแกเจ้า  ก็แค่เจ้ากลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวไม่ได้—คนที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหากลับไม่สามารถยอมรับความทุกข์เล็กน้อยเช่นนั้นได้  เวลาคนอื่นสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาปฏิเสธที่จะรับฟัง แต่กลับพูดสิ่งต่างๆ เช่น “อย่ามาสั่งสอนฉันเรื่องคำสอนที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นเลย  ฉันเข้าใจไม่น้อยไปกว่าคุณหรอก ฉันรู้หมดแล้ว!  แค่บอกฉันว่า เมื่อไหร่ฉันถึงกลับบ้านได้?  เมื่อไหร่พญานาคใหญ่สีแดงจะหยุดจับตามองบ้านฉันเสียที?  เมื่อไหร่ฉันจะกลับบ้านได้โดยไม่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุม?  ถ้าฉันไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ เช่นนั้นฉันก็ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว!”  พวกเขาเล่นใหญ่อีกครั้ง และระหว่างที่พูดพวกเขาก็นั่งลงกับพื้น ถีบขาไปมา—ยิ่งถีบขาพวกเขาก็ยิ่งโมโห และระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญอีกด้วย  คนอื่นๆ จึงบอกว่า “เบาเสียงหน่อยสิ  ถ้าคุณขืนทำแบบนี้ต่อไปแล้วเพื่อนบ้านได้ยินจนรู้ว่ามีคนนอกมาอยู่ที่นี่ ก็จะเป็นการเปิดโปงพวกเราไม่ใช่หรือ?”  พวกเขาตอบว่า “ฉันไม่สน ฉันแค่อยากหาเรื่อง!  พวกคุณกลับบ้านได้ทุกคน แต่ฉันกลับไม่ได้  ไม่เป็นธรรมเลย!  ฉันจะหาเรื่องไปอย่างนี้จนกว่าพวกคุณจะกลับบ้านไม่ได้เหมือนกับฉัน!”  การระเบิดอารมณ์อย่างควบคุมไม่ได้ของพวกเขาไม่บรรเทาลงเลย ความอาฆาตแค้นปรากฏขึ้นมา ไม่มีใครสามารถพูดให้พวกเขาเข้าใจได้เลย ไม่มีใครเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้  เมื่ออารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย พวกเขาก็เงียบเสียงและหยุดก่อเรื่อง  แต่ใครจะไปรู้—พวกเขาอาจจะเกเรและก่อเรื่องขึ้นมาอีกไม่วันใดก็วันหนึ่ง นั่นคือ พวกเขาจะต้องออกไปเดินเล่นและรู้สึกเป็นอิสระ พูดคุยเสียงดังในบ้าน โดยวางแผนกลับบ้านตลอดเวลา  พี่น้องชายหญิงเตือนพวกเขาว่า “การกลับบ้านนั้นเสี่ยงเกินไป มีตำรวจคอยเฝ้าและจับตาดูอยู่”  พวกเขาก็ตอบว่า “ฉันไม่สน ฉันอยากกลับ!  ถ้าพวกเขาจะจับฉัน ก็จับเลย!  จะเป็นอะไรนักหนา?  อย่างแย่ที่สุด ฉันก็แค่จะเป็นยูดาส!”  นี่ไม่ใช่ความบ้าหรอกหรือ?  (ใช่)  พวกเขาพูดอย่างเปิดเผยว่าเขายินดีที่จะเป็นยูดาส  ใครจะกล้าเป็นเจ้าภาพรับรองพวกเขา?  มีใครต้องการเป็นเจ้าภาพรับรองยูดาสอย่างนั้นหรือ?  (ไม่มี)  คนแบบนั้นเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  พี่น้องชายหญิงเป็นเจ้าภาพรับรองเขาในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า  หากความเป็นมนุษย์ของพวกเขาขาดพร่องไปบ้างก็ยังพอผ่อนปรนให้ได้ การไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็ผ่อนปรนให้ได้เช่นกัน  แต่พวกเขากลับสามารถทำร้ายพี่น้องชายหญิงด้วยการหักหลังคริสตจักรและกลายเป็นยูดาส ทำให้ผู้คนมากมายไม่สามารถกลับบ้านหรือทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ—ใครจะแบกรับความรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาเหล่านี้ได้?  เจ้าจะกล้าเป็นเจ้าภาพรับรองศัตรูประเภทนี้หรือ?  การเป็นเจ้าภาพรับรองพวกเขาคือการเชื้อเชิญปัญหามาสู่ตัวเองอย่างแท้จริงมิใช่หรือ?

เมื่อผู้คนที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหากระทำการใดก็คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง และทำสิ่งใดก็ได้ที่ตนพอใจ  คำพูดของพวกเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากข้อโต้แย้งที่ไร้สาระและความเห็นนอกรีต และพวกเขาไม่รับฟังเหตุผลเลย  อุปนิสัยอันชั่วช้าของพวกเขาก็พรั่งพรูออกมา  ไม่มีใครกล้าคบหากับพวกเขา และไม่มีใครยินดีที่จะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาด้วยเกรงว่าจะเป็นการเชื้อเชิญความวิบัติมาสู่ตัวเอง  คนอื่นๆ ย่อมเป็นกังวลเมื่อต้องพูดความในใจกับพวกเขา เกรงว่าหากพูดไม่ถูกใจหรือไม่ตรงกับที่พวกเขาปรารถนาแม้แต่คำเดียว พวกเขาจะฉวยโอกาสนั้นมากล่าวหาตนอย่างอุกอาจ  คนเช่นนั้นเป็นมารไม่ใช่หรือ?  พวกเขาคือปีศาจที่มีชีวิตมิใช่หรือ?  พวกที่มีอุปนิสัยอันชั่วช้าและเหตุผลวิปริตล้วนเป็นปีศาจที่มีชีวิตทั้งสิ้น  และเมื่อใครก็ตามมีปฏิสัมพันธ์กับปีศาจมีชีวิต ก็อาจนำความวิบัติมาสู่ตนเองเพราะความประมาทแม้เพียงชั่วขณะ  หากปีศาจที่มีชีวิตนั้นอยู่ในคริสตจักรย่อมจะเป็นปัญหาใหญ่มิใช่หรือ?  (ใช่)  หลังจากปีศาจที่มีชีวิตเหล่านี้ระเบิดอารมณ์และระบายความโกรธของตนออกมาแล้ว พวกเขาอาจจะพูดจาเหมือนมนุษย์ได้อยู่สักครู่แล้วก็ขอโทษ แต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากนั้น  ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะอารมณ์เสียและอาละวาดอีกเมื่อใด จะพร่ำพูดข้อโต้แย้งที่ไร้สาระอีกเมื่อใด  เป้าหมายการอาละวาดและระบายความโกรธของพวกเขาแตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง เช่นเดียวกับต้นเหตุและเบื้องหลังในการระบายความโกรธของพวกเขา  นั่นคือ ไม่ว่าอะไรก็สามารถทำให้พวกเขาโมโห ไม่ว่าอะไรก็สามารถทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจ และไม่ว่าอะไรก็สามารถทำให้พวกเขาแสดงพฤติกรรมเกกมะเหรกเกเรและอาละวาดออกมาได้  แย่เหลือเกิน!  น่ารำคาญจริงๆ!  พวกคนชั่วที่ฟั่นเฟือนเหล่านี้อาจเสียสติได้ทุกเมื่อ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาทำอะไรได้บ้าง  เราเกลียดชังคนเหล่านี้มากที่สุด  พวกเขาทุกคนควรถูกชำระออกไป—พวกเขาต้องถูกชำระออกไปทั้งหมด  เราไม่ปรารถนาที่จะข้องเกี่ยวกับพวกเขา  พวกเขามีความคิดที่เลอะเลือนและมีอุปนิสัยโหดร้าย เต็มไปด้วยข้อโต้แย้งที่ไร้สาระและวาจาเยี่ยงมาร เมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ระบายสิ่งเหล่านั้นออกมาอย่างหุนหันพลันแล่น  บางคนร้องไห้ระหว่างระบายออกมา บ้างร้องตะโกน บ้างกระทืบเท้า และมีบางคนถึงกับสะบัดศีรษะและโบกไม้โบกมือ  พวกเขาเป็นสัตว์เดรัจฉานโดยแท้ หาใช่มนุษย์ไม่  พ่อครัวแม่ครัวบางคนขว้างหม้อขว้างจานเวลาโมโห บางคนที่เลี้ยงหมูหรือเลี้ยงสุนัขก็เตะและตีสัตว์เหล่านี้เวลาอารมณ์เสีย ระบายความโกรธทั้งหมดของตนลงกับสัตว์เหล่านี้  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนเหล่านี้ก็ตอบสนองด้วยความโกรธเสมอ ไม่เคยสงบใจเพื่อคิดทบทวนและไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นจากพระเจ้า  พวกเขาไม่อธิษฐานหรือแสวงหาความจริง และไม่แสวงหาการสามัคคีธรรมกับผู้อื่นเลย  เมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาก็สู้ทน เมื่อพวกเขาไม่เต็มใจที่จะสู้ทน พวกเขาก็บ้าคลั่ง พรั่งพรูข้อโต้แย้งที่ไร้เหตุผล กล่าวหาและกล่าวโทษผู้อื่น  พวกเขามักจะกล่าวคำพูดต่างๆ เช่น “ฉันรู้ว่าพวกคุณทุกคนมีศึกษาดีและดูแคลนฉัน” “ฉันรู้ว่าครอบครัวของพวกคุณมั่งคั่ง และพวกคุณก็ดูหมิ่นฉันที่จน” หรือ “ฉันรู้ว่าพวกคุณดูหมิ่นฉันเพราะฉันไม่มีรากฐานในความเชื่อ และพวกคุณดูหมิ่นฉันเพราะฉันไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง”  แม้ตระหนักชัดถึงปัญหาอันมากมายของตนเอง แต่พวกเขาก็ไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น และไม่เคยหารือเรื่องการรู้จักตนเองในการสามัคคีธรรมกับผู้อื่นเลย  เมื่อมีการกล่าวถึงปัญหาทั้งหลายของพวกเขา พวกเขาก็เบี่ยงประเด็นและกล่าวหาเท็จเป็นการตอบโต้ ผลักปัญหาและความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับผู้อื่น และถึงกับพร่ำบ่นว่าสาเหตุที่พวกเขามีพฤติกรรมเช่นนั้นก็เพราะผู้อื่นปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม  ดูเหมือนการอาละวาดและการก่อปัญหาอย่างไร้สำนึกนั้นเกิดขึ้นเพราะผู้อื่น ราวกับคนอื่นเป็นฝ่ายผิดทั้งสิ้น พวกเขาเพียงแค่ไม่มีทางเลือกจึงต้องกระทำเช่นนี้ และพวกเขากำลังปกป้องตัวเองอย่างชอบธรรม  เวลาพวกเขาไม่พึงพอใจ พวกเขาก็เริ่มระบายความขุ่นเคืองและพร่ำพูดวาจาเหลวไหล ยืนกรานข้อโต้เถียงที่ไร้เหตุผลราวกับคนอื่นผิดทั้งหมด ราวกับมีแต่พวกเขาที่เป็นคนดี ส่วนคนอื่นเป็นคนเลวทรามต่ำช้า  ไม่ว่าพวกเขาจะอาละวาดหรือพร่ำพูดข้อโต้แย้งที่ไร้เหตุผลมากมายเพียงใด พวกเขาก็ยังเรียกร้องให้ผู้อื่นพูดถึงตนในแง่ดี  แม้เมื่อทำผิด พวกเขาก็ไม่ยอมให้ผู้อื่นเปิดโปงหรือวิพากษ์วิจารณ์พวกเขา  หากเจ้าชี้ให้เห็นแม้แต่ปัญหาเล็กน้อยของพวกเขา พวกเขาก็จะพัวพันถกเถียงกับเจ้าอย่างไม่รู้จบ และเจ้าลืมไปได้เลยว่าจะมีชีวิตที่สงบสุขนับจากนั้น  คนคนนี้เป็นคนประเภทใด?  นี่คือคนที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา และคนที่ทำเช่นนี้คือคนชั่ว

โดยปกติแล้ว คนที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหาอาจไม่ได้กระทำความชั่วหรือทรยศอย่างร้ายแรงใดๆ แต่ทันทีที่มีผลประโยชน์ ชื่อเสียง หรือศักดิ์ศรีมาเกี่ยวข้อง พวกเขาก็ระเบิดความโกรธ อาละวาด และทำตัวเกกมะเหรกเกเรขึ้นมาทันที ถึงขนาดขู่จะฆ่าตัวตาย  บอกเราทีเถิดว่าหากมีคนหยาบช้าที่ไร้สาระและไร้เหตุผลเช่นนี้ปรากฏอยู่ในครอบครัวหนึ่ง คนทั้งครอบครัวย่อมจะต้องทนทุกข์ไม่ใช่หรือ?  ครอบครัวนั้นย่อมจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย อึกทึกไปด้วยเสียงร้องและเสียงโหยหวนจนไม่อาจอาศัยอยู่ได้  คริสตจักรบางแห่งมีคนดังกล่าวอยู่ แม้อาจจะไม่ประจักษ์ชัดเมื่อทุกสิ่งเป็นปกติก็ตาม แต่เจ้าไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขาจะระเบิดอารมณ์และเผยตนเองออกมาเมื่อใด  การสำแดงหลักของผู้คนเช่นนี้ ได้แก่ การอาละวาด พร่ำพูดข้อโต้แย้งที่ไร้เหตุผล และสาบานในที่สาธารณะ เป็นต้น  แม้พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงเดือนละครั้งหรือครึ่งปีต่อหนึ่งครั้ง แต่ก็เป็นก่อให้เกิดความทุกข์ใจและความลำบากยากเย็นอย่างใหญ่หลวง ส่งผลให้ชีวิตคริสตจักรของผู้คนส่วนใหญ่ถูกก่อกวนในระดับที่แตกต่างกัน  หากได้รับการยืนยันแน่ชัดแล้วว่าใครอยู่ในจำพวกนี้ ก็ควรจัดการทันทีและเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร  บางคนอาจกล่าวว่า “ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ทำชั่วใดๆ  ไม่อาจถือได้ว่าพวกเขาเป็นคนชั่ว พวกเราควรผ่อนปรนและอดทนกับพวกเขา”  บอกเราทีเถิดว่า การไม่จัดการกับผู้คนประเภทนั้นเหมาะสมหรือไม่?  (ย่อมไม่เหมาะสม)  เพราะเหตุใด?  (เพราะการกระทำของพวกเขาทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เดือดร้อนและทุกข์ใจอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังก่อให้เกิดการรบกวนชีวิตคริสตจักรอีกด้วย)  จากผลลัพธ์นี้ ชัดเจนว่าต่อให้พวกที่ก่อกวนชีวิตคริสตจักรจะไม่ใช่คนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ควรให้อยู่ในคริสตจักรต่อไป  นั่นก็เพราะผู้คนเหล่านั้นไม่รักความจริงแต่รังเกียจความจริง และไม่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีหรือได้ยินคำเทศนามากี่ปีแล้วก็ตาม พวกเขาก็จะไม่ยอมรับความจริง  เมื่อพวกเขาทำสิ่งที่ไม่ดีหรือถูกตัดแต่ง พวกเขาก็อาละวาดและพร่ำพูดคำพูดเหลวไหลออกมาเสมอ  แม้เมื่อใครบางคนสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่ยอมรับ  ไม่มีใครสามารถใช้เหตุผลกับพวกเขาได้  แม้เมื่อเราสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา ภายนอกพวกเขาอาจนิ่งเงียบแต่ในใจกลับไม่ยอมรับ  เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง พวกเขาก็ยังคงปฏิบัติตนเหมือนที่เคยทำเสมอ  พวกเขาไม่ฟังวจนะของเรา ดังนั้นพวกเขายิ่งจะไม่ยอมรับคำแนะนำของพวกเจ้า  แม้ผู้คนเหล่านี้อาจไม่ได้กระทำชั่วอย่างร้ายแรง แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย  เมื่อพิจารณาจากแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา พวกเขาไม่เพียงไม่มีมโนธรรมและสำนึก แต่พวกเขายังไร้เหตุผล จงใจสร้างปัญหา และไม่ยอมรับเหตุผลอีกด้วย  คนเช่นนั้นสามารถสัมฤทธิ์ความรอดจากพระเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน!  พวกที่ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อยคือผู้ไม่เชื่อ พวกเขาเป็นข้ารับใช้ของซาตาน  เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นดังที่ตนต้องการ พวกเขาก็อาละวาด พร่ำพูดข้อโต้เถียงที่ไร้เหตุผลอย่างต่อเนื่อง และไม่รับฟังความจริงไม่ว่าจะสามัคคีธรรมกันอย่างไร  ผู้คนเช่นนั้นไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา เป็นพวกมารและเหล่าวิญญาณชั่วอย่างแท้จริง พวกเขาแย่ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก!  พวกเขาเป็นคนวิกลจริตที่ขาดสำนึกที่ถูกต้อง และไม่มีวันที่จะกลับใจอย่างแท้จริงได้เลย  ยิ่งพวกเขาอยู่ในคริสตจักรนานเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ยิ่งพวกเขาเรียกร้องอย่างไร้เหตุผลต่อคริสตจักร พวกเขาก็ยิ่งก่อให้เกิดการรบกวนและความเสียหายต่อชีวิตคริสตจักร  เรื่องนี้ย่อมส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและความคืบหน้าตามปกติของงานคริสตจักร  ความเสียหายที่พวกเขาก่อให้เกิดกับงานของคริสตจักรก็ไม่น้อยไปกว่าคนชั่วเลย พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรเสียแต่เนิ่นๆ  บางคนกล่าวว่า “พวกเขาก็แค่เกเรไปหน่อยไม่ใช่หรือ?  พวกเขายังไม่ถึงขั้นชั่วร้าย ไม่ดีกว่าหรือหากจะปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความรัก?  หากพวกเราเก็บพวกเขาไว้ บางทีพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงและได้รับการช่วยให้รอด”  เราขอบอกพวกเจ้าว่า เป็นไปไม่ได้!  ไม่มีคำว่า “บางที” ในเรื่องนี้—ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน  นั่นก็เพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริง นับประสาอะไรกับการยอมรับความจริง พวกเขาไร้มโนธรรมและสำนึก กระบวนการความคิดของพวกเขาผิดปกติ และพวกเขาถึงขนาดไม่มีสามัญสำนึกขั้นพื้นฐานที่สุดที่จำเป็นต่อการประพฤติปฏิบัติตน  พวกเขาคือผู้คนที่มีสำนึกบกพร่อง  พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเช่นนั้นให้รอด  แม้พวกที่มีความคิดที่เป็นปกติกว่าเล็กน้อยและมีขีดความสามารถที่ดีกว่า หากพวกเขาไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย ย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด นับประสาอะไรกับพวกที่สำนึกบกพร่อง  การยังคงปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นด้วยความรักและความหวังย่อมเป็นความโง่เขลาและไม่รู้ความไม่ใช่หรือ?  เราขอบอกพวกเจ้าตอนนี้เลยว่า การชำระพวกที่ไร้เหตุผล จงใจสร้างปัญหา และไม่ยอมรับเหตุผลออกไปจากคริสตจักรเป็นเรื่องถูกต้องอย่างยิ่ง  เป็นการขุดรากถอนโคนการคุกคามคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  หากมีคนที่ไม่มีสำนึกอยู่ในคริสตจักรใด ประชากรที่พระเจ้าเลือกสรรควรรายงาน และเมื่อผู้นำและคนทำงานได้รับรายงานเหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็ควรจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างทันท่วงที  นี่คือหลักธรรมในการจัดการกับผู้คนประเภทที่หก—พวกที่ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา

ช. มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรมอย่างสม่ำเสมอ

ประเภทที่เจ็ดคือผู้ที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกกล่าวถึงอยู่เป็นประจำ  แม้การสำแดงของความเป็นมนุษย์จะไม่ชั่วร้ายนัก—ไม่มีการยุยงให้แตกแยก หรือการกระทำชั่วและก่อให้เกิดการรบกวน—แต่พวกเขากลับมีลักษณะร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ การมีปัญหาและเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของพวกเขากับเพศตรงข้ามเสมอ  ไม่ว่าจะมีโอกาสหรือไม่ก็ตาม ปัญหาเช่นนั้นก็เกิดขึ้นกับพวกเขาตลอดเวลา และหากไม่มีโอกาส พวกเขาก็สร้างโอกาสขึ้นมา เพื่อให้เกิด “เรื่องราว” แบบนี้ขึ้นมาจนได้  ไม่ว่าในสภาพการณ์ใด ไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หรือคนคนนั้นจะอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงใด เหตุการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นกับพวกเขาอยู่เป็นระยะ  เหตุการณ์แบบไหนบ้าง?  พวกเขาคบหาดูใจใครบางคน หรือต้องการใกล้ชิดใครบางคน หรือเกิดความรู้สึกชอบพอใครบางคน หรือหมายตาใครบางคน และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  พวกเขาไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติและทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ เพราะตกอยู่ในอิทธิพลของความอยากที่เปี่ยมไปด้วยตัณหาตลอดเวลา  นั่นคือ ในสถานการณ์ทั่วไปซึ่งผู้คนปกติจะไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นเหล่านั้น แต่พวกเขากลับข้องเกี่ยวอยู่เป็นประจำ  ไม่จำเป็นต้องมีสภาพการณ์พิเศษหรือจำเป็นต้องให้ใครสร้างโอกาสให้พวกเขา เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ  หลังจากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด กลุ่มคนหรือใครคนใดคนหนึ่งต้องจ่ายราคาให้เสมอ  พวกเขาต้องจ่ายราคาอะไรบ้าง?  การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้รับผลกระทบ งานของคริสตจักรล่าช้าและถูกขัดขวาง คนหนุ่มสาวบางคนว้าวุ่นใจและตกอยู่ในการทดลอง รวมทั้งสูญเสียความสนใจต่อการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตน บางคนก็ถึงขนาดสูญเสียหน้าที่หรือละทิ้งหน้าที่ของตนไปเลย  ผู้คนที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรมนั้นสร้างปัญหาอย่างยิ่ง  มีสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามมารุมล้อมพวกเขาในทุกๆ ที่ ใกล้ชิดพวกเขา หว่านเสน่ห์ และถึงกับพูดจาหยอกเย้ากัน  แม้อาจจะยังไม่มีปัญหาร้ายแรงในแก่นแท้ธรรมชาติเกิดขึ้น แต่พวกเขากลับก่อกวนสภาวะที่เป็นปกติของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างรุนแรงระหว่างที่คนเหล่านั้นทำหน้าที่ของตน  ไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด พวกเขาก็สร้างความเดือดร้อนและทำการรบกวนผู้อื่น ก่อกวนงาน และก่อกวนคริสตจักร ถึงกับล่อลวงสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามที่ตนรู้สึกว่าดึงดูดใจในทุกโอกาส และสานสัมพันธ์กับคนเหล่านั้น  นี่คือการก่อความรำคาญอย่างใหญ่หลวงจริงๆ  เมื่อพวกเขาหลงรักใครสักคน คนคนนั้นย่อมประสบกับความโชคร้าย ไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าหรือทำหน้าที่ของตนอย่างเป็นปกติอีกต่อไป  ผลที่ตามมาเกินกว่าจะคาดคิด  คนคนนั้นไม่สามารถอยู่ได้โดยขาดการติดต่อ หรือไม่ได้พบเจอคนที่ล่อลวงตน และในขณะที่พวกเขายุ่งกับการทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็ไม่สามารถแต่งงานหรือลงหลักปักฐานได้ และความสัมพันธ์ดังกล่าวยังคงตัดไม่ขาด  สุดท้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?  พวกเขาเริ่มทนทุกข์อย่างแสนสาหัส ด้วยความเจ็บปวดยิ่ง!  หากพวกเขาสู้ทนจนถูกลงโทษในความวิบัติ ความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดของพวกเขาย่อมพังทลายลง  บางคนก้าวล่วงเพียงครั้งเดียวและไม่กลับใจหลังจากถูกตัดแต่ง แต่กลับก้าวล่วงเป็นครั้งที่สองหรือกระทั่งเป็นครั้งที่สาม มีความสัมพันธ์กับคนสามหรือสี่คนในระยะเวลาสองปีหรือสามปี ซึ่งถือเป็นการก่อกวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและชีวิตคริสตจักร รวมทั้งทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรรังเกียจพวกเขา  เรื่องนี้ย่อมทิ้งรอยด่างไว้กับพวกเขาซึ่งพวกเขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

บางคนมีสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามมาติดพัน คอยอยู่รายรอบพวกเขาตลอดเวลาไม่ต่างจากแมลงวัน เพราะพวกเขาค่อนข้างหน้าตาดี มีความสง่างามกับพรสวรรค์และความสามารถพิเศษในระดับหนึ่ง หรือรับผิดชอบหน้าที่สำคัญบางอย่าง  บางคนคอยนำอาหารมาให้ บางคนปูที่หลับที่นอนให้ บางคนซักผ้าให้ บางคนซื้ออาหารเสริมกับเครื่องสำอางและมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้ เป็นต้น  พวกเขาต้อนรับผู้มาเยือนทุกคน รู้อยู่แก่ใจว่าพฤติกรรมดังกล่าวของคนเหล่านี้ไม่เหมาะสมแต่ก็ไม่เคยปฏิเสธ กลับล่อลวงสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามหลายคนในเวลาเดียวกัน  ผู้คนเหล่านั้นต่างแย่งชิงกันเองเพื่อจะได้มีโอกาสรับใช้พวกเขา แข่งขันกันจนกลายเป็นอิจฉากันเอง ในขณะที่คนมักมากในกามกลับเพลิดเพลินกับความรู้สึกเช่นนี้ โดยเชื่อว่าตนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง  ในความเป็นจริง เรื่องของชายหญิงนั้น พวกผู้ใหญ่ย่อมเข้าใจกันดี กระทั่งเยาวชนบางคนก็ยังเข้าใจ มีแต่คนเขลา คนที่บกพร่องทางสติปัญญา หรือป่วยทางจิตเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ  เหตุใดคนเหล่านี้จึงแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อรับใช้หรือเอาใจสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้าม?  เป็นความต้องการล่อลวงทั้งสิ้นใช่หรือไม่?  ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาตรงๆ ทุกคนก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  เป็นสิ่งที่ผู้คนตระหนักดี เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างชัดเจน ทว่าคนคนนั้นกลับไม่ปฏิเสธ แต่กลับยอมรับอย่างเงียบๆ—แบบนี้เรียกว่าอะไร?  นั่นเรียกว่าหว่านเสน่ห์  เขารู้ว่านี่คือการล่อลวงระหว่างชายหญิง แต่ความตื่นเต้นที่เกิดจากการสนองความอยากที่เปี่ยมไปด้วยตัณหาของเนื้อหนังทำให้เขาไม่ต้องการปฏิเสธ  เขารู้สึกว่าความรู้สึกเช่นนี้คือความสุขสำราญอย่างหนึ่ง ความสุขสำราญที่ดียิ่งกว่าอาหารโอชะใดๆ ในโลกเสียอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธ  เมื่อคนคนนั้นไม่ปฏิเสธ พวกที่ล่อลวงก็ยิ่งมีความสุข คิดว่าตนเป็นผู้ที่คนคนนั้นชอบ เพลิดเพลินกับสถานการณ์นั้นอยู่ในใจ  และคนคนนั้นก็คิดว่าตราบใดที่ไม่เกิดความสัมพันธ์อันลึกซึ้งก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง ความมักมากในกามในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อยิ่งแย่กว่านี้มาก อย่างมากที่สุด นี่ก็ถือว่าเป็นการล่อลวง เหมือนกับการคบหาดูใจกันปกติ  แต่การคบหาดูใจกันสมควรเป็นเช่นนี้หรือ?  วันนี้กับคนหนึ่ง พรุ่งนี้กับอีกคนหนึ่ง คบหาดูใจและล่อลวงใครก็ได้แบบไม่ยั้งคิด  ไม่ว่าจะไปที่ไหน พวกมักมากในกามเช่นนั้นก็ให้ความสำคัญกับการปลดปล่อยความอยากในกำหนัดของตน อวดตัว และล่อลวง  ยิ่งพวกเขาล่อลวงผู้คนมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น  สุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น?  หลังจากโอ้อวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พี่น้องชายหญิงก็แยกแยะพฤติกรรมของพวกเขาและร่วมกันเขียนจดหมายถึงผู้นำระดับสูงขึ้นไป  การสอบสวนพิสูจน์ว่าคำกล่าวอ้างของพี่น้องชายหญิงเป็นจริง แล้วคนที่มักมากในกามก็ถูกชำระออกจากคริสตจักร  เห็นไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?  เส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาย่อมจบลงเพียงเท่านั้นมิใช่หรือ?  จุดจบของพวกเขาถูกเผยให้เห็นแล้ว  การกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาซึ่งผู้คนพบว่าเกินทนนั้น ยิ่งน่าชิงชังสำหรับพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ  พฤติกรรมที่ผู้คนเหล่านี้แสดงออกไม่ได้แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ถูกควรระหว่างผู้คน และไม่ได้สะท้อนความต้องการปกติของมนุษย์  การกระทำของพวกเขาสามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดเดียวว่า “ความมักมากในกาม”  ความมักมากในกามหมายถึงอะไร?  หมายถึงการมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามโดยไม่ยั้งคิด ล่อลวงผู้อื่นตามอำเภอใจอย่างไร้ความรับผิดชอบ ยั่วยวนและคุกคามสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้าม  นี่เป็นการเล่นกับตัณหา และทำเช่นนั้นโดยไม่คำนึงถึงราคาที่ต้องจ่ายและผลที่ตามมา  หากท้ายที่สุดมีใครบางคนติดเบ็ดและมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับพวกเขา พวกเขากลับไม่ยอมรับพร้อมกล่าวว่า “ฉันแค่ล้อเล่น  คุณคิดจริงจังหรือนี่?  ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักนิด  คุณคิดมากเกินไป”  นี่คือมารที่กำลังทดลองผู้คนอยู่ไม่ใช่หรือ?  หลังจากทดลองคนคนหนึ่ง เขาก็มองหาเป้าหมายต่อไป เพื่อล่อลวงคนอื่นๆ  เขาช่างน่ารังเกียจและเลวร้ายเหลือเกิน!  หลังจากล่อลวงใครบางคนแล้ว เขาก็ปฏิเสธที่จะยอมรับ  หากใครบางคนถูกคนเช่นนี้ชักพาให้หลงผิดและเข้าไปพัวพันด้วย ย่อมน่าขยะแขยงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนที่ล่อลวงผู้อื่นโดยไม่ยั้งคิดนั้นน่าเกลียดใช่หรือไม่  (ใช่)  พระนิเวศของพระเจ้าได้กล่าวไว้ตั้งแต่เริ่มแรกว่า หากคนคนหนึ่งถึงวัยที่จะแต่งงานและเป็นผู้ใหญ่ พระนิเวศของพระเจ้าไม่ต่อต้านการคบหาดูใจที่เป็นปกติของพวกเขา หรือต่อต้านการแต่งงานและการใช้ชีวิตร่วมกันในหนทางปกติ พระนิเวศของพระเจ้าอนุญาตและให้เสรีภาพแก่พวกเขาในการทำเช่นนั้น  อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขหลายประการคือ ไม่อนุญาตให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม ล่อลวงและหว่านเสน่ห์โดยไม่ยั้งคิด และไม่อนุญาตให้คุกคามเพศตรงข้ามตามอำเภอใจ  พระนิเวศของพระเจ้าไม่จำกัดการคบหาดูใจ แต่ไม่อนุญาตให้มีการล่อลวงโดยไม่ยั้งคิด  การล่อลวงโดยไม่ยั้งคิดหมายความว่าอย่างไร?  หมายถึงการคุกคามสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามคนใดก็ตาม และหลังจากทำเช่นนั้นแล้วก็ไม่ยอมรับว่าตนทำ  ผู้คนที่พวกเขาคุกคามก็ไม่ใช่รักแท้ของพวกเขา พวกเขาไม่เจตนาที่จะมีความสัมพันธ์ในระยะยาวหรือเจตนาที่จะแต่งงาน แต่ปรารถนาเพียงจะล่อลวง เล่นสนุกกับอีกฝ่าย หาความเพลิดเพลินจากอีกฝ่าย เสาะหาความตื่นเต้น มีความสัมพันธ์กับคู่รักหลายๆ คน ทำตัวเป็นคนเจ้าชู้—เช่นนี้เรียกว่าความมักมากในกาม  ในคริสตจักร ไม่อนุญาตให้มีการมักมากในกาม และหากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็ควรจัดการกับพวกที่เกี่ยวข้องตามหลักธรรมของการเอาตัวผู้คนออกไป  แน่นอนว่า ในฝ่ายข่าวประเสริฐ สภาพการณ์เช่นนั้นไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ว่าพวกเขามาจากคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาหรือจากคริสตจักรทั่วไป  หากใครสักคนแสร้งประกาศข่าวประเสริฐเพื่อล่อลวงผู้อื่นโดยไม่ยั้งคิด โดยเลือกเฉพาะสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามมาร่วมมือกัน หรือเพียงประกาศข่าวประเสริฐให้กับสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้าม โดยถือโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควร นี่ย่อมเป็นการขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจข่าวประเสริฐของพระเจ้า  ผู้นำและคนทำงานต้องชำระผู้คนเหล่านั้นออกไปในทันที

เพื่อค้นหาสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามและเพื่อมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม บางคนไม่คำนึงถึงอายุและไม่มีขีดจำกัดเรื่องอายุ  พวกเขาเพียงพยายามล่อลวงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ละอายเลยแม้แต่น้อย  บางคนไม่เพียงสนองความอยากที่เปี่ยมไปด้วยตัณหาของเนื้อหนังของตนในการล่อลวงเพศตรงข้าม—พวกเขาถึงกับจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายออกค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของตน ซื้อสิ่งต่างๆ ให้ และอื่นๆ  หากพวกเจ้าพบคนแบบนั้นหรือพบใครบางคนรายงานเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ควรจัดการกับพวกเขาทันที  วิธีเดียวที่จะแก้ไขได้คือเอาตัวคนเหล่านี้ออกไป เอาตัวพวกเขาออกไปเป็นการถาวร  นี่เป็นเพราะผู้คนที่มีประเด็นปัญหาเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่ปัญหาชั่วคราวอย่างแน่นอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่แต่งงานแล้ว—ถึงแม้จะมีคู่ครองอยู่ที่บ้าน พวกเขาก็ยังคงมุ่งเป้าไปที่เพศตรงข้ามภายใต้ข้ออ้างของการประกาศข่าวประเสริฐ  พวกเขามองหาคนแบบไหนก็ได้ ไม่ว่ารวยหรือจน และหากพวกเขาพบใครบางคนที่พวกเขาชอบ พวกเขาอาจถึงกับหนีตามกันไป ถึงขนาดไม่ประกาศข่าวประเสริฐอีกเลย—นั่นคือ ไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป  หากพบผู้คนดังกล่าวได้แต่เนิ่นๆ ก็ควรเอาตัวพวกเขาออกจากบรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐเป็นการถาวรโดยเร็ว ไม่ให้โอกาสพวกเขาอีก และไม่จำเป็นต้องเฝ้าสังเกตอีกต่อไป  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “สำหรับบางคน ชีวิตเป็นเรื่องยาก  ถ้าพวกเขาล่อลวงเพศตรงข้ามบางคนเพื่อสร้างครอบครัว และอีกฝ่ายก็สามารถเชื่อในพระเจ้าและเกื้อหนุนพวกเขาได้ นั่นย่อมจะเป็นสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?”  เราขอบอกเจ้าว่าจำเป็นต้องเอาตัวคนเช่นนั้นออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อสร้างชีวิตครอบครัวเลย แต่เพื่อมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม ทำไมเราจึงมั่นใจนัก?  หากพวกเขาไม่ใช่ประเภทที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม หลังจากมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้นต่อไป อีกทั้งจะเห็นว่าพฤติกรรมเช่นนั้นน่ารังเกียจ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาแต่งงานแล้ว  กระแสนิยมต่างๆ ทั่วทั้งโลกในทุกวันนี้ล้วนเลวร้ายและไร้ศีลธรรม ผู้คนหมกมุ่นในตัณหาและแข่งขันกันว่าใครสามารถล่อลวงสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามได้มากกว่ากันโดยไม่จำเป็นต้องมีการยับยั้งชั่งใจใดๆ เพราะสังคมนี้และมวลมนุษย์เหล่านี้ไม่กล่าวโทษหรือเย้ยหยันการกระทำเหล่านี้  ดังนั้นผู้คนจึงคิดว่าหากพวกเขาสามารถหาเงินได้จากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรมและขายเนื้อหนังของตน นั่นจะเป็นเครื่องหมายแสดงทักษะหรือความสามารถ  พวกเขามองว่านั่นเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ  อย่างไรก็ตาม หลังจากมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ทัศนะของผู้คนในเรื่องเหล่านี้ย่อมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง  พวกเขาพบหนทางที่ถูกต้องที่จะรับมือกับความอยากในกำหนัดของเนื้อหนัง ซึ่งสิ่งแรกและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการยับยั้งชั่งใจ  คนเราสามารถฝึกการยับยั้งชั่งใจได้อย่างไร?  ผู้คนจำเป็นต้องรู้จักอายและมีสำนึกของความละอาย  นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ทุกคนมีความอยากที่เปี่ยมไปด้วยตัณหา แต่ผู้คนจำเป็นต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจตนเอง มีสำนึกแห่งความละอาย  ต่อให้พวกเขามีความคิดประเภทนี้อยู่บ้าง พวกเขาก็ควรยับยั้งชั่งใจตนเองเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้า รวมทั้งมีมโนธรรมและสำนึก  พวกเขาต้องไม่ทำตามความคิดที่ไม่ถูกไม่ควรในความรู้สึกนึกคิดของตน และยิ่งไม่ควรหมกมุ่นในความคิดเหล่านั้น  พวกเขาควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้  ต่อให้พวกเขาเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ไม่เข้าใจความจริงก็ตาม พวกเขาก็ยังควรประเมินตนเองตามมาตรฐานขั้นพื้นฐานที่สุดของศีลธรรมมนุษย์  หากเจ้าขาดแม้กระทั่งการยับยั้งชั่งใจในระดับนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ไร้ความเป็นมนุษย์ที่ปกติ รวมทั้งมโนธรรมและสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  สัตว์ทุกชนิดเชื่อฟังคำสั่งบางอย่างและทำตามกฎเกณฑ์ในแง่มุมนี้ ไม่ทำอะไรโดยประมาท ในฐานะมนุษย์ ผู้คนยิ่งไม่ควรมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตนโดยประมาท และควรมีความยับยั้งชั่งใจมากมายยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ  หากเจ้าขาดแม้แต่ความยับยั้งชั่งใจและการควบคุมตนเองในระดับนี้ แล้วเจ้าหวังที่จะแสวงหาและปฏิบัติความจริงได้อย่างไร?  หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะแก้ไขตัณหาอันเลวร้ายของตนเอง แล้วเจ้าจะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้อย่างไร?  ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขธรรมชาติที่ไม่ยอมรับและทรยศพระเจ้าของเจ้าไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะจัดการกับความอยากที่เปี่ยมไปด้วยตัณหาของเนื้อหนัง แล้วเจ้าหวังที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้อย่างไร?  ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้เลย  เจ้าย่อมจะไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้

บางคนมองหาโอกาสที่จะคบหาดูใจในระหว่างประกาศข่าวประเสริฐอยู่เสมอ และเหตุการณ์เช่นนั้นก็เกิดขึ้นเป็นประจำ  พวกที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเป็นนิสัยพร้อมทั้งละเลยงานที่ถูกควรของตนได้ถูกเอาตัวออกไปและถูกจัดการไปแล้ว ในขณะที่พวกที่กระทำผิดเป็นครั้งคราวได้รับการตักเตือน  เมื่อบุคคลที่มีอุปนิสัยอันเลวร้ายเหล่านี้พบสภาพการณ์ที่เหมาะสมและพบเจอใครบางคนที่พวกเขาถือว่าเป็นคนรัก พวกเขาก็ตกอยู่ในการทดลอง  เจตนาของพวกเขาก็เพื่อให้ได้รับพรจากการเชื่อในพระเจ้าจึงหายไปท่ามกลางตัณหาอันเลวร้ายของตน  ทันทีที่พวกเขาเข้าสู่ความสัมพันธ์ฉันชู้สาว พวกเขาก็ละเลยสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด ถึงขนาดละทิ้งเจตนาที่จะได้รับพรของตน และไล่ตามไขว่คว้าเพียงความสุขของเนื้อหนัง  หลังจากการก้าวล่วงครั้งหรือสองครั้ง พวกเขาอาจรู้สึกกล่าวโทษตนเองหรือทุกข์ใจอยู่บ้าง แต่หลังจากสามหรือสี่ครั้ง นั่นก็กลายเป็นความมักมากในกาม  ทันทีที่ความมักมากในกามหยั่งรากลง พวกเขาย่อมไม่รู้สึกถึงการกล่าวโทษตนเองหรือทุกข์ใจอีกต่อไปเพราะชั้นของความละอายซึ่งเป็นขีดต่ำสุดในความเป็นมนุษย์ของคนเราได้ถูกทำลายลงแล้ว  พวกเขาไม่ถือว่าความมักมากในกามเป็นเรื่องเรื่องน่าละอายอีกต่อไป ดังนั้นจึงเกิดความมักมากในกามอย่างต่อเนื่อง  พวกที่สามารถมีส่วนร่วมในความมักมากในกามอย่างต่อเนื่องคือผู้ที่หมกมุ่นในความอยากที่เปี่ยมไปด้วยตัณหาของตน และไม่แสดงให้เห็นการยับยั้งชั่งใจใดๆ  บุคคลเช่นนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในคริสตจักร และต้องถูกชำระออกไป อย่ายอมตามใจพวกเขาหรือหาข้ออ้างใดๆ เพื่อเก็บพวกเขาเอาไว้  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ขาดผู้คนที่จะประกาศข่าวประเสริฐ ไม่จำเป็นต้องให้พวกตัณหากลับเหล่านี้มาเติมเต็มที่ว่าง เพราะนี่เป็นการนำความเสื่อมเสียมาสู่พระนามของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น หากใครบางคนรายงานหรือหากเจ้าค้นพบด้วยตัวเองว่ามีบุคคลเช่นนั้นในฝ่ายประกาศข่าวประเสริฐ เจ้าควรรู้ว่าจะทำอย่างไร  หากผู้เชื่อใหม่บางคนมีประเด็นปัญหานี้ เช่นนั้นเจ้าก็ควรสามัคคีธรรมความจริงเกี่ยวกับประเด็นนี้เสียก่อน เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าอะไรคือหลักธรรมและท่าทีของคริสตจักรที่มีต่อผู้ที่กระทำการที่เป็นความมักมากในกาม  อย่างน้อยที่สุด พวกเขาควรมีการตักเตือนในเบื้องต้นเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาตกอยู่ในความมักมากในกามและไม่ให้ใช้การประกาศข่าวประเสริฐเป็นโอกาสในการทำพฤติกรรมเช่นนั้น ท้ายที่สุดก็ตำหนิผู้ที่ดูแลรับผิดชอบหรือผู้นำและคนทำงานว่าไม่สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้องตั้งแต่แรก  เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ก่อนที่คนบางคนจะตระหนักถึงท่าทีของพระนิเวศของพระเจ้าต่อบุคคลหรือเรื่องราวดังกล่าว เมื่อผู้คนไม่กระจ่างในประเด็นปัญหาเหล่านี้ ผู้นำและคนทำงานต้องสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมเหล่านี้กับพวกเขาอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาเพื่อให้พวกเขารู้ว่าเรื่องเหล่านี้มีธรรมชาติและพฤติกรรมเช่นใด  หลังจากได้สามัคคีธรรมถึงหลักธรรมเหล่านี้อย่างครบถ้วนแล้ว หากพวกเขายังคงยึดติดกับครรลองของตนเองและยืนกรานในหนทางของตนแม้จะรู้จักหลักธรรมเหล่านี้แล้วก็ตาม พวกเขาก็ต้องถูกเอาตัวออกไป  หากบุคคลเช่นนั้นปรากฏตัวในคริสตจักร โดยมักจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยการล่อลวงผู้อื่นหรือมักจะก่อการคุกคามสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาย่อมมีปัญหาอย่างแน่นอน  แม้ไม่เคยมีปัญหาที่ร้ายแรงเกิดขึ้นก็ตาม ผู้นำและคนทำงานควรตักเตือนและจัดการบุคคลเหล่านี้ หรือเอาพวกเขาออกจากสถานที่ที่ผู้คนทำหน้าที่ของตน ในกรณีร้ายแรง พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไปโดยตรง  นี่คือบทสรุปการสามัคคีธรรมของพวกเราถึงประเภทที่เจ็ดเกี่ยวกับการสำแดงความเป็นมนุษย์ของคนเรา

18 ธันวาคม ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (25)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (27)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger