หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (27)

วันนี้เราจะสามัคคีธรรมกันต่อในหัวข้อเรื่องหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  ก่อนหน้านี้ เราได้สามัคคีธรรมไปจนถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ และยังมีหัวข้อย่อยอีกบางหัวข้อภายใต้หน้าที่รับผิดชอบนี้ที่ยังไม่ได้สามัคคีธรรมกัน  ก่อนที่เราจะสามัคคีธรรม ให้ทบทวนกันก่อนว่าหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานมีกี่ประการ  (มีสิบห้าประการ)  อ่านได้เลย

(หน้าที่รับผิดชอบของบรรดาผู้นำและคนทำงาน ได้แก่

1. นำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจพระวจนะของพระองค์ และเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า

2. มีความเข้าใจสภาวะทั้งหลายของบุคคลแต่ละประเภท และแก้ไขความลำบากยากเย็นนานัปการซึ่งสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตที่พวกเขาเผชิญในชีวิตจริง

3. สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่พึงเข้าใจเพื่อปฏิบัติหน้าที่แต่ละอย่างให้ถูกควร

4. คอยติดตามสภาวการณ์ของบรรดาผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทกับบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และปรับเปลี่ยนหน้าที่หรือปลดพวกเขาอย่างทันท่วงทีตามความจำเป็น  เพื่อป้องกันหรือบรรเทาความสูญเสียที่เกิดจากการใช้ผู้คนที่ไม่เหมาะสม และเพื่อรับประกันประสิทธิภาพและความก้าวหน้าของงานอย่างราบรื่น

5. คงไว้ซึ่งการทำความเข้าใจและความเข้าใจที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับสถานะและความคืบหน้าของงานแต่ละงาน และสามารถแก้ไขปัญหา แก้ไขความเบี่ยงเบน และแก้ไขข้อบกพร่องในงานได้อย่างทันท่วงทีเพื่อที่งานนั้นจะได้คืบหน้าไปอย่างราบรื่น

6. ส่งเสริมและบ่มเพาะผู้มีความสามารถพิเศษทุกรูปแบบที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เพื่อให้ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีโอกาสฝึกฝนและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

7. จัดสรรและใช้ประโยชน์จากผู้คนประเภทต่างๆ อย่างมีเหตุผล บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และจุดแข็งของพวกเขา เพื่อนำแต่ละคนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

8. รายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที

9. สื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานนั้น โดยให้คำแนะนำ การกำกับดูแลและการกระตุ้น พร้อมทั้งตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการของพวกเขา

10. ปกป้องและจัดสรรวัสดุสิ่งของนานัปการในพระนิเวศของพระเจ้า (เช่น หนังสือ อุปกรณ์ต่างๆ ธัญพืช เป็นต้น) อย่างถูกควรและสมเหตุสมผล รวมถึงดำเนินการตรวจสอบ บำรุงรักษา และซ่อมแซมเป็นประจำเพื่อลดความเสียหายและความสิ้นเปลืองให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งป้องกันไม่ให้ผู้คนที่ชั่วครอบครองสิ่งเหล่านั้น

11. เลือกสรรผู้คนที่ไว้วางใจได้ซึ่งมีความเป็นมนุษย์ตามมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกิจเกี่ยวกับการลงทะเบียน การตรวจนับ และการอารักขาของถวายอย่างเป็นระบบ ตรวจสอบและทบทวนรายรับและรายจ่ายเป็นประจำเพื่อให้สามารถระบุกรณีสุรุ่ยสุร่ายหรือสิ้นเปลือง ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลได้อย่างทันท่วงที—หยุดยั้งสิ่งเหล่านี้และเรียกร้องค่าชดเชยที่สมเหตุสมผล  นอกจากนี้ ให้ป้องกันทุกวิถีทางมิให้ของถวายตกไปอยู่ในมือของคนชั่วและถูกพวกเขานำไปครอบครอง

12. ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  หยุดยั้งและจำกัดสิ่งเหล่านั้น พร้อมทั้งแก้ไขสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้น  นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น

13. ปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการถูกก่อกวน ถูกชักพาให้หลงผิด ถูกควบคุม และได้รับอันตรายร้ายแรงจากพวกศัตรูของพระคริสต์ และช่วยให้พวกเขาสามารถแยกแยะพวกศัตรูของพระคริสต์และละทิ้งคนเหล่านั้นไปจากหัวใจของตน

14. แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป

15. ปกป้องบุคลากรสำคัญของงานทุกประเภทโดยป้องกันพวกเขาจากการแทรกแซงของโลกภายนอก และคุ้มครองพวกเขาให้ปลอดภัยเพื่อให้มั่นใจว่างานสำคัญต่างๆ จะสามารถดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย)

ทุกคนได้ยินหน้าที่รับผิดชอบทั้งสิบห้าประการนี้ชัดเจนหรือไม่? (ได้ยินชัดเจน)  หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานคือ “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป”  เช่นนั้นเจ้าจะสามารถแยกแยะคนชั่วประเภทต่างๆ ได้อย่างไร?  หลักเกณฑ์ข้อแรกนั้นอ้างอิงตามจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  พวกเราแบ่งจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของผู้คนออกเป็นกี่ข้อ?  พวกเราแบ่งจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของผู้คนออกเป็นเก้าข้อ ดังนี้ ก. เพื่อสนองความอยากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของคนเรา ข. เพื่อเสาะหาเพศตรงข้าม ค. เพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ ง. เพื่อทำการฉวยโอกาส จ. เพื่ออาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต ฉ. เพื่อหาที่หลบภัย ช. เพื่อหาผู้สนับสนุน ซ. เพื่อไล่ตามไขว่คว้าจุดมุ่งหมายทางการเมือง ฌ. เพื่อจับตาดูคริสตจักร  นี่คือการแยกแยะแก่นแท้ของผู้คนประเภทต่างๆ ตามเจตนาและจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  หลักเกณฑ์ข้อที่สองสำหรับการแยกแยะผู้คนประเภทต่างๆ ที่จำเป็นต้องถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่นั้นอ้างอิงตามการสำแดงในแง่มุมต่างๆ ของแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  หลักเกณฑ์นี้เกี่ยวข้องกับการสำแดงกี่ประการ?  ก. การรักที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเท็จ ข. การรักที่จะเอาเปรียบ ค. การทำตัวเหลวไหลและไร้ความยับยั้งชั่งใจ ง. การมีแนวโน้มที่จะแก้แค้น จ. การไม่สามารถระวังคำพูดของตนได้ ฉ. ไร้เหตุผลและจงใจสร้างปัญหา จนไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกเขา ช. มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรมอย่างสม่ำเสมอ ซ. พร้อมที่จะทรยศได้ทุกเมื่อ ฌ. พร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อ ญ. หวั่นไหว ฎ. ขี้ขลาดและหวาดระแวง ฏ. มีแนวโน้มที่จะก่อเรื่องเดือดร้อน ฐ. มีภูมิหลังที่ซับซ้อน  มีการสำแดงทั้งหมดสิบสามประการ  หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานคือ “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป”  ประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ข้อแรก—คือจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของคนเรา—ได้มีการสามัคคีธรรมไปแล้ว  พวกเรายังได้สามัคคีธรรมถึงเจ็ดประเด็นแรกของความเป็นมนุษย์ของพวกเขาซึ่งก็คือหลักเกณฑ์ที่สองไปแล้วด้วย  วันนี้พวกเราจะเริ่มสามัคคีธรรมจากการสำแดงประการที่แปดของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ซึ่งก็คือ “พร้อมที่จะทรยศได้ทุกเมื่อ”

ประการที่สิบสี่: แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป (ภาคที่หก)

หลักและมาตรฐานสำหรับการแยกแยะคนชั่วนานาประเภท

II. อ้างอิงตามความเป็นมนุษย์ของคนเรา

ซ. พร้อมที่จะทรยศได้ทุกเมื่อ

บรรดาผู้ที่สำแดงออกอย่างชัดเจนว่าพร้อมที่จะขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้ทุกเมื่อ—พวกเจ้าสามารถดูคนประเภทนี้ออกใช่หรือไม่?  ปัญหาของผู้คนเหล่านี้ร้ายแรงมากใช่หรือไม่?  (ใช่)  บางคนทรยศคริสตจักรเพราะพวกเขาขี้ขลาด ในขณะที่คนอื่นๆ ทำเช่นนั้นเพราะความเป็นมนุษย์ที่ชั่วของพวกเขาหรือประเด็นปัญหาอื่นๆ  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ข้อเท็จจริงที่ว่าคนประเภทนี้พร้อมจะขายพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตนและทรยศพระเจ้าได้ทุกเมื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่น่าไว้วางใจ  หากพวกเขาได้ล่วงรู้ข้อมูลสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับคริสตจักร หรือข้อมูลส่วนตัวของพี่น้องชายหญิง เช่น พี่น้องชายหญิงอาศัยอยู่ที่ใด ใครคือผู้นำคริสตจักร งานใดที่คริสตจักรมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือใครทำงานและหน้าที่สำคัญใด พวกเขาสามารถเปิดเผยข้อมูลนี้เมื่อเกิดอันตรายขึ้นหรือในสภาวการณ์พิเศษบางอย่าง ซึ่งเป็นการขายคริสตจักรและทรยศพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตน  เหตุผลหนึ่งที่พวกเขาอาจทำเช่นนี้ก็เพื่อปกป้องและรักษาความปลอดภัยของตนเอง  ในทางกลับกัน พวกเขาอาจจงใจกระทำเช่นนี้ โดยไม่ปฏิบัติต่อข้อมูลนี้อย่างเอาจริงเอาจัง และพร้อมที่จะเปิดเผยและทำการทรยศได้ทุกเมื่อเพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว  ตัวอย่างเช่น บางคนถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุม และระหว่างการสอบสวน พญานาคใหญ่สีแดงก็ข่มขู่ ล่อลวง หรือถึงขั้นใช้การทรมานเพื่อบีบบังคับให้สารภาพ โดยบอกคนเหล่านี้ว่าหากยอมพูด พวกเขาก็จะได้รับการปล่อยตัว ดังนั้นพวกเขาจึงทรยศด้วยการเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่รู้เกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงและคริสตจักรเพื่อแลกกับเสรีภาพของตนเอง  คนประเภทนี้เป็นยูดาสโดยสมบูรณ์แบบ  จงบอกเราเถิดว่า คนที่เป็นยูดาสอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ควรได้รับการปฏิบัติและจัดการอย่างไร?  (คนประเภทนี้ต้องถูกขับไล่ในทันทีและต้องถูกสาปแช่งอีกด้วย)  โดยปกติแล้ว บรรดายูดาสอย่างสมบูรณ์แบบเหล่านี้—ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม—มักจะคอยสอบถามหรือรับรู้สถานการณ์บางอย่างเกี่ยวกับคริสตจักรและเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ  ต่อมา เมื่อมีสภาวการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขาและพวกเขาถูกจับกุม พวกเขาก็จะสารภาพข้อมูลนี้ออกมา  จากภายนอก การที่พวกเขาสอบถามและเรียนรู้ข้อมูลเหล่านี้อาจดูเหมือนไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะจงใจสารภาพข้อมูลต่อพญานาคใหญ่สีแดง แต่เมื่อถูกจับกุม พวกเขากลับไม่สามารถยับยั้งตนเองได้  ผลก็คือ การสารภาพของพวกเขานำมาซึ่งผลพวงที่เลวร้ายต่อคริสตจักร  ดังนั้น การที่พวกเขาคอยสอบถามและเรียนรู้รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้อย่างไม่จริงจังจึงไม่ใช่แค่การพูดคุยธรรมดาหรือการพูดจาเรื่อยเปื่อย แต่พวกเขากำลังทำเช่นนั้นโดยมีเจตนาและมีเป้าหมาย  นี่คือการตระเตรียมภาวะเพื่อให้พวกเขากลายเป็นยูดาสในภายหลัง  ปัญหาของคนที่ทรยศด้วยการเปิดเผยข้อมูลของผู้อื่นอย่างง่ายดายเช่นนี้จะสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการอย่างการสามัคคีธรรมความจริงหรือการตักเตือนพวกเขาได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ทำไมถึงแก้ไขไม่ได้?  (เพราะคนประเภทนี้ไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผล พวกเขาจะไม่ยอมรับความจริง และการสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาย่อมเปล่าประโยชน์)  คนชั่วประเภทที่ทำร้ายผู้อื่นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ควรถูกจัดการอย่างไร?  มีทางแก้เพียงทางเดียวเท่านั้น คือการเอาพวกเขาออกไป เพราะสิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้นไม่เพียงทำร้ายพี่น้องชายหญิง แต่ยังก่อกวนงานของคริสตจักรอีกด้วย  พฤติกรรมประเภทนี้สามารถระบุได้ว่าเป็นการขายพี่น้องชายหญิงและเป็นการขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน ดังนั้นคนประเภทนี้ต้องถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่  แม้ว่าคนประเภทนี้ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ แต่ก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะระบุว่าพวกเขาเป็นคนชั่วที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร  เพราะฉะนั้น การเอาคนประเภทนี้ออกไปจึงสอดคล้องกับหลักธรรมโดยสมบูรณ์  คนเหล่านี้ไม่สนใจความจริง พวกเขาแค่ชอบสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับผู้นำและคนทำงาน ตลอดจนรายละเอียดของพี่น้องชายหญิงบางคนไปทั่ว  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแต่ยังไม่เข้าใจความจริงมากนัก—ทว่าพวกเขากลับรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของผู้นำและคนทำงาน รวมทั้งครอบครัวของพี่น้องชายหญิงไว้ได้ไม่น้อยเลย  ไม่ว่าจะเอ่ยถึงพี่น้องชายหญิงคนใด พวกเขาก็สามารถแบ่งปันรายละเอียดบางอย่างของคนเหล่านั้นได้ ซึ่งคนอื่นๆ พบว่าน่าตกใจมากทีเดียว  แม้พวกเขาจะไม่ใช่ผู้นำหรือคนทำงาน แต่พวกเขากลับกระตือรือร้นที่จะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องภายในบางอย่างของคริสตจักรอยู่เสมอ เช่น งานด้านการบริหารจัดการ หัวหน้าของโครงสร้างต่างๆ และงานบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภายนอก  พวกเขาหมั่นถามอยู่บ่อยๆ ว่าใครไปทำหน้าที่ของตนที่ไหนและไปเมื่อไร ใครได้เลื่อนตำแหน่ง ใครถูกปลด และงานของคริสตจักรในบางแง่มุมกำลังดำเนินไปอย่างไร  หลังจากสอบถามถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็แพร่กระจายข้อมูลไปทั่ว  ที่น่ารังเกียจยิ่งไปกว่านั้นก็คือบางคนถึงกับจดข้อมูลที่รวบรวมไว้หลังจากที่ได้สอบถามมา  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีสิ่งจูงใจแอบแฝงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เวลาจดบันทึกเรื่องของตนเองในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง พวกเขารู้จักใช้รหัสหรือภาษาลับ แต่เวลาจดบันทึกข้อมูลของผู้อื่น พวกเขากลับไม่ใช้วิธีการที่แสดงถึงสติปัญญาแม้แต่น้อย แต่กลับจดชื่อจริง รูปพรรณสัณฐาน อายุ หมายเลขโทรศัพท์ และรายละเอียดอื่นๆ ของพี่น้องชายหญิง  นั่นคือพวกเขากำลังตั้งใจทรยศมิใช่หรือ?  พวกเขามีเจตนาร้าย และตั้งใจที่จะทรยศจริงๆ  เมื่อมีบางสิ่งที่เป็นอันตรายเกิดขึ้นและตำรวจยึดข้อมูลที่พวกเขาได้บันทึกไว้ ตำรวจเพียงแค่ข่มขู่และคุกคามพวกเขาโดยไม่ต้องถึงกับใช้การทรมานด้วยซ้ำ พวกเขาก็สารภาพทุกอย่างออกมาอย่างละเอียดทันทีโดยไม่ปิดบังอะไรเลย  สำหรับเรื่องที่พวกเขาลืมไปแล้ว พวกเขาก็ยังเค้นสมองทวนความจำ และทันทีที่นึกอะไรออก พวกเขาจะรีบบอกตำรวจทันที  พวกเขายังถึงกับนำตำรวจไปที่บ้านของพี่น้องชายหญิง ไปที่บ้านของผู้นำและคนทำงาน รวมถึงที่พักของผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญๆ เพื่อให้คนเหล่านั้นถูกจับกุม  พวกเจ้าไม่คิดหรือว่าผู้คนประเภทนี้เลวทรามอย่างที่สุด?  (คิด)  ก่อนที่พวกเขาจะขายคนอื่นเพื่อประโยชน์ส่วนตน พฤติกรรมของพวกเขาดูไม่เหมือนคนชั่ว และยิ่งไม่เหมือนศัตรูของพระคริสต์—อาจเป็นเพียงการสำแดงของมนุษย์ที่เสื่อมทรามธรรมดาคนหนึ่ง—แต่เมื่อถูกจับกุม พวกเขาก็พร้อมที่จะขายพี่น้องชายหญิงคนใดก็ได้เพื่อประโยชน์ส่วนตนในทันที  เพียงแค่การสำแดงข้อเดียวนี้ก็ทำให้พวกเขาเลวทรามยิ่งกว่าคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์แล้ว  ไม่ใช่ว่าพวกเขาจำใจต้องเปิดเผยข้อมูลที่ไม่มีนัยสำคัญเพียงเล็กน้อยภายใต้การบีบบังคับ การทรมาน และการข่มเหงอย่างรุนแรงเพราะเนื้อหนังของพวกเขาอ่อนแอเกินไปและทนไม่ไหวอีกต่อไป  ทว่าพวกเขากลับเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่ตนรู้อย่างกระตือรือร้นและไม่ระมัดระวัง โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง และยิ่งไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรเลย  ช่างเลวทรามเป็นที่สุด!  นี่คือการสำแดงประการหนึ่งของคนประเภทที่เป็นยูดาส

ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่จ้องจะรายงานคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงเมื่อถูกยั่วยุเพียงเล็กน้อย  ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขาเผชิญกับความวิบัติทางธรรมชาติ ความเจ็บป่วย หรือการถูกลักขโมย พวกเขาก็พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าและยังบ่นด้วยว่าพี่น้องชายหญิงไร้ความรักและไม่ช่วยพวกเขาแก้ปัญหา  เรื่องนี้ทำให้พวกเขาอยากจะหักหลังคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตน  บางคนกระทำผิดโดยไม่ยั้งคิดและถูกตัดแต่ง อีกทั้งพี่น้องชายหญิงก็ตีตัวออกหากจากพวกเขา เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพระนิเวศของพระเจ้าไร้ความรัก พวกเขาจึงโพล่งออกมาว่า “พวกคุณทุกคนไม่ชอบฉันแล้วไม่ใช่หรือ?  พวกคุณทุกคนดูถูกฉันไม่ใช่หรือ?  แล้วฉันยังสามารถได้รับพรจากการเชื่อในพระเจ้าได้จริงๆ หรือ?  ถ้าฉันไม่ได้รับพร ฉันจะรายงานพวกคุณทุกคน!”  นี่คือประโยคที่ “คลาสสิก” ที่สุดของคนพวกนี้  ทำไมเราถึงบอกว่าคำพูดที่ว่า—“ถ้าฉันไม่ได้รับพร ฉันจะรายงานพวกคุณทุกคน”—เป็นคำพูดที่ “คลาสสิก” สำหรับพวกเขา?  นั่นเป็นเพราะคำกล่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  วลีนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาพูดเพียงเพื่อระบายความเกลียดชังของตนหลังจากเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจมามากมาย หรือเพราะความขุ่นเคืองที่ฝังลึก และไม่ใช่การระเบิดอารมณ์ชั่ววูบ  แต่ทว่านี่คือสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจและพร้อมจะถูกเผยออกมาได้ทุกเมื่อ  นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเขามานานและพร้อมจะปะทุออกมาได้ทุกขณะ  นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเสื่อมถอยถึงเพียงนี้—หากใครมากระตุ้นหรือทำร้ายพวกเขา พวกเขาก็พร้อมที่จะหักหลังคนคนนั้นเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้ทุกเมื่อ  ขณะที่ทำหน้าที่ หากพวกเขาละเมิดการจัดการเตรียมงานหรือหลักธรรม และถูกผู้นำและคนทำงานหรือพี่น้องชายหญิงตัดแต่งเล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มขุ่นเคือง โกรธ และไม่พอใจ จากนั้นก็พูดสิ่งต่างๆ อย่างเช่น “ฉันจะรายงานพวกคุณ!  ฉันรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน ฉันรู้ทั้งชื่อและนามสกุลของคุณ!”  หากเจ้าไม่เอาใจคนประเภทนี้ พวกเขาก็อาจจะหักหลังเจ้าเพื่อประโยชน์ส่วนตนจริงๆ ก็ได้  พวกเขาไม่ได้พยายามทำให้ใครกลัว และไม่ได้พูดตามอารมณ์ชั่ววูบ หากมีใครล่วงเกินหรือทำให้พวกเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็พร้อมเต็มที่ที่จะทรยศคนคนนั้นเพื่อประโยชน์ส่วนตน  บางคนกล่าวว่า “จะกลัวพวกเขาทำไม?”  ไม่ใช่ว่าพวกเรากลัวพวกเขาหรอก  หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยและมีเสรีภาพ พวกเราก็คงไม่กลัวการทรยศของพวกเขา  แต่ในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง หากพวกเขาทำการทรยศขึ้นมาจริงๆ ก็อาจสร้างปัญหาให้กับพี่น้องชายหญิงและส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรได้  หากพี่น้องชายหญิงถูกจับกุมจริงๆ พญานาคใหญ่สีแดงก็จะทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่  เมื่อพวกเขาพบช่องโหว่ พวกเขาจะจับกุมผู้คนอย่างไม่หยุดหย่อน  ในกรณีนั้น ชีวิตคริสตจักรของผู้คนจำนวนมากจะได้รับผลกระทบ และการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของผู้คนจำนวนมากก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน  ผลสืบเนื่องเหล่านี้ร้ายแรงทีเดียวไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้!  คนประเภทนี้มักแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่เสมอเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น  หากมีใครพูดบางอย่างที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจ หรือเปิดโปงปัญหาของพวกเขาและทำให้พวกเขาโกรธ พวกเขาก็จะหงุดหงิดกับคนคนนั้นและอาจถึงขั้นไม่ยอมพูดด้วยเป็นเวลาหลายวัน และเมื่อเจ้าไปหาและขอให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาก็ไม่เพิกเฉยคำขอนั้น  จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้ากับคนประเภทนี้  พวกเขาเป็นคนชั่วไม่ใช่หรือ?  ในกลุ่มของผู้คน เจ้ามักจะได้ยินคนชั่วพูดในทำนองที่ว่า “ถ้าใครขัดขวางฉัน ฉันจะไม่ปล่อยมือจากเรื่องนี้!  ฉันรู้หมดแล้วว่าพวกคุณอยู่ที่ไหน ฉันรู้แม้กระทั่งสีของผ้าม่านที่หน้าต่างของพวกคุณ  ฉันรู้ดีว่าพวกคุณชุมนุมกันที่ไหน และบรรดาผู้นำและคนทำงานอยู่ที่ไหน!”  พวกเจ้าจะบอกหรือไม่ว่าคนประเภทนี้เป็นบุคคลอันตราย?  (บอก)  พวกเขาคือยูดาสโดยสมบูรณ์  แม้กระทั่งในยามที่ทุกสิ่งเป็นปกติ พวกเขาอาจจะยังคงพยายามอย่างยิ่งที่จะทำการทรยศ  และหากมีเหตุร้ายบางอย่างเกิดขึ้น พวกเขาจะเป็นคนแรกที่กระโดดออกมาและกลายเป็นยูดาส  เพราะฉะนั้น หากพบคนประเภทนี้ในคริสตจักร ก็ควรขับไล่และเอาตัวออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  คนประเภทนี้มีการสำแดงอื่นใดอีกบ้าง?  ตัวอย่างเช่น ระหว่างการชุมนุม เนื่องจากพี่น้องชายหญิงพบกันเป็นประจำอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทักทายกันตามธรรมเนียม  เมื่อถึงเวลา พวกเขาก็เริ่มการชุมนุม อ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริง  แต่พวกที่เจ้าอารมณ์กลับโกรธเมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจหรือทักทายตน  พวกเขาพูดโพล่งออกมาว่า “พวกคุณทุกคนดูถูกฉันใช่ไหม?  ฮึ!  พวกคุณไม่มีใครต้อนรับฉันเลย—เอาละ ไม่เป็นไร ฉันมีวิธีจัดการกับพวกคุณ  ฉันรู้ว่าผู้นำคริสตจักรอยู่ที่ไหน ฉันรู้ว่าพวกคุณคนไหนทำหน้าที่อะไรอยู่ที่ไหน ฉันรู้ว่าใครเป็นเจ้าภาพรับรองผู้นำและคนทำงาน ใครปกป้องของถวาย ใครจัดการเรื่องพิมพ์หนังสือ และใครรับผิดชอบการขนส่งหนังสือ  ฉันจะรายงานพวกคุณทุกคน!  ฉันจะรายงานตำรวจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคริสตจักร!”  หากผู้คนปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพอย่างสูง ทุกอย่างก็ราบรื่น  แต่ทันทีที่มีใครกระตุ้นหรือยั่วยุพวกเขา ก็จะกลายเป็นปัญหา—พวกเขาจะหาทางแก้แค้นและทรยศ  เมื่อใดก็ตามที่เผชิญกับบางสิ่งที่ทำให้ไม่พอใจหรือขุ่นเคืองใจ พวกเขาก็จะข่มขู่พี่น้องชายหญิงและผู้นำคริสตจักรอย่างรุนแรง  พวกเจ้าจะบอกว่าคนประเภทนี้น่ากลัวและอันตรายหรือไม่?  (พวกเขาอันตราย)  คนประเภทนี้คือยูดาสที่พร้อมจะทำการทรยศได้ทุกเมื่อ  พวกเขาคือบุคคลอันตราย

ยังมีการสำแดงอีกประการหนึ่งของคนที่พร้อมจะทรยศได้ทุกเมื่อ  ตัวอย่างเช่น ในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง จำนวนคริสตจักรที่ก่อตั้งขึ้นในจังหวัดและเมืองต่างๆ จำนวนผู้คนที่เป็นของแต่ละคริสตจักร ใครคือผู้นำ และคริสตจักรทำงานอะไร—สิ่งเหล่านี้ต้องถูกเก็บเป็นความลับอย่างเคร่งครัด  แม้แต่สมาชิกครอบครัวและญาติที่ไม่เชื่อก็ต้องระมัดระวัง และข้อมูลนี้ต้องไม่รั่วไหลออกไปเป็นอันขาดเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับคริสตจักรในอนาคต  อย่างไรก็ตาม บุคคลอันตรายที่เก็บงำแรงจูงใจแอบแฝงเหล่านี้กลับพยายามสอบถามเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ  หากพี่น้องชายหญิงปฏิเสธที่จะบอกพวกเขา พวกเขาก็จะรู้สึกว่า “ทำไมพวกคุณรู้เรื่องพวกนี้กันหมดทุกคน ในขณะที่มีแต่ฉันคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลย?  ทำไมถึงไม่บอกฉัน?  พวกคุณปฏิบัติต่อฉันเหมือนคนนอก ไม่ใช่หนึ่งในบรรดาพี่น้องชายหญิงใช่หรือไม่?  เช่นนั้นก็ได้ ฉันจะรายงานพวกคุณ!”  เจ้าเห็นไหมว่า ไม่ว่าในสถานการณ์ใด พวกเขาก็พร้อมที่จะรายงานคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง  ไม่มีใครล่วงเกินพวกเขาเลย แต่ความไม่พอใจเพียงเล็กน้อยก็กระตุ้นให้พวกเขาอยากรายงานคริสตจักรแล้ว  ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการแจกจ่ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้าให้แก่พี่น้องชายหญิง ทุกคนต่างก็กระตือรือร้นที่จะดูว่าในหนังสือมีพระวจนะของพระเจ้ากี่บท มีกี่หน้า และคุณภาพการพิมพ์เป็นอย่างไร  พวกเขาทุกคนมีความสุขและตื่นเต้นที่ได้ถือหนังสือไว้ในมือ  แต่คนประเภทที่เป็นยูดาสกลับคิดไปอีกทางว่า “หนังสือเล่มนี้พิมพ์ที่ไหน?  ค่าพิมพ์เล่มละเท่าไร?  ใครรับผิดชอบเรื่องการพิมพ์?  หลังจากพิมพ์แล้วใครจัดการเรื่องการขนส่ง?  หนังสือพวกนี้ส่งมาที่คริสตจักรของเราอย่างไร?  หนังสือถูกเก็บไว้ที่ไหน?  ใครเป็นผู้รับผิดชอบในการปกป้องหนังสือเหล่านี้?”  หัวข้อเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนโดยเนื้อแท้  โดยทั่วไปแล้ว บรรดาผู้ที่มีเหตุผลและมีความเป็นมนุษย์จะไม่สอบถามเรื่องเหล่านี้ แต่บุคคลอันตรายที่พร้อมจะทรยศเหล่านี้กลับกระตือรือร้นที่จะสอบถามเรื่องเหล่านี้  แล้วเจ้าคิดอย่างไร—เมื่อพวกเขาเอาแต่ถามถึงเรื่องเหล่านี้ เจ้าควรบอกพวกเขาหรือไม่?  (พวกเราไม่ควรบอกพวกเขา)  หากเจ้าบอกพวกเขา พวกเขาก็พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลนี้และทำการทรยศ  และหากเจ้าไม่บอก พวกเขาก็จะพูดทำนองที่ว่า “ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้?  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เป็นธรรม!  ฉันเป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศพระเจ้า ฉันมีสิทธิ์ที่จะได้รับรู้ทุกเรื่อง!  พวกคุณปฏิบัติต่อฉันเหมือนคนนอก  ไม่เป็นไร ฉันจะรายงานพวกคุณ!”  เป็นอีกครั้งที่พวกเขาต้องการรายงานคริสตจักร  พวกเขาไม่ใช่คนชั่วหรอกหรือ?  หากพวกเขารายงานคริสตจักรต่อตำรวจจริงๆ จะนำมาซึ่งผลสืบเนื่องใดบ้าง?  พี่น้องชายหญิงจะเผชิญอันตรายถึงชีวิตหากถูกจับกุมมิใช่หรือ?  ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากตำรวจทำการจับกุม ก็จะก่อให้เกิดความลำบากยากเย็นอย่างมากแก่พี่น้องชายหญิงและงานของคริสตจักร  นอกจากนี้ยังจะส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในระดับต่างๆ อีกด้วย—บรรดาผู้ที่ไม่รู้วิธีแสวงหาความจริงอาจกลายเป็นคนคิดลบ และอาจถึงขั้นเลิกเข้าร่วมการชุมนุมไปเลยก็ได้  พวกเขาไม่คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้เลย  แล้วพวกเขามีมโนธรรมและสำนึกหรือไม่?  ไม่ว่าคริสตจักรกำลังทำงานอะไรอยู่ พวกเขาก็อยากรู้ก่อนเสมอ  พวกเขามีความสุขก็ต่อเมื่อได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคริสตจักร  หากมีแม้แต่เรื่องเดียวที่พวกเขาไม่ได้รับการบอกกล่าว พวกเขาย่อมไม่อาจปล่อยผ่านไปได้และอยากจะไปรายงานคริสตจักร ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความเดือดร้อนครั้งใหญ่ได้  คนที่เป็นเช่นนี้คือคนชั่วร้ายประเภทใด?  พวกเขาคือมาร!  หากมารคอยใส่ใจกับเรื่องบางอย่างในคริสตจักรอยู่เสมอ นั่นย่อมจะก่อให้เกิดปัญหาอย่างแน่นอน  ตัวอย่างเช่น หากมีพี่น้องชายหญิงบางคนที่มีฐานะดีและถวายของถวายจำนวนมาก พวกเขาก็ไม่เคยหยุดคิดถึงเรื่องนี้และถามพี่น้องชายหญิงว่า “คุณถวายไปเท่าไร?”  อีกฝ่ายตอบว่า “ฉันจะบอกคุณได้อย่างไร?  มือซ้ายทำอะไร มือขวาก็ไม่ควรรู้  ฉันบอกคุณไม่ได้หรอก—นี่เป็นความลับ!”  พวกเขาจึงตอบว่า “แม้แต่เรื่องนั้นก็เป็นความลับหรือ?  คุณไม่ไว้ใจฉัน  คุณไม่ได้ปฏิบัติต่อฉันในฐานะหนึ่งในบรรดาพี่น้องชายหญิง!”  พวกเขาขุ่นเคืองอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในหัวใจและคิดว่า “ฮึ คุณคิดว่าตัวเองดีมากนักหรือที่ถวายของถวายมากมาย?  คุณไม่ยอมบอกฉันว่าคุณถวายไปเท่าไร  ฉันรู้ว่าครอบครัวของคุณทำธุรกิจ  หากคุณยั่วให้ฉันโมโห ฉันจะรายงานคุณว่าคุณเชื่อในพระเจ้า แล้วธุรกิจของคุณก็จะล้มเหลว!  จากนี้คุณก็จะถวายไม่ได้แม้แต่สตางค์เดียว!”  เจ้าเห็นหรือไม่ว่า พวกเขาต้องการรายงานผู้คนอีกแล้ว  เมื่อใดก็ตามที่มีเรื่องเล็กน้อยซึ่งพวกเขาไม่ได้รับการบอกกล่าว พวกเขาก็ต้องการรายงานคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง  มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ที่อยู่ของบุคคลบางคนที่ปฏิบัติหน้าที่สำคัญๆ  นี่ไม่ใช่การจงใจซ่อนเร้นอะไรจากใคร หรือทำอะไรลับๆ ล่อๆ ลับหลังคนอื่น แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมนั้นอันตรายเกินไป และด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย การจัดการเตรียมงานเช่นนี้จึงจำเป็น  เมื่อคนทรยศที่เป็นยูดาสคนนี้ได้ยินว่าครอบครัวหนึ่งเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงที่กำลังเดินทางบางคน พวกเขาก็คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การรายงาน—บางทีตำรวจอาจจะให้รางวัลพวกเขาด้วยซ้ำ!  พวกเขาแอบซุ่มดักฟังอยู่หลังประตู และหลังจากได้ยินอะไรบางอย่าง พวกเขาก็โกรธขึ้นมาว่า “พวกคุณกำลังหารือเรื่องคริสตจักรลับหลังฉันโดยไม่บอกฉัน  พวกคุณกลัวว่าฉันจะหักหลังพวกคุณ ก็เลยระวังตัวและปิดบังเรื่องต่างๆ จากฉัน ไม่ปฏิบัติต่อฉันในฐานะส่วนหนึ่งของพระนิเวศพระเจ้า  ไม่เป็นไร ฉันจะรายงานพวกคุณ!”  เห็นไหม นี่ก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาอยากจะรายงานผู้อื่น  เจ้าจะพูดได้ไหมว่าคนผู้นี้เป็นปัญหาใหญ่?  (ได้)  พวกเขาเชื่อว่าทุกสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องชายหญิงหรือคริสตจักรควรเป็นที่รับรู้ของทุกคน และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับแจ้ง—โดยเฉพาะพวกเขาเอง  หากมีแม้เพียงเรื่องเดียวที่พวกเขาไม่ได้รับการบอกกล่าว พวกเขาก็ข่มขู่ว่าจะรายงานผู้คน  พวกเขาใช้การรายงานเป็นเครื่องมือข่มขู่พี่น้องชายหญิงและผู้นำคริสตจักรอยู่ตลอดเวลา โดยใช้มันเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเองเสมอ  คนเช่นนี้เป็นภัยซ่อนเร้นที่ร้ายแรงในคริสตจักร เป็นระเบิดเวลาลูกหนึ่ง  พวกเขาสามารถนำอันตรายและความวิบัติมาสู่พี่น้องชายหญิงและงานของคริสตจักรเมื่อใดก็ได้  เมื่อพบบุคคลเช่นนี้ ก็ควรเอาตัวพวกเขาออกไป—ต้องไม่ปล่อยปละละเลยพวกเขา

ในคริสตจักร  ก็ยังมีคนบางประเภทที่เป็นพวกยูดาส และพวกเขาพยายามสอบถามอยู่เสมอว่าพระนิเวศพระเจ้ามีเงินเท่าไรและใครในคริสตจักรที่ถวายมากที่สุด  คนอื่นๆ บอกพวกเขาว่า “เรื่องนี้บอกคุณไม่ได้  การรู้ไปก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคุณ และนอกจากนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณควรจะสอบถาม”  หลังจากได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็กลายเป็นปฏิปักษ์และกล่าวว่า “พวกคุณทุกคนกำลังตั้งป้อมระวังตัวกับฉัน ดูถูกฉัน ไม่ปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นหนึ่งในบรรดาพี่น้องชายหญิง พวกคุณปฏิบัติต่อฉันเหมือนคนนอก  ฉันรู้ว่าเงินของคริสตจักรถูกเก็บรักษาไว้ในบ้านของใคร  ฉันจะรายงานพวกคุณ และให้ตำรวจยึดทรัพย์ให้หมด—เมื่อนั้นฉันก็จะรู้ว่ามีเงินเท่าไร!”  เมื่อใดก็ตามที่มีบางสิ่งเกิดขึ้น พวกเขาต้องการที่จะรายงานผู้อื่นหรือขายผู้อื่นเพื่อประโยชน์ส่วนตน มีเพียงตอนที่เป็นเรื่องการก่อกวนที่เกิดจากผู้นำเทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ และคนชั่วในคริสตจักรเท่านั้นที่พวกเขาไม่เคยรายงานอะไรเลย  หรือแม้แต่เมื่อพวกเขาเห็นผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ขโมยหรือฉกฉวยของถวาย พวกเขาก็ไม่เคยเปิดโปงหรือรายงานการกระทำเหล่านี้ และพวกเขาก็ไม่แจ้งให้พระนิเวศพระเจ้าทราบ  พวกเขาไม่ใส่ใจในเรื่องราวดังกล่าว  แต่ถ้ามีพี่น้องชายหญิงคนใดมายั่วยุ ล่วงเกิน หรือดูแคลนพวกเขา พวกเขาก็จะไปรายงานพี่น้องชายหญิงเหล่านั้น  หรือถ้าการจัดเตรียมงานบางอย่างของพระนิเวศพระเจ้าไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกอับอายหรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก พวกเขาก็เริ่มคิดว่า “ฉันจะรายงานคุณ!  ฉันจะทำให้แน่ใจว่าคุณพ้นจากตำแหน่งผู้นำคริสตจักร ฉันจะทำให้แน่ใจว่างานของคริสตจักรล้มเหลว ฉันจะทำให้แน่ใจว่าคริสตจักรล่มสลาย!”  เห็นหรือไม่?  พวกเขายังต้องการรายงานผู้นำคริสตจักรแม้จะเป็นเพราะเรื่องนี้  ในบางคริสตจักร มีการเลือกคนหลายคนที่เหมาะสมสำหรับทำหน้าที่ในต่างประเทศ—สภาพการณ์ของครอบครัวและสภาพการณ์ส่วนตัวของพวกเขาเอื้ออำนวย พวกเขาเป็นไปตามข้อกำหนดของพระนิเวศพระเจ้า และพี่น้องชายหญิงทุกคนก็เห็นด้วย  เมื่อบรรดาคนเหล่านั้นที่เป็นพวกยูดาสเห็นเช่นนี้ พวกเขาก็คิดว่า “เรื่องดีๆ เช่นนี้ไม่เคยเกิดกับฉันเลย  ฉันควรขะรายงานพวกคุณ!  ฉันจะบอกตำรวจว่าคนบางคนในคริสตจักรของพวกเรากำลังจะไปต่างประเทศเพื่อทำหน้าที่ของพวกเขา  ฉันจะทำให้พวกคุณไม่สามารถออกจากประเทศได้  ฉันจะให้พญานาคใหญ่สีแดงจับกุมพวกคุณ หรือให้รัฐบาลจับตาดูพวกคุณ เพื่อให้พวกคุณไม่สามารถกลับบ้านของตนเองได้!”  ตราบใดที่พี่น้องชายหญิงไม่สามารถไปต่างประเทศได้ พวกเขาก็รู้สึกพอใจ  พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร—ธรรมชาติของการกระทำของผู้คนดังกล่าวร้ายแรงกว่าธรรมชาติของบรรดาผู้ที่ขัดขวางและก่อกวนเป็นครั้งคราวมิใช่หรือ?  (ใช่)  คนประเภทนี้เป็นปัญหาใหญ่  พวกเขาไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และพวกเขาไม่กลัวพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  ไม่ว่าสถานการณ์หรือเหตุผลจะเป็นเช่นไร ตราบใดที่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่พวกเขาปรารถนา พวกเขาก็ต้องการรายงานคริสตจักรและขายพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตน—พวกเขาคือมาร!  เมื่อคริสตจักรค้นพบคนเช่นนี้ พวกเขาควรถูกเอาตัวออกไปหรือขับไล่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต  หากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยให้ทำเช่นนี้หรือภาวะยังไม่เหมาะสม เช่นนั้นแล้วก็ต้องติดตาม กำกับดูแล และตั้งป้อมระวังพวกเขาอย่างเข้มงวด  เมื่อภาวะเอื้ออำนวย บุคคลอันตรายเช่นนี้ต้องไม่ได้รับการยอมรับ—จงเอาตัวพวกเขาออกไปหรือขับไล่พวกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ที่สุดและโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  จงอย่ารอจนกว่าพวกเขาจะขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตนและก่อให้เกิดผลเสียที่ตามมาแล้วจึงค่อยดำเนินการ  เมื่อพวกเขาทำเช่นนั้นและการกระทำนี้นำไปสู่ผลเสียที่ตามมาจริงๆ ความสูญเสียก็จะมากมายมหาศาล  ใครจะรู้ว่ามีพี่น้องชายหญิงกี่คนที่จะต้องไร้บ้านให้กลับไป หรือแม้กระทั่งถูกจับกุมและจำคุก  พี่น้องชายหญิงหลายคนอาจไม่สามารถทำหน้าที่ของตนหรือดำเนินชีวิตคริสตจักรได้อีกต่อไป  ผลเสียที่ตามมาจะเกินกว่าที่จะจินตนาการได้  ดังนั้น ในฐานะผู้นำและคนทำงาน หากเจ้าค้นพบคนที่เป็นพวกยูดาสในคริสตจักร เจ้าต้องเอาตัวพวกเขาออกไปหรือขับไล่พวกเขาอย่างทันท่วงที  ในฐานะหนึ่งในบรรดาพี่น้องชายหญิง หาก เจ้าค้นพบคนเช่นนี้ เจ้าต้องรายงานพวกเขาต่อผู้นำและคนทำงานของคริสตจักรโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร เช่นเดียวกับความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง  จงอย่าคิดว่า “พวกเขายังไม่ได้ทรยศจริงๆ เลย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ พวกเขาแค่พูดออกมาด้วยความโมโหชั่ววูบ”  ทุกคนก็โมโหกันทั้งนั้น—เวลาที่โกรธ อย่างมากบางคนอาจจะพูดคำที่รุนแรงไม่กี่คำ แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย หรือคิดลบอยู่สองวัน แต่ตราบใดที่พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า กลัวพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตน และมีมโนธรรมและสำนึกอยู่บ้าง ตลอดจนมีขอบเขตพื้นฐานในการประพฤติปฏิบัติตน พวกเขาก็จะไม่มีวันทำสิ่งที่สร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  อย่างไรก็ตาม สำหรับบรรดาผู้ที่เป็นยูดาสตามธรรมชาตินั้นแตกต่างออกไป  พวกเขาสามารถรายงานคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงได้ทันทีโดยไม่ลังเล และต้องการใช้กองกำลังของซาตานในการข่มขู่พี่น้องชายหญิงและคริสตจักรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนอยู่เสมอ  คนเหล่านี้เป็นพวกเดียวกับพวกปีศาจชั่ว—พวกเขาไม่มีขอบเขตพื้นฐานเมื่อเป็นเรื่องของการประพฤติปฏิบัติตน  ดังนั้น ทั้งผู้นำคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงต้องระแวดระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่สามารถรายงานคริสตจักรได้ทันทีโดยไม่ลังเล  หากใครก็ตามค้นพบคนประเภทนี้ที่ไม่มีสำนึกและจงใจสร้างปัญหา และไม่ยอมมีสำนึก พวกเขาควรรายงานคนเหล่านั้นต่อผู้นำและคนทำงานทันที แล้วจึงสังเกตการณ์และกำกับดูแลคนเหล่านั้น  หากผู้นำคริสตจักรค้นพบคนเช่นนี้ พวกเขาควรวางแผนเพื่อจัดการและแก้ไขสถานการณ์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  พวกเขาต้องคุ้มครองพี่น้องชายหญิง และคุ้มครองชีวิตคริสตจักรและงานของคริสตจักรจากการถูกทำลายและก่อกวนโดยบุคคลดังกล่าว  จงอย่าทึกทักเอาว่าเมื่อคนเช่นนี้กล่าวว่าพวกเขาจะรายงานคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิง นั่นเป็นเพียงสิ่งที่พูดออกมาเมื่อมีความโมโหชั่ววูบ แล้วจึงลดการป้องกันลง  ตามความเป็นจริงแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาพูดเรื่องเช่นนี้บ่อยๆ ย่อมพิสูจน์ว่าแนวคิดนี้อยู่ในใจของพวกเขาแล้ว  หากพวกเขาคิดเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถกระทำตามความคิดนั้นได้  บางครั้ง หลังจากพูดว่า “ฉันจะรายงานคุณ” พวกเขาอาจไม่ได้ทำตามนั้น แต่ใครจะรู้ว่าวันดีคืนดีพวกเขาอาจจะลงมือทำจริงๆ ก็ได้  เมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น ผลเสียที่ตามมาจะเกินกว่าที่จะจินตนาการได้  ดังนั้น หากเจ้ายังคงปฏิบัติต่อคำพูดของพวกเขาที่ว่า “ฉันจะรายงานคุณ” ราวกับเป็นเพียงสิ่งที่พูดออกมาด้วยความโมโห เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังเป็นคนไม่รู้ความและโง่เขลา  เจ้าไม่สามารถมองให้ทะลุถึงธาตุแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาผ่านคำพูดเหล่านี้ และนี่คือความผิดพลาด  พวกเขาสามารถพูดว่า “ฉันจะรายงานคุณ” เพื่อข่มขู่ผู้อื่นได้ทันทีโดยไม่ลังเล—นี่ไม่ใช่คำพูดด้วยความโมโหธรรมดาๆ อย่างแน่นอน นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีธรรมชาติของยูดาสและพวกเขาไม่มีขอบเขตพื้นฐานเมื่อเป็นเรื่องของการประพฤติปฏิบัติตน  ใครบางคนที่ไม่มีขอบเขตพื้นฐานในการประพฤติปฏิบัติตนนั้นเป็นคนเลวประเภทใดกันแน่?  เป็นประเภทที่ไร้มโนธรรมและไร้เหตุผล  เมื่อไร้มโนธรรม พวกเขาก็สามารถทำชั่วใดๆ ก็ได้ และเมื่อไร้เหตุผล พวกเขาก็สามารถกระทำการเกินขอบเขตของความมีเหตุผล ทำเรื่องโง่ๆ ได้สารพัด  เป็นไปได้ว่าหลังจากที่รายงานคริสตจักรและเห็นพี่น้องชายหญิงถูกจับกุมและงานของคริสตจักรได้รับความเสียหาย พวกเขาอาจจะหลั่งน้ำตาและแสดงความเสียใจ  แต่คนประเภทนี้ที่ไม่มีสำนึกและจงใจสร้างปัญหานั้นกระทำการโดยไร้ซึ่งความมีเหตุผล เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายกันในอนาคต พวกเขาก็จะยังคงรายงานคริสตจักรอยู่ดี  นี่ไม่ได้บ่งชี้ถึงปัญหาในธรรมชาติของพวกเขาหรอกหรือ?  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาอย่างแน่นอน  ผู้นำคริสตจักรบางคนยังคงเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาพูดเป็นเพียงสิ่งที่พูดออกมาด้วยความโมโหชั่ววูบ และธรรมชาติของพวกเขาก็ไม่ได้เลวร้าย  พวกเขาคิดว่านี่ไม่ใช่การเผยให้เห็นความเป็นมนุษย์ตามธรรมชาติของพวกเขาและไม่ได้เป็นตัวแทนของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  มุมมองนี้ผิดหรือไม่?  (ผิด)  ต่อให้โดยปกติแล้วพวกเขาไม่ได้แสดงพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงลักษณะนิสัยที่เลวทราม แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามักจะพูดว่าพวกเขาจะรายงานพี่น้องชายหญิง และการที่เรื่องเล็กน้อยที่สุดที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจสามารถส่งผลให้พวกเขาคิดถึงการรายงานพี่น้องชายหญิงได้ ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าลักษณะนิสัยของพวกเขานั้นต่ำช้าและเลวทราม และเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้เลย  คนเช่นนี้ไม่มีมโนธรรมหรือสำนึก  พวกเขาประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ ทำสิ่งใดก็ตามที่ตนต้องการตามผลประโยชน์และความชอบของตนเอง โดยไม่มีขอบเขตของมโนธรรมใดๆ ทั้งสิ้น  คนเช่นนี้ควรถูกจัดการโดยการเอาตัวออกไป และไม่จำเป็นต้องแสดงความปรานีให้แก่พวกเขา เพราะพวกเขาไม่ใช่เด็ก พวกเขาเป็นผู้ใหญ่และควรจะรู้ผลเสียที่ตามมาของการรายงานพี่น้องชายหญิงและคริสตจักร  พวกเขาทราบดีว่านี่คือวิธีการที่โหดเหี้ยมที่สุด เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุด  พวกเขามองว่ามันเป็นไพ่ตายของพวกเขา เป็นหนทางสูงสุดในการแก้แค้นพี่น้องชายหญิงและคริสตจักร  จงบอกเรามาว่า คนเช่นนี้ไม่ใช่มารชั่วหรอกหรือ?  (ใช่)  แล้วเหตุใดจึงต้องแสดงความปรานีพวกมารชั่ว?  เจ้าต้องรอจนกว่าเจ้าจะเห็นพวกเขาชี้ตัวพี่น้องชายหญิงและครอบครัวเจ้าภาพต่อหน้าพญานาคใหญ่สีแดงอย่างเปิดเผยก่อนที่เจ้าจะยอมรับว่าพวกเขาเป็นพวกยูดาสอย่างนั้นหรือ?  กว่าเจ้าจะเห็นข้อเท็จจริงเหล่านี้และระบุลักษณะของพวกเขา มันก็จะสายเกินไปเสียแล้ว  ตามความเป็นจริงนั้น ทันทีที่พวกเขาเริ่มโวยวายว่าจะรายงานคริสตจักรเมื่อประสบกับปัญหาบางอย่าง แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาก็ถูกเปิดโปงแล้ว  จงอย่ารอจนกว่าพวกเขาจะลงมือทำแล้วจึงแยกแยะและเอาตัวพวกเขาออกไป—นั่นจะสายเกินไป  หากไม่มีผู้ใด—ไม่ว่าจะเป็นผู้นำคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิง—เคยได้ยินพวกเขาพูดถึงการรายงานพี่น้องชายหญิงและไม่มีใครรู้จักพวกเขาดี และเมื่อพวกเขาถูกใครบางคนยั่วยุหรือล่วงเกิน พวกเขาก็รายงานคนเหล่านั้น จนทำให้พี่น้องชายหญิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องซ่อนตัวและหลีกเลี่ยงอันตราย และบางคนที่กำลังทำหน้าที่อยู่ก็ต้องย้ายที่อย่างรวดเร็ว เช่นนั้นแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าไม่สามารถตำหนิพี่น้องชายหญิงว่าโง่เขลาและไม่สามารถมองคนให้ทะลุได้  แต่ถ้าพวกเขามักจะพูดว่าพวกเขาจะรายงานพี่น้องชายหญิงและผู้คนยังคงไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ นั่นย่อมจะเป็นเรื่องที่โง่เขลาอย่างแท้จริง  หลังจากได้ยินความจริงมามากขนาดนี้ พวกเขายังคงไม่สามารถมีวิจารณญาณแยกแยะผู้คนได้—พวกเขาเป็นคนเลอะเลือนมิใช่หรือ?  (ใช่)  สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถกลายเป็นยูดาสได้ทุกเมื่อ จงอย่าคิดว่าการทรยศของพวกเขาเกิดจากการเข้าใจความจริงเพียงเล็กน้อย หรือเป็นเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสั้นๆ หรือเนื่องจากเหตุผลอื่นๆ บางประการ  ไม่มีข้อใดเป็นสาเหตุเลย  มองที่รากเหง้าก็คือ เรื่องนี้เป็นเพราะลักษณะนิสัยของพวกเขาเลวทราม มองที่แกนกลางของพวกเขาก็คือ แก่นแท้ของพวกเขาก็คือแก่นแท้ของคนชั่ว  การใช้วิจารณญาณแยกแยะและระบุลักษณะของพวกเขาในลักษณะนี้ แล้วจึงเอาตัวพวกเขาออกไปหรือขับไล่พวกเขาในฐานะคนชั่ว จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด  การทำเช่นนี้เป็นการคุ้มครองพี่น้องชายหญิง และในขณะเดียวกันก็เป็นการคุ้มครองงานของคริสตจักรไม่ให้ได้รับความเสียหายด้วย  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานของคริสตจักร  ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานต้องตั้งป้อมระวังและกำกับดูแลคนเช่นนี้อย่างทันท่วงที แล้วพวกเขาก็ควรสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงเพื่อให้ทุกคนสามารถมีวิจารณญาณแยกแยะพวกเขาได้  พวกเขาต้องเพียรพยายามที่จะชำระคนเช่นนี้ออกไปก่อนที่อุบายของพวกเขาจะสำเร็จ เพื่อป้องกันปัญหาใดๆ ที่จะเกิดกับพี่น้องชายหญิงหรือคริสตจักร  นี่คือวิจารณญาณแยกแยะและหลักธรรมในการจัดการเรื่องต่างๆ ที่ผู้นำและคนทำงานควรมีเมื่อเผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ และเป็นหนทางที่พวกเขาควรปฏิบัติในสถานการณ์เช่นนี้  นี่ชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  แน่นอนว่า เป็นการดีที่สุดที่จะจัดการกับคนเช่นนี้ด้วยหนทางที่ฉลาด เพื่อให้แน่ใจว่าการเอาตัวพวกเขาออกไปจะไม่นำปัญหามาสู่คริสตจักรในอนาคต  หากการจัดการกับภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่หนึ่งอย่างกลับนำไปสู่ภัยคุกคามที่มากยิ่งขึ้นในภายหลัง เช่นนั้นแล้วผู้นำคริสตจักรที่ทำเช่นนี้ก็ไร้ความสามารถอย่างยิ่งและต่ำกว่ามาตรฐานอย่างมาก พวกเขาไม่รู้วิธีทำงาน และพวกเขาไร้ซึ่งปัญญา  ในทางกลับกัน หากผู้นำคริสตจักรสามารถจัดการกับภัยคุกคามที่ซ่อนเร้นโดยหลีกเลี่ยงผลเสียที่ตามมาได้ ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร และช่วยให้พี่น้องชายหญิงมีวิจารณญาณแยกแยะเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย เช่นนั้นแล้วนั่นก็คือการรู้วิธีทำงานอย่างแท้จริง  มีเพียงผู้นำหรือคนทำงานประเภทนี้เท่านั้นที่เป็นไปตามมาตรฐาน

หากผู้นำหรือคนทำงานพบเจอผู้คนที่พร้อมจะขายคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตนแต่ไม่สามารถมีวิจารณญาณแยกแยะพวกเขาได้ หรือไม่สามารถสัมผัสได้ว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ประเภทใด หรือพวกเขาอาจนำปัญหาประเภทใดมาสู่คริสตจักรและพี่น้องชายหญิงได้ โดยไม่รู้ชัดเจนถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดในหัวใจของคนเหล่านี้ และพวกเขาไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่อหรือจัดการกับคนเช่นนี้อย่างไร จะทำงานนี้อย่างไร หรือแม้กระทั่งไม่รู้ว่านี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำ—หรือต่อให้พวกเขารู้แต่ไม่เต็มใจที่จะล่วงเกินคนเช่นนี้และเพียงแค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนั้น โดยไม่เอาตัวพวกเขาออกไปหรือขับไล่พวกเขา—นั่นเป็นผู้นำหรือคนทำงานประเภทใด?  (ผู้นำเทียมเท็จ)  พวกเขาไม่เป็นไปตามมาตรฐานในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน  ประการหนึ่งคือ พวกเขาพยายามช่วยเหลือทุกคนอย่างโง่เขลา แสดงความรักและความอดทนต่อทุกคน และปฏิบัติต่อพวกเขาทุกคนในฐานะพี่น้องชายหญิง  นี่คือใครบางคนที่เป็นคนเลอะเลือน เป็นผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จ  นอกจากนี้ เมื่อพวกเขาค้นพบคนที่เป็นพวกยูดาสในคริสตจักร พวกเขาก็ไม่ทำอะไรเพื่อจัดการหรือแก้ไขปัญหานั้นอย่างทันท่วงที  แต่กลับทำเป็นมองไม่เห็น แสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นอะไรเลย  ในหัวใจ พวกเขาคิดว่า “ตราบใดที่สถานะของฉันเองไม่ถูกคุกคาม ก็ไม่เป็นไร  ฉันไม่ใส่ใจในงานของคริสตจักร ความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง หรือผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า  ตราบใดที่ฉันครองตำแหน่งนี้และได้มีประสบการณ์กับความสุขสำราญทุกวัน นั่นก็คือทุกสิ่งที่ฉันต้องการ”  พวกเขาไม่ได้ทำงานจริงใดๆ และเมื่อพวกเขาเห็นปัญหา พวกเขาก็ไม่แก้ไขปัญหา พวกเขาเพียงแค่สุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งของตน  นี่คือผู้นำเทียมเท็จใช่หรือไม่?  (ใช่)  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคนประเภทที่พร้อมจะทรยศได้ทุกเมื่อได้ทำตัวเป็นเผด็จการในคริสตจักรมาเป็นเวลานาน โดยข่มขู่ว่าจะรายงานคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงอยู่ตลอดเวลา  ผู้นำเทียมเท็จบางคนเห็นสิ่งนี้แต่ไม่ทำอะไรเลย  แม้กระทั่งในเวลาที่มีคนรายงานบุคคลนี้และผู้นำระดับที่สูงกว่าจัดการกับพวกเขาโดยการเอาตัวพวกเขาออกไป ผู้นำเทียมเท็จก็ยังคงไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้หรือคิดถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด  พวกเขาคิดว่า “ปล่อยให้พวกเขารายงานใครก็ได้ที่พวกเขาต้องการ  ตราบใดที่พวกเขาไม่รายงานฉันหรือไม่ส่งผลกระทบต่อบทบาทของฉันในฐานะผู้นำคริสตจักร ก็ไม่เป็นไร”  ผู้นำหรือคนทำงานประเภทนี้เป็นผู้นำคนทำงานที่เทียมเท็จหรือไม่?  (ใช่)  พวกเขาครองตำแหน่งของตนเพียงเพื่อสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางตำแหน่งโดยไม่ได้ทำงานจริงใดๆ สังเกตเห็นใครบางคนที่พร้อมจะขายพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้ทุกเมื่อแต่ไม่สามารถเอาตัวพวกเขาออกไปหรือขับไล่พวกเขา—พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ และควรถูกปลดออกจากบทบาทของพวกเขาทันที  หลังจากถูกปลดออกแล้ว ผู้นำเทียมเท็จบางคนก็ยังคงดื้อแพ่ง  พวกเขากล่าวว่า “พวกคุณมีสิทธิ์อะไรมาปลดฉัน?  เป็นเพียงเพราะว่าฉันไม่ได้เอาตัวคนคนนั้นออกไปอย่างนั้นหรือ?  ถ้าพวกคุณเอาตัวเขาออกไปด้วยตนเอง ประเด็นปัญหาก็คงจะยุติแล้วไม่ใช่หรือ?  นอกจากนี้ เขาเพียงแค่พูดว่าจะรายงานพี่น้องชายหญิง แต่แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ทำ  และเขาก็ไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ ให้กับคริสตจักร  จะจัดการกับเขาไปทำไม?”  พวกเขารู้สึกกระทั่งว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ไม่น้อย  พวกเขาไม่ได้ทำงานจริงใดๆ พวกเขาเพียงแค่สุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะของพวกเขา และเมื่อยูดาสที่เห็นได้ชัดเจนเช่นนี้ปรากฏตัวในคริสตจักร พวกเขาก็ไม่จัดการหรือเอาตัวคนเหล่านั้นออกไป  พี่น้องชายหญิงบางคนมีความกลัวอย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวว่า “มียูดาสอยู่ท่ามกลางพวกเรา คอยข่มขู่ว่าจะรายงานพี่น้องชายหญิงอยู่เสมอ—นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมาก!  เมื่อใดคนคนนี้จะถูกเอาตัวออกไป?”  พวกเขาบอกผู้นำคริสตจักรเกี่ยวกับประเด็นปัญหานี้หลายครั้ง แต่ผู้นำก็ไม่จัดการกับมัน แต่กลับพูดว่า “ไม่มีอะไร  เรื่องนี้เป็นเพียงข้อพิพาทส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักรหรือความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง”  พวกเขาไม่จัดการเรื่องนี้  งานอย่างเดียวที่พวกเขาทำคืออะไร?  ประเภทหนึ่งคืองานที่ผู้นำระดับสูงมอบหมายให้พวกเขา ซึ่งพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำ  อีกประเภทหนึ่งคือประเภทที่การไม่ทำงานจะส่งผลกระทบหรือเป็นอันตรายต่อสถานะของพวกเขา ซึ่งในกรณีนี้พวกเขาจะทำงานบางอย่างอย่างไม่สู้เต็มใจเพื่อให้ตนเองดูดี  แต่ถ้าสถานะของพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบ พวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงงานเมื่อใดก็ตามที่ทำได้  นี่คือผู้นำเทียมเท็จใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อมบางอย่างหรือกับการถูกจับกุมจริงๆ พวกเขาจะเป็นคนแรกที่วิ่งหาที่กำบัง โดยใส่ใจเพียงความปลอดภัยของตนเอง โดยไม่ใส่ใจว่าพี่น้องชายหญิงจะปลอดภัยหรือไม่ และพวกเขาก็ไม่ได้คุ้มครองงานของคริสตจักรหรือผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร ทั้งหมดเป็นไปเพื่อรักษาสถานะของตนเองทั้งสิ้น  ตราบใดที่เบื้องบนไม่ปลดพวกเขา และตราบใดที่ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปพี่น้องชายหญิงยังคงลงคะแนนให้พวกเขาและพวกเขาได้เป็นผู้นำต่อไป พวกเขาก็จะทำงานบางอย่างอย่างไม่สู้เต็มใจ  หากบางสิ่งที่พวกเขาทำอาจส่งผลกระทบต่อวิธีที่เบื้องบนมีทัศนะต่อพวกเขา ซึ่งอาจทำให้เบื้องบนปลดพวกเขา หรือหากการกระทำและการสำแดงของพวกเขาอาจทำให้พี่น้องชายหญิงเกิดความประทับใจที่ไม่ดีต่อพวกเขาและไม่เลือกพวกเขาอีกแล้ว พวกเขาก็จะพยายามกอบกู้ภาพลักษณ์ของตนเองโดยการทำงานบางอย่างที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นอย่างน้อย  ด้วยวิธีนี้ พวกเขาสามารถมีคำตอบให้ผู้ที่อยู่เบื้องบนและเบื้องล่างของพวกเขาได้—มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่พวกเขาไม่สามารถมีคำตอบใดๆ ถวายแด่พระองค์ได้  ทุกสิ่งที่พวกเขาทำเป็นเพียงเพื่อรูปลักษณ์  ตราบใดที่ผู้นำระดับสูงไม่ปลดพวกเขา และพี่น้องชายหญิงยังคงสนับสนุนพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกพึงพอใจ  ในระหว่างการดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำคริสตจักร พวกเขาก็ไม่ได้กระทำความชั่วที่สำคัญ และจากภายนอกนั้นพวกเขาก็ดูเหมือนจะยุ่งกับงานอยู่เสมอ แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานจริงใดๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วก่อกวนคริสตจักร พวกเขาก็ไม่ทำอะไรเลย  พวกเขากลัวจะล่วงเกินคนชั่วเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามเอาใจและเจรจาต่อรองกับพวกเขาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ โดยแสวงหาแต่เพียงการรักษาไว้ซึ่งความสมานฉันท์  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะล่วงเกินใคร ต่อให้คนเหล่านี้ก่อกวนงานของคริสตจักรหรือคุกคามความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็ไม่ทำอะไรเลย  นี่คือผู้นำเทียมเท็จที่แท้จริงที่สุด

สำหรับผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ได้ทำงานจริง หากพี่น้องชายหญิงเตือนพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอให้พวกเขาแก้ไขปัญหา และพวกเขายังคงไม่ได้ทำงานจริง ไม่แก้ไขปัญหาที่แท้จริง และไม่แก้ไขข้อผิดพลาด เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าควรรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปเบื้องบน  หากผู้นำและคนทำงานระดับสูงไม่จัดการกับปัญหานี้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ควรคิดหาวิธีใดๆ ก็ตามที่เป็นไปได้เพื่อปลดผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้  ตามจริงแล้ว เราได้พูดคำเหล่านี้มาหลายปีแล้ว แต่คนส่วนใหญ่เบื้องล่างเป็นทาสที่ยอมทนทุกข์กับการสูญเสียส่วนตัวและสู้ทนต่ออันตรายบางอย่างดีกว่าที่จะล่วงเกินผู้อื่น  ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร พวกเขาก็จะเดินสายกลางและทำตัวเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนเสมอ โดยไม่เคยล่วงเกินใครเลย  สิ่งที่ต้องแลกมากับการไม่ล่วงเกินผู้คนคืออะไร?  คือการเสียสละงานและผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ทำให้ผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้รับความเสียหายและพี่น้องชายหญิงถูกก่อกวน  หากคนชั่วไม่ถูกจัดการ หลายคนที่กำลังทำหน้าที่ของตนอยู่ก็จะได้รับผลกระทบ  นี่ไม่เท่ากับว่างานของพระนิเวศพระเจ้าได้รับผลกระทบหรอกหรือ?  (ใช่)  เมื่องานของพระนิเวศของพระเจ้าได้รับผลกระทบ ไม่มีใครรู้สึกกระวนกระวายหรือกังวล ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงกล่าวว่าคนส่วนใหญ่กำลังเสียสละงานและผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อรักษาความสมานฉันท์และความเป็นมิตรกับผู้อื่น  พวกเขาหลีกเลี่ยงการล่วงเกินผู้นำและพี่น้องชายหญิง พวกเขาไม่ล่วงเกินใครเลย  ทุกคนทำตัวเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน  กรอบความคิดของพวกเขาคือ “คุณก็ดี ฉันก็ดี ทุกคนก็ดี—อย่างไรเสีย พวกเราก็ต้องเจอหน้ากันอยู่ทุกวัน”  และผลลัพธ์คืออะไร?  เรื่องนี้เปิดโอกาสให้คนชั่วสามารถฉวยโอกาสจากสถานการณ์ได้ พวกเขาทำตัวเป็นเผด็จการซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาพีงพอใจ  ดังนั้น หากผู้นำของคริสตจักรเชื่อถือไม่ได้และไม่ชำระคนชั่วออกไป เช่นนั้นแล้วพี่น้องชายหญิงก็ต้องคิดหาวิธีใดๆ ก็ตามที่เป็นไปได้เพื่อคุ้มครองตนเอง พวกเขาต้องหลีกเลี่ยง อยู่ห่าง และโดดเดี่ยวคนชั่วเมื่อพวกเขาเห็นคนเหล่านั้น  บางคนกล่าวว่า “ถ้าพวกเราโดดเดี่ยวพวกเขาแล้วพวกเขาโกรธ พวกเขาจะไม่รายงานพวกเราอีกครั้งหรือ?”  หากพวกเขารายงานเจ้าจริงๆ เจ้าจะกลัวหรือไม่?  (ไม่กลัว  นี่จะเผยให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนชั่ว)  หากพวกเขารายงานเจ้าอีกครั้ง นั่นก็เพียงแค่พิสูจน์เพิ่มเติมว่าพวกเขาเป็นยูดาสตามธรรมชาติ เป็นมารชั่ว  เจ้าต้องไม่กลัวพวกเขา  หากผู้นำและคนทำงานมืดบอดและไม่สามารถมองสิ่งต่างๆ ให้ทะลุได้ เป็นคนเลอะเลือน และไร้ประโยชน์ หรือหากพวกเขาลังเล ไม่เคยล่วงเกินใคร เพียงแค่ลุ่มหลงในผลประโยชน์ทางสถานะของตนโดยไม่ได้ทำงานจริง เช่นนั้นแล้วพี่น้องชายหญิงก็ไม่ควรฝากความหวังใดๆ ไว้กับพวกเขาอีกต่อไป  พวกเขาต้องรวมตัวกันตามหลักธรรมเพื่อจัดการกับคนชั่วและกำจัดพวกยูดาส  พวกเขาอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานที่ชุมนุมหรือใช้วิธีที่ฉลาดเพื่อชำระพวกเขาออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรบกวนโดยคนเหล่านี้  การรับประกันการดำเนินไปอย่างปกติของชีวิตคริสตจักรและความคืบหน้าที่เป็นปกติของงานคริสตจักรทั้งหมดคือสิ่งที่สำคัญที่สุด  หากผู้นำคริสตจักรทำงานจริง มีขีดความสามารถเพียงพอ และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ค่อนข้างดีด้วย เช่นนั้นแล้วตราบใดที่พวกเขาดำเนินงานของตนตามการจัดเตรียมงาน ทุกคนก็ควรเชื่อฟังพวกเขา  หากพวกเขาไม่ได้ทำงานจริง เช่นนั้นแล้วก็ไม่ควรข้องแวะหรือพึ่งพาพวกเขาเป็นอันขาด  ในเวลานั้น ปัญหาควรได้รับการแก้ไขตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง  หากจำเป็นต้องปลดผู้นำ ก็ควรปลดเขา หากจำเป็นต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ก็ให้จัดการเลือกตั้งใหม่  หากผู้นำเทียมเท็จนี้ไม่ได้คุ้มครองผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ได้ทำให้สภาพแวดล้อมที่พี่น้องชายหญิงทำหน้าที่ของตนมั่นคง และไม่ใส่ใจในความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน พวกเขาไร้ความสามารถ เป็นเพียงเศษขยะชิ้นใหญ่ที่ไร้ประโยชน์—พี่น้องชายหญิงไม่ควรฟังพวกเขาหรือถูกพวกเขาตีกรอบ  ผู้นำและคนทำงานใดๆ ที่ไม่สามารถชำระพวกยูดาสออกไปได้เมื่อใดก็ตามที่จำเป็นล้วนเป็นผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จ ผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จเช่นนี้ควรได้รับการจัดการในลักษณะที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น  หากพวกเขาไม่ถูกจัดการอย่างทันท่วงที พี่น้องชายหญิงทุกคนจะถูกพวกยูดาสขายเพื่อประโยชน์ส่วนตน และคริสตจักรก็จะสิ้นสุดลง  นี่เป็นการสรุปสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการสำแดงประการที่แปดของพวกเรา “พร้อมที่จะทรยศได้ทุกเมื่อ” ก็จบลงเพียงเท่านี้

๑. การพร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อ

การสำแดงประการที่เก้าคือ “การพร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อ”  คนประเภทนี้ที่พร้อมจะจากพระนิเวศของพระเจ้าไปได้ทุกเมื่อไม่ใช่ใครบางคนที่จากไปก็ต่อเมื่อพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์พิเศษ หรือเมื่อพวกเขาเผชิญกับความวิบัติครั้งใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะทนรับไหว เกินกว่าขีดจำกัดของพวกเขา  แต่พวกเขาพร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อ—แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็สามารถทำให้พวกเขาจากไปได้ แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยก็สามารถทำให้พวกเขาไม่อยากทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป ไม่อยากเชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป และต้องการจากพระนิเวศของพระเจ้าไป  คนประเภทนี้ก็เป็นตัวปัญหาใหญ่หลวงเช่นกัน  เมื่อมองจากภายนอก พวกเขาอาจดูดีกว่าคนที่เป็นพวกยูดาสเล็กน้อย แต่พวกเขาพร้อมที่จะจากพระนิเวศของพระเจ้าไปได้ทุกเวลาและทุกสถานที่  การที่พวกเขาพร้อมที่จะขายพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ไม่แน่ชัด  พวกเจ้าคิดว่าคนประเภทนี้เชื่อถือได้หรือไม่?  (ไม่)  ถ้าเช่นนั้น พวกเขามีหลักธรรมในการประพฤติปฏิบัติตนหรือไม่?  พวกเขามีรากฐานในการเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาแสดงให้เห็นวี่แววของการเชื่ออย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  ถ้าเช่นนั้นพวกเขาเป็นคนประเภทใด?  (ผู้ไม่เชื่อ)  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนราวกับว่าเป็นเรื่องล้อเล่น  พวกเขาเหมือนกับใครบางคนที่ไม่ใส่ใจในงานที่ถูกควร เมื่อออกไปซื้อซีอิ๊ว แล้วเห็นนักกายกรรมหรือนักแสดงข้างถนนกำลังสร้างความครึกครื้น ก็มัวแต่หลงไปกับความตื่นเต้นจนลืมเรื่องการซื้อซีอิ๊วไป และลงเอยด้วยการทำให้เรื่องที่ถูกควรล่าช้าไป  คนประเภทนี้ทำอะไรไม่เคยได้นาน พวกเขาเป็นคนสองจิตสองใจและจับจด  การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็ขึ้นอยู่กับความสนใจของพวกเขาเช่นกัน—พวกเขารู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นสนุกทีเดียว แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่พวกเขาหมดความสนใจในเรื่องนี้ พวกเขาก็จะจากไปทันทีโดยไม่มีความลังเลใจใดๆ  บางคนที่จากไปก็ไปทำธุรกิจทันที บางคนไล่ตามเส้นทางอาชีพข้าราชการ บางคนเข้าไปพัวพันกับความสัมพันธ์ที่โรแมนติกและเตรียมตัวแต่งงาน และบางคนที่ต้องการร่ำรวยอย่างรวดเร็วก็มุ่งหน้าตรงไปที่บ่อนพนัน  ผู้คนกล่าวว่าหลังจากไม่ได้เจอใครเป็นเวลาสามวัน ก็ควรมองคนคนนั้นเสียใหม่  สำหรับใครบางคนที่พร้อมจะจากพระนิเวศของพระเจ้าไปได้ทุกเมื่อ หากเจ้าไม่ได้เจอพวกเขาเพียงวันเดียว เมื่อเจ้าพบพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาก็เหมือนเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง  เมื่อวานนี้ พวกเขายังคงแต่งกายอย่างสุภาพเรียบร้อยและถูกควร ดูมีความประพฤติดีและน่ามอง  พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้าทั้งน้ำตานองหน้าด้วยซ้ำไป โดยกล่าวว่าพวกเขาต้องการอุทิศความเยาว์วัยและหลั่งโลหิตของตนเพื่อพระเจ้า ยอมตายเพื่อพระเจ้า จงรักภักดีจนวันตาย และเข้าสู่ราชอาณาจักร  พวกเขาโห่ร้องคำขวัญที่สูงส่งเช่นนี้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ไปที่บ่อนพนัน  เมื่อวานนี้ พวกเขามีความสุขที่ได้ทำหน้าที่ของตน และในระหว่างการชุมนุม พวกเขาก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยใบหน้าที่เปล่งปลั่งและเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น ได้รับการดลใจจนถึงขั้นร่ำไห้ฟูมฟาย  แล้วเหตุใดวันนี้พวกเขาจึงหนีไปที่บ่อนพนัน?  พวกเขาเล่นการพนันจนดึกดื่นโดยไม่ต้องการที่จะกลับบ้าน มีความสนุกสนานและเปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น  เมื่อวานนี้ พวกเขายังคงเข้าร่วมการชุมนุม แต่วันนี้พวกเขาหนีไปที่บ่อนพนันแล้ว—แล้วการสำแดงใดคือตัวจริงของพวกเขากันแน่?  (อย่างหลังคือตัวจริงของพวกเขา)  หากคนเราไม่เข้าใจความจริง พวกเขาย่อมไม่สามารถมองทะลุได้จริงๆ ว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่  การสำแดงทั้งสองประการ ทั้งก่อนและหลัง แท้จริงแล้วแสดงออกมาโดยบุคคลคนเดียวกัน—แล้วเหตุใดจึงดูเหมือนเป็นการสำแดงที่แสดงออกมาโดยคนสองคนที่แตกต่างกัน?  คนส่วนใหญ่ไม่สามารถมองทะลุคนเช่นนี้ได้  เจ้าจะเห็นว่าในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า พวกเขามักจะเข้าร่วมการชุมนุม ไม่ทำความชั่ว และสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาในการทำหน้าที่ของตนได้พอสมควร  เมื่อนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พวกเขาก็มีสมาธิและขยันหมั่นเพียร ทำงานหนักและทุ่มเทหัวใจให้กับงาน  เจ้าคงจะคิดว่าในฐานะของใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาไม่ควรเล่นไพ่นกกระจอกใช่หรือไม่?  แต่หลังจากไม่ได้เจอพวกเขาเพียงวันเดียว พวกเขาก็หนีไปที่บ่อนไพ่นกกระจอกหรือบ่อนพนันเพื่อเล่นการพนัน  และพวกเขาก็เป็นนักเล่นไพ่นกกระจอกชั้นเซียน—พวกเขาดูไม่เหมือนคนที่เชื่อในพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย!  พวกเขาทำให้เจ้างงงันไปหมด—พวกเขาเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้า หรือเป็นผู้ไม่มีความเชื่อที่เล่นไพ่นกกระจอก?  พวกเขาสามารถเปลี่ยนบทบาทอย่างรวดเร็วเพียงนี้ได้อย่างไร?  เช่นนั้นเวลาที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขามีพระเจ้าอยู่ในหัวใจหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อความสนุกสนานและฆ่าเวลา เพื่อดูว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นอย่างไรและสามารถนำความสุขมาสู่ชีวิตของพวกเขาได้หรือไม่  หากพวกเขาไม่มีความสุข พวกเขาก็พร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อ  พวกเขาไม่เคยคิดที่จะเชื่อไปตลอดชีวิต และแน่นอนว่าไม่เคยวางแผนที่จะทำหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้าไปตลอดชีวิต  แล้วพวกเขาได้วางแผนอะไรไว้?  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา หากพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วอย่างน้อยที่สุดการเชื่อดังกล่าวต้องไม่ขัดขวางความสามารถในการสนุกสนานของพวกเขา ต้องไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานใดๆ และต้องยังคงรับประกันว่าพวกเขาสามารถใช้ชีวิตที่มีความสุขได้  หากพวกเขาต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงทุกวัน เช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่สนใจหรือไม่มีความสุข  เมื่อพวกเขาเบื่อหน่ายกับการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะจากคริสตจักรไปและวิ่งกลับไปสู่โลก  พวกเขาคิดว่า “ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นผู้คนไม่ควรกระทำไม่ดีต่อตนเอง  เราต้องเป็นนายแห่งโชคชะตาของตนเองและไม่กระทำไม่ดีต่อเนื้อหนังของเรา  เราต้องแน่ใจว่าเรามีความสุขทุกวัน—นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระ  การเชื่อในพระเจ้าไม่ควรทำอย่างหัวรั้น  ดูสิว่าฉันสบายๆ แค่ไหน—ที่ใดมีความสุข ฉันก็ไปที่นั่น  หากฉันไม่มีความสุข ฉันก็จะจากไป  เหตุใดฉันจึงควรทำให้ตัวเองไม่สบายใจ?  การพร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อคือหลักความเชื่อสูงสุดของฉันในการประพฤติปฏิบัติตน การเป็น ‘ผู้เชื่อที่รักอิสระ’—การใช้ชีวิตเช่นนี้ช่างสบายและไร้กังวลเสียนี่กระไร!”  คนประเภทนี้มักจะร้องเพลงประเภทใด?  “อย่าถามฉันว่าฉันมาจากไหน บ้านเกิดของฉันอยู่ไกลแสนไกล”  ถ้าไม่ใช่เพลงนี้ แล้วพวกเขาร้องเพลงอะไรอีก?  “เหตุใดจึงไม่ใช้ชีวิตอย่างอิสระสักครั้ง?”  เมื่อพวกเขารู้สึกว่ามันน่าเบื่อหรือไม่สนุกอีกต่อไป พวกเขาก็จากไปอย่างรวดเร็ว โดยคิดว่า “ฟ้ากว้างทางไกล ใยต้องยึดติดกับที่เดียว?”  พวกเขายังมีคำกล่าวใดอีกที่มีชื่อเสียง?  “เหตุใดจึงยอมทิ้งป่าทั้งป่าเพื่อต้นไม้เพียงต้นเดียว?”  พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร—คนประเภทนี้มีความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่?  (ไม่มี พวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ)  เมื่อพูดถึงผู้ไม่เชื่อ เนื่องจากเรากำลังพูดถึงว่าปัญหาของพวกเขาทั้งหมดเป็นปัญหาของความเป็นมนุษย์ เช่นนั้นแล้วความเป็นมนุษย์ของคนเช่นนี้มีสิ่งใดผิดปกติกันแน่?  พวกเจ้าคิดว่าคนประเภทนี้เคยคำนึงถึงคำถามต่างๆ เช่น คนเราควรประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร คนเราควรเดินในเส้นทางใด หรือคนเราควรมีทัศนคติต่อชีวิตและค่านิยมแบบใดในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่?  (ไม่เคย)  ถ้าเช่นนั้น ความเป็นมนุษย์ของคนประเภทนี้มีปัญหาอย่างไร?  (คนประเภทนี้ขาดมโนธรรมและสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาไม่คำนึงถึงคำถามดังกล่าว)  นั่นแน่นอนอยู่แล้ว  นอกจากนี้ หากจะพูดให้แม่นยำก็คือ คนประเภทนี้ไม่มีจิตวิญญาณ พวกเขาเป็นเพียงศพเดินได้  พวกเขาไม่มีข้อกำหนดของตนเองเกี่ยวกับวิธีประพฤติปฏิบัติตนหรือเส้นทางที่คนเราควรเดิน และพวกเขาก็ไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้  เหตุผลที่พวกเขาไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ก็เพราะว่า แม้ว่าภายนอกพวกเขาจะมีรูปลักษณ์ของมนุษย์ แต่แท้จริงแล้วแก่นแท้ของพวกเขาก็คือศพเดินได้ เป็นเปลือกที่กลวงโบ๋  คนประเภทนี้มีท่าทีของการใช้ชีวิตล่องลอยไปวันๆ เมื่อเป็นเรื่องของชีวิตมนุษย์และการอยู่รอด  หากจะพูดให้เจาะจง “การใช้ชีวิตล่องลอยไปวันๆ” หมายถึงการใช้ชีวิตอย่างสับสนไร้จุดหมายและรอคอยความตาย ไม่เรียนรู้และยังคงไม่รู้ความ ใช้เวลากับการกิน ดื่ม และสนุกสนานไปวันๆ  พวกเขาไปที่ใดก็ตามที่มีความสุข และอะไรก็ตามที่ทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขและเบิกบาน และสุขสบายทางเนื้อหนัง นั่นคือสิ่งที่พวกเขาจะทำ  แต่พวกเขาจะหลีกเลี่ยงและอยู่ห่างไกลจากทุกสิ่งที่ทำให้เนื้อหนังของพวกเขาต้องทนทุกข์หรือนำความเจ็บปวดภายในมาให้ พวกเขาเพียงแค่ไม่ต้องการให้เนื้อหนังของตนต้องสู้ทนกับความยากลำบาก  อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่มีประสบการณ์กับชีวิตด้วยการสู้ทนกับความยากลำบาก  หรือโดยการผ่านและมีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ พวกเขาทำให้ชีวิตของตนไม่ว่างเปล่าและสามารถได้รับบางสิ่งจากการมีประสบกาณ์ดังกล่าว  ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้ข้อสรุปว่าคนเราควรเดินในเส้นทางใดและควรเป็นคนประเภทใด  พวกเขาได้รับอะไรมากมายผ่านประสบการณ์ชีวิต  ประการหนึ่ง พวกเขาสามารถมองทะลุคนบางคนได้ นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถสรุปได้ว่าบุคคลควรใช้หลักธรรมและวิธีการใดในการปฏิบัติต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายนานัปการและบุคคลควรใช้ชีวิตทั้งชีวิตของตนอย่างไร  ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาสรุปในท้ายที่สุดจะสอดคล้องกับความจริงหรือขัดแย้งกับความจริง อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ได้ไตร่ตรองเรื่องนี้  ในทางกลับกัน บรรดาผู้ที่พร้อมจะจากพระนิเวศของพระเจ้าไปได้ทุกเมื่อนั้นไม่มีความสนใจในการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการทำหน้าที่ของตนในการเชื่อในพระเจ้า  พวกเขามองหาโอกาสที่จะสนองความปรารถนาทางราคะและความชอบของตนเองอยู่เสมอ และไม่เคยต้องการที่จะเรียนรู้ทักษะทางวิชาชีพในการทำหน้าที่ของตนอย่างขยันหมั่นเพียร ทำหน้าที่ของตนให้ดี หรือใช้ชีวิตที่มีความหมาย  พวกเขาเพียงต้องการที่จะเป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ มีความสุขและเบิกบานทุกวัน  ด้วยเหตุนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด พวกเขาก็มองหาความสนุกสนานและความบันเทิง เพียงเพื่อสนองความสนใจและความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง  หากพวกเขาต้องทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป พวกเขาก็จะหมดความสนใจและไม่มีแรงจูงใจที่จะทำต่อไปอีก  สำหรับคนประเภทนี้ ท่าทีต่อชีวิตของพวกเขาก็คือการใช้ชีวิตไปอย่างสับสนไร้จุดหมาย  เมื่อมองจากภายนอก ดูเหมือนว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างอิสระและปล่อยวางอย่างมาก ไม่จู้จี้จุกจิกเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ กับผู้อื่น  พวกเขาดูร่าเริงและไร้ความกังวลทุกวัน สามารถปรับตัวเข้ากับสภาวการณ์ได้ทุกที่ที่ไป  บางคนถึงกับดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบและไม่ถูกผูกมัดโดยขนบธรรมเนียมทางโลกหรือธรรมเนียมปฏิบัติในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ทำให้ภายนอกดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นคนพิเศษและอยู่เหนือคนทั่วไป  แต่แท้จริงแล้ว แก่นแท้ของพวกเขาก็คือศพเดินได้ เป็นสิ่งที่ไร้วิญญาณ  บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแต่พร้อมที่จะจากคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อนั้นไม่เคยยึดติดกับสิ่งที่พวกเขาทำได้นาน—พวกเขาสามารถรักษาความกระตือรือร้นไว้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น  แต่ผู้คนที่มีมโนธรรมและสำนึกนั้นแตกต่างออกไป  ไม่ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่อะไร พวกเขาก็เรียนรู้อย่างจริงจังและมุ่งมั่นที่จะทำให้ดี  พวกเขาสามารถทำบางสิ่งให้สำเร็จและสร้างคุณค่าบางอย่างได้  ประการหนึ่งก็คือ พวกเขาสามารถได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็สามารถรู้สึกมั่นใจในตนเองได้ โดยเห็นว่าพวกเขาสามารถทำบางสิ่งได้และเป็นคนที่มีประโยชน์ ไม่ใช่คนไร้ค่า  นี่คือขั้นต่ำที่สุดที่บุคคลที่มีมโนธรรมและสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถสัมฤทธิ์ได้  แต่สำหรับบรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตล่องลอยไปวันๆ พวกเขาไม่เคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้เลย  ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด ก็มีแต่การกิน ดื่ม และสนุกสนาน  จากภายนอกนั้น อาจดูเหมือนว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างอิสระและสบายมาก แต่แท้จริงแล้วคนเช่นนี้ไม่มีความคิดอยู่ในหัว  ในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาไม่เคยจริงจัง พวกเขามักจะทำอย่างผิวเผินและได้รับแรงจูงใจจากความกระตือรือร้นเพียงชั่วครู่ ไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลย  พวกเขาต้องการใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปตลอดชีวิต และไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด พวกเขาก็นำท่าทีเดียวกันนี้ไป—ไม่เว้นแม้กระทั่งความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้า  เจ้าอาจจะเห็นว่าในช่วงเวลาหนึ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาค่อนข้างจริงจังกับการทำหน้าที่ของตนและสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาได้ แต่ไม่ว่าใครจะชี้ให้เห็นปัญหาของพวกเขาหรือบอกพวกเขาถึงวิธีทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาก็ไม่เคยใส่ใจอย่างจริงจังและไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาเพียงแค่ทำสิ่งต่างๆ โดยวิธีใดก็ตามที่พวกเขาต้องการ—ตราบใดที่พวกเขามีความสุข ก็ถือว่าใช้การได้สำหรับพวกเขา  และหากพวกเขาไม่มีความสุข พวกเขาก็จะออกไปสนุกสนาน โดยไม่ฟังคำแนะนำของใคร  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาคิดว่า “อย่างไรเสีย ฉันก็ไม่เคยวางแผนที่จะเชื่อในพระเจ้าในระยะยาวอยู่แล้ว”  หากมีคนตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็พร้อมที่จะจากไปทันที  นี่คือหนึ่งในบรรดาการสำแดงของผู้คนที่พร้อมที่จะจากคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อ

บรรดาผู้ที่พร้อมจะจากคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อมีการสำแดงอีกประเภทหนึ่ง  บางคน—ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปี ไม่ว่าพวกเขาจะดูเหมือนมีรากฐานหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาจะเคยปฏิบัติหน้าที่อะไรมาก่อน—เมื่อพวกเขาเผชิญกับสภาวการณ์พิเศษที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา พวกเขาก็สามารถหายตัวไปดื้อๆ ได้เลย  ไม่ว่าเมื่อใดก็มีความเป็นไปได้ที่คนอื่นอาจจะติดต่อพวกเขาไม่ได้ และไม่เห็นพวกเขาในคริสตจักรอีกต่อไป ในขณะที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา  บางคนเมื่อพบเจอกับคนต่างเพศที่พยายามจะยั่วยวนพวกเขา ก็เลิกทำหน้าที่ของตนและออกไปนัดพบกัน กลายเป็นคนที่ติดต่อไม่ได้โดยสิ้นเชิง  ยังมีคนอื่นๆ ที่ลูกๆ ของพวกเขาถึงวัยแต่งงาน และพวกเขาก็ยุ่งอยู่กับการจัดงานแต่งงานของลูกๆ ไม่ทำหน้าที่ของตนอีกต่อไปและไม่เข้าร่วมการชุมนุมอีกต่อไป  ไม่ว่าใครจะตามหาพวกเขา คนเหล่านั้นก็ถูกปฏิเสธที่หน้าประตู  บางคนเมื่อพ่อแม่หรือคู่สมรสของพวกเขาป่วยและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรือเมื่อมีบางสิ่งที่สำคัญเกิดขึ้นหรือเกิดความวิบัติที่ไม่คาดคิดขึ้นที่บ้าน—หากพวกเขาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง—พวกเขาก็จะอธิบายโดยกล่าวว่า “ช่วงนี้ที่บ้านมีเรื่องบางอย่างที่ฉันต้องดูแล ดังนั้นฉันก็เลยไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมได้  ฉันต้องขอลาหยุด และถ้าพวกคุณสามารถหาคนที่เหมาะสมได้ โปรดให้พวกเขามาทำหน้าที่แทนฉันชั่วคราวโดยไม่รอช้า”  อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็จะแจ้งให้ทราบและให้คำอธิบายบ้าง  แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะจากคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อกลับตัดการติดต่อกับคริสตจักรโดยไม่พูดอะไรสักคำ และไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะพยายามอย่างไร พี่น้องชายหญิงก็ไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้  ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีวิธีการให้ติดต่อ—ไม่ว่าวิธีใดก็สามารถติดต่อพวกเขาได้—แต่พวกเขาเพียงแต่ไม่ต้องการติดต่อหรือตอบกลับพี่น้องชายหญิง  พวกเขากล่าวว่า “ทำไมฉันถึงควรติดต่อกับคุณ?  ฉันทำหน้าที่ของฉันโดยสมัครใจ ฉันไม่ได้รับค่าจ้างสำหรับการทำหน้าที่นี้  ถ้าฉันอยากไป ฉันก็จะไป!  ถ้าที่บ้านมีบางสิ่งเกิดขึ้น นั่นก็เป็นธุระส่วนตัวของฉัน  ฉันไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องแจ้งให้คุณทราบ และคุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้!”  บางคนจากไปหนึ่งหรือสองเดือนแล้วก็กลับมารายงานตัวโดยไม่รู้สึกอับอายเลยด้วยซ้ำ ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  คนอื่นๆ จากไปสองหรือสามปีและติดต่อไม่ได้เลย  ผู้คนในคริสตจักรที่ไม่รู้สถานการณ์ก็คิดว่าในเมื่อบุคคลนี้เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะจากคริสตจักรไป  พวกเขาสันนิษฐานว่ามีบางสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นและกังวลว่าพวกเขาถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมไปหรือไม่  ในความเป็นจริง เป็นเพียงแค่ว่าบุคคลนั้นไม่ต้องการเชื่อในพระเจ้าอีกต่อไปและจากไปโดยไม่แจ้งให้พี่น้องชายหญิงทราบ  บางคนจากไปประมาณสิบวันแล้วก็กลับมา นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเลิกเชื่อแล้ว  บางคนจากไปแล้วก็หายไปสองหรือสามปี—พวกเจ้าจะบอกว่าพวกเขาเลิกเชื่อแล้วหรือไม่?  (ใช่)  พวกเขาเลิกเชื่อแล้วจริงๆ และควรถูกคัดชื่อออก  นี่ไม่ใช่การจากไปธรรมดา พวกเขาเลิกเชื่อแล้ว  จากมุมมองของมนุษย์ นี่เรียกว่าการไม่เชื่ออีกต่อไป  พระเจ้าทรงมองเรื่องนี้อย่างไร?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า นี่เรียกว่าการไม่ยอมรับพระเจ้า การไม่ติดตามพระเจ้า และเป็นการปฏิเสธพระเจ้า  แต่จากมุมมองของพวกเขา พวกเขาคิดว่า “ฉันไม่ได้ปฏิเสธพระเจ้า ฉันยังคงเชื่อในพระเจ้าอยู่ในหัวใจของฉัน!”  เห็นหรือไม่?  พวกเขาเพียงแค่ปัดเรื่องนี้ทิ้งไปอย่างเบาๆ  ยังมีคนอื่นๆ ที่เลิกมาเข้าร่วมการชุมนุมและเลิกทำหน้าที่ของตนเพียงเพราะพวกเขาอารมณ์ไม่ดีหรือรู้สึกไม่พอใจอยู่ข้างใน เพราะพวกเขาคิดว่าการทำหน้าที่ของตนยากและเหน็ดเหนื่อยเกินไป หรือเพราะพวกเขาถูกตัดแต่งเล็กน้อย  พวกเขาจากไปโดยไม่ได้อธิบายอะไรเกี่ยวกับงานที่พวกเขามีอยู่ในมือด้วยซ้ำ โดยกล่าวว่า “ไม่มีใครติดต่อฉันเลย  ฉันไม่มีความสุข และฉันไม่อยากเชื่ออีกต่อไปแล้ว!”  เมื่อพวกเขาอารมณ์ไม่ดี อารมณ์ดังกล่าวอาจจะคงอยู่นานเป็นปีหรือราวๆ นั้น  ความเจ้าอารมณ์ของพวกเขาช่างไม่ธรรมดาจริงๆ—พวกเขาไม่สามารถตัดความรู้สึกนั้นออกไปได้เป็นปีหรือราวๆ นั้น!  บางคนรับงานของผู้นำและคนทำงานในคริสตจักร ทว่าไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถทำงานให้ดีได้เท่านั้น พวกเขายังกระทำการอันมิชอบโดยไม่ยั้งคิด นำการขัดขวางและการก่อกวนมาสู่งานของคริสตจักร  ต่อมาภายหลัง พี่น้องชายหญิงก็ไม่เลือกพวกเขา อีกทั้งยังแยกแยะและเปิดโปงพวกเขาในการสามัคคีธรรมด้วยเช่นกัน  ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มคิดว่า “นี่เป็นการประชุมวิพากษ์วิจารณ์ฉันหรือ?  ฉันแค่ทำงานได้ไม่ดี มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ?  ทำไมพวกเขาถึงสามัคคีธรรมและเปิดโปงฉันแบบนี้?  ตลอดชีวิตของฉัน ฉันไม่เคยทนทุกข์กับความคับข้องใจเช่นนี้เลย!  ก่อนที่ฉันจะเชื่อในพระเจ้า ฉันเป็นฝ่ายตำหนิผู้อื่นเสมอ ไม่มีใครเคยตำหนิฉัน  ฉันเคยทนทุกข์กับความยากลำบากเช่นนี้มาก่อนเมื่อใดกัน?  พวกคุณทุกคนกำลังรังแกฉัน ทำให้ฉันรู้สึกอับอาย  ฉันจะไม่เชื่ออีกต่อไปแล้ว!”  เพียงเท่านั้น พวกเขาก็เลิกเชื่อ  บรรดาผู้ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่แค่คนหนุ่มสาว—บางคนเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามาแปดหรือสิบปีและอยู่ในวัยสี่สิบกว่าหรือห้าสิบกว่า แต่พวกเขาก็สามารถพูดสิ่งดังกล่าวได้เมื่อพวกเขาไม่มีความสุข  คนเช่นนี้มีที่ทางสำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาหรือไม่?  พวกเขาถือว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตหรือไม่?  เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกคิดลบและอ่อนแอเล็กน้อยเมื่อถูกตัดแต่งหรือเมื่อเผชิญกับความวิบัติหรือความพลาดพลั้ง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ควรนำพาคนเราไปสู่การไม่เชื่อในพระเจ้า  คนเช่นนี้ไม่ใช่ผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ  ผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจจะสามารถยืนหยัดในการเชื่อของตนได้แม้กระทั่งในเวลาที่พวกเขาถูกจับกุมและข่มเหง—มีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้นที่มีคำพยาน  บางคนเมื่อเผชิญกับความวิบัติทางธรรมชาติเล็กน้อย หากพี่น้องชายหญิงไม่รู้เรื่องนี้หรือรู้ช้าไปหน่อย และไม่ได้ช่วยเหลือพวกเขาอย่างทันท่วงที พวกเขาก็เริ่มคิดว่า “ฉันกำลังเผชิญกับความลำบากยากเย็นและไม่มีใครสนใจฉันเลย  ดังนั้น พวกเขาก็ดูถูกฉัน!  การเชื่อในพระเจ้านั้นไม่มีประโยชน์  ฉันจะไม่เชื่ออีกต่อไปแล้ว!”  เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถเลิกเชื่อในพระเจ้าได้  นี่คือหนึ่งในบรรดาการสำแดงของผู้คนที่พร้อมจะจากคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อ

ยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งสำหรับบรรดาผู้ที่พร้อมจะจากคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อ  เพื่อที่จะซื้อใจพวกเขา พรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็เสนองานดีๆ ให้พวกเขา โดยกล่าวกับพวกเขาว่า “คุณไม่ได้อะไรเลยจากการเชื่อพระเจ้า  เคุณจะมีจุดหมายปลายทางในอนาคตอะไรได้?  พวกเราหางานให้คุณในบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่งซึ่งมี เงินเดือนสูง สวัสดิการดี และมีประกันแรงงาน  ไม่มีอนาคตสำหรับคุณในการเชื่อในพระเจ้า มาทำงานหาเงินและมีชีวิตที่ดีจะดีกว่า”  ในท้ายที่สุด พวกเขาก็จากคริสตจักรไปและไปทำงาน  บางคนกล่าวว่า “เมื่อวานนี้คนคนนี้ยังคงทำหน้าที่ของตนในคริสตจักรอยู่เลย  ทำไมวันนี้พวกเขาถึงเก็บข้าวของและจากไปแล้ว?”  พวกเขากำลังจะไปทำงานและหาเงิน พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป  พวกเขาจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ และตั้งแต่นั้นมา พวกเขาก็แยกทางเดินกับพี่น้องชายหญิง กลายเป็นคนที่อยู่บนเส้นทางที่แตกต่างกัน  พวกเขาต้องการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ เพื่อก้าวขึ้นสู่ที่สูงและโดดเด่น และพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป  นอกจากนั้นยังมีผู้คนที่ในขณะที่ประกาศข่าวประเสริฐ ได้พบกับใครบางคนที่พวกเขาชอบ คบหากับคนคนนั้น และออกไปใช้ชีวิตร่วมกัน  ไม่เพียงแต่พวกเขาจะเลิกทำหน้าที่ของตนเท่านั้น แต่พวกเขายังเลิกเชื่อในพระเจ้าอีกด้วย  พ่อแม่ของพวกเขาที่บ้านยังคงไม่ทราบเรื่อง คิดว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้า  ในความเป็นจริง พวกเขาหายตัวไปนานแล้ว—ใครจะรู้ บางทีตอนนี้พวกเขาอาจจะมีลูกแล้วก็ได้  การทำหน้าที่ของคนเรานั้นสำคัญมาก แต่พวกเขาสามารถละทิ้งแม้กระทั่งงานที่สำคัญยิ่งยวดอย่างการประกาศข่าวประเสริฐได้  เมื่อพวกเขาพบกับใครบางคนที่พวกเขาชอบ หรือใครบางคนที่ชอบพวกเขา คำพูดที่ยั่วยวนและล่อลวงง่ายๆ ไม่กี่คำจากคนคนนั้นก็เพียงพอที่จะนำพาให้พวกเขาจากไปได้  พวกเขาช่างเหลาะแหละและไม่เอาจริงเอาจัง พร้อมที่จะจากพระเจ้าไปและทรยศพระเจ้าได้ทุกเวลาและทุกสถานที่  ไม่ว่าคนเช่นนี้จะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีหรือได้ฟังคำเทศนามากี่ครั้ง พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย  สำหรับพวกเขาแล้ว การเชื่อในพระเจ้านั้นไม่สำคัญเลย และการทำหน้าที่ของตนก็ไม่สำคัญเช่นกัน—เพื่อที่จะได้รับพร พวกเขารู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการทำสิ่งเหล่านี้  ทันทีที่มีเรื่องส่วนตัวหรือปัญหาในครอบครัว พวกเขาก็พร้อมที่จะจากไปง่ายๆ เช่นนั้น  เมื่อพวกเขาเผชิญกับความวิบัติทางธรรมชาติเล็กน้อย พวกเขาก็สามารถเลิกเชื่อได้ง่ายๆ เช่นนั้น  ทุกสิ่งสามารถขัดขวางการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาได้ ทุกเรื่องสามารถทำให้พวกเขากลายเป็นคนคิดลบและเลิกทำหน้าที่ของตนได้  พวกเขาเป็นคนประเภทใดกัน?  คำถามนี้ควรค่าแก่การคิดทบทวนให้ลึกซึ้งอย่างแท้จริง!

บรรดาผู้ที่พร้อมจะจากคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อเป็นคนประเภทใด?  ประเภทหนึ่งคือคนที่เลอะเลือน ไร้ความคิด และไม่เอาใจใส่ ผู้ที่ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมากี่ปีแล้วก็ตาม  พวกเขาไม่รู้เลยว่าการเชื่อในพระเจ้าคืออะไรกันแน่  อีกประเภทหนึ่งคือผู้ไม่เชื่อที่ไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าเลยและไม่เข้าใจความหมายหรือคุณค่าของการเชื่อในพระเจ้า  สำหรับพวกเขาแล้ว การฟังคำเทศนาและการอ่านพระวจนะของพระเจ้าก็เหมือนกับการศึกษาเทววิทยาหรือการเรียนรู้ความรู้ทางวิชาชีพบางอย่าง—เมื่อพวกเขาเข้าใจและสามารถพูดถึงมันได้ พวกเขาก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว  พวกเขาไม่เคยนำความรู้ดังกล่าวไปปฏิบัติเลย  สำหรับพวกเขาแล้ว พระวจนะของพระเจ้าเป็นเพียงทฤษฎีประเภทหนึ่ง เป็นคำขวัญ และไม่สามารถกลายเป็นชีวิตของพวกเขาได้เลย  ดังนั้น สำหรับผู้คนเหล่านี้ สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าก็ไม่เป็นที่น่าสนใจสำหรับพวกเขา  สิ่งต่างๆ เช่น การทำหน้าที่ของคนเรา การไล่ตามเสาะหาความจริง การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า การชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงและการใช้ชีวิตคริสตจักรร่วมกัน และอื่นๆ ไม่ดึงดูดใจพวกเขาเลย และไม่มีสิ่งใดที่นำความสุขและความตื่นเต้นมาให้พวกเขาเหมือนกับการกิน ดื่ม และสนุกสนาน  ในทางกลับกัน ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจรู้สึกว่าการอยู่ร่วมกับพี่น้องชายหญิงเพื่อสามัคคีธรรมความจริงหรือใช้ชีวิตคริสตจักรสามารถนำสิทธิประโยชน์และผลประโยชน์มาให้พวกเขาได้เสมอ  แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะเผชิญกับอันตรายและการข่มเหง หรือเสี่ยงภัยในการประกาศข่าวประเสริฐและสู้ทนกับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของตน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ได้รับความเข้าใจในความจริงและสัมฤทธิ์ผลของการรู้จักพระเจ้าด้วยการสู้ทนความยากลำบากและการจ่ายราคา และความยากลำบากและราคานี้ก็นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขา  หลังจากชั่งน้ำหนักและประเมินทั้งหมดนี้แล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี และการสามารถเข้าใจความจริงได้นั้นมีค่าอย่างเหลือเชื่อ  หัวใจของพวกเขาผูกพันกับคริสตจักรเป็นพิเศษ และพวกเขาไม่เคยคิดที่จะจากชีวิตคริสตจักรไปเลย  หากพวกเขาเห็นบุคคลไม่กี่คนถูกส่งไปยังกลุ่ม ข. หรือถูกคริสตจักรแยกตัวหรือเอาตัวออกไปเพราะก่อกวนงานของคริสตจักร บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจจะรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจเล็กน้อย  พวกเขาคิดว่า “ฉันต้องทำหน้าที่ของฉันอย่างขยันหมั่นเพียร  ฉันจะถูกเอาตัวออกไปไม่ได้เด็ดขาด  การถูกเอาตัวออกไปเทียบเท่ากับการถูกลงโทษ ซึ่งหมายความว่าจุดจบคือการลงนรก!  เช่นนั้นแล้วจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร?”  คนส่วนใหญ่กลัวที่จะจากคริสตจักรไป  พวกเขารู้สึกว่าเมื่อพวกเขาจากคริสตจักรและพระเจ้าไปแล้ว พวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้และทุกอย่างจะจบสิ้น  แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะจากคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อมองว่าการออกจากคริสตจักรเป็นเรื่องปกติธรรมดาทีเดียว เหมือนกับการลาออกจากงานเพื่อหางานใหม่  พวกเขาไม่เคยรู้สึกทุกข์ใจหรือทนทุกข์กับความเจ็บปวดภายในเลย  พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร—บรรดาผู้ที่พร้อมจะจากคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อมีมโนธรรมหรือสำนึกใดๆ หรือไม่?  คนเช่นนี้น่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง!  การปฏิบัติหน้าที่ของบางคนไม่ได้มาตรฐาน และพวกเขาก็มักจะกระทำการอันมิชอบอย่างไม่ยั้งคิด นำการขัดขวางและการก่อกวนมาสู่งานของคริสตจักร  จากนั้นคริสตจักรก็หยุดพวกเขาจากการทำหน้าที่และส่งพวกเขาไปยังคริสตจักรธรรมดา  แล้วผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร?  ในวันรุ่งขึ้น พวกเขาทำตัวเหมือนเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง เริ่มต้นชีวิตใหม่ทั้งหมด  บางคนเริ่มออกเดทและแต่งงาน บางคนเริ่มหางานทำ คนอื่นๆ ก็ไปเรียนต่อในวิทยาลัย และยังมีคนอื่นๆ ที่กลับไปติดต่อกับเพื่อนเก่า สร้างเครือข่าย และแสวงหาโอกาสที่จะร่ำรวย  ผู้คนเหล่านี้ผสมกลมกลืนเข้ากับโลกกว้างอย่างรวดเร็ว และหายไปในทะเลแห่งความเป็นมนุษย์—เรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วเพียงนั้นเลย  หลังจากถูกส่งไปยังคริสตจักรธรรมดาเนื่องจากผลงานในการทำหน้าที่ไม่ดี พี่น้องชายหญิงบางคนก็ผ่านช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดแต่สามารถทบทวนตนเองและตระหนักถึงปัญหาของตนเองได้ แสดงให้เห็นท่าทีของการกลับตัวกลับใจอยู่บ้าง  อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ที่พร้อมจะจากคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อ ทันทีที่พวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นบางอย่าง ก็ไม่อยากทำหน้าที่ของตนอีกต่อไปและจากคริสตจักรไปในวันรุ่งขึ้น กลับไปใช้ชีวิตของผู้ไม่มีความเชื่อ  พวกเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อยและคิดด้วยซ้ำไปว่า “การเชื่อในพระเจ้ามีดีอะไรนักหรือ?  คุณถูกคนอื่นเยาะเย้ยและใส่ร้ายอยู่ตลอดเวลา และคุณยังมีแนวโน้มที่จะถูกจับกุมและจำคุกอีกด้วย  ถ้าพญานาคใหญ่สีแดงทุบตีฉันจนตาย ชีวิตของฉันจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?  ฉันได้สู้ทนกับความยากลำบากมามากมายในการเชื่อในพระเจ้าหลายปีมานี้ แต่ฉันได้รับอะไรบ้าง?  ถ้าฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ตอนนี้ฉันคงจะได้เป็นข้าราชการ หาเงินได้ และใช้ชีวิตที่มีเกียรติไปแล้ว!  การเชื่อพระเจ้ามาจนถึงตอนนี้ ฉันยังรู้สึกเสียใจ—ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ฉันคงจะจากไปนานแล้ว!  การเข้าใจความจริงมีประโยชน์อะไร?  ความเข้าใจนั้นสามารถทำให้เจ้าอิ่มท้องหรือจ่ายบิลได้หรือไม่?”  เห็นหรือไม่?  ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่เสียใจเท่านั้น แต่พวกเขายังรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำที่สามารถจากคริสตจักรไปได้  นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาในฐานะผู้ไม่เชื่อที่ถูกเปิดโปงมิใช่หรือ?  (ใช่)

บางคนสุกเอาเผากินและประพฤติผิดโดยไม่ยั้งคิดเป็นนิสัยในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  หลังจากที่ถูกคริสตจักรเอาตัวออกไปแล้ว พอเห็นพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็มองพี่น้องชายหญิงราวกับเป็นศัตรู  แม้กระทั่งในยามที่พี่น้องชายหญิงพยายามจะพูดคุยกับพวกเขาด้วยความเมตตา พวกเขาก็เพิกเฉยและมองพี่น้องชายหญิงอย่างเกลียดชัง พลางกล่าวว่า “พวกคุณนั่นแหละที่เป็นคนเอาฉันออกจากคริสตจักร  ดูฉันตอนนี้สิ!  ฉันสุขสบายกว่าพวกคุณเสียอีก!  ตอนนี้ฉันประดับประดาด้วยเงินและทอง ฉันเป็นคนสำคัญแล้ว!  ฉันอยู่ในโลกอย่างสุขสบาย แล้วดูสิว่าพวกคุณซอมซ่อและเหน็ดเหนื่อยเพียงใดในการเชื่อในพระเจ้า!  พวกคุณทุกคนต่างก็ไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับความจริงอยู่เสมอ แต่ฉันไม่คิดว่าพวกคุณจะฉลาดกว่าฉันเลย!  การได้รับความจริงมีดีอะไรนักหรือ?  สามารถนำมากินแทนอาหารหรือนำมาใช้จ่ายแทนเงินได้หรือไม่?  แม้ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ฉันยังคงใช้ชีวิตอย่างดีทีเดียวมิใช่หรือ?  นับว่าเป็นโชคดีของฉันที่พวกคุณเอาฉันออกไป—ฉันควรจะขอบคุณพวกคุณสำหรับเรื่องนี้!”  จากคำพูดของพวกเขาเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ และการทำหน้าที่ของพวกเขาก็เผยพวกเขาออกมา  ผู้ไม่มีความเชื่อซึ่งเพียงแต่พูดว่าเชื่อในพระเจ้านั้นจะสามารถทำหน้าที่ของตนด้วยความเต็มใจได้หรือไม่?  การทำหน้าที่ของคนเราหมายถึงการลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันโดยไม่ได้รับเงินหรือค่าจ้าง  พวกเขาเห็นว่านี่เป็นการขาดทุน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน  ด้วยเหตุนั้นธาตุแท้ของพวกเขาในฐานะผู้ไม่เชื่อจึงถูกเปิดโปง  นี่คือหนทางที่พระราชกิจของพระเจ้าเผยให้เห็นและกำจัดผู้ไม่เชื่อ  บางคนมีท่าทีที่สุกเอาเผากินเสมอเวลาที่ทำหน้าที่ของตน เพียงแค่ล่องลอยไปวันๆ  ทันทีที่พวกเขาได้โอกาสที่จะหาเงินหรือได้รับการเลื่อนตำแหน่งในโลก พวกเขาก็พร้อมไปจากคริสตจักรได้ทุกเมื่อ—พวกเขามีเจตนานี้อยู่ในใจมาโดยตลอด  หากพวกเขาถูกย้ายไปอยู่คริสตจักรธรรมดาเพราะพวกเขาสุกเอาเผากินและประพฤติผิดอย่างไม่ยั้งคิดเป็นนิสัยขณะที่ทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็ไม่เพียงแต่จะไม่ทบทวนตนเองเท่านั้น แต่ยังจะคิดอีกด้วยว่า “การที่คุณชำระฉันออกจากคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลานั้นเป็นการสูญเสียสำหรับคุณและเป็นกำไรสำหรับฉัน”  พวกเขารู้สึกพอใจในตนเองอยู่ไม่น้อยด้วยซ้ำไป  คนเช่นนี้คือผู้ไม่เชื่อมิใช่หรือ?  จงบอกเรามาเถิดว่า สำหรับผู้ไม่เชื่อเหล่านั้นที่ถูกชำระออกไปเพราะพวกเขาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างรุนแรงด้วยการประพฤติผิดโดยไม่ยั้งคิดของพวกเขา การที่พระนิเวศของพระเจ้าชำระพวกเขาออกไปเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่?  (สอดคล้องกับหลักธรรม)  สอดคล้องกับหลักธรรมโดยสมบูรณ์ นี่ไม่ใช่การกระทำผิดต่อพวกเขาเลยแม้แต่น้อย  ท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและต่อการทำหน้าที่ของตนนั้นก็คือพวกเขาสามารถละทิ้งและทรยศพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตนได้ทุกเมื่อ  นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่มีความสนใจใดๆ ต่อสิ่งที่เป็นบวกในหัวใจของตน  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีและได้ฟังคำเทศนามามากมาย ทว่าไม่มีความจริงของการเชื่อในพระเจ้าหรือคำพยานจากประสบการณ์ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรใดที่สามารถเหนี่ยวรั้งหัวใจของพวกเขาไว้ได้  สิ่งเหล่านี้ไม่ทำให้พวกเขาสนใจ สะเทือนใจ หรือทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันได้เลย  นี่คือแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ซึ่งก็คือพวกเขาไม่มีความสนใจใดๆ ต่อสิ่งที่เป็นบวก  แล้วพวกเขาสนใจสิ่งใด?  พวกเขาสนใจการกิน การดื่ม และความสนุกสนาน ความสุขสำราญของเนื้อหนัง กระแสนิยมที่ชั่ว และปรัชญาของซาตาน  พวกเขาสนใจสิ่งที่เป็นลบทั้งหมดในสังคมเป็นพิเศษ มีเพียงความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่พวกเขาไม่สนใจ  นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาสามารถไปจากพระนิเวศของพระเจ้าได้ทุกเมื่อ  พวกเขาไม่มีความสนใจใดๆ ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำ หรือสามัคคีธรรมความจริงบ่อยๆ ในระหว่างการชุมนุมของพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขารังเกียจการทำหน้าที่เป็นพิเศษและถึงกับคิดว่าบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ของตนล้วนเป็นคนโง่เขลาทั้งสิ้น  นี่เป็นวิธีคิดประเภทใดและเป็นความเป็นมนุษย์ประเภทไหนกัน?  พวกเขาไม่สนใจความจริงหรือความรอดของพระเจ้าต่อผู้คน และพวกเขาไม่รู้สึกผูกพันกับชีวิตคริสตจักรเลยแม้แต่น้อย  แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ตัดสินหรือกล่าวโทษพระวจนะของพระเจ้าอย่างเปิดเผย แต่พวกเขาก็ได้ฟังคำเทศนามาเป็นเวลาหลายปีโดยไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย—เรื่องนี้บ่งชี้ให้เห็นถึงปัญหาอย่างชัดเจน  ไม่มีใครที่ไม่ชอบทั้งสิ่งที่เป็นบวกและสิ่งที่เป็นลบในเวลาเดียวกัน  ตราบใดที่เจ้าไม่ชอบสิ่งที่เป็นบวก เจ้าก็จะสนใจสิ่งที่เป็นลบเป็นพิเศษ  หากเจ้าสนใจสิ่งที่เป็นลบเป็นพิเศษ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่สนใจในสิ่งที่เป็นบวกอย่างแน่นอน  คนประเภทนี้ไม่มีความสนใจในสิ่งที่เป็นบวกเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดในพระนิเวศของพระเจ้าที่พวกเขารู้สึกผูกพัน ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาชอบหรือโหยหา  กระแสนิยมชั่วของโลก เงิน ชื่อเสียงและผลประโยชน์ การเป็นข้าราชการ การร่ำรวย ตลอดจนความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติต่างๆ ที่เป็นที่นิยมคือสิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุด  หัวใจของพวกเขามุ่งอยู่กับโลก ไม่ใช่ที่พระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงพร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อ  การจากพระนิเวศของพระเจ้าและการจากชีวิตคริสตจักรไปนั้นไม่ได้นำความเสียใจ ความทุกข์ทรมานหรือความเจ็บปวดมาให้พวกเขา แต่กลับเป็นการปลดเปลื้องโดยสิ้นเชิง  พวกเขาคิดในใจว่า “ในที่สุดฉันก็ไม่ต้องฟังคำเทศนาหรือสามัคคีธรรมความจริงทุกวันอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่ต้องถูกจำกัดโดยสิ่งเหล่านี้อีก  ตอนนี้ฉันสามารถไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ เงิน หญิงงาม และจุดหมายปลายทางในอนาคตส่วนตัวของฉันได้อย่างอาจหาญ  ในที่สุดฉันก็สามารถโกหกและคดโกงผู้อื่นได้อย่างไม่กลัวเกรง ดำเนินการตามแผนการและกลอุบาย และปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่เลวร้ายทุกประเภทอย่างไร้กังวล  ฉันสามารถใช้วิธีการใดก็ได้ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน!”  การฟังคำเทศนาและสามัคคีธรรมความจริงในพระนิเวศของพระเจ้านั้นเป็นความเจ็บปวดสำหรับพวกเขา และการจากพระนิเวศของพระเจ้าไปนั้นก็รู้สึกเหมือนเป็นการปลดเปลื้อง  นี่หมายความว่าสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่หัวใจของพวกเขาต้องการ  สิ่งที่พวกเขาต้องการคือสิ่งทั้งปวงที่เป็นของโลกและสังคม  จากเรื่องนี้จึงเห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่พวกเขาจากคริสตจักรไปนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับการไล่ตามไขว่คว้าและความชอบส่วนตนของพวกเขา

ผู้คนเหล่านี้ที่พร้อมจะจากพระนิเวศของพระเจ้าไปได้ทุกเมื่อมีแก่นแท้ธรรมชาติอย่างไร?  ตอนนี้พวกเจ้าเห็นหรือยังว่าแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเป็นอย่างไร?  (เห็นแล้ว พวกเขาเป็นประเภทผู้ไม่เชื่อ  คนเหล่านี้โดยส่วนใหญ่เป็นสัตว์เดรัจฉานที่มาเกิดใหม่ พวกเขาล้วนเป็นคนเลอะเลือนที่ไม่มีสมองหรือความคิด)  ถูกต้อง  พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องของความเชื่อ  พวกเขาไม่เข้าใจว่าชีวิตมนุษย์นั้นแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร ผู้คนควรเดินบนเส้นทางใด สิ่งใดมีความหมายที่สุดที่จะทำ หลักธรรมของการปฏิบัติใดที่ควรยึดถือเมื่อเป็นเรื่องของการประพฤติปฏิบัติตน และเรื่องอื่นๆ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะแสวงหาความจริงเพื่อทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้อีกด้วย  พวกเขาชอบไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด?  ความคิดของพวกเขาวนเวียนอยู่ตลอดทั้งวันว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ได้ผลประโยชน์และสุขสำราญกับชีวิตที่เหนือกว่าผู้อื่น  บางคนเริ่มเชื่อในพระเจ้าขณะที่เป็นลูกจ้างอยู่ในโลก  แต่ทันทีที่พวกเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ดูแลหรือผู้จัดการ หรือกลายเป็นเจ้านาย พวกเขาก็เลิกเชื่อ  เมื่อพี่น้องชายหญิงติดต่อพวกเขาไป พวกเขาก็กล่าวว่า “ตอนนี้ฉันเป็นคนที่มีสถานะและมีหน้ามีตา มีสถานะทางสังคม  การเชื่อในพระเจ้าไปกับพวกคุณนั้นน่าอับอายเกินไป  พวกคุณทุกคนควรอยู่ให้ห่างจากฉัน และอย่ามาตามหาฉันอีก!  พวกคุณสามารถตัดชื่อฉันออกหรือขับไล่ฉันก็ได้ตามใจคุณ  ไม่ว่าอย่างไร บทบาทของฉันในการเชื่อในพระเจ้าก็จบลงแล้ว และฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกคุณอีกต่อไป!”  เห็นสิ่งที่พวกเขาพูดหรือไม่?  พวกเขาเป็นคนประเภทใด?  พวกเจ้ายังจะติดต่อพวกเขาอีกหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาพูดจาโผงผางถึงเพียงนี้ แต่ผู้นำคริสตจักรบางคนยังคงรู้สึกเสียดายเมื่อเห็นพวกเขาจากไป และติดต่อพวกเขาไปหลายครั้งเพื่อโน้มน้าวพวกเขาโดยกล่าวว่า “คุณมีขีดความสามารถที่ดีเช่นนี้ และคุณยังเคยเป็นผู้นำและคนทำงานด้วยซ้ำไป  เพียงเพราะคุณไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง คุณจึงถูกปลด  หากคุณไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างขยันขันแข็ง คุณย่อมได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน และในอนาคต คุณจะเป็นเสาหลัก และเป็นกำลังสำคัญในพระนิเวศของพระเจ้าเป็นแน่!”  ยิ่งผู้นำพูดถึงสิ่งเหล่านี้มากเท่าใด อีกฝ่ายก็ยิ่งรังเกียจมากขึ้นเท่านั้น  ผู้นำคริสตจักรบางคนเป็นคนเลอะเลือนและไร้ซึ่งวิจารณญาณแยกแยะ คนคนนี้ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในโลกแล้ว แต่ผู้นำเหล่านี้ยังคงอิจฉาเขาและต้องการสร้างความสัมพันธ์กับเขา—นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้ซึ่งความเคารพตนเองมิใช่หรือ?  ผู้คนที่เข้าใจความจริงสามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนว่า การได้รับการเลื่อนตำแหน่งในสังคมไม่ใช่สัญญาณที่ดี นั่นไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องที่คนเราควรเดิน!  บางคนเลิกเชื่อในพระเจ้าทันทีที่พวกเขาได้รับสถานะในสังคมเพียงเล็กน้อย—เรื่องนี้เพียงเผยตัวพวกเขาออกมาและพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจหรือรักความจริงเลย  หากพวกเขาเป็นผู้เชื่อที่จริงใจ ต่อให้พวกเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งและมีอนาคตที่สดใสในสังคม พวกเขาก็จะยังคงไม่จากพระเจ้าไป  ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ทรยศพระเจ้าแล้ว ยังมีความจำเป็นที่คริสตจักรจะต้องติดต่อและทำงานกับพวกเขาอีกหรือ?  ไม่มีความจำเป็นเลย เพราะพวกเขาถูกเผยให้เห็นแล้วว่าเป็นผู้ไม่เชื่อ  การไม่เชื่อในพระเจ้าทำให้พวกเขาเป็นคนที่สูญเสีย—พวกเขาไม่ได้รับพรใดๆ เลย  พวกเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่น่าสมเพช หากเจ้ายังคงยืนกรานที่จะดึงพวกเขาให้มาเชื่อในพระเจ้า  นั่นเป็นเรื่องที่โง่เขลามิใช่หรือ?  ยิ่งเจ้าพยายามดึงพวกเขาเข้ามาเช่นนี้มากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งดูถูกเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  พวกเขาคิดว่าบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าล้วนเป็นผู้คนที่มีสถานะทางสังคมต่ำและไร้ขีดความสามารถ  นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงโอหังและคิดว่าตนเองถูกเป็นพิเศษ และมองทุกคนด้วยความดูถูกเหยียดหยาม  หากใครสักคนแสดงความห่วงใยหรือใส่ใจพวกเขา พวกเขาก็มองว่าการทำเช่นนี้เป็นการพยายามประจบสอพลอ  นี่เป็นวิธีคิดแบบไหนกัน?  เป็นการไม่สามารถมองพี่น้องชายหญิงได้อย่างถูกต้อง  พวกเขาเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่?  เมื่อพบเจอกับคนประเภทนี้ เจ้าควรปฏิเสธพวกเขา  ทันทีที่พวกเขากล่าวว่า “ตอนนี้ฉันเป็นผู้ดูแลระดับสูงแล้ว  อย่ามาตามหาฉันอีก  ถ้าพวกคุณยังติดต่อฉันอีก ฉันจะหันไปเป็นศัตรูของพวกคุณ!  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่ามาที่บริษัทของฉันและทำให้ฉันขายหน้า—ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า!”—เมื่อพวกเขาพูดคำเหล่านี้ออกมา พวกเจ้าก็ควรจากไปในทันที ตัดชื่อพวกเขาออก และอย่าสมาคมกับคนเช่นนี้อีก  พวกเขากลัวว่าพวกเราจะฉวยโอกาสจากความสำเร็จของพวกเขา ด้วยเหตุนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องมีการตระหนักรู้ในตนเองบ้าง  พวกเขากำลังรุ่งเรืองและก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น พวกเขาอยู่คนละระดับกับพวกเรา  พวกเราเป็นเพียงคนธรรมดา เป็นคนที่อยู่ระดับล่างของสังคม  พวกเราไม่ควรพยายามสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา—อย่าลดตัวลงมาเช่นนั้นเลย!  นอกจากนั้นยังมีบางคนที่อายุมากขึ้นและลูกๆ ของพวกเขาก็ซื้อบ้านหรูในเมือง  หลังจากย้ายเข้าไปอยู่แล้ว พวกเขาก็หายหน้าไปจากพี่น้องชายหญิง โดยกล่าวว่า “อย่ามาตามหาฉันอีก  พวกคุณทุกคนมาจากชนบท  ถ้าพวกคุณมาตามหาฉัน ผู้คนจะคิดว่าฉันก็มาจากชนบทเหมือนกัน คิดว่าฉันมีญาติเป็นคนบ้านนอก  นั่นจะน่าอับอายขนาดไหน!  พวกคุณรู้ไหมว่าลูกชายของฉันเป็นคนแบบใด?  เขาเป็นคนร่ำรวย เขาเป็นเศรษฐี เป็นคนมีชื่อเสียงในสังคม!  ถ้าพวกคุณยังติดต่อกับฉันอยู่ จะไม่นำความอัปยศอดสูมาให้ลูกชายของฉันหรอกหรือ?  ดังนั้นอย่ามาตามหาฉันอีกในอนาคต!”  ทันทีที่พวกเขากล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา จงตอบเพียงว่า “ในเมื่อนี่คือท่าทีของคุณ พวกเราเข้าใจ  เช่นนั้นพวกเราก็ขอให้คุณมีความสุขและเบิกบานใจ!”  ในขณะนั้น หากเจ้าพูดอะไรอีกแม้กระทั่งคำเดียว เจ้าจะดูเป็นคนโง่เขลาและต่ำต้อย  สิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำมีเพียงการจากไปในทันที  จงอย่าพยายามโน้มน้าวผู้ไม่เชื่อโดยการบังคับเด็ดขาด—นั่นเป็นพฤติกรรมที่โง่เขลาจริงๆ  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  คนบางคนโง่เขลาได้เพียงใด?  พวกเขากล่าวว่า “ลูกชายของคนนั้นเป็นคนร่ำรวย เป็นเศรษฐีที่มีสถานะในสังคม  เขายังมีสายสัมพันธ์กับข้าราชการอีกด้วย  ถ้าพวกเราเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าต่อไป ครอบครัวของพวกเขาก็สามารถทำหน้าที่เจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงได้ด้วยซ้ำไป!”  แนวคิดนี้ฟังดูเป็นอย่างไร?  หากเจ้าคิดถึงเรื่องนี้จากมุมมองที่คำนึงถึงงานของคริสตจักร การคำนึงถึงพี่น้องชายหญิง และการพิจารณาถึงความปลอดภัย แนวคิดนี้ก็เหมาะสมอย่างยิ่ง  แต่เจ้าต้องดูว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่  หากพวกเขาไม่เต็มใจที่จะเชื่อในพระเจ้าและไม่ชอบที่จะติดต่อกับพี่น้องชายหญิง แต่เจ้ายังคงต้องการโน้มน้าวให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้า นั่นคือความโง่เขลาไม่ใช่หรือ?  จงอย่าทำสิ่งที่แสดงถึงการขาดความเคารพตนเอง  พวกเรามีการคุ้มครองและการทรงชี้แนะของพระเจ้าในการเชื่อในพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเราจะมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเราจะสู้ทนกับความทุกข์ใด พวกเราก็ควรใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี  บางคนถึงกับอิจฉาคนคนนี้ที่ไปจากพระนิเวศของพระเจ้า โดยกล่าวว่าพวกเขามีความสามารถ—ทัศนะนี้ถูกต้องหรือไม่?  พวกเราควรมองเรื่องนี้อย่างไร?  เมื่อพวกเขาย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่ พวกเขาก็เลิกเชื่อในพระเจ้า  ในสังคมนั้น พวกเขามีสถานะและตำแหน่ง และในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขากลับดูถูกพี่น้องชายหญิง และมองว่าพี่น้องชายหญิงเป็นผู้คนที่อยู่ระดับล่างของสังคมซึ่งไม่คู่ควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์ด้วย  ดังนั้นพวกเราควรมีการตระหนักรู้ในตนเองและไม่พยายามสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนดังกล่าวหรือประจบเอาใจพวกเขา  ใช่หรือไม่?  (ใช่)

สำหรับบรรดาผู้ที่พร้อมจะจากพระนิเวศของพระเจ้าไปได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ไม่เชื่อหรือเป็นเพียงคนเกียจคร้าน ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพรหรือเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ—ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด—ตราบใดที่พวกเขาพร้อมจะไปจากพระนิเวศของพระเจ้าได้ทุกเมื่อ และหลังจากจากไปแล้ว พวกเขาก็รังเกียจการที่พี่น้องชายหญิงติดต่อพวกเขา และยิ่งรังเกียจความช่วยเหลือและการค้ำจุนของพี่น้องชายหญิง โดยแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อใครก็ตามที่สามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจแก่คนเช่นนี้  หากพบผู้ไม่เชื่อประเภทนี้ ก็ควรเปิดโปงและเอาตัวพวกเขาออกไปอย่างทันท่วงที  บางคนอาจไม่รักความจริง แต่พวกเขาชอบเป็นคนดีและสุขสำราญกับการใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องชายหญิง การใช้ชีวิตเช่นนี้ทำให้พวกเขาอารมณ์ดี และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังหลีกเลี่ยงการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมอีกด้วย  ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขารู้ว่าตนเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้และเต็มใจที่จะลงแรงอย่างขยันหมั่นเพียร  หากพวกเขามีท่าทีแบบนี้จริงๆ พวกเจ้าคิดว่าควรอนุญาตให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนต่อไปหรือไม่?  (ควร)  หากพวกเขาเต็มใจที่จะลงแรง และไม่ก่อกวนหรือขัดขวาง เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถลงแรงต่อไปได้  แต่หากวันหนึ่งพวกเขาไม่เต็มใจที่จะลงแรงอีกต่อไปและต้องการไปจากพระนิเวศของพระเจ้า โดยกล่าวว่า “ฉันจะออกไปลองสร้างเนื้อสร้างตัวในโลก  ฉันจะไม่เชื่อพระเจ้ากับพวกคุณอีกต่อไป  ที่นี่ไม่สนุกเลย และบางครั้งเมื่อฉันทำหน้าที่ของฉันอย่างสุกเอาเผากิน ฉันก็ถูกตัดแต่ง  การอยู่ที่นี่ช่างลำบากจริงๆ  ฉันอยากจากไป”—ควรโน้มน้าวให้คนเช่นนี้อยู่ต่อหรือไม่?  (ไม่)  พวกเราสามารถถามพวกเขาได้เพียงคำถามเดียวว่า “คุณคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วหรือ?”  หากพวกเขากล่าวว่า “ฉันคิดเรื่องนี้มานานแล้ว” เจ้าก็สามารถกล่าวได้ว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ขอให้คุณโชคดี  ดูแลตัวเองด้วย  ลาก่อน!”  วิธีการนี้ใช้ได้หรือไม่?  (ใช้ได้)  พวกเจ้าคิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนประเภทใด?  พวกเขาเป็นคนประเภทที่คิดว่าตนเองอยู่เหนือคนธรรมดา และรังเกียจโลกและวิถีของโลก โดยมักจะท่องบทกวีของผู้คนที่มีชื่อเสียง เช่น “ฉันสะบัดแขนเสื้อ โดยไม่เอาเมฆไปด้วยแม้เพียงปุยเดียว”  พวกเขาคิดว่าพวกเขารักษาตนเองให้บริสุทธิ์และไม่เหมาะกับโลกนี้ และพวกเขาต้องการหาความสบายใจบางอย่างด้วยการเชื่อในพระเจ้า  พวกเขามองว่าตนเองเป็นคนพิเศษอยู่เสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเป็นคนธรรมดาสามัญที่สุด ใช้ชีวิตเพื่อกิน ดื่ม และสนุกสนานเท่านั้น  พวกเขาไม่มีความคิดที่แท้จริงและไม่มีการไล่ตามเสาะหาที่แท้จริง  พวกเขามองว่าตนเป็นคนที่สูงส่ง ประหนึ่งว่าไม่มีใครสามารถเข้าใจความคิดของพวกเขาหรือเทียบเคียงวิธีคิดของพวกเขาได้เลย  พวกเขามองว่าขอบเขตความคิดของตนเองนั้นสูงกว่าของคนทั่วไป โดยกล่าวสิ่งต่างๆ เช่น “พวกคุณทุกคนเป็นคนธรรมดา แต่ดูฉันสิ—ฉันแตกต่างออกไป  ถ้าคุณถามฉันว่าฉันมาจากที่ไหน ฉันก็จะบอกคุณว่าบ้านเกิดของฉันอยู่ไกลโพ้น”  พวกเขาบอกเจ้าหรือไม่ว่าพวกเขามาจากที่ใด?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าสถานที่ที่เรียกว่า “ไกลโพ้น” นี้อยู่ที่ใด?  ผู้คนที่พร้อมจะจากคริสตจักรไปได้ทุกเมื่อก็คือคนประเภทนี้นั่นเอง  พวกเขารู้สึกว่าไม่มีที่ใดสามารถทำให้พวกเขาพึงพอใจได้และมักจะคิดถึงแต่สิ่งที่ไม่เป็นจริง คลุมเครือ และเป็นสิ่งลวงตาอยู่เสมอ  พวกเขาไม่จดจ่ออยู่กับความเป็นจริงและไม่เข้าใจว่าชีวิตมนุษย์คืออะไรหรือเส้นทางใดที่ผู้คนควรเลือก  พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้—พวกเขาเป็นเพียงคนที่มีพฤติกรรมแปลกๆ เท่านั้น  หากคนประเภทนี้ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไปจากพระนิเวศของพระเจ้าและกล่าวว่าพวกเขาได้คิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนมาเป็นเวลานานแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวให้พวกเขาอยู่ต่อ  จงอย่าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว—เพียงตัดชื่อพวกเขาออกเท่านั้นก็พอ  นี่คือวิธีที่ควรจัดการกับคนเช่นนี้ วิธีนี้สอดคล้องกับหลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้คน  การสามัคคีธรรมถึงบรรดาผู้ที่พร้อมจะไปจากคริสตจักรได้ทุกเมื่อก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้

ญ. หวั่นไหว

การสำแดงประการที่สิบคือ “หวั่นไหว”  ผู้คนที่หวั่นไหวมีการสำแดงที่เฉพาะเจาะจงอย่างไรบ้าง?  ก่อนอื่น ข้อสงสัยที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดที่ผู้คนเหล่านี้มีเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าก็คือ “แท้จริงแล้วพระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่?  มีโลกวิญญาณหรือไม่?  มีนรกหรือไม่?  พระวจนะที่พระเจ้าตรัสเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่?  ผู้คนบอกว่าบุคคลนี้คือพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ แต่ฉันก็ไม่เห็นแง่มุมใดที่ทำให้เขาดูเหมือนพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เลย!  แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่?  จริงๆ แล้วพระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่?”  พวกเขาไม่เคยตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนเลย  พวกเขาเห็นว่ามีผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้าและคิดว่า “พระเจ้าต้องมีอยู่จริง  พระองค์คงจะมีอยู่จริง  ฉันหวังว่าพระองค์จะมีอยู่จริง  อย่างไรเสีย การเชื่อในพระเจ้าก็ไม่ได้ทำให้ฉันสูญเสียอะไร ไม่มีใครปฏิบัติมิชอบต่อฉัน  ฉันได้ยินมาว่าการทำหน้าที่สามารถนำพรและบั้นปลายที่ดีมาให้ได้ และจะทำให้ฉันไม่ตายในอนาคต  ดังนั้นฉันว่าฉันจะทำตามและเชื่อไปก็แล้วกัน”  หลังจากเชื่อไประยะหนึ่ง พวกเขาก็เห็นว่าบางคนเผชิญกับบททดสอบและความทุกข์ยาก แล้วพวกเขาก็เริ่มไตร่ตรองว่า “การเชื่อพระเจ้าควรจะนำพรมาให้ไม่ใช่หรือ?  บางคนป่วยหนักและเสียชีวิต บางคนถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมและข่มเหงจนตาย และคนอื่นๆ ก็เจ็บป่วยหรือมีความวิบัติเกิดขึ้นกับครอบครัวของพวกเขาขณะที่ทำหน้าที่  เพราะเหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงคุ้มครองพวกเขา?  ดังนั้นจริงๆ แล้วพระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่?  ถ้าพระองค์มีอยู่จริง สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้น!”  บางคนที่มีเจตนาดีก็สามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา โดยกล่าวว่า “พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสิ่งทั้งปวง และชะตากรรมของผู้คนก็ถูกจัดวางเรียบเรียงโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า  ผู้คนควรยอมรับเรื่องเหล่านี้จากพระเจ้าและยอมตนต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนเป็นสิ่งที่ดี”  บุคคลที่หวั่นไหวเหล่านี้กล่าวถึงการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ว่า “ฉันไม่เห็นว่าเรื่องนี้ดีตรงไหน!  การทนทุกข์กับความวิบัติ—นั่นเป็นเรื่องดีหรือ?  การป่วยหนักหรือเป็นโรคที่รักษาไม่หาย—นั่นเป็นเรื่องดีหรือ?  การตายนั้นยิ่งแย่กว่า  พระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่?  ฉันไม่รู้”  พวกเขาเต็มไปด้วยข้อสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่เสมอ  เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนมากมายทำหน้าที่ งานของพระนิเวศของพระเจ้าขยายออกไปเรื่อยๆ และคริสตจักรเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน พวกเขาก็รู้สึกว่าพระเจ้าต้องมีอยู่จริง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ยินพี่น้องชายหญิงเป็นพยานให้แก่หมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงแสดงและพระคุณที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้า บุคคลที่หวั่นไหวเหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกอย่างแรงกล้ามากขึ้นอีกว่า “พระเจ้ามีอยู่จริงอย่างแน่นอน!  แม้ว่าผู้คนจะไม่สามารถมองเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าได้ แต่ผู้คนก็ได้ยินพระวจนะที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ตรัส และฉันก็ได้ยินผู้คนมากมายเหลือเกินที่สามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า  ดังนั้น พระเจ้าต้องมีอยู่จริงอย่างแน่นอน!”  เวลาที่คริสตจักรกำลังเจริญรุ่งเรือง ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นสำหรับคริสตจักร คริสตจักรเฟื่องฟู และงานของคริสตจักรก็ขยายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพี่น้องชายหญิงมีประสบการณ์กับสภาวการณ์พิเศษบางอย่างและเรื่องพิเศษบางเรื่อง และเห็นการคุ้มครอง อธิปไตย และการทรงนำของพระเจ้าผ่านสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็รู้สึกว่าพระเจ้ามีอยู่จริงและพระเจ้าทรงดีงามอย่างแท้จริง  อย่างไรก็ดี หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง พวกเขาอาจประสบกับความคับข้องใจและช่วงเวลาที่ยากลำบาก บางคนอาจประสบกับความล้มเหลวและความพ่ายแพ้ หรือพระนิเวศของพระเจ้าอาจจะกำจัดคนส่วนหนึ่งออกไป  เรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุดท้าย ขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาอย่างมากและอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา  พวกเขารู้สึกว่า “ถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?  สิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย!  เป็นเรื่องปกติที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้าด้วยได้อย่างไร?  ถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง พระองค์ก็ควรจะจัดการเรื่องเหล่านี้และป้องกันไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะพระองค์เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ ทรงมีสิทธิอำนาจ และทรงมีฤทธานุภาพ!  จริงๆ แล้วพระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่?  ผู้คนไม่สามารถมองเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าได้  ส่วนพระวจนะที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ตรัสนั้น ผู้คนล้วนกล่าวว่าพระวจนะดังกล่าวเป็นความจริง เป็นหนทาง และสามารถเป็นชีวิตของผู้คนได้  แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกว่าพระวจนะเหล่านั้นเป็นความจริง?  ฉันฟังคำเทศนามานานขนาดนี้ แต่ชีวิตของฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย!  ฉันทนทุกข์มามากมายเหลือเกิน—แล้วฉันได้อะไรมาบ้าง?”  พวกเขาเริ่มมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้า และความกระตือรือร้นในการทำหน้าที่ของพวกเขาก็ลดลงและร้อนแรงน้อยลง  จากนั้นพวกเขาก็คิดที่จะจากพระนิเวศของพระเจ้าไปทำงานหาเงินเพื่อใช้ชีวิตที่ดี—ความคิดเชิงรุกเหล่านี้ก็เริ่มผุดออกมา  พวกเขาคิดกับตัวเองว่า “ถ้าพระเจ้าที่ฉันเชื่อไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้ เช่นนั้นแล้วการที่ฉันไม่ทำงานหรือไม่หาเงินตลอดหลายปีมานี้ขณะที่เชื่อในพระเจ้าก็คงจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่!  ไม่สิ การคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง  ฉันยังคงต้องเชื่ออย่างถูกควร  ฉันเคยได้ยินคนพูดว่าการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นจะทำให้คนเราสามารถเข้าใจความจริงได้ แก้ปัญหาทุกอย่างได้ และไม่อ่อนแออีกต่อไป  แต่ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วก็ยังไม่เข้าใจความจริง  ทำไมฉันยังรู้สึกคิดลบอยู่?  ทำไมฉันถึงรู้สึกเสมอว่าไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำหน้าที่?  พระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจในตัวฉันอยู่!  ฉันมีความลำบากยากเย็นมากเหลือเกิน แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงเปิดทางออกให้ฉัน  ดังนั้นจริงๆ แล้วพระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่?  ถ้านี่คือหนทางที่แท้จริง พระเจ้าก็ควรจะทรงประทานพรให้ผู้คนที่ทำหน้าที่อย่างมีสันติสุข ความราบรื่น และความเป็นปกติ  แล้วทำไมถึงยังมีความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวงเช่นนี้ในการประกาศข่าวประเสริฐและทำหน้าที่?  แม้ว่าฉันจะรู้ว่าโลกศาสนาล้าหลังไปแล้ว และการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็เป็นการเข้าสู่ยุคราชอาณาจักร แต่ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นเลยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร?”  คนเหล่านี้เป็นคนประเภทใดกัน?  พวกเขาเป็นคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าแต่กลับไม่เข้าใจความจริง  ไม่ว่าจะมีการสามัคคีธรรมความจริงมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายของความจริงได้  พวกเขามีทัศนะต่อสิ่งต่างๆ ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนอยู่เสมอ และเต็มไปด้วยข้อสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่ร่ำไป  คนเช่นนี้จะสามารถเข้าใจความจริงได้อย่างไร?  บางคนเห็นว่าการประกาศข่าวประเสริฐนั้นค่อนข้างยาก ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่า “ถ้านี่เป็นหนทางที่แท้จริง พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะทรงพระราชกิจอย่างมาก  ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะไปประกาศข่าวประเสริฐที่ใดก็ตาม ก็จะราบรื่นและไร้อุปสรรคขัดขวาง  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่รัฐก็จะเริ่มเชื่อและให้ไฟเขียวกับทุกสิ่ง  นี่ถึงจะเป็นการทรงกระทำของพระเจ้าเที่ยงแท้อย่างแท้จริง  แต่ตอนนี้เมื่อมองดูข้อเท็จจริงแล้ว เรื่องไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย  ไม่เพียงแต่ประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะไม่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่สนับสนุนการเชื่อในพระเจ้าอีกด้วย  ในบางประเทศ รัฐบาลถึงกับข่มเหงผู้เชื่อและขัดขวางผู้คนไม่ให้เชื่อในพระเจ้า  แล้วพระเจ้าที่พวกเราเชื่อเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้จริงหรือไม่?  ฉันไม่รู้ เรื่องนี้พูดยาก”  มีเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่อยู่ในหัวใจของพวกเขาเสมอ  ทุกครั้งที่พวกเขาได้ยินข่าวอะไรบางอย่าง พวกเขาก็รู้สึกราวกับข่าวนั้นเป็น “แผ่นดินไหว” ที่มีผลกระทบไม่ใหญ่โตและไม่เล็กจนยากจะสังเกตเห็น ซึ่งทำให้พวกเขาหวั่นไหว  บางคนกล่าวว่า “เป็นเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้นจึงทำให้พวกเขาหวั่นไหวอยู่เสมอใช่หรือไม่?”  เรื่องไม่ได้เป็นเช่นนั้น—บางคนเชื่อมาสามปี ห้าปี หรือแม้กระทั่งเกินสิบปีแล้ว  นั่นถือว่าเป็นเวลาสั้นๆ หรือ?  หากใครบางคนเชื่อมาเป็นเวลาสามหรือห้าปีในช่วงพระราชกิจแห่งยุคพระคุณ นั่นย่อมจะไม่ถือว่านาน เพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินถ้อยดำรัสและพระวจนะของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พวกเขาเข้าใจความรู้ในพระคัมภีร์และทฤษฎีฝ่ายวิญญาณเพียงเล็กน้อยจากพระคัมภีร์และจากคำเทศนาของผู้คน  นั่นน้อยเกินไปที่จะได้รับ  เรื่องราวแตกต่างออกไปเมื่อใครบางคนยอมรับพระราชกิจในช่วงระยะปัจจุบันนี้—ตราบใดที่พวกเขาทำหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้าเป็นเวลาสามปี สิ่งที่พวกเขามีประสบการณ์ เข้าใจ และได้รับนั้นเหนือกว่าสิ่งที่ใครบางคนสามารถได้รับจากการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาเป็นเวลายี่สิบหรือสามสิบปี หรือแม้กระทั่งตลอดชีวิตในยุคพระคุณ  แต่ผู้คนเหล่านี้ที่หวั่นไหว แม้กระทั่งหลังจากเชื่อมาสามปี ห้าปี หรือมากกว่าสิบปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถพิจารณาได้ว่าพระเจ้าทรงทำพระราชกิจในช่วงระยะนี้หรือไม่ และพวกเขาก็มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเจ้าด้วยซ้ำไป  เจ้าจะกล่าวว่าผู้คนเช่นนี้สร้างความเดือดร้อนมากหรือไม่?  พวกเขามีความสามารถในการทำความเข้าใจความจริงหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขามีวิธีการคิดตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเขาไม่สามารถทำความเข้าใจความจริงได้  ไม่ว่าจะมีสถานการณ์ใดเกิดขึ้นในคริสตจักร สถานการณ์นั้นก็สามารถทำให้พวกเขาหวั่นไหวได้เสมอ—เครื่องหมายคำถามในหัวใจของพวกเขากระตุ้นให้เกิด “แผ่นดินไหว” สำหรับพวกเขาอยู่ร่ำไป  หากศัตรูของพระคริสต์ก่อให้เกิดการรบกวนในคริสตจักรและมีบางคนถูกชักพาให้หลงผิด หรือหากใครบางคนที่พวกเขาบูชาทำบางสิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิด—เช่น ขโมยของถวายหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม—และถูกเอาตัวออกไป นั่นก็ทำให้หัวใจของพวกเขาหวั่นไหว และพวกเขาเริ่มสงสัยพระเจ้าว่า “นี่ไม่ใช่กระแสแห่งพระราชกิจของพระเจ้าหรอกหรือ?  แล้วเรื่องที่ไม่รักษากฎเช่นนี้เกิดขึ้นในคริสตจักรได้อย่างไร?  พระเจ้าทรงอนุญาตให้ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วปรากฏตัวได้อย่างไร?  ที่จริงแล้วนี่คือหนทางที่แท้จริง หรือ?”  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคริสตจักรซึ่งขัดกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาทำให้พวกเขาเกิดข้อสงสัยและเริ่มตั้งคำถามว่านี่คือหนทางที่แท้จริงหรือไม่ นี่เป็นพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่ และพระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงเพื่อที่จะมองเรื่องนี้อย่างถูกต้องเลย  เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาไม่เคยเชื่อเลยว่าพระเจ้าทรงทำพระราชกิจในช่วงระยะนี้  ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาไม่เคยรู้ว่าความจริงคืออะไร หรือเพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงแสดงความจริง  พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะมากมายนักและได้ทรงพระราชกิจเป็นจำนวนมากเหลือเกิน—ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ  มีผู้คนมากมายจริงๆ ที่ได้พิสูจน์ว่าเรื่องนี้จริงและแน่ใจในเรื่องนี้แล้ว แต่พวกเขากลับปฏิเสธที่จะมองเรื่องทั้งหลายบนพื้นฐานของสิ่งเหล่านี้  พวกเขามักใช้มุมมองของมนุษย์และการคิดของมนุษย์ในการตัดสิน—พวกเขาเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป  เมื่อมีช่องโหว่หรือการเบี่ยงเบนบางอย่างในงานของคริสตจักรหรือในชีวิตคริสตจักร หรือเมื่อคริสตจักรถูกรัฐบาลกดขี่และข่มเหง พวกเขาก็เริ่มตั้งคำถามอีกครั้งว่า “นี่คือหนทางที่แท้จริงจริงๆ หรือ?”  เมื่อศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จปรากฏตัวในคริสตจักร พวกเขาก็เริ่มตั้งคำถามเช่นกัน  พวกเขากล่าวว่า “ดูศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเหล่านั้นในคริสตจักรทางศาสนาสิ—พวกเขารักองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง และไม่มีเหตุการณ์เกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ในคริสตจักรของพวกเขาเลย  นั่นแหละคือหนทางที่แท้จริง  ถ้าสิ่งที่พวกคุณมีที่นี่คือหนทางที่แท้จริง ทำไมเรื่องเหล่านี้ถึงยังเกิดขึ้นอยู่?”  นี่คือวิธีที่พวกเขาเปรียบเทียบ  แล้วคนเบาปัญญาคนอื่นเปรียบเทียบอย่างไร?  พวกเขากล่าวว่า “ดูผู้คนเหล่านั้นที่เชื่อในพระเจ้าในคริสตจักรสามตนสิ—พวกเขาได้รับความเห็นชอบจากรัฐ และรัฐยังออกใบรับรองให้และมอบที่ดินให้พวกเขาสร้างคริสตจักรด้วยซ้ำไป  ทุกอย่างถูกต้องและถูกกฎหมาย  พวกคุณมีคริสตจักรสาธารณะหรือไม่?  คริสตจักรของพวกคุณมีการจดทะเบียนหรือไม่?  รัฐยังมอบหมายศิษยาภิบาลให้กับคริสตจักรสามตนด้วยซ้ำไป และศิษยาภิบาลเหล่านั้นก็มีใบอนุญาต  ผู้นำและคนทำงานของพวกคุณมีใบอนุญาตหรือไม่?  รัฐไม่อนุญาตให้พวกคุณเชื่อในพระเจ้า ทั้งยังจับกุมและข่มเหงพวกคุณ  พวกคุณไม่มีแม้แต่สถานที่ที่แน่นอนสำหรับการชุมนุม พวกคุณชุมนุมกันอย่างลับๆ อยู่เสมอ  นี่คือหนทางที่แท้จริงจริงๆ หรือ?  ถ้านี่เป็นหนทางที่แท้จริง ทำไมพวกคุณจะชุมนุมและทำหน้าที่ของตนอย่างลับๆ ล่อๆ เช่นนี้อยู่เสมอ?”  พวกเขาไม่สามารถมองทะลุแม้กระทั่งเรื่องนี้ได้  สถานการณ์ใดๆ ก็สามารถทำให้พวกเขาหวั่นไหวและเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้าได้  จงบอกเราเถิดว่า คนเช่นนี้จะสามารถตั้งมั่นได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แม้ว่าจากภายนอกพวกเขาจะยังไม่ได้จากคริสตจักรไป แต่ในหัวใจนั้น พวกเขาก็อยู่บนปากหลุมแห่งอันตรายแล้ว  พวกเขาไม่เคยสามารถแน่ใจในพระราชกิจของพระเจ้าและความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงได้เลย และพวกเขาก็มักจะเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่งอยู่เสมอ สภาวะเช่นนี้ทำให้พวกเขาไม่อาจมีความเชื่อที่แท้จริงได้  พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้ว่าการข่มเหง การกดขี่ และการจับกุมทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีแห่งพระราชกิจของพระเจ้านี้ล้วนอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า และทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงมีมโนคติอันหลงผิดและสามารถตั้งคำถามได้ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งได้หรือไม่  พวกเขาเชื่อเสมอว่างานทั้งหมดของพระนิเวศของพระเจ้านั้นมีมนุษย์เป็นผู้ทำ และไม่สามารถมองเห็นเครื่องหมายของกิจการของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อมิใช่หรือ?  หากคนเช่นนี้เพิ่งเชื่อมาเป็นเวลาหกเดือนหรือหนึ่งปีเท่านั้นและยังไม่เข้าใจความจริงต่างๆ อย่างชัดเจน ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ที่พวกเขาจะมีข้อสงสัยและหวั่นไหวเมื่อเห็นสิ่งที่ขัดกับมโนคติอันหลงผิดของตน  แต่บางคนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว ได้ฟังคำเทศนามามากมาย และได้รับการสามัคคีธรรมความจริงเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็น  ในเวลานั้น พวกเขาเข้าใจสิ่งที่ได้ยินในเชิงคำสอน  อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นเมื่อเผชิญกับเรื่องทั้งหลายอีกครั้ง พวกเขาก็ยังคงตั้งคำถามกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า  นี่แสดงให้เห็นว่าผู้คนเช่นนี้ไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจความจริง ไม่มีการคิดตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการเป็นมนุษย์

ควรจัดการกับผู้คนที่หวั่นไหวอย่างไร?  ในแง่ของความเป็นมนุษย์ ผู้คนเหล่านี้ไม่ถึงกับเป็นคนชั่ว แต่พวกเขาก็เป็นคนประเภทที่เป็นตัวปัญหาอย่างแท้จริง เพราะพวกเขาไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจความจริงและไม่มีการคิดตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาไม่สามารถแม้กระทั่งจะยืนยันความจริงมากมายหลายประการที่พระเจ้าได้ทรงแสดงออกมา และไม่รู้ว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่ หรือว่าเป็นการแสดงออกของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่  เมื่อตัดสินจากความสามารถในการทำความเข้าใจความจริงของพวกเขาแล้ว พวกเขาเป็นคนประเภทใด?  เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะกล่าวว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ และก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องเช่นกันที่จะกล่าวว่าพวกเขาเป็นคนเลอะเลือน  แม้ว่าคนประเภทนี้จะไม่ได้กระทำความชั่วที่เห็นได้ชัดใดๆ และไม่มีคุณสมบัติที่ถือว่าเป็นคนชั่ว แต่เนื่องจากพวกเขาเลอะเลือนถึงเพียงนี้และสามารถทำหลายสิ่งที่ขัดขวางและก่อกวนได้ พวกเขาจึงเป็นคนไร้ประโยชน์มิใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใดหรือได้ฟังคำเทศนามากี่ครั้ง พวกเขาก็ไม่เคยเข้าใจความจริงได้เลย  พวกเขาไม่สามารถยืนยันการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรืออธิปไตยของพระเจ้าได้ด้วยซ้ำไป  นี่เป็นขีดความสามารถประเภทใด?  คนเหล่านี้ไม่มีขีดความสามารถใดๆ ในการทำความเข้าใจความจริงเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาเป็นคนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยอย่างมาก หรือกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่มีขีดความสามารถเลย—พวกเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ที่ไม่มีสมอง  จงบอกเราเถิดว่า คนไร้ประโยชน์จะสามารถทำหน้าที่อะไรได้บ้าง?  (พวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้)  พวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้ อีกทั้งยังสงสัยและหวั่นไหวอยู่เสมอ  แล้วควรจัดการและปฏิบัติต่อคนเช่นนี้อย่างไร?  วิธีที่เหมาะควรที่สุดในการจัดการกับคนเช่นนี้คือการไม่ให้พวกเขาทำหน้าที่ใดๆ  ต่อให้พวกเขาร้องขอที่จะทำหน้าที่ พวกเขาก็ไม่ควรได้รับอนุญาต  เหตุใดจึงไม่ควร?  เพราะเมื่อคนเช่นนี้เริ่มทำหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้สู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาไปบ้างแล้ว ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องการคิดบัญชีกับพระนิเวศของพระเจ้า  หากพวกเขาถูกจับกุมหรือเผชิญกับความวิบัติทางธรรมชาติหรือภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น พวกเขาจะเสียใจที่ได้สละตนเองเพื่อพระเจ้า พวกเขาจะพร่ำบ่นอย่างขมขื่น และเที่ยวเผยแพร่คำพูดไปทั่วอย่างเช่น “ฉันทนทุกข์มามากเพื่องานของคริสตจักรและเพื่อการทำหน้าที่ของฉัน  ฉันได้กินอาหารน้อยลงมาก นอนน้อยลงมาก และหาเงินได้น้อยลงมาก  ถ้าฉันไม่ได้ทำหน้าที่ ฉันก็คงจะสามารถนำเงินที่หามาได้ไปฝากธนาคาร และก็คงจะได้รับดอกเบี้ย!  ฉันต้องเสี่ยงภัยมากมายเหลือเกิน—ความเสี่ยงแต่ละชั่วโมงมีมูลค่าเท่าไร?  ค่าแรงเป็นเงินเท่าไหร่?”  พวกเขาจะพยายามคิดบัญชีทางการเงินกับพระนิเวศของพระเจ้าและจะถึงกับข่มขู่ว่าหากพระนิเวศของพระเจ้าไม่ชดเชยให้พวกเขา พวกเขาจะรายงานพระนิเวศของพระเจ้า  การปล่อยให้ผู้คนเช่นนี้ทำหน้าที่จะไม่นำมาซึ่งเรื่องเดือดร้อนไม่รู้จบหรอกหรือ?  การจัดการกับบุคคลที่ต่ำต้อยเช่นนี้จะนำไปสู่การพัวพันที่ไม่มีทางแก้ไขได้  ไม่ว่าพวกเขาจะจัดการสิ่งต่างๆ ให้คริสตจักรมากน้อยเพียงใด พวกเขาก็มีสมุดบัญชีแยกประเภทเล็กๆ อยู่ในหัวใจของตน โดยจดบันทึกทุกบัญชีไว้อย่างชัดเจน  ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดเพื่อคริสตจักร พวกเขาก็ไม่เคยทำสิ่งนั้นอย่างเต็มใจเลย  เนื่องจากพวกเขาไม่เต็มใจ พวกเขาจึงต้องการคิดบัญชี  นี่เป็นเพราะเหตุใด?  เป็นเพราะในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า  พวกเขาไม่ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงหรือพระราชกิจของพระเจ้าสามารถช่วยผู้คนให้รอดได้  แล้วต้องมีบำเหน็จรางวัลประเภทใดถึงจะทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจกับการที่ได้จ่ายราคาไปเล็กน้อย ทนทุกข์ไปบ้าง ทำหน้าที่ไปบ้าง และสละทรัพยากรมนุษย์และวัตถุไปบ้างเพื่อผู้ที่เรียกกันว่าพระเจ้าซึ่งพวกเขาจินตนาการขึ้นในความคิดของตน?  หากพวกเขาไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทนเลย พวกเขาจะพึงพอใจหรือไม่?  หากวันหนึ่งพวกเขาตระหนักว่าตนถูกกำจัดออกไปเพราะไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?  พวกเขาจะคิดว่าพระนิเวศของพระเจ้าหลอกลวงพวกเขา บรรดาผู้นำและคนทำงานหลอกลวงพวกเขา และพวกเขาถูกปิดหูปิดตาและตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง  จากนั้น พวกเขาก็จะมีเรื่องโต้แย้งกับพระนิเวศของพระเจ้าและเรียกร้องค่าชดเชย โดยทำให้สิ่งต่างๆ ยืดเยื้อไปไม่รู้จบ  เจ้าคิดว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะต้องการเข้าไปพัวพันกับคนเช่นนี้หรือไม่?  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่โง่เขลาถึงเพียงนั้นเป็นอันขาด!  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทำหน้าที่ของตนเพื่อลุล่วงความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—ทั้งหมดล้วนเป็นการเลือกของพวกเขาเอง เป็นสิ่งที่พวกเขาเต็มใจจะทำ  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยบังคับหรือบีบบังคับผู้ใด  แต่เมื่อผู้ไม่เชื่อเริ่มทำหน้าที่ ช้าหรือเร็วเท่านั้นปัญหาก็จะเกิดขึ้น  เมื่อพวกเขาอารมณ์ไม่ดี พวกเขาก็จะเริ่มบ่นพึมพำและพร่ำบ่นอย่างแน่นอน โดยกล่าวกับคนอื่นว่า “พวกคุณทุกคนพูดจาไพเราะและหลอกลวงฉัน บอกว่าการเชื่อในพระเจ้าจะเปิดโอกาสให้ฉันได้รับความจริงและชีวิตนิรันดร์  แต่ไม่มีใครในพวกคุณบอกเลยว่าจะมีศัตรูของพระคริสต์ในคริสตจักรที่ชักพาผู้คนให้หลงผิด มีคนชั่วที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร หรือคริสตจักรจะเอาคนออกไปหรือขับไล่คนออกไป  พวกคุณไม่เคยบอกฉันเลยว่าเรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นในคริสตจักร!”  พวกเขายังสามารถหันกลับมากล่าวหาเจ้าได้ โดยกล่าวว่า “คุณไม่เคยอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้ฉันฟังอย่างชัดเจนเลย  ฉันก็แค่เชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉันโดยทำตามพวกคุณ  ผลลัพธ์ก็คือ ตอนนี้ฉันไม่มีจุดหมายปลายทางในอนาคตในโลกนี้แล้ว พวกคุณขัดขวางไม่ให้ฉันหาเงินก้อนโต  พวกคุณต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ฉัน!”  เมื่อพวกเขาเริ่มคิดบัญชีกับเจ้า เจ้าไม่รู้สึกขยะแขยงหรอกหรือ?  เจ้าจะเต็มใจที่จะเข้าไปพัวพันกับพวกเขาหรือไม่?  (ไม่)  ใครกันที่จะสามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ให้คนเช่นนี้เข้าใจอย่างชัดเจนได้?  พวกเขาไม่ยอมรับความจริง พวกเขาไม่สามารถมองเห็นการดำรงอยู่ของพระเจ้า และพวกเขาไม่สามารถสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าผ่านประสบการณ์ของตนได้  จงบอกเรามาว่า ใครกันหรือที่จะสามารถยัดเยียดข้อเท็จจริงนี้เข้าไปในความคิดของพวกเขาได้?  ไม่มีใครทำได้  พวกเขาไม่มีปฏิภาณที่จะยอมรับความจริงได้ ดังนั้นการขอให้พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงก็จะเป็นการสร้างความลำบากให้พวกเขาอย่างมาก เป็นการทำให้พวกเขาตกที่นั่งลำบาก—การทำเช่นนั้นมันไม่เป็นไปตามจริงเลย  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อจะได้รับพร  ตราบใดที่พวกเขาทำหน้าที่เล็กน้อย พวกเขาก็เรียกร้องบำเหน็จรางวัล  หากพวกเขาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ พวกเขาก็เริ่มด่าทอว่า “ฉันถูกหลอกลวงและฉ้อโกง!  พวกคุณทุกคนเป็นพวกต้มตุ๋น!”  จงบอกเราเถิดว่า พวกเจ้าอยากจะทนรับการถูกเรียกชื่อเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่)  ใครหรือที่หลอกลวงพวกเขา?  ไม่ใช่ว่าพวกเขาเองมีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีรวมทั้งต้องการได้รับพรหรอกหรือ?  ที่จริงแล้วพวกเขาเชื่อในพระเจ้าก็เพื่อจะได้รับพรไม่ใช่หรือ?  ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้รับพร แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่ปัญหาของพวกเขาเองหรอกหรือ?  พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าด้วยซ้ำ แต่ยังคงต้องการได้รับพรจากพระเจ้า—การได้รับพรจะง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไร?  ไม่มีการอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้พวกเขาฟังอย่างชัดเจนมานานแล้วก่อนที่พวกเขาจะเริ่มทำหน้าที่หรอกหรือ?  (มี)  แต่เจ้าจะสามารถให้เหตุผลกับพวกเขาได้หรือไม่?  เจ้าทำไม่ได้—พวกเขาเพียงแค่จะบอกว่าเจ้าหลอกลวงพวกเขา  จงบอกเรามาว่า ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าใด มีใครบ้างในหมู่พวกเขาที่ไม่ได้ทำหน้าที่ด้วยความสมัครใจ?  แม้ว่าจะมีกรณีที่พบได้ยากซึ่งเด็กๆ ไม่เชื่อในพระเจ้าและถูกพ่อแม่หรือญาติพี่น้องลากตัวให้มาเชื่อและทำหน้าที่ แต่กรณีเหล่านี้ก็ยังคงมีน้อยมาก  ต่อให้พ่อแม่ของเจ้าลากตัวเจ้ามา นั่นก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง—เจ้าควรจะเข้าใจเรื่องนั้น  แต่นั่นคือครอบครัวของเจ้าที่ลากตัวเจ้ามา—พี่น้องชายหญิงของพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ลากตัวเจ้าหรือบังคับเจ้า  การเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่เป็นเรื่องของความสมัครใจทั้งนั้น  ตอนนี้ ใครก็ตามที่ต้องการจะจากไปก็อาจทำเช่นนั้นได้ ประตูของพระนิเวศของพระเจ้าเปิดอยู่เสมอ  อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าจากไปแล้ว การกลับมาก็จะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก  บรรดาผู้ที่ทำหน้าที่เต็มเวลาในพระนิเวศของพระเจ้านั้นได้รับการคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน—ไม่ใช่ว่าใครก็ได้จะได้รับการยอมรับ  มีมาตรฐานที่กำหนดไว้และมีหลักธรรม และมีเพียงผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์เท่านั้นที่สามารถอยู่ในคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาได้  ผู้คนที่หวั่นไหวคิดว่า “พวกคุณไม่ได้อธิบายเรื่องสำคัญเช่นนี้ให้ฉันฟังอย่างชัดเจนเลย  ในตอนนั้น ฉันทำหน้าที่ไปก็เพียงเพราะว่าฉันสับสน”  สิ่งใดไม่ได้มีการอธิบายอย่างชัดเจน?  พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมความจริงร่วมกันทุกวันขณะที่ทำหน้าที่—หากคนเหล่านี้ไม่เข้าใจ ก็เป็นเพราะพวกเขาเลอะเลือนและมืดบอด  พวกเขาไม่สามารถตำหนิคนอื่นในเรื่องนั้นได้  แต่พวกเขาจะไม่ให้เหตุผลกับเจ้าในเรื่องนี้ พวกเขาแค่รู้สึกว่าตนเองได้ทนทุกข์กับการขาดทุนอย่างมหาศาลและต้องการคิดบัญชีรวมทั้งโต้เถียงกับพระนิเวศของพระเจ้า  คนเช่นนี้ไร้สำนึกและน่าขยะแขยงอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  ดังนั้น เมื่อพวกเจ้ารู้ธาตุแท้ของคนเช่นนี้และเห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนที่เลอะเลือน ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้ และมุ่งเน้นแต่การได้รับพรอยู่ตลอดเวลา โดยที่หัวใจของพวกเขาถูกกัดกินด้วยความคิดที่จะได้รับพร และทั้งหมดที่พวกเขารู้ก็คือการทำหน้าที่สามารถนำพร ความรอด การเข้าสู่ราชอาณาจักร และความเป็นอมตะมาให้ได้ และพวกเขารู้เพียงไม่กี่วลีนี้โดยไม่เข้าใจสิ่งอื่นใด—ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร จะปฏิบัติความจริงอย่างไร หรือจะนบนอบพระเจ้าอย่างไร—เช่นนั้นแล้ว ต่อให้พวกเขาต้องการทำหน้าที่หรือร้องขอที่จะทำหน้าที่ พวกเขาจะสามารถได้รับการจัดการเตรียมการให้ทำหน้าที่ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)

อันที่จริงแล้ว ผู้คนที่หวั่นไหวก็ยังคงมีความสงสัยและคอยสังเกตการณ์อยู่เสมอ แม้ในยามที่พวกเขาปลอดภัยดี  เมื่อเผชิญกับการข่มเหงและการจับกุม พวกเขาก็เริ่มหวั่นไหว  นี่แสดงให้เห็นว่าในการเชื่อในพระเจ้าตามปกติของพวกเขานั้น พวกเขาไม่มีความเชื่อที่จริงแท้  เมื่อสภาวการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น พวกเขาก็ถูกเผยออกมา  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เคยแน่ใจในพระราชกิจของพระเจ้าเลยและได้แต่ตั้งคำถามและคอยสังเกตการณ์เสมอมา  เหตุใดพวกเขาจึงยังไม่จากคริสตจักรไป?  พวกเขาคิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกินและทนทุกข์กับความยากลำบากมามากนัก  ถ้าตอนนี้ฉันจากไปโดยยังไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย นั่นจะไม่เป็นการขาดทุนหรอกหรือ?  ความทุกข์ทั้งหมดนั้นจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?”  นี่คือสิ่งที่พวกเขาคิด  เจ้าอาจคิดว่าพวกเขาแน่ใจ พวกเขามีความเชื่อ พวกเขาเข้าใจความจริง แต่ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น  พวกเขายังคงสงสัย ยังคงคอยสังเกตการณ์  ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาเพียงต้องการจะดูว่างานของพระนิเวศของพระเจ้าจะรุ่งเรืองอย่างแท้จริงหรือไม่ งานแต่ละอย่างจะเกิดผลหรือไม่ และงานนั้นส่งผลอันยิ่งใหญ่ต่อโลกหรือไม่  สิ่งที่พวกเขาต้องการจะรู้เป็นพิเศษก็คือเรื่องต่อไปนี้ การเผยแผ่ข่าวประเสริฐโดยคริสตจักรต่างๆ ในหลายประเทศดำเนินไปอย่างไร?  การเผยแผ่นั้นมีความยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลหรือไม่?  กระแสนี้ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติหรือไม่?  มีบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือผู้ทรงอิทธิพลคนใดยอมรับพระราชกิจในช่วงระยะนี้หรือไม่?  คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้รับการยอมรับหรืออนุมัติจากสหประชาชาติแล้วหรือยัง?  คริสตจักรนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศต่างๆ หรือไม่?  พี่น้องชายหญิงในประเทศต่างๆ ได้รับการอนุมัติคำร้องขอลี้ภัยทางการเมืองแล้วหรือยัง?  เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนดังกล่าวใส่ใจอยู่เสมอ และนี่คือการสำแดงที่ชัดเจนถึงความหวั่นไหวของพวกเขา  ทันทีที่พวกเขาเห็นว่าพระนิเวศของพระเจ้าได้รับอำนาจและงานข่าวประเสริฐได้เผยแผ่ออกไป พวกเขาก็รู้สึกโชคดีที่ไม่ได้จากพระนิเวศของพระเจ้าไป และพวกเขาก็ไม่สงสัยพระเจ้าอีกต่อไป  แต่ทันทีที่พวกเขาเห็นว่างานของพระนิเวศของพระเจ้าถูกก่อกวน ขัดขวาง หรือทำลาย การปฏิบัติหน้าที่ของพี่น้องชายหญิงได้รับผลกระทบไปด้วย และคริสตจักรก็ถูกโลกกีดกันและปฏิเสธ พวกเขาก็เริ่มคิดที่จะจากพระนิเวศของพระเจ้าไป  พวกเขาตั้งคำถามอยู่เสมอว่า “พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสิ่งทั้งปวงนี้จริงหรือ?  ทำไมฉันถึงไม่สามารถมองเห็นมหิทธานุภาพของพระเจ้า?  จริงหรือที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง?  พระวจนะของพระเจ้าสามารถชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยผู้คนให้รอดได้อย่างแท้จริงหรือ?”  พวกเขาไม่เคยสามารถมองทะลุเรื่องเหล่านี้ได้เลยและยังคงตั้งคำถามถึงเรื่องเหล่านี้อยู่เรื่อย เพราะพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไม่สามารถทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้  ไม่ว่าพวกเขาจะฟังคำเทศนามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถสรุปอะไรเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้เลย  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขามักจะเที่ยวถามไปทั่ว โดยหวังว่าตนจะสามารถมีหูที่ได้ยินสิ่งที่อยู่ไกลแสนไกลและมีตาที่มองเห็นได้ไกลเป็นพันลี้ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถรู้และได้รับข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในที่ห่างไกล  จากนั้นพวกเขาก็จะสามารถตัดสินใจได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าตนควรจะอยู่หรือจากไปกันแน่  ผู้คนเช่นนี้โง่เขลามิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนประเภทนี้ใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาไม่มีการคิดของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และพวกเขาก็ไม่เข้าใจความจริง  ยิ่งมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสับสนและงุนงงมากขึ้นเท่านั้น  พวกเขาไม่รู้วิธีแยกแยะเรื่องเหล่านี้หรือวิธีระบุลักษณะของเรื่องเหล่านี้ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้วิธีที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีในเรื่องเหล่านี้ หรือเรียนรู้บทเรียนจากเรื่องเหล่านี้ แล้วจากนั้นก็หาหลักธรรมของการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะทำสิ่งเหล่านี้  แล้วพวกเขาทำอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น เมื่อศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วปรากฏตัวขึ้นในคริสตจักรและชักพาผู้คนให้หลงผิด พวกเขาก็เริ่มสงสัยว่า “ใครถูกใครผิดกันแน่?  หนทางนี้เป็นหนทางที่แท้จริงแน่หรือ?  ฉันจะได้รับพรหรือไม่ถ้าฉันยังคงเชื่อต่อไปจนถึงปลายทาง?  ตอนนี้ฉันได้ทำหน้าที่ของฉันมาหลายปีแล้ว—ความทุกข์นี้คุ้มค่าหรือไม่?  ฉันควรทำหน้าที่ของฉันต่อไปหรือไม่?”  พวกเขาพิจารณาทุกสิ่งจากมุมมองของผลประโยชน์ของตนเอง และไม่สามารถเข้าใจผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาได้เลย และดูเซ่อซ่าอย่างยิ่ง  พวกเขาขาดความคิดและมุมมองที่ถูกต้อง และต้องการที่จะยืนสังเกตการณ์อยู่ข้างสนาม โดยดูว่าสิ่งต่างๆ จะลงเอยอย่างไร  เมื่อมองดูพวกเขา เจ้าก็รู้สึกว่าพวกเขาทั้งน่าสมเพชและน่าหัวเราะ  เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็ประพฤติตนค่อนข้างปกติ แต่ทันทีที่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะมองเรื่องนี้จากจุดยืนใด และสิ่งที่พวกเขาพูดก็สะท้อนถึงความคิดและทัศนคติของผู้ไม่มีความเชื่อ  หลังจากทุกอย่างจบลง คนเราก็ไม่สามารถมองเห็นว่าพวกเขาได้รับอะไรจากเรื่องนั้นเลย  ผู้คนเช่นนี้โง่เขลาอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนที่โง่เขลาประพฤติตนเช่นนี้จริงๆ  แล้วหลักธรรมในการจัดการกับคนประเภทนี้คืออะไร?  จากการสำแดงของพวกเขา ก็ไม่สามารถจัดว่าพวกเขาเป็นคนคิดคดทรยศและเลวร้ายอย่างที่สุดได้  อย่างไรก็ตาม พวกเขามีข้อบกพร่องที่ร้ายแรง นั่นก็คือคนเหล่านี้ไม่มีความคิดและจิตวิญญาณ และไม่สามารถมองทะลุสิ่งใดได้เลย  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นรอบตัว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไร ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจใคร พึ่งพาใคร หรือจะมองปัญหานั้นอย่างไร หรือจะเริ่มแก้ไขปัญหานั้นจากตรงไหน—พวกเขาเพียงแต่อยู่ในสภาวะของความตื่นตระหนก  หลังจากที่พวกเขาตื่นตระหนก พวกเขาอาจเกิดความสงสัย หรืออาจจะสงบลงชั่วคราว แต่ความหวั่นไหวที่เป็นนิสัยของพวกเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  จากการสำแดงของพวกเขา ในเมื่อไม่สามารถจำแนกพวกเขาว่าเป็นคนชั่วได้ หากในขณะนั้นพวกเขาสามารถทำหน้าที่ได้บ้างและเต็มใจออกแรงทำงาน พวกเขาก็อาจได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ของตนต่อไปได้  อย่างไรก็ตาม นี่ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าอย่างน้อยหน้าที่ของพวกเขาต้องเกิดผลบ้าง  หากพวกเขาทำหน้าที่โดยไม่ยอมรับความจริงเลยและทำตัวสุกเอาเผากินอยู่เสมอ เช่นนั้นพวกเขาก็ควรถูกส่งตัวกลับบ้าน  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาเต็มใจที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตน พวกเขาก็ควรได้รับอนุญาตให้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าและทำหน้าที่ต่อไป พวกเขาควรได้รับมอบหมายหน้าที่ใดก็ตามที่เหมาะสมกับพวกเขา  หากพวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้เลย และเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพวกเขาก็ควรถูกส่งตัวไปยังที่ที่เหมาะสมกับพวกเขา  ในกรณีนี้ก็ไม่อาจขึ้นอยู่กับความพร้อมและความเต็มใจที่จะออกแรงทำงานของพวกเขาได้อีกต่อไป  การจัดการสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้เรียบง่ายมิใช่หรือ?  (ใช่)

พวกเจ้าสามารถแยกแยะผู้คนที่หวั่นไหวได้หรือไม่?  มีคนเช่นนี้อยู่รอบตัวพวกเจ้าหรือไม่?  บางคนเคยถูกชำระออกจากคริสตจักรในอดีต  สมมติว่าหนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นพูดเช่นนี้ “ฉันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว  ฉันไม่หวั่นไหวอีกต่อไป  ฉันเคยหวั่นไหวเสมอเมื่อเป็นเรื่องของหนทางที่แท้จริง เพราะตอนที่พระนิเวศของพระเจ้าเพิ่งเริ่มงานในต่างแดน ทุกอย่างยากลำบากจริงๆ  ในตอนนั้น เป็นเรื่องยากมากสำหรับพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรที่จะประกาศข่าวประเสริฐ และมีคนในต่างแดนไม่กี่คนที่ยอมรับหนทางที่แท้จริง  อีกทั้งดูเหมือนว่าจะไม่มีจุดหมายปลายทางใดๆ ในอนาคตสำหรับการเผยแผ่งานข่าวประเสริฐเลย  ด้วยเหตุนั้น ฉันจึงสงสัยในพระราชกิจของพระเจ้าอยู่เสมอในตอนนั้น  ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่างานข่าวประเสริฐของพระนิเวศของพระเจ้ากำลังเผยแผ่ออกไป งานต่างๆ กำลังได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นและเกิดผล และคริสตจักรในประเทศต่างๆ ก็เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ฉันจึงไม่มีความสงสัยหรือหวั่นไหวอีกต่อไป  โปรดให้ฉันทำหน้าที่ของฉันเถิด  อย่าจัดฉันให้อยู่ในขบวนของบรรดาผู้ที่ถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่เลย!”  จะให้โอกาสคนเช่นนี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เพราะเหตุใดจึงให้โอกาสไม่ได้?  (คำพูดของพวกเขานั้นเทียมเท็จ  พวกเขาเพียงต้องการจะเข้าร่วมกับคริสตจักรอีกครั้งเพราะพวกเขาเห็นว่างานของพระนิเวศของพระเจ้ามีแนวโน้มที่จะเผยแผ่ออกไปและมีอำนาจแล้ว  แต่เมื่อใดก็ตามที่มีบางสิ่งเกิดขึ้นซึ่งไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาก็จะหวั่นไหวอีกครั้ง)  พวกเจ้ามองทะลุเรื่องนี้แล้วหรือยัง?  (มองทะลุแล้ว)  บางคนเกิดมาเป็นผู้ที่หวั่นไหว  วันนี้ลมพัดไปทางหนึ่ง และพวกเขาก็ตามไปในทิศทางนั้น พรุ่งนี้ลมพัดไปอีกทาง พวกเขาก็ตามไปทางนั้น—แม้กระทั่งในยามที่ไม่มีลม พวกเขาก็ยังหวั่นไหวเอง  คนเช่นนี้ไม่มีความสามารถในการคิดอย่างที่มนุษย์ปกติควรจะมี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้มาตรฐานของการเป็นมนุษย์  นี่ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  หากใครบางคนมีความสามารถในการคิดของมนุษย์ปกติและมีความสามารถในการจับใจความซึ่งมนุษย์ควรจะมี พวกเขาย่อมจะเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงแสดงความจริงไว้หลายประการเหลือเกินและสามารถยืนยันได้ว่านี่คือพระราชกิจของพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้า—พวกเขามองเห็นพระราชกิจของพระเจ้าและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทุกวัน ตลอดจนเห็นกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า ความเชื่อของพวกเขาจึงแข็งแกร่งขึ้นและเรี่ยวแรงในการทำหน้าที่ของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้น  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถสัมฤทธิ์ได้ด้วยงานของมนุษย์หรือไม่?  ไม่ว่าเจ้าจะอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้พวกเขาฟังอย่างชัดเจนเพียงใด บรรดาผู้ที่ไม่มีความสามารถในการคิดของมนุษย์ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่านี่คือพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาไร้ซึ่งความสามารถในการตัดสินนั้น  ไม่ว่าพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำอยู่ในขณะนี้จะยิ่งใหญ่เพียงใด พระองค์ตรัสมากเพียงใด มีผู้คนติดตามพระองค์มากเพียงใด มีผู้คนแน่ใจว่านี่คือพระราชกิจของพระเจ้ามากเพียงใด หรือมีผู้คนมากเพียงใดที่แน่ใจว่าชะตากรรมของมวลมนุษย์อยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพระเจ้าคือพระผู้สร้าง ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญสำหรับพวกเขา  แล้วอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา?  พวกเขาจำเป็นต้องเห็นพระเจ้าจากสวรรค์ทรงปรากฏต่อพวกเขาเป็นการส่วนตัว และพวกเขายังจำเป็นต้องเห็นพระเจ้าทรงเปิดพระโอษฐ์และตรัส เห็นพระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นการส่วนตัว และทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เป็นการส่วนตัว และเมื่อพระองค์ตรัส พระวจนะของพระองค์ก็จะต้องเป็นเสียงที่ดังเหมือนฟ้าร้อง  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะเชื่อในพระเจ้า  พวกเขาก็เหมือนกับโธมัสไม่มีผิด—ไม่ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะตรัสพระวจนะไว้มากเพียงใด พระองค์ทรงแสดงความจริงไว้มากเพียงใด หรือพระองค์ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ไว้มากเพียงใดในระหว่างเวลาที่พระองค์ทรงอยู่บนแผ่นดินโลก ก็ไม่มีสิ่งใดในนั้นที่สำคัญสำหรับโธมัส  สิ่งที่สำคัญคือการฟื้นคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้าหลังสิ้นพระชนม์นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่  เขายืนยันเรื่องนี้ได้อย่างไร?  เขาทูลขอต่อองค์พระเยซูเจ้าว่า “ขอทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกมาและให้ข้าพระองค์เห็นรอยตะปูเถิด  หากพระองค์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ฟื้นคืนพระชนม์จริงๆ ก็จะมีรอยตะปูบนพระหัตถ์ของพระองค์ และเมื่อนั้นข้าพระองค์จะยอมรับว่าพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้า  หากข้าพระองค์ไม่สามารถสัมผัสรอยตะปูบนพระหัตถ์ของพระองค์ได้ เช่นนั้นข้าพระองค์ก็จะไม่ยอมรับว่าพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้า และจะไม่ยอมรับว่าพระองค์คือพระเจ้า”  เขาเป็นคนปัญญาทึบมิใช่หรือ?  (ใช่)  คนเช่นนี้เชื่อเฉพาะข้อเท็จจริงที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้ด้วยตาของตนเองและในความคิดฝันและการใช้เหตุผลของตนเองเท่านั้น  ต่อให้พวกเขาได้ยินพระวจนะของพระเจ้า มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และเห็นการเพิ่มขึ้น การเติบโต และความเจริญรุ่งเรืองของพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงไม่เชื่อว่านี่คือพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาไม่สามารถมองเห็นฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่สามารถมองเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่สามารถแยกแยะอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าหรือผลลัพธ์ที่พระวจนะเหล่านั้นสามารถสัมฤทธิ์ในตัวผู้คนได้  พวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้เลย  พวกเขาหวังเพียงสิ่งเดียวคือ “พระองค์ต้องทรงตรัสจากฟ้าสวรรค์ด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง โดยประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง  พระองค์ยังต้องทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นการส่วนตัวเพื่อแสดงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์  เมื่อนั้นข้าพระองค์จะเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ข้าพระองค์จะยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า”  พระเจ้าทรงให้คุณค่ากับการยอมรับเช่นนั้นหรือไม่?  พระองค์ทรงให้คุณค่ากับการเชื่อเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าทรงจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากเจ้าเพื่อที่จะเป็นพระเจ้าหรือไม่?  พระองค์ทรงจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหรือ?  พระเจ้าได้ทรงแสดงความจริงไว้มากมายหลายประการ ผู้คนมากมายได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า และมีคำพยานจากประสบการณ์มากมาย—คำพยานที่เหนือกว่าบรรดาคำพยานของคนรุ่นก่อนๆ—แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่านั่นคือการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าไม่เชื่อหรือไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่พระเจ้าทรงทำให้สำเร็จลุล่วงไปแล้วหรือสิ่งที่ลุล่วงตามพระสัญญาของพระเจ้า  แล้วเจ้าเป็นสิ่งใดกัน?  เจ้าไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ—เจ้าเป็นคนปัญญาทึบ!  แต่เจ้าก็ยังต้องการได้รับพรจากพระเจ้า—ไม่มีทางหรอก!  เจ้าก็แค่ฝันเฟื่อง!  เจ้าสงสัยและปฏิเสธพระเจ้าตลอดเวลา และต้องการจะหัวเราะเยาะให้กับความโชคร้ายของพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เสมอ  เจ้าไม่เคยยอมรับหรือเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า และไม่เคยยอมรับ เชื่อ หรือน้อมรับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเลย  ดังนั้น พระสัญญาของพระเจ้าจึงไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างสิ้นเชิง และเจ้าจะไม่ได้รับอะไรเลย  บางคนกล่าวว่า “แต่พวกเขาก็ยังทำหน้าที่ของพวกเขาอยู่นะ  พวกเขาจะไม่ได้รับอะไรเลยได้อย่างไร?”  เช่นนั้นพวกเราก็ต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าพวกเขามีวัตถุประสงค์ใดในการทำหน้าที่ของตน พวกเขากำลังทำหน้าที่เพื่อใคร และพวกเขาทำตามหลักธรรมใดเวลาที่ทำหน้าที่ของตน  หากเจ้าไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้าทำหน้าที่ของตน เจ้าก็เพียงแค่ลงแรงอยู่—ไม่ใช่การนบนอบที่แท้จริง  พระเจ้าไม่ทรงยอมรับสิ่งที่เจ้าทำว่าเป็นการทำหน้าที่ของเจ้า  ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับคนตายที่ไม่มีวิญญาณ  คนตายยังคงหวังว่าจะได้รับพร—นั่นไม่ใช่การคิดตามความปรารถนาหรอกหรือ?  การที่เจ้าสามารถแม้กระทั่งทำหน้าที่ได้บ้างก็เป็นเพราะว่าเจ้าถูกขับเคลื่อนด้วยเจตนาที่จะได้รับพร  และเจ้าก็สงสัยอยู่ตลอดเวลา ตัดสิน กล่าวโทษ ปฏิเสธพระเจ้าอยู่ข้างในเสมอ และยังตัดสินและปฏิเสธพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าอีกด้วย  นี่ทำให้เจ้ากลายเป็นใครบางคนที่เป็นศัตรูของพระเจ้า  คนคนหนึ่งที่เป็นศัตรูของพระเจ้าจะสามารถเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐานได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เจ้าตั้งตนเป็นศัตรูของพระเจ้าทุกครั้งไป โดยแอบสังเกตพระองค์และพระราชกิจของพระองค์จากเงามืด แอบส่งเสียงโห่ร้องต่อต้านพระเจ้าในหัวใจของเจ้า ตัดสินและกล่าวโทษพระองค์ และตัดสินและกล่าวโทษพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์  หากนี่ไม่ใช่การเป็นศัตรูของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่คืออะไร?  นี่คือการเป็นศัตรูของพระเจ้าอย่างเปิดเผย  และเจ้าไม่ได้เป็นศัตรูของพระเจ้าในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อ—เจ้ากำลังทำเช่นนั้นภายในพระนิเวศของพระเจ้า  เรื่องนี้ยิ่งไม่สามารถห้อภัยได้!

ไม่ว่าพวกเราจะมองที่ธาตุแท้ของความเป็นมนุษย์หรือการสำแดงของผู้คนที่หวั่นไหวเหล่านี้ พวกเขาก็คือคนที่ไม่ยอมรับความจริงและไม่ยอมรับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาใส่ใจเพียงว่าตนจะสามารถได้รับพรได้หรือไม่  พวกเขาไม่เคยแน่ใจในพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระองค์ และคอยสังเกตการณ์อยู่เบื้องหลังเสมอ หวั่นไหวและสงสัยอย่างไม่หยุดหย่อน  พวกเขาติดตามพระเจ้าพร้อมทั้งคอยสังเกตการณ์ เดินแล้วก็หยุด หยุดแล้วก็เดิน  คนเหล่านี้น่ารำคาญจริงๆ!  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่คริสตจักรชำระผู้คนออกไปบ่อยๆ พวกเขาก็กระวนกระวายใจอยู่เสมอ และคิดว่า “ฉันหวั่นไหวอยู่เสมอ  บางทีวันหนึ่งอาจมีใครบางคนที่จะสังเกตเห็น แล้วฉันก็จะถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร  ฉันไม่สามารถปล่อยให้ความสงสัยในใจที่มีต่อพระเจ้าหลุดออกมาได้  ฉันพูดถึงเรื่องนี้กับใครไม่ได้”  ดังนั้น พวกเขาจึงแอบสังเกตการณ์อยู่เบื้องหลัง และพวกเขาไม่เกรงกลัวที่จะถูกพระเจ้าเผยตัวออกมา เพราะพวกเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า นับประสาอะไรกับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า  คนเหล่านี้มักจะได้ยินพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมเรื่องที่ว่าพระเจ้าได้ทรงนำพวกเขาอย่างไร ทรงบ่มวินัยพวกเขาอย่างไร ทรงเผยผู้คนอย่างไร ทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร พระเจ้าได้ประทานพระคุณและพรแก่พวกเขาอย่างไร และในกระบวนการติดตามพระเจ้า พวกเขาได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์อย่างไร และพวกเขารู้สึก เห็น หรือซาบซึ้งกับอะไรบ้าง และอื่นๆ  เมื่อพวกเขาได้ยินพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่ได้จากประสบการณ์เหล่านี้ พวกเขาก็คิดในใจว่า “ประสบการณ์เหล่านั้นที่พวกคุณกำลังพูดถึงเป็นแค่จินตนาการของพวกคุณหรือเปล่า?  สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ความรู้สึกของมนุษย์ใช่หรือไม่?  ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้สึกถึงสิ่งเหล่านั้นเลย?  โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่เขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์—ฉันไม่รู้จักพวกเขา และฉันก็ไม่เคยเห็นว่าพวกเขาสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ด้วยประสบการณ์เหล่านี้ได้อย่างไร  พวกเขามีความเป็นจริงความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่นั้นยังไม่แน่นอน!”  คนปัญญาทึบบางคนยังคงสังเกตการณ์และตั้งคำถามถึงงานของพระนิเวศของพระเจ้า ไม่สามารถมองเห็นว่ามีความเป็นจริงความจริงใดบ้างในบทความคำพยานจากประสบการณ์ที่เขียนโดยประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พยายามหาข้อแก้ตัวและพื้นฐานของความหวั่นไหวและการไม่มีความเชื่อของตนเอง  พวกเขาคิดว่าในเมื่อตนกำลังหวั่นไหว คนอื่นก็คงจะหวั่นไหวเช่นกัน  หากใครไม่เคยหวั่นไหว ไม่มีข้อสงสัย และการสามัคคีธรรมความจริงตามปกติของพวกเขาก็เป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่ไม่น้อยเสมอ และไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญปัญหาอะไร พวกเขาก็สามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ เช่นนั้นคนโง่เขลาเหล่านี้ย่อมรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมและความไม่สบายใจในหัวใจของตน  เมื่อพวกเขารู้สึกไม่สบายใจ พวกเขาจะหาทางปลดเปลื้องได้อย่างไร?  พวกเขามองหาใครบางคนที่เป็นเหมือนกับพวกเขาเลย โดยพยายามหาคนที่มีวิญญาณตรงกัน  เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนรู้สึกคิดลบและอ่อนแอ พวกเขาก็จะเสนอแนะความคิดของตนเองออกมาเพื่อหยั่งเชิง โดยกล่าวว่า “บางครั้งฉันก็รู้สึกคิดลบเหมือนกัน  เวลาที่ฉันรู้สึกคิดลบ ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรเป็นแบบนั้น แต่บางครั้งฉันก็สงสัยว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงๆ หรือไม่”  หากอีกคนไม่ตอบสนองพวกเขา และพวกเขาเห็นว่าคนคนนั้นเพียงแค่คิดลบและอ่อนแอแต่ไม่มีความสงสัยในพระเจ้า พวกเขาก็จะพูดเรื่องอื่นที่ไม่จริงใจเพื่อไปทดสอบคนอื่นว่า “คุณคิดว่าฉันเป็นอะไรหรือ?  ฉันเชื่อในพระเจ้าอยู่ดีๆ  แต่ทำไมฉันถึงมีความสงสัยในพระองค์อยู่ตลอดเวลา?  นั่นคือการเป็นกบฏมิใช่หรือ?  มันไม่ควรเป็นแบบนี้!”  พวกเขาพูดเช่นนี้เพื่อเอาใจอีกคนหนึ่งและเพื่อทดสอบพวกเขาเท่านั้น  พวกเขาหวังอย่างกระตือรือร้นว่าคนอื่นจะตั้งคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าเหมือนที่พวกเขาทำไม่มีผิด—นั่นจะทำให้พวกเขามีความสุข!  หากพวกเขาค้นพบคนอื่นที่สงสัยในพระเจ้าอยู่เสมอและมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์อยู่ตลอดเวลา พวกเขาย่อมรู้สึกโชคดีที่ได้พบคนที่มีวิญญาณตรงกัน  ทั้งสองคนซึ่งมีแนวความคิดที่โสมมเหมือนกันก็มักจะปรับทุกข์กัน  ยิ่งพูดคุยกันมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งห่างเหินไปจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งพูดคุยกันมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งอยากทำหน้าที่ของตนน้อยลง และอยากอ่านพระวจนะของพระเจ้าน้อยลง และถึงกับอยากจะเลิกมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักร  ทั้งสองคนลงเอยด้วยการออกไปทำงานในโลกทีละเล็กละน้อย โดยเกาะติดกันเหมือนคู่หูที่แยกจากกันไม่ได้ และกอดคอกันไปในเวลาที่พวกเขามุ่งหน้าออกไปด้วยกัน  เมื่อพวกเขาจากไป พวกเขาไม่ได้นำหนังสือพระวจนะของพระเจ้าติดตัวไปแม้แต่เล่มเดียวด้วยซ้ำ  ใครคนหนึ่งถามพวกเขาว่า “คุณเลิกเชื่อในพระเจ้าแล้วหรือ?” และพวกเขาก็ตอบว่า “ไม่นะ ฉันเชื่อ”  พวกเขายังคงปฏิเสธเรื่องนี้อย่างดื้อรั้น  อีกคนหนึ่งถามว่า “แล้วทำไมพวกเจ้าถึงไม่นำหนังสือพระวจนะของพระเจ้าติดตัวไปด้วย?” แล้วพวกเขาก็ตอบว่า “หนังสือพวกนั้นหนักเกินไป และฉันไม่มีที่วางหนังสือเหล่านั้น”  ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดเป็นเพียงเพื่อหลอกลวงให้อีกฝ่ายยอมรับ  ที่จริงแล้วพวกเขาเพียงแค่เตรียมตัวที่จะกลับไปสู่โลก หางานทำ และใช้ชีวิตของตน  เราขอบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า คนประเภทนี้คือผู้ไม่เชื่อ และนี่จะเป็นจุดจบสุดท้ายของพวกเขา—นี่คือสิ่งที่พวกเขาเป็นจริงๆ  ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาจะคงอยู่ไม่นาน  ทันทีที่พวกเขาพบใครบางคนที่พวกเขาชอบ ใครบางคนที่พวกเขาสามารถบอกเล่าความคิดที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดให้ฟังได้ พวกเขาก็คิดว่า “ในที่สุด ฉันก็พบใครบางคนที่จะปกป้องฉัน ใครบางคนให้พึ่งพา  ไปกันเถอะ!  การเชื่อในพระเจ้าช่างน่าเบื่อเหลือเกิน  ในโลกนี้ไม่มีพระเจ้าอยู่ดี  การที่ต้องปฏิบัติต่อสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงเหมือนเป็นของจริงนั้นยากเกินจะทน  หลายปีที่ผ่านมานี้ช่างยากลำบากเหลือเกิน!”  พวกเขาจากไปและเลิกเชื่อเอง และถึงกับบอกพี่น้องชายหญิงไม่ให้ตามหาพวกเขา โดยกล่าวว่า “พวกเราไปทำงานแล้ว  อย่าโทรหาพวกเราอีก ไม่อย่างนั้นพวกเราจะแจ้งตำรวจ!”  คนโง่เขลาสองคนนี้ ที่เป็นเหมือนลาโง่คู่หนึ่ง ก็จากไปเช่นนั้นเอง  เราว่าพ้นไปทีก็ดีแล้ว—เป็นการช่วยให้พระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องลำบากขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไป  จงบอกเราทีว่า มีความจำเป็นที่จะต้องสามัคคีธรรมความจริงกับคนประเภทนี้เพื่อค้ำจุนและช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่?  มีความจำเป็นที่จะต้องพยายามให้เหตุผลและเกลี้ยกล่อมพวกเขาหรือไม่?  (ไม่มี)  หากพวกเจ้าพยายามเกลี้ยกล่อมพวกเขา พวกเจ้าก็กำลังโง่เขลาที่สุด  คนประเภทนี้คือผู้ไม่เชื่อจนถึงแก่นแท้—พวกเขาคือซากศพเดินได้และคนโง่เง่าไร้สมอง  หากเจ้าพยายามเกลี้ยกล่อมพวกเขา เช่นนั้นเจ้าย่อมโง่เขลาเช่นกัน  เจ้าควรจะรีบบอกลาคนประเภทนี้ด้วยความยินดี—และไม่จำเป็นต้องตามหาพวกเขาในภายหลัง  พวกเขาพูดชัดเจนแล้วว่าจะไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป และหากเจ้าโทรหาพวกเขาอีก พวกเขาก็จะรายงานเจ้าต่อตำรวจ  หากเจ้ายังคงพยายามติดต่อพวกเขา เจ้าก็กำลังหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวมิใช่หรือ?  หากพวกเขาโทรแจ้งตำรวจจริงๆ และกล่าวหาว่าเจ้าคุกคาม หากข่าวนี้แพร่ออกไป จะเป็นการสร้างชื่อเสียงที่ดีหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าต้องไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้เป็นอันขาด!  ปล่อยให้พวกเขาดูแลตัวเองและจากไปอย่างเงียบๆ—นี่เป็นวิธีการที่ดีกว่ามาก!  แต่ละคนเดินตามเส้นทางของตนเอง เส้นทางของแต่ละคนถูกกำหนดตามที่พวกเขาเป็น  พวกเขาไม่ได้รับพร ชีวิตของพวกเขาเพียงแต่เน่าเฟะและไร้ค่า  พรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เกินความสามารถที่พวกเขาจะได้รับหรือสุขสำราญ—พวกเขาเพียงแค่ไม่มีวาสนาที่จะได้รับพรนั้น  การยอมรับการจัดเตรียมพระวจนะของพระเจ้าและการยอมรับว่าความจริงคือชีวิตนั้นเป็นพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทั่วทั้งจักรวาลและในหมู่มวลมนุษย์ทั้งหมด  ใครก็ตามที่สามารถยอมรับความจริงได้ก็คือผู้ที่ได้รับพร และใครก็ตามที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้ก็เพียงแค่ไม่มีพรนี้  วันหนึ่งบรรดาผู้ที่ได้ยอมรับความจริงก็จะรอดชีวิตโดยผ่านมหันตภัยใหญ่หลวงและได้รับพรมากมาย ในขณะที่บรรดาผู้ที่ยังไม่ได้ยอมรับความจริงจะพินาศในมหันตภัยและทนทุกข์กับความวิบัติ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะสายเกินไปที่จะเสียใจ  ต่อให้ตอนนี้เจ้ายอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงและพระราชกิจของพระเจ้าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำด้วยพระองค์เอง หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ยอมรับความจริง และไม่เข้าสู่ความจริง เจ้าก็จะยังคงไม่ได้รับพรเช่นนั้น!  เจ้าคิดว่าพรนี้สามารถได้รับกันอย่างง่ายดายนักหรือ?  นี่เป็นพรที่ไม่เคยมีมาตั้งแต่กาลเริ่มต้นและจะไม่มีวันมีอีก—เจ้าจะสามารถมีโอกาสได้รับพรนี้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?  พระเจ้าได้ทรงสัญญาถึงพรดังกล่าวกับมวลมนุษย์ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามัญจะสามารถได้รับ  พรนี้มีไว้สำหรับบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และเป็นไปไม่ได้ที่ลาโง่ ซากศพเดินได้ คนเลวทราม หรือคนชั่วจะได้รับการเลือกสรร  พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจสามช่วงระยะเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และในท้ายที่สุด พระองค์จะทรงทำให้เกิดกลุ่มผู้มีชัยชนะ โดยทำให้ผู้คนเหล่านี้กลายเป็นเจ้านายของทุกสรรพสิ่งและกลายเป็นมวลมนุษย์ใหม่  นี่เป็นพรที่ยิ่งใหญ่เพียงใดสำหรับมวลมนุษย์!  พระราชกิจในช่วงระยะนี้ซึ่งเป็นการพิพากษาในยุคสุดท้ายดำเนินมากี่ปีแล้ว?  (มากกว่าสามสิบปี)  เพียงแค่มองดูช่วงเวลาสามสิบกว่าปีนี้ ก็จะเห็นได้ว่าพระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาไปมากเพียงใดและได้ทรงพระราชกิจไปมากเพียงใด ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดเจนว่ามวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงได้รับในท้ายที่สุดนั้นจะมีคุณค่าและสูงส่งอย่างเหลือเชื่อเพียงใด และมวลมนุษย์นั้นล้ำค่าและสำคัญอย่างยิ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า!  พวกเจ้าช่างโชคดีเพียงใด เช่นนั้นนี่จึงเป็นพรที่ยิ่งใหญ่นักสำหรับพวกเจ้า!  เพราะฉะนั้นสำหรับบางคนที่ยังคงหวั่นไหวอยู่ ณ จุดนี้ พวกเขาย่อมไม่ได้รับพรอย่างแท้จริง!  ต่อให้พวกเขาไม่หวั่นไหวและมุ่งมั่นที่จะติดตามอย่างเต็มที่ แต่หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ยังคงจะไม่ได้รับพรนี้  ดังนั้นบรรดาผู้ที่ได้รับพรนี้ในท้ายที่สุดจึงไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ—พวกเขาคือบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงคัดกรองอย่างเข้มงวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทรงเลือกสรรอย่างรอบคอบ พวกเขาคือผู้ที่พระเจ้าจะทรงได้รับไว้ในที่สุด

การสำแดงที่สำคัญของบรรดาผู้ที่หวั่นไหวก็คือปัญหาเหล่านี้อย่างแท้จริง  ไม่ว่าจุดจบสุดท้ายของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทันทีที่คนเช่นนี้ถูกระบุตัวตนภายในคริสตจักร พวกเขาก็ควรถูกจัดการตามหลักธรรม  พวกเขาไม่ควรได้รับการปฏิบัติในฐานะที่เป็นพี่น้องชายหญิง  หากพวกเขามีความรู้สึกที่เป็นบวกต่อการเชื่อในพระเจ้า หรือพวกเขาสามารถมานะพยายามได้บ้างและเต็มใจที่จะลงแรงบ้าง อย่างมากที่สุดพวกเขาก็เป็นเพื่อนของคริสตจักร และไม่สามารถถือว่าเป็นพี่น้องชายหรือหญิงได้  ดังนั้นต่อให้พวกเขาจะใช้ชื่อใหม่ เช่น “การนบนอบ” หรือ “ความจริงใจ” เจ้าก็ยังไม่ควรเรียกพวกเขาว่าพี่น้องชายหญิง—การเรียกพวกเขาด้วยชื่อใหม่ก็เพียงพอแล้ว  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะคนเช่นนี้ไม่เทียบเท่ากับผู้ที่เป็นพี่น้องชายหญิง  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่?  (เข้าใจ)  ดังนั้น ตอนนี้พวกเจ้าก็มีหลักธรรมในการจัดการกับคนจำพวกนี้แล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  สามัคคีธรรมในวันนี้ก็มีเพียงเท่านี้  ลาก่อน!

29 มิถุนายน ค.ศ. 2024

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (26)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (29)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger