หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (24)

ประการที่สิบสี่: แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป (ภาคที่สาม)

หลักและมาตรฐานสำหรับการแยกแยะคนชั่วนานาประเภท

I. อ้างอิงตามจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา

ในการชุมนุมครั้งก่อน พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงาน นั่นคือ “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป”  จากเนื้อหาของหน้าที่รับผิดชอบประการนี้ พวกเราได้สรุปการสำแดงต่างๆ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่แตกต่างกันของผู้คนนานาประเภท จากนั้นก็แยกแยะบุคคลหลากหลายนี้ตามการสำแดงของพวกเขา  ผ่านการแยกแยะบุคคลเหล่านี้ พวกเรามุ่งหมายที่จะระบุให้ชัดเจนว่าใครคือคนชั่วที่พระนิเวศของพระเจ้าจำเป็นต้องแยกแยะและเอาตัวออกไป—กล่าวคือ บรรดาผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อในพระนิเวศของพระเจ้า และเป็นเป้าหมายของการเอาตัวออกไปนั่นเอง  ในการชุมนุมสองครั้งก่อนพวกเราได้สามัคคีธรรมเรื่องวิจารณญาณแยกแยะและการจัดหมวดหมู่ของคนชั่วนานาประเภทผ่านสามแง่มุม  วันนี้ พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการจัดหมวดหมู่คนชั่วนานาประเภทผ่านสามแง่มุมนี้กันต่อ  อันดับแรก จงอ่านหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ และหมวดหมู่เฉพาะทั้งสามหมวดหมู่ที่ระบุในนั้นเถิด  (หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงาน “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป”  หมวดหมู่ที่หนึ่ง จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา หมวดหมู่ที่สอง ความเป็นมนุษย์ของคนเรา หมวดหมู่ที่สาม ท่าทีที่คนเรามีต่อหน้าที่ของตน)  หลังจากอ่านแล้ว พวกเจ้าพอจะนึกออกถึงเนื้อหาเบื้องต้นจากการสามัคคีธรรมสองครั้งก่อนใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเรามาทบทวนเนื้อหาของสามัคคีธรรมคราวที่แล้วกันก่อนเถิด  (คราวที่แล้วพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา โดยครอบคลุมตั้งแต่ประเด็นที่สี่ถึงประเด็นที่แปดของหัวข้อนี้ ประเด็นที่สี่ เพื่อกระทำการฉวยโอกาส ประเด็นที่ห้า เพื่ออาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต ประเด็นที่หก เพื่อแสวงหาที่หลบภัย ประเด็นที่เจ็ด เพื่อหาผู้สนับสนุน ประเด็นที่แปด เพื่อไล่ตามไขว่คว้าจุดมุ่งหมายทางการเมือง)  ทั้งห้าประเด็นนี้ถูกหารือไปในสามัคคีธรรมคราวก่อน  ผ่านการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการสำแดงเบื้องต้นและแก่นแท้อันเสื่อมทรามที่ถูกเผยออกมาของผู้คนห้าประเภทนี้ เมื่อตัดสินจากพฤติกรรมของพวกเขา กับเจตนาและจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา รวมไปถึงข้อเรียกร้องที่พวกเขามีต่อพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา ผู้คนเหล่านี้ควรถูกนับว่าเป็นพี่น้องชายหญิงและควรอยู่ในคริสตจักรต่อไปหรือไม่?  (ไม่ ผู้คนเช่นนั้นควรถูกชำระออกไป เพราะความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาไม่ใช่เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไล่ตามเสาะหาความรอด  พวกเขาทุกคนต่างมีเจตนาและแผนการส่วนตัว หวังที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมในการหาผลประโยชน์ให้ตนเองและได้รับประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อ)  หากไม่เอาผู้ไม่เชื่อออกไปจากคริสตจักร พวกเขาจะสร้างความเสียหายต่องานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงอย่างไร?  (พวกเขาไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งไม่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาอาศัยอยู่ในคริสตจักรโดยไม่ยอมรับความจริง  มากไปกว่านั้น พวกเขายังสามารถระบายความคิดลบและมโนคติอันหลงผิดออกมา จนก่อให้เกิดการรบกวนและการขัดขวาง และมีบทบาทอันเป็นลบ)  โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนมองเห็นได้

เมื่อตัดสินจากการสำแดงของผู้คนห้าประเภทที่หารือกันไปในสามัคคีธรรมคราวก่อน ผู้คนเหล่านี้มีลักษณะร่วมกันหรือไม่?  (มี)  ลักษณะที่พวกเขามีร่วมกันคืออะไร?  (ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อ)  (พวกเขาไม่เชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า ไม่เชื่อในความจริง และไม่สนใจในความจริง)  สิ่งนี้แตะไปถึงแก่นแท้ของพวกเขา ในเมื่อพวกเขาไม่เชื่อในความจริง พวกเขาจึงจะไม่ยอมรับความจริง  แก่นแท้ของบรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใดคือแก่นแท้ของผู้ไม่เชื่อ  ลักษณะเด่นของผู้ไม่เชื่อคืออะไร?  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อกระทำการฉวยโอกาส เพื่ออาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต เพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ เพื่อหาคนสนับสนุนและหาแหล่งรายได้ที่มั่นคง  บางคนถึงกับไล่ตามไขว่คว้าจุดมุ่งหมายทางการเมือง ต้องการที่จะสร้างเครือข่ายกับรัฐบาลผ่านเรื่องบางอย่างเพื่อให้ได้รับความดีความชอบและได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ  ผู้คนเช่นนั้นคือผู้ไม่เชื่อ เป็นเช่นนั้นกันทุกคน  พวกเขามีแรงจูงใจและเจตนาเหล่านี้ในความเชื่อในพระเจ้า และในหัวใจของพวกเขาก็ไม่เชื่อด้วยความมั่นใจโดยสิ้นเชิงว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่  ต่อให้พวกเขายอมรับพระองค์ พวกเขาก็ทำเช่นนั้นไปด้วยความกังขา เพราะพวกเขายึดถือทัศนะแบบอเทวนิยม  พวกเขาเชื่อแต่เพียงสิ่งที่มองเห็นได้ในโลกวัตถุนิยมเท่านั้น  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าพวกเขาไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่?  เพราะพวกเขาไม่เชื่อหรือไม่ยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และสรรพสิ่ง รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าหลังจากทรงสร้างมวลมนุษย์ พระเจ้าก็ทรงนำและทรงครองอธิปไตยเหนือพวกเขา  ดังนั้นแล้ว พวกเขาจึงไม่มีทางเชื่อในข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์ได้  หากพวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์ได้ พวกเขาจะสามารถเชื่อและยอมรับความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าทรงแสดงได้หรือ?  (ไม่ได้)  หากพวกเขาไม่เชื่อในความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และเชื่อในแผนการบริหารจัดการของพระองค์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดหรือ?  (ไม่เชื่อ)  พวกเขาไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้เลย  ต้นตอของความไม่เชื่อของพวกเขาคืออะไร?  ต้นตอนั้นคือพวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่  พวกเขาเป็นพวกวัตถุนิยมและไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า  พวกเขาเชื่อว่า มีเพียงสิ่งทั้งหลายที่มองเห็นได้ในโลกวัตถุนิยมเท่านั้นที่เป็นจริง  พวกเขาเชื่อว่าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะสามารถสัมฤทธิ์ได้ผ่านกลอุบายและวิธีการอันไม่เหมาะสมเท่านั้น  พวกเขาเชื่อว่าหนทางเดียวที่จะเจริญรุ่งเรืองและได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขคือการดำเนินชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน  พวกเขาเชื่อว่าชะตากรรมของพวกเขาอยู่ในมือของตนเองเท่านั้น และพวกเขาต้องพึ่งพาตนเองในการสร้างและรักษาชีวิตที่มีความสุขเอาไว้  พวกเขาไม่เชื่อในอธิปไตยของพระเจ้าหรือในมหิทธานุภาพของพระองค์  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาพึ่งพาพระเจ้า พวกเขาย่อมจะไม่มีอะไรเลย  สุดท้ายแล้วพวกเขาจึงไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างบรรลุได้ และพวกเขาก็ไม่เชื่อในมหิทธานุภาพของพระเจ้า  นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดเจตนาและจุดประสงค์ทั้งหลาย อย่างเช่น การฉวยโอกาส การอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต การแสวงหาที่หลบภัย การหาผู้สนับสนุน การผูกมิตรกับเพศตรงข้าม และการไล่ตามไขว่คว้าจุดมุ่งหมายทางการเมือง—เพื่อรักษาตำแหน่งเจ้าหน้าที่และแหล่งรายได้ที่มั่นคงให้ตนเอง—ขึ้นในความเชื่อของพวกเขา  แน่นอนว่า นี่เป็นเพราะคนเหล่านี้ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง พวกเขาจึงแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรด้วยเจตนาและจุดมุ่งหมายส่วนตัวได้อย่างไม่เกรงกลัวและไร้ศีลธรรม ด้วยหวังที่จะใช้ความสามารถพิเศษของตนหรือทำให้ความปรารถนาของตนเป็นจริงในคริสตจักร  นี่หมายความว่า พวกเขาแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรเพื่อสนองเจตนาและความปรารถนาที่จะได้รับพรของพวกเขา พวกเขาต้องการได้รับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะในคริสตจักร และการทำเช่นนั้นย่อมจะทำให้พวกมีแหล่งรายได้ที่มั่นคง  คนเราสามารถมองเห็นได้จากพฤติกรรมของพวกเขา รวมถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาว่าจุดประสงค์ แรงจูงใจ และเจตนาในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาไม่ถูกทำนองคลองธรรม และไม่มีสักคนเดียวที่ยอมรับความจริงหรือเชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง—ต่อให้พวกเขาแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรจริงๆ พวกเขาก็เพียงเข้ามาเติมเต็มที่นั่งโดยไม่ได้มีบทบาทที่เป็นบวกแต่อย่างใด  เพราะฉะนั้นคริสตจักรจึงไม่ควรยอมรับผู้คนเช่นนั้น  ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร พวกเขาก็ไม่ใช่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แต่กลับถูกผู้อื่นพาเข้ามาด้วยเจตนาที่ดี  “พวกเขาไม่ใช่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร”—ประโยคนี้ควรตีความว่าอย่างไร?  ประโยคนี้หมายความว่า พระเจ้ามิได้ทรงลิขิตและเลือกสรรพวกเขาเอาไว้ พระองค์ไม่ทรงมองว่าพวกเขาเป็นเป้าหมายของพระราชกิจของพระองค์ และพระองค์ไม่ได้ทรงลิขิตให้พวกเขาเป็นมนุษย์ที่พระองค์จะทรงช่วยให้รอด  เมื่อคนเหล่านี้แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรแล้ว พวกเราย่อมไม่สามารถปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหญิงได้ เพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้ที่ยอมรับความจริงโดยแท้หรือนบนอบพระราชกิจของพระเจ้า  บางคนอาจจะถามว่า “ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหญิงผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เหตุใดคริสตจักรจึงไม่ขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไป?”  เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือเพื่อให้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรได้ฝึกฝนการแยกแยะจากผู้คนเหล่านี้ จนเห็นถึงกลอุบายของซาตานอย่างทะลุปรุโปร่งและปฏิเสธซาตาน  เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีวิจารณญาณแยกแยะแล้ว ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ก็ควรถูกชำระออกไป  เป้าหมายของการแยกแยะคือเพื่อเปิดโปงผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ที่แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าด้วยความทะเยอทะยานและความอยากของพวกเขา และชำระพวกเขาออกไปจากคริสตจักร เพราะคนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และยิ่งไม่ใช่คนที่ยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริงเสียด้วยซ้ำ  การที่พวกเขาอยู่ในคริสตจักรต่อไปย่อมจะไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด—แต่จะเกิดความเสียหายที่ร้ายแรง  ประการแรก หลังจากแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรแล้ว ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้จะไม่มีวันกินหรือดื่มพระวจนะของพระเจ้า และไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย  พวกเขามักหารือถึงสิ่งทั้งหลายนอกเหนือจากพระวจนะของพระเจ้าและความจริงอยู่เสมอ ซึ่งเป็นการรบกวนหัวใจของผู้อื่น  พวกเขาจะทำได้เพียงก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร จนเกิดความเสียหายต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเท่านั้น  ประการที่สอง หากพวกเขายังคงอยู่ในคริสตจักร พวกเขาย่อมจะก่อความวุ่นวายด้วยการกระทำที่ผิดเช่นเดียวกับผู้ไม่มีความเชื่อ ก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร และทำให้คริสตจักรตกอยู่ในอันตรายซ่อนเร้นมากมาย  ประการที่สาม ต่อให้พวกเขาอยู่ในคริสตจักรต่อไป พวกเขาก็จะไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตนเป็นคนรับใช้ และแม้ว่าพวกเขาจะทำงานรับใช้อยู่บ้าง นั่นทำไปเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น  หากวันหนึ่งพวกเขาได้รู้ว่าพวกเขาไม่อาจได้รับพรได้ พวกเขาย่อมจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก่อกวนและสร้างความเสียหายต่องานของคริสตจักร  แทนที่จะยอมให้เป็นเช่นนั้น การเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรให้เร็วที่สุดย่อมดีกว่า  ประการที่สี่ ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้นั้นมีแนวโน้มที่จะแบ่งพรรคแบ่งพวก รวมถึงเกื้อหนุนและติดตามศัตรูของพระคริสต์ สร้างกำลังบังคับชั่วภายในคริสตจักรที่ทำให้เกิดภัยคุกคามใหญ่หลวงต่องานของคริสตจักร  เมื่อพิจารณาจากสี่ประการนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องแยกแยะและเปิดโปงผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ที่แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า แล้วจากนั้นก็เอาตัวพวกเขาออกไปเสีย  นี่เป็นหนทางเดียวที่จะรักษาความคืบหน้าตามปกติในงานของคริสตจักร และคุ้มกันให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและใช้ชีวิตคริสตจักรตามปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วจึงเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า  นี่เป็นเพราะการแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรของผู้ไม่เชื่อเหล่านี้เป็นภัยใหญ่หลวงต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  มีคนมากมายที่ไม่สามารถแยกแยะพวกเขาได้ แต่กลับปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหญิง  บางคนเมื่อเห็นว่าพวกเขาพอมีพรสวรรค์หรือจุดแข็งอยู่บ้าง ก็เลือกให้พวกเขาทำหน้าที่เป็นผู้นำและคนทำงาน  ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์เกิดขึ้นมาในคริสตจักรเช่นนี้เอง  เมื่อดูที่แก่นแท้ของพวกเขา คนเราย่อมสามารถเห็นได้ว่า คนเหล่านี้ไม่เชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า เชื่อว่าพระวจนะของพระองค์คือความจริง หรือเชื่อว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งเลยแม้แต่คนเดียว  พวกเขาคือผู้ไม่มีความเชื่อในสายพระเนตรของพระเจ้า  พระองค์ไม่สนพระทัยพวกเขา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา  เพราะฉะนั้น อ้างอิงตามแก่นแท้ของพวกเขา คนเหล่านี้จึงไม่ใช่เป้าหมายแห่งความรอดของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่พระองค์ทรงเลือกสรรหรือทรงลิขิตอย่างแน่นอน  พระเจ้าทรงไม่มีทางช่วยพวกเขาให้รอด  ไม่ว่าคนเรามองดูเรื่องนี้อย่างไร ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ก็ไม่มีใครที่เป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเลย  พวกเขาควรถูกแยกแยะอย่างถูกต้องและทันท่วงที จากนั้นก็ควรถูกเอาตัวออกไป  พวกเขาต้องไม่ได้รับอนุญาตให้แฝงตัวอยู่ในคริสตจักรแล้วรบกวนผู้อื่น  ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรด้วยจุดประสงค์และแรงจูงใจที่แตกต่างกัน และเจ้าอาจจะไม่สามารถแยกแยะหรือมองพวกเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งในทีแรก  อย่างไรก็ตามยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งเจ้าปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาบ่อยขึ้นและจัดการกับพวกเขามากขึ้น เจ้าจะเข้าใจพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าจะมองเห็นการสำแดงนานาประการที่บ่งชี้ว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่ออย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ  เช่นนั้นแล้ว การแยกแยะพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้าก็ย่อมง่ายขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนสามารถแยกแยะผู้ไม่เชื่อได้ เช่นนั้นก็ถึงเวลาที่จะเผยพวกเขาและเอาตัวพวกเขาออกไป  ไม่ว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยอย่างไร มีสถานะทางสังคมอย่างไร หรืออาวุโสมากแค่ไหนในคริสตจักร หากฟังคำเทศนามานานหลายปีแต่พวกเขายังคงไม่สามารถยอมรับความจริงและยังเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาก็ถูกเผยให้เห็นแล้วว่าเป็นผู้ไม่เชื่อ  เมื่อพิจารณาจุดประสงค์และการสำแดงของพวกเขาในการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็คือคนที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปอย่างไม่ต้องสงสัยเลย  นี่คืองานของการชำระให้สะอาดที่คริสตจักรต้องทำในทุกช่วงเวลา

หัวข้อเรื่องจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าครอบคลุมถึงแปดประเด็น ซึ่งหมายความว่ามีผู้คนแปดประเภทที่มีการสำแดงเพียงพอให้พวกเราแยกแยะคนชั่วหลากหลายประเภท จากนั้นก็ทำการระบุลักษณะให้ถูกต้อง แล้วจัดการกับพวกเขาไปตามความเหมาะสม  สรุปก็คือ ผู้คนทั้งแปดประเภทนี้ไม่สามารถอยู่ในคริสตจักรต่อไปได้  บางคนอาจจะถามว่า “ในผู้คนแปดประเภทนี้ แต่ละประเภทแสดงพฤติกรรมออกมาแค่แบบเดียวใช่หรือไม่?”  ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของบางคนครอบคลุมถึงสี่หรือห้าประเด็น—พวกเขาแสวงหาที่หลบภัย อาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต กระทำการฉวยโอกาส ไล่ตามไขว่คว้าจุดมุ่งหมายทางการเมือง และสุ่มเสาะหาเพศตรงข้าม แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรเพื่อล่อลวงผู้อื่นอย่างไม่เลือกหน้า  จุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของบางคนอาจครอบคลุมสองประเด็น—หนึ่งคือเพื่อเสาะแสวงการได้เป็นเจ้าหน้าที่ในคริสตจักร และอีกประการหนึ่งคือเพื่อแสวงพรผ่านการฉวยโอกาส หรือบางคนอาจจะเสาะหาเพศตรงข้าม รวมไปถึงอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต  เห็นได้ชัดว่าผู้คนเหล่านี้มายังพระนิเวศของพระเจ้าโดยจ้องจะเอาเปรียบ ตั้งใจที่จะใช้พระนิเวศของพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิงให้ช่วยพวกเขาทำสิ่งต่างๆ ทุ่มเทความพยายามเพื่อพวกเขา ในการสัมฤทธิ์จุดประสงค์และสนองความอยากของพวกเขานั้น พวกเขาก็ใช้ทุกวิธีการที่ทำได้เพื่อทำให้พี่น้องชายหญิงรับใช้พวกเขา  สรุปก็คือ ผู้ไม่เชื่อและจอมฉวยโอกาสที่แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรและควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปนั้นมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนในการมายังพระนิเวศของพระเจ้า นั่นคือเพื่อเกาะและหาประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวผลประโยชน์ส่วนตนของพวกเขา  ไม่ว่าในคำพูดหรือการกระทำของพวกเขา จุดประสงค์ของพวกเขาย่อมถูกแยกแยะได้อย่างคลุมเครืออยู่เสมอ  คนเหล่านี้ไม่ยอมรับความจริงเลย ทั้งยังไม่สนใจในความจริง บางครั้งพวกเขาถึงกับแสดงอารมณ์และท่าทีที่รังเกียจหรือต้านทานออกมาเสียด้วยซ้ำ  ไม่ว่าคริสตจักรจัดการเตรียมการหน้าที่ใดให้แก่พวกเขา พวกเขาก็ได้แต่ฝืนใจให้ความร่วมมือหากหน้าที่ดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา  หากไม่เป็นประโยชน์ พวกเขาก็ย่อมต้านทานอยู่ภายในและแสดงความคิดลบและความเฉื่อยชา ถึงกับแสดงความรังเกียจและการปฏิเสธออกมาเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาจะทำงานอยู่เล็กน้อยก็ต่อเมื่องานนั้นมีประโยชน์ แต่หากไม่มีประโยชน์ พวกเขาก็จะบ่ายเบี่ยงหรือทำให้พอพ้นตัวไปอย่างเฉื่อยชา  ในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งยวดของงาน พวกเขากลับเล่นซ่อนแอบ หายตัวไปและทอดทิ้งงานของคริสตจักร  จากการสำแดงเหล่านี้ย่อมเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อเกาะหาประโยชน์ แม้แต่การใช้พวกเขาทำงานรับใช้ยังทำให้เกิดความเสียหายมากกว่าผลดี

I. เพื่อจับตาดูคริสตจักร

วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงประเด็นสุดท้ายของหัวข้อเรื่องจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา  นอกจากแปดประเด็นที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่มีจุดประสงค์และเจตนาของการเชื่อในพระเจ้าไม่ถูกทำนองคลองธรรม  สิ่งใดทำให้พวกเขาแตกต่างจากพวกที่ถูกกล่าวถึงในด้านบนซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว ทำสุดความสามารถเพื่อไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ?  คนประเภทนี้ไม่ได้เข้ามายังคริสตจักรเพื่อที่จะเป็นเจ้าหน้าที่ เพื่อสถานะหรือแหล่งรายได้ที่มั่นคง หรือเพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขาสะดวกสบายมากขึ้น และอื่นๆ พวกเขามีจุดประสงค์ที่คนธรรมดาทั่วไปย่อมตรวจจับได้ยาก  จุดประสงค์นี้คืออะไร?  คือเพื่อจับตาดูและควบคุมคริสตจักร  การจับตาดูคริสตจักรเป็นประเด็นที่เก้าในหัวข้อเรื่องจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา  คนเหล่านี้เข้ามาในคริสตจักรพร้อมงานของการจับตาดูคริสตจักร โดยมุ่งหมายที่จะควบคุมแนวทางการพัฒนาของคริสตจักร  คนที่ส่งตัวพวกเขาไป หัวหน้าหรือผู้นำระดับสูงของพวกเขาอาจจะเป็นตัวแทนของรัฐบาล กลุ่มทางศาสนาบางกลุ่ม หรือองค์กรทางสังคมบางอย่าง  เนื่องจากพวกเขาไม่คุ้นเคยกับคริสตจักร เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ และถึงกับไม่สบายใจเกี่ยวกับการก่อกำเนิด การก่อตั้ง การดำรงอยู่ของคริสตจักร พวกเขาจึงมีเจตนาที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับคริสตจักรให้ลึกซึ้ง เรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของคริสตจักร งานของคริสตจักร และรูปการแวดล้อมนานาประการ  ด้วยเหตุนั้น คนบางคนจึงถูกส่งตัวมายังคริสตจักรเพื่อดำเนินงานของการจับตาดู  ไม่ว่าบรรดาผู้ที่ปฏิบัติงานจับตาดูคริสตจักรจะมาจากรัฐบาล กลุ่มทางศาสนา หรือองค์กรทางสังคมใดหรือไม่ พวกเขาก็ย่อมมีจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าที่ต่างไปจากพี่น้องชายหญิงที่แท้จริงโดยสิ้นเชิง  พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อยอมรับความรอดของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้มาเพื่อยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และความรอดของพระเจ้าบนพื้นฐานของการเชื่อและการยอมรับพระเจ้า  ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาพ่วงมาด้วยจุดมุ่งหมายทางการเมืองหรืองานที่ได้รับมอบหมายจากองค์กร  เพราะฉะนั้น การจับตาดูคริสตจักรจึงเป็นทั้งจุดประสงค์ของการแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรและการเชื่อในพระเจ้า และเป็นงานที่พวกเขาได้รับมอบหมายมาจากผู้นำระดับสูง นี่คืองานที่พวกเขาทำเพื่อให้ได้เงินเดือน

สำหรับพวกที่แทรกซึมเข้ามาเพื่อจับตาดูคริสตจักรนั้นพวกเขาจับตาดูสิ่งใด?  พวกเขาจับตาดูหลากหลายแง่มุม เช่น คำสอนของคริสตจักร จุดมุ่งหมายของคริสตจักร สิ่งที่คริสตจักรส่งเสริม งานที่ทำ รวมถึงความคิดและทัศนะของสมาชิกในคริสตจักร แล้วทำการคิดคำนวณว่าคริสตจักรจะก่อความเสียหายต่อรัฐบาล ต่อศาสนา หรือต่อสังคมหรือไม่  ในแง่ของคำกล่าว พวกเขาตรวจหาถ้อยแถลงที่ต่อต้านสังคม ต่อต้านรัฐบาล หรือต่อต้านรัฐ  ในแง่ของคำสอน พวกเขาก็จับตาดูว่าคริสตจักรส่งเสริมแนวคิดใดกันแน่  สำหรับเจ้า การตรวจจับบุคคลเหล่านี้เมื่อพวกเขาแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพวกเขาอาจจะตั้งใจฟังและจดบันทึกอย่างจริงจังโดยไม่สัปหงกในระหว่างการชุมนุม  พวกเขาอาจจะถึงกับตั้งหน้าตั้งตาสรุปคำพูดของบุคคลทั้งหลายในการชุมนุมแต่ละครั้ง แล้วสุดท้ายก็นำมาสรุปและจัดหมวดหมู่ความคิดและทัศนะต่างๆ ของบุคคลทั้งหลายเพื่อดูว่าความคิดและทัศนะใดที่สอดคล้องกับผลประโยชน์และความต้องการของรัฐบาลแห่งชาติ และสิ่งใดที่เป็นภัยต่อการปกครองของรัฐ สวนทางกับรัฐบาล เป็นต้น  พวกเขาอาจจะสรุปและจัดหมวดหมู่มุมมองที่หยั่งรากลึกเหล่านี้ของสมาชิกคริสตจักรอย่างละเอียดถี่ถ้วน และคอยบันทึกเอาไว้  เหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้?  เพราะนี่คืองานของพวกเขา คือหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาต้องรายงานต่อผู้นำระดับสูงของตน  นี่คืองานส่วนแรกของพวกเขา คือทำความเข้าใจคำสอนของคริสตจักรและแนวโน้มทางอุดมการณ์ของสมาชิกทุกคนในคริสตจักรนั่นเอง  เมื่อพวกเขาเชื่อว่าแนวโน้มเหล่านี้มีองค์ประกอบที่เป็นภัยต่อสังคมหรือต่อรัฐ หรือหากพวกเขาเชื่อว่ามีความคิดและมุมมองที่รุนแรงเกิดขึ้น พวกเขาก็จะรายงานและบอกกล่าวเรื่องนี้ต่อผู้นำระดับสูงของตนทันทีเพื่อจะได้ใช้วิธีการที่เหมาะสม  สิ่งแรกที่พวกเขามุ่งหมายที่จะทำความเข้าใจคือคำสอนของคริสตจักร—นี่เป็นหนึ่งในงานหลักของการจับตาดูคริสตจักรของพวกเขา—ตามมาด้วยข้อมูลเกี่ยวกับบุคลากรของคริสตจักร  ตัวอย่างเช่น พวกเขารวบรวมข้อมูลว่าผู้นำอาวุโสของคริสตจักรคือใคร รวมถึงที่อยู่อาศัย อายุ รูปลักษณ์ ระดับการศึกษา ความสนใจและงานอดิเรก เงื่อนไขสุขภาพ สิ่งที่คนเหล่านี้พูดถึงในชีวิตประจำวัน สถานที่ที่ไป งานที่พวกเขาทำ รวมไปถึงชั่วโมงในการทำงานและเนื้อหาของงานในแต่ละวันของผู้นำเหล่านี้  พวกเขาดูว่าผู้นำเหล่านี้กล่าวคำพูดหรือกระทำการใดที่เป็นการต่อต้านรัฐบาล ต่อต้านศาสนา หรือต่อต้านกระแสสังคมหรือไม่ รวมถึงจับตาดูปฏิกิริยาที่ผู้นำเหล่านี้มีต่อระบบการปกครองของประเทศชาติและการพัฒนาทางการเมืองในปัจจุบัน ตลอดจนเรื่องอื่นๆ  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแง่มุมที่ผู้จับตาดูคริสตจักรนั้นมุ่งหมายที่จะทำความเข้าใจ  มากไปกว่านั้น พวกเขายังให้ความสนใจกับโครงสร้างและโครงสร้างการปกครองของคริสตจักรอย่างต่อเนื่อง  ตัวอย่างเช่น พวกเขาคอยติดตามว่าผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรคือใคร ผู้นำระดับใดที่ถูกปลดออก หลังจากถูกปลดออกไปแล้ว พวกเขาได้รับมอบหมายงานอีกครั้งอย่างไร ผู้นำคนใดที่ถูกจับกุม และผู้ที่เข้ามารับช่วงต่อพวกเขาหลังจากนั้นคือใคร  พวกเขารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่มารับช่วงต่อว่าอายุ เพศ ระดับการศึกษาเป็นอย่างไร คนคนนั้นเชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปีอายุ และ—หากพวกเขาเป็นบัณฑิตมหาวิทยาลัยที่มีความสามารถพิเศษ—พวกเขาจะส่งผลกระทบที่เป็นลบต่อประเทศหรือสังคมหรือไม่  และพวกเขามีศักยภาพที่จะถูกรับเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐบาลหรือไม่ ตลอดจนข้อมูลอันเฉพาะเจาะจงอื่นๆ  พวกเขาถึงกับอยากรู้ว่าผู้นำคริสตจักรที่เจาะจงนั้นเข้ารับตำแหน่งหรือถูกปลดออก  กล่าวคือ สถานะของบุคลากร งานด้านการบริหารที่เฉพาะเจาะจง และโครงสร้างของคริสตจักรนั้นล้วนเป็นแง่มุมที่พวกเขามุ่งหมายที่จะทำความคุ้นเคย  นอกจากนี้ พวกเขายังมุ่งหมายที่จะเข้าใจถ่องแท้เกี่ยวกับข้อมูลของจำนวนงานที่มีในคริสตจักร จำนวนกลุ่มในคริสตจักร และรายละเอียดของหัวหน้างานแต่ละกลุ่ม รวมถึงเรื่องอื่นๆ  พวกเขาเทียวสอบถาม สังเกตการณ์ และเรียนรู้ ทำงานของตนด้วยความละเอียดอย่างยิ่ง  หน้าที่ที่ต้องทำและงานที่ผู้แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรพึงสัมฤทธิ์คือการทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของคริสตจักรและการพัฒนานานาประการอย่างทันท่วงทีเพื่อให้สัมฤทธิ์จุดประสงค์ของการจับตาดูคริสตจักร  ยกตัวอย่าง สิ่งนี้รวมไปถึงว่าคริสตจักรพัฒนาอย่างไรในต่างประเทศ ข่าวประเสริฐเผยแผ่ไปแล้วกี่ประเทศ และคริสตจักรก่อตั้งในประเทศใดบ้าง—พวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดนี้  สิ่งเหล่านี้เป็นงานหลักที่พวกเขาปฏิบัติในการจับตาดูคริสตจักร หนึ่งคือเพื่อทำความเข้าใจคำสอนของคริสตจักร สองคือเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของบุคลากรของคริสตจักร สามคือเพื่อทำความเข้าใจสถานะของงานและความเคลื่อนไหวหลักในปัจจุบัน  พวกเขาปฏิบัติตนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและลูกสมุนของซาตาน ของพญานาคใหญ่สีแดงโดยสมบูรณ์ พวกเขาเป็นทาสรับใช้ของซาตานอย่างแท้จริง

คนประเภทที่จับตาดูคริสตจักรนี้แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรด้วยจุดประสงค์ที่จะทำความเข้าใจข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำสอนของคริสตจักร บุคลากร กระแสของงานของคริสตจักร ขนาดของคริสตจักร และแง่มุมอื่นๆ  พวกเขามุ่งหมายที่จะทำความเข้าใจแต่ละแง่มุมเหล่านี้ แล้วรายงานเรื่องดังกล่าวต่อผู้นำระดับสูงของตน ผู้ที่อาจจะคิดหาแผนหรือวิธีการในเชิงนโยบายที่สอดคล้องกันเพื่อจัดการกับคริสตจักรโดยอ้างอิงตามสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ  สรุปก็คือ จุดประสงค์ของการจับตาดูคริสตจักรของพวกเขาไม่ได้มีเจตนาที่ดีอย่างแน่นอน  ไม่อย่างนั้นเหตุใดพวกเขาจึงยังคงจับตาดูคริสตจักร หากคำนึงถึงเรื่องที่ว่าการทำเช่นนี้มิได้นำความมั่งคั่งและผลประโยชน์ใดมาสู่พวกเขาเลย?  นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่สบายใจกับการดำรงอยู่ของคริสตจักรหรอกหรือ?  พวกเขาไม่เชื่อว่าคริสตจักรที่พระเจ้าทรงก่อตั้งและทรงนำนั้นประกอบด้วยผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐ สังคม หรือกลุ่มและองค์กรทางการเมืองเลย  แต่ไม่ว่าตรวจสอบคริสตจักรอย่างไร พวกเขาก็ยังคงไม่สบายใจ  เพราะอะไรหรือ?  เพราะพวกเขาเป็นพวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่ ไม่ยอมรับในพระเจ้า ทั้งยังเกลียดความจริงอีกด้วย  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติสิ่งที่โง่เขลาและไร้สาระได้ อย่างเช่น การกดขี่และการจับกุมผู้เชื่อ รวมไปถึงการจับตาดูคริสตจักร  เหตุใดพวกเขาจึงใช้วิธีการจับตาดูและต้านทานคริสตจักร?  เพราะความกังวลอันใหญ่หลวงที่สุดของพวกเขาก็คือ การที่คริสตจักรเติบโตใหญ่เกินไปและมีสมาชิกมากเกินไปจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประเทศ รัฐบาล และสังคม และถึงกับคุกคามและมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมดั้งเดิมและกลุ่มทางศาสนาแบบดั้งเดิม  นี่คือเหตุผลที่แท้จริงเบื้องหลังการจับตาดูและการต้านทานคริสตจักรของพวกเขา  ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติต่อการจับตาดูและการต้านทานคริสตจักรในฐานะงานด้านการเมืองที่ต้องดำเนินการ

ในคริสตจักร การแยกแยะผู้คนประเภทที่จับตาดูคริสตจักรอาจจะไม่ง่ายนัก เพราะพวกเขามีแรงจูงใจแอบแฝงและซ่อนตนเองไว้อย่างแนบเนียนเพื่อไม่ให้ผู้อื่นตรวจพบพวกเขา  เพราะฉะนั้น พวกเขาอาจจะทำตามผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักร ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดปกติ ดูประพฤติตนดีเป็นพิเศษ และไม่เคยแสดงทัศนะที่เห็นต่างเกี่ยวกับงานที่คริสตจักรทำเลย  อย่างไรก็ตาม บุคคลเหล่านี้มีลักษณะนิสัยอย่างหนึ่ง กล่าวคือพวกเขาเฉยเมยต่อการเชื่อในพระเจ้า อีกทั้งไม่กระตือรือร้นและเฉื่อยชากับการเชื่อในพระเจ้าอย่างมาก  พวกเขาสามารถทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้เล็กน้อย แต่ไม่เคยเผยรายละเอียดส่วนตัวของตนเองเลย อย่างเช่น สถานที่ทำงาน สถานการณ์ในครอบครัว หรือไม่เคยเผยเลยว่าพวกเขาเคยเชื่อในพระเจ้ามาก่อนหรือไม่  หากใครบางคนพูดถึงการทำงานในหน่วยงานของรัฐบาล พวกเขาก็บ่ายเบี่ยง หลีกเลี่ยงที่จะแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับรัฐบาล การเมือง นโยบาย หรือศาสนา  พฤติกรรมของพวกเขาถูกระบุจากการหลีกเลี่ยงหัวข้อที่ละเอียดอ่อน พวกเขาไม่วิพากษ์วิจารณ์และไม่สรรเสริญรัฐบาล และไม่หารือถึงนโยบายของรัฐบาลหรือระบบการปกครองของรัฐบาลเลย  เมื่อใครบางคนชี้ให้เห็นว่าคนคนหนึ่งเป็นสายลับ คนเหล่านั้นย่อมกลายเป็นวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด และอาจจะถึงกับรีบลุกขึ้นปกป้องตัวเอง  นอกจากความวิตกกังวลแล้ว เจ้าอาจจะสังเกตเห็นถึงแนวโน้มของการหลีกเลี่ยงหัวข้อที่อ่อนไหวเช่นนั้นได้จากแววตาของพวกเขาอีกด้วย พวกเขาหลีกเลี่ยงคนที่สามารถมองเห็นพวกเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  นอกจากนี้พวกเขาก็มักจะรับโทรศัพท์ที่ไม่ทราบแหล่งที่มา หรือได้รับการติดต่อและปฏิสัมพันธ์กับบุคคลปริศนาที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคริสตจักรอยู่บ่อยครั้ง และทันทีที่พวกเขารับหนึ่งในสายเหล่านี้ พวกเขาก็จะปลีกตัวออกห่างจากผู้อื่น  หากใครบางคนบังเอิญเห็นพวกเขาในช่วงเวลาเหล่านี้ พวกเขาก็จะอับอายและหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงดูไม่สบายใจอย่างนิ่ง ด้วยกลัวว่าตัวตนของพวกเขาจะถูกค้นพบ  นอกจากการแอบรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคริสตจักรแล้ว พวกเขายังถามไถ่เกี่ยวกับสถานการณ์จากพี่น้องชายหญิงอยู่เป็นครั้งคราว โดยถามคำถามอย่างเช่น “คุณเชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี?  พ่อแม่ของคุณเชื่อหรือไม่?  สมาชิกในครอบครัวของคุณอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ใช่หรือไม่?  คนในครอบครัวที่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ มีคนไหนที่เชื่อในพระเจ้าบ้าง และเชื่อมาแล้วกี่ปี?  พวกเขาอายุเท่าไร?  คริสตจักรท้องถิ่นของพวกคุณมีคนอยู่กี่คน?  ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”  พวกเขาเสาะหาข้อมูลส่วนตัวที่ละเอียดอ่อนที่ผู้คนไม่เต็มใจจะเปิดเผยอยู่เป็นครั้งคราว  ในการปฏิสัมพันธ์ทั่วไปในหมู่พี่น้องชายหญิง ไม่มีใครจงใจหรือกระตือรือร้นถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวที่ละเอียดอ่อนหากใครบางคนไม่เต็มใจที่จะแบ่งปัน  อย่างไรก็ตาม คนคนนี้กลับให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวเป็นพิเศษ หนักข้อจนถึงกับติดตามความเคลื่อนไหวของผู้นำและคนทำงาน หรือคนบางคนที่รับผิดชอบงานสำคัญ พยายามที่จะเข้าถึงข้อมูลบนคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือของคนเหล่านี้ หรือข้อมูลที่อยู่ของพวกเขา ดึงดันที่จะสืบค้นข้อมูลเหล่านี้โดยละเอียดถี่ถ้วน  หากพวกเขาสังเกตเห็นว่าผู้นำบางคนไม่ได้เข้าชุมนุม พวกเขาก็จะถามว่า “คนนั้นคนนี้ไม่ได้เข้าชุมนุมวันนี้  พวกเขาทำอะไรอยู่หรือ?”  หากใครบางคนเอ่ยขึ้นมาว่าผู้นำคนนั้นยุ่งอยู่ พวกเขาก็จะซอกแซกต่อไปว่า “ยุ่งเรื่องอะไรหรือ?  พวกเขากำลังให้น้ำผู้เชื่อใหม่เหล่านั้นอีกแล้วหรือ?  ผู้เชื่อใหม่เหล่านั้นเป็นใคร?  พวกเขาเริ่มเชื่อเมื่อไร?  ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้?”  พวกเขาเฝ้าขุดให้ลึกลงไปอีก  พี่น้องชายหญิงกล่าวว่า “หากพวกเราไม่สมควรรู้ เช่นนั้นก็อย่าถามเลย  ทำไมถึงเฝ้าถามอยู่เรื่อย?  นี่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิต เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”  ผู้ที่แทรกซึมเข้ามาก็ตอบว่า “แต่เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของพระนิเวศของพระเจ้า เป็นเรื่องงานของคริสตจักร ทำไมพวกเราถึงรู้เรื่องนี้ไม่ได้?  พวกเราทุกคนต่างเชื่อในพระเจ้า รู้ไว้บ้างก็ไม่เสียหายอะไร  หากพวกคุณไม่อยากรู้ นั่นก็แปลว่าพวกคุณไม่ได้เอาใจใส่เกี่ยวกับงานของคริสตจักรหรือผู้นำคริสตจักร  ผู้นำคริสตจักรไปพบใครกันแน่?  ที่นั่นมีผู้เชื่อใหม่กี่คน?  พวกเขาอยู่ที่ไหน?  ฉันก็อยากจะไปพบปะพวกเขาเหมือนกัน”  พวกเขามักไถ่ถามเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ

ยังมีอีกงานหนึ่งที่ผู้จับตาดูคริสตจักรให้ความสนใจมากที่สุด นั่นคือการทำความเข้าใจในสถานการณ์ทางการเงินของคริสตจักร  ในแง่หนึ่ง พวกเขาเสาะแสวงที่จะเข้าใจแหล่งเงินทุนของคริสตจักร  พวกเขาอยากรู้ว่าคริสตจักรได้ก่อตั้งโรงงานหรือสถานประกอบการ มีโรงงานของตนเองที่กดขี่ จ้างแรงงานเด็กหรือไม่ และงานหลากหลายชิ้นของคริสตจักรข้องเกี่ยวกับกิจการที่แสวงหาผลกำไรหรือไม่  ตัวอย่างเช่น การผลิตวีดิทัศน์ ภาพยนตร์ บทเพลงนมัสการ และการตีพิมพ์หนังสือพระวจนะของพระเจ้าของคริสตจักรนั้นแปรผันเป็นกำไรหรือก่อให้เกิดกำไรที่มากเกินควรหรือไม่ แหล่งเงินทุนของคริสตจักรคืออะไร มีคนรวยที่บริจาคเพื่อเกื้อหนุนคริสตจักรหรือไม่ บุคคลเหล่านี้รวมถึงชนชั้นสูงในฝ่ายการเมือง หรือมหาเศรษฐีร้อยล้านพันล้านหรือไม่—สิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดที่พวกเขาอยากเข้าใจ  นอกจากการทำความเข้าใจในโครงสร้างการบริหารและแหล่งเงินทุนของคริสตจักรแล้ว พวกเขายังมุ่งหมายที่จะทำความเข้าใจเรื่องการจัดการเงินของคริสตจักร โดยมีจุดประสงค์ที่จะติดตามเส้นทางของเงินทุนเหล่านี้  คริสตจักรใช้จ่ายเงินอย่างไร คริสตจักรข้องเกี่ยวกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ คริสตจักรจัดตั้งกลุ่มชนชั้นผู้นำทางสังคม หรือร่วมมือกับองค์กรและกลุ่มทางสังคมต่างๆ เพื่อร่วมกันต่อต้านรัฐบาลเผด็จการและค้ำจุนสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เป็นต้น—สิ่งเหล่านี้เป็นสถานการณ์สำคัญที่พวกเขามุ่งหมายที่จะทำความเข้าใจเช่นเดียวกัน  บางคนถามว่า “งานของการจับตาดูคริสตจักรดำเนินการโดยชนชาติพญานาคใหญ่สีแดงเท่านั้นหรือ?”  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  ที่จริงแล้ว ทั่วทั้งโลกและทั้งสังคมมนุษย์นั้นต้านทานพระเจ้า  ชนชาติที่ต้านทานพระเจ้าไม่ได้มีเพียงชนชาติที่อยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการเท่านั้น แม้แต่ในประเทศที่เรียกว่าเป็นคริสตชน ผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ก็เป็นพวกไม่เชื่อในพระเจ้าและเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ แม้กระทั่งในหมู่ผู้มีอำนาจที่มีความเชื่อหรือผู้ที่ประกาศตนว่าเป็นคริสตชน จำนวนของผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ก็เป็นส่วนน้อย  คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ถึงความจริง นับประสาอะไรกับการยอมรับ  ดังนั้นแล้ว คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแต่ต้านทานพระองค์หรอกหรือ?  ตัวอย่างเช่น ในศาสนาอย่างเช่นศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก และศาสนายิวในอิสราเอล ชนชั้นสูงนั้นประกอบด้วยผู้ที่ยอมรับความจริงใช่หรือไม่?  ไม่ใช่เลย  คนเหล่านั้นไม่มีใครมาสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถยอมรับความจริงได้  พูดให้ถูกก็คือพวกเขาล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อ พวกเขาล้วนต้านทานพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาก่อกวนและบ่อนทำลายพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งปราบปรามและข่มเหงผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างโหดร้าย โดยสิ่งนี้พิสูจน์ได้จากการที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า  นิกายใดอนุญาตให้ผู้เชื่อสืบค้นหนทางที่แท้จริง ฟังผู้ประกาศคนนอก หรือยอมรับคนแปลกหน้าได้โดยเสรี?  ไม่มีนิกายที่ทำเช่นนี้ได้สักนิกายเดียว  ชนชาติหรือเชื้อชาติใดที่เป็นมิตรต่อคริสตจักร?  (ไม่มี)  หากพวกเขาอนุญาตให้เจ้ามีเสรีภาพทางศาสนาเล็กน้อยและให้เจ้ามีพื้นที่หายใจอยู่บ้าง นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมแล้ว  เจ้ายังคาดหวังให้พวกเขาเกื้อหนุนเจ้าในเรื่องนี้อยู่อีกหรือ?  เมื่อคริสตจักรของพระเจ้าถือกำเนิดขึ้น หรือเมื่อคริสตจักรเริ่มประกาศข่าวประเสริฐ พวกที่ไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าแต่อย่างใด รวมถึงผู้ที่รู้สึกรังเกียจและเกลียดชังความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงเป็นพิเศษก็ปฏิบัติงานพิเศษ นั่นคือการมอบหมายให้บุคคลทั้งหลายไปจับตาดูคริสตจักรอย่างใกล้ชิด  การ “จับตาดู” ในที่นี้หมายถึงการตรวจตรา การทำความเข้าใจ และควบคุม กล่าวคือการตรวจตรา ทำความเข้าใจ และควบคุมทุกแง่มุมของคริสตจักรอย่างแน่นหนาในทุกช่วงเวลา  คนบางคนกล่าวว่า “พวกเขาไม่เคยกล่าวโทษหรือต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้าอย่างเปิดเผย และพวกเราก็ไม่เคยทนทุกข์กับการข่มเหงหรือการคุกคามในชีวิตในท้องถิ่นของพวกเรา  พวกเรารู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้า การชุมนุม การทำที่หน้าที่ของตน และการเผยแผ่ข่าวประเสริฐในต่างประเทศนั้นดีกว่าและปลอดภัยกว่าในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงมาก  พวกเราไม่เคยเจอการแทรกแซงใดๆ เลย”  เพียงเพราะเจ้ายังไม่เคยเจอการแทรกแซงและได้รับเสรีภาพอยู่บ้าง เจ้าก็ไม่ควรปฏิเสธงานจับตาดูคริสตจักรของพวกเขา  เสรีภาพทางศาสนาเพียงเล็กน้อยที่เจ้าได้รับนั้นเป็นหน่วยงานพื้นฐานทางสังคม สิ่งที่เจ้ากำลังเพลิดเพลินอยู่เป็นเพียงสิทธิพื้นฐานของพลเมืองในประเทศที่เจ้าอาศัยอยู่เท่านั้น  การเพลิดเพลินกับสิทธิพื้นฐานเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลแห่งชาติ กลุ่มทางสังคม หรือโลกศาสนายอมรับและรับรู้ถึงพระราชกิจของพระเจ้าและงานของคริสตจักร ผันตัวมาเป็นมิตร หรือไม่มีความเป็นปฏิปักษ์และการจับตาดูอีกต่อไปแล้ว  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นนามธรรมใช่หรือไม่?  (ใช่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นนามธรรม)

พวกเราควรมีท่าทีอย่างไรต่อความเป็นปฏิปักษ์และการจับตาดูของระบอบการปกครองเยี่ยงซาตาน?  พวกเราควรปฏิเสธและหลีกเลี่ยง หรือเพียงเมินเฉยไปเสีย?  อันดันแรกลองนึกถึงเรื่องนี้ดูเถิดว่า คริสตจักรกลัวการที่พวกเขาจับตาดูงานใดก็ตามที่คริสตจักรทำหรือไม่?  (ไม่)  พวกเรามีกิจกรรมลับหรือไม่?  พวกเรากล่าวถ้อยแถลงทางการเมืองที่ต่อต้านรัฐหรือต่อต้านรัฐบาลหรือไม่?  (ไม่)  นี่เป็นเรื่องที่สามารถยืนยันได้  การเชื่อในพระเจ้าไม่เคยข้องเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง  พวกเจ้าส่วนมากเชื่อในพระเจ้ามาไม่ต่ำกว่าสามปี บางคนเชื่อมายี่สิบหรือสามสิบปีเสียด้วยซ้ำ  ตลอดหลายปีที่ฟังคำเทศนามานี้ มีใครเคยพบว่าคริสตจักรเอ่ยถ้อยแถลงที่ต่อต้านรัฐหรือต่อต้านสังคมหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีเลยแม้แต่น้อย พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยหารือเรื่องการเมือง  มากไปกว่านั้น คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก่อตั้งขึ้นโดยพระเจ้า นี่เป็นการบอกใบ้ถึงราชอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก มิใช่องค์กรที่ก่อตั้งขึ้นโดยใครคนหนึ่ง มิได้สร้างขึ้นมาโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง  แล้วพระเจ้าทรงก่อตั้งคริสตจักรขึ้นเพื่อทำงานใด?  ไม่ใช่เพื่อทำงานที่ต่อต้านสังคม ต่อต้านศาสนา หรือต่อต้านการเมือง  เช่นนั้นแล้วงานของคริสตจักรคืออะไรหรือ?  ประการแรก งานหลักของคริสตจักรคือการเผยแผ่ข่าวดีเรื่องที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดในยุคสุดท้าย โดยการทำให้มวลมนุษย์ยอมรับความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าทรงแสดงเพื่อให้พวกเขาหวนคืนสู่พระเจ้าและนมัสการพระองค์  ประการที่สอง งานของคริสตจักรเกี่ยวข้องกับการนำผู้ที่ถวิลหาความจริงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้าและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ จนสัมฤทธิ์ความรอดได้ในท้ายที่สุด  นี่คืองานที่ดำเนินการโดยคริสตจักรที่พระเจ้าทรงก่อตั้งขึ้น และนี่คือนัยสำคัญและคุณค่าในการดำรงอยู่ของคริสตจักร  งานเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้อง ทั้งยังแยกขาดจากการเมือง ธุรกิจ อุตสาหกรรม เทคโนโลยี หรือภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม งานของคริสตจักรไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง  เช่นนั้นแล้ว แก่นแท้ของพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าในคริสตจักรคืออะไร?  หากอธิบายอย่างเรียบง่ายและตรงประเด็นมากที่สุด แก่นแท้นี้คือการบริหารจัดการมวลมนุษย์  เนื้อหาที่เจาะจงของการบริหารจัดการมวลมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นำผู้คนมาสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ทำให้พวกเขายอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าเพื่อให้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และสัมฤทธิ์ความรอด  นี่คืองานอันเจาะจงของการบริหารจัดการมวลมนุษย์  ไม่ว่างานใดที่คริสตจักรกระทำก็ย่อมสัมพันธ์กับการบริหารจัดการของพระเจ้า แผนการของพระเจ้า และแน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดง งานที่ว่านี้ไม่สัมพันธ์กับงานอันหลากหลายที่ผู้คนทางโลกกระทำแต่อย่างใด  เพราะฉะนั้นข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับคริสตจักร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคำสอน บุคลากร โครงสร้างการบริหารของคริสตจักร สถานะงานของคริสตจักร หรือแม้แต่สถานการณ์ทางการเงินของคริสตจักร ก็ได้ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศ สังคม เชื้อชาติ ศาสนา หรือกลุ่มมนุษย์กลุ่มใดโดยเด็ดขาด—ไม่มีความเชื่อมโยงกันแม้แต่น้อย  ดังนั้นแล้วเมื่อมีประเด็นเหล่านี้อยู่ในใจ ไม่ว่าจะเป็นพรรคที่ปกครอง กลุ่มทางศาสนา หรือกลุ่มทางสังคม การกระทำของพวกเขาที่ส่งคนมาจับตาดูคริสตจักร โดยแท้แล้วเทียบเท่ากับสิ่งใด?  (กับการกระทำที่ไม่จำเป็น)  คำว่า “การกระทำที่ไม่จำเป็น” คือคำอธิบายที่เป็นทางการ  แล้วคำพูดโดยทั่วไปคืออะไร?  คือการไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ให้ทำแล้วใช่หรือไม่?  ในทัศนะของเราแล้วเป็นเช่นนั้นโดยแท้  เวลาในชีวิตของพวกเขาเปี่ยมด้วยความสะดวกสบายและไร้กังวลมากเกินไป พวกเขาจึงส่งคนที่ว่างงานไม่กี่คนมาจับตาดูคริสตจักร ถึงกับปฏิบัติต่อสิ่งนี้ในฐานะงานทางการเมือง ในฐานะงานจริงจัง—การนี้ช่างไร้สาระโดยสิ้นเชิง!  ด้วยความพยายามเช่นนั้น การเปิดสถาบันการศึกษาหรือองค์กรการกุศลย่อมจะดีกว่ามาก  นี่เป็นเพียงกรณีตัวอย่างของการมีความสะดวกสบายทางเนื้อหนังมากเกินไปจนนำไปสู่ความเกียจคร้าน ไม่มุ่งเน้นกับงานที่ถูกควร!  หากทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นดั่งคริสตจักรของพระเจ้า มีพระเจ้าทรงเลี้ยงดูและทรงนำด้วยพระองค์เอง เช่นนั้นแล้วโลกใบนี้ มวลมนุษย์เหล่านี้ก็ย่อมจะลดสถาบัน ค่าใช้จ่าย และปัญหาที่ไม่จำเป็นไปได้มาก อย่างน้อยที่สุดหน่วยงานอย่างองค์กรสายลับและกรมตำรวจ หน่วยงานด้านความปลอดภัยเหล่านี้ย่อมจะไม่มีประโยชน์ ทั้งจะถูกยุบ และถูกมอบหมายให้ไปงานอื่นแทน

บุคคลผู้ได้รับมอบหมายให้จับตาดูคริสตจักรกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่  งานที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งของการแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรของพวกเขาคือแง่มุมสองสามประการนี้ที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไป นั่นคือ หลังจากเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้นที่สำคัญในคริสตจักร พวกเขาก็รายงานกลับไปยังระดับสูงของตน  ไม่ว่าความคิด ความเห็น หรือจุดประสงค์เบื้องหลังงานของพวกเขาคืออะไร  การดำรงอยู่ในคริสตจักรของผู้ตรวจตราเหล่านี้ควรกระตุ้นให้พี่น้องชายหญิงตื่นตัวและรับมือกับพวกเขาด้วยสติปัญญา  วิธีเข้าหาเช่นนี้ถูกต้องใช่หรือไม่  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วจำเป็นต้องตื่นตระหนกเกินควรหรือไม่?  (ไม่)  พวกเราควรเข้าหาการปรากฏตัวของบุคคลเช่นนั้นอย่างไร?  มีหลักธรรมอยู่สองประการ เรื่องนี้เรียบง่ายอย่างมาก  หากพวกเขาเทียวสอบถามและสืบค้นหาข้อมูล นี่ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาคือสายลับหรือสายสืบ  บุคคลเช่นนั้นมีความเป็นมนุษย์ที่เลวทรามและอวดดีถึงที่สุด พวกเขาก่อการรบกวนอย่างร้ายแรงต่อคริสตจักร  แค่เพียงการดำรงอยู่ของพวกเขาก็ก่อให้เกิดความไม่สบายใจในหมู่ผู้คน ขัดขวางพวกเขาจากการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  การชุมนุมและการปฏิบัติหน้าที่ก็ถูกรบกวนและได้รับผลกระทบ อีกทั้งความปลอดภัยก็ลดลงเช่นกัน  บุคคลเช่นนั้นควรถูกจัดการอย่างไร?  (ควรเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร)  ถูกต้อง หากพวกเขาก่อการรบกวนแก่ชีวิตคริสตจักรหรืองานของคริสตจักร พวกเขาก็ควรถูกชำระออกไปโดยตรง  เช่นนั้นแล้วจำเป็นที่จะต้องหลบซ่อนหรือหวาดกลัวพวกเขาหรือไม่?  (ไม่)  บางคนที่เคยเผชิญหน้ากับสายลับในต่างประเทศมีอาการตื่นตระหนกและซ่อนตัวไปทุกที่ ราวกับพวกเขาพบเจอตำรวจตอนอยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่  เมื่อพี่น้องชายหญิงบางคนออกไปทำธุระและเผชิญหน้ากับสายลับที่เข้ามาถามคำถาม และพวกเขาได้ยินว่าน้ำเสียงของการถามนั้นข่มขู่คล้ายกับการสอบปากคำของตำรวจเพียงใด พวกเขาก็กลัวมากเสียจนวิ่งหนีไป โดยไม่ทันได้ทำธุระให้เสร็จเสียด้วยซ้ำ  เรากล่าวว่า “เจ้าทำตัวยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร?  เหตุใดจึงวิ่งหนี?  มีอะไรต้องกลัวหรือ?  ในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง พี่น้องชายหญิงมากมายถูกจับกุมแต่ยังคงไม่เกรงกลัว พวกเขาไม่ได้กลายเป็นยูดาส พวกเขาตั้งมั่นในคำพยานของตน  แล้วเหตุใดหลังจากได้มาที่ต่างประเทศแล้ว เจ้ายังคงหวาดกลัวได้มากเหลือเกิน?  เจ้าไม่ได้ทำผิดกฎหมายใดๆ เลย มีอะไรต้องกลัวเล่า?”  บางคนกล่าวว่า “พวกเขาพยายามเข้ามาตีสนิทกับข้าพระองค์อยู่เสมอ และพวกเขาก็สอบปากคำข้าพระองค์อยู่ตลอดเวลา”  แล้วเจ้าตอบพวกเขากลับไปไม่ได้หรือ?  เจ้าน่าจะตอบไปว่า “คุณมีสิทธิ์อะไรมาสอบปากคำฉัน?  ฉันรู้จักคุณหรือ?  คุณเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของพญานาคใหญ่สีแดงที่มาตรวจบัตรประชาชนงั้นหรือ?  คุณเป็นคนของใคร?  ถ้ายังถามไม่เลิกฉันจะฟ้องคุณ!”  มีความจำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวพวกเขาหรือไม่?  (ไม่มี)  บางคนเมื่อเผชิญหน้ากับสายลับเช่นนั้นก็ไม่กล้าพูดและรีบหลบหนีไปด้วยความกลัว  คนที่เลอะเลือนบางคนไม่สามารถแยกแยะได้เลย และถึงกับพยายามประกาศข่าวประเสริฐแก่สายลับและสุนัขรับใช้เยี่ยงมารเหล่านี้  หลังจากความพยายามสองสามครั้ง พวกเขาก็ตระหนักว่า “นี่ไม่ใช่คนที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่  ทำไมพวกเขาถึงดูเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐของพญานาคใหญ่สีแดงเลยละ?”  เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาก็ล้มเลิก  ต่อมา พวกเขาก็คิดใคร่ครวญเรื่องนี้ว่า “พระเจ้าทรงกำลังคุ้มครองฉัน โชคดีที่ฉันไม่ได้ปูดข้อมูลส่วนตัวใดๆ กับพวกเขาไป  ฉันนี่ตื่นตระหนกไปเองจริงๆ!”  พวกเขาหวาดกลัวมากเสียจนไม่กล้าประกาศข่าวประเสริฐแบบสุ่มสี่สุ่มห้าแก่คนที่พวกเขาพบอีกต่อไป  อันที่จริงก็มีสายลับที่ถูกพาตัวเข้ามาในคริสตจักรผ่านการประกาศอยู่จริง  พวกเขาคือสายสืบที่พญานาคใหญ่สีแดงฝังตัวไว้ในคริสตจักร พวกเขาถูกซาตานจัดแจงเอาไว้อย่างจงใจ  พวกเขาเป็นดั่งหมาป่าในคราบแกะที่แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรโดยไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าหรือสามัคคีธรรมความจริง เฝ้าสอดแนมหาข้อมูลเกี่ยวกับคริสตจักรและสอบถามถึงรายละเอียดส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา  เมื่อพบว่าพฤติกรรมของพวกเขาน่าสงสัย หรือพวกเขาก่อให้เกิดการรบกวนภายในคริสตจักรไปแล้ว พวกเขาก็ควรถูกชำระออกไปอย่างทันท่วงที—สายสืบของพญานาคใหญ่สีแดง ทาสรับใช้ของซาตาน ต้องไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อกวนคริสตจักรโดยเด็ดขาด  จงเอาตัวคนที่เจ้าพบออกไปทีละคน อย่าแสดงความกรุณาต่อพวกเขาเด็ดขาด!  หากบุคคลใดเข้ากันได้ดีกับสายลับ เต็มใจที่จะเมตตาปฏิบัติต่อสายลับด้วยความรักเสมอ ตอบทุกคำถามที่ถูกถาม เล่นบทเป็นสุนัขรับใช้ของสายลับ คนต่ำช้าเช่นนั้นต้องถูกขับไล่ออกไปโดยตรง!  บุคคลที่น่าสงสัยควรถูกจับตาดูและสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด อย่าเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับคริสตจักรต่อพวกเขาแม้แต่ประการเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ว่าผู้นำและคนทำงานคือใคร  หากปล่อยให้สายลับได้ข้อมูลใดไปก็ตาม นั่นอาจจะเป็นภัยคุกคามหรือความวิบัติที่ซ่อนเร้นต่อคริสตจักรและต่อพี่น้องชายหญิงได้ทุกเมื่อ  ดังนั้นแล้ว เมื่อพบใครบางคนที่น่าสงสัย ตราบเท่าที่พวกเขาไม่เคยกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าหรือสามัคคีธรรมความจริงเลย พวกเขาย่อมเป็นผู้ไม่เชื่ออย่างแน่นอน และการเอาตัวพวกเขาออกไปทันทีก็ย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้อง  ต่อให้บุคคลเช่นนั้นไม่ได้เป็นสายลับ พวกเขาก็ไม่ใช่คนดี และการเอาตัวพวกเขาออกไปก็ไม่มีทางเป็นเรื่องไม่เป็นธรรมได้  หากพบว่าบุคคลใดก็ตามมีการคบหาอย่างสนิทสนมกัลสายลับหรือสามารถหักหลังคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้ พวกเขาก็ควรถูกเอาตัวออกไปทันทีไม่ว่าภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใดก็ตาม  อันธพาลและคนต่ำช้าเช่นนั้นได้แต่นำความวิบัติมาสู่คริสตจักรและพี่น้องชายหญิงเท่านั้น  พวกเขาย่ำแย่เสียยิ่งกว่าสุนัขเฝ้าบ้าน ต่อให้พวกเขาไม่ได้ทำชั่ว พวกเขาก็ต้องถูกเอาตัวออกไปอยู่ดี  บัดนี้ พญานาคใหญ่สีแดงยืนอยู่บนปากเหวของการล่มสลาย แต่พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้และการทำลายล้างของตน  พวกเขายังคงจับกุมและข่มเหงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และปฏิบัติการทำตัวเป็นสายลับต่อไปเพื่อแทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า  การก่อกวนและบ่อนทำลายงานของคริสตจักรของพวกเขาไม่เคยลดลงเลย  ขณะนี้บุคคลที่น่าสงสัยอย่างเห็นได้ชัดบางคนถูกเปิดโปงแล้ว  ความพยายามรวบรวมข้อมูลของพวกเขาได้ก่อให้เกิดความปั่นป่วน ทำให้ผู้อื่นมองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งอย่างง่ายดาย  เมื่อพวกเขาเปิดโปงตัวเองแล้ว พวกเขาก็ถูกคริสตจักรเอาตัวออกไป  แต่พวกสายลับเจ้าเล่ห์นั้นถูกเปิดโปงจนครบทุกคนแล้วหรือยัง?  ไม่มีทาง  การที่คริสตจักรทุกแห่งจะถูกตัวแทนของพญานาคใหญ่สีแดงแทรกซึมคือเรื่องที่เป็นไปได้  คนบางคนหลังจากถูกพญานาคใหญ่สีแดงจากกุม พวกเขาก็ถูกบังคับขู่เข็ญผ่านการคุกคาม การทดลอง และวิธีการอันหลากหลายจากซาตานเพื่อให้ทำตัวเป็นตัวแทนของพวกเขา แล้วแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร  คนเหล่านี้คือสายลับที่ซ่อนเร้น  สายสืบเช่นนั้นคิดคดและกลับกลอก มีไหวพริบและสติปัญญาอยู่พอสมควร  พูดในภาษาของผู้ไม่มีความเชื่อคือพวกเขาพอมีความสามารถอยู่บ้าง  เวลาจับตาดูคริสตจักร พวกเขาก็ทำอย่างไม่กระโตกกระตาก แอบทำอยู่เงียบๆ โดยไม่เคยเผยเจตนาที่แท้จริงในการปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาออกมาเลย  เวลาปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา คนส่วนมากไม่รู้สึกอะไรเลย พวกเขาไม่ตระหนักว่าสายลับกำลังรวบรวมข้อมูล และพวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงความรังเกียจที่พวกสายลับมีต่อการเชื่อในพระเจ้าเลย  พวกสายลับอาจจะเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้นของคริสตจักรก่อนที่ผู้คนส่วนใหญ่จะตระหนักว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อจับตาดูคริสตจักรเสียด้วยซ้ำ  จากภายนอก บุคคลเช่นนั้นไม่ได้ก่อการรบกวนใดๆ ต่อคริสตจักรหรือต่อผู้คนส่วนมาก แล้วพวกเขาควรถูกจัดการอย่างไร?  พวกเราควรใช้วิธีการหรือหนทางแก้ปัญหาใดเพื่อจัดการกับการจับตาดูคริสตจักรของพวกเขาหรือไม่?  ดังที่กล่าวถึงไปข้างต้น คริสตจักรกลัวการจับตาดูของพวกเขาในแง่มุมใดหรือไม่?  (ไม่กลัว)  การดำรงอยู่ของคริสตจักรของพวกเรา รวมถึงงานนานาประการที่คริสตจักรกระทำนั้นเปิดเผยและตรงไปตรงมา  งานเหล่านี้คือสิ่งที่เป็นธรรมที่สุดที่เกิดขึ้นท่ามกลางมวลมนุษย์  หากองค์กรใดต้องการเข้าใจแง่มุมใดของคริสตจักร คำพยานจากประสบการณ์ของคริสตจักรก็มีเผยแพร่สู่สาธารณะชนทางออนไลน์—ทุกคนสามารถดูเนื้อหาเหล่านั้นได้ตามใจชอบ  ไม่มีความลับ ไม่มีกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย และไม่มีการขัดขวางระเบียบสังคม หรือคำพูดหรือการกระทำที่ขัดแย้งอย่างแน่นอน  ด้วยเหตุนั้นหากพวกเขาแอบสืบค้นและจับตาดูสถานการณ์ของคริสตจักร ก็ปล่อยพวกเขาเถิด  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  บุคคลที่ทำงานเป็นสายลับเหล่านี้มีมาตรฐานทางวิชาชีพอยู่ระดับหนึ่ง และคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่สามารถตรวจจับได้ว่า งานที่พวกเขาปฏิบัติอยู่เบื้องหลังคืออะไรกันแน่  ดังนั้นตราบเท่าที่พวกเขาไม่ก่อการรบกวน ก็ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับพวกเขา ปล่อยพวกเขาไปเสีย  มากไปกว่านั้นคือผู้ไม่เชื่อ คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเหล่านี้ไม่คุ้นชินและไม่ได้สนใจในชีวิตคริสตจักร  ในคริสตจักรที่ผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับการพิพากษาและการตีสอน รวมถึงหารือเรื่องการรู้จักตนเอง การรู้จักพระเจ้า และความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยอยู่ทุกๆ วัน พวกเขาจะไม่รู้สึกราวกับถูกเข็มทิ่มแทงหรือเผชิญกับความทรมานได้อย่างไร?  ในทุกๆ การชุมนุม พวกเขาก็อยู่ไม่สุขราวกับมดบนกระทะร้อน พวกเขารู้สึกไม่เต็มใจที่จะฝืนตนเองให้อยู่ในคริสตจักร  ในหัวใจของพวกเขานั้นเข้าใจว่าคริสตจักรเป็นเพียงคริสตจักร ไม่ใช่องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างแน่นอน  จากการจับตาดูและเรียนรู้เกี่ยวกับคริสตจักร รวมถึงการเริ่มตระหนักว่าคริสตจักรทำสิ่งใดกันแน่ พวกเขาก็เริ่มมีความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งและเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ เริ่มขยายความเข้าใจเพื่อที่จะไม่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้ความมากนัก  พวกเขาต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ามนุษย์ได้รับการทรงสร้างโดยพระเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโง่เขลาและไร้นัยสำคัญเพียงใด!  การปล่อยให้พวกเขาอยู่ในคริสตจักรนั้นมีความเสี่ยงหรือไม่?  หากพวกเขาไม่ได้แสดงถึงการคุกคามหรือการก่อกวนคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิง เช่นนั้นก็ปล่อยพวกเขาไปเถิด  เมื่อพวกเขาทำบางสิ่งบางอย่างที่ก่อการรบกวน นั่นย่อมเป็นวินาทีที่จะเปิดโปงพวกเขา และนั่นคือเวลาที่ถูกต้องในการจัดการกับพวกเขา  จงแยกแยะและระบุพวกเขาอย่างทันท่วงทีโดยอ้างอิงตามข้อเท็จจริงและหลักฐาน—ภารกิจของพวกเขามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และคริสตจักรก็ย่อมจะขับไล่พวกเขาออกไปโดยธรรมชาติ  นี่เป็นวิธีการที่ดีใช่หรือไม่?  (ใช่)  บางคนถามว่า “งานของคริสตจักรนั้นเปิดเผยและตรงไปตรงมามิใช่หรือ?  เหตุใดจึงจำกัดห้ามการจับตาดูของผู้คน?”  การนี้มุ่งไปที่ระบอบการปกครองของพญานาคใหญ่สีแดง ของซาตานเป็นหลัก  การจับตาดูคริสตจักรของพวกมันมีจุดประสงค์เพื่อที่จะปราบปราม จับกุม และสร้างความเสียหายต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ดังนั้นพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่อนุญาตให้มันจับตาดู เพื่อเป็นการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการทนทุกข์กับการข่มเหงและการนองเลือด  หากบุคคลจากประเทศประชาธิปไตยหรือกลุ่มทางศาสนามาเพื่อสืบค้นผลทางที่แท้จริง พวกเขาก็สามารถค้นหาทางออนไลน์หรือติดต่อกับคริสตจักรได้  คริสตจักรย่อมเปิดรับผู้ใดก็ตามที่แสวงหาความจริงด้วยใจจริง  แต่หากอีกฝ่ายแอบซ่อนเจตนาร้ายและเสาะแสวงที่จะบิดเบือนถูกผิดและว่าร้ายคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้าจะยอมให้พวกเขาจับตาดูได้อย่างไร?  การยอมให้พวกเขาจับตาดูย่อมจะเป็นเรื่องโง่เขลาอย่างที่สุดมิใช่หรือ?  นั่นย่อมจะเป็นการโง่เขลาและไม่รู้ความมิใช่หรือ?  (ใช่)  พระนิเวศของพระเจ้าต้อนรับบรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงและเปิดรับพวกเขาอย่างอบอุ่นเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์  หากผู้คนไม่เข้าใจเรื่อง เช่นนั้นก็เป็นเพราะความโง่เขลาและไม่รู้ความของพวกเขา  นโยบายภายนอกของคริสตจักรเปิดเผยและตรงไปตรงมา สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงโดยสมบูรณ์ ทั้งยังเปี่ยมล้นไปด้วยสติปัญญาและความเฉลียวฉลาด  หากใครบางคนไม่สามารถทำความเข้าใจในสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นคนที่ไร้สาระ เป็นคนที่เลอะเลือน  คนบางคนกล่าวว่า “หากสายสืบหรือทาสรับใช้ของซาตานมาเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับคริสตจักร พวกเราควรเป็นคนซื่อสัตย์และตอบคำถามของพวกเขาด้วยความสัตย์จริงหรือไม่?”  การพูดความจริงกับหมู่มารและซาตานเป็นเรื่องโง่เง่า การนี้ไม่ได้ทำให้คนเราเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่กลับเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นสุนัขรับใช้ของซาตาน  เมื่อพวกที่เป็นประเภทเดียวกับซาตานปรารถนาที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจสถานการณ์ของคริสตจักร ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่มีหน้าที่รับผิดชอบที่จะบอกพวกเขา  คนเหล่านี้ไม่สามารถยอมรับความจริงได้และไม่ได้มีเจตนาอันดี ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีเรื่องต้องพูดกับพวกเขา!  การทำเช่นนี้มิใช่การทำตัวบุ่มบ่าม แต่เป็นความฉลาด  บางคนถามว่า “หากพวกเขาถามฉันว่า ‘ผู้นำคริสตจักรของพวกคุณคือใคร?  พวกเขาเชื่อมากี่ปีแล้ว?’ ฉันจะสามารถตอบพวกเขาได้หรือไม่?”  เจ้าควรถามพวกเขาว่า “จุดประสงค์ที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับผู้นำของพวกเราคืออะไร?  บอกฉันมาก่อน ฉันจะไตร่ตรองดูแล้วตัดสินใจอีกทีว่าจะบอกข้อมูลกับคุณหรือไม่”  นี่เป็นคำตอบที่ฉลาดใช่หรือไม่?  (ใช่)  สิ่งนี้เรียกว่าการกระทำการตามหลักธรรม  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  ขณะที่งานข่าวประเสริฐเผยแผ่ออกไปและจำนวนคนในคริสตจักรค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น สายสืบและเจ้าหน้าที่อาจจะปรากฏตัวขึ้นในคริสตจักรที่ประเทศและภูมิภาคต่างๆ เป็นครั้งคราว  สำหรับบุคคลเช่นนั้น การแค่แจ้งเตือนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้จัดการพวกเขาอย่างชาญฉลาดก็ย่อมจะเพียงพอ  หากพบว่าพวกเขาก่อการรบกวนหรือการขัดขวาง เช่นนั้นพวกเขาก็ควรถูกเอาตัวออกไปอย่างทันท่วงที  ผู้คนส่วนใหญ่ควรมีความเข้าใจและวิจารณญาณแยกแยะอยู่บ้างต่อวิธีที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้พูดและกระทำ หรือต่อการวางตัวของพวกเขา และเมื่อปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาก็ย่อมจะมีความตระหนักรู้หรือความเข้าใจบางอย่างอย่างแน่นอน  หากพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรเพียงไม่กี่คนสังเกตเห็นบุคคลเช่นนั้น แต่ไม่แน่ใจว่าพวกเขาเป็นสายลับหรือสายสืบหรือไม่ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ควรปฏิบัติต่อคนเหล่านี้ด้วยความระมัดระวังและเข้าหาอย่างชาญฉลาด  หากคนส่วนมากสังเกตเห็น พวกเขาก็สามารถแจ้งกันและกัน และใช้มาตรการป้องกันได้  หากผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับไม่แสดงความเป็นมิตรต่อคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิง เสาะแสวงที่จะล่อลวงพี่น้องชายหญิงและก่อกวนคริสตจักรอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังคอยหาหลักฐานที่จะทำลายชื่อเสียงของคริสตจักรอยู่เสมอ หนักข้อจนถึงกับถ่ายรูปและบันทึกเสียงของพี่น้องชายหญิง หรือใช้การล่อลวงและการทดลองเพื่อดึงข้อมูลที่พวกเขาอยากรู้ออกมา  เมื่อพบบุคคลเช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมไม่อาจถูกปล่อยไปโดยไม่ตรวจสอบได้—พวกเขาต้องถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรอย่างทันท่วงที  พวกเจ้าอาจจะไม่เคยเผชิญสถานการณ์เหล่านี้มาก่อน ดังนั้นเราจึงแจ้งให้พวกเจ้ารู้ล่วงหน้า  นี่เป็นเรื่องของการขยายขอบเขตความเข้าใจของเจ้า เป็นเรื่องของการรู้จักมวลมนุษย์ สังคม การเมือง และโลก—นี่เป็นสิ่งที่มืดมิดและชั่วร้ายถึงเพียงนั้นเอง

ในเรื่องของจุดประสงค์ประการที่เก้าของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา—เพื่อจับตาดูคริสตจักร—การสามัคคีธรรมถึงเนื้อหาเบื้องต้นจบลงเพียงเท่านี้  ทุกอย่างได้รับการสามัคคีธรรมอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เนื้อหาที่ผู้จับตาดูคริสตจักรมุ่งหมายที่จะจับตาดูคืออะไร?  (คำสอน สถานการณ์ของบุคลากร ภาวะงาน และสถานะทางการเงินของคริสตจักร)  โดยพื้นฐานแล้ว นี่เป็นสี่ด้านที่พวกเขากังวลมากที่สุด  สี่แง่มุมนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใด?  สี่แง่มุมนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คนเหล่านั้นกังวลใจมากที่สุด นั่นคือ ผลกระทบจากการมีอยู่ของคริสตจักรต่อสังคม ประเทศชาติ และโลกศาสนา  พวกเขายังกังวลอีกด้วยว่าคริสตจักรอาจจะใช้ศาสนาเป็นเครื่องบังหน้าเพื่อเข้าไปพัวพันกับการเมืองและโค่นล้มรัฐบาล โดยมองว่าสิ่งนี้เป็นภัยซ่อนเร้นที่ใหญ่หลวงที่สุด  ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงปราบปราม ข่มเหง และสั่งห้ามคริสตจักร รวมถึงจับกุมสมาชิกของคริสตจักร  ชนชาติของพญานาคใหญ่สีแดงสั่งห้ามความเชื่อทางศาสนาทั้งหมด บางประเทศสั่งห้ามความเชื่อบางอย่าง และประเทศส่วนใหญ่ก็กลัวความจริงจะครองอำนาจ อีกทั้งกลัวว่าผู้คนจะยอมรับความจริง อันเป็นสิ่งที่คุกคามการปกครองของพวกเขา  สรุปก็คือ ยิ่งมีที่ที่พระเจ้าทรงพระราชกิจและทรงแสดงความจริงมากเท่าไร มีคริสตจักรที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากแค่ไหน ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่ที่เหล่านั้นจะถูกรัฐบาลทั้งหลายจับตาดูและถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์มากขึ้นเท่านั้น  ด้วยเหตุนั้น รัฐบาลจึงมักจะส่งเจ้าหน้าที่ปลอมตัวไปเป็นผู้ที่สืบค้นหนทางที่แท้จริงเพื่อศึกษาและทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ของคริสตจักร เพื่อที่จะจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของคริสตจักร  นอกจากนี้พวกเขายังพยายามทำความเข้าใจกระแสงานของคริสตจักร พยายามดูว่าคริสตจักรยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ เข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองบางอย่างภายใต้หน้ากากของการทำงานของคริสตจักรหรือไม่ หรือดูว่าคริสตจักรมีความเชื่อมโยงกับกองกำลังทางศาสนาในต่างประเทศหรือไม่ ท่ามกลางความกังวลด้านอื่นๆ  สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเขากังวลใจและอยากที่จะทำความเข้าใจ  นอกจากนี้ สถานการณ์ด้านการเงินของคริสตจักรก็เป็นสิ่งที่พวกเขาอยากทำความเข้าใจเช่นกัน  พวกเขาครุ่นคิดว่า “คริสตจักรนี้มีคนมากขึ้นและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว—พวกเขาเอาเงินมาจากไหน?  มีคนรวยหรือองค์กรใดบริจาคให้พวกเขาหรือ?”  สรุปก็คือ  ในสิ่งที่พวกเราอาจนึกไม่ถึงนั้น ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาไม่เคยคำนึงเอาไว้  เพราะอะไร?  เพราะพวกเขาเป็นคนชั่ว พวกเขาเป็นมนุษย์ที่ชั่ว  ความพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ของคริสตจักรของพวกเขาเกิดจากความกังวลอย่างลึกซึ้งที่พวกเขามีต่อการดำรงอยู่ของคริสตจักร กลัวว่าคริสตจักรจะส่งอิทธิพลต่อผู้คนจำนวนมากขึ้น ซึ่งนั่นย่อมจะเป็นภัยคุกคามต่อการปกครองของพวกเขา นี่เองคือสิ่งที่พวกเขากังวลอย่างแท้จริงเกี่ยวกับคริสตจักร  ไม่ว่างานที่คริสตจักรดำเนินการจะยุติธรรมหรือถูกทำนองคลองธรรมอย่างไร พวกเขาก็ยังคงไม่เชื่อ  เพราะอะไรหรือ?  เพราะพวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ เป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า และเป็นพวกวัตถุนิยม—สิ่งที่พวกวัตถุนิยมทำได้ก็มีเพียงเท่านี้  สิ่งเหล่านี้เป็นสี่สถานการณ์ที่พวกเขากังวลใจ  พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมหลักธรรมสองประการเกี่ยวกับวิธีการอันเหมาะสมในการจัดการกับผู้คนเช่นนั้นหลังจากเข้าใจถึงเหตุผลและจุดประสงค์เบื้องความกังวลที่พวกเขามีต่อสี่สถานการณ์นี้ไป  จงสรุปหลักธรรมเหล่านี้โดยเรียบง่าย และพูดให้ฟังทีเถิด  (หากพวกเขาก่อการรบกวนภายในคริสตจักร เช่นนั้นก็ชำระพวกเขาออกไปเสีย หากพวกเขาไม่ได้ก่อการรบกวน ก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจพวกเขา)  หากพวกเขาก่อการรบกวน สอดแนมไปทั่ว และก่อให้เกิดความตื่นตระหนก เช่นนั้นก็จงชำระพวกเขาออกไปโดยไม่ปราณี หากพวกเขาไม่ได้ก่อการรบกวนและผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้สังเกตเห็นหรือไม่สามารถแยกแยะพวกเขาได้ เช่นนั้นก็จงเมินเฉยต่อพวกเขาไปเสีย  เมื่อพวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่านี่คืองานของคริสตจักรโดยแท้ ทั้งหมดเป็นกิจกรรมทางศาสนา และไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองแต่อย่างใด การยืนยันในประเด็นนี้ย่อมจะทำให้พวกเขาจากไปด้วยตัวเอง  นี่เป็นวิธีที่ประเทศประชาธิปไตยใช้เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทางศาสนา  ก่อนหน้านี้ยังมีการกล่าวถึงด้วยว่ามวลมนุษย์ช่างซับซ้อนนัก  เหตุผลของความซับซ้อนของมวลมนุษย์คืออะไร?  สิ่งนี้เกิดจากความชั่วของมวลมนุษย์มิใช่หรือ?  (ใช่)  ความชั่วของมนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  เหตุใดจึงกล่าวว่ามวลมนุษย์นั้นชั่ว?  นี่เป็นเพราะซาตานได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างหนักหนาเกินไป  สิ่งนี้จะกล่าวเป็นภาษาทั่วไปว่าอย่างไร?  กล่าวว่าซาตานได้เปลี่ยนผู้คนให้กลายเป็นปีศาจ  มวลมนุษย์ทั้งปวงอยู่ภายใต้การปกครองของหมู่มาร มีมารตัวเล็กตัวใหญ่อยู่มากเกินไป ดังนั้นสถานที่ทั้งหลายที่ผู้คนมารวมตัวกันจึงกลายเป็นเมืองแห่งปีศาจ  เมื่อมีปีศาจมากมายมารวมตัวกัน นั่นย่อมกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อน พวกเขาสามารถทำชั่วได้ทุกรูปแบบและมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่ำช้าได้ทุกประเภท  เพราะมารทั้งปวงล้วนชั่ว และในหมู่พวกเขามีความขัดแย้งอยู่เสมอ อีกทั้งพวกเขาไม่มีวันที่จะเข้ากันได้ นี่จึงทำให้เรื่องทั้งหลายซับซ้อน  ในยามที่ผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงมารวมตัวกัน นี่ย่อมเรียบง่ายกว่ามาก พวกเขาล้วนเต็มใจที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและใช้ชีวิตคริสตจักร และทุกคนต่างเพลิดเพลินกับการทำหน้าที่ของตนและการทำงานที่ถูกควร  พวกเขาไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมที่คดโกงและต่ำช้า—อย่างมากที่สุด พวกเขาก็อาจจะเผยความเสื่อมทรามบางอย่างออกมา  มีเพียงผู้คนเช่นนั้นที่สามารถสัมฤทธิ์ความรอดผ่านความเชื่อในพระเจ้า  หมู่มารไม่มีวันได้รับการช่วยให้รอดผ่านความเชื่อในพระเจ้าเพราะเสือดาวเปลี่ยนแปลงรายของมันไม่ได้  ต่อให้หมู่มารเชื่อในพระเจ้ามานับสิบปีหรือร้อยปี พวกเขาก็จะไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ทุกคนต่างมองเห็นได้  บัดนี้คริสตจักรหลายแห่งได้ชำระพวกหมู่มารออกไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์  ในคริสตจักรบางแห่งผู้คนกว่าครึ่งเป็นหมู่มาร ขณะเดียวกันในที่อื่นๆ พวกหมู่มารคือคนส่วนน้อย  ในคริสตจักรเช่นนั้น การดำเนินงานของคริสตจักรย่อมเป็นเรื่องง่ายใช่หรือไม่?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  หากหมู่มารถูกชำระออกไปจนเหลือไว้เพียงแต่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม การทำงานของคริสตจักรย่อมจะง่ายขึ้นมาก  สถานการณ์ที่น่าเวทนาที่สุดคือในยามผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ครองอำนาจในคริสตจักรบางแห่ง โดยมีหมู่มารรับบทบาทผู้นำ เมื่อนั้นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรเหล่านั้นย่อมทุกข์ร้อนกันโดยแท้จริง  บอกเราทีเถิดว่า ผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ที่ครองอำนาจนั้นสามารถนำสันติสุขและความชื่นบานยินดีมาสู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้หรือไม่?  ความคิดและแนวคิดของผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์นั้นชั่วและตรงข้ามกับความจริงโดยสิ้นเชิง  หากมีปีศาจที่มีชีวิตสักสิบหรือยี่สิบคนให้การเกื้อหนุนพวกเขา การใช้ชีวิตในคริสตจักรเช่นนั้นก็จะเหมือนกับการใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่ปีศาจมารวมตัวกัน อยู่ในรังปีศาจที่มีพญามารคอยควบคุม คล้ายกับการใช้ชีวิตอยู่ในเครื่องบดเนื้อ สร้างความกระสับกระส่ายต่อจิตใจและดวงจิตของเจ้า  สิ่งที่อยู่ในความคิดของเจ้าทุกๆ วันคือเรื่องที่ว่าจะต่อสู้หรือแข่งขันกับใคร จะเป็นเพื่อนหรือสนิทสนมกับใคร จะหลีกเลี่ยงหรือระวังตัวจากใคร เป็นต้น เจ้าไม่มีสภาพแวดล้อมที่สงบสุขเสียด้วยซ้ำ พลางใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดกลัวและความกังวลใจอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีความเงียบสงบเลยแม้แต่น้อย  นี่เหมือนการอยู่ในเครื่องบดเนื้อมิใช่หรือ?  (ใช่)  สังคมที่ชั่วนี้ มวลมนุษย์ที่ชั่วนี้ปฏิบัติต่อทุกคนและทุกกลุ่มหรือทุกองค์กรในหนทางเดียวกัน นำความเห็นและมุมมองแบบเดียวกันมาใช้กับทุกเรื่อง  ในทำนองเดียวกัน พวกเขาก็ไม่สบายใจไม่เว้นแม้กระทั่งกับคริสตจักร ซึ่งเป็นสถาบันที่ค่อนข้างเป็นบวก  ไม่ว่าอย่างไร ท่าทีที่พวกเราปฏิบัติต่อพวกเขาก็มีหลักธรรมใช่หรือไม่?

บัดนี้ จุดประสงค์ประการที่เก้าของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา—การจับตาดูคริสตจักร—ได้รับการสามัคคีธรรมโดยครบถ้วนแล้ว และเบื้องต้นเนื้อหาทั้งหมดในหมวดหมู่แรกของหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานก็ได้รับการสามัคคีธรรมไปแล้วเช่นเดียวกัน  บทสรุปของจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของผู้ไม่เชื่อและพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้านั้นโดยพื้นฐานแล้วประกอบด้วยประเด็นเหล่านี้  จุดประสงค์ประการสุดท้ายที่สามัคคีธรรมไปนั้นมีเนื้อหาที่แตกต่างจากจุดประสงค์ก่อนหน้าเล็กน้อย  ในยามที่บรรดาผู้จับตาดูคริสตจักรแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร พวกเขาไม่ได้ไล่ตามแหล่งรายได้ สถานะ หรือความสะดวกสบายในชีวิตและงาน แต่พวกเขามาด้วยจุดประสงค์ทางการเมือง  ไม่ว่าพวกเขามีจุดประสงค์อย่างไร ครั้นพวกเรามองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งและแยกแยะพวกเขาแล้ว พวกเราก็ควรดำเนินการตามความเหมาะสมอย่างทันท่วงที ขับไล่หรือเอาตัวบุคคลเหล่านี้ออกไป ไม่อนุญาตให้พวกเขาแฝงตัวอยู่ในคริสตจักรนานโดยเด็ดขาด  นี่คืองานชิ้นสำคัญสำหรับผู้นำและคนทำงาน  อ้างอิงตามจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา จงแยกแยะและระบุว่าใครคือพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง—ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—และใครคือคนชั่วหลากหลายประเภทที่คริสตจักรควรขับไล่หรือเอาตัวออกไป จงระบุคนชั่วเหล่านี้อย่างทันท่วงที แล้วใช้วิธีการที่สอดคล้องในการขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไปโดยพลัน  นี่คือหมวดหมู่แรกของการแยกแยะและจัดหมวดหมู่คนชั่วนานาประเภท นั่นคือ จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา  พวกเราขอจบการสามัคคีธรรมในเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้

2. อ้างอิงตามความเป็นมนุษย์ของคนเรา

บัดนี้พวกเราได้ขยับมายังหมวดหมู่ที่สอง นั่นคือความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  พวกเราแยกแยะและกำหนดผ่านความเป็นมนุษย์ของบุคคลว่าคนคนนี้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและเหมาะสมที่จะอยู่ในคริสตจักรต่อไป  อ้างอิงตามการสำแดงและการเผยความเป็นมนุษย์และแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา หากพวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหญิงที่แท้จริง ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในคริสตจักร การมีอยู่ของพวกเขาก่อกวนพี่น้องชายหญิง และ—จากพฤติกรรมของพวกเขา—พวกเขาเป็นพวกที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักร เช่นนั้นแล้ว คริสตจักรก็ควรคิดหาแผนการที่สอดคล้องโดยไวเพื่อขับไล่หรือเอาตัวบุคคลเหล่านี้ออกไป  สามัคคีธรรมที่ว่าด้วยหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานนั้นเกี่ยวข้องกับการขับไล่หรือเอาตัวคนชั่วทุกประเภทออกไป  เมื่อมองผ่านสายตาของความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ของบุคคลเหล่านี้ชั่วและย่ำแย่อย่างแน่นอน พูดแบบทั่วไปก็คือ พวกเขาไม่มีดีเลย  อ้างอิงตามการสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ของพวกเขา พวกเขาควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักรเพื่อป้องกันมิให้พวกเขาก่อการรบกวนในคริสตจักรและส่งผลกระทบต่อระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักรและการปฏิบัติหน้าที่ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต่อไป  ดังนั้นแล้ว พวกเราตัดสินความเป็นมนุษย์ของบุคคลว่าดีหรือชั่ว แล้วจึงตัดสินใจว่าคริสตจักรควรขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไปหรือไม่ผ่านการสำแดงประการใดหรือ?  โดยรวมแล้วหมวดหมู่ที่สอง—ความเป็นมนุษย์—ก็ครอบคลุมถึงหลากหลายประเด็นเช่นกัน แต่อันดับแรก พวกเรามาสามัคคีธรรมถึงประเด็นแรกกันเถิด

ก. การรักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ

ประเด็นแรกเป็นเรื่องของผู้ที่รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ  พวกเจ้าทุกคนล้วนพบเจอคนประเภทนี้อยู่บ่อยครั้งอย่างแน่นอน  การสำแดงที่สำคัญที่สุดของการรักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จคืออะไร?  คือการพูดจาไร้หลักธรรม โดยมีเจตนาและจุดประสงค์ที่จะปลุกปั่นให้เกิดการโต้เถียงกันอยู่เสมอ จนส่งผลกระทบที่เลวร้าย  เห็นได้ชัดว่าผู้คนเช่นนั้นมีปัญหาร้ายแรงทางคำพูด ฝังรากลึกอยู่ในอุปนิสัยที่ย่ำแย่และไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ จนทำให้พวกเขารักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ  เมื่อดูจากมุมมองของคำนี้ คำว่า “บิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ” หมายถึงการมักจะอ้างว่าสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงคือความเท็จ และสิ่งที่เป็นความเท็จคือข้อเท็จจริง นี่เป็นเรื่องของการกลับดำให้เป็นขาว และถึงกับแต่งเติมข้อเท็จจริงด้วยรายละเอียดที่ไม่จริง โยนข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน กระทำการตัดสินที่ไม่มีมูล และพูดจาตามอำเภอใจ  ผู้คนเช่นนั้นไม่เคยพูดถึงสิ่งทั้งหลายในทางที่เป็นบวก สิ่งที่พวกเขาพูดไม่เจริญใจผู้คน ทั้งยังไม่เป็นประโยชน์หรือช่วยเหลือผู้คนได้แต่อย่างใด  ในระหว่างการปฏิสัมพันธ์ ข้องเกี่ยว และสื่อสารกับพวกเขาในแนวทางของการปฏิสัมพันธ์ การมีส่วนร่วม และการสื่อสารกับพวกเขา การรับฟังสิ่งที่พวกเขาพูดมักจะฉุดหัวใจของผู้คนให้จมดิ่งสู่ความมืดและความปั่นป่วน ถึงกับทำให้คนเหล่านั้นสูญเสียความเชื่อของตน จนพวกเขาไม่มีแนวโน้มที่จะเชื่อในพระเจ้า และไม่สามารถสงบจิตใจของตนได้ในระหว่างการชุมนุมและการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ  จิตใจและวิญญาณของพวกเขามักจะว้าวุ่นจากคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกและผิด รวมถึงเรื่องซุบซิบที่บุคคลเช่นนั้นเผยแพร่ และเริ่มมองทุกคนด้วยความไม่สบอารมณ์ และไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความผิดพลาดของผู้อื่น  หลังจากได้ฟังข้อเท็จจริงและความเท็จที่ถูกบิดเบือน บ่อยครั้งที่ความคิดตามปกติของผู้คนจะถูกก่อกวน และแม้แต่มุมมองที่ถูกต้องของพวกเขาก็ถูกก่อกวนจนทำให้พวกเขาแยกแยะได้ยากว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องและอะไรที่ไม่ใช่  รู้ตัวอีกที บรรดาผู้ที่ขาดวิจารณญาณแยกแยะก็มักจะถูกล่อลวงและร่วงลงสู่การทดลองจากบางสิ่งที่ผู้บิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จกล่าว  พวกเขาคิดว่า “คนเหล่านั้นยังไม่ทำให้ใครเสียหาย พวกเขาเข้าร่วมการชุมนุมตามปกติ บางครั้งพวกเขาก็ทำการบริจาคและช่วยเหลือผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ แถมยังไม่เคยทำอะไรแย่ๆ เลย”  อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งผลที่เกิดขึ้นจากการที่พวกเขาปฏิสัมพันธ์กับบุคคลเช่นนั้นก็คือพวกเขาติดอยู่กับประเด็นเรื่องถูกและผิด ติดอยู่ในการทดลอง และพวกเขาก็ติดอยู่ตรงกลางระหว่างพันธนาการทางอารมณ์ระหว่างผู้คนกับความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมระหว่างบุคคล  ผู้ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จเหล่านี้เชี่ยวชาญด้านการก่อกวนความสัมพันธ์อันเหมาะสมระหว่างผู้คน และถนัดในการบ่อนทำลายความเข้าใจที่บริสุทธิ์บางอย่างในจิตใจของผู้คน  พวกเขามีทัศนะที่ว่าใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน อีกทั้งสามารถเกื้อหนุนและช่วยเหลือกันและกันได้ย่อมกลายมาเป็นเป้าหมายของการลอบโจมตีและการตัดสินของพวกเขา  นอกจากนี้แล้ว ผู้ใดก็ตามที่ทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดีอยู่บ้างและค่อนข้างสละตนก็เป็นเป้าหมายในการโจมตีของพวกเขาเช่นกัน  ไม่ว่าบางสิ่งบางอย่างจะเป็นบวกหรือดีงามอย่างไร พวกเขาก็หาหนทางในการป้ายสีสิ่งนั้นจนได้  พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ทุกสิ่งแบบอ้อมๆ แสดงความคิดเห็นกับทุกเรื่อง และยึดมั่นในมุมมองของตนเองต่อทุกประเด็นปัญหา  มุมมองเหล่านี้ไม่ใช่มุมมองที่จริงแท้แต่อย่างใด กลับกัน พวกเขาพูดจาไร้สาระ สร้างความสับสนระหว่างข้อเท็จจริงโดยแท้กับความเท็จ และ ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับพูดจาไร้สาระ สร้างความสับสนให้ข้อเท็จจริงที่แท้จริงและความเท็จ รวมถึงกลับดำให้กลายเป็นขาวเพื่อให้สัมฤทธิ์เป้าหมาย หว่านความบาดหมางระหว่างผู้คน หรือว่าร้ายบุคคลใดบุคคลหนึ่ง พวกเขาหนักข้อจนถึงกับจงใจกุเรื่องต่างๆ ขึ้นมาโดยไม่ยั้งคิดจากการแต่งเติมข้อเท็จจริงด้วยรายละเอียดที่ไม่เป็นจริงและทำการกล่าวหาโดยไร้เหตุผล ปั้นน้ำให้เป็นตัว  บรรดาผู้ที่ไม่รับรู้ถึงข้อเท็จจริงได้ฟังพวกเขาแล้วคิดว่าคำกล่าวอ้างของพวกเขาดูมีเหตุผลและไม่มีทางเป็นเท็จไปได้ ก็กลายเป็นถูกชักพาให้หลงผิด  คนประเภทที่รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จนี้แอบวิจารณ์เรื่องที่เป็นบวกทางอ้อม  นี่เป็นเพราะพวกเขามีสำนึกยุติธรรมใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเขาเป็นปฏิปักษ์และไม่เลื่อมใสบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน ผู้ที่มีความจงรักภักดี ผู้ที่สละตนอย่างขะมักเขม้น และผู้ที่มีมโนธรรมและเหตุผล  แล้วเหตุผลของการพูดโดยไม่ยั้งคิดของบุคคลเหล่านี้คืออะไร?  ต้นตอของการนั้นอยู่ที่ไหน?  เหตุใดพวกเขาจึงรักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จอยู่เสมอ?  (เพราะพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่แย่)  ถูกต้อง สิ่งนี้เกิดจากความเป็นมนุษย์ที่แย่  หากพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดี พวกเขาคงจะไม่บิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ  การพูดควรตั้งอยู่บนมโนธรรมและความมีเหตุผล คนเราไม่สามารถพ่นทฤษฎีที่บิดเบือนและเหตุผลนอกรีตออกมาในทุกโอกาสได้  ต้นตอของการบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเป็นเท็จคือความเป็นมนุษย์ที่แย่ ทุกสิ่งที่ผู้คนเช่นนั้นกล่าวออกมาย่อมแสลงหู พูดอย่างสุภาพก็คือพวกเขากำลังตัดสินคนอื่น แต่ที่จริงแล้วคำพูดของพวกเขาประกอบด้วยเจตนามุ่งร้ายบางอย่างที่จะกล่าวโทษและสาปแช่ง ทั้งยังมีนัยยะของการยุยง ความริษยา ความเป็นปฏิปักษ์ ความเกลียดชัง และแม้กระทั่งการเตะซ้ำในยามที่ผู้คนล้มลง  สรุปก็คือ สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะหลักของการบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จของพวกเขา  นอกจากลักษณะเหล่านี้แล้ว บุคคลเช่นนั้นยังมีลักษณะนิสัยเหมือนกันอีกประการหนึ่ง นั่นคือ พวกเขาโกรธเคืองผู้ที่มีในสิ่งที่พวกเขาไม่มี และหัวเราะเยาะผู้ที่ไม่มีในสิ่งที่พวกเขามี  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาดีหรือไม่?  (ไม่ดี)  บุคคลประเภทนี้ที่โกรธเคืองผู้ที่มีในสิ่งที่พวกเขาไม่มี และหัวเราะเยาะผู้ที่ไม่มีในสิ่งที่พวกเขามีรู้สึกอิจฉาใครก็ตามที่ดีกว่าพวกเขาและนินทาว่าร้ายบุคคลเหล่านั้นลับหลัง กระทำการตัดสินและกล่าวโทษคนเหล่านั้น ขณะเดียวกันหากใครบางคนต่ำต้อยกว่าพวกเขา พวกเขาก็จะหัวเราะเยาะคนเหล่านั้น พร้อมที่จะล้อเลียน เหน็บแนม และดูถูกคนคนนั้น  พวกเขาไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ อย่างถูกต้อง หรือเข้าหาเรื่องดังกล่าวตามศีลธรรมขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ได้  พวกเขาไม่จำเป็นต้องอวยพรใคร และไม่จำเป็นต้องอวยพรให้ใครสมหวังหรือสมดังปรารถนา หรืออวยพรให้คนเหล่านั้นเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเขาควรประเมินผู้อื่นอย่างถูกต้องโดยไม่แฝงความมุ่งร้าย—ทว่าพวกเขากลับไม่สามารถทำเช่นนี้ได้เสียด้วยซ้ำ  เหตุผลเบื้องหลังการบิดเบื้อนข้อเท็จจริงและความเท็จของพวกเขาคืออะไร?  จากคำพูดของพวกเขา และจากท่าทีที่พวกเขามีต่อผู้อื่น รวมถึงจากวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้อื่นและสิ่งที่พวกเขาคิดอยู่ลึกๆ ในหัวใจย่อมเห็นได้ชัดว่า ผู้คนประเภทนี้มีความเป็นมนุษย์ที่มุ่งร้าย  ถึงแม้ว่าผู้คนประเภทนี้จะใช้แค่ปากในการบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ แต่ลึกลงไปในหัวใจ เบื้องหลังการกระทำเหล่านี้มีเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ที่พวกเขาอยากบรรลุ รวมถึงมีทัศนะและท่าทีที่แท้จริงที่พวกเขามีต่อผู้คนและเรื่องทั้งหลายอยู่  บัดนี้ขอให้วางเรื่องที่ว่าผู้ที่รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จนั้นเข้าใจความจริงได้ดีหรือไม่ และพวกเขาคือคนที่รักความจริงหรือไม่เอาไว้ก่อน อ้างอิงตามลักษณะของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา—ความรักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเป็นเท็จ—นั้น พวกเขาสามารถส่งอิทธิพลที่ดี เป็นกำลังใจ และเป็นบวกต่อพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ไม่ได้อย่างแน่นอน!

มาดูตัวอย่างอันเจาะจงบางอย่าง เพื่อดูว่าบรรดาผู้ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จมีการสำแดงประการใดกันเถิด  ยกตัวอย่าง สมมุติว่ามีพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ฐานะทางบ้านร่ำรวยมาก แต่เพื่อประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระเจ้า เธอจึงปล่อยมือจากความพึงพอใจทางเนื้อหนังและจากบ้านมาเพื่อทำหน้าที่  บอกเราทีเถิดว่า คนธรรมดาทั่วไปจะมองสถานการณ์นี้อย่างไร?  พวกเขาย่อมจะเลื่อมใสและอิจฉาเธอมิใช่หรือ?  อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะคิดว่าพี่น้องหญิงคนนี้น่าชื่นชม และคู่ควรแก่การเป็นแบบอย่างที่สามารถพลีอุทิศความพึงพอใจทางเนื้อหนังเพื่อมาทำหน้าที่ของเธอได้  แต่พวกรักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จแสดงความเห็นเกี่ยวกับเธอว่าอย่างไร?  พวกเขากล่าวว่า “เธอกำลังทิ้งชีวิตของคนรวยเพื่อออกไปประกาศข่าวประเสริฐตลอดทั้งวัน หากเธอยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วสามีของเธอก็จะเตะเธอออกจากบ้าน!  การเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องของการได้รับพรและเพลิดเพลินกับตนเองมิใช่หรือ?  ดูเธอสิ เธอมีพรอยู่แต่ไม่รู้ว่าจะเพลิดเพลินกับพรเหล่านั้นอย่างไร การละทิ้งครอบครัวและหน้าที่การงานเพื่อมาทำหน้าที่อย่างสุดหัวใจ นั่นเป็นเรื่องที่โง่เขลามิใช่หรือ?  หากครอบครัวของฉันรวยขนาดนั้น ฉันคงจะเพลิดเพลินกับตัวเองอยู่ที่บ้านอย่างเดียว”  บอกเราทีเถิดว่าในคำพูดเหล่านั้น มีสักประโยคหรือไม่ที่สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ ที่เจริญใจผู้อื่น?  (ไม่มี)  เมื่อบรรดาผู้ที่มีวิจารณญาณแยกแยะอยู่บ้างได้ยินเช่นนี้ก็จะคิดว่า “นี่คือการบิดเบือนข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  การที่ผู้เชื่อละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างมาสละตนเพื่อพระเจ้า และไม่ไล่ตามไขว่คว้าความพึงพอใจทางวัตถุคือสิ่งที่เป็นบวกโดยเนื้อแท้ แต่พวกเขากำลังกล่าวโทษสิ่งนี้”  หากใครบางคนที่ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะได้ยินเช่นนี้ พวกเขาย่อมจะถูกชักพาให้หลงผิดและถูกก่อกวน  ความกระตือรือร้นที่จะเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ความกระตือรือร้นที่จะละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตนเพื่อทำหน้าที่ของพวกเขาจะลดลงอย่างร้ายแรงทันที  ถึงแม้ว่าคำพูดของผู้ที่รักการบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จจะมีเพียงไม่กี่คำ แต่ผลกระทบอันเป็นลบที่คำพูดเหล่านั้นมีต่อผู้อื่นกลับมีนัยสำคัญ เพียงพอที่จะทำให้ใครบางคนรู้สึกคิดลบอยู่ระยะหนึ่งและไม่สามารถฟื้นคืนมาได้  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  คำพูดที่ฟังดูน่าเชื่อถือเพียงไม่กี่คำสามารถพ่นพิษร้ายแก่บางคนได้เมื่อได้ฟัง  สิ่งนี้บอกอะไรเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของผู้ที่สามารถเอ่ยคำพูดที่เป็นพิษเช่นนั้นได้?  (ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาย่ำแย่)  ในบรรดาคำพูดของพวกเขา มีประโยคใดที่สามารถทำให้ความเชื่อของใครบางคนเพิ่มขึ้นหลังจากได้ฟังบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  คำพูดทั้งหมดนี้คืออะไร?  พูดแบบกว้างๆ ก็คือ ไม่มีแม้แต่ประโยคเดียวที่ผู้ติดตามพระเจ้าควรพูดออกมา  หากพูดอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้นก็คือ สิ่งที่คนเหล่านี้พูด ไม่มีแม้แต่ประโยคเดียวที่สะท้อนถึงความเป็นมนุษย์  การไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์หมายถึงอะไร?  การไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์หมายถึงการไม่มีแม้กระทั่งศีลธรรม  การไม่มีศีลธรรมหมายถึงอะไร?  พี่น้องหญิงคนนี้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและมีครอบครัวที่ร่ำรวย แล้วท่าทีของคนเหล่านี้เป็นอย่างไร?  เป็นเพียงความอิจฉา ตามมาด้วยความปรารถนาดี แล้วก้าวต่อไปใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วท่าทีของพวกเขาเป็นอย่างไร?  เป็นความริษยา ความขับข้องใจ ความขุ่นเคืองใจ และการแอบพร่ำบ่นอยู่ในหัวใจว่า “เธอสมควรที่จะมีเงินมากมายเช่นนั้นหรือ?  ทำไมฉันถึงไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นบ้าง?  ทำไมพระเจ้าถึงทรงอวยพรเธอ ไม่ใช่ฉัน?”  พี่น้องหญิงคนนั้นมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกริษยาและเกลียดชัง ไม่มีคำพูดที่แสดงความเลื่อมใสหรือความปรารถนาดีอย่างแท้จริงแม้แต่คำเดียว  สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงการไม่มีแม้กระทั่งศีลธรรมพื้นฐานที่สุดโดยสิ้นเชิง  พี่น้องหญิงคนนี้ร่ำรวย พวกเขาจึงแอบซ่อนความเกลียดชัง จนเกือบถึงจุดที่พยายามจะลักขโมยหรือคดโกงทรัพย์สมบัติของเธอ  มากไปกว่านั้น พี่น้องหญิงคนนี้อาศัยอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เธอก็ยังสามารถที่จะทิ้งสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและความสะดวกสบายทางวัตถุไว้เบื้องหลังและออกมาทำหน้าที่ของตน สำหรับผู้เชื่อในพระเจ้า นี่คือสิ่งที่ควรค่าแก่การยินดี นี่คือสิ่งที่ควรค่าแก่การเลื่อมใสและอิจฉา  ผู้คนควรปรารถนาดีต่อเธอ รวมถึงพยายามสนิทสนมกับเธอและเอาเธอเป็นแบบอย่าง  แต่คนเหล่านี้ที่รักการบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จมีอะไรเช่นนี้ให้พูดหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาพูดอย่างไรหรือ?  ทุกๆ ประโยคเต็มไปด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและแฝงด้วยความเกลียดชัง  เหตุใดพวกเขาจึงสามารถกล่าวเช่นนี้ได้?  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่พอใจและไม่สบอารมณ์กับสถานการณ์ของตนเอง แอบซ่อนความขุ่นเคืองใจ จนพวกเขาระบายความโกรธของตนกับพี่น้องหญิงที่ร่ำรวยคนนี้  ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า คนเราควรซาบซึ้ง เลื่อมใส เรียนรู้ และทำตามอย่างผู้ที่สามารถทำหน้าที่ของพวกเขาและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแข็งขันเป็นพิเศษ  แทนที่จะเรียนรู้จากจุดแข็งของพี่น้องหญิงคนนี้เพื่อชดเชยในจุดอ่อนของตนเอง คนเหล่านี้กลับล้อเลียนเธอว่าโง่เขลา และถึงกับหวังให้สามีของเธอขอหย่าเสียด้วยซ้ำ พวกเขากำลังรอที่จะเห็นความล่มจมของเธอ  หากพี่น้องหญิงคนนั้นหย่าร้างกับสามีของเธอจริงๆ ถึงตอนนั้นพวกเขาย่อมจะรู้สึกพอใจมิใช่หรือ?  ความปรารถนาของพวกเขาย่อมจะลุล่วงมิใช่หรือ?  สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขา รวมถึงเจตนาและจุดประสงค์ของพวกเขา  พวกเขาไม่ปรารถนาดีต่อผู้อื่น การเห็นใครบางคนกำลังไปได้ดีหรือเห็นคนที่เก่งกว่าพวกเขาย่อมทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจและความริษยา  ไม่ว่าใครบางคนมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างหนักแน่นเพียงใด หากบุคคลนั้นดีกว่าพวกเขา เช่นนั้นก็ย่อมจะไม่ได้การ  พวกเขาไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง อีกทั้งไม่สามารถกล่าวคำอวยพรหรือคำพูดที่เจริญใจได้  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถกล่าวคำพูดเช่นนั้นได้?  เพราะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาชั่วเกินไป!  ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากพูดหรือไม่มีคำพูดที่ถูกต้อง แต่นี่กลับเป็นเพราะหัวใจของพวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยความริษยา ความโกรธเคือง และความขุ่นข้องหมองใจ ทำให้พวกเขาไม่มีทางกล่าวคำอวยพรได้  เช่นนั้นแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งที่เสื่อมทรามเช่นนั้นสามารถระบุได้หรือไม่ว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่มุ่งร้าย?  (ได้)  ย่อมระบุเช่นนี้ได้  เนื่องจากพวกเขาเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนั้นออกมา การที่ผู้อื่นจะแยกแยะและสามารถมองทะลุไปถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกเขาจึงเป็นเรื่องง่าย

นี่คือตัวอย่างอีกประการหนึ่ง  มีพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ก่อนมาเชื่อในพระเจ้าก็มักขัดแย้งกับภรรยาของพี่เขยอยู่เสมอ  ต่อมาทั้งสองคนเริ่มเชื่อในพระเจ้า และได้มาเข้าใจความจริงบางอย่างผ่านการกินดื่มพระวจนะของพระเจ้า  พวกเธอตระหนักได้ว่าคนเราควรปฏิบัติตนและเข้ากับผู้อื่นอย่างไร และเมื่อความเสื่อมทรามของพวกเธอถูกเผย พวกเธอก็สามารถเปิดใจให้แก่กันและกัน และพยายามรู้จักตนเองจนทำให้พวกเธอมีความสัมพันธ์ที่กลมเกลียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ  คนบางคนย่อมจะอิจฉาพวกเธอและกล่าวว่า “ดูสองคนนั้นสิ ทั้งครอบครัวเชื่อในพระเจ้ากันหมด แถมฝั่งสะใภ้ยังเป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ กันอีก  ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความเชื่อในพระเจ้าของพวกเธอมิใช่หรือ?  ครอบครัวของผู้ไม่มีความเชื่อเข้ากันไม่ได้เลย เอาแต่ต่อสู้และแข่งขันกับอีกฝ่ายอยู่เสมอ แม้กระทั่งกับบรรดาพี่น้องแม่เดียวกัน  ส่วนผู้เชื่อนั้นดีกว่ามาก ต่อให้ฝั่งสะใภ้จะไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ ตราบเท่าที่พวกเธอเชื่อในพระเจ้า มีเป้าหมายเดียวกันในการไล่ตามเสาะหา เดินบนเส้นทางเดียวกัน และพูดจาภาษาเดียวกัน พวกเธอก็เข้ากันได้ในทางวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่เยี่ยมไปเลย!”  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าโดยแท้จริงต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อ  ผู้คนจากต่างครอบครัวมารวมตัวกันด้วยเป้าหมายและการไล่ตามเสาะหาแบบเดียวกัน เข้ากันได้ในพระนิเวศของพระเจ้าและเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  จุดประสงค์ของการกล่าวเช่นนี้คือเพื่อทำให้ผู้คนรู้ว่า นี่คือผลที่เกิดจากพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า คือพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คน  นี่เป็นบางสิ่งที่ผู้ไม่มีความเชื่อไม่มีและไม่สามารถเพลิดเพลินได้  อย่างน้อยที่สุด เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วคนเราจะรู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี และจะมีความประทับใจที่ดีต่อความเชื่อในพระเจ้า  แต่ฟังที่ผู้รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จกล่าวถึงเรื่องนี้ดูเถิด “ฮึ!  คุณอาจจะเห็นว่าสะใภ้สองคนนั้นดูเข้ากันได้ ปรองดองกันทุกอย่างในระหว่างการชุมนุม—แต่บางครั้งพวกเธอก็เถียงกันในเรื่องเล็กน้อยมิใช่หรือ?  คุณไม่รู้หรอกว่า พวกเธอเคยเถียงกันบ้านแทบแตก!”  คนอื่นๆ กล่าวว่า “ข้อโต้แย้งและการถกเถียงกันในอดีตของพวกเธอเกิดจากการที่พวกเธอไม่ได้เชื่อในพระเจ้าและไม่เข้าใจความจริง  แต่ตอนนี้พวกเธอเข้ากันได้อย่างดีเยี่ยม!  นี่เป็นเพราะตอนนี้พวกเธอทั้งคู่เชื่อในพระเจ้า เข้าใจความจริงบางประการ สามารถเปิดใจให้กันและกันได้ในสามัคคีธรรมและรู้ถึงความเสื่อมทรามของตนเอง และมักจะทำหน้าที่ด้วยกันอยู่บ่อยๆ  ถึงแม้ว่าระหว่างพวกเธอยังมีความไม่ลงรอยกันอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วพวกเธอก็สามารถยอมรับข้อผิดพลาดของกันและกันได้ และปรึกษากันในทุกสิ่งที่พวกเธอทำ  นี่คือบางสิ่งที่ผู้ไม่มีความเชื่อไม่อาจสัมฤทธิ์ได้แม้กระทั่งกับญาติพี่น้องในสายเลือด”  ทว่าผู้ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จก็กล่าวว่า “มีครอบครัวไหนไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง?  อย่าว่าแต่พี่น้องฝั่งสะใภ้เลย แม้แต่พี่สาวน้องสาวร่วมสายเลือดก็ทะเลาะกันมิใช่หรือ?  ความกลมเกลียวที่พวกเธอดูเหมือนมีในตอนนี้เป็นเพียงการแสดงต่อผู้อื่น  เมื่อพ่อสามีของพวกเธอตาย ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพวกเธอจะไม่แย่งมรดกกัน!  การเชื่อในพระเจ้าเป็นเพียงความปรารถนา เป็นเพียงการปลอบประโลมทางวิญญาณประเภทหนึ่งมิใช่หรือ?  พวกเธอจะสามารถทิ้งความร่ำรวยมากมายเพราะความเชื่อได้จริงหรือ?  ไม่มีทาง!”  ในคำพูดเหล่านี้ มีสักคำที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงหรือไม่?  มีความปรารถนาให้ผู้คนอยู่ดีมีสุข มีพรอยู่บ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  มีคำพูดใดหรือไม่ที่แสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีโดยแท้ หลังจากได้เห็นผู้อื่นเพลิดเพลินกับพระคุณของพระเจ้าอย่างที่พวกเขามี?  (ไม่มี)  ในทัศนะของผู้ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ ความเปลี่ยนแปลงส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นในหมู่พี่น้องชายหญิงล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง การได้มาซึ่งความจริงและความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยอันมาจากการเชื่อในพระเจ้าล้วนเป็นเรื่องเท็จ พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ได้ ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้  จากคำพูดของพวกเขา คนเราไม่เพียงแต่เห็นได้ถึงการตัดสินตามอำเภอใจ ความเกลียดชัง และการสาปแช่งผู้คนของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเห็นถึงความไม่เชื่อและการปฏิเสธผลกระทบอันมาจากพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าที่มีต่อผู้คนอีกด้วย  พี่น้องสะใภ้มีความสัมพันธ์ที่ดี ทั้งยังแสดงถึงความอดทนและการผ่อนปรนต่อกันเมื่อพวกเธออยู่ด้วยกันเพราะพวกเธอเชื่อในพระเจ้า  คนคนนี้ที่รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จรู้สึกไม่สบายใจและไม่สบอารมณ์อยู่ในหัวใจ พวกเขาจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหว่านความไม่ลงรอยระหว่างพี่น้องหญิง และจะมีความสุขหากพวกเขาทำสำเร็จ จนพี่น้องสะใภ้โต้เถียงและทะเลาะกันในยามที่พบหน้า  นี่คือความประพฤติประเภทใด?  นี่เป็นความคิดประเภทใด?  หากตัดสินจากความคิดของพวกเขา สิ่งนี้ย่อมผิดเพี้ยนทีเดียวมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในแง่ความประพฤติของพวกเขา นี่คือความประพฤติที่น่าขยะแขยงมิใช่หรือ?  (ใช่)  แต่คนประเภทนี้ยังคงมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักร และในบรรดาคนที่ทำหน้าที่ของตนย่อมมีคนแบบพวกเขาอยู่มากมาย  โดยทั่วไปแล้ว คนเหล่านี้มักถูกพูดถึงในฐานะของคนที่มี “คำพูดอาบยาพิษ”  แต่ที่จริงไม่ใช่แค่คำพูดของพวกเขาที่อาบยาพิษ โลกภายในของพวกเขาก็มืดมิดและเป็นพิษอย่างเหลือเชื่อ!  ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ที่ดีอย่างไร ในสายตาของพวกเขา คำพยานเหล่านี้ก็ล้วนเป็นของเทียมและเป็นความคิดฝัน ไม่มีอะไรที่พิเศษเลย  ไม่ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนในบุคคลใดจนทำให้เกิดประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ แล้วทำให้พวกเขาลุกขึ้นแบ่งปันประสบการณ์ของตนและเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้าได้—ลึกๆ แล้ว คนเหล่านี้ก็ดูถูกการนั้น พลางคิดว่า “เรื่องนั้นยอดเยี่ยมตรงไหน?  หลังจากฟังคำเทศนามามากมาย ทุกคนก็ย่อมจะมีความเข้าใจอยู่บ้างมิใช่หรือ?  คุณแค่เขียนบทความคำพยายามจากประสบการณ์และรู้สึกพอใจ จนมองว่าตนเองเป็นผู้ชนะอย่างนั้นหรือ?  ฉันอยากจะเห็นว่าในอนาคตเมื่ออะไรๆ ไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ คุณจะยังพร่ำบ่นเรื่องพระเจ้าอยู่ไหม  หากพระเจ้าทรงพรากลูกของคุณไป ฉันก็อยากจะเห็นว่าถึงตอนนั้นคุณจะร้องไห้ไหม จะยังเชื่อในพระเจ้าอยู่ไหม!”  พวกเจ้าคิดว่า สิ่งที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในหัวใจของพวกเขาคืออะไร?  สิ่งนั้นคือความปรารถนาให้ทั้งโลกตกอยู่ในความโกลาหล คือความกลัวว่าผู้คนจะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องมิใช่หรือ?  สรุปคือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในครอบครัวของใคร พวกเขาจะต้องแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ไม่ว่าพวกเขาพูดอะไร คนเหล่านี้ก็ล้วนมีลักษณะนิสัยอยู่หนึ่งประการ นั่นคือ พวกเขาไม่หวังให้ผู้ใดได้ดีไปกว่าตนเอง—พวกเขาพูดถึงทุกคนราวกับคนเหล่านั้นไม่มีคุณงามความดีอยู่โดยสิ้นเชิง การพูดถึงผู้อื่นราวกับคนเหล่านั้นไร้ค่าทำให้พวกเขามีความสุข และพวกเขาก็ยินดีกับความอับโชคของผู้อื่นอยู่เสมอ  หากใครบางคนมีครอบครัวที่มั่งคั่ง พวกเขาก็กลายเป็นอิจฉา โกรธเคือง และเกลียดชัง พร่ำบ่นอยู่ในหัวใจของตนตลอดเวลา อีกทั้งปรารถนาให้พระเจ้าทรงริบคืนความมั่งคั่งและพระคุณที่คนคนนั้นเพลิดเพลิน และประทานให้พวกเขาเสีย  คำที่บุคคลเหล่านี้พร่ำบ่นลับหลังผู้คนนั้นเกินที่จะฟัง  พวกเขาเหมือนกับผู้เชื่อในแง่ใดหรือ?  แน่นอนว่าผู้คนประเภทนี้ก็เชี่ยวชาญเรื่องการปลอมตัวเช่นเดียวกัน  ไม่ว่าหัวใจของพวกเขามุ่งร้ายหรือดำมืดเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิงในระหว่างการชุมนุม พวกเขาก็จะสามัคคีธรรมความเข้าใจและความเข้าใจเชิงลึกของตนเช่นกัน โดยพ่นคำสอนที่ยิ่งใหญ่เพื่อปลอมตัว บรรจงปั้นภาพลักษณ์ที่ดีอัน “ทรงเกียรติ” ให้ตนเอง  อย่างไรก็ตาม ลับหลังนั้นพวกเขาไม่ได้พูดหรือกระทำดังเช่นมนุษย์เลย  หากคนส่วนใหญ่ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ และไม่รู้ถึงการสำแดงที่แท้จริงของพวกเขาหรือสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจพวกเขา เพียงแต่ได้ฟังพวกเขาพูดสิ่งที่ถูกต้องในระหว่างการชุมนุม ก็จะไม่พบว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาชั่วช้าและเลวทรามแค่ไหน หรือลักษณะนิสัยของพวกเขาต่ำช้า แต่จะมองพวกเขาในแง่ดีเสียด้วยซ้ำ  มีเพียงหลังจากใช้เวลากับพวกเขามากขึ้น และเข้าใจการกระทำและพฤติกรรมในชีวิตเบื้องหลังของพวกเขาเท่านั้นที่ผู้คนจะค่อยๆ เริ่มแยกแยะพวกเขาและรู้สึกขยะแขยงพวกเขา  ดังนั้นแล้ว การแยกแยะใครบางคนจึงไม่ควรอ้างอิงตามคำพูดที่น่าฟังที่พวกเขาพูดในการชุมนุมเพียงอย่างเดียว แต่คนเราต้องสังเกตการกระทำและคำพูดของพวกเขาในชีวิตเบื้องหลังของพวกเขาด้วย เพื่อที่จะมองทะลุไปถึงแก่นแท้และโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขา

นอกจากการไม่พูดดังเช่นมนุษย์แล้ว คนประเภทที่รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จนั้นมีลักษณะนิสัยอีกประการหนึ่ง นั่นคือ พวกเขาต้องการแสดงความเห็นเกี่ยวกับทุกคนและทุกสิ่ง แม้แต่กับคนที่พวกเขาไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยปฏิสัมพันธ์ด้วย และไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องที่เล็กน้อยที่สุดในชีวิตของผู้คน  ผลลัพธ์ของการที่พวกเขาแสดงความคิดเห็นก็คือ ไม่ว่าบางสิ่งจะเป็นบวกอย่างไร สิ่งนั้นก็ถูกบิดให้กลายเป็นลบด้วยคำพูดของพวกเขา ไม่ว่าบางสิ่งจะถูกควรอย่างไร สิ่งนั้นก็ถูกบิดเบือนจนกลายเป็นลบได้เมื่อผ่านปากที่เลวทรามของพวกเขา  การนี้ทำให้พวกเขามีความสุข ทำให้พวกเขากินอิ่มและหลับสบาย  บอกเราทีเถิดว่า นี่คือสิ่งมีชีวิตประเภทใด?  ตัวอย่างเช่น หากพี่น้องชายหญิงบางคนมีรายได้ดีในปีนี้และมีสภาพทางการเงินที่ดีขึ้น—ได้รับข้อเสนอเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มากกว่าร้อยละสิบ—พวกเขาก็จะเริ่มอิจฉาและกล่าวว่า “ทำไมปีนี้คุณได้รับข้อเสนอมากมายนัก?  การที่พระเจ้าทรงกำหนดว่าคนคนหนึ่งดีหรือชั่วไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าคุณได้รับข้อเสนอมากแค่ไหนเสียหน่อย  ทำไมคุณถึงกระตือรือร้นนัก?  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ร้อนเงินนะ”  คำพูดที่ไม่น่าฟังหลุดออกมาอีกครั้งใช่หรือไม่?  ไม่ว่าใครทำบางสิ่งที่ถูกควรหรือบางอย่างที่สอดคล้องกับความจริงอย่างไร พวกเขาก็มองว่าเรื่องนั้นน่าคัดค้าน และรู้สึกรังเกียจอย่างที่สุดอยู่ในหัวใจ  พวกเขาพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อควบคุมเจ้า มองหาข้ออ้างที่จะโจมตีและกล่าวโทษเจ้า จนกระทั่งพวกเขาทำให้เจ้ายอมจำนนและทำลายความเป็นบวกไปจากตัวเจ้า ทิ้งให้เจ้ารู้สึกสับสนโดยสิ้นเชิง และไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูกต้องและสิ่งใดที่ไม่ใช่  จากนั้นพวกเขาก็หัวเราะร่า แอบเยาะเย้ยเจ้าอยู่ในใจ และพูดกับตนเองว่า “คุณก็ได้แค่เท่านี้ แล้วยังจะพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์อีก!”  นี่คือมารที่แสดงโฉมหน้าที่แท้จริงออกมามิใช่หรือ?  สิ่งเหล่านี้เป็นคำพูดของทาสรับใช้ของซาตาน ของศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  (ใช่)  ยิ่งเราพูดถึงคนประเภทนี้มากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้สึกโกรธและรังเกียจมากขึ้นเท่านั้น  พวกเจ้าเคยเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนั้นบ้างหรือไม่?  ไม่ว่ารูปลักษณ์หรือหน้าตาของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เมื่อไรที่พวกเขากำลังจะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ การแสดงออกของพวกเขาก็กลายเป็นแปลกประหลาด ริมฝีปากบิดเบี้ยว ตาเข และไม่มองผู้อื่นตรงๆ อีกต่อไป และหน้าตาของบางคนก็ดูเหมือนผิดรูปไปเสียด้วยซ้ำ  นี่คือสัญญาณที่ส่งมาถึงเจ้า บอกเจ้าว่าพวกเขากำลังจะพูดจาไม่เหมือนมนุษย์  ในเวลานั้นเจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าเปิดรับสัญญาณนี้หรือปิดกั้นมันไปเสีย?  (ปิดกั้นไป)  เจ้าต้องตีตนออกหาก บอกพวกเขาว่า “ไม่ต้องพูด ฉันไม่อยากฟัง  คุณซุบซิบนินทามากเกินไป  หากคุณไม่ได้กำลังจะพูดเหมือนมนุษย์ เช่นนั้นก็อยู่ให้ห่างจากฉันเถิด  ฉันไม่อยากตกเป็นเป้าหมายการก่อกวนของคุณ ฉันไม่อยากตกอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ไม่ถูกควรพวกนี้ ฉันจะไม่สนใจคนแบบคุณ”  จงสังเกตและดูว่าในบรรดาพวกเจ้า ใครที่รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ ใครที่มีความประพฤติเช่นนั้น แล้วจงตีตัวออกห่างจากคนเหล่านั้นโดยไว  ความเป็นมนุษย์ของบุคคลเหล่านี้มีลักษณะอย่างไร?  ลักษณะที่ว่าคือการพูดจาเป็นพิษ หรือพูดเป็นภาษาชาวบ้านให้มากขึ้นก็คือการมี “คำพูดอาบยาพิษ” นั่นเอง  จากการเปิดโปงคำพูดอาบยาพิษของพวกเขา เจ้าย่อมเห็นถึงคำพูดนานาประการที่พวกเขาเอ่ยออกมา ผ่านคำพูดของพวกเขา เจ้าย่อมเห็นได้ถึงโลกภายในของพวกเขา และกำหนดได้ว่าแก่นแท้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นอย่างไรกันแน่ และพวกเขาเป็นคนชั่วหรือไม่  ผู้คนประเภทนี้ที่รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จได้ทำให้ผู้อื่นระบุโดยชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนชั่ว ผ่านสัญญาณและคำพูดนานาประการที่พวกเขาส่งออกมา  ผู้คนประเภทนี้ตรงตามมาตรฐานของการขับไล่หรือการเอาตัวออกไปโดยสมบูรณ์ ห้ามมีความกรุณาต่อพวกเขาเด็ดขาด  พวกเขาต้องถูกเอาตัวออกไป และไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อการรบกวนในคริสตจักร

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงลักษณะนิสัยของผู้คนประเภทที่รักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จกันไป และจากสถานการณ์เรื่องการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา รวมถึงการสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ของพวกเขา นี่ควรเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นคนประเภทที่รังเกียจความจริง และเป็นคนที่ไม่รักความจริง  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาย่ำแย่จนถึงระดับที่พวกเขาไม่เปิดรับเหตุผล และไม่มีแม้กระทั่งศีลธรรมขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์เสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ในกรณีเฉพาะของพวกเขานั้น ลักษณะของความเป็นมนุษย์ที่ย่ำแย่ของพวกเขาคือพวกเขารักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จเป็นพิเศษ  จากคำพูดที่พวกเขาเอ่ยออกมา คนเราย่อมสังเกตได้ถึงลักษณะของความเป็นมนุษย์ของพวกเขาและแก่นแท้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าคนประเภทนี้คือคนที่มีความเป็นมนุษย์ย่ำแย่  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาย่ำแย่ถึงระดับใด?  ย่ำแย่ถึงระดับที่ชั่ว จนทำให้พวกเขาถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของคนชั่ว  นี่เป็นเพราะคำพูดที่พวกเขาพูดโดยทั่วไปไม่ใช่การพร่ำบ่นเป็นครั้งคราวและแสดงถึงความอิจฉาเล็กน้อย หรือแสดงถึงความอ่อนแอของมนุษย์ชั่วครั้งชั่วคราว การสำแดงของพวกเขาไม่ใช่การสำแดงของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบธรรมดาทั่วไป แต่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถถูกจัดหมวดหมู่ว่าเป็นคนชั่วได้  นี่คือบุคคลประเภทที่หนึ่ง พวกรักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จนั่นเอง

ข. การรักที่จะเอาเปรียบ

ผู้คนประเภทที่สองคือพวกรักที่จะเอาเปรียบ  แน่นอนว่าบางคนย่อมมีมโนคติอันหลงผิดเรื่องการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการรักที่จะเอาเปรียบ โดยคิดว่า “มีมนุษย์ที่เสื่อมทรามคนไหนไม่รักที่จะเอาเปรียบบ้าง?  นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ ตราบเท่าที่ไม่ใช่การทำชั่ว ทำไมต้องจริงจังกับการเอาเปรียบนิดๆ หน่อยๆ ด้วยเล่า?”  การรักที่จะเอาเปรียบที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมในที่นี้ไปไกลเกินขอบเขตของการรักที่จะเอาเปรียบของคนธรรมดาทั่วไป—การนี้ไปถึงระดับของความชั่ว  ในคริสตจักรน่าจะมีคนประเภทนี้อยู่ไม่น้อย หรืออย่างน้อยที่สุดก็ย่อมมีอยู่จำนวนหนึ่ง  พวกเขาเอาเปรียบไปทั่วภายใต้ข้ออ้างที่ว่า “พวกเราทุกคนล้วนเป็นพี่น้องชายหญิง” เอาเปรียบบรรดาพี่น้องชายหญิง เอาเปรียบในพระนิเวศของพระเจ้า และในคริสตจักร  พวกเขาเอาเปรียบในเรื่องใด?  ตัวอย่างเช่น หากครอบครัวของพวกเขาจำเป็นต้องซื้อบ้านแต่พวกเขามีเงินไม่พอ พวกเขาจะไม่ไปหยิบยืมจากญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง และไม่ไปกู้เงินจากธนาคาร แต่พวกเขาจะหยิบยืมจากพี่น้องชายหญิงโดยไม่เอ่ยถึงดอกเบี้ย หรือกล่าวว่าพวกเขาจะจ่ายคืนเมื่อไร—พวกเขาเพียงแค่ยืมเงินนั้นไป  การพูดว่าพวกเขา “ยืม” เป็นการพูดอย่างสุภาพ ข้อเท็จจริงคือพวกเขาเพียงเอาเงินนั้นไป เพราะพวกเขาไม่เคยตั้งใจที่จะจ่ายคืนหรือจ่ายดอกเบี้ยเลย  เหตุใดพวกเขาจึงมุ่งเป้ามาที่พี่น้องชายหญิง?  พวกเขาคิดว่าในเมื่อทุกคนคือพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็ควรให้ช่วยเหลือในยามที่ยากลำบาก และหากใครไม่ช่วยเหลือ คนเหล่านั้นย่อมไม่ใช่พี่น้องชายหญิง  ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงไปหยิบยืมเงินจากพี่น้องชายหญิง คิดหาเหตุผลมากมายเพื่อทำให้พี่น้องชายหญิงรู้สึกว่าการให้พวกเขายืมเงินเป็นเรื่องที่ถูกควรและเหมาะสม  บางคนเห็นว่าครอบครัวของพี่น้องชายหรือหญิงคนหนึ่งมีรถและเฝ้าคิดถึงแต่เรื่องนั้น เทียวขอยืมรถคันนั้นอยู่ไม่ว่างเว้นทุกสองสามวัน  พวกเขายืมรถไปแต่ไม่นำกลับมาคืน แถมไม่เติมน้ำมัน และบางครั้งก็ถึงกับทำให้เกิดรอยบุบบนตัวถังหรือเอารถไปชนเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาคิดหาอุบาย ละโมบอยากได้อาหารดีๆ สิ่งของที่มีประโยชน์ หรือของมีค่าที่พวกเขาเห็นในบ้านของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง  ไม่ว่าพวกเขาไปบ้านใคร พวกเขาก็สอดส่ายสายตาที่โลภเยี่ยงโจรมองดูและค้นหาทุกซอกทุกมุม หาว่าพวกเขาจะได้ประโยชน์จากสิ่งใดหรือมีของชิ้นใดที่พวกเขาเอาไปได้บ้าง—แม้แต่กระถางต้นไม้เล็กๆ ก็จะไม่รอดจากเงื้อมมือของพวกเขา  ในยามที่ออกไปข้างนอกหรือทานอาหารกับผู้อื่น พวกเขาไม่เคยเสนอที่จะจ่ายค่าเดินทางหรือค่าอาหารเลย  เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาเห็นของดีๆ พวกเขาก็อยากจะซื้อ แต่เมื่อถึงเวลาจ่ายเงิน พวกเขากลับให้คนอื่นมาจ่ายแทน และหลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่หยิบเรื่องการจ่ายเงินคืนมาพูดถึงเลยด้วยซ้ำ พวกเขาเพียงต้องการที่จะเอาเปรียบ ต่อให้จะได้มาแค่หนึ่งเหรียญหรือห้าสิบสตางค์ก็ตาม  หากเจ้าอยากได้สิ่งของสวยงาม เจ้าก็สามารถจ่ายเงินซื้อของเหล่านั้นให้ตนเองได้ หากเจ้าไม่ต้องการที่จะจ่ายด้วยเงินของตัวเจ้าเอง เช่นนั้นก็อย่าเสาะแสวงที่จะเอาเปรียบผู้อื่นเช่นกัน และอย่าโลภมากนัก เจ้าควรมีความซื่อตรงอยู่บ้างเพื่อจะได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่น  แต่คนประเภทนี้ไร้ซึ่งความซื่อตรง เพียงแต่รอที่จะเอาเปรียบ และยิ่งได้เปรียบมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกปีติยินดีมากขึ้นเรื่อยๆ  การที่บุคคลเช่นนั้นปรากฏตัวในคริสตจักรเป็นความเสื่อมเสียหรือความรุ่งโรจน์?  (เป็นความเสื่อมเสีย)  นี่คือความเสื่อมเสีย  พวกเจ้าจะบอกว่า การที่พวกเขาเอาเปรียบเช่นนี้คือเรื่องจำเป็นอย่างนั้นหรือ?  นี่เป็นเพราะพวกเขามีเงินไม่พอที่จะซื้ออาหาร หรือมีเงินไม่พอที่จะซื้ออาหารมาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างนั้นหรือ?  ไม่ใช่เลย  อันที่จริงพวกเขามีเงินพอจะใช้จ่ายและมีอาหารเพียงพอให้กิน เพียงแต่พวกเขาโลภมากเหลือเกิน จนถึงจุดที่พรากความซื่อตรงไปจากพวกเขา และจนถึงจุดที่ทำให้ผู้อื่นเกิดความรังเกียจและความเกลียดชัง  บุคคลเช่นนั้นเป็นคนดีใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  คนบางคนจ้องจะเอาเปรียบอยู่เสมอเวลาที่ทำหน้าที่ พลางรู้สึกทุกข์ใจหากพวกเขาสูญเสียแม้เพียงเล็กน้อย และรู้สึกว่าพวกเขาจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้  เมื่อได้รับมอบหมายงาน พวกเขาก็มักหยิบยกประเด็นเรื่องเงินขึ้นมาเสมอว่า “ค่าใช้จ่ายสำหรับเดินทางหนึ่งครั้งจะเป็นเท่านั้นเท่านี้ ค่าที่พักราคาเท่านั้นเท่านั้น ค่าอาหารจะเท่านั้นเท่านี้ และอื่นๆ”  มีคนบอกพวกเขาว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน คริสตจักรจะจัดหาให้”  แต่หลังจากได้รับเงินไป พวกเขาก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนั้น โดยกล่าวว่า “เงินเท่านี้ไม่พอหรอก ข้างนอกนั่นเงินแค่สองร้อยหยวนจะเอาไปทำอะไรได้?  มีคำกล่าวที่ว่า ‘พึงมัธยัสถ์เวลาอยู่บ้าน แต่พกเงินให้มากเวลาเดินทาง’ ฉันต้องเอาเงินสำรองไปมากกว่านี้ หากใช้ไม่หมด ฉันจะเอาเงินส่วนที่เหลือกลับมาคืนคริสตจักร”  เมื่อพวกเขากลับมา พวกเขาไม่พูดถึงเลยว่ามีเงินเหลือหรือไม่ และพวกเขาก็ไม่รายงานเรื่องค่าใช้จ่ายของตนด้วย  พวกเขาถึงกับกล้าที่จะเอาเปรียบคริสตจักร พวกเขาจะกล้ายักยอกของถวายของพระเจ้าหรือไม่?  (กล้า)  พวกเขาคือสิ่งมีชีวิตประเภทใด?  พวกเขาไร้ซึ่งความซื่อตรง รวมถึงมโนธรรมและเหตุผล  พระเจ้าจะทรงเห็นชอบผู้คนเช่นนั้นหรือ?  คนอื่นๆ บางคนถึงกับเดินทางไปยังสถานที่ชุมนุมหรือสถานที่ของเจ้าภาพเพื่ออาบน้ำ สระผม และซักเสื้อผ้า ใช้เครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น แชมพู น้ำยาซักผ้าของคริสตจักร เป็นต้น พวกเขาถึงกับเอาเปรียบในสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ ใช้ของของคริสตจักรเพื่อประหยัดในส่วนของพวกเขาเอง  พวกเขาคิดว่าเนื่องจากพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาจึงเป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้นสิ่งของต่างๆ ที่เป็นของพระนิเวศของพระเจ้าก็ย่อมเป็นของที่พวกเขาใช้ได้อย่างเสรี พลางคิดว่าการไม่ใช้ของเหล่านั้น การไม่เอาไป หรือการไม่ใช้ประโยชน์จากของเหล่านั้นย่อมจะสูญเปล่า และต่อให้พวกเขาทำเสียหาย พวกเขาก็ไม่มีเจตนาที่จะชดใช้  เมื่อเป็นของของพวกเขาเอง พวกเขารู้ว่าต้องใช้ของเหล่านั้นอย่างประหยัดและดูแลอย่างพิถีพิถัน แต่พวกเขากลับใช้ข้างของและสิ่งของของพระนิเวศของพระเจ้าตามอำเภอใจ ไม่เคยจ่ายเงินชดใช้เมื่อทำของเหล่านั้นเสียหาย  คนเหล่านี้เป็นคนดีหรือไม่?  แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีดีเลย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่คริสตจักรจำเป็นต้องซื้อของบางอย่าง พวกเขาก็อาสาด้วยความกระตือรือร้น เต็มใจที่จัดการงานนั้นเป็นพิเศษ  เหตุใดพวกเขาจึงกระตือรือร้นนัก?  พวกเขาเชื่อว่างานนี้ย่อมได้กำไร และได้รับผลประโยชน์ หลังจากซื้อของต่างๆ แล้ว พวกเขาก็เก็บเงินส่วนที่เหลือเข้ากระเป๋าตนเอง  พวกเขาต้องการเอาเปรียบในทุกสิ่งที่สามารถทำได้ คิดว่าการที่ไม่ทำเช่นนั้นย่อมจะเสียเปล่า นี่คือตรรกะที่พวกเขายึดถือ  หากพวกเขาไม่สามารถเอาเปรียบได้ พวกเขาก็จะสาปแช่งพี่น้องชายหญิงและสาปแช่งพระนิเวศของพระเจ้า—พวกเขาสาปแช่งทุกคน พวกเขาเป็นเพียงมารชั่ว เป็นขอทานน่ารังเกียจ เป็นขอทานตัวจริงที่เที่ยวถือขันไปทั่วเพื่อใช้เล่ห์เหลี่ยมให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์และเอาเปรียบ  ผู้คนกล่าวว่า “คุณร้องขอบางสิ่งอยู่ตลอดเวลา คุณก็แค่ขอทานที่น่ารังเกียจมิใช่หรือ?”  พวกเขาตอบว่า “ไม่เป็นไร จะเรียกฉันว่าอะไรก็ช่าง—คนขี้เหนียว คนขี้งก ขอทานน่ารังเกียจ พวกเดินขอเงินชาวบ้าน ยาจก—ตราบเท่าที่ฉันได้ประโยชน์ เรียกอะไรก็ช่างเถอะ”  ผู้คนประเภทนี้มีความซื่อตรงอยู่หรือไม่?  (ไม่มี)  ผู้คนเช่นนั้นย่อมก่อการรบกวนต่อพี่น้องชายหญิงในระดับหนึ่งมิใช่หรือ?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่ครอบครัวอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก การเงินย่ำแย่ พวกเขาย่อมก่อการรบกวนและความเสียหายอยู่ในระดับหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาจะสามารถส่งอิทธิพลอันเป็นลบต่อผู้มีวุฒิภาวะน้อยและเปราะบางเป็นพิเศษได้หรือไม่?  (ได้)  แค่เพียงเห็นพวกเขา ผู้คนก็รู้สึกรังเกียจแล้ว ทุกคนที่เห็นพวกเขาย่อมรู้สึกรำคาญใจ แต่พวกเขาต่างลำบากใจเกินกว่าที่จะปฏิเสธ จนอนุญาตให้คนเหล่านั้นรีดไถตนเองอย่างโจ่งแจ้ง  ทุกคนรู้ว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่แย่และมีลักษณะนิสัยต่ำช้า แต่เมื่อคำนึงว่าคนเหล่านั้นล้วนเป็นพี่น้องชายหญิง และเห็นว่าบางครั้งพวกเขาก็สามารถทำหน้าที่บางอย่างได้ ทั้งยังมีความเชื่ออยู่เล็กน้อย และสามารถทุ่มเทความพยายามเป็นครั้งคราวด้วยการเป็นเจ้าบ้านที่บ้านของตน—เพื่อประโยชน์ของสิ่งเหล่านี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงปิดหูปิดตากับพฤติกรรมที่เอาเปรียบในทุกที่ที่ไปของพวกเขา และไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้มากนัก  อย่างไรก็ตาม การก่อกวนที่พวกเขาก่อให้เกิดขึ้นในคริสตจักรนั้นมีนัยสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ มากพอที่จะทำให้ผู้คนส่วนมากรู้สึกไม่สบายใจ นี่เป็นปัญหามิใช่หรือ?  (ใช่)  ต่อให้บุคคลเหล่านี้ไม่ใช่หมาบ้าที่กัดคนไปทั่วและสามารถกัดพวกเขาจนถึงแก่ความตายได้ แต่คนเหล่านี้ก็เป็นเหมือนแมลงวันกวนใจที่รังควานผู้คนจนไม่ได้หยุดพัก  หากพวกเขาไม่ถูกเอาตัวออกไป พวกเขาย่อมจะก่อการรบกวนอย่างไม่มีสิ้นสุด  การที่พวกเขายังคงอยู่ในคริสตจักรจะนำไปสู่ความวิบัติที่ไม่หยุดหย่อน พรากความสงบสุขไปจากผู้คน  หลังจากถูกก่อกวน ผู้คนก็รู้สึกไม่พอใจนัก และมักจะแอบซ่อนความรังเกียจที่มีต่อบุคคลเช่นนั้นเอาไว้ แต่เมื่อไม่มีหนทางแก้ไข พวกเขาจึงได้แต่ทนไปครั้งแล้วครั้งเล่า  บุคคลเหล่านี้เป็นคนประเภทใด?  ในบรรดาผู้คนมีแม้กระทั่งอันธพาลที่รังเกียจเช่นนั้นอยู่ เหตุใดบุคคลเช่นนั้นจึงเชื่อในพระเจ้า?  พวกเขาไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่เลย!  การเอาเปรียบทุกอย่างเท่าที่พวกเขาจะทำได้—ช่างน่าละอายเหลือเกิน!  จงเพลิดเพลินกับสิ่งของทางวัตถุให้มากเท่าที่ความสามารถของเจ้าจะทำได้ หากเจ้าไร้ซึ่งขีดความสามารถ เช่นนั้นจงอย่าเพลิดเพลิน หรือยักยอกสิ่งที่เป็นของผู้อื่น  หากเจ้าเอาเปรียบแบบเล็กน้อยและไม่สลักสำคัญเพราะผู้อื่นบริจาคของให้โดยไม่คิดเงินเป็นครั้งคราว หรือเพราะเจ้าชื่นชอบในบางสิ่งเป็นพิเศษ หรือเจ้าตกหลุมรักบางสิ่ง ทุกคนก็สามารถให้อภัยกับเรื่องนั้นได้  เช่นเดียวกับคำกล่าวที่ว่า “ความยากจนจำกัดความทะเยอทะยาน” เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่  แต่หากเจ้าเสาะแสวงผลประโยชน์เช่นนี้อยู่เสมอ จนถึงจุดที่เริ่มไร้ยางอายและไม่สะทกสะท้านเกี่ยวกับเรื่องนี้ กลายเป็นขอทานน่ารังเกียจ หรือกลายไปเป็นหมาบ้าหรือแมลงวันในสายตาของทุกคน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรถูกเอาตัวออกไปทันที  ผู้คนประเภทนี้ควรถูกจัดการอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อเป็นการยุติปัญหาทั้งหมดนี้

สำหรับผู้ที่รักที่จะเอาเปรียบ พวกเจ้าสามารถอดทนกับพวกเขาได้มากแค่ไหนหรือ?  หากพวกเจ้าไม่สามารถทนพวกเขาได้จริงๆ และรู้สึกเหมือนเจ้าได้กลืนแมลงวันตายลงท้องหลังจากถูกพวกเขาเอาเปรียบ—โดยที่พวกเจ้าส่วนมากรู้สึกโกรธจนเกินควบคุม และเมื่อรวมตัวกัน พวกเจ้าก็พร่ำบ่นเรื่องพวกเขาอยู่เป็นนิจ—เช่นนั้นแล้วในจุดนี้ พวกเขาก็ควรถูกเอาตัวออกไปแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเริ่มหมดความอดทน เมื่อถึงขีดจำกัด ทุกคนก็ควรร่วมมือกันเอาตัวพวกเขาออกไป  นี่คือการเอาหายนะออกไปจากพระนิเวศของพระเจ้า นี่คือเรื่องที่ทำให้ผู้คนพึงพอใจอย่างยิ่ง  บุคคลเช่นนั้นเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตต่ำช้า ก่อให้เกิดความไม่สบายใจในหมู่ผู้คนส่วนมาก  นี่ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่ก่อกวนและขัดขวางชีวิตคริสตจักร บังคับให้ผู้คนมารวมตัวกันเพื่อสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาเรื่องคนคนนี้  การปฏิบัติเช่นนี้ชอบด้วยเหตุผล เพราะการก่อกวนจากคนชั่วได้สร้างความเสียหายแก่คนบางคนแล้ว  เพื่อป้องกันไม่ให้คนชั่วทำชั่วต่อไป เพื่อรักษาระเบียบอันเป็นปกติของชีวิตคริสตจักร และเพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่ให้ได้รับความเสียหายมากไปกว่านี้ คนชั่วจึงควรถูกจัดการและถูกชำระออกไปโดยไว  หากพวกเขาสามารถรายงานคริสตจักรหลังจากที่ถูกเอาตัวออกไปได้ ก็ควรสื่อสารกับพวกเขาด้วยความสุขุมว่า “คุณไม่ได้ถูกขับไล่หรือถูกเอาตัวออกไป  กลับบ้านไปแยกตัวและทบทวนตนเองดูเถิด  เมื่อคุณทบทวนตนเองอย่างถูกควรแล้ว จงเขียนจดหมายกลับใจ จากนั้นพวกเราจึงจะสามารถต้อนรับคุณกลับเข้ามายังคริสตจักรได้  ตอนนี้คุณควรพยายามหาเงินให้มากขึ้นและเพลิดเพลินกับชีวิต นอกจากนี้ก็จงใคร่ครวญเรื่องการเชื่อในพระเจ้า  ในหนทางนี้ คุณจะไม่ละเลยแง่มุมใดทั้งสิ้น”  ประโยคนั้นฟังดูเป็นอย่างไร?  (ฟังดูดี)  พวกเราจะไม่บอกว่าพวกเขาถูกขับไล่หรือถูกเอาตัวออกไป เพียงแต่นับจากวันนี้ คนคนนี้จะไม่ได้อยู่ในคริสตจักรอีกต่อไป  การรับมือในหนทางนี้เป็นอย่างไรหรือ?  (เป็นหนทางที่ดี)  นี่คือหนทางที่ยอดเยี่ยม!  ไม่จำเป็นต้องมีการโต้เถียงหรือการเอาคืน เพียงแค่ใช้หนทางแก้ไขที่เรียบง่ายและชัดเจน ปล่อยให้พวกเขากลับไปยังโลกเพื่อทำงาน หาเงิน และใช้ชีวิตของพวกเขาเอง  สรุปก็คือ ความเป็นมนุษย์ของบรรดาผู้รักที่จะเอาเปรียบไม่ได้ดีเยี่ยมขนาดนั้น  ถึงแม้จะไม่สามารถกล่าวได้ว่าชั่ว ลักษณะนิสัยที่รักจะเอาเปรียบของพวกเขาก็ทำให้พวกเขาน่ารำคาญและน่ารังเกียจมากทีเดียว  พวกเขาเอาเปรียบในทุกโอกาสที่เป็นไปได้!  ต่อให้บุคคลเช่นนั้นไม่ได้ข้องเกี่ยวกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายหรือก่ออาชญากรรม การก่อกวนและการขัดขวางต่อคริสตจักรในระยะยาวที่เกิดจากการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขา—ผลที่ตามมาเหล่านี้—ย่อมร้ายแรงยิ่งกว่าการทำชั่วใดๆ สิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะระบุว่า พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อหรือคนชั่วที่จะถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร  การทำเช่นนี้หยุดยั้งการที่ผู้ไม่เชื่อก่อกวนคริสตจักรและคุกคามพี่น้องชายหญิงได้โดยสิ้นเชิง

ก่อนหน้านี้พวกเราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับหนทางอันเจาะจงของการรับมือกับบรรดาผู้รักที่จะเอาเปรียบ เป็นวิธีการที่มาจากรูปการณ์แวดล้อมแบบพิเศษของการข่มเหงในจีนแผ่นดินใหญ่  ในคริสตจักรต่างประเทศ การเอาตัวพวกเขาออกไปโดยตรงนั้นไม่เป็นไร  อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าวิธีจัดการนั้นเจาะจงไปที่คนประเภทใด สิ่งสำคัญคือการดูให้แน่ใจว่าวิธีการดังกล่าวนั้นมีหลักธรรมและฉลาดหลักแหลม  คริสตจักรมีกฎการปกครองและกฎเกณฑ์ ทั้งหมดนั้นมุ่งหมายที่จะปกป้องชีวิตคริสตจักรตามปกติให้แก่พี่น้องชายหญิง และปกป้องระเบียบปกติของการทำหน้าที่  หากผู้ใดก่อกวนชีวิตคริสตจักรของพี่น้องชายหญิงหรือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่ห้ามทำ คนคนนั้นย่อมจะทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย  แน่นอนว่าการคุกคามหรือการแทรกแซงชีวิตประจำวันของพี่น้องชายหญิงเป็นสิ่งที่ห้ามทำ  นี่คือประเด็นที่ผู้นำและคนทำงานควรมีความรับผิดชอบในการแก้ไข  อาจจะมีบุคคลที่เป็นญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือคนรู้จักของพี่น้องชายหญิงที่ปลอมตัวเป็น “พี่น้องชายหญิง” เสาะแสวงที่จะดึงพี่น้องชายหญิงเข้ามาและชักพาพวกเขาให้หลงผิด กีดกันพวกเขาจากการทำหน้าที่ของตน  ผู้นำและคนทำงานหรือพี่น้องชายหญิงมีภาระผูกพันและหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการบุคคลเช่นนั้น  พฤติกรรมและการกระทำของพวกเขากีดขวางผู้อื่นจากการทำหน้าที่ของตนและการติดตามพระเจ้า ทั้งยังก่อการรบกวนต่องานของคริสตจักร ดังนั้นผู้นำและคนทำงานจึงควรแสดงตัวเพื่อแก้ไขสถานการณ์และดำเนินการจำกัด  แน่นอนว่าพวกเรามีวิธีการที่เหมาะสมในการจัดการและรับมือกับบุคคลเช่นนั้น  การนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยการทุบตีหรือด่าทอ พวกเราเพียงแต่อธิบายให้พวกเขาเข้าใจชัดเจนถึงแก่นแท้ของปัญหาของพวกเขา รวมถึงข้อกล่าวหาและคำร้องที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรส่วนมากมีต่อพวกเขา แล้วสุดท้ายก็บอกพวกเขาว่า “การเอาตัวคุณออกไปเป็นการตัดสินใจและเป็นความเห็นชอบจากคนหมู่มาก  ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ คริสตจักรก็มีอำนาจที่จะตัดสินใจเช่นนี้และจัดการคุณไปตามนั้น  คุณควรเชื่อฟัง”  แล้วประเด็นนี้ก็ได้รับการแก้ไข อีกทั้งการจัดการเช่นนั้นก็เป็นไปตามหลักธรรมโดยสมบูรณ์  สำหรับผู้รักที่จะเอาเปรียบ พวกเขาควรได้รับการปฏิบัติและจัดการตามหลักธรรม  หากพวกเขาต้องการหยิบยืมบางสิ่งเพื่อเอาเปรียบเจ้า เจ้าก็สามารถให้พวกเขาหยิบยืมได้ตามที่เจ้าปรารถนา หรือปฏิเสธได้หากเจ้าไม่อยากให้ยืม การตัดสินใจเป็นของเจ้า  การให้พวกเขาหยิบยืมเป็นการกระทำที่แสดงถึงความเมตตา ส่วนการปฏิเสธเป็นสิทธิ์ของเจ้า  หากพวกเขากล่าวว่า “พวกเราทุกคนคือพี่น้องชายหญิงมิใช่หรือ?  ถึงขนาดไม่เต็มใจที่จะให้ยืมอะไรบางอย่าง  ขี้งกเหลือเกิน!”  เจ้าก็สามารถตอบไปได้ว่า “นี่คือทรัพย์สินของฉัน และฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ยืม  การนี้สอดคล้องกับหลักธรรม  อย่ามากดดันฉันด้วยคำว่า ‘พวกเราทุกคนคือพี่น้องชายหญิง’ เลย สิ่งที่คุณพูดไม่ใช่ความจริง  จนกว่าพระเจ้าจะตรัสว่า ‘เจ้าต้องให้พวกเขายืม’ เมื่อนั้นเท่านั้นฉันถึงจะให้คุณยืม”  ไม่มีใครมีสิทธิ์รีดไถหรือหยิบยืมทรัพย์สมบัติส่วนตัวภายใต้ของอ้างของคำว่าคริสตจักรหรือแนวคิดที่ว่า “พวกเราทุกคนคือผู้เชื่อ คือพี่น้องชายหญิง”  นี่คือความจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือความจริง  มีเพียงการยึดมั่นในความจริงนี้เท่านั้นที่จะสามารถรับรองความเป็นธรรมให้แก่ทุกคน และทุกคนก็สามารถเพลิดเพลินกับสิทธิ์ที่แท้จริงของพวกเขาได้  แต่หากใครบางคนใช้ข้ออ้างที่ว่า “จำเป็นต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า” “จำเป็นต่องานของคริสตจักร” หรือ “จำเป็นต่อพี่น้องชายหญิง” เพื่อรีดไถหรือหยิบยืมของส่วนตัว การทำเช่นนี้สอดคล้องกับความจริงหรือไม่?  (ไม่สอดคล้อง)  เจ้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธคำขอที่ไม่สอดคล้องกับความจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  หากใครบางคนแปะป้ายว่าเจ้าเป็นคนตระหนี่หรือขี้งกเพราะไม่ยอมให้ยืม เจ้าจะกลัวหรือไม่?  (ไม่)  หากใครบางคนทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ อ้างว่าเจ้าไม่เกื้อหนุนงานของคริสตจักร หรืออ้างว่าเจ้าไร้ซึ่งความรักต่อพี่น้องชายหญิง จนทำให้พี่น้องชายหญิงปฏิเสธและตีตนออกห่างจากเจ้า เจ้าจะกลัวหรือไม่?  เจ้าย่อมจะยอมถอย  ในช่วงเวลานั้นเจ้าจะคิดว่า “การให้ยืมรถเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน?  ไม่ว่าคนยืมจะเป็นคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า หรือพี่น้องชายหญิงก็ไม่เป็นไร  การไม่ล่วงเกินพี่น้องชายหญิงย่อมดีกว่า  การล่วงเกินคนคนหนึ่งนั้นไม่น่ากลัว แต่หากพี่น้องชายหญิงทั้งหมดถูกล่วงเกิน และพวกเขาเริ่มมีหัวใจที่เย็นชาต่อฉัน ทิ้งให้ฉันโดดเดี่ยว ฉันจะทำอย่างไร?”  ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า มีอะไรต้องกลัวด้วยหรือ?  การที่พวกเขาตีตนออกห่างจากเจ้าไม่ได้หมายความว่าพวกเขาครองความจริงหรือการกระทำของพวกเขาสอดคล้องกับความจริง  ความจริงย่อมเป็นความจริงอยู่เสมอ  นี่คือความจริงไม่ว่าผู้ที่เห็นด้วยจะเป็นคนส่วนมากหรือส่วนน้อย  หากไร้ซึ่งความจริง ต่อให้คนส่วนน้อยนบนอบคนส่วนมาก การนี้ก็ไม่ใช่ความจริง  นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้  การที่ใครบางคนมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าพวกเขาพูดจาน่าฟังแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถนำความจริงไปปฏิบัติและกระทำการตามหลักธรรมได้หรือไม่  ตัวอย่างเช่น เจ้าซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่มาเพื่อจุดประสงค์ของการทำหน้าที่ และใครบางคนต้องการยืมคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นโดยอ้างว่าเอาไปทำงานของคริสตจักร  เจ้าปฏิเสธไม่ให้พวกเขายืม และพวกเขาก็กล่าวว่า “คุณไร้ซึ่งความรัก คุณไม่รักพระเจ้า คุณไม่ใช่คนที่พลีอุทิศตนเอง  ขนาดการพลีอุทิศเล็กน้อยเท่านี้คุณยังทำไม่ได้เลย”  คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  คำพูดเหล่านี้สอดคล้องกับความจริงหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าควรตอบกลับไปว่า “คอมพิวเตอร์เครื่องนี้เอาไว้สำหรับทำหน้าที่ของฉัน  ตอนนี้ฉันกำลังทำหน้าที่อยู่ ฉันจึงไม่มีคอมพิวเตอร์ไม่ได้  หากคุณยืมคอมพิวเตอร์ของฉันไป นั่นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของฉันหรือ?  นั่นจะสอดคล้องกับความจริงหรือ?  คุณต้องการคอมพิวเตอร์ไปทำอะไรกันแน่?  คุณบอกว่าเอาไปเพื่อทำงานของคริสตจักร หากเป็นแบบนั้น คุณก็ต้องหาใครบางคนเพื่อมาพิสูจน์  มากไปกว่านั้น ต่อให้เอาไปเพื่อทำงานของคริสตจักร คุณก็ไม่ควรมายืมฉัน  หากคุณเอาคอมพิวเตอร์ของฉันไปแล้วฉันจะใช้อะไรทำหน้าที่ของตัวเองเล่า?  คุณนี่เห็นแก่ตัวอย่างเหลือเชื่อ!  อย่าเอาความจำเป็นต่องานของคริสตจักรมาใช้เป็นข้ออ้างในการเอาเปรียบเลย ฉันไม่หลงกลหรอก  อย่าคิดว่าฉันเป็นคนที่เลอะเลือนที่ขาดวิจารณญาณแยกแยะ คุณกำลังจ้องที่จะเอาเปรียบ แต่นั่นจะไม่มีทางเกิดขึ้น!”  เจ้าจำเป็นต้องพูดกับผู้คนเช่นนั้นในหนทางนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตกหลุมพรางของซาตาน  ประเด็นนี้ง่ายที่จะแก้ไขใช่หรือไม่?  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและกระทำการตามหลักธรรม เจ้าจะไม่ต้องกลัวว่าใครจะพูดเช่นไร  อย่าใส่ใจการที่พวกเขาแปะป้ายเท็จใส่เจ้า คำสอนไม่กี่คำที่พวกเขาพ่นออกมาย่อมจะโน้มน้าวใครไม่ได้  การสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ของพวกรักที่จะเอาเปรียบและหลักธรรมในการรับมือกับพวกเขาได้รับการสามัคคีธรรมไว้เช่นนี้เอง

เรื่องของบรรดาผู้รักที่จะเอาเปรียบในคริสตจักรนั้น ประการหนึ่งคือผู้คนจำเป็นต้องแยกแยะพวกเขาให้ถูกต้องและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่านี้ และอีกประการหนึ่งคือผู้คนต้องเข้าใจความจริง ในหัวใจของพวกเขาต้องเข้าใจชัดเจนถึงจุดยืนที่พวกเขาควรมีต่อการเชื่อในพระเจ้า งานที่พวกเขาพึงกระทำ หลักธรรมที่พวกเขาควรค้ำจุน และท่าทีที่พวกเขาควรมีต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย  อย่าไหลไปตามฝูงชน และอย่ากลัวการล่วงเกินผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จงอย่าสูญเสียหลักธรรมและจุดยืนที่เจ้าควรมีเพื่อเอาใจบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จนลงเอยด้วยการทำให้ผู้คนพึงพอใจแต่ทำร้ายพระทัยพระเจ้า ทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจเจ้า  หากนั่นเป็นการกระทำที่ตรงกับหลักธรรม เช่นนั้นต่อให้การกระทำเช่นนั้นของเจ้าจะล่วงเกินผู้คนหรือเป็นเหตุให้เจ้าถูกวิจารณ์ลับหลังอย่างรุนแรง ก็ไม่สำคัญ อย่างไรก็ตาม หากนั่นเป็นการกระทำที่ไม่ตรงกับหลักธรรม เช่นนั้นต่อให้เจ้าได้รับความเห็นชอบและการสนับสนุนจากทุกคนด้วยการทำเช่นนั้น และเข้ากันได้กับทุกคน—แต่สิ่งหนึ่งก็คือเจ้าไม่สามารถให้คำอธิบายในเรื่องนั้นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้—เจ้าย่อมประสบกับความสูญเสีย  หากเจ้าธำรงไว้ซึ่งสัมพันธภาพกับคนส่วนใหญ่ ทำให้พวกเขามีความสุขและพึงพอใจและได้รับการสรรเสริญจากพวกเขา แต่เจ้าล่วงเกินพระเจ้า พระผู้สร้าง เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นคนโง่ที่สุด  ดังนั้นไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใด เจ้าต้องเข้าใจอย่างชัดเจนว่าสิ่งนั้นตรงกับหลักธรรมหรือไม่ สิ่งนั้นทำให้พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่ ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อสิ่งนั้นเป็นอย่างไร ผู้คนควรใช้จุดยืนใด ผู้คนควรค้ำจุนหลักธรรมใด พระเจ้าทรงให้การแนะนำอย่างไร และเจ้าควรทำสิ่งนั้นอย่างไร—เจ้าควรเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจนเสียก่อน  การคบหากับผู้อื่นของเจ้า รวมถึงการแลกเปลี่ยนทางวัตถุและการจัดการผู้อื่นของเจ้า—สิ่งเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่สอดคล้องกับหลักธรรมใช่หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำให้พระเจ้าพอพระทัยใช่หรือไม่?  หากไม่ใช่ เช่นนั้นแล้วทั้งหมดที่เจ้าทำ ไม่ว่าเจ้ารักษาสิ่งนั้นไว้ดีเพียงใด ไม่ว่าเจ้าทำได้เพียบพร้อมเพียงใด หรือเจ้าได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่นมากแค่ไหน นั่นก็จะไม่เป็นที่จดจำของพระเจ้า  ด้วยเหตุนั้น หลักธรรมที่เจ้าใช้ในการคบหาและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจึงไม่ควรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าพวกเขาเอาเปรียบเจ้า หรือเจ้าเอาเปรียบพวกเขาหรือไม่—สิ่งเหล่านั้นไม่ควรตั้งอยู่บนรากฐานนี้  กลับกัน หลักธรรมเหล่านี้ควรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าสิ่งที่พวกเจ้าทำสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่  เมื่อนั้นเท่านั้นที่การนี้จะถือว่า “จากการเชื่อในพระเจ้าของพวกเรา” ได้อย่างแท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะกล่าวได้ว่า “พวกเราทุกคนคือผู้เชื่อ คือพี่น้องชายหญิง” เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้ายกสิ่งนี้ขึ้นมาอ้างได้  นอกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต หน้าที่ และงานของคริสตจักรแล้ว การปฏิสัมพันธ์อื่นๆ ก็ไม่ควรตั้งอยู่บนข้ออ้างของคำว่า “พี่น้องชายหญิง”  หากสิ่งนั้นไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ การเข้าสู่ชีวิต หรือปฏิสัมพันธ์ที่เป็นปกติระหว่างผู้คน แต่คนบางคนกลับใช้คำว่า “พี่น้องชายหญิง” เป็นข้ออ้างเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายบางอย่างอยู่เสมอ พวกเขาก็ย่อมเสาะแสวงที่จะใช้คำกล่าว วิธีการ และเงื่อนไขที่ได้เปรียบเช่นนั้นมาเป็นข้ออ้างในการเอาเปรียบและวางอุบายเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนอย่างไม่ต้องสงสัย  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรระวังตัวในเรื่องนี้ พลางแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยปัญญาเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหลอกให้เชื่อ  นี่เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ในคริสตจักรไม่เข้าใจความจริง และบางคนก็ถึงกับเป็นผู้ไม่เชื่อ ปฏิบัติตนอย่างไร้หลักธรรมและกระทำผิดด้วยความเลินเล่อ  การที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายภายใต้หน้ากากของ “พี่น้องชายหญิง” เป็นสิ่งที่ส่งอิทธิพลและก่อกวนงานของคริสตจักรได้ง่ายที่สุด  จุดประสงค์ของการกล่าวทั้งหมดนี้ในวันนี้คืออะไร?  คือเพื่ออธิบายให้ชัดเจนว่า ไม่ว่าในการสื่อสารหรือการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น สิ่งนี้ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมความจริง  นี่ช่วยป้องกันการจัดการที่ไม่ถูกควรระหว่างบุคคล และแน่นอนว่ายังช่วยป้องกันผู้รักที่จะเอาเปรียบจากการหาช่องโหว่เพื่อเอาเปรียบ ในขณะเดียวกันก็ป้องกันผู้ที่ห่วงหน้าตาของตนจนเกินควรหรือมีความเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอไม่ให้ถูกเอาเปรียบอยู่เสมอ ถูกโกงอยู่ตลอดเวลา และทนทุกข์กับความสูญเสียอยู่เป็นนิจ  คนบางคน—แม้ว่าสถานการณ์ของครอบครัวของพวกเขาจะยากลำบากอย่างเห็นได้ชัด—ลงเอยด้วยการ “ทำเป็นหน้าใหญ่” ในค่าใช้จ่ายของตนเอง ให้ผู้อื่นหยิบยืมเงินที่พวกเขาหามาอย่างความยากลำบากเพราะคนที่รักที่จะเอาเปรียบมาขอยืม อ้างว่าเลือกคนเหล่านี้เพราะพวกเขานับถือคนเหล่านี้  หลังจากให้ยืมเงินไปแล้วเกิดอะไรขึ้น?  คนที่ยืมเงินกลับหายตัวไป  แล้วจากนั้น คนที่ให้ยืมก็พร่ำบ่นเรื่องที่พระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองพวกเขา  นี่คือการมีเหตุผลอย่างนั้นหรือ?  เจ้าคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงการที่เจ้าทำบางอย่างโดยไม่ต้องคิด คิดว่าพระเจ้าจะทรงดูแลทุกสิ่งทุกอย่างหรือ?  นั่นไม่ทำให้เจ้าเป็นคนที่ไร้ประโยชน์หรอกหรือ?  พระเจ้าพึงประสงค์ให้ผู้คนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เฉลียวฉลาด และปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง  เจ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้หรือ?  หากเจ้าไม่ปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง เช่นนั้นเจ้าก็สมควรทนทุกข์กับความสูญเสียและถูกหลอกให้หลงเชื่อไปตลอด  สุดท้ายแล้วเมื่อเจ้าไม่มีทางออกในชีวิต เจ้าจะโทษใครได้?  เจ้าทำตัวเอง  การกระทำของเจ้าไม่ได้เป็นไปด้วยความรัก สิ่งเหล่านั้นคือความโง่เขลา!  เจ้าให้นักต้มตุ๋นยืมเงินเพื่อทำให้พวกเขาพึงพอใจ แต่เมื่อเจ้าต้องการเงิน เจ้าจะขอเงินนั้นจากพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าควรแบกรับความรับผิดชอบนี้ให้เจ้าหรือ?  การคาดหวังให้พระนิเวศของพระเจ้ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายนี้ย่อมเป็นการที่เจ้าติดหนี้พระเจ้าอยู่มิใช่หรือ?  หากไร้ซึ่งทางออกในชีวิต เจ้าจะทำหน้าที่ของตนได้อย่างไร?  หากเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้า พระเจ้าอาจจะไม่ทรงสนองเจ้า นี่ย่อมจะเป็นเรื่องของการหว่านพืชเช่นไรย่อมได้ผลเช่นนั้น และนั่นก็สมควรแล้ว  ใครบอกให้เจ้าโง่เขลานักเล่า  พระเจ้าทรงบอกให้เจ้าไว้ใจคนคนนั้นหรือ?  พระองค์ทรงบอกให้เจ้าให้พวกเขายืมเงินหรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงบอกเช่นนั้น นั่นเป็นการกระทำส่วนตัวของเจ้า มิใช่ตัวแทนเจตนารมณ์ของพระเจ้า  หากการกระทำส่วนตัวของเจ้าผิดพลาดและนำไปสู่ผลพวงที่เลวร้าย เจ้าก็ได้แต่แบกรับความรับผิดชอบนั้นด้วยตัวเจ้าเอง  เหตุใดเจ้าจึงควรให้พระนิเวศของพระเจ้ารับผิดชอบ หรือให้พระเจ้าทรงเป็นผู้รับผิดชอบแทนเจ้า?  เหตุใดจึงพร่ำบ่นเรื่องที่พระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองเจ้า?  เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว เหตุใดจึงขาดการตัดสินอย่างที่คนคนหนึ่งพึงจะมี?  เจ้าจะให้เงินแก่ใครสักคนในสังคมที่มาขอยืมหรือ?  เจ้าจะต้องคิดเรื่องนี้มิใช่หรือ?  เหตุใดเจ้าจึงให้ใครบางคนยืมเงินเพียงเพราะพวกเขาเพิ่มการเอ่ยถึงคำว่า “พี่น้องชายหญิง” ในคำขอของพวกเขา?  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าโง่เขลามิใช่หรือ?  เจ้ามิใช่เพียงโง่เขลา แต่เจ้าโง่เง่า โง่เง่าอย่างถึงที่สุด!  เจ้าคิดว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนล้วนเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง คิดว่าพวกเขาล้วนเข้าใจความจริงอย่างนั้นหรือ?  ในบรรดาพวกเขาย่อมมีอย่างน้อยสามคนที่ไม่รักความจริงและเป็นผู้ไม่เชื่อ  เจ้าไม่สามารถแยกแยะเรื่องนี้ได้หรือ?  เจ้าคิดว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนต่างเป็นเป้าหมายของความรอดของพระเจ้า เป็นคนของพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือ?  เจ้าไม่รู้หรือว่า “ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว”?  พี่น้องชายหญิงเป็นตัวแทนของใคร?  พวกเขาเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม!  หากเจ้าไว้ใจพวกเขา เจ้าก็กำลังทำตัวโง่เง่าอยู่มิใช่หรือ?  ไม่ว่าผลพวงที่เกิดจากการกระทำของเจ้าจะเลวร้ายอย่างไร จงอย่าไปมองหาพระนิเวศของพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิง ไม่มีผู้ใดรับผิดชอบแทนเจ้าได้ และไม่มีผู้ใดมีภาระผูกพันที่จะแบกรับความรับผิดชอบนี้แทนเจ้า  เจ้าเป็นคนก่อเรื่องขึ้นมา เจ้าจึงต้องทนความขมขื่นนั้น ความรับผิดชอบนั้นตกอยู่กับเจ้า  นอกจากนี้ อย่านำเรื่องเหล่านี้ข้องเกี่ยวกับชีวิตคริสตจักรเพื่อสามัคคีธรรมและหารือ ไม่มีผู้ใดอยากฟังเรื่องนี้ และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้มีภาระผูกพันในการจัดการเรื่องราวอันยุ่งเหยิงของเจ้า  หากใครบางคนต้องการช่วยเหลือเจ้าอย่างแท้จริง พวกเจ้าสองคนก็สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ตามลำพัง  เข้าใจหรือไม่?

การสามัคคีธรรมถึงเรื่องเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจให้แก่ผู้คน ขยายขอบเขตความรู้ของพวกเขา และส่งสัญญาณเตือนพวกเขา ทำให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าในบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้านั้นมีคนอยู่ทุกประเภท  มีประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่เจ้าต้องจดจำไว้ ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้กล่าวถึงไปแล้วหลายหน นั่นคือ บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้านั้นถูกเลือกสรรมาจากมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม  ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าคนทุกคนต่างถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและสามารถทำชั่วได้ในระดับที่แตกต่างกัน และภายในบริบทที่เหมาะสม พวกเขาก็สามารถทำสิ่งทั้งหลายที่ต้านทานพระเจ้าได้  การบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ รวมถึงการรักที่จะเอาเปรียบที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมไปคือสิ่งที่ผู้เชื่อกระทำ ส่วนผู้ไม่มีความเชื่อนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ดังนั้นพวกเราจะไม่กล่าวถึงพวกเขาในที่นี้ การสำแดงของความเป็นมนุษย์ที่พวกเราสามัคคีธรรมเหล่านี้คือการสำแดงของผู้ที่เชื่อในพระเจ้าโดยแท้  ดังนั้นจงอย่าถือเอาคำว่า “พี่น้องชายหญิง” เป็นบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ สูงส่ง หรือศักดิ์สิทธิ์และมิอาจละเมิดได้  หากเจ้าทำเช่นนั้น นั่นย่อมเป็นความโง่เง่าในส่วนของเจ้า  พระเจ้าไม่เคยตรัสว่า “พี่น้องชายหญิงนั้นล้ำค่า  เมื่อพวกเขากลายมาเป็นพี่น้องชายหญิงแล้ว พวกเขาย่อมได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ พวกเขาย่อมกลายเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางพระทัยจากพระเจ้า ไว้วางใจได้โดยสมบูรณ์ เจ้าสามารถไว้ใจพวกเขาได้เต็มที่ และสิ่งที่พวกเขาพูดหรือทำย่อมเป็นความจริง”  สิ่งนี้ไม่มีวันเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้า  หากถึงบัดนี้แล้วเจ้ายังคงมองไม่เห็นความหมายแฝงที่แท้จริงเบื้องหลังคำว่า “พี่น้องชายหญิง” เช่นนั้นเจ้าก็โง่เง่าอย่างแท้จริง การฟังคำเทศนาตลอดหลายปีของเจ้าล้วนสูญเปล่า  เจ้าไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตัวเจ้าเป็นคนประเภทใด แต่เจ้ากลับไว้ใจผู้อื่นเหลือเกิน มองพวกเขา—พี่น้องชายหญิง—ว่าช่างศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ พูดพร่ำถึงเรื่องที่ว่า “พี่น้องชายหญิงไม่ชอบสิ่งนี้” “พี่น้องชายหญิงรู้สึกโกรธ” “พี่น้องชายหญิงกำลังทนทุกข์” “พี่น้องชายหญิงเป็นเช่นนั้นเช่นนี้” อย่างไร พูดถึงพี่น้องชายหญิงด้วยความรักใคร่เหลือเกิน  พวกเจ้าเคยเห็นประโยคใดในพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่าพี่น้องชายหญิงช่างสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ ไว้วางใจได้เหลือเกินหรือไม่?  ไม่มีแม้แต่ประโยคเดียวใช่หรือไม่?  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเจ้าจึงจะมองพวกเขาในหนทางนั้น?  นั่นทำให้เจ้ากลายเป็นคนโง่เขลาสิ้นดี  ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าทนทุกข์กับความเสียเปรียบหรือความสูญเสียจากพี่น้องชายหญิงมากแค่ไหน นั่นก็เป็นความผิดของเจ้าโดยสิ้นเชิง  ท้ายที่สุด จงมองว่าความสูญเสียและความเสียเปรียบที่เจ้าทนทุกข์นั้นเป็นค่าเล่าเรียนเถิด  นี่คือบทเรียนที่เจ้าต้องจำเอาไว้  พวกเจ้าต้องจดจำไว้เสมอว่า พี่น้องชายหญิงไม่ได้เป็นตัวแทนของความจริง นับประสาอะไรกับเป็นตัวแทนของพระเจ้า พวกเขาไม่อาจเทียบว่าเป็นคนสนิทของพระเจ้า พยานของพระเจ้า หรือบุตรอันเป็นที่รักของพระเจ้า  พี่น้องชายหญิงคือใคร?  พวกเขาคือมนุษย์ผู้เสื่อมทรามเช่นเดียวกับเจ้า พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่รักความจริง รังเกียจความจริง มีอุปนิสัยอันโอหัง มีอุปนิสัยที่ชั่วช้าและเลวร้าย สามารถตั้งตนเป็นศัตรูของพระเจ้าได้ในทุกแง่มุม ทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างสุกเอาเผากิน และถึงกับเอาเปรียบพี่น้องชายหญิงคนอื่นภายใต้หน้ากากของการเชื่อในพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ  จุดประสงค์ของการกล่าวทั้งหมดนี้คืออะไร?  ไม่ใช่เพื่อหว่านความบาดหมางระหว่างตัวเจ้ากับพี่น้องชายหญิง แต่เพื่อช่วยให้เจ้ามองเห็นตัวตนที่แท้จริงของทุกคนได้อย่างชัดเจน ปฏิบัติต่อคำว่า “พี่น้องชายหญิง” อย่างถูกต้อง ปฏิบัติต่อผู้คนรอบตัวเจ้าอย่างถูกต้อง และสร้างความสัมพันธ์ที่ถูกควรระหว่างบุคคลกับทุกคนได้  อย่าพยายามสร้างหรือรักษาความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นผ่านความช่วยเหลือส่วนตัว การแลกเปลี่ยนทางวัตถุ การประจบประแจง การเอาอกเอาใจ การยอมประนีประนอม หรือวิธีการอื่นๆ ด้วยเป้าหมายที่จะทำให้ตัวเจ้ารวมเป็นส่วนหนึ่งของพี่น้องชายหญิง  การนี้ไม่จำเป็น และทุกสิ่งที่เจ้าทำในเรื่องนี้ย่อมเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจและขยะแขยง  เช่นนั้นแล้ว หนทางที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิต ท่าทีและหลักธรรมที่ดีที่สุดที่ควรมีในการดำเนินชีวิตท่ามกลางผู้คนคืออะไร?  คือพระวจนะของพระเจ้า  พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าอย่างไร?  พระวจนะของพระเจ้าบอกให้สร้างความสัมพันธ์ที่ปกติและถูกควรระหว่างบุคคล  ความสัมพันธ์เหล่านี้สร้างขึ้นอย่างไร?  จงปฏิสัมพันธ์ พูดคุย และคบหากับผู้อื่นตามพระวจนะของพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น หากใครบางคนกำลังย้ายบ้าน และถามเจ้าว่าเจ้ามีเวลาที่จะช่วยหรือไม่ หากเจ้าเต็มใจ เจ้าก็สามารถไปได้ หากเจ้าไม่เต็มใจเพราะเกรงว่าการนั้นอาจจะกระทบต่อหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็สามารถปฏิเสธได้  นี่เป็นสิทธิ์ของเจ้า และแน่นอนว่านี่ยังเป็นหลักธรรมที่เจ้าพึงทำตาม  เจ้าไม่จำเป็นต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ฝืนใจตอบตกลงด้วยความรู้สึกย้อนแย้งเพราะกลัวว่าจะล่วงเกินพวกเขาหรือขัดขวางความสามัคคีปรองดองในหมู่พี่น้องชายหญิง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกไม่เต็มใจอยู่ในหัวใจ จนส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  เจ้ารู้อยู่เต็มอกว่าการทำเช่นนั้นขัดต่อหลักธรรม แต่เจ้ายังคงอนุญาตให้ผู้อื่นบีบบังคับเจ้าและสั่งให้เจ้าทำนั่นทำนี่ราวกับทาสเพื่อทำให้พวกเขาพึงพอใจและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้  การที่เจ้าทำให้ผู้อื่นพอใจไม่ใช่การทำดี และพระเจ้าจะไม่ทรงจดจำการนี้  สิ่งที่เจ้ากำลังทำเป็นเพียงการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเท่านั้น เจ้ามิได้กระทำเพื่องานของคริสตจักรหรือทำหน้าที่ของตน ไม่ต้องพูดถึงการที่สิ่งนี้เป็นหน้าที่รับผิดชอบหรือภาระผูกพันของเจ้าเลย  พระเจ้าจะไม่ทรงจดจำการกระทำเช่นนั้นเป็นอันขาด และต่อให้เจ้าทำสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็ทำไปโดยเปล่าประโยชน์  ดังนั้นเมื่อเผชิญกับเรื่องดังกล่าว เจ้าก็ควรคำนึงถึงวิธีเลือกอย่างจริงจังและระมัดระวังมิใช่หรือ?  คนบางคนถูกขอให้ช่วย แต่ที่จริงแล้วพวกเขายุ่งหัวหมุนอยู่กับหน้าที่ของตน และเพิ่งหาเวลาไปเข้าร่วมการชุมนุมหรือทำการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณได้บ้าง  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่อยากไป และจากหลักธรรม พวกเขาก็ไม่ควรไปเช่นกัน  แต่เนื่องจากพวกเขาห่วงหน้าตาของตนเองมากเกินไป พวกเขาจึงไม่อาจพาตนเองให้ปฏิเสธได้  ท้ายที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้น?  พวกเขายอมให้คนที่ต่ำช้า แสวงหาผลประโยชน์เหล่านั้นมาเอาเปรียบตนเอง เสียเวลาที่ควรอุทิศให้แก่การเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาไปโดยเปล่าประโยชน์  นั่นคือความสูญเสียมิใช่หรือ?  เช่นนั้นก็สมควรแล้ว!  การทนทุกข์กับความสูญเสียไม่สมควรได้รับความเห็นอกเห็นใจหรือความเวทนาจากผู้อื่นเลย  เหตุใดจึงกล่าวว่าความสูญเสียเช่นนั้นเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว?  ใครให้เจ้าไม่สนใจพระวจนะของพระเจ้า?  ใครให้เจ้ากลัวที่จะล่วงเกินผู้อื่น?  หากเจ้าเลือกที่จะไม่ล่วงเกินผู้อื่นมากกว่าการฟังพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็สมควรได้รับความสูญเสียนี้โดยชอบธรรม!  บางคนกล่าวว่า “ผู้คนไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสุญญากาศ พวกเขาต้องปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้คน”  สิ่งสำคัญคือวิธีปฏิสัมพันธ์ของเจ้า  สิ่งใดที่ตรงตามหลักธรรมความจริง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของเจ้ามากกว่ากันระหว่างการปฏิสัมพันธ์ตามหลักธรรม หรือการปฏิสัมพันธ์โดยไร้หลักธรรม เป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนที่พยายามทำให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น?  เจ้ารู้ว่าควรเลือกแบบใดใช่หรือไม่?  หากเจ้ารู้ว่าจะเลือกอย่างไร แต่เจ้ายังคงติดอยู่ในหล่ม ผลสุดท้ายที่ตามมาย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าต้องแบกรับเพียงลำพัง  นั่นเป็นสิ่งที่แจ่มแจ้งมิใช่หรือ?  (ใช่)

ยังมีการสำแดงของความเป็นมนุษย์ของคนชั่วอยู่อีกมากมาย และสามัคคีธรรมวันนี้ก็จำกัด โดยมุ่งเน้นเพียงแง่มุมของการรักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จกับการรักที่จะเอาเปรียบผู้อื่นเท่านั้น หลังจากได้ฟังเกี่ยวกับสองแง่มุมนี้แล้ว ผู้คนส่วนมากก็เริ่มที่จะมีความรู้สึกและวิจารณญาณแยกแยะบางอย่าง กล่าวว่า “ความเป็นมนุษย์ที่แย่เป็นเช่นนี้เอง!”  แต่ผู้คนเช่นนั้นก็มีอยู่จริงในคริสตจักร ดังนั้นแล้วควรทำอย่างไร?  การมีอยู่ของพวกเขาไม่ใช่ประเด็นใหญ่ เพราะคริสตจักรมีหลักธรรมและข้อบังคับ คริสตจักรจึงสามารถใช้วิธีการที่เหมาะสมในการจัดการกับผู้คนเช่นนั้นได้  จุดประสงค์ของการสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้ในวันนี้คือเพื่อทำให้คนส่วนมากมีวิจารณญาณและความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับคนชั่วสองประเภทนี้ จากนั้นก็ทำงานร่วมกันเพื่อเอาตัวพวกเขาออกไป

20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (23)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (25)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger