หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (20)

ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น (ภาคที่แปด)

พวกเราเสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานในการชุมนุมครั้งก่อน  พวกเจ้าได้เปรียบเทียบตนเองกับเนื้อหาของการสามัคคีธรรมนี้บ้างหรือยัง?  ได้ใคร่ครวญถึงการสามัคคีธรรมนี้บ้างหรือไม่?  เมื่อได้ฟังสามัคคีธรรมของเราแล้ว คนที่รักความจริง คนที่มีสำนึกของความยุติธรรมและมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้างย่อมสามารถปฏิบัติความจริงบางอย่างได้หลังจากที่เข้าใจความจริงนั้นแล้ว  ประการแรกพวกเขาจะสามารถนำความจริงที่ตนเข้าใจไปเทียบเคียงกับสถานการณ์ของตน เอาความจริงมาตรวจสอบตนเอง ระบุปัญหาของตน แล้วจากนั้นก็ใช้เรื่องราวและสภาพแวดล้อมบางอย่างในชีวิตจริงและในการทำหน้าที่มาแก้ปัญหาเหล่านี้  พวกเขาย่อมค่อยๆ เข้าใจหลักธรรมที่ผู้คนควรปฏิบัติและยึดถือตามความจริงที่พวกเขาเข้าใจ  ด้านหนึ่ง พวกเขาได้รับความเข้าใจและการรู้จักตนเองที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และอีกด้านหนึ่ง พวกเขาย่อมเข้าใจได้อย่างถูกต้องและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วความจริงกล่าวถึงสิ่งใดและประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง  อย่างไรก็ดี คนที่ไม่รักความจริงและรังเกียจความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะรับฟังความจริงไปมากเท่าใดก็ไม่มีการตระหนักรู้หรือการเปลี่ยนแปลง  สภาวะของพวกเขา ท่าทีขณะที่ทำหน้าที่ของตน เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า รูปแบบการใช้ชีวิต และหลักในการประพฤติปฏิบัติตนย่อมไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด  พวกเขายังคงกระทำการตามปรารถนาและดำเนินชีวิตตามใจชอบ ความจริงเหล่านี้ไม่มีผลกับพวกเขา และไม่สามารถทำให้พวกเขาทบทวนตนเองและรู้จักตนเองจนถึงขั้นเกลียดตนเองได้  หากพวกเขาไม่สามารถไปถึงขั้นที่เกลียดตนเองได้ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่อาจสัมฤทธิ์การกลับใจที่แท้จริง  เมื่อไม่มีการกลับใจที่แท้จริง ก็ไม่มีการเข้าสู่ที่แท้จริง เมื่อไม่มีการเข้าสู่ที่แท้จริง ย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยอย่างแน่นอน  เพราะฉะนั้น แม้ผู้คนจำนวนมากที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีจะชุมนุม ทำหน้าที่ ฟังคำเทศนามานานหลายปี และมักจะมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงอีกด้วย แต่ไม่มีความเข้าใจตนเอง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เห็น และไม่มีความเชื่อในพระเจ้าเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด  พวกเขาติดตามพระเจ้าด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันดั้งเดิมของตน พร้อมด้วยเจตนาและความอยากได้รับพร  ไม่ว่าพวกเขาได้เชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปีแล้วก็ตาม มุมมองที่พวกเขามีต่อการเชื่อในพระเจ้า ทัศนะต่อสิ่งต่างๆ วิธีการไล่ตามไขว่คว้าและเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า ตลอดจนท่าทียามที่พวกเขาทำหน้าที่กลับไม่เคยเปลี่ยนไปเลย  การเผยของพวกเขาและการสำแดงในการดำเนินชีวิตของพวกเขาในปัจจุบันเป็นผลลัพธ์ของการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเราสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบสิบสองประการของผู้นำและคนทำงานไปแล้ว แต่พฤติกรรมของผู้นำและคนทำงานบางคนยังไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  ท่าทีของพวกเขาเวลาทำหน้าที่ของตนและต่อพระประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด  เนื้อหาที่สามัคคีธรรมไปนั้นทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจ กำกับดูแล และกระตุ้นคนที่ค่อนข้างไล่ตามเสาะหาความจริง คนที่พอจะมีความเป็นมนุษย์และมีความตระหนักรู้ในมโนธรรมอยู่บ้าง  แต่ไม่มีผลกับบางคนที่ดื้อแพ่งกว่า กลิ้งกลอกกว่า ซ้ำยังไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะท่าทีที่ผู้คนเหล่านี้มีต่อความจริงเป็นท่าทีของการต่อต้านและความเกลียดชัง  ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงไปมากเท่าใด ท่าทีของพวกเขาก็ยังคงเดิมคือ “อย่างไรก็ตาม ฉันกำลังทำหน้าที่ของตัวเองและกำลังติดตามพระเจ้า ฉันกำลังสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง  ไม่ว่าฉันจะประพฤติตัวอย่างไร ตราบใดที่ฉันยืนหยัดจนถึงปลายทาง ฉันย่อมสามารถได้รับพร!”  การคิดแบบนี้มีสำนึกบ้างหรือไม่?  พวกเขาเป็นหมูตายที่ไม่กลัวน้ำร้อนมิใช่หรือ?  นี่คือความดื้อรั้นและไม่ยอมกลับใจไม่ว่าจะอย่างไรมิใช่หรือ?  (ใช่)

หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานคือ “ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น  นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น”  ก่อนหน้านี้พวกเราแบ่งการสามัคคีธรรมเรื่องหน้าที่รับผิดชอบประการนี้ออกเป็นสิบสองประเด็นด้วยกัน  โดยหลักแล้ว เนื้อหาของทั้งสิบสองประเด็นนี้กล่าวถึงวิธีที่ผู้นำและคนทำงานควรจัดการและรับมือกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร เมื่อมีผู้คน เหตุการณ์ และเรื่องราวหลากหลายประเภทที่ทำให้การขัดขวางและการก่อกวนปรากฏขึ้นในคริสตจักร เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์เป็นการปกป้องงานของพระนิเวศของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักร จึงเป็นการลุล่วงบทบาทที่ผู้นำและคนทำงานพึงมี และลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเขาพึงปฏิบัติ  พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงปัญหาแต่ละประเด็นภายในหน้าที่รับผิดชอบนี้ของผู้นำและคนทำงานกันไปแล้วอย่างละเอียด โดยสามัคคีธรรมถึงการสำแดงจำเพาะบางอย่างในแต่ละประเด็นปัญหา และยกตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจงบางตัวอย่างขึ้นมา  ในแง่ของหลักธรรม เนื้อหาที่สามัคคีธรรมกันไปนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากทีเดียว  แม้ตัวอย่างที่ยกมาจะไม่ครอบคลุมทุกสิ่ง แต่ประเด็นสำคัญของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ก็ได้สามัคคีธรรมเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเจ้าที่เป็นผู้นำและคนทำงานควรเข้าใจความจริงในแง่มุมนี้เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักร  ก่อนอื่น พวกเจ้าต้องหาพระวจนะที่ชำแหละแก่นแท้ของปัญหาจากเนื้อหาที่สามัคคีธรรมกันไป และเชื่อมโยงพระวจนะเข้ากับปัญหาเหล่านั้น  การเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาทำให้พบหนทางแก้ไขที่สอดคล้องกันและแก้ไขปัญหาตามหลักธรรมความจริงได้ง่ายขึ้น  การเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาก่อนที่จะลงมือแก้ไขมีความสำคัญอย่างยิ่ง  เมื่อเจ้าเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาแล้ว เจ้าก็ควรเข้าใจและจับความเข้าใจหลักธรรมที่ใช้จัดการกับปัญหานี้ด้วย  ทั้งสองแง่มุมนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด แง่มุมหนึ่งคือแก่นแท้ของปัญหา และอีกแง่มุมหนึ่งคือหลักธรรมสำหรับแก้ไขปัญหาดังกล่าว  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรเข้าใจอย่างชัดเจน  ด้วยการเข้าใจหลักธรรมทั้งสองแง่มุมนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาทั้งปวงได้อย่างถูกต้องและจัดการกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นต่างๆ ได้อย่างถูกควร แทนที่จะใช้ข้อบังคับและทำให้ประเด็นปัญหาบานปลายออกไป  ในปัจจุบัน เมื่อผู้นำและคนทำงานบางคนจัดการปัญหาบางอย่าง ส่วนหนึ่งพวกเขาเอาแต่ปฏิบัติตามข้อบังคับ ในอีกส่วนหนึ่งนั้นพวกเขากลับไม่สามารถจับความเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาได้ จึงทำผิดต่อผู้คนและก่อให้เกิดความเบี่ยงเบนได้ง่าย  เรื่องนี้จำเป็นต้องทำความเข้าใจรายละเอียด ลักษณะเฉพาะ และบริบทของปัญหาให้ชัดเจน  นอกจากนี้ การดูพฤติกรรมที่สม่ำเสมอของคนคนหนึ่งเพื่อพิจารณาว่าพวกเขาเป็นคนจำพวกใดก็สำคัญ  เมื่อเข้าใจแง่มุมเหล่านี้อย่างถ่องแท้แล้วเท่านั้นจึงจะจัดการปัญหาได้ตามหลักธรรม  เวลาทำงานของตน ผู้นำและคนทำงานบางคนเอาแต่นำข้อบังคับมาใช้กับปัญหาและทำให้ยิ่งบานปลายออกไป ขณะที่พวกเขาไม่สามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ตามที่เป็นจริงของผู้คนที่เกี่ยวข้องได้เลย ไม่ว่าคนเหล่านั้นเป็นคนดีหรือไม่ดี ไม่ว่าพฤติกรรมของคนเหล่านั้นเป็นความเคยชินหรือเป็นแค่การกระทำผิดชั่วครั้งชั่วคราว  พวกเขาไม่สามารถแยกแยะแง่มุมเหล่านี้ได้ ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะทำผิดพลาดกันมาก  ในกรณีดังกล่าว หากคริสตจักรสามารถลงคะแนนเสียงได้ ย่อมสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดบางอย่างได้อย่างมีประสิทธิผล  การมีอยู่ของความเบี่ยงเบนและข้อผิดพลาดเหล่านี้ในงานของผู้นำและคนทำงานสามารถเผยให้เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดว่าพวกเขามีวิจารณญาณแยกแยะและจัดการเรื่องราวทั้งหลายตามหลักธรรมหรือไม่  ทั้งยังเผยด้วยว่าผู้นำและคนทำงานมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่  หากผู้นำหรือคนทำงานที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีไม่สามารถรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเหล่านี้ได้ นี่ย่อมเพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้นำหรือคนทำงานคนนี้ไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง

หลังจากเข้าใจหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานพึงปฏิบัติ หลักธรรมที่พวกเขาควรทำตาม รวมทั้งขอบเขตงานของพวกเขาแล้ว พวกเราก็ควรกลับมาที่สาระสำคัญของการสามัคคีธรรมในระยะนี้ซึ่งก็คือ การเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จ  นี่คือหัวข้อหลัก  ในส่วนของหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานนั้น หัวข้อที่พวกเราจะสามัคคีธรรมในวันนี้คือผู้นำเทียมเท็จละทิ้งความรับผิดชอบของตนในด้านใดบ้าง และการสำแดงของพวกเขาที่ไม่ใช่การทำงานจริง  ก่อนอื่นพวกเรามาอ่านเนื้อหาของหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองกันเถิด  (ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น  นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น)  หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองกล่าวไว้อย่างชัดเจนถึงงานสามด้านที่ผู้นำและคนทำงานควรเข้าใจ  เกี่ยวโยงกับการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จอย่างไร?  (พวกเราต้องเข้าใจหน้าที่รับผิดชอบต่างๆ ที่ผู้นำและคนทำงานมีในงานนี้เสียก่อน  จากนั้นจึงค่อยเทียบดูว่าผู้นำเทียมเท็จได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้บ้างหรือไม่ และอะไรคือการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จ การประเมินพวกเขาตามมาตรฐานนี้ย่อมค่อนข้างแม่นยำ)  ถูกต้อง  การแยกแยะว่าคนคนหนึ่งเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือไม่นั้นไม่ได้ทำโดยใช้ตาของเจ้าดูใบหน้าของพวกเขาว่ามีลักษณะใบหน้าที่ดีหรือชั่ว และไม่ใช่ด้วยการดูว่าภายนอกพวกเขาดูทุกข์ทนเพียงใด หรือวิ่งวุ่นกันเพียงใด  แต่เจ้าต้องดูว่าพวกเขาลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานหรือไม่ สามารถใช้ความจริงเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่  นี่คือมาตรฐานที่ถูกต้องเพียงอย่างเดียวที่จะใช้ประเมินพวกเขา  นี่คือหลักธรรมที่ใช้ชำแหละ แยกแยะ และพิจารณาว่าคนคนหนึ่งเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือไม่  ด้วยวิธีนี้เท่านั้น การประเมินจึงยุติธรรม ตรงตามหลักธรรม สอดคล้องกับความจริง และเป็นธรรมต่อทุกคนได้  การระบุลักษณะว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่มากพอ  ต้องไม่อิงเหตุการณ์หรือการกระทำผิดเพียงครั้งหรือสองครั้ง และยิ่งไม่สามารถใช้การเผยความเสื่อมทรามเพียงชั่วครั้งชั่วคราวมาเป็นหลักในการระบุ  มาตรฐานเพียงอย่างเดียวที่ใช้ระบุลักษณะของใครบางคนได้อย่างถูกต้องแม่นยำก็คือพวกเขาสามารถทำงานจริงและใช้ความจริงแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ รวมทั้งพวกเขาเป็นคนที่ถูกต้องหรือไม่ เป็นคนที่รักความจริงและสามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่ และพวกเขามีงานและความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่  การจะระบุลักษณะของใครบางคนได้อย่างถูกต้องว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จต้องดูตามปัจจัยเหล่านี้เท่านั้น  ปัจจัยเหล่านี้คือมาตรฐานและหลักธรรมสำหรับประเมินและกำหนดว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จหรือไม่

กิจสามข้อที่ผู้นำและคนทำงานพึงปฏิบัติในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสอง

I. ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ

หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานประกอบด้วยกิจสามข้อหรือสามขั้นตอน  ด้วยการทำตามทั้งสามขั้นตอนเพื่อทำให้งานนี้แล้วเสร็จ หลักธรรมของงานนี้ย่อมได้รับการค้ำชูแล้ว และหน้าที่รับผิดชอบต่างๆ ในงานนี้ย่อมลุล่วงด้วย  กิจทั้งสามข้อนี้มีอะไรบ้าง?  (ข้อแรก ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  ข้อสอง หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น  ข้อสาม สามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น)  กิจทั้งสามข้อนี้คือข้อกำหนดสำหรับผู้นำและคนทำงานในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสอง  เริ่มด้วยข้อกำหนดแรกของผู้นำและคนทำงานซึ่งก็คือการระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและชีวิตคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  เป็นการระบุอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ ไม่ใช่การตอบสนองอย่างเชื่องช้า และไม่รู้สึกรู้สา และผลีผลามระบุลักษณะอย่างมืดบอด—การระบุลักษณะโดยไม่ใช้ความรอบคอบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้  ด้วยเหตุที่ผู้นำและคนทำงานบางคนเลอะเลือนและด้อยขีดความสามารถ จึงผลีผลามตัดแต่งและอบรมสั่งสอนผู้คนในเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ ระบุลักษณะต่างๆ ตามอำเภอใจและให้คำจำกัดความสิ่งเหล่านั้นอย่างมืดบอดโดยไม่ยึดตามหลักธรรม  การทำงานในหนทางนี้ย่อมละเมิดหลักธรรมความจริง  เพราะฉะนั้น อย่างน้อยผู้นำและคนทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าจึงต้องสามารถแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ได้  ด้วยการมีวิจารณญาณแยกแยะเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถระบุปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  การที่จะสัมฤทธิ์ความสามารถในการแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ได้นั้น ข้อกำหนดข้อแรกคืออะไร?  ก่อนอื่น จำเป็นต้องเข้าใจข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนประเภทต่างๆ รวมถึงเข้าใจว่าพระเจ้าทรงนิยามผู้คนและสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตัวพวกเขาอย่างไร  นอกจากนี้ การชำแหละว่าสภาวะที่เป็นลบต่างๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไรและอะไรคือรากเหง้าก็เป็นสิ่งสำคัญ  ยิ่งไปกว่านั้น คนเราต้องเข้าใจผลกระทบที่ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ มีต่อพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักร  หลักเกณฑ์ที่จะเป็นไปตามเงื่อนไขเหล่านี้คืออะไร?  ผู้นำและคนทำงานควรลงมือทำงานใดเป็นอันดับแรก?  หากผู้นำและคนทำงานวางท่าสูงส่งและห่างเหิน ปฏิบัติตนเหมือนเจ้าหน้าที่และไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง ไม่ทำความเข้าใจสภาวะต่างๆ ของพี่น้องชายหญิง ไม่ติดต่อใกล้ชิดกับผู้คนประเภทต่างๆ ขาดการสังเกตรายละเอียดและความเข้าใจพวกเขาอย่างลึกซึ้ง เช่นนี้จะเป็นที่ยอมรับหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่เป็นที่ยอมรับ  ผู้นำและคนทำงานบางคนมักจะซ่อนตัวอยู่ในห้องของตน ใช้การอุทิศตนฝ่ายวิญญาณและการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์มาเป็นข้ออ้างในการเพิกเฉยและไม่ทำความเข้าใจงานของคริสตจักร  ดูภายนอกเหมือนพวกเขากำลังทำงานที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคริสตจักรระหว่างที่ซุกตัวอยู่ในห้องของตน แต่อันที่จริงพวกเขาได้แยกตัวเองออกจากงานของคริสตจักรและจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเรียบร้อยแล้ว  วิธีทำงานเช่นนี้สามารถแก้ปัญหาที่มีอยู่ในงานต่างๆ ของคริสตจักรได้หรือไม่?  ช่วยให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทำหน้าที่ของตนให้ดีได้หรือไม่?  ยามที่พวกเขาหมกตัวอยู่ในห้องตัวเองเพื่อเขียนบทความคำพยานนั้น พวกเขากำลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าอยู่ใช่หรือไม่?  เพราะฉะนั้น แนวทางนี้จึงไม่เหมาะควร  ตามหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสอง กิจข้อแรกของผู้นำและคนทำงานก็คือการระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง  บางคนถามว่า “การให้ผู้นำและคนทำงานเข้าไปเกี่ยวพันกับชีวิตคริสตจักรอย่างลึกซึ้งก็เพียงเพื่อให้พวกเขาสามารถระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำเท่านั้นหรือ?”  การเข้าใจเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  นี่เป็นความเข้าใจที่บิดเบี้ยว  ผู้นำและคนทำงานต้องมีท่าทีและแนวทางที่ถูกต้องต่องานของตนและต้องลงลึกถึงระดับรากหญ้าอีกด้วย  ในหนทางนี้เท่านั้นพวกเขาจึงสามารถระบุและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  หากพวกเขาไม่เข้าไปคลุกคลีถึงระดับรากหญ้าและใช้ชีวิตกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ก็จะระบุปัญหาทั้งหมดในงานของคริสตจักรได้ยากมาก  หลังจากที่ผู้คนได้มารายงานและแสวงหาหนทางแก้ไข หากพวกเขาแก้ปัญหาได้เพียงไม่กี่ปัญหา ผลที่ได้จากงานนี้จะมีจำกัดมาก  วิธีทำงานที่ผิดพลาดมากที่สุดของผู้นำและคนทำงานคือการแยกตัวจากผู้อื่นและปิดประตูทำงาน เหมือนบัณฑิตสมัยโบราณที่อุทิศตนให้กับการศึกษาตำรับตำราของนักปราชญ์เพียงอย่างเดียวและไม่สนใจเรื่องภายนอก  ท่าทีและรูปแบบการใช้ชีวิตเช่นนี้ของผู้นำและคนทำงานย่อมไม่เป็นที่ยอมรับ  เจ้าอยู่คนเดียวในห้อง ฟังคำเทศนา อ่านพระวจนะของพระเจ้า จดบันทึกการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ และเขียนคำเทศนา แต่การได้มาซึ่งคำสอนและคำพูดบางอย่างหมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริงอย่างนั้นหรือ?  หมายความว่าเจ้าเข้าใจสถานการณ์จริงและสภาวะที่แท้จริงของผู้คนที่ถูกความจริงเปิดโปงกระนั้นหรือ?  (ไม่)  ดังนั้นแม้ชีวิตที่เป็นการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณจะเป็นสิ่งที่จำเป็นในงานของผู้นำและคนทำงาน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีวิธีทำงานและรูปแบบการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง

II. หยุดยั้งและควบคุมคนชั่วอย่างทันท่วงที

ข้อกำหนดข้อสองของผู้นำและคนทำงานที่ระบุไว้ในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองก็คือ เมื่อพวกเขาระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรแล้ว พวกเขาต้องสามารถวินิจฉัยได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  พวกเขาจำเป็นต้องแยกแยะธรรมชาติของผู้คนและเหตุการณ์ต่างๆ ให้ชัดเจน และเข้าใจว่าผู้คนและเหตุการณ์เหล่านั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตคริสตจักรอย่างไร เป็นการคุกคาม เป็นการรบกวน หรือเป็นการทำลายสภาวะ การเข้าสู่ชีวิต และการปฏิบัติหน้าที่ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่ ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนหรือไม่—ผู้นำและคนทำงานต้องวินิจฉัยและประเมินเรื่องเหล่านี้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  หากพวกเขาไม่มีหัวทางด้านนี้และไม่มีขีดความสามารถที่ถูกต้อง พวกเขาก็จะไม่สามารถทำงานของคริสตจักรได้  นอกจากนี้ ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องมีการตอบสนองและมีวิจารณญาณแยกแยะที่แหลมคมต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ  ยกตัวอย่างเช่น เวลาเกิดข้อพิพาทในคริสตจักร มีการขัดขวางและการก่อกวนต่างๆ เกิดขึ้น เจ้ากลับไม่สามารถระบุถึงปัญหาและคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ซึ่งส่งผลให้ผู้คนมากมายได้รับผลกระทบและไม่อาจทำหน้าที่ของตนได้ดี  ผู้นำหรือคนทำงานเช่นนี้ด้านชาและมืดบอดมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือปัญหาของผู้นำและคนทำงาน  เจ้าควรทำอย่างไรเมื่อพบว่ามีคนกำลังขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอยู่?  เจ้าจำเป็นต้องตรวจสอบความร้ายแรงของปัญหาให้แน่ใจเสียก่อน ประเมินและตัดสินแก่นแท้ของผู้คนดังกล่าว รวมทั้งผลกระทบและผลสืบเนื่องที่สิ่งดังกล่าวจะมีต่องานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักร  หลักเกณฑ์การตัดสินดังกล่าวควรเป็นเช่นไร?  ควรอ้างอิงพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  บางคนกล่าวว่า “คุณอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไร?  ฉันว่านี่เป็นการพูดจาเลื่อนลอย”  จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่การพูดจาเลื่อนลอย  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เวลาเจ้าเผชิญ พบเห็น หรือได้ยินเรื่องดังกล่าว เจ้าก็แค่ต้องเอาเรื่องเหล่านั้นมาเทียบกับประเด็นปัญหาที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงเอาไว้เท่านั้น  ดูว่าพระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงและชำแหละผู้คนและเรื่องดังกล่าวอย่างไร และพระองค์ทรงระบุลักษณะของปัญหาเหล่านี้ไว้อย่างไร เช่น ทรงเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ว่าอย่างไร หรือทรงเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่างๆ ของผู้คนว่าอย่างไร เป็นต้น  จากนั้นเจ้าก็เปรียบเทียบและชำแหละเรื่องเหล่านี้ตามพระวจนะเหล่านั้น และด้วยการสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง รวมทั้งการเฝ้าสังเกตของเจ้าเอง ในที่สุดเจ้าก็จะสามารถประเมินและระบุลักษณะของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าพบเห็นได้อย่างถูกต้อง และกำหนดหนทางแก้ไขที่สอดคล้องกัน  ควรจัดการคนที่ถูกกำหนดให้อยู่ในหมู่คนต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนอย่างไร?  ไม่ควรแค่เปิดโปงและชำแหละพวกเขาเพื่อช่วยให้ผู้คนแยกแยะพวกเขาได้เท่านั้น แต่ต้องหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาอีกด้วย ทั้งยังควรเอาตัวคนที่ไม่อาจแก้ไขได้อยู่ดีแม้จะว่ากล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าออกไปเสีย  วิธีการและแนวทางจำเพาะที่จะหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาคืออะไร?  (ตัดแต่งและตักเตือนพวกเขา)  การตัดแต่งใช่วิธีการที่ดีหรือไม่?  (ใช่)  การเปิดโปงการกระทำของพวกเขา การชี้ให้พวกเขาเห็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดของตน ชำแหละแก่นแท้ของพวกเขา และให้การตักเตือน—นี่เป็นวิธีการที่เป็นไปได้ทั้งสิ้นมิใช่หรือ?  แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังและใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการพื้นฐานที่จะโน้มน้าวและชำแหละพวกเขา  หากพวกเขาไม่ยอมรับความจริงและยืนกรานที่จะไม่ยอมรับความผิดพลาดของตน เช่นนั้นก็จำเป็นต้องใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้น  ก่อนอื่นจงเตือนพวกเขา จากนั้นก็ใช้กฎการปกครองของคริสตจักรมาควบคุมพวกเขา ไม่ปล่อยให้พวกเขาบุ่มบ่ามทำผิดและก่อกวนพี่น้องชายหญิง  ควรตัดแต่งพวกเขาด้วยเช่นกัน จากนั้นจึงกำกับดูแลพวกเขา  วิธีการเหล่านี้มีความจำเป็น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่างานของคริสตจักรดำเนินไปด้วยดีและเพื่อช่วยผู้คนให้รอด ชี้แนะพวกเขาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง  แน่นอนว่าการใช้วิธีการเหล่านี้ย่อมจะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดี  สิ่งหนึ่งก็คือ จงใช้ความจริงที่ผู้คนเข้าใจมาโน้มน้าวและเปิดโปงพวกเขา ชำแหละอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขา เปิดโปงธรรมชาติในการกระทำของพวกเขาและผลสืบเนื่องร้ายแรงที่พวกเขาเป็นผู้ก่อ—นี่คือขั้นต่ำที่ผู้คนควรทำได้  ขั้นตอนต่อไปคือ ชำแหละและแยกแยะพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้า และระบุลักษณะของพวกเขาตามนั้น  หากพวกเขาใส่ใจคำแนะนำ ยอมรับ และกลับใจ นั่นย่อมจะดีที่สุดแน่นอน  อย่างไรก็ดี หากพวกเขาไม่ยอมรับคำแนะนำและก่อกวนงานของคริสตจักรต่อไป เช่นนั้นแล้วควรทำอย่างไร?  ในกรณีนั้นย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะเกรงใจ  พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎการปกครอง และ ณ จุดนี้ ก็ควรหยุดยั้งและควบคุมคนคนนั้นตามกฎการปกครองของพระนิเวศของพระเจ้า  หากคนคนนั้นเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ด้อยวุฒิภาวะและไม่เข้าใจความจริง ก็สามารถช่วยเหลือเขาด้วยความรักได้ เจ้าสามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อช่วยให้เขารู้จักตนเอง  สำหรับคนที่สามารถยอมรับความจริงและกลับใจได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องหยุดยั้ง ควบคุม หรือตัดแต่งพวกเขา  หากพวกเขาไม่ยอมรับความจริง นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องของการมีรากฐานที่ตื้นเขินหรือด้อยวุฒิภาวะและไม่เข้าใจความจริงแล้ว แต่เป็นปัญหาด้านความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  สำหรับผู้คนเช่นนี้ ควรใช้การบริหารจัดการและการลงโทษตามกฎมาหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้  ผลสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุดย่อมเป็นการค้ำชูงานของคริสตจักรและระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักร เปิดโอกาสให้ชีวิตคริสตจักรดำเนินต่อไปได้อย่างเป็นระเบียบ  นี่เรียกว่าการแก้ไขสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้น และเป็นผลที่ผู้นำและคนทำงานควรสัมฤทธิ์ในงานของตน  ด้วยการสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้เท่านั้น พวกเขาจึงกำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน  หากผู้นำและคนทำงานเพิกเฉยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เพียงแค่ตอบสนองอย่างสุกเอาเผากินด้วยคำพูดและคำสอนบางประการ หรือตำหนิและตัดแต่งคนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรแบบง่ายๆ เพียงไม่กี่คำ นี่จะแก้ไขปัญหาได้หรือไม่?  นี่ไม่เพียงแก้ไขปัญหาไม่ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้คริสตจักรวุ่นวายมากขึ้นอีกด้วย—ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมสูญเสียเจตจำนงที่จะทำหน้าที่ของตนและถูกรบกวนไม่มากก็น้อย ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา  ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนแล้วหรือไม่?  (ไม่)  นี่แสดงให้เห็นว่าผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำงานของตน

III. เปิดโปงการทำชั่วของคนชั่ว เพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะและเรียนรู้บทเรียน

ข้อกำหนดข้อที่สามในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานคือ เวลารับมือการขัดขวางและการก่อกวนที่คนชั่วก่อให้เกิดขึ้น ผู้นำและคนทำงานควรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าร่วมกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อทบทวนและรู้จักตนเอง และมีการกลับใจอย่างแท้จริง  พวกเขาควรที่จะสามารถนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และสัมฤทธิ์การติดตามพระเจ้า การนบนอบพระเจ้า และการเป็นพยานให้พระเจ้า  มีแต่งานแบบนี้เท่านั้นที่ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  สิ่งหนึ่งก็คือ ผู้นำและคนทำงานที่ทำงานในหนทางนี้ย่อมสามารถแก้ปัญหาและเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยความจริงขณะทำงาน  นอกจากนี้ ด้วยการสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหา พวกเขาช่วยให้พี่น้องชายหญิงเข้าใจความจริง รู้วิธีทบทวนและรู้จักตนเอง ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ทำหน้าที่ของตนให้ดี รู้วิธีแยกแยะและปฏิบัติต่อผู้คน สัมฤทธิ์การติดตามพระเจ้าและการนบนอบพระเจ้า ไม่ถูกผู้อื่นตีกรอบ และสามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนได้  นี่คือการลุล่วงหน้าที่ของผู้นำและคนทำงาน นี่คือหลักธรรมที่ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาขณะดำเนินงานของคริสตจักร  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดในคริสตจักร สิ่งสำคัญที่สุดประการแรกคือ ผู้นำและคนทำงานควรแสวงหาความจริง เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และแสวงหาการทรงชี้แนะของพระเจ้าไปพร้อมกัน  จากนั้นพวกเขาก็ควรมองหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกันเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่  ในกระบวนการแก้ไขปัญหา ผู้นำและคนทำงานก็ควรสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องชายหญิงให้มากขึ้น และเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาตามพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาควรให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจของตนเองเพื่อแยกแยะปัญหาเหล่านี้อีกด้วย  เมื่อคนส่วนใหญ่สามารถมีความเข้าใจที่เหมือนกันและเห็นพ้องต้องกันได้ ก็ย่อมแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น  ในการแก้ปัญหา จงอย่าเล่าเหตุการณ์หรือลงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หรือกล่าวโทษคนที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดเวลา  ในตอนแรก อย่ามุ่งเน้นที่ปัญหาเล็กๆ แต่จงสามัคคีธรรมความจริงให้ชัดเจน เพราะนี่จะเผยธรรมชาติของปัญหาออกมา  เฉพาะแนวทางนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเรียนรู้การใช้วิจารณญาณแยกแยะปัญหาตามพระวจนะของพระเจ้า ได้รับวิจารณญาณแยกแยะจากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น และเรียนรู้บทเรียนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจากสิ่งเหล่านี้  นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้พวกเขานำคำพูดและคำสอนที่พวกเขาเข้าใจเป็นปกติไปเทียบกับชีวิตจริง ทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงได้อย่างแท้จริง  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรทำมิใช่หรือ?  การนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเกี่ยวพันกับการใช้ความจริงแก้ไขมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นหลัก  แนวทางนี้ให้ผลดีที่สุด  ยิ่งผู้นำและคนทำงานสามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาได้มากเท่าใด ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะยิ่งเข้าใจความจริงได้ง่ายเท่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะรู้วิธีปฏิบัติและนำพระวจนะของพระเจ้าไปปรับใช้ในชีวิตจริง  หากผู้นำและคนทำงานนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาก็จะสามารถพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและผสมผสานพระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในชีวิตประจำวันของตนอีกด้วย  บางคนกล่าวว่า “ข้อกำหนดสำหรับผู้นำและคนทำงานข้อนี้ไม่เรียกร้องมากเกินไปหรือ?  พวกเราจะมีความเข้าใจมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร?”  เจ้าอาจจะไม่เคยมีความเข้าใจเช่นนี้มาก่อน แต่เจ้าจะเรียนรู้และปฏิบัติให้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ได้หรือ?  พระราชกิจของพระเจ้าฝึกฝนผู้นำ คนทำงาน และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงในหนทางนี้  หากเจ้าไม่รู้วิธี เจ้าก็สามารถเรียนรู้และปฏิบัติได้  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดขึ้นก็ตาม เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะทบทวนตนเองและรู้จักตนเองตามพระวจนะของพระเจ้า นี่คือกระบวนการของการปฏิบัติ  หลังจากปฏิบัติไปไม่กี่ครั้งและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ต่างๆ เจ้าก็จะมีเส้นทางและรู้วิธีปฏิบัติความจริง  เมื่อพระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจ นี่คือวิธีที่พระองค์ทรงนำผู้คนให้เรียนรู้การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ผู้นำและคนทำงานจึงควรสื่อสารกับพี่น้องชายหญิงบ่อยๆ เผชิญปัญหาด้วยกัน แก้ปัญหาด้วยกัน และทำงานของคริสตจักรให้ดี  แล้วผู้นำคริสตจักรควรนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างไร?  หนทางหลักก็คือนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรระบุและแก้ปัญหาในชีวิตจริง ปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตจริง เพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่เพียงปฏิบัติความจริงได้เท่านั้น แต่ยังสามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นลบและผู้คนที่เป็นลบ—ได้แก่ ผู้นำเทียมเท็จ คนทำงานเทียมเท็จ คนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ และศัตรูของพระคริสต์ได้อีกด้วย  จุดประสงค์ของการแยกแยะผู้คนหลากหลายประเภทก็เพื่อแก้ปัญหา  เฉพาะเมื่อแก้ไขการก่อกวนที่เกิดจากคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างสิ้นเชิงเท่านั้น งานของคริสตจักรจึงจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และน้ำพระทัยของพระเจ้าจึงจะสำเร็จลุล่วงในคริสตจักร  ในขณะเดียวกัน การจัดการคนชั่วย่อมเป็นการตักเตือนให้หลีกเลี่ยงการทำความผิดหรือทำชั่ว ซึ่งทำให้ตนเองสามารถสัมฤทธิ์การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงเจ้าจะลุล่วงหน้าที่ของตนและได้รับการเข้าสู่ชีวิตเท่านั้น แต่เจ้ายังจะเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอีกด้วย  นี่คือการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและสามารถแก้ปัญหาได้ ก็ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ามีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานและเป็นไปตามข้อกำหนดที่จะได้รับการบ่มเพาะในพระนิเวศของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงควรเป็นผู้นำและชี้แนะพี่น้องชายหญิงให้เรียนรู้การแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ในชีวิตจริง สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง รู้ว่าจะปฏิบัติต่อผู้คนสารพัดประเภทที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างไร รู้ว่าจะปฏิบัติความจริง ปฏิบัติต่อผู้คนต่างๆ ตามหลักธรรม และสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหาอย่างไร  นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า  ด้วยการปฏิบัติในหนทางนี้ เจ้าย่อมเข้าสู่ความเป็นจริงในพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าจะเรียนรู้บทเรียน ได้รับวิจารณญาณแยกแยะ และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าในชีวิตจริง มีหลักธรรมของการปฏิบัติในการจัดการเรื่องราวต่างๆ ในการปฏิบัติต่อผู้คน และการทำหน้าที่ของตน  ในหนทางนี้ เจ้าจะสามารถปฏิบัติความจริงได้  พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผู้คนสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ดังกล่าว  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น เจ้าต้องเรียนรู้บทเรียนของเจ้าและเพิ่มพูนวิจารณญาณแยกแยะอยู่เสมอ เจ้าไม่สามารถปล่อยให้สิ่งเหล่านี้หลุดลอยไป และเจ้าไม่อาจพลาดโอกาสอันใดที่จะเรียนรู้บทเรียนของเจ้าและเพิ่มพูนวิจารณญาณได้  เนื่องจากนี่เป็นกรณีที่มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น พวกเราต้องไม่จัดการเรื่องนั้นด้วยท่าทีที่คิดลบและพร่ำบ่น ในทางกลับกัน พวกเราควรเผชิญเรื่องนั้นด้วยท่าทีที่เป็นบวก  แล้วจะทำเช่นนั้นอย่างไร?  ก็ด้วยการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  ผู้คนล้วนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาสามารถเป็นไปในทางที่ดีหรือชั่วก็ได้ ดังนั้น เมื่อผู้คนมารวมตัวกันจะไม่เกิดปัญหาขึ้นได้อย่างไร?  ท่าทีของเจ้าควรเป็นเช่นไรเมื่อคำนึงว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมนี้ไว้ให้เจ้า เมื่อคำนึงว่าพระองค์ทรงแสดงให้เจ้ามองเห็นผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้า?  จงขอบคุณพระเจ้าที่ทรงวางปัญหาทั้งหลายนี้ไว้ตรงหน้าเจ้า  พระองค์กำลังประทานโอกาสให้เจ้าปฏิบัติและเรียนรู้บทเรียน รวมทั้งเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าควรขอบคุณพระเจ้าที่ประทานโอกาสเช่นนี้แก่เจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญปัญหาใด เจ้าก็ต้องนำพี่น้องชายหญิงเรียนรู้ที่จะแยกแยะ ถอดบทเรียน และได้รับความเข้าใจเชิงลึกไปพร้อมกับเจ้า  นอกจากนี้ เจ้าต้องนำพวกเขาคิดทบทวนและทำความเข้าใจไปพร้อมกับเจ้าว่าผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันอันใดบ้างเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว มีทัศนะใดบ้างที่บิดเบี้ยว ได้เรียนรู้บทเรียนใดบ้างจากการเผชิญเรื่องนี้ ได้แก้ไขมโนคติและทัศนะที่ผิดพลาดใดไปแล้วบ้าง และในท้ายที่สุดได้เข้าใจความจริงประการใดไปแล้วบ้าง  นี่คือวิธีที่คนเราควรมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าโดยไม่พลาดสักเรื่องเดียว  หากเจ้ามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามาแล้วหลายปีและได้แก้ไขปัญหาไปแล้วมากมาย เจ้าย่อมจะมองเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงทั้งสิ้น และสามารถชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอดจากอิทธิพลของซาตานได้อย่างแน่นอน  เมื่อผู้คนเข้าใจและได้รับความจริง พวกเขาย่อมจะมองเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าลุล่วงและสำเร็จทุกประการแล้ว  เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถผสมผสานพระวจนะของพระเจ้าเข้าสู่ชีวิตจริงของตน ใช้พระวจนะของพระเจ้ามองดูผู้คนและเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ใช้พระวจนะของพระเจ้าประเมินผู้คนและทุกสิ่งที่ผู้คนทำ แทนที่จะพึ่งพาสิ่งที่ตนมองเห็นหรือความรู้สึกของตน และแน่นอนว่าไม่พึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน  เมื่อเรียนรู้บทเรียนเหล่านี้แล้ว พวกเขาย่อมใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้ง่ายขึ้น และมักจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  ในหนทางนี้ ผู้นำและคนทำงานย่อมทำงานของตนได้ตามมาตรฐานอย่างครบถ้วน และลุล่วงความรับผิดชอบของตน  เฉพาะเมื่อผู้นำและคนทำงานทำงานของตนได้อย่างครบถ้วนเท่านั้น ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงสามารถสัมฤทธิ์ประโยชน์เหล่านี้ได้  ในสถานการณ์มากมายที่เจ้าพบเจอ หากเจ้าไม่รู้ว่าจะนำพี่น้องชายหญิงให้เรียนรู้บทเรียนอย่างไร และเจ้าไม่สามารถแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนที่มืดบอด เป็นคนเลอะเลือนที่ด้านชาและหัวทึบ  เวลาเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว ไม่เพียงเจ้าจะรู้สึกหนักอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร และไม่มีความสามารถพอที่จะทำงานนี้เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อประสบการณ์ที่พี่น้องชายหญิงจะมีกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งเหล่านี้อีกด้วย  หากเจ้าจัดการสิ่งต่างๆ อย่างไม่ถูกควร ไม่ทำงานใดๆ ไม่กล่าวสิ่งที่เจ้าควรกล่าวเพื่อสามัคคีธรรมความจริงเลยสักคำ และไม่สามารถพูดสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือให้ความเจริญใจแก่ผู้อื่น เช่นนั้นแล้ว เมื่อคนจำนวนมากเผชิญหน้ากับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งที่ทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนนี้ ไม่เพียงพวกเขาจะไม่สามารถยอมรับเรื่องเหล่านี้จากพระเจ้า ไม่สามารถปฏิบัติต่อเรื่องเหล่านี้อย่างแข็งขันและเป็นบวก และเรียนรู้บทเรียนจากเรื่องเหล่านี้ได้เท่านั้น แต่มโนคติอันหลงผิด การระแวดระวังพระเจ้าย่อมจะร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับความไม่เชื่อใจและความกังขาในพระองค์  นี่คือผลสืบเนื่องของการที่ผู้นำและคนทำงานไม่มีความเป็นจริงความจริงและไม่สามารถใช้ความจริงแก้ปัญหามิใช่หรือ?  นี่คือสัญญาณว่าผู้นำและคนทำงานไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้มิใช่หรือ?  เจ้าไม่เคยทำงานของคริสตจักรอย่างถูกควร ไม่เคยทำพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าให้แล้วเสร็จ ไม่เคยลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และไม่เคยนำพี่น้องชายหญิงออกจากการอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน  พวกเขายังคงใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและการทดลองของซาตาน  เจ้ากำลังประวิงการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมิใช่หรือ?  เจ้ากำลังทำร้ายผู้คนอย่างลึกซึ้ง!  ในฐานะผู้นำและคนทำงาน เจ้าควรยอมรับพระบัญชาจากพระเจ้า นำพี่น้องชายหญิงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพื่อสัมฤทธิ์การเข้าใจความจริงและทำหน้าที่ของตนตามหลักธรรม จึงจะเพิ่มพูนความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  ไม่เพียงเจ้าไม่สามารถปฏิบัติในหนทางนี้ได้เท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ควบคุมหรือแก้ไขการก่อกวนที่เกิดจากคนชั่วอีกด้วย จึงเป็นเหตุให้การเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีภัย  หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี พวกเขาไม่เพียงไม่ก้าวหน้าและไม่เข้าใจความจริงหรือไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังถึงขั้นเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าอีกด้วย โดยไม่มีการนบนอบที่แท้จริงเลย  เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไปย่อมขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าโดยแท้จริงมิใช่หรือ?  เจ้าไม่เพียงไม่นำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงหรือปกป้องพวกเขาเท่านั้น แต่ยังปล่อยให้พวกเขาถูกคนชั่วก่อกวน ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้อีกด้วย  เจ้าไม่ได้ทำสิ่งที่ทำร้ายผู้คนของเจ้าเองและสร้างความยินดีให้แก่ศัตรูของเจ้าหรอกหรือ?  เจ้ากำลังช่วยเหลือและสนับสนุนความชั่วมิใช่หรือ?  เจ้าทำงานมานานขนาดนี้ แต่ไม่เพียงไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลที่เป็นบวกได้เท่านั้น ทว่าเจ้าถึงขั้นทำให้ระยะห่างระหว่างพี่น้องชายหญิงและพระเจ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และทำจนกระทั่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีปราศจากการเข้าใจความจริงหรือรู้ว่าจะแยกแยะการขัดขวางและการก่อกวนของคนชั่วอย่างไร จนส่งผลร้ายแรงต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  นี่คือการทำความชั่วอย่างมากมายมิใช่หรือ?  ไม่ว่าผู้นำและคนทำงานจะทำงานใดก็ตาม หากพวกเขาไม่สามารถกระทำการตามข้อกำหนดของพระเจ้า ไม่อาจจัดการเรื่องราวและแก้ปัญหาตามหลักธรรมความจริงได้ ผลกระทบจากการกระทำของพวกเขาย่อมจะไปไกลเกินกว่าตัวพวกเขาเองหรือผู้คนเพียงไม่กี่คน แต่จะส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร การเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนในคริสตจักร ผลลัพธ์ของการทำหน้าที่ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ผลลัพธ์ของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร และแม้กระทั่งการที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดและได้รับการพาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าหรือไม่—ทั้งหมดนี้คือด้านต่างๆ ที่อาจได้รับผลกระทบทั้งสิ้น  บางคนเชื่อในพระเจ้าแต่กลับติดตามผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ ส่งผลให้ตนเองย่อยยับ  นี่เหมือนกับผู้คนในแวดวงทางศาสนาที่ถูกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสชักพาให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้ไม่มีผิด เป็นผลให้พวกเขาไม่สามารถรับเสด็จพระเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา แต่กลับตกอยู่ในความวิบัติแทน  ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน  เพราะฉะนั้น การสามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร!

หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานกำหนดให้พวกเขาปฏิบัติกิจที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสามข้อ  ข้อแรก พวกเขาต้องระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนงานของคริสตจักร  ข้อสอง หลังจากแยกแยะและระบุลักษณะของสิ่งดังกล่าวแล้ว พวกเขาต้องหยุดยั้งและควบคุมคนชั่วทันที นี่คือขั้นตอนที่สอง  ข้อสาม ขณะหยุดยั้งและควบคุมคนชั่ว พร้อมทั้งแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น พวกเขาต้องหมั่นสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับพี่น้องชายหญิงเพื่อเปิดโปงการทำชั่วของพวกคนชั่ว จับตาดูปฏิกิริยาและความเข้าใจของพี่น้องชายหญิงที่มีต่อเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และแก้ไขทัศนะที่ไม่ถูกต้องที่พวกเขามีในทันที  แน่นอนว่าหากพี่น้องชายหญิงที่ไล่ตามเสาะหาความจริงบางคนมีความเข้าใจเชิงลึก ก็ควรหนุนใจให้พวกเขาสามัคคีธรรมมากขึ้น  นอกจากนี้ ผู้นำและคนทำงานก็ควรช่วยคนที่อ่อนแอหรือมีวุฒิภาวะน้อย และหนุนใจให้พวกเขาพูดจามากขึ้นอีกด้วย  ผลลัพธ์ที่ต้องการก็คือช่วยให้พี่น้องชายหญิงเกิดวิจารณญาณแยกแยะและเรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เรียนรู้ที่จะแยกแยะผู้คนและเรื่องราวทั้งหลาย  จุดประสงค์ของการแยกแยะผู้คนและเรื่องราวต่างๆ ก็เพื่อทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจผู้คนประเภทต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นโดยใช้วิธีการที่ถูกต้องตามหลักธรรมความจริง พลางเรียนรู้บทเรียนด้วยตนเองด้วย  พวกเขาควรเรียนรู้บทเรียนใด?  พวกเขาควรเฝ้าสังเกตว่าพระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นใดต่อผู้คนเหล่านี้เวลาที่ทรงชำแหละและเปิดโปงสภาวะของคนเหล่านี้—การรู้ว่าพระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นใดต่อคนเหล่านี้ทำให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้นว่าตนควรเป็นคนเช่นไรและควรใช้เส้นทางแบบใดใช่หรือไม่?  (ใช่)  สรุปแล้ว ผลลัพธ์ที่พึงสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุดก็คือการที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงในสภาพแวดล้อมของชีวิตจริง สามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ และนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมการของพระเจ้าได้  ในหนทางนี้ ผู้นำและคนทำงานย่อมจะปฏิบัติงานของคริสตจักรได้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เมื่อพิจารณาจากขั้นตอนทั้งสามของการปฏิบัติงานนี้แล้ว เป็นเรื่องยากหรือไม่ที่ผู้นำและคนทำงานจะทำงานนี้ให้ดี?  (ไม่ยาก)  หากพึ่งพาความเมตตาและขีดความสามารถของมนุษย์ ก็เป็นไปได้ที่การทำงานนี้ให้ดีนั้นค่อนข้างเหนื่อยยาก เพราะเจ้าจะไม่สัมฤทธิ์ผลตามพระประสงค์ของพระเจ้าและจะไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบที่แท้จริงของผู้นำและคนทำงาน  หากพึ่งพาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เจ้าจะสามารถทำงานนี้ได้ดีหรือไม่?  (ไม่ได้)  กล่าวตามตรงก็คือ การพึ่งพาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในการทำงานนี้ย่อมหมายถึงการกระทำตามแนวคิดของเจ้าเอง  นี่จะให้ผลลัพธ์เช่นใด?  (จะก่อให้เกิดความวุ่นวายในคริสตจักร)  นี่เป็นผลสืบเนื่องอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ยิ่งเจ้าทำงาน สิ่งต่างๆ ก็ยิ่งยุ่งเหยิงวุ่นวาย  ความยุ่งเหยิงวุ่นวายคืออะไร?  สภาวะจำเพาะของความยุ่งเหยิงวุ่นวายเป็นเช่นใด?  ความยุ่งเหยิงวุ่นวายคือยามที่ผู้คนไม่สามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าหรือสามัคคีธรรมได้ตามปกติระหว่างการชุมนุม  มีคนชั่วและผู้ไม่เชื่อทำให้เกิดการก่อกวนอยู่เสมอ หรือมีข้อพิพาทอย่างต่อเนื่อง โดยที่ทุกคนต่างยึดทัศนะของตนเองและสร้างกลุ่มสร้างพวกพ้องขึ้นมา พี่น้องชายหญิงก็ไร้วิจารณญาณและหลงทาง คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและรักความจริงจึงพลอยถูกรบกวนไปด้วย และชีวิตของพวกเขาก็ไม่เติบโต  ในคริสตจักรเช่นนั้น คนชั่วและผู้ไม่เชื่อย่อมกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ทรงพระราชกิจ  ในคริสตจักรเช่นนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้คนต่างก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน แสดงทัศนะสารพัดอย่าง โดยแทบไม่กล่าวถึงมุมมองที่ถูกต้องเลย  คริสตจักรจึงแตกแยกออกเป็นหลายฝ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่มีเอกภาพในหมู่คน และไม่มีสัญญาณของพระราชกิจหรือการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้คนระแวดระวังกันเองและต่างก็มองกันด้วยความระแวง มีสองหรือสามกลุ่มที่แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กัน ทุกคนเสาะหาคนหนุนหลังตน เล่นงานและกีดกันคนที่เห็นต่าง และอาจมีการทำชั่วทุกรูปแบบ  นี่คือภาพความยุ่งเหยิงวุ่นวาย  สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  เพราะผู้นำและคนทำงานไม่สามารถทำงานของตนมิใช่หรือ?  (ใช่)  การที่ผู้นำและคนทำงานต่างก็ทำงานตามแนวคิดของตนเองย่อมก่อให้เกิดผลสืบเนื่องเหล่านี้  การทำงานตามแนวคิดของตนเองหมายถึงอะไร?  หมายถึงการไม่เข้าใจความจริง ไร้ซึ่งหลักธรรม และกระทำการอย่างมืดบอดตามอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ นำไปสู่สภาวะที่ยิ่งยุ่งเหยิงวุ่นวายในคริสตจักร  บางคนอาจกล่าวว่า “มีคนชั่วทำให้เกิดการก่อกวนในคริสตจักรได้อย่างไร?  ฉันไม่รู้ว่าใครถูกใครผิด หรือควรอยู่ฝ่ายไหน?”  คนอื่นอาจกล่าวว่า “คริสตจักรถูกแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย  พวกเราควรใช้ชีวิตคริสตจักรกันอย่างไร?  การชุมนุมทุกครั้งไร้ผลและเสียเวลาเปล่า  การเชื่อแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ย่อมจะไม่ให้ผลใดๆ”  เมื่อคริสตจักรหนึ่งกลายเป็นวุ่นวายจนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่สามารถใช้ชีวิตคริสตจักรได้ คริสตจักรแห่งนั้นย่อมเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตราบใดที่คนชั่วและผู้ไม่เชื่อกุมอำนาจ พวกเขาย่อมจะทำลายคริสตจักรให้ย่อยยับ  คริสตจักรไม่สามารถดำเนินงานได้หากไม่มีคนดีและคนที่ปฏิบัติความจริงมาเป็นผู้นำและคนทำงาน—เมื่อไม่มีคนเหล่านี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้สิ่งต่างๆ อยู่ภายใต้การควบคุม!  หากไม่ควบคุมคนชั่วและผู้ไม่เชื่อเอาไว้ ก็จะไม่มีชีวิตคริสตจักร และระเบียบปกติของคริสตจักรก็จะเสียหายโดยสิ้นเชิง และกลายเป็นความยุ่งเหยิง  นี่คือผลลัพธ์เมื่อผู้นำและคนทำงานไม่ทำงานของตนให้ดี  หากผู้นำและคนทำงานไม่สามารถยอมรับความจริง ไม่สามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือพึ่งพาพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถทำงานของคริสตจักรให้ดีได้  พวกเขาจะไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักร หรือแก้ไขความยากลำบากใดๆ ซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญอยู่  ผู้นำและคนทำงานเช่นนั้นจะสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีได้หรือไม่หากพวกเขากุมอำนาจ?  พวกเขาได้แต่นำความวุ่นวายมาสู่คริสตจักรเท่านั้น—ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือสถานการณ์ประเภทหนึ่งที่จะเกิดขึ้น  จากนั้นคริสตจักรแห่งนั้นย่อมกลายเป็นรกร้าง เป็นที่ที่ซาตานกุมอำนาจ และทรุดโทรมกลายเป็นสิ่งอื่นไป  พระเจ้าจะไม่ทรงยอมรับคริสตจักรเช่นนี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ทรงพระราชกิจในนั้น  คริสตจักรดังกล่าวเป็นคริสตจักรแค่ในนามเท่านั้นและควรถูกปิดไปเสีย

ชำแหละการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จในเรื่องหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสอง

I. ผู้นำเทียมเท็จมีขีดความสามารถต่ำและไม่สามารถระบุปัญหาของการขัดขวางและการก่อกวนได้

สิ่งเหล่านี้คืองานที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำตามที่ระบุไว้ในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสอง พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมถึงตัวอย่างจำเพาะเพิ่มเติมกันในตอนนี้  สาระสำคัญของการสามัคคีธรรมในวันนี้คือการเปิดโปงการสำแดงจำเพาะของผู้นำเทียมเท็จในยามที่พวกเขาปฏิบัติงานเหล่านี้ และการระบุว่าพฤติกรรมใดสะท้อนให้เห็นแก่นแท้ของผู้นำเทียมเท็จและสามารถใช้เพื่อระบุลักษณะของคนคนหนึ่งว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ  นี่คือหัวข้อหลักของสามัคคีธรรมในวันนี้  ก่อนอื่น ข้อกำหนดสำหรับผู้นำและคนทำงานในงานนี้ก็คือระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงที  การระบุอย่างทันท่วงทีคือมาตรฐานที่จำเป็นสำหรับผู้นำและคนทำงาน  เมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทันทีที่มีสัญญาณแค่เพียงน้อยนิดว่ามีบางสิ่งผิดแปลกไป เช่น มีสัญญาณว่าคนชั่วเริ่มบงการ หรือมีคนแสดงสัญญาณบ่งชี้ว่ากำลังก่อปัญหา ผู้นำและคนทำงานควรรู้สึกได้และตื่นตัว  หากพวกเขาด้านชาและหัวทึบ นั่นจะเป็นปัญหา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มีคนชั่วคอยทำให้เกิดการก่อกวน ทันทีที่ปัญหานี้เริ่มปรากฏให้เห็นและไม่เป็นที่ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วผู้คนเหล่านี้ตั้งใจจะทำสิ่งใดหรือสถานการณ์จะดำเนินไปอย่างไร—กล่าวคือ เมื่อผู้นำและคนทำงานยังไม่สามารถมองเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง—พวกเขาก็ไม่ควรกระทำการอย่างมืดบอดหรือทำให้ผู้คนเหล่านี้ตื่นตกใจเสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจผิดพลาด  อย่างไรก็ดี นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้จับสังเกตและไม่ตระหนักในสถานการณ์นั้น  แต่หมายความว่าให้รอคอยและเฝ้าสังเกตดูว่าสิ่งต่างๆ ดำเนินไปอย่างไร และสิ่งใดคือเจตนา เป้าหมาย และแรงจูงใจของผู้คนเหล่านี้  นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องทำ  เมื่อสถานการณ์พัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง และผู้คนเหล่านี้เริ่มระบายความคิดลบและเผยแพร่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ทำให้เกิดการก่อกวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ผู้นำและคนทำงานก็ควรดำเนินการในทันที  พวกเขาควรลุกขึ้นมาเปิดโปง ชำแหละ และควบคุมการทำชั่วของบุคคลเหล่านี้ไว้โดยไม่ลังเล ช่วยให้ผู้อื่นเรียนรู้บทเรียน แยกแยะ และรู้เท่าทันคนชั่วเหล่านี้  นี่คือกระบวนการระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ—นี่คือความหมายของการที่ผู้นำและคนทำงานกำลังทำงานนี้อยู่  เป้าหมายหลักของงานนี้คือการระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร จากนั้นก็แก้ไขในทันที  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานสามารถสัมฤทธิ์ได้  แล้วผู้นำเทียมเท็จมีการสำแดงเช่นไรในงานนี้?  พวกเราจะสามารถชำแหละและแยกแยะผู้นำเทียมเท็จได้อย่างไร?  เห็นได้ชัดว่าผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถระบุได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำถึงการก่อกวนที่คนชั่วก่อให้เกิดขึ้นกับงานของคริสตจักร  นี่เป็นปัญหาที่เห็นได้ชัดที่สุดเวลาผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติงานของคริสตจักร—พวกเขาไม่มีวิจารณญาณแยกแยะการก่อกวนงานของคริสตจักรที่เกิดจากคนชั่ว  เหตุใดจึงกล่าวว่าผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถระบุปัญหาหรือมองทะลุถึงแก่นแท้ของปัญหา?  การกระทำของคนบางคนเป็นการขัดขวางและการก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างชัดเจน แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่สามารถแยกแยะหรือรับรู้ถึงปัญหาเหล่านั้นได้ พวกเขามืดบอด  บางคนระบายความคิดลบ ชักพาให้หลงผิด และก่อกวนคนอื่นในคริสตจักร  ส่วนคนอื่นๆ ก็รวบรวมสมัครพรรคพวก แอบทำเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล มักจะตัดสินคนบางคนลับหลัง  บางคนก็ยั่วยวนและเกี้ยวพาราสีกันโดยไม่ยั้งคิด  ผู้นำเทียมเท็จแสร้งมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ พวกเขาไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาเหล่านี้โดยสิ้นเชิง และไม่ตระหนักว่าหากปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข จะมีการไล่ตามเสาะหาความจริงและการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนกี่คนกันแน่ที่จะได้รับผลกระทบ และปัญหาเหล่านี้จะนำผลสืบเนื่องใดมาให้บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้  เมื่อบางคนสังเกตเห็นปัญหาและรายงานไปยังผู้นำเทียมเท็จ ผู้นำเทียมเท็จก็อาจกล่าวว่า “พวกเขาทุกคนต่างก็เป็นพี่น้องชายหญิง—มีใครไม่เผยความเสื่อมทรามออกมาบ้าง?  ใครบ้างไม่มีอารมณ์ความรู้สึกและความอยากได้อยากมี?  อย่าตัดสินหรือกล่าวโทษคนอื่นง่ายๆ!”  ไม่ว่าจะมีบางสิ่งในคริสตจักรที่เลวร้าย เหลวไหล หรือตรงข้ามกับความจริงอย่างไร ผู้นำเทียมเท็จก็มองไม่เห็นอยู่ดี  คนบางคนมักพูดจาในเชิงลบระหว่างการชุมนุม อยู่เสมอ กล่าวสิ่งต่างๆ เช่น “พวกเขาพูดกันอยู่เรื่อยว่าวันของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว—แล้วจะมาถึงจริงเมื่อใด?”  พี่น้องชายหญิงบางคนได้รับผลจากการนี้โดยไม่รู้ตัว แต่ผู้นำเทียมเท็จตอบสนองอย่างไร?  พวกเขากลับมองว่านี่เป็นความอ่อนแอตามปกติและไม่สามารถมองเห็นว่านี่คือการระบายความคิดลบ ก่อกวนและชักพาผู้อื่นให้หลงผิด  พี่น้องชายหญิงบางคนได้รับผลกระทบในการทำหน้าที่ของตนอย่างชัดเจน  พวกเขาไม่ต้องการประกาศข่าวประเสริฐอีกต่อไปและไม่เข้าร่วมชุมนุมในเชิงรุกหรือในทางที่เป็นบวกอีกต่อไป  ทุกครั้งที่มีการชุมนุมจึงต้องเรียกพวกเขามาเข้าร่วม  กระนั้นผู้นำเทียมเท็จกลับไม่เห็นว่านี่เป็นปัญหา  เมื่อเกิดปัญหานี้ขึ้นมา พวกเขากลับไม่สังเกตเลยว่ามีความเปลี่ยนแปลงอันใดเกิดขึ้นกับทุกคนในคริสตจักร  พวกเขาเพียงจัดการชุมนุมไปตามขั้นตอนและตามระเบียบแบบแผน โดยไม่ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหลังฉาก ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสภาวะของผู้คน ปัญหาที่ผู้คนมี ใครเป็นคนก่อปัญหาเหล่านั้น ใครคือตัวการสำคัญ ปัญหาทั้งหลายเกิดจากใคร และแท้จริงแล้วจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาใดบ้าง—พวกเขาไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้เลย  เป็นเพราะสายตาของพวกเขาไม่ดีจึงไม่อาจรับรู้สิ่งเหล่านี้ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ในเมื่อไม่ใช่สายตาไม่ดี แล้วเหตุใดเวลาเกิดการขัดขวางและการก่อกวนอย่างร้ายแรงเช่นนั้น เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างเห็นได้ชัดภายในคริสตจักร พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นหรือระบุได้เล่า?  ชัดเจนว่าผู้นำคนนี้มืดบอดและไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  บางคนกล่าวว่า “แม้พวกเขาไม่สามารถระบุปัญหาเหล่านี้ได้ แต่ก็สามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ผู้คนฟังระหว่างการชุมนุมได้  ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจสิ่งที่พวกเขาอ่านหรือไม่ หรือจะเกิดผลลัพธ์อันใดหรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านพระวจนะของพระเจ้าต่อไป  ด้วยเหตุผลนี้อย่างเดียวก็ถือได้ว่าพวกเขาเป็นผู้นำที่ดี”  พวกเขามุ่งเน้นที่การอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพียงอย่างเดียว—หากไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ใดๆ นี่ก็เป็นเพียงการทำไปตามขั้นตอนเท่านั้นมิใช่หรือ?  หากพวกเขาแก้ปัญหาไม่ได้ ผู้คนจะสามารถได้รับประโยชน์อันใดจากการชุมนุม?  ดังนั้น ผู้นำคนนี้คือผู้นำเทียมเท็จใช่หรือไม่?  (ใช่)  การสำแดงอย่างหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จเวลาปฏิบัติงานนี้ก็คือความมืดบอด  พวกเขามืดบอด—ไม่ว่าปัญหาจะอยู่ตรงหน้าหรือเกิดขึ้นรอบตัวพวกเขาอย่างชัดเจนเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นหรือระบุได้  ภายนอกอาจดูเหมือนพวกเขาทะนุถนอมพระวจนะของพระเจ้ามากกว่าคนทั่วไป แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้าพูดเรื่องอะไร เอ่ยถึงผู้คนประเภทใด หรือกล่าวถึงสถานการณ์ใด—พวกเขาไม่สามารถเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้ากับชีวิตจริงได้เลย  แล้วพวกเขาสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจใดบ้าง?  พวกเขาทำตามความจริงได้หรือไม่?  สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เวลาพวกเขาประกาศ พวกเขาก็พร่ำเพ้อแต่วาทกรรมที่ว่างเปล่า ราวกับตนเข้าใจความจริงมากมายนัก แต่กลับไม่สามารถระบุการก่อกวนต่างๆ ที่เห็นได้ชัดของคนชั่วในคริสตจักรได้ ทำราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย  นี่แสดงให้เห็นหรือว่าพวกเขาเข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณแยกแยะ?  พวกเขามีความเข้าใจที่ถ่องแท้ในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  หากพวกเขาสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ตามปกติ เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถใช้พระวจนะมามองและแก้ปัญหาทั้งหลายได้?  เหตุใดความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาจึงไม่เคยเปิดกว้างเวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้า?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีหัวใจที่กระตือรือร้นเวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้า?  ต้นตอของปัญหานี้คืออะไร?  เหตุใดพวกเขาจึงมืดบอด?  สาเหตุที่ทำให้พวกเขามืดบอดคืออะไร?  (เพราะพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและด้อยขีดความสามารถอย่างยิ่ง)  ถูกต้อง  ไม่ใช่ว่าพวกเขาตาบอด แต่หัวใจของพวกเขามืดบอด  การมีหัวใจที่มืดบอดหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพวกเขามีขีดความสามารถที่ต่ำมากและไม่มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  ไม่ว่าจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าไปมากเท่าใด พวกเขาก็เข้าใจในระดับผิวเผินเท่านั้น  พวกเขาไม่สามารถเชื่อมโยงพระวจนะเข้ากับผู้คน เหตุการณ์ สถานการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรได้ และไม่สามารถจัดการ แก้ไข และปฏิบัติต่อปัญหาต่างๆ ตามหลักธรรมความจริงได้  นี่คือต้นเหตุความมืดบอดของพวกเขา—พวกเขามีขีดความสามารถต่ำและไม่สามารถทำงานนี้ได้  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะขยันศึกษาและฝึกฝนอย่างเข้มงวดเพียงใด ไม่ว่าจะทำงานหนักเพียงใดเพื่อชดเชยกับการไร้ความสามารถของตน พวกเขาจะสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานหรือไม่?  พวกเขาทำไม่ได้  ผู้คนเหล่านี้ช่างน่าเวทนานัก  ไม่ว่าพวกเขาจะเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยคำพูดและคำสอนมากเท่าใด พวกเขาก็ไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานหรือดำเนินงานนี้ได้

เมื่อครู่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงการสำแดงหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ ซึ่งก็คือพวกเขาไม่สามารถมองเห็นว่าการกระทำของพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ก่อให้เกิดการรบกวนคริสตจักร และไม่อาจมองทะลุแก่นแท้ของคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์  เมื่อเผชิญเรื่องราวที่พวกคนชั่วทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน บางครั้งพวกเขาอาจสังเกตเห็นเค้าเงื่อนเล็กน้อย หรือไม่ว่าจากประสบการณ์ ความรู้สึก หรือสัญชาตญาณ พวกเขาอาจจะเพียงแต่รู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ค่อยถูกต้องนัก ว่าสีหน้า แววตา และคำพูดของคนคนนี้ค่อนข้างผิดปกติ  พวกเขาอาจมีความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถมองทะลุสิ่งต่างๆ มากมาย และไม่สามารถระบุถึงปัญหาส่วนใหญ่ได้  สาเหตุที่พวกเขามองไม่ทะลุถึงแก่นแท้ของปัญหาคืออะไร?  นี่ยังเกี่ยวพันกับปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง  พวกเขาขยันมาก ขลุกอยู่ในห้องของตนตลอดทั้งวันเพื่อเขียนคำเทศนา จดบันทึกเรื่องการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ เขียนความเข้าใจและประสบการณ์ที่ตนมีกับพระวจนะของพระเจ้า เรียนรู้เพลงนมัสการ วางเป้าหมายว่าวันหนึ่งๆ จะอธิษฐานกี่ครั้ง อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากเท่าใด ฟังคำเทศนามากเท่าใด และจะใช้เวลาเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์นานเท่าใด—พวกเขาทำงานเหล่านี้อย่างครบบริบูรณ์ทั้งหมด แล้วทำไมพวกเขายังคงมองไม่ทะลุสิ่งต่างๆ เมื่อเกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้นเล่า?  พวกเขาไม่เข้าใจความจริง  พวกเขาได้แต่เพียงพร่ำกล่าวคำพูดและคำสอน โดยไม่สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงได้เลย  บางคนกล่าวคำพูดและคำสอนอยู่เสมอเพื่อชักพาผู้อื่นให้หลงผิด และผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถมองทะลุเรื่องนี้  แม้บางครั้งพวกเขาจะรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดไปและอาจจะมีปัญหา แต่เมื่อเห็นว่าผู้คนเหล่านั้นดูไม่เหมือนคนชั่ว พวกเขาก็เพียงปล่อยให้ปัญหาผ่านไปด้วยความเลอะเลือนอยู่ดี  พวกเขาไม่สามารถแสวงหาหลักธรรมความจริงมาแยกแยะปัญหาเหล่านี้ และต่อให้พวกเขาเคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงสภาวะและแก่นแท้ของผู้คนดังกล่าว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อมโยงพระวจนะเหล่านั้นเข้ากับสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร  ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาไม่แจ่มชัดและพวกเขาไม่สามารถมองทะลุสิ่งเหล่านี้  เมื่อพวกเขาต้องการแสวงหา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะสื่อออกมาเป็นคำพูดอย่างไร  พวกเขาจึงพูดจาอยู่นานโดยที่ไม่ได้อธิบายถึงแก่นแท้ของปัญหา และไม่ได้แจกแจงให้ชัดเจนว่าการสำแดงในภาพรวมของผู้คนดังกล่าวเป็นเช่นใด ความเป็นมนุษย์ การไล่ตามเสาะหา การปฏิบัติหน้าที่ และความแน่วแน่ที่จะสละตนเพื่อพระเจ้าของคนเหล่านั้นเป็นเช่นใด หรือท่าทีที่มีต่อความจริงเป็นเช่นใด และพวกเขาเป็นคนที่ยอมรับความจริงหรือไม่  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่สามารถมองทะลุหรืออธิบายเรื่องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน  ต่อให้พวกเขารู้สึกว่ามีปัญหา พวกเขาก็คุยจ้อ พูดถึงสิ่งต่างๆ มากมายโดยไม่ชี้แจงประเด็นของตนให้ชัดเจน  คนที่ฟังพวกเขาจึงต้องสามารถแยกแยะ ดึงประเด็นสำคัญออกมา และวิเคราะห์คำพูดของพวกเขาได้จึงจะรู้ว่าพวกเขากำลังถามอะไรอยู่ สภาวะโดยรวมของคนที่พวกเขากำลังพูดถึงเป็นเช่นไร และในที่สุดก็ระบุแก่นแท้ของคนคนนั้นได้—ว่าเป็นคนชั่วหรือคนดี เป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือว่าเป็นเพียงคนออกแรงทำงาน  เมื่อเจ้าขอให้ผู้นำเทียมเท็จแจกแจงปัญหาหรือตั้งคำถาม พวกเขาไม่เคยสามารถอธิบายถึงต้นตอและแก่นแท้หรือประเด็นสำคัญของปัญหานั้นๆ ได้อย่างชัดเจน  โดยสรุปแล้ว ผู้นำเทียมเท็จไม่มีท่าทีใดๆ เป็นพิเศษต่อปัญหาที่พวกเขามองไม่ทะลุ ส่วนเรื่องที่พวกเขาสามารถสังเกตเห็นเค้าเงื่อนบางอย่าง พวกเขาก็ยังไม่สามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ของปัญหาเหล่านี้  แม้ในยามที่คนบางคนระบายความคิดลบและแพร่มโนคติอันหลงผิด ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบอันไม่พึงประสงค์ต่อชีวิตคริสตจักร พวกเขาไม่สามารถมองเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่งได้  พวกเขาไม่สามารถมองทะลุหรือระบุลักษณะแก่นแท้ของปัญหาจากสิ่งที่เห็นภายนอกหรือในช่วงที่ปัญหาเพิ่งก่อตัวได้  แน่นอนว่าการมองทะลุถึงแก่นแท้ของปัญหาหนึ่งๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย  สิ่งสำคัญที่สุดในงานของคริสตจักรก็คือการมองทะลุถึงแก่นแท้ของผู้คนต่างๆ โดยอิงตามพระวจนะของพระเจ้า  คนที่เข้าใจความจริงย่อมทำเช่นนี้ได้ แต่ผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จไม่สามารถทำได้  เมื่อพวกเขามองเห็นศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขากลับไม่สามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ของปัญหาและถึงกับปกป้องศัตรูของพระคริสต์โดยกล่าวว่า “พวกเขาก็แค่เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาบ้างเท่านั้น และมีความโอหัง ไม่ฟังใคร เอาแต่ใจเล็กน้อย  พวกเขายังสามารถสู้ทนความยากลำบากเวลาทำหน้าที่ของตนได้  ดังนั้นพวกเราก็ไม่ควรตัดสินและกล่าวโทษพวกเขา พวกเราไม่ควรทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”  คนอื่นๆ จึงถามว่า “ถ้าพวกเขาสู้ทนความยากลำบากเวลาทำหน้าที่ของตนได้ แล้วพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเปล่า?  เคยยุยง ชักพาคนอื่นให้หลงผิด หรือแอบดึงไปเป็นพวกอยู่ลับๆ หรือไม่?  พวกเขาเคยยกชูและเป็นพยานยืนยันให้ตนเองหรือไม่?”  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองทะลุเรื่องเหล่านี้เลย  มีบางคนถึงขนาดอ้างด้วยซ้ำว่าเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า แต่กลับเจตนาป้ายสีและหมิ่นประมาทพระเจ้า จงใจเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูลระหว่างที่ชำแหละและพูดถึงการรู้จักมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขามีต่อพระองค์  หลังจากที่ได้ยินพวกเขากล่าวเช่นนี้ ผู้นำเทียมเท็จอาจรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นฟังดูชอบกลอยู่บ้าง แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถมองทะลุถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ และยิ่งไม่สามารถมองเห็นผลกระทบที่เป็นลบและผลสืบเนื่องอันร้ายแรงที่คำพูดเหล่านี้นำมาให้  เพราะฉะนั้น ผู้นำเทียมเท็จจึงไม่สังเกตเห็นการขัดขวางและการก่อกวนต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาโดยสิ้นเชิง หรือหากสังเกตเห็น พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะระบุประเภทอย่างไรหรือจะเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้าเข้ากับสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร  เรื่องราวที่ชัดเจนยิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นความสับสนยุ่งเหยิงสำหรับพวกเขา  ผู้นำเทียมเท็จล้วนปัญญาทึบ  ในคริสตจักร พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ใดกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง ใครเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงและสามารถยอมรับความจริงได้บ้าง  พวกเขาแยกแยะไม่ได้ว่าคนไหนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่ยังสามารถออกแรงทำงานได้ และใครที่ส่วนใหญ่เต็มใจจ่ายราคาและกระทำการตามหลักธรรม อีกทั้งใครที่ค่อนข้างเชื่อฟังและนบนอบแม้บางครั้งจะกล่าวคำที่เป็นลบบ้างก็ตาม  พวกเขาไม่สามารถแยกแยะเช่นกันว่าใครบ้างมีบทบาทแต่ในเชิงลบ ระบายความคิดลบและตัดสินผู้อื่น ทั้งยังมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงานทั้งปวงของพระนิเวศของพระเจ้า รวมทั้งกฎเกณฑ์และข้อกำหนดเกี่ยวกับงานทุกประเภทในพระนิเวศของพระเจ้า มีท่าทีไม่ยอมรับมากกว่ายอมรับ และไม่เคารพสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษจนถึงกับตัดสินสิ่งเหล่านี้  สรุปแล้ว ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองทะลุผู้คนประเภทใดได้เลย  ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือมีบางคนในคริสตจักรที่เผยแพร่มโนคติอันหลงผิดอยู่เนืองๆ ระบายความคิดลบ และถึงขั้นไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าในระหว่างการชุมนุม  พวกเขามักจะรวมกลุ่มกันเป็นพรรคพวกเสมอ อิจฉาและบาดหมางกัน  บางคนอยากเป็นผู้นำอยู่ตลอดเวลา ต้องการเกาะคริสตจักรกิน และต้องการฉวยทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เสมอ  นอกจากนั้น ยังมีบางคนที่ภายนอกดูเหมือนมีพฤติกรรมอันดีงามอยู่บ้าง แต่กลับไม่มีบทบาทเชิงบวกในหน้าที่ของตนเลย  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถรู้เท่าทันและไม่อาจจำแนกประเภทของลักษณะนิสัยที่เป็นลบเหล่านี้  พวกเขาไม่สามารถมองทะลุว่าผู้คนเหล่านี้กำลังเดินอยู่บนเส้นทางใดกันแน่ มีแก่นแท้เป็นเช่นไร และเป็นคนที่ยอมรับความจริงหรือไม่  นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับขีดความสามารถของผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้มีขีดความสามารถที่ต่ำเป็นอย่างยิ่ง  ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดก็ยุ่งเหยิงไปหมด และงานใดก็ตามที่พวกเขาทำย่อมลงเอยด้วยความยุ่งเหยิงโดยสิ้นเชิง

บางคนใช้ของถวายอย่างไร้หลักธรรมเวลาที่พวกเขาซื้อสิ่งของให้กับพระนิเวศของพระเจ้า เป็นการซื้อสิ่งต่างๆ ตามอำเภอใจโดยไม่ได้รับอนุญาต  เมื่อผู้นำเทียมเท็จเห็นเช่นนี้กลับพูดด้วยซ้ำไปว่า “แม้พวกเขาจะใช้เงินมากขึ้นอีกหน่อย แต่ก็มีเจตนาดี  เวลาซื้อของให้พระนิเวศของพระเจ้า พวกเราควรซื้อสิ่งที่ดีที่สุด นี่ไม่ใช่การเสียเงินเปล่า  ของถวายก็ควรใช้กันอย่างนี้ไม่ใช่หรือ?”  คำพูดของพวกเขามีหลักธรรมบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  แล้วคำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดแบบใด?  เป็นคำพูดที่เลอะเลือนมิใช่หรือ?  คำพูดที่ไร้หลักธรรมคือคำพูดที่เลอะเลือน และคำพูดที่ไม่มีมูลก็เป็นคำพูดที่เลอะเลือนเช่นกัน  บางคนกล่าวคำพูดและคำสอนระหว่างที่ใช้ชีวิตคริสตจักรเป็นประจำ พวกเขามีคารมคมคายเป็นพิเศษ และพูดจาอย่างมีแบบแผนซึ่งฟังดูเป็นระเบียบทีเดียว และพวกเขามีทักษะการพูดที่ดีมาก  ผู้นำเทียมเท็จพูดถึงผู้คนดังกล่าวว่าอย่างไร?  “ชีวิตคริสตจักรของพวกเราพึ่งพาคนนั้นคนนี้ทุกเรื่อง  พวกเขาพูดจาฉะฉานที่สุดและเข้าใจพระวจนะของพระเจ้ามากที่สุด  หากไม่มีพวกเขา ชีวิตคริสตจักรของพวกเราก็คงจะแห้งแล้งและไม่น่าสนใจเอามากๆ”  พวกเขาหารู้ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้กำลังกล่าวเพียงคำพูดและคำสอนเท่านั้น  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะฟังคนเหล่านี้มากเพียงใด เขาก็จะไม่ได้รับความเจริญใจ ไม่เข้าใจความจริง หรือรู้ว่าจะเชื่อมโยงความจริงเข้ากับตนเองอย่างไรเพื่อให้เข้าใจสภาวะของตนเองและแก้ปัญหาของตน  ภายใต้การป้อยอและการยุยงของผู้นำเทียมเท็จ ผู้คนที่กล่าวคำพูดและคำสอน ผู้คนที่ชอบเป็นจุดสนใจ และแม้กระทั่งผู้คนที่มักจะพูดจาออกนอกเรื่อง พูดเรื่อยเปื่อยในการชุมนุมแต่ละครั้งถึงหัวข้อที่เกินจริง เหลวไหล และพูดสารพัดเรื่อง ก็ล้วนได้พื้นที่ในการแสดงออก  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถแยกแยะพวกเขาได้และถึงกับมองว่าพวกเขาเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ ยกยอพวกเขาโดยกล่าวว่า “พวกคุณพูดดีเหลือเกิน ทำไมพวกคุณถึงไม่เขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์บ้าง?  น่าเสียดายจริงๆ!”  ในคริสตจักร ผู้นำเทียมเท็จมองนักศึกษามหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ และปัญญาชนเหล่านั้นราวกับสมบัติล้ำค่า  พวกเขากล่าวว่า “ปัญญาชนและศาสตราจารย์เหล่านี้เป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ  พวกเขามีประสบการณ์กว้างไกลและมีชื่อเสียงในสังคม  หากพวกเขากลายเป็นผู้นำและคนทำงานในคริสตจักร งานก็จะดำเนินการไปได้มากขึ้น และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะสามารถได้ประโยชน์และได้รับมากขึ้น  ในอนาคต งานของคริสตจักรจะพึ่งพาพวกเขาทั้งสิ้น  เมื่อมีปัญญาชนเหล่านี้คอยนำพวกเรา ความเชื่อที่พวกเรามีในพระเจ้าย่อมจะนำพรมาให้เป็นแน่”  เพราะฉะนั้น ในคริสตจักรต่างๆ ที่มีผู้นำเทียมเท็จอยู่ คนที่มีสถานะในสังคม คนที่รอบรู้ คนที่พูดจาคมคาย คนที่กล่าวคำพูดและคำสอนในลักษณะที่ว่างเปล่า คนที่มีเกียรติยศอยู่บ้าง เป็นต้น—ผู้คนที่ไม่มีความเป็นจริงความจริงทั้งหมดนี้—จึงครองตำแหน่งสำคัญในคริสตจักร และได้รับการปฏิบัติจากผู้นำเทียมเท็จราวกับเป็นกำลังสำคัญ และถึงกับเป็นสิ่งที่เรียกว่าเสาหลักของคริสตจักรเลยทีเดียว  เมื่อเกิดเรื่องขึ้นในคริสตจักร ผู้นำเทียมเท็จก็กล่าวว่า “ไปถามคนนั้นคนนี้เถิด เขาเคยเป็นซีอีโอของบริษัท” หรือ “ไปถามคนนั้นคนนี้เถิด เธอเคยเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยนั้นๆ” หรือ “ไปถามคนนั้นคนนี้เถิด เขาเคยเป็นทนายความอันดับหนึ่งของสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่ง”  ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้ประหนึ่งเสาหลักและกำลังสำคัญของคริสตจักร  ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ชีวิตคริสตจักรจะดีได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วผลลัพธ์เป็นเช่นใด?  คนที่ได้ชื่อว่าเป็นกำลังสำคัญและเสาหลักเหล่านี้ต่างก็แก่งแย่งสถานะและรวมกลุ่มเป็นพรรคพวกกันอย่างลับๆ หรือแม้กระทั่งทำกันอย่างเปิดเผย เผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและปล่อยข่าวลือที่ไม่มีมูลอยู่เป็นประจำ  พี่น้องชายหญิงในคริสตจักรที่เป็นผู้เชื่อที่แท้จริง รักความจริง สามารถยอมรับความจริงได้ และมีความเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้ มักจะถูกพวกเขากีดกันและกดขี่  ไม่ว่าในการทำหน้าที่ของตนหรือรับผิดชอบงานใด บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเด่นดังในสังคมเหล่านี้ก็ไม่มีความจงรักภักดีและไม่เคยกระทำการตามหลักธรรมความจริงเลย—พวกเขาทำตามวิถีทางของสังคมที่ไม่มีความเชื่อเท่านั้น  เพราะฉะนั้น ในคริสตจักรดังกล่าว คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ คนที่มีความเข้าใจอันถ่องแท้ คนที่มีความเป็นมนุษย์อยู่บ้างและมีสำนึกของความยุติธรรม จึงไม่มีพื้นที่ให้พูด ไม่มีสิทธิ์พูด และแน่นอนว่าย่อมไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ  ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในคริสตจักร คนที่ตัดสินชี้ขาดก็คือกลุ่มคนที่เรียกกันว่าสมาชิกคนสำคัญนี้เสมอ  ผู้นำเทียมเท็จบูชาและเชื่อในตัวผู้คนเหล่านี้อย่างมืดบอด ดังนั้น ในท้ายที่สุดพวกเขาจึงพึ่งพาคนเหล่านี้ในการหาทางแก้ไขเมื่อใดก็ตามที่มีบางสิ่งเกิดขึ้น  หากผู้คนเหล่านี้ไล่ตามเสาะหาความจริงและกระทำการตามหลักธรรมความจริง นั่นย่อมจะเป็นเรื่องดี  อย่างไรก็ตาม ผู้คนเหล่านี้โดยส่วนใหญ่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขามีความรู้และการศึกษาอยู่บ้าง มีสถานะทางสังคม และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่หลอกลวงและยอกย้อน มีฝีปากในการโน้มน้าวและสันทัดในการชักพาผู้อื่นให้หลงผิด  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติที่แท้จริงในตัวศัตรูของพระคริสต์  ผลลัพธ์ของการที่ผู้นำเทียมเท็จพึ่งพาผู้คนเหล่านี้คืออะไร?  พวกเขาทำให้งานของคริสตจักรและระเบียบของชีวิตคริสตจักรยุ่งเหยิงไปหมด ทำลายการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจนย่อยยับ เป็นเหตุให้คริสตจักรสูญเสียคำพยานของตนจนหมดสิ้น  ผู้นำเทียมเท็จบางคนหวังที่จะให้คริสตจักรมีคนสำคัญที่เข้าใจการเมืองและเหตุการณ์ปัจจุบัน โดยคิดว่า “หากมีคนแบบนั้นมาขยายขอบเขตของคริสตจักรให้ใหญ่ขึ้น เสริมสร้างอิทธิพลของคริสตจักร และทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้น งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐย่อมจะมีความหวัง  นั่นจะเป็นเรื่องที่ควรเฉลิมฉลองโดยแท้!”  ในคริสตจักรทั้งหลายที่ถูกผู้นำเทียมเท็จควบคุมเอาไว้ บางคนจึงพูดคุยเรื่องการเมือง เหตุการณ์ปัจจุบัน สถานการณ์ระหว่างประเทศ และกิจการภายในประเทศกันอย่างกว้างขวางระหว่างที่ใช้ชีวิตคริสตจักร โดยพูดคุยเรื่องชีวิตส่วนตัวของบุคคลระดับสูงทางการเมือง และถึงกับวิเคราะห์แผนสมคบคิดและแผนการอันโจ่งแจ้งของนักการเมืองเหล่านี้กันอย่างชัดเจนและมีตรรกะ  ส่วนผู้นำเทียมเท็จที่อิจฉาจนน้ำลายไหลก็กล่าวว่า “ในที่สุดคริสตจักรของพวกเราก็มีคนสำคัญมาช่วยรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ได้!  ฉันเคยรู้สึกท้อแท้และหงุดหงิดอยู่เสมอ รู้สึกว่าตัวเองไม่อาจเชิดหน้าขึ้นมาได้ เพราะคริสตจักรของพวกเราไม่มีคนสำคัญแบบนี้  แต่ตอนนี้พวกเรามีคนแบบนี้อยู่ในคริสตจักรแล้ว  ดังนั้นก็ควรปล่อยให้คนคนนี้ทำสิ่งที่อยากทำและพูดตามที่อยากพูด ให้อิสระแก่เขา  พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติตามหลักเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนไม่ใช่หรือ?  ยุคราชอาณาจักรเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่หรือ?”  ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติต่อคนที่ชอบพูดคุยเรื่องการเมือง แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคนที่มีชื่อเสียง และมักจะพร่ำพูดในหมู่คนถึงแนวคิดอันสูงส่งแต่กลวงเปล่า เป็นสมบัติล้ำค่าที่หายาก และต้องการบ่มเพาะให้กลายเป็นเสาหลักและหัวเรี่ยวหัวแรงของคริสตจักร  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงหมั่นหนุนใจและสรรเสริญคนเหล่านั้น กลัวว่าหากคนเหล่านั้นคิดลบก็จะส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร  โดยสรุปแล้ว ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ด้านชาและมืดบอด  พวกเขาไม่สามารถระบุผู้คนประเภทต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรได้อย่างทันท่วงที  ต่อให้ระบุได้ พวกเขาก็ไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของคนชั่ว  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะรู้เท่าทันคนที่ชั่วอย่างเห็นได้ชัดและจัดว่าเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ เช่น คนที่รวบรวมสมัครพรรคพวกและจัดตั้งอาณาจักรอิสระขึ้นมา  เวลาพวกเขาเห็นศัตรูของพระคริสต์รวบรวมสมัครพรรคพวก อวดความสามารถ และทำตามที่ตนพอใจด้วยอำนาจมากมายที่ตนมีอยู่ ผู้นำเทียมเท็จประเมินคนเหล่านั้นว่าอย่างไร?  “คนคนนี้ไม่ธรรมดา เขาโดดเด่นจริงๆ!  ฉันไม่เคยเห็นคนที่มีความสามารถพิเศษเช่นนี้มาก่อน เขาเก่งกว่าฉันมาก ทำให้ฉันรู้สึกอับอายจริงๆ  ดูความสามารถของเขาสิ—เขาสามารถรับผิดชอบและปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ ได้ พูดจาดีมีระดับ และรักษาคำพูด  ส่วนฉันไม่มีอะไรดีเลย เป็นเหมือนเด็กหญิงขี้อายตัวน้อย”  พวกเขาเลื่อมใสศัตรูของพระคริสต์เป็นอย่างยิ่ง ก้มหัวให้ และเต็มใจที่จะกลายเป็นผู้ติดตาม  ลักษณะอย่างหนึ่งที่ผู้นำเทียมเท็จสำแดงออกมานี้คือความมืดบอด อีกอย่างหนึ่งคือความด้านชา  โดยสรุปแล้ว แก่นแท้ของปัญหานี้ในตัวผู้นำเทียมเท็จก็คือขีดความสามารถต่ำ

ผู้คนมีดวงตาก็เพื่อให้สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้  หลังจากที่คนคนหนึ่งมองเห็นสิ่งใดแล้ว ความรู้สึกนึกคิดของเขาย่อมจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและทำการตัดสิน หลังจากที่ทำการตัดสินแล้ว เขาก็จะเกิดมุมมองและได้รับเส้นทางปฏิบัติ  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ได้ตาบอด—ไม่ว่าจะมองเห็นสิ่งใด เขาก็มีปฏิกิริยาตามปกติและรู้ว่าจะเผชิญหน้าและจัดการสิ่งนั้นอย่างไร  นี่คือคนคนหนึ่งที่มีการคิดอ่านเป็นปกติ  ผู้คนมีกระบวนการตอบสนองต่อสิ่งที่ตนมองเห็น พวกเขาจะใคร่ครวญและขบคิดไม่มากก็น้อย  ขณะที่ความคิดของพวกเขาดำเนินไป ภาพของสิ่งนั้นย่อมค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และพวกเขาย่อมเกิดมุมมอง ท่าที และแนวทางของตนเองขึ้นมา  แล้วสิ่งใดคือเงื่อนไขเบื้องต้นของการเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา?  ดวงตาของคนคนหนึ่งต้องสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ จากนั้นจึงส่งข้อมูลที่รวบรวมไว้ไปยังสมองและจิตใจของตนเพื่อตรึกตรอง  หากคนคนหนึ่งมองเห็นสิ่งต่างๆ ด้วยตาของตนได้ เช่นนั้นเขาย่อมไม่ได้ตาบอด สามารถคิดและใคร่ครวญต่อจากนั้นได้ มีความตระหนักรู้ ท่าที และมุมมอง แล้วในที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง  แน่นอนว่าการได้ข้อสรุปเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เวลาบ้าง  การมีความตระหนักรู้ มุมมอง และท่าทีต่างๆ ก่อนที่จะได้ข้อสรุปเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าความรู้สึกนึกคิดของคนคนหนึ่งยังทำงานอยู่ ไม่ได้ด้านชา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าคนคนนี้มีชีวิต ไม่ใช่ตายไปแล้ว  ผู้นำเทียมเท็จมีขีดความสามารถต่ำ  ต่ำในหนทางใดบ้าง?  ผู้นำเทียมเท็จขาดคุณสมบัติทั้งสองข้อนี้  พวกเขาลืมตา แต่ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นหรือดำเนินอยู่ได้ นี่ก็คือความมืดบอด  นอกจากนี้เมื่อพวกเขามองเห็นสิ่งต่างๆ ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขากลับไม่มีปฏิกิริยา ไม่เกิดมุมมองหรือความคิดใดๆ และพวกเขาก็ไม่มีวิถีทางหรือวิธีการที่ถูกต้องในการตัดสินและมีข้อสรุปตามมา  นี่คือความด้านชาในวิญญาณ  ผู้คนที่ด้านชาในวิญญาณไม่สามารถแยกแยะสิ่งใดได้ ไม่มีการประเมินที่ถูกต้องหรือการตัดสินที่แม่นยำ และท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่สามารถได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง และไม่รู้ว่าจะรับมือ จัดการ หรือแก้ไขเรื่องราวตรงหน้าได้อย่างไร  นี่คือด้านชาและปัญญาทึบ  เมื่อคนคนหนึ่งด้านชาและปัญญาทึบในวิญญาณจนถึงขั้นที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยเวลาเกิดเรื่องขึ้นมา นี่คือการตายไปแล้ว—นี่เป็นการอธิบายเรื่องนี้อย่างตรงประเด็น  ตอนนี้พวกเราพักเรื่องที่ว่าผู้นำเทียมเท็จตายจริงหรือไม่เอาไว้ก่อน และกล่าวเพียงแค่พวกเขามีขีดความสามารถต่ำ  ต่ำเพียงใดกันแน่?  ไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะสลักสำคัญอย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจมองเห็นได้ และต่อให้มองเห็น พวกเขาก็ไม่สามารถมองทะลุไปได้  ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าผู้นำเทียมเท็จจะทำงานมานานเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าแก่นแท้ของเรื่องหนึ่งๆ เป็นเช่นใด ควรจำแนกหมวดหมู่อย่างไร ควรระบุลักษณะอย่างไร หรืออะไรคือหลักการในการระบุลักษณะ พวกเขาไม่รู้วิธีประเมินสิ่งเหล่านี้ และไม่มีมาตรฐานหรือหลักธรรมที่จะใช้ประเมินสิ่งเหล่านี้  พวกเขาจึงเป็นผู้คนที่เลอะเลือนและไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  นี่คือการสำแดงหลักของผู้นำเทียมเท็จในกิจข้อแรก  พวกเขามืดบอด โง่เขลา เบาปัญญา และด้านชา แต่ก็ยังอยากเป็นผู้นำ  นี่คือการถ่วงสิ่งต่างๆ ให้ล่าช้ามิใช่หรือ?  นี่เป็นปัญหาอย่างมากมิใช่หรือ?  หากใครสักคนไม่เคยรับใช้ในฐานะผู้นำมาก่อน เพิ่งเผชิญเรื่องบางอย่างเป็นครั้งแรก และพระวจนะของพระเจ้าก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ และไม่เคยได้ยินในหมู่ผู้คน—กล่าวคือ หากพวกเขาไม่มีประสบการณ์หรือความรู้ในเรื่องนี้—ภายใต้สภาพการณ์ดังกล่าว กว่าคนคนนั้นจะเกิดความเข้าใจเชิงลึก ท่าที และมุมมองที่ถูกต้องขึ้นมา ย่อมจะใช้เวลา  แต่เหตุใดจึงกล่าวว่าผู้นำเทียมเท็จด้านชาและมืดบอด?  เพราะเราได้กล่าววจนะเอาไว้มากมายนัก แต่ไม่ว่าเราจะเปิดโปงและชำแหละสิ่งต่างๆ มากเพียงใด หรือยกตัวอย่างมากมายขนาดไหน ผู้นำเทียมเท็จกลับรู้เรื่องเหล่านั้นด้วยตัวเองหลังจากที่ได้ฟังวจนะของเราเท่านั้น แต่ก็ไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงในวจนะของเรา  นอกจากนี้ ยิ่งเราพูดมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งสับสนมากเท่านั้น  พวกเขาบอกว่า “มีเรื่องราวตั้งมากมาย วจนะก็ตั้งเยอะ เรื่องเล่าก็มากปานนั้น ใครจะจดจำทั้งหมดและเชื่อมโยงเข้ากับชีวิตจริงได้เล่า?  อย่าพูดมากนักเลย ฉันกำลังมีปัญหานิดหน่อยในการรับและทำความเข้าใจทั้งหมดนั้น  แค่บอกฉันก็พอว่าจะจัดการคนคนนี้อย่างไร  ควรขับไล่เขาหรือเก็บเขาเอาไว้?”  นี่คือความด้านชามิใช่หรือ?  เป็นความด้านชาอย่างที่สุด!  อันที่จริง การกล่าวว่าพวกเขาด้านชาก็เปิดช่องให้บ้างแล้ว เพราะคนคนนี้อาจจะยังอายุน้อย หรืออาจจะไม่ได้รับการศึกษา หรืออาจจะแก่มากแล้วและเลอะเลือนไปบ้าง—การกล่าวเช่นนี้เป็นการไว้หน้าเขา  แต่แท้จริงแล้ว นี่ก็คือการด้อยขีดความสามารถและไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริง  การอธิบายเช่นนี้จึงทำให้เรื่องนี้ชัดเจน

