หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (23)
ประการที่สิบสี่: แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป (ภาคที่สอง)
ในการชุมนุมครั้งก่อน พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงาน นั่นคือ “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป” สามัคคีธรรมดังกล่าวครอบคลุมแง่มุมหนึ่งในหัวข้อนี้ นั่นคือ คริสตจักรคืออะไร หลังจากสามัคคีธรรมถึงคำนิยามของคริสตจักรแล้ว พวกเจ้าย่อมเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานอย่างชัดเจนใช่หรือไม่? (หลังจากพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงคำนิยามของคริสตจักร พวกเราก็เข้าใจว่าคริสตจักรดำรงอยู่เพื่ออะไร เข้าใจบทบาทของคริสตจักร และงานที่คริสตจักรทำ จากสิ่งเหล่านี้ พวกเราย่อมแยกแยะได้ว่าผู้ใดในคริสตจักรที่กำลังก่อให้เกิดการก่อกวนและการขัดขวาง และไม่ได้มีบทบาทที่เป็นบวก แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวผู้คนเหล่านี้ออกไป) เมื่อเข้าใจแล้วว่าคริสตจักรคืออะไร ผู้นำและคนทำงานก็ควรที่จะรู้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงก่อตั้งคริสตจักร การก่อตั้งคริสตจักรส่งผลต่อผู้คนอย่างไร งานที่คริสตจักรควรทำคืออะไร ผู้คนประเภทใดที่รวมตัวกันเป็นคริสตจักร และใครเป็นพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง หลังจากเข้าใจและรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว เจ้าย่อมมีแนวคิดและคำนิยามเบื้องต้น รวมถึงมีรากฐานของหลักธรรมสำหรับงานที่ระบุไว้ในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ นั่นคือ “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป” นี่คือสิ่งที่เจ้าควรรู้และเข้าใจให้ชัดเจนในแง่ของทฤษฎีและนิมิต เมื่อเข้าใจเรื่องนี้แล้ว งานแรกที่ผู้นำและคนทำงานควรดำเนินการก็คือการแยกแยะคนชั่วทุกรูปแบบ มาตรฐานและหลักธรรมของการทำเช่นนี้คืออะไร? การแยกแยะคนชั่วทุกรูปแบบควรอ้างอิงจากคำนิยามของคริสตจักร นัยสำคัญและคุณค่าของการดำรงอยู่ของคริสตจักร และงานที่พระเจ้าทรงจัดตั้งคริสตจักรขึ้นมาเพื่อให้ทำงานเหล่านี้ คราวก่อน หลักและมาตรฐานสำหรับการแยกแยะคนชั่วนานาประเภทถูกแบ่งเป็นสามหมวดหมู่หลัก สามหมวดหมู่นี้คืออะไร? (จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา ความเป็นมนุษย์ของคนเรา และท่าทีที่คนเรามีต่อหน้าที่ของตน) หมวดหมู่หลักทั้งสามประการนี้เจาะจงและครอบคลุมมากพอหรือไม่? บางคนกล่าวว่า “เหตุใดการแยกแยะผู้คนทุกประเภทจึงไม่อ้างอิงตามระดับการรักความจริงของพวกเขาและระดับการนบนอบและยำเกรงพระเจ้าของพวกเขา แต่กลับอ้างอิงตามจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตนเล่า? มาตรฐานเหล่านี้ไม่ต่ำเกินไปหรอกหรือ? กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อตัดสินจากเนื้อหาอันเจาะจงของสามหมวดหมู่นี้ เหตุใดจึงไม่มีการหารือถึงท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระเจ้าและความจริงอย่างลึกซึ้งมากขึ้น? เหตุใดจึงไม่มีการเอ่ยถึงว่าผู้คนเต็มใจยอมรับการตัดแต่ง การพิพากษา และการตีสอนหรือไม่ พวกเขามีหัวใจที่นบนอบและยำเกรงพระเจ้าหรือไม่ และเหตุใดจึงไม่มีการเอ่ยถึงเนื้อหาเชิงลึกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความจริงเล่า?” พวกเจ้าเคยใคร่ครวญคำถามนี้บ้างหรือไม่? เวลานี้พวกเราอย่าเพิ่งเจาะลึกถึงประเด็นนี้เลย พวกเรามาดูหลักเกณฑ์ทั้งสามประการกันก่อนเถิด นั่นคือ จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของผู้คน ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตน หากตัดสินจากหัวข้อดังกล่าว หลักเกณฑ์สามประการนี้ตื้นเขินหรือไม่? หากคนคนหนึ่งไม่ตรงตามมาตรฐานในแง่ของหลักเกณฑ์พื้นฐานที่สุดสามประการนี้ พวกเขาจะสามารถถูกเรียกว่าพี่น้องชายหญิงได้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาจะถือเป็นสมาชิกของคริสตจักรได้หรือไม่? พวกเขาสามารถได้รับการยอมรับจากพระเจ้าว่าเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรหรือไม่? (ไม่ได้) สำหรับพวกเขาแล้วสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น หากคนคนหนึ่งบกพร่องหรือต่ำกว่ามาตรฐานในแง่ของหลักเกณฑ์ทั้งสามประการนี้ เช่นนั้นบุคคลนั้นก็ควรถูกแยกแยะ พวกเขาย่อมอยู่ในคนชั่วประเภทต่างๆ และพวกเขาก็ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นพี่น้องชายหรือหญิง ไม่ว่าเป็นคนที่พระเจ้าทรงยอมรับหรือเป็นสมาชิกที่คริสตจักรควรยอมรับหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเป็นไปตามมาตรฐานและผ่านหลักเกณฑ์ทั้งสามประการนี้หรือไม่ หากพวกเขาไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์สามประการนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ใช่พี่น้องชายหรือหญิงอย่างแน่นอน โดยปกติแล้ว พระเจ้าย่อมไม่ทรงยอมรับพวกเขา และคริสตจักรก็ไม่ควรยอมรับพวกเขาเช่นกัน แล้วคริสตจักรควรปฏิบัติและรับมือกับพวกเขาอย่างไร? (พวกเขาควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป) เมื่อพวกเขาถูกแยกแยะแล้ว พวกเขาก็ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป เป็นเช่นนั้นนั่นเอง
หลักและมาตรฐานสำหรับการแยกแยะคนชั่วนานาประเภท
1. อ้างอิงตามจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา
ง. เพื่อทำการฉวยโอกาส
ในการชุมนุมคราวที่แล้ว พวกเราได้สามัคคีธรรมและระบุจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าทั้งสามประการไปแล้ว หากพวกเราระบุออกมาเป็นหัวข้อ หัวข้อแรกก็คือเพื่อสนองความอยากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของคนเรา หัวข้อที่สองคือเพื่อเสาะหาเพศตรงข้าม และหัวข้อที่สามคือเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ พวกเราได้สามัคคีธรรมจุดประสงค์สามประการนี้เสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงจุดประสงค์ประการที่สี่ นั่นคือ บางคนเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อเหตุผลในการฉวยโอกาสเท่านั้น ดังนั้นหัวข้อของจุดประสงค์นี้ก็คือ “เพื่อทำการฉวยโอกาส” บางคนเห็นว่า ทุกศาสนาและทุกนิกายในโลกศาสนาล้วนรกร้างและไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณ—เห็นว่าความเชื่อและความรักของผู้คนนั้นเย็นชาลง ว่าผู้คนเองก็ต่ำทรามลงเรื่อยๆ และมองไม่เห็นความหวังสำหรับความรอด ว่าผู้คนเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามานานหลายปีโดยไม่ได้รับสิ่งใดเลย เมื่อเห็นว่าโลกศาสนากลับกลายเป็นที่ร้างเปล่าโดยสิ้นเชิง พวกเขาก็เสาะหาหนทางไปข้างหน้าให้กับตนเอง พวกเขาใคร่ครวญว่า “ตอนนี้คริสตจักรไหนบ้างที่มีคนมากขึ้น กำลังเจริญรุ่งเรือง และมีโอกาสในการพัฒนาในอนาคต?” พวกเขาพบว่าคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ถูกโลกศาสนาต้านทานและกล่าวโทษกำลังเจริญรุ่งเรือง มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และกำลังพัฒนาไปได้ด้วยดีทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ พวกเขาคิดว่า “ฉันได้ยินว่าสมาชิกของคริสตจักรแห่งนี้กำลังเจริญเติบโต และที่นี่ก็กำลังพัฒนาไปด้วยดี แถมยังมีกำลังคน ทรัพยากรทางวัตถุ และทรัพยากรทางการเงินที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีโอกาสในการพัฒนาในอนาคต หากฉันฉวยโอกาสอันดีนี้ในการเข้าร่วมกับคริสตจักรของพวกเขา ฉันย่อมจะได้รับประโยชน์บางอย่างมิใช่หรือ? ฉันย่อมจะได้จุดหมายปลายทางที่ดีในอนาคตสำหรับตัวเองมิใช่หรือ?” ด้วยเจตนาและจุดประสงค์ดังกล่าว รวมถึงความสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย พวกเขาจึงแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร หลังจากคนเหล่านี้แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรแล้ว พวกเขาก็ไม่สนใจความจริง ไม่สนใจการเชื่อในพระเจ้า หรือในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตน จุดประสงค์ในการเข้าร่วมคริสตจักรของพวกเขาคือเพื่อหาคนหนุนหลังหรือหาที่อยู่ และเพื่อให้ได้รับจุดหมายปลายทางในอนาคตอย่างที่พวกเขาอยากได้อยากมี อันที่จริงในหัวใจนั้น พวกเขาไม่มีความสนใจในการเชื่อในพระเจ้า ในความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง หรือในพระราชกิจแห่งความรอดที่พระเจ้าทรงทำ และพวกเขาก็ไม่ต้องการฟังหรือแสวงหาสิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไร้ความสนใจในพระราชกิจของพระเจ้าและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง ผู้คนเหล่านี้เหมือนกับคนที่ชอบฉวยโอกาสในสังคมที่ไม่ว่าเข้าไปอยู่ในวงการใด พวกเขาก็ทำเช่นนั้นเพื่อมองหาโอกาสในการได้มาซึ่งชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ อีกทั้งลงทุนและจ่ายราคาเพื่อโชคชะตาและจุดหมายปลายทางในอนาคตของตนเองเท่านั้น เมื่อพวกเขาพบว่า ตอนนี้ในสายงานหรือแวดวงที่พวกเขาทุ่มเทตนเองให้นั้นไม่มีจุดหมายปลายทางในอนาคตที่เด่นชัด หรือพบว่าวงการนี้ไม่อนุญาตให้พวกเขาแสดงจุดแข็งและก้าวหน้าในชีวิตได้ พวกเขาก็มักจะคำนวณอยู่ในใจว่าจะเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนวงการหรือไม่ ไม่ว่าผู้คนเช่นนั้นทำสิ่งใด พวกเขาก็มักรอโอกาสที่จะลงมืออยู่เสมอ พวกเขามีเจตนาและจุดประสงค์ในการเข้าร่วมกับคริสตจักร เมื่อคริสตจักรกำลังเจริญรุ่งเรือง เมื่อคริสตจักรสามารถตั้งมั่นและมีการพัฒนาจุดหมายปลายทางในอนาคตในสังคมหรือในประเทศใดก็ตาม พวกเขาก็ทุ่มเทตนเองให้กับงานของคริสตจักรนั้นอย่างแข็งขันและกระตือรือร้น แต่เมื่อคริสตจักรถูกกดขี่และถูกจำกัด หรือไม่สามารถสนองความอยากและความต้องการส่วนตัวของพวกเขาได้ พวกเขาก็ใคร่ครวญว่าจะไปจากคริสตจักรและหาหนทางใหม่ให้กับตนเองหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการเข้าร่วมคริสตจักรของผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่เพราะพวกเขาสนใจในความจริง พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมกับคริสตจักรบนพื้นฐานของการยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าและพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าในการช่วยผู้คนให้รอด แม้แต่ตอนที่พวกเขาเลือกคริสตจักร พวกเขาก็เลือกคริสตจักรขนาดใหญ่ที่เป็นที่รู้จักและมีสมาชิกจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตจักรที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับพวกเขา มีเพียงคริสตจักรประเภทนี้เท่านั้นที่ตรงตามมาตรฐานของพวกเขาและสอดคล้องกับเป้าหมายที่พวกเขาทะยานอยากหรือไล่ตามไขว่คว้าโดยสมบูรณ์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยเชื่อในความจริงอย่างแท้จริง และไม่เคยยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริงเลย ต่อให้บางครั้งจะดูเหมือนว่าพวกเขาทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อคริสตจักรหรือทุ่มเทตนเองให้กับงานบางส่วนของคริสตจักร แต่ในส่วนลึกของหัวใจพวกเขา ท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและต่อพระเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขามีท่าทีเช่นไร? ท่าทีที่คงเส้นคงวาของพวกเขาก็คือ ตอนนี้แค่ทำตามน้ำไปก่อน เพื่อดูว่าพวกเขาสามารถได้รับสิ่งใดจากคริสตจักรนี้กันแน่ ดูว่าพระวจนะที่พระเจ้าตรัสจะสามารถเป็นจริงได้มากเพียงไรและถึงระดับใด รวมถึงดูว่าเมื่อไรจะสามารถได้รับพรที่พระเจ้าทรงเคยสัญญากับมนุษย์ และพรเหล่านี้สามารถเป็นที่ประจักษ์และลุล่วงได้ในเวลาอันสั้นหรือไม่ ท่าทีของพวกเขาเป็นเช่นนี้เสมอ พวกเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้าด้วยความสงสัยใคร่รู้และความอยากลอง รวมถึงด้วยท่าทีที่ว่าหากพระวจนะของพระเจ้าลุล่วงและเป็นจริง เช่นนั้นพวกเขาก็จะได้รับพรและไม่เสียโอกาส เมื่อผู้คนเช่นนั้นมายังพระนิเวศของพระเจ้า ต่อให้พวกเขาจะดูเป็นมิตรต่อผู้อื่น ปฏิบัติตามกฎ ไม่ก่อให้เกิดการรบกวนหรือการขัดขวาง และไม่สร้างความเสียหาย เมื่ออ้างอิงจากท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและต่อความจริง ย่อมสามารถระบุว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อได้อย่างชัดเจน
พวกเราจะสามารถแยกแยะประเภทของผู้ไม่เชื่อที่เชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อฉวยโอกาสได้รับพรและไม่ปรารถนาที่จะได้รับความจริงได้อย่างไร? ไม่ว่าพวกเขาได้ฟังคำเทศนามากมายเพียงใด ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร ความคิดและทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ค่านิยมและทัศนคติที่มีต่อชีวิตก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะพวกเขาไม่เคยใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจังและไม่ยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงหรือสิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ เลยแม้แต่น้อย พวกเขายึดติดอยู่กับทัศนะของตนเองและปรัชญาของซาตาน ในหัวใจของพวกเขายังคงเชื่อว่า ปรัชญาและตรรกะของซาตานนั้นถูกต้องและเหมาะสม ตัวอย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “ข้าราชการไม่โขกสับพวกที่ให้ของกำนัล” หรือ “คนดีย่อมมีชีวิตที่สงบสุข” มีแม้แต่คนที่กล่าวว่า “เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องเป็นคนดี ซึ่งหมายถึงการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโดยเด็ดขาด การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาป และเป็นสิ่งที่พระเจ้ามิอาจอภัยให้ได้” นี่คือทัศนะประเภทใด? นี่คือทัศนะแบบชาวพุทธ ถึงแม้ว่าทัศนะแบบชาวพุทธอาจจะตรงตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน แต่ทัศนะนี้ก็ไร้ซึ่งความจริง ความเชื่อในพระเจ้าต้องอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้า มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง ในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา บางคนถึงกับยอมรับทัศนะที่ไร้สาระของผู้ไม่มีความเชื่อและทฤษฎีผิดๆ ของโลกศาสนาว่าเป็นความจริง พวกเขาหวงแหนและยึดถือสิ่งเหล่านั้น ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่ยอมรับความจริงใช่หรือไม่? พวกเขาไม่สามารถแยกแยะระหว่างคำพูดมนุษย์กับพระวจนะของพระเจ้า หรือระหว่างหมู่มารและซาตานกับพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว ผู้ทรงเป็นพระผู้สร้างได้ พวกเขาไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริง อีกทั้งไม่ยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงเลย ความคิดและทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คน ต่อโลกภายนอก และต่อเรื่องทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่เคยเปลี่ยนไปเลย พวกเขายึดติดแต่เพียงทัศนะที่พวกเขายึดถือมาโดยตลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม ไม่ว่าทัศนะเหล่านั้นจะน่าขันเพียงใดพวกเขาก็ไม่สามารถรับรู้ได้ และยังคงยึดมั่นในทัศนะผิดๆ เหล่านั้นโดยไม่ยอมปล่อยมือ นี่คือการสำแดงประการหนึ่งของผู้ไม่เชื่อ อีกประการหนึ่งคืออะไร? คือความกระตือรือร้น ความรู้สึก และความเชื่อที่เปลี่ยนไปตามขนาดของคริสตจักรที่ใหญ่ขึ้นและมีสถานะทางสังคมที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น เมื่องานของคริสตจักรแผ่ขยายไปยังต่างประเทศและมีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่องานข่าวประเสริฐได้รับการเผยแผ่ไปอย่างครบถ้วน พวกเขามองเห็นการนี้และรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที พวกเขารู้สึกว่าคริสตจักรกำลังมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ และจะไม่ทนทุกข์กับการกดขี่และการข่มเหงจากรัฐบาลอีกต่อไป พวกเขาเชื่อว่าความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามีความหวังแล้ว เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถเชิดหน้าชูตาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นการเดิมพันที่ถูกต้อง เชื่อว่าในที่สุดการเดิมพันของพวกเขากำลังจะได้รับผลตอบแทน พวกเขารู้สึกว่าโอกาสที่พวกเขาจะได้รับพรกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดพวกเขาก็เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาเคยรู้สึกว่าถูกกดขี่ เจ็บปวด และทุกข์ทรมานเพราะพวกเขามักพบเห็นการจับกุมและการปราบปรามคริสตชนของพญานาคใหญ่สีแดงอยู่บ่อยครั้ง เหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกทุกข์ทรมาน? เพราะคริสตจักรอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ และพวกเขาก็กังวลว่า พวกเขาตัดสินใจถูกต้องหรือไม่ที่เชื่อในพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขารู้สึกหนักใจและกังวลว่าพวกเขาควรจะอยู่หรือไปจากคริสตจักรเสีย ตลอดหลายปีนั้น ไม่ว่าคริสตจักรเผชิญรูปการณ์แวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์เช่นไร สิ่งนี้ย่อมจะส่งผลกระทบต่อภาวะอารมณ์ของพวกเขา ไม่ว่าคริสตจักรกำลังทำงานใดและไม่ว่าชื่อเสียงและสถานะของคริสตจักรในสังคมจะผันผวนอย่างไร นี่ย่อมจะส่งผลต่อภาวะอารมณ์และความรู้สึกของพวกเขา คำถามที่ว่าพวกเขาควรจะอยู่หรือไปนั้นวนเวียนอยู่ในใจของพวกเขาตลอดเวลา ผู้คนเช่นนั้นคือผู้ไม่เชื่อมิใช่หรือ? ในยามที่คริสตจักรถูกกล่าวโทษและถูกข่มเหงจากรัฐบาลแห่งชาติ หรือในยามที่ผู้เชื่อถูกจับกุมหรือถูกตัดสิน กล่าวโทษ ว่าร้าย และถูกปฏิเสธจากโลกศาสนา พวกเขาก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรีอย่างหนัก และถึงกับรู้สึกอับอายและอัปยศอดสูอย่างยิ่งที่เข้าร่วมคริสตจักร หัวใจของพวกเขาสั่นคลอน และพวกเขาก็เสียใจที่เชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมคริสตจักร พวกเขาไม่เคยมีเจตนาที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคริสตจักร หรือทนทุกข์เคียงร่วมกับพระคริสต์เลย ตรงกันข้าม ขณะที่คริสตจักรกำลังเจริญรุ่งเรือง พวกเขาก็ดูเปี่ยมไปด้วยความเชื่อ แต่เมื่อคริสตจักรถูกข่มเหง ถูกปฏิเสธ ถูกปราบปราม และถูกกล่าวโทษ พวกเขากลับต้องการวิ่งหนีและไปจากที่นี่เสีย เมื่อพวกเขามองไม่เห็นความหวังที่จะได้รับพรหรือความหวังของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร พวกเขาก็ยิ่งต้องการไปจากที่นี่ เมื่อพวกเขาไม่เห็นพระวจนะของพระเจ้าลุล่วง และไม่รู้ว่ามหันตภัยใหญ่หลวงจะถล่มลงมาตอนไหนและจะจบสิ้นเมื่อไร หรือราชอาณาจักรของพระคริสต์จะเป็นจริงเมื่อใด พวกเขาก็ลังเลด้วยความไม่แน่ใจและไม่สามารถทำหน้าที่ของตนด้วยหัวใจที่สงบสุขได้ เมื่อไรก็ตามที่เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น พวกเขาก็ต้องการไปจากพระเจ้า ไปจากคริสตจักร และหาทางออก ผู้คนเช่นนั้นคือผู้ไม่เชื่อมิใช่หรือ? การกระทำทุกอย่างของพวกเขาก็เพื่อผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของตนเอง ความคิดและทัศนะของพวกเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยผ่านการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า หรือจากการอ่านพระวจนะของพระองค์ การสามัคคีธรรมความจริง และการใช้ชีวิตคริสตจักรเลย เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยแสวงหาความจริง หรือค้นหาว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไร เจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร พระเจ้าทรงชี้นำผู้คนอย่างไร หรือพระองค์ทรงขอสิ่งใดจากผู้คน เป้าหมายเดียวของพวกเขาในการเข้าร่วมคริสตจักรคือการรอให้ถึงวันที่คริสตจักรจะสามารถ “เชิดหน้าชูตา” ได้ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถตักตวงผลประโยชน์ที่พวกเขาอยากได้อยากมีมาโดยตลอด แน่นอนว่าพวกเขาเข้าร่วมกับคริสตจักรก็เพราะพวกเขาเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง—แต่พวกเขาไม่ยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิง และพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าจะลุล่วงได้ แล้วพวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร ผู้คนเช่นนั้นคือผู้ไม่เชื่อใช่หรือไม่? (ใช่) ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในคริสตจักรหรือในโลกภายนอก พวกเขาก็ประเมินว่าผลประโยชน์ของพวกเขาจะได้รับผลกระทบมากแค่ไหน และจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้ามากเพียงใด แม้จะเป็นสัญญาณของปัญหาที่เล็กน้อยที่สุด พวกเขาก็จะนึกถึงจุดหมายปลายทางในอนาคตและผลประโยชน์ของตนเองทันที พลางคิดอย่างเฉียบแหลมว่าพวกเขาควรจะอยู่หรือไปจากคริสตจักร มีคนที่ถึงกับเอาแต่ถามว่า “ไหนเมื่อปีที่แล้วบอกว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสิ้น—แล้วทำไมจึงยังคงดำเนินอยู่เล่า? พระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสิ้นปีไหนกันแน่? ฉันไม่มีสิทธิ์จะรู้หรือ? ฉันทนทุกข์มานานพอแล้ว เวลาของฉันมีค่า วัยเยาว์ของฉันมีค่า—แน่นอนว่าคุณจะปล่อยให้ฉันเฝ้ารอไปเรื่อยๆ แบบนี้ไม่ได้ใช่ไหม?” พวกเขารู้สึกไวเป็นพิเศษว่าพระวจนะของพระเจ้าลุล่วงแล้วหรือยัง ไวต่อสถานการณ์ของคริสตจักร รวมถึงสถานะและชื่อเสียงของคริสตจักร พวกเขาไม่ใส่ใจว่าตนจะสามารถได้รับความจริงหรือได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ แต่กลับอ่อนไหวอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตรอดหรือไม่ รวมถึงจะสามารถได้รับประโยชน์และพรจากการอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนที่ชอบฉวยโอกาสในความปรารถนาที่จะได้รับพร ต่อให้พวกเขาเชื่อไปจนถึงปลายทาง พวกเขาก็จะยังคงไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาจะไม่มีคำพยานจากประสบการณ์ให้พูดถึงเลย พวกเจ้าเคยพบเจอคนเช่นนี้บ้างหรือไม่? ที่จริงแล้วผู้คนเช่นนั้นมีอยู่ในคริสตจักรทุกๆ แห่ง พวกเจ้าต้องแยกแยะพวกเขาด้วยความระมัดระวัง บุคคลเช่นนั้นล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อ พวกเขาคือหายนะในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาจะนำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาสู่คริสตจักรและไม่มีประโยชน์ใดต่อคริสตจักรเลย และพวกเขาต้องถูกเอาตัวออกไปจากที่แห่งนี้
พวกเรามาสรุปลักษณะนิสัยของคนที่ชอบฉวยโอกาสกันเถิด ลักษณะนิสัยอันดับแรกของพวกเขาคือ พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่เลย หากเจ้าถามพวกเขาว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่ พวกเขาจะตอบว่า “อาจจะมี แต่หากไม่มีพระเจ้าอยู่ก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่มาที่นี่เพื่อดูว่าคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าตรัสจะเป็นจริงหรือไม่ และมหันตภัยใหญ่หลวงจะเกิดหรือไม่เกิดกันแน่” ในความคิดและมุมมองของพวกเขานั้น ท่าทีของพวกเขาคือไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะทรงดำรงอยู่หรือไม่ ดังนั้นแล้วการเชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมคริสตจักรย่อมเป็นเรื่องตลกสำหรับพวกเขามิใช่หรือ? (ใช่) ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเป็นเพียงความเชื่อทั่วไป เหมือนกับเกม และไม่เกี่ยวข้องกับความจริงหรือเส้นทางชีวิตของพวกเขาเลย อันที่จริงพวกเขาไม่สนใจเลยว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่ หากพระองค์ทรงดำรงอยู่ก็ดี และหากพระองค์ไม่ทรงดำรงอยู่ก็ไม่เป็นไร บางคนแย้งพวกเขาว่าพระเจ้าไม่ทรงมีอยู่จริง และพวกเขาก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดชังคนเหล่านั้น หากผู้คนกล่าวว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ พวกเขาย่อมกล่าวว่า “หากพระองค์ดำรงอยู่ เช่นนั้นพระองค์ก็ดำรงอยู่นั่นแหละ เอาเถอะ หากคุณเชื่อ พระองค์ก็ทรงมีอยู่ หากคุณไม่เชื่อ พระองค์ก็ไม่ทรงมีอยู่” นี่คือมุมมองของพวกเขา ผู้คนเช่นนั้นคือผู้เชื่อที่แท้จริงหรือไม่? พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อมิใช่หรือ? (ใช่) ไม่ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญกับพวกเขา แล้วการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามีความจริงใจอยู่บ้างหรือไม่? พวกเขาไม่มีทางจริงใจได้เลย ลักษณะนิสัยประการแรกของคนที่ชอบฉวยโอกาสเป็นอย่างไร? (พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่อย่างจริงจัง) นี่คือลักษณะนิสัยประการแรก
ลักษณะนิสัยประการที่สองของคนที่ชอบฉวยโอกาสคืออะไร? คือพวกเขาไม่เอาจริงเอาจังกับการแยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นลบกับสิ่งที่เป็นบวกเลย พวกเขาไม่แยกแยะว่าคำพูด ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งใดที่เป็นบวกและสิ่งใดที่เป็นลบ และพวกเขาก็ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งที่ดีสามารถถูกทำให้ดูเป็นสิ่งที่ไม่ดี และสิ่งที่ไม่ดีก็ถูกทำให้ดูเป็นสิ่งที่ดีได้ ดังเช่นคำกล่าวของผู้ไม่มีความเชื่อที่ว่า “พูดโกหกซ้ำๆ กันหนึ่งพันครั้งย่อมกลายเป็นความจริงได้” คำกล่าวนี้เป็นจริงสำหรับพวกเขา หากเจ้าถามพวกเขาว่าความจริงคืออะไร พวกเขาจะไม่ตอบว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาไม่ยอมรับเรื่องนี้ พวกเขาจะตอบว่าอย่างไร? มุมมองที่แท้จริงของพวกเขาก็คือ เมื่อเรื่องโกหกเดียวที่ถูกพูดซ้ำๆ กันพันครั้งหรือหมื่นครั้งย่อมจะกลายเป็นความจริง หมายความว่าหากผู้คนจำนวนมากพูดอะไรสักอย่าง พวกเขาย่อมจะเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง เช่นเดียวกับที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวว่า “เดิมทีบนโลกนี้ไม่มีเส้นทาง แต่ยิ่งผู้คนเดินย่ำมากขึ้น เส้นทางย่อมเกิดขึ้น” พวกเขาไม่ใส่ใจว่าสิ่งใดถูกหรือผิด สิ่งใดเป็นธรรมหรือเลวร้าย พวกเขาเชื่อว่าผู้ที่มีความสามารถดีเยี่ยมย่อมเป็นคนที่ถูกต้อง และผู้ที่ไร้ความสามารถและไม่มีประโยชน์ย่อมคิดลบ พวกเขาจะไม่ยอมรับโดยเด็ดขาดว่าสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าตรัสและทรงทำคือสิ่งที่เป็นบวก และจะไม่ยอมรับว่าพระเจ้าต้องประสงค์ให้ผู้คนดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวก คนเหล่านี้จะถึงกับกล่าวตรรกะวิบัติ อย่างเช่น “คุณบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง และพระวจนะของพระเจ้าคือความเป็นจริงของสรรพสิ่งที่เป็นบวก นี่หมายความว่า บนโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เป็นบวกอยู่เลยใช่หรือไม่? ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เป็นบวกและความจริงด้วยงั้นหรือ?” คำกล่าวนี้ไม่ไร้สาระหรอกหรือ? นี่คือตรรกะวิบัติมิใช่หรือ? (ใช่) คนเหล่านี้ไม่ได้ถือเอาพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักเกณฑ์สำหรับคำพูดหรือการกระทำของตน ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขาแสดงตรรกะวิบัติออกมา และเจ้าโต้แย้งพวกเขา พวกเขาก็จะกล่าวว่า “คุณคิดว่าตัวเองถูก ส่วนฉันก็คิดว่าฉันถูก ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่จะคิดเถิด ใครคิดว่าสิ่งไหนดี นั่นก็คือสิ่งที่ถูกต้อง” นี่คือมุมมองประเภทใด? นี่คือการพยายามกลบเกลื่อนเรื่องต่างๆ มิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือมุมมองที่โง่เขลาและเลอะเลือน ผู้คนเหล่านี้ไม่เอาจริงเอาจังกับการแยกแยะสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและเป็นลบ การไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร? นี่หมายความว่า ในหัวใจของพวกเขาไม่สามารถยอมรับได้ว่าสรรพสิ่งอันเป็นบวกที่พระเจ้าตรัสถึงนั้นสัมพันธ์กับความจริง สอดคล้องกับความจริง และมาจากพระเจ้า อีกทั้งไม่ยอมรับว่าสิ่งทั้งหลายอันเป็นลบที่พระเจ้าตรัสถึงนั้นตรงข้ามกับความจริงและมาจากซาตาน พวกเขาไม่ยอมรับข้อเท็จจริงข้อนี้ และต้องการทำให้แนวคิดดังกล่าวคลุมเครืออยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นแยกแยะและกล่าวโทษ พวกเขาจึงไม่เคยเอาจริงเอาจังกับการแยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบ ไม่เคยเปิดโปงทัศนะที่แท้จริงของตน ทั้งยังพูดจาคลุมเครืออยู่เสมอ โดยไม่เคยบอกให้ผู้อื่นรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาคิดอย่างไร พวกเขาพูดสิ่งที่แตกต่างกันไปตามบุคคลที่กำลังคุยด้วย ปรับเปลี่ยนโดยสิ้นเชิงตามความจำเป็นของสถานการณ์ คนเหล่านี้ก็ไม่สนใจความจริงหรือการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าเลยไม่ว่าในแง่ใด นี่คือการสำแดงประการที่สองของคนที่ชอบฉวยโอกาส นั่นคือ พวกเขาไม่เอาจริงเอาจังกับการแยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นลบกับสิ่งที่เป็นบวกเลย
คนที่ชอบฉวยโอกาสเหล่านี้มีลักษณะนิสัยประการใดอีกบ้าง? ผู้คนเหล่านี้จะเลือกอยู่ตลอดเวลาว่าจะอยู่หรือไปโดยขึ้นอยู่กับว่าสิ่งทั้งหลายพัฒนาไปอย่างไร ทั้งยังถนัดในการปรับตัวเข้ากับสภาวการณ์เป็นพิเศษ เมื่อพวกเขาเข้าร่วมคริสตจักร พวกเขาก็เตรียมกลยุทธ์สำหรับทางออกและจุดหมายปลายทางในอนาคตของตนไว้พร้อม วางแผนสำหรับทุกๆ ขั้นตอน พวกเขาคิดคำนวณและวางแผนอยู่ในหัวใจว่าหากผ่านไประยะหนึ่งแล้วพระวจนะของพระเจ้าลุล่วงขึ้นมาจะทำอย่างไร และหากพระวจนะไม่ลุล่วงจะทำอย่างไร หลังจากเข้าสู่คริสตจักรแล้ว บุคคลประเภทนี้ก็ไม่เคยทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้กับงานของคริสตจักรเลย ตรงกันข้าม พวกเขากลับเฝ้าสังเกตการพัฒนาของคริสตจักร ท่าทีที่คริสตจักรมีต่อพวกเขาและวิธีที่คริสตจักรปฏิบัติต่อพวกเขา รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อยู่ตลอดเวลาเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับก้าวต่อไปของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้มีความคิดที่ค่อนข้างซับซ้อนมิใช่หรือ? (ใช่) ถึงแม้พวกเขาจะเข้าร่วมคริสตจักร พวกเขาก็มีมุมมองชั่วคราวราวกับคนทำงานตามสัญญาจ้างอยู่เสมอ ติดอยู่ในสภาวะที่ “ตัวอยู่ที่นี่แต่ใจอยู่ที่อื่น” ไปตลอดกาล ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยกลอุบายและแผนการ การที่พวกเขาเลือกเชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมคริสตจักรเป็นเพียงการเลือกจำใจประนีประนอม ไม่ใช่ความจำเป็นฝ่ายวิญญาณหรือความปรารถนาที่จะติดตามพระเจ้าและเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์บนพื้นฐานของการยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า พวกเขาขาดความเชื่อในเรื่องนี้ ผู้คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้าด้วยท่าทีของการดูเชิง พลางคิดคำนวณอยู่ในหัวใจว่า “หากการเชื่อในพระเจ้าทำให้ฉันได้รับเป็นร้อยเท่าในชีวิตนี้และได้รับชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง และนำมาซึ่งโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ เช่นนั้นแล้วฉันก็จะทำตามและเชื่อ หากฉันไม่อาจได้รับสิ่งเหล่านี้ได้ ฉันก็จะไปจากคริสตจักรได้ทุกเวลาและทุกสถานการณ์ และเลิกเชื่อเสีย” พวกเขามาเชื่อในพระเจ้าด้วยความหวังที่จะฉวยโอกาสของการได้รับพรโดยแท้จริง หากพวกเขาไม่อาจได้รับพร พวกเขาก็สามารถละทิ้งหน้าที่ของตนได้ทุกเวลาและทุกสถานการณ์ รวมถึงวางแผนเส้นทางอีกทางหนึ่งไว้ให้ตนเอง เพราะหัวใจของพวกเขาไม่เคยหยั่งรากในคริสตจักร และพวกเขาก็ไม่เคยเลือกเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าและการติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริงเลย
ลักษณะนิสัยหลักของคนที่ชอบฉวยโอกาสมีสามประการดังนี้คือ พวกเขาไม่ได้สนใจอย่างจริงจังว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่ พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับการแยกแยะสิ่งที่เป็นลบและเป็นบวก และพวกเขาสามารถไปจากคริสตจักรได้ทุกเวลาและทุกสถานการณ์ ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงปฏิบัติต่อพวกเขาดีเพียงใด ตราบใดที่สิ่งทั้งหลายไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์หรือตรงตามความต้องการในขณะนั้นของพวกเขา พวกเขาก็สามารถไปจากคริสตจักรได้ แต่เมื่อพวกเขาไม่มีที่ไป พวกเขาก็เลือกที่จะกลับมา หลังจากกลับมาแล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และอาจจะทิ้งคริสตจักรไปอีกได้ทุกเมื่อ พวกเขาคือคนเลวประเภทใด? การมาและไปของพวกเขาดูเป็นเรื่องธรรมดาเสียเหลือเกิน พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะนิสัยของคนที่ชอบฉวยโอกาส ในแง่ของแก่นแท้ของพวกเขานั้น พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ คนบางคนสามารถยืนหยัดในการเชื่อได้นานสามถึงห้าปี บางคนสามารถยืนหยัดได้แปดถึงสิบปี แต่พวกเขามีจุดประสงค์เพียงเพื่อฉวยโอกาสในการแสวงหาพระพร ผู้คนเช่นนั้นไม่ธรรมดาเลย พวกเขายังสู้ทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและถูกข่มเหงของจีนแผ่นดินใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้—นั่นค่อนข้างเหมือนกับการ “นอนบนกองฟืน ทนความขมขื่น” มิใช่หรือ? หลังจากเชื่อมาเป็นสิบปี บางคนก็ไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป แล้วพวกเขาก็พร่ำบ่นว่า “สิบปีเชียวนะ วัยหนุ่มสาวของฉันสูญเปล่าไปในคริสตจักร หากฉันทุ่มเททำงานหนักในทางโลกตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้ ฉันจะหาเงินได้มากขนาดไหน? บางทีฉันอาจจะกลายเป็นผู้จัดการ และอาจจะมีทรัพย์สินมากมายก็ได้” จากนั้นพวกเขาก็เริ่มไม่สบายใจ พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นสิบปีเพื่อสนองความสงสัยใคร่รู้อันน้อยนิดและความอยากได้รับพรของตนเท่านั้น แต่พวกเขาไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริง ผลก็คือพวกเขาไม่ได้รับสิ่งใดเลย พวกเขาเสียใจที่เชื่อในพระเจ้า และถึงกับด่าว่าตนเองว่า “เจ้าโง่ สมองทึบ! แกไม่เลือกเดินบนถนนกว้างๆ ที่เดินง่ายๆ แต่กลับยืนกรานที่จะเดินไปบนเส้นทางที่แสนทรหดนี้ ไม่มีใครบังคับแกเลย แกเลือกของแกเอง!” บางคนถึงกับไปจากคริสตจักรได้หลังจากเชื่อมาเป็นสิบปี จากไปในทันทีโดยไม่ลังเล หลังจากเอาตัวรอดอยู่ในสังคมได้สองหรือสามปี พวกเขาก็พบว่าการเดินทางในสังคมนั้นไม่ได้ราบรื่นหรือง่ายดายดังที่พวกเขาคิดฝันไว้ และโลกของผู้ไม่มีความเชื่อก็ไม่ได้มีสีสันและเป็นดังอุดมคติตามที่เห็น สำหรับพวกเขาแล้ว การเอาตัวรอดไม่ว่าที่ใดในโลกใบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว พวกเขาก็พบว่าคริสตจักรยังคงดีกว่า เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงกลับมาอย่างไร้ยางอาย เมื่อกลับมาแล้วพวกเขาก็กล่าวว่า “การเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี ผู้ไม่มีความเชื่อนั้นเลวร้าย คอยรังแกผู้คนอยู่เสมอ ในโลกมีความทุกข์มากเกินไป หลายปีมานี้ที่ไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่ได้ใช้ชีวิตคริสตจักร ฉันก็ตกอยู่ในความมืด ร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทุกวัน ฉันถูกเหยียบย่ำจนถึงจุดที่ฉันดูไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไป การเชื่อในพระเจ้าย่อมดีกว่า!” พวกเขาประกาศว่าการเชื่อในพระเจ้าย่อมดีกว่า แต่ที่จริงนี่เป็นเพราะพวกเขาได้ยินว่าในโลกนี้มีความวิบัติอยู่มากเกินไป และมวลมนุษย์กำลังจะประสบกับมหันตภัยใหญ่หลวงในไม่ช้า การมีเงินทอง ที่ดิน รถยนต์ และบ้านนั้นไม่มีประโยชน์ มีเพียงผู้ที่มีความเชื่อเท่านั้นที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ ดังนั้นพวกเขาจึงกลับมาเชื่อในพระเจ้าอีกครั้ง นี่คือคนที่ชอบฉวยโอกาสมิใช่หรือ? (ใช่) คนที่ชอบฉวยโอกาสสามารถไปจากคริสตจักรได้ทุกเมื่อ หากพวกเขาเห็นว่าการหวนคืนสู่คริสตจักรทำให้มีความหวังที่จะได้รับพร พวกเขาก็สามารถกลับมาได้ทุกเมื่อเช่นเดียวกัน หลังจากกลับมาแล้ว พวกเขาอาจพูดแสดงความเสียใจสองสามคำ และแสดงออกว่าพวกเขาจะไม่มีวันทิ้งพระเจ้าไปอีก แต่หลังจากเห็นว่าสิ่งทั้งหลายในโลกนั้นสงบและมีสันติสุข อีกทั้งเห็นว่าพวกเขายังสามารถเพลิดเพลินกับวันเวลาดีๆ ได้อยู่บ้าง พวกเขาก็สามารถไปจากคริสตจักรได้อีกทุกเมื่อ พวกเขาเห็นพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรเป็นอะไร? พวกเขาเห็นเป็นตลาดเสรีที่ไปและมาได้ตามอำเภอใจ บอกเราทีเถิดว่า หากผู้คนเช่นนั้นถูกเอาตัวออกไปหรือจากไปด้วยตนเอง และหากพวกเขาต้องการกลับมา คริสตจักรควรยอมรับพวกเขากลับมาหรือไม่? (ไม่) ไม่ควรยอมรับพวกเขากลับมา การยอมรับพวกเขากลับมาถือเป็นความผิดพลาดและละเมิดหลักธรรม ผู้คนเหล่านี้ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของสมาชิกคริสตจักร พวกเขาสามารถทิ้งคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อ และเพื่อให้ได้รับพร พวกเขาก็สามารถหาทางแทรกตัวกลับเข้ามาในคริสตจักรได้ทุกเมื่อ แต่ตลอดเวลานั้นพวกเขาไม่เคยยอมรับความจริงเลย สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง ผู้คนเช่นนั้นย่อมจะเป็นเป้าหมายของการขับไล่และการเอาตัวออกไปตลอดไป คริสตจักรควรเอาตัวพวกเขาออกไปและบอกพวกเขาว่า “อย่าเสียใจไปละ เมื่อคุณไปแล้ว คุณจะไม่สามารถกลับมาได้อีก คริสตจักรจะไม่เปิดประตูให้คุณเป็นครั้งที่สอง นี่คือหลักธรรม” คนบางคนกล่าวว่า “ในเวลานั้นพวกเขาโง่เขลา แต่ตอนนี้พวกเขาประพฤติตนดีมาก พวกเขาเชื่อฟังราวกับลูกแกะตัวน้อย น่าเวทนาราวกับคนเร่ร่อนไร้บ้าน เมื่อไรที่พวกเขาพบพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็แสดงออกถึงความเสียใจและการเป็นหนี้บุญคุณ สองตาแดงก่ำจากการร้องไห้ด้วยความเสียใจ พวกเขาดูน่าสงสารเหลือเกิน และท่าทีในการสารภาพของพวกเขาก็ดีมาก ให้พวกเขากลับมาเถิด” คำพูดเหล่านี้มีประโยคใดที่สอดคล้องกับหลักธรรมบ้างหรือไม่? (ไม่มี) แม้จะเชื่อมาสามปีหรือเป็นสิบปี พวกเขาก็ยังสามารถมุ่งมั่นไปจากคริสตจักรได้โดยไม่ลังเล พวกเขาเป็นคนเลวทรามประเภทใด? พวกเขาคือผู้เชื่อที่แท้จริงหรือไม่? (ไม่) ในตอนแรกที่พวกเขาเลือกติดตามพระเจ้า พวกเขามีความจริงใจบ้างหรือไม่? ไม่มีเลย หากพวกเขาพอมีความจริงใจอยู่บ้าง พวกเขาย่อมจะไม่มุ่งมั่นที่จะไปจากคริสตจักรถึงเพียงนั้น โดยทั่วไปแล้ว คนเราอาจจะมีความคิดเช่นนั้นได้มากที่สุดเมื่อพวกเขาอ่อนแอ ท้อแท้ หรือเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปด้วยดีสำหรับพวกเขา แต่พวกเขาจะไม่มีวันตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปจากคริสตจักรเพื่อหาหนทางอื่นหลังจากเชื่อในพระเจ้ามาสามปี ห้าปี หรือแม้กระทั่งสิบปี หากพวกเขาสามารถไปจากคริสตจักรได้ตามอำเภอใจ นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้จริงใจตั้งแต่แรกที่ยอมรับหนทางที่แท้จริงและเข้าร่วมคริสตจักร พวกเขามีแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายแอบแฝง—นี่ไม่อาจกล่าวเป็นอื่นได้เลย ผู้คนเช่นนั้นต้องถูกแยกแยะให้ชัดเจน พวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง การเชื่อในพระเจ้าและการติดตามพระเจ้าของพวกเขาเป็นไปเพื่อความหวังที่จะฉวยโอกาสในการได้รับพร ผู้คนเช่นนั้นถูกระบุว่าเป็นคนที่ชอบฉวยโอกาส และเมื่อถูกแยกแยะแล้วก็ควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร หากพวกเขาไม่ไปจากคริสตจักรและยังฉวยประโยชน์จากสถานการณ์เช่นนี้ภายในคริสตจักรต่อไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน นั่นย่อมเป็นเพราะไม่มีผู้ใดสามารถแยกแยะได้ว่าพวกเขาเป็นเช่นไร อย่างไรก็ตาม ผ่านการสามัคคีธรรมถึงการสำแดงนานาประการของคนที่ชอบฉวยโอกาสเหล่านี้ในวันนี้ ผู้นำและคนทำงาน รวมถึงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรมีความเข้าใจที่ชัดเจนและมีวิจารณญาณแยกแยะต่อผู้คนเช่นนั้น เมื่อพบว่าพวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรืออธิษฐานถึงพระเจ้า ไม่สนใจในพระราชกิจของพระเจ้าหรือความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง ไม่สนใจในสิ่งที่เป็นบวก และไม่เอาจริงเอาจังกับสิ่งเหล่านั้นเลย เช่นนั้นก็ควรเฝ้าระวังพวกเขาอย่างใกล้ชิด การนี้จำเป็นต้องสังเกตแรงจูงใจและจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และตรวจสอบให้แน่ใจถึงท่าทีที่พวกเขามีต่อคริสตจักร ต่อความจริง และต่อพระเจ้า หากเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีท่าทีที่ถูกต้อง ไม่แยแสกับการไล่ตามเสาะหาความจริงและการทำหน้าที่เป็นพิเศษ ไม่แสดงออกซึ่งความสนใจในสิ่งใดเลย ทั้งยังมีท่าทีที่กังขาต่อพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ เช่นนั้นก็สามารถยืนยันได้ว่า ผู้คนเหล่านี้คือคนที่ชอบฉวยโอกาสและเป็นผู้ไม่เชื่อ หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรถือว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง พวกเขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคริสตจักร แต่พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร พวกเขาเชื่อมานานหลายปีและยังคงไม่ยอมรับความจริง การสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาต่อไปจะมีประโยชน์หรือไม่? การรอให้พวกเขากลับใจต่อไปจะเป็นจริงได้หรือ? อย่าพยายามกับคนเช่นนั้นอีกต่อไปเลย และอย่ารอให้พวกเขากลับใจ หากพวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน และยังคงต้องการยืดเวลาที่จะอยู่ในคริสตจักรต่อไปโดยไม่ยอมจากไป เช่นนั้นแล้วผู้นำคริสตจักรก็ควรหาทางแยกพวกเขาออกไปอย่างชาญฉลาด การนี้เหมาะสมใช่หรือไม่? (ใช่) เมื่อผู้คนเหล่านี้ถูกแยกแยะว่าเป็นคนที่ชอบฉวยโอกาส พวกเขาย่อมถูกจัดให้อยู่ในหมู่คนชั่วและผู้ไม่เชื่อประเภทต่างๆ แล้ว ในเมื่อพวกเขาคือคนชั่วและผู้ไม่เชื่อ พวกเขาก็ตรงตามหลักธรรมและเงื่อนไขของการถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักร การเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรเสียแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่าการเอาตัวพวกเขาออกไปในภายหลังอย่างแน่นอน การเอาตัวพวกเขาออกไปแต่เนิ่นๆ ถือเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหามากมาย และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกคับข้องใจอีกต่อไป เจ้าควรบอกผู้คนเหล่านั้นให้ชัดเจนว่า “คุณไม่จำเป็นต้องคอยคิดคำนวณอยู่ในใจหรอกว่าจะไปเมื่อไรหรือไปอย่างไร และคุณก็ไม่จำเป็นต้องคอยคิดคำนวณว่าคุณจะอยู่หรือจะไป พระเจ้าและพระนิเวศของพระเจ้าไม่บังคับผู้คน หากคุณต้องการไป คริสตจักรก็จะไม่พยายามเซ้าซี้คุณให้อยู่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณต้องเข้าใจให้ชัดเจน นั่นคือ หากคุณแน่ใจว่าตัวเองไม่ใช่คนของพระนิเวศของพระเจ้า และคุณไม่เต็มใจที่จะเป็นสมาชิกของคริสตจักร เช่นนั้นก็จงไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่ารีรอ การนี้ก็เพื่อประโยชน์ของทุกคน หากคุณเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า สามารถยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และเต็มใจโดยแท้ที่จะเข้าร่วมคริสตจักร เช่นนั้นคุณก็เป็นสมาชิกของคริสตจักรโดยชอบธรรม แต่ตอนนี้คุณไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณมาเพื่อฉวยโอกาส และบางทีคุณอาจจะไม่ตัวด้วยซ้ำ แต่พวกเราได้แยกแยะแล้ว—ตามพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และหลักธรรมของคริสตจักรในการจัดการกับผู้คนทุกประเภท—ว่าคุณคือคนที่ชอบฉวยโอกาส คุณเอาแต่คำนวณหาช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อไปจากคริสตจักร เรื่องนี้น่ารำคาญจริงๆ คุณไม่จำเป็นต้องหาช่วงเวลาที่เหมาะสมหรอก เพราะคุณสามารถไปตอนนี้เลยก็ได้ หากคุณไม่มั่นใจกับการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นฉันก็ขอบอกคุณอย่างชัดเจนเดี๋ยวนี้เลยว่า คุณไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญหรือพินิจพิเคราะห์เรื่องใดอีกต่อไปแล้ว คุณไม่ต้องทำให้ตัวเองลำบากใจ—คุณสามารถไปจากคริสตจักรตอนนี้ได้เลย ประตูพระนิเวศของพระเจ้าเปิดอยู่ และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่รั้งคุณไว้ ที่นี่ไม่บังคับใครทั้งสิ้น” การทำเช่นนี้เหมาะสมใช่หรือไม่? (ใช่) การมอบ “ทางออก” ให้พวกเขา ไม่ปล่อยให้พวกเขาทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ในทุกๆ วันราวกับมดบนกระทะร้อน ถูกความรู้สึกของพวกเขา เนื้อหนังของพวกเขา จุดหมายปลายทางในอนาคตของพวกเขา และประเด็นเรื่องการจะอยู่หรือจะไปทรมานอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าพวกเขาจะทนทุกข์ทรมานจากสิ่งเหล่านี้มากเพียงใด การนี้ก็เกิดประโยชน์ใดเลย ในหัวใจของพวกเขายังคงใคร่ครวญว่าจะไปตอนไหน ไปอย่างไร หากพวกเขาไปเสียแต่เนิ่นๆ พวกเขาจะทนทุกข์กับความสูญเสียและความอับโชคหรือไม่ และหากพวกเขาอยู่ให้นานขึ้น พวกเขาจะสามารถได้รับพรหรือไม่ จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาจากไปแล้วพระวจนะของพระเจ้าเกิดลุล่วงขึ้นมา? จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาไม่จากไปแต่พระวจนะของพระเจ้าก็ยังคงไม่ลุล่วง? พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลและร้อนใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อย่างไม่ว่างเว้น ในเมื่อพวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้าด้วยความเต็มใจอย่างแท้จริง พวกเขาก็ควรไปเสียให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเขาไม่ควรอยู่ที่นี่ พยายามฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เสแสร้งว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้เป็น บอกเราทีเถิดว่า การแนะนำพวกเขาเช่นนี้และรับมือกับเรื่องนี้ในหนทางนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่? (ดี) การจัดให้คนที่ชอบฉวยโอกาสอยู่ในหมู่คนชั่วหลากหลายประเภทที่จะถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปนั้นเป็นเรื่องที่เกินไปหรือไม่? (ไม่เกินไป) บางคนกล่าวว่า “ผู้คนเช่นนี้จะถือว่าเป็นคนชั่วได้อย่างไร?” ในบรรดาผู้ไม่เชื่อนั้นมีคนดีอยู่กี่คน? ในสายพระเนตรของพระเจ้า แก่นนิสัยของบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและยอมรับการดำรงอยู่ของพระองค์นั้นถือว่าชั่ว นับประสาอะไรกับพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่ยอมรับในการดำรงอยู่ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ดังนั้นแล้ว การจำแนกพวกเขาว่าเป็นคนชั่วเป็นเรื่องที่เกินไปหรือไม่? (ไม่) ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม อย่างน้อยพวกเขาก็ยังถูกเรียกว่าคน—คนชั่ว การที่พวกเขาไม่ถูกจำแนกประเภทว่าเป็นมารที่ชั่วนั้นก็ดีมากพอแล้ว การจัดประเภทพวกเขาให้อยู่ในหมู่คนชั่วเป็นสิ่งที่พอเหมาะและพอดีอย่างยิ่ง การนี้ไม่มากเกินไปเลย คนชั่วเช่นนั้นก็เป็นหนึ่งในผู้คนประเภทต่างๆ ที่จะถูกพระนิเวศของพระเจ้าขับไล่หรือเอาตัวออกไปเช่นเดียวกัน นี่คือผู้ไม่เชื่อประเภทที่สี่ ผู้ที่มีจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าเพื่อฉวยโอกาส
ลักษณะนิสัยหลักของคนที่ชอบฉวยโอกาสคืออะไร? จากการที่เจ้าปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้และเฝ้าสังเกตอุปนิสัย มุมมอง ท่าที หรือความเป็นมนุษย์ที่พวกเขาเผยออกมา เจ้าได้พบลักษณะนิสัยหลักใดบ้าง? สรุปสิ่งเหล่าให้ฟังทีเถิด (คนที่ชอบฉวยโอกาสไม่ได้มาเชื่อในพระเจ้าเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงตั้งแต่แรก พวกเขาได้ยินว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นพวกเขาจึงมาเชื่อในพระเจ้าด้วยความหวังที่จะได้รับพรและได้ประโยชน์บางอย่างจากพระนิเวศของพระเจ้า หวังที่จะแสวงหาผลกำไรเท่านั้น และหากผ่านไประยะหนึ่งแล้วพวกเขายังไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็ต้องการจากไป ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง และไม่สนใจในการเชื่อในพระเจ้าเลย) ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของคนที่ชอบฉวยโอกาสคืออะไร? ประเด็นหลักก็คือพวกเขาไม่สนใจความจริง แต่กลับให้ความสนใจในการได้รับพรมากที่สุด ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว การยอมรับความจริงจึงเป็นสิ่งที่ยากที่สุด บางคนกล่าวว่า “คุณไม่สามารถขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไปเพียงเพราะพวกเขาไม่สนใจความจริงใช่หรือไม่?” การขาดความสนใจในความจริงของผู้คนเหล่านี้ โดยหลักแล้วแสดงให้เห็นจากการที่พวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือสามัคคีธรรมความจริงเลย หากพวกเขาได้ยินใครบางคนสามัคคีธรรมความจริงและพูดถึงการรู้จักตนเอง หรือการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหา พวกเขาย่อมรู้สึกรังเกียจอยู่ในหัวใจเป็นพิเศษและไร้ความสนใจโดยสิ้นเชิง และพวกเขาก็เริ่มสัปหงก พวกเขารังเกียจสิ่งเหล่านี้อย่างถึงที่สุด และถึงกับใช้การพูดคุยสัพเพเหระ การพูดถึงความวิบัติ และการหารือเรื่องที่พระเจ้าทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อก่อกวนผู้อื่นจากการสามัคคีธรรมความจริง ผลก็คือบางคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็รู้สึกตื่นเต้นเมื่อพวกเขาได้ยินหัวข้อเหล่านี้และร่วมหารือด้วย นี่ไม่ใช่การก่อกวนชีวิตคริสตจักรอย่างโจ่งแจ้งหรอกหรือ? พวกเขาแทบจะไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน และเมื่อพวกเขาอ่านบ้างเป็นครั้งคราว ก็อาจเป็นเพราะมีบางสิ่งบางอย่างรบกวนพวกเขาอยู่ภายใน พวกเขาไม่สนใจในการชุมนุม การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือการสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า พวกเขากังวลอยู่เรื่องเดียวว่า “วันของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อไร? มหันตภัยใหญ่หลวงจะสิ้นสุดตอนไหน? พวกเราจะสามารถเพลิดเพลินกับพรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ได้เมื่อไร?” พวกเขามักสงสัยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ หากไม่มีใครหารือถึงหัวข้อเหล่านี้ พวกเขาก็จะไปค้นหาในโลกออนไลน์ และเมื่อค้นหาแล้ว พวกเขาก็เริ่มเผยแพร่สิ่งต่างๆ ในระหว่างการชุมนุม หัวใจของพวกเขาท่วมท้นไปด้วยสิ่งเหล่านี้ ตราบใดที่พวกเขาได้ยินผู้อื่นสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อที่พวกเขาสนใจ พวกเขาก็สามารถพูดเสริมและเข้าร่วมสามัคคีธรรมได้ แต่ทันทีที่พวกเขาได้ยินเนื้อหาเกี่ยวกับความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่อยากฟัง พวกเขาเริ่มสัปหงก และบางคนก็ถึงกับลุกออกไป ในขณะที่คนอื่นๆ เริ่มอยู่ไม่สุข—พวกเขาแสดงท่าทางอัปลักษณ์ออกมาสารพัดรูปแบบ เจ้ากล่าวว่า “พวกเรามาสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้ากันเถิด” พวกเขาก็กล่าวว่า “ฉันคอแห้งน่ะ ต้องดื่มน้ำเสียหน่อย” เจ้ากล่าวว่า “มาสามัคคีธรรมเรื่องการรู้จักตนเองกันเถิด” หรือ “มาสามัคคีธรรมถึงรายละเอียดของการทำหน้าที่กันเถิด มาดูกันเถิดว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไรและหลักธรรมความจริงคืออะไร” พวกเขาก็กล่าวว่า “ฉันมีบางอย่างต้องทำ ขอตัวก่อน คุยกันให้สนุกนะ” พวกเขาหาข้อแก้ตัวทุกรูปแบบเพื่อปฏิเสธและบอกปัดการสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและความจริง สิ่งนี้เปิดโปงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่เพียงไม่รักความจริงเท่านั้น แต่พวกเขายังรังเกียจและต้านทานความจริงจากก้นบึ้งของหัวใจอีกด้วย เมื่อไรที่มีการกล่าวถึงพระวจนะของพระเจ้า กล่าวถึงความจริง พวกเขาก็ไม่ได้ต่อต้านหรือโต้แย้งอย่างเปิดเผย แต่กลับหาข้อแก้ตัวต่างๆ นานาเพื่อบอกปัดและหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนหรือว่าพวกเขาคือคนที่ชอบฉวยโอกาส? นี่ย่อมชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาคือผู้ไม่เชื่อที่เชื่อในพระเจ้าเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง เพื่อการฉวยโอกาสมิใช่หรือ? (ใช่) บางคนกล่าวว่า “คุณบอกว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ และไม่ได้ติดตามพระเจ้าด้วยใจจริง แล้วทำไมพวกเขาจึงสามารถเชื่อมาได้จนถึงทุกวันนี้ และยังคงทุ่มเทตัวเองและสู้ทนความยากลำบากเพื่องานของคริสตจักรได้เล่า?” พฤติกรรมที่พวกเราเพิ่งกล่าวถึงไปยังไม่เพียงพอที่จะตอบคำถามนี้หรือ? พฤติกรรมเหล่านี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าวิจารณญาณแยกแยะและการระบุลักษณะพวกเขาของพวกเรานั้นถูกต้องแม่นยำ ด้วยเหตุนั้น ในประเมินว่าจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของคนคนหนึ่งเป็นการฉวยโอกาสหรือไม่ เจ้าก็ควรประเมินและแยกแยะจากท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า ต่อพระราชกิจของพระเจ้า ต่อความจริง และต่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและเป็นลบ สิ่งนี้ถูกต้องแม่นยำมากที่สุด การประเมินจากพฤติกรรมและการกระทำภายนอกของพวกเขานั้นไม่แม่นยำและไม่เป็นกลาง มีเพียงความคิดภายในที่แท้จริงของพวกเขา รวมถึงท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและต่อความจริงเท่านั้นที่เผยให้เห็นประเด็นทั้งหลาย มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นมาตรฐานที่ถูกต้องแม่นยำที่สุดในการระบุลักษณะว่าคนคนหนึ่งเป็นคนประเภทใด บัดนี้ โดยพื้นฐานแล้วพวกเจ้าย่อมเข้าใจชัดเจนถึงแก่นแท้ของพวกที่เชื่อในพระเจ้าด้วยจุดประสงค์ที่จะฉวยโอกาสใช่หรือไม่? พวกเจ้าทุกคนต่างก็เคยเผชิญผู้คนเช่นนี้ใช่หรือไม่? (ใช่) การที่ผู้คนเช่นนั้นจากไปให้เร็วที่สุดย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า หากพวกเขาเต็มใจที่จะทำงานรับใช้อย่างแท้จริง เช่นนั้นก็สามารถฝืนใจเก็บพวกเขาเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่ทำหน้าที่ของตนและไม่สามารถทำงานรับใช้ใดๆ ได้เลย ทว่ากลับก่อให้เกิดการรบกวนและมีผลกระทบอันเป็นลบต่องานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักร เช่นนั้นก็ควรทำให้พวกเขาจากไปโดยเร็วที่สุด นี่คือหลักธรรมสำหรับการเอาตัวผู้ไม่เชื่อออกไป พระนิเวศของพระเจ้าต้องการคนที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงและรักความจริง พระนิเวศของพระเจ้าต้องการคนรับใช้ที่จงรักภักดี ที่แห่งนี้ไม่ต้องการผู้ไม่เชื่อหรือผู้ที่สังเกตการณ์ด้วยความลังเลเพื่อที่จะเติมที่นั่งให้เต็มอย่างเด็ดขาด คริสตจักรก็ไม่ต้องการคนที่เข้ามาเติมที่ให้เต็มเช่นเดียวกัน พวกเราจะจบการสามัคคีธรรมหัวข้อนี้ไว้เพียงเท่านี้
จ. เพื่อเกาะคริสตจักรกิน
ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงจุดประสงค์ข้อที่ห้า นั่นคือ เชื่อในพระเจ้าเพื่อเกาะคริสตจักรกินพวกเจ้าทุกคนต่างก็คุ้นเคยกับหัวข้อเรื่องการเกาะคริสตจักรกินใช่หรือไม่? (ใช่) สิ่งใดเป็นการสำแดงของคนที่เกาะคริสตจักรกิน? การสำแดงใดบ้างที่ทำให้พวกเราสามารถกำหนดได้ว่าจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาไม่บริสุทธิ์ ว่าพวกเขาไม่ได้ติดตามพระเจ้าด้วยใจจริง หรือไม่พยายามที่จะสัมฤทธิ์ความรอด และพวกเขาไม่ได้มาเพื่อไล่ตามเสาะหาและยอมรับความจริง รวมถึงไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าบนพื้นฐานของการเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าและความเต็มใจที่จะยอมรับความรอดจากพระเจ้าเพื่อให้พวกเขาสัมฤทธิ์เป้าหมายของการได้รับความรอด แต่กลับมาเพื่อเกาะคริสตจักรกิน? การเกาะคริสตจักรกินหมายถึงอะไร? ความหมายในระดับผิวเผินนั้นชัดเจนมาก การเกาะคริสตจักรกินหมายถึงการเข้าร่วมกับนิกายหนึ่งผ่านความเชื่อทางศาสนาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนเราและปัญหาเรื่องปากท้อง นี่เป็นคำนิยามที่กระชับและตรงประเด็นมากที่สุดของการเกาะคริสตจักรกินทั้งยังเป็นคำนิยามที่ชัดเจนที่สุดอีกด้วย แล้วผู้คนเหล่านี้มีการสำแดงใดบ้างที่ยืนยันว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง แต่กลับมาเพื่อเกาะคริสตจักรกิน? คนบางคนมีความเชี่ยวชาญในทักษะบางอย่าง และมีความสามารถในการทำงานเฉกเช่นคนปกติ แต่พวกเขาเห็นว่าสังคมนี้ไม่เป็นธรรม และการทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ในสังคมนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย การทำงานหาเงินเพื่อจุนเจือสมาชิกทุกคนในครอบครัวของคนเรานั้นจำเป็นต้องตื่นแต่เช้าตรู่และอยู่จนดึก สู้ทนกับความยากลำบากมากมาย และอดทนกับความคับข้องใจต่างๆ—คนเราต้องมีทั้งไหวพริบและความยืดหยุ่น แต่ก็ต้องโหดเหี้ยมและเลวร้ายพอสมควรเช่นเดียวกัน อีกทั้งคนเราต้องมีชั้นเชิงและมีความสามารถ—เมื่อนั้นเท่านั้นคนเราจึงรักษาความเป็นอยู่ที่มั่นคงและสร้างตัวในสังคมนี้ได้ เมื่อมองไปที่คนทำงาน ไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงใดและไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในชนชั้นสูง กลาง หรือต่ำของสังคม การหาเลี้ยงชีพก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บรรดาคนทำงานในสำนักงานต่างก็สร้างภาพในสภาพเสมือนมนุษย์ ด้วยรูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์ มีตำแหน่งสูง มีคุณสมบัติทางการศึกษาสูง รวมถึงมีเงินเดือนและสิทธิพิเศษมากมาย และทุกคนต่างอิจฉาพวกเขา ทว่าอุปสรรคแต่ละอย่างที่พวกเขาเผชิญในที่ทำงานคือบททดสอบอันหนักหน่วง ไม่ว่าการทำงานในสายงานใดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การเป็นชาวนาและการทำไร่ไถนายิ่งยากกว่า ชาวนานั้นตรากตรำอย่างแสนสาหัส แต่กลับได้อาหารแค่พอเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัวเท่านั้น พวกเขาไม่มีเงินที่จะซื้อเสื้อผ้าและของจำเป็นอื่นๆ หรือซ่อมแซมบ้านเรือนของตน และเมื่อพวกเขาต้องการใช้เงินจำนวนหนึ่ง พวกเขาก็ต้องอาศัยการขายผักหรือทำปศุสัตว์เพื่อเงินจำนวนนั้น—การเป็นชาวนานั้นน่าเวทนาเสียยิ่งกว่า! ดังที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวว่า “เงินทองนั้นหายาก—การเกิดมานั้นง่ายดาย แต่การดำรงชีวิตนั้นยาก”—การหาเลี้ยงชีพเป็นเรื่องที่ยากมาก คนบางคนไม่มีหนทางในการหาเลี้ยงชีพ และพวกเขาก็เห็นว่าผู้ไม่มีความเชื่อนั้นเลวร้ายมาก และคิดว่าผู้ที่มีความเชื่อทางศาสนานั้นไร้เล่ห์มารยา และการหาเลี้ยงชีพในคริสตจักรก็อาจจะง่ายกว่าเล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงใช้โอกาสที่พระนิเวศของพระเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร และหลังจากได้ยินว่ามีอาหารจัดเตรียมให้กับผู้ที่ทำหน้าที่ พวกเขาก็มาเพื่อทำหน้าที่ บางคนที่ต้องการทำหน้าที่ก็คิดว่า “ฉันเป็นหัวหน้าครอบครัว ตราบเท่าที่มีคนทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้านและมีการจัดเตรียมเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของครอบครัว ฉันก็จะทำหน้าที่ของฉัน” จุดประสงค์หลักของการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของพวกเขาคือเพื่อให้ได้รับอาหารเพียงพอและมีเสื้อผ้าที่อบอุ่นเป็นเครื่องรับประกันความอยู่รอดของพวกเขา—เพื่อให้ได้กินอาหารวันละสามมื้อ และไม่ต้องพึ่งพาการทำงานและการหาเงินเพื่อเลี้ยงดูตนเองอีกต่อไป ตราบเท่าที่พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากคริสตจักร ทุกอย่างย่อมถือว่าดีแล้ว เพื่อที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายนี้ พวกเขาจึงทำทุกอย่างตามที่คริสตจักรจัดการเตรียมการให้พวกเขาทำ ยังมีบางคนที่หลังจากเข้ามาในคริสตจักรแล้วก็เริ่มเรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำและประกาศคำเทศนา พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามาก คัดลอกและท่องจำพระวจนะของพระเจ้ามากมาย และหลังจากท่องจำพระวจนะเหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะประกาศแก่ผู้อื่นและช่วยผู้คนแก้ไขปัญหา พวกเขาพยายามทำทุกวิถีทางที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือทุกคน และหวังว่าเมื่อผู้คนได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขาแล้ว คนเหล่านั้นจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาบ้าง และหวังว่าคนเหล่านั้นจะรู้สึกขอบคุณพวกเขาหลังจากได้ฟังคำเทศนาและพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาประกาศ แล้วจะให้ความเอื้อเฟื้อและให้ความช่วยเหลือพวกเขา ตัวอย่างเช่น หากพวกเขาไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำและค่าไฟที่บ้าน พี่น้องชายหญิงก็สามารถช่วยจ่ายให้พวกเขา และหากพวกเขาไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนลูกหรือมีเงินไม่พอจ่ายค่ารักษาพยาบาลพ่อแม่ที่เจ็บป่วย คริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิงก็สามารถมอบเงินจำนวนนี้ให้เพราะพวกเขาทำหน้าที่ของตน ในหนทางนี้ พวกเขารู้สึกสบายใจกับการเชื่อในพระเจ้า และรู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นคุ้มค่า รู้สึกว่านี่ไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องทนทุกข์กับความสูญเสียใดๆ และรู้สึกว่าพวกเขาได้สัมฤทธิ์เป้าหมายของตนแล้ว พวกเขาขอบคุณพระเจ้าอยู่ในหัวใจอย่างไม่หยุดหย่อน โดยกล่าวว่า “ทั้งหมดนี้คือพระคุณของพระเจ้า คือความโปรดปรานของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!” เพื่อที่จะ “ตอบแทน” ความรักของพระเจ้า พวกเขาจึง “ยอมทำตาม” การจัดการเตรียมการของคริสตจักร และตราบใดที่พวกเขาได้รับอาหารและค่าครองชีพ พวกเขาจะทำงานทุกอย่าง—เป้าหมายของพวกเขาก็เพียงแค่รักษาชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคงเป็นการตอบแทน เมื่อคริสตจักรมองข้ามสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตของพวกเขาและไม่แก้ไขความลำบากยากเย็นของพวกเขาอย่างทันท่วงที พวกเขาก็เริ่มไม่มีความสุข ท่าทีที่พวกเขามีต่องานของคริสตจักรและหน้าที่ที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายให้พวกเขาเปลี่ยนไปในทันที พวกเขากล่าวว่า “แบบนี้ไม่ได้การ ฉันต้องออกไปทำมาหากิน เมื่อก่อนฉันไม่มีโอกาสได้หาเงินเพราะฉันทำงานของคริสตจักร ฉันถึงขนาดเสี่ยงที่จะถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมอยู่บ่อยครั้งจากการปรากฏตัวเพื่อทำงานนั้น และฉันก็เป็นที่รู้จักของผู้คนไปทั่วทุกหนแห่ง ฉันจะไปทำงานหาเงินตอนนี้ก็ไม่สะดวกเสียแล้ว ทำอย่างไรดีเล่า?” ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาจะตั้งหน้าตั้งตาแสดงความลำบากยากเย็นและความต้องการของตนให้พี่น้องชายหญิงเห็น ถึงกับยื่นมือออกมาเรียกร้องจากพระนิเวศของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ คนบางคนไม่มีเงินสำหรับค่าครองชีพหรือสำหรับตนเองในวัยชรา แต่พวกเขาก็ไม่แก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวเอง ตรงกันข้าม พวกเขากลับต้องการพึ่งพาการทุ่มเทตนเองให้กับพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อหาค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต บางคนถึงกับทำให้เรื่องนี้เลวร้ายลงไปอีก—พวกเขาไม่เพียงขอให้พระนิเวศของพระเจ้ามอบค่าครองชีพให้พวกเขา มอบค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกๆ ของพวกเขา และจุนเจือพ่อแม่ของพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขายังขอค่ารักษาพยาบาลของตนอีกด้วย บางคนถึงกับขอเงินจากพระนิเวศของพระเจ้าไปใช้หนี้ของตน—ความต้องการของพวกเขาเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาช่างไร้ยางอายจริงๆ ที่ร้องขอสิ่งเหล่านั้น หลังจากที่บางคนมาเชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมกับคริสตจักร เงินที่พระนิเวศของพระเจ้าจ่ายให้เพื่อครอบคลุมค่าครองชีพของพวกเขา และเงินเพิ่มเติมที่พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาเรียกร้องนั้นมากกว่าเงินที่พวกเขาหาได้จากการทำงาน บนพื้นฐานของการเป็นไปตามภาวะเหล่านี้ จากภายนอกพวกเขาจึงดูปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายจากพระนิเวศของพระเจ้าด้วยความอุทิศตนและความจงรักภักดีอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อผลประโยชน์เหล่านี้ลดลงหรือหายไป ท่าทีของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ท่าทีที่พวกเขามีต่องานที่คริสตจักรมอบหมายให้แตกต่างกันไปตามท่าทีที่พี่น้องชายหญิงมีต่อพวกเขา และตามจำนวนเงินช่วยเหลือที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบให้พวกเขา เมื่อพระคุณที่พวกเขาเพลิดเพลินถูกริบคืนหรือหายไป ก็ไม่สามารถมองเห็นพวกเขาทำหน้าที่ของตนเองได้อีกต่อไป นับตั้งแต่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า คนเหล่านี้ก็คิดคำนวณว่าพวกเขาจะหาทางโกงเพื่อให้มีที่อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า และเพลิดเพลินกับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงหลังจากตั้งหลักในที่แห่งนี้ รวมถึงความช่วยเหลือจากพระนิเวศของพระเจ้าและการจัดเตรียมสำหรับชีวิตประจำวันของพวกเขา “โดยชอบธรรม” ได้อย่างไร แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้สละตนเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริง พวกเขาไม่ได้มาเพื่อสละตนเองโดยไม่มีเงื่อนไขอย่างแน่นอน—แต่พวกเขาเข้าร่วมกับคริสตจักรด้วยเป้าหมายเดียว คือ เพื่อเกาะคริสตจักรกินและหาเลี้ยงชีพ เมื่อจุดประสงค์นี้ไม่อาจสัมฤทธิ์ได้ดังที่พวกเขาปรารถนา พวกเขาก็รีบผันตัวเป็นปฏิปักษ์และรีบเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของตนให้เห็น ซึ่งก็คือโฉมหน้าของผู้ไม่เชื่อ ตั้งแต่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ได้มาด้วยความจริงใจ พวกเขาไม่ได้ติดตามพระเจ้าด้วยใจจริง หรือเต็มใจละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตนเพื่อพระเจ้าโดยไม่ร้องขอบำเหน็จ และไม่เรียกร้องสิ่งใดเป็นการตอบแทน ในทางกลับกัน พวกเขามาเชื่อในพระเจ้าพร้อมความต้องการ เจตนา และจุดประสงค์ของพวกเขาเอง—เชื่อด้วยจุดประสงค์แน่วแน่ที่จะเกาะคริสตจักรกินรวมถึงพึ่งพาคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงในการหาเลี้ยงชีพตั้งแต่ที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า เมื่อจุดประสงค์นี้ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลหรือลุล่วงตามที่พวกเขาปรารถนา พวกเขาก็หาหนทางอื่นต่อไป ไม่ว่าเป็นการไปทำงานหรือทำธุรกิจ มีผู้คนเช่นนี้อยู่มิใช่หรือ? (ใช่) มีบางคนที่เป็นคนประเภทนี้อยู่ในคริสตจักร ตอนแรกเมื่อพระนิเวศของพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิงบริจาคของบางอย่างให้พวกเขา เช่น เสื้อผ้า ของจำเป็นในชีวิตประจำวัน หรือเงิน จากภายนอกพวกเขาดูขัดเขิน แต่ที่จริงกลับเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีอยู่ภายใน ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าพวกเขาเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงสักคนหรือสองคน หรือทำหน้าที่ของตนแบบเต็มเวลา แล้วพระนิเวศของพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิงจึงบริจาคบางสิ่งบางอย่างและมอบความช่วยเหลือทางการเงินให้ครอบครัวของพวกเขา พวกเขารู้สึกความสุขและพึงพอใจมากกับเรื่องนี้ พลางคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าช่างคุ้มค่าและได้กำไร และคิดว่าพวกเขาไม่ได้พลาดอะไรไปเลย เมื่อเวลาผ่านไป หัวใจของพวกเขาเริ่มโลภมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขายื่นมือออกไปไกลขึ้น และพวกเขาก็กลายเป็นคนไร้ยางอายมากขึ้น—ไม่ว่าจะได้รับมากแค่ไหนพวกเขาก็ไม่เคยพอใจ ในตอนแรก พวกเขารู้สึกอับอายที่จะรับสิ่งต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขากลับรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ค่อนข้างชอบด้วยเหตุผล แล้วพวกเขาก็เริ่มไม่พอใจว่าสิ่งที่ได้รับนั้นยังไม่มากพอ ต่อมา พวกเขาจึงเรียกร้องจากพระนิเวศของพระเจ้าโดยตรงว่าต้องให้พวกเขาเป็นจำนวนเท่าไร มิเช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถอยู่รอดได้ และนั่นย่อมทำให้พวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้ ความโลภของพวกเขาหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ มิใช่หรือ? (ใช่) ถึงแม้จะเพลิดเพลินกับพระคุณมากมาย พวกเขาก็ไม่ได้นึกถึงเพียงการตอบแทนพระคุณนั้น แต่กลับเรียกร้องจากพระนิเวศของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย พวกเขาเชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าเป็นฝ่ายติดค้างพวกเขา และพี่น้องชายหญิงก็ติดหนี้พวกเขา การที่พวกเขาได้รับของบริจาคหรือการสนับสนุนด้านการเงินจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หากพวกเขาได้รับน้อยลงหรือได้รับล่าช้า พวกเขาก็จะไม่พอใจ พวกเขายอมรับเงินและสิ่งของต่างๆ ที่มอบให้พวกเขา โดยรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ยิ่งพวกเขาทำหน้าที่ของตนเป็นเวลานาน พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนมีสิทธิ์ และเริ่มเรียกร้องให้พระนิเวศของพระเจ้าจัดหาโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ราคาแพงให้กับพวกเขา พวกเขายังเรียกร้องให้พระนิเวศของพระเจ้าติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่บ้านของพวกเขาและจัดหาเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟและเครื่องล้างจานให้พวกเขาอีกด้วย พวกเขาถึงขนาดเรียกร้องให้พระนิเวศของพระเจ้าซื้อบ้านและจัดหารถยนต์ให้พวกเขา และบางคนก็ร้องขอแม่บ้าน ความต้องการของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ และความโลภของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้น ท้ายที่สุดพวกเขาก็ทำการเรียกร้องจนเกินขอบเขตอย่างไร้เหตุผลและกล้าร้องขอทุกสิ่ง พวกเขาเชื่อว่า “ฉันได้สละตนและทุ่มเทตนเองเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าในการเชื่อในพระเจ้าของฉัน ฉันเป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า พวกคุณมอบของถวายให้พระเจ้ามากมาย—การแบ่งปันให้ฉันมันเสียหายตรงไหน? ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หากคุณแบ่งให้ฉันส่วนหนึ่ง นั่นก็จะไม่เสียเปล่า ฉันทุ่มเทตนเองให้กับพระนิเวศของพระเจ้าและแบกรับความเสี่ยงเหมือนกัน ฉันสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาเช่นเดียวกัน การที่ฉันได้เพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านี้ก็ถูกต้องแล้วมิใช่หรือ? เพราะฉะนั้น พระนิเวศของพระเจ้าจึงต้องทำตามข้อเรียกร้องของฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข พระนิเวศของพระเจ้าควรให้ทุกอย่างที่ฉันต้องการ และไม่ควรตระหนี่” บอกเราทีเถิดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นการสำแดงของการเกาะคริสตจักรกินมิใช่หรือ? คนเหล่านี้เป็นผู้เชื่อไม่ใช่หรือ? (ใช่) หากระบุให้ถูกต้อง พฤติกรรมเหล่านี้ก็คือการเกาะคริสตจักรกินนั่นเอง การเกาะคริสตจักรกินหมายถึงอะไร? การเกาะคริสตจักรกินหมายถึงการรีดไถเงินและสิ่งของจากพระนิเวศของพระเจ้าโดยแอบอ้างการเชื่อในพระเจ้า และการเรียกร้องค่าตอบแทนจากพระนิเวศในฐานะที่ทุ่มเทตนเองเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าและทำหน้าที่ นี่คือความหมายของการเกาะคริสตจักรกิน ผู้คนเช่นนั้นจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) เหตุใดพวกเขาจึงละทิ้งสิ่งทั้งหลาย ทุ่มเทตัวเอง และอดทนต่อความยากลำบาก? นี่คือทำหน้าที่ใช่หรือไม่? พวกเขากำลังปฏิบัติความจริงใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) พวกเขาไม่ได้ทุ่มเทตนเองและทนต่อความยากลำบากเพื่อจุดประสงค์ของการทำหน้าที่ของพวกเขาเลย แต่เพื่อหาเลี้ยงชีพเพียงอย่างเดียว และพวกเขาก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดวิจารณ์พวกเขาทั้งสิ้น—พวกเขาเพียงต้องการที่จะเกาะคริสตจักรกินอย่างชอบด้วยเหตุผล ผู้คนเหล่านี้คือคนที่เกาะคริสตจักรกิน
บรรดาผู้ที่เกาะคริสตจักรกินเชื่อในพระเจ้าด้วยเหตุผลเดียวคือเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่รอด เพื่อหาเลี้ยงชีพ รอบตัวพวกเจ้ามีผู้คนที่เกาะคริสตจักรกินอยู่หรือไม่? จงเล่าถึงการสำแดงของพวกเขาทีเถิด (ข้าพระองค์เคยพบเจอบางคนที่เป็นเช่นนี้ ทีแรกเขาดูเป็นคนที่ฉลาดและกระตือรือร้นทีเดียว คริสตจักรจึงจัดการเตรียมการให้เขาประกาศข่าวประเสริฐ ในตอนนั้นครอบครัวของเขากำลังลำบาก ดังนั้นคริสตจักรจึงให้ความช่วยเหลือบางอย่างแก่เขา อย่างไรก็ตาม ต่อมาก็พบว่าเขาใช้เงินโดยไร้หลักธรรม ใช้จ่ายไปกับสิ่งทั้งหลายที่ไม่ควรใช้ และไม่ประหยัดในส่วนที่ทำได้ เมื่อพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงกับเขา เขาก็ไม่สบอารมณ์และรู้สึกต่อต้านอย่างมากอยู่ข้างใน เนื่องจากเขาใช้เงินของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไม่ถูกต้อง คริสตจักรจึงกระทำการปรับเปลี่ยนอย่างมีเหตุมีผลตามการจัดการเตรียมการและข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า โดยลดความช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่เขาลง ผลที่ตามมาก็คือ เขาสูญสิ้นเรี่ยวแรงที่เคยมีในการทำหน้าที่ก่อนหน้านี้ไป และเริ่มสุกเอาเผากินมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาคริสตจักรก็เลิกให้ความช่วยเหลือเขา และเขาก็ไม่มีใจที่จะทำหน้าที่อีกต่อไป เขาใช้เวลาทั้งหมดเฝ้าคิดว่าจะทำงานหาเงินอย่างไร เขาถึงกับหยิบยืมเงินจากพี่น้องชายหญิง อ้างว่าเขาจำเป็นต้องซื้อรถยนต์และลงทุนในการตั้งบริษัท ทั้งยังกล่าวด้วยว่า สิ่งนี้จะทำให้การประกาศข่าวประเสริฐสะดวกมากขึ้นและได้คนมามากขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาหลอกลวงและชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วยคำพูดเหล่านี้ เขากำลังใช้การเสแสร้งทำเป็นประกาศข่าวประเสริฐเพื่อหลอกเงินจากพี่น้องชายหญิง) คนคนนี้ถูกจัดการอย่างไร? (เขาถูกขับไล่โดยตรง) นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่พึงทำ นี่คือการเกาะคริสตจักรกิน เมื่อผู้คนที่เกาะคริสตจักรกินมาเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก พวกเขาดูค่อนข้างกระตือรือร้นและสละตนอยู่บ้าง และในเวลานี้ความต้องการของพวกเขายังไม่สูงนัก—แค่มีอาหารให้กินพวกเขาก็พอใจแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ไม่พอใจกับสิ่งที่ได้รับอีกต่อไป พวกเขาเริ่มเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ และหากไม่เป็นไปตามที่พวกเขาเรียกร้อง พวกเขาก็เริ่มทำตัวกลับกลอกและกลายเป็นไม่เต็มใจที่จะทำงานรับใช้ เมื่อพวกเขาทำงานบางอย่าง ก็ถึงกับต้องจับตาดูพวกเขา มิเช่นนั้นพวกเขาก็จะทำงานดังกล่าวอย่างสุกเอาเผากิน ท้ายที่สุดเมื่อพบว่างานรับใช้ที่พวกเขาทำเกิดความเสียหายมากกว่าประโยชน์ พวกเขาย่อมถูกกำจัดออกไป บางคนกล่าวว่า “เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่แสดงความรักแก่พวกเขา?” เรื่องของการแสดงความรักก็มีหลักธรรมอยู่เช่นกัน คนเหล่านั้นคือผู้ไม่เชื่อ พวกเขาไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือยอมรับความจริง พวกเขาก็มักทำตัวกลับกลอกและสุกเอาเผากินตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ของตน อีกทั้งไม่รับฟังเวลามีการสามัคคีธรรมความจริง หรือไม่ยอมรับการตัดแต่งประเภทใดเลย นี่ย่อมกล่าวได้ว่าพวกเขานั้นเกินเยียวยา ผลที่ตามมาก็คือ สามารถจัดการกับพวกเขาได้ด้วยการเอาตัวออกไปหรือกำจัดพวกเขาเท่านั้น หากผู้นำและคนทำงานพบเจอคนประเภทนี้ พวกเขาก็ควรจัดการคนเหล่านี้อย่างทันท่วงที และหากพี่น้องชายหญิงพบเจอคนประเภทนี้ พวกเขาก็ควรรายงานเรื่องนี้ต่อผู้นำและคนทำงานทันที นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน เมื่อยืนยันแล้วว่าคนคนนี้กำลังเกาะคริสตจักรกิน เขาจ้องแต่จะหาเลี้ยงชีพเท่านั้น และเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ อีกทั้งยืนยันแล้วว่าเขาปฏิเสธที่จะทำงานหากไม่ได้เงิน กลายเป็นไม่เต็มใจและเป็นปฏิปักษ์เมื่อเขารู้สึกว่าตนได้รับค่าตอบแทนไม่มากพอ และทำงานบ้างเล็กน้อยต่อเมื่อได้รับค่าตอบแทนมากพอเท่านั้น จึงไม่ควรแสดงความผ่อนปรนต่อพวกเขา—พวกเขาต้องถูกเอาตัวออกไป! กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ผู้คนเช่นนี้ไม่เหมาะสมแก่การทำงานรับใช้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ หากเจ้าไม่จ่ายเงินให้พวกเขา พวกเขาก็จะไม่เต็มใจทำงานรับใช้ แต่ตราบเท่าที่เจ้าจ่ายเงินให้พวกเขา ถึงแม้พวกเขาตระหนักว่าตนแค่กำลังทำงานรับใช้ พวกเขาก็จะยังคงเต็มใจทำเช่นนั้น ทว่าผู้ไม่เชื่อเหล่านี้สามารถทำงานรับใช้ประเภทใดได้บ้าง? พวกเขาไม่สามารถทำงานรับใช้ให้ดีได้เสียด้วยซ้ำ และการรับใช้ของพวกเขาก็ไม่ถึงมาตรฐาน ดังนั้นพวกเขาจึงควรถูกกำจัดออกไป เพราะฉะนั้นเมื่อแยกแยะแล้วว่าพวกเขาเป็นประเภทที่เกาะคริสตจักรกินสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือจัดการกับพวกเขา และขับไล่พวกเขาจากคริสตจักรในฐานะคนชั่ว การทำเช่นนี้ไม่มากเกินไปเลย แต่สอดคล้องกับหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าในการขับไล่และเอาตัวออกไปโดยสมบูรณ์ บุคคลประเภทนี้จำเป็นต้องได้รับโอกาสกลับใจหรือไม่? จำเป็นต้องเก็บพวกเขาเอาไว้เพื่อสังเกตการณ์หรือไม่? (ไม่จำเป็น) พวกเขาสามารถกลับใจได้หรือไม่? (ไม่) ธรรมชาติของพวกเขาเป็นเช่นนี้เอง พวกเขาจะไม่มีวันกลับใจ พวกเขาเป็นจำพวกเดียวกับซาตาน ในหมู่คนจำพวกเดียวกับซาตานนั้น มีบุคคลประเภทหนึ่งซึ่งมีธรรมชาติของคนชั่วเยี่ยงมารที่ต้องการเกาะคนอื่นกินไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม และไม่ว่าไปที่ใดพวกเขาก็ไม่ร่วมทำงานอันถูกควร จ้องแต่จะหลอกลวงและคดโกงผู้คนเท่านั้น พวกเขาเห็นว่าผู้เชื่อในพระเจ้ามีความเป็นมนุษย์ และทึกทักว่าคนเหล่านี้เป็นเหยื่อที่หลอกได้ง่าย ดังนั้นพวกเขาจึงมาที่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อเกาะคริสตจักรกิน พวกเขาไม่รู้เลยว่า พระนิเวศของพระเจ้าได้แยกแยะและระวังตัวจากพวกเขามานานแล้ว ทั้งยังมีหลักธรรมในการจัดการกับคนอย่างพวกเขา เมื่อความพยายามที่จะเกาะคริสตจักรกินของพวกเขาล้มเหลว พวกเขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟด้วยความอับอาย พลางเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของตนออกมา เมื่อถึงจุดนั้น เจ้าจะรู้ว่าเหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่ให้โอกาสผู้คนเช่นนั้นกลับใจ—นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาเป็นคนชั่วเยี่ยงมารที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวถึง ด้วยเหตุนั้น พระนิเวศของพระเจ้าจึงจัดการกับผู้คนเช่นนั้นด้วยการขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไปโดยตรง และไม่ยอมรับพวกเขากลับเข้าคริสตจักรเป็นอันขาด การจัดการกับพวกเขาในฐานะคนชั่วเป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่? (เหมาะสม) สามัคคีธรรมหัวข้อนี้ของพวกเราจบลงเพียงเท่านี้
ฉ. เพื่อหาที่หลบภัย
ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงจุดประสงค์ประการที่หก ผู้ไม่เชื่อประเภทที่หกที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักร นั่นคือ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยจุดประสงค์ของการหาที่หลบภัย บางคนกล่าวว่า “การหาที่หลบภัยมีการสำแดงเช่นไร? มีคนที่เชื่อในพระเจ้าเพื่อหาที่หลบภัยด้วยหรือ? ผู้คนเช่นนั้นมีอยู่จริงหรือ?” พวกเจ้าเคยได้ยินใครบางคนกล่าวว่า “คริสตจักรเป็นสถานที่หลบภัย มีคนเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะหาที่หลบภัยบ้างหรือไม่?” คนในศาสนาหลายคนกล่าวเช่นนี้ ในแง่แก่นแท้ของคำกล่าวนี้ ระหว่างคำกล่าวนี้กับจุดประสงค์ที่พวกเรากำลังจะชำแหละ—“การเชื่อในพระเจ้าเพื่อหาที่หลบภัย” มีความแตกต่างกันหรือไม่? (มี) อะไรคือความแตกต่างนั้น? พวกเขาหาที่หลบภัยจากอะไร? (บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงต่างก็มีความไม่บริสุทธิ์บางอย่างในขณะไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาหวังที่จะหลีกเลี่ยงความวิบัติหรือความลำบากยากเย็น และได้รับความสงบสุขบ้างเช่นกัน อย่างไรก็ตาม คนที่อยู่ในจุดประสงค์ประเภทที่หกนั้นเชื่อในพระเจ้าเพื่อหาที่หลบภัยเพียงอย่างเดียว และในตัวของพวกเขาก็ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย นี่คือความแตกต่าง) ความแตกต่างในที่นี้เป็นเรื่องระหว่างการมีความไม่บริสุทธิ์ในจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา กับการเชื่อในพระเจ้าด้วยจุดประสงค์เพื่อหาที่หลบภัยเพียงอย่างเดียว นอกจากความแตกต่างนี้แล้ว ยังมีความแตกต่างในแง่ที่ว่าพวกเขากำลังหาที่หลบภัยจากสิ่งใด คนบางคนมีความไม่บริสุทธิ์ปะปนอยู่ในจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา กล่าวคือ พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ เพื่อให้รอดพ้นจากความวิบัติ หรือเพื่อให้พระเจ้าทรงคุ้มครองและเฝ้าดูแลพวกเขา แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายและความวิบัติบางอย่างได้จริง ความวิบัติเหล่านี้เองที่พวกเขามุ่งหมายที่จะหลีกเลี่ยง คนประเภทที่อยู่ในจุดประสงค์ประการที่หกที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่นี้—พวกที่เชื่อในพระเจ้าด้วยจุดประสงค์ของการหาที่หลบภัย—หาที่หลบภัยจากสิ่งทั้งหลายในระดับที่กว้างกว่าเดิม สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งที่เป็นจริงมากที่สุดนั้นมากเกินกว่าการหลีกเลี่ยงมหันตภัยใหญ่หลวงที่ยังไม่เกิดขึ้น แล้วปัญหาที่แท้จริงที่สุดสำหรับพวกเขาคืออะไร? สิ่งต่างๆ อย่างเช่น การเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขามในสังคม การจัดการเรื่องคดีความ การล่วงเกินเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้มีอิทธิพล การทำผิดกฎหมาย สงคราม หรือภัยพิบัตินานาประการที่เกิดขึ้นในประเทศของพวกเขา หรือการเผชิญหน้ากับคนบางคนหรือเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นภัยต่อชีวิตของพวกเขาหรือความปลอดภัยของครอบครัวพวกเขา เป็นต้น หลังจากเผชิญหน้ากับสถานการณ์เหล่านี้แล้ว พวกเขาก็มองหาคริสตจักรที่พวกเขาเชื่อว่าไว้วางใจและพึ่งพาได้เพื่อหาที่หลบภัย นี่คือการหาที่หลบภัยที่ถูกกล่าวถึงในจุดประสงค์ประการที่หก กล่าวคือ เมื่อพวกเขาเผชิญความยากลำบากบางอย่างในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต ครอบครัว งาน อาชีพของพวกเขา และอื่นๆ พวกเขาก็มายังคริสตจักรเพื่อหาที่หลบภัย มองหาความช่วยเหลือจากกำลังบังคับที่ประกอบด้วยผู้คนจำนวนมาก นี่คือการเชื่อในพระเจ้าด้วยจุดประสงค์ของการหาที่หลบภัยดังที่กล่าวถึงในจุดประสงค์ประการที่หก เรื่องนี้ต่างจากความไม่บริสุทธิ์ของผู้เชื่อที่แท้จริงมิใช่หรือ? (ใช่) บุคคลประเภทนี้มีจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าเพื่อหาที่หลบภัย เพื่อแสวงหาความช่วยเหลือจากคริสตจักร กล่าวคือ พวกเขาหวังว่าคริสตจักรจะสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขา และนอกเหนือจากความช่วยเหลือด้านการเงินแล้ว พวกเขาก็ยังเรียกร้องให้คริสตจักรปกป้อง เกื้อหนุน และช่วยเหลือพวกเขาอีกด้วย คนเช่นนี้บางคนต้องการใช้อิทธิพล สถานะ และชื่อเสียงของคริสตจักรในสังคมเพื่อต่อสู้กับระบอบการปกครองที่เลวร้าย หรือกำลังบังคับเลวร้ายที่กดขี่และทำร้ายบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เพื่อให้ชีวิตหรือความเป็นอยู่ของพวกเขาได้รับการปกป้อง นี่คือจุดประสงค์ที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้มีอยู่หรือไม่? พวกเขาเชื่อว่าคริสตจักรเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สามารถแยกจากการเมืองและสังคมได้ และพวกเขาก็คิดว่าเมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ คริสตจักรก็สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาด้วยความจริงใจและมีเมตตาเพื่อมอบความช่วยเหลือทางการเงินให้พวกเขา ยืนหยัดเพื่อพวกเขา ปกป้องพวกเขา เป็นตัวแทนของพวกเขาในเรื่องคดีความ รวมถึงต่อสู้เพื่อสิทธิและผลประโยชน์ของพวกเขา นี่คือจุดประสงค์ที่ผู้คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้า จวบจนปัจจุบันนี้ ในคริสตจักรก็ยังมีผู้คนเช่นนั้นอยู่ใช่หรือไม่? พวกเจ้าเคยได้ยินว่ามีผู้คนเช่นนั้นอยู่บ้างหรือไม่? คริสตจักรในต่างประเทศย่อมมีผู้คนเช่นนี้อย่างแน่นอน คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมกับคริสตจักรเพียงเพื่อจุดประสงค์ของการหาที่หลบภัย พวกเขาไม่เข้าใจว่าความเชื่อคืออะไร นับประสาอะไรกับการที่พวกเขาจะสนใจในความจริง อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเผชิญความยากลำบากและไม่สามารถหาความช่วยเหลือจากในสังคมได้ พวกเขาก็นึกถึงคริสตจักร และเชื่อว่าคริสตจักรเป็นที่ที่พวกเขาจะสามารถหลบภัยได้อย่างปลอดภัย เป็นเส้นทางหลบหนีที่ดีที่สุด และเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะเชื่อในพระเจ้าและเข้าสู่คริสตจักรเพื่อให้สัมฤทธิ์จุดประสงค์ในการหลีกเลี่ยงความวิบัติของพวกเขา
บัดนี้ความวิบัติกำลังใหญ่หลวงยิ่งขึ้นทุกที และมนุษย์ไม่มีหนทางที่จะดำรงชีวิต มีบางคนที่เลือกเชื่อในพระเจ้าโดยสมบูรณ์เพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ แต่พวกเขาไม่รักความจริงแม้แต่น้อย หากผู้คนเช่นนี้มาเชื่อในพระเจ้า คริสตจักรควรยอมรับพวกเขาหรือไม่? ผู้คนมากมายไม่มองประเด็นปัญหานี้อย่างชัดเจน และคิดว่าคริสตจักรควรยอมรับทุกคนที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ นี่เป็นความผิดพลาดที่น่ากลัวมาก การที่คริสตจักรตัดสินใจยอมรับใครบางคนนั้นควรขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่และพวกเขาใช่เป้าหมายแห่งความรอดของพระเจ้าหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเต็มใจเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ มีมารมากมายที่อยากจะได้พรและอยากหาหนทางข้างหน้าผ่านความเชื่อในพระเจ้า—คริสตจักรควรที่จะยอมรับผู้คนเช่นนี้ด้วยกระนั้นหรือ? นี่ไม่เหมือนกับการประกาศข่าวประเสริฐในยุคพระคุณที่ทุกคนล้วนได้รับการยอมรับตราบเท่าที่พวกเขาเชื่อ ในยุคราชอาณาจักร เรื่องที่ว่าใครจะได้รับการยอมรับจากคริสตจักรนั้นมีหลักธรรมและข้อจำกัดของกฎการปกครองของพระเจ้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม หากพวกเขาไม่รักหรือยอมรับความจริง พวกเขาก็ไม่สามารถได้รับการยอมรับ เหตุใดผู้คนเช่นนี้จึงไม่ได้รับการยอมรับ? โดยหลักแล้วผู้คนเช่นนี้ไม่สามารถได้รับการยอมรับเนื่องจากพวกเราไม่สามารถมองเห็นภูมิหลังของพวกเขา หรือมองเห็นว่าพวกเขาเป็นผู้คนจำพวกใดได้อย่างชัดเจนจริงๆ หากคริสตจักรยอมรับมาร คนชั่วที่มีความเลวร้ายอย่างที่สุด ทุกคนย่อมรู้ว่าจะเกิดผลร้ายเช่นใดกับคริสตจักร ยิ่งไปกว่านั้น ในการเชื่อในพระเจ้า พวกเราควรเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ใครที่พระองค์จะทรงช่วยให้รอดและใครที่พระองค์จะทรงกำจัดออกไป คริสตจักรประกอบด้วยผู้คนแบบใด? คริสตจักรประกอบด้วยผู้คนที่ยอมรับความรอดของพระเจ้า ผู้ที่รักความจริง ผู้ที่พระเจ้าทรงยอมรับ พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้ที่ไม่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงและไม่ยอมรับความจริงให้รอด เพราะการไม่ยอมรับความจริงคือปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของคนเรา และบุคคลจำพวกนี้มีธรรมชาติของซาตานและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ดังนั้นต้องไม่มีวันยอมรับผู้คนเช่นนี้เข้าสู่คริสตจักร หากใครบางคนยอมรับคนชั่ว มาร เข้าสู่คริสตจักร เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นย่อมเป็นผู้รับใช้ของซาตาน พวกเขาจงใจมารื้อและทำลายงานของคริสตจักร และพวกเขาเป็นศัตรูของพระเจ้า การยอมรับมาร ยอมรับศัตรูของพระเจ้าเช่นนั้นเข้าสู่คริสตจักรคือการก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและละเมิดกฎการปกครองของพระองค์ และพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ทนต่อการนี้โดยเด็ดขาด คนชั่วและมารต้องไม่ถูกรับเข้ามาในคริสตจักร—นี่คือหนึ่งในจุดยืนและข้อกำหนดที่ชัดเจนของคริสตจักรเกี่ยวกับงานประกาศข่าวประเสริฐ คริสตจักรไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบแต่อย่างใดในการยอมรับพวกที่เลือกเชื่อในพระเจ้าเพื่อหลีกหนีความวิบัติ และคริสตจักรก็ไม่มีวันต้องรับผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อยเข้าสู่คริสตจักร เพราะพระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเช่นนี้ให้รอด ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือความจริง ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมรับและรังเกียจความจริงย่อมเป็นคนชั่ว และพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด สำหรับผู้ที่ยอมรับพระเจ้าในหัวใจของตนแต่ไม่รักความจริง อีกทั้งถูกจัดอยู่ในประเภทของผู้ไม่เชื่อที่กินขนมปังให้อิ่มท้อง คริสตจักรจะไม่มีวันยอมรับพวกเขาแม้แต่คนเดียว นี่ยังไม่ได้พูดถึงผู้คนที่ไร้ศีลธรรมในสังคมซึ่งอยากจะมาหาที่หลบภัยภายในคริสตจักร—พวกเขายิ่งไม่ควรได้รับการยอมรับเข้าไปใหญ่ นี่เป็นเพราะคริสตจักรไม่ใช่องค์กรการกุศล แต่เป็นสถานที่ที่พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอด งานของคริสตจักรไม่เกี่ยวอะไรกับรัฐบาลแห่งชาติ องค์กรทางสังคมทั้งหลายโน้มน้าวให้ผู้คนทำความดีและวางอาวุธของพวกเขาลงเสีย—นี่เป็นการทำเพื่อชาติ และไม่เกี่ยวอะไรกับคริสตจักรเลย หากผู้ใดกล้าดึงคนชั่วที่ไม่มีความเชื่อ มาร หรือผู้ไม่เชื่อเข้ามาในคริสตจักร บุคคลนั้นย่อมก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและละเมิดกฎการปกครองของพระองค์ ผู้ใดก็ตามที่ดึงคนทำชั่ว มารเข้ามาในคริสตจักร ย่อมต้องถูกพระนิเวศของพระเจ้าขับไล่หรือเอาตัวออกไป นี่คือจุดยืนอันชัดเจนที่คริสตจักรมีต่องานประกาศข่าวประเสริฐ เมื่อคนชั่วและมารเหล่านี้อยากมาหาที่หลบภัยภายในพระนิเวศของพระเจ้า ควรบอกพวกเขาไปว่าพวกเขามาผิดประตู พวกเขาเลือกสถานที่ผิดแล้ว คริสตจักรจะไม่ยอมรับพวกเขาอย่างแน่นอน นี่คือจุดยืนอันชัดเจนที่คริสตจักรมีต่อผู้ไม่มีความเชื่อที่อยากจะหาที่หลบภัย เรื่องนี้ชัดเจนแล้วใช่หรือไม่? (ใช่) เช่นนั้นแล้ว พวกเราควรรับมือกับผู้คนดังกล่าวอย่างไร? อะไรคือหนทางที่เหมาะสมในการบอกพวกเขา? เจ้ากล่าวว่า “ไม่ว่าประเทศไหนก็มีสภากาชาด องค์กรด้านสวัสดิการ ที่พักพิง และวัดพุทธ รวมไปถึงกลุ่มอาสาสมัครในสังคมทั้งนั้น หากคุณเผชิญปัญหาและรู้สึกว่ามีความคับข้องใจที่ต้องได้รับการแก้ไข คุณก็สามารถไปขอความช่วยเหลือจากองค์กรเหล่านี้ได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถขอลี้ภัยทางการเมือง หรือที่หลบภัยสำหรับผู้ลี้ภัยได้จากรัฐบาล และหากสภาวะด้านการเงินของคุณเอื้ออำนวย คุณก็สามารถจ้างทนายความมาช่วยเหลือเรื่องคดีของคุณได้ แต่นี่คือคริสตจักร นี่คือที่ที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ ที่ที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอด ไม่ใช่ที่ให้คุณมาหาที่หลบภัย เพราะฉะนั้น การเข้ามาในคริสตจักรของคุณจึงไม่เหมาะสม และการที่คุณอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ พระเจ้าไม่ทรงยอมรับผู้คนเช่นนั้น และคริสตจักรก็ไม่รับพวกเขาเอาไว้เช่นกัน ไม่ว่าผู้ไม่มีความเชื่อจะมีความลำบากยากเย็นอย่างไร พวกเขาก็ควรเสาะหาความช่วยเหลือจากองค์กรการกุศล หน่วยงานบรรเทาทุกข์ หรือสำนักงานกิจการพลเรือนในสังคม—องค์กรเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการรับใช้ผู้คน การสงเคราะห์และช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าคุณมีข้อเรียกร้องหรือพร่ำบ่นเรื่องใด คุณก็สามารถบอกพวกเขา หรือยื่นคำร้องต่อรัฐบาลได้ นั่นเป็นที่ที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด” คริสตจักรไม่ยอมรับผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อคนใดทั้งสิ้น หากใครบางคน “เปี่ยมรัก” เป็นพิเศษ ก็ปล่อยให้พวกเขายอมรับผู้คนเช่นนั้นไว้เสียเองให้จบเรื่อง พวกเขาสามารถเลี้ยงดูผู้คนเช่นนั้นได้ด้วยตนเอง และพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ก้าวก่ายในเรื่องนี้ บางคนอาจจะถามว่า “ถ้าเช่นนั้นคริสตจักรประกาศข่าวประเสริฐไปทำไม? จุดประสงค์ของการประกาศข่าวประเสริฐคืออะไร?” การประกาศข่าวประเสริฐเป็นพระบัญชาของพระเจ้า บรรดาผู้ที่มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐคือผู้ที่แสวงหาพระเจ้าและหนทางที่แท้จริง คือผู้ที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า ผู้ที่รักความจริงและสามารถยอมรับความจริงได้ และผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง—มีเพียงผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถประกาศข่าวประเสริฐให้ได้ ไม่มีการประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้ที่ไม่แสวงหาพระเจ้า ผู้ที่ไม่มายอมรับความจริงแต่กลับหาที่หลบภัย คนเลอะเลือนบางคนไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และกลายเป็นสับสนเมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับพวกเขา—คนเหล่านี้เป็นพวกเลอะเลือนที่จะไม่มีวันเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า
ช. เพื่อหาผู้สนับสนุน
จุดประสงค์ข้อที่เจ็ดที่ผู้คนมีต่อการเชื่อในพระเจ้าคือเพื่อหาผู้สนับสนุน พวกเจ้าเคยพบเห็นผู้คนเช่นนั้นบ้างหรือไม่? นี่เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างพิเศษ ถึงแม้ว่าคนกลุ่มนี้มีอยู่ไม่มากนัก แต่ก็มีอยู่อย่างแน่นอน นี่เป็นเพราะคริสตจักรของพระเจ้าไม่ได้ปรากฏขึ้นแค่ในประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังปรากฏขึ้นในทวีปเอเชีย ยุโรป อเมริกา และนานาประเทศในทวีปแอฟริกาอีกด้วย ดังนั้นบรรดานักฉวยโอกาสและผู้ไม่เชื่อจะปรากฏตัวพร้อมกับคริสตจักรเหล่านี้ ไม่ว่าแนวโน้มที่ผู้คนเหล่านี้จะปรากฏตัวเป็นเช่นไร อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนเหล่านี้ปรากฏตัว พวกเจ้าก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาและแยกแยะพวกเขา และไม่ปล่อยให้ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ได้รับสถานะหรือก่อการรบกวนในคริสตจักร หากพวกเจ้าคิดว่าปัญหาเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงเพราะพวกเขายังไม่ปรากฏตัวหรือเพราะเจ้ายังไม่เคยพบเจอพวกเขา นี่คือแนวคิดที่โง่เขลา เมื่อเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น หากเจ้าไม่มีวิจารณญาณแยกแยะและไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร ปัญหาเหล่านี้ย่อมจะนำอันตรายแฝงอันใหญ่หลวงมาสู่คริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า พี่น้องชายหญิง และงานของคริสตจักร ดังนั้นก่อนที่จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าประเด็นปัญหาใดที่ควรเผชิญและจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างไร นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุด นี่คือการคุ้มครองที่มองไม่เห็นสำหรับเจ้า ผู้คนที่ถูกกล่าวถึงในจุดประสงค์ประการที่เจ็ดของการเชื่อในพระเจ้า บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเพื่อหาผู้สนับสนุนนั้นมีจำนวนไม่น้อย สังคมนี้เต็มไปด้วยความอยุติธรรม การเลือกปฏิบัติ และการกดขี่ในทุกหนทุกแห่ง ผู้คนที่ใช้ชีวิตในทุกระดับชั้นของสังคมต่างเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์และความเกลียดชังต่อความอยุติธรรมนานาประการในสังคม ทั้งยังเต็มไปด้วยความโกรธ อย่างไรก็ตาม การหนีจากความอยุติธรรมของโลกมนุษย์นั้นไม่ง่ายเลย เว้นเสียแต่เจ้าจะหายไปจากโลกนี้ ตราบใดที่คนเราใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ ตราบใดที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะถูกกลั่นแกล้งและทำให้อับอาย—ในระดับที่แตกต่างกัน ไม่ว่ามากหรือน้อย—และอาจถึงกับถูกไล่ล่าและข่มเหงจากกำลังบังคับบางอย่างที่มีอำนาจเสียด้วยซ้ำ ความอยุติธรรมและความไม่เท่าเทียมต่างๆ ส่งผลให้เกิดความเครียดอย่างใหญ่หลวงต่อจิตใจของผู้คน ทำให้พวกเขาเกิดความกดดันทางจิตใจอย่างมีนัยสำคัญ และแน่นอนว่าเกิดความไม่สะดวกสบายมากมายต่อชีวิตปกติของผู้คน ผลก็คือคนบางคนอดไม่ได้ที่จะเกิดแนวคิดบางอย่างขึ้นมาว่า “การที่คนคนหนึ่งจะสร้างตัวในสังคม เขาต้องมีกองกำลังอยู่เบื้องหลังให้พึ่งพา ในยามที่เขาเผชิญกับความยากลำบากและต้องการความช่วยเหลือ หรือในยามที่เขาตัวคนเดียวและสิ้นหวัง จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่หนุนหลังเขาและคอยตัดสินใจให้ จัดการปัญหาและเรื่องยุ่งยากที่เขาเผชิญ หรือคอยรับรองสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตของเขา” ด้วยเหตุนั้น คนเหล่านี้บางคนจึงเพียรพยายามที่จะเสาะหาการเกื้อหนุนดังกล่าว แน่นอนว่า ท้ายที่สุดคนเหล่านี้บางคนก็ได้พบคริสตจักร พวกเขาเชื่อว่าผู้คนในคริสตจักรเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน แต่ละคนต่างมีความเชื่อ มีเจตนาที่ดี และกระทำการอย่างมีเมตตาต่อผู้อื่น อยู่ห่างจากความขัดแย้งในสังคม และตีตนออกหากจากกระแสชั่วของสังคม สำหรับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า คริสตจักรย่อมเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรมอันยิ่งใหญ่ในสังคมและโลกนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ผู้คนในคริสตจักรต่างมีภาพลักษณ์ที่ดี มีเมตตา และเป็นบวกในจิตใจของผู้คน คนบางคนเลือกที่จะเชื่อในพระเจ้าเพราะพวกเขาอยู่ในระดับล่างของสังคม ไม่มีอำนาจใดๆ ในสังคมเลย ทั้งยังขาดภูมิหลังทางครอบครัวที่ดีโดยสิ้นเชิง พวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นนานาประการในเรื่องของการได้รับการศึกษา การหาเพื่อน การหางาน หรือการทำสิ่งต่างๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่า การที่จะอยู่รอดและสร้างตัวในสังคมนี้ พวกเขาต้องมีใครบางคนมาช่วยเหลือพวกเขา ตัวอย่างเช่น เวลาหางานทำ หากพวกเขาพึ่งพาตนเอง ค้นหาตำแหน่งงานที่ว่างงานแล้วงานเล่าอย่างไร้จุดหมาย พวกเขาอาจจะใช้เงินเก็บจนเกือบหมดโดยไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะหางานที่เหมาะสมได้ แต่หากพวกเขาได้รับการช่วยเหลือในการหางานจากคนที่ไว้วางใจได้ที่ช่วยเหลือพวกเขาด้วยใจจริง เรื่องยุ่งยากที่พวกเขาต้องเผชิญย่อมน้อยลงมาก และเวลาที่ใช้ในการหางานก็ลดลงอย่างมาก เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าหากพวกเขาสามารถหาผู้สนับสนุนเช่นนั้นได้ เมื่อถึงคราวที่พวกเขาต้องจัดการกับทุกเรื่องในสังคม—ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การหางาน หรือแม้กระทั่งชีวิตประจำวันและความอยู่รอดของพวกเขา—ย่อมจะมีคนที่ใช้เส้นสายและเกื้อหนุนพวกเขา มีกลุ่มคนที่กระตือรือร้นช่วยเหลือพวกเขาอยู่เบื้องหลัง ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเขาพบเจอคริสตจักร พวกเขาก็รู้สึกว่าตนได้พบกับสถานที่ที่ถูกต้องแล้ว คริสตจักรกลายเป็นตัวเลือกที่ดีมากในการที่พวกเขาจะตั้งตนอยู่ในสังคมและสัมฤทธิ์ชีวิตที่สงบสุข ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าเป็นเรื่องของการไปหาหมอ การซื้อของ การซื้อประกัน การซื้อบ้าน การช่วยเลือกโรงเรียนให้ลูกๆ ของตน หรือแม้แต่การรับมือกับเรื่องใดก็ตาม พวกเขาก็สามารถหาคนที่เปี่ยมรักในคริสตจักรให้ยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ในหนทางนี้ ชีวิตของพวกเขาย่อมสะดวกสบายขึ้นมาก พวกเขาไม่ได้อยู่ในสังคมเพียงลำพังอีกต่อไป และความยากลำบากในการรับมือกับเรื่องทั้งหลายก็ลดลงอย่างมาก ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว การมาที่คริสตจักรเพื่อเชื่อในพระเจ้าจึงมอบประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมให้แก่พวกเขาอย่างแท้จริง แม้แต่เมื่อพวกเขาไปหาหมอ พี่น้องชายหญิงก็จะหาคนรู้จักในโรงพยาบาลเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขา พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากคนเหล่านั้นเพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดในการซื้อสินค้า และแม้กระทั่งซื้อบ้านในราคาของคนวงใน ปัญหาทั้งปวงได้รับการแก้ไขด้วยความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร พวกเขารู้สึกว่า “การเชื่อในพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน! ตอนนี้ทั้งการหางานทำ การจัดการกิจธุระต่างๆ และการซื้อของล้วนสะดวกสบาย! เมื่อใดที่ฉันต้องการอะไรบางอย่าง ฉันแค่ต้องโทรศัพท์หรือส่งข้อความไปในกลุ่ม และทุกคนก็จะร่วมแรงร่วมใจกันยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ในคริสตจักรมีคนจิตใจดีอยู่มากมาย การจัดการกับเรื่องทั้งหลายช่างสะดวกเหลือเกิน! การหาผู้สนับสนุนไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรฉันก็จะไม่ไปจากคริสตจักรโดยเด็ดขาด แต่การชุมนุมในพระนิเวศของพระเจ้ามักเกี่ยวข้องกับการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมความจริงอยู่เสมอ ซึ่งนั่นทำให้ฉันรู้สึกกระอักกระอ่วนและขัดแย้งในใจ ฉันไม่เต็มใจที่จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ทั้งยังรู้สึกรังเกียจเวลาได้ยินการสามัคคีธรรมความจริง แต่หากฉันไม่ฟังก็ไม่ได้—ฉันไปจากพวกเขาไม่ได้ พวกเขาช่วยเหลือฉันมากมายเหลือเกิน หากฉันปฏิเสธที่จะฟัง ฉันก็จะรู้สึกอับอาย และการพูดว่าฉันไม่เชื่ออีกต่อไปแล้วก็น่ากระอักกระอ่วนเช่นเดียวกัน ดังนั้นฉันจึงต้องทำตามน้ำ และพูดสิ่งที่ดีเข้าไว้” อันที่จริง ในหัวใจของพวกเขาไม่ต้องการที่จะเชื่อ แต่พวกเขาทำได้เพียงเก็บซ่อนความรู้สึกนี้เอาไว้เท่านั้น บางคนกล่าวว่า “คุณเห็นแต่พวกเขาขอร้องให้พี่น้องชายหญิงจัดการเรื่องต่างๆ ตลอดเวลา และเห็นพวกเขาค่อนข้างมีความสุขเมื่อพี่น้องชายหญิงให้ความช่วยเหลือเท่านั้น—คุณแยกแยะได้หรือว่า จุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาคือเพื่อหาผู้สนับสนุนจากการนี้เพียงอย่างเดียว?” นอกเหนือจากการสำแดงเหล่านี้ จงดูว่าปกติแล้วพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงหรือไม่ พวกเขาสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนและมีความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้บ้างหรือไม่ นี่จะทำให้เจ้ารู้ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงหรือไม่ พวกที่หาผู้สนับสนุนนั้นเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อใช้คริสตจักรและพี่น้องชายหญิงจัดการเรื่องต่างๆ ให้พวกเขาและแก้ไขความยากลำบากในชีวิตของพวกเขา แต่คนเหล่านี้ไม่เคยเอ่ยถึงการทำหน้าที่ของตน และไม่เคยกินและดื่มหรือสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้าเลย ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่ามีหนทางที่เข้าท่าบางหนทางในการจัดการสิ่งต่างๆ ให้เรียบร้อย พวกเขาก็ตื่นเต้นอย่างยิ่ง พวกเขาเริ่มพูดจ้อไม่หยุดและถึงกับขัดจังหวะไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเป็นเรื่องของการทำหน้าที่หรือการซื่อสัตย์และไม่พูดปดหรือคดโกงผู้อื่น พวกเขากลับเงียบสนิท ในหัวใจของพวกเขาไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้—ไม่ว่าเจ้าพูดด้วยความรู้สึกอันแรงกล้าเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีการตอบสนองและไม่มีส่วนร่วม พวกเขาถึงกับพยายามที่จะขัดจังหวะเจ้าอยู่เนืองๆ และเปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องที่พวกเขาสนใจ พวกเขาเค้นสมองคิดหาหนทางที่จะทำให้พี่น้องชายหญิงทำสิ่งทั้งหลายเพื่อพวกเขาและทุ่มเทความพยายามเพื่อพวกเขา โดยไม่ต้องการให้โอกาสพี่น้องชายหญิงกล่าวถึงการทำหน้าที่หรือการสละตนเองเพื่อพระเจ้า หากผู้ใดแนะนำให้พวกเขาทำหน้าที่และสละตนเพื่อพระเจ้า พวกเขาก็จะรีบหาเรื่องด่วนของตนเองมาเสนอแทน ขณะที่พี่น้องชายหญิงจัดการเรื่องนี้ให้พวกเขา พวกเขากลับไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทความพยายามเพื่อพระนิเวศของพระเจ้า สนองข้อเรียกร้องของพี่น้องชายหญิงได้อย่างฉิวเฉียด และเมื่อเรื่องส่วนตัวของพวกเขาได้รับการจัดการเรียบร้อย พวกเขาก็เริ่มเย็นชาต่อพี่น้องชายหญิง เพื่อคงการติดต่อกับคริสตจักร เพื่อไม่ให้สูญเสียผู้สนับสนุนอย่างคริสตจักร และผู้ที่ให้ความช่วยเหลืออย่างพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ไป พวกเขาก็คอยติดต่อทุกคนที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างใกล้ชิด หมั่นถามไถ่คนเหล่านั้นด้วยความห่วงใย กล่าวคำพูดที่เอาใจใส่แต่ไม่จริงใจเพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ พวกเขาพูดว่าตนเองเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้ามากเพียงใด พระเจ้าประทานพรให้พวกเขามากเพียงใด พระเจ้าประทานพระคุณแก่พวกเขามากมายแค่ไหน พวกเขามักจะปาดน้ำตา รู้สึกติดหนี้พระเจ้าและเต็มใจที่จะตอบแทนความรักของพระเจ้าอย่างไร—นี่ก็เพื่อหลอกลวงพี่น้องชายหญิงและเพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิง เมื่อใครบางคนไม่คุ้มที่จะหาประโยชน์อีกต่อไป พวกเขาก็ปิดกั้นและลบข้อมูลติดต่อของคนเหล่านั้นทันที พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาประจบสอพลอ เอาอกเอาใจ และตีสนิทกับคนที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากที่สุด คนที่คุ้มค่าแก่การเอาเปรียบมากที่สุด สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่คุ้มค่าแก่การเอาเปรียบ คนอย่างพวกเขาที่ไม่มีอิทธิพลหรือสถานะในสังคม ทั้งยังอยู่ในชนชั้นล่างของสังคมโดยไม่มีใครให้พึ่งพา พวกเขาไม่ชายตามองเสียด้วยซ้ำ พวกเขาคบหาแต่กับคนที่คุ้มค่าที่จะเอาเปรียบและมีเส้นสายในสังคม คนที่พวกเขามองว่ามีความสามารถเท่านั้น พวกเขาจะสามารถทุ่มเทความพยายามและสู้ทนความยากลำบากเพื่อคริสตจักรได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาต้องการบางสิ่งบางอย่างจากคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิงเท่านั้น โดยแท้จริงแล้ว คนเช่นนั้นมีการสำแดงของผู้ไม่เชื่อที่ชัดเจนมาก เวลาอยู่บ้าน พวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าเมื่อไม่มีเรื่องยากลำบาก ทั้งยังมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ร้องขอที่จะทำหน้าที่ และไม่เป็นฝ่ายเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมในงานของคริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไม่เคยมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในงานที่เป็นอันตรายเลย ต่อให้พวกเขาตกลงที่จะทำงานนี้ แต่ก็แสดงความไม่อดทนอย่างยิ่งออกมา และพวกเขาจะทุ่มเทความพยายามเล็กน้อยอย่างไม่เต็มใจก็ต่อเมื่อถูกเรียกหรือถูกเชิญเท่านั้น สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงของผู้ไม่เชื่อ การไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า การไม่ทำหน้าที่—แม้แต่การที่พวกเขามีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรด้วยความไม่เต็มใจนั้น ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชุมชนของพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของพวกเขา พวกเขารักษาความสัมพันธ์กับผู้คนเหล่านี้เพียงเพื่อให้ตนเองจัดการกับเรื่องทั้งหลายในอนาคตได้สะดวกมากขึ้น เมื่อผู้คนเช่นนั้นมีที่ยืนในสังคม มีที่ให้ลงหลักปักฐานและเริ่มต้นชีวิต และเมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จในโลกใบนี้ รวมถึงมีอิทธิพลและจุดหมายปลายทางในอนาคตที่เปล่งประกาย พวกเขาก็จะรีบไปจากคริสตจักรโดยไม่ลังเล ตัดสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง และขาดการติดต่อ หากมีผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐซึ่งเป็นคนที่พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีและเจ้าต้องการติดต่อไปเพื่อประกาศข่าวประเสริฐกับคนคนนั้น เจ้าจะไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้ พวกเขาไม่เพียงตัดสัมพันธ์กับคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังยุติมิตรภาพกับคนบางคนอีกด้วย พวกเขาทรยศตนเองในฐานะผู้ไม่เชื่อแล้วมิใช่หรือ? (ใช่) แล้วคริสตจักรควรจัดการกับผู้คนเช่นนั้นอย่างไร? (เอาตัวพวกเขาออกไป) พวกเราควรให้โอกาสพวกเขา แสดงความเข้าใจในความอ่อนแอของพวกเขาและความยากลำบากในขีวิตของพวกเขา รวมถึงเกื้อหนุนและช่วยเหลือพวกเขาให้มากขึ้นเพื่อให้พวกเขาสามารถเชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง เกิดความสนใจในความจริง และสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่? จำเป็นต้องทำงานนี้หรือไม่? (ไม่จำเป็น) เหตุใดจึงไม่จำเป็น? (เพราะผู้คนเหล่านี้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเชื่อในพระเจ้าแต่อย่างใด) ถูกต้อง พวกเขาไม่ได้มาเพื่อเชื่อในพระเจ้า เป้าหมายของพวกเขาชัดเจนมาก—พวกเขามาที่นี่เพื่อหาผู้สนับสนุน ดังนั้นการสามัคคีธรรมความจริงกับผู้คนเช่นนั้นจะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดได้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาจะไม่ยอมรับฟัง พวกเขาไม่ให้ค่ากับความจริง ไม่ต้องการความจริง และไม่สนใจในความจริงเลย
พวกเราควรบรรยายถึงผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อหาผู้สนับสนุนอย่างไร? การอธิบายว่าพวกเขาเป็นคนที่ยึดผลประโยชน์ของตนเหนือทุกสิ่งนั้นเหมาะสมทีเดียว ตราบเท่าที่พวกเขาเห็นว่าใครบางคนเป็นประโยชน์และเป็นผลดีต่อพวกเขา พวกเขาก็จะทำทุกอย่างที่คนคนนั้นร้องขอ พวกเขาจะถึงกับทำตามทุกอย่างที่คนคนนั้นสั่ง พวกเขายกผลประโยชน์ของตนเองไว้เหนือทุกสิ่ง ตราบใดที่มีบางสิ่งเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา นั่นถือว่าใช้ได้ หากเจ้าบอกพวกเขาว่าการเชื่อในพระเจ้าจะนำมาซึ่งพรและผลประโยชน์ พวกเขาก็จะเชื่อในพระองค์และทำทุกสิ่งที่เจ้าขอให้ทำอย่างแน่นอน ตราบเท่าที่ความสามารถในการจัดการกับเรื่องทั้งหลายในสังคมของเจ้าเป็นไปตามที่พวกเขาต้องการและเอื้อประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาจะคบหากับเจ้าอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม การที่พวกเขาคบหากับเจ้าไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถเชื่อในพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจอย่างที่เจ้าทำ ต่อให้พวกเขาเข้ากับเจ้าได้ดีและเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีเป็นพิเศษ ก็ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าพวกเจ้าพูดภาษาเดียวกัน เดินบนเส้นทางเดียวกัน หรือมีการไล่ตามเสาะหาที่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เจ้าต้องไม่ถูกผู้คนเช่นนั้นชักพาให้หลงผิด คนเหล่านี้ฉลาดแกมโกงและมีกลยุทธ์ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาคือเพื่อหาผู้สนับสนุน ไม่ใช่เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและสัมฤทธิ์ความรอด นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยที่ต่ำช้าและมืดมิดเหลือเกิน! พวกเขามาที่คริสตจักรเพื่อหาคนที่พวกเขาจะสามารถเอาเปรียบได้ สมคบคิดกันเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์นานาประการเพื่อตนเอง นี่หมายความว่าผู้คนเช่นนั้นสามารถกระทำการโดยไม่ลังเลใจ และสามารถทำเรื่องหน้าไม่อายได้ทุกอย่างมิใช่หรือ? (ใช่) แค่จากข้อเท็จจริงที่ว่าจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาคือเพื่อหาผู้สนับสนุนและความมั่นคงในการดำรงชีวิต ก็ชัดเจนแล้วว่าผู้คนเหล่านี้ไม่มีอะไรดี พวกเขาเป็นพวกที่มีลักษณะนิสัยต่ำช้า เห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และโสโครก ดำเนินชีวิตอยู่ในความมืดมิดอันใหญ่หลวง เพราะฉะนั้น หลักธรรมของคริสตจักรในการจัดการกับคนเหล่านี้ก็ควรจะเป็นการแยกแยะพวกเขา แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไป เมื่อเจ้าแยกแยะว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง ว่าพวกเขามาที่คริสตจักรเพื่อหาทางออกและเอาเปรียบ ต้องการใช้ประโยชน์จากพี่น้องชายหญิงในการจัดการเรื่องทั้งหลายและทำงานรับใช้พวกเขา ในกรณีเช่นนั้น ผู้นำและคนทำงาน รวมถึงพี่น้องชายหญิงจึงควรจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างถูกต้องและทันท่วงที จงขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิง พวกเขาไม่ควรได้รับอนุญาตให้แฝงตัวอยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงต่อไป พวกเขาไม่ใช่เป้าหมายแห่งความรอดของพระเจ้า เมื่อบุคคลเช่นนั้นแฝงตัวอยู่ในหมู่พวกเจ้า พวกเขาย่อมจับตาดูอยู่ตลอดเวลาด้วยความละโมบว่าใครคุ้มค่าที่แก่การเอาเปรียบ พวกเขามักคิดคำนวณอยู่เสมอว่าในคริสตจักรมีคนที่พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์ได้หรือไม่—คนที่มีญาติพี่น้องทำงานอยู่ในโรงพยาบาล คนที่รู้วิธีรักษาโรคต่างๆ หรือมีวิธีรักษาแบบลับเฉพาะ คนที่สามารถซื้อของจากร้านค้าได้ในราคาขายส่ง ครอบครัวของพี่น้องชายคนใดทำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ใครที่สามารถซื้อบ้านได้ในราคาคนวงใน—พวกเขาสืบค้นเรื่องเหล่านี้เป็นพิเศษ ผู้คนเหล่านี้ช่างคิดคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วนเหลือเกิน! พวกเขาคิดคำนวณแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย ทั้งยังอยากวางอุบายใส่พี่น้องชายหญิง และวางแผนเอาเปรียบพี่น้องชายหญิงเหล่านั้น พวกเขาสืบค้นภูมิหลังทางครอบครัวของทุกคน และเก็บทุกคนไว้ในขอบเขตกลอุบายและการสมคบคิดของตน ในยามที่ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเช่นนั้น หัวใจของเจ้าสามารถรู้สึกถึงสันติสุขหรือไม่? (ไม่) เจ้าควรทำอย่างไรหากไม่มีสันติสุข? เจ้าควรระวังตัวจากผู้คนเช่นนั้น คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้าด้วยแรงจูงใจแอบแฝง พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงหรือความรอด แต่มาเพื่อตามหาผู้สนับสนุน หาเลี้ยงชีพ และทางออกให้กับตนเอง ผู้คนเช่นนั้นเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และยอกย้อนเป็นพิเศษ พวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่หรือสละตนเพื่อพระเจ้าเลย เมื่อคริสตจักรต้องการให้พวกเขาทำอะไรบางอย่าง พวกเขาก็หายตัวไป แต่เมื่อเรื่องดังกล่าวจบลงพวกเขาก็ปรากฏตัวอีกครั้ง ผู้คนเหล่านี้รู้จักเพียงการเอาเปรียบเท่านั้น และไม่มีประโยชน์ที่จะปล่อยให้พวกเขาอยู่ในคริสตจักรต่อไป จึงต้องใช้วิธีการนานาประการเพื่อชำระพวกเขาออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางคนกล่าวว่า “การจัดการกับคนคนหนึ่งต้องใช้วิธีการที่หลากหลายจริงหรือ?” คริสตจักรมีคนทุกประเภท หลายคนเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อหาผู้สนับสนุนและหาทางออก เพื่อให้ได้รับพร หรือเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ สิ่งที่แตกต่างกันมีเพียงความรุนแรงของแรงจูงใจเหล่านี้เท่านั้น บางคนแสดงพฤติกรรมประเภทหนึ่งออกมา ขณะที่คนอื่นๆ แสดงพฤติกรรมอีกประเภทหนึ่ง ด้วยเหตุนั้น ผู้คนที่แตกต่างกันจึงต้องได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน เช่นนี้เท่านั้นจึงสอดคล้องกับหลักธรรม สำหรับผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ที่กำลังมองหาผู้สนับสนุน พวกเขาต้องถูกชำระออกไปอย่างทันท่วงที อย่าปล่อยให้พวกเขาเกาะคริสตจักร พวกเขาขอให้พี่น้องชายหญิงจัดการเรื่องต่างๆ ให้พวกเขา—ในเมื่อที่จริงแล้ว การช่วยพวกเขาจัดการเรื่องทั้งหลายต้องใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วเหตุใดจึงไม่ควรช่วยเหลือพวกเขาแม้เพียงเล็กน้อยเท่านี้? ประเด็นแรกซึ่งสำคัญมากก็คือผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง ประเด็นที่สองก็คือ ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนจากการไม่เชื่อมาสู่การเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงได้ พวกเขาไม่ใช่คนที่พระเจ้าทรงกำหนดและเลือกสรรเอาไว้แล้ว พวกเขาไม่ใช่เป้าหมายแห่งความรอดของพระองค์—ตรงกันข้าม พวกเขาคือคนทำชั่วที่แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร ประเด็นที่สามก็คือ ผู้คนเหล่านี้วิ่งพล่านไปทั่วคริสตจักร แสวงหาความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงอยู่เสมอไม่ว่าปัญหาที่พวกเขาเผชิญจะหนักหนาแค่ไหน ซึ่งเป็นการคุกคามพี่น้องชายหญิงโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันก็สร้างบรรยากาศที่เป็นลบอย่างร้ายแรงในคริสตจักรซึ่งส่งผลร้ายต่อทุกคน เพราะฉะนั้นการชำระมารที่เชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อหาผู้สนับสนุนเหล่านี้ออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากเจ้ายังไม่ได้ระบุหรือรับรู้ว่าพวกเขาเป็นคนประเภทนี้ เจ้าก็สามารถเก็บพวกเขาไว้เพื่อเฝ้าสังเกตได้ เมื่อเจ้าแยกแยะและมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วว่าพวกเขาอยู่ในหมู่คนชั่วต่างๆ นานาที่พระนิเวศของพระเจ้าจำเป็นต้องเอาตัวออกไป จงอย่าลังเลหรือแสดงความเห็นอกเห็นใจแก่พวกเขา หลังจากหารือกับทุกคนและได้ข้อสรุปร่วมกันแล้ว เจ้าก็สามารถเอาตัวพวกเขาออกไปได้ หากผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรเพิกเฉยเรื่องนี้ ตราบเท่าที่พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ยืนยันว่าพวกเขาคือคนประเภทที่เชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อหาผู้สนับสนุนและหาทางออก เจ้าก็มีสิทธิ์เอาตัวพวกเขาออกไปโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านผู้นำเทียมเท็จ การทำเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงโดยสมบูรณ์ นี่เป็นสิทธิ์ของพวกเจ้า ภาระผูกพันของพวกเจ้า หน้าที่รับผิดชอบของพวกเจ้า การนี้ก็เพื่อปกป้องพวกเจ้าเอง แน่นอนว่า เมื่อพี่น้องชายหญิงซึ่งเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงเผชิญความยากลำบาก พวกเราก็มีหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันในการช่วยเหลือพวกเขาอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะด้วยความช่วยเหลือและการเกื้อหนุนอันเปี่ยมรัก หรือผ่านการช่วยเหลือทางวัตถุ นี่คือความรักในหมู่พี่น้องชายหญิง เป็นความรักของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือภาระผูกพันในการช่วยเหลือผู้ไม่เชื่อเพราะพวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหญิง และไม่สมควรได้รับพระคุณนี้หรือความช่วยเหลือเหล่านั้น นี่คือการปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรม ขอจบการสามัคคีธรรมถึงจุดประสงค์ประการที่เจ็ดของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเราแต่เพียงเท่านี้ ไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่างเฉพาะเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้คนประเภทนี้ สรุปก็คือ ผู้ที่มีจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าเพื่อหาผู้สนับสนุนคือคนที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักร เมื่อผู้นำและคนทำงานแยกแยะว่ามีผู้คนเช่นนั้นอยู่ในคริสตจักร พวกเขาก็ควรเอาตัวคนเหล่านั้นออกไปอย่างทันท่วงที จงเอาแต่ละคนที่เจ้าพบออกไปเสีย อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว หากพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ถูกคุกคามจนถึงจุดที่รู้สึกสิ้นหวังและไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งผู้นำและคนทำงานยังคงปกป้องพวกเขาโดยกล่าวว่า “พวกเขามีความยากลำบาก พวกเราควรช่วยเหลือพวกเขา” เช่นนั้นก็ควรบอกผู้นำดังกล่าวไปว่า “พวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าแต่อย่างใด พวกเขาทำเป็นหูทวนลมใส่คนที่สามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขา และไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเองที่บอกให้ทำ พวกเขาไม่เคยมีเจตนาที่จะสละตนเพื่อพระเจ้าเลย และพวกเขาเพียงต้องการที่จะใช้พี่น้องชายหญิงให้จัดการเรื่องทั้งหลายของพวกเขา พวกเราไม่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือภาระผูกพันในการช่วยเหลือผู้ไม่เชื่อเช่นนั้น!” ต่อให้ผู้นำคริสตจักรจะไม่เห็นชอบ พวกเจ้าก็มีสิทธิ์ที่จะร่วมมือกับคนหมู่มากเพื่อเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร หากถึงจุดนี้แล้วผู้นำคริสตจักรยังคงไม่เห็นด้วย เช่นนั้นก็จงรายงานเรื่องนี้ต่อระดับสูง แยกตัวผู้นำคนนั้นออกไปและปล่อยให้พวกเขาคิดทบทวน หากพวกเขาเห็นด้วย พวกเจ้าก็สามารถยอมรับความเป็นผู้นำของพวกเขาได้ หากพวกเขายังคงไม่เห็นด้วยต่อไป พวกเจ้าก็สามารถปลดพวกเขาและเลือกผู้นำคนใหม่ได้ นี่คือจุดประสงค์ประการที่เจ็ดของการเชื่อในพระเจ้า เพื่อหาผู้สนับสนุน
ซ. เพื่อไล่ตามไขว่คว้าจุดมุ่งหมายทางการเมือง
ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับจุดประสงค์ประการที่แปด นั่นคือ การเชื่อในพระเจ้าด้วยจุดประสงค์ทางการเมืองและจุดมุ่งหมายทางการเมือง ความเป็นไปได้ที่บุคคลเช่นนั้นจะปรากฏตัวมีไม่มากนัก แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะมากน้อยเพียงใด ตราบเท่าที่มีโอกาสที่คนเหล่านี้จะปรากฏตัวขึ้น พวกเราก็ควรยกตัวอย่างพวกเขาขึ้นมา และเปิดโปง สามัคคีธรรม และระบุลักษณะของพวกเขา พวกเราต้องทำเช่นนี้เพื่อให้ทุกคนมีวิจารณญาณแยกแยะพวกเขา แล้วจากนั้นก็สามารถเอาตัวพวกเขาออกไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาและอันตรายต่อคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง นี่เป็นการทำเพื่อปกป้องคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง ด้วยเหตุนั้น บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยจุดมุ่งหมายทางการเมืองจึงเป็นคนที่พวกเราควรแยกแยะและระวังเอาไว้ และพวกเขายังเป็นคนชั่วที่คริสตจักรควรเอาตัวออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกด้วย สิ่งใดเป็นการสำแดงของผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมือง? พวกเขาจะไม่พูดถึงความคิดที่แท้จริงของพวกเขาให้เจ้าฟัง พวกเขาจะไม่พูดอย่างชัดเจนว่า “ฉันก็แค่สนใจเรื่องการเมือง ฉันชอบมีส่วนร่วมทางการเมือง ดังนั้นฉันจึงเชื่อในพระเจ้าด้วยจุดมุ่งหมายทางการเมืองและจุดประสงค์ทางการเมือง ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นใดทั้งสิ้น คุณสามารถจัดการฉันได้ตามที่พวกคุณเห็นสมควร” พวกเขาจะกล่าวเช่นนี้หรือไม่? (ไม่) แล้วการสำแดงใดของพวกเขาที่ทำให้เจ้าแยกแยะว่าพวกเขามีจุดมุ่งหมายทางการเมือง? กล่าวคือ คำพูดใดที่พวกเขากล่าว สิ่งใดที่พวกเขาทำ สีหน้าท่าทาง แววตา และน้ำเสียงในการพูดเช่นไรของพวกเขาที่เพียงพอให้เจ้ายืนยันว่าจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาไม่บริสุทธิ์? ไม่ว่าพวกเขาพูดหรือทำสิ่งใด พวกเขาก็เก็บซ่อนสิ่งทั้งหลายไว้ในหัวใจของตน และไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งถึงสิ่งเหล่านั้นได้ พวกเขามีอัตลักษณ์และภูมิหลังเฉพาะ จากคำพูดและพฤติกรรมของพวกเขา ย่อมเห็นได้ว่าพวกเขามีกลอุบายและแผนการ อีกทั้งวิธีการพูดและทำสิ่งต่างๆ ของพวกเขาก็มีกลยุทธ์ ในยามที่พวกเขาพูด คนทั่วไปไม่สามารถจับความเข้าใจแรงจูงใจหรือความคิดที่แท้จริงของพวกเขาได้ และไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงกล่าวสิ่งนั้นออกมา ถึงแม้ว่าจากภายนอกแล้วผู้คนเหล่านี้จะไม่ได้แสดงออกซึ่งความเป็นศัตรูหรือตัดสินการเชื่อในพระเจ้าหรือการสามัคคีธรรมความจริง และอาจจะแสดงออกถึงความชื่นชอบในสิ่งเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับรู้สึกเพียงว่าพวกเขาแปลกประหลาด—พวกเขาแตกต่างจากพี่น้องชายหญิงคนอื่น และค่อนข้างยากที่จะหยั่งถึง โดยปกติแล้ว เจ้าทำอย่างไรกับผู้คนที่ค่อนข้างยากจะหยั่งถึง? เจ้าเพียงระวังตัวจากพวกเขาอย่างง่ายๆ ใช่หรือไม่? หรือเจ้าเป็นฝ่ายริเริ่มที่จะสืบค้นเกี่ยวกับพวกเขา และค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่? (พวกเราควรเฝ้าสังเกตพวกเขา) ไม่ว่าผู้ใดกำลังทำอะไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วจุดประสงค์และจุดมุ่งหมายของคนเหล่านั้นย่อมไม่ถูกเปิดโปงอย่างง่ายดายภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ยิ่งเวลาผ่านไป—เว้นเสียว่าพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดเลย—เมื่อพวกเขากระทำการ พวกเขาย่อมจะเผยไต๋ออกมาอย่างแน่นอน จงเฝ้าสังเกตและมองหาเบาะแสจากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ—เจ้าจะพบข้อมูลและเบาะแสบางอย่างได้จากคำพูดและพฤติกรรมของพวกเขา จากเจตนาและทิศทางในการกระทำของพวกเขา รวมถึงจากคำพูดและน้ำเสียงที่พวกเขาใช้พูด การที่จะทำเช่นนี้ได้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน รวมทั้งมีสติปัญญาและขีดความสามารถในระดับหนึ่งหรือไม่ คนโง่เขลาบางคนไม่สามารถรับรู้ถึงอันตรายและความโหดร้ายที่มีอยู่ในสังคมมนุษย์ได้ ไม่ว่าพวกเขาเผชิญหน้าผู้ใด พวกเขาก็มักจะปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นด้วยวิธีการเดียวกันเสมอ ผลก็คือเมื่อพวกเขาพบเจอนักการเมืองเจ้าเล่ห์และปลิ้นปล้อนที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมือง พวกเขาก็กลายเป็นยูดาสและเครื่องมือในการขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังทำเรื่องโง่เขลาที่ทำให้คริสตจักรตกหลุมพรางไปโดยไม่รู้ตัว
แท้จริงแล้ว ผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองมีการสำแดงอย่างไร? คนเหล่านี้มีภูมิหลังทางสังคมบางอย่าง พวกเขาคือบุคคลที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการเมือง ไม่ว่าพวกเขามีสถานะเช่นไรในแวดวงการเมือง ไม่ว่าพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทำงานเบ็ดเตล็ด หรือกำลังเตรียมการวางรากฐานในแวดวงการเมืองหรือไม่ โดยสรุปก็คือ ผู้คนเหล่านี้ย่อมมีภูมิหลังทางการเมืองในสังคม นี่เป็นสถานการณ์ที่พิเศษและซับซ้อน ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือไม่ หากตัดสินจากการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา เส้นทางที่พวกเขาเดิน และแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้จะสามารถกลายเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงได้หรือไม่? พวกเขาสามารถเปลี่ยนจากผู้ไม่เชื่อ จากนักการเมืองที่กระตือรือร้นเรื่องการเมือง มาเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) เจ้าแน่ใจหรือไม่? หรือมีความเป็นไปได้หรือไม่? (ไม่มีอย่างแน่นอน) เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน การเชื่อในพระเจ้าและการเมืองเป็นสองเส้นทางที่แตกต่างกัน ทั้งสองเส้นทางนี้พัฒนาไปในทิศทางตรงกันข้าม ไม่มีจุดที่เหมือนกัน และไม่สามารถบรรจบกันได้โดยเด็ดขาด เป็นเส้นทางที่แตกต่างกันโดยสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ต่อให้บรรดาผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองหรือรักและกระตือรือร้นเรื่องการเมืองเชื่อในพระเจ้าโดยไม่มีจุดประสงค์ทางการเมืองที่ชัดเจน พวกเขาก็ยังคงเก็บงำจุดประสงค์อื่นๆ เอาไว้ และแน่นอนว่าจุดประสงค์ของพวกเขาไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความจริงหรือได้รับการช่วยให้รอด อย่างน้อยที่สุด นี่ก็สามารถกำหนดได้ว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง พวกเขาเพียงยอมรับตำนานที่ว่ามีพระเจ้าเท่านั้น แต่ไม่ได้ยอมรับในการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง ด้วยเหตุนั้น ผู้คนเหล่านี้จะไม่มีวันเปลี่ยนจากผู้ไม่เชื่อที่มีความกระตือรือร้นเรื่องการเมืองมาเป็นผู้เชื่อแท้จริงที่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า สามารถยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า และยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้
แท้จริงแล้ว ผู้ไม่เชื่อที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเหล่านี้มีจุดประสงค์ใดในการเชื่อในพระเจ้า? เรื่องนี้สัมพันธ์กับการไล่ตามไขว่คว้าและอาชีพที่พวกเขาทำ ตัวอย่างเช่น คนบางคนมักมีความต้องการส่วนตัวบางอย่างในแวดวงการเมือง มีเป้าหมายและความมุ่งมาดปรารถนาทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่อยู่เสมอ เป็นต้น ซึ่ง—ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด—ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น คำว่า “การเมือง” หมายถึงอะไร? กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ การเมืองนั้นเกี่ยวข้องกับระบอบการปกครอง อำนาจ และการปกครอง เพราะฉะนั้นการเชื่อในพระเจ้าด้วยจุดมุ่งหมายทางการเมืองของพวกเขาจึงสัมพันธ์กับการไล่ตามไขว่คว้าทางการเมืองของพวกเขาอย่างแน่นอน แล้วอะไรคือจุดมุ่งหมายของพวกเขา? เหตุใดพวกเขาจึงชื่นชอบผู้คนในคริสตจักร? พวกเขาต้องการใช้สถาบันซึ่งก็คือคริสตจักร ใช้ผู้คนจำนวนมากในคริสตจักร และใช้อิทธิพลของผู้คนในคริสตจักรซึ่งมาจากหลากหลายอาชีพและชนชั้นทางสังคมเหล่านี้เพื่อให้สัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขา หลังจากเรียนรู้คำสอนของคริสตจักร การดำเนินงานนานาประการของคริสตจักร หนทางในการใช้ชีวิตคริสตจักรของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และอื่นๆ พวกเขาหลอมรวมตนเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร พวกเขาจดจำสิ่งทั้งหลายที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมักจะใช้ในการสามัคคีธรรมจนขึ้นใจ อย่างเช่น คำศัพท์ฝ่ายวิญญาณและสำนวนต่างๆ หวังว่าวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ในการรวบรวมผู้คนให้มาฟังพวกเขา มาให้พวกเขาใช้ประโยชน์ เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายทางการเมืองของตน เช่นเดียวกับที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวว่า หลังจากสั่งสมสิ่งต่างๆ มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เมื่อพวกเขาสามารถชูธงและทำให้ผู้คนลุกขึ้นเป็นกบฏได้ ผู้คนจะตอบรับเสียงเรียกของพวกเขาและติดตามพวกเขามากขึ้น เพื่อที่พวกเขาจะสามารถได้รับผู้คนจำนวนหนึ่งในคริสตจักรมาเป็นกองกำลังในการต่อสู้กับคู่แข่งของตน เรื่องดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งในประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่ ตัวอย่างเช่น กบฏบัวขาวและกบฏไท่ผิงในสมัยราชวงศ์ชิง เป็นกรณีที่ผู้มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองใช้ศาสนาเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล หลักคำสอนของศาสนาของพวกเขาเบี่ยงเบนไปจากหนทางที่แท้จริง และมีแง่มุมมากมายที่เหลวไหลไร้สาระซึ่งไม่สอดคล้องกับความจริงแต่อย่างใด พวกที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองใช้ประโยชน์จากหลักคำสอนเหล่านี้เพื่อทำให้ผู้คนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จำกัดความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา รวมทั้งชักจูงและปลูกฝังความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา ท้ายที่สุด พวกเขาก็ใช้ประโยชน์จากผู้คนที่ถูกปลูกฝังความคิดเหล่านี้เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายทางการเมืองของตน แรกเริ่มเดิมทีเมื่อผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเหล่านี้มาเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาหลงใหลคือชื่อเสียงของคริสตจักร กล่าวคือ พวกเขาสามารถซ่อนเร้นอัตลักษณ์และจุดมุ่งหมายของตนเอาไว้ได้ภายใต้ชื่อของสถาบันซึ่งก็คือคริสตจักร—นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง อีกแง่มุมหนึ่งก็คือ พวกเขาคิดว่าตราบเท่าที่พวกเขาเผยแพร่ทัศนะทางการเมืองภายใต้ธงของการเชื่อในพระเจ้า การปลูกฝังแนวคิดให้ผู้คนในคริสตจักรย่อมเป็นเรื่องง่ายมาก และผู้คนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะบูชาและเชื่อฟังคนที่มีชื่อเสียง ผลที่ตามมาก็คือ บุคคลที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมองผู้คนในคริสตจักรเป็นวัตถุในการนำมาใช้ประโยชน์ พวกเขาเชื่อว่าคริสตจักรกลายเป็นสถานที่ที่พวกเขาสามารถซ่อนเร้นอัตลักษณ์ของตนได้อย่างง่ายดายมาก และสมาชิกคริสตจักรก็เป็นเป้าหมายที่พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย—กล่าวโดยง่ายก็คือ พวกเขามองสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ในการเข้าร่วมคริสตจักรของพวกเขาคือการหวังว่าสักวันหนึ่ง เมื่อพวกเขาอยู่ในจุดที่มีอำนาจแล้ว พวกเขาจะสามารถต่อสู้กับคู่แข่งทางการเมืองและมีอำนาจได้—นี่คือจุดมุ่งหมายทางการเมืองของพวกเขา พวกเขาต้องการใช้ข้ออ้างในนามของการเชื่อในพระเจ้าเพื่อเพิ่มจำนวนคนที่เลื่อมใสและติดตามพวกเขาให้มาเป็นส่วนหนึ่งในขอบเขตอิทธิพลทางการเมืองของพวกเขา บางคนกล่าวว่า “พวกเขาอาจมีจุดประสงค์เช่นนี้ แต่หากพวกเขาไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย อย่างมากที่สุดพวกเราก็แค่เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อหรือเป็นผู้เชื่อเทียมเท็จเท่านั้น พวกเราจะเห็นได้อย่างไรว่าพวกเขามีจุดประสงค์ทางการเมืองที่ชัดเจน?” นี่มิใช่เรื่องยาก เพียงใช้เวลาเฝ้าสังเกต ตราบเท่าที่พวกเขามีจุดมุ่งหมายทางการเมือง พวกเขาย่อมจะลงมือทำอย่างแน่นอน หากพวกเขาไม่ต้องการลงมือ เหตุใดพวกเขาจึงแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรเล่า? หากพวกเขายังไม่ลงมือ นั่นก็เพราะพวกเขายังไม่สบโอกาส เมื่อพวกเขามีโอกาส พวกเขาย่อมจะดำเนินการไปตามนั้น ตัวอย่างเช่น หากรัฐบาลดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด หรือปราบปรามและจับกุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร อย่างมากที่สุดพี่น้องชายหญิงก็จะหารือและแยกแยะเรื่องนี้ และจะจบลงเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรอย่างก็ตาม การเชื่อในพระเจ้า การทำหน้าที่ของพวกเขา และการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าคือสิ่งสำคัญ พวกเขาจะไม่สูญเสียภาพรวมไปเพื่อเรื่องเล็กน้อย พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนไปตามปกติอย่างที่ควรทำ อย่างไรก็ตาม คนที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองนั้นแตกต่างออกไป พวกเขาจะทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ เปิดโปงอย่างหนักและเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปเป็นวงกว้าง ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปลุกปั่นให้ทุกคนลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลเพื่อสนองจุดมุ่งหมายทางการเมืองของพวกเขาเอง และพวกเขาจะไม่หยุดจนกว่าจะสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง พวกเขาจึงวางเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตนลงโดยสิ้นเชิง และไม่ใส่ใจในเจตนารมณ์ของพระเจ้าและข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ นี่คือความบ้าคลั่งพวกเขา—แล้วผู้คนยังไม่สามารถแยกแยะพวกเขาได้อีกหรือ? บุคคลเช่นนั้นกำลังติดตามพระเจ้าหรือติดตามการเมือง? บางคนที่ไร้วิจารณญาณแยกแยะย่อมถูกชักพาให้หลงผิดได้ง่าย ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเหล่านี้ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร ไม่ต้องพูดถึงการเข้าใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าคือการชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนให้บริสุทธิ์ และช่วยพวกเขาให้รอดจากอิทธิพลของซาตานเลย คนเหล่านี้คิดว่าการมีส่วนร่วมกับสิทธิมนุษยชนและการเมืองหมายถึงการมีสำนึกของความยุติธรรมและการนบนอบพระเจ้า การมีส่วนร่วมในการเมืองและสิทธิมนุษยชนแสดงให้เห็นว่าคนคนหนึ่งมีความเป็นจริงความจริงใช่หรือไม่? นั่นแสดงให้เห็นว่าคนคนหนึ่งนบนอบพระเจ้าหรือไม่? ไม่ว่าเจ้าจัดการเรื่องสิทธิมนุษยชนและการเมืองได้ดีเพียงใด นั่นแสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วอย่างนั้นหรือ? นี่แสดงให้เห็นว่าความทะเยอทะยานและความอยากที่จะครองอำนาจของเจ้าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วอย่างนั้นหรือ? ผู้คนมากมายไม่อาจมองเห็นปัญหาเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เห็นได้ชัดว่าซุนยัตเซ็นก็เป็นคริสตชน เมื่อเขาตกอยู่ในอันตราย เขาก็อธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงช่วยเขาให้รอด เขาใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการปฏิวัติ—เขาได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่? เขาคือคนที่ปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าใช่หรือไม่? เขามีคำพยานจากประสบการณ์ของการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? เขาไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย หลังจากเปาโลได้รับการทรงเรียก เขาก็ประกาศข่าวประเสริฐโดยไม่ว่างเว้นและทนทุกข์กับความยากลำบากมากมาย แต่เพราะเขาไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต ทำบาปเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังยกชูและเป็นพยานยืนยันให้ตนเองในทุกโอกาส เขาจึงกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์และถูกลงโทษ ไม่ว่าอย่างไรการเชื่อในพระเจ้าโดยไม่ยอมรับความจริง การไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะอยู่เสมอ รวมถึงการอยากจะเป็นยอดมนุษย์หรือเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่ตลอดเวลาก็เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง บรรดาผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองล้วนเป็นศัตรูของพระคริสต์ ผู้คนเหล่านี้จะไม่ล้มเลิกในการทำความมุ่งมาดปรารถนาทางการเมืองของตนให้เป็นจริงไปง่ายๆ และจะหาโอกาสในการปลุกปั่นและเอาชนะใจผู้เชื่อมาเป็นกองกำลังทางการเมืองของพวกเขาเสมอ หากวันหนึ่งพวกเขาเห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาเปรียบผู้เชื่อ เห็นว่าผู้เชื่อเพียงรักและไล่ตามเสาะหาความจริง และติดตามแต่พระคริสต์ไม่ติดตามผู้คน เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะวางมือจากผู้เชื่อเหล่านี้ไปโดยสมบูรณ์
โดยรากฐานแล้ว จิตใจของคนที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองมีเพียงแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น—อำนาจและอิทธิพล การปกครอง การสมคบคิด วิธีการทางการเมือง เป็นต้น พวกเขาไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงอะไร ความเชื่อคืออะไร ความจริงคืออะไร หรือยิ่งไม่เข้าใจเลยว่าจะนบนอบพระเจ้าอย่างไร พวกเขายังไม่เข้าใจด้วยว่าฟ้าสวรรค์มีน้ำพระทัยอย่างไร หลักการในการเอาตัวรอดของพวกเขาคือ “มนุษย์ย่อมจะมีชัยเหนือธรรมชาติ” และ “ชะตาลิขิตของคนเราอยู่ในมือของเขาเอง” ด้วยเหตุนั้น การพยายามเปลี่ยนแปลงผู้คนเช่นนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ และเป็นแนวคิดที่โง่เขลา คนเหล่านี้มักจะเผยแพร่มุมมองทางการเมืองในหมู่พี่น้องชายหญิงในคริสตจักร เซ้าซี้ให้พี่น้องชายหญิงเหล่านี้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองและมีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง เห็นได้ชัดเจนมากว่าจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมายทางการเมือง คนอื่นสามารถแยกแยะแก่นแท้เช่นนี้ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย คนเหล่านี้ไม่รู้ความเรื่องความเชื่อ การเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง และการนบนอบน้ำพระทัยของฟ้าสวรรค์โดยสิ้นเชิง—พวกเขาเชื่อว่าความคิดและเส้นทางของคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการใช้กลยุทธ์ทางการเมือง และพวกเขาก็เชื่อเป็นพิเศษว่า โชคชะตาของคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยหนทางและวิธีการของมนุษย์ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงไม่รู้ความโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับเรื่องที่ล้ำลึกแต่ชัดเจนของกฎแห่งธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้าง และอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือชะตากรรมของมนุษย์ สำหรับเรื่องเหล่านี้พวกเขาคือคนที่ไม่มีความรู้ และไม่สามารถทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ได้ การที่เรากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หากเจ้าพบว่าจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของใครสักคนนั้นขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมายทางการเมือง เจ้าต้องไม่พยายามเปลี่ยนแปลงหรือโน้มน้าวคนเหล่านั้นโดยเด็ดขาด และไม่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขามากมายนัก นอกจากการระวังตัวจากพวกเขาแล้ว เจ้าควรแจ้งเรื่องพวกเขาต่อผู้นำคริสตจักรในระดับต่างๆ หรือต่อพี่น้องชายหญิงที่เชื่อถือได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจากนั้นก็หาทางขับไล่พวกเขาไปจากคริสตจักร เจ้าไม่ควรแอบระวังตัวจากพวกเขาอยู่เงียบๆ ขณะที่ปล่อยให้ผู้อื่นยังคงอยู่ในความมืด แล้วคนประเภทใดที่พอจะมีวิจารณญาณแยกแยะต่อผู้ที่ชอบพูดคุยเรื่องการเมืองและมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองบ้าง? เป็นคนที่อาวุโสกว่าหรือคนที่เด็กกว่า? เป็นพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง? (เป็นพี่น้องชายที่อาวุโสกว่า) ถูกต้อง พี่น้องชายที่อาวุโสกว่า กล่าวคือ บรรดาผู้ที่มีประสบการณ์ทางสังคม มีการติดต่อกับนักการเมือง หรือถูกข่มเหงทางการเมือง—คนที่มีความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องเหล่านี้—ย่อมสามารถมองเห็นประเด็นปัญหาทางการเมืองได้ค่อนข้างกระจ่าง โดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะกับผู้ที่มีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่บ้าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาสามารถรับรู้ถึงความทะเยอทะยานและความอยาก รวมไปถึงความคิด มุมมอง ความฝัน ความมุ่งมาดปรารถนาของคนเหล่านั้นได้ค่อนข้างกระจ่างทีเดียว เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงสามารถแยกแยะคนเหล่านี้ได้ค่อนข้างเร็วกว่าผู้อื่น เมื่อใครบางคนแยกแยะได้ว่าคนเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองและเป็นผู้ไม่เชื่อ พวกเขาก็ควรระวังตัวจากคนเหล่านั้น และเปิดโปงผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องปกป้องคนที่โง่เขลาและไม่รู้ความที่ไม่เข้าใจความจริง ป้องกันคนเหล่านั้นจากการถูกชักพาให้หลงผิดและถูกเอาเปรียบ และจากการปล่อยให้ข้อมูลภายในของคริสตจักรรั่วไหลโดยไม่ตั้งใจ เรื่องนี้จำเป็นต้องแจ้งเตือนไปยังผู้นำคริสตจักรและหารือเรื่องนี้กับพวกเขา รวมถึงแจ้งคนที่อาวุโสกว่าหรือคนที่เข้าใจความจริงบางอย่างและมีวุฒิภาวะอยู่บ้างให้ระวังตัวจากผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเหล่านี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การช่วยให้ผู้อื่นมองเห็นแก่นแท้ของคนเหล่านี้อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้ไม่เชื่อคือเรื่องสำคัญ นั่นจึงเป็นการปกป้องพี่น้องชายหญิงที่โง่เขลาและไม่รู้ความจากการถูกคนเหล่านั้นเอาเปรียบ หากเจ้าไม่สามารถมองเรื่องเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ เมื่อคนชั่วร้าย ปลิ้นปล้อน และเจ้าเล่ห์บางคนมาพูดคุยกับเจ้า เจ้าย่อมเต็มใจที่จะเปิดปากเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์จริงและทุกสิ่งที่เจ้ารู้อย่างหมดเปลือกโดยไม่ทันถูกถามเสียด้วยซ้ำ จึงกลายเป็นยูดาสไปโดยไม่ตั้งใจ ผู้คนเช่นนั้นมีอยู่ใช่หรือไม่? (ใช่) ในยามที่เจ้าพูด เจ้าย่อมไม่รู้ว่าผู้อื่นแอบซ่อนจุดประสงค์เช่นไรเอาไว้ และเจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง เล่าทุกอย่างที่อยู่ในหัวใจของเจ้าให้พวกเขาฟังโดยไม่ทันรู้ตัว—หลังจากที่เจ้าพูดไปแล้ว เจ้าก็ไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เมื่อเห็นผู้อื่นระวังตัวจากผู้คนเหล่านั้น เจ้าก็กล่าวว่า “คุณระวังตัวมากเกินไป มีอะไรต้องปกปิดในระหว่างพี่น้องชายหญิงอย่างนั้นหรือ?” เจ้าไม่ตระหนักว่าเหตุใดผู้อื่นจึงไม่พูดออกไป—นี่เองที่เรียกว่าการเป็นคนโง่เขลา
แน่นอนว่าผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองย่อมเป็นผู้ไม่เชื่อด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาไม่รักความจริงและจะไม่ยอมรับความจริง ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็อยู่ในประเภทของคนชั่วที่เป็นศัตรูพระคริสต์โดยสมบูรณ์ ที่จริงแล้ว การระวังตัวจากผู้คนเช่นนั้นเป็นวิธีการที่นิ่งเฉยมากที่สุด วิธีการเชิงรุกคือการค้นหาพวกเขาให้พบเสียแต่เนิ่นๆ แล้วจัดการและขับไล่พวกเขาออกไปโดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการนำความเดือดร้อนใดๆ มาสู่คริสตจักรและพี่น้องชายหญิง เนื่องจากผู้คนเหล่านี้สามารถมีอิทธิพลต่อผู้อื่นได้ทุกที่และทุกเวลาภายในคริสตจักร และสามารถทำลายระเบียบปกติของคริสตจักรได้ทุกเวลาและทุกสถานการณ์ จงอย่าผ่อนปรนหรือใช้ความอดทนกับผู้ไม่เชื่อเช่นนั้น อย่าให้โอกาสพวกเขากลับใจอีก จงอย่าเป็นคนโง่เขลา เมื่อพบแล้ว ก็ควรขับไล่พวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อป้องกันเคราะห์ร้ายในอนาคต จุดประสงค์ของการทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงถูกชักพาให้หลงผิดและถูกหลอกใช้ กลายเป็นหุ่นเชิดของซาตานและเหล่าปีศาจชั่ว แน่นอนว่าสิ่งที่เจ้าควรทำมากที่สุดในเวลานั้นคือป้องกันมิให้ผู้ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองรู้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคริสตจักร ยิ่งเจ้าแยกแยะและขับไล่พวกเขาเร็วเท่าไร พี่น้องชายหญิงก็จะติดต่อกับพวกเขาน้อยลง อีกทั้งจะได้รับอิทธิพลและถูกคนเหล่านั้นชักพาให้หลงผิดน้อยลงเท่านั้น เพราะฉะนั้นในแง่ของเวลา การจัดการและขับไล่ผู้คนเช่นนั้นโดยเร็วที่สุดก็ย่อมดีกว่า—ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี การดำเนินการเชิงรุกย่อมดีกว่านิ่งเฉย ผู้คนที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองมีเจตนาที่ไม่ดี พวกเขาย่อมไม่อาจมีความจริงใจในการทำสิ่งใดเพื่อคริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้าได้เลย หากพวกเขาไม่สามารถชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิดหรือใช้ประโยชน์จากคนเหล่านั้นได้ พวกเขาย่อมจะอับอายโดยสิ้นเชิง และจะสมัครใจที่จะไปจากคริสตจักรโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคำลาเสียด้วยซ้ำ สามัคคีธรรมของพวกเราถึงจุดประสงค์ข้อแปดของการเชื่อในพระเจ้า คือเพื่อไล่ตามไขว่คว้าจุดมุ่งหมายทางการเมืองจึงจบลงเพียงเท่านี้
วันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 2021