หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (23)

ประการที่สิบสี่: แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป (ภาคที่สอง)

ในการชุมนุมครั้งก่อน พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงาน นั่นคือ “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป”  สามัคคีธรรมดังกล่าวครอบคลุมแง่มุมหนึ่งของการนี้ นั่นคือ คริสตจักรคืออะไร หลังจากสามัคคีธรรมถึงคำนิยามของคริสตจักรแล้ว พวกเจ้าย่อมเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งนี้กับหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานอย่างชัดเจนใช่หรือไม่?  (หลังจากพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงคำนิยามของคริสตจักร พวกเราก็เข้าใจว่าเหตุใดคริสตจักรจึงดำรงอยู่ เข้าใจบทบาทของคริสตจักร และงานที่คริสตจักรทำ  จากสิ่งเหล่านี้ พวกเราย่อมแยกแยะได้ว่าบุคคลใดในคริสตจักรที่กำลังก่อให้เกิดการก่อกวนและการขัดขวาง และไม่ได้มีบทบาทที่เป็นบวก แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวผู้คนเหล่านี้ออกไป)  เมื่อเข้าใจแล้วว่าคริสตจักรคืออะไร ผู้นำและคนทำงานก็ควรที่จะรู้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงก่อตั้งคริสตจักร ผลกระทบจากการต่อตั้งคริสตจักรที่มีต่อผู้คน งานที่คริสตจักรควรทำ ผู้คนประเภทใดที่รวมตัวกันเป็นคริสตจักร และบุคคลใดที่เป็นพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง  หลังจากเข้าใจและรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว เจ้าย่อมมีแนวคิดและคำนิยามเบื้องต้น รวมถึงมีรากฐานของหลักธรรมสำหรับงานที่ระบุไว้ในความรับผิดชอบประการที่สิบสี่ นั่นคือ “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป”  นี่คือบางสิ่งที่เจ้าควรรู้และเข้าใจให้ชัดเจนในแง่ของทฤษฎีและนิมิต  เมื่อเข้าใจเรื่องนี้แล้ว งานแรกที่ผู้นำและคนทำงานควรดำเนินการก็คือการแยกแยะคนชั่วทุกรูปแบบ  มาตรฐานและหลักธรรมของการทำเช่นนี้คืออะไร?  การแยกแยะคนชั่วทุกรูปแบบควรอ้างอิงจากคำนิยามของคริสตจักร นัยสำคัญและคุณค่าของการดำรงอยู่ของคริสตจักร และงานที่พระเจ้าทรงจัดตั้งคริสตจักรขึ้นมาเพื่อให้ทำ  คราวก่อน มาตรฐานและพื้นฐานในการแยกแยะคนชั่วหลากหลายประเภทถูกแบ่งเป็นสามหมวดหมู่หลัก  สามหมวดหมู่นี้คืออะไร?  (จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา ความเป็นมนุษย์ของคนเรา และท่าทีที่คนเรามีต่อหน้าที่ของตน)  หมวดหมู่หลักทั้งสามประการนี้เจาะจงและครอบคลุมมากพอหรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “เหตุใดการแยกแยะผู้คนทุกประเภทจึงไม่อ้างอิงตามระดับการรักความจริงของพวกเขาและระดับการนบนอบและยำเกรงพระเจ้าของพวกเขา แต่กลับอ้างอิงตามจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตนเล่า?  มาตรฐานเหล่านี้ไม่ต่ำเกินไปหรอกหรือ?  กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อตัดสินจากเนื้อหาอันเจาะจงของสามหมวดหมู่นี้ เหตุใดจึงไม่มีการหารือถึงท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระเจ้าและความจริงอย่างลึกซึ้งมากขึ้น?  เหตุใดจึงไม่มีการเอ่ยถึงว่าผู้คนเต็มใจยอมรับการตัดแต่ง การพิพากษา และการตีสอนหรือไม่ พวกเขามีหัวใจที่นบนอบและยำเกรงพระเจ้าหรือไม่ และเหตุใดจึงไม่มีการเอ่ยถึงเนื้อหาเชิงลึกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความจริงเล่า?”  พวกเจ้าเคยใคร่ครวญคำถามนี้บ้างหรือไม่?  เวลานี้พวกเราอย่าเพิ่งเจาะลึกถึงประเด็นนี้เลย  พวกเรามาดูหลักเกณฑ์ทั้งสามประการ นั่นคือ จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของผู้คน ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตนกันก่อนเถิด  หากตัดสินจากหัวข้อดังกล่าว หลักเกณฑ์สามประการนี้ตื้นเขินหรือไม่?  หากคนคนหนึ่งไม่ตรงตามมาตรฐานในแง่ของหลักเกณฑ์พื้นฐานที่สุดสามประการนี้ พวกเขาจะสามารถถูกเรียกว่าพี่น้องชายหญิงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาจะถือว่าเป็นสมาชิกของคริสตจักรได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  สำหรับพวกเขาแล้วสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย  เพราะฉะนั้น หากคนคนหนึ่งบกพร่องหรือต่ำกว่ามาตรฐานในแง่ของหลักเกณฑ์สามประการนี้ เช่นนั้นบุคคลนั้นก็ควรถูกแยกแยะ พวกเขาย่อมอยู่ในคนชั่วประเภทต่างๆ และพวกเขาก็ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป  ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นพี่น้องชายหรือหญิง ไม่ว่าเป็นคนที่พระเจ้าทรงรับทราบหรือเป็นสมาชิกที่คริสตจักรควรยอมรับหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดนี่ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเป็นไปตามมาตรฐานและผ่านเกณฑ์ในแง่ของหลักเกณฑ์สามประการนี้หรือไม่  หากพวกเขาไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์สามประการนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ใช่พี่น้องชายหรือหญิงอย่างแน่นอน  โดยธรรมชาติแล้วพระเจ้าย่อมไม่ทรงรับทราบถึงพวกเขา และคริสตจักรก็ไม่ควรยอมรับพวกเขาเช่นกัน  แล้วคริสตจักรควรปฏิบัติและรับมือกับพวกเขาอย่างไร?  (พวกเขาควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป)  เมื่อพวกเขาถูกแยกแยะแล้ว พวกเขาก็ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป  เป็นเช่นนั้นนั่นเอง

หลักและมาตรฐานสำหรับการแยกแยะคนชั่วนานาประเภท

I. อ้างอิงตามจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา

ง. เพื่อทำการฉวยโอกาส

ในการชุมนุมคราวที่แล้ว พวกเราได้สามัคคีธรรมและระบุจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าทั้งสามประการไปแล้ว  หากพวกเราระบุออกมาเป็นหัวข้อ หัวข้อแรกก็คือเพื่อสนองความอยากเจ้าหน้าที่รัฐของคนเรา หัวข้อที่สองคือเพื่อเสาะหาเพศตรงข้าม และหัวข้อที่สามคือเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ  พวกเราได้สามัคคีธรรมจุดประสงค์สามประการนี้เสร็จสิ้นแล้ว  ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงจุดประสงค์ประการที่สี่ นั่นคือ คนบางคนเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อเหตุผลในการฉวยโอกาสเท่านั้น ดังนั้นหัวข้อของจุดประสงค์นี้ก็คือ “เพื่อกระทำการฉวยโอกาส”  บางคนเห็นว่า ทุกศาสนาและทุกนิกายในโลกศาสนาล้วนรกร้างและไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณ—เห็นว่าความเชื่อและความรักของผู้คนนั้นเยือกเย็นมากขึ้น ว่าผู้คนเองก็ต่ำช้าลงไปเรื่อยๆ และมองไม่เห็นความหวังสำหรับความรอด ว่าผู้คนเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามานานหลายปีโดยไม่ได้รับสิ่งใดเลย  เมื่อเห็นว่าโลกศาสนากลับกลายเป็นที่ร้างเปล่าโดยสิ้นเชิง พวกเขาก็เสาะหาหนทางไปข้างหน้าให้กับตนเอง  พวกเขาใคร่ครวญว่า “ตอนนี้มีคริสตจักรไหนบ้างที่มีคนมากกว่า กำลังเจริญรุ่งเรือง และมีโอกาสในการพัฒนา?”  พวกเขาพบว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ถูกต้านทานและถูกกล่าวโทษจากโลกศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง ที่แห่งนี้มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และกำลังพัฒนาไปได้ด้วยดีทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ  พวกเขาคิดว่า “ฉันได้ยินว่าสมาชิกของคริสตจักรแห่งนี้กำลังเจริญเติบโต และที่นี่ก็กำลังพัฒนาไปด้วยดี แถมยังมีกำลังคน  ทรัพยากรทางวัตถุ และเงินทุนที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีโอกาสในการพัฒนา  หากฉันฉวยโอกาสอันดีนี้ในการเข้าร่วมกับคริสตจักรของพวกเขา ฉันย่อมจะได้รับประโยชน์บางอย่างมิใช่หรือ?  ฉันย่อมจะรักษาจุดหมายปลายทางอันดีให้กับตัวเองได้มิใช่หรือ?”  ด้วยเจตนาและจุดประสงค์ดังกล่าว รวมถึงความสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย พวกเขาจึงแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร  หลังจากคนเหล่านี้แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรแล้ว พวกเขาก็ไม่สนใจความจริง ไม่เชื่อในพระเจ้าหรือเชื่อในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตน  จุดประสงค์ในการเข้าร่วมคริสตจักรของพวกเขาคือเพื่อหาคนหนุนหลังหรือหาที่อยู่ และเพื่อให้ได้รับจุดหมายปลายทางในอนาคตดังที่พวกเขาปรารถนา  อันที่จริงในหัวใจนั้นพวกเขาไม่มีความสนใจในการเชื่อในพระเจ้า ในความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง หรือในพระราชกิจแห่งความรอดที่พระเจ้าทรงทำ และพวกเขาก็ไม่ต้องการฟังหรือแสวงหาสิ่งเหล่านี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไร้ซึ่งความสนใจในพระราชกิจของพระเจ้าและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง  ผู้คนเหล่านี้เหมือนกับคนที่ชอบฉวยโอกาสในสังคมที่ไม่ว่าเข้าไปอยู่ในวงการใด พวกเขาก็ทำเช่นนั้นเพื่อมองหาโอกาสในการได้รับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ อีกทั้งลงทุนและจ่ายราคาเพื่อโชคชะตาและจุดหมายปลายทางในอนาคตของพวกเขาเองเท่านั้น  เมื่อพวกเขาพบว่า ตอนนี้ในสายงานหรือแวดวงที่พวกเขาทุ่มเทตนเองเข้าไปยังไม่มีจุดหมายปลายทางในอนาคตที่เด่นชัด หรือพบว่าวงการนี้ไม่อนุญาตให้พวกเขาแสดงจุดแข็งและก้าวหน้าในชีวิตได้ พวกเขาก็มักจะคำนวณอยู่ในใจว่าจะเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนวงการหรือไม่  ไม่ว่าพวกเขาทำสิ่งใด ผู้คนเช่นนั้นก็มักรอโอกาสที่จะดำเนินการอยู่เสมอ พวกเขามีเจตนาและจุดประสงค์ในการเข้าร่วมกับคริสตจักร  เมื่อคริสตจักรกำลังเจริญรุ่งเรือง เมื่อคริสตจักรสามารถตั้งมั่นและมีโอกาสที่จะพัฒนาในสังคมหรือในประเทศใดได้ พวกเขาก็ทุ่มเทตนเองให้กับงานของคริสตจักรด้วยความขยันขันแข็งและกระตือรือร้น  แต่เมื่อคริสตจักรถูกกดขี่และถูกจำกัด หรือไม่สามารถสนองความอยากและความต้องการส่วนตัวของพวกเขาได้ พวกเขาก็ไตร่ตรองว่าจะไปจากคริสตจักรและหาหนทางไปต่อให้กับตนเองหรือไม่  เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการเข้าร่วมคริสตจักรของผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่เพราะพวกเขาสนใจในความจริง พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมกับคริสตจักรบนรากฐานของการยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าและพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าในการช่วยผู้คนให้รอด  แม้แต่ตอนที่พวกเขาเลือกคริสตจักร พวกเขาก็เลือกคริสตจักรขนาดใหญ่ที่เป็นที่รู้จักและมีสมาชิกจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตจักรที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ  สำหรับพวกเขา มีเพียงคริสตจักรประเภทนี้เท่านั้นที่ตรงตามมาตรฐานของพวกเขาและสอดคล้องกับเป้าหมายที่พวกเขาทะเยอทะยานหรือไล่ตามไขว่คว้าโดยสมบูรณ์  แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยเชื่อในความจริงโดยแท้จริง และไม่เคยยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระเจ้าโดยแท้จริงเลย  ต่อให้บางครั้งนั้นดูเหมือนว่าพวกเขาทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อคริสตจักรหรือทุ่มเทตนเองให้กับงานบางส่วนของคริสตจักร แต่ลึกๆ ในหัวใจของพวกเขา ท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและต่อพระเจ้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  พวกเขามีท่าทีเช่นไรหรือ?  ท่าทีที่พวกเขามีมาตลอดก็คือ ตอนนี้แค่ทำตามน้ำไปก่อน ดูว่าพวกเขาสามารถได้รับสิ่งใดจากคริสตจักรกันแน่ ดูว่าพระวจนะที่พระเจ้าตรัสจะสามารถเป็นจริงได้มากเพียงไรและถึงระดับใด รวมถึงดูว่าเมื่อไรจะสามารถได้รับพรที่พระเจ้าทรงเคยสัญญากับมนุษย์ และพรเหล่านี้สามารถเป็นที่ประจักษณ์และลุล่วงได้ในเวลาอันสั้นหรือไม่  ท่าทีของพวกเขาเป็นเช่นนี้เสมอ  พวกเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้าด้วยความสงสัยใคร่รู้และความอยากลอง รวมถึงด้วยท่าทีที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะลุล่วงและเป็นจริง แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะได้รับพรและไม่เสียโอกาสหรือไม่  ผู้คนเช่นนั้นมายังพระนิเวศของพระเจ้า และต่อให้พวกเขาจะดูเป็นมิตรต่อผู้อื่น ดูปฏิบัติตามกฎ ไม่ก่อให้เกิดการรบกวนหรือการขัดขวาง และไม่สร้างความเสียหาย อ้างอิงจากท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและต่อความจริง พวกเขาก็สามารถถูกระบุว่าเป็นผู้ไม่เชื่อได้อย่างชัดเจน

พวกเราจะสามารถแยกแยะประเภทของผู้ไม่เชื่อที่เชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อฉวยโอกาสได้รับพรเท่านั้นและไม่ปรารถนาที่จะได้รับความจริงได้อย่างไร?  ไม่ว่าพวกเขาได้ฟังคำเทศนามากมายเพียงใด ไม่ว่ามีการสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร ความคิดและทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย คุณค่าและทัศนคติใช้ในการดำเนินชีวิตก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะพวกเขาไม่เคยใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจังและไม่ยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงหรือสิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับปัญหาหลากหลายโดยแท้จริงเลย  พวกเขาเกาะติดอยู่กับทัศนะของตนเองและปรัชญาของซาตาน  ในหัวใจของพวกเขายังคงเชื่อว่า ปรัชญาและตรรกะของซาตานนั้นถูกต้องและเหมาะสม  ตัวอย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “ข้าราชการไม่โขกสับพวกที่ให้ของกำนัล” หรือ “คนดีย่อมมีชีวิตที่สงบสุข”  มีคนที่ถึงกับกล่าวว่า “เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องเป็นคนดี ซึ่งหมายถึงการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโดยเด็ดขาด การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาป และเป็นสิ่งที่พระเจ้ามิอาจทรงอภัยได้”  นี่คือทัศนะประเภทใด?  นี่คือทัศนะแบบชาวพุทธ  ถึงแม้ว่าทัศนะแบบชาวพุทธอาจจะตรงตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน แต่ทัศนะนี้ก็ไร้ซึ่งความจริง  ความเชื่อในพระเจ้าต้องอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้า มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง  ในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา บางคนถึงกับยอมรับทัศนะที่ไร้สาระของผู้ไม่มีความเชื่อและทฤษฎีที่เข้าใจผิดของโลกศาสนาว่าเป็นความจริง พวกเขาหวงแหนและยึดถือสิ่งเหล่านั้น  ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่ยอมรับความจริงใช่หรือไม่?  พวกเขาไม่สามารถแยกแยะระหว่างคำพูดมนุษย์กับพระวจนะของพระเจ้า หรือระหว่างหมู่มารและซาตานกับพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว พระผู้สร้างได้  พวกเขาไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริง อีกทั้งไม่ยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงเลย  ความคิดและทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คน ต่อโลกภายนอก และต่อเรื่องทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่เคยเปลี่ยนไป  พวกเขายึดถือแต่เพียงทัศนะที่พวกเขามีมาเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม  ไม่ว่าทัศนะเหล่านั้นจะน่าขันเพียงใดพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจการนี้ได้ และยังคงยึดมั่นในทัศนะที่เข้าใจผิดเหล่านั้นและไม่ปล่อยไป  นี่คือการสำแดงประการหนึ่งของผู้ไม่เชื่อ  อีกประการหนึ่งคืออะไร?  คือความกระตือรือร้น ความอ่อนไหว และความเชื่อที่เปลี่ยนไปตามขนาดของคริสตจักรที่ใหญ่ขึ้นและมีสถานะทางสังคมที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง  ตัวอย่างเช่น เมื่องานของคริสตจักรเผยแพร่ไปยังต่างประเทศและมีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่องานข่าวประเสริฐได้รับการเผยแผ่ไปอย่างครบถ้วน พวกเขามองเห็นการนี้และรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที  พวกเขารู้สึกว่าคริสตจักรกำลังมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ และจะไม่ทนทุกข์กับการกดขี่และการข่มเหงจากรัฐบาลอีกต่อไป พวกเขาเชื่อว่ามีความหวังสำหรับความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถเชิดหน้าชูตาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นการที่พวกเขาเดิมพันได้ถูกต้อง เชื่อว่าในที่สุดการเดิมพันของพวกเขาย่อมได้รับผลตอบแทน  พวกเขารู้สึกว่าโอกาสที่พวกเขาจะได้รับพรกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดพวกเขาก็เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น  ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาเคยรู้สึกว่าถูกกดขี่ เจ็บปวด และทุกข์ทรมานเพราะพวกเขามักพบเห็นการจับกุมและการปราบปรามคริสตชนของพญานาคใหญ่สีแดงอยู่บ่อยครั้ง  เหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกทุกข์ทรมาน?  เพราะคริสตจักรอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ และพวกเขาก็กังวลว่า พวกเขาตัดสินใจถูกต้องหรือไม่ที่เชื่อในพระเจ้า และมากกว่านั้นคือพวกเขารู้สึกหนักใจและกังวลว่าพวกเขาควรจะอยู่หรือไปจากคริสตจักรเสีย  ตลอดหลายปีนั้น ไม่ว่าคริสตจักรเผชิญรูปการณ์แวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์เช่นไร สิ่งนี้ย่อมจะส่งผลกระทบต่อภาวะอารมณ์ของพวกเขา ไม่ว่าคริสตจักรกำลังทำงานใดและไม่ว่าชื่อเสียงและสถานะในสังคมของคริสตจักรจะผันผวนอย่างไร นี่ย่อมจะส่งผลกระทบต่อภาวะอารมณ์และความรู้สึกของพวกเขา  คำถามที่ว่าพวกเขาควรจะอยู่หรือไปนั้นวนเวียนอยู่ในใจของพวกเขาตลอดเวลา  ผู้คนเช่นนั้นคือผู้ไม่เชื่อมิใช่หรือ?  ในยามที่คริสตจักรถูกกล่าวโทษและถูกข่มเหงจากรัฐบาลแห่งชาติ หรือในยามที่ผู้เชื่อถูกจับกุมหรือถูกตัดสิน กล่าวโทษ ว่าร้าย และถูกปฏิเสธจากโลกศาสนา พวกเขาก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรีอย่างหนัก และถึงกับรู้สึกอับอายและละอายใจอย่างยิ่งที่เข้าร่วมคริสตจักร หัวใจของพวกเขาสั่นคลอน และพวกเขาก็เสียใจที่เชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมกับคริสตจักร  พวกเขาไม่เคยมีเจตนาที่จะแบ่งปันความปีติยินดีและความยากลำบากของคริสตจักร หรือทนทุกข์เคียงบ่าเคียงไหล่กับพระคริสต์เลย  ในทางกลับกัน ขณะที่คริสตจักรกำลังเจริญรุ่งเรือง พวกเขาก็ดูเปี่ยมล้นด้วยความเชื่อ แต่เมื่อคริสตจักรถูกข่มเหง ถูกปฏิเสธ ถูกปราบปราม และถูกกล่าวโทษ พวกเขากลับต้องการจะวิ่งหนีและไปจากที่นี่เสีย  เมื่อพวกเขาไม่เห็นความหวังที่จะได้รับพรหรือความหวังของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร พวกเขาก็ต้องการไปจากที่นี่ยิ่งกว่าเดิม  เมื่อพวกเขาไม่เห็นพระวจนะของพระเจ้าลุล่วง และไม่รู้ว่ามหันตภัยใหญ่หลวงจะถล่มลงมาตอนไหนและพวกเขาจะจบสิ้นเมื่อไร หรือราชอาณาจักรของพระคริสต์จะเป็นจริงเมื่อใด พวกเขาก็ลังเลด้วยความไม่แน่ใจและไม่สามารถทำหน้าที่ของตนด้วยหัวใจที่สงบสุขได้  เมื่อไรก็ตามที่สิ่งนี้เกิดขึ้น พวกเขาก็ต้องการไปจากพระเจ้า ไปจากคริสตจักร และหาทางออก  ผู้คนเช่นนั้นคือผู้ไม่เชื่อมิใช่หรือ?  การกระทำทุกๆ อย่างของพวกเขาก็เพื่อประโยชน์ทางเนื้อหนังของพวกเขาเอง  ความคิดและทัศนะของพวกเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยผ่านการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า หรือจากการอ่านพระวจนะของพระองค์ การสามัคคีธรรมความจริง และการใช้ชีวิตคริสตจักร  เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยแสวงหาความจริงหรือค้นหาว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไร เจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร พระเจ้าทรงชี้นำผู้คนอย่างไร หรือพระองค์ทรงขอสิ่งใดจากผู้คน  เป้าหมายเดียวของพวกเขาในการเข้าร่วมคริสตจักรคือการรอให้ถึงวันที่คริสตจักรจะสามารถ “เชิดหน้าชูตา” ได้ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถตักตวงผลประโยชน์ที่พวกเขาปรารถนามาโดยตลอด  แน่นอนว่าพวกเขาเข้าร่วมกับคริสตจักรก็เพราะพวกเขาเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง—แต่พวกเขาไม่ยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิง และพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าจะลุล่วง  แล้วพวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร ผู้คนเช่นนั้นคือผู้ไม่เชื่อใช่หรือไม่?  (ใช่)  ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในคริสตจักรหรือในโลกภายนอก  พวกเขาก็ประเมินว่าผลประโยชน์ของพวกเขาจะได้รับผลกระทบมากแค่ไหน และการนั้นจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้ามากเพียงใด  แม้จะเป็นสัญญาณของปัญหาที่เล็กน้อยที่สุด พวกเขาก็จะนึกถึงจุดหมายปลายทางในอนาคตและผลประโยชน์ของตนเองทันที พลางคิดด้วยความแม่นยำว่าพวกเขาควรจะอยู่หรือไปจากคริสตจักร  มีคนที่ถึงกับเอาแต่ถามว่า “ไหนบอกว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสิ้นเมื่อปีที่แล้ว—ทำไมจึงยังดำเนินอยู่เล่า?  พระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสิ้นปีไหนกันแน่?  ฉันไม่มีสิทธิ์จะรู้หรือ?  ฉันทนทุกข์มานานพอแล้ว เวลาของฉันมีค่า วัยเยาว์ของฉันมีค่า—แน่นอนว่าคุณจะปล่อยให้ฉันค้างคาแบบนี้ไม่ได้ใช่ไหม?”  พวกเขาอ่อนไหวเป็นพิเศษว่าพระวจนะของพระเจ้าแล้วลุล่วงหรือยัง สถานการณ์ของคริสตจักร รวมถึงสถานะและชื่อเสียงของคริสตจักร  พวกเขาไม่ใส่ใจว่าตนเองจะสามารถได้รับความจริงหรือได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ แต่กลับอ่อนไหวอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตรอดหรือไม่ รวมถึงจะสามารถได้ประโยชน์และพรจากการอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่  ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนที่ชอบฉวยโอกาสในความปรารถนาที่จะได้รับพร  ต่อให้พวกเขาเชื่อไปจนถึงปลายทาง พวกเขาก็จะยังคงไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาจะไม่มีคำพยานจากประสบการณ์ให้พูดถึงเลย  พวกเจ้าเคยพบเจอคนเช่นนี้บ้างหรือไม่?  ที่จริงแล้วผู้คนเช่นนั้นมีอยู่ในคริสตจักรทุกๆ แห่ง  พวกเจ้าต้องแยกแยะพวกเขาด้วยความระมัดระวัง  บุคคลเช่นนั้นล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อ พวกเขาคือภัยพิบัติในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาจะนำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาสู่คริสตจักรและไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์ใดเลย และพวกเขาต้องถูกเอาตัวออกไปจากที่แห่งนี้

พวกเรามาสรุปลักษณะนิสัยของคนที่ชอบฉวยโอกาสกันเถิด  ลักษณะนิสัยอันดับแรกของพวกเขาคือ พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงมีอยู่หรือไม่เลย  หากเจ้าถามพวกเขาว่าพระเจ้าทรงมีอยู่หรือไม่ พวกเขาจะตอบว่า “อาจจะ  แต่หากไม่มีพระเจ้าอยู่ก็ไม่เป็นไร  ฉันแค่มาที่นี่เพื่อดูว่าคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าตรัสจะเป็นจริงหรือไม่ และมหันตภัยใหญ่หลวงจะมาหรือไม่มากันแน่”  ในความคิดและมุมมองของพวกเขานั้น ท่าทีของพวกเขาคือไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะทรงมีอยู่หรือไม่  ดังนั้นแล้วการเชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมคริสตจักรย่อมเป็นเรื่องตลกสำหรับพวกเขามิใช่หรือ?  (ใช่)  ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเป็นเพียงความเชื่อทั่วไป เหมือนกับเกม และไม่เกี่ยวข้องกับความจริงหรือเส้นทางในชีวิตของพวกเขาเลย  อันที่จริงพวกเขาไม่สนใจว่ามีพระเจ้าอยู่หรือไม่ หากมีอยู่ก็ไม่เป็นไร และหากไม่มีอยู่ก็ไม่เป็นไร  บางคนแย้งพวกเขาว่าพระเจ้าไม่ทรงมีอยู่ และพวกเขาก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดชังคนเหล่านั้น  หากผู้คนกล่าวว่าพระเจ้าทรงมีอยู่ พวกเขาย่อมกล่าวว่า “หากพระองค์ทรงมีอยู่ เช่นนั้นพระองค์ก็ทรงมีอยู่  อย่างไรก็ตามหากคุณเชื่อ พระองค์ก็ทรงมีอยู่ หากคุณไม่เชื่อ เช่นนั้นพระองค์ก็ไม่ทรงมีอยู่”  นี่คือมุมมองของพวกเขา  ผู้คนเช่นนั้นคือผู้เชื่อที่แท้จริงใช่หรือไม่?  พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อมิใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่ว่าพระเจ้าทรงมีอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญกับพวกเขา แล้วการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามีความจริงใจอยู่บ้างหรือไม่?  พวกเขาไม่มีทางจริงใจได้เลย  ลักษณะนิสัยประการแรกของคนที่ชอบฉวยโอกาสเป็นอย่างไร?  (พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงมีอยู่หรือไม่)  นี่คือลักษณะนิสัยประการแรก

ลักษณะนิสัยประการที่สองของคนที่ชอบฉวยโอกาสคืออะไร?  คือพวกเขาไม่เอาจริงเอาจังกับการแยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นลบกับสิ่งที่เป็นบวกเลย  พวกเขาไม่แยกแยะว่าคำพูด ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งใดที่เป็นบวกและสิ่งใดที่เป็นลบ และพวกเขาก็ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก  สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งที่ดีสามารถถูกทำให้ดูเป็นสิ่งที่ไม่ดี และสิ่งที่ไม่ดีก็ถูกทำให้ดูเป็นสิ่งที่ดีได้ ดังเช่นคำกล่าวของผู้ไม่มีความเชื่อที่ว่า “พูดโกหกหนึ่งพันครั้งย่อมกลายเป็นความจริง” คำกล่าวนี้เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลสำหรับพวกเขา  หากเจ้าถามพวกเขาว่าความจริงคืออะไร พวกเขาจะไม่ตอบว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาไม่ยอมรับเรื่องนี้  พวกเขาจะตอบว่าอย่างไร?  มุมมองที่แท้จริงของพวกเขาก็คือ เมื่อพูดโกหกไปพันครั้งหรือหมื่นครั้ง สิ่งนั้นย่อมจะกลายเป็นความจริง หมายความว่าหากผู้คนจำนวนมากพูดอะไรบางอย่าง พวกเขาจะเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง  เช่นเดียวกับที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวว่า “เดิมทีบนโลกนี้ไม่มีเส้นทาง แต่ยิ่งผู้คนเดินย่ำมากขึ้น เส้นทางย่อมเกิดขึ้น”  พวกเขาไม่ใส่ใจว่าสิ่งใดที่ถูกหรือผิด สิ่งใดที่เป็นธรรมหรือเลวร้าย พวกเขาเชื่อว่าผู้ที่มีความสามารถดีเยี่ยมย่อมเป็นคนที่ถูก และผู้ที่ไร้ความสามารถและไม่มีประโยชน์ย่อมคิดลบ  พวกเขาจะไม่ยอมรับโดยเด็ดขาดว่าสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าตรัสและทรงทำคือสิ่งที่เป็นบวก และจะไม่ยอมรับว่าพระเจ้าต้องประสงค์ให้ผู้คนดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวก  คนเหล่านี้จะถึงกับกล่าวเหตุผลวิบัติออกมา อย่างเช่น “คุณบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง และพระวจนะของพระเจ้าคือความเป็นจริงของสรรพสิ่งที่เป็นบวก  นี่หมายความว่า บนโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เป็นบวกอยู่เลยใช่หรือไม่?  ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เป็นบวกและความจริงด้วยงั้นหรือ?”  คำกล่าวนี้ไม่ไร้สาระหรอกหรือ?  นี่คือเหตุผลวิบัติมิใช่หรือ?  (ใช่)  คนเหล่านี้ไม่ได้ถือเอาพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักเกณฑ์สำหรับคำพูดหรือการกระทำของตน  ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขาแสดงเหตุผลวิบัติออกมา และเจ้าโต้แย้งพวกเขา พวกเขาจะกล่าวว่า “คุณคิดว่าตัวเองถูก ส่วนฉันก็คิดว่าฉันถูก ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่จะคิดเถิด  ใครคิดว่าสิ่งไหนดี นั่นก็คือสิ่งที่ถูกต้อง”  นี่คือมุมมองประเภทใด?  นี่คือการพยายามกลบเกลื่อนเรื่องต่างๆ มิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือมุมมองที่โง่เขลาและเลอะเลือน ผู้คนเหล่านี้ไม่เอาจริงเอาจังกับการแยกแยะสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและเป็นลบ  การไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไ?  นี่หมายความว่า ในหัวใจของพวกเขาไม่สามารถยอมรับได้ว่าสรรพสิ่งอันเป็นบวกที่พระเจ้าตรัสถึงนั้นสัมพันธ์กับความจริง สอดคล้องกับความจริง และมาจากพระเจ้า อีกทั้งไม่ยอมรับว่าสิ่งทั้งหลายอันเป็นลบที่พระเจ้าตรัสถึงนั้นตรงข้ามกับความจริงและมาจากซาตาน  พวกเขาไม่ยอมรับข้อเท็จจริงข้อนี้ และต้องการทำให้แนวคิดดังกล่าวคลุมเครืออยู่เสมอ  เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะถูกผู้อื่นแยกแยะและกล่าวโทษ พวกเขาจึงไม่เคยเอาจริงเอาจังกับการแยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบ ไม่เคยเปิดโปงทัศนะที่แท้จริงของตน ทั้งยังพูดจาคลุมเครืออยู่เสมอ โดยไม่เคยบอกให้ผู้อื่นรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาคิดอย่างไร  พวกเขาพูดสิ่งที่แตกต่างกันไปตามบุคคลที่กำลังคุยด้วย โดยปรับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงตามความจำเป็นของสถานการณ์  คนเหล่านี้ก็ไม่สนใจในความจริงหรือในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าเลยไม่ว่าในแง่ใด  นี่คือการสำแดงประการที่สองของคนที่ชอบฉวยโอกาส นั่นคือ พวกเขาไม่เอาจริงเอาจังกับการแยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นลบกับสิ่งที่เป็นบวกเลย

คนที่ชอบฉวยโอกาสเหล่านี้มีลักษณะนิสัยประการใดอีก?  ผู้คนเหล่านี้จะเลือกอยู่ตลอดเวลาว่าจะอยู่หรือไปโดยขึ้นอยู่กับว่าสิ่งทั้งหลายพัฒนาไปอย่างไร ทั้งยังถนัดในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์เป็นพิเศษ  เมื่อพวกเขาเข้าร่วมกับคริสตจักร พวกเขาก็เตรียมกลยุทธ์สำหรับทางออกและจุดหมายปลายทางในอนคตของตนไว้พร้อม วางแผนสำหรับทุกๆ ขั้นตอน  พวกเขาคิดคำนวณและวางแผนอยู่ในหัวใจว่าหากผ่านไประยะหนึ่งแล้วพระวจนะของพระเจ้าลุล่วงจะทำอย่างไร และหากไม่พระวจนะไม่ลุล่วงจะทำอย่างไร   หลังจากเข้าร่วมกับคริสตจักร บุคคลประเภทนี้ก็ไม่เคยทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้งานของคริสตจักร  ตรงกันข้าม พวกเขากลับสังเกตการณ์การพัฒนาของคริสตจักร ท่าทีที่คริสตจักรมีต่อพวกเขาและวิธีที่คริสตจักรปฏิบัติต่อพวกเขา รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อยู่ตลอดเวลาเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับก้าวต่อไปของพวกเขา  ผู้คนเหล่านี้มีความคิดที่ค่อนข้างซับซ้อนมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถึงแม้พวกเขาจะเข้าร่วมกับคริสตจักร พวกเขาก็มีมุมมองชั่วคราว เช่น สัญญาจ้าง อยู่เสมอ ติดอยู่ในสภาวะที่ “ตัวอยู่ที่นี่แต่ใจอยู่ที่อื่น” ไปตลอดกาล และในใจของพวกเขาก็มีกลอุบายและแผนการ  การที่พวกเขาเลือกเชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมกับคริสตจักรเป็นเพียงการเลือกจำใจประนีประนอม ไม่ใช่ความจำเป็นฝ่ายวิญญาณหรือความปรารถนาที่จะติดตามพระเจ้าและเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์บนพื้นฐานของการยอมรับการมีอยู่ของพระเจ้า  พวกเขาขาดความเชื่อในเรื่องนี้  ผู้คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้าด้วยท่าทีที่ดูเชิง พลางคิดคำนวณอยู่ในหัวใจว่า “หากการเชื่อในพระเจ้าทำให้ฉันได้รับเป็นร้อยเท่าในชีวิตนี้และได้รับชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง และนำมาซึ่งโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ เช่นนั้นแล้วฉันก็จะทำตามและเชื่อ  หากฉันไม่อาจได้รับสิ่งเหล่านี้ได้ ฉันก็จะไปจากคริสตจักรได้ทุกเวลาและทุกสถานการณ์ และเลิกเชื่อเสีย”  พวกเขามาเชื่อในพระเจ้าด้วยความหวังที่จะฉวยโอกาสของการได้รับพรโดยแท้จริง  หากพวกเขาไม่อาจได้รับพร พวกเขาก็สามารถทิ้งหน้าที่ของตนได้ทุกเวลาและทุกสถานการณ์ รวมถึงวางแผนเส้นทางอีกทางหนึ่งไว้ให้ตนเอง เพราะหัวใจของพวกเขาไม่เคยหยั่งรากอยู่ในคริสตจักร และพวกเขาก็ไม่เคยเลือกเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าและการติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริงเลย

ลักษณะนิสัยหลักของคนที่ชอบฉวยโอกาสมีสามประการดังนี้ นั่นคือ พวกเขาไม่ได้สนใจอย่างจริงจังว่าพระเจ้าทรงมีอยู่หรือไม่ พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับการแยกแยะสิ่งที่เป็นลบและเป็นบวก และพวกเขาสามารถไปจากคริสตจักรได้ทุกเวลาและทุกสถานการณ์  ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงปฏิบัติต่อพวกเขาดีเพียงใด ตราบเท่าที่สิ่งทั้งหลายไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์หรือตรงตามความต้องการในขณะนั้นของพวกเขา พวกเขาก็สามารถไปจากคริสตจักรได้  แต่เมื่อพวกเขาไม่มีที่ไป พวกเขาก็เลือกที่จะกลับมา  หลังจากกลับเข้ามา พวกเขาก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และอาจจะทิ้งคริสตจักรไปอีกได้ทุกเมื่อ  พวกเขาคือคนเลวประเภทใด?  การมาและไปของพวกเขาดูเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เรื่อยๆ เหลือเกิน พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง  สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะนิสัยของคนที่ชอบฉวยโอกาส ในแง่ของแก่นแท้ของพวกเขานั้นพวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ  คนบางคนสามารถยืนหยัดในการเชื่อได้สามถึงห้าปี บางคนสามารถยืนหยัดได้แปดถึงสิบปี แต่พวกเขามีจุดประสงค์เพียงเพื่อฉวยโอกาสในการเสาะแสวงพระพร  ผู้คนเช่นนั้นไม่ใช่คนที่เรียบง่าย  พวกเขาสู้ทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและถูกข่มเหงของจีนแผ่นดินใหญ่มาจนถึงตอนนี้เสียด้วยซ้ำ—นั่นค่อนข้างเหมือนกับการ “นอนบนกองฟืน ทนความขมขื่น” มิใช่หรือ?  หลังจากเชื่อมาเป็นสิบปี บางคนก็ไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป แล้วพวกเขาก็พร่ำบ่นว่า “สิบปีเชียวนะ  ฉันทิ้งช่วงวัยเยาว์ไปอย่างสูญเปล่าในคริสตจักร  หากสิบปีนี้ฉันได้ทำงานหนักอยู่ในทางโลก ฉันจะหาเงินได้มากแค่ไหนกัน?  บางทีฉันคงจะกลายเป็นผู้จัดการ และอาจจะมีทรัพย์สินมากมายก็ได้”  จากนั้นพวกเขาก็เริ่มไม่สบายใจ  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นสิบปีเพื่อจะสนองความสงสัยใคร่รู้และความอยากได้รับของตนเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงเลย  ผลก็คือพวกเขาไม่ได้รับสิ่งใดเลย  พวกเขาเสียใจที่เชื่อในพระเจ้า และถึงกับด่าว่าตนเองว่า “เจ้าคนโง่ คนสมองทึบ!  แกไม่เลือกเดินบนถนนกว้างๆ ที่เดินง่าย แต่กลับยืนกรานที่จะเดินไปบนเส้นทางที่แสนทรหดนี้  ไม่มีใครบังคับแกเลย แกเลือกของแกเอง!”  บางคนถึงกับไปจากคริสตจักรได้หลังจากเชื่อมาเป็นสิบปี จากไปโดยไร้ซึ่งความลังเล  หลังจากประคองชีวิตอยู่ในสังคมได้สองหรือสามปี พวกเขาก็พบว่าการเดินทางในสังคมนั้นไม่ได้ราบรื่นหรือง่ายดายดังที่พวกเขาคิดฝันไว้ และโลกของผู้ไม่มีความเชื่อก็ไม่ได้มีสีสันและเป็นดังอุดมคติตามที่เห็น สำหรับพวกเขาแล้ว การเอาตัวรอดในโลกใบนี้ไม่ว่าที่ใดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  หลังจากไตร่ตรองดู พวกเขาก็พบว่าคริสตจักรยังคงดีกว่า เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงกลับมาอย่างหน้าไม่อาย  เมื่อกลับมาแล้วพวกเขาก็กล่าวว่า “การเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี พวกผู้ไม่มีความเชื่อนั้นเลวร้าย คอยรังแกผู้คนอยู่เสมอ  ในโลกมีความทุกข์มากเกินไป  หลายปีมานี้ที่ไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่ได้ใช้ชีวิตคริสตจักร ฉันก็ร่วงลงสู่ความมืด ร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองทุกวัน  ฉันถูกเหยียบย่ำจนถึงจุดที่ฉันไม่ได้ดูคล้ายมนุษย์อีกต่อไป  การเชื่อในพระเจ้าย่อมดีกว่า!”  พวกเขาประกาศว่าการเชื่อในพระเจ้าย่อมดีกว่า แต่ที่จริงนี่เป็นเพราะพวกเขาได้ยินว่าในโลกนี้มีความวิบัติอยู่มากเกินไป และมวลมนุษย์กำลังจะประสบกับมหันตภัยใหญ่หลวงในไม่ช้า  การมีเงินทอง ที่ดิน รถยนต์ และบ้านนั้นไม่มีประโยชน์ มีเพียงผู้ที่มีความเชื่อเท่านั้นที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้  ดังนั้นพวกเขาจึงกลับมาเชื่อในพระเจ้าอีกครั้ง  นี่คือคนที่ชอบฉวยโอกาสมิใช่หรือ?  (ใช่)  คนที่ชอบฉวยโอกาาสามารถไปจากคริสตจักรได้ทุกเมื่อ  หากพวกเขาเห็นว่าการหวนคืนสู่คริสตจักรทำให้มีหวังที่จะได้รับพร พวกเขาก็สามารถกลับมาได้ทุกเมื่อเช่นเดียวกัน  หลังจากกลับเข้ามาแล้ว พวกเขาก็สามารถพูดแสดงความเสียใจได้สองสามคำ และบอกว่าพวกเขาจะไม่มีวันทิ้งพระเจ้าไปอีก แต่หลังจากเห็นว่าสิ่งทั้งหลายในโลกนั้นนิ่งสงบและสันติสุข อีกทั้งเห็นว่าพวกเขายังสามารถเพลิดเพลินกับวันเวลาดีๆ ได้อยู่บ้าง พวกเขาก็สามารถไปจากคริสตจักรได้อีกทุกเมื่อ  พวกเขาถือว่าพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรเป็นสิ่งใด?  พวกเขาถือว่าสถานที่เหล่านี้เป็นตลาดเสรีที่ไปและมาได้ตามอำเภอใจ  บอกเราทีเถิดว่า หากผู้คนเช่นนั้นถูกเอาตัวออกไปหรือจากไปด้วยตนเองแล้วต้องการกลับมา คริสตจักรควรยอมรับพวกเขากลับมาหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่ควรถูกยอมรับกลับมา  การยอมรับพวกเขากลับมาถือเป็นความผิดพลาดและละเมิดหลักธรรม  ผู้คนเหล่านี้ไม่ตรงตามมาตรฐานของสมาชิกคริสตจักร  พวกเขาสามารถทิ้งคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อ และเพื่อให้ได้รับพร พวกเขาก็สามารถหาทางแทรกตัวกลับเข้ามาในคริสตจักรได้ทุกเมื่อ แต่ตลอดกระบวนการนี้พวกเขาไม่เคยยอมรับความจริงเลย  สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง  ผู้คนเช่นนั้นย่อมจะเป็นเป้าหมายของการขับไล่และการเอาตัวออกไปตลอดไป  คริสตจักรควรเอาตัวพวกเขาออกไปและบอกพวกเขาว่า “อย่าเสียใจไปละ  เมื่อคุณไปแล้ว คุณจะไม่สามารถกลับมาได้  คริสตจักรจะไม่เปิดประตูให้คุณเป็นครั้งที่สอง  นี่คือหลักธรรม”  คนบางคนกล่าวว่า “ในเวลานั้นพวกเขาโง่เขลา แต่ตอนนี้พวกเขาทำตัวดีมาก  พวกเขาเชื่อฟังราวกับลูกแกะตัวน้อย น่าเวทนาราวกับคนไร้บ้านเร่ร่อน  เมื่อไรที่พวกเขาพบพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็แสดงออกถึงความเสียใจและการติดหนี้บุญคุณ สองตาแดงก่ำจากการร้องไห้ด้วยความเสียใจ  พวกเขาดูน่าสงสารเหลือเกิน และท่าทีในการสารภาพของพวกเขาก็ดีมาก  ให้พวกเขากลับมาเถิด”  จากคำพูดนี้มีประโยคที่สอดคล้องกับหลักธรรมบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  แม้ว่าจะเชื่อมาสามปีหรือเป็นสิบปี พวกเขาก็ยังสามารถมุ่งมั่นไปจากคริสตจักรได้โดยไม่ลังเล  พวกเขาเป็นคนน่าสงสารประเภทใดหรือ?  พวกเขาคือผู้เชื่อที่แท้จริงใช่หรือไม่?  (ไม่)  ในตอนแรกที่พวกเขาเลือกติดตามพระเจ้า พวกเขามีความจริงใจบ้างหรือไม่?  ไม่มี  หากพวกเขาพอมีความจริงใจอยู่บ้าง พวกเขาย่อมจะไม่มุ่งมั่นที่จะไปจากคริสตจักรถึงเพียงนั้น  โดยทั่วไปแล้ว เต็มที่คนเราก็อาจจะมีความคิดเช่นนั้นเมื่อพวกเขาอ่อนแอ หมดหวัง หรือเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปด้วยดีสำหรับพวกเขา แต่พวกเขาจะไม่มีวันตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปจากคริสตจักรเพื่อหาทางอื่นหลังจากเชื่อในพระเจ้ามาสามปี ห้าปี หรือแม้กระทั่งสิบปี  หากพวกเขาสามารถไปจากคริสตจักรได้ตามอำเภอใจ นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้จริงใจตั้งแต่แรกที่ยอมรับหนทางที่แท้จริงและเข้าร่วมกับคริสตจักร พวกเขามีแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายแฝง—นี่ไม่อาจกล่าวเป็นอื่นได้เลย  ผู้คนเช่นนั้นต้องถูกแยกแยะให้ชัดเจน  พวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง  การเชื่อในพระเจ้าและการติดตามพระเจ้าของพวกเขาเป็นไปเพื่อความหวังที่จะฉวยโอกาสในการได้รับพร  ผู้คนเช่นนั้นถูกระบุว่าเป็นคนที่ชอบฉวยโอกาส และเมื่อถูกแยกแยะแล้วก็ควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร  หากพวกเขาไม่ไปจากคริสตจักรและยังฉวยประโยชน์จากสถานการณ์นี้ภายในคริสตจักรต่อไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมเป็นเพราะไม่มีผู้ใดสามารถแยกแยะได้ว่าพวกเขาเป็นเช่นไร  อย่างไรก็ตาม ผ่านการสามัคคีธรรมถึงการสำแดงนานาประการของคนที่ชอบฉวยโอกาสเหล่านี้ในวันนี้ ผู้นำและคนทำงาน รวมถึงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรมีความเข้าใจที่ชัดเจนและมีวิจารณญาณแยกแยะต่อผู้คนเช่นนั้น  เมื่อพบว่าพวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรืออธิษฐานถึงพระเจ้า ไม่สนใจในพระราชกิจของพระเจ้าหรือความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง ไม่สนใจในสิ่งที่เป็นบวก และไม่เอาจริงเอาจังกับสิ่งเหล่านั้นเลย เช่นนั้นก็ควรเฝ้าระวังพวกเขาอย่างใกล้ชิด  การนี้จำเป็นต้องสังเกตแรงจูงใจและจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และตรวจสอบให้แน่ใจถึงท่าทีที่พวกเขามีต่อคริสตจักร ต่อความจริง และต่อพระเจ้า  หากเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีท่าทีที่ถูกต้อง ไม่แยแสกับการไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่เป็นพิเศษ ไม่แสดงออกซึ่งความสนใจในสิ่งใดเลย ทั้งยังมีท่าทีที่กังขาต่อพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ เช่นนั้นก็สามารถยืนยันได้ว่า ผู้คนเหล่านี้คือคนที่ชอบฉวยโอกาสและเป็นผู้ไม่เชื่อ  หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรถือว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหรือหญิง พวกเขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคริสตจักร  ในทางกลับกัน พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร  พวกเขาเชื่อมาหลายปีและยังคงไม่ยอมรับความจริง การสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาต่อไปจะเป็นประโยชน์หรือ?  การรอให้พวกเขากลับใจต่อไปจะเป็นสิ่งที่ทำได้จริงหรือ?  อย่าพยายามกับคนเช่นนั้นอีกต่อไปเลย และอย่ารอให้พวกเขากลับใจ  หากพวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน และยังคงต้องการยืดเวลาที่จะอยู่ในคริสตจักรต่อไปโดยไม่จากไปเสีย เช่นนั้นแล้วผู้นำคริสตจักรก็ควรหาทางแยกพวกเขาออกไปอย่างชาญฉลาด  การนี้เหมาะสมใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อผู้คนเหล่านี้ถูกแยกแยะว่าเป็นคนที่ชอบฉวยโอกาส พวกเขาย่อมถูกจัดให้อยู่ในคนชั่วและผู้ไม่เชื่อประเภทต่างๆ แล้ว  ในเมื่อพวกเขาคือคนชั่วและผู้ไม่เชื่อ พวกเขาก็ตรงตามหลักธรรมและเงื่อนไขของการถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักร  การเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรเสียแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่าการเอาตัวพวกเขาออกไปช้าอย่างแน่นอน  การเอาตัวพวกเขาออกไปโดยเร็วถือเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหามากมาย และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกคับข้องใจอีกต่อไป  เจ้าควรบอกผู้คนเช่นนั้นให้ชัดเจนว่า “คุณไม่จำเป็นต้องเอาแต่คิดคำนวณอยู่ในใจว่าจะไปเมื่อไรหรือไปอย่างไร และคุณก็ไม่จำเป็นต้องคอยคิดคำนวณว่าคุณจะอยู่หรือไป  พระเจ้าและพระนิเวศของพระเจ้าไม่บังคับผู้คน หากคุณต้องการไป คริสตจักรก็จะไม่พยายามเซ้าซี้คุณให้อยู่  แต่มีหนึ่งสิ่งที่คุณต้องเข้าใจให้ชัดเจน นั่นคือ หากคุณแน่ใจว่าตัวเองไม่ใช่คนของพระนิเวศของพระเจ้า และคุณไม่เต็มใจที่จะเป็นสมาชิกของคริสตจักร เช่นนั้นก็จงไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่ารีรอ  การนี้เพื่อประโยชน์ของทุกคน  หากคุณเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า สามารถยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และเต็มใจโดยแท้ที่จะเข้าร่วมคริสตจักร เช่นนั้นคุณก็เป็นสมาชิกของคริสตจักรโดยชอบธรรม  แต่ตอนนี้คุณไม่ได้เป็นแบบนั้น  คุณมาเพื่อฉวยโอกาส และบางทีตัวคุณอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่พวกเราแยกแยะแล้ว—จากพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และหลักธรรมของคริสตจักรในการจัดการกับผู้คนทุกประเภท—ว่าคุณคือคนที่ชอบฉวยโอกาส  คุณเอาแต่คำนวณหาช่วงเวลาที่ถูกต้องในการไปจากคริสตจักร เรื่องนี้น่ารำคาญจริงๆ  คุณไม่จำเป็นต้องหาช่วงเวลาที่ถูกต้อง เพราะคุณสามารถไปได้เสียตอนนี้เลย  หากคุณรู้สึกไม่มั่นใจกับการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วฉันขอบอกคุณอย่างชัดเจนเสียเดี๋ยวนี้ว่า คุณไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญหรือพินิจพิเคราะห์เรื่องใดอีกต่อไป คุณไม่ต้องคอยทำให้ตัวเองลำบาก—คุณสามารถไปจากคริสตจักรได้ตั้งแต่ตอนนี้ ประตูของพระนิเวศของพระเจ้าเปิดอยู่ และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่รั้งคุณไว้ ที่นี่ไม่บังคับใคร”  การทำเช่นนี้เหมาะสมใช่หรือไม่?  (ใช่)  การมอบ “ทางออก” ให้พวกเขา ไม่ปล่อยให้พวกเขาทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ในทุกๆ วันราวกับมดในกระทะร้อน รู้สึกทรมานอยู่ตลอดเวลาจากความรู้สึกของพวกเขา เนื้อหนังของพวกเขา จุดหมายปลายทางในอนาคตของพวกเขา และประเด็นเรื่องของการอยู่หรือไป  ไม่ว่าพวกเขาทนทุกข์ทรมานจากสิ่งเหล่านี้มากเพียงใด การนี้ก็ไม่เคยนำไปสู่สิ่งใดเลย  ในหัวใจของพวกเขายังคงใคร่ครวญว่าจะไปตอนไหน ไปอย่างไร หากพวกเขาไปเสียแต่เนิ่นๆ พวกเขาจะทนทุกข์กับความสูญเสียและความอับโชคหรือไม่ และหากพวกเขาอยู่ให้นานขึ้น พวกเขาจะสามารถได้รับพรหรือไม่  จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาจากไปแล้วพระวจนะของพระเจ้าเกิดลุล่วง?  จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาไม่จากไปแต่พระวจนะของพระเจ้าก็ยังไม่ลุล่วง?  พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลและร้อนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไม่ว่างเว้น  ในเมื่อพวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้าด้วยความเต็มใจอย่างแท้จริง พวกเขาก็ควรไปเสียให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  พวกเขาไม่ควรอยู่ที่นี่ พยายามฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน แสร้งว่าเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่ได้เป็น  บอกเราทีเถิดว่า การแนะนำพวกเขาเช่นนี้และรับมือกับเรื่องนี้ในหนทางนี้เป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่?  (ใช่)  การจัดให้คนที่ชอบฉวยโอกาสไปอยู่กับคนชั่วทั้งหลายที่จะถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปนั้นเป็นเรื่องที่เกินไปหรือไม่?  (ไม่เกินไป)  บางคนกล่าวว่า “ผู้คนเช่นนี้จะถือว่าเป็นคนชั่วได้อย่างไร?”  ในบรรดาผู้ไม่เชื่อนั้นมีคนดีอยู่กี่คน?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า แก่นนิสัยของบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและยอมรับการมีอยู่ของพระองค์นั้นถือว่าชั่ว นับประสาอะไรกับพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่ยอมรับในการมีอยู่ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  ดังนั้นแล้ว การจัดประเภทพวกเขาว่าเป็นคนชั่วเป็นเรื่องที่มากเกินไปหรือไม่?  (ไม่)  ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม อย่างน้อยพวกเขาก็ยังถูกเรียกว่าเป็นคน—คนชั่ว  การที่พวกเขาไม่ถูกจัดประเภทว่าเป็นมารที่ชั่วนั้นดีมากพอแล้ว  การจัดประเภทพวกเขาให้อยู่ในหมู่คนชั่วเป็นสิ่งที่พอเหมาะและพอดีอย่างยิ่ง การนี้ไม่มากเกินไปเลย  คนชั่วเช่นนั้นก็เป็นหนึ่งในผู้คนประเภทต่างๆ ที่จะถูกพระนิเวศของพระเจ้าขับไล่หรือเอาตัวออกไปเช่นเดียวกัน  นี่คือผู้ไม่เชื่อประเภทที่สี่ ผู้ซึ่งมีจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าเพื่อฉวยโอกาสนั่นเอง

ลักษณะนิสัยหลักของคนที่ชอบฉวยโอกาสคืออะไร?  ผ่านการที่เจ้าปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้และสังเกตการณ์อุปนิสัย มุมมอง ท่าที หรือความเป็นมนุษย์ที่พวกเขาเผยออกมา ลักษณะนิสัยหลักที่เจ้าได้พบคืออะไร?  สรุปสิ่งเหล่าให้ฟังทีเถิด  (คนที่ชอบฉวยโอกาสไม่ได้มาเชื่อในพระเจ้าเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงตั้งแต่แรก  พวกเขาได้ยินว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นพวกเขาจึงมาเชื่อในพระเจ้าด้วยความหวังที่จะได้รับพรและประโยชน์บางอย่างจากพระนิเวศของพระเจ้า หวังที่จะแสวงหาผลกำไรเท่านั้น  และหากผ่านไประยะหนึ่งแล้วพวกเขายังไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็ต้องการจากไปเสีย  ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง และไม่สนใจในการเชื่อในพระเจ้าเลย)  ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของคนที่ชอบฉวยโอกาสคืออะไร?  ประเด็นหลักก็คือพวกเขาไม่สนใจในความจริง แต่กลับสนใจในการได้รับพรมากที่สุด ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว การยอมรับความจริงจึงเป็นสิ่งที่ยากที่สุด  บางคนกล่าวว่า “คุณไม่สามารถขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไปได้เพียงเพราะพวกเขาไม่สนใจในความจริง ใช่ไหม?”  การไร้ซึ่งความสนใจในความจริงของผู้คนเหล่านี้ โดยหลักแล้วแสดงให้เห็นจากการที่พวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือสามัคคีธรรมความจริงเลย  หากพวกเขาได้ยินใครบางคนสามัคคีธรรมความจริงและพูดถึงการรู้จักตนเอง หรือการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา พวกเขาย่อมรู้สึกรังเกียจเป็นพิเศษอยู่ในหัวใจและไร้ซึ่งความสนใจโดยสิ้นเชิง และพวกเขาก็เริ่มสัปหงก  พวกเขารังเกียจสิ่งเหล่านี้อย่างถึงที่สุด และถึงกับใช้การพูดคุยสัพเพเหระ การพูดถึงความวิบัติ และการหารือเรื่องที่พระเจ้าทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อก่อกวนผู้อื่นจากการสามัคคีธรรมความจริง  ผลก็คือบางคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงรู้สึกตื่นเต้นเมื่อพวกเขาได้ยินหัวข้อเหล่านี้และร่วมหารือด้วย  นี่ไม่ใช่การก่อกวนชีวิตคริสตจักรอย่างโจ่งแจ้งหรอกหรือ?  พวกเขาแทบไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน และเมื่อพวกเขาอ่านบ้างเป็นครั้งคราว ก็อาจเป็นเพราะมีบางสิ่งบางอย่างกวนใจพวกเขาอยู่ภายใน  พวกเขาไม่สนใจในการชุมนุม การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือการสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขากังวลอยู่เรื่องเดียวว่า “วันของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อไร?  มหันตภัยใหญ่หลวงจะสิ้นสุดตอนไหน?  พวกเราจะสามารถเพลิดเพลินกับพรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ได้เมื่อไรหรือ?”  พวกเขามักสงสัยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ  หากไม่มีใครหารือถึงหัวข้อเหล่านี้ พวกเขาก็จะไปค้นหาในโลกออนไลน์ เมื่อค้นหาแล้ว พวกเขาก็เริ่มเผยแพร่สิ่งต่างๆ ในระหว่างการชุมนุม  หัวใจของพวกเขาท่วมท้นไปด้วยสิ่งเหล่านี้  ตราบเท่าที่พวกเขาได้ยินผู้อื่นสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อที่พวกเขาสนใจ พวกเขาก็สามารถพูดแทรกและเข้าร่วมสามัคคีธรรมได้  แต่ทันทีที่พวกเขาได้ยินเนื้อหาเกี่ยวกับความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่อยากฟัง  พวกเราเริ่มสัปหงก และบางคนก็ถึงกับลุกออกไป ในขณะที่คนอื่นๆ เริ่มอยู่ไม่สุข—พวกเขาแสดงท่าทางอัปลักษณ์ออกมาสารพัด  เจ้ากล่าวว่า “พวกเรามาสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้ากันเถิด”  พวกเขากล่าวว่า “ฉันคอแห้งน่ะ ต้องดื่มน้ำเสียหน่อย”  เจ้ากล่าวว่า “มาสามัคคีธรรมเรื่องการรู้จักตนเองกันเถิด” หรือ “มาสามัคคีธรรมเรื่องรายละเอียดของการทำหน้าที่กันเถิด ดูว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไรและหลักธรรมความจริงคืออะไร”  พวกเขาก็กล่าวว่า “ฉันมีบางอย่างต้องทำ  ขอตัวก่อน คุยกันให้สนุกนะ”  พวกเขาหาข้อแก้ตัวทุกรูปแบบเพื่อมาปฏิเสธและบอกปัดการสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  สิ่งนี้เปิดโปงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่เพียงไม่รักความจริงเท่านั้น แต่พวกเขายังรังเกียจและต้านทานความจริงจากก้นบึ้งของหัวใจอีกด้วย  เมื่อไรที่มีการกล่าวถึงพระวจนะของพระเจ้า กล่าวถึงความจริง พวกเขาก็ไม่ได้ต่อต้านหรือโต้แย้งอย่างเปิดเผย แต่กลับหาข้อแก้ตัวต่างๆ นานาเพื่อบอกปัดและหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น  พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนหรือว่าพวกเขาคือคนที่ชอบฉวยโอกาส?  สิ่งนี้ระบุอย่างชัดเจนว่าพวกเขาคือผู้ไม่เชื่อที่เชื่อในพระเจ้าเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง เพื่อการฉวยโอกาสมิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนกล่าวว่า “คุณบอกว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ และไม่ได้ติดตามพระเจ้าด้วยใจจริง แล้วทำไมพวกเขาจึงสามารถเชื่อมาได้จนถึงตอนนี้ และยังคงทุ่มเทตัวเองและสู้ทนความยากลำบากเพื่องานของคริสตจักรได้เล่า?”  พฤติกรรมที่พวกเราเพิ่งกล่าวถึงไปยังไม่เพียงพอที่จะตอบคำถามนี้หรือ?  พฤติกรรมเหล่านี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าวิจารณญาณแยกแยะและการระบุลักษณะพวกเขาของพวกเรานั้นถูกต้อง  ด้วยเหตุนั้น ในประเมินว่าจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของคนคนหนึ่งเป็นการฉวยโอกาสหรือไม่ เจ้าก็ควรประเมินและแยกแยะจากท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า ต่อพระราชกิจของพระเจ้า ต่อความจริง และต่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและเป็นลบ  สิ่งนี้ถูกต้องแม่นยำมากที่สุด  การประเมินจากพฤติกรรมและการกระทำภายนอกของพวกเขานั้นไม่แม่นยำและไม่เป็นกลาง  มีเพียงความคิดภายในที่แท้จริงของพวกเขา รวมถึงท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและต่อความจริงเท่านั้นที่เผยให้เห็นถึงประเด็นทั้งหลาย มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นมาตรฐานอันถูกต้องแม่นยำที่สุดในการระบุลักษณะว่าคนคนหนึ่งเป็นคนประเภทใด  บัดนี้ โดยพื้นฐานแล้วพวกเจ้าย่อมเข้าใจชัดเจนถึงแก่นแท้ของพวกที่เชื่อในพระเจ้าด้วยจุดประสงค์ที่จะฉวยโอกาสใช่หรือไม่?  พวกเจ้าทุกคนต่างก็เคยเผชิญผู้คนเช่นนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  การที่ผู้คนเช่นนั้นจากไปให้เร็วที่สุดย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า  หากพวกเขาเต็มใจที่จะทำงานรับใช้โดยแท้จริง เช่นนั้นก็สามารถฝืนใจเก็บพวกเขาเอาไว้ได้  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่ทำหน้าที่ของตนและไม่สามารถทำงานรับใช้ใดๆ ได้เลย ทว่ากลับก่อให้เกิดการรบกวนและมีผลกระทบอันเป็นลบต่องานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักร เช่นนั้นก็ควรทำให้พวกเขาจากไปโดยเร็วที่สุด  นี่คือหลักธรรมสำหรับการเอาตัวผู้ไม่เชื่อออกไป  พระนิเวศของพระเจ้าต้องการคนที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงและรักความจริง พระนิเวศของพระเจ้าต้องการคนรับใช้ที่จงรักภักดี  ที่แห่งนี้ไม่ต้องการผู้ไม่เชื่อหรือผู้ที่สังเกตการณ์ด้วยความลังเลที่จะเติมที่นั่งให้เต็มอย่างเด็ดขาด  คริสตจักรก็ไม่ต้องการคนที่เข้ามาเติมที่ให้เต็มเช่นเดียวกัน  พวกเราจะจบการสามัคคีธรรมหัวข้อนี้ไว้เพียงเท่านี้

จ. เพื่ออาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต

ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงจุดประสงค์ประการที่ห้า  นั่นคือ การเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต  พวกเจ้าทุกคนต่างก็คุ้นเคยกับหัวข้อเรื่องการอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตใช่หรือไม่?  (ใช่)  สิ่งใดเป็นการสำแดงของคนที่อาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต?  การสำแดงประการใดที่ทำให้พวกเราสามารถกำหนดได้ว่าจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาไม่บริสุทธิ์ ว่าพวกเขาไม่ได้ติดตามพระเจ้าด้วยใจจริงหรือพยายามที่จะสัมฤทธิ์ความรอด และพวกเขาไม่ได้มาเพื่อไล่ตามเสาะหาและยอมรับความจริง รวมถึงปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าบนพื้นฐานของการเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าและความเต็มใจที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะได้สัมฤทธิ์เป้าหมายของการได้รับความรอด แต่กลับมาเพื่ออาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต?  การอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตหมายถึงอะไร?  ความหมายในระดับผิวเผินนั้นชัดเจนมาก  การอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตหมายถึงการเข้าร่วมกับนิกายหนึ่งผ่านความเชื่อทางศาสนาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนเราและปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหาร  นี่เป็นคำนิยามที่กระชับและตรงประเด็นมากที่สุดของการอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต ทั้งยังเป็นคำนิยามที่ชัดเจนที่สุดอีกด้วย  แล้วการสำแดงประการใดที่ผู้คนเหล่านี้แสดงออกมา อันเป็นเครื่องยืนยันว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง แต่กลับมาเพื่ออาศัยคริสตจักรในการดำรงชีวิต?  คนบางคนมีความเชี่ยวชาญในทักษะบางอย่าง และมีความสามารถในการทำงานเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป แต่พวกเขาเห็นว่าสังคมนี้ไม่ยุติธรรม และการหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานอยู่ในสังคมนีไม่ใช่เรื่องง่าย  การทำงานหาเงินเพื่อจุนเจือสมาชิกทุกคนในครอบครัวของคนเรานั้นอาศัยการตื่นแต่เช้าตรู่และเข้านอนดึก การสู้ทนกับความยากลำบากมากมาย และการอดทนกับความคับข้องใจหลายสิ่ง—คนเราต้องมีทั้งไหวพริบและความยืดหยุ่น แต่ก็ต้องเป็นคนที่โหดเหี้ยมและใจดำมากพอเช่นเดียวกัน อีกทั้งคนเราต้องมีชั้นเชิงและมีความสามารถ—เมื่อนั้นเท่านั้นที่คนเราจะรักษาความเป็นอยู่ที่มั่นคงและสร้างตัวได้ในสังคมนี้  เมื่อมองดูผู้ที่ทำงาน ไม่ว่าอยู่ในแวดวงใดและไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในชนชั้นสูง กลาง หรือต่ำของสังคม การหาเลี้ยงชีพก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  บรรดาผู้ที่เป็นคนทำงานในสำนักงานต่างก็สวมหน้ากากของสภาพเสมือนมนุษย์ พร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์ มีตำแหน่งอยู่ในระดับสูง มีคุณสมบัติด้านการศึกษาสูง รวมถึงมีเงินเดือนและสิทธิพิเศษที่ยอดเยี่ยม และทุกคนต่างอิจฉาพวกเขา ทว่าอุปสรรคแต่ละอย่างที่พวกเขาเผชิญในที่ทำงานนั้นแสนทรหด  ไม่ว่าเป็นการทำงานในสายงานใดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  การเป็นชาวนาและทำงานในที่นายิ่งยากกว่า  ชาวนานั้นตรากตรำอย่างแสนสาหัส แต่กลับได้รับเพียงอาหารที่พอเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัวเท่านั้น พวกเขาไม่มีเงินที่จะซื้อเสื้อผ้าและของจำเป็นอื่นๆ หรือซ่อมบ้านของพวกเขา และเมื่อพวกเขาต้องการใช้เงินจำนวนหนึ่ง พวกเขาก็ต้องอาศัยการขายผักหรือการทำปศุสัตว์เพื่อเงินจำนวนนั้น—การเป็นชาวนานั้นทุกข์ตรมเสียยิ่งกว่า!  ดังที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวว่า “เงินทองนั้นหายาก—การเกิดมานั้นง่ายดาย แต่การใช้ชีวิตนั้นยากยิ่ง”—การหาเลี้ยงชีพเป็นเรื่องที่ยากมาก  คนบางคนไม่มีหนทางในการหาเลี้ยงชีพ และพวกเขาก็เห็นว่าผู้ไม่มีความเชื่อนั้นย่ำแย่เหลือเกิน อีกทั้งคิดว่าผู้ที่มีความเชื่อทางศาสนานั้นไร้เล่ห์มารยา และการหาเลี้ยงชีพในคริสตจักรก็อาจจะง่ายกว่าเล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงใช้โอกาสที่พระนิเวศของพระเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร  และหลังจากได้ยินว่ามีอาหารจัดเตรียมให้คนที่ทำหน้าที่ พวกเขาก็มาเพื่อทำหน้าที่ บางคนที่ต้องการทำหน้าที่นั้นคิดว่า “ฉันเป็นหัวหน้าครอบครัว  ตราบเท่าที่มีคนทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้านและมีคนจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของครอบครัว ฉันก็จะทำหน้าที่”  จุดประสงค์หลักของการเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของพวกเขาคือเพื่อให้ได้รับอาหารเพียงพอและมีเสื้อผ้าที่อบอุ่นเป็นเครื่องรับประกันความอยู่รอดของพวกเขา—เพื่อให้ได้กินอาหารวันละสามมื้อ และไม่ต้องพึ่งพาการทำงานและการหาเงินเพื่อเลี้ยงดูตนเองอีกต่อไป ตราบเท่าที่พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากคริสตจักร ทุกๆ อย่างก็ย่อมใช้ได้  เพื่อที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายนี้ พวกเขาต้องทำทุกอย่างตามที่คริสตจักรจัดการเตรียมการให้พวกเขาทำ  ทั้งนี้ยังมีบางคนที่หลังจากเข้ามาในคริสตจักรแล้วก็เริ่มเรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำและประกาศคำเทศนา  พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าเยอะมาก จดบันทึกและท่องจำพระวจนะของพระเจ้ามากมาย และหลังจากจดจำพระวจนะเหล่านั้นได้ พวกเขาก็ฝึกประกาศแก่ผู้อื่นและช่วยผู้คนแก้ไขปัญหา  พวกเขาพยายามทำทุกวิถีทางที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือทุกคน และหวังว่าเมื่อผู้คนได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขาแล้ว คนเหล่านั้นจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขา อีกทั้งหวังว่าคนเหล่านั้นจะรู้สึกขอบคุณพวกเขาหลังจากได้ฟังคำเทศนาและพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาประกาศ แล้วจะบริจาคเงินและให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขา  ตัวอย่างเช่น หากพวกเขาไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำและค่าไฟที่บ้าน พี่น้องชายหญิงจะสามารถช่วยจ่ายให้พวกเขา และหากพวกเขาไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมลูกหรือมีเงินไม่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลของพ่อแม่ที่เจ็บป่วย คริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิงก็สามารถมอบเงินจำนวนนี้ได้เพราะพวกเขาทำหน้าที่ของตน  ในหนทางนี้ พวกเขารู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นช่างแสนสบายใจ และรู้สึกว่าความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นคุ้มค่า รู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องทนทุกข์กับความสูญเสียใดๆ และรู้สึกว่าพวกเขาได้สัมฤทธิ์เป้าหมายของตนแล้ว  พวกเขาขอบคุณพระเจ้าอยู่ในหัวใจอย่างไม่หยุดหย่อน กล่าวว่า “ทั้งหมดนี้คือพระคุณของพระเจ้า เป็นความโปรดปรานของพระเจ้า  ขอบคุณพระเจ้า!”  เพื่อที่จะ “ตอบแทน” ความรักของพระเจ้า พวกเขาจึง “ยอมทำตาม” การจัดการเตรียมการของคริสตจักร และตราบเท่าที่พวกเขาได้รับอาหารและค่าครองชีพ พวกเขาก็จะทำงานทุกอย่าง—เป้าหมายของพวกเขาคือเพียงแค่รักษาชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคงเป็นการตอบแทน  เมื่อคริสตจักรมองข้ามสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตของพวกเขาและไม่แก้ไขความลำบากยากเย็นของพวกเขาอย่างทันท่วงที พวกเขาก็เริ่มไม่มีความสุข  ท่าทีที่พวกเขามีต่องานของคริสตจักรและหน้าที่ที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายให้พวกเขาเปลี่ยนไปทันที  พวกเขากล่าวว่า “แบบนี้ไม่ได้การ ฉันต้องออกไปทำงานหาเงิน  เมื่อก่อนฉันไม่มีโอกาสได้หาเงินเพราะฉันทำงานของคริสตจักร  ฉันถึงกับเสี่ยงที่จะถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมอยู่บ่อยครั้งจากการปรากฏตัวเพื่อทำงานนั้น และฉันก็เป็นที่รู้จักไปทุกหนแห่ง  ฉันจะไปทำงานหาเงินตอนนี้ก็ไม่สะดวกเสียแล้ว  ทำอย่างไรดีเล่า?”  ในสถานการณ์ลักษณะนี้ พวกเขาจะตั้งหน้าตั้งตาแสดงความลำบากยากเย็นและความต้องการของตนให้พี่น้องชายหญิงเห็น ถึงกับติดต่อไปหาและเรียกร้องจากพระนิเวศของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ  คนบางคนไม่มีเงินสำหรับค่าครองชีพหรือสำหรับตนเองในวัยชรา แต่พวกเขาก็ไม่แก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวเอง  ตรงกันข้าม พวกเขากลับต้องการอาศัยการทุ่มเทตนเองให้พระนิเวศของพระเจ้าในการหาเงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิต  บางคนถึงกับทำให้เรื่องนี้เลวร้ายลงไปอีก—พวกเขาไม่เพียงขอให้พระนิเวศของพระเจ้ามอบค่าครองชีพให้พวกเขา มอบค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกของพวกเขาและจุนเจือพ่อแม่ของพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขายังขอค่ารักษาพยาบาลของตนอีกด้วย  บางคนถึงกับขอเงินจากพระนิเวศของพระเจ้าไปใช้หนี้ของตน—ความต้องการของพวกเขาเริ่มล้ำเส้นมากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็ไร้ยางอายเหลือเกินในการร้องขอสิ่งเหล่านั้น  หลังจากที่บางคนมาเชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมกับคริสตจักร เงินที่พระนิเวศของพระเจ้าจ่ายให้นั้นครอบคลุมค่าครองชีพของพวกเขา และเงินเพิ่มเติมที่พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาเรียกร้องก็มากกว่าเงินที่พวกเขาหาได้จากการทำงาน  บนรากฐานของการเป็นไปตามภาวะเหล่านี้ จากภายนอกพวกเขาจึงดูปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายจากพระนิเวศของพระเจ้าด้วยความอุทิศตนและความจงรักภักดีอย่างยิ่ง  อย่างไรก็ตาม เมื่อผลประโยชน์เหล่านั้นลดลงหรือหายไป ท่าทีของพวกเขาก็เปลี่ยนไป  ท่าทีที่พวกเขามีต่องานที่คริสตจักรมอบหมายให้แตกต่างกันไปตามท่าทีที่พี่น้องชายหญิงมีต่อพวกเขา และตามจำนวนเงินช่วยเหลือที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบให้พวกเขา  เมื่อพระคุณที่พวกเขาเพลิดเพลินถูกริบคืนหรือหายไป พวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อีกต่อไป  นับตั้งแต่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า คนเหล่านี้ก็คิดคำนวณว่าพวกเขาจะหาทางโกงเพื่อให้มีที่อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า และเพลิดเพลินกับเงินบริจาคและความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงหลังจากตั้งหลักในที่แห่งนี้ รวมถึงความช่วยเหลือจากพระนิเวศของพระเจ้าและการจัดหาสำหรับชีวิตประจำวันของพวกเขา “โดยชอบธรรม” ได้อย่างไร  แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้สละตนเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริง พวกเขาไม่ได้มาเพื่อสละตนเองโดยไม่มีเงื่อนไขอย่างแน่นอน—กลับกัน พวกเขาเข้าร่วมกับคริสตจักรด้วยเป้าหมายเดียว นั่นคือเพื่ออาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตและสร้างความมั่นคงให้การใช้ชีวิต  เมื่อจุดประสงค์นี้ไม่อาจสัมฤทธิ์ได้ดังที่พวกเขาปรารถนา พวกเขาก็รีบผันตัวเป็นปฏิปักษ์และเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาออกมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือโฉมหน้าของผู้ไม่เชื่อนั่นเอง  ตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ได้มาด้วยความจริงใจ พวกเขาไม่ได้ติดตามพระเจ้าด้วยใจจริง หรือเต็มใจละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตนเพื่อพระเจ้าโดยไม่ร้องขอบำเหน็จ และไม่เรียกร้องสิ่งใดเป็นการตอบแทน  ในทางกลับกัน พวกเขามาเชื่อในพระเจ้าพร้อมความต้องการ เจตนา และจุดประสงค์ของพวกเขาเอง—เชื่อด้วยจุดประสงค์ของการจงใจที่จะอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต รวมถึงพึ่งพาคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงในการหาเลี้ยงชีพตั้งแต่ที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า  เมื่อจุดประสงค์นี้ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลหรือลุล่วงตามที่พวกเขาปรารถนา พวกเขาก็หาหนทางข้างหน้าอีกรูปแบบหนึ่งให้กับตนเอง ไม่ว่าเป็นการกลับไปทำงานหรือทำธุรกิจ  มีผู้คนเช่นนี้อยู่มิใช่หรือ?  (ใช่)  มีบางคนที่เป็นคนประเภทนี้อยู่ในคริสตจักร  แต่เดิมเมื่อพระนิเวศของพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิงบริจาคของบางอย่างให้พวกเขา เช่น เสื้อผ้า ของจำเป็นในชีวิตประจำวัน หรือเงิน จากภายนอกพวกเขาดูเขินอาย แต่ที่จริงกลับเบิกบานด้วยความปีติยินดีอยู่ภายใน  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าพวกเขารับรองพี่น้องชายหญิงสักคนหรือสองคน หรือทำหน้าที่ของตนแบบเต็มเวลา แล้วพระนิเวศของพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิงบริจาคบางสิ่งบางอย่างและมอบความช่วยเหลือทางการเงินให้ครอบครัวของพวกเขา พวกเขารู้สึกค่อนข้างมีความสุขและพึงพอใจกับเรื่องนี้ พลางคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าช่างคุ้มค่าและได้กำไร และคิดว่าพวกเขาไม่ได้พลาดอะไรไปเลย  เมื่อเวลาผ่านไป หัวใจของพวกเขาเริ่มโลภมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขายื่นมือออกไปไกลมากขึ้น และพวกเขาก็กลายเป็นคนไร้ยางอายมากขึ้นทุกที—ไม่ว่าให้ไปมากแค่ไหนพวกเขาก็ไม่เคยพอใจ  ในตอนแรก พวกเขารู้สึกอับอายที่จะรับสิ่งต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขากลับรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ค่อนข้างชอบด้วยเหตุผล แล้วพวกเขาก็เริ่มไม่พอใจว่าสิ่งที่ได้รับนั้นไม่มากพอ  ต่อมา พวกเขาจึงเรียกร้องจากพระนิเวศของพระเจ้าโดยตรงว่าต้องมอบให้พวกเขาเป็นจำนวนเท่าไร มิเช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถอยู่รอดได้ และนั่นย่อมทำให้พวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้  ความโลภของพวกเขาหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ มิใช่หรือ?  (ใช่)  ถึงแม้จะเพลิดเพลินกับพระคุณมากมาย พวกเขาก็ไม่ได้นึกถึงการตอบแทนพระคุณนั้นเพียงอย่างเดียว แต่กลับเรียกร้องจากพระนิเวศของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย  พวกเขาเชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าเป็นฝ่ายติดค้างพวกเขา และพี่น้องชายหญิงก็ติดหนี้พวกเขา การที่พวกเขาได้รับของบริจาคหรือการสนับสนุนด้านการเงินจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง  หากพวกเขาได้รับน้อยลงหรือได้รับช้าออกไป พวกเขาย่อมจะไม่พอใจ  ไม่ว่ามอบเงินเท่าไรหรือของสิ่งให้พวกเขา พวกเขาก็ย่อมรับไว้ โดยคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว  ยิ่งพวกเขาทำหน้าที่ของตนต่อไปเป็นเวลานาน พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิ์ และเริ่มเรียกร้องให้พระนิเวศของพระเจ้ามอบโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ราคาแพงให้พวกเขา  พวกเขายังเรียกร้องให้พระนิเวศของพระเจ้าติดเครื่องปรับอากาศให้พวกเขาที่บ้านและจัดหาเครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างเช่น เตาไมโครเวฟและเครื่องล้างจาน ให้พวกเขาอีกด้วย  พวกเขาถึงกับเรียกร้องให้พระนิเวศของพระเจ้าซื้อบ้านให้พวกเขาและจัดหารถยนต์ให้พวกเขา และบางคนก็ร้องขอแม่บ้าน  ความต้องการของพวกเขาหนักหนามากขึ้นและความโลภของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้น ท้ายที่สุดพวกเขาก็ทำการเรียกร้องเกินจริงจนน่าหัวร่อและกล้าร้องขออะไรก็ได้  พวกเขาเชื่อว่า “ฉันสละตนและทุ่มเทตนเองเพื่อพระนิเวศของพระเจ้ามาตลอดการเชื่อในพระเจ้า  ฉันเป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า  พวกคุณมอบของถวายมากมายให้พระเจ้า—การแบ่งให้ฉันมันเสียหายตรงไหน?  มากไปกว่านั้นก็คือ หากคุณแบ่งให้ฉัน นั่นก็ไม่ได้เสียเปล่า ฉันก็ทุ่มเทตนเองให้กับพระนิเวศของพระเจ้าและแบกรับความเสี่ยง ฉันก็สู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาเช่นเดียวกัน  การที่ฉันได้เพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านี้ก็ถูกต้องแล้วมิใช่หรือ?  ดังนั้นแล้ว พระนิเวศของพระเจ้าจึงต้องทำตามข้อเรียกร้องของฉันโดยไม่มีเงื่อนไข พระนิเวศของพระเจ้าควรให้ทุกอย่างที่ฉันต้องการ ไม่ควรจะตระหนี่”  บอกเราทีเถิดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นการสำแดงของการอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตมิใช่หรือ?  (ใช่)  หากระบุให้ถูกต้อง พฤติกรรมเหล่านี้ก็คือการอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตนั่นเอง  การอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตหมายถึงอะไร?  การอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตหมายถึงการรีดไถเงินและสิ่งของจากพระนิเวศของพระเจ้าภายใต้ภาพจำแลงของการเชื่อในพระเจ้า และการเรียกร้องค่าตอบแทนจากพระนิเวศของพระเจ้าภายใต้ภาพจำแลงของการทุ่มเทตนเองเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าและทำหน้าที่  นี่คือความหมายของการอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต  ผู้คนเช่นนั้นจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เหตุใดพวกเขาจึงละทิ้งสิ่งทั้งหลาย ทุ่มเทตัวเอง และยอมทนความยากลำบาก?  การนี้เพื่อทำหน้าที่ใช่หรือไม่?  พวกเขากำลังปฏิบัติความจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเขาไม่ได้ทุ่มเทตนเองและทนความยากลำบากเพื่อจุดประสงค์ของการทำหน้าที่ของพวกเขาเลย แต่ทำไปเพื่อรักษาความมั่นคงให้การดำรงชีวิตโดยแท้จริง และพวกเขาก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดวิจารณ์พวกเขาทั้งสิ้น—พวกเขาเพียงต้องการที่จะอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตอย่างชอบด้วยเหตุผล  ผู้คนเหล่านี้คือคนที่อาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต

บรรดาผู้ที่อาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตเชื่อในพระเจ้าด้วยเหตุผลเดียวคือเพื่อรักษาความมั่นคงในการใช้ชีวิตให้กับตนเอง เพื่อหาเลี้ยงชีพ  รอบตัวพวกเจ้ามีผู้คนที่อาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตอยู่หรือไม่?  จงเล่าการสำแดงของพวกเขาให้ฟังทีเถิด  (ข้าพระองค์เคยเผชิญหน้ากับใครบางคนที่เป็นเช่นนี้  ทีแรกเขาดูเป็นคนที่ค่อนข้างฉลาดและกระตือรือร้น คริสตจักรจึงจัดการเตรียมการให้เขาไปประกาศข่าวประเสริฐ  ในตอนนั้นครอบครัวของเขากำลังลำบาก ดังนั้นคริสตจักรจึงให้ความช่วยเหลือบางอย่างแก่เขา  อย่างไรก็ตาม ต่อมาก็พบว่าเขาใช้เงินโดยไร้หลักธรรม ใช้จ่ายไปกับสิ่งทั้งหลายที่ไม่ควรใช้ และไม่ประหยัดในส่วนที่ทำได้  เมื่อพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงกับเขา เขาก็ไม่สบอารมณ์และรู้สึกต่อต้านอย่างมากอยู่ข้างใน  เนื่องจากเขาใช้เงินของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไม่ถูกต้อง คริสตจักรจึงกระทำการปรับเปลี่ยนอย่างมีเหตุมีผลตามการจัดการเตรียมการและข้อตกลงของพระนิเวศของพระเจ้า โดยลดความช่วยเหลือด้านการเงินของเขาลง  ผลที่ตามมาก็คือ เขาสูญสิ้นเรี่ยวแรงที่เคยมีในการทำหน้าที่ก่อนหน้านี้ อีกทั้งเริ่มสุกเอาเผากินมากขึ้นเรื่อยๆ  ต่อมาคริสตจักรก็เลิกให้ความช่วยเหลือแก่เขา และเขาก็ไม่มีใจที่จะทำหน้าที่อีกต่อไป  เขาใช้เวลาทั้งหมดเฝ้าคิดว่าจะทำงานหาเงินอย่างไรไป  เขาถึงกับหยิบยืมเงินจากพี่น้องชายหญิง อ้างว่าเขาจำเป็นต้องซื้อรถยนต์และลงทุนในการเริ่มต้นทำบริษัท ทั้งยังกล่าวด้วยว่า สิ่งนี้จะทำให้การเผยแผ่ข่าวประเสริฐสะดวกมากขึ้นและได้รับคนเพิ่มมากขึ้น  เห็นได้ชัดว่าเขาหลอกลวงและชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วยคำพูดเหล่านี้ เขากำลังใช้การแสร้งทำเป็นประกาศข่าวประเสริฐในการหลอกเงินจากพี่น้องชายหญิง)  คนคนนี้ถูกจัดการอย่างไร?  (เขาถูกขับไล่ออกไปโดยตรง)  นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่พึงทำ  นี่คือการอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต  ในยามที่ผู้ที่อาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตมาเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก พวกเขาดูค่อนข้างกระตือรือร้นและสละตนอยู่บ้าง และในเวลานี้ความต้องการของพวกเขาก็ยังไม่สูง—สำหรับพวกเขา การแค่มีอาหารให้กินก็ใช้ได้แล้ว  แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ไม่พอใจกับสิ่งที่ได้รับอีกต่อไป และพวกเขาก็เริ่มเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ และหากไม่เป็นไปตามที่พวกเขาเรียกร้อง พวกเขาก็เริ่มทำตัวกลับกลอกและกลายเป็นไม่เต็มใจที่จะทำงานรับใช้  ในยามที่พวกเขาทำงานอยู่บ้าง พวกเขาก็ถึงกับต้องถูกจับตาดู มิเช่นนั้นพวกเขาก็จะทำงานดังกล่าวอย่างสุกเอาเผากิน  ท้ายที่สุดเมื่อพบว่างานที่พวกเขารับใช้ทำให้เกิดความเสียหายมากกว่าผลดี พวกเขาก็ถูกกำจัดออกไป  บางคนกล่าวว่า “เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่แสดงความรักแก่พวกเขา?”  เรื่องของการแสดงความรักก็มีหลักธรรมอยู่เช่นกัน  คนเหล่านั้นคือผู้ไม่เชื่อ พวกเขาไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือยอมรับความจริง ในขณะที่ทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็มักทำตัวกลับกลอกและสุกเอาเผากินอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งไม่รับฟังเวลามีการสามัคคีธรรมความจริงหรือไม่ยอมรับการตัดแต่งประเภทใดเลย และนี่ย่อมกล่าวได้ว่า พวกเขาเป็นพวกที่เกินเยียวยา  ผลที่ตามมาก็คือ พวกเขาสามารถถูกจัดการได้ด้วยการเอาตัวออกไปหรือกำจัดทิ้งเท่านั้น  หากผู้นำและคนทำงานพบเจอคนประเภทนี้ พวกเขาก็ควรจัดการคนเหล่านี้อย่างทันท่วงที และหากพี่น้องชายหญิงพบเจอคนประเภทนี้ พวกเขาก็ควรรายงานเรื่องนี้ต่อผู้นำและคนทำงานทันที  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกๆ คน  เมื่อยืนยันแล้วว่าบุคคลนี้กำลังอาศัยคริสตจักรในการดำรงชีวิต พวกเขาจ้องแต่จะหาความมั่นคงในการใช้ชีวิตเท่านั้น และพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ อีกทั้งยืนยันแล้วว่าพวกเขาไม่ยอมทำงานเมื่อไม่ได้รับเงิน กลายเป็นไม่เต็มใจและเป็นปฏิปักษ์เมื่อพวกเขารู้สึกว่าตนเองได้ได้รับเงินไม่มากพอ และทำงานบ้างเล็กน้อยเมื่อได้รับเงินมากพอ เช่นนั้นก็ไม่ควรแสดงความผ่อนปรนกับพวกเขา—พวกเขาต้องถูกเอาตัวออกไป!  กล่าวให้ถูกก็คือ ผู้คนเช่นนี้ไม่เหมาะสมแก่การทำงานรับใช้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ  หากเจ้าไม่จ่ายเงินให้พวกเขา พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะทำงานรับใช้ แต่ตราบเท่าที่เจ้าจ่ายเงินให้พวกเขา ถึงแม้พวกเขาจะตระหนักว่าตนเองแค่กำลังทำงานรับใช้ พวกเขาก็ยังเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น  ทว่าผู้ไม่เชื่อเหล่านี้สามารถทำงานรับใช้ประเภทใดได้หรือ?  พวกเขาไม่สามารถทำงานรับใช้ให้ดีได้เสียด้วยซ้ำ และการรับใช้ของพวกเขาก็ไม่ถึงตามมาตรฐาน ดังนั้นพวกเขาจึงควรถูกกำจัดทิ้ง  เพราะฉะนั้นเมื่อแยกแยะแล้วว่าพวกเขาเป็นประเภทที่อาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต สิ่งแรกที่ต้องทำคือจัดการกับพวกเขา และขับไล่พวกเขาจากคริสตจักรในฐานะคนชั่ว  การนี้ไม่มากเกินไปเลย สิ่งนี้สอดคล้องกับหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าในการขับไล่และเอาตัวผู้คนออกไปโดยสมบูรณ์  บุคคลประเภทนี้จำเป็นต้องได้รับโอกาสกลับใจหรือไม่?  จำเป็นต้องเก็บพวกเขาเอาไว้เพื่อสังเกตการณ์หรือไม่?  (ไม่จำเป็น)  พวกเขามีความสามารถในการกลับใจหรือไม่?  (ไม่)  ธรรมชาติของพวกเขาเป็นเช่นนี้เอง พวกเขาจะไม่มีวันกลับใจ  พวกเขาเป็นจำพวกเดียวกับซาตาน  ในบรรดาจำพวกของซาตานนั้น มีบุคคลประเภทหนึ่งซึ่งมีธรรมชาติของอันธพาลเยี่ยงมารผู้ต้องการอาศัยผู้อื่นอยู่ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม และไม่ว่าไปที่ใดก็ไม่ร่วมทำงานอันถูกควร และจ้องแต่จะหลอกลวงและคดโกงผู้คนเท่านั้น  พวกเขาเห็นว่าผู้เชื่อในพระเจ้ามีความเป็นมนุษย์ และทึกทักไปว่าคนเหล่านี้เป็นเหยื่อที่หลอกได้ง่าย ดังนั้นพวกเขาจึงมาที่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่ออาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต  พวกเขาไม่รู้เลยว่า พระนิเวศของพระเจ้าได้แยกแยะและระวังตัวจากพวกเขามานานแล้ว ทั้งยังมีหลักธรรมในการจัดการกับคนอย่างพวกเขา  เมื่อความพยายามที่จะอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตของพวกเขาล้มเหลว พวกเขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟด้วยความอับอาย พลางเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของตนออกมา  เมื่อถึงจุดนั้น เจ้าจะรู้ว่าเหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่มอบโอกาสให้ผู้คนเช่นนั้นกลับใจ—นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  พวกเขาเป็นอันธพาลเยี่ยงมารที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวถึง  ด้วยเหตุนั้น พระนิเวศของพระเจ้าจึงจัดการกับผู้คนเช่นนั้นด้วยการขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไปโดยตรง และไม่ยอมรับพวกเขากลับเข้าคริสตจักรเป็นอันขาด  การจัดการกับพวกเขาในฐานะคนชั่วเป็นเรื่องที่เหมาะสมใช่หรือไม่?  (ใช่)  สามัคคีธรรมหัวข้อนี้ของพวกเราจบลงเพียงเท่านี้

ฉ. เพื่อหาที่หลบภัย

ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงจุดประสงค์ประการที่หก  ผู้ไม่เชื่อประเภทที่หกที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักร นั่นคือ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยจุดประสงค์ของการหาที่หลบภัย  บางคนกล่าวว่า “สิ่งใดเป็นการสำแดงถึงการหาที่หลบภัยหรือ?  มีคนที่เชื่อในพระเจ้าเพื่อหาที่หลบภัยอยู่ด้วยหรือ?  ผู้คนเช่นนั้นมีอยู่จริงหรือ?”  พวกเจ้าเคยได้ยินใครบางคนกล่าวว่า “คริสตจักรเป็นสถานที่หลบภัย ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะแสวงหาที่หลบภัย” บ้างหรือไม่?  หลายคนในศาสนากล่าวเช่นนี้  ในแง่แก่นแท้ของคำกล่าวนี้ ระหว่างคำกล่าวนี้กับจุดประสงค์ที่พวกเรากำลังจะชำแหละ—“การเชื่อในพระเจ้าเพื่อหาที่หลบภัย” มีความแตกต่างอยู่หรือไม่?  (มี)  ความแตกต่างนั้นคืออะไร?  พวกเขาหาที่หลบภัยจากอะไร?  (บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงต่างก็มีความไม่บริสุทธิ์บางอย่างในขณะไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาหวังที่จะหลีกเลี่ยงความวิบัติหรือความลำบากยากเย็น และได้รับสันติสุขบ้างเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม คนที่อยู่ในจุดประสงค์ประเภทที่หกนั้นเชื่อในพระเจ้าเพื่อหาที่หลบภัยเพียงอย่างเดียว และในตัวของพวกเขาก็ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  สิ่งนี้คือความแตกต่าง)  ความแตกต่างในที่นี้เป็นเรื่องระหว่างการมีความไม่บริสุทธิ์ในจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา กับการเชื่อในพระเจ้าด้วยจุดประสงค์ที่จะหาที่หลบภัยเพียงอย่างเดียว  นอกจากความแตกต่างนี้แล้ว ยังมีความแตกต่างอีกประการหนึ่งในแง่ที่ว่าพวกเขากำลังหาที่หลบภัยจากสิ่งใด  คนบางคนมีความไม่บริสุทธิ์ปะปนอยู่ในจุดประสงค์ที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า กล่าวคือ พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ เพื่อให้รอดพ้นจากความวิบัติ หรือเพื่อให้พระเจ้าทรงคุ้มครองและทรงเฝ้าดูแลพวกเขา แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายและความวิบัติบางอย่างได้ตามความจริง  ความวิบัติเหล่านี้เองที่พวกเขามุ่งหมายที่จะหลีกเลี่ยง  คนจำพวกที่อยู่ในจุดประสงค์ประการที่หกที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่—พวกที่เชื่อในพระเจ้าด้วยจุดประสงค์ของการหาที่หลบภัย—หาที่หลบภัยจากสิ่งทั้งหลายในระดับที่กว้างกว่าเดิม  สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งที่ดูเป็นจริงมากที่สุดนั้นมากเกินกว่าการหลีกเลี่ยงความวิบัติที่ยังไม่เกิดขึ้น  สิ่งที่เป็นปัญหาจริงที่สุดสำหรับพวกเขาคืออะไร?  สิ่งทั้งหลายอย่างเช่นการเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขามในสังคม การจัดการเรื่องคดีความ การล่วงเกินเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้มีอิทธิพล การทำผิดกฎหมาย สงคราม หรือภัยพิบัตินานาประการที่เกิดขึ้นในประเทศของพวกเขา หรือการเผชิญหน้ากับคนบางคนหรือเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นภัยต่อชีวิตของพวกเขาและความปลอดภัยของครอบครัวพวกเขา เป็นต้น  หลังจากเผชิญหน้ากับสถานการณ์เหล่านี้แล้ว พวกเขาก็มองหาคริสตจักรที่พวกเขาเชื่อว่าพึ่งพาและไว้วางใจได้เพื่อหาที่หลบภัย นี่คือการหาที่หลบภัยที่ถูกกล่าวถึงในจุดประสงค์ประการที่หก  กล่าวคือ เมื่อพวกเขาเผชิญความยากลำบากบางอย่างในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต ครอบครัว งาน อาชีพของพวกเขา และอื่นๆ พวกเขาก็มายังคริสตจักรเพื่อหาที่หลบภัย มองหาความช่วยเหลือจากกองกำลังที่ประกอบด้วยผู้คนจำนวนมาก  นี่คือการเชื่อในพระเจ้าด้วยจุดประสงค์ของการหาที่หลบภัยดังที่กล่าวถึงในจุดประสงค์ประการที่หก  สิ่งนี้ต่างจากความไม่บริสุทธิ์ของผู้เชื่อที่แท้จริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  บุคคลประเภทนี้มีจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าเพื่อหาที่หลบภัย เพื่อแสวงหาความช่วยเหลือจากคริสตจักร  กล่าวคือ พวกเขาหวังว่าคริสตจักรจะสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขา และนอกเหนือจากความช่วยเหลือด้านการเงินแล้ว พวกเขาก็ยังเรียกร้องให้คริสตจักรให้การปกป้อง การเกื้อหนุน และความช่วยเหลือแก่พวกเขาอีกด้วย  ผู้คนเช่นนี้บางคนต้องการใช้อิทธิพล สถานะ และชื่อเสียงของคริสตจักรในสังคมเพื่อต่อสู้กับระบอบการปกครองที่เลวร้าย หรือกองกำลังชั่วร้ายที่กดขี่และทำร้ายบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เพื่อให้ชีวิตหรือความเป็นอยู่ของพวกเขาได้รับการปกป้อง  นี่คือจุดประสงค์ที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้มีอยู่หรือไม่?  พวกเขาเชื่อว่าคริสตจักรเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สามารถแยกจากการเมืองและสังคมได้ และพวกเขาก็คิดว่าเมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ คริสตจักรก็สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาด้วยความจริงใจและมีเมตตาเพื่อที่จะมอบความช่วยเหลือทางการเงินให้พวกเขา ยืนหยัดเพื่อพวกเขา ปกป้องพวกเขา เป็นตัวแทนของพวกเขาในเรื่องคดีความ รวมถึงต่อสู้เพื่อสิทธิและผลประโยชน์ของพวกเขา  นี่คือจุดประสงค์ที่ผู้คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้า  จวบจนปัจจุบันนี้ ในคริสตจักรก็ยังมีผู้คนเช่นนั้นอยู่ใช่หรือไม่?  พวกเจ้าเคยได้ยินว่ามีผู้คนเช่นนั้นอยู่บ้างหรือไม่?  คริสตจักรที่ต่างประเทศก็ย่อมมีผู้คนเช่นนี้อย่างแน่นอน  คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมกับคริสตจักรเพียงเพื่อจุดประสงค์ของการหาที่หลบภัย  พวกเขาไม่เข้าใจว่าความเชื่อคืออะไร นับประสาอะไรกับการที่พวกเขาจะสนใจในความจริง  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเผชิญความยากลำบากและไม่สามารถหาความช่วยเหลือจากในสังคมได้ พวกเขาก็นึกถึงคริสตจักร และเชื่อว่าคริสตจักรเป็นที่ที่พวกเขาจะสามารถหลบภัยได้อย่างปลอดภัย เป็นเส้นทางหลบหนีที่ดีที่สุด และเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะเชื่อในพระเจ้าและเข้าสู่คริสตจักรเพื่อให้สัมฤทธิ์จุดประสงค์ของการหลีกเลี่ยงความวิบัติ

บัดนี้ความวิบัติกำลังใหญ่หลวงยิ่งขึ้นทุกที และมนุษย์ไม่มีหนทางที่จะดำรงชีวิต  มีบางคนเลือกเชื่อในพระเจ้าโดยบริบูรณ์เพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ  พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ แต่พวกเขาไม่รักความจริงแม้แต่น้อย  หากผู้คนเช่นนี้มาเชื่อในพระเจ้า คริสตจักรควรยอมรับพวกเขาหรือไม่?  ผู้คนมากมายไม่ได้มองเห็นประเด็นปัญหานี้อย่างชัดเจน และคิดว่าคริสตจักควรยอมรับทุกคนที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่  นี่เป็นความผิดพลาดที่น่ากลัวมาก  การที่คริสตจักรตัดสินใจยอมรับใครบางคนนั้นควรขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่และพวกเขาใช่เป้าหมายแห่งความรอดของพระเจ้าหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเต็มใจเชื่อในพระเจ้าหรือไม่  มีมารมากมายที่อยากได้พรและอยากหาหนทางไปต่อผ่านความเชื่อในพระเจ้า—คริสตจักรควรที่จะยอมรับผู้คนเช่นนี้ด้วยกระนั้นหรือ?  สิ่งนี้ไม่เหมือนกับการประกาศข่าวประเสริฐในยุคพระคุณที่ทุกคนล้วนได้รับการยอมรับตราบเท่าที่พวกเขาเชื่อ ในยุคราชอาณาจักร เรื่องที่ว่าใครจะได้รับการยอมรับจากคริสตจักรนั้นมีหลักธรรมและข้อจำกัดของกฎการปกครองของพระเจ้าอยู่  ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม หากพวกเขาไม่รักหรือยอมรับความจริง พวกเขาก็ไม่สามารถได้รับการยอมรับ  เหตุใดผู้คนเช่นนี้จึงไม่ได้รับการยอมรับ?  โดยหลักแล้วผู้คนเช่นนี้ไม่สามารถได้รับการยอมรับเนื่องจากพวกเราไม่สามารถมองเห็นภูมิหลังของพวกเขา หรือมองเห็นว่าพวกเขาเป็นผู้คนจำพวกใดได้อย่างชัดเจนจริงๆ  หากคริสตจักรจะต้องยอมรับมาร คนชั่วผู้มีความเลวร้ายที่น่าชิงชัง ทุกคนย่อมรู้ว่าจะเกิดผลสืบเนื่องที่ร้ายกาจเช่นใดกับคริสตจักร  ยิ่งไปกว่านั้น ในการเชื่อในพระเจ้า พวกเราควรเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ใครที่พระองค์ทรงช่วยให้รอดและใครที่พระองค์ทรงกำจัด  คริสตจักรประกอบด้วยผู้คนแบบใด?  คริสตจักรประกอบด้วยผู้คนที่ยอมรับความรอดของพระเจ้า ผู้ที่รักความจริง ผู้ที่พระเจ้าทรงยอมรับ  พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้ที่ไม่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงและไม่ยอมรับความจริงให้รอด เพราะการไม่ยอมรับความจริงคือปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของคนเรา และบุคคลจำพวกนี้อยู่ในประเภทของซาตานและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ดังนั้นต้องไม่มีวันยอมรับผู้คนเช่นนี้เข้าสู่คริสตจักร  หากใครบางคนยอมรับคนชั่ว มาร เข้าสู่คริสตจักร เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นย่อมเป็นผู้รับใช้ของซาตาน  พวกเขาจงใจมารื้อและทำลายงานของคริสตจักร และพวกเขาเป็นศัตรูของพระเจ้า  การยอมรับมาร ยอมรับศัตรูของพระเจ้าเช่นนั้นเข้าสู่คริสตจักรคือการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและละเมิดกฎการปกครองของพระองค์ และพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ทนต่อการนี้โดยเด็ดขาด  คนชั่ว มาร ต้องไม่ถูกรับเข้ามาในคริสตจักร—นี่คือหนึ่งในจุดยืนและข้อกำหนดที่ชัดเจนของคริสตจักรเกี่ยวกับงานประกาศข่าวประเสริฐ  คริสตจักรไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบแต่อย่างใดในการยอมรับพวกที่เลือกจะเชื่อในพระเจ้าเพื่อหลีกหนีความวิบัติ และคริสตจักรก็ไม่มีวันต้องรับผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อยเข้าสู่คริสตจักร เพราะพระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเช่นนี้ให้รอด  ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือความจริง ผู้ใดก็ตามที่ต้านทานและรังเกียจความจริงย่อมเป็นคนชั่ว และพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  สำหรับผู้ที่ยอมรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาแต่ไม่รักความจริง อีกทั้งถูกจัดอยู่ในประเภทของผู้ไม่เชื่อที่กินขนมปังให้อิ่มท้อง คริสตจักรจะไม่มีวันยอมรับพวกเขาแม้แต่คนเดียว  นี่ยังไม่ได้พูดถึงผู้คนที่ไร้ศีลธรรมในสังคมซึ่งอยากจะมาหาที่หลบภัยภายในคริสตจักร—พวกเขายิ่งไม่ควรได้รับการยอมรับเข้าไปใหญ่  นี่เป็นเพราะคริสตจักรไม่ใช่องค์กรการกุศล แต่เป็นสถานที่ที่พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอด  งานของคริสตจักรไม่เกี่ยวอะไรกับรัฐบาลแห่งชาติ  องค์กรทางสังคมทั้งหลายโน้มน้าวให้ผู้คนทำความดีและวางอาวุธของพวกเขาลงเสีย—นี่เป็นการทำเพื่อประเทศชาติ และไม่เกี่ยวอะไรกับคริสตจักรเลย  หากผู้ใดกล้าดึงคนชั่วที่ไม่มีความเชื่อ มาร หรือผู้ไม่เชื่อเข้ามาในคริสตจักร บุคคลนั้นย่อมก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและละเมิดกฎการปกครองของพระองค์  ผู้ใดก็ตามที่ดึงคนทำชั่ว มารเข้ามาในคริสตจักร ย่อมต้องถูกพระนิเวศของพระเจ้าขับไล่หรือเอาตัวออกไป  นี่คือจุดยืนอันชัดเจนที่คริสตจักรมีต่องานประกาศข่าวประเสริฐ  เมื่อคนชั่วและมารเหล่านี้อยากมาหาที่หลบภัยภายในพระนิเวศของพระเจ้า ควรบอกพวกเขาไปว่าพวกเขามาผิดประตู พวกเขาเลือกสถานที่ผิดแล้ว  คริสตจักรจะไม่ยอมรับพวกเขาอย่างแน่นอน  นี่คือจุดยืนอันชัดเจนที่คริสตจักรมีต่อผู้ไม่มีความเชื่อที่อยากจะมาหาที่หลบภัย  เรื่องนี้ได้รับการชี้แจงอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้ว พวกเราควรรับมือกับผู้คนเช่นนั้นอย่างไร?  อะไรคือหนทางที่เหมาะสมในการบอกพวกเขา?  เจ้ากล่าวว่า “ไม่ว่าประเทศไหนก็มีสภากาชาด องค์กรด้านสวัสดิการ ที่พักพิง และวัดพุทธ รวมไปถึงกลุ่มอาสาสมัครในสังคมทั้งนั้น  หากคุณเผชิญปัญหาและรู้สึกว่ามีความคับข้องใจที่ต้องได้รับการแก้ไข คุณก็สามารถไปหาความช่วยเหลือจากองค์กรเหล่านี้ได้  นอกจากนี้คุณยังสามารถหาที่ลี้ภัยทางการเมือง หรือที่หลบภัยสำหรับผู้ลี้ภัยได้จากรัฐบาล และหากสภาวะด้านการเงินของคุณเอื้ออำนวย คุณก็สามารถจ้างทนายความมาช่วยเหลือเรื่องคดีของคุณได้  แต่นี่คือคริสตจักร นี่คือที่ที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ ที่ที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอด ไม่ใช่ที่ให้คุณมาหาที่หลบภัย  เพราะฉะนั้น การเข้ามาในคริสตจักรของคุณจึงไม่เหมาะสม และการที่คุณอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์  พระเจ้าไม่ทรงยอมรับผู้คนเช่นนั้น และคริสตจักรก็ไม่รับพวกเขาเอาไว้เช่นกัน  ไม่ว่าผู้ไม่มีความเชื่อมีความลำบากยากเย็นอย่างไร พวกเขาก็ควรไปหาความช่วยเหลือจากองค์กรการกุศล หน่วยงานบรรเทาทุกข์ หรือสำนักงานกิจการพลเรือนในสังคม—องค์กรเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการรับใช้ผู้คน การบริจาคและช่วยเหลือผู้อื่น  ไม่ว่าคุณมีข้อเรียกร้องหรือพร่ำบ่นเรื่องใด คุณก็สามารถบอกพวกเขา หรือยื่นคำร้องต่อรัฐบาลได้  นั่นเป็นที่ที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด”  คริสตจักรไม่ยอมรับผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อคนใดทั้งสิ้น  หากใครบางคน “เปี่ยมรัก” เป็นพิเศษ ก็ปล่อยให้พวกเขายอมรับผู้คนเช่นนั้นไว้เสียเองให้จบเรื่อง พวกเขาสามารถเลี้ยงดูผู้คนเช่นนั้นได้ด้วยตนเอง และพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ก้าวก่ายในเรื่องนี้  บางคนอาจจะถามว่า “ถ้าเช่นนั้นคริสตจักรประกาศข่าวประเสริฐทำไมหรือ?  จุดประสงค์ของการประกาศข่าวประเสริฐคืออะไร?”  การประกาศข่าวประเสริญเป็นพระบัญชาของพระเจ้า  บรรดาผู้ที่มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐคือผู้ที่แสวงหาพระเจ้าและหนทางที่แท้จริง ผู้ที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า ผู้ที่รักความจริงและสามารถยอมรับความจริงได้ รวมถึงผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง—มีเพียงผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถประกาศข่าวประเสริฐด้วยได้  สำหรับผู้ที่ไม่แสวงหาพระเจ้า ผู้ที่ไม่มายอมรับความจริงแต่กลับหาที่หลบภัยนั้นย่อมไม่มีการประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเขา  คนเลอะเลือนบางคนไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และกลายเป็นสับสนเมื่อมีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา—คนเหล่านี้เป็นพวกเลอะเลือนที่จะไม่มีวันเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า

ช. เพื่อหาผู้สนับสนุน

จุดประสงค์ประการที่เจ็ดที่ผู้คนมีต่อการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาคือเพื่อหาผู้สนับสนุน  พวกเจ้าเคยเจอผู้คนเช่นนั้นบ้างหรือไม่?  นี่เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างพิเศษ ถึงแม้ว่าคนกลุ่มนี้มีอยู่ไม่มากนัก แต่พวกเขาก็มีอยู่อย่างแน่นอน  นี่เป็นเพราะคริสตจักรของพระเจ้าไม่ได้ปรากฏขึ้นแค่ในประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังปรากฏในทวีปเอเชีย ยุโรป อเมริกา และนานาประเทศในทวีปแอฟริกาอีกด้วย ดังนั้นบรรดาคนที่ชอบฉวยโอกาสและผู้ไม่เชื่อจึงปรากฏตัวพร้อมกับคริสตจักรเหล่านี้  ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้มีแนวโน้มในการปรากฏตัวอย่างไร ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม เมื่อผู้คนเหล่านี้ปรากฏตัว พวกเจ้าก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาและแยกแยะพวกเขา และไม่ปล่อยให้ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ได้รับสถานะหรือก่อการรบกวนในคริสตจักร  หากพวกเจ้าคิดว่าปัญหาเหล่านี้ไม่มีอยู่เพราะพวกเขายังไม่ปรากฏตัวหรือเพราะเจ้ายังไม่ได้เผชิญหน้ากับพวกเขา นี่ย่อมเป็นแนวคิดที่โง่เขลา  เมื่อปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น หากเจ้าไม่มีวิจารณญาณแยกแยะและไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร เจ้าย่อมจะนำอันตรายซ่อนเร้นใหญ่หลวงมาสู่คริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า พี่น้องชายหญิง และงานของคริสตจักร  ดังนั้นก่อนที่จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าประเด็นปัญหาใดที่ควรเผชิญหน้าและจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างไร  นี่เป็นทางที่ดีที่สุด นี่คือการคุ้มครองที่มองไม่เห็นสำหรับเจ้า  ผู้คนที่ถูกกล่าวถึงในจุดประสงค์ประการที่เจ็ดของการเชื่อในพระเจ้า บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเพื่อหาผู้สนับสนุนนั้นมีจำนวนไม่น้อย  สังคมนี้เต็มไปด้วยความอยุติธรรม การเลือกปฏิบัติ และการกดขี่ในทุกหนแห่ง  ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในทุกระดับชั้นของสังคมต่างเต็มเปี่ยมด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์และความเกลียดชังต่อความอยุติธรรมนานาประการในสังคม ทั้งยังเต็มเปี่ยมด้วยความโกรธ  อย่างไรก็ตาม การหนีจากความอยุติธรรมของโลกมนุษย์นั้นไม่ง่ายเว้นเสียแต่เจ้าหายไปจากโลกนี้  ตราบเท่าที่คนเราใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ ตราบเท่าที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ พวกเขา—ในระดับที่แตกต่างกัน ไม่ว่ามากหรือน้อย—ย่อมจะถูกกลั่นแกล้งและถูกทำให้อับอาย และอาจถึงกับถูกไล่ล่าและข่มเหงจากกำลังบังคับบางอย่างที่มีอำนาจเสียด้วยซ้ำ  ความอยุติธรรมและความไม่เท่าเทียมต่างๆ ส่งผลให้เกิดความเครียดอย่างใหญ่หลวงต่อสภาพจิตใจของผู้คน ทำให้พวกเขาเกิดความกดดันทางจิตใจอย่างมีนัยสำคัญ และแน่นอนว่าเกิดความไม่สะดวกสบายมากมายต่อชีวิตปกติของผู้คน  ผลก็คือบางคนอดไม่ได้ที่จะเกิดแนวคิดบางอย่างขึ้นมาว่า “การที่คนคนหนึ่งจะสร้างตัวในสังคมนี้ พวกเขาต้องมีแรงหนุนอยู่เบื้องหลังให้พึ่งพา  ในยามที่พวกเขาเผชิญกับความยากลำบากและต้องการความช่วยเหลือ หรือในยามที่พวกเขาตัวคนเดียวและสิ้นหวัง ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่หนุนหลังพวกเขาและเป็นคนคอยตัดสินใจ จัดการปัญหาและเรื่องยุ่งยากที่พวกเขาเผชิญ หรือดูให้มั่นใจถึงสิ่งสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตของพวกเขา”  ด้วยเหตุนั้น คนเหล่านี้บางคนจึงเพียรพยายามที่จะหาการเกื้อหนุนเช่นนั้น  แน่นอนว่า ท้ายที่สุดคนบางคนก็ได้พบกับคริสตจักร  พวกเขาเชื่อว่าผู้คนในคริสตจักรเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน แต่ละคนต่างมีความเชื่อ มีเจตนาที่ดี และกระทำการอย่างมีเมตตาต่อผู้อื่น อยู่ห่างจากความขัดแย้งในสังคม และตีตนออกหากจากกระแสชั่วของสังคม  สำหรับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า คริสตจักรย่อมเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรมที่ยิ่งใหญ่ในสังคมและในโลกนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ผู้คนในคริสตจักรต่างมีภาพลักษณ์ที่ดี มีเมตตา และเป็นบวกในใจของผู้คน  คนบางคนเลือกเชื่อในพระเจ้าเพราะพวกเขาอยู่ในระดับต่ำสุดของสังคม ไม่มีอำนาจในสังคมแต่อย่างใด ทั้งยังไร้ซึ่งภูมิหลังทางครอบครัวที่ดีโดยสิ้นเชิง  พวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นนานาประการในเรื่องของการได้รับการศึกษา การหาเพื่อน การหางาน หรือการทำสิ่งต่างๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่า การที่จะอยู่รอดและสร้างตัวในสังคมนี้ได้ พวกเขาต้องมีใครบางคนมาช่วยเหลือพวกเขา  ตัวอย่างเช่น เวลาหางานทำ หากพวกเขาพึ่งพาตนเอง เฝ้าตามหาโอกาสในการทำงานครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้จุดมุ่งหมาย เงินเก็บของพวกเขาก็อาจจะเกือบหมดลงโดยไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะได้เจองานที่เหมาะสม  แต่หากพวกเขาได้รับการช่วยเหลือในการหางานจากคนที่ไว้วางใจได้ซึ่งช่วยเหลือพวกเขาด้วยใจจริง เรื่องยุ่งยากที่พวกเขาต้องเผชิญย่อมน้อยลงมาก และเวลาที่ต้องใช้ในการหางานก็น้อยย่อมลดลงอย่างยิ่ง  ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงเชื่อว่าหากพวกเขาสามารถหาผู้สนับสนุนเช่นนั้นได้ เมื่อถึงคราวที่พวกเขาต้องจัดการกับทุกเรื่องในสังคม—อย่างเช่น การได้รับการศึกษา การหางาน หรือแม้กระทั่งชีวิตประจำวันและความอยู่รอดของพวกเขา—ก็ย่อมจะมีคนที่ใช้เส้นสายและเกื้อหนุนพวกเขา มีคนกลุ่มหนึ่งที่กระตือรือร้นช่วยเหลือพวกเขาอยู่เบื้องหลัง  เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเขาพบเจอคริสตจักร พวกเขาก็รู้สึกว่าตนเองได้พบกับสถานที่ที่ถูกต้อง  คริสตจักรกลายเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างมากในการที่พวกเขาจะสร้างตัวในสังคมและสัมฤทธิ์ชีวิตที่สงบสุข  ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าเป็นเรื่องของการไปหาหมอ การซื้อของ การซื้อประกัน การซื้อบ้าน การช่วยเลือกโรงเรียนให้ลูกๆ ของพวกเขา หรือแม้แต่การรับมือกับเรื่องใดก็ตาม พวกเขาก็สามารถหาคนที่เปี่ยมรักในคริสตจักรให้ยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้  ในหนทางนี้ ชีวิตของพวกเขากลายเป็นสะดวกสบายขึ้นมาก พวกเขาไม่ได้อยู่ในสังคมเพียงลำพังอีกต่อไป และความยากลำบากในการรับมือกับเรื่องทั้งหลายก็ลดลงอย่างมาก  ดังนั้นแล้ว การมาที่คริสตจักรเพื่อเชื่อในพระเจ้าจึงมอบประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมให้แก่พวกเขา  ต่อให้พวกเขาไปหาหมอ พี่น้องชายหญิงก็จะหาคนรู้จักที่โรงพยาบาลเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขา พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากคนเหล่านั้นเพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดในการซื้อสินค้า และแม้กระทั่งซื้อบ้านในราคาของคนวงใน  ปัญหาทั้งปวงได้รับการแก้ไขด้วยความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร  พวกเขารู้สึกว่า “การเชื่อในพระเจ้านั้นยอดเยี่ยมเหลือเกิน!  ตอนนี้ทั้งการหางานทำ การจัดการธุระต่างๆ และการซื้อของล้วนสะดวกสบาย!  เมื่อไรที่ฉันต้องการอะไรบางอย่าง ฉันแค่ต้องโทรศัพท์หรือส่งข้อความไปในกลุ่ม และทุกคนก็จะร่วมแรงร่วมใจกันยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ  ในคริสตจักรมีคนจิตใจดีอยู่มากมาย การจัดการกับเรื่องทั้งหลายช่างสะดวกเหลือเกิน!  การหาผู้สนับสนุนไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรฉันก็จะไม่ไปจากคริสตจักรเด็ดขาด  แต่การชุมนุมในพระนิเวศของพระเจ้ามักเกี่ยวข้องกับการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมความจริงอยู่เสมอ ซึ่งนั่นทำให้ฉันรู้สึกกระอักกระอ่วนและขัดแย้งอยู่ในใจ  ฉันไม่เต็มใจที่จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ทั้งยังรู้สึกรังเกียจเวลาได้ยินการสามัคคีธรรมความจริง  แต่หากฉันไม่ฟัง นั่นก็ย่อมจะไม่ได้การ—ฉันไปจากพวกเขาไม่ได้  พวกเขาช่วยเหลือฉันมากมายเหลือเกิน  หากฉันไม่ยอมฟัง ฉันก็จะรู้สึกอับอาย และการพูดว่าฉันไม่เชื่ออีกต่อไปแล้วก็จะเป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนเช่นเดียวกัน ดังนั้นฉันจึงต้องทำตามน้ำ และพูดสิ่งที่ดีเข้าไว้”  อันที่จริง ในหัวใจของพวกเขาไม่ต้องการที่จะเชื่อ แต่พวกเขาทำได้เพียงเก็บซ่อนความรู้สึกนี้เอาไว้เท่านั้น  บางคนกล่าวว่า “คุณจะเห็นพวกเขาขอร้องให้พี่น้องชายหญิงจัดการเรื่องต่างๆ และเห็นพวกเขาค่อนข้างมีความสุขเมื่อพี่น้องชายหญิงให้ความช่วยเหลือเท่านั้น—คุณย่อมแยกแยะได้ว่า จุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาคือเพื่อหาผู้สนับสนุนจากการนี้เพียงอย่างเดียวใช่หรือไม่?”  นอกเหนือจากการสำแดงเหล่านี้ จงดูว่าปกติแล้วพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงหรือไม่ พวกเขาสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนและมีความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้บ้างหรือไม่ สิ่งนี้จะทำให้เจ้ารู้ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงหรือไม่  พวกที่หาผู้สนับสนุนนั้นเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อใช้คริสตจักรและพี่น้องชายหญิงจัดการเรื่องต่างๆ ให้พวกเขาและแก้ไขความยากลำบากในชีวิตของพวกเขา  แต่คนเหล่านี้ไม่เคยเอ่ยถึงการทำหน้าที่ของตน และไม่เคยกินและดื่มหรือสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้าเลย  ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่ามีหนทางที่เข้าท่าบางอย่างในการจัดการสิ่งต่างๆ ให้เรียบร้อย พวกเขาก็กลายเป็นตื่นเต้นสุดขีด พวกเขาเริ่มพูดจ้อไม่หยุดและไม่สามารถขัดจังหวะได้เสียด้วยซ้ำ  แต่เมื่อเป็นเรื่องของการทำหน้าที่หรือการทำตัวซื่อสัตย์และไม่พูดปดหรือคดโกงผู้อื่น พวกเขากลับเงียบสนิท  ในหัวใจของพวกเขาไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้—ไม่ว่าเจ้าพูดด้วยความรู้สึกอันแรงกล้าเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีการตอบสนองและไม่มีส่วนร่วม พวกเขาถึงกับพยายามที่จะขัดจังหวะเจ้าอยู่เนืองๆ และเปลี่ยนเรื่องเป็นหัวข้อที่พวกเขาสนใจ  พวกเขาเค้นสมองคิดหนหนทางที่จะทำให้พี่น้องชายหญิงทำสิ่งทั้งหลายเพื่อพวกเขาและพยายามเพื่อพวกเขา โดยไม่ต้องการให้โอกาสพี่น้องชายหญิงได้กล่าวถึงการทำหน้าที่หรือการสละตนเองเพื่อพระเจ้า  หากผู้ใดแนะนำให้พวกเขาทำหน้าที่และสละตนเพื่อพระเจ้า พวกเขาก็จะรีบหาเรื่องด่วนของตนเองมาเสนอแทน ในขณะที่พี่น้องชายหญิงจัดการเรื่องนี้ให้พวกเขา พวกเขาก็กลับไม่เต็มใจที่จะพยายามทุ่มเทเพื่อพระนิเวศของพระเจ้า สนองข้อเรียกร้องของพี่น้องชายหญิงได้อย่างฉิวเฉียด และเมื่อเรื่องส่วนตัวของพวกเขาได้รับการจัดการเรียบร้อย พวกเขาก็ทำตัวเย็นชาใส่พี่น้องชายหญิง  เพื่อที่จะคงการติดต่อกับคริสตจักร เพื่อไม่ให้เสียผู้สนับสนุนอย่างคริสตจักร และผู้ที่ให้ความช่วยเหลืออย่างพี่น้องชายหญิงไป พวกเขาก็คอยติดต่อทุกคนที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างใกล้ชิด หมั่นถามไถ่คนเหล่านั้นด้วยความห่วงใย พูดสิ่งที่เอาใจใส่และไม่จริงใจเพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้  พวกเขาพูดว่าตนเองเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้ามากเพียงใด พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขามากเพียงใด พระเจ้าประทานพระคุณให้พวกเขามากมายแค่ไหน และพวกเขามักจะปาดน้ำตา รู้สึกติดหนี้พระเจ้าและเต็มใจที่จะตอบแทนความรักของพระเจ้าอย่างไร—การนี้ก็เพื่อหลอกลวงพี่น้องชายหญิงให้ได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา  เมื่อใครบางคนไม่คุ้มที่จะใช้ประโยชน์อีกต่อไป พวกเขาก็ปิดกั้นและลบข้อมูลติดต่อของคนเหล่านั้นทันที  พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาประจบประแจง เอาอกเอาใจ และตีสนิทกับคนที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากที่สุด คนที่คุ้มค่าแก่การเอาเปรียบมากที่สุด  สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่คุ้มค่าแก่การเอาเปรียบ คนเฉกเช่นพวกเขาที่ไม่มีอิทธิพลหรือสถานะในสังคม ทั้งยังอยู่ในชนชั้นล่างของสังคมโดยไม่มีใครให้พึ่งพา พวกเขาก็ไม่ชายตามองเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาคบหาแต่กับคนที่คุ้มค่าที่จะเอาเปรียบและมีเส้นสายในสังคม คนที่พวกเขามองว่ามีความสามารถเท่านั้น  พวกเขาจะสามารถพยายามทุ่มเทและสู้ทนความยากลำบากเพื่อคริสตจักรได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาต้องการบางสิ่งบางอย่างจากคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิงเท่านั้น  โดยแท้แล้ว คนเช่นนั้นมีการสำแดงของผู้ไม่เชื่อที่ชัดเจนมาก  เวลาอยู่ที่บ้านพวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าในยามที่ไม่มีเรื่องยากลำบาก ทั้งยังไม่มีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง  พวกเขาไม่ร้องขอที่จะทำหน้าที่ และไม่เป็นฝ่ายเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมกับงานของคริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไม่เคยแข็งขันที่จะมีส่วนร่วมในงานที่อันตรายเลย  ต่อให้พวกเขาตกลงที่จะทำงานนี้ พวกเขาก็แสดงความไม่อดทนอย่างยิ่งออกมา และพวกเขาจะพยายามทุ่มเทสักเล็กน้อยด้วยความไม่เต็มใจเมื่อถูกเรียกหรือถูกเชิญเท่านั้น   สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงของผู้ไม่เชื่อ  การไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า การไม่ทำหน้าที่—แม้แต่การที่พวกเขามีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรด้วยความไม่เต็มใจนั้น สิ่งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะสูญเสียชุมชนพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของพวกเขาไป  พวกเขารักษาความสัมพันธ์กับผู้คนเหล่านี้เพียงเพื่อให้ตนเองจัดการเรื่องทั้งหลายในอนาคตได้สะดวกมากขึ้น  เมื่อผู้คนเช่นนั้นยืนหยัดในสังคม มีที่ให้ลงหลักปักฐานและเริ่มต้นชีวิตได้ และเมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จในโลกใบนี้ รวมถึงมีอิทธิพลและโอกาสสำหรับอนาคตที่เปล่งประกาย พวกเขาก็จะรีบไปจากคริสตจักรโดยไม่ลังเล ตัดสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง และขาดการติดต่อไป  หากมีผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐซึ่งเป็นคนที่พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีและเจ้าต้องการติดต่อไปเพื่อประกาศข่าวประเสริฐกับคนคนนั้น เจ้าจะไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้  พวกเขาไม่เพียงตัดสัมพันธ์กับคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังจบมิตรภาพกับคนบางคนอีกด้วย  พวกเขาได้เผยตัวว่าเป็นผู้ไม่เชื่อแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วคริสตจักรควรจัดการกับผู้คนเช่นนั้นอย่างไร?  (เอาตัวพวกเขาออกไป)  พวกเราควรให้โอกาสพวกเขา แสดงความเข้าใจในความอ่อนแอของพวกเขาและความยากลำบากในขีวิตของพวกเขา รวมถึงเกื้อหนุนและช่วยเหลือพวกเขาให้มากขึ้นเพื่อให้พวกเขาสามารถมาเชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ เกิดความสนใจในความจริง และสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่?  จำเป็นต้องทำงานเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่จำเป็น)  เหตุใดจึงไม่จำเป็น?  (เพราะผู้คนเหล่านี้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเชื่อในพระเจ้าแต่อย่างใด)  ถูกต้อง พวกเขาไม่ได้มาเพื่อเชื่อในพระเจ้า เป้าหมายของพวกเขาชัดเจนมาก—พวกเขามาที่นี่เพื่อหาผู้สนับสนุน  ดังนั้นแล้ว การสามัคคีธรรมความจริงกับผู้คนเช่นนั้นจะสามารถสัมฤทธิ์ผลใดได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาจะไม่ยอมรับฟัง พวกเขาไม่ให้ค่ากับความจริง ไม่ต้องการความจริง และไม่สนใจในความจริงเลย

พวกเราควรอธิบายบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อหาผู้สนับสนุนอย่างไร?  การอธิบายพวกเขาว่าเป็นคนที่ยกผลประโยชน์ของตนไว้เหนือทุกสิ่งนั้นค่อนข้างที่จะเหมาะสม  ตราบเท่าที่พวกเขาเห็นว่าใครบางคนเป็นประโยชน์และเป็นผลดีต่อพวกเขา พวกเขาก็จะทำทุกอย่างที่คนคนนั้นร้องขอ พวกเขาจะถึงกับทำตามทุกอย่างที่คนคนนั้นสั่งเสียด้วยซ้ำ  พวกเขายกผลประโยชน์ของตนไว้เหนือทุกสิ่ง ตราบเท่าที่บางสิ่งเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา นั่นก็ย่อมไม่เป็นไร  หากเจ้าบอกพวกเขาว่าการเชื่อในพระเจ้าจะนำมาซึ่งพรและผลประโยชน์ พวกเขาก็จะเชื่อในพระองค์และทำทุกสิ่งที่เจ้าขอให้ทำอย่างแน่นอน  ตราบเท่าที่ความสามารถในการจัดการกับเรื่องทั้งหลายในสังคมของเจ้าเป็นไปตามที่พวกเขาต้องการและเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาจะคบหากับเจ้าอย่างแน่นอน  อย่างไรก็ตาม การที่พวกเขาคบหากับเจ้าไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถเชื่อในพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจอย่างที่เจ้าทำ  ต่อให้พวกเขาเข้ากับเจ้าได้ดีและเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีเป็นพิเศษ นี่ก็ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าพวกเจ้าพูดภาษาเดียวกัน เดินบนเส้นทางเดียวกัน หรือมีการไล่ตามเสาะหาที่เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น เจ้าต้องไม่ถูกผู้คนเช่นนั้นชักพาให้หลงผิด  คนเหล่านี้นั้นลื่นไหลและมีกลยุทธ์ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น  จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาคือเพื่อหาผู้สนับสนุน ไม่ใช่เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและสัมฤทธิ์ความรอด  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยที่ต่ำช้าและมืดมิดเหลือเกิน!  พวกเขามาที่คริสตจักรเพื่อหาคนที่พวกเขาจะสามารถเอาเปรียบได้ สมคบคิดกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์นานาประการให้กับตนเอง  สิ่งนี้หมายความว่าผู้คนเช่นนั้นมีความสามารถในการปฏิบัติตนอย่างไร้ยางอาย และสามารถทำเรื่องหน้าไม่อายได้ทุกอย่างมิใช่หรือ?  (ใช่)  แค่จากข้อเท็จจริงที่ว่าจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาคือเพื่อหาผู้สนับสนุนและรักษาชีวิตของตนให้มั่นคง ก็ชัดเจนแล้วว่าผู้คนเหล่านี้ไม่มีอะไรดี อีกทั้งพวกเขาเป็นพวกที่มีลักษณะนิสัยต่ำช้า เห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และโสโครก อาศัยอยู่ในความมืดอย่างหนักหนา  ด้วยเหตุนั้น หลักธรรมของคริสตจักรในการจัดการกับคนเหล่านี้ก็ควรจะเป็นการแยกแยะพวกเขา แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไป  เมื่อเจ้าแยกแยะว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง ว่าพวกเขามาที่คริสตจักรโดยมองหาทางออกและหาประโยชน์ ต้องการใช้ประโยชน์จากพี่น้องชายหญิงในการจัดการเรื่องทั้งหลายและทำงานรับใช้พวกเขา เช่นนั้นแล้วในกรณีเช่นนั้น ผู้นำและคนทำงาน รวมถึงพี่น้องชายหญิงก็ควรจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างถูกต้องและทันท่วงที  จงขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิง  พวกเขาไม่ควรได้รับอนุญาตให้แฝงตัวอยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงต่อไป  พวกเขาไม่ใช่เป้าหมายแห่งความรอดของพระเจ้า  เมื่อบุคคลเช่นนั้นแฝงตัวอยู่ในหมู่พวกเจ้า พวกเขาก็ใช้จับตาดูอยู่ตลอดเวลาด้วยความละโมบว่าใครคุ้มค่าที่แก่การเอาเปรียบ  พวกเขามักคิดคำนวณอยู่เสมอว่าในคริสตจักรมีคนที่พวกเขาสามารถใช้งานได้หรือไม่—คนที่มีญาติพี่น้องทำงานอยู่ในโรงพยาบาล คนที่รู้วิธีรักษาโรคต่างๆ หรือมีวิธีรักษาลับเฉพาะ คนที่สามารถซื้อของจากร้านค้าได้ในราคาขายส่ง ครอบครัวของพี่น้องชายคนใดทำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ใครที่สามารถซื้อบ้านได้ในราคาคนวงใน—พวกเขาสืบค้นเรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะ  ผู้คนเหล่านี้ช่างละเอียดถี่ถ้วนในการคิดคำนวณเหลือเกิน!  พวกเขาคิดคำนวณแม้กระทั่งกับเรื่องเล็กน้อย ทั้งยังอยากวางอุบายใส่พี่น้องชายหญิง และวางแผนเพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากพี่น้องชายหญิงเหล่านั้น  พวกเขาสืบค้นภูมิหลังทางครอบครัวของทุกคน และเก็บทุกคนเอาไว้ให้อยู่ในขอบเขตของกลอุบายและการสมคบคิดของพวกเขา  ในยามที่ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเช่นนั้น หัวใจของเจ้าสามารถรู้สึกถึงสันติสุขได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เจ้าควรทำอย่างไรหากไม่มีสันติสุข?  เจ้าควรระวังตัวจากผู้คนเช่นนั้น  คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้าด้วยแรงจูงใจแอบแฝง พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงหรือความรอด แต่มาเพื่อตามหาผู้สนับสนุน หาการหาเลี้ยงชีพ และทางออกให้กับตนเอง  ผู้คนเช่นนั้นเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และมีเล่ห์เหลี่ยมเป็นพิเศษ  พวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่หรือสละตนเพื่อพระเจ้าเลย  เมื่อคริสตจักรต้องการให้พวกเขาทำอะไรบางอย่าง พวกเขาก็หายตัวไปโดยไม่มีใครหาพบ แต่เมื่อเรื่องดังกล่าวจบลงพวกเขาก็ปรากฏตัวอีกครั้ง  ผู้คนเหล่านี้รู้จักเพียงการเอาเปรียบเท่านั้น และการปล่อยให้พวกเขายังคงอยู่ในคริสตจักรก็ไม่มีประโยชน์ การนี้จำเป็นต้องใช้วิธีการนานาประการเพื่อชำระพวกเขาออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  บางคนกล่าวว่า “การจัดการกับคนหนึ่งคนต้องใช้วิธีการที่หลากหลายจริงหรือ?”  คริสตจักรมีคนอยู่ทุกประเภท หลายคนเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อหาผู้สนับสนุนและหาทางออก เพื่อให้ได้รับพร หรือเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ  สิ่งที่แตกต่างกันมีเพียงความร้ายแรงของแรงจูงใจเหล่านี้เท่านั้น บางคนแสดงพฤติกรรมประเภทหนึ่งออกมา ขณะที่คนอื่นๆ แสดงพฤติกรรมอีกประเภทหนึ่ง  ด้วยเหตุนั้น ผู้คนที่แตกต่างกันจึงต้องได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน มีเพียงการนี้เท่านั้นที่สอดคล้องกับหลักธรรม  สำหรับผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ที่กำลังมองหาผู้สนับสนุน พวกเขาต้องถูกชำระออกไปอย่างทันท่วงที  อย่าปล่อยให้พวกเขาเกาะคริสตจักร  พวกเขาขอให้พี่น้องชายหญิงจัดการเรื่องทั้งหลายให้กับพวกเขา—ในเมื่อที่จริงแล้ว การช่วยเหลือพวกเขาจัดการเรื่องทั้งหลายต้องใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้รับความช่วยเหลือแม้เพียงเล็กน้อยนี้เล่า?  ประเด็นแรก เรื่องสำคัญก็คือผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง  ประเด็นที่สองก็คือ ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนจากการไม่เชื่อมาสู่การเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงได้  พวกเขาไม่ใช่คนที่พระเจ้าทรงลิขิตและเลือกสรรเอาไว้ พวกเขาไม่ใช่เป้าหมายแห่งความรอดของพระองค์—ในทางกลับกัน พวกเขาคือคนทำชั่วที่แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร  ประเด็นที่สามก็คือ ผู้คนเหล่านี้วิ่งพล่านไปทั่วคริสตจักร แสวงหาความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงอยู่เสมอไม่ว่าปัญหาที่พวกเขาเผชิญจะหนักหนาแค่ไหน ซึ่งเป็นการคุกคามพี่น้องชายหญิงอย่างแนบเนียน ขณะเดียวกันก็สร้างบรรยากาศอันเป็นลบอย่างร้ายแรงภายในคริสตจักรซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลร้ายต่อทุกคน  ด้วยเหตุนั้น การชำระมารที่เชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อหาผู้สนับสนุนเหล่านี้ออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด  หากเจ้ายังไม่ได้ระบุชี้พวกเขาหรือรับรู้ว่าพวกเขาเป็นคนประเภทนี้ เจ้าก็สามารถเก็บพวกเขาไว้เพื่อสังเกตการณ์ได้  เมื่อเจ้าแยกแยะและมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในบรรดาคนชั่วต่างๆ นานาที่พระนิเวศของพระเจ้าจำเป็นต้องเอาตัวออกไป จงอย่าลังเลหรือแสดงความเห็นอกเห็นใจแก่พวกเขา  หลังจากหารือกับทุกคนและได้ข้อสรุปร่วมกันแล้ว เจ้าก็สามารถเอาตัวพวกเขาออกไปได้  หากผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรเพิกเฉยเรื่องนี้ ตราบเท่าที่พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ยืนยันว่าพวกเขาคือคนประเภทที่เชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อหาผู้สนับสนุนและหาทางออก เจ้าก็มีสิทธิ์เอาตัวพวกเขาออกไปโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านผู้นำเทียมเท็จ  การทำเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงโดยสมบูรณ์  นี่เป็นสิทธิ์ของพวกเจ้า ภาระผูกพันของพวกเจ้า หน้าที่รับผิดชอบของพวกเจ้า การนี้ก็เพื่อปกป้องพวกเจ้าเอง  แน่นอนว่า เมื่อพี่น้องชายหญิงซึ่งเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงเผชิญความยากลำบาก พวกเราก็มีหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันในการช่วยเหลือพวกเขาอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะด้วยความช่วยเหลือและการเกื้อหนุนอันเปี่ยมรัก หรือผ่านการช่วยเหลือทางวัตถุ  นี่คือความรักในหมู่พี่น้องชายหญิง เป็นความรักของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือภาระผูกพันในการช่วยเหลือผู้ไม่เชื่อเพราะพวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหญิง และไม่สมควรได้รับพระคุณนี้หรือความช่วยเหลือเหล่านั้น  นี่คือการปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรม  ขอจบการสามัคคีธรรมถึงจุดประสงค์ประการที่เจ็ดของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเราแต่เพียงเท่านี้  ไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่างเฉพาะเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้คนประเภทนี้  สรุปก็คือ ผู้ที่มีจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าเพื่อหาผู้สนับสนุนคือใครบางคนที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักร  เมื่อผู้นำและคนทำงานแยกแยะว่ามีผู้คนเช่นนั้นอยู่ในคริสตจักร พวกเขาก็ควรเอาตัวคนเหล่านั้นออกไปอย่างทันท่วงที  จงเอาแต่ละคนที่เจ้าพบออกไปเสีย อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว  หากพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ถูกคุกคามจนถึงจุดที่รู้สึกสิ้นหวังและไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งผู้นำและคนทำงานยังคงปกป้องพวกเขาโดยกล่าวว่า “พวกเขามีเรื่องยากลำบาก พวกเราควรช่วยเหลือพวกเขา” เช่นนั้นก็ควรบอกผู้นำเช่นนั้นไปว่า “พวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าแต่อย่างใด  พวกเขาทำเป็นหูทวนลมใส่คนที่สามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขา และไม่ยอมทำหน้าที่ที่ถูกบอกให้ทำ  พวกเขาไม่เคยมีเจตนาที่จะสละตนเพื่อพระเจ้าเลย และพวกเขาเพียงต้องการที่จะใช้พี่น้องชายหญิงให้จัดการเรื่องทั้งหลายของพวกเขา  พวกเราไม่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือภาระผูกพันในการช่วยเหลือผู้ไม่เชื่อเช่นนั้น!”  ต่อให้ผู้นำคริสตจักรจะไม่เห็นชอบ พวกเจ้าก็มีสิทธิ์ในการรวมตัวกับคนหมู่มากเพื่อเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร  หากถึงจุดนี้แล้วคริสตจักรยังคงไม่เห็นด้วย เช่นนั้นก็จงรายงานเรื่องนี้ต่อระดับสูง แยกตัวผู้นำคนนั้นออกไปและปล่อยให้พวกเขาคิดทบทวน  หากพวกเขาเห็นด้วย พวกเจ้าก็สามารถยอมรับความเป็นผู้นำของพวกเขาได้  หากพวกเขายังคงไม่เห็นด้วยต่อไป พวกเจ้าก็สามารถปลดพวกเขาและเลือกตั้งผู้นำคนใหม่ได้  นี่คือจุดประสงค์ประการที่เจ็ดของการเชื่อในพระเจ้า เพื่อหาผู้สนับสนุนนั่นเอง

ซ.เพื่อไล่ตามไขว่คว้าจุดมุ่งหมายทางการเมือง

ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับจุดประสงค์ประการที่แปด นั่นคือ การเชื่อในพระเจ้าด้วยจุดประสงค์ทางการเมืองและจุดมุ่งหมายทางการเมือง  ความเป็นไปได้ที่บุคคลเช่นนั้นจะปรากฏตัวมีไม่มากนัก แต่ไม่ว่าเป็นไปได้มากเพียงใด ตราบเท่าที่มีโอกาสที่คนเหล่านี้จะปรากฏตัวขึ้น พวกเราก็ควรระบุตัวอย่างเกี่ยวกับพวกเขาออกมาเป็นข้อๆ และเปิดโปง สามัคคีธรรม และระบุลักษณะของพวกเขา  พวกเราต้องทำเช่นนี้เพื่อให้ทุกคนมีวิจารณญาณแยกแยะเกี่ยวกับพวกเขา แล้วจากนั้นพวกเขาก็สามารถถูกเอาตัวออกไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาและอันตรายต่อคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง  นี่เป็นการทำเพื่อปกป้องคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง  ด้วยเหตุนั้น บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยจุดมุ่งหมายทางการเมืองจึงเป็นคนที่พวกเราควรแยกแยะและระวังเอาไว้ และพวกเขาก็เป็นคนชั่วที่คริสตจักรควรเอาตัวออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  สิ่งใดเป็นการสำแดงของผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมือง?  พวกเขาจะไม่พูดถึงความคิดที่แท้จริงของพวกเขาให้เจ้าฟัง  พวกเขาจะไม่พูดอย่างชัดเจนว่า “ฉันสนใจแค่เรื่องการเมือง ฉันชอบมีส่วนร่วมทางการเมือง ดังนั้นฉันจึงเชื่อในพระเจ้าด้วยจุดมุ่งหมายทางการเมืองและจุดประสงค์ทางการเมือง ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นใดทั้งสิ้น  คุณสามารถจัดการฉันได้ตามสมควร”  พวกเขาจะกล่าวเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  แล้วการสำแดงใดของพวกเขาที่ช่วยให้เจ้าแยกแยะว่าพวกเขามีจุดมุ่งหมายทางการเมือง?  กล่าวคือ คำใดที่พวกเขาพูด สิ่งใดที่พวกเขากระทำ สีหน้าท่าทาง แววตา และน้ำเสียงในการพูดเช่นไรของพวกเขาที่มากพอให้เจ้ายืนยันว่าจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาไม่บริสุทธิ์?  ไม่ว่าพวกเขาพูดหรือทำสิ่งใด พวกเขาก็แอบซ่อนสิ่งทั้งหลายไว้ในหัวใจของตน และไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งถึงสิ่งเหล่านั้นได้  พวกเขามีอัตลักษณ์และภูมิหลังเฉพาะ จากคำพูดและพฤติกรรมของพวกเขา ย่อมเห็นได้ว่าพวกเขามีอุบายและแผนการ อีกทั้งวิธีการพูดและกระทำสิ่งต่างๆ ของพวกเขาก็มีกลยุทธ์  ในยามที่พวกเขาพูด คนทั่วไปนั้นไม่สามารถเข้าใจแรงจูงใจหรือความคิดที่แท้จริงของพวกเขาได้ และไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงกล่าวสิ่งนั้นออกมา  ถึงแม้ว่าจากภายนอกแล้วผู้คนเหล่านี้จะไม่ได้แสดงออกซึ่งความเป็นศัตรูหรือการตัดสินต่อการเชื่อในพระเจ้าหรือการสามัคคีธรรมความจริง และอาจจะแสดงออกถึงความชื่นชอบในสิ่งเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ เจ้าจะเพียงรู้สึกว่าพวกเขาแปลกประหลาด—พวกเขาแตกต่างจากพี่น้องชายหญิงคนอื่น และค่อนข้างยากที่จะหยั่งถึง  โดยปกติแล้ว เจ้าทำอย่างไรกับผู้คนที่ค่อนข้างยากจะหยั่งถึง?  เจ้าเพียงระวังตัวจากพวกเขาอย่างเรียบง่ายใช่หรือไม่?  หรือเจ้าเป็นฝ่ายเริ่มที่จะสืบค้นเกี่ยวกับพวกเขา และหาคำตอบว่าที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่?  (พวกเราคอยสังเกตพวกเขา)  ไม่ว่าผู้ใดกำลังทำอะไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วจุดประสงค์และจุดมุ่งหมายของคนเหล่านั้นย่อมไม่ได้ถูกเปิดโปงอย่างง่ายดายในเวลาอันสั้น  แต่ยิ่งเวลาผ่านไป—เว้นเสียว่าพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น—เมื่อพวกเขากระทำการ พวกเขาย่อมจะเผยไต๋ออกมาอย่างแน่นอน จงสังเกตการณ์และมองหาเบาะแสจากรายละเอียดเล็กๆ—เจ้าจะพบข้อมูลและเบาะแสบางอย่างได้จากคำพูดและพฤติกรรมของพวกเขา จากเจตนาและทิศทางในการกระทำของพวกเขา รวมถึงจากคำพูดและน้ำเสียงที่พวกเขาใช้พูด  การมีความสามารถที่จะทำเช่นนี้ได้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน และมีสติปัญญาและขีดความสามารถอยู่ในระดับหนึ่งหรือไม่  คนโง่เขลาบางคนไม่สามารถรับรู้ถึงอันตรายและความมุ่งร้ายที่มีอยู่ในสังคมมนุษย์ได้ ไม่ว่าพวกเขาเผชิญหน้ากับผู้ใด พวกเขาก็มักจะปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นด้วยวิธีการแบบเดียวกันเสมอ  ผลก็คือเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับนักการเมืองเจ้าเล่ห์และปลิ้นปล้อนที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมือง พวกเขาก็กลายเป็นยูดาสและกลายเป็นเครื่องมือในการขายคริสตจักรได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังทำเรื่องโง่เขลาที่ทำให้คริสตจักรตกหลุมพรางไปโดยไม่รู้ตัว

ผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองมีการสำแดงอย่างไรกันแน่?  คนเหล่านี้มีภูมิหลังบางอย่างทางสังคม พวกเขาคือบุคคลที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการเมือง  ไม่ว่าพวกเขามีสถานะเช่นไรในแวดวงการเมือง ไม่ว่าพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทำงานที่ไม่เหมือนใคร หรือกำลังเตรียมการวางรากฐานให้ตนเองในแวดวงการเมืองหรือไม่ โดยสรุปก็คือ ผู้คนเหล่านี้ย่อมมีภูมิหลังทางการเมืองในสังคม นี่เป็นสถานการณ์ที่เฉพาะและซับซ้อน  ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้เชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือไม่ หากตัดสินจากการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา เส้นทางที่พวกเขาเดิน และแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้จะสามารถกลายเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงได้หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนจากผู้ไม่เชื่อ จากนักการเมืองที่มุ่งมั่นด้านการเมือง มาเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เจ้าแน่ใจหรือไม่?  หรือว่าพอมีความเป็นไปได้หรือไม่?  (ไม่มีอย่างแน่นอน)  การนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน  การเชื่อในพระเจ้าและการเมืองเป็นสองเส้นทางที่แตกต่างกัน ทั้งสองเส้นทางนี้พัฒนาไปในทิศทางตรงกันข้าม ไม่มีจุดที่เหมือนกัน และไม่สามารถบรรจบกันได้โดยสิ้นเชิง  สองสิ่งนี้เป็นเส้นทางที่แตกต่างกันโดยสมบูรณ์  ด้วยเหตุนั้น ต่อให้บรรดาผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองหรือรักและกระตือรือร้นเกี่ยวกับการเมืองเชื่อในพระเจ้าโดยไม่มีจุดประสงค์ทางการเมืองที่ชัดเจน พวกเขาก็ยังแอบซ่อนจุดประสงค์อื่นๆ ไว้ และแน่นอนว่าจุดประสงค์ของพวกเขาก็ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความจริงหรือได้รับการช่วยให้รอด  อย่างน้อยที่สุด นี่ก็สามารถระบุได้ว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง  พวกเขาเพียงยอมรับตำนานที่ว่ามีพระเจ้าอยู่เท่านั้น แต่ไม่ได้ยอมรับในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง  ด้วยเหตุนั้น ผู้คนเหล่านี้จะไม่มีวันเปลี่ยนจากผู้ไม่เชื่อที่มีความกระตือรือร้นด้านการเมืองมาเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า สามารถยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า และยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้

ที่จริงแล้ว ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองมีจุดประสงค์ประการใดสำหรับการเชื่อในพระเจ้า?  สิ่งนี้สัมพันธ์กับการไล่ตามไขว่คว้าและอาชีพการงานที่พวกเขาทำ  ตัวอย่างเช่น คนบางคนมักมีความต้องการส่วนตัวบางอย่างในแวดวงการเมือง มีเป้าหมายและความทะเยอทะยานใหญ่โตทางการเมืองอยู่เสมอ เป็นต้น ซึ่ง—ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด—ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับการเมือง  คำว่า “การเมือง” หมายถึงอะไร?  อธิบายอย่างง่ายก็คือ การเมืองนั้นเกี่ยวข้องกับระบอบการปกครอง อำนาจ และการปกครอง  เพราะฉะนั้นการเชื่อในพระเจ้าด้วยจุดมุ่งหมายทางการเมืองของพวกเขาจึงสัมพันธ์กับการไล่ตามไขว่คว้าทางการเมืองของพวกเขาอย่างแน่นอน  แล้วจุดมุ่งหมายของพวกเขาคืออะไร?  เหตุใดพวกเขาจึงชื่นชอบผู้คนในคริสตจักรยิ่งนัก?  พวกเขาต้องการใช้สถาบัน ซึ่งก็คือคริสตจักร ใช้ผู้คนจำนวนมากในคริสตจักร และใช้อิทธิพลของผู้คนเหล่านี้ในคริสตจักรซึ่งมาจากหลากหลายอาชีพและชนชั้นทางสังคมเพื่อให้สัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขา  หลังจากเรียนรู้คำสอนของคริสตจักร การดำเนินงานของงานนานาประการของคริสตจักร หนทางในการใช้ชีวิตคริสตจักรของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และอื่นๆ แล้ว พวกเขาหลอมรวมตนเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร  พวกเขาจดจำสิ่งทั้งหลายที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมักจะใช้ในการสามัคคีธรรม อย่างเช่น คำศัพท์ฝ่ายวิญญาณและสำนวนต่างๆ จนขึ้นใจ หวังว่าวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ในการรวบรวมผู้คนให้มาฟังพวกเขา มาให้พวกเขาหลอกใช้ เพื่อให้พวกเขาสัมฤทธิ์เป้าหมายทางการเมืองของตน  เช่นเดียวกับที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวว่า หลังจากสั่งสมสิ่งทั้งหลายมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เมื่อพวกเขาสามารถชูธงและทำให้ผู้คนลุกฮือเป็นกบฏได้ ผู้คนมากขึ้นก็จะตอบรับเสียงเรียกของพวกเขาและติดตามพวกเขา เมื่อนั้นพวกเขาก็สามารถได้รับผู้คนจำนวนหนึ่งในคริสตจักรให้กลายเป็นกองกำลังในการต่อสู้กับคู่แข่งของพวกเขาได้  เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นหลายครั้งในประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่  ตัวอย่างเช่น กบฏบัวขาวและกบฏไท่ผิงเทียนกั๋วในช่วงของราชวงศ์ชิง เป็นกรณีศึกษาของผู้มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองที่ใช้ศาสนาในการต่อสู้กับรัฐบาล  คำสอนของศาสนาของพวกเขาเบี่ยงเบนไปจากหนทางที่แท้จริง และมีมุมมองมากมายที่ไร้สาระและน่าขันซึ่งไม่สอดคล้องกับความจริงแต่อย่างใด  พวกที่มีจุดมุ่งหายทางการเมืองใช้คำสอนเหล่านี้เพื่อทำให้ผู้คนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ผูกมัดจิตใจของพวกเขา รวมถึงสร้างอิทธิพลและปลูกฝังลงในจิตใจของพวกเขา  ท้ายที่สุด พวกเขาก็ใช้ประโยชน์จากผู้ที่ถูกปลูกฝังความคิดเหล่านี้ในการสัมฤทธิ์เป้าหมายทางการเมืองของตนเอง  แรกเริ่มเดิมทีเมื่อผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเหล่านี้มาเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาหลงใหลคือชื่อเสียงของคริสตจักร  กล่าวคือ พวกเขาสามารถซ่อนอัตลักษณ์และจุดมุ่งหมายของตนเอาไว้ได้ภายใต้ชื่อของสถาบัน ซึ่งก็คือคริสตจักร—นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือ พวกเขาคิดว่าตราบเท่าที่พวกเขาเผยแพร่ทัศนะทางการเมืองภายใต้ธงของการเชื่อในพระเจ้า การปลูกฝังแนวคิดให้ผู้คนในคริสตจักรย่อมจะง่ายมาก และพวกเขาก็คิดว่าผู้คนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะบูชาและเชื่อฟังคนที่มีชื่อเสียง  ผลที่ตามมาก็คือ บุคคลที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมองผู้คนในคริสตจักรเป็นวัตถุในการนำมาใช้ประโยชน์  พวกเขาเชื่อว่า การให้คริสตจักรกลายมาเป็นสถานที่ที่พวกเขาสามารถปิดบังอัตลักษณ์ของตนได้เป็นเรื่องง่ายมาก และสมาชิกคริสตจักรก็เป็นเป้าหมายที่พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย—กล่าวโดยง่ายก็คือ พวกเขามองสิ่งทั้งหลายเช่นนี้เอง  เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ในการเข้าร่วมคริสตจักรของพวกเขาคือเพื่อหวังว่าวันหนึ่งเมื่อพวกเขาอยู่ในจุดที่มีอำนาจแล้ว พวกเขาจะสามารถต่อสู้กับคู่แข่งทางการเมืองและมีอำนาจได้—นี่คือจุดมุ่งหมายทางการเมืองของพวกเขา  พวกเขาต้องการใช้ข้ออ้างของการเชื่อในพระเจ้าเพื่อเพิ่มจำนวนคนที่เลื่อมใสและติดตามพวกเขาให้มาเป็นส่วนหนึ่งของขอบเขตอิทธิพลทางการเมืองของพวกเขา  บางคนกล่าวว่า “พวกเขาอาจมีจุดประสงค์เช่นนี้ แต่หากพวกเขาไม่ได้ดำเนินการ อย่างมากที่สุดพวกเราก็แค่เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อหรือเป็นผู้เชื่อเทียมเท็จเท่านั้น  พวกเราจะสามารถเห็นได้อย่างไรว่าพวกเขามีจุดประสงค์ทางการเมืองที่ชัดเจน?”  การนี้มิใช่เรื่องยาก  จงใช้เวลาในการสังเกต  ตราบเท่าที่พวกเขามีจุดมุ่งหมายทางการเมือง พวกเขาย่อมจะดำเนินการอย่างแน่นอน  หากพวกเขาไม่ต้องการดำเนินการ เหตุใดพวกเขาจึงแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรเล่า?  หากพวกเขายังไม่ได้ดำเนินการ นั่นก็เป็นเพราะพวกเขายังไม่สบโอกาส  เมื่อพวกเขามีโอกาส พวกเขาย่อมจะดำเนินการไปตามนั้น  ตัวอย่างเช่น หากรัฐบาลดำเนินการนโยบายที่ไม่ถูกต้อง หรือปราบปรามและจับกุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร อย่างมากที่สุดพี่น้องชายหญิงก็จะหารือและแยกแยะเรื่องนี้ และจะไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น  ไม่ว่าอย่างไรอย่างก็ตาม การเชื่อในพระเจ้า การทำหน้าที่ของพวกเขา และการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าคือสิ่งสำคัญ  พวกเขาจะไม่ทิ้งภาพรวมไปเพื่อเรื่องเล็กน้อย พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนไปตามปกติอย่างที่ควรทำ  อย่างไรก็ตาม คนที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองนั้นต่างออกไป  พวกเขาจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เปิดโปงอย่างรุนแรงและเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปเป็นวงกว้าง ด้วยหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะยั่วยุให้ทุกคนลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลเพื่อสนองจุดมุ่งหมายทางการเมืองของพวกเขาเอง และพวกเขาจะไม่หยุดจนกว่าจะสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย  เพื่อที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง พวกเขาละวางเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตนไว้โดยสิ้นเชิง และไม่ใส่ใจในเจตนารมณ์ของพระเจ้าและข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์  พวกเขาบ้าคลั่งถึงเพียงนี้—แล้วผู้คนยังไม่สามารถแยกแยะพวกเขาได้อีกหรือ?  บุคคลเช่นนั้นกำลังติดตามพระเจ้าหรือติดตามการเมือง?  บางคนที่ไร้วิจารณญาณย่อมถูกชักพาให้หลงผิดได้ง่าย  คนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเหล่านี้ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร ไม่ต้องพูดถึงการเข้าใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าคือเพื่อชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนให้บริสุทธิ์ และช่วยพวกเขาให้รอดจากอิทธิพลของซาตานเลย  คนเหล่านี้คิดว่าการมีส่วนร่วมกับสิทธิมนุษยชนและการเมืองหมายถึงการมีสำนึกของความยุติธรรมและการนบนอบพระเจ้า  การมีส่วนร่วมในการเมืองและสิทธิมนุษยชนแสดงให้เห็นว่าคนคนหนึ่งมีความเป็นจริงความจริงใช่หรือไม่?  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคนคนหนึ่งนบนอบพระเจ้าใช่หรือไม่?  ไม่ว่าเจ้าจัดการเรื่องสิทธิมนุษยชนและการเมืองได้ดีเพียงใด การนี้แสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วงั้นหรือ?  นี่แสดงให้เห็นว่าความทะเยอทะยานและความอยากที่จะครองอำนาจของเจ้าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วอย่างนั้นหรือ?  ผู้คนมากมายไม่อาจมองเห็นปัญหาเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  เห็นได้ชัดว่าซุนยัตเซ็นก็เป็นคริสตชน  เมื่อเขาตกอยู่ในอันตราย เขาก็อธิษฐานให้พระเจ้าทรงช่วยเขาให้รอด  เขาใช้เวลาทั้งชีวิตของตนมีส่วนร่วมในการปฏิวัติ—เขาได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่?  เขาคือใครบางคนที่ปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าใช่หรือไม่?  เขามีคำพยานจากประสบการณ์ของการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  เขาไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย  หลังจากเปาโลได้รับการทรงเรียก เขาก็ประกาศข่าวประเสริฐโดยไม่ว่างเว้นและทนทุกข์กับความยากลำบากมากมาย แต่เพราะเขาไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต ทำบาปเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้ตนเองในทุกโอกาส เขาจึงกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์และถูกลงโทษ  ไม่ว่าอย่างไรการเชื่อในพระเจ้าโดยไม่ยอมรับความจริง การไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะอยู่เสมอ รวมถึงการอยากจะเป็นยอดมนุษย์หรือเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่ตลอดเวลาก็เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง  บรรดาผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองล้วนเป็นศัตรูของพระคริสต์  ผู้คนเหล่านี้จะไม่ล้มเลิกในการทำความทะเยอทะยานทางการเมืองของตนให้เป็นจริงง่ายๆ และจะหาโอกาสในการยุยงและเอาชนะใจผู้เชื่อมาเป็นกองกำลังทางการเมืองของพวกเขาเสมอ  หากวันหนึ่งพวกเขาเห็นว่าผู้เชื่อไม่สามารถเอาเปรียบได้โดยง่าย เห็นว่าผู้เชื่อรักและไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะวางมือจากผู้เชื่อเหล่านี้ไปโดยสมบูรณ์

จากต้นตอแล้ว จิตใจของคนที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองมีเพียงแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเท่านั้น—อำนาจและอิทธิพล การปกครอง การสมคบคิด วิธีการทางการเมือง เป็นต้น  พวกเขาไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงอะไร ความเชื่อคืออะไร ความจริงคืออะไร หรือไม่ต้องพูดถึงวิธีนบนอบพระเจ้าเลย  พวกเขายังไม่เข้าใจด้วยว่าฟ้าสวรรค์มีน้ำพระทัยอย่างไร  หลักการในการเอาตัวรอดของพวกเขาคือ “มนุษย์ย่อมจะมีชัยเหนือธรรมชาติ” และ “ชะตาลิขิตของคนเราอยู่ในมือของเขาเอง”  ด้วยเหตุนั้น การพยายามเปลี่ยนแปลงผู้คนเช่นนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ และเป็นแนวคิดที่โง่เขลา  คนเหล่านี้มักจะเผยแพร่มุมมองทางการเมืองในหมู่พี่น้องชายหญิงในคริสตจักร เซ้าซี้ให้พี่น้องชายหญิงเหล่านี้ร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองและมีส่วนร่วมกับการเมืองอยู่บ่อยครั้ง  เห็นได้ชัดเจนมากว่าจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมายทางการเมือง  คนอื่นๆ สามารถแยกแยะแก่นแท้เช่นนี้ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย  คนเหล่านี้ไม่รู้ความเรื่องความเชื่อ การเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง และการนบนอบน้ำพระทัยของฟ้าสวรรค์โดยสิ้นเชิง—พวกเขาเชื่อว่าความคิดและเส้นทางของคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการใช้กลยุทธ์ทางการเมือง และพวกเขาก็เชื่อเป็นพิเศษว่า โชคชะตาของคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยหนทางและวิธีการของมนุษย์  ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่รู้ความโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับเรื่องที่ล้ำลึกแต่ชัดเจนของกฎธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้าง และอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือชะตากรรมของมนุษย์  สำหรับเรื่องเหล่านี้พวกเขาคือคนธรรมดา และไม่สามารถทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ได้  การที่เรากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?  หากเจ้าพบว่าจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของใครคนหนึ่งนั้นขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมายทางการเมือง เจ้าต้องไม่พยายามเปลี่ยนแปลงหรือโน้มน้าวคนเหล่านั้นโดยเด็ดขาด และไม่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมความจริงมากมายกับพวกเขา  นอกจากการระวังตัวจากพวกเขาแล้ว เจ้าควรแจ้งเรื่องพวกเขาต่อผู้นำคริสตจักรในระดับต่างๆ หรือต่อพี่น้องชายหญิงที่เชื่อถือได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจากนั้นก็หาทางขับไล่พวกเขาไปจากคริสตจักร  เจ้าไม่ควรแอบระวังตัวจากพวกเขาอยู่เงียบๆ ขณะที่ปล่อยให้ผู้อื่นยังคงอยู่ในความมืด  แล้วคนประเภทใดที่พอจะมีวิจารณญาณแยกแยะต่อผู้ที่ชอบพูดเรื่องการเมืองและมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองได้บ้าง?  เป็นคนที่อาวุโสกว่าหรือคนที่เด็กกว่า?  เป็นพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง?  (เป็นพี่ชายที่อาวุโสกว่า)  ถูกต้อง พี่ชายที่อาวุโสกว่า กล่าวคือ บรรดาผู้ที่มีประสบการณ์ทางสังคม มีการติดต่อกับนักการเมือง หรือถูกข่มเหงทางการเมือง—คนที่มีความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องเหล่านี้—ย่อมสามารถเข้าใจประเด็นทางการเมืองได้ค่อนข้างกระจ่าง  โดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาย่อมสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะกับผู้ที่มีส่วนร่วมทางการเมืองได้อยู่บ้าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาสามารถรับรู้ถึงความทะเยอทะยานและความอยาก รวมไปถึงความคิด มุมมอง ความฝัน ความมุ่งมาดปรารถนาของคนเหล่านั้นได้กระจ่างทีเดียว  ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงสามารถแยกแยะคนเหล่านี้ได้ค่อนข้างเร็วกว่าผู้อื่น  เมื่อใครบางคนแยกแยะได้ว่าคนเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองและเป็นผู้ไม่เชื่อ พวกเขาก็ควรระวังตัวจากคนเหล่านั้น และเปิดโปงผู้ไม่เชื่อเหล่านี้เสีย  ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องปกป้องคนที่โง่เขลาและไม่รู้ความซึ่งไม่เข้าใจความจริง ป้องกันคนเหล่านั้นจากการถูกชักพาให้หลงผิดและถูกเอาเปรียบ และจากการปูดข้อมูลภายในของคริสตจักรโดยไม่ตั้งใจ  การนี้จำเป็นต้องแจ้งเตือนไปยังผู้นำคริสตจักรและหารือเรื่องนี้กับพวกเขา รวมถึงแจ้งคนที่อาวุโสกว่าหรือคนที่เข้าใจความจริงบางอย่างและมีวุฒิภาวะอยู่บ้างให้ระวังตัวจากผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเหล่านี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  การช่วยให้ผู้อื่นมองเห็นแก่นแท้ของคนเหล่านี้อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้ไม่เชื่อคือเรื่องที่สำคัญ นั่นเป็นการปกป้องพี่น้องชายหญิงที่โง่เขลาและไม่รู้ความจากการถูกคนเหล่านั้นเอาเปรียบ  หากเจ้าไม่สามารถมองเรื่องเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ เมื่อมีคนชั่วร้าย ปลิ้นปล้อน และเจ้าเล่ห์มาพูดคุยกับเจ้า เจ้าย่อมเต็มใจที่จะเปิดปากเล่ารายละเอียดของสถานการณ์จริงและทุกสิ่งที่เจ้ารู้โดยไม่ทันถูกถาม กลายเป็นยูดาสไปโดยไม่ตั้งใจ  ผู้คนเช่นนั้นมีอยู่ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในยามที่เจ้าพูด เจ้าย่อมไม่รู้ว่าผู้อื่นแอบซ่อนจุดประสงค์เช่นไรเอาไว้ และเจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหรือหญิง เล่าทุกอย่างที่อยู่ในหัวใจของเจ้าให้พวกเขาฟังโดยไม่ทันรู้ตัว—หลังจากที่เจ้าพูดไปแล้ว เจ้าก็ไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร  เมื่อเห็นผู้อื่นระวังตัวจากผู้คนเช่นนั้น เจ้าก็กล่าวว่า “คุณระวังตัวมากเกินไป  มีอะไรต้องแอบซ่อนระหว่างพี่น้องชายหญิงหรือ?”  เจ้าไม่ตระหนักว่าเหตุใดผู้อื่นจึงไม่พูดออกไป—นี่เองที่เรียกว่าการเป็นคนโง่เขลา

แน่นอนว่าผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองย่อมเป็นผู้ไม่เชื่อด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาไม่รักความจริงและจะไม่ยอมรับความจริง  ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็อยู่ในหมวดหมู่ของคนชั่วที่เป็นศัตรูพระคริสต์โดยสมบูรณ์  ที่จริงแล้ว การระวังตัวจากผู้คนเช่นนั้นเป็นวิธีการที่นิ่งเฉยมากที่สุด  วิธีการเชิงรุกคือการค้นหาพวกเขาให้เจอแต่เนิ่นๆ แล้วจัดการและขับไล่พวกเขาออกไปโดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการนำเรื่องยุ่งยากมาสู่คริสตจักรและพี่น้องชายหญิง  เนื่องจากผู้คนเหล่านี้สามารถมีอิทธิพลต่อผู้อื่นได้ทุกที่และทุกเวลาภายในคริสตจักร และสามารถทำลายระเบียบปกติของคริสตจักรได้ทุกเวลาและทุกสถานการณ์ จงอย่าผ่อนปรนหรือใช้ความอดทนกับผู้ไม่เชื่อเช่นนั้น  อย่ามอบโอกาสอีกครั้งให้พวกเขากลับใจ จงอย่าเป็นคนโง่เขลา  เมื่อถูกพบ พวกเขาก็ควรถูกขับไล่ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเคราะห์ร้ายในอนาคต  จุดประสงค์ของการทำเช่นนี้คือเพื่อป้องกันมิให้ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงถูกชักพาให้หลงผิดและถูกหลอกใช้ กลายเป็นหุ่นเชิดของซาตานและหมู่มาร  แน่นอนว่าสิ่งที่เจ้าควรทำมากที่สุดในเวลานั้นคือการป้องกันมิให้ผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองรู้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคริสตจักร  ยิ่งเจ้าแยกแยะและขับไล่พวกเขาไปเร็วเท่าไร พี่น้องชายหญิงก็จะติดต่อกับพวกเขาน้อยลง อีกทั้งจะได้รับอิทธิพลและถูกคนเหล่านั้นชักพาให้หลงผิดน้อยลงเท่านั้น  ด้วยเหตุนั้น ในแง่ของจังหวะเวลา การจัดการและขับไล่ผู้คนเช่นนั้นออกไปโดยเร็วที่สุดก็ย่อมดีกว่า—ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี  การทำตัวเชิงรุกย่อมดีกว่าการทำตัวนิ่งเฉย  ผู้คนที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองนั้นมีเจตนาที่ไม่ดี พวกเขาย่อมไม่อาจมีความจริงใจต่อการทำสิ่งใดเพื่อคริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้าได้เลย  หากพวกเขาไม่สามารถชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิดหรือหลอกใช้คนเหล่านั้นได้ พวกเขาย่อมจะอับอายโดยสิ้นเชิง และจะสมัครใจไปจากคริสตจักรโดยไม่ได้เอ่ยคำลาเสียด้วยซ้ำ  การสามัคคีธรรมของพวกเราถึงจุดประสงค์ประการที่แปดของการเชื่อในพระเจ้า คือเพื่อไล่ตามไขว่คว้าจุดมุ่งหมายทางการเมือง จบลงเพียงเท่านี้

วันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (22)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (24)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger