หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (25)
ประการที่สิบสี่: แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป (ภาคที่สี่)
หลักและมาตรฐานสำหรับการแยกแยะคนชั่วนานาประเภท
วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานกันต่อ นั่นคือ “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป” เมื่อไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงแง่มุมหลากหลายที่ผู้นำและคนทำงานควรแยกแยะ รวมไปถึงความจริงประการสำคัญที่พวกเขาควรเข้าใจขณะทำงานนี้ กล่าวคือ พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงวิธีแยกแยะคนชั่วทุกรูปแบบ คนชั่วทุกรูปแบบนั้นถูกนิยามไว้ว่าอย่างไร? พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าด้วยการแอบอ้างว่าเชื่อในพระเจ้า แต่กลับไม่ยอมรับความจริง ทั้งยังก่อกวนงานของคริสตจักรอีกด้วย ผู้คนเช่นนั้นล้วนถูกจัดอยู่ในจำพวกคนชั่ว พวกเขาคือคนที่คริสตจักรควรขับไล่หรือเอาตัวออกไป กล่าวคือ พวกที่ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในคริสตจักรนั่นเอง พวกเราจำแนกและชำแหละคนชั่วทุกรูปแบบผ่านหลักเกณฑ์หลักสามข้อ หลักเกณฑ์สามข้อนี้มีอะไรบ้าง? ข้อแรกคือจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา ข้อที่สองคือความเป็นมนุษย์ของคนเรา—ชำแหละความเป็นมนุษย์ของคนเราเพื่อแยกแยะและดูให้แน่ชัดว่าพวกเขาอยู่ในหมู่คนที่คริสตจักรควรเอาตัวออกไปหรือไม่ หลักเกณฑ์ข้อที่สามคืออะไร? (ท่าทีที่คนเรามีต่อหน้าที่ของตน) หลักเกณฑ์ข้อที่สามคือท่าทีที่คนเรามีต่อหน้าที่ของตน หลักเกณฑ์ข้อแรกได้มีการสามัคคีธรรมไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนหลักเกณฑ์ข้อที่สอง—ความเป็นมนุษย์ของคนเรา—ก็สามัคคีธรรมไปแล้วสองประเด็น ประเด็นแรกคืออะไร? (การรักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ) แล้วประเด็นที่สองเล่า? (การรักที่จะเอาเปรียบ) จากเนื้อหาของสองประเด็นนี้ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการสำแดงของคนชั่ว แต่อ้างอิงตามการสำแดงโดยละเอียดที่เราได้สามัคคีธรรมไปก่อนหน้านี้ ผู้คนสองประเภทนี้เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีโดยไร้ซึ่งการกลับใจที่แท้จริง การสำแดงนานาประการของพวกเขาได้ก่อให้เกิดการรบกวนและการทำลายชีวิตคริสตจักร รบกวนและทำลายการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร จากการสำแดงของพวกเขา และอ้างอิงตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ผู้คนสองประเภทนี้ควรจัดอยู่ในจำพวกคนชั่ว ผู้นำคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรแยกแยะและระบุลักษณะของพวกเขา และเอาตัวพวกเขาออกไปให้ทันการ เช่นนี้เหมาะสมใช่หรือไม่? (ใช่) เหมาะสมอย่างยิ่ง พฤติกรรมของผู้คนสองประเภทนี้ในคริสตจักรส่งผลกระทบที่เป็นลบอย่างมาก พวกเขาไม่สนใจในความจริงแต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่นบนอบพระราชกิจของพระเจ้าเลย ในหมู่พี่น้องชายหญิง สิ่งที่พวกเขาใช้ในการดำเนินชีวิตนั้นดูไม่ต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อเลย พวกเขามักจะโกหกและคดโกงผู้อื่น ทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินและไม่มีสำนึกรับผิดชอบแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะถูกตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาไม่เพียงส่งผลกระทบต่อชีวิตคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างร้ายแรงอีกด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาอยู่ในหมู่คนที่คริสตจักรควรขับไล่หรือเอาตัวออกไป และการระบุว่าพวกเขาเป็นคนชั่ว รวมถึงจัดให้พวกเขาอยู่ในหมู่ผู้คนเช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องที่เหมาะสมโดยแท้จริง—การทำเช่นนั้นไม่ได้เกินไปเลย สำหรับประเภทแรก ผู้รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ ปัญหาของพวกเขาไม่ได้เรียบง่ายอย่างการพูดถึงสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง หรือการมีอุปสรรคด้านการสื่อสารกับผู้อื่น เป็นต้น แต่ปัญหากลับอยู่ที่อุปนิสัยของพวกเขา ในระดับที่ลึกลงไป ปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยของพวกเขาคือปัญหาในเรื่องแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ในระดับที่ผิวเผินขึ้นมาอีก นี่คือปัญหาเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของพวกเขา กล่าวคือ ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเลวทรามและน่ารังเกียจอย่างถึงที่สุด จนทำให้พวกเขาไม่มีทางปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเป็นปกติได้เลย พวกเขาไม่เพียงไร้ซึ่งการสำแดงอันเป็นบวกอย่างการจัดเตรียม การช่วยเหลือ หรือการรักผู้อื่นเท่านั้น แต่การกระทำและพฤติกรรมของพวกเขายังได้แต่รบกวน ทำลาย และทำให้พินาศอีกด้วย หากบางคนทำการบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จจนเป็นนิสัย และทำเช่นนี้อยู่เสมอไม่ว่าอย่างเปิดเผยหรืออย่างลับๆ จนก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นลบอย่างร้ายแรงต่องานของคริสตจักรและต่อพี่น้องชายหญิง เช่นนั้นพวกเขาก็อยู่ในบรรดาผู้ที่คริสตจักรควรเอาตัวออกไป อีกประเภทหนึ่งคือพวกรักที่จะเอาเปรียบ ไม่ว่าในสถานการณ์ใดพวกเขาก็เสาะแสวงที่จะได้ประโยชน์อยู่เสมอ จับจ้องที่ผลประโยชน์ของตนเองอยู่ตลอดเวลา พวกเขาไม่มุ่งเน้นการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และไม่มุ่งเน้นการทำหน้าที่ของตนให้ดีหรือลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาไม่มุ่งเน้นที่การปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นปกติกับพี่น้องชายหญิง ไม่มุ่งเน้นที่การดึงจุดแข็งของผู้อื่นมาชดเชยข้อบกพร่องของตนและสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปกติ หรือใช้ชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติ พวกเขาไม่ได้มุ่งเน้นสิ่งเหล่านี้เลย—พวกเขาเพียงมายังคริสตจักรและอยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงเพื่อเอาเปรียบเท่านั้น ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ในคริสตจักร และตราบใดที่พี่น้องชายหญิงยังติดต่อพูดคุยกับพวกเขา พี่น้องชายหญิงย่อมจะรู้สึกไม่สบายใจ พี่น้องชายหญิงไม่เพียงรู้สึกรังเกียจการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาเท่านั้น แต่โดยหลักแล้ว พวกเขาจะรู้สึกว่าถูกแทรกแซงและถูกบีบคั้นอยู่ในหัวใจบ่อยครั้งจนถึงระดับที่มีนัยสำคัญ คำว่า “ระดับที่มีนัยสำคัญ” หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าในสถานการณ์จริง เมื่อเผชิญกับการคุกคามจากผู้ไม่เชื่อหรือคนชั่ว บางคนย่อมรู้สึกถูกบีบคั้นจากความรู้สึกของตนและไม่อาจหลุดพ้นได้ ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่กล้าพูดออกมาถึงแม้จะไม่ชอบใจก็ตาม แต่ในใจกลับรู้สึกว่าถูกตีกรอบอยู่เสมอและไร้ความสงบสุข นี่คือการรบกวนพี่น้องชายหญิงอย่างร้ายแรงมิใช่หรือ? (ใช่) ด้วยเหตุนั้น ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงควรแยกแยะบุคคลทั้งสองประเภทนี้ ทุกคนที่ถูกจัดหมวดหมู่ว่าเป็นคนชั่วคือบรรดาผู้ที่คริสตจักรควรเอาตัวออกไป หลักธรรมที่เฉพาะเจาะจงในการจัดการกับบุคคลเช่นนั้นได้ถูกสามัคคีธรรมไปแล้วในการชุมนุมครั้งก่อน ดังนั้นจะไม่มีการสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมเหล่านั้นโดยละเอียดในตอนนี้อีก สรุปก็คือ ผู้คนสองประเภทที่สามัคคีธรรมไปข้างต้นได้ก่อให้เกิดการรบกวน มิใช่ต่อชีวิตคริสตจักรของพี่น้องชายหญิงเท่านั้น แต่ต่อการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีระเบียบของพวกเขาอีกด้วย พฤติกรรมของพวกเขาบางคนมีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้เชื่อใหม่บางคนที่ยังขาดรากฐานสะดุดล้มเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นจากหนทางและวิธีการปฏิบัติตนของพวกเขา รวมถึงการสำแดงนานาประการของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และผลพวงอันเลวร้ายที่เกิดจากการสำแดงเหล่านี้ ผู้คนทั้งสองประเภทนี้จึงอยู่ในบรรดาผู้ที่ควรถูกเอาตัวออกไป และการจัดลำดับพวกเขาให้อยู่ในหมู่คนชั่วย่อมไม่ใช่เรื่องที่เกินไปเลย ถึงแม้ว่าพฤติกรรมของผู้รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จและผู้รักที่จะเอาเปรียบอาจจะไม่ได้ดูหยาบคายหรือชั่วช้าเกินกว่าเหตุเช่นเดียวกับพฤติกรรมของคนชั่วที่ถูกนิยามในมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์—ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีการสำแดงที่เห็นเด่นชัดเช่นนั้น—ผลพวงอันเลวร้ายจากพฤติกรรมและความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงของผู้คนทั้งสองประเภทและหลักธรรมในการจัดการพวกเขา ซึ่งได้รับการสามัคคีธรรมไปในคราวก่อน
II. อ้างอิงตามความเป็นมนุษย์ของคนเรา
ค. การทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ
วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันต่อถึงการสำแดงของผู้คนหลากหลายประเภทในแง่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา โดยเริ่มจากผู้คนประเภทที่สาม ลักษณะหลักของความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านี้คืออะไร? คือความเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ การทำความเข้าใจความเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจจากมุมมองตัวหนังสือนั้นค่อนข้างง่าย หมายความว่าพฤติกรรม ความประพฤติ และคำพูดของบุคคลเหล่านี้ดูไม่เหมาะสม—พวกเขาไม่ใช่คนที่สง่างามและน่านับถือ นี่คือความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการสำแดงของผู้คนประเภทนี้ ในคริสตจักรย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่ใครบางคนจะมีทัศนะที่เบี่ยงเบนหรือผิดพลาดต่อการเชื่อในพระเจ้าและต่อหนทางที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา คำพูดและกิริยาท่าทางของพวกเขาไร้ซึ่งความศรัทธา การสำแดงในชีวิตและคุณภาพความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่เป็นไปตามมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชนเลย และพวกเขาก็ไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง โดยรวมก็คือ คำพูด พฤติกรรม และกิริยาท่าทางของพวกเขาสามารถอธิบายได้เพียงว่าเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ แน่นอนว่าการสำแดงเฉพาะนั้นมีอยู่มากมาย เป็นสิ่งที่ทุกคนมองเห็นได้ และง่ายต่อการแยกแยะ บุคคลเหล่านี้คล้ายกับผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อ โดยเฉพาะในเรื่องที่พวกเขาแสดงพฤติกรรมเหลวไหลออกมาเป็นพิเศษ ในเรื่องการชุมนุม เครื่องแต่งกายและการดูแลตัวเองของพวกเขาก็ดูตามสบายเป็นอย่างยิ่ง บางคนไม่สนใจที่จะแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนออกจากบ้าน มาชุมนุมในสภาพกระเซอะกระเซิง ผมไม่ได้หวีหน้าไม่ได้ล้าง บางคนแต่งตัวแบบขอไปที ใส่รองเท้าแตะเก่าๆ หรือแม้กระทั่งใส่ชุดนอนมาชุมนุม ส่วนคนอื่นก็ใช้ชีวิตด้วยความสะเพร่า ไม่ใส่ใจเรื่องสุขอนามัยส่วนตัว และไม่รังเกียจที่จะใส่เสื้อผ้าสกปรกมาชุมนุม ผู้คนเหล่านี้ล้วนปฏิบัติต่อการชุมนุมด้วยความไม่ใส่ใจอย่างถึงที่สุด ราวกับแวะไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน และไม่จริงจังกับการนี้เลย ระหว่างการชุมนุม พวกเขาก็ไม่ยับยั้งชั่งใจในคำพูดและกิริยาท่าทางของตนเช่นกัน ทั้งยังพูดเสียงดังโดยไม่รู้สึกเกรงใจแต่อย่างใด ถึงกับรู้สึกตื่นเต้นและโบกไม้โบกมืออย่างบ้าคลั่งเมื่อมีความสุข และแสดงออกซึ่งการตามใจตนเองอย่างสุดโต่ง ไม่ว่าจะมีคนอยู่มากมายแค่ไหน พวกเขาก็หัวเราะ เล่นตลก และออกท่าออกทางใหญ่โต นั่งไขว่ห้าง และทำตัวราวกับพวกเขาเหนือกว่าทุกคน พวกเขาทำตัวหรูหราเป็นพิเศษ และถึงกับทำตัวหยิ่งยโส ไม่เคยสบตาผู้ใดตรงๆ เวลาพูดคุยกับคนเหล่านั้น แต่กลับมองไปรอบๆ อย่างไร้จุดหมาย นี่คือการทำตัวเหลวไหลมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือการทำตามใจตนเองเป็นพิเศษและไม่มีการยับยั้งชั่งใจเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าผู้ไม่มีความเชื่ออาจจะให้เหตุผลว่าคำพูดและกิริยาท่าทางของบุคคลเช่นนั้นคือการขาดการเลี้ยงดูที่ดี แต่พวกเราเข้าใจแตกต่างออกไป นี่ไม่ใช่เรื่องของการขาดการเลี้ยงดูที่ดีเท่านั้น ในฐานะผู้ใหญ่ คนเราควรรู้ชัดถึงวิธีพูด วิธีประพฤติตน และวิธีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างถูกต้อง—โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเราควรรู้วิธีที่จะทำเช่นนั้นในแบบที่สอดคล้องกับมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน ในแบบที่เจริญใจพี่น้องชายหญิง และประกอบด้วยความเป็นมนุษย์ที่ปกติ—ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาใช้ชีวิตคริสตจักร เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิง แม้ไม่จำเป็นจะต้องเสแสร้ง แต่คนเราก็ต้องยับยั้งชั่งใจ เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดคือเครื่องวัดและมาตรฐานที่จำเป็นของการยับยั้งชั่งใจนี้? นั่นคือต้องสอดคล้องกับมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของคนเราควรสง่างามและเหมาะสม หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่แปลกประหลาด เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า คนเราต้องเปี่ยมศรัทธาและไม่แสดงท่าทางโอ้อวดเกินขอบเขต แน่นอนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น พวกเขาก็ควรรักษาความเปี่ยมศรัทธาและสภาพเสมือนมนุษย์เช่นกัน เพื่อที่พวกเขาจะได้แสดงออกในหนทางที่เหมาะสม เป็นประโยชน์ และเจริญใจผู้อื่น นี่คือสิ่งที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกที่ทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจไม่สนใจที่จะดำเนินชีวิตตามแง่มุมพื้นฐานที่สุดของความเป็นมนุษย์ และเหตุผลที่แน่ชัดอย่างหนึ่งของการไม่ใส่ใจของพวกเขาก็คือ พวกเขาไม่รู้ความแม้แต่น้อยว่าจะเป็นคนที่เปี่ยมศรัทธา หรือเป็นคนที่ซื่อตรงและสง่างามที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างไร พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เลย ดังนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าคริสตจักรจะมีการกำหนดเงื่อนไขและการเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรื่องการชุมนุมด้วยเครื่องแต่งกายที่เรียบร้อย สง่างาม และเหมาะสม ไม่สวมเสื้อผ้าที่แปลกประหลาด พวกเขาก็ยังคงไม่จริงจังกับกฎเกณฑ์เหล่านี้ มักจะมาถึงโดยสวมรองเท้าแตะ กระเซอะกระเซิง หรือถึงกับสวมชุดนอนบ่อยครั้ง นี่คือการสำแดงประการหนึ่งของคนที่ทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ
บรรดาผู้ที่ทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจสำแดงพฤติกรรมอีกประการหนึ่ง นั่นคือ การแต่งตัวตามแฟชั่นและแต่งหน้าจัดและเย้ายวนมาชุมนุม พวกเขาเริ่มแต่งตัวสวยและแต่งองค์ทรงเครื่องสองวันก่อนหน้าการชุมนุมแต่ละครั้ง คิดใคร่ครวญว่าจะแต่งหน้าเช่นไร ใส่เครื่องประดับชิ้นไหน เลือกทำผมทรงใด ใส่เสื้อผ้าชุดไหน ถือกระเป๋าใบไหน และใส่รองเท้าคู่ใด ผู้หญิงบางคนถึงกับทาลิปสติก อายแชโดว์ และแรเงาจมูกให้ดูเย้ายวน และในกรณีที่สุดโต่งกว่านั้น บางคนก็ถึงกับแต่งตัวและแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างยั่วยวนจนเกินงาม เผยหัวไหล่และแผ่นหลัง สวมใส่เสื้อผ้าที่แปลกประหลาด ในการชุมนุม พวกเขาไม่ตั้งใจฟังสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหญิง ทั้งยังไม่อธิษฐาน ไม่ต้องพูดถึงการร่วมสามัคคีธรรมหรือแบ่งปันความเข้าใจส่วนตัวและคำพยานจากประสบการณ์ของพวกเขาเลย ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่ว่าใครแต่งตัวสวยกว่าหรือแย่กว่ากัน ใครสวมใส่เสื้อผ้ายี่ห้อที่ทันสมัยเป็นพิเศษ ใครใส่เสื้อผ้าราคาถูกตามตลาดนัด สร้อยข้อมือของใครราคาเท่าไร เป็นต้น พวกเขามุ่งเน้นอยู่แต่กับเรื่องเหล่านี้จนถึงกับแสดงความเห็นออกมาอย่างเปิดเผยอยู่บ่อยครั้ง จากเครื่องแต่งกาย รวมไปถึงคำพูด พฤติกรรม และกิริยาท่าทางของบุคคลเหล่านี้ ย่อมเห็นได้ชัดว่าการมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรและการปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงของพวกเขาไม่ได้มุ่งหมายที่การเข้าใจความจริง นับประสาอะไรกับการทำเพื่อไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตเพื่อสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย กลับกัน พวกเขาใช้ช่วงเวลาระหว่างการชุมนุมเพื่อโอ้อวดความสุขสำราญเรื่องเงินและชีวิตทางวัตถุของตน บางคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมมายังสถานที่ชุมนุมเพื่ออวดตน สนองความอยากได้อยากมีด้านแฟชั่นและกระแสนิยมทางสังคมของตนอย่างเต็มที่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิง ล่อลวงให้ผู้อื่นไล่ตามไขว่คว้ากระแสนิยมเหล่านี้ อีกทั้งทำให้ผู้อื่นอิจฉาและนับถือพวกเขา ถึงแม้จะสังเกตเห็นถึงสายตาและท่าทีขยะแขยงที่พี่น้องชายหญิงบางคนมีต่อตน พวกเขาก็ยังคงไม่แยแส ทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตนต่อไป ใส่รองเท้าส้นสูง และถือกระเป๋าแบรนด์เนม บางคนถึงกับพยายามทำตัวเป็นผู้มีอันจะกิน พรมน้ำหอมคุณภาพต่ำมาชุมนุม ทำให้เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นน้ำหอม กลิ่นที่ปัดแก้ม และกลิ่นน้ำมันบำรุงผมผสมปนเปกันกลายเป็นกลิ่นเหม็นฉุนที่ไม่พึงประสงค์ หลายคนที่เข้าร่วมการชุมนุมรู้สึกขุ่นเคืองใจแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา แค่เพียงเห็นคนเหล่านี้ก็รู้สึกขยะแขยง และบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงก็คอยอยู่ห่างจากพวกเขา ไม่ว่าเครื่องแต่งกายและการดูแลตนเองของพวกเขาจะค่อนข้างหรูหราหรือค่อนข้างสบายๆ ลักษณะเด่นของคนประเภทนี้คือคำพูด พฤติกรรม กิริยาท่าทาง และวิถีชีวิตที่เสรีและไร้ระเบียบวินัยมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่ระหว่างการชุมนุม แต่ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพี่น้องชายหญิง หรือในชีวิตประจำวันของพวกเขาด้วยเช่นกัน พูดให้ตรงประเด็นก็คือ พวกเขาตามใจตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ไม่ควบคุมด้วยการยับยั้งชั่งใจเลยแม้แต่น้อย ชีวิตประจำวันของพวกเขาไม่มีรูปแบบที่แน่นอน พวกเขาพูดในสิ่งที่อยากพูด กระทำการตามใจตนเองและไม่ยั้งคิด ไม่เคยหารือประสบการณ์ส่วนตน แทบจะไม่เคยแบ่งปันความเข้าใจเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า และแทบจะไม่เคยพูดถึงความยากลำบากที่เผชิญในการทำหน้าที่ของตนเลยด้วยซ้ำ หัวข้อเดียวที่พวกเขาหารือกันคืออะไร? กระแสนิยมทางสังคม แฟชั่น อาหารเลิศรส ชีวิตส่วนตัวของคนดังในสังคมและแม้กระทั่งดารา รวมถึงเรื่องราวแปลกประหลาดและประเด็นสัพเพเหระในสังคม จากการเผยธรรมชาติเหล่านี้ ย่อมเห็นได้ไม่ยากว่าความเชื่อในพระเจ้าของผู้คนดังกล่าวเป็นเพียงการใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น ชีวิตของพวกเขามุ่งเน้นแต่การกิน ดื่ม และเล่นสนุกมากกว่าเรื่องทั้งหลายอย่างการใช้ชีวิตคริสตจักร การทำหน้าที่ของตน หรือการไล่ตามเสาะหาความจริง คำว่า “ทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ” หมายถึงวิถีชีวิตของบุคคลเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตในความเป็นมนุษย์ อีกทั้งหนทางที่พวกเขาจัดการกับสิ่งทั้งหลาย ปฏิบัติต่อผู้อื่น และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ล้วนเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจเช่นเดียวกัน พวกเขามักจะพูดตามคำกล่าวยอดนิยมในสังคม ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะชอบฟังคำกล่าวเหล่านั้น หรือจะเข้าใจคำกล่าวเหล่านั้นหรือไม่ บุคคลเหล่านี้ก็เอาแต่พร่ำพูดอย่างต่อเนื่อง พวกเขาถึงกับเลียนแบบคำพูดของคนดังในสังคม รวมถึงดารานักร้องและนักแสดงอยู่เป็นประจำ ส่วนคำศัพท์อันเป็นบวกที่มักจะใช้ในพระนิเวศของพระเจ้าและในหมู่พี่น้องชายหญิงนั้น พวกเขาไม่เคยแสดงความสนใจต่อคำพูดเหล่านั้นเลย พวกเขาไม่เคยสามัคคีธรรมถึงความจริงในชีวิตประจำวันของตน สิ่งที่พวกเขาเทิดทูนคือกระแสนิยมทางโลก คนดังและดาราทั้งหลายคือเป้าหมายที่พวกเขาเทิดทูนและเอาเป็นแบบอย่าง ตัวอย่างเช่น พวกเขารีบฉวยเอาคำพูดและวลียอดนิยมในโลกออนไลน์มาใช้ในบทสนทนาในชีวิตประจำวันของตนและในการสนทนากับพี่น้องชายหญิง แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวกหรือเจริญใจแต่อย่างใด คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นลบ ไม่มีคุณค่า และไม่มีความหมายใดต่อบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ คำพูดเหล่านั้นเป็นสำนวนยอดนิยมที่เกิดจากมวลมนุษย์ที่ชั่วและเสื่อมทราม เป็นตัวแทนของความคิดและมุมมองของกองกำลังชั่วโดยสมบูรณ์ คำพูดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผู้ไม่เชื่อในคริสตจักรที่หลงใหลในกระแสนิยมชั่วมักจะสังเกตเห็น ยอมรับ และนำมาใช้ พวกเขาปิดกั้นถ้อยคำและคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณในพระนิเวศของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ไม่ฟังหรือเรียนรู้คำศัพท์เหล่านั้นด้วยความตั้งใจจริง ตรงกันข้าม พวกเขากลับรีบฉวยและนำเอาสิ่งที่เป็นลบในโลกที่ไม่มีความเชื่อและสิ่งทั้งหลายที่คนต่ำช้าสนใจมาใช้ ด้วยเหตุนั้น ไม่ว่าจะตัดสินจากเครื่องแต่งกายภายนอก คำพูด และกิริยาท่าทาง หรือจากความคิดและมุมมองอันหลากหลาย รวมถึงท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายที่บุคคลเหล่านี้เผยออกมา พวกเขาก็ล้วนโดดเด่นแตกต่างจากพี่น้องชายหญิงเป็นอย่างยิ่ง คำว่าแตกต่างหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า คำพูด พฤติกรรม และกิริยาท่าทางของพวกเขาเหมือนกับพวกผู้ที่ไม่มีความเชื่อ ไม่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด พวกเขาเป็นเพียงผู้ไม่เชื่อ ตัวอย่างเช่น บางคนร้องเพลงนมัสการสองเพลงบนเวทีในพระนิเวศของพระเจ้าและได้รับความชื่นชมจากทุกคน ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มคิดภาพที่ตัวเองเป็นดาราหรือเป็นคนดัง มักเรียกร้องขอแต่งหน้าจัดเพื่อการแสดง ยืนกรานที่จะทำผมทรงเดียวกับคนดังบางคน และย้อมผมสีแปลกๆ อยู่เสมอ เมื่อผู้อื่นกล่าวว่า “ผู้เชื่อควรแต่งตัวให้สง่างามและเหมาะสม สไตล์ของคุณไม่ตรงตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า” พวกเขาก็พร่ำบ่นว่า “กฎของพระนิเวศของพระเจ้าเข้มงวดเกินไป ช่างยุ่งยากเสียจริง! ทำไมการเป็นดาราถึงยากนัก?” หลังจากร้องเพลงนมัสการไปเพียงสองเพลง พวกเขาก็ฝันเฟื่องว่าตนเองเป็นดาราและคิดว่าตนเองยอดเยี่ยมมาก และเมื่อใดที่พวกเขาว่างงาน พวกเขาก็เฝ้าใคร่ครวญว่า “พวกดาราในโลกที่ไม่มีความเชื่อใช้กี่นิ้วจับไมโครโฟน? พวกเขาเดินกี่ก้าวเพื่อขึ้นไปบนเวที? ทำไมเวลาที่ร้องเพลงดีฉันถึงไม่ได้ดอกไม้? พวกดาราในโลกมีสังกัดและมีผู้ช่วย พวกเขาไม่ต้องจัดการหรือแก้ไขเรื่องส่วนใหญ่ด้วยตนเอง ผู้ช่วยของพวกเขาจัดการให้หมด แต่ในฐานะนักร้องในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันต้องดูแลงานที่เป็นกิจวัตรด้วยตัวเอง อย่างเช่น การหาอาหาร การแต่งตัว และการซื้อของ พระนิเวศของพระเจ้าหัวโบราณเกินไป!” ในหัวใจของพวกเขารู้สึกไม่มีความสุขอยู่ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขารู้สึกทุกข์ใจเป็นพิเศษ ไม่พอใจและเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นอยู่เสมอ ผู้คนเช่นนั้นสามารถรักความจริงได้หรือ? พวกเขาจะปฏิบัติความจริงหรือไม่? เหตุใดพวกเขาจึงไม่ทบทวนตนเอง? มุมมองที่พวกเขามีต่อสิ่งทั้งหลายช่างบิดเบี้ยวเหลือเกิน คล้ายกับของผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาไม่ตระหนักในเรื่องนี้ได้อย่างไร? พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ขัดขวางพวกเขาจากการเป็นดารา แต่มุมมองและแนวทางเหล่านี้ของพวกเขา—ซึ่งเป็นของผู้ไม่เชื่อ—ใช้ในพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือ? โดยพื้นฐานแล้ว มุมมองและวิธีการเหล่านี้ไม่อาจยอมรับได้ คำพูดและกิริยาท่าทางปกติของพวกเขาเป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนมากรังเกียจ เนื่องจาก “ความเปิดกว้าง” และการตามใจตนเองอย่างสุดโต่งของพวกเขา สิ่งที่ผู้คนเช่นนั้นพูดหรือทำจึงเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ ไม่ได้เผยให้เห็นสิ่งใดเลยนอกจากอุปนิสัยของซาตาน
พระนิเวศของพระเจ้าเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพี่น้องชายหญิงควรรักษาขอบเขตระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง และไม่เข้าไปพัวพันกับเพศตรงข้าม อย่างไรก็ตาม บางคนที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจกลับไม่ใส่ใจคำแนะนำนี้แต่อย่างใด ถึงกับพยายามยั่วยวนและออกเดตกับผู้อื่นจนรบกวนชีวิตคริสตจักร พวกเขาเพลิดเพลินกับการติดต่อเพศตรงข้าม ถึงกับหาเหตุผลและข้ออ้างที่จะติดต่อและปฏิสัมพันธ์กันแบบหยอกล้อ เมื่อเห็นเพศตรงข้ามที่มีเสน่ห์หรือเป็นคนที่เข้ากันได้ พวกเขาก็เริ่มฉุดดึงคนเหล่านั้นเข้ามา หยอกเย้าและเกี้ยวพาราสี วุ่นวายกับเสื้อผ้าและเล่นผมของอีกฝ่าย และถึงกับปาบอลหิมะใส่เสื้อผ้าของคนเหล่านั้นในช่วงฤดูหนาว พวกเขาเล่นกันเหมือนสัตว์ ไม่มีขอบเขตหรือสำนึกแห่งเกียรติ ไม่รู้สึกละอายใจเลย บางคนกล่าวว่า “แบบนั้นจะถือว่าเป็นการเล่นกันได้อย่างไร? พวกเขากำลังแสดงความรักใคร่เอ็นดู แบบนั้นเรียกว่าการทำตัวกุ๊กกิ๊ก ทำตัวโรแมนติกต่างหาก” หากเจ้ากำลังมองหาความโรแมนติก เจ้าก็เลือกผิดที่เสียแล้ว คริสตจักรเป็นที่ที่พี่น้องชายหญิงทำหน้าที่ของตน นี่คือสถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้า ไม่ใช่สำหรับเกี้ยวพาราสีกัน การแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นในที่สาธารณะต่อหน้าทุกคนย่อมทำให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกขยะแขยงและผลักไส ประเด็นสำคัญคือการนี้ไม่เจริญใจผู้อื่น และเจ้าก็สูญเสียความซื่อตรงและเกียรติยศของตนเช่นกัน เจ้าอายุเท่าไรแล้ว? เจ้าไม่สามารถแยกมือขวาออกจากมือซ้ายเช่นนั้นหรือ? เจ้าไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงหรือ? แต่เจ้าก็ยังพัวพันอยู่กับการหยอกเอินกัน! การที่เด็กอายุเจ็ดหรือแปดปีเล่นด้วยกันเป็นเรื่องปกติ พฤติกรรมและความสนใจเช่นนั้นพบได้ทั่วไปในช่วงอายุของพวกเขา อย่างไรก็ตาม หากผู้ใหญ่แสดงพฤติกรรมเหล่านี้ ย่อมเป็นการทำตัวเป็นเด็กมิใช่หรือ? กล่าวโดยง่ายก็คือมันเป็นเช่นนั้นนั่นเอง ในแง่ของแก่นแท้ การนี้คืออะไร? (การทำตามใจตนเอง การทำตัวเหลวไหล) เป็นความเหลวไหลเกินไปทั้งสิ้น! เมื่อเชื่อในพระเจ้า คนเราก็ต้องรู้จักที่จะมีสำนึกแห่งเกียรติ แม้กระทั่งในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ คนที่ทำตัวเหลวไหลถึงเพียงนั้นก็มีอยู่ไม่กี่คน คนที่เหลวไหลเช่นนั้นช่างไร้สาระและน่ารังเกียจเหลือเกิน! การปาบอลหิมะใส่เสื้อผ้าของเพศตรงข้ามเพื่อความตื่นเต้น การไม่เพียงแกล้งวิ่งไล่จับพวกเขาไปรอบๆ แต่ถึงกับเตะพวกเขาจากด้านหลัง—เมื่อใครบางคนเปิดโปงข้อเท็จจริงว่าพฤติกรรมเช่นนั้นเหลวไหลเกินไปและเป็นการทำให้ขอบเขตระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงเลือนลางลง พวกเขาก็โต้กลับว่า “พวกเราเล่นกันแบบนี้แค่เพราะพวกเราสนิทกันมาก ผู้คนควรเข้าใจ” พวกเขาตามใจตนเองจนถึงระดับดังกล่าว พวกเขาไม่เพียงปล่อยให้ตนเองทำตามอำเภอใจเท่านั้น แต่ยังล่อลวงให้ผู้อื่นร่วมทำตามอำเภอใจกับพวกเขาด้วย นี่คือคนเลวประเภทใดหรือ? บอกเราทีเถิดว่า ผู้คนเช่นนั้นควรอยู่ในคริสตจักรต่อไปหรือไม่? (ไม่ควร) การอยู่ใกล้คนประเภทนี้มักจะรู้สึกไม่สบายใจและกระอักกระอ่วนอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาพบใครบางคน พวกเขาก็ไม่ทักทายคนเหล่านั้นตามปกติ แต่กลับปล่อยหมัดใส่คนเหล่านั้นไปหนึ่งทีพร้อมกล่าวว่า “หายหัวไปไหนมาตั้งหลายปี? ฉันคิดว่าคุณหายไปจากโลกนี้เสียแล้ว! เป็นไงบ้าง?” แม้แต่ลักษณะการทักทายของพวกเขาก็ยังป่าเถื่อนและอวดดีเหลือเกิน พวกเขาไม่เพียงพูดจาอย่างป่าเถื่อนเท่านั้น แต่ยังถึงกับลงไม้ลงมือกับผู้อื่นอีกด้วย สิ่งนี้คล้ายกับพฤติกรรมของนักเลงและอันธพาลมิใช่หรือ? พวกเจ้าชอบคนเช่นนั้นหรือไม่? (ไม่) รู้สึกสบายใจหรือไม่ที่ถูกเยาะเย้ยและถูกหยอกล้อ? (ไม่) นั่นทำให้รู้สึกอึดอัด และเจ้าก็ไม่สามารถระบายออกมาเป็นคำพูดได้เสียด้วยซ้ำ เจ้าได้แต่ต้องอดทน และครั้งต่อไปที่พบพวกเขา เจ้าก็เลี่ยงพวกเขาให้ไกล สรุปแล้ว เรื่องนี้บ่งบอกคุณภาพของความเป็นมนุษย์ของผู้คนเช่นนั้นว่าอย่างไร? (ย่ำแย่) ไม่ว่าจะมองสิ่งเหล่านั้นจากแง่มุมใด—ไม่ว่ามองจากคำพูดและกิริยาท่าทางของพวกเขา การประพฤติปฏิบัติส่วนตนของพวกเขา หนทางในการจัดการกับโลกของพวกเขา รวมถึงปฏิสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อผู้อื่น มุมมองที่พวกเขามีต่อกระแสนิยมของโลกที่ไม่มีความเชื่อ หรือลักษณะของการเชื่อในพระเจ้า และท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์—ย่อมไม่ยากที่จะเห็นว่า บุคคลเหล่านี้ขาดความศรัทธาหรือหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถเห็นถึงความจริงใจในการแสวงหาหรือยอมรับความจริงของพวกเขาได้ ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร สิ่งที่สังเกตเห็นได้จากพวกเขาก็คือ ความเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจของพวกเขา การทำตามดาราและบุคคลต้นแบบอยู่เป็นนิจของพวกเขา รวมถึงการไร้ซึ่งเจตนาที่จะกลับตัวกลับใจของพวกเขา ลักษณะของความเป็นมนุษย์ของพวกเขาสามารถสรุปได้ว่าอย่างไร? ความเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ ด้วยเหตุนั้นจึงกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาคือผู้ไม่มีความเชื่อที่แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ
คนที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจใช้คำพูดแบบเดียวกับพวกโจรและอันธพาลในโลกที่ไม่มีความเชื่อ พวกเขาเพลิดเพลินกับการเลียนแบบคำพูดและลีลาของดาราและคนดังในเชิงลบจากสังคมเป็นพิเศษ โดยภาษาส่วนใหญ่ของพวกเขามีน้ำเสียงที่ต่ำช้า จนฟังดูราวกับสิ่งที่อันธพาลและนักเลงจะพูดกัน ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ไม่มีความเชื่อมาถึง ก็เอ่ยคำพูดที่ฟังดูชอบกลไม่กี่คำหลังจากเคาะประตู พี่น้องชายหญิงจึงกล่าวว่า “มีบางอย่างไม่ปกติ ทำไมคนคนนี้ถึงดูเหมือนสายสืบหรือสายลับเลย?” ถึงแม้ในขณะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถแน่ใจได้ แต่ก็ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกไม่สบายใจ ทว่าคนที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจกลับพูดอย่างน่าประทับใจ ถึงกับแน่ใจเสียด้วยซ้ำว่า “สายสืบหรือ? ฉันไม่กลัวหรอก! จะกลัวพวกเขาทำไม? หากพวกคุณกลัว พวกคุณก็ไม่ต้องออกไป ฉันจะไปดูเองว่าเกิดอะไรขึ้น” ดูเถิดว่าพวกเขากล้าและบ้าบิ่นเพียงไหน พวกเจ้าจะกล่าวเช่นนี้หรือไม่? (ไม่ นี่ไม่ใช่วิธีพูดของคนปกติ มันเหมือนคำพูดของโจร) โจรผู้ร้ายพูดจาแตกต่างไปจากคนปกติ พวกเขาชอบใช้อำนาจมากเป็นพิเศษ ผู้คนเรียนรู้ภาษาของพวกเดียวกัน คนที่ช่ำชองในทางโลกชอบใช้ศัพท์แสงยอดนิยมของสังคมเป็นพิเศษ อันธพาลกับโจรชอบพูดภาษาเฉพาะกลุ่มของพวกเขา และผู้ไม่เชื่อก็เหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อ พูดทุกอย่างที่ผู้ไม่มีความเชื่อพูด เมื่อคนดี มีเกียรติ และน่านับถือได้ยินคำพูดของผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาก็รู้สึกขยะแขยงและเกลียดชัง ไม่มีใครพยายามเลียนแบบคำพูดประเภทนั้นเลย ถึงแม้ผู้ไม่เชื่อบางคนจะเชื่อในพระเจ้ามานานสิบหรือยี่สิบปี แต่ยังคงใช้ภาษาของผู้ไม่มีความเชื่อ จงใจเลือกคำพูดเช่นนั้น และขณะที่พูด พวกเขาก็เลียนแบบกิริยาท่าทาง การแสดงออก และสีหน้าของผู้ไม่มีความเชื่อ รวมถึงการแสดงออกทางสายตาของคนเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ บุคคลเช่นนั้นจะเป็นที่น่าพอใจในสายตาของพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรได้หรือ? (ไม่ได้) พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่พบว่าตนเองไม่เห็นด้วย และไม่สบายใจที่จะมองเห็น พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรต่อพวกเขา? (ทรงรังเกียจ) คำตอบนั้นชัดเจนคือทรงรังเกียจ จากสิ่งที่พวกเขาใช้ในการดำเนินชีวิต การไล่ตามเสาะหาของพวกเขา รวมถึงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเคารพอยู่ในหัวใจ ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่มีศักดิ์ศรีหรือความน่านับถือเลย ทั้งยังห่างไกลจากความศรัทธาและความเหมาะสมตามมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน การได้ยินคำพูดที่ผู้เชื่อหรือวิสุทธิชนควรพูด หรือคำพูดที่เจริญใจผู้อื่นและถ่ายทอดความซื่อตรงและความมีศักดิ์ศรีจากปากของพวกเขาเป็นเรื่องยากมาก พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะพูดสิ่งเหล่านี้เลย สิ่งที่พวกเขาเคารพ มุ่งมาดปรารถนา และไล่ตามไขว่คว้าอยู่ในหัวใจนั้นขัดแย้งกับสิ่งที่วิสุทธิชนพึงไล่ตามเสาะหาและมุ่งมาดปรารถนาโดยสิ้นเชิง จึงยากที่จะควบคุมสิ่งที่พวกเขาใช้ในการดำเนินชีวิตภายนอก คำพูด และกิริยาท่าทางของพวกเขา การขอให้พวกเขามีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำตัวเหลวไหลหรือทำตามใจตนเอง รวมถึงรักษาศักดิ์ศรีและความน่านับถือนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง พวกเขาไม่สามารถสัมฤทธิ์การเป็นคนปกติที่มีความซื่อตรงและศักดิ์ศรีที่สมกับมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชน ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และดูภายนอกเป็นคนมีเหตุมีผลได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้ชีวิตดังเช่นคนที่มีความเป็นมนุษย์และมีเหตุผล เป็นผู้ที่เข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงเลย ก่อนหน้านี้มีคนคนหนึ่งเดินทางไปในชนบทเพื่อประกาศข่าวประเสริฐและเห็นว่าพี่น้องชายหญิงบางคนมีครอบครัวที่ยากจนและอาศัยอยู่ในบ้านซอมซ่อ เขาพูดจาเยาะเย้ยและเหน็บแนมว่า “บ้านหลังนี้ซอมซ่อเหลือเกิน ไม่เหมาะที่จะให้คนอยู่เลย มันแทบไม่เหมาะสำหรับหมูเสียด้วยซ้ำ คุณควรรีบย้ายออกเสีย!” พี่น้องชายหญิงตอบว่า “การย้ายออกน่ะง่าย แต่ใครจะจัดหาบ้านอีกหลังให้พวกเราอยู่เล่า?” เขากล่าวตามอำเภอใจโดยไม่ยั้งคิด พูดสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้อื่น นี่คือการมีธรรมชาติที่ต่ำช้า พี่น้องชายหญิงถามว่า “หากพวกเราย้ายออก ใครจะยกบ้านให้พวกเราอยู่? คุณมีบ้านไหม?” เขาไม่มีคำตอบ เมื่อเห็นว่าผู้คนกำลังเผชิญความยากลำบาก เขาต้องสามารถแก้ไขความยากลำบากของผู้คนให้ได้เสียก่อนจึงจะพูดออกไป ผลที่ตามมาจากการที่เขาพูดโดยไม่ยั้งคิด โดยไม่สามารถแก้ไขความยากลำบากของคนเหล่านั้นได้คืออะไร? นี่คือปัญหาของการเป็นคนตรงไปตรงมาและขวานผ่าซากเกินไปใช่หรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอน ปัญหาคือความต่ำช้าของพวกเขาร้ายแรงเกินไป เขาเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ ผู้คนเช่นนั้นไม่มีแนวคิดเรื่องความซื่อตรง ศักดิ์ศรี การคำนึงถึงผู้อื่น ความอดทน ความเอาใจใส่ ความเคารพ ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ ความกรุณา ความเกรงใจ ความช่วยเหลือ และอื่นๆ คุณสมบัติเหล่านี้ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อความเป็นมนุษย์ที่ปกติคือสิ่งที่ผู้คนควรมี พวกเขาไม่เพียงขาดคุณสมบัติเหล่านี้เท่านั้น แต่ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้น เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนกำลังเผชิญความยากลำบาก พวกเขาก็สามารถเย้ยหยัน ล้อเลียน หัวเราะเยาะ และดูถูกคนเหล่านั้นได้เสียด้วยซ้ำ พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถเข้าใจหรือช่วยเหลือคนเหล่านั้น แต่ยังนำความโศกเศร้า ความสิ้นหวัง ความเจ็บปวด และแม้กระทั่งปัญหามาให้คนเหล่านั้นอีกด้วย สำหรับผู้ที่มีความต่ำช้าอย่างร้ายแรงเช่นนั้น ผู้คนส่วนมากย่อมมองเห็นได้อย่างชัดเจนและอดทนกับพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเจ้าคิดว่าผู้คนเช่นนั้นจะสามารถมีการกลับใจที่แท้จริงได้หรือไม่? เราคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เมื่อพิจารณาแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่รักความจริง แล้วพวกเขาจะยอมรับการถูกตัดแต่งและบ่มวินัยได้อย่างไร? ในการบรรยายถึงผู้คนเช่นนั้น ผู้ไม่มีความเชื่อมีคำกล่าวที่ว่า “ยึดมั่นในหนทางของตน” หรือ “จงเดินไปบนเส้นทางของตนเองไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม”—ตรรกะที่น่าขันนี้คืออะไร? ในสังคมนี้ สิ่งที่เรียกกันว่าคำกล่าวและสำนวนที่โด่งดังเหล่านี้มักจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่เป็นบวก ซึ่งบิดเบือนข้อเท็จจริงและสร้างความสับสนระหว่างถูกกับผิด สำหรับการสำแดงของความเป็นมนุษย์ของคนที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ โดยพื้นฐานแล้วการกล่าวเช่นนี้ย่อมครอบคลุมแล้ว
ไม่ว่าบุคคลที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตคริสตจักร ต่อความสัมพันธ์ที่เป็นปกติในหมู่พี่น้องชายหญิง หรือการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่ ตราบเท่าที่การสำแดงและการเผยความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก่อให้เกิดผลกระทบและผลพวงที่เลวร้าย ก่อกวนพี่น้องชายหญิง ประเด็นปัญหาเหล่านี้ก็ควรได้รับการแก้ไขและมีการดำเนินการที่เหมาะสมกับผู้คนเช่นนั้น มากกว่าที่จะปล่อยให้พวกเขากระทำการโดยไม่ถูกขัดขวาง ในกรณีเล็กน้อยก็สามารถให้การช่วยเหลือและเกื้อหนุน หรืออาจมีการตัดแต่งและตักเตือนพวกเขาได้ ส่วนในกรณีร้ายแรงที่พฤติกรรมและกิริยาท่าทางของพวกเขามีความเหลวไหลเป็นพิเศษ เหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อหรือผู้ไม่เชื่อ ไม่มีมารยาทอันดีงามเยี่ยงวิสุทธิชนเลยแม้แต่น้อย ผู้นำคริสตจักรและคนทำงานควรคิดหาวิธีแก้ไขเพื่อจัดการกับบุคคลเหล่านี้ หากพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่เห็นด้วยและเงื่อนไขเอื้ออำนวย บุคคลเหล่านี้ก็ควรถูกเอาตัวออกไป อย่างน้อยที่สุด พวกเขาไม่ควรได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ในคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา คำว่า “ในกรณีเล็กน้อย” หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าคนบางคนเป็นผู้เชื่อใหม่ เดิมทีเป็นผู้ไม่มีความเชื่อที่ไม่เคยเชื่อในศาสนาคริสต์และไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงอะไร คำพูดและกิริยาท่าทางของพวกเขาเผยให้เห็นนิสัยของผู้ไม่มีความเชื่อ อย่างไรก็ตาม ผ่านการอ่านพระวจนะของพระเจ้า การสามัคคีธรรมความจริง และการใช้ชีวิตคริสตจักร พวกเขาก็ค่อยๆ กลับตัวและเปลี่ยนแปลง กลายมาเป็นผู้เชื่อและแสดงให้เห็นสภาพเสมือนมนุษย์อยู่บ้าง บุคคลเหล่านี้ไม่ควรถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของคนชั่ว แต่ควรเป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือได้ อีกหมวดหมู่หนึ่งคือคนหนุ่มสาวที่อายุราวยี่สิบปีที่ถึงแม้จะเชื่อในพระเจ้ามาได้สามถึงห้าปีแล้วก็ยังคงตามใจตนเองให้เล่นสนุก ไม่ค่อยสงบนัก แสดงออกถึงความเป็นเด็กอยู่บ้างในคำพูดและกิริยาท่าทางภายนอกของพวกเขา—มีการพูดจา การประพฤติตน และการทำตัวเป็นเด็ก—และอื่นๆ เพราะพวกเขาอายุน้อย ผู้คนเหล่านี้ควรได้รับการช่วยเหลือและเกื้อหนุนด้วยความรัก พวกเขาควรได้รับเวลามากพอที่จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงโดยไม่มีข้อเรียกร้องที่เข้มงวดจนเกินไป แน่นอนว่าสำหรับผู้ใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแต่ยังคงแสดงออกถึงคำพูด กิริยาท่าทาง พฤติกรรม และการกระทำที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจดังเช่นผู้ไม่มีความเชื่อ และผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแม้จะถูกตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าย่อมจำเป็นต้องใช้วิธีการที่ต่างออกไป พวกเขาควรถูกจัดการตามข้อบังคับของพระนิเวศของพระเจ้า หากคำพูด กิริยาท่าทาง และการเผยความเป็นมนุษย์ของบุคคลเหล่านั้นรบกวนผู้คนส่วนใหญ่และก่อให้เกิดผลกระทบอันเลวร้ายในคริสตจักร ทำให้หลายคนรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อพบเห็นพวกเขา ไม่เต็มใจฟังพวกเขาพูด ไม่เต็มใจที่จะเห็นสีหน้าท่าทางของพวกเขาเวลาที่พวกเขาพูด อีกทั้งไม่เต็มใจที่จะมองดูเครื่องแต่งกายของพวกเขา และผู้คนส่วนใหญ่กลับมีความสุขมากกว่าและอยู่ในภาวะที่ดีกว่าเมื่อบุคคลเช่นนั้นไม่เข้าร่วมการชุมนุม—รู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกรังเกียจจากการที่พวกเขาเพียงมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรและการที่พวกเขาแค่ปรากฏตัวท่ามกลางพี่น้องชายหญิง ราวกับเป็นแมลงที่ก่อการรบกวน—เช่นนั้นแล้ว บุคคลเช่นนั้นคือคนชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย กล่าวคือ เมื่อไรที่พวกเขาใช้ชีวิตคริสตจักรและทำหน้าที่ของตนร่วมกับพี่น้องชายหญิง ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมรู้สึกกวนใจและรู้สึกสะอิดสะเอียนมากเป็นพิเศษ ในกรณีเช่นนั้น บุคคลเหล่านี้ควรถูกจัดการโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ปล่อยให้พวกเขาทำตามใจตนเองหรือเฝ้าสังเกตต่อไป อย่างน้อยที่สุด พวกเขาควรถูกชำระออกจากคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาและส่งตัวไปยังคริสตจักรธรรมดาเพื่อกลับใจ เหตุใดจึงควรจัดการในหนทางนี้? (พวกเขาก่อให้เกิดการรบกวนและผลพวงที่เลวร้ายต่อผู้คนส่วนใหญ่ รบกวนชีวิตคริสตจักร) เพราะผลกระทบและผลพวงจากการสำแดงของพวกเขานั้นเลวทรามเหลือเกิน! ด้วยเหตุนี้ ผู้นำและคนทำงาน รวมถึงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงไม่ควรหลับหูหลับตาใส่พวกเขา และยอมให้พวกเขามีพฤติกรรมเช่นนั้นแบบไม่ลืมหูลืมตา นี่เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมที่ผู้นำและคนทำงานจะไม่ทำอะไรเลย แม้ในยามที่บุคคลเช่นนั้นก่อให้เกิดการรบกวนต่อคนส่วนใหญ่ บุคคลเช่นนั้นควรถูกชำระออกจากคริสตจักรตามข้อบังคับของพระนิเวศของพระเจ้า—นี่เป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด
คริสตจักรเคยจัดการกับคนที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจมาก่อนหรือไม่? (เคย) เมื่อผู้คนเช่นนั้นถูกจัดการ บางคนก็ร้องไห้ พลางกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจ นั่นเป็นแค่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวของฉัน ฉันไม่ใช่คนประเภทนั้น โปรดให้โอกาสฉันอีกสักครั้งเถิด! หากฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ พอกลับไปบ้าน ที่ที่ทุกคนเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ ฉันก็จะไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าได้” พวกเขาพูดจาอ้อนวอนเหลือเกิน ทั้งยังดูเป็นทุกข์ใจอย่างแท้จริง แสดงความไม่เต็มใจที่จะไปจากพระเจ้าและขอโอกาสกลับใจอีกครั้งหนึ่งจากพระนิเวศของพระเจ้า การมอบโอกาสให้พวกเขาอีกครั้งหนึ่งนั้นเป็นไปได้ แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ หากรับรู้โดยถ่องแท้ว่าคนคนนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งที่ไม่มีหัวใจและวิญญาณ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ควรได้รับโอกาสอีกครั้งหนึ่ง เพราะนั่นย่อมจะเปล่าประโยชน์ อย่างไรก็ตาม หากคนคนนั้นมีเนื้อแท้ที่ดี เพียงแต่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขายังไม่เติบโตเพราะพวกเขาอายุยังน้อย และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าพวกเขาต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้ว พวกเขาต้องได้รับโอกาสให้กลับใจ พวกเขาไม่ควรถูกเอาตัวออกจากคริสตจักรโดยเด็ดขาด คนดีไม่มีวันถูกทำลาย คนบางคนเป็นผู้ไม่เชื่อโดยเนื้อแท้ พวกเขาเหลวไหล ไม่รู้ความ และโง่เขลาโดยกำเนิด และในความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ไม่มีแนวคิดเรื่องความมีเกียรติโดยธรรมชาติ ไม่รู้ว่าสำนึกของความละอายคืออะไร หลังจากทำตัวหยาบกระด้างในที่สาธารณะ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกเสียใจและอับอายที่จะเผชิญหน้ากับผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมื่อพวกเขาต้องการทำสิ่งเช่นนั้น พวกเขาก็สามารถคำนึงถึงความรู้สึกและความคิดเห็นของพี่น้องชายหญิง ใส่ใจในความซื่อตรงและศักดิ์ศรีของตนเอง และพวกเขาจะไม่ประพฤติตนในลักษณะเช่นนั้น อย่างมากที่สุดพวกเขาก็อาจจะแค่โวยวายใส่ลูกๆ หรือพี่น้องของตนที่บ้าน เมื่อออกไปข้างนอก ปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า ผู้คนก็ควรเข้าใจว่าสำนึกแห่งเกียรติ ความเหมาะสม กฎเกณฑ์ และศักดิ์ศรีหมายถึงอะไร ถึงแม้จะมีการช่วยเหลือจากเจ้า ใครบางคนที่ขาดความเข้าใจในแนวคิดเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่? ต่อให้ตอนนี้พวกเขายับยั้งชั่งใจไว้ แต่พวกเขาจะทนได้นานแค่ไหน? อีกไม่นานพวกเขาก็จะกลับไปเป็นแบบเดิม เนื่องจากความเป็นมนุษย์ของผู้คนเช่นนั้นไร้ศักดิ์ศรีและสำนึกของความละอาย ไม่รู้ว่ากฎเกณฑ์ ความเหมาะสม หรือมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชนหมายถึงอะไร อีกทั้งโดยเนื้อแท้แล้ว ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ เจ้าจึงไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ คนที่ช่วยเหลือไม่ได้คือคนที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คนที่ไม่สามารถสั่งหรือชักจูงได้ บุคคลเช่นนั้นต้องถูกชำระออกไปแต่เนิ่นๆ โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันพวกเขาจากการก่อการรบกวนในหมู่พี่น้องชายหญิง จากการนำความอับอายมาสู่ที่แห่งนี้ พระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการใครเพียงเพื่อให้ครบจำนวน หากพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยใครบางคนให้รอด เช่นนั้นการมาเพียงเพื่อให้ครบจำนวนก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่อคนคนนั้น ผู้ที่พระเจ้าไม่ทรงยอมรับควรถูกเอาตัวออกไป—จงชำระผู้ที่ไม่ควรอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าออกไป เพื่อไม่ให้การมีอยู่ของคนคนนี้ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อคนอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้คนส่วนใหญ่ หากพวกเจ้ามองทะลุไปถึงแก่นแท้ของคนที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ เจ้าก็ควรจัดการกับพวกเขาและเอาตัวพวกเขาออกไปให้เร็วที่สุด แทนที่จะอดทนกับพวกเขาไปอย่างไม่มีสิ้นสุด บางคนกล่าวว่า “พวกเขาทำให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างอยู่เป็นครั้งคราวเวลาทำหน้าที่ พวกเขายังจำเป็นต่องานในแง่มุมนั้น พวกเขายังมีหัวใจที่ค่อนข้างเปี่ยมรักทีเดียว และสามารถจ่ายราคาได้เล็กน้อยอีกด้วย” แต่ในหมู่ของผู้ที่ยังคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ใครที่ไม่สามารถจ่ายราคาได้แม้แต่น้อย? ใครที่ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์บางอย่างได้ในขณะที่ทำหน้าที่? หากทุกคนสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างได้ เหตุใดจึงไม่เลือกคนดีที่มีศักดิ์ศรีและเหมาะสมมาทำหน้าที่เล่า? เหตุใดจึงยืนกรานที่จะเก็บคนประเภทที่ชั่วช้า ขี้โกง และคนโง่เอาไว้ในคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาเพื่อก่อการรบกวน? เหตุใดจึงยืนกรานที่จะเก็บผู้ไม่เชื่อที่ใช้ชีวิตเยี่ยงผู้ไม่มีความเชื่อเหล่านี้ไว้ลงแรงในพระนิเวศของพระเจ้า? พระนิเวศของพระเจ้ามิได้ขาดแคลนคนลงแรง พระนิเวศของพระเจ้าต้องการเพียงคนซื่อสัตย์ที่รักความจริง คนซื่อตรง และคนที่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงในการสละตนเพื่อพระเจ้าเท่านั้น
ผู้ที่กำลังทำหน้าที่ของตนอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่คือคนที่เชื่อในพระเจ้ามานานกว่าห้าหรือหกปี และผู้คนทุกประเภทต่างถูกเผยอย่างหมดเปลือกในกระบวนการของการทำหน้าที่ของตนแล้ว—พวกที่เป็นผู้ไม่เชื่อ ผู้คนที่เลอะเลือน ผู้นำเทียมเท็จ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ล้วนถูกเผยทั้งหมด ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมากมายต่างเห็นอย่างชัดเจนว่าในหมู่คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ยอมกลับใจแม้จะมีการตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อให้เกิดการก่อกวนและการขัดขวางอย่างร้ายแรงต่องานของพระนิเวศของพระเจ้าแล้ว ถึงเวลาที่ผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ต้องถูกชำระออกไป การไม่ชำระพวกเขาออกไปจะส่งผลต่อการดำเนินงานของคริสตจักรและการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า การไม่ชำระพวกเขาออกไปจะส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ชีวิตคริสตจักรจะถูกรบกวนอยู่อย่างนั้น และจะไม่มีวันพบกับความสงบสุข ดังนั้นแล้ว ผู้นำคริสตจักรและคนทำงานทุกระดับจึงควรเริ่มชำระคริสตจักรตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าและอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้า เราเห็นว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยขาดความเป็นมนุษย์ ในระหว่างชุมนุม คนบางคนแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในทุกรูปแบบ ไม่ใช้กิริยาท่าทางที่เหมาะสมไม่ว่าจะนั่งหรือจะยืน มีชา โทรศัพท์มือถือ ครีมทาหน้า และน้ำหอมเตรียมพร้อมอยู่ข้างตัว บางคนที่รักสวยรักงามก็เฝ้าส่องกระจกดูรูปลักษณ์ตนเอง และเติมเครื่องสำอางอยู่ตลอดเวลา และคนอื่นๆ ก็มักดื่มน้ำไปพลาง ไถหน้าจอโทรศัพท์เพื่ออ่านข่าวหรือดูวีดิทัศน์จากโลกที่ไม่มีความเชื่อไปพลาง นั่งไขว่ห้างขณะพูดจาและสนทนา บิดจนตัวงอเป็นสองท่อน รูปทรงคล้ายคลึงกับงู โดยไม่รักษามารยาทที่ถูกควรเสียด้วยซ้ำ เราก็ได้ยินมาเช่นกันว่าคนบางคนกลับไปที่ห้องนอนของพวกเขาในตอนกลางคืนและถึงกับนอนหลับบนเตียงยันรุ่งสางโดยไม่ถอดรองเท้า ในตอนเช้า พวกเขาลืมตาตื่นโดยไม่อธิษฐานหรือทำการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ แต่กลับตรวจดูข่าวในโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างแรก ระหว่างมื้ออาหาร เมื่อพวกเขาเห็นของอร่อย หรือเมื่อพวกเขาเห็นเนื้อสัตว์ พวกเขาก็กินอย่างตะกละตะกลาม—ตราบใดที่พวกเขากินอิ่ม ก็ไม่ใส่ใจเลยว่าผู้อื่นจะได้กินหรือไม่—จากนั้นก็ตรงกลับไปนอน พวกเขาไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์ในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่รักษากฎเกณฑ์ใดๆ เลย ไม่มีความเชื่อฟังหรือการนบนอบแม้แต่น้อย ราวกับสัตว์ร้าย บอกเราทีเถิดว่า ผู้คนประเภทที่มีธรรมชาติต่ำช้าอย่างร้ายแรงเช่นนั้นจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นแล้ว การที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าจะมีประโยชน์อะไรหรือไม่? ด้วยขีดความสามารถที่ย่ำแย่เกินกว่าที่จะเป็นไปตามมาตรฐานของความจริง ในยามที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจะสามารถเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นหรือไม่? หากไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติตน การลงแรงของพวกเขาจะสามารถเป็นไปตามมาตรฐานได้หรือไม่? หากไร้ซึ่งมโนธรรมหรือเหตุผล เมื่อฟังคำเทศนาและฟังการสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาจะสามารถยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่? (ไม่ได้) โดยพื้นฐานแล้วผู้ที่แสดงออกถึงพฤติกรรมเหล่านี้ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ แล้วพวกเขาจะได้มาซึ่งความจริงได้อย่างไร? พวกที่ไร้ความเป็นมนุษย์คือสัตว์เดรัจฉาน หมู่มาร คนตายที่ไร้วิญญาณซึ่งไม่สามารถเข้าใจความจริงเมื่อได้ฟัง และไม่คู่ควรที่จะได้ฟังความจริง การปล่อยให้พวกเขาเข้าใจและได้รับความจริงก็เหมือนกับการบังคับปลาให้ใช้ชีวิตบนบกหรือบังคับหมูให้บิน—ซึ่งเป็นไปไม่ได้! ก่อนหน้านี้เมื่อพูดถึงเรื่องที่คนประเภทใดที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน คำว่า “สัตว์เดรัจฉาน” มักจะถูกนำมาต่อท้ายคำว่า “สุนัข” ดังนั้นพวกมันจึงถูกเรียกว่า “สุนัขเดรัจฉาน” อย่างไรก็ตามหลังจากได้เลี้ยงสุนัขและปฏิสัมพันธ์กับพวกมันอย่างใกล้ชิด เราก็พบว่าสุนัขมีสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ไม่มี นั่นคือ พวกมันทำตัวตามกฎเกณฑ์ เชื่อฟัง และมีสำนึกของการเคารพตนเอง เจ้ากำหนดขอบเขตให้สุนัขออกกำลังกาย และพวกมันก็จะออกกำลังกายอยู่ภายในนั้นเท่านั้น สุนัขจะไม่ไปในที่ที่เจ้าไม่อนุญาตให้ไปโดยไม่มีข้อยกเว้น หากพวกมันเผลอก้าวออกนอกเส้น พวกมันจะรีบถอยกลับมา ส่ายหางไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อขอโทษและยอมรับความผิดของตน มนุษย์สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้หรือไม่? (ไม่ได้) มนุษย์ยังห่างไกลนัก ถึงแม้ว่าสุนัขอาจจะไม่เข้าใจมากมายเท่ามนุษย์ แต่พวกมันก็เข้าใจสิ่งหนึ่งว่า “นี่คืออาณาเขตของเจ้าของ คือบ้านของเจ้าของ ฉันจะไปที่ใดก็ตามที่เจ้าของอนุญาต และหลีกเลี่ยงที่ที่ฉันห้ามไป” ต่อให้ไม่มีการทุบตี สุนัขเหล่านี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ไปที่นั่น พวกมันมีสำนึกของการเคารพตนเอง แม้กระทั่งสุนัขยังรู้ว่าความละอายคืออะไร แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่รู้? การจำแนกพวกที่ไม่รู้จักความละอายว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นมากเกินไปหรือไม่? (ไม่) เรื่องนี้ไม่มากเกินไปเลย ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีคุณความดีที่สุนัขมีเสียด้วยซ้ำ ในอนาคตเมื่อพวกเรากล่าวว่าใครบางคนคือสัตว์เดรัจฉาน พวกเราย่อมไม่สามารถเรียกพวกมันว่า “สุนัขเดรัจฉาน” ได้อีกต่อไป นั่นจะเป็นการดูถูกสุนัข เพราะผู้คนเหล่านี้ สัตว์เดรัจฉานเหล่านี้แย่กว่าสุนัขเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นแล้ว เมื่อผู้คนเช่นนั้นก่อการรบกวนต่อชีวิตคริสตจักรหรือต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง พวกเขาต้องถูกเอาตัวออกไปอย่างทันท่วงที—นี่เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล ชอบธรรม และไม่เกินไปแต่อย่างใด นี่ไม่ใช่การไม่เปี่ยมรัก นี่คือการกระทำตามหลักธรรม ต่อให้พวกที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจมีผลลัพธ์บางอย่างในหน้าที่ของตน พวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? พวกเขาคือคนที่ยอมรับความจริงใช่หรือไม่? พวกเขาไม่สามารถยับยั้งการกระทำของตนได้ด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะยอมรับความจริงได้หรือ? พวกเขาไม่สามารถรักษาความซื่อตรงและศักดิ์ศรีของตนได้ แล้วพวกเขาจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือ? เป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นแล้ว การจัดการกับคนเหล่านี้ในลักษณะดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินไปแต่อย่างใด การนี้เป็นไปตามหลักธรรมโดยแท้จริง และเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ในการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการก่อกวนของซาตานโดยสมบูรณ์ สรุปก็คือ เมื่อตรวจพบบุคคลเช่นนั้น พวกเขาควรถูกจัดการตามหลักธรรมหลากหลายประการที่เราเพิ่งกล่าวถึง การจัดหมวดหมู่คนประเภทที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจอย่างแท้จริง และคนที่ตามใจเนื้อหนังของตนโดยไม่มีมารยาทอันดีงามเยี่ยงวิสุทธิชนว่าเป็นผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อนั้นมากเกินไปหรือไม่ (ไม่) ในเมื่อพวกเขาถูกจัดหมวดหมู่ว่าเป็นผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อ การรวมพวกเขาอยู่ในลำดับของคนชั่วนานาประเภทที่คริสตจักรควรเอาตัวออกไปจึงไม่มากเกินไปเลย แน่นอนว่าคนที่ไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมพฤติกรรมและกิริยาท่าทางของตนได้ย่อมไม่สามารถยอมรับความจริงได้ พวกที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้ย่อมเป็นศัตรูของความจริงมิใช่หรือ? (ใช่ พวกเขาคือศัตรูของความจริง) การจัดหมวดหมู่พวกที่เป็นศัตรูของความจริงว่าเป็นคนชั่วนั้นมากเกินไปหรือไม่? (ไม่) ไม่มากเกินไปเลย ดังนั้น หลักธรรมในการจัดการกับพวกเขาจึงถูกต้องเหมาะสมโดยสมบูรณ์
ง. การมีแนวโน้มที่จะแก้แค้น
สามัคคีธรรมเรื่องการสำแดงของผู้คนประเภทที่สาม—พวกที่เหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ—ได้จบลงแล้ว นอกเหนือจากผู้คนประเภทนี้ ยังมีคนอีกมากมายที่อยู่ภายใต้หมวดหมู่ของคนชั่ว และคริสตจักรควรแยกแยะและเอาตัวคนชั่วทุกประเภทออกไป ต่อจากนี้พวกเราจะหารือถึงประเภทที่สี่ ในบรรดาคนชั่วหลากหลายประเภทที่คริสตจักรควรแยกแยะและเอาตัวออกไป คนชั่วประเภทที่สี่นี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาและความยุ่งยากที่มีนัยสำคัญ คนเหล่านี้คือใคร? คนเหล่านี้คือพวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น จากวลี “มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น” ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าผู้คนเหล่านี้ไม่มีอะไรดีเลย พูดภาษาชาวบ้านก็คือ พวกเขาคือปลาเน่าในกระชัง หากตัดสินจากการสำแดงและการเผยของความเป็นมนุษย์ที่มีมาโดยตลอดของพวกเขา รวมถึงหลักธรรมของการปฏิบัติตนของพวกเขา คนเหล่านี้ไม่ได้มีจิตใจที่ดี พวกเขาคือ “คนที่ไม่น่าคบ” ตามที่พูดกันติดปาก พวกเรากล่าวว่าพวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่มีจิตใจดี หรือกล่าวให้เจาะจงมากขึ้น บุคคลเหล่านี้ไม่ใช่คนที่มีจิตใจดี แต่มีความชั่วช้า ความมุ่งร้าย และความโหดร้าย เมื่อใครบางคนพูดหรือทำบางสิ่งบางอย่างที่กระทบถึงผลประโยชน์ หน้าตา หรือสถานะของบุคคลเหล่านี้ หรือเป็นสิ่งที่ล่วงเกินพวกเขา ประการหนึ่งคือพวกเขาเก็บงำความเป็นปฏิปักษ์เอาไว้ในหัวใจ อีกประการหนึ่งคือ พวกเขาปฏิบัติตนบนรากฐานของความเป็นปฏิปักษ์นี้ พวกเขาปฏิบัติตนด้วยจุดประสงค์และแนวทางของการระบายความเกลียดชังและบรรเทาความโกรธแค้นของตน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เรียกว่าการเสาะหาการแก้แค้น ในหมู่ผู้คนย่อมมีบุคคลเช่นนี้อยู่จำนวนหนึ่งเสมอ ไม่ว่าเป็นสิ่งที่ผู้คนอธิบายว่าเป็นการคิดเล็กคิดน้อย ชอบบงการ หรืออ่อนไหวมากเกินควร ไม่ว่าจะใช้คำใดอธิบายหรือสรุปความเป็นมนุษย์ของพวกเขา การสำแดงที่พบได้ทั่วไปเมื่อพวกเขาปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็คือ ใครก็ตามที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจทำร้ายหรือล่วงเกินพวกเขาต้องทนทุกข์และเผชิญกับผลพวงที่สาสม เหมือนที่คนบางคนกล่าวว่า “ถ้าล่วงเกินพวกเขา คุณจะเจอหนักกว่าที่คิดเสียอีก ถ้าคุณกระตุ้นหรือทำร้ายพวกเขา ก็อย่าคิดจะหนีไปได้ง่ายๆ” ในหมู่ผู้คนมีบุคคลเช่นนั้นอยู่ใช่หรือไม่? (ใช่) มีพวกเขาอยู่อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สมควรโกรธหรือคิดเล็กคิดน้อยหรือไม่ พวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นย่อมใส่เรื่องนี้ไว้ในแผนงานประจำวันของตน ปฏิบัติต่อเรื่องนี้ราวกับเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ผู้ใดก็ตามที่ล่วงเกินพวกเขา ย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และพวกเขาก็เรียกร้องให้มีการชดใช้อย่างสาสม ซึ่งเป็นหลักการในการปฏิบัติต่อผู้คนของพวกเขา เป็นการปฏิบัติต่อใครสักคนที่พวกเขาถือว่าเป็นศัตรู ยกตัวอย่างเช่น ในชีวิตคริสตจักร บางคนสามัคคีธรรมเรื่องสภาวะของพวกเขา หรือสามัคคีธรรมและแบ่งปันประสบการณ์ของพวกเขาตามปกติ หารือเกี่ยวกับสภาวะและความเสื่อมทรามของตน ในการทำเช่นนั้น พวกเขาเผลอไปพาดพิงภาวะและความเสื่อมทรามของผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ผู้พูดอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ผู้ฟังกลับเก็บสิ่งนั้นไปใส่ใจ หลังจากได้ฟังแล้ว คนคนนี้กลับไม่สามารถเข้าใจหรือจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง และพวกเขาก็มีทีท่าว่าจะเกิดความคิดที่จะแก้แค้นขึ้นมา หากพวกเขาไม่ปล่อยมือจากเรื่องนี้และยืนกรานที่จะโจมตีหรือเสาะแสวงที่จะแก้แค้น ย่อมจะก่อให้เกิดความยุ่งยากต่องานของคริสตจักร ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องถูกจัดการอย่างทันท่วงที ตราบใดที่มีคนชั่วอยู่ในคริสตจักรก็ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการก่อกวน ดังนั้นเหตุการณ์ที่คนชั่วก่อกวนคริสตจักรต้องไม่ถูกมองเป็นเรื่องเล็กน้อย ตราบใดที่เจ้ากระตุ้นหรือทำร้ายพวกเขา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ พวกเขาย่อมจะไม่ปล่อยมือโดยง่าย พวกเขาคิดในใจว่า “คุณพูดถึงความเสื่อมทรามของตัวคุณเอง แล้วมาพูดถึงฉันทำไม? คุณพูดเรื่องการรู้จักตัวเองของคุณ แล้วทำไมมาเปิดโปงฉันเล่า? การเปิดโปงความเสื่อมทรามของฉันทำให้ฉันเสียหน้าและเสียศักดิ์ศรี ทำให้ฉันกลายเป็นเป้าสายตาในหมู่พี่น้องชายหญิง ทำให้ฉันเสียเกียรติ และทำลายชื่อเสียงของฉัน เพราะฉะนั้นฉันจะหาทางแก้แค้นคุณ คุณจะต้องเจอยิ่งกว่าที่คุณคิด! อย่าคิดว่าฉันถูกรังแกได้ง่ายๆ อย่าคิดว่าคุณจะสามารถข่มเหงฉันได้เพียงเพราะสภาพครอบครัวของฉันย่ำแย่และสถานะทางสังคมของฉันไม่สูง อย่ามองว่าฉันเป็นคนที่ยอมใครง่ายๆ ฉันไม่ใช่คนที่จะมาล้อเล่นด้วยได้!” ไม่ต้องสนใจว่าพวกเขาจะดำเนินการแก้แค้นอย่างไร จงพิจารณาแค่ตัวผู้คนเหล่านี้ เมื่อพวกเขาเผชิญกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้—เรื่องที่พบได้ทั่วไปในชีวิตคริสตจักร—พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถปฏิบัติหรือทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ให้ถูกต้องได้เท่านั้น แต่พวกเขายังเกิดความเกลียดชังและรอโอกาสที่จะเสาะแสวงการแก้แค้น ถึงกับพึ่งพาวิธีการที่ไร้หลักธรรมเพื่อดำเนินการแก้แค้นของตน สิ่งนี้บอกว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นอย่างไร? (มุ่งร้าย) พวกเขาเป็นคนที่มีเมตตาหรือไม่? (ไม่ใช่) คนประเภทที่ดีที่สุดคือคนที่สามารถยอมรับความจริงได้ เมื่อพวกเขาได้ยินผู้อื่นสามัคคีธรรมและแบ่งปันประสบการณ์ของตน พวกเขาก็ใคร่ครวญว่า “ฉันมีความเสื่อมทรามแบบนี้เช่นกัน สิ่งที่พวกเขาบรรยายดูคล้ายสภาวะของฉันเลย ไม่ว่าพวกเขาจะตั้งใจเปิดโปงฉันหรือไม่ได้ตั้งใจพูดถึงบางสิ่งที่บังเอิญคล้ายคลึงกับสภาวะของฉันก็ตาม ฉันก็จะทำความเข้าใจเรื่องนั้นอย่างถูกต้อง—ฉันจะฟังดูว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์นั้นมาอย่างไร พวกเขาแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสภาวะนี้อย่างไร รวมถึงพวกเขาปฏิบัติและเข้าสู่อย่างไร” นี่คือใครบางคนที่ยอมรับความจริงโดยแท้ ผู้ที่ด้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้อาจจะคิดว่า “ทำไมอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขายอมรับถึงคล้ายกับสภาวะของฉันเลย? พวกเขากำลังพูดถึงฉันอยู่หรือเปล่า? อย่างนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาพูดไป อย่างไรเสียฉันก็ไม่ได้ทนทุกข์กับความสูญเสียใดๆ และผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่น่าจะรู้อยู่แล้ว บางทีพวกเขาอาจจะแค่กำลังพูดถึงตัวเองและบังเอิญตรงกับสภาวะของฉัน พวกเราทุกคนต่างมีสภาวะแบบเดียวกัน” พวกเขาไม่จริงจังกับเรื่องนี้ ไม่ได้เก็บซ่อนความเกลียดชังเอาไว้ในหัวใจ และไม่มีความคิดที่จะแก้แค้น อย่างไรก็ตาม สำหรับคนชั่วที่ไม่มีเมตตานั้นแตกต่างออกไป ผู้อื่นจะมองเรื่องเดียวกันนี้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป จัดการและปฏิบัติต่อเรื่องดังกล่าวตามความเหมาะสม แน่นอนว่า คนดีที่ยอมรับความจริงจะแก้ไขเรื่องนี้ด้วยความกระตือรือร้นและเป็นบวก ส่วนคนธรรมดาทั่วไปนั้น ถึงแม้จะไม่ได้แก้ไขอย่างเป็นบวก แต่ก็ไม่ได้เก็บงำความเกลียดชังเอาไว้ ไม่ต้องพูดถึงการเสาะแสวงที่จะแก้แค้นเลย แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีเมตตาเหล่านั้น เรื่องธรรมดาสามัญอย่างแท้จริงเช่นนี้ก็สามารถทำให้พวกเขาเกิดความปั่นป่วนภายใน ทำให้พวกเขาไม่สามารถสงบใจลงได้ สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากพวกเขาไม่ใช่เรื่องธรรมดาหรือเป็นบวก แต่เป็นสิ่งชั่วช้าและเลวร้าย พวกเขาเสาะแสวงหาการแก้แค้น เหตุผลในการแก้แค้นของพวกเขาคืออะไร? พวกเขาเชื่อว่าผู้คนจงใจกล่าวหาพวกเขาด้วยความคิดเห็นที่มุ่งร้าย เปิดโปงสถานการณ์จริงเกี่ยวกับพวกเขา รวมไปถึงด้านที่อัปลักษณ์และความเสื่อมทรามของพวกเขา พวกเขาถือว่าสิ่งที่ผู้คนพูดออกมาเป็นความตั้งใจ จึงมองว่าคนเหล่านั้นเป็นศัตรูของตน จากนั้น พวกเขาก็รู้สึกว่าการแก้แค้นเพื่อสยบเรื่องดังกล่าวคือสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล โดยใช้วิธีการนานาประการเพื่อให้สัมฤทธิ์เป้าหมายในการแก้แค้นของพวกเขา นี่คืออุปนิสัยอันชั่วช้ามิใช่หรือ? (ใช่) ในชีวิตคริสตจักร เมื่อพี่น้องชายหญิงพูดถึงสภาวะของตน ผู้ฟังส่วนใหญ่สามารถเข้าใจและยอมรับเรื่องดังกล่าวจากพระเจ้าได้ มีเพียงบรรดาผู้ที่รังเกียจความจริงและมีอุปนิสัยเลวร้ายเท่านั้นที่เกิดความเป็นปฏิปักษ์และถึงกับเกิดกรอบความคิดที่จะแก้แค้นเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว และเผยแก่นแท้ธรรมชาติของตนออกมาอย่างหมดเปลือก เมื่อเกิดกรอบความคิดที่จะแก้แค้น ก็ย่อมเกิดพฤติกรรมและการกระทำที่จะแก้แค้นตามมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเกิดการเสาะแสวงที่จะแก้แค้นขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนจะเป็นอย่างไร? ความสัมพันธ์ย่อมไม่ถูกควรอีกต่อไป แล้วใครคือเหยื่อตัวจริงในเรื่องนี้? (คนที่พวกเขาเสาะแสวงที่จะแก้แค้น) ถูกต้อง เหยื่อตัวจริงคือบรรดาผู้ที่สามัคคีธรรมคำพยานจากประสบการณ์ของตน แล้วจากนั้นพวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นก็จะตัดสิน โจมตี และถึงกับกล่าวหาหรือว่าร้ายบรรดาผู้ที่พวกเขามองว่าเปิดโปงหรือเก็บงำความเป็นปฏิปักษ์กับตนเอาไว้ โดยใช้คำพูดหรือการกระทำในสถานการณ์ต่างๆ พวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นไม่เพียงเก็บงำความเกลียดชังไว้ในหัวใจเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น พวกเขายังมองหา และถึงกับสร้างโอกาสทุกรูปแบบขึ้นมาเพื่อเสาะแสวงหาการแก้แค้นบรรดาผู้ที่เป็นเป้าหมายในการแก้แค้นของตน ผู้ที่พวกเขามองว่าเป็นปฏิปักษ์ และผู้ที่พวกเขามองว่าเป็นภัยต่อตนเอง ตัวอย่างเช่น ระหว่างการคัดเลือกผู้นำ หากคนที่พวกเขามองว่าเป็นปฏิปักษ์ตรงตามหลักธรรมในการใช้ผู้คนภายในพระนิเวศของพระเจ้า และมีคุณสมบัติที่จะได้รับเลือกเป็นผู้นำ ความเป็นปฏิปักษ์ดังกล่าวย่อมจะทำให้พวกเขาตัดสิน กล่าวโทษ และโจมตีคนคนนั้น พวกเขาอาจถึงกับกระทำการลับหลัง หรือทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นผลร้ายต่อคนคนนั้นเพื่อแก้แค้น สรุปก็คือ วิธีการแก้แค้นของพวกเขามีหลากหลาย ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจจะหาสิ่งต่างๆ มาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อโจมตีใครบางคนและพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับคนเหล่านั้น กุข่าวลือเกี่ยวกับคนคนนั้นด้วยเรื่องเล่าที่เกินจริงและไม่มีมูล หรือเผยแพร่ความขัดแย้งระหว่างคนคนนั้นกับผู้อื่น พวกเขาอาจจะถึงกับกล่าวหาคนคนนั้นต่อผู้นำอย่างเป็นเท็จ โดยอ้างว่าคนคนนั้นไม่จงรักภักดี และต้านทานผ่านความคิดลบในการทำหน้าที่ของตน ทั้งหมดนี้คือการจงใจกุเรื่อง คือการปั้นน้ำเป็นตัวอย่างแท้จริง จากความสงสัยและความเข้าใจผิดของพวกเขาต่อคนคนนั้น ดูเอาเถิดว่ามีพฤติกรรมและการกระทำที่ไร้เหตุผลเกิดขึ้นมากมายเพียงใด แนวทางเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากธรรมชาติที่จะแก้แค้นของพวกเขาทั้งสิ้น อันที่จริงเมื่อคนคนนั้นแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ของตน คำพยานนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปที่พวกเขาเลย การแบ่งปันคำพยานนั้นไม่ได้มีเจตนาที่มุ่งร้ายต่อพวกเขาแต่อย่างใด ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขารังเกียจความจริงและมีอุปนิสัยชั่วช้าซึ่งมีแนวโน้มที่จะแก้แค้น ทำให้พวกเขาไม่ยอมให้ผู้อื่นเปิดโปงตนเอง และไม่ปล่อยให้มีการหารือเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง หารือเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หรือพูดถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของคนเรา เมื่อมีการหารือถึงหัวข้อดังกล่าว พวกเขาก็เริ่มโกรธเกรี้ยว ทึกทักไปว่าตนเองกำลังถูกเพ่งเล็งและถูกเปิดโปง จนพัฒนาและเกิดเป็นกรอบความคิดที่จะแก้แค้น การสำแดงของคนประเภทที่ดำเนินการแก้แค้นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงรูปการณ์แวดล้อมแบบใดแบบหนึ่ง เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนั้น? เพราะบุคคลเช่นนั้นมีธรรมชาติที่ชั่วช้า ใครก็ไม่อาจกระตุ้นหรือยั่วยุพวกเขาได้ พวกเขามีความก้าวร้าวตามธรรมชาติกับทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่าง คล้ายกับพวกแมงป่องหรือตะขาบ ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าใครจะพูดจากระตุ้นหรือทำร้ายพวกเขาด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ตราบใดที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาสูญเสียความภาคภูมิใจและสูญเสียเกียรติ พวกเขาก็จะคิดหาหนทางในการกอบกู้เกียรติและความภาคภูมิใจของตน จนนำไปสู่การกระทำที่เป็นการแก้แค้นอย่างต่อเนื่อง
ต่อไปนี้เราจะสามัคคีธรรมถึงการสำแดงอื่นๆ ของผู้ที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้น บางคนถูกผู้นำตัดแต่งเพราะพวกเขาทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน ทำให้พวกเขาเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ บอกเราทีเถิดว่า การตัดแต่งพวกเขานั้นชอบด้วยเหตุผลใช่หรือไม่? (ใช่) การนี้ชอบด้วยเหตุผลและเป็นปกติโดยสมบูรณ์ หากเจ้าทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน ก่อให้เกิดความเสียหายต่องานของคริสตจักร และเจ้าไม่ปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรม แล้วใครบางคนลุกขึ้นเปิดโปงและตัดแต่งเจ้า นั่นย่อมชอบด้วยเหตุผล และเจ้าก็ควรยอมรับ อย่างไรก็ตาม พวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นไม่เพียงไม่ยอมรับการนี้เท่านั้น แต่ยังเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ เมื่อผู้นำกลับไป พวกเขาก็เริ่มด่าทอว่า “คุณจะโอ้อวดไปเพื่ออะไร? คุณก็แค่มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่เท่านั้นเองมิใช่หรือ? หากฉันมีตำแหน่งเช่นนั้นบ้าง ฉันคงจะทำได้ดีกว่าคุณอีก! ตัดแต่งฉันอย่างนั้นหรือ คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? ฉันเกลียดคุณที่มาตัดแต่งฉัน ฉันขอแช่งให้คุณถูกรถชน ขอให้คุณดื่มน้ำแล้วสำลักน้ำตาย ขอให้คุณสำลักอาหารตาย ฉันขอแช่งให้คุณตายอย่างทุกข์ทรมาน! คุณกล้าตัดแต่งฉันหรือ? บนโลกนี้ไม่มีใครกล้าตัดแต่งฉันเลย!” เมื่อผู้นำเหล่านั้นถูกผู้นำระดับสูงกว่าตัดแต่งเพราะเรื่องบางเรื่อง พวกเขาก็สะใจกับเคราะห์ร้ายของผู้นำและมีความสุขอย่างสุดขีด ฮัมเพลง พลางคิดในใจว่า “เป็นอย่างไรเล่า? โอ้อวดดีนัก แล้วตอนนี้คุณก็กำลังเจอกรรมตามสนอง! ใครก็ตามที่ตัดแต่งฉัน ฉันจะทำให้พวกเขามีชีวิตที่น่าอนาถ!” เจ้าคิดอย่างไรกับผู้คนเช่นนั้น? (พวกเขามุ่งร้าย) ไม่ว่าการตัดแต่งคนเหล่านี้จะชอบด้วยเหตุผลเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับได้ พวกเขาดึงดันที่จะโต้แย้งและปกป้องตนเอง หลังจากนั้นพวกเขาก็ยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินต่อไป ยังคงทำตัวดื้อรั้นแม้จะมีการตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในพระนิเวศของพระเจ้า หากเจ้ากระทำการในลักษณะสุกเอาเผากินอยู่เสมอ เจ้าย่อมจะถูกตัดแต่ง หากเจ้าทำงานของตนในทางโลกและเจ้าทำตัวสุกเอาเผากิน เจ้าอาจจะลงเอยด้วยการถูกไล่ออกและเสียแหล่งทำมาหากินของตนไป ส่วนใหญ่แล้วในพระนิเวศของพระเจ้า หลักธรรมคือการสามัคคีธรรมความจริงและเกื้อหนุนกันด้วยความรัก เปิดโอกาสให้ผู้คนส่วนมากไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของพวกเขาตามปกติ ในหมู่ผู้นำและคนทำงาน ที่จริงแล้วมีเพียงส่วนน้อยที่อาจจะเผชิญกับการตัดแต่งอย่างรุนแรง ผู้คนส่วนใหญ่ปฏิบัติตนตามความเชื่อ การตระหนักรู้ มโนธรรม และเหตุผล ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า และไม่ได้ทำผิดพลาดร้ายแรง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เผชิญกับการตัดแต่งอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม การถูกตัดแต่งเป็นสิ่งที่ดี มีกี่คนที่เผชิญกับการตัดแต่ง โดยเฉพาะการตัดแต่งจากเบื้องบน? นี่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการรู้จักตนเองและการเติบโตในชีวิต อย่างน้อยที่สุด ผู้เชื่อต้องเข้าใจนัยสำคัญของการถูกตัดแต่ง ยอมรับว่าการตัดแต่งเป็นสิ่งที่ดี ต่อให้การตัดแต่งจากคนบางคนจะไม่สอดคล้องกับหลักธรรมโดยสมบูรณ์ ทั้งยังปนเปไปด้วยความลำเอียงส่วนตัวและความหัวร้อน เจ้าก็ยังควรตรวจสอบตนเองเพื่อดูว่าการกระทำของเจ้าในแง่มุมใดที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรม และยอมรับอย่างเป็นบวก การทำเช่นนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเจ้า ทว่าคนชั่วเหล่านี้ไม่สามารถยอมรับการตัดแต่งที่ชอบด้วยเหตุผลได้เสียด้วยซ้ำ ต่อให้พวกเขาไม่ลงมือเสาะแสวงหาการแก้แค้น หัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างมหาศาล และพวกเขาก็สาปแช่งและก่นด่า เมื่อคนที่ตัดแต่งพวกเขาเผชิญกับการตัดแต่งตนเองหรือพบเจอความทุกข์ยาก พวกเขาก็มีความสุขยิ่งกว่าเด็กที่ฉลองวันขึ้นปีใหม่เสียอีก นี่คือการสำแดงของคนชั่ว นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ชอบแข่งขันกันในการทำหน้าที่ของพวกเขา คนเหล่านี้มักจะไม่ทำตามหลักธรรมและมักกระทำการอย่างสุกเอาเผากินอยู่บ่อยครั้ง จนนำไปสู่การปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เกิดผล เมื่อผู้นำสามัคคีธรรมถึงประเด็นปัญหาของพวกเขาและตัดแต่งพวกเขา พวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นย่อมไม่สามารถปฏิบัติต่อเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง ถึงแม้ในใจพวกเขาจะยอมรับความสุกเอาเผากินและการขาดหลักธรรมในการทำหน้าที่ของตน แต่พวกเขาก็ยังคงเกิดความคิดและเสาะแสวงที่จะแก้แค้นเพื่อตอบโต้การถูกตัดแต่งอยู่ดี ต่อมาพวกเขาก็เขียนจดหมายกล่าวหาผู้นำอย่างเป็นเท็จ หยิบเอาการปฏิบัติและการเผยความเสื่อมทรามบางประการของพวกเขามาทำให้ใหญ่โตเกินจริงและรายงานต่อระดับสูงขึ้นไป พยายามทำให้ผู้นำเหล่านั้นถูกปลด หากพวกเขาไม่สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของตน พวกเขาก็จะบ่อนทำลายและก่อการรบกวนลับหลัง ต้านทานการจัดการเตรียมการของผู้นำอย่างหัวชนฝา พวกเขาไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักร หลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด หรือประสิทธิผลในการทำหน้าที่ของตนเลย พวกเขาสนใจแค่เพียงการระบายความโกรธของตนเท่านั้น พวกเขาไม่ยอมฟังใคร ถึงกับไม่ยอมรับการตักเตือนจากผู้นำและคนทำงานเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้พวกเขาจะไม่โต้เถียงหรือขัดขืนต่อหน้าคนเหล่านั้น แต่ลับหลังพวกเขาสามารถระบายความคิดลบ ทิ้งงานเพื่อต่อต้าน รวมถึงฉวยโอกาสจากช่องทางใดก็ตามเพื่อต่อต้านการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าหรือเพื่อต่อต้านผู้นำและคนทำงาน พวกเขาถึงกับเผยแพร่มโนคติอันหลงผิด พวกเขาเองก็คิดลบและไม่เต็มใจทำหน้าที่ของตน แต่พวกเขาก็ยังพยายามลากให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นคิดลบและหย่อนยาน อีกทั้งละเลยหน้าที่ของตน หลักธรรมของพวกเขาคืออะไร? “ฉันไม่กลัวตาย ฉันจำเป็นต้องหาใครสักคนเพื่อลากลงไปกับฉันด้วย ผู้นำตัดแต่งฉัน บอกว่าการปฏิบัติหน้าที่ของฉันไม่ถึงมาตรฐาน—เช่นนั้นฉันจะทำให้แน่ใจว่าทุกคนก็ไม่อาจทำหน้าที่ของพวกเขาให้ดีได้ หากฉันทำได้ไม่ดี พวกคุณก็จะไม่มีใครทำได้ทั้งนั้น! ผู้นำตัดแต่งฉัน แล้วพวกคุณทุกคนพากันหัวเราะเยาะฉัน ฉันจะให้พวกคุณทุกคนอยู่ไม่เป็นสุข!” เมื่อพวกเขาทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินหรือขัดต่อหลักธรรม และใครบางคนรายงานเรื่องนี้ต่อผู้นำ พวกเขาก็ไล่เบี้ยเรื่องนี้ว่า “ใครรายงานฉัน? ใครเอาเรื่องของฉันไปบอกผู้นำ? ใครมีความใกล้ชิดกับผู้นำ? ฉันจะหาให้เจอว่าใครรายงานฉันต่อผู้นำระดับสูงขึ้นไป ฉันจะไม่ไว้หน้าคนคนนั้น! ฉันจะไม่มีวันปล่อยมือจากเรื่องนี้!” พวกเขาไม่เพียงแต่เอ่ยคำพูดที่รุนแรงได้เท่านั้น แต่แน่นอนว่าพวกเขายังสามารถกระทำการข่มขู่เช่นนั้นได้ด้วย บุคคลเหล่านี้มีกลยุทธ์ที่ร้ายกาจและไม่ซื่อมากมายในการเสาะแสวงที่จะแก้แค้น ไม่ใช่แค่การฉวยโอกาสเพื่อตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่นเท่านั้น บางคนจงใจขโมยสายชาร์จแล็ปท็อปของคนที่พวกเขาต้องการแก้แค้น ทำให้คนเหล่านั้นไม่สามารถชาร์จแล็ปท็อปของพวกเขาและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา บางคนตั้งใจใส่เกลือจำนวนมากลงไปในอาหารของคนอื่นเพื่อทำให้อาหารนั้นกินไม่ได้ วิธีการแก้แค้นอันหยาบช้าเหล่านี้ที่พบได้ทั่วไปในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อก็เป็นสิ่งที่คนชั่วในคริสตจักรนำมาใช้เช่นกัน วิธีดำเนินการแก้แค้นของพวกเขาไปไกลเกินกว่าสิ่งเหล่านี้ มีกลยุทธ์ที่ไร้ศีลธรรมบางประการที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเราเพียงยกตัวอย่างทั่วๆ ไปเพียงสองสามตัวอย่างเท่านั้น ในหมู่คนเหล่านั้น บางคนจงใจที่จะสร้างปัญหา อุปสรรค และความลำบากยากเย็นแก่ผู้อื่น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป ในทุกๆ กลุ่ม ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมและสภาพแวดล้อมอันหลากหลาย อุปนิสัยที่ชั่วช้าของพวกที่มีแนวโน้มที่จะแก้แค้นนั้นถูกเปิดโปงอยู่เป็นนิจ การสำแดงถึงการแก้แค้นของคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์นั้นยิ่งเห็นได้ชัดเจน ตราบใดที่มีคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์อยู่ในคริสตจักร ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรผู้เชื่อในพระองค์และไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ย่อมจะถูกรบกวน แต่ละวันที่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ยังคงอยู่ย่อมเป็นวันที่คริสตจักรไม่รู้จักสันติสุข—คนดีจะถูกโจมตีและถูกกีดกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะเผชิญกับความเป็นปฏิปักษ์และการแก้แค้นจากคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทรมานและดำเนินการแก้แค้นผู้อื่นอย่างไร? ก่อนอื่น พวกเขามุ่งเป้าไปยังผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติตามหลักธรรม คนชั่วเหล่านี้รับรู้อย่างชัดแจ้งว่ามีเพียงผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่เป็นภัยต่อพวกเขามากที่สุด ประการแรก ผู้ที่เข้าใจความจริงย่อมสามารถแยกแยะพวกเขาได้ ตราบใดที่พวกเขาทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดี ผู้ที่เข้าใจความจริงก็จะมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง ประการที่สอง เมื่อมีผู้ที่เข้าใจความจริงอยู่ พวกเขาจะค่อนข้างถูกจำกัดในการทำความชั่ว จนยากที่พวกเขาจะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน จากแง่มุมนี้ มีเพียงผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่เป็นผู้ปกป้องงานของคริสตจักร เมื่อมีผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่ คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่กล้าที่จะทำตัวเผด็จการ และต้องมีการยับยั้งชั่งใจอยู่บ้าง ด้วยเหตุนั้น บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจึงเป็นหนามยอกอกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ เป็นหอกข้างแคร่ และนั่นคือสาเหตุที่พวกเขาคิดหาหนทางในการดำเนินการแก้แค้น
เมื่อคนชั่วดำเนินการแก้แค้น พวกเขาย่อมแสดงอุปนิสัยอันชั่วช้าออกมา ทำตัวไร้เหตุผลและขาดความมีเหตุมีผล ผู้ที่ได้ใช้เวลากับพวกเขาสักระยะหนึ่งและเข้าใจพวกเขาย่อมหวาดกลัวพวกเขาในระดับหนึ่ง การสนทนากับพวกเขาพึงอาศัยความระมัดระวังและความสุภาพอย่างที่สุด ต้องแสดงความเคารพในระดับที่มากเกินควร คนเหล่านั้นต้องคอยเอาอกเอาใจและอำนวยความสะดวกให้พวกเขาอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังไม่สามารถชี้ให้พวกเขาเห็นถึงประเด็นปัญหาหรือข้อผิดพลาดที่มีได้โดยตรง กลับกัน คนเหล่านั้นต้องหารือประเด็นเหล่านี้ทางอ้อมด้วยการหว่านล้อม แล้วหลังจากพูดจบ คนเหล่านั้นก็ต้องยกย่องพวกเขาโดยกล่าวว่า “ถึงแม้คุณจะมีข้อตำหนิหรือความขาดตกบกพร่องเช่นนี้ คุณก็เรียนรู้ทักษะต่างๆ ได้เร็วกว่าพวกเรา ความสามารถทางวิชาชีพของคุณแข็งแกร่งกว่าคนอื่น และประสิทธิผลในงานของพวกคุณก็สูงกว่าพวกเรา ฉันมองว่าข้อผิดพลาดของคุณเป็นจุดแข็ง” คนเหล่านั้นถึงกับต้องประจบประแจงพวกเขา เหตุใดคนเหล่านั้นจึงทำเช่นนี้? เพราะคนเหล่านั้นกลัวการแก้แค้นจากพวกเขา ในหนทางนี้ คนชั่วเหล่านี้ย่อมเกิดความพึงพอใจ และรู้สึกว่าในหัวใจนั้นสงบลง เพื่อหลีกเลี่ยงการแก้แค้นของพวกเขา ผู้คนส่วนใหญ่กลัวที่จะหยิบยกประเด็นปัญหาใดๆ ที่ตรวจพบขึ้นมาคุยกับพวกเขาต่อหน้า และพวกเขาก็ไม่กล้ารายงานประเด็นปัญหาเหล่านี้ แม้แต่ในยามที่เห็นชัดว่าพวกเขากำลังสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และงานของคริสตจักรกำลังล่าช้าเพราะความดื้อดึงและเอาแต่ใจอย่างไม่ยั้งคิดของพวกเขา หรือแม้แต่ในยามที่สังเกตเห็นความบิดเบือนบางอย่างในทิศทางและหลักการของพวกเขา ก็ไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านหรือรายงานพวกเขาต่อผู้นำระดับสูงขึ้นไปเลย เนื่องจากอุปนิสัยที่ชั่วช้าของพวกเขา และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาซึ่งมีแนวโน้มที่จะแก้แค้นของพวกเขา คนอื่นๆ จึงค่อนข้างหวาดกลัวพวกเขา รู้สึกโกรธแต่ก็กลัวเกินกว่าจะพูดออกไป การสนทนากับพวกเขาต้องสุภาพและมีชั้นเชิงเป็นพิเศษ ทั้งยังต้องแสดงท่าทีเมตตา อ่อนโยน และสุภาพกับพวกมากกว่าปกติ เมื่อผู้คนพูดกับพวกเขาด้วยความเคารพและความสุภาพ อ่อนน้อมต่อพวกเขา พวกเขาย่อมรู้สึกสบายใจอยู่ภายใน อย่างไรก็ตาม หากใครบางคนตรงไปตรงมา เปิดโปงประเด็นปัญหาของพวกเขาและให้ข้อเสนอแนะ พวกเขาก็จะเริ่มไม่พอใจ มองว่านี่เป็นการไม่เคารพ มองว่าผู้อื่นมีข้อคัดค้านหรือมีความเป็นศัตรูกับพวกเขา เรื่องนี้กระตุ้นให้พวกเขาเสาะแสวงการแก้แค้นและทรมานคนคนนั้น พวกเขาต้องทำลายคนคนนั้นและทำให้คนคนนั้นเสื่อมเสียชื่อเสียง หากคนคนนั้นตกอยู่ในกำมือของพวกเขา คนคนนั้นจะไม่พบจุดจบที่ดี ผู้คนเช่นนั้นน่ากลัวใช่หรือไม่? (ใช่) หากเจ้าไม่เข้าใจพวกเขาและล่วงเกินพวกเขาเข้าจริงๆ พวกเขาจะเก็บความเคียดแค้นต่อเจ้าเอาไว้ ครุ่นคิดที่จะแก้แค้นเจ้าแม้กระทั่งในยามกินและยามนอน เมื่อเจ้าอยู่ในสายตาของพวกเขาย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอความยุ่งยาก เพราะพวกเขามุ่งมั่นที่จะเสาะแสวงการแก้แค้น แม้ภายนอกพวกเขาอาจจะพูดกับเจ้าเหมือนก่อน แต่ทันทีที่พวกเขาครุ่นคิดที่จะเสาะแสวงการแก้แค้น ทุกสิ่งที่เจ้าเคยพูดหรือทำมาก่อนหน้านี้ย่อมกลายเป็นเครื่องมือโจมตีสำหรับพวกเขา พวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะศัตรู ดำเนินการแก้แค้นไปทีละน้อยจนกว่าพวกเขาจะรู้สึกว่าได้แก้แค้นมากพอและพึงพอใจโดยสมบูรณ์ นี่คือผลจากการคบหาคนชั่ว
อ้างอิงจากพฤติกรรมนานาประการ รวมถึงอ้างอิงจากหลักธรรมและวิธีการประพฤติและปฏิบัติตน ผู้ที่มีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้นนั้นเป็นภัยคุกคามต่อคนเกือบทุกคน ยกเว้นบรรดาผู้ที่มีจิตใจดีและผู้ที่มีอัธยาศัยดีต่อทุกคน และผู้ที่ขาดหลักธรรมเวลาจัดการกับใครก็ตาม—บุคคลเช่นนั้นย่อมปลอดภัยเมื่ออยู่รอบตัวคนที่ชั่วช้า อย่างไรก็ตาม เมื่อบรรดาผู้ที่มีสำนึกของมโนธรรมหรือความยุติธรรมเล็กน้อยอยู่ต่อหน้าผู้ที่มีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้นก็ย่อมจะรู้สึกถูกคุกคามในระดับที่ต่างกันไปไม่ว่ามากหรือน้อย ในกรณีร้ายแรงพวกเขาอาจจะเจอกับการทำร้ายร่างกาย หรือแม้กระทั่งการข่มขู่เอาชีวิต ขณะที่ในกรณีที่เบาลงมา พวกเขาอาจจะตกเป็นเป้าของการโจมตีด้วยคำพูด การสบประมาท หรือการใส่ร้ายป้ายสี สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการเผยและการสำแดงโดยรวมถึงอุปนิสัยอันชั่วช้าของผู้ที่มีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้น อ้างอิงตามการสำแดงโดยรวมของพวกเขา ผู้คนเช่นนั้นยังก่อการรบกวนในหมู่พี่น้องชายหญิงและภายในคริสตจักรอีกด้วย เกือบทุกคนที่ปฏิสัมพันธ์กับคนเจ้าคิดเจ้าแค้นย่อมตกเป็นเป้าหมายของการแก้แค้น ตกเป็นเหยื่อของพวกเขาอย่างแทบไม่มีการยกเว้น พวกที่มีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้นมีอุปนิสัยที่ชั่วช้าคือระเบิดเวลาที่สามารถระเบิดได้ทุกเมื่อ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถทำตามฝูงชนในการทำหน้าที่และสามารถใช้ชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติได้ แต่เมื่อตัดสินจากความเป็นมนุษย์ของพวกเขา คนเหล่านี้อาจเสาะแสวงการแก้แค้นและเป็นภัยคุกคามต่อผู้อื่นได้ทุกเมื่อ และทำให้ผู้คนหวาดกลัวและระวังตัวจากพวกเขา นี่เป็นการรบกวนสำหรับผู้คนส่วนมากแล้วมิใช่หรือ? (ใช่) เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการล่วงเกินพวกเขา หลีกเลี่ยงความขุ่นเคืองใจและการแก้แค้นของพวกเขา และทำให้พวกเขาพึงพอใจ ผู้คนต้องเอาใจใส่สีหน้าท่าทางของพวกเขา และฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของพวกเขา พยายามหาเจตนา เป้าหมาย และทิศทางของพวกเขาให้เจอในยามที่พวกเขาพูด จากแง่มุมนี้ ผู้คนส่วนมากไม่เพียงถูกพวกเขาก่อกวนเท่านั้น แต่ยังถูกพวกเขาควบคุมด้วยมิใช่หรือ? (ใช่) เพราะฉะนั้นหากตัดสินจากธรรมชาติของเรื่องนี้ บุคคลที่เจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนั้นมิใช่คนชั่วหรอกหรือ? (ใช่) เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าพวกเขาควรถูกระบุว่าเป็นคนชั่ว หากคนเราพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ของบุคคลเช่นนั้น ส่วนมากย่อมหวาดกลัวที่จะพูดความจริงเกี่ยวกับพวกเขา และจะบ่ายเบี่ยงทุกคำถามเกี่ยวกับพวกเขาด้วยคำตอบแบบเลี่ยงๆ อย่างเช่น “ก็โอเค” ไม่กล้ารายงานปัญหาของพวกเขา อีกทั้งไม่กล้าพูดถึงหรือประเมินพวกเขา นี่คือสถานการณ์ที่เป็นปัญหามิใช่หรือ? บางคนกล่าวว่า “คนชั่วเช่นนั้นสามารถเสาะแสวงการแก้แค้นได้ทุกที่และทุกเวลา ใครจะกล้าไปแหย่พวกเขาเล่า? มากไปกว่านั้น พวกเขามักจะอ้างว่ามีเส้นสายทั้งในแวดวงที่ผิดกฎหมายและถูกกฎหมาย ขู่ว่าหากใครล่วงเกินพวกเขา คนคนนั้นย่อมจะจบไม่สวย พวกเขาจะสอนบทเรียนให้กับคนคนนั้น และทำให้ครอบครัวของคนคนนั้นตายอย่างทุกข์ทรมาน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้าแหย่พวกเขา ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ส่วนพวกเราได้แต่หวังว่าอะไรๆ จะเป็นไปได้ด้วยดีสำหรับพวกเราเอง” เจ้าเห็นหรือไม่ว่าเกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้นในคริสตจักร ซึ่งมีความหมายไปโดยปริยายว่าพวกเขาได้ควบคุมผู้คนเหล่านี้แล้ว เนื่องจากได้เห็นอุปนิสัยอันชั่วร้ายในการเสาะแสวงการแก้แค้นของพวกเขากับตาตัวเอง ผู้คนจึงไม่กล้ากล่าวหาหรือตัดแต่งพวกเขา และไม่กล้าพูดเรื่องการประเมินที่แท้จริงของพวกเขา บทสนทนาต้องถูกนำให้เลี่ยงพวกเขาด้วยกลัวการล่วงเกินพวกเขา และแม้แต่พูดถึงการสำแดงที่แท้จริงของพวกเขาอย่างเจาะจงลับหลังพวกเขาก็เป็นเรื่องที่น่าหวั่นใจเหลือเกิน ผู้คนกลัวสิ่งใด? พวกเขากลัวว่าคำพูดของตนจะไปถึงหูของคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ผู้ซึ่งจะเสาะแสวงที่จะแก้แค้นพวกเขา หลังจากพูดออกไปพวกเขาก็ตบหน้าผากของตนและกล่าวว่า “ไม่นะ วันนี้ฉันพูดจาไม่เข้าท่าออกไป คอยดูได้เลย ฉันจะต้องทนทุกข์เพราะเรื่องนั้นแน่ ทำไมฉันถึงปิดปากตัวเองไม่อยู่?” นับจากนั้นพวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในความกลัวและความวิตกกังวลตลอดเวลา ใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวง เฝ้าสังเกตอยู่เสมอเวลาที่อยู่รอบตัวคนคนนั้น พลางสงสัยว่า “เขารู้เรื่องที่ฉันพูดหรือเปล่า? เรื่องนั้นไปถึงหูเขาหรือยัง? ท่าทีที่เขามีต่อฉันยังเหมือนเดิมใช่ไหม?” ยิ่งใคร่ครวญมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่น และยิ่งเป็นเช่นนี้ไปนานเท่าไร ความกลัวของพวกเขาก็ยิ่งใหญ่โตมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจว่าการหลีกเลี่ยงคนคนนั้นไปด้วยย่อมจะดีกว่า พลางคิดว่า “ฉันเสี่ยงที่จะไปแหย่เข้าเขาอีกไม่ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็สามารถเลี่ยงเขาได้ ไม่ว่าเขารู้เรื่องที่ฉันพูดหรือไม่ ฉันก็แค่อยู่ห่างจากเขาได้ไม่ใช่หรือ?” ความกลัวนี้ครอบงำพวกเขาอย่างหนักจนพวกเขาไม่กล้าเข้าชุมนุมเสียด้วยซ้ำ หลีกเลี่ยงที่ใดก็ตามที่คนชั่วช้าคนนั้นจะอยู่ รู้สึกกลัวอย่างสุดขีด
พวกคนชั่วผู้มีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้นควรถูกจัดการอย่างไร? (เอาตัวพวกเขาออกไป) การทำเช่นนั้นเรียบง่ายมาก เพียงหกพยางค์—เอาตัวพวกเขาออกไป—แล้วก็จบ หากพวกเขาถูกเอาตัวออกไปและผู้คนส่วนใหญ่เฉลิมฉลอง รู้สึกถึงสำนึกของความพึงพอใจอย่างลึกซึ้ง เช่นนั้นการตัดสินใจเอาตัวพวกเขาออกไปย่อมเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ในระหว่างการชุมนุม การปรากฏตัวของคนชั่วหมายความว่าผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกอึดอัดขณะสามัคคีธรรม พวกเขากลัวว่าคำพูดที่ผิดอาจจะล่วงเกินคนชั่ว ดังนั้นพวกเขาจึงระมัดระวังและหลีกเลี่ยงคำเหล่านั้น ระหว่างการชุมนุมมีกฎที่ไม่ได้พูดออกมาข้อหนึ่งเกิดขึ้น หากใครบางคนส่งสัญญาณผ่านทางสายตา หัวข้อจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นี่คือสภาวะของเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อผู้ที่มีแนวโน้มในการแก้แค้นถูกเอาตัวออกไป คริสตจักรย่อมสงบสุข ชีวิตคริสตจักรกลายเป็นปกติ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนก็หวนคืนสู่ความเป็นปกติเช่นกัน บัดนี้พี่น้องชายหญิงย่อมสามารถแบ่งปันและอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างอิสระ อีกทั้งแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ของพวกเขาได้อย่างเสรีโดยไม่ถูกผู้ใดควบคุม ไม่ต้องกลัวใคร และไม่ต้องเอาใจใส่ในสีหน้าท่าทางของใคร อ้างอิงจากผลลัพธ์นี้ การเอาตัวคนชั่วเช่นนั้นออกไปเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่? (ใช่) ใช่แน่นอน พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไป หากไม่เอาตัวพวกเขาออกไป ชีวิตจะเป็นเรื่องที่ยากเกินทนสำหรับทุกคน และหลายคนย่อมจะหวาดกลัวเกินกว่าจะเข้าร่วมการชุมนุม คนขี้ขลาดบางคนอาจจะถึงกับทนทุกข์จากฝันร้าย ฝันว่าถูกปีศาจชั่วบีบคออยู่เสมอ พวกเขามักจะระวังจนเกินควรระหว่างการชุมนุม ไม่เคยกล้าที่จะพูด ไม่สามารถรู้สึกหลุดพ้นและเป็นอิสระได้ ตั้งแต่ที่คนชั่วถูกเอาตัวออกไป พวกเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตอนนี้พวกเขากล้าพูดในระหว่างการชุมนุม พวกเขาเริ่มกระตือรือร้นมากขึ้นในระหว่างสามัคคีธรรม และพวกเขาก็รู้สึกปลดเปลื้องและเป็นอิสระ นี่คือสิ่งที่ดีมิใช่หรือ? (ใช่) การแยกแยะบุคคลที่เจ้าคิดเจ้าแค้นที่มีอุปนิสัยอันชั่วช้าเช่นนั้นเป็นเรื่องง่าย โดยปกติแล้วหลังจากปฏิสัมพันธ์กับใครบางคนไม่ต่ำกว่าหกเดือน ทุกคนก็ควรที่จะสามารถสัมผัสและเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด สิ่งนี้เริ่มเด่นชัดเมื่อใช้เวลาร่วมกับพวกเขาสักระยะหนึ่ง ผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรไม่ควรนิ่งเฉยในการจัดการคนชั่วเช่นนั้น การไม่ทำตัวนิ่งเฉยหมายถึงอะไร? นี่หมายถึงการไม่รอจนกระทั่งคนเหล่านั้นทำลายทุกคนด้วยการชักพาคนบางคนให้หลงผิดและทำเรื่องแย่เสียก่อนจึงจะจัดการพวกเขา—นั่นจะเป็นการนิ่งเฉยมากเกินไป แล้วเวลาที่ดีที่สุดในการจัดการกับคนชั่วคือเมื่อไร? คือเมื่อมีผู้คนจำนวนเล็กน้อยได้รับความเสียหาย อีกทั้งรู้สึกรังเกียจและระวังตัวจากพวกเขาอย่างยิ่งแล้ว และเมื่อคนเหล่านั้นถูกระบุอย่างถี่ถ้วนว่าเป็นคนชั่ว ในจุดนี้ควรจัดการและเอาตัวพวกเขาออกไปทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนที่เสียหายจำนวนมากกว่านี้ และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนขี้ขลาดหวาดกลัวจนสุดขีดหรือเกิดสะดุดเพราะคนเหล่านั้น สิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดในเรื่องนี้คืออะไร? หากคนชั่วได้รับอนุญาตให้ก่อการรบกวนในคริสตจักรนานเกินไป ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็คือพวกเขาควบคุมคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หากเรื่องดังกล่าวมาถึงขั้นนี้ ทุกคนจะทนทุกข์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อทุกคน เมื่อมีคนจำนวนหนึ่งได้รับความเสียหาย หรือเมื่อใครบางคนเกิดความรังเกียจอย่างรุนแรงและมองเห็นคนเช่นนั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง ระบุว่าพวกเขาคือคนชั่วที่มีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้น เช่นนั้นผู้นำคริสตจักรก็ควรเอาตัวพวกเขาออกไปอย่างทันท่วงที บรรดาผู้นำคริสตจักรต้องไม่รอจนกระทั่งคนชั่วได้กระทำชั่วมากมายและกระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจของสาธารณะชนเสียก่อนจึงจะตัดสินใจดำเนินการ—แบบนั้นจะเป็นการนิ่งเฉยมากเกินไป และผู้นำคริสตจักรเช่นนั้นย่อมจะไม่มีประโยชน์เลยมิใช่หรือ? (ใช่) ในการดำเนินงานดังกล่าว ผู้นำคริสตจักรควรมีความรู้สึกที่ไวต่อสภาวะ การสำแดง และการเผยของบุคคลเช่นนั้นเป็นพิเศษ มองเห็นอุปนิสัยของพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งโดยไว จากนั้นก็กำหนดว่าพวกเขาคือคนชั่วที่ควรถูกเอาตัวออกไป จัดการกับพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากไม่สามารถตัดสินใจอย่างแน่วแน่ได้ตั้งแต่ต้น ก็จำเป็นต้องมีการสังเกต ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับคำพูด พฤติกรรม และความประพฤติของพวกเขา ทำความเข้าใจความคิดและแนวโน้มด้านการกระทำของพวกเขา เมื่อพบว่าพวกเขาตั้งใจที่จะดำเนินการแก้แค้นก็ควรใช้มาตรการเร่งด่วนเพื่อเอาตัวพวกเขาออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้คนได้รับความเสียหายและทนทุกข์จากการแก้แค้นเพิ่มขึ้น
ผู้นำคริสตจักรบางคนกล่าวว่า “พวกเราไม่กลัวคนชั่ว นอกจากการยำเกรงพระเจ้า พวกเราก็ไม่เกรงกลัวใครทั้งนั้น สำหรับพวกเราแล้วคนชั่วจะไปมีความหมายอะไร? พวกเราไม่กลัวแม้กระทั่งซาตาน และพวกเราก็ไม่กลัวการถูกจับกุมและข่มเหงจากพญานาคใหญ่สีแดง แล้วทำไมพวกเราถึงควรกลัวคนชั่ว? คนชั่วเป็นเพียงปีศาจตัวจ้อย จะไปกลัวพวกเขาทำไม? พวกเราจะเก็บพวกเขาไว้ในคริสตจักรและปล่อยให้พี่น้องชายหญิงส่วนมากทนทุกข์กับความเสียหาย หลังจากทนทุกข์ พวกเขาย่อมจะมีวิจารณญาณแยกแยะมากขึ้น และเมื่อมีวิจารณญาณแยกแยะ พวกเขาก็จะไม่ถูกคนชั่วเช่นนั้นผูกมัดหรือบีบบังคับอีกต่อไป แบบนั้นคงจะเยี่ยมทีเดียว!” คนส่วนมากสามารถเกิดวุฒิภาวะเช่นนี้ได้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาไม่สามารถทำได้ ความเชื่อของพวกเขาอ่อนแอเกินไป พวกเขาเข้าใจความจริงน้อยเกินไป และวุฒิภาวะของพวกเขาก็น้อยเกินไป พวกเขาหลีกเลี่ยงคนชั่วทุกครั้งที่พบคนเหล่านั้น ไม่กล้าที่จะล่วงเกินคนเหล่านั้น นอกจากการกลัวตายและการให้คุณค่ากับชีวิตของตนเองแล้ว ผู้คนส่วนมากยังปกป้องผลประโยชน์ทางเนื้อหนังอันหลากหลายของพวกเขาด้วย พวกเขาไม่สามารถเกิดวิจารณญาณแยกแยะหรือเรียนรู้บทเรียนจากสิ่งต่างๆ ที่คนชั่วทำได้ เพราะฉะนั้น โดยพื้นฐานแล้วแนวคิดนี้จึงไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และไม่อาจเกิดผลลัพธ์ใดได้ หากคนชั่วหนึ่งคนปรากฏตัวในคริสตจักร เมื่อคนส่วนมากรับรู้และกำหนดว่าคนคนนั้นเป็นคนชั่ว จะมีกี่คนที่มีสำนึกยุติธรรมที่จะลุกขึ้นทำลายคนชั่วคนนั้น ต่อสู้กับพวกเขา และปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า? คนกลุ่มนั้นถือเป็นกี่เปอร์เซ็นต์? สิบเปอร์เซ็นต์ใช่หรือไม่? หากไม่ใช่สิบเปอร์เซ็นต์ เช่นนั้นก็ห้าเปอร์เซ็นต์ใช่หรือไม่? (ราวๆ นั้น) นั่นหมายความว่าในกลุ่มที่มีคนอยู่ยี่สิบคน อาจจะมีหนึ่งคนที่ลุกขึ้นสู้กับคนชั่ว ลุกขึ้นเปิดโปงและท้าทายพวกเขาด้วยพระวจนะของพระเจ้า ปะทะคารม และเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร บุคคลเช่นนั้นคือวีรบุรุษในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร คือบุคคลที่น่ายกย่องของคริสตจักร ผู้นำและคนทำงานบางคนกลัวที่จะจัดการคนชั่ว ผู้คนเช่นนั้นเหมาะสมกับบทบาทของพวกเขาหรือไม่? พวกเขามีคุณสมบัติในการเป็นพยานให้พระเจ้าหรือไม่? เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องคนชั่วที่จำเป็นต้องถูกเอาตัวไปจากคริสตจักร พวกเขาก็กล่าวว่า “การเอาตัวพวกเขาออกไปนั้นยุ่งยากอยู่เล็กน้อย ฉันเคยค่อนข้างสนิทสนมกับพวกเขา พวกเขารู้ว่าฉันอาศัยอยู่ที่ไหนและในครอบครัวของฉันมีใครเชื่อในพระเจ้าบ้าง หากฉันขับไล่พวกเขา พวกเขาจะต้องเสาะแสวงการแก้แค้นฉันแน่” พวกเจ้าคิดว่า ผู้คนเช่นนั้นสมควรที่จะได้เป็นผู้นำและคนทำงานหรือไม่? (ไม่) หลังจากพบคนชั่วที่จำเป็นต้องเอาตัวออกไป สิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงคือผลประโยชน์ของตนเอง กลัวการแก้แค้นของคนชั่ว พวกเขาล้มเหลวในการคำนึงถึงเรื่องที่ว่า คนชั่วที่รู้จักสถานที่ชุมนุมและรู้ข้อมูลติดต่อพี่น้องชายหญิงอยู่บ้างสามารถขายคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตนหลังจากถูกเอาตัวออกไปได้หรือไม่ รวมถึงเรื่องนี้ควรมีการป้องกันอย่างไร สิ่งที่พวกเขากังวลเป็นหลักไม่ใช่ผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า แต่คือความกลัวว่าคนชั่วที่รู้สถานการณ์ทางครอบครัวของพวกเขาอาจจะหักหลังเพื่อประโยชน์ส่วนตน และส่งผลกระทบอันเป็นลบต่อครอบครัวของพวกเขา ผู้นำและคนทำงานเช่นนั้นเป็นพยานหรือไม่? (ไม่) ผู้นำและคนทำงานบางคนเห็นคนชั่วทำตัวเป็นเผด็จการและพยายามควบคุมคริสตจักร แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดออกไป กลับกัน พวกเขาประนีประนอมและบ่ายเบี่ยง ไม่กล้าที่จะจัดการกับคนชั่ว เมื่อพวกเขาพบเห็นคนชั่ว พวกเขาก็รู้สึกหวาดหวั่นราวกับพวกเขาพบเห็นมารชั่วที่มีสามหัวและหกแขน ไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้ ขณะเดียวกัน หลังจากพี่น้องชายหญิงธรรมดาบางคนค้นพบคนชั่ว พวกเขาก็มีสำนึกของความยุติธรรมอยู่บ้าง มีความกล้าหาญและความเชื่อที่จะลุกขึ้นเปิดโปงคนชั่วเหล่านั้น ไม่กลัวว่าคนชั่วจะเสาะแสวงการแก้แค้นพวกเขา อย่างไรก็ตาม ในคริสตจักรมีบุคคลเช่นนั้นอยู่น้อยเหลือเกิน ห้าเปอร์เซ็นต์ที่พวกเจ้าทุกคนเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ก็อาจจะมากเกินไป ไม่ใช่การคาดการณ์ด้วยความระมัดระวัง จากแง่มุมนี้ ผู้คนส่วนมากมีท่าทีอย่างไรต่อบุคคลที่มีอุปนิสัยชั่วช้า ผู้ซึ่งมีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้น? (ผู้คนส่วนมากย่อมปกป้องตนเอง) ความคิดแรกของพวกเขาคือการปกป้องตนเอง ไม่คำนึงถึงว่าจะลุกขึ้นสู้กับคนชั่วเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าและพี่น้องชายหญิงอย่างไร ทว่ามุ่งเน้นที่การปกป้องตนเองเพียงอย่างเดียว การปกป้องตนเองนี้ชี้ให้เห็นว่าอย่างไร? (ว่าผู้คนเช่นนั้นเห็นแก่ตัวมาก) ประการหนึ่ง การนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวอย่างล้ำลึก และอีกประการหนึ่ง การนี้แสดงให้เห็นว่าความเชื่อในพระเจ้าของผู้คนส่วนใหญ่นั้นอ่อนแอเกินไป พวกเขาเอ่ยอ้างว่า “พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง พระเจ้าคือองค์เกื้อหนุนของพวกเรา” แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความเป็นจริง พวกเขากลับรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถพึ่งพาพระเจ้าได้ และต้องพึ่งพาตนเอง ให้ความสำคัญกับการปกป้องตนเองเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นปัญญาขั้นสูงสุด ความหมายโดยนัยก็คือ “ไม่มีใครสามารถปกป้องฉันได้ แม้แต่พระเจ้าก็ไว้วางพระทัยไม่ได้ พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหนกัน? พวกเรามองไม่เห็นพระองค์เลย! มากไปกว่านั้น ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองฉันหรือไม่ ถ้าหากพระองค์ไม่ทรงคุ้มครองฉันเล่า?” ความเชื่อของผู้คนช่างน่าเวทนาเหลือเกิน พวกเขาป่าวประกาศอยู่ตลอดเวลาว่า “พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง พระเจ้าคือองค์เกื้อหนุนของพวกเรา” แต่เมื่อมีสถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น พวกเขาก็เสาะแสวงที่จะปกป้องตนเองเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถลุกขึ้นสู้กับซาตานและตั้งมั่นในคำพยานของตนได้ ไม่มีความเชื่อในระดับนี้เสียด้วยซ้ำ ความเชื่อของผู้คนน่าเวทนานัก ราวกับว่าสิ่งนี้ถูกเปิดโปงผ่านเรื่องนี้โดยสมบูรณ์ พวกเขามีวุฒิภาวะน้อยในระดับนั้นเอง สำหรับคนชั่วเหล่านั้นที่มีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้น หากมีคนที่ต้องการเปิดโปงพวกเขาอยู่สักสองสามคนแต่รู้สึกโดดเดี่ยวและไร้พลัง และกลัวว่าจะถูกพวกคนชั่วปราบปราม พวกเขาก็ควรรวมตัวกับผู้นำและคนทำงานหลายๆ คน หรือรวมตัวกับพี่น้องชายหญิงที่มีวิจารณญาณแยกแยะ หลังจากที่พวกเขารวมพลังกัน พวกเขาย่อมจะมีความมั่นใจในชัยชนะอย่างแน่นอน แล้วจากนั้น พวกเขาก็สามารถเปิดโปงและชำแหละการกระทำและพฤติกรรมของคนชั่วเช่นนั้นได้ เปิดโอกาสให้ผู้คนส่วนใหญ่แยกแยะและมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนชั่วได้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทุกคนสามารถรวบรวมความคิดและหัวใจให้เป็นหนึ่ง และร่วมมือกับเอาตัวคนชั่วออกไป ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าพูดถึงในยามที่คนชั่วปรากฎตัว ในบรรดาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรยี่สิบคน ย่อมมีหนึ่งคนที่อาจจะมีสำนึกของความยุติธรรมในการพูดจาอย่างเป็นธรรม และกล้าลุกขึ้นเอาตัวคนชั่วเช่นนั้นออกไป หนึ่งในยี่สิบคนนั้นค่อนข้างน้อยเกินไป หากคริสตจักรมีคนอยู่เพียงสิบคน พวกเขาจะชำระคนชั่วออกไปอย่างไร? พวกเขาย่อมจะไม่สามารถทำได้ สิบคนนั้นย่อมจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนชั่ว และสู้ทนกับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากพวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ หากมุ่งหมายให้มีคนหนึ่งในสิบ หรือแม้กระทั่งหนึ่งในห้ามีความกล้าหาญในการลุกขึ้นสู้กับคนชั่วก็คงจะยอดเยี่ยมทีเดียว! การเสาะแสวงที่จะปกป้องตนเองอยู่เป็นนิจไม่เพียงส่งผลให้สูญเสียพยานต่อหน้าซาตานเท่านั้น แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือการเสียโอกาสในการได้มาซึ่งความจริงที่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ในคริสตจักรที่มีคนชั่วอยู่หนึ่งคน อย่างน้อยจะมีคนจำนวนหนึ่งได้รับความเสียหาย หากมีคนชั่วอยู่สองคน คนส่วนใหญ่ย่อมจะได้รับความเสียหาย และหากศัตรูของพระคริสต์ครองอำนาจ โดยมีผู้สมรู้ร่วมคิดและมีลูกสมุนมากมายอยู่เบื้องล่างพวกเขา เช่นนั้นแล้ว ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรย่อมจะได้รับความเสียหายโดยถ้วนหน้า เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่? (ใช่) คนหนึ่งคนที่ลุกขึ้นต่อต้านคนชั่วเป็นตัวแทนของพละกำลังหนึ่งหน่วย ขณะเดียวกัน คนสิบคนที่ลุกขึ้นต่อต้านคนชั่วก็เป็นตัวแทนของพละกำลังสิบหน่วย แล้วพวกเจ้าคิดว่า พวกคนชั่วหวาดกลัวคนหนึ่งคนหรือคนสิบคนมากกว่ากัน? (คนสิบคน) เช่นนั้นแล้ว หากผู้คนจำนวนยี่สิบคน สามสิบคน หรือห้าสิบคนล้วนลุกขึ้นต่อต้านคนชั่ว ท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นผู้ชนะ? (พี่น้องชายหญิง) สุดท้ายแล้วพี่น้องชายหญิงย่อมจะชนะ นั่นย่อมทำให้การเอาตัวคนชั่วออกไปง่ายดายขึ้นมากมิใช่หรือ? พละกำลังนั้นขึ้นอยู่กับจำนวน—แนวคิดที่เรียบง่ายนี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนควรเข้าใจให้ชัดเจน ด้วยเหตุนั้น การแยกแยะและการเอาตัวคนชั่วออกไปจึงไม่ได้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำหรือคนทำงานคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่รับผิดชอบซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนในคริสตจักรมีร่วมกัน ด้วยความพยายามของพี่น้องชายหญิง พร้อมด้วยการให้ความร่วมมือของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในการเอาตัวคนชั่วออกไป ทุกคนจึงสามารถเพลิดเพลินกับวันเวลาที่ดีได้ หากคนชั่วไม่ถูกเอาตัวออกไป และถูกปล่อยให้อยู่ในคริสตจักรด้วยความหวังว่าพวกเขาจะกลับใจ แต่หลังจากผ่านไปหกเดือนหรือหนึ่งปีก็ยังไม่เห็นการปรับปรุงตัว และพวกยังคงก่อการรบกวนที่เหลือทนต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต่อไป นี่ย่อมเป็นผลของการแสดงความกรุณาต่อคนชั่ว การอนุญาตให้คนชั่วทำตัวเผด็จการและควบคุมคริสตจักรเทียบได้กับการยื่นตัวเราเองให้คนชั่ว รวมถึงส่งพี่น้องชายหญิงไปถึงมือของคนเหล่านั้น อนุญาตให้พวกเขาควบคุมได้อย่างเสรีและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร การเข้าใจและได้มาซึ่งความจริงภายใต้สภาพแวดล้อมที่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ครองอำนาจเป็นเรื่องที่ง่ายหรือไม่? (ไม่ง่าย) เวลาเป็นสิ่งล้ำค่า การเอาตัวคนชั่วออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ย่อมทำให้เจ้าสามารถกู้คืนสันติสุขและเพลิดเพลินกับชีวิตคริสตจักรตามที่ถูกควรได้เร็วที่สุด และเข้าใจความจริงได้มากขึ้น หากเจ้าไม่เอาตัวคนชั่วออกไป พวกเขาจะก่อการรบกวนและการทำลายล้างในหมู่ผู้คนราวกับหมาบ้า พูดและทำตามใจปรารถนา สิ่งนี้ยึดเวลาที่เจ้าจะได้มาซึ่งความจริงไป ซึ่งหมายความว่าเวลาและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าถูกควบคุมโดยคนชั่ว นี่เป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ย่ำแย่? (สิ่งที่ย่ำแย่) ในทางทฤษฎี ทุกคนต่างรู้ว่าสิ่งนี้ย่ำแย่ แต่เมื่อเผชิญกับการที่คนชั่วก่อกวนคริสตจักร พวกเขาก็ไม่คิดเช่นนี้อีกต่อไป กลับมุ่งเน้นที่การไม่หลงกลและได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากคนชั่วเพียงอย่างเดียว หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งหมดในคริสตจักรหวาดกลัวคนชั่วเช่นนี้ คริสตจักรจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์อย่างง่ายดาย และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะถูกคนเหล่านี้ควบคุมเช่นเดียวกัน แล้วพวกเขาจะสามารถได้รับการทรงช่วยให้รอดจากพระเจ้าหรือไม่? เรื่องนั้นย่อมตอบได้ยาก หากคริสตจักรไม่มีคนที่เข้าใจความจริงสักสองหรือสามคน ทั้งยังไม่มีหัวใจและจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันในการเป็นพยานและรับใช้พระเจ้า นี่คือคริสตจักรที่สิ้นหวัง และนั่นย่อมเป็นสถานการณ์ที่น่าอนาถใจ
การมีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้นเป็นการสำแดงประการหนึ่งของการประพฤติชั่ว และนี่คือหนึ่งในพฤติกรรมและการสำแดงที่เกิดขึ้นจากอุปนิสัยอันชั่วร้าย เมื่อบุคคลเช่นนั้นแสดงพฤติกรรมที่เจาะจงเช่นนี้ออกมา พวกเขาก็ควรถูกระบุว่าเป็นคนชั่ว แน่นอนว่า เนื่องจากคนบางคนนั้นไม่สลักสำคัญ ขาดความเข้าใจเชิงลึก หรือเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงมักจ้องจับผิดคนอื่น เก็บซ่อนความเกลียดชังต่อผู้ที่พวกเขาไม่ชอบใจหรือสร้างความเสียหายแก่คนเหล่านั้นเสมอ หรือครั้งหนึ่งเคยใช้วิธีการบางอย่างเพื่อดำเนินการแก้แค้นต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง—แต่หลังจากได้ยินว่าพวกที่มีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้นคือคนชั่วและถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร พวกเขาก็เปลี่ยนความคิด แอบกลับตัวกลับใจอยู่ในใจ และแสดงออกถึงความพอประมาณและการยับยั้งชั่งใจบางอย่างในพฤติกรรมของพวกเขา บอกเราทีเถิดว่า ผู้คนเช่นนั้นถือเป็นหนึ่งในบรรดาคนชั่วหรือไม่? (ไม่) สิ่งที่บ่งชี้เรื่องนี้คืออะไร? (ความสามารถในการกลับตัวกลับใจของพวกเขา) ความสามารถในการกลับตัวกลับใจของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงสิ่งใด? นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้ นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ดี เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้? เพราะหลังจากได้ยินความจริงในเรื่องนี้ และตระหนักว่าการเสาะแสวงการแก้แค้นเป็นการสำแดงของคนชั่ว พวกเขาก็คิดทบทวนสภาวะอันเสื่อมทรามของตนเอง ยอมรับแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตน จากนั้นก็กลับใจต่อพระเจ้า ปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า และยับยั้งพฤติกรรมของพวกเขา นี่คือการสำแดงของการยอมรับความจริง คนชั่วที่พวกเรากล่าวถึงในที่นี้ไม่ยอมรับความจริง ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างชัดเจนเพียงใด พวกเขาก็ไม่ยอมรับการนั้น พวกเขายังคงทำตัวดื้อดึง ไม่ยอมฟังใครทั้งสิ้น ต่อให้เจ้าเตือนพวกเขาว่า “การกระทำของคุณจะนำไปสู่การถูกเอาตัวออกไป” พวกเขาก็ไม่สนใจและทำในหนทางของตนต่อไปโดยที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ เมื่อเจ้าเปิดโปงพวกเขา พวกเขาก็ไม่ยอมรับในความผิดของตนเอง เมื่อเจ้าบอกพวกเขาว่าพวกเขาคือใครบางคนที่มีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้น พวกเขาคือคนชั่ว และควรถูกเอาตัวออกไป พวกเขาก็จะยังไม่ละทิ้งการทำชั่วของตน และจะไม่กลับตัวกลับใจอย่างแน่นอน คนเหล่านี้คือคนประเภทใดหรือ? พวกเขาคือผู้ที่รังเกียจความจริง พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย—ไม่ว่าแก่นแท้อุปนิสัยของพวกเขาจะถูกระบุว่าอย่างไร ไม่ว่าการทำชั่วของพวกเขาจะถูกเปิดโปงอย่างไร หรือพวกเขาถูกจัดการอย่างไร พวกเขาก็ยังคงนิ่งเฉย จะไม่ก้มหัวยอมรับความผิดของตนอย่างแน่นอน และจะไม่ปล่อยไปโดยเด็ดขาด นี่คือการไม่สามารถกลับตัวกลับใจได้ แก่นแท้ของการที่คนเราไม่กลับตัวกลับใจคืออะไร? คือการไม่ยอมรับความจริง หากพวกเขาสามารถยอมรับคำกล่าวที่ถูกต้องได้สักประโยค หรือยอมรับความจริงได้สักด้านหนึ่ง พวกเขาย่อมจะไม่เดินต่อไปบนเส้นทางที่ผิดโดยไม่หันหลังกลับ พวกเขาจะหันหลังกลับมา ยอมรับความผิดพลาดของตน และปล่อยมือจากเรื่องที่ก่อนหน้านี้พวกเขาดึงดันได้ในระดับหนึ่ง ด้วยเหตุที่พวกเขาเป็นคนชั่ว ด้วยเหตุที่พวกเขาเป็นบุคคลชั่วที่มีอุปนิสัยชั่วช้า หลังจากพฤติกรรมที่เสาะแสวงการแก้แค้นของพวกเขาเกิดขึ้นมาจากอุปนิสัยดังกล่าว พวกเขาย่อมไม่เพียงไม่ยอมรับสิ่งที่ถูกเปิดโปงโดยพระวจนะของพระเจ้า ไม่ยอมรับการถูกตัดแต่ง หรือการระบุลักษณะประเภทนี้เท่านั้น แต่ในทางกลับกัน พวกเขายังยืนกรานที่จะเดินไปตามทางของตนจนถึงปลายทาง พวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะยอมรับการระบุลักษณะหรือการเปิดโปงนี้ และพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะยอมรับความเสื่อมทรามของตนเอง แน่นอนว่า หากไร้ซึ่งการยอมรับความเสื่อมทราม พวกเขาก็ไม่ได้วางแผนที่จะทิ้งพฤติกรรมและการกระทำในการเสาะแสวงการแก้แค้นของตน รวมถึงหลักธรรมในการปฏิบัติตนด้วยเช่นกัน พวกเขาคือคนชั่วทุกระเบียบนิ้วโดยแท้จริง คนชั่วเช่นนั้นคือหมู่มารมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาคือหมู่มารที่มีแก่นแท้ของซาตานอย่างแน่นอน เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้? การไม่ยอมรับความจริงอย่างเด็ดขาดของพวกเขาคือต้นตอ พวกเขาปฏิเสธแม้กระทั่งความจริงเสี้ยวหนึ่ง คำกล่าวที่ถูกต้อง คำพูดที่เป็นบวก หรือสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก ต่อให้พวกเขายอมรับด้วยคำพูดว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงและสิ่งที่เป็นบวก หัวใจของพวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่ได้มีแผนที่จะปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเปลี่ยนแปลงหนทางในการปฏิบัติตนและทำสิ่งทั้งหลาย บางครั้งพวกเขาอาจจะยอมรับด้วยปากว่าการกระทำของพวกเขาตั้งอยู่บนปรัชญาของซาตานโดยสิ้นเชิง แต่พวกเขาก็จะยังไม่ยอมรับความจริงอย่างเด็ดขาด ผู้ใดก็ตามที่สามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาย่อมเผชิญกับความรังเกียจอย่างถึงที่สุด และแม้กระทั่งความเกลียดชังและการตัดสินของพวกเขา อีกทั้งผู้ใดก็ตามที่เปิดโปงและแยกแยะพวกเขา ย่อมกลายเป็นเป้าหมายของความเกลียดชังและการแก้แค้นของพวกเขา ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม—ไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อและแม่ของพวกเขาเอง พวกเขาเกินกว่าจะไถ่มิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาเกินกว่าจะไถ่ การเอาตัวพวกเขาออกไปเป็นเรื่องที่น่าเสียดายใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) บุคคลเช่นนั้นต้องถูกขับไล่หรือถูกเอาตัวออกไป โดยแท้แล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการสำแดงของพวกที่มีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้น สิ่งเหล่านี้คือลักษณะนิสัยของพวกเขา อุปนิสัยของพวกเขา หนทางและวิธีในการทำสิ่งทั้งหลายของพวกเขาและกระบวนความคิดของพวกเขา รวมไปถึงท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง—โดยแท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง ผลกระทบที่พวกเขามีต่อคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงนั้นถูกหารือไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมเรื่องนี้อีก สามัคคีธรรมเรื่องการสำแดงของผู้คนประเภทที่สี่—พวกที่มีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้น สิ้นสุดเพียงเท่านี้
จ. การไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้
ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับผู้คนประเภทที่ห้า นั่นคือ บรรดาผู้ที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ นี่คือปัญหาที่ร้ายแรงใช่หรือไม่? หากมองจากมุมมองทางตัวอักษร การไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ดูเหมือนจะไม่ใช่ประเด็นที่มีนัยสำคัญ บางคนอาจจะมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับการระบุว่าบุคคลเหล่านี้คือคนชั่ว “ในเมื่อผู้คนมีปาก พวกเขาจึงถูกกำหนดมาให้พูดทุกที่และทุกเวลา พวกเขาอาจจะหารือเรื่องทั้งหลายอยู่ทุกที่และทุกเวลา การระบุคนที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ว่าเป็นคนชั่วที่จะถูกเอาตัวออกไปนั้นไม่เกินเหตุไปหน่อยหรือ?” พวกเจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้? (หากพวกเขาก่อการรบกวนและการขัดขวางต่อชีวิตคริสตจักรหรือต่องานของคริสตจักร จนนำไปสู่ผลร้ายที่ตามมา พวกเขาก็ต้องถูกเอาตัวออกไปเช่นกัน) ปัญหาของผู้คนเช่นนั้นไม่ได้เกี่ยวกับการไม่ระวังคำพูดของพวกเขา นี่คือปัญหาด้านความเป็นมนุษย์ของพวกเขา หากพวกเขาก่อการรบกวนต่อพี่น้องชายหญิง ต่อชีวิตคริสตจักร และต่องานของคริสตจักร หรือคำพูดของพวกเขาถือว่าเป็นการทรยศและขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน และถึงกับนำความอัปยศมาสู่พระนิเวศของพระเจ้าและพระนามของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว บุคคลเช่นนั้นก็ต้องถูกจัดการ ก่อนอื่นพวกเรามาหารือเรื่องการสำแดงของผู้ที่ไม่สามารถระวังคำพูดของพวกเขาได้ จากนั้นจึงหารือถึงวิธีจัดการพวกเขากันเถิด ผู้คนที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้นั้นสามารถเรียกว่าคน “ปากพล่อย” ได้หรือไม่? (ได้) เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่? นี่คือลักษณะนิสัยของผู้คนเช่นนั้นใช่หรือไม่? การเป็นคนปากพล่อยหมายถึงการทำตัวโง่เขลาและไม่ตระหนักว่าสิ่งใดควรพูดหรือไม่ควรพูด พูดทุกสิ่งที่นึกขึ้นได้โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาใช่หรือไม่? นี่คือความหมายของการไม่ระวังคำพูดของตนใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) คนบางคนเก่งเรื่องการพูดและการสื่อสาร พวกเขาเป็นคนตรงไปตรงมา อีกทั้งค่อนข้างเรียบง่ายและซื่อสัตย์ พวกเขามักจะแบ่งปันความคิดและแนวคิดที่อยู่ในใจ การเผยถึงความเสื่อมทรามของตนเอง สิ่งที่พวกเขาได้รับประสบการณ์มา และแม้แต่ความผิดพลาดของพวกเขาให้ผู้อื่นฟัง อย่างไรก็ตาม บุคคลเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นคนโง่เขลาหรือไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ พวกเขาดูเหมือนพูดทุกสิ่งทุกอย่างและค่อนข้างเรียบง่ายและซื่อสัตย์ แต่ในเรื่องประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ประเด็นที่อาจสร้างความอัปยศต่อพระเจ้าหรือพระนิเวศของพระเจ้า หรือประเด็นที่อาจข้องเกี่ยวกับการที่พวกเขาทรยศพี่น้องชายหญิงหรือคริสตจักรจนทำให้พวกเขากลายเป็นยูดาส พวกเขากลับไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว นี่เรียกว่าการระวังคำพูดของตน เพราะฉะนั้นคนที่ตรงไปตรงมา คนปากพล่อย หรือคนที่เก่งเรื่องการพูดจึงไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถระวังคำพูดของพวกเขาได้ การไม่สามารถระวังคำพูดของคนเราได้ในที่นี้หมายถึงอะไร? การไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้หมายถึงการพูดอย่างไร้หลักธรรม และการพูดพล่อยๆ ออกไปโดยไม่คำนึงถึงผู้ฟัง วาระโอกาส หรือบริบท นอกจากนี้ การนี้ยังเกี่ยวข้องกับการรู้จักปกป้องงานของคริสตจักรและผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเลย หรือไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชายหญิงหรือต่อชีวิตคริสตจักรหรือไม่ เพียงแต่พูดอะไรก็ได้ ผลที่ตามมาจากการ “พูดอะไรก็ได้” คืออะไร? คือการทรยศผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าและผลประโยชน์ของพี่น้องชายหญิงโดยไม่ได้ตั้งใจ จากการพูดโดยไม่ยั้งคิดและไม่สามารถระวังคำพูดของพวกเขาได้ พวกเขาจึงมอบแต้มต่อให้ผู้ไม่มีความเชื่อต่อต้านพระนิเวศของพระเจ้า อนุญาตให้ผู้ไม่มีความเชื่อล้อเลียนพี่น้องชายหญิงบางคน รวมถึงปล่อยให้ผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้ารู้สิ่งต่างๆ มากมายที่พวกเขาไม่สมควรรู้โดยไม่เจตนา ผลก็คือ ผู้คนเหล่านี้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรีและใช้คำพูดที่ไม่ให้เกียรติเกี่ยวกับเรื่องทั้งหลายของพระนิเวศของพระเจ้าและกิจธุระภายในคริสตจักร อีกทั้งกล่าวสิ่งทั้งหลายที่เป็นการว่าร้ายและหมิ่นประมาทพระเจ้า พวกเขาอาจจะถึงกับกุข่าวลือเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิง คริสตจักร และงานของพระนิเวศของพระเจ้า ทำให้เกิดผลร้ายตามมา นี่คือการก่อกวนงานของพระนิเวศของพระเจ้าและถือว่าเป็นการทำชั่ว คนบางคนให้ความสนใจกับการเรียนรู้และสืบค้นเป็นพิเศษว่าใครคือผู้นำและคนทำงานในคริสตจักร ที่อยู่ครอบครัวของพวกเขา ข้อมูลส่วนตัวของพี่น้องชายหญิง งานด้านการเงินและการบัญชีของคริสตจักร บุคลากรฝ่ายบัญชี รวมถึงรายชื่อของคนที่ถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักร นอกจากนี้ พวกเขายังมุ่งเน้นที่การเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการเตรียมงานของคริสตจักรเป็นพิเศษ พฤติกรรมดังกล่าวน่าสงสัยอย่างมาก และอาจบ่งชี้ได้ว่าพวกเขาเป็นหนอนบ่อนไส้ หรือเป็นสายลับของพญานาคใหญ่สีแดง หากรายละเอียดเหล่านี้หลุดไปถึงหมู่มารที่ไม่มีความเชื่อ ทำให้พญานาคใหญ่สีแดงได้รู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ผลที่ตามคงจะเกิดคาดคิด บางคนอาจจะแบ่งปันข้อมูลนี้หรือข้อมูลบางส่วนแก่สมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของตนด้วยความโง่เขลาและไม่รู้ความ ผู้ซึ่งต่อมาได้เผยแพร่หรือมอบข้อมูลดังกล่าวให้แก่สายสืบของพญานาคใหญ่สีแดง นี่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงและนำเรื่องยุ่งยากมากมายมาสู่งานของคริสตจักร พร้อมด้วยผลพวงที่เกินจินตนาการ เรื่องภายในคริสตจักรเหล่านี้มักจะถูกแบ่งปันกับสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่ออย่างไม่ตั้งใจโดยใครบางคนที่เปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างอย่างไม่มีปิดบัง และพวกเขาก็แบ่งปันเรื่องเหล่านั้นกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงที่ไม่มีความเชื่อของพวกเขาเสียด้วยซ้ำ นี่นำไปสู่การที่เรื่องภายในคริสตจักรหลุดออกมาสู่โลกภายนอกอย่างต่อเนื่องผ่านคำพูดของพวกเขา ผลพวงจากการที่ข้อมูลเหล่านี้หลุดออกไปคืออะไร? สมาชิกครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูงที่ไม่มีความเชื่อหลายคนของพวกเขากลายเป็นล่วงรู้ถึงกิจธุระมากมายภายในคริสตจักรที่พี่น้องชายหญิงบางคนอาจจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำ หรือรู้ถึงที่อยู่บ้านของพี่น้องชายหญิง ชื่อจริงของพวกเขา และเรื่องราวส่วนตัวเกี่ยวกับชีวิตสมรสของพวกเขา เรื่องในคริสตจักรเหล่านี้หลุดออกไปได้อย่างไร? ผู้ไม่มีความเชื่อมารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร? มี “ผู้สื่อข่าว” อยู่ในคริสตจักรนั่นเอง! ผู้คนเช่นนั้นเรียกว่าอะไร? (พวกที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้) ถูกต้องแล้ว พวกเขาแบ่งปันทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคริสตจักร หรือสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงกับสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อ อย่างเช่น พี่น้องหญิงคนใดคนหนึ่งหย่าร้าง สามีของพี่น้องหญิงอีกคนหนึ่งสูญเงินไปกับธุรกิจหรือเธอมีลูกชายที่ไม่เชื่อฟัง หรือพี่น้องชายหญิงคนใดคนหนึ่งซื้อบ้าน เป็นต้น พวกเขายังพูดถึงพี่น้องชายหญิงที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมและกลายเป็นยูดาส หรือคนที่ตั้งมั่นในคำพยานของตน และถึงกับพูดเรื่องที่ผู้นำคริสตจักรตัดแต่งพวกเขาอีกด้วย บทสนทนาในบ้านของพวกเขานั้นวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องเหล่านี้ สมาชิกครอบครัวของพวกเขาถึงกับมอบคำแนะนำและกลยุทธ์เพื่อช่วยให้พวกเขาต่อต้านผู้นำ พี่น้องชายหญิง หรือใครก็ตามในคริสตจักรที่เข้ากันไม่ได้กับพวกเขา เป็นความท้าทาย หรือเปิดโปงพวกเขา ในการชุมนุมของเหล่าพี่น้องชายหญิง บุคคลเช่นนั้นดูเชื่อฟังและประพฤติดีเป็นพิเศษ พูดน้อย และสนทนาไม่เก่ง ไม่เคยพูดถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ไม่เคยสามัคคีธรรมความเข้าใจจากประสบการณ์ของพวกเขา และแทบไม่เคยอธิษฐานเสียด้วยซ้ำ พวกเขาปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงด้วยสำนึกของการระวังตัว ในขณะที่ปฏิบัติต่อสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของตนราวกับคนเหล่านั้นเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาสาธยายรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับคริสตจักรให้สมาชิกครอบครัวของตนฟังโดยไม่มีการตกหล่น แบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างกับคนเหล่านั้น แม้กระทั่งการตีพิมพ์หนังสือพระวจนะของพระเจ้าของคริสตจักร ใครมีความพิเศษอย่างไรในคริสตจักร และอื่นๆ—เรื่องเหล่านี้ล้วนถูกหารือกับสมาชิกครอบครัวของพวกเขาและผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจุดประสงค์ของการที่พวกเขาทำเช่นนั้นคืออะไร ผลที่ตามมาในท้ายที่สุดคือพวกเขาทรยศงานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง พวกเขารู้ถึงสถานการณ์ของสมาชิกคนสำคัญทุกๆ คนในคริสตจักร แน่นอนว่า คนเหล่านี้ก็เป็นเป้าหมายของการหารือและตัดสินลับหลังของพวกเขาเช่นกัน และอาจจะกลายเป็นคนที่พวกเขาแอบทรยศเสียด้วยซ้ำ หากใครบางคนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา พวกเขาก็จะยกย่องคนเหล่านั้นต่อหน้าครอบครัวของตนไม่หยุดหย่อน ในทางกลับกัน หากใครบางคนมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับพวกเขา พวกเขาก็จะด่าทอคนคนนั้นต่อหน้าครอบครัวของตนไม่ยั้ง จนถึงกับทำให้ครอบครัวของพวกเขาร่วมวงด่า เรียกพี่น้องชายหญิงคนดังกล่าวว่าโง่ หรือกล่าวว่าคนคนนั้นไม่มีประโยชน์เสียด้วยซ้ำ บุคคลเหล่านี้ดูถูกพี่น้องชายหญิงด้วยคำดูถูกแบบใดก็ตามที่ผู้ไม่มีความเชื่อใช้ พวกเขาเป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อโดยแท้จริง พวกเขาไม่มีดีเลย และบุคคลเช่นนั้นควรถูกเอาตัวออกไปทันที
ในชนชาติของพญานาคใหญ่สีแดง ข้อมูลของคนที่เชื่อในพระเจ้าทุกคนควรถูกเก็บเป็นความลับ และแม้แต่ในยามที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย้ายไปต่างประเทศ ข้อมูลของพวกเขายังคงต้องเป็นเรื่องส่วนตัว นี่เป็นเพราะสายลับของพญานาคใหญ่สีแดงกระจายตัวอยู่ทุกประเทศในโลก แทรกซึมอยู่ในทุกที่ด้วยจุดมุ่งหมายอันเจาะจงในการรวบรวมข้อมูลของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ในจีนแผ่นดินใหญ่ สถานการณ์ของพี่น้องชายหญิงที่ติดตามพระเจ้านั้นยากลำบากและอันตรายมาก แม้แต่ในยามที่พวกเขาไปต่างประเทศ ก็ยังมีความอันตรายอยู่ในระดับหนึ่ง หากสายลับของพญานาคใหญ่สีแดงรวบรวมข้อมูลของพวกเขา ประการหนึ่งคือมีความเสี่ยงเรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน และอีกประการหนึ่ง อย่างน้อยที่สุด สมาชิกครอบครัวและญาติพี่น้องของพวกเขาในจีนแผ่นดินใหญ่อาจติดร่างแหไปด้วย ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและด้วยความเคารพต่อบุคคลนั้น ทุกคนจึงควรเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของพี่น้องชายหญิงไว้เป็นความลับ และไม่ควรแบ่งปันข้อมูลกับผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า แม้กระทั่งในหมู่ของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ข้อมูลส่วนบุคคลก็ไม่ควรถูกเปิดเผยต่อบุคคลอื่นโดยไม่ตั้งใจหากไร้ซึ่งความยินยอมของบุคคลนั้น การปฏิบัติต่อข้อมูลเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิง งานของคริสตจักร หน้าที่ที่คนคนหนึ่งปฏิบัติ ประสบการณ์ที่แบ่งปันในสามัคคีธรรม หรือรายละเอียดอื่นๆ ในฐานะหัวข้อสนทนาที่จะแบ่งปันกับผู้ไม่มีความเชื่อในช่วงเวลาพักผ่อนของคนเราคือสิ่งที่ห้ามทำโดยเด็ดขาด ผลที่ตามมาจากการหารือเรื่องเหล่านี้กับคนเหล่านั้นคืออะไร? มีผลลัพธ์ที่เป็นบวกหรือสร้างสรรค์บ้างหรือไม่? (ไม่) ผลที่ตามมาจากการหารือดังกล่าวก็คือ พวกมารที่ไม่มีความเชื่อเหล่านี้ฉวยประโยชน์ ล้อเลียน และตัดสิน ถึงกับสาปแช่งและใส่ร้ายป้ายสีเสียด้วยซ้ำ นี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่? (ไม่) พวกเจ้าควรตรวจสอบว่าภายในคริสตจักรมีบุคคลที่มีแรงจูงใจแอบแฝง ผู้ซึ่งหารือรายละเอียดดังกล่าว อย่างเช่น สถานการณ์จริงของงานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักร—รวมถึงเรื่องที่ว่าผู้ใดเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้ใดไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้ใดทำหน้าที่ของตน ผู้ใดไม่ทำหน้าที่ของตน ผู้ใดคิดลบเป็นประจำ ผู้ใดมีความเชื่อที่เลอะเลือน และแม้กระทั่งข้อมูลส่วนบุคลและสถานการณ์เกี่ยวกับพี่น้องชายหญิง—กับผู้ไม่มีความเชื่อและสมาชิกครอบครัวผู้ไม่เชื่อของตนโดยไม่มีการยั้งเอาไว้หรือไม่ จงตรวจหาผู้คนเช่นนั้น มีเรื่องที่แม้แต่ผู้คนในคริสตจักรไม่จำเป็นต้องรู้ ทว่าสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของบุคคลเช่นนั้นกลับรู้เรื่องกิจธุระเหล่านี้มากกว่าบรรดาผู้ที่อยู่ในคริสตจักร—ทั้งยังรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นอย่างชัดเจนมากกว่าอีกด้วย เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นี่คือ “คุณูปการ” ของหนอนบ่อนไส้ที่อยู่ในคริสตจักร หนอนบ่อนไส้เหล่านี้ปฏิบัติต่อสมาชิกครอบครัวของตนราวกับพวกเขาเป็นผู้นำคริสตจักร กลับบ้านไปรายงานเรื่องทุกอย่างที่พวกเขาเห็นในคริสตจักรต่อ “ผู้นำ” ด้วยความพยายามที่จะประจบประแจงและสร้างสายสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับครอบครัวของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าเรื่องทั้งหมดนี้ของคริสตจักรถูกทรยศโดยหนอนบ่อนไส้เหล่านั้นที่ไม่สามารถระวังคำพูดของพวกเขาได้ พวกเขาไม่เคารพพี่น้องชายหญิง และไม่ปกป้องงานและผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาปฏิบัติต่อพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรราวกับเป็นสังคมหรือพื้นที่สาธารณะ แสดงความเห็นและตัดสินพี่น้องชายหญิงไปเรื่อยเปื่อยราวกับพวกเขาคือผู้ไม่มีความเชื่อ ถึงกับร่วมวงตัดสินพี่น้องชายหญิงอย่างเสรีกับผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำ มากไปกว่านั้น หลังจากที่คนบางคนถูกผู้นำตัดแต่ง หรือหลังจากเกิดความขัดแย้ง การโต้เถียง และความไม่ลงรอยกับพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็กลับบ้านไปโวยวาย ทำให้แน่ใจว่าครอบครัวของพวกเขารู้เรื่องนี้ทั้งหมด ผลที่ตามมาก็คือ ครอบครัวของพวกเขาเสาะแสวงการแก้แค้นผู้นำหรือพี่น้องชายหญิง มุ่งหวังที่จะขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตนและทำลายที่แห่งนี้ นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ดีหรือไม่? (ไม่) การแบ่งปันเรื่องภายในคริสตจักรและสิ่งทั้งหลาย อย่างเช่น มีพี่น้องชายหญิงที่ใช้ชีวิตคริสตจักรอยู่กี่คน และทุกคนทำหน้าที่อะไร แก่สมาชิกครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูงแบบไม่ยั้ง—พวกเขาคือคนร้ายประเภทใดหรือ? พวกเขาคือผู้เชื่อที่แท้จริงใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) พวกเขาเป็นสมาชิกพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาสามารถเรียกว่าพี่น้องชายหญิงได้หรือไม่? (ไม่ได้) การเก็บหนอนบ่อนไส้เช่นนั้นเอาไว้และซ่อนคนทรยศเอาไว้ในคริสตจักร ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ก็ย่อมจะนำมาซึ่งความยุ่งยากอย่างมีนัยสำคัญต่อพระนิเวศของพระเจ้าและต่อพี่น้องชายหญิง ต่อให้พวกเขาจะดูไม่ได้กระทำชั่วมากมายในชีวิตคริสตจักร แต่ผลที่ตามมาและผลกระทบจากการแอบส่งต่อรายละเอียดนานาประการเกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้าให้ผู้ไม่มีความเชื่อ ซาตาน และหมู่มารก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง! คนที่ชั่วช้าเช่นนั้นควรได้รับอนุญาตให้อยู่ในคริสตจักรต่อไปหรือไม่? (ไม่) พวกเขาคู่ควรแก่การเรียกว่าสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาควรค่าแก่การถูกปฏิบัติในฐานะพี่น้องชายหญิงหรือไม่? (ไม่) ผู้คนเช่นนั้นควรถูกจัดการอย่างไร? (พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้) พวกเขาต้องถูกเอาตัวออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้! จงเตะพวกเขาออกไป! นี่คือเหตุผลของการเอาตัวพวกเขาออกไป “คุณไม่สามารถระวังคำพูดของคุณได้ คุณล้มเหลวในการยอมรับว่าสิ่งใดที่ดีสำหรับคุณ แว้งกัดคนที่มีบุญคุณกับคุณ คุณเชื่อในพระเจ้าและเพลิดเพลินกับพระคุณของพระองค์ รวมไปถึงความช่วยเหลือ ความรัก ความอดทน และการเอาใจใส่จากพี่น้องชายหญิง แต่คุณก็ยังขายพี่น้องชายหญิงและคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตนเช่นนี้ คุณไม่มีอะไรดีเลย จัดการเสีย!” เรื่องของพี่น้องชายหญิง เรื่องของคริสตจักร และงานใดก็ตามของพระนิเวศของพระเจ้านั้นไม่ควรถูกเปิดเผยต่อผู้ไม่มีความเชื่อ และไม่ควรถูกใช้เป็นหัวข้อการสนทนาที่ไม่มีสาระของพวกเขา พวกเขาไม่คู่ควรกับเรื่องเหล่านี้! ผู้ใดก็ตามที่เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวย่อมกลายเป็นบุคคลต้องคำสาป เป็นใครบางคนที่คริสตจักรต้องเอาตัวออกไป และพี่น้องชายหญิงก็ควรปฏิเสธพวกเขา อ้างอิงจากแค่การกระทำที่พวกเขาขายพี่น้องชายหญิงและคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน จากการแบ่งปันเรื่องภายในคริสตจักรกับผู้ไม่มีความเชื่อเพื่อการพูดคุยทั่วไป พวกเขาคือคนทรยศ หนอนบ่อนไส้ และคนชั่วที่ควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรอย่างไม่ต้องสงสัย พี่น้องชายหญิงมีเสรีภาพที่จะสามัคคีธรรมและโต้แย้งกันตามที่จำเป็นว่างานใดที่ดำเนินการภายในคริสตจักร—อย่างเช่น ผู้ใดที่ควรถูกเอาตัวออกไป หรือการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง—แต่เรื่องเหล่านี้ต้องไม่ถูกแบ่งปันกับผู้ไม่มีความเชื่อ อีกทั้งไม่สามารถพูดกับสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ส่วนตัวและสถานการณ์ครอบครัวของพี่น้องชายหญิงใหม่ที่มีวุฒิภาวะน้อยนั้นต้องไม่ถูกแพร่งพรายไปสู่บุคคลภายนอก หากเจ้าพบว่าการเก็บเรื่องดังกล่าวไว้กับตนเองเป็นเรื่องยาก เจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าในการฝึกยับยั้งชั่งใจ และไปทำกิจกรรมบางอย่างที่เปี่ยมความหมาย หากเจ้าไม่สามารถควบคุมตนเองได้จริงๆ อันดับแรกเจ้าควรรายงานคริสตจักรเพื่อเสาะแสวงหนทางแก้ไข เพื่อป้องกันผลร้ายที่ตามมา เพราะการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหามากที่สุด ตัวอย่างเช่น เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัว ที่อยู่บ้าน ใครบางคนเชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี สถานะส่วนบุคคลเกี่ยวกับครอบครัวและการสมรส และอื่นๆ นั้นเป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อน สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับความจริงหรือการเข้าสู่ชีวิต สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของบุคคล มีเพียงสายสืบและหนอนบ่อนไส้เท่านั้นที่เจาะจงสืบค้นเรื่องเหล่านี้ หากเจ้าเพลิดเพลินกับการศึกษาและเผยแพร่เรื่องดังกล่าว การนั้นบ่งชี้ถึงอุปนิสัยประเภทใดหรือ? อุปนิสัยที่ค่อนข้างจะชั่วช้า! การไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่มุ่งเน้นที่การซุบซิบนินทา ทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้หรือสายลับ และทำงานรับใช้พญานาคใหญ่สีแดง—นั่นเป็นสิ่งที่ชั่วช้าและสามานย์มิใช่หรือ? ใครก็ตามที่เจาะจงสอบถาม สืบค้น รวมถึงเผยแพร่หัวข้อที่อ่อนไหวและเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นโดยไม่ยั้งคิดย่อมกำลังเก็บซ่อนแรงจูงใจแอบแฝงและเป็นผู้ไม่เชื่อ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องระแวดระวังบุคคลเช่นนั้นเป็นพิเศษ หากผู้คนเช่นนั้นไม่กลับใจ พวกเขาก็ไม่ควรได้ใช้ชีวิตคริสตจักรต่อไป เพราะการขายพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นการกระทำที่ไร้ศีลธรรม น่ารังเกียจ และไร้ยางอายมากที่สุด ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรอยู่ห่างจากบุคคลเหล่านี้ ในชีวิตคริสตจักร ผู้คนควรถูกจำกัดห้ามจากการสอบถามและหารือถึงเรื่องเหล่านี้ ด้วยเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการสามัคคีธรรมความจริง และการพูดถึงเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้นำประโยชน์มาสู่ผู้อื่นแต่อย่างใด
พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎการปกครองและข้อบังคับนานาประการที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องปฏิบัติตาม เรื่องทั้งหลายอย่างเช่นเรื่องกิจธุระภายในคริสตจักร การปรับเปลี่ยนบุคคลากรของผู้นำและคนทำงาน งานด้านการชำระให้สะอาดของคริสตจักร และการจัดการเตรียมการจากเบื้องบน รวมถึงเรื่องอื่นๆ ต้องไม่ถูกเผยแพร่ไปเรื่อยเปื่อยภายในคริสตจักรเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องเหล่านี้ถูกเปิดเผยไปถึงซาตานโดยผู้ไม่เชื่อและคนชั่ว เหตุผลของการนี้เป็นเพราะพระนิเวศของพระเจ้านั้นต่างจากสังคม พระเจ้าต้องประสงค์ให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น ใคร่ครวญและสามัคคีธรรมให้มากขึ้น มีเพียงการเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าและเป็นพยานให้พระเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมได้ มีเพียงการแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ให้มากขึ้นเท่านั้นที่จะสามารถสร้างบรรยากาศเช่นนั้นได้ นอกจากนี้ ในพระนิเวศของพระเจ้ามีผู้เชื่อใหม่หลายคนที่เชื่อในพระเจ้ามาเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้ไม่เชื่อบางคนยังไม่ถูกเผย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาห้าหรือสิบปีแรกของการเชื่อเป็นช่วงเวลาของการเผยตัวตนที่แท้จริงของผู้คน ระหว่างช่วงเวลานี้ยังไม่แน่นอนว่าใครจะสามารถตั้งมั่นได้และไม่ได้ และยังมีคนชั่วที่สามารถก่อกวนคริสตจักรเหลืออยู่อีกกี่คน การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลและเรื่องภายนอกเช่นนั้น รวมไปถึงเรื่องทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวกับการสามัคคีธรรมความจริงโดยไม่ยั้งคิดอยู่เสมอ สามารถนำไปสู่ผลร้ายที่ตามมาได้มากมาย ตัวอย่างเช่น ใครบางคนอาจจะถามว่า “ผู้นำคนนั้นมาจากที่ไหน? พวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหน?” ข้อมูลที่อ่อนไหวเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจำเป็นต้องรู้ อาจจะมีคนอื่นถามว่า “การที่พระนิเวศของพระเจ้าตีพิมพ์หนังสือพระวจนะของพระเจ้าใช้เงินเท่าไร?” การรู้เรื่องนี้เป็นประโยชน์อย่างนั้นหรือ? (ไม่) ค่าตีพิมพ์เป็นธุระกงการใดของเจ้าหรือ? เจ้าถูกเก็บเงินจากการนี้บ้างหรือไม่? การนี้ดูไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลยใช่หรือไม่? บางคนอาจจะถามว่า “ตอนนี้ใครคือผู้นำระดับสูงกว่าในพระนิเวศของพระเจ้า?” หากพวกเขาไม่ได้นำเจ้าโดยตรง การไม่รู้เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อเจ้าหรือไม่? (ไม่) ในจีนแผ่นดินใหญ่ การรู้เรื่องเหล่านี้อาจเป็นปัญหาได้ หากถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมและถูกทรมานอย่างรุนแรง หากเจ้าไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะทุบตีเจ้าอย่างไร เจ้าย่อมไม่สามารถเปิดเผยสิ่งใดได้ ดังนั้นเจ้าจะไม่ลงเอยด้วยการกลายเป็นยูดาส แต่หากเจ้ารู้ และไม่สามารถทนการทุบตีอันโหดเหี้ยมที่พวกเขากระทำต่อเจ้าได้ เจ้าอาจจะลงเอยด้วยการพูดออกไปและกลายเป็นยูดาส เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าอาจจะคิดว่า “ทำไมตอนนั้นฉันถึงถามคำถามเหล่านั้นออกไปโดยไม่ยั้งคิด? การไม่รู้คงจะดีกว่ามาก ต่อให้ทุบตีฉันจนถึงแก่ความตาย ฉันก็คงจะยังไม่รู้ในเรื่องเหล่านี้ ต่อให้ฉันอยากจะกุคำตอบขึ้นมา ฉันก็คงจะคิดอะไรไม่ออกเลย ในกรณีนั้น ฉันก็คงจะไม่กลายเป็นยูดาส ตอนนี้ฉันได้เรียนรู้บทเรียนของฉันแล้ว การไม่รู้เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงมากเกินไปย่อมดีที่สุด การถามเรื่องเหล่านี้ไม่มีประโยชน์เลย ไม่รู้ยังดีเสียกว่า” และอาจจะมีคนอื่นๆ บางคนที่ถามว่า “ในพระนิเวศของพระเจ้า มีฝ่ายที่ทำงานเฉพาะทางอยู่กี่ฝ่าย?” นั่นเป็นธุระกงการอะไรของเจ้า? จงทำงานที่ทีมของเจ้าเองได้รับมอบหมายเถิด การไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่กระทบต่อความสามารถในการทำหน้าที่ตามปกติของเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริงในความเชื่อของเจ้า หรือการใช้ชีวิตคริสตจักร สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลต่อเรื่องใดเลย การไม่รู้เรื่องนี้ไม่ได้ขัดขวางเจ้าจากการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการสัมฤทธิ์ความรอดในฐานะผู้เชื่อ แล้วจะมัวถามไปใย? “พี่น้องชายหญิงส่วนมากมาจากในเมืองหรือแถบชนบท? พวกเขาเป็นคนมีการศึกษาหรือไม่มีการศึกษา?” การรู้เรื่องเหล่านี้มีประโยชน์หรือไม่? (ไม่) แล้วถ้าหากพวกเขาทุกคนมาจากย่านชนบทเล่า? หากพวกเขาทุกคนมาจากในเมืองเล่า? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความจริง บางคนอาจจะถามว่า “ตอนนี้การเผยแผ่งานข่าวประเสริฐเป็นอย่างไรบ้าง?” การถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เล็กน้อยเป็นเรื่องที่รับได้ แต่คนบางคนกลับถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ถึงรายละเอียดที่ว่า งานข่าวประเสริฐเผยแผ่ไปกี่ประเทศกันแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น ต่อให้พวกเขารู้เรื่องนี้ นั่นจะส่งผลต่อพวกเขาอย่างไรหรือ? การรู้รายละเอียดดังกล่าวจะนำมาซึ่งประโยชน์ใดหรือ? หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริง ต่อให้เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้เจ้าก็จะยังไม่มีความเป็นจริงความจริงต่อไป ความรู้นี้จะไม่ช่วยให้เจ้าทำหน้าที่ของตนได้ดีหรือช่วยเรื่องการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าแต่อย่างใดเลย การไม่ไถ่ถามเรื่องทั่วไปบางอย่างนั้นไม่เป็นไร อันที่จริง การไม่รู้ย่อมจะดีกว่า การรู้มากเกินไปเป็นภาระ เมื่อข้อมูลดังกล่าวรั่วออกไป นั่นย่อมกลายเป็นปัญหาและการกระทำผิด การรู้เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี ยิ่งเจ้ารู้มากเท่าไร ก็ยิ่งเกิดปัญหาได้มากขึ้นเท่านั้น บรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงรู้ว่าสิ่งใดที่ควรพูดและสิ่งใดไม่ควรพูด พวกที่เลอะเลือน พวกที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ย่อมล้มเหลวที่จะแยกแยะระหว่างคนในกับคนนอกในยามที่พวกเขาพูดคุย พูดคุยแต่เรื่องที่ไร้สาระ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรรายงานเรื่องเหล่านี้แก่ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงในคริสตจักร การรู้เรื่องเหล่านี้ไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์ในด้านใดเลย ประการหนึ่ง ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้ ประการที่สอง พวกเขาไม่สามารถปกป้องงานของคริสตจักรได้ และประการที่สาม ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องพูดดีเกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้า พระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าคือความจริง และการกระทำทั้งหมดของพระเจ้าล้วนชอบธรรม—แล้วมีความจำเป็นต้องให้พวกผู้ไม่เชื่อหรือผู้ไม่มีความเชื่อที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมาประจบสอพลอหรือเอาอกเอาใจหรือไม่? ไม่จำเป็น ต่อให้ทั้งโลกนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ติดตามพระเจ้าหรือนมัสการพระองค์แม้แต่สิ่งเดียว สถานะและแก่นแท้ของพระเจ้าก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าไปตลอดกาล คงเดิมเสมออย่างไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าในรูปการณ์แวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร อัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้านั้นคงเดิมไปชั่วนิรันดร สิ่งเหล่านี้คือความจริงที่บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าควรเข้าใจ พวกผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อที่พูดและกระทำโดยไม่แยกแยะระหว่างคนในกับคนนอก—การที่พวกเขารู้มากเกินไปนั้นเป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับงานของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาไม่คู่ควรกับการรู้เรื่องนี้! บางคนอาจถามว่า “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความลับ จึงเป็นเรื่องที่ห้ามรู้โดยเด็ดขาดใช่หรือไม่?” เมื่อเชื่อในพระเจ้ามาถึงจุดนี้แล้ว พวกเจ้าคิดว่าเรื่องเหล่านี้มีความลับอยู่หรือไม่? (ไม่) แต่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีความซื่อตรงและมีเกียรติ พวกเขาต้องไม่ตกเป็นหัวข้อหารือหรือหัวเราะเยาะจากผู้ไม่มีความเชื่อ พระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักร และพี่น้องชายหญิง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหรือเป็นรายบุคคลก็ล้วนมีเกียรติ ทั้งหมดล้วนเป็นบวก และใครก็ไม่ควรพยายามสร้างความเสื่อมเสียให้พวกเขาทั้งสิ้น ผู้ใดก็ตามที่ปฏิบัติตนในหนทางที่อนุญาตให้ซาตานและหมู่มารสร้างความเสื่อมเสียอย่างรุนแรงหรือใส่ร้ายหรือสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของพระนิเวศของพระเจ้าหรือชื่อเสียงของพี่น้องชายหญิงอย่างไม่ระมัดระวัง คนคนนั้นย่อมถูกสาป! ด้วยเหตุนั้น คริสตจักรจึงไม่อนุญาตให้พวกที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนดำรงอยู่อย่างเด็ดขาด เมื่อระบุตัวแล้ว พวกเขาต้องถูกเอาตัวออกไป! นี่คือวิธีการที่สอดคล้องกับหลักธรรมใช่หรือไม่? (ใช่)
คนบางคนระมัดระวังและรอบคอบเป็นพิเศษในยามที่พวกเขาพูดคุย สื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ หรือคบหากับพี่น้องชายหญิง แต่เมื่อพวกเขากลับไปที่บ้าน พวกเขาก็กลายเป็นพวกปากพล่อย พูดทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งข้อมูลส่วนตัวของพี่น้องชายหญิง จนทำให้สมาชิกครอบครัวของพวกเขา ผู้ไม่มีความเชื่อ และบรรดาผู้ที่เชื่อแค่ในนามรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับกิจธุระของคริสตจักร คนเช่นนั้นเป็นหนอนบ่อนไส้ เป็นคนทรยศ—เป็นยูดาส—และเป็นบุคคลประเภทที่คริสตจักรควรเอาตัวออกไปอย่างแท้จริง ยิ่งพวกเขาอยู่ในคริสตจักรนานเท่าไร พวกเขาจะยิ่งรู้ข้อมูลเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงมากขึ้น พวกเขาจะกระทำการเปิดเผยมากขึ้น และเรื่องทั้งหลายจะถูกผู้ไม่มีความเชื่อฉวยไปใช้ประโยชน์และใช้ในการใส่ร้ายป้ายสีมากขึ้นเท่านั้น หากเจ้าไม่กลัวพวกเขาเปิดเผยข้อมูลนี้แก่ผู้ไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นก็จงเก็บพวกเขาเอาไว้ หากเจ้าไม่ปรารถนาที่จะให้ข้อมูลส่วนตัวของเจ้าและกิจธุระภายในของคริสตจักรเผยแพร่ออกไปจากปากของพวกเขา เช่นนั้นเจ้าก็ควรเอาหนอนบ่อนไส้เหล่านี้ออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่เป็นสิ่งที่เหมาะสมใช่หรือไม่? (ใช่) จงอย่าแสดงท่าทีผ่อนปรนแก่บุคคลเช่นนั้น พวกเขาไม่ได้แอบซ่อนเจตนาที่ดีเอาไว้ ทั้งยังเป็นพวกที่ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ผู้คนเช่นนั้นเปรียบเทียบกับผู้คนสองประเภทที่ถูกกล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ กล่าวคือ พวกที่มีแนวโน้มไปสู่การแก้แค้น กับพวกที่ทำตัวเหลวไหลและขาดความยับยั้งชั่งใจได้อย่างไร? พวกเขาดีกว่าหรือแย่กว่า? (แย่กว่า) บุคคลเหล่านี้อาจจะทำหน้าที่ของพวกเขา ทุ่มเทความพยายามอยู่บ้าง และสู้ทนความยากลำบากบางอย่างเช่นเดียวกัน พวกเขาอาจจะทำสิ่งใดก็ตามที่พระนิเวศของพระเจ้าขอให้ทำโดยไม่ปฏิเสธ แต่ก็มีปัญหาอยู่หนึ่งประการ นั่นคือ พวกเขาเผยทุกเรื่องเกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้าแก่ผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขารับบทเป็นคนทรยศ เป็นหนอนบ่อนไส้ในทุกวัน แค่เพียงเหตุผลข้อนี้ คริสตจักรก็ไม่สามารถอดทนกับพวกเขาได้และต้องเอาตัวพวกเขาออกไป เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ไม่ว่าพวกเขาอยู่ในคริสตจักรอย่างมีความสุขหรือไม่มีความสุข ใครที่ยั่วยุพวกเขา ใครที่เข้ากับพวกเขาได้ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักรหรือถูกปลด—ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ต้องแบ่งปันรายละเอียดทุกอย่างกับสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของตนอยู่เสมอ พวกเขาต้องดูให้แน่ใจว่าสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของพวกเขา รวมถึงผู้ไม่มีความเชื่อได้รับข้อมูลทันทีและเข้าใจสถานการณ์ภายในของคริสตจักรอย่างทันท่วงที สำหรับบุคคลเช่นนั้น เจ้าห้ามไม่แสดงท่าทีผ่อนปรนและท่าทีกรุณาต่อพวกเขาโดยเด็ดขาด เมื่อพบเจอคนหนึ่ง ก็จงเอาตัวพวกเขาออกไป วิธีการนี้เป็นอย่างไรหรือ? (เหมาะสม) การทำในหนทางนี้โหดเหี้ยมหรือไม่? (ไม่) นี่ไม่ใช่การกระทำที่โหดเหี้ยม เจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหญิง แต่พวกเขาไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าหรือผลประโยชน์ของพี่น้องชายหญิงเลย ในทางกลับกัน พวกเขาขายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าและพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตนในทุกโอกาส เจ้ามองพวกเขาเป็นครอบครัว แต่พวกเขามองเจ้าเป็นครอบครัวหรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นก็จงอย่าแสดงท่าทีผ่อนปรนแก่พวกเขา หากพวกเขาจำเป็นต้องถูกเอาตัวออกไป เช่นนั้นก็จงเอาตัวพวกเขาออกไป มาจนถึงจุดนี้ พวกเจ้าเคยเผชิญกับบุคคลเช่นนั้นหรือไม่? (เคย พวกเขาแบ่งปันทุกสิ่งเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงแก่สมาชิกครอบครัวของพวกเขา และบางครั้งพวกเขาก็แจ้งเรื่องบางอย่าง รวมถึงการจัดการเตรียมการอันเจาะจงภายในคริสตจักรให้สมาชิกครอบครัวของพวกเขาทราบทันทีที่มีโอกาส หลังจากนั้น สมาชิกครอบครัวของพวกเขาก็รวบรวมเรื่องเหล่านี้เพื่อมานินทาคริสตจักรแบบลับหลัง) บุคคลเหล่านี้เคยถูกเอาตัวออกไปหรือไม่? (เคย) เมื่อถูกเอาตัวออกไปแล้ว พวกเขาพร่ำบ่นหรือไม่? พวกเขาอาจจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เป็นธรรม พลางคิดว่า “ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย นี่ไม่ใช่การละเมิดกฎการปกครอง และฉันก็ยังไม่ได้ก่อการรบกวนหรือการขัดขวาง ทำไมฉันถึงถูกเอาตัวออกไปเล่า?” พวกเจ้าคิดว่าธรรมชาติของการกระทำของพวกเขานั้นร้ายแรงกว่าการก่อการรบกวนและการขัดขวางใช่หรือไม่? (ใช่) ผู้คนเช่นนั้นจะสามารถได้รับการไถ่ได้หรือไม่? สำหรับพวกเขา การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องง่ายใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าการนั้นจะไม่ใช่เรื่องง่าย? แง่มุมใดที่แสดงให้เห็นว่าสำหรับพวกเขาแล้วการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก? (พวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหรือหญิง แก่นแท้ของพวกเขาคือแก่นแท้ของผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อ) นี่คือแก่นแท้ของพวกเขา แล้วพวกเจ้าจะบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่มีความเชื่อและเป็นผู้ไม่เชื่อ? (ไม่ว่าพวกเขามีความรู้สึกเช่นไรในคริสตจักร พวกเขาก็ระบายใส่สมาชิกในครอบครัวของตน ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่ได้ยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้า ไม่ต้องพูดถึงการเรียนรู้บทเรียนเลย ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้รับประสบการณ์จากพระราชกิจของพระเจ้าและไม่ยอมรับความจริง ดังนั้นแก่นแท้ของพวกเขาจึงเป็นแก่นแท้ของผู้ไม่เชื่อ) แก่นแท้นี้ของพวกเขาได้รับการอธิบายโดยกระจ่างแล้ว พวกเขาระบายความรู้สึกของตนใส่ครอบครัว และปฏิบัติต่อทุกสิ่งทุกอย่างโดยอ้างอิงตามความรู้สึกของพวกเขา เจ้าจะบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า แต่เป็นผู้ไม่มีความเชื่อที่แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า? (เพราะพวกเขาสามารถขายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้ ทำตัวเป็นคนทรยศและหนอนบ่อนไส้ และเพราะโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาไม่ใช่คนที่ปกป้องงานและผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้น บุคคลเหล่านี้จึงไม่ได้มีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระนิเวศของพระเจ้า) คำอธิบายนี้ยังไม่ตรงประเด็น เราขออธิบายให้ฟังดังนี้ ถึงแม้ว่าบุคคลเหล่านี้จะมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรและทำหน้าที่ของตน แต่พวกเขามองว่าพี่น้องชายหญิงเป็นครอบครัวของตนบ้างหรือไม่? กล่าวโดยง่ายคือ พวกเขามองว่าพี่น้องชายหญิงเป็นพวกของตนบ้างหรือไม่? (ไม่) แล้วพวกเขามองพี่น้องชายหญิงเป็นอะไร? (เป็นคนนอก) ถูกต้อง เป็นคนนอก เป็นฝ่ายตรงข้าม แล้วพวกเขามองว่าคริสตจักรกับพระนิเวศของพระเจ้าเป็นอะไร? เป็นเพียงสถานที่ทำงานสำหรับพวกเขามิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขามองพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรราวกับเป็นบริษัทหรือองค์กรในโลกของที่ไม่มีความเชื่อ มองพี่น้องชายหญิงเป็นคนนอก เป็นพวกที่พวกเขาต้องระวังตัว เป็นฝ่ายตรงข้าม ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงสามารถเผยข้อมูลนานาประเภทและสถานการณ์จริงอันหลากหลายเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงแก่คนที่โดยแท้แล้วไม่ได้เชื่อในพระเจ้าโดยง่าย พวกเขาตระหนักว่าพวกที่ไม่มีความเชื่อย่อมจะไม่พูดเรื่องที่ดี และอาจถึงกับว่าร้ายพี่น้องชายหญิง รวมถึงใส่ร้ายป้ายสีพระนิเวศของพระเจ้าได้ด้วยซ้ำ—พวกเขารู้ทั้งหมดนี้ แต่พวกเขาก็ยังคงเปิดเผยสถานการณ์ของพี่น้องชายหญิงและคริสตจักรแบบหมดเปลือกโดยไม่ยั้งคิดแก่พวกผู้ไม่มีความเชื่อ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามองพี่น้องชายหญิงเป็นคนนอก เป็นฝ่ายตรงข้าม และเมื่อไรก็ตามที่มีความไม่พอใจเกิดขึ้น พวกเขาก็ร่วมมือกับผู้ไม่มีความเชื่อในการเยาะเย้ย ใส่ร้ายป้ายสี และต่อต้านพี่น้องชายหญิงลับหลังพวกเขาทันทีเพื่อเป็นการสนองความปรารถนาของพวกเขาเอง พวกเขารู้สึกว่าการตัดสินพี่น้องชายหญิงคนใดก็ตามคงจะเป็นไปไม่ได้ในคริสตจักร เพราะหากพวกเขาหารือเรื่องคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิงต่อหน้าพี่น้องชายหญิงเอง พวกเขาก็รู้สึกว่าจะต้องแบกรับผลที่ตามมา ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงประสงค์สำหรับพวกเขา แต่การหารือเรื่องเหล่านี้กับครอบครัวของพวกเขานั้นสนองความหุนหันพลันแล่น ความปรารถนา และความรู้สึกส่วนตัวของพวกเขาได้โดยสมบูรณ์ โดยไม่ต้องแบกรับผลที่ตามมาใดๆ เพราะเหนือสิ่งอื่นใดครอบครัวก็คือครอบครัว คือผู้ที่จะไม่ทรยศพวกเขาเพื่อประโยชน์ส่วนตน อย่างไรก็ตาม นี่ไม่เหมือนกับพี่น้องชายหญิงผู้ที่สามารถรายงานพวกเขา เปิดโปงพวกเขา และตัดแต่งพวกเขา ทั้งยังถึงกับทำให้พวกเขาสูญเสียหน้าที่และตำแหน่งของตนได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้นจึงไม่ผิดเลยที่จะกล่าวว่าพวกเขามองพี่น้องชายหญิงเป็นฝ่ายตรงข้ามของตน ฝ่ายตรงข้ามคือใครบางคนที่ควรระวัง ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่พูดกับพี่น้องชายหญิง อีกทั้งไม่สามัคคีธรรมและไม่เปิดเผยสิ่งใดกับพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นทั้งสิ้น กลับกัน พวกเขา “ใช้ชีวิตคริสตจักร” กับสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของพวกเขาที่บ้าน ที่ซึ่งพวกเขาแบ่งปันทุกสิ่งและระบายความในใจ พวกเขาแสดงความคิด ความเห็น ความไม่สบอารมณ์ ความไม่พอใจ และทัศนะที่บิดเบือนทั้งหมดของพวกเขาออกมาอย่างหมดเปลือกโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย พบความหลุดพ้นและความพอใจจากการทำเช่นนั้น สมาชิกครอบครัวของพวกเขาไม่ดูแคลนพวกเขา แต่กลับช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกับพวกเขา หากพวกเขาพูดเช่นนี้ในคริสตจักร ธรรมชาติที่แท้จริงเยี่ยงผู้ไม่เชื่อของพวกเขาย่อมจะถูกเปิดโปงจนหมดเปลือก และคริสตจักรจะต้องเอาตัวพวกเขาออกไป ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่ได้มองพี่น้องชายหญิงเป็นครอบครัวของตน แต่กลับมองเป็นฝ่ายตรงข้าม นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง อีกแง่มุมหนึ่งก็คือพวกเขาไม่เคยถือว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับคริสตจักร ไม่ว่าจะเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและการหมิ่นประมาทจากโลกศาสนา ข่าวลือที่ไม่มีมูลและการหัวเราะเยาะจากผู้ไม่มีความเชื่อ หรือการตีกรอบและการข่มเหงจากรัฐบาลแห่งชาติ ก็ย่อมไม่เกี่ยวข้องและไม่มีนัยสำคัญต่อพวกเขาเป็นการส่วนตัว สมมุติว่านี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขา “หากภาพลักษณ์ของคริสตจักรได้รับความเสียหายและพระนามของพระเจ้าถูกหลู่พระเกียรติ ศักดิ์ศรีในฐานะผู้เชื่อของพวกเราก็ย่อมเผชิญปัญหาอย่างร้ายแรง เพราะแบบนี้ ฉันจะไม่มีวันหารือเรื่องของคริสตจักรหรือกิจธุระของพระนิเวศของพระเจ้ากับผู้ไม่มีความเชื่อ ปล่อยให้พวกเขาซุบซิบนินทาและหัวเราะเยาะไป เพื่อปกป้องตัวเอง ฉันจะไม่พูดเรื่องกิจธุระของพระนิเวศของพระเจ้าไปเรื่อยกับสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของฉันโดยเด็ดขาด”—หากพวกเขามีความตระหนักรู้ดังกล่าว เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถระวังคำพูดของตนได้มิใช่หรือ? แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้? การนี้เห็นได้ชัดว่า โดยแท้แล้วพวกเขาไม่ได้ถือว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่ได้ถือว่าตนเองเป็นผู้เชื่อ บางคนกล่าวว่า “คำพูดของคุณไม่ถูกต้อง หากพวกเขาไม่ถือว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า ทำไมพวกเขาถึงจะยังมาชุมนุมอยู่เล่า?” ในบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้านั้นมีคนอยู่ทุกประเภท พวกเราเคยสามัคคีธรรมเรื่องนี้มาแล้วมิใช่หรือ? มีผู้คนมากมายที่มาเชื่อในพระเจ้าด้วยแรงจูงใจและและจุดประสงค์ที่ไม่เหมาะสมนานาประการ และนี่เป็นประเภทหนึ่ง การเชื่อในพระเจ้าเพื่อความบันเทิง เพื่อคลายความเบื่อหน่าย หรือเพื่อหาการค้ำจุนฝ่ายวิญญาณ—ผู้ไม่เชื่อเช่นนั้นพบได้ทั่วไปมิใช่หรือ? ผู้คนเช่นนั้นสามารถพบได้มากมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาไม่ได้ยอมรับตนเองในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่างานทั้งหมดของคริสตจักรและการทำหน้าที่ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสนใจ พวกเขาไม่ได้ใส่ใจในเรื่องเหล่านั้นเลย ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงสามารถหารือสถานการณ์เรื่องงานของคริสตจักร กิจธุระภายในคริสตจักร และแม้แต่ประเด็นที่เกิดขึ้นในหมู่พี่น้องชายหญิงกับผู้ไม่มีความเชื่อได้แบบสบายๆ และไม่จริงจัง หลังจากพวกเขาพูดจบ ผู้ไม่มีความเชื่อก็เริ่มทำการซุบซิบนินทา ว่าร้าย และเหน็บแนม แต่นั่นไม่ได้ทำให้พวกเขาเดือดเนื้อร้อนใจเลยแม้แต่น้อย พวกเขาอาจจะร่วมวงด่าทอพี่น้องชายหญิง ตัดสินพระนิเวศของพระเจ้า และแสดงว่าคิดเห็นเกี่ยวกับงานและการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้ากับผู้ไม่มีความเชื่อเสียด้วยซ้ำ พวกเขาคือผู้เชื่อในพระเจ้าใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ผู้เชื่อที่แท้จริงจะไม่มีวันกระทำการในลักษณะนี้ ต่อให้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาก็จะไม่มีวันทำร้ายคนที่มีบุญคุณกับพวกเขาและเข้าข้างคนนอกคริสตจักร เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? (ใช่) ด้วยเหตุนั้น ผู้คนเช่นนั้นจึงเป็นคนชั่ว และเป็นผู้ไม่มีความเชื่อที่ต้องถูกเอาตัวออกไป ยิ่งพวกเขาถูกเอาตัวออกไปเร็วเท่าไร คริสตจักรก็จะยิ่งมีความสงบสุขเร็วขึ้นเท่านั้น
มาพูดถึงตัวเจ้าเองกันเถิด ยกตัวอย่าง หากพ่อแม่ของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า หรือหากพี่น้องหรือเพื่อนสนิทของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาไม่ได้ต่อต้านความเชื่อของเจ้า และอันที่จริงก็ค่อนข้างสนับสนุนความเชื่อดังกล่าว เจ้าจะเล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในคริสตจักรให้พวกเขาฟังหรือไม่? สมมุติว่าเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งของเจ้าถามว่า “ในคริสตจักรของคุณมีผู้ชายคนไหนกำลังหาคู่ครองอยู่ไหม? มีคนที่ไร้เล่ห์มารยาเป็นพิเศษ แถมยังสูงโปร่ง รูปหล่อ และร่ำรวยอยู่บ้างไหม?” คนที่ดีพร้อมในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อก็ปรารถนาที่จะหาคู่ครองที่ดีพร้อมเพื่อใช้ชีวิตด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อนผู้หญิงของเจ้าต้องการหาใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้า แล้วเจ้าจะเต็มใจที่จะบอกหล่อนหรือไม่? (ไม่) เจ้าควรบอกหล่อนไปว่า “ความชอบพอในผู้เชื่อของเธอนั้นไร้ประโยชน์ เธอเป็นผู้ไม่เชื่อ และโดยพื้นฐานย่อมเข้ากันไม่ได้กับผู้เชื่อ เธอไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน เธอเดินบนเส้นทางที่แตกต่างกัน! ดูเธอสิ แต่งตัวสะดุดตาเหลือเกิน—พี่น้องชายคนไหนในคริสตจักรจะมาชอบเธอ?” เจ้าไม่ได้ยกย่องเธอ แล้วเจ้าจะพูดเรื่องคริสตจักรกับเธอได้หรือไม่? (ไม่ได้) เพียงแค่ไม่กี่คำ บทสนทนาก็จะจบลง พร้อมด้วยมุมมองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ต่อให้ผู้ไม่มีความเชื่อบางคนมีภาพประทับใจที่ดีต่อผู้เชื่อ และต่อให้พวกเขายังรักษามิตรภาพกับเจ้าเอาไว้หลังจากที่เจ้ากลายมาเป็นผู้เชื่อ เจ้าจะเต็มใจแบ่งปันกิจธุระภายในคริสตจักรหรือความยากลำบากที่เจ้าเผชิญในการทำหน้าที่ของตนให้พวกเขาฟังหรือไม่? (ไม่) ต่อให้พวกเขาสนับสนุนความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า การหารือเรื่องของคริสตจักรกับพวกเขาจะมีประโยชน์อะไรหรือ? ยกตัวอย่าง พี่น้องชายหญิงบางคนอดทนผ่านการทรมานและการสอบสวนของพญานาคใหญ่สีแดงโดยไม่กลายเป็นยูดาส นี่คือคำพยานที่แม้กระทั่งผู้ไม่มีความเชื่อยังเลื่อมใส—เจ้าจะเต็มใจแบ่งปันเรื่องนี้กับพวกเขาหรือไม่? (ไม่) เหตุใดเจ้าจึงจะไม่เต็มใจที่จะหารือเรื่องนี้? (เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่อาจเข้าใจคำพยานจากประสบการณ์เหล่านี้ได้) พวกเขาจะไม่สามารถเข้าใจได้ การหารือเรื่องเหล่านี้อาจส่งผลกระทบอันเป็นลบอย่างไรบ้าง? (พวกเขาอาจจะลงเอยด้วยการตัดสินคริสตจักรแทน) พวกเขาจะกระทำการตัดสินโดยกล่าวว่า “คุณจะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไม? ทำไมถึงต่อต้านรัฐบาลแห่งชาติ?” เห็นหรือไม่ว่า ความคิดเห็นหนึ่งข้อก็สามารถเปิดโปงธรรมชาติของพวกเขาได้ การนี้จะถือว่าเป็นการต่อต้านรัฐบาลแห่งชาติได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่า การที่พญามารปกครองประเทศกำลังสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ทิ้งให้พวกเขาหมดหนทางในการใช้ชีวิต แม้แต่ในยามที่พวกเขารู้เห็นเรื่องนี้ พวกเขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพูดในหนทางที่ตรงข้ามกับความจริงและบิดเบือนข้อเท็จจริง เจ้าจะหารือเรื่องใดกับพวกเขาได้อีก? เจ้าไม่สามารถพูดเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้ากับพวกเขาได้ เจ้าไม่อาจปล่อยให้พวกเขารู้สิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ พวกที่ไม่สามารถระวังคำพูดของตนสามารถบอกเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับคริสตจักรแก่ผู้ไม่มีความเชื่อ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ พวกเขาคือหมู่มารที่มายังพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อทำตามใจตน คือสัตว์ร้ายที่แว้งกัดมือของคนที่ให้อาหารพวกเขาโดยไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลเลยแม้แต่น้อย สำหรับพวกเขา ความเสียหายใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับผลประโยชน์หรือชื่อเสียงของพระนิเวศของพระเจ้าหรือคริสตจักรนั้นไม่ส่งผลต่อพวกเขาเลย ไม่ได้ลามไปถึงผลประโยชน์ของพวกเขาเอง และพวกเขาก็ไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงสามารถพูดเรื่องกิจธุระภายในของคริสตจักรให้ผู้ไม่มีความเชื่อและคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าฟังได้โดยไม่ยั้งคิด โดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว ผู้คนเช่นนั้นน่าเกลียดชังใช่หรือไม่? (ใช่!) ผู้ไม่เชื่อที่ไม่ได้มองพี่น้องชายหญิงเป็นครอบครัวของตน แต่กลับมองผู้ไม่มีความเชื่อเป็นครอบครัวของพวกเขา จะสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาจะสามารถยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) คนที่ไม่ได้ถือว่าตนเองเป็นสมาชิกของคริสตจักร เมื่อได้ยินพระวจนะแห่งความรอดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ จะสามารถวางผลประโยชน์ของตนเองลงเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) กิจกรรมในชีวิตประจำวันของพวกเขามีเพียงการขายผลประโยชน์ของคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน เข้าข้างคนนอก และทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ เป็นยูดาส เป็นคนทรยศ ราวกับนี่คือภารกิจของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาไม่เดินไปบนเส้นทางที่ถูกควร แต่กลับมีชีวิตเพื่อทำชั่ว พวกเขาสมควรตาย และสมควรถูกสาปแช่ง! พวกยูดาส คนทรยศ และทาสรับใช้ของซาตานที่แว้งกัดคนที่มีบุญคุณกับตนเองเหล่านี้คือคนชั่วที่เป็นลบ พวกเขาเป็นภัยต่อมวลมนุษย์ ทั้งยังเป็นพวกที่คนทั้งปวงรังเกียจ ดังนั้นแล้ว การที่คริสตจักรจัดการกับพวกเขาและเอาตัวพวกเขาออกไปจึงเป็นเรื่องที่ถูกควรโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ? (ใช่) นี่เป็นสิ่งที่ถูกควรโดยสิ้นเชิง! พวกเจ้าย่อมจะไม่ชอบการถูกขายเพื่อประโยชน์ส่วนตนมิใช่หรือ? หากคริสตจักรหรือพระนิเวศของพระเจ้าถูกขายเพื่อประโยชน์ส่วนตน คนส่วนมากอาจจะไม่ได้เห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้งหรือรู้สึกทุกข์ใจเหลือเกิน พวกเขาเพียงจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่ในใจเล็กน้อย เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็คือสมาชิกของคริสตจักรหรือพระนิเวศของพระเจ้า แต่จะเป็นอย่างไรหากเจ้าถูกใครบางคนในคริสตจักรขายให้กับผู้ไม่มีความเชื่อเพื่อประโยชน์ส่วนตน และเพราะการที่พวกเขาขายเจ้า ผู้ไม่มีความเชื่อจึงบิดเบือนข้อเท็จจริง ใส่ร้ายป้ายสี เยาะเย้ย ตัดสิน และกล่าวโทษเจ้า? ถึงตอนนั้นเจ้าจะรู้สึกอย่างไร? เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะประสบกับความอับอายและความละอายใจที่คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้าทนทุกข์มิใช่หรือ? (ใช่) จากมุมมองนี้ การเอาบุคคลเช่นนั้นออกไปเป็นสิ่งที่เหมาะสมใช่หรือไม่? (ใช่) พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไป ไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีผ่อนปรนกับพวกเขา สำหรับผู้ที่ไม่สามารถระวังคำพูดของพวกเขาได้ อ้างอิงตามการสำแดงนานาประการจากวิธีที่พวกเขาปฏิบัติตนและสิ่งที่พวกเขาใช้ในการดำเนินชีวิต พวกเขาก็คือผู้ไม่เชื่อที่อยู่ในคริสตจักร เป็นคนชั่วประเภทที่ควรถูกเอาตัวออกไป ไม่ว่าการกระทำของพวกเขาถูกทำอย่างลับๆ หรืออย่างเปิดเผย เมื่อพบว่าใครบางคนไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ และแก่นแท้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นแก่นแท้ของผู้ไม่เชื่อโดยสมบูรณ์ เช่นนั้นก็จงรายงานเรื่องพวกเขาต่อผู้นำและคนทำงานทัน รวมถึงแจ้งเตือนพี่น้องชายหญิง การแยกแยะที่ถูกต้องและทันท่วงทีควรเกิดขึ้นกับบุคลเช่นนั้น แล้วพวกเขาก็ควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรโดยเร็วที่สุด อย่าปล่อยให้พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับคริสตจักร กับงานของคริสตจักร หรือกับพี่น้องชายหญิง การเอาตัวพวกเขาออกไปให้หมดจดเป็นการกระทำที่ถูกต้อง การสามัคคีธรรมถึงการสำแดงของความเป็นมนุษย์—การไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ สิ้นสุดเพียงเท่านี้
ผู้คนสามประเภทที่ถูกสามัคคีธรรมในวันนี้เป็นกรณีที่ร้ายแรงกว่าสองประเภทที่ถูกสามัคคีธรรมไปก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่? (ใช่) รูปการณ์แวดล้อมของพวกเขาย่ำแย่กว่า ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาชั่วร้ายกว่าและน่ารังเกียจมากกว่า อีกทั้งความเสียหายและผลกระทบที่พวกเขามีต่อผลประโยชน์ของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงทุกคนก็หนักหนากว่า ด้วยเหตุนั้น อย่าประมาทกับผู้คนสามประเภทนี้ ควรระวังตัวจากพวกเขาอย่างใกล้ชิดและไม่ควรตามใจพวกเขา หากใครก็ตามถูกระบุว่าเป็นหนึ่งสามประเภทนี้ พวกเขาก็ควรถูกเปิดโปงและถูกแยกแยะทันที จากนั้นก็เปิดเผยพวกเขาโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หากพวกเขากำลังทำหน้าที่สำคัญ จงหาใครบางคนมารับหน้าที่ต่อจากพวกเขาทันที จากนั้นก็ปลดพวกเขาออกจากหน้าที่ดังกล่าวและเอาตัวพวกเขาออกไป เข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) สภาวะนานาประการของพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร การสำแดงอันหลากหลายของพวกเขาในช่วงเวลาต่างๆ งานของคริสตจักร และแม้กระทั่งกิจธุระบางอย่างภายในคริสตจักรเป็นสิ่งที่ได้รับอนุญาตให้หารือและสามัคคีธรรมกันในหมู่พี่น้องชายหญิงเท่านั้น การนี้เพื่อทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีความเข้าใจและความเห็นเชิงลึกที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าประสงค์ เพื่อที่จะได้บรรลุความสามารถในการปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง อย่างไรก็ตามต้องเข้าใจหลักธรรมข้อหนึ่งในชัดเจน นั่นคือ ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือหลักธรรมเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หรือไม่ว่าจะเป็นข้อบังคับสำหรับเรื่องทั่วไปก็ตาม สิ่งเหล่านี้ห้ามนำไปพูดกับผู้ไม่มีความเชื่อเด็ดขาด ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ไม่มีความเชื่อแสดงความคิดเห็นและชี้นิ้วตัดสิน นี่เป็นเรื่องที่ต้องห้ามโดยสิ้นเชิง บางคนอาจจะกล่าวว่า “หากนี่เป็นเรื่องต้องห้ามโดยสิ้นเชิง นั่นหมายความว่านี่คือกฎการปกครองใช่หรือไม่?” กล่าวในหนทางนี้ก็ย่อมได้ ผู้ใดก็ตามทำข้อมูลหลุดออกไปจะต้องแบกรับผลที่ตามมาตามที่สมควร เหตุใดพวกเขาจะต้องแบกรับผลที่ตามมา? เพราะพวกที่ทำให้เรื่องภายในคริสตจักรหลุดรั่วออกไปไม่ได้ปกป้องคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิง ทั้งยังสามารถทรยศคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงได้อย่างง่ายดาย ในเมื่อพวกเขาทำตัวเป็นคนทรยศและยูดาส พวกเขาก็ไม่ควรได้รับการผ่อนปรน หรือถูกมองว่าเป็นพี่น้องชายหญิงหรือครอบครัวอีกต่อไป พวกเขาควรถูกเปิดเผยว่าเป็นคนทรยศและเป็นยูดาส และถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรโดยตรง คนบางคนกล่าวว่า “ฉันเคยมีนิสัยที่ไม่ดีของการเป็นคนปากพล่อย ฉันมีแนวโน้มที่จะพูดออกไปโดยไม่ยั้งคิด ตอนนี้พอได้เห็นผลที่ตามมาของการกระทำเช่นนั้น ฉันก็ไม่กล้าพูดอย่างไม่ยั้งคิดอีกต่อไป” ดีแล้ว ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ เจ้าย่อมจะถูกสังเกตพฤติกรรม หากเจ้ากลับตัวและกลับใจโดยแท้จริง ไม่ส่งต่อข้อมูลหรือทรยศผลประโยชน์ของพี่น้องชายหญิงโดยไม่ยั้งคิดอีกต่อไป ทั้งยังสามารถระวังคำพูดของเจ้าได้ พระนิเวศของพระเจ้าก็ย่อมจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากพบว่าเจ้าทำเช่นนี้อีก ว่าเจ้าคือคนที่เผยแพร่ข้อมูลบางอย่าง ก็ย่อมจะไม่มีการแสดงความผ่อนปรนใดๆ กับเจ้าทั้งสิ้น—พี่น้องชายหญิงในคริสตจักรจะรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อเอาตัวเจ้าออกไป เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ก็จงอย่าร่ำไห้หรือพร่ำบ่นว่าเจ้าไม่ได้รับการเตือนล่วงหน้า ขณะนี้ที่สิ่งทั้งหลายได้รับการอธิบายโดยชัดเจนแล้ว หากเกิดเรื่องนี้ขึ้นอีกครั้ง พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ผ่อนปรนโดยเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) หากพวกเจ้าพบใครก็ตามที่ยังไม่เข้าใจ ก็จงอธิบายเรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง ชี้ให้พวกเขาเห็นโดยใช้สิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันในวันนี้ หากพวกเจ้าสังเกตเห็นใครบางคนแสดงสัญญาณของพฤติกรรมนี้ หรือเห็นใครบางคนกระทำการในหนทางนี้มาก่อน ก็จงสื่อสารกับพวกเขา ตักเตือนพวกเขา และแจ้งให้พวกเขาทราบถึงธรรมชาติและผลที่ตามมาของการกระทำเช่นนั้น รวมไปถึงท่าทีที่พระนิเวศของพระเจ้ามีต่อเรื่องและผู้คนเหล่านี้ เมื่ออธิบายสิ่งต่างๆ ไปอย่างชัดเจนแล้ว จงสังเกตพวกเขาเพื่อดูว่าพวกเขาสามารถกลับใจได้หรือไม่ และพวกเขาจะทำเช่นไรในอนาคต หากพวกเขาเปลี่ยนแปลงและไม่กระทำการในหนทางเช่นนั้นอีก ก็สามารถยอมรับพวกเขากลับเข้ามา และปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหญิงได้ แต่หากพวกเขายังดื้อดึงไม่กลับใจและยังแอบกระทำการเช่นนี้ต่อไป เมื่อไรก็ตามที่เจ้าพบบุคคลเช่นนั้น ก็จงเอาตัวพวกเขาออกไปเสีย หากเจ้าพบหนึ่งคู่ ก็จงเอาตัวพวกเขาออกไปทั้งสองคน หากเจ้าพบหนึ่งกลุ่ม เช่นนั้นก็จงเอาตัวพวกเขาออกไปให้หมด อย่าแสดงการผ่อนปรนใดๆ บางคนอาจจะถามว่า “ฉันสามารถพูดคุยกับคนในครอบครัวที่ครั้งหนึ่งเคยเชื่อในพระเจ้า แต่ต่อมาก็ถูกเอาตัวออกไปได้หรือไม่?” ดูเหมือนว่า พวกที่รักการพูดจาพล่อยๆ และกระทำการซุบซิบนินทาจะพบว่าการควบคุมตนเองไม่ใช่เรื่องง่าย เฝ้าถามด้วยความดื้อดึงอยู่เสมอว่าการนั้นทำได้หรือไม่ พวกเจ้าคิดอย่างไร การนี้ทำได้หรือไม่? (ไม่ได้) การพูดคุยกับใครก็ได้เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะการนี้นำไปสู่ผลพวงทั้งหลายได้อย่างง่ายดาย ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดต้องถูกเปิดเผยว่าเป็นยูดาส พวกผู้ไม่มีความเชื่อ พวกที่เคยถูกเอาตัวออกไป พวกที่สนิทชิดใกล้กับเจ้า พวกที่ไว้วางใจได้ พวกที่สนับสนุนความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า พวกที่มีภาพประทับใจที่น่าพอใจต่อการเชื่อในพระเจ้า และพวกที่เชื่อในพระเจ้าแค่ในนาม พวกที่เพียงใช้ชีวิตคริสตจักรและอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่บ้างแต่ไม่ทำหน้าที่ของตนเองเลย จงอย่าพูดกับคนเหล่านี้—หากคนหนึ่งพูด พวกเขาจะถูกเปิดเผยว่าเป็นยูดาส เข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ใครอีกที่รวมอยู่ในพวกที่ไม่ทำหน้าที่ของตน? สมาชิกทั่วไปของคริสตจักรถูกรวมอยู่ด้วยใช่หรือไม่? (ใช่) จงอย่าลืมเรื่องนี้ อย่าเป็นคนโง่เขลา พวกเจ้าต้องเข้าใจหลักธรรมให้ดี จงอย่าเชื่อต่อไปเพียงเพื่อลงเอยด้วยการกลายเป็นยูดาสและทรยศพระนิเวศของพระเจ้า ทรยศพี่น้องชายหญิงโดยไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังถึงกับรู้สึกภูมิใจในเรื่องนี้ การไม่สามารถระวังคำพูดของคนเราและถึงกับทรยศงานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงเป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรง พระเจ้าทรงเฝ้าบันทึกว่าใครที่กระทำชั่วเช่นนั้น บัดนี้ เมื่อเรื่องนี้ถูกอธิบายให้เจ้าฟังโดยกระจ่าง และเจ้าก็เข้าใจแล้ว หากเจ้าทำเช่นนี้อีกครั้ง นี่ย่อมไม่ใช่การกระทำผิดธรรมดาอีกต่อไป นี่คือการละเมิดกฎการปกครอง ซึ่งทำให้เจ้ากลายเป็นเป้าหมายของการถูกเอาตัวออกไปและเจ้าจะถูกตัดสิทธิ์ในความรอด เข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ)
11 ธันวาคม ค.ศ. 2021