หากเกิดการขัดขวางและการก่อกวนที่ร้ายแรงในคริสตจักร และผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของปัญหาเหล่านี้ได้ พวกเขามีความสามารถพอที่จะทำงานของผู้นำหรือไม่?  พี่น้องชายหญิงจะสามารถได้รับการปกป้องภายใต้การนำของพวกเขาหรือไม่?  งานของคริสตจักร สภาพแวดล้อมในการทำหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง และระเบียบปกติในชีวิตคริสตจักรจะได้รับการปกป้องและธำรงไว้ได้หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้คือเรื่องพื้นฐานที่สุดที่ผู้นำและคนทำงานควรสัมฤทธิ์  ผู้นำเทียมเท็จสามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  พวกเขาทำไม่ได้  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะระบุหรือมองทะลุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน แล้วพวกเขาจะดำเนินงานขั้นต่อๆ ไปของตนได้อย่างไร?  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะแยกแยะเรื่องพื้นฐานที่สุด เช่น คนดีเป็นเช่นไร คนชั่วเป็นเช่นไร คนหลอกลวงเป็นเช่นไร หรือคนที่หน้าซื่อใจคดเป็นเช่นไร—แล้วพวกเขาจะจัดการงานของคริสตจักรได้อย่างไร?  พวกเขาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้  ไม่ใช่ว่าพวกเขาจงใจไม่ทำงานจริง หรือเกียจคร้านและมัวเมาในผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง เพียงแต่พวกเขาด้อยขีดความสามารถและไม่อาจทำงานของตนได้  นี่คือแก่นแท้ของปัญหา  ผู้คนที่ขีดความสามารถต่ำมากได้แต่พร่ำกล่าวคำพูดและคำสอน และยึดปฏิบัติตามข้อบังคับ ในระหว่างการชุมนุม พวกเขาก็ทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมและเตือนสติผู้อื่นโดยกล่าวสิ่งต่างๆ เช่น “จงเชื่อในพระเจ้าอย่างถูกควรเถิด!  คุณมัวเมาอยู่กับความสุขสบายทางเนื้อหนังในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร?  คุณยังคงละโมบเงินทองและสิ่งของทางโลกได้อย่างไร?  พระเจ้าต้องพระทัยสลายแน่!”  พวกเขาได้แต่กล่าวคำเทศนาจำพวกนี้  เมื่อเกิดการทำชั่วต่างๆ นานา เช่น การขัดขวาง การก่อกวน และการระบายความคิดลบ พวกเขากลับไม่อาจมองเห็นหรือระบุได้เลย  พี่น้องชายหญิงต้องการมีชีวิตคริสตจักรที่ปกติ แต่ก็ทำไม่ได้ ต้องการมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อทำหน้าที่ของตน แต่ก็มีไม่ได้  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ แล้วพวกเขามีประโยชน์อันใด?  พี่น้องชายหญิงต้องการใช้ชีวิตคริสตจักร เข้าใจความจริง แก้ไขความยากลำบากและสภาวะที่เป็นลบของตน  พวกเขามุ่งหวังด้วยความกระตือรือร้นว่าผู้นำและคนทำงานจะสามารถสามัคคีธรรมความจริงได้อย่างชัดเจนและครบถ้วนเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเหล่านี้  หากคริสตจักรหนึ่งมีผู้นำเทียมเท็จกุมอำนาจ ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเหล่านี้จะสามารถได้รับแก้ไขหรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจหัวใจของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และไม่สามารถมองเห็นความยากลำบากของประชากรเหล่านี้  พวกเขากลับกล่าวคำพูดและคำสอนต่อไป พร่ำพูดถึงแนวคิดที่สูงส่งแต่กลวงเปล่าแทน จนเป็นเหตุให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรผิดหวังอย่างยิ่ง  แล้วยังจะมีใครต้องการเข้าร่วมชุมนุมเป็นประจำกันอีก?  ผู้นำเทียมเท็จสามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และชำระพวกคนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ นักฉวยโอกาส และคนเสเพลที่เลวร้ายและรักสิ่งต่างๆ ทางโลกออกจากคริสตจักรตามพระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้า ป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้แทรกแซงและก่อกวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถใช้ชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติได้หรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จสัมฤทธิ์การทำเช่นนี้ได้หรือไม่?  พวกเขาทำไม่ได้  เมื่อมีคนร้องขอเช่นนี้ ผู้นำเทียมเท็จจะกล่าวว่าอย่างไร?  “คุณจู้จี้จุกจิกเหลือเกิน!  คุณคิดว่ามีแต่คุณคนเดียวที่รักพระเจ้าและอยากจงรักภักดีในการทำหน้าที่หรือ?  ใครบ้างไม่อยากทำอย่างนั้น?  พวกเขาก็เชื่อในพระเจ้าและได้รับเลือกสรรจากพระเจ้าเช่นกัน  แม้พวกเขาจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่พวกเราก็ควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้อง  อย่าเอาแต่จับผิดคนอื่นตลอดเวลา  ใช้โอกาสนี้ทบทวนและทำความรู้จักตัวเองให้มากกว่านี้เถิด คุณต้องเรียนรู้ที่จะอดทนและอดกลั้น”  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้เลอะเลือนและมืดบอด พวกเขาไม่มีหลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้คนประเภทต่างๆ เลย  พวกเขาไม่สามารถมองทะลุผู้คนที่ควรถูกควบคุมหรือเอาตัวออกไป กลับยอมให้ผู้คนเหล่านี้ทำอะไรก็ได้ตามต้องการและกระทำการเหมือนเผด็จการในคริสตจักร ให้พื้นที่ดำเนินการแก่พวกเขาอย่างเต็มที่ซึ่งสร้างความยุ่งเหยิงให้กับคริสตจักร จนถึงขั้นที่สามารถบรรยายระดับของความหลากหลายในคริสตจักรบางแห่งได้ด้วยวลีเดียวว่า คริสตจักรเหล่านั้นกลายเป็นที่รวมคนสารพัดประเภทโดยแท้  คนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ คนเสเพล เผด็จการเจ้าถิ่น แม้กระทั่งคนที่จะขายคริสตจักรและหักหลังพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตนเมื่อเผชิญอันตรายแม้เพียงน้อยนิด ล้วนปะปนอยู่ร่วมกันในคริสตจักรเหล่านี้  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองผู้คนเหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่ง และพวกเขาก็ไม่จัดการหรือพูดคุยกับคนเหล่านี้  เพราะฉะนั้น ภายใต้การนำของผู้นำเทียมเท็จที่มืดบอดและด้านชาเช่นนี้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงไม่สามารถได้รับการปกป้อง และงานของคริสตจักรรวมถึงระเบียบปกติในชีวิตคริสตจักรก็ไม่สามารถดำรงรักษาไว้ได้อย่างแน่นอน  ในชีวิตคริสตจักรที่ผสมปนเปกันเช่นนั้น คนที่รักความจริงและเต็มใจยอมรับความจริงจะสามารถเข้าใจและได้รับความจริงได้อย่างไร?  ผู้คนเหล่านั้นจะไม่รู้สึกปวดใจอย่างนั้นหรือ?  หากผู้นำคริสตจักรไม่สามารถประคับประคองงานของคริสตจักร ระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักร หรือสภาพแวดล้อมในการทำหน้าที่ของพี่น้องชายหญิงได้อย่างถูกควร หรือไม่สามารถรับรองความปลอดภัยในเรื่องเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วผู้นำคนนี้ย่อมเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างไม่ต้องสงสัย  แล้วเหตุใดเขาจึงได้ชื่อว่าผู้นำเทียมเท็จ?  นั่นก็เพราะเขามืดบอดและด้านชา ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ซ้ำซากที่คนชั่วขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในยามที่เรื่องนี้ก่อให้เกิดผลสืบเนื่องขึ้นมาแล้ว เขาก็ยังคงไม่สามารถจัดการและแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ ทั้งยังไม่สามารถประคับประคองงานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักรของพี่น้องชายหญิงได้อย่างถูกควรอีกด้วย  พูดอย่างสุภาพก็คือ ผู้นำดังกล่าวไม่มีความสามารถที่จะทำงานของตน กล่าวให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาล้มเหลวในหน้าที่รับผิดชอบของตนอย่างร้ายแรง  แม้จะรับใช้ในฐานะผู้นำ แต่พวกเขากลับปกป้องผลประโยชน์ของคนชั่วและผลประโยชน์ของข้ารับใช้ของซาตาน พร้อมกันนั้นก็ละเลยงานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พวกเขาปกป้องและยอมให้ผู้คนที่ชั่วขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรจนเป็นการทำร้ายพี่น้องชายหญิง  ดูจากขีดความสามารถและการสำแดงของพวกเขาแล้ว แม้พวกเขาจะเพียงด้อยขีดความสามารถและไม่มีความสามารถในการทำงานของตน ทั้งยังไม่สามารถระบุได้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ แต่ผลสืบเนื่องของการกระทำของพวกเขาต่องานของคริสตจักรกลับร้ายแรง  ธรรมชาติของการกระทำของพวกเขาจึงเหมือนกับธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ที่จัดตั้งอาณาจักรอิสระและกดขี่พี่น้องชายหญิง  คนทั้งสองประเภทนี้ปกป้องและให้อภัยคนชั่ว ปล่อยให้ข้ารับใช้ของซาตานกระทำการใดๆ ตามอำเภอใจในคริสตจักร  เพียงแค่ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำความชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างโจ่งแจ้งและเปิดเผยเหมือนที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ  พวกเขาไม่มีเจตนาที่จะดึงผู้คนมาเข้าพวกและให้ผู้คนเชื่อฟังตน แต่ผลสุดท้ายกลับเหมือนกับที่ศัตรูของพระคริสต์จัดตั้งอาณาจักรอิสระขึ้นมา  คนทั้งสองประเภทนี้ส่งผลให้พี่น้องชายหญิงที่รักความจริงและทำหน้าที่ของตนอย่างจริงใจถูกทำร้ายและทำลายจนย่อยยับ ไม่เหลือหนทางที่จะดำเนินชีวิต  ในสภาพแวดล้อมและชีวิตคริสตจักรเช่นนี้จึงยากยิ่งที่พี่น้องชายหญิงที่ทำหน้าที่ของตนด้วยความจริงใจจะก้าวหน้าในชีวิต และยากมากที่พวกเขาจะทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ  แน่นอนว่างานเผยแผ่ข่าวประเสริฐและงานด้านต่างๆ ของคริสตจักรย่อมถูกขัดขวางอย่างหนักและไม่อาจพัฒนาไปได้ตามปกติ  นี่คือการสำแดงประการแรกของผู้นำเทียมเท็จซึ่งพวกเรากำลังชำแหละกันในเรื่องหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสอง—คือไม่สังเกตเห็นและไม่สามารถรู้เท่าทันผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นรอบตัว  การสำแดงนี้เพียงพอที่จะระบุลักษณะว่าผู้คนเช่นนี้คือผู้นำเทียมเท็จ

II. ผู้นำเทียมเท็จไม่จัดการผู้คนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรตามหลักธรรม

สำหรับกิจข้อที่สองซึ่งกล่าวไว้คร่าวๆ ในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานนั้น พวกเราจะเปิดโปงและชำแหละการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จ  กิจข้อที่สองก็คือเมื่อมีการระบุถึงปัญหาแล้ว ผู้นำและคนทำงานควรใช้หลักธรรมความจริงแก้ปัญหาทันที  อย่างไรก็ดี ผู้นำเทียมเท็จไม่มีความสามารถที่จะทำกิจนี้ได้เช่นกัน  เพราะฉะนั้น การสำแดงประการที่สองของผู้นำเทียมเท็จที่พวกเราจะชำแหละกันก็คือ พวกเขาไม่รู้จักหลักธรรมสำหรับจัดการผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักร  เมื่อผู้นำเทียมเท็จมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักร พวกเขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับไม่เคยเข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร ไม่เคยทำความเข้าใจหลักธรรมของทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส ไม่รู้จักหลักธรรมและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับเรื่องต่างๆ  นี่ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จไม่มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริงและมีขีดความสามารถต่ำเป็นอย่างยิ่ง  บางคนกล่าวว่า “พระองค์ตรัสได้อย่างไรว่าขีดความสามารถของพวกเขาต่ำ?  พวกเขาทำอาหารเก่งมาก แต่งตัวทันสมัย และพูดจารื่นหูเวลามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ทุกคนชอบฟังพวกเขา”  รูปลักษณ์ของคนบ่งบอกแก่นแท้ของพวกเขาได้หรือไม่?  การทำสิ่งภายนอกบางอย่างได้ดีหมายความว่าพวกเขามีขีดความสามารถที่ดีอย่างนั้นหรือ?  การประเมิน วัด และระบุลักษณะของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ต้องมีมาตรฐานที่ถูกต้องแม่นยำเสมอ  มาตรฐานในการประเมินขีดความสามารถของคนคนหนึ่งก็คือ พวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างถ่องแท้หรือไม่  โดยหลักแล้ว การกล่าวว่าผู้คนเหล่านี้มีขีดความสามารถต่ำย่อมหมายความว่าพวกเขาไร้ความสามารถที่จะเข้าใจความจริง  พวกเราประเมินขีดความสามารถของคนคนหนึ่งตามความสามารถในการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นไปตามข้อเท็จจริงและยุติธรรมมากมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระผู้สร้าง เจ้าย่อมมีขีดความสามารถเช่นไร?  เจ้ามีความรู้สึกนึกคิดที่ใช้การได้หรือไม่?  คนเช่นนั้นไร้ขีดความสามารถของมนุษย์ ขีดความสามารถของพวกเขาต่ำถึงขนาดที่ไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้เสียด้วยซ้ำ—คนเช่นนั้นจะสามารถได้รับความจริงในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?

ตอนนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมและชำแหละการสำแดงประการที่สองของผู้นำเทียมเท็จกัน  ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้ว่าจะจัดการกับคนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างไร และไม่สามารถแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ได้  นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จด้อยขีดความสามารถ ไม่มีความสามารถในการเข้าใจความจริง และไม่มีขีดความสามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น บางคนท้าทายผู้นำเสมอไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำก็ตาม  ผู้นำเทียมเท็จก็สังเกตเห็นได้เช่นกันว่าคนคนนี้มีปัญหาและรู้สึกได้ว่าคนคนนี้ดูเหมือนคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาสามารถตรวจจับเค้าเงื่อนบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ได้ ซึ่งก็ไม่เลวนัก  แต่หากเจ้าถามพวกเขาว่า “อะไรทำให้คุณบอกว่าเขาดูเหมือนจะเป็นศัตรูของพระคริสต์และคนชั่ว?  มีหลักฐานเป็นการสำแดงจำเพาะต่างๆ หรือไม่?  เพียงเพราะเขาท้าทายทุกคนที่เป็นผู้นำอยู่เสมอ คุณก็สามารถกำหนดว่าเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์และเป็นคนชั่วได้แล้วหรือ?  เรื่องนั้นอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะระบุลักษณะของเขาเช่นนี้ นี่เป็นเพียงเรื่องของอุปนิสัย เป็นปัญหาเรื่องความโอหังและการคิดว่าตนเองถูก  เขามีธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์หรือเปล่า?  เป็นคนที่รังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริงหรือไม่?  เคยก่อกวนงานของคริสตจักรหรือไม่?  เคยกล่าวโทษผู้นำและคนทำงานทุกคนว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์หรือไม่?  เขาเคยทำอะไรแบบนี้หรือยัง?” ซึ่งพวกเขาก็ตอบว่า “ดูเหมือนจะเคยนะ”  เช่นนั้นหากเจ้าถามว่า “อย่างนั้นพวกเราควรระบุลักษณะเขาและจัดการเขาอย่างไร?” พวกเขาย่อมตอบว่าไม่รู้  หากเจ้าถามว่า “สำหรับคนจำพวกนี้ พวกเราควรตักเตือนและเปิดโปงเขาเพื่อช่วยให้พี่น้องชายหญิงได้รับวิจารณญาณแยกแยะหรือไม่?” พวกเขาก็ยังไม่รู้อยู่ดี  นี่คือกรณีของการไม่รู้อะไรเลยและไม่สามารถมองสิ่งใดให้ทะลุปรุโปร่งได้  พวกเขาสามารถสังเกตเห็นเค้าเงื่อนบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะจัดการหรือระบุลักษณะของผู้คนดังกล่าวตามหลักธรรมอย่างไร  แล้วพวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่?  จะสามารถช่วยประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้เรียนรู้บทเรียนได้หรือไม่?  ในเมื่อบุคคลเหล่านี้เป็นคนชั่วและเป็นศัตรูของพระคริสต์ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาย่อมจะถูกขับไล่  อย่างไรก็ดี หากเจ้าเอาตัวพวกเขาออกไปหรือแยกเดี่ยวก่อนที่พวกเขาจะทำความชั่วบางอย่างจริงๆ พวกเขาย่อมจะแสดงการท้าทายออกมา และพี่น้องชายหญิงก็จะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนั้น  ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องปล่อยให้พวกเขาปฏิบัติงานไปสักระยะหนึ่ง  เมื่อการกระทำชั่วของพวกเขาปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาเริ่มเผยแพร่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและข่าวลือที่ไม่มีมูล ชักพาให้พี่น้องชายหญิงหลงผิดและพยายามเอาชนะใจพี่น้องชายหญิง แย่งชิงอิทธิพลและอำนาจ จัดตั้งอาณาจักรอิสระ และพยายามรื้อทำลายงานของคริสตจักร ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะสามารถระบุแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาได้อย่างชัดเจน และสามารถลุกขึ้นมาเปิดโปง แยกแยะ และปฏิเสธพวกเขาได้เอง  จากนั้นเจ้าจึงจะสามารถเอาตัวพวกเขาออกไปและจัดการพวกเขาตามหลักธรรมความจริง  มีแต่การทำงานเช่นนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้พี่น้องชายหญิงเกิดวิจารณญาณแยกแยะ  ผู้นำเทียมเท็จรับมือและแก้ไขปัญหาได้ตามนี้หรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จไม่มีขีดความสามารถและปัญญาเช่นนี้  เจ้าเห็นผู้นำเทียมเท็จคนไหนสามารถจัดการคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างทันท่วงทีบ้างหรือไม่?  ไม่มีเลยสักคน  เพราะฉะนั้น ผู้นำเทียมเท็จย่อมจะไม่ปกป้องพี่น้องชายหญิงจากการก่อกวนของคนชั่วและการชักพาให้หลงผิดของศัตรูของพระคริสต์อย่างแน่นอน  หลังจากถูกปลด ผู้นำเทียมเท็จส่วนใหญ่ไม่เพียงไม่สามารถทำความรู้จักตนเองได้เท่านั้น แต่ยังพร่ำบ่นมากมายอีกด้วย พึมพำว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ยุติธรรมกับพวกเขา บอกว่านี่เหมือน “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” กล่าวอ้างว่าพวกเขาทุ่มเทความพยายาม แต่ไม่ได้รับการชื่นชมและถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม  หากเจ้าเปิดโปงว่าพวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาก็ยังคงท้าทายอยู่อย่างนั้น โดยคิดว่า “ฉันเคยเป็นผู้นำอยู่หลายปี ต่อให้ไม่มีความสำเร็จอะไร แต่อย่างน้อยฉันก็สู้ทนความยากลำบากมา  ทำไมถึงปลดฉันเล่า?  นี่ก็เหมือนกับเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล!”  ไม่ว่าเจ้าจะเปิดโปงพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ท้าทายไม่เลิก  พวกเขาถึงกับกล่าวว่า “ตอนที่ฉันพบตัวศัตรูของพระคริสต์ ฉันกังวลมากจนเป็นแผลในปากและนอนหลับไม่สนิทอยู่บ่อยครั้ง  หากฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จ ฉันจะแบกรับภาระขนาดนี้ได้อย่างไร?”  พวกเขาไม่ทำงานที่จำเป็นต้องทำ ไม่สามารถทำงานใดได้เลย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำสิ่งใด กระนั้นพวกเขาก็ยังคงชื่นชมตัวเองได้  นี่เป็นปัญหามิใช่หรือ?  ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน!

ในส่วนของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรนั้น ผู้นำเทียมเท็จรู้ชัดว่าปัญหาเหล่านั้นมีธรรมชาติที่ทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนงานของคริสตจักร แต่พวกเขาก็เพิกเฉยเสีย  เมื่อมองเห็นปัญหาที่ชัดแจ้ง พวกเขาก็เอาแต่ทำไปตามขั้นตอนและไม่กล้าเปิดโปงแก่นแท้ที่สำคัญยิ่งของปัญหาเหล่านั้น  เอาแต่พูดเป็นนัยและเตือนสติด้วยการประกาศคำสอนโดยไม่พูดถึงเนื้อแท้ของปัญหา แล้วก็จบเพียงเท่านั้น  เวลาพบเจอคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ พวกเขากลับทำอะไรไม่ถูก และใช้ท่าทีที่ไม่แยแสราวกับว่านั่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน  พวกเขาไม่รู้จักหนทางที่เหมาะสมที่สุดในการรับมือปัญหาเหล่านี้ ไม่รู้ว่าควรพูดจาอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ไม่รู้วิธีปกป้องพี่น้องชายหญิง และไม่แบกรับภาระใดๆ เลย  สิ่งเดียวที่พวกเขามีคือเจตจำนงที่ดีอยู่บ้างว่า “ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนชั่ว  ฉันจะไม่ยอมให้คุณก่อกวนและทำร้ายพี่น้องชายหญิง  ตราบใดที่ฉันยังอยู่ในตำแหน่งนี้ ฉันก็ต้องปกป้องพี่น้องชายหญิงและลุล่วงความรับผิดชอบของฉันให้ถึงที่สุด”  แบบนี้มีประโยชน์อะไร?  เจ้าแก้ปัญหาแล้วหรือยัง?  ขณะที่เจ้ามัวยุ่งอยู่กับความวิตกกังวล ศัตรูของพระคริสต์จะมัวอยู่เฉยหรือไม่?  จะเลิกก่อกวนงานของคริสตจักรหรือไม่?  เมื่อพวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นผู้นำที่ขี้ขลาดและไร้ประโยชน์ ไร้ปัญญาเปลืองอากาศหายใจ และแน่นอนว่าไม่มีความสามารถในการทำงาน พวกเขาก็จะไม่เห็นความสำคัญของเจ้าอีกต่อไป  ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วส่วนใหญ่เจ้าเล่ห์และยอกย้อนเป็นพิเศษ  พวกเขาก่อกวนและชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิด และเจ้าก็ไม่มีหนทางที่จะหยุดยั้งหรือควบคุมพวกเขาได้  ทั้งไม่รู้ด้วยว่าจะขอให้ใครมาช่วยแก้ไขปัญหา เจ้าเอาแต่วิตกกังวลและกระวนกระวายใจ ร้องไห้ในขณะอธิษฐาน  เจ้าดูน่าเวทนานัก ดูเหมือนเจ้าคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่งและใส่ใจพี่น้องชายหญิงมากเหลือเกิน  แม้แต่กับคนที่ชั่วอย่างเห็นได้ชัดเช่นศัตรูของพระคริสต์ เจ้าก็จัดการไม่ได้  เจ้าไม่สามารถชำแหละการกระทำและพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์ตามความจริงได้ และไม่สามารถเปิดโปงเจตนา แรงจูงใจ และพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์ต่อสาธารณะเพื่อช่วยให้พี่น้องชายหญิงเกิดวิจารณญาณแยกแยะขึ้นมา  เจ้าไม่สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้สักเรื่องเดียว  ผู้นำเทียมเท็จบางคนถึงกับกล่าวว่า “ไม่มีใครควรเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์  หากพี่น้องชายหญิงรู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นศัตรูของพระคริสต์และหลีกเลี่ยงพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์ก็จะหาทางแก้แค้น”  นี่คือคนขลาดที่ไร้ประโยชน์มิใช่หรือ?  ผู้คนแบบนี้สามารถจัดการงานของคริสตจักรได้หรือไม่?  จะปกป้องพี่น้องชายหญิงเพื่อให้พี่น้องชายหญิงสามารถมีชีวิตคริสตจักรที่ปกติได้หรือไม่?  นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาแบบไหน?  เวลาที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็สามารถประกาศคำสอนได้อย่างไม่รู้จบ แต่พอเกิดเรื่องขึ้น พวกเขากลับสับสนและเลอะเลือน ได้แต่ร้องไห้เท่านั้น  พวกเขาเป็นคนขลาดที่ไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?  ขณะที่เฝ้าดูพี่น้องชายหญิงถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและถูกคนชั่วก่อกวน พวกเขากลับทำอะไรไม่ถูก และไม่มีหนทางตอบโต้  พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำเรื่องพื้นฐานที่สุดอย่างการรวมตัวกับพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรที่ค่อนข้างมีสำนึกแห่งความยุติธรรม มีความเป็นมนุษย์ และสามารถยอมรับความจริงได้ เพื่อมาสามัคคีธรรมร่วมกัน ใช้พระวจนะของพระเจ้าแก้ปัญหาเหล่านี้ รวมถึงเปิดโปงและใช้วิจารณญาณแยกแยะศัตรูของพระคริสต์อย่างไร  คนเยี่ยงนี้ย่อมไร้ค่ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้นำเทียมเท็จบางคนระมัดระวังเกินไป ขลาดกลัว และไร้ประโยชน์  พวกเขาขลาดกลัวและไร้ประโยชน์ขนาดไหน?  เวลาคนชั่วออกมาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร พูดจาเกรี้ยวกราดและกำเริบเสิบสานเป็นพิเศษ พวกเขากลับหวาดกลัวจนตัวสั่น พลางคิดว่า “ฉันไม่กล้าจัดการคนคนนี้  เขาเป็นคนอันตราย เป็นคนชั่วในโลก  ถ้าฉันเปิดโปงเขาเพื่อปกป้องพี่น้องชายหญิง เขาก็จะหาอะไรมาเล่นงานและแก้เผ็ดฉันแน่ๆ  แล้วฉันจะเป็นผู้นำต่อไปได้อย่างไร?  เขารู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน  เขาจะทำร้ายครอบครัวของฉันไหม?  จะแจ้งความว่าฉันเชื่อในพระเจ้าหรือเปล่า?”  ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ไม่สามารถรับภาระงานของคริสตจักรได้  ความหวาดกลัวที่มากเกินเหตุทำให้พวกเขาจมปลักไม่ขยับเขยื้อน จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมสำหรับจัดการปัญหาและผู้คนดังกล่าว  ใครก็ตามที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรย่อมไม่ใช่คนที่ทำผิดเป็นครั้งคราวเท่านั้น  แต่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขากลับชั่วเสียจนพวกเขาทำผิดและกระทำชั่วมากมายโดยไม่ยั้งคิดเสมอ  บุคคลเช่นนี้มีแก่นแท้ของคนชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย  การจัดการคนชั่วจำเป็นต้องมีวิธีการที่เฉลียวฉลาดบางอย่างด้วยเช่นกัน  เจ้าจำเป็นต้องคำนึงถึงภูมิหลัง สภาพแวดล้อม และคำนึงว่าหลังจากที่ถูกจัดการแล้ว คนชั่วอาจจะกระทำการสิ่งใด และนี่อาจจะทำให้คริสตจักรเดือดร้อนหรือไม่  ต่อเมื่อพิจารณาแง่มุมเหล่านี้อย่างรอบคอบแล้วเท่านั้น เจ้าจึงสามารถจัดการกับเรื่องนั้นได้อย่างเหมาะสม ในหนทางที่ตรงตามหลักธรรมความจริงและใช้ปัญญา  คนที่เข้าใจความจริงย่อมจะเข้าใจหลักธรรมระหว่างที่จัดการปัญหาดังกล่าวโดยไม่รู้ตัว  ขณะที่พวกเขาทำงานนี้ พวกเขาก็จะค่อยๆ เข้าใจว่าควรปฏิบัติต่อผู้คนต่างๆ อย่างไร พัฒนาหนทางและวิธีการ และมีปัญญาอยู่ในหัวใจ  แต่ผู้นำเทียมเท็จนั้นไร้ซึ่งหนทาง วิธีการ และปัญญาเหล่านี้โดยสิ้นเชิง  เป็นเพราะพวกเขาไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่คำนึงว่างานในพระนิเวศของพระเจ้าจะได้รับผลกระทบหรือไม่ หรือผู้นำและคนทำงานจะเผชิญอันตรายหรือไม่  ในเมื่อพวกเขาไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจึงจัดการเรื่องต่างๆ โดยปราศจากหลักธรรมและที่ยิ่งกว่านั้นคือไม่ใช้ปัญญา  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้และไม่ถอดบทเรียนจากปัญหา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่เต็มใจเรียนรู้ ไร้ความสามารถ ละเลยงานที่ถูกควร และไม่สามารถทำงานใดๆ ได้  เมื่อเห็นคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทำความชั่วและทำให้เกิดการก่อกวน พวกเขาไม่เปิดโปงผู้คนเหล่านี้และไม่แก้ไขปัญหาเหล่านี้อีกด้วย  พวกเขาเอาแต่คำนึงถึงการปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรหรือการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเลย  ผู้นำเทียมเท็จบางคนรังแกคนอ่อนแอในขณะที่กลัวคนที่มีอำนาจมากกว่าตนด้วยเช่นกัน พวกเขารังแกและโอ้อวดพลังของตนกับคนที่ค่อนข้างหัวอ่อนอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ พวกเขากลับเอาแต่ยิ้มแย้มและประจบสอพลอเท่านั้น  พระเจ้าจะโปรดผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จที่ไร้หลักธรรมเช่นนี้ได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  พระนิเวศของพระเจ้าสามารถบ่มเพาะผู้คนที่รังแกคนอ่อนแอ หวาดกลัวคนที่แข็งแกร่ง และไม่มีสำนึกแห่งความยุติธรรมให้เป็นผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้!  ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อที่ไม่มีมโนธรรมหรือสำนึก และไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด พระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่ต้องการพวกเขา

เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในงานของผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาย่อมตอบสนองด้วยการบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบเสมอ  คำกล่าวที่พวกเขาพูดกันมากที่สุดก็คือ “ฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขาไปแล้ว”  ในที่นี้แฝงความนัยว่า “ฉันพูดทุกสิ่งที่จำเป็นต้องพูดไปแล้ว ดังนั้นเมื่อมีบางสิ่งผิดพลาด จึงเป็นความรับผิดชอบของพวกเขา  ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน”  นี่คือสาเหตุที่ประโยค “ฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขาไปแล้ว” กลายเป็นเครื่องรางและคติประจำตัวผู้นำเทียมเท็จ  หากผู้นำเทียมเท็จเห็นศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งทำตัวอยู่เหนือกฎเกณฑ์ กระทำการอย่างมัวเมา และทำให้เกิดการก่อกวนในคริสตจักร เขาก็ใช้วิธีการสามัคคีธรรมและช่วยเหลือเช่นกัน  หลังจากกล่าวคำพูดเตือนสติและตักเตือนไปบ้างแล้ว เขาก็ทึกทักว่าศัตรูของพระคริสต์คนนั้นจะเชื่อฟัง นบนอบ และไม่ชักพาผู้คนให้หลงผิดหรือก่อกวนชีวิตคริสตจักรอีกต่อไป  นี่คือสมมุติฐานที่โง่เขลามิใช่หรือ?  การใช้แนวทางที่โง่เขลามาควบคุมการก่อกวนจากศัตรูของพระคริสต์คือวิธีทำงานของผู้นำเทียมเท็จ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นความโง่เขลาโดยสิ้นเชิง!  ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำอะไรนอกจากยุ่งอยู่กับงานที่ไร้ประโยชน์อย่างมืดบอด  เขาเอาแต่ง่วนอยู่กับกิจธุระทั่วไปโดยไม่สามารถปฏิบัติงานที่สำคัญได้  ไม่ให้น้ำคนที่สามารถยอมรับความจริง ไม่ควบคุมคนที่ขัดขวางและก่อกวน ส่วนคนที่กระทำผิดโดยไม่ยั้งคิดและไม่ยอมเปลี่ยนแปลงทั้งที่ได้รับการตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ไม่เอาตัวออกไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาไม่สนใจว่าศัตรูของพระคริสต์ทำความชั่วและทำให้เกิดการก่อกวนอย่างไร  เขาไม่เปิดโปงและไม่แยกแยะคนเหล่านั้น ไม่ขับไล่หรือเอาตัวคนเหล่านั้นออกไป ปล่อยให้ศัตรูของพระคริสต์ทำชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักร  พวกเขาไม่ใส่ใจเลยและคิดว่าการทำชั่วของศัตรูของพระคริสต์นั้นไม่เกี่ยวข้องกับตน  ผู้นำเทียมเท็จสามารถทำงานของตนไปตามขั้นตอนเท่านั้น พวกเขาทำงานที่เป็นกิจธุระทั่วไปบ้าง จากนั้นก็คิดว่าตนได้ทำงานจริงและเป็นไปตามมาตรฐานของผู้นำและคนทำงานแล้ว  ไม่ว่าใครจะขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขาก็เอาแต่ท่องคำสอนบางอย่าง กล่าวเตือนสติและเตือนความจำไม่กี่คำ และคิดว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว  พวกเขาทำตัวยุ่งทั้งวัน จัดการทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ และคิดว่าตนทำงานดีแล้ว  ถึงกับคุยโวว่า “ดูคริสตจักรของพวกเราสิ  ทุกคนถูกใช้งานให้เป็นประโยชน์ คนที่สามารถประกาศข่าวประเสริฐก็กำลังประกาศข่าวประเสริฐ คนที่สามารถทำวิดีโอก็กำลังทำวิดีโอ คนที่ร้องเพลงได้ก็กำลังบันทึกเสียงเพลงนมัสการ—ชีวิตคริสตจักรของพวกเรากำลังรุ่งเรือง!”  อย่างไรก็ดี พวกเขามองไม่เห็นปัญหามากมายที่ซ่อนอยู่ในคริสตจักรเลย  พวกเขาไม่กล้าจัดการคนชั่วและผู้ไม่เชื่อที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเพิกเฉยคนเหล่านั้นเสีย  ทำเป็นมองไม่เห็นศัตรูของพระคริสต์ที่กระทำการตามหนทางของตนเอง แต่ละคนพยายามดึงผู้คนเข้าเป็นพวกและตั้งกลุ่มเล็กๆ ของตนขึ้นมา  พวกเขาไม่สามารถตอบคำถามมากมายของผู้เชื่อใหม่ที่หิวและกระหายความชอบธรรม  แทนที่จะหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเหล่านี้ ผู้นำเทียมเท็จกลับพยายามหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ ทั้งยังกล่าวอ้างด้วยว่า “ชีวิตคริสตจักรกำลังรุ่งเรือง”  นี่คือการเสแสร้งและหลอกลวงมิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จปล่อยให้ผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้อยู่ในคริสตจักรโดยไม่เอาตัวพวกเขาออกไปหรือจัดการกับพวกเขาเสีย ปล่อยให้พวกเขากระทำชั่วและทำชีวิตคริสตจักรให้ยุ่งเหยิงไปหมดโดยไม่ยั้งคิด พร้อมกันนั้นก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น  ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้มืดบอดอย่างยิ่ง!  พวกเขาทำตัวเป็นเกราะปกป้องผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ และถึงกับรู้สึกภาคภูมิใจในเรื่องนี้ คิดว่าการไม่เอาตัวคนเสื่อมทรามพวกนี้ออกไปคือการเปี่ยมรักและการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นี่คือการขัดขวางและการก่อกวนงานของคริสตจักรมิใช่หรือ?  นี่จงใจต่อต้านพระเจ้าและขัดแย้งกับพระองค์มิใช่หรือ?  แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ตระหนักรู้เรื่องนี้โดยสิ้นเชิง  หากเจ้าถามพวกเขาว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเหล่านี้ได้รับการแก้ไขหรือยัง พวกเขาย่อมตอบว่า “ฉันตัดแต่งพวกเขาแล้ว ฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขาไปแล้ว” ซึ่งแฝงนัยว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วและไม่เกี่ยวกับพวกเขาอีกต่อไป  นี่คือการบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบมิใช่หรือ?  สำหรับผู้นำเทียมเท็จ เมื่อใดที่มีคนประพฤติมิชอบ ตราบใดที่เขาตัดแต่งผู้กระทำความผิดอย่างสุกเอาเผากิน ให้การเตือนสติและเตือนความจำคนคนนั้นบ้าง งานของเขาย่อมเสร็จสิ้นแล้ว ราวกับว่าเขาได้แก้ไขปัญหาแล้ว  นี่คือการหลอกลวงมิใช่หรือ?  เห็นได้ชัดว่าพวกผู้นำเทียมเท็จล้มเหลวในการเอาตัวผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ออกไปอย่างทันท่วงที แล้วพวกเขาก็ให้ข้ออ้างลวงโลกโดยกล่าวว่า “ฉันสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขาแล้ว ทุกคนตระหนักถึงสิ่งที่ทำอะไรลงไปและรู้สึกเสียใจ พวกเขาทุกคนร้องไห้และบอกว่าพวกเขาจะกลับใจแน่นอน และจะไม่พยายามจัดตั้งอาณาจักรอิสระของตนเองอีกแล้ว”  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้กำลังหลอกตัวเองเหมือนเด็กเล่นขายของมิใช่หรือ?  ผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์พวกนี้รังเกียจความจริงกันทุกคน  ไม่มีใครยอมรับความจริงเลย และพวกเขาก็ไม่ใช่เป้าหมายที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด แต่เป็นเป้าหมายแห่งความรังเกียจและเกลียดชังของพระเจ้า  แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับปฏิบัติต่อผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ในฐานะพี่น้องชายหญิง และช่วยเหลือคนเหล่านี้อย่างเปี่ยมรัก ปัญหาในที่นี้มีธรรมชาติเช่นใด?  ใช่ความเบาปัญญาและไม่รู้ความหรือไม่ที่ยับยั้งไม่ให้พวกเขามองเห็นผู้คนเหล่านี้อย่างชัดเจน หรือพวกเขากำลังพยายามเอาใจคนเหล่านี้เพราะกลัวว่าจะไปล่วงเกินเข้า?  ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง และไม่ยอมรับความจริงหรือยอมรับความผิดพลาดของตนเมื่อถูกตัดแต่ง  นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย  พวกเขาไม่ทำงานตามที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมงานเอาไว้ให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์ พวกเขากลับกระทำการอย่างสุกเอาเผากิน  พวกเขาทำไปตามขั้นตอนด้วยการชำระคนที่ชั่วอย่างเห็นได้ชัดออกไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น  เมื่อถูกเปิดโปงและตัดแต่ง พวกเขาก็ถึงกับหาเหตุผลและข้ออ้างต่างๆ นานามาบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ และแก้ต่างให้ตัวเอง  ฉะนั้นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานจริงจึงเป็นเครื่องสะดุดที่กีดขวางไม่ให้ดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ผู้นำเทียมเท็จจัดการแต่งานบางอย่างที่เป็นกิจธุระผิวเผินทั่วไป ซึ่งเป็นงานที่ไม่มีคุณค่าอันใดเลย  พวกเขาไม่เคยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักร มีแต่จะหลีกเลี่ยงปัญหา  นี่ไม่เพียงถ่วงงานของคริสตจักรไม่ให้คืบหน้าตามปกติเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอีกด้วย  พูดตรงๆ ก็คือ ผู้นำเทียมเท็จขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ทำตัวเป็นโล่กำบังผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์  ในช่วงเวลาสำคัญของสงครามฝ่ายวิญญาณ พวกเขากลับยืนอยู่ฝ่ายคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์เพื่อต่อต้านและหลอกลวงพระเจ้า  นี่คือการสำแดงถึงการทรยศพระเจ้ามิใช่หรือ?  เมื่อพิจารณาจากทัศนะและพฤติกรรมของผู้นำเทียมเท็จย่อมชัดเจนว่า แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย และไม่สามารถทำงานของผู้นำได้โดยสิ้นเชิง

ผู้นำเทียมเท็จไม่ปฏิบัติต่อผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับปฏิบัติตามความชอบของตนเอง  พวกเขากระทำการโดยปราศจากหลักธรรม ทำสิ่งต่างๆ ตามที่ตนต้องการ  เมื่อเห็นศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนคริสตจักร ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่เกลียดชังศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาเชื่อว่าการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ศัตรูของพระคริสต์ฟังบ้างจะสามารถควบคุมการขัดขวางและการก่อกวนของคนเหล่านั้นได้  ศัตรูของพระคริสต์เป็นคนจำพวกใด?  เป็นพวกมาร เป็นเหล่าซาตาน!  ไม่ว่าจะเชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปี ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด พวกเขาสามารถขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร และก่อกวนการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้  พวกเขาคือหมู่มารและเหล่าซาตานในชีวิตจริง  ผู้นำเทียมเท็จหวังที่จะทำให้ศัตรูของพระคริสต์รู้สึกเสียใจและเปลี่ยนใจด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฟังสักสองบทตอน  นี่คือความโง่เขลาอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  ผู้คนอย่างศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริงเลย  ไม่ว่าจะกระทำชั่วมากเท่าใด พวกเขาก็จะไม่ทบทวนหรือทำความรู้จักตัวเอง และไม่ว่าจะทำผิดพลาดมากเท่าใด พวกเขาก็จะไม่ยอมรับข้อผิดพลาดของตน  พวกเขาคือคนเลวร้ายที่ถูกกำหนดให้ลงนรก แต่เจ้ากลับคิดว่าการอ่านพระวจนะของพระเจ้าสักสองบทตอนและกล่าวถ้อยคำเตือนสติบ้างก็จะเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้—นี่คือการคิดเพ้อฝันมิใช่หรือ?  หากมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามสามารถยอมรับความจริงได้ง่ายขนาดนั้น พระเจ้าก็จะไม่จำเป็นต้องทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสพระวจนะมากมายและแสดงความจริงมากมายเหลือเกินในพระราชกิจของพระองค์?  เพราะการช่วยผู้คนให้รอดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความยากลำบากของผู้คนมีมากมายเกินไป และการกบฏของพวกเขาก็ร้ายแรงเกินไป!  เฉพาะคนที่ยอมรับความจริงได้เท่านั้นที่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  คนที่รังเกียจและเกลียดชังความจริงไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด  อย่างไรก็ดี ผู้นำเทียมเท็จเชื่อว่าหากพวกเขากล่าวคำพูดที่รุนแรงกับผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์บ้าง บุคคลเหล่านี้ก็จะรู้สึกเสียใจและเริ่มทำความรู้จักตัวเอง ถึงตอนนั้นหากพวกเขากล่าวคำเตือนสติและชูใจบุคคลเหล่านี้บ้าง คนเหล่านี้ก็จะกลับใจ เป็นการทำให้คนเหล่านี้สามารถจดจ่ออยู่กับการทำหน้าที่ของตน กลายเป็นคนที่จงรักภักดี และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย เป็นการเปลี่ยนศัตรูของพระคริสต์ให้กลายเป็นแกะที่ว่านอนสอนง่าย  นี่เป็นแนวคิดที่โง่เขลามิใช่หรือ?  แนวคิดนี้โง่เขลาอย่างยิ่ง!  นี่เหมือนคำพูดเพ้อเจ้อของคนวิกลจริต—เรื่องจะง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร!  พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษามานานกว่าสามสิบปีแล้ว ผู้คนสัมฤทธิ์การรู้จักตนเองและการเปลี่ยนแปลงไปแล้วเท่าใด?  ผู้คนส่วนน้อยเท่านั้นที่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้บ้าง  คนที่ไม่รักความจริง ไม่ว่าจะฟังคำเทศนาไปมากเท่าใด อย่างมากก็เข้าใจเพียงคำสอนบางอย่างเท่านั้น  อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย แม้แต่พฤติกรรมอันดีงามและการทำดีก็แทบไม่มีให้เห็น  คนเหล่านี้เป็นคนแบบใด?  เป็นคนที่กินขนมปังให้อิ่มท้อง—พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย  พวกเขามุ่งเน้นที่การชื่นชมพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น ไล่ตามไขว่คว้าแต่พร เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานที่แต่งตัวให้ดูดี!  ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกไปแล้ว พวกเขาเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม กระดูกและเลือดของพวกเขาเต็มไปด้วยพิษของซาตาน  หากพวกเขายอมรับความจริงหรือการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าไม่ได้ แล้วพวกเขาจะนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดีได้อย่างไร?  พวกเขาจะยำเกรงพระเจ้าและหลีกเลี่ยงความชั่วได้อย่างไร?  การบรรลุถึงความรอดจะง่ายได้อย่างที่ผู้คนคิดกันกระนั้นหรือ?  ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามมานานหลายพันปี ถึงขั้นที่พวกเขากลายเป็นมารไปแล้ว  เวลานี้พระเจ้าได้เสด็จมาช่วยพวกเขาให้รอด และไม่ว่าพระองค์จะตรัสพระวจนะไปมากเท่าใด การเปลี่ยนผู้คนที่กลายเป็นมารไปแล้วให้กลับเป็นมนุษย์ที่แท้จริงย่อมเป็นงานที่ยากเย็นอย่างเหลือเชื่อ  ไม่เพียงพระเจ้าต้องทรงแสดงความจริงมากมายเท่านั้น แต่ผู้คนก็ต้องให้ความร่วมมืออย่างสุดความสามารถด้วยการไล่ตามเสาะหา ยอมรับ และปฏิบัติความจริงเช่นกัน—เช่นนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถเป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตานและบรรลุถึงความรอดจากพระเจ้า  พระเจ้าเคยตรัสว่า “ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว”  แม้จะมีผู้คนมากมายเชื่อในพระเจ้า แต่เฉพาะคนที่มีประสบการณ์ที่แท้จริงกับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า นบนอบพระราชกิจของพระองค์โดยสมบูรณ์เท่านั้น จึงสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และการทำให้เพียบพร้อม  ผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อยล้วนรังเกียจความจริงอยู่ในหัวใจ พวกเขาจะไม่มีวันได้รับความรอดจากพระเจ้า และได้แต่ถูกพระราชกิจของพระเจ้าเปิดเผยและกำจัดออกไปเท่านั้น  ผู้นำเทียมเท็จไม่มีความเข้าใจในพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาคิดถึงพระราชกิจแห่งการช่วยผู้คนให้รอดของพระเจ้าในแง่ที่ง่ายดายยิ่ง เชื่อว่าด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนให้คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ฟัง กล่าวคำพูดตัดแต่งที่เกรี้ยวกราดบ้าง คนเหล่านั้นก็จะกลับใจและเปลี่ยนไป และกลายเป็นคนที่ทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  นอกจากจะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่เข้าใจความจริงแล้ว นี่ยังเป็นเพราะว่าผู้นำเทียมเท็จมีขีดความสามารถที่ต่ำอย่างยิ่งอีกด้วย เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงไม่มีความเข้าใจในเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าและเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไรโดยสิ้นเชิง  การดูว่าคนคนหนึ่งมีแก่นแท้เป็นเช่นไร มีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ และควรได้รับการปฏิบัติอย่างไรนั้น จำเป็นต้องพิจารณาขีดความสามารถและท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง—เจ้าต้องสังเกตดูว่าพวกเขามีความเข้าใจในความจริงอย่างไรและสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่  แล้วอะไรคือพื้นฐานการประเมินว่าคนคนหนึ่งเข้าใจความจริงได้หรือไม่นี้?  นั่นขึ้นอยู่กับคุณภาพของขีดความสามารถของพวกเขาเป็นหลัก และขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าที่บริสุทธิ์หรือไม่  บางคนมีชีวิตอยู่จนอายุห้าสิบหรือหกสิบปี แต่ยังคงไม่สามารถมองทะลุถึงแก่นแท้และความเป็นจริงของความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์  พวกเขายังคงคิดฝันว่าสังคมมนุษย์งดงามและต้องการดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียวและสงบสุข  นี่เป็นความโง่เขลาและไร้เดียงสาอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  หากการเชื่อในพระเจ้าสามารถเปลี่ยนทุกคนให้กลายเป็นคนดีได้ พระเจ้าจะจำเป็นต้องทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนเพื่อช่วยผู้คนให้รอดหรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จไม่ระบุลักษณะของผู้คนต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับระบุตามพฤติกรรมภายนอกของคนเหล่านั้นและความประทับใจส่วนตน  งานที่พวกเขาทำก็ตื้นเขินมากเช่นกัน เหมือนเด็กเล่นขายของ  พวกเขาคิดว่าตนสามารถหาพระวจนะที่ถูกต้องของพระเจ้ามาใช้กับสถานการณ์หนึ่งๆ ได้ และเพียงอ่านพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนให้ผู้คนฟังก็จะเปลี่ยนแปลงผู้คนได้  “ดูสิ ภายใต้การนำและการเตือนสติของฉัน ด้วยการช่วยเหลืออย่างเปี่ยมรักของฉัน พระวจนะของพระเจ้าได้ส่งผลในตัวผู้คนแล้ว  พวกเขาไม่อยากเป็นศัตรูของพระคริสต์กันอีกต่อไป และเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงทัศนะของตนที่มีต่อการเชื่อในพระเจ้า  พวกเขาจะไม่แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กันอีกต่อไป และจะไม่จัดตั้งอาณาจักรอิสระ พวกเขาจะไม่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอีกแล้ว และจะไม่ชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิดหรือดึงเข้าเป็นพวกอีกต่อไป!”  เจ้าจะสามารถควบคุมพวกเขาได้หรือ?  เจ้าไม่มีทางควบคุมผู้คนที่ชั่วอย่างแท้จริงที่ทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนได้  เพราะพวกเขามีแก่นแท้ของคนชั่ว พวกเขากระทำชั่วได้ทุกเมื่อไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เมื่อใดที่มีโอกาส พวกเขาก็ทำความชั่ว  การที่เจ้าไม่เอาตัวพวกเขาออกจากคริสตจักรจะไม่เป็นไรกระนั้นหรือ?  พวกเขาจะสมัครใจเลิกทำชั่วกันหรือไม่?  พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นหมู่มารและเหล่าซาตาน!  ซาตานกับพวกมารต่อต้านพระเจ้ามากี่ปีแล้ว?  พวกมันยังคงต่อต้านพระเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้  ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วสารพัดชนิดที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรก็คือหมู่มารและเหล่าซาตานในชีวิตจริง พวกเขาคือศัตรูในชีวิตจริง  พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของตัวเองเพราะคำพูดไม่กี่คำของเจ้าหรือเพราะหัวใจที่เปี่ยมรักของเจ้าได้หรือ?  เจ้าช่างโง่เขลานัก!  คิดหรือว่าเจ้าสามารถช่วยผู้คนให้รอดจากบาปได้เพียงเพราะเจ้าเข้าใจคำสอนเล็กน้อย?  เจ้าช่วยให้พวกเขารอดได้หรือ?  พวกเขาถูกกำหนดให้ลงนรก ส่วนเจ้ากลับคิดว่าคำพูดดีๆ ไม่กี่คำจะเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้  มันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?  หากช่วยผู้คนให้รอดได้ง่ายขนาดนั้น พระเจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องตรัสพระวจนะมากมายเช่นนั้นหรือทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนแล้ว  พระองค์จะต้องใช้เวลามากมายและใช้โลหิตจากพระหทัยเป็นอันมากมาช่วยผู้คนให้รอดกระนั้นหรือ?

เวลานี้ได้มีการเผยผู้คนต่างๆ ในคริสตจักรออกมาและจำแนกพวกเขาตามประเภทเรียบร้อยแล้ว  ทุกคนควรถูกจำแนกไปตามประเภทของพวกเขา และในพระนิเวศของพระเจ้าก็มีหลักธรรมและกฎการปกครองเพื่อควบคุมว่าควรปฏิบัติและจัดการผู้คนประเภทต่างๆ อย่างไร  พระเจ้าทรงมีความอดทนและอดกลั้น ความกรุณาและความเมตตาอันเปี่ยมรัก รวมทั้งพระอุปนิสัยอันชอบธรรม—แต่อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงมีพระพิโรธและทรงมีบารมีด้วยเช่นกัน  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าต้องประสงค์ให้ทุกคนได้รับการช่วยให้รอดและไม่ต้องประสงค์ให้ผู้ใดทนทุกข์กับความพินาศ”  นี่เป็นความจริง แต่พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ “ทุกคน” ได้รับความรอด ไม่ใช่ทุกสิ่งหรือมารทุกตน  เมื่อผู้คนทนทุกข์กับความพินาศ พระเจ้าจึงทรงรู้สึกโทมนัสและเสียพระทัยยิ่ง  เมื่อหมู่มารทนทุกข์กับความพินาศ นั่นคือบทอวสานอันชอบธรรมและเป็นการลงโทษที่สาสมแล้ว พระเจ้าไม่เศร้าพระทัยกับพวกมัน  นี่คืออุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นหลักธรรมที่พระองค์ทรงใช้จัดการผู้คน  ผู้คนต้องการเห็นแย้งกับพระเจ้าเสมอ คิดไปว่าผู้ไม่เชื่อ ศัตรูของพระคริสต์ และคนชั่วพวกนั้นก็เป็นมนุษย์เช่นกัน  พวกเขาเชื่อว่าคนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอยู่ตลอดเวลาก็เป็นมนุษย์ คนที่แก่งแย่งสถานะและตั้งอาณาจักรอิสระก็เป็นมนุษย์ และคนที่ทำตัวเจ้าชู้อย่างต่อเนื่องก็เป็นมนุษย์เช่นกัน  พวกเขานำเอาบุคคลเหล่านี้ที่ล้วนเป็นพวกของหมู่มารมาจัดอยู่ในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นี่เป็นเรื่องเหลวไหลมิใช่หรือ?  การนี้สวนทางกับพระประสงค์ของพระเจ้ามิใช่หรือ?  เพราะมุมมองในเรื่องต่างๆ ของพวกเขาล้วนตรงข้ามกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงโดยสิ้นเชิง ความคิดเห็นที่พวกเขามีต่อบุคคลต่างๆ ที่คิดลบ หมู่มาร และเหล่าซาตาน ล้วนตรงข้ามกับพระวจนะของพระเจ้าทั้งสิ้น แตกต่างกันอย่างยิ่ง  พระเจ้าไม่เคยทรงถือว่าพวกมารที่ติดตามซาตานเป็นมนุษย์  พระเจ้าทรงระบุลักษณะของผู้คนเหล่านี้อย่างไร?  พวกเขาเป็นข้ารับใช้ของมารซาตาน เป็นสัตว์เดรัจฉาน  ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติต่อผู้ไม่เชื่อ หมู่มาร และข้ารับใช้ของซาตานเหล่านี้เหมือนพี่น้องชายหญิงด้วยเจตนาดีและด้วยความรักอันเลอะเลือน ทั้งยังถูกความคิดเพ้อฝันของตนบีบบังคับ  เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงแสดงความรักความเมตตาต่อคนเหล่านั้นอย่างมากมาย ช่วยเหลือและเกื้อหนุนอย่างสม่ำเสมอ  ด้วยเหตุที่ผู้นำเทียมเท็จหยิบยื่นความช่วยเหลือ การเกื้อหนุน และความเป็นผู้นำให้แก่ผู้คนเหล่านั้น ผลก็คือพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง ผู้ที่พระเจ้าต้องประสงค์ที่จะช่วยให้รอด ถูกทำให้ว้าวุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง ชีวิตคริสตจักรจึงไม่สามารถเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้อง และพี่น้องชายหญิงก็ไม่สามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงตามปกติโดยไม่ถูกคนชั่วก่อกวนได้เลย  นี่คือ “ความสำเร็จ” ของผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  “ความสำเร็จ” ของพวกเขาสำคัญมากทีเดียว ไม่เพียงพวกเขาจะไม่สามารถปกป้องพี่น้องชายหญิงเท่านั้น แต่ยังให้ความเคารพและการปกป้องที่ไม่สมควรแก่ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วพวกนั้นอีกด้วย  นี่คือการขัดขวางงานของคริสตจักรมิใช่หรือ?  ธรรมชาติของผู้นำเทียมเท็จที่ทำเช่นนี้มีคือการขัดขวาง แต่พวกเขากลับคิดว่าตนกำลังธำรงรักษางานของคริสตจักร กำลังช่วยเหลือและเกื้อหนุนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พระเจ้าทรงมองการกระทำเหล่านี้ของผู้นำเทียมเท็จอย่างไร?  พระเจ้าทรงชิงชังพวกเขา พระองค์ทรงชิงชังพวกเขาเป็นพิเศษ!  ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง กลับมุ่งเน้นที่การปกป้องดูแลคนชั่ว ทำตัวเป็นข้ารับใช้ของซาตาน  นี่ทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—คนที่รักความจริง—ไม่สามารถได้รับการเกื้อหนุนและสิ่งบำรุงเลี้ยงจากคริสตจักรแม้จะใช้ชีวิตคริสตจักรอยู่ก็ตาม แม้ต้องการทำหน้าที่ของตน แต่ก็ไม่อาจได้รับการรับรองความปลอดภัย  ผู้นำเทียมเท็จไม่รับรู้เรื่องเหล่านี้โดยสิ้นเชิงและคิดว่า “ฉันปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แล้วทำไมพวกคุณถึงพร่ำบ่นเล่า?  ฉันต้องทำอย่างไรกันแน่ถึงจะทำให้พวกคุณพอใจ?  นี่คือความหมายของการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรม  พวกคุณเอาแต่ทำตัวจุกจิกและเอาใจยาก!  อย่างไรก็ตาม ฉันต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า ฉันทำทุกอย่างเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า!”  พวกเขาไม่สนใจเหตุผลเลยมิใช่หรือถึงสามารถพร่ำเพ้อวาทกรรมเช่นนี้ออกมา?  พวกเขาโง่เขลาเป็นที่สุดมิใช่หรือ?  พวกเขาไร้เหตุผลและโง่เขลาอย่างที่สุดจริงๆ  พระนิเวศของพระเจ้าพูดทุกวันว่าพระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างไร แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่เคยเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาคิดว่าไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร มีแก่นแท้เช่นไร ไม่ว่าเขาได้ทำเรื่องชั่วเพียงใด และไม่ว่าความเป็นมนุษย์ของคนคนนั้นจะมุ่งร้ายขนาดไหน ท้ายที่สุดเขาย่อมจะกลับตัวและกลับใจภายใต้การชี้แนะจากพระวจนะของพระเจ้าและด้วยการช่วยเหลือของผู้คนที่คอยเกื้อหนุนอย่างเปี่ยมรัก  มุมมองเช่นนี้ผิดโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ?  (ใช่)  นอกจากจะมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างร้ายแรงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผู้นำเทียมเท็จยังแสร้งทำเป็นเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอีกด้วย โดยคิดอยู่ฝ่ายเดียวและดำเนินการตามความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวของตน พวกเขาจึงแสดงความเมตตาและความรักแก่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์  แล้วผลลัพธ์เป็นเช่นไร?  พวกเขาลงเอยด้วยการเป็นโล่กำบังคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ กลายเป็นคนสมรู้ร่วมคิดกับพวกนั้น มอบโอกาสและพื้นที่ให้พวกเขาใช้ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักร  ในขณะเดียวกัน พี่น้องชายหญิงที่ต้องการการปกป้องอย่างแท้จริงกลับถูกผู้นำเทียมเท็จเพิกเฉย โดยไม่เคยถามพี่น้องชายหญิงเลยว่า “พวกคุณรู้สึกอย่างไรบ้างที่มีศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเหล่านี้อยู่ในคริสตจักร รวมทั้งพวกที่ระบายความคิดลบและแพร่มโนคติอันหลงผิด?  พวกคุณเห็นด้วยหรือไม่กับการให้พวกเขาอยู่ในคริสตจักรต่อไป?  พวกคุณเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของพวกคุณและใช้ชีวิตคริสตจักรร่วมกับพวกเขาหรือไม่?”  พวกเขาไม่เคยถามว่าพี่น้องชายหญิงรู้สึกอย่างไรในเรื่องเหล่านี้  พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร—ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้น่าขยะแขยงมากใช่หรือไม่?  พวกเขาดำเนินงานโดยชูธงว่าเป็นผู้นำและคนทำงาน ดำรงตำแหน่งดังกล่าว แต่แท้จริงแล้วกลับทำงานเพื่อปกป้องซาตานและข้ารับใช้ของซาตาน  น่าเศร้าจริงๆ!  หากพวกเจ้าบอกว่าผู้นำและคนทำงานเยี่ยงนี้มีขีดความสามารถต่ำและไม่ทำงานจริง พวกเขาก็อาจจะไม่เชื่อ  พวกเขาจะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม คิดว่าตนมีงานรัดตัวทุกวัน ไม่ได้อยู่เฉย แล้วจะไม่ทำงานจริงได้อย่างไร?  แต่จากการสำแดงของพวกเขา—นั่นคือ การรู้สึกว่าจะหน้ามือหรือหลังมือก็คือเนื้อ จึงคิดว่าต้องปฏิบัติต่อคนทั้งสองกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน ใช้การปฏิบัติที่เป็นธรรมเป็นข้ออ้างที่จะปล่อยให้คนชั่วและคนที่ขัดขวางและก่อกวนเพื่อเป็นใหญ่ในคริสตจักร และยอมให้การทำชั่วต่างๆ ยืดเยื้ออยู่ในคริสตจักรต่อไป—ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้คืออะไร?  จากการสำแดงของพวกเขา วิธีและหลักการทำงาน รวมทั้งแรงจูงใจในการทำงานของพวกเขา พวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จและคนโง่ที่เลอะเลือนอย่างไม่ต้องสงสัย  การกล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)

ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมของกลุ่มคนหรือชนชั้นใดก็ไม่มีการจำแนกความแตกต่างระหว่างคนดีและคนชั่ว และยิ่งไม่หารือกันว่าซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร หรือแก่นแท้ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเป็นเช่นไร พวกเขาไม่แบ่งแยกดีชั่วด้วยซ้ำไป  แต่ในพระนิเวศของพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า ความจริงไม่เคยเปลี่ยนแปลง และพระวจนะของพระเจ้าก็ทำให้ทุกสิ่งสำเร็จลุล่วง  ในคริสตจักร ผู้คนสารพัดประเภทถูกพระวจนะของพระเจ้าเผยออกมา พวกเขาจึงถูกจำแนกไปตามประเภทโดยปริยาย  ควรนำผู้คนทุกประเภทมาใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามความเป็นมนุษย์ การไล่ตามเสาะหา และแก่นแท้ของพวกเขา  นี่คือการจำแนกผู้คนตามลำดับชั้นใช่หรือไม่?  นี่ไม่ใช่การจำแนกผู้คนตามลำดับชั้น แต่เป็นการระบุลักษณะของพวกเขา  แต่ละคนควรถูกจำแนกตามประเภท—พวกเขาควรถูกจัดให้อยู่ในที่ของตน  การอยู่ปะปนกันไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ การปะปนกันนั้นเป็นเรื่องชั่วคราวและมีระยะเวลาที่กำหนดแน่นอน  ตัวอย่างเช่น เมื่อข้าวละมานและข้าวสาลีขึ้นปะปนกัน หากการถอนข้าวละมานส่งผลต่อข้าวสาลีและอาจทำให้ข้าวสาลีตายได้ เช่นนั้นก็ยังไม่ควรถอนข้าวละมาน  แต่การไม่ถอนข้าวละมานก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการจัดหมวดหมู่ของข้าวเหล่านั้น—แล้วควรถอนข้าวละมานเมื่อใด?  เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระเจ้าจะทรงเตรียมเวลาเอาไว้ให้  ตอนนี้ถึงเวลาที่จะจำแนกคนแต่ละคนไปตามประเภทของตนแล้ว ผู้คนทุกประเภทต้องถูกจัดหมวดหมู่  นี่คือความจำเป็น  เหตุใดจึงต้องทำงานนี้?  เมื่อมองจากมุมมองทางทฤษฎี เรื่องนี้มีพื้นฐานอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า เมื่อมองจากมุมมองตามสถานการณ์จริง ก็มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้—มีคุณค่าในแง่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และการทำเช่นนี้ก็จำเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อการถอนข้าวละมานไม่ส่งผลต่อข้าวสาลี ก็ต้องถอนข้าวละมานและแยกออกจากข้าวสาลี  หากผู้ไม่เชื่อและคนชั่ว—ซึ่งก็คือพวกที่เป็นข้าวละมาน—ได้รับการปฏิบัติอย่างพี่น้องชายหญิง นั่นย่อมอยุติธรรมต่อพี่น้องชายหญิงทุกคนที่สละตนเพื่อพระเจ้าด้วยความจริงใจมากเกินไป  ประการหนึ่งคือ ผู้คนเหล่านี้ย่อมจะถูกคนชั่วที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรคอยรบกวน ชักจูง และทำร้ายบ่อยครั้ง  อีกประการหนึ่ง บางคนที่ด้อยวุฒิภาวะย่อมไม่เข้าใจความจริงและจะถูกบีบคั้น กลายเป็นคนที่คิดลบและอ่อนแอ หรือถึงกับสะดุดล้มเมื่อพวกเขาไปมาหาสู่กับคนชั่วที่คอยขัดขวางและก่อกวน  ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสิ่งที่คนที่คอยขัดขวางและก่อกวนทำ รวมทั้งทุกคำพูดที่พวกเขาพูด ล้วนก่อให้เกิดความโกลาหล ยุ่งเหยิง และสถานการณ์ที่ชุลมุนวุ่นวาย  สถานการณ์ที่ตรงตามความเป็นจริงมากที่สุดก็คือ เมื่อพวกเขาทำหน้าที่หรือทำงานบางอย่าง พวกเขากลับกระทำผิดโดยไม่ยั้งคิดและไม่ทำตามหลักธรรม นำไปสู่การสูญเสียกำลังคน ทรัพยากรวัตถุ และทรัพยากรทางการเงินเป็นอันมากโดยไม่มีผลสัมฤทธิ์ใดๆ  สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้น?  เมื่อพวกเขาถูกปลด ทุกคนต้องจ่ายให้กับการทำชั่วของพวกเขา  งานก็จำเป็นต้องทำใหม่ อีกทั้งแรงงาน ทรัพยากรวัตถุ เวลา และพลังงานที่ล้ำค่าที่สุดของทุกคนที่สละให้ก่อนที่บุคคลเหล่านั้นจะถูกปลด ล้วนสูญเปล่าเพราะการกระทำผิดโดยไม่ยั้งคิดของพวกเขาและไม่สามารถชดเชยได้  ผลกระทบที่เป็นลบซึ่งพวกเขานำมาสู่งานนี้ยิ่งใหญ่เกินไป!  ไม่มีใครแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้  ต่อให้ทำงานนี้ได้ดีในภายหลัง ก็ไม่มีใครสามารถชดเชยความสูญเสียที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นได้  บางคนบอกว่าให้พวกเขาคืนเงินมา นี่ก็ควรทำเช่นกัน แต่เงินซื้อเวลาได้หรือ?  เงินซื้อเวลาและพลังงานของพี่น้องชายหญิง หรือซื้อความจริงใจที่พี่น้องจ่ายไปได้หรือ?  ไม่ได้—สิ่งเหล่านั้นหาค่ามิได้!  ไม่ว่าจะมีกี่คนที่ทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนในคริสตจักร ผลที่ตามมาย่อมมากมายจนนับไม่ถ้วน  การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงจำนวนมากก็จะได้รับผลกระทบ  ความสูญเสียนั้นใหญ่หลวงและไม่อาจชดเชยได้  ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับชีวิตของพี่น้องชายหญิงสามารถชดเชยได้หรือไม่?  ใครจะชดใช้ให้กับความสูญเสียครั้งนี้?  ดังนั้นคนชั่วพวกนี้จึงต้องถูกชำระออกไป  พวกเขาไม่ใช่คนประเภทเดียวกับพี่น้องชายหญิงที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาเป็นพวกเดียวกับซาตานและหมู่มาร และมาที่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อก่อกวนและทำลาย  หากไม่เอาตัวคนชั่วพวกนี้ออกจากคริสตจักร ก็จะไม่มีวันรับประกันเรื่องงานของคริสตจักรและระเบียบในชีวิตคริสตจักรได้  ไม่ว่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะมีกี่คนก็ตาม ตราบเท่าที่มีคนคนหนึ่งในหมู่พวกเขาขัดขวางและก่อกวน—เป็นคนที่กระทำผิดโดยไม่ยั้งคิด ไม่เคยจัดการเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรม ไม่เคยยอมรับสิ่งที่เป็นบวกหรือความจริง ไม่เคยฟังใคร กระทำการอย่างดื้อรั้นตามอำเภอใจไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะหรืออำนาจหรือไม่ก็ตาม และเป็นซาตานที่มีชีวิตตนหนึ่งโดยแก่นแท้—ตราบใดที่มีคนเยี่ยงนี้อยู่ในคริสตจักร สักวันหนึ่งพวกเขาย่อมจะทำให้เกิดการก่อกวนและการทำลายงานของคริสตจักรครั้งใหญ่  เมื่อถึงวันที่จะจัดการกับพวกเขาและเอาตัวพวกเขาออกไป ผู้คนมากมายจะต้องเก็บกวาดผลสืบเนื่องอันไม่พึงประสงค์และสถานการณ์วุ่นวายที่พวกเขาก่อเอาไว้!  เพราะฉะนั้น การขับไล่หรือเอาตัวศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วพวกนี้ออกไปจึงเป็นงานสำคัญที่ผู้นำและคนทำงานควรรับผิดชอบและต้องไม่ประมาท  อย่างไรก็ดี ผู้นำเทียมเท็จกลับแสดงความเมตตาปรานีและความรักต่อพวกที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป ทำเป็นมองไม่เห็นการทำชั่วของพวกเขา ยอมผ่อนปรนและเกื้อกูลพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหญิง และถึงกับมองคนที่เป็นประโยชน์กับตนว่าเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ บ่มเพาะ และใช้งานพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขาจะทำเรื่องไม่ดีอะไร ผู้นำเทียมเท็จก็หาข้ออ้างมาช่วยให้พวกเขาพ้นผิด ถึงขั้นให้ความช่วยเหลือและเกื้อหนุนพวกเขาอย่างเปี่ยมรัก  ในระดับหนึ่ง นี่คือการจงใจขัดขวางมิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้นำเทียมเท็จกระทำการตามแนวคิดของตน ตามความเมตตาปรานีและความกระตือรือร้นของตนเอง ก่อปัญหามากมายให้กับคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในที่สุด!  หากคนชั่วพวกนี้กุมอำนาจ ความวิบัติและผลสืบเนื่องที่พวกเขานำมาให้คริสตจักรย่อมจะมากมายเกินคณานับ

ปัจจุบันมีข้อบังคับในพระนิเวศของพระเจ้าว่า ไม่ว่าใครกระทำความผิดก็ตาม ตราบใดที่เป็นการสร้างความสูญเสียให้แก่พระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาต้องชดใช้  หากการสูญเสียนั้นยิ่งใหญ่เกินไปและผลที่ตามมาก็ร้ายแรง จะสามารถแก้ปัญหาด้วยการชดใช้เป็นเงินเพียงอย่างเดียวหรือไม่?  ความสูญเสียบางอย่างไม่อาจชดใช้ด้วยเงินเป็นจำนวนเท่าใดก็ตาม เพราะเป็นความสูญเสียที่ไม่อาจแก้ไขและกู้คืนมาได้  แต่ละวันในเวลานี้ล้วนล้ำค่าและสำคัญยิ่ง  เมื่อวันหนึ่งผ่านไป จะเอาเวลากลับมาได้หรือ?  นั่นก็เอาคืนมาไม่ได้เช่นกัน  เหตุใดพวกเราจึงพูดว่าการพลาดบางสิ่งบางอย่างไปคือความเสียใจชั่วชีวิต?  เพราะเวลาไม่อาจย้อนคืนมาได้นั่นเอง  การที่เรากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?  เป็นการดีที่สุดที่จะป้องกันก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น แทนที่จะใช้เงินแก้ปัญหาหลังจากที่เกิดปัญหาขึ้นแล้ว  นี่คือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด  “วัวหายล้อมคอก” จึงเป็นทางเลือกสุดท้าย  การป้องกันเอาไว้ก่อนที่จะเกิดเรื่องย่อมดีที่สุด  นี่หมายความว่าก่อนที่จะเกิดการขัดขวางหรือการก่อกวนใดๆ ผู้นำและคนทำงานต้องมีวิจารณญาณแยกแยะที่ชัดเจนและมีความเข้าใจอันถ่องแท้เกี่ยวกับผู้คนหลากหลายประเภทในคริสตจักร เฝ้าสังเกตอย่างรอบคอบ รวมถึงจับสภาวะ อุปนิสัย และการไล่ตามเสาะหาของผู้คนหลากหลายประเภทอย่างทันท่วงที รวมทั้งท่าทีและมุมมองที่พวกเขามีขณะทำหน้าที่อีกด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนจะมีชีวิตคริสตจักรและสภาพแวดล้อมในการทำหน้าที่ของตนที่เป็นปกติ  เช่นนี้งานของคริสตจักรจึงจะก้าวหน้าได้อย่างเป็นระเบียบ  เหล่านี้คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  แน่นอนว่าผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำงานนี้ได้ พวกเขาเป็นคนโง่ที่เลอะเลือนและไร้ประโยชน์  คราวนี้พวกเขามีแนวคิดที่ฉลาดเฉลียวว่า “ใครไม่ทำตามหลักธรรมและทำงานพลาดจะถูกปรับ!  ถ้าศัตรูของพระคริสต์ทำอะไรผิด เขาก็จะถูกปรับ!”  พวกเขาคิดว่าการสั่งปรับเป็นทางแก้ที่ดีที่สุดและเป็นหลักปฏิบัติที่ดีที่สุด  หากปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ได้ด้วยการสั่งปรับ แล้วการไล่ตามเสาะหาความจริงจะมีประโยชน์อันใด?  เหตุใดจึงเรียกผู้นำเทียมเท็จว่าเทียมเท็จ?  เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง และถือว่าการทำตามข้อบังคับคือการปฏิบัติความจริง ถือว่าคำพูดและคำสอนที่พวกเขาเข้าใจคือความจริง และเมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้น ก็แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถหาหลักธรรมหรือแนวทางที่ถูกต้องพบ และไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นตอ  พวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและไม่สามารถจับความเข้าใจความหมายของพระเจ้าได้เลย แต่ก็ยังคงต้องการทำงานและเป็นผู้นำหรือคนทำงาน—ช่างโง่เขลาเหลือเกิน!  เมื่อมองในแง่นี้ สิ่งใดคือการสำแดงหลักของผู้นำเทียมเท็จ?  เขาไม่สามารถมองเข้าไปถึงแก่นแท้ของผู้คนประเภทต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ไม่สามารถจำแนกคนเหล่านั้นได้ และแน่นอนว่าไม่สามารถจัดการและปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นตามหลักธรรม  ในความรู้สึกนึกคิดของผู้นำเทียมเท็จ ทั้งหมดนี้เป็นความสับสนยุ่งเหยิง  พวกเขาคาดเดาพระวจนะของพระเจ้าและความหมายของพระองค์ตามความกระตือรือร้น มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันของตนเอง  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ยัดเยียดความเมตตา ความกระตือรือร้น ความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของตนให้กับพระเจ้า เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับความจริง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และสามารถเป็นตัวแทนพระประสงค์ของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ในการทำงานและในการนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นี่คือการสำแดงหลักของผู้นำเทียมเท็จ  พวกเราจะจบการสามัคคีธรรมถึงการสำแดงประการที่สองของผู้นำเทียมเท็จกันไว้ตรงนี้

III. ผู้นำเทียมเท็จไม่เปิดโปงและหยุดยั้งคนชั่ว

ต่อไป พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงการสำแดงประการที่สามของผู้นำเทียมเท็จ ซึ่งก็คือการเพิกเฉยและไม่สอบถามถึงผู้คนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร—แม้ในยามที่พวกเขาค้นพบว่าพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์กำลังก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขาก็ไม่ให้ความสนใจ  ธรรมชาติเช่นนี้ร้ายแรงกว่าการสำแดงสองประการแรก  เหตุใดจึงกล่าวว่าร้ายแรงกว่า?  การสำแดงสองประการแรกเกี่ยวข้องกับขีดความสามารถของผู้นำเทียมเท็จ แต่การสำแดงประการนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ของผู้นำเทียมเท็จ  ผู้นำเทียมเท็จบางคนมีขีดความสามารถที่ต่ำเสียจนไม่สามารถมองทะลุถึงธรรมชาติของการขัดขวางและการก่อกวนงานของคริสตจักร  แม้ผู้นำเทียมเท็จบางคนจะสามารถค้นพบปัญหาของการขัดขวางและการก่อกวนงานของคริสตจักร แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถจัดการและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้  พวกเขากระทำการตามแนวคิดและความกระตือรือร้นของตนเองเสมอ ทำสิ่งที่อยากทำ คิดในใจว่า “ตราบใดที่ฉันทำงานของคริสตจักรอยู่ นั่นดีพอแล้ว ส่วนคนที่ขัดขวางและก่อกวน นั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”  ยังมีผู้นำเทียมเท็จบางคนที่พอจะมีขีดความสามารถและสามารถทำงานได้บ้างเล็กน้อย และพอจะรู้หลักธรรมสำหรับจัดการผู้คนแต่ละประเภทอยู่บ้าง  อย่างไรก็ดี พวกเขากลับกลัวจะเป็นการล่วงเกินผู้คน ดังนั้นเมื่อพบตัวคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ที่ทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน พวกเขาจึงไม่กล้าเปิดโปง หยุดยั้ง หรือควบคุมคนเหล่านั้น  พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน และทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องที่พวกเขารู้สึกว่าไม่เกี่ยวข้องกับตน  พวกเขาไม่ใส่ใจเลยว่างานของคริสตจักรจะมีผลลัพธ์เช่นไร หรือการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะได้รับผลกระทบมากขนาดไหน พวกเขาคิดว่าเรื่องเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน  ดังนั้น ในช่วงที่ผู้นำเทียมเท็จดังกล่าวอยู่ในตำแหน่ง จึงไม่มีการธำรงระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักรเอาไว้ ไม่มีการปกป้องหน้าที่และการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ปัญหานี้มีธรรมชาติเป็นเช่นไร?  ไม่ใช่ว่าผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่สามารถทำงานได้เพราะพวกเขาด้อยขีดความสามารถ แต่เป็นเพราะพวกเขาด้อยความเป็นมนุษย์ ไม่มีมโนธรรมและสำนึก และพวกเขาไม่ทำงานจริง  แล้วผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้เทียมเท็จอย่างไร?  พวกเขาไร้ซึ่งมโนธรรมและสำนึกของความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ในช่วงที่พวกเขาทำงานเป็นผู้นำจึงไม่มีการแก้ไขปัญหาเรื่องที่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรแต่อย่างใด  พี่น้องชายหญิงบางคนถูกทำร้ายอย่างหนัก และงานของคริสตจักรก็ประสบความสูญเสียอย่างมหาศาล  เมื่อผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้สังเกตเห็นปัญหา เมื่อเขาพบเห็นคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ที่ทำให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน เขารู้ว่าตนมีความรับผิดชอบเช่นไร รู้ว่าตนควรทำสิ่งใด และควรทำอย่างไร แต่เขากลับไม่ทำอะไรเลย และถึงกับแสร้งโง่ เพิกเฉยโดยสิ้นเชิง และไม่รายงานเรื่องดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาของตน  เขาเสแสร้งว่าตนไม่รู้และไม่เห็นสิ่งใดเลย เปิดโอกาสให้คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร  ความเป็นมนุษย์ของเขามีปัญหามิใช่หรือ?  เขาอยู่ฝ่ายเดียวกับคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  เขาใช้หลักธรรมใดในฐานะที่เป็นผู้นำคนหนึ่ง?  “ฉันไม่ได้ทำให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน แต่ฉันก็จะไม่ทำอะไรที่เป็นการล่วงเกิน หรือทำร้ายศักดิ์ศรีของคนอื่น  และจะยังคงไม่ทำสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินแม้จะระบุว่าฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จ  ฉันจำเป็นต้องเผื่อทางออกไว้ให้ตัวเอง”  นี่เป็นตรรกะจำพวกใด?  เป็นตรรกะของซาตาน  แล้วเป็นอุปนิสัยประเภทใด?  เจ้าเล่ห์และหลอกลวงอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  คนประเภทนี้ไม่ปฏิบัติต่อพระบัญชาของพระเจ้าด้วยความจริงใจแม้แต่น้อย ใช้ความเจ้าเล่ห์และปลิ้นปล้อนมาปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เสมอ มีการคิดคำนวณที่ร้ายกาจมากมายนัก และคิดถึงตนเองในทุกเรื่อง  เขาไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรแม้สักนิด ไม่มีมโนธรรมหรือสำนึกเลย  โดยพื้นฐานแล้ว เขาไม่คู่ควรที่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำคริสตจักร  ผู้คนเช่นนี้ไม่แบกรับภาระงานของคริสตจักรหรือการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแม้แต่น้อย  พวกเขาใส่ใจแต่ผลประโยชน์และความสุขสำราญของตนเอง มุ่งเน้นแต่จะหลงระเริงไปกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง ไม่ห่วงใยเลยว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะอยู่ในภาวะเช่นใด  นี่คือคนที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจที่สุดมิใช่หรือ?  แม้ในยามที่พวกเขาพบเจอคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขาก็ไม่สนใจ ราวกับว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตน  นี่ก็เหมือนคนเลี้ยงแกะที่เห็นหมาป่ากำลังกินแกะอยู่ แต่กลับไม่ทำอะไรเลย สนใจแต่จะรักษาชีวิตของตนเองไว้เท่านั้น  คนเช่นนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้เลี้ยง  ทุกสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ทำย่อมเป็นไปเพื่อปกป้องความมีหน้ามีตา สถานะ อำนาจ และผลประโยชน์ต่างๆ ที่พวกเขาสุขสำราญอยู่ในตอนนี้ให้มากที่สุดเท่านั้น  หัวใจของพวกเขาไม่มีภาระต่อพระบัญชาของพระเจ้า งานของคริสตจักร หรือการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ซึ่งเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเขา โดยพวกเขาไม่เคยคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เลย  พวกเขาคิดว่า “ทำไมผู้นำต้องทำงานพวกนี้?  ทำไมการไม่ทำงานเหล่านี้ถึงส่งผลให้ถูกตัดแต่งและกล่าวโทษ ถูกพี่น้องชายหญิงปฏิเสธ?”  พวกเขาไม่เข้าใจและไม่แยแสโดยสิ้นเชิง  ในหัวใจของเรา ไม่ว่าคนจำพวกนี้จะดูเหมือนประพฤติตัวดีเพียงใด หรือทำตามกฎ เงียบขรึม หรือขยันและมีความสามารถเช่นไร ข้อเท็จจริงที่พวกเขากระทำการโดยไร้หลักธรรมและไม่รับผิดชอบงานของคริสตจักรก็ทำให้เราต้องมองพวกเขาเสียใหม่  ในที่สุดเราจึงนิยามคนประเภทนี้ไว้ดังนี้ว่า พวกเขาอาจจะไม่ทำความผิดใหญ่โต แต่ก็กลิ้งกลอกและหลอกลวงมาก พวกเขาไม่รับผิดชอบสิ่งใดเลย ไม่ค้ำจุนงานของคริสตจักรโดยสิ้นเชิง—พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์  เรารู้สึกว่าพวกเขาก็เหมือนสัตว์ชนิดหนึ่ง—เพราะความเจ้าเล่ห์ พวกเขาจึงเหมือนสุนัขจิ้งจอกอยู่บ้าง  ผู้คนกล่าวว่าสุนัขจิ้งจอกนั้นเจ้าเล่ห์ แต่ที่จริงแล้ว ผู้คนเหล่านี้เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าสุนัขจิ้งจอกเสียอีก  ดูภายนอกเหมือนพวกเขาไม่ได้ทำความชั่วอันใด แต่แท้จริงแล้ว ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดและทำก็เพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตนเอง  ทุกสิ่งที่พวกเขาทำล้วนมีจุดประสงค์เพื่อที่จะสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะตำแหน่ง และพวกเขาก็ไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย  พวกเขาไม่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในงานของคริสตจักรแม้แต่น้อย และไม่จัดการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่ทำงานใดๆ เพื่อนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  แล้วทุกสิ่งที่พวกเขาทำมีจุดประสงค์ใดกันแน่?  แค่เอาใจผู้คนและทำให้ผู้อื่นมองว่าพวกเขาสูงส่งเท่านั้นหรือ?  พวกเขาพยายามทำให้ทุกคนคิดกับตนในทางที่ดีโดยไม่ล่วงเกินใคร ดังนั้นจึงสุขสำราญกับความมีหน้ามีตาและผลประโยชน์จากสถานะตำแหน่งของตน  สิ่งที่ทำให้นึกเกลียดพวกเขามากที่สุดก็คือการกระทำทุกอย่างของพวกเขาไม่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แต่พวกเขากลับชักพาผู้คนให้หลงผิด ทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสและบูชาพวกเขาแทน  ผู้คนเหล่านี้กลิ้งกลอกและหลอกลวงยิ่งกว่าสุนัขจิ้งจอกเสียอีกมิใช่หรือ?  พวกเขาคือแบบฉบับของผู้นำเทียมเท็จโดยแท้  พวกเขามีสถานะเป็นผู้นำและดำรงตำแหน่งนี้ แต่กลับไม่ทำงานจริง จัดการกิจธุระทั่วไปบางอย่างที่ตื้นเขินและมองเห็นได้เท่านั้น หรือไม่ก็ทำงานที่เบื้องบนมอบหมายมาให้เป็นพิเศษบ้างอย่างเสียมิได้  หากไม่มีการมอบหมายเป็นพิเศษจากเบื้องบน พวกเขาก็ไม่ทำงานของคริสตจักรที่เป็นสาระสำคัญเลย  ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประคับประคองงานของคริสตจักรและธำรงรักษาระเบียบในชีวิตคริสตจักรนั้น พวกเขากลับกลัวว่าจะล่วงเกินผู้คนและไม่กล้าค้ำชูหลักธรรม  ไม่แก้ปัญหาที่หมักหมมอยู่ในงานของคริสตจักร และแม้ในยามที่มองเห็นทรัพย์สินในพระนิเวศของพระเจ้าถูกศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วใช้อย่างฟุ่มเฟือย พวกเขาก็ไม่ทำอะไรเพื่อหยุดยั้งหรือควบคุมเลย  พวกเขารู้ชัดอยู่ในหัวใจว่าผู้คนเหล่านี้กำลังทำความชั่วและทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย แต่พวกเขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้และไม่พูดอะไรสักคำ  นี่คือผู้คนที่กลิ้งกลอกและหลอกลวง  คนเหล่านี้เจ้าเล่ห์กว่าสุนัขจิ้งจอกมิใช่หรือ?  ภายนอกพวกเขาทำตัวเป็นมิตรกับทุกคนและไม่ทำสิ่งที่ทำร้ายใคร แต่พวกเขากลับประวิงเรื่องสำคัญซึ่งก็คือการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร งานของคริสตจักร และงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ผู้คนเช่นนี้คู่ควรที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานหรือไม่?  พวกเขาคือข้ารับใช้ของซาตานมิใช่หรือ?  พวกเขาคือคนที่คอยขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรมิใช่หรือ?  แม้ภายนอกพวกเขาจะไม่เคยกระทำความชั่วอย่างโจ่งแจ้ง แต่ผลสืบเนื่องของการที่พวกเขาทำงานเช่นนี้กลับยิ่งร้ายแรงกว่าการกระทำความชั่วเสียอีก  พวกเขากีดขวางไม่ให้ดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร  พวกเขาทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและทำลายได้แม้กระทั่งความหวังที่จะได้รับความรอดของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  จงบอกเราเถิดว่านี่คือการกระทำความชั่วไม่ใช่หรือ?  แท้จริงแล้วนี่คือสิ่งที่คนที่ชอบเอาใจผู้คนและไม่ค้ำชูหลักธรรมแม้แต่น้อยกระทำกัน  ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่สามารถรับรู้ได้อย่างถ่องแท้ถึงผลสืบเนื่องอันเลวร้ายจากการที่ผู้นำเทียมเท็จทำงานในหนทางนี้ และพวกเขาก็ไม่สามารถจับความเข้าใจได้ว่าคนเหล่านั้นมีเจตนา แรงจูงใจ และจุดประสงค์เช่นไร  เจ้าจะไม่มีวันหยั่งได้เลยว่าแท้จริงแล้วในหัวใจของพวกเขาต้องการทำสิ่งใด—ผู้คนเยี่ยงนี้กลิ้งกลอกเกินไป!  กล่าวในเชิงเปรียบเปรยแล้ว พวกเขาก็คือสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ กล่าวให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาคือหมู่มารที่มีชีวิต เป็นมารที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คน!

เมื่อพูดถึงเรื่องที่ว่าควรระบุลักษณะผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้อย่างไร หากดูตามแก่นนิสัยของพวกเขาแล้ว ไม่สามารถจัดให้พวกเขาอยู่ในหมวดหมู่ของคนชั่ว ศัตรูของพระคริสต์ คนหน้าซื่อใจคด และอื่นๆ ตามอำเภอใจได้  อย่างไรก็ดี เมื่อตัดสินจากสิ่งที่พวกเขาสำแดงให้เห็น เช่น การสำแดงของความเป็นมนุษย์ของพวกเขาและท่าทีที่พวกเขามีต่องานของคริสตจักร รวมถึงการที่พวกเขาไม่จัดการแก้ปัญหาที่ตนพบเจอแล้ว พวกเขาก็คือผู้นำเทียมเท็จประเภทที่ต่ำทรามที่สุด  เมื่อตัดสินจากการสำแดงต่างๆ ของพวกเขา แม้พวกเขาจะไม่ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกหรือตั้งอาณาจักรอิสระของตนเองในเชิงรุก แทบไม่เป็นพยานยืนยันให้ตนเอง และแม้พวกเขาจะสามารถเข้ากันได้ดีกับพี่น้องชายหญิง สู้ทนความยากลำบาก จ่ายราคา เว้นจากการลักของถวาย และถึงกับควบคุมตัวเองอย่างเข้มงวดไม่ให้เสาะหาสิทธิพิเศษต่างๆ แต่พอพวกเขาเผชิญหน้าผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร หรือผู้คนต่างๆ ที่ผลาญของถวายและทำให้ทรัพย์สินในพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย พวกเขากลับไม่หยุดยั้งหรือจัดการกับคนเหล่านั้น ไม่พูดอะไรหรือทำงานใดๆ เลย  ผู้คนเช่นนี้น่ากลัวมาก!  เป็นผู้นำเทียมเท็จชนิดที่น่ารังเกียจที่สุด คนเหล่านี้เกินจะไถ่ได้!  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาเกินจะไถ่?  ไม่ใช่ว่าพวกเขาขีดความสามารถต่ำหรือไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า—พวกเขามีความสามารถที่จะเข้าใจและมีฝีมือที่จะทำงานได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อพบเจอคนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขากลับไม่จัดการหรือแก้ไข  พวกเขามือทำงานนี้บ้างอย่างเสียมิได้ก็ต่อเมื่อถูกผู้นำระดับสูงขึ้นไปกำกับดูแลอย่างเข้มงวดและสอบถามบ่อยๆ หรือเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่งเท่านั้น  ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานนี้หรือไม่ หรือทำงานนี้อย่างไร การปกป้องตนเองคือสิ่งสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง  พวกเขาไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานเลย  นอกจากปกป้องตนเองและดูแลรักษาผลประโยชน์ของตนเองแล้ว พวกเขาไม่ทำงานที่เป็นสาระสำคัญ และเอาแต่ปฏิบัติงานที่ตื้นเขินบ้างเล็กน้อย ซึ่งพวกเขาต้องทำอย่างไม่มีทางเลือก  นอกจากปกป้องตัวเองแล้ว พวกเขาก็ไม่ใส่ใจเรื่องใดอีก  พวกเขากลิ้งกลอกและเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าสุนัขจิ้งจอกมิใช่หรือ?  บางคนกล่าวว่า “การกินสัตว์เล็กเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของสุนัขจิ้งจอก ดังนั้นการปกป้องตนเองก็เป็นสัญชาตญาณหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จเช่นกันไม่ใช่หรือ?”  นี่คือสัญชาตญาณหรือไม่?  นี่คือธรรมชาติของพวกเขา!  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ปกป้องสถานะ ชื่อเสียง และหน้าตาของตน ธำรงรักษาสัมพันธภาพกับผู้คน และหลีกเลี่ยงการล่วงเกินใครๆ โดยแลกกับการทำให้พระนิเวศของพระเจ้าเสียผลประโยชน์และทำลายงานของคริสตจักร  พวกเขาไม่ทำแม้แต่จะจัดการปลดหรือปรับเปลี่ยนบุคลากรด้วยตนเอง แต่กลับมอบหมายให้ผู้อื่นทำแทนตน  พวกเขาคิดว่า “หากคนคนนั้นหาทางแก้แค้น เขาก็จะไม่มาตามล่าฉัน  ฉันจำเป็นต้องปกป้องตัวเองก่อนไม่ว่าจะเผชิญสถานการณ์เช่นใดก็ตาม”  ผู้คนเหล่านี้เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!  ในฐานะผู้นำ แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็รับผิดชอบไม่ได้ แล้วเจ้าคู่ควรที่จะเป็นผู้นำหรือไม่?  เจ้าเป็นเพียงคนขลาดที่หาประโยชน์ไม่ได้เท่านั้น!  เมื่อไม่มีความกล้าหาญแม้เพียงเท่านี้ เจ้ายังเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าอยู่หรือ?  ผู้คนที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบในการทำหน้าที่ของตนนั้นใช่ผู้ติดตามพระเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าไม่ทรงต้องการคนเช่นนี้  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้เจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกงเหมือนสุนัขจิ้งจอก  เวลาพบเห็นคนที่ทำให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน พวกเขาทั้งไม่จัดการและไม่แก้ไข—พวกเขาไม่ทำงานจริงโดยแท้  ไม่ว่าจะถูกเปิดโปงและตัดแต่งอย่างไร พวกเขาก็ไม่ลงมือทำ  ในเมื่อเจ้าไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน เหตุใดเจ้าจึงยึดครองตำแหน่งนั้นไว้เล่า?  เพื่อให้เจ้าได้เป็นส่วนหนึ่งของไม้ประดับกระนั้นหรือ?  เพื่อให้เจ้าสามารถหลงระเริงไปกับผลประโยชน์จากสถานะตำแหน่งกระนั้นหรือ?  เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะได้อะไรเช่นนั้น!  เมื่อไม่ทำงานจริงแต่กลับต้องการให้พี่น้องชายหญิงเคารพและเลื่อมใสบูชาเจ้า—นี่คือวิธีคิดของมารตนหนึ่งมิใช่หรือ?  ช่างไร้ยางอายนัก!  บางคนกล่าวว่าพวกเขาไม่ต้องการเป็นผู้นำเลย  แล้วเจ้ายังรักษาความมีหน้ามีตาและสถานะของตนไว้เพื่ออะไรกัน?  เจ้าชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วยจุดประสงค์ใด?  หากเจ้าไม่ต้องการเป็นผู้นำ เจ้าก็สามารถชิงลาออกได้  เหตุใดเจ้าจึงไม่ลาออกเล่า?  เหตุใดเจ้าจึงยึดครองตำแหน่งนั้นเอาไว้และไม่ยอมลงจากตำแหน่ง?  หากเจ้าไม่ต้องการลาออก เช่นนั้นเจ้าก็ต้องทำงานที่แท้จริงบางอย่างด้วยความรับผิดชอบ  ไม่มีทางเลือกอื่น—นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า  หากเจ้าไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้ ก็จะเป็นการดีที่สุดหากเจ้าแสดงความรับผิดชอบและลาออกไปเสีย เจ้าไม่ควรถ่วงให้งานของคริสตจักรล่าช้า หรือทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  หากเจ้าไม่มีแม้แต่มโนธรรมและสำนึกในส่วนนี้ เจ้าจะยังมีความเป็นมนุษย์อยู่หรือ?  เจ้าไม่คู่ควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์!  ไม่ว่าจะสามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้หรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยที่สุด ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าสมควรได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ก็ต่อเมื่อพวกเขามีมโนธรรมและสำนึกอยู่บ้างเท่านั้น

การเป็นผู้นำหรือคนทำงานนั้น คนเราต้องมีขีดความสามารถระดับหนึ่ง  ขีดความสามารถของคนคนหนึ่งกำหนดความสามารถในการทำงานและระดับความเข้าใจที่พวกเขามีต่อหลักธรรมความจริง  หากเจ้าไม่ค่อยมีขีดความสามารถและไม่มีความเข้าใจในความจริงที่ลึกซึ้งเพียงพอ แต่เจ้าสามารถปฏิบัติได้มากเท่ากับที่เจ้าสามารถเข้าใจ เจ้าสามารถนำสิ่งที่เจ้าเข้าใจไปปฏิบัติ มีความบริสุทธิ์ใจและซื่อสัตย์ ไม่วางอุบายใดๆ เพื่อตัวเจ้าเองหรือไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ และเจ้าสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นบุคคลที่ถูกต้อง  อย่างไรก็ดี ผู้นำเทียมเท็จไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้เลย  พวกเขาไม่ใส่ใจกับปัญหาเรื่องการขัดขวางและการก่อกวนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสตจักร ต่อให้สังเกตเห็นปัญหาเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่ให้ความสนใจ  หากถามไปว่าพวกเขาตระหนักถึงสถานการณ์นั้นหรือไม่ พวกเขาย่อมตอบว่า “ฉันคิดว่าฉันพอจะรู้บ้าง แต่ไม่ได้รู้ไปเสียทุกเรื่อง”  เรื่องนี้เกิดขึ้นใต้จมูกของเจ้า—เหตุใดจึงพูดว่าเจ้าไม่รู้เรื่อง?  เจ้าพยายามหลอกให้ผู้คนหลงเชื่ออยู่มิใช่หรือ?  ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้ว แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าเคยทำงานบ้างหรือยัง?  เคยพยายามคิดหาทางแก้บ้างหรือไม่?  พวกเขาตอบว่า “คนคนนั้นมีขีดความสามารถที่ดีกว่าฉัน เขาพูดจาฉะฉานและพูดจาดี ฉันเลยไม่กล้าไปยุ่งกับพวกเขา  จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันจัดการแก้ไขอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงและไปล่วงเกินพวกเขาเข้า?  นั่นจะทำให้งานของฉันยุ่งยากในภายหลัง!”  ในเมื่อเจ้าไม่กล้า เจ้าก็เป็นคนขลาดที่ไร้ประโยชน์และละทิ้งหน้าที่รับผิดชอบของตน และเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำ!  เมื่อเจ้าเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าควรจัดการอย่างไร?  พวกเขาตอบว่า “ถึงรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร ฉันก็ไม่กล้าหรอก  นั่นเป็นเรื่องของเบื้องบนไม่ใช่หรือ?  แถมยังมีกลุ่มผู้มีอำนาจตัดสินใจอีกด้วย  งานนี้มาตกอยู่ที่ฉันได้อย่างไร?”  ในเมื่อเจ้าเป็นคนพบเห็นและรู้เรื่องนี้ เจ้าก็ควรจัดการกับสถานการณ์นี้  หากวุฒิภาวะของเจ้าน้อยเกินไปและไม่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ แล้วเจ้าแจ้งปัญหานี้แก่ผู้บังคับบัญชาของเจ้าหรือยัง?  เคยรายงานเรื่องนี้บ้างไหม?  เจ้าได้ทำสิ่งที่อยู่ภายใต้ขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าและทำงานที่ตกมาถึงเจ้าแล้วหรือยัง?  เจ้าเคยลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนเองบ้างหรือไม่?  ไม่เคยเลย!  พวกเขารู้ดีอยู่เต็มอกว่า “ฉันรู้ถึงปัญหานี้ แต่ฉันไม่เคยลงมือทำอะไรเลย  ฉันรู้สึกผิด!  ฉันน่าจะรายงานเรื่องนั้นแต่ก็ไม่ได้ทำ  แต่คนอื่นก็ไม่ได้ทำเหมือนกัน—แล้วมาเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย?”  คนอื่นเป็นผู้นำด้วยหรือเปล่า?  การที่คนอื่นทำหรือไม่ทำก็เป็นเรื่องของคนเหล่านั้น—เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำเล่า?  หากคนอื่นไม่ทำ นั่นหมายความว่าเจ้าก็ต้องไม่ทำด้วยหรือ?  นี่ใช่ความจริงหรือไม่?  ต่อให้คนอื่นทำไปแล้วก็ตาม นั่นสามารถทดแทนการที่เจ้าลงมือทำเองได้หรือไม่?  สิ่งที่เจ้าทำย่อมเป็นเรื่องของเจ้า  เจ้าลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันของตนเองแล้วหรือยัง?  หากยังไม่ได้ทำ เช่นนั้นเจ้าก็ละทิ้งหน้าที่รับผิดชอบของตน ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำ และควรแสดงความรับผิดชอบโดยลาออกไปเสีย  เจ้าไม่รู้คุณค่าของการที่เจ้าได้รับการยกชู เจ้าไม่คู่ควรที่จะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องชายหญิง ไม่คู่ควรที่จะได้รับความไว้วางใจของพระนิเวศของพระเจ้า และยิ่งไม่คู่ควรที่จะได้รับการยกชูจากพระเจ้า  เจ้าเป็นคนชั่วช้าที่ไร้หัวใจ  ผู้นำเทียมเท็จประเภทที่สามมีปัญหาที่ลักษณะนิสัยของพวกเขา  ไม่ว่าการไล่ตามเสาะหาส่วนตนและการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาจะเป็นเช่นไร เพียงพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าระหว่างการดำรงตำแหน่ง พวกเขาไม่ทำงานที่แท้จริง ไม่กอบกู้ความสูญเสียใดๆ ให้กับคริสตจักรเลย และแน่นอนว่าไม่สามารถหยุดยั้งหรือจัดการกับการทำชั่วของคนชั่วได้อย่างทันท่วงที คนประเภทนี้ไม่เพียงมีปัญหาเรื่องขีดความสามารถต่ำและไม่ทำงานจริงเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์  มโนธรรมของพวกเขาเน่าเฟะโดยสิ้นเชิง และพวกเขาก็ไม่มีสำนึกใดๆ เลย  หากใช้ภาษาที่พูดกันทั่วไปก็คือศีลธรรมของพวกเขาล่มสลายโดยสิ้นเชิง เป็นคนที่เห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นอย่างที่สุด และเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้  ในบรรดาผู้คนสามประเภทที่พวกเราชำแหละไปแล้วนั้น ความเป็นมนุษย์ของคนประเภทนี้จัดว่าเลวร้ายที่สุด  ผู้คนสองประเภทแรกด้อยขีดความสามารถ ไม่สามารถทำงานได้ พวกเขาไม่เป็นไปตามหลักธรรมและมาตรฐานของพระนิเวศของพระเจ้าในการบ่มเพาะและส่งเสริมผู้คน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถได้รับการบ่มเพาะหรือใช้งานได้  ขีดความสามารถของพวกเขาต่ำมาก มืดบอดและด้านชา ในแง่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงพวกเขาคือคนที่ตายไปแล้ว—ไม่คู่ควรแก่การเปิดโปงและการชำแหละ  คนประเภทที่สามนี้เลวทรามที่สุด  พวกเขาน่าดูหมิ่นอย่างยิ่งในแง่ของความเป็นมนุษย์ พวกเราจึงระบุลักษณะคนประเภทนี้ว่าเจ้าเล่ห์และเหลี่ยมจัด  ผู้คนเหล่านี้เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าสุนัขจิ้งจอกเสียอีก  พวกเขาไม่ทำงานจริง แต่กลับมีข้ออ้างมากมายและรู้สึกสบายใจอย่างที่สุด  ไม่ว่าคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์จะก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างไร พวกเขาก็ไม่ร้อนใจหรือวิตกกังวล และยังคงต้องการเป็นผู้นำต่อไป  เหตุใดพวกเขาจึงเสพติดอำนาจขนาดนี้?  ผู้นำเหล่านี้กล่าวว่า “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ  ทุกคนล้วนรักอำนาจ!”  พวกเขาไม่ต้องการทำงานจริง แต่ยังต้องการยึดกุมตำแหน่งของตนเอาไว้และสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะตำแหน่งของตน  นี่คือคนชั่วช้าจำพวกใด?  นี่คือพวกของซาตานโดยแท้ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีอะไรดีเลย

วันนี้พวกเราสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานไปสามประเด็น  โดยทั่วไปแล้ว ผู้นำเทียมเท็จที่พวกเราชำแหละในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองนี้ก็เหมือนกับผู้นำเทียมเท็จที่เคยเปิดโปงไปก่อนหน้านี้  แม้จะชำแหละไปสามประเด็น แต่โดยหลักแล้ว ทั้งสามประเด็นนี้ครอบคลุมปัญหาสองประการ ประการหนึ่งคือพวกเขามีขีดความสามารถต่ำและไม่สามารถทำงานจริงได้ ปัญหาอีกประการหนึ่งคือความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นเลวทราม น่ารังเกียจ เจ้าเล่ห์ และเหลี่ยมจัด และพวกเขาไม่ทำงานจริง  เหล่านี้คือปัญหาพื้นฐานที่สำคัญของผู้นำเทียมเท็จ  ตราบใดที่ใครก็ตามมีปัญหาข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อนี้ เขาก็คือผู้นำเทียมเท็จ  เรื่องนี้ไม่มีข้อกังขาเลย

4 กันยายน ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (19)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (21)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger