หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (20)

ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น (ภาคที่แปด)

ในการชุมนุมครั้งก่อน พวกเราสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานจบแล้ว  พวกเจ้านำเนื้อหาของสามัคคีธรรมครั้งนั้นไปเทียบดูตนเองบ้างหรือยัง?  ใคร่ครวญถึงสามัคคีธรรมครั้งนั้นกันบ้างหรือไม่?  เมื่อได้ฟังสามัคคีธรรมของเราแล้ว คนที่รักความจริง คนที่มีสำนึกอันเที่ยงธรรมและมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้างย่อมสามารถปฏิบัติความจริงบางอย่างได้หลังจากที่พวกเขาเข้าใจความจริงนั้นๆ  ขั้นแรกพวกเขาจะสามารถเอาสถานการณ์ของตนไปเทียบเคียงกับความจริงที่ตนเข้าใจ เอาความจริงมาตรวจสอบตนเอง ระบุปัญหาของตน จากนั้นก็ใช้เรื่องราวและสภาพแวดล้อมบางอย่างในชีวิตจริงและในการทำหน้าที่มาแก้ปัญหาเหล่านี้  พวกเขาย่อมจับหลักธรรมที่ผู้คนควรปฏิบัติและยึดถือได้ทีละน้อยตามความจริงต่างๆ ที่พวกเขาเข้าใจ  ทางหนึ่งพวกเขาจึงเกิดความเข้าใจที่ลงลึกมากขึ้นและรู้จักตนเองดีขึ้น อีกทางหนึ่งพวกเขาย่อมเข้าใจได้อย่างถูกต้องและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วความจริงกล่าวถึงสิ่งใดและประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง  อย่างไรก็ดี คนที่ไม่รักความจริงและรังเกียจความจริง ไม่ว่าจะรับฟังความจริงไปมากเท่าใดก็ไม่มีการตระหนักรู้หรือเปลี่ยนแปลง  สภาวะของพวกเขา ท่าทีขณะทำหน้าที่ของตน จุดหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า รูปแบบการใช้ชีวิต และหลักการประพฤติปฏิบัติตนย่อมไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด  พวกเขายังคงกระทำการตามใจปรารถนาและดำเนินชีวิตตามใจชอบ ความจริงเหล่านี้ไม่มีผลอันใดกับพวกเขา และไม่สามารถทำให้พวกเขาทบทวนและรู้จักตนเองจนถึงขั้นเกลียดตนเองได้  ถ้าพวกเขาไม่อาจไปถึงขั้นที่สามารถเกลียดตนเองได้ ก็จะสัมฤทธิ์การกลับใจโดยแท้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เมื่อไม่มีการกลับใจที่แท้จริง ก็ไม่มีการเข้าสู่ที่แท้จริง เมื่อไม่มีการเข้าสู่ที่แท้จริง ก็แน่นอนว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  ฉะนั้นผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แม้จะชุมนุม ทำหน้าที่ ฟังคำเทศนามาหลายปี และมักจะมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงอีกด้วย แต่กลับไม่เข้าใจตนเอง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เห็น และไม่มีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้นแต่อย่างใด  พวกเขาติดตามพระเจ้าด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่ตนมีแต่แรก พร้อมด้วยเจตนาและความอยากได้พร  ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้วก็ตาม มุมมองที่พวกเขามีต่อการเชื่อในพระเจ้า ทัศนะต่อสิ่งต่างๆ วิธีไล่ตามไขว่คว้าและจุดหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า ตลอดจนท่าทียามที่พวกเขาทำหน้าที่ กลับไม่เคยเปลี่ยนไปเลย  สิ่งที่พวกเขาเผยให้เห็นในตอนนี้และลักษณะที่พวกเขาสำแดงออกมาในการดำเนินชีวิตเป็นผลมาจากการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเราสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบสิบสองประการของผู้นำและคนทำงานไปแล้ว แต่พฤติกรรมของผู้นำและคนทำงานบางคนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  ท่าทีที่พวกเขามีเวลาทำหน้าที่ของตนและต่อพระประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด  เนื้อหาที่สามัคคีธรรมไปนั้นกลับทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจ กำกับดูแล และกระตุ้นคนที่ค่อนข้างไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่แล้ว คนที่พอจะมีความเป็นมนุษย์และมีความตระหนักรู้ในมโนธรรมอยู่บ้าง ให้ปฏิบัติต่อไป  แต่ไม่มีผลกับบางคนที่ดื้อแพ่งกว่า กลิ้งกลอกกว่า ซ้ำยังไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะท่าทีที่ผู้คนเหล่านี้มีต่อความจริงเป็นท่าทีของการต่อต้านและเกลียดชัง  ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงไปมากเท่าใด ท่าทีของพวกเขาก็ยังคงเดิมคือ “จะว่าไป ฉันก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเองและติดตามพระเจ้า ฉันสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง  ไม่ว่าฉันจะประพฤติตัวอย่างไร ตราบใดที่ฉันตั้งหน้าตั้งตาทำให้ถึงปลายทาง ฉันก็จะสามารถได้รับพร!”  การคิดอ่านเช่นนี้มีสำนึกบ้างหรือไม่?  พวกเขาเป็นหมูตายที่ไม่กลัวน้ำร้อนมิใช่หรือ?  ไม่ว่าอย่างไรก็จะเดินเชิดหน้าไม่ยอมกลับใจมิใช่หรือ?  (ใช่)

หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานมีอยู่ว่าให้ “ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น”  ก่อนหน้านี้พวกเราได้แบ่งสามัคคีธรรมเรื่องหน้าที่รับผิดชอบประการนี้ออกเป็นปัญหาสิบสองข้อด้วยกัน  เนื้อหาสำคัญของปัญหาสิบสองข้อนี้ระบุว่าผู้นำและคนทำงานควรรับมือและจัดการปัญหาเหล่านี้อย่างไรเมื่อมีผู้คน เหตุการณ์ และเรื่องราวชนิดต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนปรากฏให้เห็นในคริสตจักร เพื่อจะได้สัมฤทธิ์ผลเป็นการปกป้องดูแลงานในพระนิเวศของพระเจ้าและระเบียบปกติในคริสตจักร อันเป็นการลุล่วงบทบาทหน้าที่ที่ผู้นำและคนทำงานควรมี ลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเขาควรทำ  พวกเราสามัคคีธรรมกันไปแล้วอย่างละเอียดถึงปัญหาแต่ละข้อในหน้าที่รับผิดชอบประการนี้ของผู้นำและคนทำงาน โดยสามัคคีธรรมถึงการสำแดงจำเพาะบางอย่างในปัญหาแต่ละข้อ และยกตัวอย่างเป็นการเฉพาะอยู่บ้าง  ในแง่ของหลักธรรมต่างๆ เนื้อหาที่สามัคคีธรรมไปนั้นก็สัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก  แม้ตัวอย่างที่ยกมาจะไม่ครอบคลุมทุกสิ่ง แต่ปัญหาหลักที่เป็นผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ก็มีการสามัคคีธรรมเอาไว้ชัดเจนแล้ว  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเจ้าที่เป็นผู้นำและคนทำงานควรเข้าใจความจริงแง่มุมนี้เพื่อจะได้แก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักร  ก่อนอื่นเจ้าต้องหาวจนะที่ชำแหละแก่นแท้ของปัญหาออกมาจากเนื้อหาที่สามัคคีธรรมกันไป และเชื่อมโยงวจนะเข้ากับปัญหาเหล่านั้น  การเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาทำให้พบทางแก้ที่เกี่ยวเนื่องกันและแก้ปัญหาตามหลักธรรมความจริงได้ง่ายขึ้น  การเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาก่อนที่จะลงมือแก้ไขมีความสำคัญอย่างยิ่ง  เมื่อเจ้าเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาแล้ว เจ้าก็ควรเข้าใจและตระหนักรู้หลักธรรมที่ใช้จัดการปัญหานี้ด้วย  สองแง่มุมนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด หนึ่งคือแก่นแท้ของปัญหา อีกหนึ่งคือหลักธรรมสำหรับแก้ปัญหาดังกล่าว  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรเข้าใจอย่างชัดเจน  ด้วยการตระหนักรู้หลักธรรมสองแง่มุมนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถแก้ปัญหาทั้งปวงได้อย่างถูกต้องและจัดการผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างถูกควร แทนที่จะใช้ข้อบังคับมาทำให้ปัญหาบานปลาย  ระยะนี้เวลาผู้นำและคนทำงานบางคนจัดการปัญหาบางอย่าง ส่วนหนึ่งพวกเขาเอาแต่ปฏิบัติตามข้อบังคับ อีกส่วนหนึ่งนั้นพวกเขากลับไม่สามารถจับแก่นแท้ของปัญหาได้ จึงทำผิดต่อผู้คนและก่อให้เกิดความเบี่ยงเบนได้ง่าย  นี่จำต้องทำความเข้าใจรายละเอียด ส่วนประกอบปลีกย่อย และบริบทของปัญหาให้ชัดเจน  นอกจากนี้ การดูพฤติกรรมที่สม่ำเสมอของคนคนหนึ่งเพื่อพิจารณาว่าพวกเขาเป็นคนจำพวกใดก็สำคัญ  เมื่อเข้าใจแง่มุมเหล่านี้อย่างถ่องแท้แล้วเท่านั้นจึงจะจัดการปัญหาได้ตามหลักธรรม  เวลาทำงานของตน ผู้นำและคนทำงานบางคนเอาแต่ใช้ข้อบังคับแก้ปัญหาและทำให้ยิ่งบานปลาย พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถเท่าทันแก่นแท้ตามที่เป็นจริงของผู้คนที่เกี่ยวข้องว่าคนเหล่านั้นเป็นคนดีหรือไม่ดี พฤติกรรมของคนเหล่านั้นเป็นนิสัยที่เคยชินหรือเป็นการทำผิดชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น  พวกเขาไม่อาจแยกแยะแง่มุมเหล่านี้ได้ ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะผิดพลาดกันมาก  ในกรณีดังกล่าว ถ้าคริสตจักรสามารถตัดสินโดยให้ทุกคนออกเสียง ก็จะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดบางอย่างได้อย่างมีประสิทธิผล  การมีอยู่ของความเบี่ยงเบนและข้อผิดพลาดเหล่านี้ในงานของผู้นำและคนทำงานสามารถเผยให้เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดว่าพวกเขามีวิจารณญาณและจัดการเรื่องราวตามหลักธรรมหรือไม่  ทั้งยังเผยด้วยว่าผู้นำและคนทำงานมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่  ถ้าผู้นำหรือคนทำงานที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีไม่สามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นจริงนี้ได้ นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้นำหรือคนทำงานคนนี้ไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง

เมื่อเข้าใจหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติ หลักธรรมที่พวกเขาควรทำตาม รวมทั้งขอบเขตงานของพวกเขาแล้ว พวกเราก็ควรกลับมาที่สาระสำคัญของการสามัคคีธรรมช่วงนี้ซึ่งก็คือการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จ  นี่คือหัวข้อหลัก  ในส่วนของหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานนั้น หัวข้อที่พวกเราจะสามัคคีธรรมในวันนี้คือผู้นำเทียมเท็จละทิ้งความรับผิดชอบของตนในด้านใดบ้าง และพวกเขาสำแดงสิ่งใดที่เป็นการไม่ทำงานจริง  ก่อนอื่นพวกเรามาอ่านเนื้อหาที่เป็นหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองกันเถิด  (ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น)  หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองกล่าวไว้ชัดเจนถึงงานสามด้านที่ผู้นำและคนทำงานควรเข้าใจ  นี่เกี่ยวโยงกับการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จอย่างไร?  (ก่อนอื่นพวกเราต้องเข้าใจหน้าที่รับผิดชอบต่างๆ ที่ผู้นำและคนทำงานมีในงานนี้  จากนั้นก็เทียบดูว่าผู้นำเทียมเท็จลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้บ้างหรือไม่ และผู้นำเทียมเท็จสำแดงสิ่งใดออกมาบ้าง การประเมินพวกเขาตามมาตรฐานนี้ย่อมค่อนข้างแม่นยำ)  ถูกต้อง  การแยกแยะว่าคนคนหนึ่งเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือไม่นั้นไม่ได้ทำโดยใช้ตาดูใบหน้าของพวกเขาว่ามีเครื่องหน้าที่ดีหรือชั่ว และไม่ใช่ดูว่าภายนอกพวกเขาดูทุกข์ทนเพียงใด หรือวิ่งวุ่นกันเพียงใด  แต่เจ้าต้องดูว่าพวกเขาลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานหรือไม่ สามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่  นี่คือมาตรฐานที่ถูกต้องเพียงอย่างเดียวที่จะใช้ประเมินพวกเขา  นี่คือหลักธรรมที่ใช้ชำแหละ แยกแยะ และพิจารณาว่าคนคนหนึ่งเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือไม่  เช่นนี้เท่านั้นที่การประเมินจะเที่ยงธรรม ตรงตามหลักธรรม สอดคล้องกับความจริง และยุติธรรมต่อทุกคนได้  การระบุว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่มากพอ  ต้องไม่อิงเหตุการณ์หรือการทำผิดเพียงครั้งหรือสองครั้ง และยิ่งไม่สามารถใช้การเผยความเสื่อมทรามเพียงชั่วครั้งชั่วคราวมาเป็นหลักในการระบุ  มาตรฐานเพียงอย่างเดียวที่ใช้ระบุลักษณะของใครบางคนได้อย่างถูกต้องแม่นยำก็คือการดูว่าพวกเขาสามารถทำงานจริงและใช้ความจริงแก้ปัญหาได้หรือไม่ รวมทั้งดูว่าพวกเขาใช่คนที่ถูกต้องหรือไม่ ใช่คนที่รักความจริงและสามารถนบนอบพระเจ้าหรือไม่ และพวกเขามีงานและความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่  การจะระบุลักษณะของใครบางคนได้อย่างถูกต้องว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จต้องดูตามปัจจัยเหล่านี้เท่านั้น  ปัจจัยเหล่านี้คือมาตรฐานและหลักธรรมสำหรับประเมินและกำหนดว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จหรือไม่

กิจสามข้อที่ผู้นำและคนทำงานพึงปฏิบัติในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสอง

I. ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนให้ทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ

หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานประกอบด้วยกิจสามข้อหรือสามขั้นตอน  เมื่อปฏิบัติตามขั้นตอนทั้งสามเพื่อทำให้งานนี้แล้วเสร็จ หลักธรรมของงานนี้ย่อมได้รับการค้ำชูแล้ว และหน้าที่รับผิดชอบต่างๆ ในงานนี้ย่อมลุล่วง  กิจสามข้อนี้มีอะไรบ้าง?  (ข้อแรก ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ ข้อสอง หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น ข้อสาม สามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น)  กิจสามข้อนี้คือข้อกำหนดของผู้นำและคนทำงานในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสอง  เริ่มด้วยข้อกำหนดของผู้นำและคนทำงานข้อแรกซึ่งก็คือให้ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและชีวิตคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  เป็นการระบุออกมาทันทีอย่างถูกต้องแม่นยำ ไม่ใช่ตอบสนองอย่างเนือยๆ และไม่รู้สึกรู้สา หรือผลีผลามระบุลักษณะของสิ่งต่างๆ ออกมาอย่างมืดบอด—การระบุลักษณะของสิ่งต่างๆ โดยไม่ใช้ความรอบคอบไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้  ด้วยเหตุที่ผู้นำและคนทำงานบางคนเลอะเลือนและด้อยขีดความสามารถ จึงผลีผลามตัดแต่งและอบรมสั่งสอนผู้คนในเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ ระบุลักษณะของสิ่งต่างๆ ตามอำเภอใจและให้คำจำกัดความสิ่งเหล่านั้นอย่างมืดบอดโดยไม่ยึดตามหลักธรรม  การทำงานเช่นนี้ละเมิดหลักธรรมความจริง  ฉะนั้นผู้นำและคนทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าจึงต้องสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างน้อย  พวกเขาจะสามารถระบุปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำก็ด้วยการใช้วิจารณญาณเท่านั้น  การที่จะสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ได้นั้น ข้อกำหนดข้อแรกมีว่าอย่างไร?  ก่อนอื่นจำเป็นต้องเข้าใจพระประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนชนิดต่างๆ และเข้าใจว่าพระเจ้าทรงนิยามผู้คนและสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตัวพวกเขาว่าอย่างไร  นอกจากนี้ การชำแหละว่าสภาวะเชิงลบต่างๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไรและมีสิ่งใดเป็นต้นตอก็เป็นสิ่งสำคัญ  ยิ่งไปกว่านั้น คนเราต้องเข้าใจผลกระทบที่ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ มีต่อพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักร  การที่จะทำได้ตามเงื่อนไขเหล่านี้มีหลักการว่าอย่างไร?  ผู้นำและคนทำงานควรลงมือทำงานใดเป็นอันดับแรก?  ถ้าผู้นำและคนทำงานวางท่าสูงส่งและปลีกตัวอยู่ห่างๆ ทำตัวเหมือนเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งใหญ่โตและไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง ไม่ทำความเข้าใจสภาวะต่างๆ ของพี่น้องชายหญิง ไม่ติดต่อใกล้ชิดกับผู้คนชนิดต่างๆ ไม่จับสังเกตรายละเอียดในตัวผู้คนและไม่ลงลึกในการทำความเข้าใจพวกเขา เช่นนี้จะเป็นที่ยอมรับหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่เป็นที่ยอมรับ  ผู้นำและคนทำงานบางคนมักจะซ่อนตัวอยู่ในห้องของตน ใช้การอุทิศตนฝ่ายวิญญาณและการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์มาเป็นข้ออ้างที่จะเพิกเฉยและไม่ทำความเข้าใจงานของคริสตจักร  ดูภายนอกเหมือนพวกเขากำลังทำงานที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคริสตจักรระหว่างที่ซุกตัวอยู่ในห้องของตน แต่อันที่จริงพวกเขาโดดเดี่ยวตัวเองจากงานของคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเรียบร้อยแล้ว  วิธีทำงานเช่นนี้สามารถแก้ปัญหาที่มีอยู่ในงานด้านต่างๆ ของคริสตจักรได้หรือไม่?  ช่วยให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทำหน้าที่ของตนให้ดีได้หรือไม่?  ยามที่พวกเขาหมกตัวอยู่ในห้องเพื่อเขียนบทความคำพยานนั้น พวกเขามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ากันหรือไม่?  ฉะนั้น แนวทางนี้จึงไม่เหมาะควร  ตามหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสอง กิจข้อแรกของผู้นำและคนทำงานก็คือการระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรให้ทันท่วงทีตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง  บางคนถามว่า “การให้ผู้นำและคนทำงานเข้าไปเกี่ยวพันกับชีวิตคริสตจักรมากๆ เป็นไปเพียงเพื่อให้พวกเขาสามารถระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำเท่านั้นหรือ?”  การเข้าใจเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  นี่เป็นความเข้าใจที่บิดเบี้ยว  ผู้นำและคนทำงานต้องมีท่าทีและแนวทางที่ถูกต้องต่องานของตนและต้องลงลึกถึงระดับรากหญ้าอีกด้วย  เช่นนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะระบุและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  ถ้าพวกเขาไม่เข้าไปคลุกคลีถึงระดับรากหญ้าและใช้ชีวิตร่วมกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ก็จะระบุปัญหาทั้งหมดในงานของคริสตจักรได้ยากมาก  หลังจากที่ผู้คนรายงานและแสวงหาหนทางแก้ไข ถ้าพวกเขาแก้ปัญหาได้เพียงไม่กี่อย่าง ผลที่ได้จากงานนี้ก็จะมีจำกัดมาก  วิธีทำงานที่ผิดพลาดมากที่สุดของผู้นำและคนทำงานก็คือการแยกตัวจากผู้อื่นและปิดประตูทำงาน เหมือนบัณฑิตยุคโบราณที่อุทิศตนให้กับการศึกษาตำรับตำราของนักปราชญ์เพียงอย่างเดียวและไม่สนใจเรื่องภายนอก  ท่าทีและรูปแบบการใช้ชีวิตเช่นนี้ของผู้นำและคนทำงานย่อมไม่เป็นที่ยอมรับ  เจ้าอยู่คนเดียวในห้อง ฟังคำเทศนา อ่านพระวจนะของพระเจ้า จดบันทึกการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ และเขียนคำเทศนา แต่การได้คำสอนและวาจาบางอย่างไว้กับตัวนั้นหมายความหรือไม่ว่าเจ้าเข้าใจความจริง?  หมายความหรือไม่ว่าเจ้าเข้าใจสถานการณ์จริงและสภาวะที่แท้จริงของผู้คนที่ถูกความจริงเปิดโปง?  (ไม่)  ดังนั้นแม้ชีวิตที่เป็นการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานของผู้นำและคนทำงาน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการมีวิธีทำงานและรูปแบบการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง

II. หยุดยั้งและควบคุมคนชั่วอย่างทันท่วงที

ข้อกำหนดของผู้นำและคนทำงานข้อที่สองซึ่งสรุปไว้คร่าวๆ ในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองก็คือ เมื่อพวกเขาระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรแล้ว ต้องสามารถวินิจฉัยได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  พวกเขาจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะธรรมชาติของผู้คนและเหตุการณ์ต่างๆ ให้ชัดเจน และทำความเข้าใจว่าผู้คนและเหตุการณ์เหล่านั้นส่งผลต่อชีวิตคริสตจักรอย่างไร เป็นภัยคุกคาม รบกวน หรือบ่อนทำลายสภาวะ การเข้าสู่ชีวิต และการปฏิบัติหน้าที่ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่ กระทบผลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนหรือไม่—ผู้นำและคนทำงานต้องวินิจฉัยและประเมินเรื่องเหล่านี้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  ถ้าพวกเขาไม่มีหัวทางด้านนี้และไม่มีขีดความสามารถที่ถูกต้อง พวกเขาก็จะไม่สามารถทำงานของคริสตจักรได้  นอกจากนี้ ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องมีการตอบสนองและมีวิจารณญาณที่แหลมคมในเรื่องของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ  ยกตัวอย่างเวลาเกิดข้อพิพาทในคริสตจักร มีการขัดขวางและก่อกวนต่างๆ เกิดขึ้น เจ้ากลับไม่สามารถระบุปัญหาออกมาและนึกว่านั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ซึ่งส่งผลให้ผู้คนมากมายได้รับผลกระทบและไม่อาจทำหน้าที่ของตนได้ดี  ผู้นำหรือคนทำงานเช่นนี้ด้านชาและมืดบอดมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือปัญหาของผู้นำและคนทำงาน  เจ้าควรทำอย่างไรเมื่อพบว่ามีคนขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอยู่?  เจ้าต้องดูความร้ายแรงของปัญหาให้แน่ใจเสียก่อน ประเมินและวินิจฉัยแก่นแท้ของผู้คนดังกล่าว รวมทั้งผลกระทบและผลสืบเนื่องที่เรื่องดังกล่าวจะมีต่องานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักร  การวินิจฉัยดังกล่าวควรเป็นไปตามหลักการใด?  ควรเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  บางคนกล่าวว่า “คุณใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการได้อย่างไร?  ฉันว่านี่เป็นการพูดจาเลื่อนลอย”  แท้จริงแล้วนี่ไม่ใช่การพูดจาเลื่อนลอย  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เวลาเจ้าเผชิญ พบเห็น หรือได้ยินเรื่องดังกล่าว เจ้าก็แค่ต้องเอาเรื่องเหล่านั้นมาเทียบกับปัญหาที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงเอาไว้เท่านั้น  ดูว่าพระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงและชำแหละผู้คนและเรื่องดังกล่าวอย่างไร และพระองค์ทรงระบุลักษณะของปัญหาเหล่านี้ว่าอย่างไร เช่น ทรงเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ว่าอย่างไร หรือทรงเปิดโปงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คนต่างๆ ว่าอย่างไร และอื่นๆ  จากนั้นเจ้าก็เปรียบเทียบและชำแหละเรื่องเหล่านี้ตามพระวจนะเหล่านั้น และด้วยการสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง รวมทั้งการเฝ้าสังเกตของเจ้าเอง ในที่สุดเจ้าก็จะสามารถประเมินและระบุลักษณะของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าพบเห็นได้อย่างถูกต้อง และคิดหาทางแก้ที่สอดคล้องกัน  ส่วนคนที่มุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในหมู่คนต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวน ควรจัดการพวกเขาอย่างไร?  ไม่เพียงควรเปิดโปงและชำแหละพวกเขาเพื่อช่วยให้ผู้คนมีวิจารณญาณในตัวพวกเขาเท่านั้น แต่ต้องหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาอีกด้วย ทั้งยังควรเอาตัวคนที่ไม่อาจแก้ไขได้อยู่ดีแม้จะว่ากล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าออกไปเสีย  วิธีและแนวทางจำเพาะที่จะหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเป็นเช่นใด?  (ตัดแต่งและตักเตือนพวกเขา)  การตัดแต่งใช่วิธีที่ดีหรือไม่?  (ใช่)  การเปิดโปงการกระทำของพวกเขา ชี้ให้พวกเขาเห็นปัญหาที่ต่ำทรามที่สุดของตน ชำแหละแก่นแท้ของพวกเขา และกล่าวตักเตือน—นี่เป็นวิธีการที่ทำได้จริงทั้งสิ้นมิใช่หรือ?  แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังและใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการพื้นฐานที่จะโน้มน้าวและชำแหละพวกเขา  ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับความจริงและยืนกรานที่จะไม่ยอมรับความผิดพลาดของตน เช่นนั้นก็จำเป็นต้องใช้มาตรการที่แรงขึ้น  ก่อนอื่นจงเตือนพวกเขา จากนั้นก็ใช้กฎการปกครองของคริสตจักรมาควบคุมพวกเขา ไม่ปล่อยให้พวกเขาบุ่มบ่ามทำเรื่องไม่ดีและก่อกวนพี่น้องชายหญิง  และควรตัดแต่งพวกเขาด้วย จากนั้นจึงกำกับดูแล  วิธีการเหล่านี้มีความจำเป็น ล้วนทำไปเพื่อให้แน่ใจว่ามีการดำเนินงานของคริสตจักรเป็นอย่างดีและเพื่อช่วยผู้คนให้รอด ชี้นำพวกเขาเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง  แน่นอนว่าการใช้วิธีการเหล่านี้ย่อมจะสัมฤทธิ์ผลดี  ทางหนึ่งจงใช้ความจริงที่ผู้คนเข้าใจมาโน้มน้าวและเปิดโปงพวกเขา ชำแหละอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขา เปิดโปงธรรมชาติในการกระทำของพวกเขาและผลสืบเนื่องร้ายแรงที่พวกเขาเป็นผู้ก่อ—นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรทำได้เป็นอย่างต่ำ  ขั้นต่อไปคือการชำแหละและแยกแยะพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้า และระบุลักษณะของพวกเขาตามพระวจนะ  ถ้าพวกเขาใส่ใจฟังคำแนะนำ ยอมรับ และกลับใจ นั่นย่อมจะดีที่สุดเป็นแน่  อย่างไรก็ดี ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับคำแนะนำและก่อกวนงานของคริสตจักรต่อไป เช่นนั้นแล้วควรทำอย่างไร?  ในกรณีนั้นย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตัวสุภาพ  พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎการปกครอง และถึงจุดนั้นก็ควรหยุดยั้งและควบคุมคนคนนั้นตามกฎการปกครองในพระนิเวศของพระเจ้า  ถ้าคนคนนั้นเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ด้อยวุฒิภาวะและไม่เข้าใจความจริง ก็สามารถช่วยเหลือพวกเขาด้วยความรักได้ เจ้าสามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อช่วยให้พวกเขารู้จักตนเอง  สำหรับคนที่สามารถยอมรับความจริงและกลับใจได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องหยุดยั้ง ควบคุม หรือตัดแต่งพวกเขา  ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับความจริง นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องของการมีรากฐานที่ตื้นเขินหรือด้อยวุฒิภาวะและไม่เข้าใจความจริงแล้ว แต่เป็นปัญหาทางด้านความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  สำหรับผู้คนเช่นนี้ ควรใช้การบริหารจัดการและการลงโทษตามกฎมาหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้  ผลสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุดย่อมเป็นการค้ำชูงานของคริสตจักรและระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักร เปิดโอกาสให้ชีวิตคริสตจักรดำเนินต่อไปได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  นี่เรียกว่าการแก้ไขสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้น และเป็นผลที่ผู้นำและคนทำงานควรสัมฤทธิ์ในงานของตน  พวกเขาจะลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนก็ด้วยการสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้เท่านั้น  ถ้าผู้นำและคนทำงานเพิกเฉยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เอาแต่ใช้วาจาและคำสอนบางอย่างมาตอบโต้อย่างสุกเอาเผากิน หรือตำหนิและตัดแต่งคนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรเพียงไม่กี่คำในลักษณะที่ง่ายๆ นี่จะแก้ปัญหาได้หรือไม่?  นี่ไม่เพียงแก้ปัญหาไม่ได้เท่านั้น แต่จะทำให้คริสตจักรวุ่นวายมากขึ้นอีกด้วย—ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมสูญเสียเจตจำนงที่จะทำหน้าที่ของตนและถูกรบกวนไม่มากก็น้อย ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา  ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนหรือไม่?  (ไม่)  นี่แสดงให้เห็นว่าผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำงานของตน

III. เปิดโปงการทำชั่วของคนชั่ว เพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณและเรียนรู้บทเรียน

ข้อกำหนดข้อที่สามในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานก็คือ เวลารับมือการขัดขวางและรบกวนที่คนชั่วก่อให้เกิดขึ้น ผู้นำและคนทำงานควรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าร่วมกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อทบทวนตนเอง ทำความรู้จักตนเอง และมีการกลับใจอย่างแท้จริง  พวกเขาควรที่จะสามารถนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน และสัมฤทธิ์การติดตามพระเจ้า การนบนอบพระเจ้า และการเป็นพยานให้พระเจ้า  มีแต่งานดังกล่าวนี้เท่านั้นที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ด้านหนึ่ง ผู้นำและคนทำงานที่ทำงานในลักษณะนี้ย่อมสามารถแก้ปัญหาและมีความจริงติดตัวขณะทำงานไปด้วย  นอกจากนี้ ด้วยการสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหา พวกเขาย่อมช่วยให้พี่น้องชายหญิงเข้าใจความจริง รู้วิธีทบทวนและทำความเข้าใจตนเอง ทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ทำหน้าที่ของตนให้ดี รู้วิธีแยกแยะและปฏิบัติต่อผู้คน สัมฤทธิ์การติดตามพระเจ้าและการนบนอบพระเจ้า ไม่ถูกผู้อื่นตีกรอบ และสามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนได้  นี่คือการลุล่วงหน้าที่ของผู้นำและคนทำงาน นี่คือหลักธรรมที่ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาพลางดำเนินงานของคริสตจักรไปด้วย  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอันใดในคริสตจักร ก่อนอื่นผู้นำและคนทำงานควรแสวงหาความจริง จับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และแสวงหาการทรงนำของพระเจ้าไปพร้อมกัน  จากนั้นพวกเขาก็ควรมองหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกันมาแก้ปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่  ระหว่างที่แก้ปัญหา ผู้นำและคนทำงานก็ควรสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงให้มากขึ้นถึงพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง และทำความเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาตามพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาควรให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจของแต่ละคนเพื่อใช้วิจารณญาณดูปัญหาเหล่านี้อีกด้วย  เมื่อคนส่วนใหญ่สามารถมีความเข้าใจที่เหมือนกันและเห็นพ้องต้องกันได้ ก็ย่อมแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น  ในการแก้ปัญหา อย่าเล่าเหตุการณ์หรือลงรายละเอียดเล็กๆ หรือโทษคนที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดเวลา  ในตอนแรกอย่ามุ่งเน้นปัญหาเล็กๆ แต่จงสามัคคีธรรมความจริงให้ชัดเจน เพราะนี่ย่อมจะเผยธรรมชาติของปัญหาออกมา  เฉพาะแนวทางนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเรียนรู้การใช้วิจารณญาณดูปัญหาตามพระวจนะของพระเจ้า เกิดวิจารณญาณจากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น และเรียนรู้บทเรียนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจากทั้งหมดนั้น  นี่ย่อมเปิดโอกาสให้พวกเขานำวาจาและคำสอนที่พวกเขาเข้าใจเป็นปกติไปเทียบกับชีวิตจริงอีกด้วย ทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงได้โดยแท้  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรทำมิใช่หรือ?  การนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเกี่ยวพันกับการใช้ความจริงมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นสำคัญ  แนวทางนี้ให้ผลดีที่สุด  ยิ่งผู้นำและคนทำงานสามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาได้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะยิ่งเข้าใจความจริงได้ง่าย  เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะรู้วิธีปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและวิธีปรับใช้พระวจนะในชีวิตจริง  ถ้าผู้นำและคนทำงานมักจะนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง พวกเขาก็จะสามารถพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและผสมผสานพระวจนะของพระเจ้าให้กลมกลืนกับชีวิตประจำวันของตนได้อีกด้วย  บางคนกล่าวว่า “ข้อกำหนดสำหรับผู้นำและคนทำงานข้อนี้ไม่เรียกร้องมากเกินไปหรอกหรือ?  พวกเราจะมีความเข้าใจมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร?”  เจ้าอาจจะไม่เคยมีความเข้าใจเช่นนี้มาก่อน แต่ว่าเจ้าเรียนรู้และฝึกปฏิบัติให้สัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ไม่ได้หรือไร?  พระราชกิจของพระเจ้าฝึกฝนผู้นำ คนทำงาน และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงด้วยวิธีนี้  ถ้าเจ้าไม่รู้วิธี เจ้าก็สามารถเรียนรู้และฝึกปฏิบัติได้  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอันใดขึ้นก็ตาม เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะทบทวนตนเองและทำความรู้จักตนเองตามพระวจนะของพระเจ้า กระบวนการปฏิบัติเป็นเช่นนี้  หลังจากปฏิบัติไปไม่กี่ครั้งและสัมฤทธิ์ผลต่างๆ เจ้าก็จะมีเส้นทางและรู้วิธีปฏิบัติความจริง  เมื่อพระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจ นี่คือวิธีที่พระองค์ทรงใช้นำผู้คนเรียนรู้การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ผู้นำและคนทำงานจึงควรสื่อสารกับพี่น้องชายหญิงบ่อยๆ เผชิญปัญหาด้วยกัน แก้ปัญหาด้วยกัน และทำงานของคริสตจักรให้ดี  แล้วผู้นำคริสตจักรควรนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างไร?  วิธีหลักก็คือนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรระบุและแก้ปัญหาในชีวิตจริง ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระวจนะในชีวิตจริง เพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่เพียงปฏิบัติความจริงได้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งที่เป็นลบและผู้คนที่เป็นลบได้อีกด้วย—ได้แก่ ผู้นำเทียมเท็จ คนทำงานเทียมเท็จ คนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ และศัตรูของพระคริสต์  จุดประสงค์ของการแยกแยะผู้คนต่างๆ ก็เพื่อแก้ปัญหา  เฉพาะเมื่อแก้ไขการก่อกวนที่เกิดจากคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ได้รอบด้านเท่านั้น งานของคริสตจักรจึงจะเดินหน้าได้อย่างราบรื่น และคริสตจักรเองก็ดำเนินการไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  พร้อมกันนั้น การจัดการคนชั่วย่อมทำหน้าที่ตักเตือนให้หลีกเลี่ยงการทำความผิดหรือทำชั่ว ซึ่งทำให้ตนเองสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้สำเร็จ  เมื่อเป็นดังนี้ ไม่เพียงเจ้าจะลุล่วงหน้าที่ของตนและมีการเข้าสู่ชีวิตเท่านั้น แต่เจ้าย่อมเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอีกด้วย  นี่คือการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและสามารถแก้ปัญหาได้ ก็ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ามีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานและมีลักษณะตรงตามข้อกำหนดที่จะได้รับการบ่มเพาะในพระนิเวศของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงควรเป็นผู้นำและชี้แนะพี่น้องชายหญิงให้เรียนรู้การใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ในชีวิตจริง สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง รู้ว่าจะปฏิบัติต่อผู้คนสารพัดชนิดที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างไร รู้ว่าจะปฏิบัติความจริง ปฏิบัติต่อผู้คนต่างๆ ตามหลักธรรม และสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหาอย่างไร  นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า  ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ เจ้าย่อมเข้าสู่ความเป็นจริงในพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าจะเรียนรู้บทเรียน เกิดวิจารณญาณ และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าในชีวิตจริง มีหลักปฏิบัติในการจัดการเรื่องราว ในการปฏิบัติต่อผู้คนและทำหน้าที่ของตน  เมื่อทำได้ดังนี้ เจ้าก็จะสามารถปฏิบัติความจริงได้  พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผู้คนสัมฤทธิ์ผลดังกล่าว  ฉะนั้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น เจ้าต้องเรียนรู้บทเรียนของเจ้าและเพิ่มพูนวิจารณญาณอยู่เสมอ เจ้าไม่สามารถปล่อยให้สิ่งเหล่านี้หลุดลอยไป และเจ้าไม่อาจพลาดโอกาสอันใดที่จะเรียนรู้บทเรียนของเจ้าและเพิ่มพูนวิจารณญาณได้  เนื่องจากนี่เป็นกรณีที่มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น พวกเราต้องไม่จัดการเรื่องนั้นด้วยท่าทีที่คิดลบและพร่ำบ่น ในทางกลับกัน พวกเราควรเผชิญเรื่องนั้นด้วยท่าทีที่เป็นบวก  แล้วจะทำเช่นนั้นอย่างไร?  ก็ด้วยการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  ผู้คนล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาสามารถเป็นไปในทางที่ดีหรือชั่วก็ได้ ดังนั้น เมื่อผู้คนมารวมตัวกันจะไม่เกิดปัญหาขึ้นได้อย่างไร?  ท่าทีของเจ้าควรเป็นเช่นไรเมื่อคำนึงว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมนี้ไว้ให้เจ้า เมื่อคำนึงว่าพระองค์ทรงแสดงให้เจ้ามองเห็นผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้า?  จงขอบคุณพระเจ้าที่ทรงวางปัญหาทั้งหลายนี้ไว้ตรงหน้าเจ้า  พระองค์กำลังประทานโอกาสให้เจ้าปฏิบัติและเรียนรู้บทเรียน รวมทั้งเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าควรขอบคุณพระเจ้าที่ประทานโอกาสเช่นนี้แก่เจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญปัญหาอันใด เจ้าก็ต้องนำพี่น้องชายหญิงเรียนรู้การใช้วิจารณญาณ ถอดบทเรียน และเกิดความเข้าใจเชิงลึกไปพร้อมกับเจ้า  นอกจากนี้ เจ้าต้องพาพวกเขาคิดทบทวนและทำความเข้าใจไปพร้อมกับเจ้าว่าผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันอันใดบ้างในเรื่องของปัญหาดังกล่าว มีทัศนะอันใดบ้างที่บิดเบี้ยว ได้เรียนรู้บทเรียนอันใดบ้างจากการพบเจอเรื่องนี้ แก้ไขมโนคติและทัศนะที่หลงผิดอันใดไปแล้วบ้าง และในท้ายที่สุดได้เข้าใจความจริงข้อใดไปแล้วบ้าง  คนเราควรมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในลักษณะนี้ ไม่พลาดสักเรื่องเดียว  ถ้าเจ้ามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามาแล้วหลายปีและแก้ปัญหาไปแล้วมากมาย เจ้าย่อมจะมองเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงทั้งสิ้น และแน่นอนว่าสามารถชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอดจากอิทธิพลของซาตานได้  เมื่อผู้คนเข้าใจและได้รับความจริง พวกเขาย่อมจะมองเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าลุล่วงและสำเร็จทุกประการแล้ว  เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระวจนะได้ เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถผสมผสานพระวจนะของพระเจ้าให้กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับชีวิตจริงของตนได้ ใช้พระวจนะของพระเจ้ามองดูผู้คนและเรื่องราวได้อย่างถูกต้อง ใช้พระวจนะของพระเจ้าประเมินผู้คนและทุกสิ่งที่ผู้คนทำ แทนที่จะพึ่งพาสิ่งที่ตนมองเห็นหรือความรู้สึกของตน และแน่นอนว่าไม่พึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน  เมื่อเรียนรู้บทเรียนเหล่านี้แล้ว พวกเขาย่อมใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้ง่ายขึ้น และมักจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้นำและคนทำงานย่อมจะทำงานของตนได้ตามมาตรฐานอย่างครบถ้วน และลุล่วงความรับผิดชอบของตน  เฉพาะเมื่อคนทำงานและผู้นำทำงานของตนได้อย่างครบถ้วนเท่านั้น ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงจะสัมฤทธิ์ประโยชน์เหล่านี้ได้  ในสถานการณ์มากมายที่เจ้าพบเจอ ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าควรนำพี่น้องชายหญิงเรียนรู้บทเรียนอย่างไร และเจ้าก็ไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนที่มืดบอด เป็นคนเลอะเลือนที่ด้านชาและหัวช้า  เวลาเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว ไม่เพียงเจ้าจะรู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร และไม่มีความสามารถพอที่จะทำงานนี้เท่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นยังส่งผลต่อประสบการณ์ที่พี่น้องชายหญิงจะมีกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งเหล่านี้อีกด้วย  ถ้าเจ้าจัดการสิ่งต่างๆ อย่างไม่ถูกควร ไม่ทำงานใดๆ ไม่กล่าวอะไรที่เจ้าควรกล่าวสักคำเพื่อสามัคคีธรรมความจริง และไม่สามารถพูดสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือยังความเจริญใจแก่ผู้อื่น เช่นนั้นแล้วเมื่อคนมากมายเผชิญผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนนี้ ไม่เพียงพวกเขาจะไม่สามารถน้อมรับเรื่องราวเหล่านี้จากพระเจ้า ไม่สามารถรับมือเรื่องราวอย่างแข็งขันและเป็นบวก และเรียนรู้บทเรียนจากเรื่องราวเหล่านี้เท่านั้น แต่มโนคติอันหลงผิด การระแวดระวัง ความไม่เชื่อใจ และความระแวงที่พวกเขามีต่อพระเจ้าย่อมจะร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย  นี่คือผลสืบเนื่องของการที่ผู้นำและคนทำงานไม่มีความเป็นจริงความจริงและไม่สามารถใช้ความจริงแก้ปัญหามิใช่หรือ?  นี่เป็นสัญญาณว่าผู้นำและคนทำงานไม่สามารถทำงานจริงมิใช่หรือ?  เจ้าไม่เคยทำงานของคริสตจักรอย่างถูกควร ไม่เคยทำพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าให้แล้วเสร็จ ไม่เคยลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และไม่เคยนำพี่น้องชายหญิงออกจากการอยู่ใต้อำนาจของซาตาน  พวกเขายังคงใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและการทดลองของซาตาน  เจ้ากำลังประวิงการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมิใช่หรือ?  เจ้ากำลังทำร้ายผู้คนอย่างหนัก!  ในฐานะผู้นำและคนทำงาน เจ้าควรน้อมรับพระบัญชาจากพระเจ้า นำพี่น้องชายหญิงมาเบื้องหน้าพระเจ้า ปล่อยให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะสัมฤทธิ์การเข้าใจความจริงและทำหน้าที่ของตนตามหลักธรรม อันเป็นการเพิ่มพูนความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้า  ไม่เพียงเจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติในหนทางนี้ได้เท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ควบคุมหรือแก้ไขการก่อกวนที่เกิดจากคนชั่วอีกด้วย เป็นเหตุให้การเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีภัย  หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี พวกเขาไม่เพียงไม่ก้าวหน้าและไม่เข้าใจความจริงหรือไม่รู้จักพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังถึงขั้นเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าอีกด้วย ไม่มีการนบนอบที่แท้จริงแต่อย่างใด  เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกสิ่งที่เจ้าทำลงไปย่อมขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าโดยแท้มิใช่หรือ?  เจ้าไม่เพียงไม่นำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงหรือปกป้องพวกเขาเท่านั้น แต่ยังปล่อยให้พวกเขาถูกคนชั่วก่อกวน ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้อีกด้วย  เจ้าไม่เคยทำสิ่งที่ทำร้ายผู้คนของเจ้าและสร้างความยินดีให้แก่ศัตรูของเจ้าหรอกหรือ?  เจ้ากำลังช่วยเหลือและสนับสนุนความชั่วมิใช่หรือ?  เจ้าทำงานมานานขนาดนี้ แต่ไม่เพียงไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลในทางบวกได้เท่านั้น แต่เจ้าถึงขั้นทำให้พี่น้องชายหญิงและพระเจ้ามีระยะห่างจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ และทำจนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีไร้ซึ่งการเข้าใจความจริงหรือรู้ว่าควรใช้วิจารณญาณดูการขัดขวางและก่อกวนของคนชั่วอย่างไร ส่งผลร้ายแรงต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  นี่คือการทำความชั่วมากมายมิใช่หรือ?  ไม่ว่าผู้นำและคนทำงานจะทำงานใดก็ตาม ถ้าพวกเขาไม่สามารถกระทำการตามข้อกำหนดของพระเจ้า ไม่อาจจัดการเรื่องราวและแก้ปัญหาตามหลักธรรมความจริงได้ ผลกระทบที่พวกเขาสร้างขึ้นย่อมจะขยายกว้างออกไปพ้นตัวพวกเขาเองหรือผู้คนเพียงไม่กี่คน และจะส่งผลต่องานของคริสตจักร การเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนในคริสตจักร ผลการทำหน้าที่ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ผลการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร และแม้กระทั่งการที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะสามารถได้รับความรอดและได้รับการพาเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้าหรือไม่—ทั้งหมดนี้คือส่วนต่างๆ ที่อาจได้รับผลกระทบก็เป็นได้  บางคนเชื่อในพระเจ้า แต่กลับติดตามผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ ส่งผลให้ตนเองย่อยยับ  นี่เหมือนกับที่ผู้คนในแวดวงต่างๆ ทางศาสนาถูกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสชักพาให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้ไม่มีผิด เป็นผลให้พวกเขาไม่สามารถรับเสด็จพระเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา แต่กลับประสบความวิบัติแทน  ทั้งหมดนี้มีการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นเรื่องจริง  ฉะนั้น การสามารถใช้วิจารณญาณดูผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ได้จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร!

หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานกำหนดให้พวกเขาปฏิบัติกิจที่สำคัญยิ่งยวดสามข้อ  ข้อแรก พวกเขาต้องระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักร  ข้อสอง หลังจากที่ใช้วิจารณญาณดูและระบุลักษณะของสิ่งที่กล่าวมาแล้ว พวกเขาต้องหยุดยั้งและควบคุมคนชั่วทันที นี่คือขั้นตอนที่สอง  ข้อสาม ขณะหยุดยั้งและควบคุมคนชั่ว พร้อมกับแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น พวกเขาต้องหมั่นสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงถึงพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเปิดโปงการทำชั่วของพวกคนชั่ว จับตาดูปฏิกิริยาและความเข้าใจที่พี่น้องชายหญิงมีต่อเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และแก้ไขทัศนะที่ไม่ถูกต้องที่พวกเขามีทันที  แน่นอนว่าถ้าพี่น้องชายหญิงที่ไล่ตามเสาะหาความจริงบางคนมีความเข้าใจเชิงลึก ก็ควรหนุนใจให้พวกเขาสามัคคีธรรมมากขึ้น  นอกจากนี้ ผู้นำและคนทำงานก็ควรช่วยคนที่อ่อนแอหรือมีวุฒิภาวะน้อยอีกด้วย และหนุนใจให้พวกเขาพูดจามากขึ้น  ผลลัพธ์ที่ต้องการก็คือช่วยให้พี่น้องชายหญิงเกิดวิจารณญาณและเรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เรียนรู้ที่จะใช้วิจารณญาณดูผู้คนและเรื่องราว  จุดประสงค์ของการใช้วิจารณญาณดูผู้คนและเรื่องราวก็เพื่อทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจผู้คนชนิดต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นโดยใช้วิธีการที่ถูกต้องตามหลักธรรมความจริง พลางเรียนรู้บทเรียนด้วยตนเองไปด้วย  พวกเขาควรเรียนรู้บทเรียนอันใด?  พวกเขาควรจับสังเกตว่าพระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นใดต่อผู้คนเหล่านี้เวลาที่ทรงชำแหละและเปิดโปงสภาวะของผู้คน—การรู้ว่าพระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นใดต่อคนเหล่านี้ทำให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้นว่าตนเองควรเป็นคนเช่นใดและควรใช้เส้นทางแบบใดใช่หรือไม่?  (ใช่)  สรุปแล้ว ผลที่พึงสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุดก็คือการที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงในสภาพแวดล้อมที่เป็นชีวิตจริง สามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ และนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้าได้  เมื่อทำเช่นนี้ ผู้นำและคนทำงานย่อมจะปฏิบัติงานของคริสตจักรได้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ดูจากขั้นตอนทั้งสามของการปฏิบัติงานนี้แล้ว ยากหรือไม่ที่ผู้นำและคนทำงานจะทำงานนี้ให้ดี?  (ไม่ยาก)  ถ้าพึ่งพาความใจดีมีเมตตาและขีดความสามารถของมนุษย์ ก็เป็นไปได้ที่การทำงานนี้ให้ดีจะค่อนข้างเหนื่อยยาก เพราะเจ้าจะไม่สัมฤทธิ์ผลตามพระประสงค์ของพระเจ้าและจะไม่ลุล่วงความรับผิดชอบที่แท้จริงของผู้นำและคนทำงาน  ถ้าพึ่งพาอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์ เจ้าจะสามารถทำงานนี้ได้ดีหรือไม่?  (ไม่ได้)  กล่าวตามตรงก็คือ การพึ่งพาอุปนิสัยที่เสื่อมทรามในการทำงานนี้ย่อมหมายถึงการลงมือตามแนวคิดของเจ้าเอง  นี่จะให้ผลเช่นใด?  (จะก่อให้เกิดความวุ่นวายในคริสตจักร)  นี่เป็นผลสืบเนื่องอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ยิ่งเจ้าทำงาน สิ่งต่างๆ ก็ยิ่งวุ่นวาย  ความวุ่นวายคืออะไร?  สภาวะจำเพาะของความวุ่นวายเป็นเช่นใด?  ความวุ่นวายคือยามที่ผู้คนไม่สามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าหรือสามัคคีธรรมได้ตามปกติเวลาชุมนุม  มีคนชั่วและผู้ไม่เชื่อก่อให้เกิดการรบกวนอยู่เสมอ หรือมีข้อพิพาทอย่างต่อเนื่อง โดยที่ทุกคนต่างยึดทัศนะของตนเองและสร้างกลุ่มสร้างพลพรรคขึ้นมา พี่น้องชายหญิงก็ไร้วิจารณญาณและหลงทาง คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและรักความจริงจึงพลอยถูกรบกวนไปด้วย และชีวิตของพวกเขาก็ไม่เติบโต  ในคริสตจักรเช่นนั้น คนชั่วและผู้ไม่เชื่อย่อมกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ทรงพระราชกิจ  และในคริสตจักรเช่นนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้คนต่างก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน แสดงทัศนะสารพัดอย่าง โดยแทบไม่กล่าวถึงมุมมองที่ถูกต้อง  คริสตจักรจึงแตกแยกเป็นหลายฝ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่มีเอกภาพในหมู่คน และไม่มีสัญญาณถึงพระราชกิจหรือการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้คนระแวดระวังกันและต่างก็มองกันด้วยความระแวง มีสองหรือสามกลุ่มที่แก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์กัน ทุกคนแสวงหาคนหนุนหลังตน เล่นงานและกีดกันคนที่เห็นต่าง และอาจมีการทำชั่วทุกรูปแบบ  นี่คือภาพความวุ่นวาย  สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  เพราะผู้นำและคนทำงานไม่สามารถทำงานของตนมิใช่หรือ?  (ใช่)  การที่ผู้นำและคนทำงานต่างก็ทำงานตามแนวคิดของตนเองย่อมก่อให้เกิดผลสืบเนื่องเหล่านี้  การทำงานตามแนวคิดของตนเองหมายถึงสิ่งใด?  หมายถึงการไม่เข้าใจความจริง ไร้ซึ่งหลักธรรม และกระทำการอย่างมืดบอดตามอุปนิสัยที่เสื่อมทราม รวมทั้งมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ นำไปสู่สภาวะที่ยิ่งวุ่นวายในคริสตจักร  บางคนอาจจะกล่าวว่า “มีคนชั่วก่อให้เกิดการรบกวนในคริสตจักรได้อย่างไร?  ฉันไม่รู้ว่าใครถูกใครผิด หรือควรเข้ากับฝั่งไหน?”  ผู้อื่นอาจจะบอกว่า “คริสตจักรแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย  พวกเราควรใช้ชีวิตคริสตจักรกันอย่างไร?  การชุมนุมทุกครั้งไร้ผลและเสียเวลาเปล่า  การเชื่อแบบนี้ไปเรื่อยๆ ย่อมจะไม่ให้ผล”  เมื่อคริสตจักรหนึ่งๆ วุ่นวายจนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่สามารถใช้ชีวิตคริสตจักรได้ คริสตจักรแห่งนั้นย่อมเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตราบใดที่คนชั่วและผู้ไม่เชื่อกุมอำนาจ พวกเขาย่อมจะทำลายคริสตจักรให้ย่อยยับ  คริสตจักรไม่สามารถดำเนินงานได้หากไม่มีคนดีและคนที่ปฏิบัติความจริงมาเป็นผู้นำและคนทำงาน—เมื่อไม่มีคนเหล่านี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะดูแลสิ่งต่างๆ ให้อยู่ในการควบคุม!  ถ้าไม่ควบคุมคนชั่วและผู้ไม่เชื่อเอาไว้ ก็จะไม่มีชีวิตคริสตจักร และย่อมจะเสียระเบียบปกติของคริสตจักรไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นความยุ่งเหยิง  นี่คือผลลัพธ์เมื่อผู้นำและคนทำงานไม่ทำงานของตนให้ดี  ถ้าผู้นำและคนทำงานไม่อาจยอมรับความจริงได้ ไม่สามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือพึ่งพาพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถทำงานของคริสตจักรได้ดี  ไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักร หรือแก้ไขความยุ่งยากอันใดซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญอยู่  ผู้นำและคนทำงานเช่นนั้นจะสามารถก่อให้เกิดผลดีได้หรือไม่ถ้าพวกเขากุมอำนาจ?  พวกเขาจะได้แต่นำความวุ่นวายมาให้คริสตจักรเท่านั้น—ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือสถานการณ์อย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้น  จากนั้นคริสตจักรแห่งนั้นย่อมร้างคน เป็นที่ที่ซาตานกุมอำนาจ และทรุดโทรมกลายเป็นสิ่งอื่นไป  พระเจ้าจะไม่ทรงยอมรับคริสตจักรแบบนั้น และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ทรงพระราชกิจในที่เช่นนั้น  คริสตจักรดังกล่าวเป็นคริสตจักรแต่ในนามเท่านั้นและควรถูกปิดไป

ชำแหละสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จสำแดงออกมาในส่วนที่เป็นหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสอง

I. ผู้นำเทียมเท็จย่อมด้อยขีดความสามารถและไม่อาจระบุปัญหาที่เป็นการขัดขวางและก่อกวนได้

เหล่านี้คือกิจที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำ ดังที่สรุปไว้คร่าวๆ ในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสอง คราวนี้พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมถึงตัวอย่างจำเพาะกันอีกแล้ว  สาระสำคัญของการสามัคคีธรรมในวันนี้คือการเปิดโปงลักษณะจำเพาะที่ผู้นำเทียมเท็จสำแดงออกมายามที่พวกเขาปฏิบัติกิจเหล่านี้ และการระบุลงไปว่าพฤติกรรมใดสะท้อนให้เห็นแก่นแท้ของผู้นำเทียมเท็จและสามารถใช้ระบุได้ว่าคนคนหนึ่งเป็นผู้นำเทียมเท็จ  นี่คือหัวข้อหลักของสามัคคีธรรมในวันนี้  ก่อนอื่น ข้อกำหนดสำหรับผู้นำและคนทำงานในงานนี้ก็คือระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงที  การระบุอย่างทันท่วงทีคือมาตรฐานอย่างหนึ่งที่ผู้นำและคนทำงานต้องมี  เมื่อใดที่เกิดเรื่อง ทันทีที่มีสัญญาณแม้เพียงน้อยนิดว่ามีบางสิ่งผิดแปลกไป เช่น สัญญาณว่าคนชั่วเริ่มบงการ หรือมีคนแสดงสัญญาณบ่งชี้ว่าก่อปัญหา ผู้นำและคนทำงานควรรู้สึกได้และตื่นตัว  ถ้าพวกเขาด้านชาและหัวช้า นั่นก็จะเป็นปัญหา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มีคนชั่วคอยก่อให้เกิดการรบกวน ทันทีที่ปัญหานี้เริ่มปรากฏให้เห็นและไม่เป็นที่ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วผู้คนเหล่านี้ตั้งใจจะทำสิ่งใดหรือสถานการณ์จะดำเนินไปอย่างไร—กล่าวคือ เมื่อผู้นำและคนทำงานยังไม่สามารถมองเรื่องนี้ออก—พวกเขาก็ไม่ควรกระทำการอย่างมืดบอดหรือทำให้ผู้คนเหล่านี้ไหวตัวเร็วเกินไป จะได้ไม่วินิจฉัยผิดพลาด  อย่างไรก็ดี นี่ไม่ได้หมายถึงไม่ให้จับสังเกตและไม่ตระหนักรู้สถานการณ์  แต่หมายความว่าให้รอคอยและสังเกตการณ์ดูว่าสิ่งต่างๆ ดำเนินไปอย่างไร และสิ่งใดคือเจตนา จุดหมาย และแรงจูงใจของผู้คนเหล่านี้  นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำ  เมื่อสถานการณ์ดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง และผู้คนเหล่านี้เริ่มระบายความคิดลบและเผยแพร่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ก่อให้เกิดการรบกวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ผู้นำและคนทำงานก็ควรลงมือทันที  พวกเขาควรลุกขึ้นมาเปิดโปง ชำแหละ และควบคุมการทำชั่วของคนเหล่านี้เอาไว้โดยไม่ลังเล ช่วยให้ผู้อื่นเรียนรู้บทเรียน มีวิจารณญาณแยกแยะและเท่าทันคนชั่ว  นี่คือกระบวนการระบุตัวผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ—นี่คือความหมายในการทำงานนี้ของผู้นำและคนทำงาน  จุดหมายหลักของงานนี้คือการระบุตัวผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร แล้วแก้ไขทันที  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานสัมฤทธิ์ได้  แล้วผู้นำเทียมเท็จมีการสำแดงเช่นไรในงานนี้?  พวกเราจะชำแหละและแยกแยะผู้นำเทียมเท็จได้อย่างไร?  เห็นได้ชัดว่าผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถระบุได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำว่าคนชั่วกำลังก่อกวนงานของคริสตจักร  นี่เป็นปัญหาที่เห็นได้ชัดที่สุดเวลาผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติงานให้คริสตจักร—พวกเขาไม่มีวิจารณญาณในเรื่องที่คนชั่วก่อกวนงานของคริสตจักร  เหตุใดจึงกล่าวว่าผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถระบุปัญหาหรือเท่าทันแก่นแท้ของปัญหา?  บางคนมีการกระทำที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างชัดเจน แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่สามารถดูออกหรือรับรู้ปัญหาได้ พวกเขามืดบอด  บางคนระบายความคิดลบ ก่อกวนและชักพาให้ผู้อื่นในคริสตจักรหลงผิด  ส่วนคนอื่นๆ ก็สร้างพลพรรค มีการแอบติดต่อเจรจาอย่างไม่ชอบมาพากล มักจะตัดสินบางคนลับหลัง  นอกจากนี้ยังมีคนอื่นที่ยั่วยวนและเกี้ยวพาราสีกันโดยไม่ยั้งคิด  ผู้นำเทียมเท็จแสร้งมองไม่เห็นเรื่องเหล่านี้ พวกเขาไม่ตระหนักรู้โดยสิ้นเชิงถึงความร้ายแรงของปัญหาเหล่านี้ ไม่ตระหนักรู้ว่าถ้าปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข จะมีการไล่ตามเสาะหาความจริงและการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนกี่คนกันแน่ที่จะพลอยได้รับผลกระทบ และปัญหาเหล่านี้จะนำผลสืบเนื่องอันใดมาให้บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเพิกเฉย  เมื่อบางคนสังเกตเห็นปัญหาและรายงานไปยังผู้นำเทียมเท็จ ผู้นำเทียมเท็จก็อาจกล่าวว่า “พวกเขาทุกคนต่างก็เป็นพี่น้องชายหญิง—มีใครไม่เผยความเสื่อมทรามออกมาบ้าง?  ใครบ้างไม่มีอารมณ์ความรู้สึกและความอยากได้อยากมี?  อย่าตัดสินหรือกล่าวโทษคนอื่นง่ายๆ!”  ไม่ว่าจะมีบางสิ่งในคริสตจักรที่เลว เหลวไหล หรือตรงข้ามกับความจริงอย่างไร ผู้นำเทียมเท็จก็มองไม่เห็นอยู่ดี  ขณะชุมนุมบางคนพูดจาในทางลบอยู่เสมอ กล่าวอะไรทำนองว่า “พวกเขาพูดอยู่เรื่อยว่าวันของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว—แล้วจะมาถึงจริงเมื่อไร?”  พี่น้องชายหญิงบางคนได้รับผลจากการนี้โดยไม่รู้ตัว แต่ผู้นำเทียมเท็จตอบสนองอย่างไร?  พวกเขากลับมองว่านี่เป็นความอ่อนแอตามปกติและไม่สามารถมองเห็นว่านี่คือการระบายความคิดลบ ก่อกวนและชักพาให้ผู้อื่นหลงผิด  พี่น้องชายหญิงบางคนได้รับผลกระทบในการทำหน้าที่ของตนอย่างชัดเจน  พวกเขาไม่อยากประกาศข่าวประเสริฐอีกต่อไปและไม่เข้าชุมนุมในเชิงรุกหรือในทางที่เป็นบวกอีกต่อไป  ทุกครั้งที่มีการชุมนุมจึงต้องเรียกพวกเขาเข้าร่วม  กระนั้นผู้นำเทียมเท็จก็มองไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา  เมื่อเกิดปัญหานี้ขึ้นมา พวกเขากลับไม่สังเกตเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงอันใดเกิดขึ้นกับทุกคนในคริสตจักร  พวกเขาเอาแต่จัดชุมนุมไปตามขั้นตอนและตามระเบียบแบบแผน ไม่ตระหนักรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหลังฉากและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสภาวะของผู้คน ไม่ตระหนักรู้ว่าผู้คนมีปัญหาอันใด ใครก่อปัญหาเหล่านั้น ใครคือตัวการสำคัญ ปัญหาทั้งหลายเกิดจากใคร และแท้จริงแล้วจำเป็นต้องแก้ปัญหาใดบ้าง—พวกเขาไม่อาจรับรู้เรื่องเหล่านี้ได้  ที่ไม่อาจรับรู้เรื่องเหล่านี้ได้เป็นเพราะสายตาของพวกเขามองไม่เห็นใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ในเมื่อไม่ใช่ว่าสายตามองไม่เห็น แล้วเหตุใดเวลาเกิดการขัดขวางและก่อกวนอย่างร้ายแรง เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างเห็นได้ชัดภายในคริสตจักร พวกเขาจึงไม่อาจมองเห็นหรือระบุออกมาได้?  ชัดเจนว่าผู้นำคนนี้มืดบอดและไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  บางคนกล่าวว่า “แม้พวกเขาจะระบุปัญหาเหล่านี้ออกมาไม่ได้ แต่ก็สามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ผู้คนฟังขณะชุมนุมได้  ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจสิ่งที่พวกเขาอ่านว่าอย่างไร หรือว่านั่นให้ผลอันใดหรือไม่ พวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านพระวจนะของพระเจ้าต่อไป  ด้วยเหตุนี้เพียงข้อเดียวก็ถือได้ว่าพวกเขาเป็นผู้นำที่ดี”  พวกเขามุ่งเน้นแต่การอ่านพระวจนะของพระเจ้า—ถ้านี่ไม่พาให้เกิดผลอันใด ก็เป็นการทำไปตามขั้นตอนเท่านั้นมิใช่หรือ?  ถ้าพวกเขาแก้ปัญหาไม่ได้ ผู้คนจะสามารถได้ประโยชน์อันใดจากการชุมนุม?  ดังนั้น ผู้นำคนนี้ใช่ผู้นำเทียมเท็จหรือไม่?  (ใช่)  ลักษณะอย่างหนึ่งที่ผู้นำเทียมเท็จสำแดงให้เห็นเวลาปฏิบัติงานนี้ก็คือความมืดบอด  พวกเขามืดบอด—ไม่ว่าปัญหาจะอยู่ตรงหน้าหรือเกิดขึ้นรอบตัวพวกเขาอย่างชัดเจนเพียงใด พวกเขาก็ไม่อาจมองเห็นหรือระบุได้  ดูภายนอกอาจเหมือนพวกเขาถนอมรักพระวจนะของพระเจ้ามากกว่าคนทั่วไป แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้าพูดเรื่องอะไร เอ่ยถึงผู้คนกลุ่มไหน หรือกล่าวถึงสถานการณ์ใดบ้าง—พวกเขาไม่สามารถเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้าเข้ากับชีวิตจริง  แล้วพวกเขาจะสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจอันใดบ้าง?  พวกเขาเห็นพ้องกับความจริงหรือไม่?  สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เวลาพวกเขาประกาศ พวกเขาก็พร่ำเพ้อแต่วาทกรรมที่ว่างเปล่า ราวกับว่าตนนั้นเข้าใจความจริงเสียมากมาย แต่กลับไม่สามารถระบุการก่อกวนต่างๆ ที่เห็นได้ชัดของคนชั่วในคริสตจักรได้ ทำราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น  นี่แสดงให้เห็นกระนั้นหรือว่าพวกเขาเข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณ?  พวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าโดยแท้หรือไม่?  (ไม่)  ถ้าพวกเขาสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ตามปกติ เหตุใดพวกเขาจึงไม่อาจใช้พระวจนะมามองและแก้ปัญหาได้?  เหตุใดความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาจึงไม่เคยเปิดกว้างเวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้า?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีหัวใจที่กระตือรือร้นเวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้า?  ต้นตอของปัญหานี้คือสิ่งใด?  เหตุใดพวกเขาจึงมืดบอด?  สาเหตุที่พวกเขามืดบอดคืออะไร?  (เพราะพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและด้อยขีดความสามารถอย่างยิ่ง)  ถูกต้อง  ไม่ใช่ว่าพวกเขาตาบอด แต่หัวใจของพวกเขามืดบอด  การมีหัวใจที่มืดบอดหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพวกเขาด้อยขีดความสามารถอย่างยิ่งและไม่มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเขาจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าไปมากเท่าใด ก็เข้าใจเพียงผิวเผินเท่านั้น  พวกเขาไม่สามารถเชื่อมโยงพระวจนะเข้ากับผู้คน เหตุการณ์ สถานการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรได้ และไม่สามารถรับมือ จัดการ และแก้ปัญหาต่างๆ ตามหลักธรรมความจริงได้  นี่คือต้นเหตุของการที่พวกเขามืดบอด—พวกเขาด้อยขีดความสามารถและไม่สามารถทำงานนี้ได้  ฉะนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะขยันศึกษาและฝึกฝนอย่างเข้มงวดเพียงใด ไม่ว่าจะทำงานหนักเพียงใดเพื่อชดเชยให้กับการไร้ความสามารถของตน พวกเขาจะลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  ย่อมทำไม่ได้  ผู้คนเหล่านี้น่าเวทนามาก  ไม่ว่าพวกเขาจะมีวาจาและคำสอนติดตัวมากเท่าใด ก็ไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานหรือดำเนินงานนี้ได้

เมื่อครู่นี้พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมเรื่องการสำแดงอย่างหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ ซึ่งก็คือพวกเขาไม่สามารถมองเห็นว่าการกระทำของพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ก่อให้เกิดการรบกวนคริสตจักร และไม่อาจเท่าทันแก่นแท้ของคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์  เมื่อเผชิญเรื่องราวที่พวกคนชั่วก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวน บางครั้งพวกเขาอาจจะสังเกตเห็นเค้าเงื่อนอยู่บ้าง หรืออาจจะเพียงแต่รู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ค่อยถูกต้อง ว่าสีหน้า แววตา และคำพูดของคนคนนี้ค่อนข้างผิดปกติ  พวกเขาอาจมีความรู้สึกบางอย่าง จะด้วยประสบการณ์ ความรู้สึก หรือการรู้ได้เองก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถเท่าทันสิ่งต่างๆ มากมาย และไม่อาจระบุปัญหาส่วนใหญ่ออกมาได้  สาเหตุที่พวกเขาไม่เท่าทันแก่นแท้ของปัญหาคืออะไร?  นี่ยังเกี่ยวพันกับปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง  พวกเขาขยันมาก ขลุกอยู่ในห้องของตนทั้งวันเพื่อเขียนคำเทศนา เขียนบันทึกการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ จดความเข้าใจและประสบการณ์ที่ตนมีกับพระวจนะของพระเจ้า เรียนรู้เพลงนมัสการ วางเป้าหมายว่าวันหนึ่งๆ จะอธิษฐานกี่ครั้ง อ่านพระวจนะของพระเจ้าเท่าใด ฟังคำเทศนาเท่าใด และจะใช้เวลาเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์นานเท่าใด—พวกเขาทำงานทั้งหมดนี้ครบถ้วน แล้วเหตุใดจึงยังคงไม่เท่าทันสิ่งต่างๆ เมื่อเกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้น?  พวกเขาไม่เข้าใจความจริง  พวกเขาทำได้เพียงพร่ำกล่าววาจาและคำสอน ไม่อาจแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้  บางคนกล่าววาจาและคำสอนอยู่เสมอเพื่อชักพาให้ผู้อื่นหลงผิด แล้วผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถเท่าทันเรื่องนี้  แม้บางครั้งพวกเขาจะรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดไปและอาจจะมีปัญหา แต่เมื่อเห็นว่าผู้คนเหล่านั้นดูไม่เหมือนคนชั่ว พวกเขาก็เอาแต่ปล่อยให้ปัญหาผ่านเลยไปด้วยความเลอะเลือนอยู่ดี  ไม่สามารถแสวงหาหลักธรรมความจริงมาแยกแยะปัญหาพวกนี้ออกมา และต่อให้พวกเขาเคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงสภาวะและแก่นแท้ของผู้คนดังกล่าว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อมโยงพระวจนะเข้ากับสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร  ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาไม่แจ่มชัดและพวกเขาก็ไม่สามารถมองเรื่องเหล่านี้ออก  ยามที่พวกเขาอยากแสวงหา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะสื่อออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร  พวกเขาจึงพูดจาอยู่นานโดยที่ไม่ได้อธิบายแก่นแท้ของปัญหา และไม่ได้แจกแจงให้ชัดเจนว่าผู้คนดังกล่าวมีการสำแดงโดยรวมเป็นเช่นใด ความเป็นมนุษย์ การไล่ตามเสาะหา การปฏิบัติหน้าที่ และปณิธานที่จะสละตนเพื่อพระเจ้าของคนเหล่านั้นเป็นเช่นใด หรือท่าทีที่มีต่อความจริงเป็นเช่นใด ใช่คนที่ยอมรับความจริงหรือไม่  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่สามารถเท่าทันหรืออธิบายเรื่องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน  ต่อให้พวกเขารู้สึกว่ามีปัญหา พวกเขาก็คุยจ้อ พูดเรื่องต่างๆ มากมายโดยไม่ชี้แจงประเด็นของตนให้ชัดเจน  คนที่ฟังพวกเขาจึงจำเป็นต้องสามารถแยกแยะ ดึงประเด็นสำคัญออกมา และวิคราะห์ถ้อยคำของพวกเขาได้จึงจะรู้ว่าพวกเขากำลังถามอะไร สภาวะโดยรวมของคนที่พวกเขาพูดถึงเป็นเช่นไร และในที่สุดก็ระบุได้ว่าแก่นแท้ของคนคนนั้นมีลักษณะอย่างไร—เป็นคนชั่วหรือคนดี เป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือว่าเป็นเพียงคนออกแรงทำงาน  เมื่อเจ้าขอให้ผู้นำเทียมเท็จแจกแจงปัญหาหรือตั้งคำถาม พวกเขาไม่เคยสามารถพูดถึงต้นตอและแก่นแท้หรือปมสำคัญของปัญหานั้นๆ ได้อย่างชัดเจน  สรุปว่าผู้นำเทียมเท็จไม่มีท่าทีใดๆ เป็นพิเศษต่อปัญหาที่พวกเขามองไม่ออก ส่วนเรื่องที่พวกเขาสามารถสังเกตเห็นเค้าเงื่อนบางอย่าง พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถเท่าทันแก่นแท้ของปัญหาเหล่านั้น  แม้ในยามที่บางคนระบายความคิดลบและแพร่มโนคติอันหลงผิด ก่อให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์ต่อชีวิตคริสตจักร พวกเขาก็ไม่อาจเท่าทันเรื่องนี้ได้  พวกเขาไม่สามารถเท่าทันหรือระบุลักษณะแก่นแท้ของปัญหาจากสิ่งที่เห็นภายนอกหรือในช่วงที่ปัญหาเพิ่งก่อตัวได้  แน่นอนว่าการเท่าทันแก่นแท้ของปัญหาหนึ่งๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย  สิ่งสำคัญที่สุดในงานของคริสตจักรก็คือการเท่าทันแก่นแท้ของผู้คนต่างๆ โดยอิงตามพระวจนะของพระเจ้า  คนที่เข้าใจความจริงย่อมทำเช่นนี้ได้ แต่ผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จกลับทำไม่ได้  เมื่อพวกเขามองเห็นศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขากลับไม่สามารถเท่าทันแก่นแท้ของปัญหาและถึงกับปกป้องศัตรูของพระคริสต์โดยกล่าวว่า “พวกเขาแค่เผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามบางอย่างออกมาเท่านั้น โอหัง ไม่ฟังใคร และเอาแต่ใจนิดหน่อย  พวกเขายังคงสามารถสู้ทนความยากลำบากเวลาทำหน้าที่ของตนได้  ดังนั้นพวกเราก็ไม่ควรตัดสินและกล่าวโทษพวกเขา พวกเราไม่ควรทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”  ผู้อื่นจึงถามว่า “ถ้าพวกเขาสู้ทนความยากลำบากได้เวลาทำหน้าที่ของตน แล้วพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเปล่า?  เคยยุยง ชักพาให้คนอื่นหลงผิด หรือแอบดึงไปเป็นพวกบ้างหรือไม่?  พวกเขาเคยยกชูและเป็นพยานยืนยันให้ตนเองหรือไม่?”  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถเท่าทันเรื่องเหล่านี้  มีบางคนที่อ้างด้วยซ้ำว่าเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า แต่กลับตั้งใจป้ายสีและหมิ่นประมาทพระเจ้า จงใจแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูลระหว่างที่ชำแหละและพูดถึงการรู้จักมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขามีต่อพระองค์  หลังจากที่ได้ฟังพวกเขากล่าวเช่นนี้ ผู้นำเทียมเท็จอาจรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาพูดไปนั้นฟังดูชอบกลอยู่บ้าง แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถเท่าทันความร้ายแรงของเรื่องนี้ และยิ่งไม่สามารถมองเห็นผลกระทบทางด้านลบและผลสืบเนื่องอันร้ายแรงที่ถ้อยคำเหล่านี้นำมาให้  ฉะนั้น ผู้นำเทียมเท็จจึงไม่สังเกตเห็นการขัดขวางและก่อกวนต่างๆ ที่เกิดขึ้นใต้จมูกของพวกเขาโดยสิ้นเชิง หรือถ้าสังเกตเห็น พวกเขาก็ไม่รู้วิธีระบุว่าเป็นสิ่งใดหรือจะเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้าเข้ากับสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร  เรื่องราวที่ชัดเจนยิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นความสับสนยุ่งเหยิงสำหรับพวกเขา  ผู้นำเทียมเท็จล้วนปัญญาทึบ  ในคริสตจักร พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ใดกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง ใครบ้างเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงและสามารถยอมรับความจริงได้  พวกเขาแยกแยะไม่ได้ว่าคนไหนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ยังคงออกแรงทำงานได้ เต็มใจจ่ายราคากันโดยมากและกระทำการตามหลักธรรม ค่อนข้างเชื่อฟังและนบนอบแม้จะกล่าวคำที่เป็นลบบ้างในบางครั้งก็ตาม  พวกเขาแยกแยะไม่ได้เช่นกันว่าใครบ้างมีบทบาทในเชิงลบเท่านั้น เอาแต่ระบายความคิดลบและตัดสินผู้อื่น ทั้งยังมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการจัดแจงเตรียมงานทั้งปวงโดยพระนิเวศของพระเจ้า รวมถึงกฎเกณฑ์และข้อกำหนดเกี่ยวกับงานด้านต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า มีท่าทีที่ไม่ยอมรับมากกว่าที่จะยอมรับ และไม่เคารพสิ่งที่กล่าวมานี้เป็นพิเศษจนถึงกับตัดสินสิ่งเหล่านี้  สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้คนชนิดใด ผู้นำเทียมเท็จมองไม่ออก  ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือมีบางคนในคริสตจักรที่แพร่มโนคติอันหลงผิดอยู่เนืองๆ ระบายความคิดลบ และถึงขั้นไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าในที่ชุมนุม  พวกเขาสร้างพลพรรคอยู่เสมอ อิจฉาและบาดหมางกัน  บางคนอยากเป็นผู้นำอยู่ตลอดเวลา อยากอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตอยู่เสมอ และอยากฉกฉวยทรัพย์สินในพระนิเวศของพระเจ้าอยู่ร่ำไป  มีบางคนอีกด้วยที่ภายนอกดูเหมือนมีพฤติกรรมอันดีงามอยู่บ้าง แต่กลับไม่มีบทบาทเชิงบวกในหน้าที่ของตน  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถเท่าทันและไม่อาจจำแนกประเภทของลักษณะนิสัยเชิงลบเหล่านี้ได้  พวกเขาไม่สามารถเท่าทันว่าผู้คนเหล่านี้กำลังเดินอยู่บนเส้นทางใดกันแน่ มีแก่นแท้เป็นเช่นไร และเป็นคนที่ยอมรับความจริงหรือไม่  นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับขีดความสามารถของผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ด้อยขีดความสามารถอย่างยิ่ง  ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดก็ยุ่งเหยิงไปหมด และงานใดก็ตามที่พวกเขาทำย่อมลงเอยด้วยความวุ่นวายโดยสิ้นเชิง

บางคนใช้ของถวายอย่างไร้หลักธรรมเวลาที่พวกเขาซื้อของเข้าพระนิเวศของพระเจ้า ซื้อหาของกันตามอำเภอใจทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาต  พอผู้นำเทียมเท็จเห็นเช่นนี้กลับพูดด้วยซ้ำไปว่า “แม้พวกเขาจะใช้เงินมากขึ้นอีกหน่อย แต่ก็มีเจตนาดี  เวลาซื้อของเข้าพระนิเวศของพระเจ้า พวกเราควรซื้อของที่ดีที่สุด นี่ไม่ใช่การเสียเงินเปล่า  ของถวายก็ควรใช้กันอย่างนี้ไม่ใช่หรือ?”  คำพูดของพวกเขามีหลักธรรมบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  แล้วนี่เป็นคำพูดเช่นใด?  เลอะเลือนมิใช่หรือ?  คำพูดที่ไร้หลักธรรมก็คือคำพูดที่เลอะเลือน คำพูดที่ไม่มีหลักการก็เป็นคำพูดที่เลอะเลือนเช่นกัน  บ่อยครั้งที่บางคนกล่าววาจาและคำสอนระหว่างที่ใช้ชีวิตคริสตจักร พวกเขาพูดจาคมคายเป็นพิเศษ และพูดอย่างมีแบบแผนซึ่งฟังแล้วเหมือนเรียบเรียงมาดีทีเดียว และพวกเขาก็มีทักษะการพูดจาที่ดีมาก  ผู้นำเทียมเท็จพูดถึงผู้คนดังกล่าวว่าอย่างไร?  “ชีวิตคริสตจักรของพวกเราพึ่งพาคนนั้นๆ ทุกอย่าง  พวกเขาพูดจาฉะฉานที่สุดและเข้าใจพระวจนะของพระเจ้ามากที่สุด  ถ้าไม่มีพวกเขา ชีวิตคริสตจักรของพวกเราก็คงจะแห้งแล้งและไม่น่าสนใจเอามากๆ”  พวกเขาหารู้ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้กำลังกล่าววาจาและคำสอนเท่านั้น  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะฟังคนเหล่านี้มากเท่าใด ก็จะไม่ได้รับความเจริญใจ ไม่เข้าใจความจริง หรือรู้ว่าจะเชื่อมโยงความจริงเข้ากับตนเองเพื่อทำความเข้าใจสภาวะของตนและแก้ปัญหาของตนอย่างไร  ภายใต้คำป้อยอและยุยงของผู้นำเทียมเท็จ ผู้คนที่กล่าววาจาและคำสอน คนที่ชอบเป็นจุดสนใจ และแม้กระทั่งผู้คนที่มักจะพูดออกนอกเรื่อง พร่ำเพ้อไปเรื่อยในการชุมนุมแต่ละครั้งถึงเรื่องที่ฟุ้งเฟ้อ เหลวไหล และหลากหลาย ทุกคนล้วนได้พื้นที่ในการพูด  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถใช้วิจารณญาณดูพวกเขาออกและถึงกับมองว่าพวกเขาเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ ยกยอพวกเขาโดยกล่าวว่า “พวกคุณพูดดีเหลือเกิน ทำไมพวกคุณถึงไม่เขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์?  น่าเสียดายจริงๆ!”  ในคริสตจักร ผู้นำเทียมเท็จมองนักศึกษา ศาสตราจารย์ และปัญญาชนเหล่านั้นราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า  พวกเขากล่าวว่า “ปัญญาชนและศาสตราจารย์เหล่านี้มีความสามารถพิเศษ  พวกเขามีประสบการณ์กว้างไกลและมีชื่อเสียงในสังคม  ถ้าพวกเขาเป็นผู้นำและคนทำงานในคริสตจักร ก็จะดำเนินงานได้มากขึ้น และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะสามารถได้ประโยชน์และได้อะไรไว้มากขึ้น  ในอนาคต งานของคริสตจักรย่อมจะพึ่งพาพวกเขาหมด  เมื่อมีปัญญาชนเหล่านี้คอยนำพวกเรา ความเชื่อที่พวกเรามีในพระเจ้าย่อมจะนำพรมาให้เป็นแน่”  ฉะนั้น ในคริสตจักรต่างๆ ที่มีผู้นำเทียมเท็จอยู่ คนที่มีสถานะในสังคม คนที่รอบรู้ คนที่พูดจาคมคาย คนที่กล่าววาจาและคำสอนในลักษณะที่ว่างเปล่า คนที่มีเกียรติยศอยู่บ้าง เป็นต้น—ผู้คนทั้งปวงที่ไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใดนี้—จึงดำรงตำแหน่งสำคัญในคริสตจักร และได้รับการปฏิบัติจากผู้นำเทียมเท็จราวกับเป็นกำลังสำคัญ เป็นสิ่งที่เรียกว่าเสาหลักของคริสตจักรด้วยซ้ำ  เมื่อเกิดเรื่องขึ้นในคริสตจักร ผู้นำเทียมเท็จก็กล่าวว่า “ไปถามคนนั้นๆ เถิด เขาเคยเป็นซีอีโอของบริษัท” หรือ “ไปถามคนนั้นๆ เถิด เธอเคยเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยชื่อนั้น” หรือ “ไปถามคนนั้นๆ เถิด เขาเคยเป็นทนายชั้นยอดของสำนักงานกฎหมาย”  ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้ดุจดังเสาหลักและกำลังสำคัญของคริสตจักร  ภายใต้รูปการณ์เช่นนี้ ชีวิตคริสตจักรจะดีงามได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วผลย่อมเป็นเช่นไร?  คนที่ได้ชื่อว่าเป็นกำลังสำคัญและเสาหลักนี้ต่างก็แก่งแย่งสถานะและสร้างพลพรรคกันอย่างลับๆ หรือแม้กระทั่งทำกันอย่างเปิดเผย แพร่มโนคติอันหลงผิดและปล่อยข่าวลือที่ไม่มีมูลอยู่บ่อยๆ  พี่น้องชายหญิงในคริสตจักรที่เป็นผู้เชื่อที่แท้จริง รักความจริง สามารถยอมรับความจริงได้ และเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้ มักจะถูกพวกเขากีดกันและข่มขี่  บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเด่นดังในสังคมเหล่านี้ไม่ว่าจะทำหน้าที่ของตนหรือรับงานอันใดไปทำ ก็ไม่มีความจงรักภักดีและไม่เคยกระทำการตามหลักธรรมความจริง—พวกเขาทำตามวิถีทางของสังคมที่ไม่มีความเชื่อเท่านั้น  ฉะนั้น ในคริสตจักรแบบนั้น คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ คนที่มีความเข้าใจอันถ่องแท้ คนที่มีความเป็นมนุษย์อยู่บ้างและมีสำนึกอันเที่ยงธรรม จึงไม่มีพื้นที่ให้พูด ไม่มีสิทธิ์พูด และแน่นอนว่าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ  ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในคริสตจักร คนที่ตัดสินชี้ขาดก็คือกลุ่มคนที่เรียกกันว่าสมาชิกคนสำคัญนี้เสมอ  ผู้นำเทียมเท็จหลงใหลได้ปลื้มและเชื่อในตัวผู้คนเหล่านี้อย่างมืดบอด ดังนั้นในท้ายที่สุดพวกเขาจึงพึ่งพาคนเหล่านี้ในการหาทางแก้ไขเมื่อใดก็ตามที่เกิดเรื่องขึ้น  ถ้าผู้คนเหล่านี้ไล่ตามเสาะหาความจริงและกระทำการตามหลักธรรมความจริง นั่นย่อมจะเป็นเรื่องดี  แต่ผู้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขามีความรู้และการศึกษาอยู่บ้าง มีสถานะทางสังคม และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่หลอกลวงและยอกย้อน มีฝีปากและสันทัดในการชักพาให้ผู้อื่นหลงผิด  นี่เองที่เป็นแก่นแท้ธรรมชาติในตัวศัตรูของพระคริสต์  ผลของการที่ผู้นำเทียมเท็จพึ่งพาผู้คนเหล่านี้ย่อมเป็นเช่นใด?  พวกเขาทำให้งานของคริสตจักรและระเบียบในชีวิตคริสตจักรยุ่งเหยิงไปหมด ทำลายการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจนย่อยยับ เป็นเหตุให้คริสตจักรสูญเสียคำพยานของตนจนสิ้น  ผู้นำเทียมเท็จบางคนหวังที่จะให้คริสตจักรมีคนสำคัญที่เข้าใจการเมืองและเหตุการณ์ปัจจุบัน นึกไปว่า “ถ้ามีคนแบบนั้นมาขยายคริสตจักรให้ใหญ่ขึ้น เสริมสร้างอิทธิพลของคริสตจักร และทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้น งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐย่อมจะมีความหวัง  นั่นจะเป็นเรื่องที่ควรฉลองโดยแท้!”  ในคริสตจักรทั้งหลายที่ถูกผู้นำเทียมเท็จควบคุมเอาไว้ ระหว่างที่ใช้ชีวิตคริสตจักร บางคนจึงพูดคุยเรื่องการเมือง เหตุการณ์ปัจจุบัน สถานการณ์ระหว่างประเทศ และกิจการภายในประเทศกันอย่างกว้างขวาง ถกเถียงกันเรื่องชีวิตส่วนตัวของบุคคลระดับสูงทางการเมือง ถึงกับใช้ตรรกะมาวิเคราะห์แผนสมคบคิดและแผนการอันโจ่งแจ้งของนักการเมืองเหล่านี้กันอย่างชัดเจน  ส่วนผู้นำเทียมเท็จที่ชื่นชมพลางอิจฉาไปด้วยก็กล่าวว่า “ในที่สุดคริสตจักรของพวกเราก็มีคนสำคัญมาช่วยรักษาภาพลักษณ์ให้ดูดีต่อไป!  ฉันเคยรู้สึกท้อแท้และหงุดหงิดอยู่เสมอ รู้สึกว่าตัวเองไม่อาจเชิดหน้าขึ้นมาได้ เพราะคริสตจักรของพวกเราไม่มีคนสำคัญแบบนี้  แต่ตอนนี้พวกเรามีคนแบบนี้อยู่ในคริสตจักรแล้ว  ดังนั้นก็ควรปล่อยให้คนคนนี้ทำสิ่งที่อยากทำและพูดตามที่อยากพูด ให้อิสระแก่พวกเขา  พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติตามหลักเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนไม่ใช่หรือ?  ยุคราชอาณาจักรเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่หรือ?”  ผู้นำเทียมเท็จทำเหมือนว่าคนที่ชอบพูดคุยเรื่องการเมือง ออกความเห็นเกี่ยวกับคนดัง และมักจะพูดพร่ำในหมู่คนไม่หยุดปากถึงแนวคิดอันสูงส่งแต่กลวงเปล่านั้น เป็นสมบัติล้ำค่าที่หายาก และอยากบ่มเพาะให้กลายเป็นเสาหลักและหัวเรี่ยวหัวแรงของคริสตจักร  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหมั่นหนุนใจและสรรเสริญคนเหล่านั้น กลัวว่าถ้าคนเหล่านั้นคิดลบก็จะส่งผลต่องานของคริสตจักร  สรุปแล้ว ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ด้านชาและมืดบอด  ไม่สามารถระบุผู้คนต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรได้อย่างทันท่วงที  ต่อให้พวกเขาระบุได้ ก็ไม่สามารถเท่าทันแก่นแท้ของคนชั่ว  ไม่สามารถแม้แต่จะเท่าทันคนที่ชั่วอย่างเห็นได้ชัดและจัดว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ เช่น คนที่สร้างพลพรรคและจัดตั้งอาณาจักรอิสระ  เวลาพวกเขามองเห็นศัตรูของพระคริสต์สร้างพลพรรค อวดความสามารถ และใช้อำนาจมากมายที่ตนมีมาทำอะไรตามใจชอบ ผู้นำเทียมเท็จประเมินคนเหล่านั้นว่าอย่างไร?  “คนคนนี้ไม่ธรรมดา โดดเด่นจริงๆ!  ฉันไม่เคยเห็นคนที่มีความสามารถเช่นนี้มาก่อน พวกเขาเก่งกว่าฉันมาก ทำให้ฉันละอายใจจริงๆ  ดูความสามารถของพวกเขาสิ—พวกเขาสามารถแบกรับสิ่งทั้งหลายและปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ ได้ พูดจาดีมีระดับ และรักษาคำพูด  ส่วนฉันกลับไม่มีอะไรดี เหมือนเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่ขลาดอาย”  พวกเขาเลื่อมใสศัตรูของพระคริสต์เป็นอย่างยิ่ง ค้อมคำนับ และเต็มใจเป็นผู้ติดตาม  สิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จสำแดงออกมานี้มีลักษณะอย่างหนึ่งคือความมืดบอด อีกอย่างหนึ่งคือความด้านชา  โดยรวมแล้วแก่นแท้ของปัญหานี้ในตัวผู้นำเทียมเท็จก็คือการด้อยขีดความสามารถ

ผู้คนมีดวงตาก็เพื่อให้พวกเขามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้  หลังจากที่คนคนหนึ่งมองเห็นบางสิ่งแล้ว ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาย่อมจะมีปฏิกิริยาและเกิดการวินิจฉัย หลังจากที่วินิจฉัยแล้ว พวกเขาก็จะเกิดมุมมองและมีเส้นทางปฏิบัติ  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มืดบอด—ไม่ว่าจะมองเห็นสิ่งใด พวกเขาก็มีปฏิกิริยาตามปกติและรู้ว่าจะเผชิญหน้าและจัดการสิ่งนั้นอย่างไร  นี่คือคนที่มีการคิดอ่านตามปกติ  ปฏิกิริยาที่ผู้คนมีต่อสิ่งที่ตนมองเห็นนั้นมีกระบวนการอยู่ พวกเขาจะใคร่ครวญและคิดทบทวนไปมาไม่มากก็น้อย  ขณะที่ความคิดของพวกเขาดำเนินไป ภาพของสิ่งนั้นย่อมค่อยๆ ก่อตัวในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และพวกเขาย่อมเกิดมุมมอง ท่าที และแนวทางของตนเองขึ้นมา  แล้วสิ่งใดคือเงื่อนไขเบื้องต้นของการเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา?  ดวงตาของคนคนหนึ่งต้องสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ จากนั้นก็ส่งต่อข้อมูลที่รวบรวมมาไปยังสมองและจิตใจของตนเพื่อตรึกตรอง  ถ้าคนคนหนึ่งมองเห็นสิ่งต่างๆ ด้วยตาของตนได้ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ได้มืดบอด สามารถคิดอ่านและใคร่ครวญต่อจากนั้นได้ มีความตระหนักรู้ ท่าที และมุมมอง และในที่สุดก็มีข้อสรุปที่ถูกต้อง  แน่นอนว่าการได้ข้อสรุปเหล่านี้จำต้องใช้เวลาบ้าง  การมีความตระหนักรู้ มุมมอง และท่าทีต่างๆ ก่อนที่จะได้ข้อสรุปเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าความรู้สึกนึกคิดของคนคนหนึ่งมีการเคลื่อนไหว ไม่ได้ด้านชา ซึ่งพิสูจน์ว่าคนคนนี้มีชีวิต ไม่ใช่คนตาย  ผู้นำเทียมเท็จด้อยขีดความสามารถ  ด้อยอย่างไร?  ผู้นำเทียมเท็จไม่มีคุณสมบัติทั้งสองข้อนี้  พวกเขาลืมตา แต่ไม่อาจมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นหรือดำเนินอยู่ได้ นี่ก็คือความมืดบอด  นอกจากนี้เมื่อพวกเขามองเห็นสิ่งต่างๆ ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขากลับไม่มีปฏิกิริยา ไม่มีมุมมองหรือความคิดอ่านใดๆ ก่อเกิดในตัวพวกเขา และพวกเขาก็ไม่มีลู่ทางหรือวิธีการที่ถูกต้องไว้ตัดสินและมีข้อสรุปตามมา  นี่คือความด้านชาในวิญญาณ  ผู้คนที่ด้านชาในวิญญาณไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งใดได้ ไม่มีการประเมินที่ถูกต้องหรือการวินิจฉัยที่แม่นยำ และท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถมีข้อสรุปที่ถูกต้อง และไม่รู้ว่าจะรับมือ จัดการ หรือแก้ไขเรื่องราวตรงหน้าได้อย่างไร  นี่คือด้านชาและปัญญาทึบ  เมื่อคนคนหนึ่งด้านชาและปัญญาทึบอยู่ในวิญญาณถึงขั้นที่พวกเขาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เวลาเกิดเรื่องขึ้นมา นี่คือตายแล้ว—นี่อธิบายเรื่องนี้ได้ตรงมาก  ตอนนี้พวกเรามาพักเรื่องที่ว่าผู้นำเทียมเท็จตายจริงหรือไม่เอาไว้ก่อน และกล่าวแต่เพียงว่าพวกเขาด้อยขีดความสามารถ  แท้จริงแล้วด้อยอย่างไร?  ไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีนัยสำคัญเช่นไร พวกเขาก็ไม่อาจมองเห็นได้ และต่อให้มองเห็น พวกเขาก็ไม่สามารถเท่าทัน  ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าผู้นำเทียมเท็จจะทำงานมานานปานใด พวกเขาก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าแก่นแท้ของเรื่องหนึ่งๆ เป็นเช่นใด ควรจำแนกหมวดหมู่อย่างไร ควรระบุลักษณะอย่างไร หรือว่าอะไรคือหลักการที่จะใช้ระบุลักษณะ พวกเขาไม่รู้วิธีประเมินสิ่งเหล่านี้ และไม่มีมาตรฐานหรือหลักธรรมที่จะใช้ประเมินสิ่งเหล่านี้  พวกเขาจึงเป็นผู้คนที่เลอะเลือน ไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  นี่คือลักษณะสำคัญที่ผู้นำเทียมเท็จสำแดงให้เห็นในกิจข้อแรก  พวกเขามืดบอด โง่เขลา เบาปัญญา และด้านชา แต่ก็ยังอยากเป็นผู้นำ  นี่คือการถ่วงสิ่งต่างๆ ให้ล่าช้ามิใช่หรือ?  นี่เป็นปัญหาอย่างมากมิใช่หรือ?  ถ้าใครสักคนไม่เคยทำหน้าที่ผู้นำมาก่อน และเพิ่งจะเผชิญเรื่องบางอย่างเป็นครั้งแรก แล้วพระวจนะของพระเจ้าก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ผู้คนก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้—กล่าวคือ ถ้าพวกเขาไม่มีประสบการณ์หรือความรู้ในเรื่องนี้—ภายใต้รูปการณ์ดังกล่าว กว่าคนคนนั้นจะเกิดความเข้าใจเชิงลึก ท่าที และมุมมองที่ถูกต้องขึ้นมา ย่อมจะใช้เวลา  แต่เหตุใดจึงกล่าวว่าผู้นำเทียมเท็จด้านชาและมืดบอด?  เพราะเรากล่าววจนะไว้มากมายนัก แต่ไม่ว่าเราจะเปิดโปงและชำแหละสิ่งต่างๆ ไปมากปานใด หรือยกตัวอย่างมากเท่าใด ผู้นำเทียมเท็จเองกลับรู้เรื่องเหล่านั้นหลังจากที่ได้ฟังวจนะของเราเท่านั้น แต่ก็ไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงในวจนะของเรา  นอกจากนี้ ยิ่งเราพูด พวกเขาก็ยิ่งสับสน  พวกเขาบอกว่า “มีเรื่องราวมากขนาดนั้น มีวจนะมากมายอย่างนั้น เรื่องเล่าก็มีมากปานนั้น ใครจะจดจำทั้งหมดและเชื่อมโยงเข้ากับชีวิตจริงได้?  อย่าพูดเยอะนักเลย ฉันมีปัญหานิดหน่อยในการรับฟังและทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมด  บอกฉันก็พอว่าจะจัดการคนคนนี้อย่างไร  ควรไล่พวกเขาออกไปหรือเก็บเอาไว้ดี?”  นี่คือความด้านชามิใช่หรือ?  เป็นความด้านชาอย่างที่สุด!  อันที่จริง การกล่าวว่าพวกเขาด้านชาก็เหลือทางรอดให้บ้างแล้ว เพราะคนคนนี้อาจจะยังหนุ่มยังสาว หรือบางทีอาจจะไร้การศึกษา หรือแก่มากแล้วและเลอะเลือนไปบ้าง—การกล่าวเช่นนี้ย่อมไว้หน้าพวกเขา  แต่แท้จริงแล้วก็คือการด้อยขีดความสามารถและไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริง  การอธิบายเช่นนี้จึงทำให้เรื่องราวชัดเจน

ถ้าเกิดการขัดขวางและก่อกวนที่ร้ายแรงในคริสตจักร และผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถเท่าทันแก่นแท้ของปัญหาเหล่านี้ พวกเขามีความสามารถพอที่จะทำงานผู้นำหรือไม่?  ภายใต้การเป็นผู้นำของพวกเขา จะสามารถปกป้องพี่น้องชายหญิงได้หรือไม่?  จะสามารถปกป้องและประคับประคองงานของคริสตจักร สภาพแวดล้อมในการทำหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง และระเบียบปกติในชีวิตคริสตจักรได้หรือไม่?  เหล่านี้คือเรื่องพื้นฐานที่สุดที่ผู้นำและคนทำงานควรสัมฤทธิ์  ผู้นำเทียมเท็จสัมฤทธิ์เรื่องเหล่านี้ได้หรือไม่?  พวกเขาทำไม่ได้  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะระบุหรือเท่าทันผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวน แล้วพวกเขาจะดำเนินงานขั้นต่อๆ ไปของตนได้อย่างไร?  พวกเขาไม่มีแม้แต่วิจารณญาณในเรื่องพื้นฐานที่สุด เช่น คนดีเป็นเช่นไร คนชั่วเป็นเช่นไร คนหลอกลวงเป็นเช่นไร หรือคนที่หน้าซื่อใจคดเป็นเช่นไร—แล้วพวกเขาจะจัดการงานของคริสตจักรได้อย่างไร?  พวกเขาไม่สามารถทำเรื่องนี้  ไม่ใช่ว่าพวกเขาจงใจไม่ทำงานจริง หรือเกียจคร้านและมัวเมาในผลประโยชน์ที่มากับสถานะ เพียงแต่พวกเขาด้อยขีดความสามารถและไม่อาจทำงานของตนได้  นี่คือแก่นแท้ของปัญหา  ผู้คนที่ด้อยขีดความสามารถได้แต่พร่ำกล่าววาจาและคำสอนและยึดปฏิบัติตามข้อบังคับ เวลาชุมนุมพวกเขาก็ทำได้เพียงตะล่อมและเตือนสติผู้อื่นโดยกล่าวอะไรทำนองว่า “เชื่อในพระเจ้าอย่างถูกควรเถิด!  คุณมัวเมาอยู่กับความสุขสบายทางเนื้อหนังในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร?  คุณยังคงใฝ่หาเงินทองและสิ่งของทางโลกได้อย่างไร?  พระเจ้าต้องพระทัยสลายเป็นแน่!”  พวกเขาได้แต่กล่าวคำเทศนาจำพวกนี้  เมื่อเกิดการทำชั่ว เช่น การขัดขวาง ก่อกวน และระบายความคิดลบขึ้นมา พวกเขากลับไม่อาจมองเห็นหรือระบุได้  พี่น้องชายหญิงอยากมีชีวิตคริสตจักรที่ปกติ แต่ก็มีไม่ได้ อยากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะควรเพื่อทำหน้าที่ของตน แต่ก็มีไม่ได้  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ แล้วพวกเขามีประโยชน์อันใด?  พี่น้องชายหญิงอยากใช้ชีวิตคริสตจักร เข้าใจความจริง แก้ไขเรื่องยุ่งยากและสภาวะที่เป็นลบของตน  พวกเขามุ่งหวังด้วยความกระตือรือร้นว่าผู้นำและคนทำงานจะสามารถสามัคคีธรรมความจริงได้อย่างชัดเจนและรอบด้านเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง  ถ้าผู้นำเทียมเท็จกุมอำนาจในคริสตจักรหนึ่งๆ จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจหัวใจของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และไม่สามารถมองเห็นความยุ่งยากของประชากรเหล่านี้  พวกเขากลับกล่าววาจาและคำสอนต่อไป พูดไม่หยุดปากถึงแนวคิดที่สูงส่งและกลวงเปล่า เป็นเหตุให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรผิดหวังกันมาก  แล้วยังจะมีใครอยากเข้าชุมนุมเป็นประจำกันอีก?  ผู้นำเทียมเท็จสามารถหรือไม่ที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและชำระพวกคนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ นักฉวยโอกาส และคนเสเพลเลวๆ ที่รักสิ่งของทางโลก ออกจากคริสตจักรตามพระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้า ป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้แทรกแซงและก่อกวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถใช้ชีวิตคริสตจักรตามปกติได้?  ผู้นำเทียมเท็จจะทำเช่นนี้ได้หรือไม่?  พวกเขาทำไม่ได้  เมื่อมีคนร้องขออะไรทำนองนี้ ผู้นำเทียมเท็จกล่าวว่าอย่างไร?  “คุณจุกจิกเหลือเกิน!  นึกว่ามีแต่คุณคนเดียวที่รักพระเจ้าและอยากจงรักภักดีเวลาทำหน้าที่หรือไร?  ใครบ้างไม่อยากทำอย่างนั้น?  พวกเขาก็เชื่อในพระเจ้าและได้รับเลือกจากพระเจ้าเช่นกัน  ถึงพวกเขาจะมีปัญหาบ้าง พวกเราก็ควรรับมือพวกเขาอย่างถูกต้อง  อย่ามัวจับผิดคนอื่นอยู่เสมอ  ใช้โอกาสนี้ทบทวนและทำความรู้จักตัวคุณเองให้มากขึ้นเถิด คุณต้องเรียนรู้ที่จะอดทนและอดกลั้น”  ผู้นำเทียมเท็จเลอะเลือนและมืดบอด พวกเขาไม่มีหลักธรรมในการรับมือผู้คนชนิดต่างๆ  ไม่สามารถเท่าทันผู้คนที่ควรถูกควบคุมหรือเอาตัวออกไป กลับเห็นดีเห็นงามกับการที่ผู้คนเหล่านี้ทำอะไรตามใจอยากและกระทำการเหมือนเผด็จการอยู่ในคริสตจักร ให้พื้นที่ดำเนินการแก่พวกเขาอย่างเต็มที่ซึ่งสร้างความยุ่งเหยิงให้กับคริสตจักร ถึงขั้นที่สามารถบรรยายระดับความหลากหลายในคริสตจักรบางแห่งได้ด้วยวลีเดียวว่า คริสตจักรเหล่านั้นกลายเป็นที่รวมคนสารพัดโดยแท้  คนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ คนเสเพล เผด็จการเจ้าถิ่น แม้กระทั่งคนที่จะขายคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงเมื่อเผชิญอันตรายแม้เพียงน้อยนิด ล้วนปะปนอยู่ด้วยกันในคริสตจักรเหล่านั้น  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถเท่าทันผู้คนเหล่านี้ และพวกเขาก็ไม่จัดการหรือพูดคุยกับคนเหล่านี้  ฉะนั้น ภายใต้การนำของผู้นำเทียมเท็จที่มืดบอดและด้านชาเช่นนี้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงไม่สามารถได้รับการปกป้อง แน่นอนว่างานของคริสตจักรและระเบียบปกติในชีวิตคริสตจักรก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้  ในชีวิตคริสตจักรที่ผสมปนเปกันเช่นนั้น คนที่รักความจริงและเต็มใจยอมรับความจริง จะสามารถเข้าใจและได้รับความจริงได้อย่างไร?  ผู้คนเหล่านั้นจะไม่รู้สึกปวดใจหรอกหรือ?  ถ้าผู้นำคริสตจักรไม่สามารถประคับประคองงานของคริสตจักร ระเบียบปกติในชีวิตคริสตจักร หรือสภาพแวดล้อมในการทำหน้าที่ของพี่น้องชายหญิงได้อย่างถูกควร หรือไม่สามารถรับรองความปลอดภัยในเรื่องเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วผู้นำคนนี้ก็เป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างไม่ต้องสงสัย  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงได้ชื่อว่าผู้นำเทียมเท็จ?  เพราะพวกเขามืดบอดและด้านชา ซึ่งทำให้เกิดเหตุคนชั่วมาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในยามที่เรื่องนี้มีผลสืบเนื่องขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถจัดการและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ ทั้งยังไม่สามารถประคับประคองงานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักรของพี่น้องชายหญิงได้อย่างถูกควรอีกด้วย  พูดอย่างนุ่มนวลก็คือ ผู้นำดังกล่าวไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำงานของตน กล่าวให้เที่ยงตรงก็คือ พวกเขาล้มเหลวในหน้าที่รับผิดชอบของตนอย่างร้ายแรง  แม้จะทำหน้าที่ผู้นำ แต่พวกเขากลับปกป้องผลประโยชน์ให้คนชั่วและข้ารับใช้ของซาตาน พร้อมกันนั้นก็ไม่สนใจงานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พวกเขาปกป้องและเห็นดีเห็นงามไปกับพวกคนชั่วที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรโดยแลกกับการทำร้ายพี่น้องชายหญิง  ดูจากขีดความสามารถและการสำแดงของพวกเขาแล้ว แม้พวกเขาจะเพียงแต่ด้อยขีดความสามารถและไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำงานของตนเท่านั้น ทั้งยังไม่อาจระบุได้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ แต่ผลสืบเนื่องที่การกระทำของพวกเขาก่อให้เกิดแก่งานของคริสตจักรก็ร้ายแรง  ธรรมชาติในการกระทำของพวกเขาจึงเหมือนธรรมชาติในตัวศัตรูของพระคริสต์ที่จัดตั้งอาณาจักรอิสระและข่มขี่พี่น้องชายหญิง  คนสองกลุ่มนี้ปกป้องและเห็นดีเห็นงามกับพวกคนชั่ว เห็นพ้องที่ข้ารับใช้ของซาตานจะกระทำการอย่างไรก็ได้ตามใจอยากในคริสตจักร  เพียงแต่ว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำความชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างเหิมเกริมและเปิดเผยเหมือนที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ  พวกเขาไม่มีเจตนาที่จะดึงผู้คนเข้าพวกและให้ผู้คนเชื่อฟังตน แต่ผลสุดท้ายกลับเหมือนกับที่ศัตรูของพระคริสต์จัดตั้งอาณาจักรอิสระขึ้นมา  สองกลุ่มนี้ส่งผลให้พี่น้องชายหญิงที่รักความจริงและทำหน้าที่ของตนด้วยความจริงใจถูกทำร้ายและทำลายจนย่อยยับ ไม่เหลือหนทางที่จะดำเนินชีวิต  ในสภาพแวดล้อมและชีวิตคริสตจักรเช่นนี้จึงยากยิ่งที่พี่น้องชายหญิงที่ทำหน้าที่ของตนด้วยความจริงใจจะก้าวหน้าในชีวิต และยากมากที่พวกเขาจะทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ  แน่นอนว่างานเผยแผ่ข่าวประเสริฐและงานด้านต่างๆ ของคริสตจักรย่อมมีอุปสรรคอย่างมากและไม่อาจพัฒนาไปได้ตามปกติ  นี่คือการสำแดงข้อแรกของผู้นำเทียมเท็จซึ่งพวกเราชำแหละกันในแง่ของหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองคือ—ไม่สังเกตเห็นและไม่สามารถเท่าทันผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นรอบตัว  การสำแดงข้อนี้มากพอที่จะระบุลงไปว่าผู้คนเช่นนี้คือผู้นำเทียมเท็จ

II. ผู้นำเทียมเท็จไม่ใช้หลักธรรมจัดการผู้คนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร

สำหรับกิจข้อที่สองซึ่งกล่าวไว้คร่าวๆ ในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานนั้น พวกเราจะเปิดโปงและชำแหละสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จสำแดงออกมา  กิจข้อที่สองก็คือเมื่อระบุปัญหาออกมาแล้ว ผู้นำและคนทำงานควรใช้หลักธรรมความจริงแก้ปัญหาทันที  อย่างไรก็ดี ผู้นำเทียมเท็จไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำกิจนี้เช่นกัน  ฉะนั้น การสำแดงข้อที่สองของผู้นำเทียมเท็จที่พวกเราจะชำแหละกันก็คือ พวกเขาไม่รู้หลักธรรมสำหรับจัดการผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติในชีวิตคริสตจักร  เมื่อผู้นำเทียมเท็จมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักร พวกเขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับไม่เคยเข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร ไม่เคยทำความเข้าใจหลักธรรมของทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส ไม่รู้จักหลักธรรมและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับเรื่องต่างๆ  นี่ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จไม่มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริงและด้อยขีดความสามารถอย่างยิ่ง  บางคนกล่าวว่า “พระองค์ตรัสได้อย่างไรว่าพวกเขาด้อยขีดความสามารถ?  พวกเขาทำอาหารเก่งมาก แต่งตัวทันสมัย และพูดจารื่นหูเวลามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ทุกคนชอบฟังพวกเขา”  รูปลักษณ์ของคนบ่งบอกแก่นแท้ของพวกเขาได้หรือไม่?  การทำเรื่องภายนอกบางอย่างได้ดีหมายความกระนั้นหรือว่าพวกเขามีขีดความสามารถที่ดี?  การที่จะประเมิน วัด และระบุลักษณะของสิ่งใดลงไป ต้องมีมาตรฐานที่เที่ยงตรงเสมอ  การที่จะประเมินขีดความสามารถของคนเรา มาตรฐานคือดูว่าพวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างถ่องแท้หรือไม่  การกล่าวว่าผู้คนเหล่านี้ด้อยขีดความสามารถ โดยมากแล้วหมายความว่าพวกเขาไร้ความสามารถที่จะเข้าใจความจริง  พวกเราประเมินขีดความสามารถของคนคนหนึ่งตามความสามารถในการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นไปตามข้อเท็จจริงและยุติธรรมมากมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ถ้าเจ้าไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระผู้สร้าง เจ้าย่อมมีขีดความสามารถเช่นใด?  ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าใช้การได้หรือไม่?  คนเช่นนั้นไร้ขีดความสามารถของมนุษย์ พวกเขาด้อยขีดความสามารถถึงขนาดที่ไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าด้วยซ้ำ—คนเช่นนั้นจะสามารถได้รับความจริงในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?

คราวนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมและชำแหละการสำแดงข้อที่สองของผู้นำเทียมเท็จกัน  ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้ว่าควรรับมือคนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างไร ไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ได้  นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จด้อยขีดความสามารถ ไม่สามารถเข้าใจความจริง และไม่มีขีดความสามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น บางคนท้าทายผู้นำเสมอไม่ว่าผู้นำจะเป็นใครก็ตาม  ผู้นำเทียมเท็จก็สังเกตเห็นได้เช่นกันว่าคนคนนี้มีปัญหาและรู้สึกได้ว่าคนคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาสามารถจับเค้าเงื่อนบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ได้ ซึ่งก็ไม่เลวนัก  แต่ถ้าเจ้าถามพวกเขาว่า “อะไรทำให้คุณบอกว่าพวกเขาดูเหมือนจะเป็นศัตรูของพระคริสต์และคนชั่ว?  มีหลักฐานเป็นการสำแดงจำเพาะต่างๆ หรือไม่?  เพียงเพราะพวกเขาท้าทายทุกคนที่เป็นผู้นำอยู่เสมอ คุณก็พิจารณาได้แล้วหรือว่าพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์และคนชั่ว?  เรื่องนั้นอย่างเดียวไม่มากพอที่จะระบุลักษณะของพวกเขาแบบนี้ นี่เป็นเรื่องของอุปนิสัย เป็นปัญหาเรื่องความโอหังและการคิดว่าตนถูกเท่านั้น  พวกเขามีธรรมชาติเป็นศัตรูของพระคริสต์หรือเปล่า?  เป็นคนที่รังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริงหรือไม่?  เคยก่อกวนงานของคริสตจักรหรือไม่?  เคยกล่าวโทษผู้นำและคนทำงานทุกคนว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์หรือไม่?  พวกเขาเคยทำอะไรเช่นนี้หรือยัง?” ซึ่งพวกเขาก็ตอบว่า “ดูเหมือนจะเคย”  เมื่อนั้นถ้าเจ้าถามว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรระบุว่าพวกเขาเป็นคนเช่นไรและควรจัดการพวกเขาอย่างไร?” พวกเขาย่อมตอบว่าตนไม่รู้  ถ้าเจ้าถามว่า “สำหรับคนจำพวกนี้ พวกเราควรตักเตือนและเปิดโปงพวกเขาเพื่อช่วยให้พี่น้องชายหญิงเกิดวิจารณญาณหรือไม่?” พวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดี  นี่คือคนที่ไม่รู้อะไรเลยและไม่อาจเท่าทันสิ่งใดได้  พวกเขาสามารถสังเกตเห็นเค้าเงื่อน แต่ไม่รู้ว่าจะจัดการหรือระบุลักษณะของผู้คนดังกล่าวตามหลักธรรมอย่างไร  แล้วพวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่?  จะสามารถช่วยประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเรียนรู้บทเรียนได้หรือไม่?  ในเมื่อคนเยี่ยงนี้เป็นคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาย่อมจะถูกขับไล่  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าเอาตัวพวกเขาออกไปหรือแยกเดี่ยวก่อนที่พวกเขาจะทำความชั่วบางอย่างจริง พวกเขาย่อมจะแสดงออกเป็นการท้าทาย และพี่น้องชายหญิงก็จะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนั้น  ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องปล่อยให้พวกเขาปฏิบัติงานไประยะหนึ่ง  เมื่อการกระทำอันชั่วของพวกเขาปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาเริ่มแพร่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและข่าวลือที่ไม่มีมูล ชักพาให้พี่น้องชายหญิงหลงผิดและพยายามเอาชนะใจพี่น้อง แก่งแย่งอิทธิพลและอำนาจ จัดตั้งอาณาจักรอิสระ และพยายามรื้อทำลายงานของคริสตจักร ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะสามารถระบุแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาได้อย่างชัดเจน และสามารถลุกขึ้นมาเปิดโปง แยกแยะ และปฏิเสธพวกเขาไปเอง  จากนั้นเจ้าจึงจะสามารถเอาตัวพวกเขาออกไปและจัดการพวกเขาตามหลักธรรมความจริง  มีแต่การทำงานเช่นนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้พี่น้องชายหญิงเกิดวิจารณญาณ  ผู้นำเทียมเท็จรับมือและแก้ปัญหาได้ตามนี้หรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จไม่มีขีดความสามารถและปัญญาเช่นนี้  เจ้าเห็นผู้นำเทียมเท็จคนไหนสามารถจัดการคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างทันท่วงทีบ้างหรือไม่?  ไม่มีสักคน  ฉะนั้นก็แน่นอนว่าผู้นำเทียมเท็จจะไม่ปกป้องพี่น้องชายหญิงจากการก่อกวนของคนชั่วและการชักพาให้หลงผิดโดยศัตรูของพระคริสต์  หลังจากถูกปลด ผู้นำเทียมเท็จส่วนใหญ่ไม่เพียงไม่อาจทำความรู้จักตนเองได้เท่านั้น แต่ยังพร่ำบ่นเป็นอันมากอีกด้วย พึมพำว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ยุติธรรมกับพวกเขา บอกว่านี่เหมือน “ขนหินเจียเสร็จก็ฆ่าลา” กล่าวอ้างว่าพวกเขาทุ่มเทพยายาม แต่กลับไม่มีคนรู้คุณค่า ซ้ำยังถูกกระทำ  ถ้าเจ้าเปิดโปงว่าพวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาก็จะท้าทายอยู่อย่างนั้น คิดไปว่า “ฉันเคยเป็นผู้นำอยู่หลายปี ต่อให้ไม่มีความสำเร็จอะไร แต่อย่างน้อยฉันก็สู้ทนความยากลำบากมา  ทำไมถึงปลดฉัน?  นี่เหมือนขนหินเจียเสร็จก็ฆ่าลา!”  ไม่ว่าเจ้าจะเปิดโปงพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ท้าทายไม่เลิก  ถึงกับกล่าวว่า “ตอนที่ฉันพบตัวศัตรูของพระคริสต์ ฉันร้อนใจจนมักจะเป็นแผลในปากและนอนหลับไม่สนิท  ถ้าฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จ จะแบกรับภาระขนาดนี้ได้อย่างไร?”  พวกเขาไม่ทำงานอันใดที่จำเป็นต้องทำ ไม่สามารถทำงานใดได้เลย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำสิ่งใด กระนั้นพวกเขาก็ยังสามารถเลื่อมใสตัวเองได้  นี่เป็นปัญหามิใช่หรือ?  ช่างน่าขยะแขยงเหลือเกิน!

ในส่วนของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรนั้น ผู้นำเทียมเท็จรู้ชัดว่าปัญหาเหล่านั้นมีธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักร แต่พวกเขาก็เพิกเฉย  เมื่อมองเห็นปัญหาที่ชัดแจ้ง พวกเขาก็เอาแต่ดำเนินการไปตามขั้นตอนและไม่กล้าเปิดโปงแก่นแท้ที่สำคัญยิ่งของปัญหาเหล่านั้น  เอาแต่พูดเป็นนัยๆ และเตือนสติด้วยการประกาศคำสอนโดยไม่พูดถึงสาระสำคัญของปัญหา แล้วก็จบเพียงเท่านั้น  เวลาพบเจอคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ถูก และใช้ท่าทีที่ไม่แยแสราวกับว่านั่นไม่เกี่ยวอะไรกับตน  พวกเขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะรับมือปัญหาเหล่านี้ได้อย่างเหมาะควรที่สุด ไม่รู้ว่าควรพูดจาอย่างไรเพื่อแก้ปัญหา ไม่รู้วิธีปกป้องพี่น้องชายหญิง และไม่แบกรับภาระอันใด  มีแต่เจตจำนงอันดีอยู่บ้างเท่านั้นว่า “ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนชั่ว  ฉันจะไม่ยอมให้คุณก่อกวนและทำร้ายพี่น้องชายหญิง  ตราบใดที่ฉันยังอยู่ในตำแหน่งนี้ ฉันก็ต้องปกป้องพี่น้องชายหญิงและลุล่วงความรับผิดชอบของฉันให้ถึงที่สุด”  นี่มีประโยชน์อันใด?  เจ้าแก้ปัญหาหรือยัง?  ขณะที่เจ้ามัวยุ่งอยู่กับการเดือดเนื้อร้อนใจ ศัตรูของพระคริสต์จะมัวอยู่เฉยหรือไม่?  จะเลิกก่อกวนงานของคริสตจักรหรือไม่?  เมื่อพวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นผู้นำที่ขลาดกลัวและไร้ประโยชน์ หายใจทิ้งเสียเปล่า ไร้ปัญญา และแน่นอนว่าไม่มีความสามารถที่จะทำงาน พวกเขาก็จะไม่จริงจังกับเจ้าอีกต่อไป  ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วส่วนใหญ่เจ้าเล่ห์และยอกย้อนเป็นพิเศษ  พวกเขาก่อกวนและชักพาให้พี่น้องชายหญิงหลงผิด และเจ้าก็ไม่มีหนทางที่จะหยุดยั้งหรือควบคุมพวกเขาได้  ทั้งไม่รู้ด้วยว่าจะขอให้ใครมาช่วยแก้ปัญหา เจ้าเอาแต่ร้อนใจและกระวนกระวาย อธิษฐานพลางร้องไห้ไปด้วย  ดูน่าเวทนานัก ดูเหมือนเจ้านั้นคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างยิ่งและใส่ใจพี่น้องชายหญิงมากเหลือเกิน  แต่แม้กับคนที่ชั่วอย่างเห็นได้ชัดเช่นศัตรูของพระคริสต์ เจ้าก็จัดการไม่ได้  เจ้าไม่สามารถชำแหละการกระทำและพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์ตามความจริงได้ และไม่สามารถเปิดโปงเจตนา แรงจูงใจ และพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์แก่คนส่วนใหญ่เพื่อช่วยให้พี่น้องชายหญิงเกิดวิจารณญาณขึ้นมาได้  เจ้าไม่อาจทำเรื่องเหล่านี้ได้สักเรื่อง  ผู้นำเทียมเท็จบางคนถึงกับกล่าวว่า “ไม่มีใครควรเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์  ถ้าพี่น้องชายหญิงรู้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์และหลีกเลี่ยงพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์ก็จะหาทางแก้แค้น”  นี่คือคนขลาดที่ไร้ประโยชน์มิใช่หรือ?  ผู้คนแบบนี้จะจัดการงานของคริสตจักรได้หรือไม่?  จะปกป้องพี่น้องชายหญิงเพื่อให้พี่น้องสามารถมีชีวิตคริสตจักรที่ปกติได้หรือไม่?  นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาเยี่ยงใด?  เวลาที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็ประกาศคำสอนได้อย่างไม่รู้จบ แต่พอเกิดเรื่อง พวกเขากลับสับสนและเลอะเลือน ได้แต่ร้องไห้เท่านั้น  นี่ไม่ใช่คนขลาดที่ไร้ประโยชน์หรอกหรือ?  ขณะที่เฝ้าดูพี่น้องชายหญิงถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและถูกคนชั่วก่อกวน พวกเขากลับทำอะไรไม่ถูก ไม่มีหนทางตอบโต้  พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำเรื่องพื้นฐานที่สุดอย่างไร ซึ่งก็คือการรวมตัวกับพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรที่ค่อนข้างมีสำนึกอันเที่ยงธรรม มีความเป็นมนุษย์ และสามารถยอมรับความจริงได้ เพื่อมาสามัคคีธรรมด้วยกัน ใช้พระวจนะของพระเจ้าแก้ปัญหาเหล่านี้ เปิดโปงและใช้วิจารณญาณแยกแยะศัตรูของพระคริสต์  คนเยี่ยงนี้คือความสูญเปล่ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้นำเทียมเท็จบางคนก็ระมัดระวัง ขลาดกลัว และไร้ประโยชน์เกินไป  พวกเขาขลาดกลัวและไร้ประโยชน์ขนาดไหน?  เวลาคนชั่วออกมาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร พูดจาเกรี้ยวกราดและกำเริบเสิบสานเป็นพิเศษ พวกเขากลับหวาดกลัวจนตัวสั่น พลางคิดว่า “ฉันไม่กล้าจัดการคนพวกนี้  พวกเขาเป็นคนอันตราย เป็นคนชั่วของโลก  ถ้าฉันเปิดโปงพวกเขาเพื่อปกป้องพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็จะหาอะไรมาเล่นงานฉันและแก้เผ็ดเป็นแน่  แบบนี้ฉันจะเป็นผู้นำต่อไปได้อย่างไร?  พวกเขารู้ว่าบ้านฉันอยู่ที่ไหน  แล้วจะทำร้ายครอบครัวของฉันหรือเปล่า?  จะแจ้งความว่าฉันเชื่อในพระเจ้าหรือเปล่า?”  ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ไม่สามารถรับงานของคริสตจักรไปทำได้  ความหวาดกลัวที่มากเกินเหตุทำให้พวกเขาจมปลักไม่ขยับเขยื้อนอยู่ร่ำไป จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่มีทางสามารถเข้าใจหลักธรรมสำหรับจัดการปัญหาและผู้คนดังกล่าวได้  ใครก็ตามที่ถูกระบุว่าเป็นจอมขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรย่อมไม่ใช่คนที่ทำผิดเป็นครั้งคราวเท่านั้น  แต่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขากลับชั่วเสียจนพวกเขาบุ่มบ่ามทำเรื่องไม่ดีและทำความชั่วมากมายอยู่เสมอ  คนเยี่ยงนี้มีแก่นแท้เป็นคนชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย  การจัดการคนชั่วต้องมีวิธีการที่เปี่ยมปัญญาด้วย  เจ้าต้องคำนึงถึงภูมิหลัง สภาพแวดล้อม และคำนึงว่าหลังจากที่ถูกจัดการแล้ว คนชั่วอาจจะลงมือทำสิ่งใดบ้าง และนี่จะทำให้คริสตจักรเดือดร้อนหรือไม่  เมื่อพิจารณาแง่มุมเหล่านี้อย่างรอบคอบแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถจัดการเรื่องราวได้อย่างเหมาะควร ในลักษณะที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงและใช้ปัญญา  ระหว่างที่จัดการปัญหาดังกล่าว คนที่เข้าใจความจริงย่อมจะเข้าใจหลักธรรมไปด้วยโดยไม่รู้ตัว  ขณะที่พวกเขาทำงานนี้ไปพลาง พวกเขาก็จะค่อยๆ เข้าใจว่าควรรับมือผู้คนต่างๆ อย่างไร พัฒนาหนทางและวิธีการ และมีปัญญาอยู่ในหัวใจ  แต่ผู้นำเทียมเท็จนั้นไร้ซึ่งหนทาง วิธีการ และปัญญาเหล่านี้โดยสิ้นเชิง  เพราะพวกเขาไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่คำนึงว่างานในพระนิเวศของพระเจ้าจะได้รับผลกระทบหรือไม่ หรือผู้นำและคนทำงานจะเผชิญอันตรายหรือไม่  ในเมื่อพวกเขาไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจึงจัดการเรื่องราวโดยไม่ใช้หลักธรรมและที่ยิ่งกว่านั้นคือไม่ใช้ปัญญา  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถจัดการปัญหาเหล่านี้และไม่ถอดบทเรียนจากปัญหา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่เต็มใจเรียนรู้ ไร้ความสามารถ ละเลยกิจที่ถูกควร และไม่อาจทำงานใดๆ ได้  เมื่อเห็นคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทำความชั่วและก่อให้เกิดการรบกวน พวกเขาทั้งไม่เปิดโปงผู้คนเหล่านี้และไม่แก้ปัญหาอีกด้วย  เอาแต่คำนึงถึงการปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ไม่นึกถึงงานของคริสตจักรหรือการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแต่อย่างใด  ผู้นำเทียมเท็จบางคนรังแกคนอ่อนแอ พลางกลัวคนที่มีอำนาจกว่าตนไปด้วย กลั่นแกล้งและอวดฤทธิ์เดชของตนอย่างไม่ลดราวาศอกกับคนที่ค่อนข้างหัวอ่อน แต่พอเผชิญหน้าคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ พวกเขากลับเอาแต่ยิ้มแย้มและป้อยอเท่านั้น  พระเจ้าจะโปรดผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จที่ไร้หลักธรรมเช่นนี้ได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  พระนิเวศของพระเจ้าจะบ่มเพาะผู้คนที่รังแกคนอ่อนแอ กลัวเกรงคนที่แข็งแกร่ง และไม่มีสำนึกอันเที่ยงธรรม ให้เป็นผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้!  ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อที่ไร้ซึ่งมโนธรรมหรือสำนึก และไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด พระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่ต้องการพวกเขา

เมื่อเกิดปัญหาในงานของผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาย่อมตอบสนองด้วยการบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบเสมอ  คำกล่าวที่พวกเขาพูดกันมากที่สุดก็คือ “ฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขาไปแล้ว”  ในที่นี้แฝงความนัยว่า “ฉันพูดทุกสิ่งที่จำเป็นต้องพูดไปแล้ว ดังนั้นเมื่อมีบางสิ่งผิดพลาด จึงเป็นความรับผิดชอบของพวกเขา”  นี่คือสาเหตุที่ประโยค “ฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขาไปแล้ว” กลายเป็นเครื่องรางและคติประจำตัวผู้นำเทียมเท็จ  ถ้าผู้นำเทียมเท็จเห็นศัตรูของพระคริสต์ทำตัวอยู่เหนือกฎเกณฑ์ กระทำการอย่างมัวเมา และก่อให้เกิดการรบกวนในคริสตจักร พวกเขาก็ใช้วิธีสามัคคีธรรมและช่วยเหลือเช่นกัน  หลังจากกล่าวคำเตือนสติและตักเตือนไปบ้างแล้ว พวกเขาก็นึกเอาเองว่าศัตรูของพระคริสต์จะเชื่อฟัง นบนอบ และไม่ชักพาให้ผู้คนหลงผิดหรือก่อกวนชีวิตคริสตจักรอีกต่อไป  นี่เป็นการคิดเอาเองที่เบาปัญญามิใช่หรือ?  การใช้แนวทางที่เบาปัญญามาควบคุมการก่อกวนจากศัตรูของพระคริสต์คือวิธีทำงานของผู้นำเทียมเท็จ ซึ่งแท้จริงแล้วเขลาโดยสิ้นเชิง!  ผู้นำเทียมเท็จทำอยู่สิ่งเดียวคือทำงานให้ยุ่งเข้าไว้อย่างมืดบอด  พวกเขาเอาแต่ง่วนอยู่กับกิจธุระทั่วไปโดยไม่สามารถปฏิบัติงานที่สำคัญได้  ไม่ให้น้ำคนที่สามารถยอมรับความจริง ไม่ควบคุมคนที่ขัดขวางและก่อกวน ส่วนคนที่บุ่มบ่ามทำเรื่องไม่ดีและไม่ยอมเปลี่ยนแปลงทั้งที่ว่ากล่าวตักเตือนซ้ำๆ หลายครั้งแล้ว พวกเขาก็ไม่เอาตัวออกไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไม่สนใจว่าศัตรูของพระคริสต์ทำความชั่วและก่อให้เกิดการรบกวนอย่างไร  ไม่เปิดโปง ทั้งยังไม่ใช้วิจารณญาณดูคนเหล่านั้น และไม่เอาตัวออกไปหรือขับไล่อีกด้วย เปิดโอกาสให้ศัตรูของพระคริสต์ทำความชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักร  พวกเขาไม่ใส่ใจเลยและคิดว่าการที่ศัตรูของพระคริสต์ทำชั่วนั้นไม่เกี่ยวข้องกับตน  ผู้นำเทียมเท็จสามารถทำงานของตนไปตามขั้นตอนเท่านั้น พวกเขาทำงานที่เป็นกิจธุระทั่วไปบ้าง จากนั้นก็นึกว่าตนลงมือทำงานจริงแล้ว ได้มาตรฐานของผู้นำและคนทำงานแล้ว  ไม่ว่าใครจะขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขาก็เอาแต่เร่งกล่าวคำสอนบางอย่าง เตือนสติและกล่าวย้ำไม่กี่คำ และนึกว่าแก้ปัญหาแล้ว  พวกเขามีงานรัดตัวทั้งวัน จัดการเรื่องราวทั้งใหญ่และเล็ก และคิดว่าตนทำงานดี  ถึงกับโอ่ว่า “ดูสิ คริสตจักรของพวกเราใช้งานทุกคนให้เป็นประโยชน์  คนที่สามารถประกาศข่าวประเสริฐก็กำลังประกาศข่าวประเสริฐ คนที่สามารถทำวิดีโอก็กำลังทำวิดีโอ คนที่ขับร้องได้ก็กำลังบันทึกเสียงร้องเพลงนมัสการ—ชีวิตคริสตจักรของพวกเรากำลังฟูเฟื่อง!”  อย่างไรก็ดี พวกเขามองไม่เห็นปัญหามากมายที่ซ่อนอยู่ในคริสตจักรเลย  พวกเขาไม่กล้าจัดการคนชั่วและผู้ไม่เชื่อที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเพิกเฉยเสีย  ทำเป็นมองไม่เห็นศัตรูของพระคริสต์ที่กระทำการตามวิธีของตนเอง แต่ละคนพยายามดึงผู้คนเข้าเป็นพวกและตั้งกลุ่มเล็กๆ ของตนขึ้นมา  พวกเขาไม่สามารถตอบคำถามมากมายของผู้เชื่อใหม่ที่หิวและกระหายความชอบธรรม  แทนที่จะหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ผู้นำเทียมเท็จกลับพยายามหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ ทั้งยังกล่าวอ้างด้วยว่า “ชีวิตคริสตจักรกำลังฟูเฟื่อง”  นี่คือการเสแสร้งและหลอกลวงมิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จปล่อยให้ผู้ไม่เชื่อ ศัตรูของพระคริสต์ และคนชั่วเหล่านี้อยู่ในคริสตจักรโดยไม่เอาตัวพวกเขาออกไปหรือจัดการเสีย เปิดโอกาสให้พวกเขาบุ่มบ่ามทำเรื่องไม่ดีและเปลี่ยนชีวิตคริสตจักรให้ยุ่งเหยิงไปหมด พร้อมกันนั้นก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปด้วย  ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้มืดบอดอย่างยิ่ง!  พวกเขาทำตัวเป็นเกราะคุ้มครองผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ ถึงกับรู้สึกภาคภูมิใจในเรื่องนี้ คิดไปว่าการไม่เอาตัวคนเสื่อมเสียพวกนี้ออกไปคือการเป็นคนที่เปี่ยมรักและปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นี่คือการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรมิใช่หรือ?  นี่จงใจต่อต้านพระเจ้าและเดินสวนทางกับพระองค์มิใช่หรือ?  แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ตระหนักรู้เรื่องนี้โดยสิ้นเชิง  ถ้าเจ้าถามพวกเขาว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเหล่านี้ได้รับการแก้ไขหรือยัง พวกเขาย่อมตอบว่า “ฉันตัดแต่งพวกเขาแล้ว ฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขาไปแล้ว” ซึ่งแฝงนัยว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วและไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาอีกต่อไป  นี่คือการบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบมิใช่หรือ?  สำหรับผู้นำเทียมเท็จ เมื่อใดที่มีคนประพฤติมิชอบ ตราบใดที่พวกเขาตัดแต่งผู้กระทำความผิดอย่างสุกเอาเผากิน ตอกย้ำและเตือนสติบ้าง พวกเขาย่อมทำงานแล้ว ราวกับว่าพวกเขาแก้ปัญหาแล้ว  นี่คือการหลอกลวงมิใช่หรือ?  เห็นได้ชัดว่าผู้นำเทียมเท็จล้มเหลวในการเอาตัวผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ออกไปอย่างทันท่วงที แล้วพวกเขาก็ให้ข้ออ้างลวงโลกว่า “ฉันสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขาแล้ว ทุกคนตระหนักรู้ว่าทำอะไรลงไปและรู้สึกเสียใจ ทุกคนร้องไห้และบอกว่าพวกเขาจะกลับใจแน่นอน และจะไม่พยายามจัดตั้งอาณาจักรอิสระของตนเองอีกแล้ว”  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้กำลังหลอกตัวเองเหมือนเด็กเล่นหม้อข้าวหม้อแกงมิใช่หรือ?  ผู้ไม่เชื่อ ศัตรูของพระคริสต์ และคนชั่วพวกนี้รังเกียจความจริงกันทุกคน  ไม่มีใครยอมรับความจริงเลย และพวกเขาก็ไม่ใช่เป้าหมายที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด แต่เป็นเป้าหมายที่พระเจ้าจะทรงเกลียดและชิงชัง  แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับทำเหมือนว่าผู้ไม่เชื่อ ศัตรูของพระคริสต์ และคนชั่วพวกนี้เป็นพี่น้องชายหญิง และช่วยเหลือคนเหล่านี้อย่างเปี่ยมรัก ปัญหาในที่นี้มีธรรมชาติเป็นเช่นใด?  ใช่ความเบาปัญญาและไม่รู้ความหรือไม่ที่ยับยั้งไม่ให้พวกเขามองเห็นผู้คนเหล่านี้อย่างชัดเจน หรือว่าพวกเขากำลังพยายามเอาใจคนเหล่านี้เพราะกลัวว่าจะไปล่วงเกินเข้า?  ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง และไม่ยอมรับความจริงหรือยอมรับความผิดพลาดของตนเมื่อถูกตัดแต่ง  นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใด  พวกเขาไม่ทำงานตามที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดแจงเตรียมงานเอาไว้ให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์ พวกเขากลับกระทำการอย่างสุกเอาเผากิน  ลงมือตามขั้นตอนด้วยการชำระคนที่ชั่วอย่างเห็นได้ชัดออกไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น  เมื่อถูกเปิดโปงและตัดแต่ง พวกเขาก็ถึงกับหาเหตุผลและข้ออ้างต่างๆ มาบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ และเถียงเข้าข้างตัวเอง  ฉะนั้นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานจริงจึงเป็นเครื่องสะดุดที่กีดขวางไม่ให้ดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ผู้นำเทียมเท็จจัดการแต่งานบางอย่างที่เป็นกิจธุระตื้นเขินทั่วไปเท่านั้น ไม่มีคุณค่าอันใด  พวกเขาไม่เคยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักร มีแต่จะหลีกเลี่ยงปัญหา  นี่ไม่เพียงถ่วงงานของคริสตจักรไม่ให้คืบหน้าตามปกติเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอีกด้วย  เป็นที่แน่ชัดว่าผู้นำเทียมเท็จขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ทำตัวเป็นโล่กำบังผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์  ในยามที่สงครามฝ่ายวิญญาณกำลังวิกฤติ พวกเขากลับยืนอยู่ฝ่ายคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์เพื่อต่อต้านและหลอกลวงพระเจ้า  นี่สำแดงถึงการทรยศพระเจ้ามิใช่หรือ?  ดูจากทัศนะและพฤติกรรมของผู้นำเทียมเท็จก็ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วพวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่เข้าใจความจริงแต่อย่างใด และไม่สามารถทำงานผู้นำได้โดยสิ้นเชิง

ผู้นำเทียมเท็จไม่ปฏิบัติต่อผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้า แต่ทำตามความชอบส่วนตน  พวกเขากระทำการอย่างไร้หลักธรรม ทำสิ่งต่างๆ ตามต้องการ  เมื่อเห็นศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนคริสตจักร ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่เกลียดชังศัตรู  พวกเขาเชื่อว่าการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ศัตรูของพระคริสต์ฟังบ้างจะสามารถควบคุมการขัดขวางและก่อกวนของคนเหล่านั้นได้  ศัตรูของพระคริสต์เป็นคนจำพวกใด?  เป็นพวกมาร เป็นเหล่าซาตาน!  ไม่ว่าจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปี ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด สามารถขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร และก่อกวนการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้  พวกเขาคือหมู่มารและเหล่าซาตานในชีวิตจริง  ผู้นำเทียมเท็จหวังที่จะทำให้ศัตรูของพระคริสต์รู้สึกเสียใจและเปลี่ยนใจด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฟังสักสองบทตอน  นี่เบาปัญญาอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  ผู้คนอย่างศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด  ไม่ว่าพวกเขาจะทำชั่วไปมากเท่าใด ก็จะไม่ทบทวนหรือทำความรู้จักตัวเอง และไม่ว่าจะผิดพลาดไปเท่าใด พวกเขาก็จะไม่ยอมรับความผิดพลาดของตน  พวกเขาคือวายร้ายที่ถูกลิขิตให้ลงนรก แต่เจ้ากลับคิดว่าการอ่านพระวจนะของพระเจ้าสักสองบทตอนและกล่าวคำเตือนสติบ้างจะเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้—นี่คือการคิดฝันเฟื่องมิใช่หรือ?  ถ้ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามสามารถยอมรับความจริงได้ง่ายเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นที่พระเจ้าจะต้องทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสพระวจนะมากมายและแสดงความจริงมากขนาดนั้นในพระราชกิจของพระองค์?  เพราะการช่วยผู้คนให้รอดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้คนมีเรื่องยุ่งยากมากมายนัก และกบฏกันเหลือเกิน!  เฉพาะคนที่ยอมรับความจริงได้เท่านั้นที่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  คนที่รังเกียจและเกลียดชังความจริงไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด  อย่างไรก็ดี ผู้นำเทียมเท็จเชื่อว่าถ้าพวกเขาพูดจาเกรี้ยวกราดกับผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์บ้าง คนเหล่านี้ก็จะรู้สึกเสียใจและเริ่มทำความรู้จักตัวเอง ถึงตอนนั้นถ้าพวกเขากล่าวคำเตือนสติและชูใจบ้าง คนเหล่านี้ก็จะกลับใจ เป็นการทำให้คนเหล่านี้สามารถจดจ่ออยู่กับการทำหน้าที่ของตน กลายเป็นคนที่จงรักภักดี และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้ เป็นการเปลี่ยนศัตรูของพระคริสต์ให้กลายเป็นแกะที่ว่าง่าย  นี่เป็นแนวคิดที่เบาปัญญามิใช่หรือ?  แนวคิดนี้โง่เขลาอย่างยิ่ง!  นี่เหมือนคำพูดเพ้อเจ้อของคนวิกลจริต—อะไรๆ ก็ง่ายไปหมด!  พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษามาสามสิบกว่าปีแล้ว ผู้คนสัมฤทธิ์การรู้จักตนเองและเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใด?  ผู้คนส่วนน้อยเท่านั้นที่สัมฤทธิ์ผลได้บ้าง  คนที่ไม่รักความจริง ไม่ว่าจะฟังคำเทศนาไปมากเท่าใด อย่างมากก็เข้าใจเพียงคำสอนบางอย่างเท่านั้น  อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย แม้แต่พฤติกรรมอันดีงามและการทำดีก็แทบไม่มีให้เห็น  นี่เป็นผู้คนเยี่ยงใด?  เป็นคนที่กินขนมปังจนอิ่มท้อง—ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด  พวกเขามุ่งเน้นที่จะได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น ไล่ตามไขว่คว้าแต่พร เป็นเพียงสัตว์ร้ายที่แต่งตัวให้ดูดีขึ้นมา!  ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก พวกเขาเต็มไปด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทราม กระดูกและเลือดของพวกเขาก็เต็มไปด้วยพิษของซาตาน  ถ้าพวกเขายอมรับความจริงหรือการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าไม่ได้ แล้วพวกเขาจะนบนอบพระเจ้าโดยแท้ได้อย่างไร?  จะสามารถทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดีได้อย่างไร?  พวกเขาจะยำเกรงพระเจ้าและหลีกเลี่ยงความชั่วได้อย่างไร?  การเข้าถึงความรอดจะง่ายได้อย่างที่ผู้คนคิดกันกระนั้นหรือ?  ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามมานานหลายพันปี ถึงขั้นที่พวกเขากลายเป็นมารไปแล้ว  เวลานี้พระเจ้าเสด็จมาช่วยพวกเขาให้รอด และไม่ว่าพระองค์จะตรัสพระวจนะไปมากเท่าใด การเปลี่ยนผู้คนที่กลายเป็นมารไปแล้วให้เป็นมนุษย์ที่แท้จริงย่อมเป็นกิจที่ยากอย่างเหลือเชื่อ  ไม่เพียงพระเจ้าต้องแสดงความจริงมากมายเท่านั้น แต่ผู้คนก็ต้องให้ความร่วมมืออย่างสุดความสามารถเช่นกันด้วยการไล่ตามเสาะหา ยอมรับ และปฏิบัติความจริง—เช่นนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะเป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตานและเข้าถึงความรอดจากพระเจ้า  พระเจ้าเคยตรัสว่า “ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว”  แม้จะมีผู้คนมากมายเชื่อในพระเจ้า แต่เฉพาะคนที่มีประสบการณ์อย่างแท้จริงกับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า นบนอบพระราชกิจของพระองค์ทุกประการเท่านั้น ที่สามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และถูกทำให้เพียบพร้อม  ผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อยล้วนรังเกียจความจริงอยู่ในหัวใจ พวกเขาจะไม่มีวันได้รับความรอดจากพระเจ้า ได้แต่ถูกพระราชกิจของพระเจ้าเปิดเผยและกำจัดออกไปเท่านั้น  ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขานึกถึงพระราชกิจช่วยผู้คนให้รอดของพระเจ้าในแบบที่ง่ายดายยิ่ง เชื่อว่าด้วยการอ่านพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าให้คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ฟัง ตัดแต่งด้วยการกล่าวคำที่เกรี้ยวกราดบ้าง คนเหล่านั้นก็จะกลับใจและเปลี่ยนแปลง กลายเป็นคนที่ทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  นอกจากจะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่เข้าใจความจริงแล้ว นี่ยังเป็นเพราะว่าผู้นำเทียมเท็จด้อยขีดความสามารถอย่างยิ่งอีกด้วย ฉะนั้น พวกเขาจึงไม่มีความเข้าใจโดยสิ้นเชิงในเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าและเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร  การดูว่าคนคนหนึ่งมีแก่นแท้เป็นเช่นไร มีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ และควรได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างไรนั้น จำเป็นต้องพิจารณาขีดความสามารถและท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง—เจ้าต้องสังเกตดูว่าพวกเขาเข้าใจความจริงว่าอย่างไรและสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่  แล้วการประเมินว่าคนคนหนึ่งเข้าใจความจริงได้หรือไม่นี้มีหลักการว่าอย่างไร?  ตามหลักแล้วย่อมขึ้นอยู่กับคุณภาพของขีดความสามารถของพวกเขา และขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างถ่องแท้หรือไม่  บางคนมีชีวิตอยู่จนอายุห้าสิบหรือหกสิบปี แต่กลับไม่สามารถเท่าทันแก่นแท้และความเป็นจริงในความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์  พวกเขายังคงนึกว่าสังคมมนุษย์สวยงามและอยากดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียวและมีสันติสุข  นี่เบาปัญญาและไร้เดียงสาอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  ถ้าการเชื่อในพระเจ้าสามารถเปลี่ยนทุกคนให้กลายเป็นคนดีได้ พระเจ้าจะจำเป็นต้องทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนเพื่อช่วยผู้คนให้รอดหรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จไม่ระบุลักษณะของผู้คนต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า กลับระบุตามพฤติกรรมภายนอกของคนเหล่านั้นและความประทับใจในส่วนของตน  งานที่พวกเขาทำก็ตื้นเขินมากเช่นกัน เหมือนเด็กเล่นหม้อข้าวหม้อแกง  พวกเขานึกว่าตนสามารถหาพระวจนะที่ถูกต้องของพระเจ้ามาใช้กับสถานการณ์หนึ่งๆ ได้ และเพียงอ่านพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าให้ผู้คนฟังก็จะเปลี่ยนแปลงผู้คนได้  “ดูสิ ภายใต้การเป็นผู้นำและการเตือนสติของฉัน ด้วยการช่วยเหลืออย่างเปี่ยมรักของฉัน พระวจนะของพระเจ้าจึงให้ผลในตัวผู้คน  พวกเขาไม่อยากเป็นศัตรูของพระคริสต์กันอีกแล้ว และเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงทัศนะที่มีเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  พวกเขาจะไม่แก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์กันอีกต่อไป ไม่จัดตั้งอาณาจักรอิสระ ไม่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอีกแล้ว และจะไม่ชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิดหรือดึงเข้าเป็นพวกอีกต่อไป!”  เจ้าจะสามารถควบคุมพวกเขาได้หรือ?  เจ้าจะไม่มีวันควบคุมคนชั่วโดยแท้ซึ่งก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนได้  เพราะพวกเขามีแก่นแท้ของคนชั่ว พวกเขาทำชั่วได้ทุกเมื่อไม่เลือกวันหรือคืน เมื่อใดที่มีโอกาส พวกเขาย่อมทำความชั่ว  การที่เจ้าไม่เอาตัวพวกเขาออกจากคริสตจักรจะไม่เป็นไรกระนั้นหรือ?  พวกเขาจะสมัครใจเลิกทำชั่วกันหรือไม่?  พวกเขาไม่ใช่คน แต่เป็นหมู่มารและเหล่าซาตาน!  ซาตานกับพวกมารต่อต้านพระเจ้ามากี่ปีแล้ว?  พวกมันยังคงต่อต้านพระเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้  ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วสารพัดชนิดที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติในคริสตจักรก็คือหมู่มารและเหล่าซาตานในชีวิตจริง พวกเขาคือศัตรูในชีวิตจริง  พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของตนเพราะเจ้าพูดอะไรไปไม่กี่คำหรือเพราะหัวใจที่เปี่ยมรักของเจ้าได้หรือ?  เจ้าช่างเขลานัก!  นึกหรือว่าเจ้าจะช่วยผู้คนให้รอดจากบาปได้เพียงเพราะเจ้าเข้าใจคำสอนอยู่บ้าง?  เจ้าช่วยให้พวกเขารอดได้หรือ?  พวกเขาถูกลิขิตให้ลงนรก ส่วนเจ้ากลับนึกว่าคำพูดดีๆ ไม่กี่คำจะเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้  มันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?  ถ้าช่วยผู้คนให้รอดได้ง่ายเช่นนั้น พระเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องตรัสพระวจนะมากมายหรือทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนแล้ว  พระองค์จะต้องใช้เวลามากมายและใช้โลหิตจากพระหทัยเป็นอันมากมาช่วยผู้คนให้รอดกระนั้นหรือ?

เวลานี้มีการเผยผู้คนต่างๆ ในคริสตจักรออกมาและจำแนกพวกเขาไปตามประเภทเรียบร้อยแล้ว  ทุกคนควรถูกจำแนกไปตามชนิด และในพระนิเวศของพระเจ้าก็มีหลักธรรมและกฎการปกครองคอยกำกับว่าควรรับมือและจัดการผู้คนชนิดต่างๆ อย่างไร  พระเจ้าทรงมีความอดทนและอดกลั้น ความกรุณาและความเมตตาอันเปี่ยมรัก รวมทั้งพระอุปนิสัยอันชอบธรรม—แต่อย่าลืมว่าพระเจ้าก็มีพระพิโรธและมีบารมีเช่นกัน  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ทุกคนได้รับการช่วยให้รอดและไม่ทรงต้องประสงค์ให้ผู้ใดทนทุกข์กับความพินาศ”  นี่เป็นเรื่องจริง แต่พระเจ้าก็มีพระประสงค์ให้ “ทุกคน” ได้รับความรอด ไม่ใช่ทุกสิ่งหรือมารทุกตน  เมื่อผู้คนทนทุกข์กับความพินาศ พระเจ้าจึงรู้สึกเศร้าและเสียพระทัยยิ่ง  เมื่อหมู่มารทนทุกข์กับความพินาศ นั่นคือบทอวสานที่ถูกต้องชอบธรรมและเป็นการลงโทษที่สาสมแล้ว พระเจ้าไม่เศร้าพระทัยกับพวกมัน  นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นหลักธรรมที่พระองค์ทรงใช้จัดการผู้คน  ผู้คนอยากเห็นแย้งกับพระเจ้าเสมอ คิดไปว่าผู้ไม่เชื่อ ศัตรูของพระคริสต์ และคนชั่วพวกนั้นก็เป็นมนุษย์เช่นกัน  พวกเขาเชื่อว่าคนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอยู่ตลอดเวลาก็เป็นมนุษย์ คนที่แก่งแย่งสถานะและตั้งอาณาจักรอิสระก็เป็นมนุษย์ และคนที่ทำตัวเจ้าชู้อย่างต่อเนื่องก็เป็นมนุษย์เช่นกัน  พวกเขาพูดถึงทุกคนที่เป็นพวกของหมู่มารและอยู่ท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นี่เหลวไหลมิใช่หรือ?  สวนทางกับพระประสงค์ของพระเจ้ามิใช่หรือ?  เพราะมุมมองของพวกเขาในเรื่องต่างๆ ล้วนตรงข้ามกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงโดยสิ้นเชิง ความคิดเห็นที่พวกเขามีต่อบุคคลต่างๆ ที่คิดลบ หมู่มาร และเหล่าซาตาน ล้วนตรงข้ามกับพระวจนะของพระเจ้าทั้งสิ้น แตกต่างกันอย่างมาก  พระเจ้าไม่เคยทำเหมือนว่าพวกมารที่ติดตามซาตานเป็นมนุษย์  พระเจ้าทรงระบุลักษณะของผู้คนเหล่านี้ว่าอย่างไร?  ว่าเป็นข้ารับใช้ของมารซาตาน เป็นสัตว์ร้าย  ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติต่อผู้ไม่เชื่อ หมู่มาร และข้ารับใช้พวกนี้ของซาตานในฐานะพี่น้องชายหญิงด้วยเจตนาดีและด้วยความรักที่เลอะเลือน ทั้งยังถูกความคิดฝันเฟื่องของตนบีบบังคับ  ฉะนั้นพวกเขาจึงแสดงความรักความเมตตาต่อคนเหล่านั้นเสียมากมาย ช่วยเหลือเกื้อหนุนไม่หยุด  ด้วยเหตุที่ผู้นำเทียมเท็จหยิบยื่นความช่วยเหลือ การเกื้อหนุน และความเป็นผู้นำให้แก่ผู้คนเหล่านั้น ผลก็คือพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง พี่น้องที่พระเจ้าทรงต้องการที่จะช่วยให้รอด ถูกทำให้ว้าวุ่นใจอย่างยิ่ง ชีวิตคริสตจักรไม่เคยสามารถเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้อง และพี่น้องชายหญิงก็ไม่เคยกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงได้ตามปกติโดยไม่ถูกคนชั่วก่อกวน  นี่คือ “ความสำเร็จ” ของผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  “ความสำเร็จ” ของพวกเขาออกจะสำคัญทีเดียว กล่าวคือ ไม่เพียงพวกเขาจะปกป้องพี่น้องชายหญิงไม่ได้เท่านั้น แต่ยังให้ความเคารพนับถือและการปกป้องที่ไม่สมควรแก่ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วพวกนั้นอีกด้วย  นี่คือการขัดขวางงานของคริสตจักรมิใช่หรือ?  การที่ผู้นำเทียมเท็จทำเช่นนี้มีธรรมชาติเป็นการขัดขวาง แต่พวกเขากลับคิดว่าตนเองกำลังประคับประคองงานของคริสตจักร กำลังช่วยเหลือและเกื้อหนุนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พระเจ้าทรงมองการกระทำเหล่านี้ของผู้นำเทียมเท็จว่าอย่างไร?  พระเจ้าทรงชิงชังพวกเขา พระองค์ทรงชิงชังพวกเขาเป็นพิเศษ!  ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง กลับมุ่งปกป้องดูแลคนชั่ว ทำตัวเป็นข้ารับใช้ของซาตาน  นี่ทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—คนที่รักความจริง—ไม่สามารถได้รับการเกื้อหนุนและสิ่งบำรุงเลี้ยงจากคริสตจักรแม้จะดำรงชีวิตคริสตจักรอยู่ก็ตาม อยากจะทำหน้าที่ของตน แต่ก็ไม่อาจได้รับการรับรองความปลอดภัย  ผู้นำเทียมเท็จไม่รับรู้เรื่องเหล่านี้โดยสิ้นเชิงและคิดว่า “ฉันปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม แล้วทำไมพวกคุณถึงพร่ำบ่น?  แท้จริงแล้วฉันต้องทำอะไร พวกคุณถึงจะพอใจ?  ความหมายของการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรมเป็นเช่นนี้  พวกคุณเอาแต่ทำตัวจุกจิกและเอาใจยาก!  ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ต้องชี้แจงให้พระเจ้าฟัง ฉันทำทุกอย่างเบื้องหน้าพระเจ้า!”  สามารถพร่ำเพ้อวาทกรรมเช่นนี้ออกมาได้ พวกเขาไม่สนใจเหตุผลเลยมิใช่หรือ?  พวกเขาโง่เขลาเป็นที่สุดมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่ฟังเหตุผลและโง่เขลาอย่างที่สุดโดยแท้  พระนิเวศของพระเจ้าพูดทุกวันว่าพระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างไร แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่เคยเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาคิดว่าไม่ว่าจะเป็นใคร มีแก่นแท้เช่นไร ทำเรื่องชั่วเพียงใด และไม่ว่าความเป็นมนุษย์ของคนคนนั้นจะมุ่งร้ายขนาดไหน ท้ายที่สุดพวกเขาย่อมจะกลับตัวและกลับใจภายใต้การชี้นำจากพระวจนะของพระเจ้าและการช่วยเหลือของผู้คนที่คอยเกื้อหนุนอย่างเปี่ยมรัก  มุมมองนี้ผิดโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ?  (ใช่)  นอกจากจะมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างร้ายแรงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผู้นำเทียมเท็จยังแสร้งทำเป็นเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอีกด้วย และเมื่อคิดอ่านอยู่ฝ่ายเดียวและดำเนินการตามความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัว พวกเขาจึงแสดงความเมตตาและความรักแก่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์  แล้วผลเป็นเช่นไร?  พวกเขาลงเอยด้วยการเป็นโล่กำบังคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด มอบโอกาสและที่มั่วสุมให้พวกเขาใช้ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักร  ขณะเดียวกันพี่น้องชายหญิงที่ต้องการการปกป้องอย่างแท้จริงกลับถูกผู้นำเทียมเท็จเพิกเฉย ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยถามพี่น้องว่า “พวกคุณรู้สึกอย่างไรบ้างที่มีศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเหล่านี้อยู่ในคริสตจักร รวมทั้งคนที่ระบายความคิดลบและแพร่มโนคติอันหลงผิด?  พวกคุณเห็นด้วยหรือไม่กับการให้พวกเขาอยู่ในคริสตจักรไปเรื่อยๆ?  เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของพวกคุณและใช้ชีวิตคริสตจักรร่วมกับพวกเขาหรือไม่?”  พวกเขาไม่เคยถามว่าพี่น้องชายหญิงรู้สึกอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้  แล้วพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร—ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้น่าขยะแขยงมากใช่หรือไม่?  พวกเขาดำเนินงานโดยชูธงว่าเป็นผู้นำและคนทำงาน ดำรงตำแหน่งที่กล่าวมา แต่แท้จริงแล้วกลับทำงานปกป้องดูแลซาตานและข้ารับใช้ของซาตาน  น่าเศร้าโดยแท้!  ถ้าเจ้าบอกว่าผู้นำและคนทำงานเยี่ยงนี้ด้อยขีดความสามารถและไม่ทำงานจริง พวกเขาก็อาจจะไม่เชื่อ  พวกเขาจะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม คิดว่าตนมีงานรัดตัวทุกวัน ไม่ได้อยู่เฉย แล้วจะไม่ทำงานจริงได้อย่างไร?  แต่เมื่อดูสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมา—การรู้สึกว่าจะหน้ามือหรือหลังมือก็คือเนื้อ การคิดว่าต้องปฏิบัติต่อทั้งสองกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน ใช้การปฏิบัติที่ยุติธรรมเป็นข้ออ้างที่จะปล่อยให้คนชั่วและคนที่ขัดขวางและก่อกวนเป็นใหญ่อยู่ในคริสตจักร และยอมให้การทำชั่วต่างๆ ยืดเยื้ออยู่ในคริสตจักรต่อไป—ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ย่อมเป็นเช่นใด?  ตามการสำแดงของพวกเขา วิธีและหลักการทำงาน รวมทั้งแรงจูงใจในการทำงานของพวกเขา พวกเขาย่อมเป็นผู้นำเทียมเท็จและคนโง่ที่เลอะเลือนอย่างไม่ต้องสงสัย  กล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)

ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมของกลุ่มคนหรือชนชั้นใดก็ไม่มีใครแยกคนดีคนชั่วออกจากกัน และยิ่งไม่คุยกันว่าซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไรหรือแก่นแท้ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเป็นเช่นไร พวกเขาไม่แยกแยะดีชั่วด้วยซ้ำไป  แต่ในพระนิเวศของพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า ความจริงไม่เคยเปลี่ยนแปลง และพระวจนะของพระเจ้าก็ทำให้ทุกสิ่งสำเร็จลุล่วง  ในคริสตจักรมีการใช้พระวจนะของพระเจ้าเผยผู้คนสารพัดชนิดออกมา พวกเขาจึงถูกจำแนกไปตามประเภทโดยปริยาย  ควรนำผู้คนทุกประเภทมาใช้งานให้ดีที่สุดตามความเป็นมนุษย์ การไล่ตามเสาะหา และแก่นแท้ของพวกเขา  นี่ใช่การจำแนกผู้คนเป็นลำดับชั้นหรือไม่?  นี่ไม่ใช่การจำแนกผู้คนเป็นลำดับชั้น แต่เป็นการระบุลักษณะของพวกเขาออกมา  แต่ละคนควรถูกจำแนกไปตามประเภท—พวกเขาควรถูกจัดให้อยู่ในที่ของตน  การอยู่ปะปนกันไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ การปะปนอยู่ด้วยกันย่อมเป็นเรื่องชั่วคราวและมีระยะเวลาแน่นอน  ตัวอย่างเช่น เมื่อข้าวละมานและข้าวสาลีขึ้นปนกัน ถ้าการถอนข้าวละมานส่งผลต่อข้าวสาลีและอาจทำให้ข้าวสาลีตายได้ เช่นนั้นแล้วก็ยังไม่ควรถอนข้าวละมาน  แต่การไม่ถอนข้าวละมานก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการระบุชนิดของข้าวเหล่านั้น—แล้วควรถอนข้าวละมานเมื่อใด?  เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระเจ้าจะทรงเตรียมเวลาเอาไว้  ตอนนี้ถึงเวลาที่จะจำแนกแต่ละคนไปตามประเภทแล้ว ผู้คนทุกชนิดต้องถูกจัดหมวดหมู่  เรื่องนี้มีความจำเป็น  เหตุใดจึงต้องทำงานนี้?  ในแง่ทฤษฎี มีหลักการอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า ในแง่สถานการณ์ตามจริง ก็จำเป็นต้องทำเช่นนี้—นี่มีคุณค่าในแง่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และการทำเช่นนี้ก็จำเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อการถอนข้าวละมานไม่ส่งผลต่อข้าวสาลีแล้ว ก็ต้องถอนแยกข้าวละมานออกจากข้าวสาลี  ถ้าผู้ไม่เชื่อและคนชั่ว—ซึ่งก็คือพวกที่เป็นข้าวละมาน—ได้รับการปฏิบัติอย่างพี่น้องชายหญิง นั่นย่อมอยุติธรรมเกินไปกับพี่น้องชายหญิงทุกคนที่สละตนเพื่อพระเจ้าด้วยความจริงใจ  ด้านหนึ่งผู้คนเหล่านี้ย่อมจะถูกคนชั่วที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรคอยรบกวน ครอบงำ และทำร้ายบ่อยครั้ง  อีกด้านหนึ่ง บางคนที่ด้อยวุฒิภาวะย่อมไม่เข้าใจความจริงและจะถูกบีบคั้น กลายเป็นคนที่คิดลบและอ่อนแอ หรือถึงกับสะดุดล้มเมื่อพวกเขาไปมาหาสู่กับคนชั่วที่ขัดขวางและก่อกวน  ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสิ่งที่คนที่ขัดขวางและก่อกวนลงมือทำ ทุกคำที่พวกเขาพูด ย่อมก่อให้เกิดความอลหม่าน ยุ่งเหยิง และสถานการณ์ต่างๆ ที่ชุลมุนวุ่นวาย  สถานการณ์ที่ตรงตามความเป็นจริงมากที่สุดก็คือเมื่อพวกเขาทำหน้าที่หรือทำงานบางอย่าง พวกเขาย่อมผลีผลามทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม พาให้กำลังคน ทรัพยากรวัตถุ และทรัพยากรการเงินเกิดการสูญเปล่าเป็นอันมากโดยไม่มีผลสัมฤทธิ์อันใด  ท้ายที่สุดย่อมเกิดอะไรขึ้น?  เมื่อพวกเขาถูกปลด ทุกคนก็ต้องจ่ายให้กับการทำชั่วของพวกเขา  งานก็จำเป็นต้องทำใหม่ พาให้แรงคน ทรัพยากรวัตถุ เวลา และพลังงานอันล้ำค่าที่สุดของทุกคนที่สละให้ก่อนที่คนเหล่านั้นจะถูกปลด มีอันสูญเปล่าเพราะพวกเขาผลีผลามทำเรื่องไม่ดีและไม่สามารถชดใช้ได้  ผลกระทบในเชิงลบที่พวกเขานำมาให้งานนี้ช่างมากเกินไปแล้ว!  ไม่มีใครแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้  ต่อให้ทำงานได้ดีในภายหลัง ก็ไม่มีใครสามารถชดเชยความสูญเสียที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นได้  บางคนบอกว่าให้พวกเขาคืนเงินมา นี่ก็ควรทำเช่นกัน แต่เงินซื้อเวลาได้หรือไม่?  เงินซื้อเวลาและพลังงานของพี่น้องชายหญิง หรือซื้อความจริงใจที่พี่น้องจ่ายไปได้หรือไม่?  ไม่ได้—สิ่งเหล่านั้นหาค่ามิได้!  ไม่ว่าจะมีกี่คนที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนในคริสตจักร ผลที่ตามมาย่อมประเมินค่ามิได้  การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงมากมายหลายคนก็จะได้รับผลกระทบ  มีความสูญเสียเกิดขึ้นมากมายและไม่อาจชดใช้ได้  ความสูญเสียที่เกิดกับชีวิตของพี่น้องชายหญิงจะชดใช้ได้หรือ?  ใครจะเป็นคนจ่ายให้กับความสูญเสียครั้งนี้?  ดังนั้นคนชั่วพวกนี้จึงต้องถูกชำระออกไป  พวกเขาไม่ใช่คนประเภทเดียวกับพี่น้องชายหญิงที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาเป็นพวกเดียวกับซาตานและหมู่มาร มาที่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อก่อกวนและทำลาย  ถ้าไม่เอาตัวคนชั่วพวกนี้ออกจากคริสตจักร ก็จะไม่มีวันรับประกันเรื่องงานของคริสตจักรและระเบียบในชีวิตคริสตจักรได้  ไม่ว่ากลุ่มหนึ่งๆ จะมีกี่คน ตราบใดที่มีพวกเขาสักคนหนึ่งขัดขวางและก่อกวน—เป็นคนที่ผลีผลามทำเรื่องไม่ดี ไม่เคยจัดการเรื่องราวตามหลักธรรม ไม่เคยยอมรับสิ่งที่เป็นบวกหรือความจริง ไม่ฟังใคร กระทำการอย่างดื้อรั้นตามอำเภอใจไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะหรืออำนาจหรือไม่ก็ตาม และเป็นซาตานที่มีชีวิตตนหนึ่งโดยแก่นแท้—ตราบใดที่มีคนเยี่ยงนี้อยู่ในคริสตจักร ไม่ช้าก็เร็วย่อมจะก่อให้เกิดการรบกวนและทำลายงานของคริสตจักรครั้งใหญ่  เมื่อถึงวันที่จะจัดการเอาตัวพวกเขาออกไป ผู้คนมากมายจะต้องเก็บกวาดผลสืบเนื่องอันไม่พึงประสงค์และสถานการณ์วุ่นวายที่พวกเขาก่อเอาไว้!  ฉะนั้น การขับไล่หรือเอาตัวศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วพวกนี้ออกไปจึงเป็นกิจสำคัญที่ผู้นำและคนทำงานควรทำและต้องไม่ประมาท  อย่างไรก็ดี ผู้นำเทียมเท็จกลับแสดงความเมตตาและความรักแก่คนที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป ทำเป็นมองไม่เห็นการทำชั่วของพวกเขา ยอมผ่อนปรนและเกื้อกูลพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหญิง ถึงกับมองคนที่เป็นประโยชน์กับตนว่าเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ บ่มเพาะและใช้งานพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขาจะทำเรื่องอันใดที่ไม่ดี ผู้นำเทียมเท็จก็หาข้ออ้างมาช่วยให้พวกเขาพ้นผิด ถึงขั้นให้ความช่วยเหลือและเกื้อหนุนพวกเขาอย่างเปี่ยมรัก  ในระดับหนึ่ง นี่คือการจงใจขัดขวางมิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้นำเทียมเท็จกระทำการตามแนวคิดของตน ตามความเมตตาและความกระตือรือร้นของตนเอง ก่อปัญหามากมายให้กับคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในที่สุด!  ถ้าคนชั่วพวกนี้กุมอำนาจ ความวิบัติและผลสืบเนื่องที่พวกเขานำมาให้คริสตจักรย่อมจะมากมายเกินนับ

ปัจจุบันมีข้อบังคับในพระนิเวศของพระเจ้าว่า ไม่ว่าคนที่ทำเรื่องไม่ดีจะเป็นใคร ตราบใดที่สร้างความสูญเสียให้แก่พระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาต้องชดใช้  ถ้าสูญเสียมากเกินไปและผลสืบเนื่องก็ร้ายแรง จะแก้ปัญหาด้วยการชดใช้เป็นเงินเท่านั้นได้หรือไม่?  ความสูญเสียบางอย่างไม่อาจชดใช้เป็นจำนวนเงินได้ เป็นความสูญเสียที่ไม่อาจแก้ไขและไม่อาจกู้คืนมาได้  เวลานี้แต่ละวันล้วนล้ำค่าและสำคัญยิ่ง  เมื่อวันหนึ่งๆ ผ่านไป จะเอาเวลากลับมาได้หรือ?  นั่นก็กู้คืนมาไม่ได้เช่นกัน  เหตุใดพวกเราจึงพูดว่าการพลาดบางสิ่งบางอย่างกลับเป็นความเสียใจชั่วชีวิต?  เพราะไม่อาจได้เวลาคืนมานั่นเอง  ที่กล่าวมานี้เราหมายความว่าอย่างไร?  เป็นการดีที่สุดที่จะป้องกันก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น แทนที่จะใช้เงินแก้ไขหลังจากที่เกิดปัญหาแล้ว  นี่คือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด  “ม้าหนีไปแล้วจึงลงกลอนคอกม้า” คือทางเลือกสุดท้าย  การเตรียมป้องกันเอาไว้ก่อนที่จะเกิดเรื่องย่อมดีที่สุด  นี่หมายความว่าก่อนที่จะเกิดการขัดขวางหรือก่อกวนใดๆ ผู้นำและคนทำงานต้องมีวิจารณญาณที่ชัดเจนและมีความเข้าใจอันถ่องแท้ในตัวผู้คนชนิดต่างๆ ในคริสตจักร เฝ้าสังเกตอย่างรอบคอบ จับสภาวะ อุปนิสัย และการไล่ตามเสาะหาของผู้คนหลากหลายประเภทให้ทันท่วงที รวมทั้งท่าทีและมุมมองที่พวกเขามีขณะทำหน้าที่อีกด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนจะมีชีวิตคริสตจักรและสภาพแวดล้อมที่ปกติในการทำหน้าที่ของตน  เช่นนี้งานของคริสตจักรจึงจะก้าวหน้าได้อย่างมีระเบียบแบบแผน  เหล่านี้คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  แน่นอนว่าผู้นำเทียมเท็จทำงานนี้ไม่ได้ พวกเขาเป็นคนโง่ที่เลอะเลือน เป็นคนไร้ประโยชน์  คราวนี้พวกเขาก็มีแนวคิดที่ฉลาดเฉลียวว่า “ใครไม่ทำตามหลักธรรมและทำงานพลาดจะถูกปรับ!  ถ้าศัตรูของพระคริสต์ทำอะไรผิด พวกเขาก็จะถูกปรับ!”  พวกเขานึกว่าการสั่งปรับเป็นทางแก้ที่ดีที่สุดและเป็นหลักปฏิบัติที่ดีที่สุด  ถ้าปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยการสั่งปรับ แล้วการไล่ตามเสาะหาความจริงจะมีประโยชน์อันใด?  เหตุใดจึงเรียกผู้นำเทียมเท็จว่าเทียมเท็จ?  เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง และทำเหมือนว่าการปฏิบัติตามข้อบังคับคือการปฏิบัติความจริง วาจาและคำสอนที่พวกเขาเข้าใจก็มองว่าเป็นความจริง และเมื่อเกิดอะไรขึ้น ก็แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจหาหลักธรรมหรือแนวทางที่ถูกต้องพบ และไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นตอได้  พวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและไม่อาจเข้าใจความหมายของพระเจ้าได้โดยสิ้นเชิง แต่ก็ยังคงอยากทำงาน อยากเป็นผู้นำหรือคนทำงาน—ช่างเขลาเสียจริง!  มองในแง่นี้ สิ่งใดคือการสำแดงหลักของผู้นำเทียมเท็จ?  พวกเขาไม่สามารถมองเข้าไปถึงแก่นแท้ในตัวผู้คนประเภทต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ไม่สามารถจำแนกคนเหล่านั้นได้ และแน่นอนวาไม่สามารถจัดการและปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นตามหลักธรรม  ในความรู้สึกนึกคิดของผู้นำเทียมเท็จ เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนสับสนยุ่งเหยิง  พวกเขาคาดเดาพระวจนะของพระเจ้าและความหมายของพระองค์ไปตามความกระตือรือร้น มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันของตนเอง  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ยัดเยียดความเมตตา ความกระตือรือร้น ความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของตนให้กับพระเจ้า เชื่อไปว่าสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับความจริง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และสามารถแสดงถึงพระประสงค์ของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ในการทำงานและนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นี่คือการสำแดงหลักของผู้นำเทียมเท็จ  พวกเราจะจบการสามัคคีธรรมถึงการสำแดงข้อที่สองของผู้นำเทียมเท็จกันตรงนี้

III. ผู้นำเทียมเท็จไม่เปิดโปงและหยุดยั้งคนชั่ว

ถัดไป พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงการสำแดงข้อที่สามของผู้นำเทียมเท็จ ซึ่งก็คือการเพิกเฉยและไม่สอบถามเรื่องของผู้คนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร—แม้ในยามที่พวกเขาค้นพบว่าพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์กำลังก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขาก็ไม่ให้ความสนใจ  ธรรมชาติของเรื่องนี้ร้ายแรงกว่าการสำแดงสองข้อแรก  เหตุใดจึงกล่าวว่าร้ายแรงกว่า?  การสำแดงสองข้อแรกเกี่ยวข้องกับขีดความสามารถของผู้นำเทียมเท็จ แต่การสำแดงข้อนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ของผู้นำเทียมเท็จ  ผู้นำเทียมเท็จบางคนด้อยขีดความสามารถเสียจนไม่อาจเท่าทันธรรมชาติที่เป็นการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร  แม้ผู้นำเทียมเท็จบางคนจะสามารถพบเจอปัญหาที่เป็นการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถจัดการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้  พวกเขากระทำการตามแนวคิดและความกระตือรือร้นของตนเสมอ ทำสิ่งที่อยากทำ คิดในใจว่า “ตราบใดที่ฉันยังทำงานให้คริสตจักร ย่อมไม่เป็นไร ส่วนคนที่ขัดขวางและก่อกวน นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”  ยังมีผู้นำเทียมเท็จบางคนที่พอจะมีขีดความสามารถและสามารถทำงานได้บ้าง พอจะรู้หลักธรรมสำหรับจัดการผู้คนแต่ละชนิดอยู่บ้าง  อย่างไรก็ดี พวกเขากลับกลัวว่าจะล่วงเกินผู้คน ดังนั้นเมื่อพบตัวคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวน พวกเขาจึงไม่กล้าเปิดโปง หยุดยั้ง หรือควบคุมคนเหล่านั้น  พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน และทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องราวที่พวกเขารู้สึกว่าไม่เกี่ยวข้องกับตน  พวกเขาไม่ใส่ใจเลยว่างานของคริสตจักรจะมีผลลัพธ์เช่นไร หรือการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะได้รับผลกระทบมากขนาดไหน คิดไปว่าเรื่องเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน  ดังนั้นในช่วงที่ผู้นำเทียมเท็จดังกล่าวอยู่ในตำแหน่ง จึงไม่มีการดำรงรักษาระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักร ไม่มีการปกป้องหน้าที่และการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ปัญหานี้มีธรรมชาติเป็นเช่นไร?  ไม่ใช่ว่าผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่สามารถทำงานได้เพราะพวกเขาด้อยขีดความสามารถ แต่เป็นเพราะพวกเขาด้อยความเป็นมนุษย์ ไม่มีมโนธรรมและสำนึก และพวกเขาไม่ทำงานจริง  แล้วผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้เทียมเท็จอย่างไร?  พวกเขาไร้ซึ่งมโนธรรมและสำนึกของมนุษยชาติ ฉะนั้น ในช่วงที่พวกเขาทำงานเป็นผู้นำจึงไม่มีการแก้ปัญหาเรื่องที่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรแต่อย่างใด  พี่น้องชายหญิงบางคนถูกทำร้ายอย่างหนัก และงานของคริสตจักรก็ประสบความสูญเสียอย่างมหาศาล  เมื่อผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้สังเกตเห็นปัญหา เมื่อพวกเขาพบเห็นคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือรบกวน พวกเขารู้ว่าตนมีความรับผิดชอบเช่นไร รู้ว่าตนควรทำสิ่งใด และควรทำอย่างไร แต่พวกเขาก็ไม่ทำอะไรเลย ถึงกับแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เพิกเฉยโดยสิ้นเชิง และไม่รายงานเรื่องดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาของตน  พวกเขาเสแสร้งว่าตนไม่รู้อะไรและมองไม่เห็นสิ่งใด เปิดโอกาสให้คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขามีปัญหามิใช่หรือ?  พวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกับคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  พวกเขาใช้หลักธรรมอันใดในการเป็นผู้นำ?  “ฉันไม่ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือรบกวน แต่ฉันก็จะไม่ทำอะไรที่ล่วงเกิน หรือทำร้ายศักดิ์ศรีของคนอื่น  ระบุไปเถิดว่าฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จ และฉันก็จะยังคงไม่ทำอะไรที่เป็นการล่วงเกิน  ฉันจำเป็นต้องมีทางออกให้ตนเอง”  นี่เป็นตรรกะจำพวกใด?  เป็นตรรกะของซาตาน  แล้วนี่เป็นอุปนิสัยเช่นใด?  กลิ้งกลอกหลอกลวงอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  คนแบบนี้ไม่ปฏิบัติต่อพระบัญชาของพระเจ้าด้วยความจริงใจแม้แต่น้อย ใช้ความเหลี่ยมจัดและกลับกลอกมาปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เสมอ มีการคิดคำนวณที่ชั่วร้ายมากมายนัก และนึกถึงตนเองในทุกเรื่อง  ไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรสักนิด ไม่มีมโนธรรมหรือสำนึกแต่อย่างใด  โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาไม่คู่ควรที่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำคริสตจักร  ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่แบกรับภาระที่เป็นงานของคริสตจักรหรือการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแม้แต่น้อย  พวกเขาใส่ใจแต่ผลประโยชน์และความสุขสำราญของตนเองเท่านั้น มุ่งแต่จะหลงระเริงไปกับผลประโยชน์ที่ได้จากสถานะ ไม่ห่วงใยบ้างเลยว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะอยู่ในภาวะเช่นใด  นี่คือคนที่เห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นที่สุดมิใช่หรือ?  แม้ในยามที่พวกเขาพบตัวคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขาก็ไม่สนใจ ราวกับว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตน  เหมือนคนเลี้ยงแกะที่เห็นหมาป่ากำลังจะกินแกะ แต่กลับไม่ทำอะไร สนใจแต่จะรักษาชีวิตของตนเองเท่านั้น  คนเช่นนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้เลี้ยง  ทุกสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จจำพวกนี้ทำย่อมเป็นไปเพื่อปกป้องความมีหน้ามีตา สถานะ อำนาจ และผลประโยชน์ต่างๆ ที่พวกเขาสุขสำราญด้วยในตอนนี้ให้มากที่สุดเท่านั้น  หัวใจของพวกเขาไม่มีภาระเป็นพระบัญชาของพระเจ้า งานของคริสตจักร หรือการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ซึ่งเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเขา พวกเขาไม่เคยคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้  คิดไปว่า “ทำไมผู้นำถึงต้องทำงานพวกนี้?  ทำไมการไม่ทำงานเหล่านี้ถึงส่งผลให้ถูกตัดแต่งและกล่าวโทษ ถูกพี่น้องชายหญิงปฏิเสธ?”  พวกเขาไม่เข้าใจและไม่แยแสโดยสิ้นเชิง  ในหัวใจของเรา ไม่ว่าคนจำพวกนี้จะดูประพฤติตัวดี หรือทำตามกฎ เงียบขรึม หรือขยันและมีความสามารถเช่นไร ข้อเท็จจริงที่พวกเขากระทำการโดยไร้หลักธรรมและไม่รับผิดชอบงานของคริสตจักรก็ทำให้เราจำต้องมองพวกเขาเสียใหม่  ในที่สุดเราจึงนิยามคนเช่นนี้ไว้ดังนี้ว่า พวกเขาอาจจะไม่ทำความผิดใหญ่โต แต่ก็กลิ้งกลอกและหลอกลวงมาก พวกเขาไม่รับผิดชอบสิ่งใดเลย ไม่ค้ำจุนงานของคริสตจักรโดยสิ้นเชิง—พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์  เรารู้สึกว่าพวกเขาก็เหมือนสัตว์ชนิดหนึ่ง—เพราะความเจ้าเล่ห์ พวกเขาจึงเหมือนสุนัขจิ้งจอกอยู่บ้าง  ผู้คนกล่าวว่าสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แต่แท้จริงแล้วผู้คนเหล่านี้เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าสุนัขจิ้งจอกเสียอีก  ดูภายนอกเหมือนพวกเขาไม่ได้ทำความชั่วอันใด แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งที่พวกเขาพูดและทำเป็นไปเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของพวกเขาเอง  ทุกสิ่งที่พวกเขาทำมีจุดประสงค์เพื่อที่จะสุขสำราญกับผลประโยชน์ที่มากับสถานะของตน และพวกเขาก็ไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าแต่อย่างใด  พวกเขาไม่แก้ปัญหาที่เกิดกับงานของคริสตจักรแม้แต่น้อย ไม่จัดการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่ทำงานใดๆ เพื่อนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  แล้วทุกสิ่งที่พวกเขาทำมีจุดประสงค์เช่นใดกันแน่?  แค่เอาใจผู้คนและทำให้ผู้อื่นมองว่าพวกเขาสูงส่งเท่านั้นหรือ?  พวกเขาพยายามทำให้ทุกคนคิดกับตนในทางที่ดีโดยไม่ล่วงเกินใคร ดังนั้นจึงสุขสำราญกับความมีหน้ามีตาและผลประโยชน์ที่มาจากสถานะของตน  สิ่งที่ทำให้นึกเกลียดมากที่สุดในเรื่องของพวกเขาก็คือว่า การกระทำทุกอย่างของพวกเขาไม่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขากลับชักพาให้ผู้คนหลงผิด ทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสและหลงใหลได้ปลื้มในตัวพวกเขา  ผู้คนเหล่านี้กลิ้งกลอกและหลอกลวงยิ่งกว่าสุนัขจิ้งจอกมิใช่หรือ?  พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จตรงตามตำราโดยแท้  พวกเขามีสถานะเป็นผู้นำและดำรงตำแหน่งนี้ แต่กลับไม่ทำงานจริง ใส่ใจกิจธุระทั่วไปบางอย่างที่ตื้นเขินและมองเห็นได้เท่านั้น หรือไม่ก็ทำงานที่เบื้องบนมอบหมายมาให้เป็นพิเศษบ้างอย่างเสียมิได้  ถ้าเบื้องบนไม่ได้มอบหมายอะไรเป็นพิเศษ พวกเขาก็ไม่ทำงานของคริสตจักรที่เป็นสาระ  ในส่วนของเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการประคับประคองงานของคริสตจักรและดำรงรักษาระเบียบในชีวิตคริสตจักรนั้น พวกเขากลับกลัวว่าจะล่วงเกินผู้คนและไม่กล้าค้ำชูหลักธรรม  ไม่แก้ปัญหาที่หมักหมมอยู่ในงานของคริสตจักร และแม้ในยามที่เห็นสินทรัพย์ในพระนิเวศของพระเจ้าถูกศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วใช้ทิ้งใช้ขว้าง พวกเขาก็ไม่ทำอะไรเพื่อหยุดยั้งหรือควบคุม  พวกเขารู้ชัดอยู่แก่ใจว่าผู้คนเหล่านี้กำลังทำความชั่วและทำร้ายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่พูดอะไรสักคำ  นี่คือผู้คนที่กลิ้งกลอกและหลอกลวง  คนเหล่านี้เจ้าเล่ห์กว่าสุนัขจิ้งจอกมิใช่หรือ?  ภายนอกพวกเขาทำตัวเป็นมิตรกับทุกคนและไม่ทำสิ่งที่ทำร้ายใคร แต่พวกเขากลับประวิงเรื่องสำคัญซึ่งก็คือการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร งานของคริสตจักร และงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ผู้คนเช่นนี้คู่ควรที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานหรือไม่?  พวกเขาคือข้ารับใช้ของซาตานมิใช่หรือ?  พวกเขาก็คือคนที่คอยขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรมิใช่หรือ?  แม้ภายนอกพวกเขาจะไม่เคยทำความชั่วอย่างโจ่งแจ้ง แต่ผลสืบเนื่องของการที่พวกเขาทำงานเช่นนี้กลับยิ่งร้ายแรงกว่าการทำความชั่วเสียอีก  พวกเขากีดขวางไม่ให้ดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร  พวกเขาทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและทำลายได้แม้กระทั่งความหวังที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะได้รับความรอด  จงบอกเราเถิดว่านี่ไม่ใช่การทำความชั่วหรอกหรือ?  แท้จริงแล้วนี่คือสิ่งที่คนที่ชอบเอาใจผู้คนและไม่ค้ำชูหลักธรรมแต่อย่างใดเขาทำกัน  ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมจะไม่สามารถรับรู้ได้อย่างถ่องแท้ถึงผลสืบเนื่องอันเลวร้ายจากการที่ผู้นำเทียมเท็จทำงานในลักษณะนี้ และพวกเขาก็เข้าใจไม่ได้ว่าคนเหล่านั้นมีเจตนา แรงจูงใจ และจุดประสงค์เช่นไร  เจ้าจะไม่มีวันหยั่งได้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาอยากทำสิ่งใดอยู่ในใจ—ผู้คนเยี่ยงนี้กลิ้งกลอกเกินไป!  กล่าวในเชิงเปรียบเปรยแล้ว พวกเขาก็คือสุนัขจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก กล่าวให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาคือหมู่มารที่มีลมหายใจ เป็นมารที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คน!

ในเรื่องที่ว่าควรระบุว่าผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้เป็นคนจำพวกใดนั้น ดูตามแก่นนิสัยของพวกเขาแล้ว ไม่อาจจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของคนชั่ว ศัตรูของพระคริสต์ คนหน้าซื่อใจคด และอื่นๆ ตามอำเภอใจได้  อย่างไรก็ดี ดูจากสิ่งที่พวกเขาสำแดงให้เห็น เช่น การสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ของพวกเขาและท่าทีที่พวกเขามีต่องานของคริสตจักร รวมทั้งการที่พวกเขาไม่จัดการแก้ปัญหาที่ตนพบเจอแล้ว พวกเขาก็คือผู้นำเทียมเท็จประเภทที่ต่ำทรามที่สุด  และจากสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาสำแดงออกมา แม้พวกเขาจะไม่ได้สร้างพลพรรคหรือตั้งอาณาจักรอิสระของตนเองในเชิงรุก แทบไม่เป็นพยานยืนยันให้ตนเอง และแม้พวกเขาจะสามารถเข้ากันได้ดีกับพี่น้องชายหญิง ทนฝ่าความยากลำบาก จ่ายราคา เว้นจากการลักของถวายได้ และถึงกับสามารถกวดขันตัวเองให้รู้จักยับยั้งชั่งใจไม่แสวงหาสิทธิพิเศษต่างๆ แต่พอพวกเขาเผชิญหน้าผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร หรือผู้คนต่างๆ ที่ผลาญของถวายและทำให้ทรัพย์สินในพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย พวกเขากลับไม่หยุดยั้งหรือจัดการคนเหล่านั้น ไม่พูดอะไรหรือทำงานอันใด  ผู้คนเช่นนี้น่ากลัวมาก!  เป็นผู้นำเทียมเท็จชนิดที่น่าดูหมิ่นที่สุด คนเหล่านี้เกินแก้!  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาเกินแก้?  ไม่ใช่ว่าพวกเขาด้อยขีดความสามารถหรือไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า—พวกเขามีความสามารถที่จะเข้าใจและมีฝีมือที่จะทำงานได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อพบเจอคนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขากลับไม่จัดการหรือแก้ไข  พวกเขาลงมือทำงานนี้บ้างอย่างเสียมิได้ก็ต่อเมื่อถูกผู้นำระดับสูงขึ้นไปกำกับดูแลอย่างเข้มงวดและสอบถามบ่อยๆ หรือต่อเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่งเท่านั้น  ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานนี้หรือไม่ หรือทำงานนี้อย่างไร การปกป้องตนเองก็สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง  พวกเขาไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานแต่อย่างใด  นอกจากปกป้องตนเองและดูแลรักษาผลประโยชน์ของตนเองแล้ว พวกเขาไม่ทำงานที่เป็นสาระ และเอาแต่ปฏิบัติงานที่ตื้นเขินบ้างซึ่งพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำเท่านั้น  นอกจากปกป้องตัวเองแล้ว พวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องใดอีก  พวกเขากลิ้งกลอกและมีเหลี่ยมคูกว่าสุนัขจิ้งจอกมิใช่หรือ?  บางคนกล่าวว่า “การกินสัตว์เล็กเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของสุนัขจิ้งจอก ดังนั้นการปกป้องตนเองก็เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จเช่นกันไม่ใช่หรือ?”  นี่ใช่สัญชาตญาณหรือไม่?  นี่คือธรรมชาติของพวกเขา!  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ปกป้องสถานะ ชื่อเสียง และหน้าตาของตน ดำรงรักษาสัมพันธภาพกับผู้คน และหลีกเลี่ยงการล่วงเกินใครๆ โดยแลกกับการทำให้พระนิเวศของพระเจ้าเสียผลประโยชน์และทำลายงานของคริสตจักร  แม้แต่จะจัดการปลดหรือปรับเปลี่ยนบุคลากรด้วยตนเอง พวกเขาก็ไม่ทำ กลับมอบหมายให้ผู้อื่นทำแทนตน  คิดไปว่า “ถ้าคนคนนั้นหาทางแก้แค้น ก็จะไม่มาตามล่าฉัน  ฉันจำเป็นต้องปกป้องตัวเองก่อนไม่ว่าจะเผชิญสถานการณ์เช่นใดก็ตาม”  ผู้คนเหล่านี้กลิ้งกลอกเกินไปแล้ว!  ในฐานะผู้นำ แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็รับผิดชอบไม่ได้ แล้วเจ้าคู่ควรที่จะเป็นผู้นำหรือไม่?  เจ้าเป็นเพียงคนขลาดที่หาประโยชน์ไม่ได้เท่านั้น!  เมื่อไม่มีความกล้าหาญในส่วนนี้ เจ้ายังเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าอยู่หรือไม่?  ผู้คนที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบในการทำหน้าที่ของตนนั้นใช่ผู้ติดตามพระเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าไม่ทรงต้องการคนเช่นนี้  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้กลิ้งกลอกและมีเหลี่ยมคูเหมือนสุนัขจิ้งจอก  เวลาพบเห็นคนที่ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือรบกวน พวกเขาทั้งไม่จัดการและไม่แก้ไข—พวกเขาไม่ทำงานจริงโดยแท้  ไม่ว่าจะถูกเปิดโปงและตัดแต่งอย่างไร พวกเขาก็ไม่ลงมือ  ในเมื่อเจ้าไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน แล้วเจ้าจะยึดครองตำแหน่งนั้นไว้เพื่ออะไร?  เพื่อให้เจ้าสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งสถานที่กระนั้นหรือ?  เพื่อให้เจ้าสามารถหลงระเริงไปกับผลประโยชน์ที่มาจากสถานะกระนั้นหรือ?  เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะได้อะไรเช่นนั้น!  การไม่ทำงานจริง แต่กลับอยากให้พี่น้องชายหญิงเคารพและหลงใหลได้ปลื้มในตัวเจ้า—นี่คือวิธีคิดของมารตนหนึ่งมิใช่หรือ?  ช่างไม่ละอายแก่ใจเสียเลย!  บางคนกล่าวว่าพวกเขาไม่อยากเป็นผู้นำโดยสิ้นเชิง  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะดำรงรักษาความมีหน้ามีตาและสถานะของตนไว้เพื่ออะไร?  เจ้าชักพาให้ผู้คนหลงผิดด้วยจุดประสงค์อันใด?  ถ้าเจ้าไม่อยากเป็นผู้นำ เจ้าก็ชิงลาออกได้  เหตุใดเจ้าจึงไม่ลาออก?  เหตุใดเจ้าจึงยึดครองตำแหน่งนั้นเอาไว้ ไม่ยอมลงจากตำแหน่ง?  ถ้าเจ้าไม่อยากลาออก เช่นนั้นเจ้าก็ต้องทำงานจริงตามหน้าที่ของตนบ้าง  ไม่มีทางเลือกอื่น—นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า  ถ้าเจ้าทำงานจริงไม่ได้ ก็จะเป็นการดีที่สุดหากเจ้าแสดงความรับผิดชอบและลาออกไปเสีย เจ้าไม่ควรถ่วงให้งานของคริสตจักรล่าช้า หรือทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ถ้าเจ้าไม่มีแม้แต่มโนธรรมและสำนึกในส่วนนี้ เจ้าจะยังมีความเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?  เจ้าไม่คู่ควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์!  ไม่ว่าจะสามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้หรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าสมควรได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ก็ต่อเมื่อพวกเขามีมโนธรรมและสำนึกอยู่บ้างเท่านั้น

การเป็นผู้นำหรือคนทำงานนั้น คนเราต้องมีขีดความสามารถระดับหนึ่ง  ขีดความสามารถของคนคนหนึ่งคือตัวบ่งชี้ความสามารถในการทำงานและระดับความเข้าใจที่พวกเขามีต่อหลักธรรมความจริง  ถ้าเจ้าไม่ค่อยมีขีดความสามารถและไม่มีความเข้าใจในความจริงที่ลึกพอ แต่เจ้าก็สามารถปฏิบัติได้มากเท่ากับที่เจ้าสามารถเข้าใจ เจ้าสามารถนำสิ่งที่เจ้าเข้าใจไปปฏิบัติได้ มีความบริสุทธิ์ใจและซื่อสัตย์ ไม่ออกอุบายในเรื่องใดเพื่อตัวเจ้าเอง หรือไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ และเจ้าก็สามารถน้อมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเป็นบุคคลที่ถูกต้อง  อย่างไรก็ดี ผู้นำเทียมเท็จไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้  พวกเขาไม่ห่วงกังวลถึงปัญหาเรื่องการขัดขวางและการก่อกวนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักร ต่อให้สังเกตเห็นปัญหาเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่ให้ความสนใจ  ถ้าถามไปว่าพวกเขาตระหนักรู้สถานการณ์หรือไม่ พวกเขาย่อมตอบว่า “ฉันคิดว่าฉันก็พอจะรู้ แต่ไม่ได้รู้ทุกอย่าง”  นี่เกิดขึ้นใต้จมูกของเจ้าเลย—เหตุใดเจ้าจึงพูดว่าเจ้าไม่รู้เรื่อง?  เจ้าพยายามหลอกให้ผู้คนหลงกลอยู่มิใช่หรือ?  ในเมื่อเจ้าไม่รู้เรื่อง แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าลงมือทำงานบ้างหรือยัง?  เคยพยายามคิดหาทางแก้บ้างหรือไม่?  พวกเขาก็ตอบว่า “คนคนนั้นมีขีดความสามารถที่ดีกว่าฉัน พวกเขาพูดจาฉะฉานและพูดได้ดี ฉันเลยไม่กล้าแทรกแซงพวกเขา  ถ้าเกิดฉันจัดการแก้ไขบางอย่างที่ไม่ใช่ปัญหาจริงและไปล่วงเกินพวกเขาเข้า จะเกิดอะไรขึ้น?  นั่นย่อมจะทำให้งานของฉันมีความยุ่งยากในภายหลัง!”  ในเมื่อเจ้าไม่กล้า เจ้าก็เป็นคนขลาดที่ไร้ประโยชน์และละทิ้งหน้าที่รับผิดชอบของตน เจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำ!  เมื่อเจ้าเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าควรจัดการอย่างไร?  พวกเขาตอบว่า “ถึงจะรู้ว่าควรจัดการอย่างไร ฉันก็ไม่กล้า  นั่นเป็นเรื่องของเบื้องบนไม่ใช่หรือ?  แล้วยังมีกลุ่มผู้มีอำนาจตัดสินใจด้วย  งานนี้มาตกอยู่ที่ฉันได้อย่างไร?”  ในเมื่อเจ้าเป็นคนพบเห็นและรู้เรื่องราว เจ้าก็ควรเป็นคนจัดการสถานการณ์นี้  ถ้าเจ้ามีวุฒิภาวะน้อยเกินไปและไม่สามารถจัดการปัญหานี้ได้ แล้วเจ้าแจ้งปัญหานี้แก่ผู้บังคับบัญชาของเจ้าหรือยัง?  เคยรายงานไหม?  เจ้าทำสิ่งที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของเจ้าและทำงานที่ตกมาถึงเจ้าบ้างไหม?  เจ้าเคยลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนเองบ้างหรือไม่?  ไม่เคยเลย!  พวกเขารู้ดีแก่ใจว่า “ฉันรู้ปัญหานี้ แต่ฉันก็ไม่เคยลงมือทำอะไร  ฉันรู้สึกผิด!  ฉันน่าจะรายงานเรื่องนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำ  แต่คนอื่นก็ไม่ได้ทำเหมือนกัน—แล้วมาเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย?”  ผู้คนอื่นๆ เป็นผู้นำด้วยหรือไม่?  การที่ผู้อื่นทำหรือไม่ทำย่อมเป็นเรื่องของคนเหล่านั้น—เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำ?  ถ้าผู้อื่นไม่ทำ นั่นหมายความว่าเจ้าก็ไม่ต้องทำกระนั้นหรือ?  นี่ใช่ความจริงหรือไม่?  ต่อให้ผู้อื่นทำลงไป นั่นจะแทนการที่เจ้าลงมือทำเองได้หรือไม่?  สิ่งที่เจ้าทำย่อมเป็นเรื่องของเจ้า  เจ้าลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันของตนเองหรือยัง?  ถ้ายังไม่ได้ทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ละทิ้งหน้าที่รับผิดชอบของตน ไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้นำ และควรแสดงความรับผิดชอบโดยลาออกไปเสีย  เจ้าไม่ตระหนักรู้ว่าตัวเจ้าได้รับการยกชูอย่างไรบ้าง เจ้าไม่คู่ควรที่จะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องชายหญิง ไม่คู่ควรที่จะได้รับความเชื่อใจจากพระนิเวศของพระเจ้า และยิ่งไม่คู่ควรที่จะได้รับการยกชูจากพระเจ้า  เจ้าเป็นวายร้ายที่ไม่มีหัวใจ  ผู้นำเทียมเท็จประเภทที่สามมีปัญหาตรงลักษณะนิสัยของพวกเขา  ไม่ว่าการไล่ตามเสาะหาส่วนตนและการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาจะเป็นเช่นไร เพียงดูจากข้อเท็จจริงที่ว่าระหว่างการดำรงตำแหน่ง พวกเขาไม่ทำงานจริง ไม่ตามสิ่งที่สูญเสียไปคืนให้คริสตจักร และแน่นอนว่าไม่สามารถจัดการหรือหยุดยั้งการทำชั่วของคนชั่วได้อย่างทันท่วงที คนชนิดนี้ไม่เพียงมีปัญหาเรื่องด้อยขีดความสามารถและไม่ทำงานจริงเท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์  มโนธรรมของพวกเขาผุพังไม่เหลือซาก และพวกเขาก็ไม่มีสำนึกแต่อย่างใด  ถ้าใช้สำนวนที่พูดกันทั่วไปก็คือพวกเขาไม่มีศีลธรรม เป็นคนที่เห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นอย่างที่สุด และเชื่อถือไม่ได้  ในบรรดาผู้คนสามประเภทที่พวกเราชำแหละไปแล้วนั้น ความเป็นมนุษย์ของคนประเภทนี้จัดว่าเลวที่สุด  ผู้คนสองประเภทแรกด้อยขีดความสามารถ ไม่สามารถทำงานได้ พวกเขาไม่เป็นไปตามหลักธรรมและมาตรฐานที่พระนิเวศของพระเจ้าจะบ่มเพาะและส่งเสริมผู้คน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถได้รับการบ่มเพาะหรือใช้งาน  พวกเขาด้อยขีดความสามารถอย่างยิ่ง มืดบอดและด้านชา ในแง่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงพวกเขาจึงเป็นคนที่ตายแล้ว—ไม่คู่ควรแก่การเปิดโปงและชำแหละ  คนประเภทที่สามนี้เลวทรามที่สุด  พวกเขาน่าดูหมิ่นอย่างยิ่งในแง่ของความเป็นมนุษย์ พวกเราจึงระบุว่าคนประเภทนี้กลิ้งกลอกและมีเหลี่ยมคู  ผู้คนเหล่านี้เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกยิ่งกว่าสุนัขจิ้งจอกเสียอีก  พวกเขาไม่ทำงานจริง แต่กลับมีข้ออ้างมากมายและรู้สึกสบายใจอย่างที่สุด  ไม่ว่าคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์จะก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างไร พวกเขาก็ไม่ร้อนใจหรือวิตกกังวล และยังคงอยากเป็นผู้นำต่อไป  เหตุใดพวกเขาจึงเสพติดอำนาจขนาดนี้?  ผู้นำเหล่านี้กล่าวว่า “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ  ทุกคนล้วนรักอำนาจ!”  พวกเขาไม่อยากทำงานจริง แต่ยังอยากยึดกุมตำแหน่งของตนเอาไว้และสุขสำราญกับผลประโยชน์ที่มากับสถานะของตน  นี่คือวายร้ายจำพวกใด?  นี่คือพรรคพวกของซาตานโดยแท้ และแน่นอนว่าวายร้ายพวกนี้ไม่มีอะไรดี

วันนี้พวกเราสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานไปสามประเด็น  ผู้นำเทียมเท็จที่พวกเราชำแหละไปในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองนี้โดยทั่วไปแล้วก็เหมือนผู้นำเทียมเท็จที่เคยเปิดโปงไปก่อนหน้านี้  แม้จะชำแหละไปสามประเด็น แต่สามประเด็นนี้ก็ครอบคลุมปัญหาสองข้อเป็นสำคัญ หนึ่งคือพวกเขาด้อยขีดความสามารถและไม่สามารถทำงานจริงได้ อีกหนึ่งคือความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นเลวทราม น่าดูหมิ่น กลิ้งกลอก และมีเหลี่ยมคู และพวกเขาก็ไม่ทำงานจริง  เหล่านี้คือปัญหาพื้นฐานที่สำคัญในตัวผู้นำเทียมเท็จ  ตราบใดที่ใครบางคนมีปัญหาข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อนี้อยู่ในตัว พวกเขาก็คือผู้นำเทียมเท็จ  เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยเลย

4 กันยายน ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (19)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (21)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger