หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (21)

วิธีแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ออกจากผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์

การแยกแยะพวกเขาโดยอ้างอิงจากท่าทีที่

วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานกันต่อ  ก่อนที่จะเริ่มต้นสามัคคีธรรมอย่างเป็นทางการ พวกเรามาทบทวนหัวข้อหนึ่งเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ที่สามัคคีธรรมกันไปก่อนหน้านี้เถิด  นั่นคือ วิธีแยกแยะผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ออกจากเหล่าผู้มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ และความแตกต่างระหว่างคนสองประเภทนี้  พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงวิธีแยกแยะศัตรูของพระคริสต์เสียก่อน เรื่องนี้ไม่ยากเลย  อันดับแรกเจ้าควรมองเห็นอย่างชัดเจนว่าศัตรูของพระคริสต์มีการสำแดงลักษณะนิสัยที่เห็นเด่นชัดประการใดออกมา เพื่อให้เจ้าสามารถระบุชี้ศัตรูของพระคริสต์ตัวจริงได้ในเวลาอันสั้น กำหนดได้ว่าพวกเขามิได้เป็นเพียงคนที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ หรือคนที่เดินบนเส้นทางของศัตรูของประเทศอย่างแน่นอน  ในหนทางนี้ เจ้าย่อมจะมีวิจารณญาณแยกแยะเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์และจะไม่ถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิด ล่อให้ติดบ่วง และถูกพวกเขาควบคุมอีกต่อไป  สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดมากที่สุดในขณะนี้คือการสามารถแยกแยะความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างคนที่มีแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์กับคนที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์  การจะแยกแยะคนสองประเภทนี้ เจ้าต้องเข้าใจลักษณะนิสัยหลักของพวกเขาเสียก่อน  คนบางคนเข้าใจได้แค่การเผยความเสื่อมทรามในชีวิตประจำวันของศัตรูของพระคริสต์เท่านั้น อย่างเช่น แนวโน้มที่พวกเขาจะอ้างสิทธิ์ทางสถานะและสั่งสอนผู้อื่น ทว่าไม่สามารถแยกแยะแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ได้  แบบนี้ใช้ได้หรือไม่?  (ใช้ไม่ได้)  นอกจากนี้ยังมีพวกที่กล่าวว่า การสำแดงที่เด่นชัดที่สุดของศัตรูของพระคริสต์คือความโอหังและความทะนงตนของพวกเขา และคนกลุ่มนี้ก็ระบุว่าคนที่โอหังและทะนงตนทุกคนเป็นศัตรูของพระคริสต์  เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  เพราะความโอหังและความทะนงตนมิใช่การสำแดงที่เด่นชัดที่สุดของศัตรูของพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่มนุษย์ผู้เสื่อมทรามทั้งปวงมีร่วมกัน  ทุกคนมีอุปนิสัยอันโอหังและทะนงตน ดังนั้นการระบุว่าผู้คนที่โอหังและทะนงตนล้วนเป็นศัตรูของพระคริสต์จึงเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างร้ายแรง  แล้วการสำแดงใดบ้างที่เป็นการสำแดงที่เป็นแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งทำให้เห็นความแตกต่างที่เป็นแก่นแท้ระหว่างศัตรูของพระคริสต์กับผู้มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างชัดเจนในพริบตาเดียว ทั้งยังทำให้คนเราสามารถแยกแยะได้ว่าแก่นแท้ของคนสองประเภทนี้แตกต่างกัน และคนเหล่านี้ควรได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน?  ในบางแง่มุม อย่างเช่น การกระทำ พฤติกรรม และอุปนิสัย คนสองประเภทนี้มีความเหมือนหรือความคล้ายคลึงกันหรือไม่?  (มี)  หากเจ้าไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน แยกแยะอย่างจริงจัง หรือมีวิจารณญาณและความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอุปนิสัยและแก่นแท้ของคนสองประเภทนี้อยู่ในหัวใจ ก็ย่อมง่ายดายเหลือเกินที่จะปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับเป็นคนประเภทเดียวกัน  เจ้าอาจจะถึงกับเข้าใจผิดว่าศัตรูของพระคริสต์เป็นคนที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ หรือเข้าใจผิดว่าคนที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์เป็นศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งก่อให้เกิดการตัดสินที่ผิดพลาดเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย  ดังนั้นแล้ว สิ่งใดเป็นลักษณะนิสัยและความแตกต่างหลักระหว่างคนสองประเภทนี้ที่ทำให้คนเราสามารถใช้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนเพื่อแยกแยะว่าใครคือศัตรูของพระคริสต์ และใครคือผู้มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์?  พวกเจ้าน่าจะไม่คุ้นเคยกับหัวข้อนี้ ดังนั้นมาฟังสิ่งที่พวกเจ้าคิดกันเถิด  (แง่มุมหนึ่งที่ใช้แยกแยะระหว่างศัตรูของพระคริสต์กับผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์คือท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง อีกแง่มุมหนึ่งคือความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  ในท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงนั้น ศัตรูของพระคริสต์เกลียดชังความจริง และไม่ยอมรับความจริงเลย  ไม่ว่าพวกเขาทำชั่วจนก่อให้เกิดการก่อกวนและการขัดขวางมากมายเพียงใด และไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมกับพวกเขาหรือตัดแต่งพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับเรื่องนี้และไม่ยอมกลับใจอย่างเด็ดขาด  ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์อาจจะทำผิดพลาดเช่นเดียวกันเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจความจริงหรือไม่เข้าใจหลักธรรม แต่เมื่อถูกตัดแต่ง พวกเขาก็สามารถยอมรับความจริง ทบทวนและรู้จักตนเอง อีกทั้งสามารถรู้สึกสำนึกผิดและกลับใจได้  จากมุมมองในเรื่องท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง แก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ก็คือพวกเขาเกลียดชังความจริง ในขณะที่ผู้คนที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์จะสามารถยอมรับความจริงได้  จากมุมมองในเรื่องความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์คือคนชั่วที่ไร้ซึ่งสำนึกของมโนธรรมหรือสำนึกของความละอายใจ ในขณะที่ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์มีสำนึกของมโนธรรมและสำนึกของความละอายใจ)  เจ้าพูดถึงลักษณะนิสัยสองประการ เนื้อหานี้เคยได้รับการสามัคคีธรรมมาก่อนหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นลักษณะนิสัยที่เห็นได้ชัดเจนใช่หรือไม่?  (ใช่)  ท่าทีต่อความจริงของศัตรูของพระคริสต์และผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  นี่เป็นประเด็นที่สำคัญมาก และเป็นการสำแดงที่เห็นลักษณะนิสัยอย่างชัดเจน  ศัตรูของพระคริสต์รังเกียจความจริงและไม่ยอมรับความจริงเลย  พวกเขายอมตายเสียดีกว่าที่จะยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมเรื่องความจริงอย่างไร ในใจของพวกเขาก็ยังต้านทานและรังเกียจความจริง  พวกเขาอาจจะสาปแช่งเจ้า หัวเราะเยาะเจ้า และดูหมิ่นเจ้าอยู่ในใจ รวมทั้งปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความดูถูกเหยียดหยามเสียด้วยซ้ำ  ศัตรูของพระคริสต์เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริง นี่คือลักษณะนิสัยที่เห็นได้ชัดเจน  แล้วลักษณะนิสัยของผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์เป็นอย่างไร?  หากพูดอย่างถูกต้องและเป็นกลางแล้ว ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์แต่ยังพอมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้างย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงมโนคติอันหลงผิดของตนและยอมรับความจริงผ่านการที่ผู้อื่นสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาได้  หากพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาก็สามารถนบนอบได้เช่นกัน  กล่าวคือ ตราบเท่าที่ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง พวกเขาส่วนใหญ่ย่อมสามารถยอมรับความจริงได้ในระดับที่ต่างกัน  สรุปคือ ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์สามารถยอมรับความจริงและนบนอบผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเอง การยอมรับการบ่มวินัยและความรู้แจ้งจากพระเจ้า หรือการตัดแต่ง ช่วยเหลือ และเกื้อหนุนจากพี่น้องชายหญิง  นี่คือลักษณะนิสัยที่เห็นได้ชัด  อย่างไรก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์นั้นต่างกัน  ไม่ว่าผู้ใดสามัคคีธรรมความจริงก็ตาม พวกเขาทั้งไม่ฟังและไม่นบนอบ  พวกเขามีท่าทีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือ พวกเขายอมตายเสียดีกว่ายอมรับความจริง  ไม่ว่าเจ้าตัดแต่งพวกเขาอย่างไรก็ไร้ประโยชน์  ต่อให้เจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริง ทั้งยังต้านทานและรู้สึกรังเกียจความจริงอยู่ในใจเสียด้วยซ้ำ  คนบางคนที่มีอุปนิสัยเกลียดชังความจริงเช่นนั้นจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  ด้วยเหตุนี้ศัตรูของพระคริสต์จึงเป็นศัตรูของพระเจ้า และพวกเขาก็เป็นคนที่ไม่อาจได้รับการไถ่

การแยกแยะโดยอ้างอิงจากความเป็นมนุษย์ของพวกเขา

เมื่อครู่พวกเจ้าเพิ่งพูดถึงลักษณะนิสัยอีกประการหนึ่งสำหรับแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ออกจากผู้มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งคือการแยกแยะจากมุมมองของความเป็นมนุษย์  มีผู้ใดต้องการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับลักษณะนิสัยนี้เพิ่มเติมอีกหรือไม่?  (ศัตรูของพระคริสต์มีความเป็นมนุษย์ที่มุ่งร้ายเป็นพิเศษ พวกเขาสามารถข่มเหงและทรมานผู้คนได้ และไม่ว่าพวกเขาทำชั่วมากมายเพียงใด พวกเขาก็ไม่รู้จักที่จะกลับใจ)  ถูกต้อง ลักษณะนิสัยหลักของพวกศัตรูของพระคริสต์คือความเป็นมนุษย์ที่มุ่งร้าย ความไร้ยางอาย และการไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผลของพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขาทำชั่วในคริสตจักรมากมายเพียงใด หรือไม่ว่าพวกเขาสร้างความเสียหายต่องานของคริสตจักรมากมายแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ได้คิดว่านั่นเป็นเรื่องที่น่าละอาย อีกทั้งไม่ได้มองว่าตนเองเป็นคนบาป  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะเปิดโปงพวกเขาหรือพี่น้องชายหญิงจะตัดแต่งพวกเขาหรือไม่ คนเหล่านี้ก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังไม่รู้สึกถูกตำหนิหรือรู้สึกเสียใจเลย  นี่คือการสำแดงของศัตรูของพระคริสต์ในแง่ของความเป็นมนุษย์  ลักษณะนิสัยหลักของพวกเขาคือการไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผล การไร้ซึ่งความละอาย และอุปนิสัยที่เลวทรามอย่างเหลือแสน  ผู้ใดก็ตามที่แตะต้องผลประโยชน์ของพวกเขาย่อมถูกพวกเขาตัดสินและทรมาน และพวกเขาก็มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าเป็นพิเศษที่จะเอาคืน ไม่ว่ากับใครหน้าไหน ไม่เว้นแม้แต่ญาติพี่น้องของตนเอง  นี่คือความเลวทรามของศัตรูของพระคริสต์  ในทางกลับกัน ไม่ว่าผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์เผยความเสื่อมทรามออกมามากมายเพียงใด ก็ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องเป็นคนชั่ว  ไม่ว่าพวกเขาจะมีข้อบกพร่องและความขาดตกบกพร่องในความเป็นมนุษย์อย่างไร ไม่ว่าพวกเขาสามารถทำผิดพลาดเช่นไร หรือไม่ว่าพวกเขาสามารถสะดุดล้มในเรื่องใดก็ตาม พวกเขาย่อมสามารถทบทวนตนเองและเรียนรู้บทเรียนได้หลังจากนั้น  เมื่อพวกเขาเผชิญกับการถูกตัดแต่ง พวกเขาก็สามารถยอมรับความผิดพลาดของตนและรู้สึกสำนึกผิดได้ และเมื่อพี่น้องชายหญิงวิพากษ์วิจารณ์หรือเปิดโปงพวกเขา—ถึงแม้พวกเขาอาจจะพยายามปกป้องตนเองอยู่บ้าง และไม่เต็มใจที่จะยอมรับเรื่องนั้นในทันที—แต่แท้จริงแล้ว พวกเขาได้รับรู้ถึงความผิดพลาดของตนอยู่ในหัวใจและได้นบนอบแล้ว  นี่ย่อมพิสูจน์ว่า พวกเขายังสามารถยอมรับความจริงและสามารถกลับตัวกลับใจได้  เมื่อพวกเขาทำผิดพลาดหรือเผชิญกับปัญหา มโนธรรมและเหตุผลของพวกเขายังคงทำงานได้ พวกเขาตระหนักรู้ ไม่ได้ด้านชาและไม่รู้สึกรู้สา หรือทำตัวดื้อแพ่งและปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งต่างๆ  นอกจากนี้ ถึงแม้บุคคลประเภทนี้จะมีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็มีความเห็นอกเห็นใจอยู่ในระดับหนึ่งและค่อนข้างมีเมตตามากกว่า  เมื่อพวกเขาเผชิญกับเรื่องต่างๆ ลักษณะนิสัยที่พวกเขาแสดงออกมาในแง่ของความเป็นมนุษย์ย่อมสามารถอธิบายได้—ในหนทางที่เหมาะสมและเข้าใจได้ง่ายที่สุด—ว่าค่อนข้างมีเหตุมีผล  หากถูกตัดแต่งอย่างรุนแรง อย่างมากที่สุดพวกเขาก็อาจจะรู้สึกโกรธเคืองเล็กน้อยในหัวใจ แต่หากมองเรื่องนี้จากการสำแดงของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ย่อมเห็นได้ว่าพวกเขายังรู้จักละอายใจ มโนธรรมของพวกเขายังคงกล่าวหาพวกเขาได้ และเหตุผลของพวกเขาสามารถส่งผลในการยับยั้งได้ในระดับหนึ่ง  หากพวกเขาก่อให้เกิดความสูญเสียต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าหรือสร้างความเสียหายต่อพี่น้องชายหญิง ในใจของพวกเขาย่อมรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอและรู้สึกว่าพวกเขาได้ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง  ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์เผยการสำแดงเหล่านี้ออกมาในระดับที่แตกต่างกัน  ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้แก้ไขในทันทีหรือเลือกสิ่งที่ถูกต้องและปฏิบัติอย่างเหมาะสมหลังจากมีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น แต่คนเหล่านี้ก็ยังคงมีสำนึกของการตระหนักรู้อยู่ในหัวใจ  พวกเขาถูกมโนธรรมของตนกล่าวหา พวกเขารู้ว่าตนทำผิดและไม่ควรกระทำการในหนทางนั้นอีก และพวกเขาก็รู้สึกด้วยว่าตนไม่ใช่คนดี—ลึกๆ แล้ว พวกเขาล้วนมีความรู้สึกเหล่านี้ได้  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป สภาวะของพวกเขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และพวกเขาจะมีการกลับใจที่แท้จริง  พวกเขาจะรู้สึกสำนึกผิดอยู่ลึกๆ เสียใจที่พวกเขาไม่ได้เลือกสิ่งที่ถูกหรือปฏิบัติอย่างเหมาะสมมาตั้งแต่แรก  แน่นอนว่าการสำแดงเหล่านี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยที่สุด และเป็นการสำแดงทั่วไปของมนุษย์ที่เสื่อมทราม  อย่างไรก็ตาม พวกศัตรูของพระคริสต์เป็นกรณีที่พิเศษ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นหมู่มาร  ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดหลังจากที่พวกเขาทำชั่วหรือทำบาป พวกเขาก็ไม่ได้สำนึกผิดเลย พวกเขายังคงทำตัวดื้อรั้นและยืนกรานไปจนถึงปลายทาง  ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นสามารถนบนอบได้ในยามที่พวกเขาเผชิญกับการตัดแต่งทั่วๆ ไป  เมื่อเผชิญการตัดแต่งอย่างรุนแรง พวกเขาอาจจะแก้ต่างให้ตนเอง ปฏิเสธสิ่งทั้งหลาย และไม่ยอมรับในทันที แต่ต่อมาพวกเขาก็สามารถทบทวนและมารู้จักตนเอง รวมถึงสามารถรู้สึกสำนึกผิดและกลับใจได้  ต่อให้ใครบางคนจะเยาะเย้ยพวกเขาและตัดสินพวกเขาว่าไม่มีความเป็นมนุษย์ พวกเขาอาจจะรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในหัวใจ แต่จะไม่สู้กลับหรือปฏิบัติต่อบุคคลนั้นราวกับเป็นศัตรู  พวกเขาสามารถเข้าใจคนอื่นได้เช่นกัน คิดว่า “ฉันได้แต่โทษตัวเองที่ทำผิดพลาดเช่นนั้น ไม่ว่าผู้อื่นจะปฏิบัติต่อฉันอย่างไร ก็ไม่สมกับที่ฉันควรได้รับหรอก”  การสำแดงเหล่านี้เผยออกมาในระดับที่แตกต่างกันไปตามในแต่ละบุคคล  โดยสรุปก็คือ การเผยเหล่านี้คือสำแดงที่เป็นปกติและเป็นธรรมชาติของผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ ผู้ที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และนี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากศัตรูของพระคริสต์อย่างชัดเจน  การสำแดงที่แตกต่างกันของสองสภาวะนี้ทำให้เห็นอย่างชัดเจนได้ในทันทีว่าคนไหนเป็นคนชั่ว และคนไหนเป็นศัตรูของพระคริสต์ และคนไหนเพียงแต่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์แต่มิได้เป็นคนชั่ว

การแยกแยะพวกเขาจากการดูว่าพวกเขากลับใจอย่างแท้จริงหรือไม่

ความแตกต่างระหว่างศัตรูของพระคริสต์กับผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ทั้งสองแง่มุมที่เพิ่งถูกกล่าวถึงนั้น แง่มุมแรกคือท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง ท่าทีที่ผู้คนมีต่อความจริงคือท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า  คนสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันในแง่มุมนี้อย่างชัดเจน  ต่อมาในแง่ของความเป็นมนุษย์ คนสองประเภทนี้ก็มีความแตกต่างทางแก่นแท้ที่เห็นได้ชัดเจนเช่นเดียวกัน  ลักษณะนิสัยทั้งสองประการนี้เห็นได้ชัดเจนมาก นี่คือคนสองประเภทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  นอกจากความแตกต่างสองประการนี้แล้ว อีกแง่มุมหนึ่งคือมีการสำแดงถึงการกลับใจหลังจากทำชั่วบ้างหรือไม่  ในกรณีของผู้ที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ ไม่ว่าพวกเขาทำชั่วเช่นไร—ไม่ว่าพวกเขาทรมานผู้คน ก่อตั้งอาณาจักรอิสระ แข่งขันกับพระเจ้าเพื่อสถานะ ขโมยของถวาย หรือสิ่งอื่นใด—ต่อให้พวกเขาจะถูกเปิดโปงโดยตรง พวกเขาก็ไม่ยอมรับการกระทำเหล่านี้  หากพวกเขาไม่ยอมรับการกระทำเหล่านี้ พวกเขาจะสามารถกลับใจได้หรือไม่?  พวกเขายอมตายเสียดีกว่าที่จะกลับใจ  พวกเขาไม่ยอมรับข้อเท็จจริงเรื่องการทำชั่วของตน  ถึงแม้พวกเขาจะตระหนักว่าการเปิดโปงนั้นถูกต้องโดยสมบูรณ์ แต่พวกเขาก็ต้านทานและต่อต้านการเปิดโปงดังกล่าว  พวกเขาจะไม่ทบทวนโดยเด็ดขาดว่าตนเองอยู่บนเส้นทางที่ผิดหรือไม่ หรือกล่าวว่า “ฉันได้รับการระบุว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์  เรื่องนี้อันตรายมาก และฉันจำเป็นต้องกลับใจ”  พวกเขาไม่มีความคิดประเภทนี้อยู่ในใจโดยสิ้นเชิง  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้เลย  ดังนั้น ศัตรูของพระคริสต์มีลักษณะนิสัยที่เห็นได้ชัดก็คือ ไม่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีก็ตาม พวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริงและไม่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเลย  ตอนแรกที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ชอบที่จะโดดเด่นจากฝูงชน แข่งขันเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ ทรมานผู้คน รวบรวมพรรคพวกและแบ่งแยกคริสตจักร  จุดประสงค์ที่พวกเขาพยายามมีอำนาจคือเพื่ออาศัยคริสตจักรในการดำรงชีวิตและก่อตั้งอาณาจักรอิสระ  หลังจากเชื่อมานานสามถึงห้าปี เมื่อเจ้าพบพวกเขาอีกครั้ง พวกเขายังคงแสดงออกถึงการสำแดงและลักษณะนิสัยเหล่านี้เช่นเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง  แม้จะผ่านไปแปดหรือสิบปี พวกเขาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม  บางคนกล่าวว่า “หลังจากเชื่อไปสักยี่สิบปี พวกเขาอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้!”  พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าปฏิสัมพันธ์กับคนไม่กี่คนหรือกับคนหมู่มาก ไม่ว่าทำหน้าที่ธรรมดาหรือกระทำการในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาก็แสดงออกถึงการสำแดงที่เหมือนเดิม  พวกเขาไม่เคยกลับใจหรือหันหลังกลับ โดยยืนกรานที่จะอยู่บนเส้นทางเดิมไปจนถึงปลายทาง  พวกเขาจะไม่กลับใจอย่างเด็ดขาด  นี่คือสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์เป็น  สำหรับคนที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ ต่อให้บางคนไม่ใช่คนชั่ว แต่พวกเขาก็มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นเดียวกัน  พวกเขาเผยความโอหัง การหลอกลวง ความเห็นแก่ตัว ความต่ำช้า และความเสื่อมทรามประเภทอื่นออกมา  พวกเขายังแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ที่แย่อีกด้วย  ตอนที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรกนั้น พวกเขาก็ต้องการแข่งขันเพื่อสถานะและผลประโยชน์ ต้องการโดดเด่นเพื่อให้ได้รับความชื่นชมจากผู้คน รวมถึงมีความทะเยอทะยานและความอยากที่จะเป็นผู้นำและมีอำนาจเช่นเดียวกัน  การสำแดงเหล่านี้ปรากฏในมนุษย์ผู้เสื่อมทรามในระดับที่แตกต่างกันและไม่ต่างจากการสำแดงของพวกที่เป็นศัตรูของพระคริสต์มากนัก  อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาได้มาเข้าใจความจริงบางอย่างผ่านการมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการเปิดโปงของพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้น้อยลงเรื่อยๆ  เหตุใดอุปนิสัยอันเสื่อมตามเหล่านี้จึงถูกเผยให้เห็นน้อยลงเรื่อยๆ?  นั่นเป็นเพราะหลังจากเข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาย่อมตระหนักว่า พฤติกรรมและการสำแดงเหล่านี้คือการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ในตอนนี้เท่านั้นที่มโนธรรมของพวกเขาเริ่มตระหนัก  และพวกเขาก็เห็นว่าตนเองเสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งและไร้สภาพเสมือนมนุษย์โดยแท้จริง  จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและคิดหาวิธีทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ รวมถึงวิธีที่พวกเขาจะสามารถเป็นอิสระจากพันธนาการของตน และกลายเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงได้  การสำแดงเช่นนี้คืออะไร?  นี่คือการค่อยๆ กลับใจทีละน้อยมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในกระบวนการของการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาค้นพบปัญหาของตนเอง รับรู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และเข้าใจสภาวะนานาประการของตน  พวกเขายังมารู้จักแก่นแท้ความเป็นมนุษย์ของตนอีกด้วย และมโนธรรมของพวกเขาก็เริ่มตระหนักรู้มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขารู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าตนเสื่อมทรามอย่างล้ำลึกและไม่เหมาะที่พระเจ้าจะทรงใช้งาน อีกทั้งพวกเขาได้ทำให้พระเจ้าทรงเกลียดชัง และพวกเขาก็รู้สึกรังเกียจตนเองอยู่ภายในใจ  ลึกลงในหัวใจ พวกเขาค่อยๆ กลับใจโดยไม่รู้ตัว และการกลับใจนี้ก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบางอย่างขึ้น ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่สามารถเห็นได้ในพฤติกรรมของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น เดิมทีเมื่อมีใครบางคนเปิดโปงปัญหาของพวกเขา พวกเขาก็จะรู้สึกไม่พอใจ โกรธจัดด้วยความอับอาย อีกทั้งพยายามอธิบายและทำให้ตนเองชอบด้วยเหตุผล พยายามทุกวิถีทางที่จะหาข้อแก้ตัวและเหตุผลต่างๆ นานามาปกป้องตนเอง  อย่างไรก็ตาม ผ่านการมีประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง  พวกเขาก็เกิดความตระหนักว่านี่คือพฤติกรรมที่ผิด และเริ่มแก้ไขสภาวะและพฤติกรรมนี้ พยายามอย่างหนักในการยอมรับทัศนะที่ถูกต้อง มุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมือกับผู้อื่นอย่างปรองดอง  เมื่อมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะแสวงหาและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น รวมถึงเรียนรู้ที่จะสื่อสารจากหัวใจและเข้ากับผู้อื่นได้ด้วยดี  สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงถึงการกลับใจใช่หรือไม่?  (ใช่)  หลังจากเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ได้รับความเข้าใจที่แท้จริงเพิ่มขึ้นทีละน้อยเกี่ยวกับอุปนิสัย พฤติกรรมและการสำแดงบางอย่างที่ศัตรูของพระคริสต์เผยออกมา  แล้วจากนั้น พวกเขาก็ค่อยๆ ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และสามารถละทิ้งหนทางที่ไม่ถูกต้องซึ่งพวกเขาใช้ดำเนินชีวิตก่อนหน้านี้ และล้มเลิกการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะ  รวมถึงสามารถกระทำการ ประพฤติปฏิบัติตน และทำหน้าที่ของพวกเขาตามหลักธรรมความจริงได้  การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะสัมฤทธิ์ได้อย่างไร?  การเปลี่ยนแปลงนี้สัมฤทธิ์ได้ด้วยการยอมรับความจริง การเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการกลับใจใช่หรือไม่?  (ใช่)  สิ่งเหล่านี้ล้วนสัมฤทธิ์ในกระบวนการของการกลับใจอย่างต่อเนื่อง  ผลที่ตามมาก็คือ สภาวะของพวกเขาย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน วุฒิภาวะของพวกเขาย่อมเติบโตขึ้นตามประสบการณ์ลึกซึ้งขึ้น และเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาย่อมสามารถทบทวนตนเองได้  ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากับการชะงักงันหรือความล้มเหลว หรือพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาก็นำเรื่องเหล่านี้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานถึงพระองค์ รวมถึงสามารถเชื่อมโยง ชำแหละ และเข้าใจสภาวะอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ในขณะที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า  ถึงแม้พวกเขาอาจจะยังเผยความเสื่อมทรามและเกิดความคิดผิดๆ ในยามที่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับตนเอง  พวกเขาก็สามารถทบทวนและต่อต้านตนเองได้  ตราบเท่าที่พวกเขาเริ่มตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ พวกเขาจะสามารถแสวงหาความจริงอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้และปฏิบัติการกลับใจ  ถึงแม้ความก้าวหน้านี้จะเชื่องช้ามากและผลลัพธ์ก็น้อยนิด แต่ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ พวกเขากำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง  คนประเภทนี้มักจะรักษาท่าทีที่กระตือรือร้น เป็นบวก และมีแรงจูงใจในตนเอง รวมถึงรักษาสภาวะของการกลับตัวและกลับใจอยู่เสมอ  ถึงแม้บางครั้งพวกเขาจะแข่งขันกับผู้อื่นเพื่อชื่อเสียงและสถานะ รวมทั้งเผยการสำแดงและการกระทำบางอย่างของศัตรูของพระคริสต์ในระดับที่แตกต่างกัน แต่หลังจากมีประสบการณ์บางอย่างกับการตัดแต่ง การพิพากษา และการตีสอน หรือการบ่มวินัยของพระเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมตามเหล่านี้ย่อมถูกทิ้งและแปรเปลี่ยนไปในระดับที่แตกต่างกัน  สาเหตุต้นตอที่สำคัญที่สุดของการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้ก็คือ ในส่วนลึกของหัวใจนั้น คนประเภทนี้สามารถทบทวนและเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน รวมถึงเส้นทางผิดๆ ที่พวกเขาเดิน ทั้งยังสามารถกลับตัวได้  แม้ว่าการเปลี่ยนแปลง การเติบโต และประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดจากการกลับตัวของพวกเขาจะน้อยมาก และความคืบหน้าก็ช้ามากเสียจนพวกเขาอาจจะไม่ทันสังเกตเสียด้วยซ้ำ หลังจากมีประสบการณ์ดังกล่าวราวสามถึงห้าปี พวกเขาย่อมสามารถรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ในตนเอง และคนรอบตัวของพวกเขาย่อมจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ได้เช่นเดียวกัน  ไม่ว่าอย่างไร ระหว่างผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์กับพวกที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ย่อมมีความแตกต่างกัน  ลักษณะนิสัยสำคัญในการนี้คืออะไร?  (ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นสามารถกลับใจได้)  เมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด กระทำการฝ่าฝืน หรือเผชิญกับการตัดแต่ง การพิพากษาและการตีสอน การสั่งสอนหรือการบ่มวินัย พวกเขาย่อมสามารถกลับใจได้  แม้กระทั่งในยามที่พวกเขาตระหนักว่าตนเองได้ทำผิดหรือผิดพลาดไป พวกเขาก็สามารถทบทวนตนเองและมีท่าทีของการกลับตัวและกลับใจอยู่ในหัวใจของพวกเขาได้  นี่คือความแตกต่างทางลักษณะนิสัยที่ทำให้ผู้มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์แตกต่างจากศัตรูของพระคริสต์โดยสิ้นเชิง

ข้อสรุปเรื่องความแตกต่างระหว่างศัตรูของพระคริสต์กับผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์

คนเหล่านั้นที่เป็นศัตรูของพระคริสต์คือซาตานที่มีชีวิต  กล่าวได้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตเยี่ยงซาตาน พวกเขาคือหมู่มารและเหล่าซาตานที่ผู้คนมองเห็นได้  ดังนั้นแล้ว พวกเรามาสรุปความแตกต่างที่เป็นแก่นแท้ระหว่างศัตรูของพระคริสต์และผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์กันเถิด  แง่มุมหนึ่งคือท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง  ศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริงโดยเด็ดขาด  ถึงแม้พวกเขาจะสามารถยอมรับเป็นคำพูดว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง คือสิ่งที่เป็นบวก และเป็นพระวจนะที่มีประโยชน์ต่อผู้คน ทั้งยังเป็นหลักเกณฑ์สำหรับสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และผู้คนควรยอมรับ นบนอบ และปฏิบัติความจริงเหล่านี้—ถึงแม้พวกเขาจะสามารถกล่าวทั้งหมดนี้ได้—พวกเขาก็ไม่สามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้โดยสิ้นเชิง  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ปฏิบัติพระวจนะเหล่านี้?  เพราะพวกเขาไม่ได้ยอมรับความจริงอยู่ในหัวใจ  ปากของพวกเขากล่าวว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่ด้วยแรงจูงใจที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง พวกเขากล่าวเช่นนี้เพื่อปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริงและชักพาผู้คนให้หลงผิด  เพียงเพราะศัตรูของพระคริสต์สามารถกล่าวคำพูดและคำสอนได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขายอมรับในหัวใจว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  พวกเขาไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้เพราะโดยพื้นฐานแล้วในหัวใจของพวกเขาไม่ยอมรับความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริงและปฏิบัติความจริงเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ในทางกลับกัน ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นศัตรูของพระคริสต์  บางคนที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นสามารถยอมรับและนบนอบความจริง สิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และคำพูดที่ถูกต้องได้ในระดับที่แตกต่างกัน—นี่คือความแตกต่างประการหนึ่ง  ผู้ที่มีแก่นแท้ศัตรูของพระคริสต์เป็นปฏิปักษ์และหันหลังให้กับความจริง แต่บางคนที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้  ผ่านการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้านานหลายปี ท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้บ้าง  ถึงแม้ลึกลงไปในหัวใจ พวกเขาจะไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ก็ตาม ความจริงก็เป็นสิ่งที่ดีและเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  เพียงแต่พวกเขาไม่ได้รักหรือสนใจในความจริง ดังนั้นการปฏิบัติความจริงจึงต้องใช้ความพยายามและความมานะอุตสาหะพอสมควร  เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์แต่พอมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้างจึงสามารถยอมรับความจริงได้ในระดับที่แตกต่างกัน  อย่างน้อยที่สุด ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขาก็ไม่รู้สึกต้านทานหรือผลักไสความจริง และพวกเขาก็ไม่ได้รังเกียจความจริง  ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะประเภทนี้และแสดงการสำแดงต่อความจริงในลักษณะนี้ออกมา  การอธิบายถึงผู้คนเช่นนั้นในหนทางนี้มิใช่ทั้งการใส่ร้ายและการทำให้พวกเขาดูดีเกินจริง  การนี้ค่อนข้างเป็นกลางใช่หรือไม่?  (ใช่)  อีกแง่มุมหนึ่งคือการแยกแยะพวกเขาจากมุมมองของความเป็นมนุษย์ ซึ่งก็คือการแยกแยะโดยอ้างอิงจากมโนธรรม เหตุผล และความดีหรือความชั่วของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  ผู้ใดก็ตามมีความเป็นมนุษย์ที่ชั่ว ไม่ยอมรับความจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนที่รังเกียจความจริง ก็ย่อมเป็นผู้ไม่เชื่อหรือเป็นศัตรูของพระคริสต์อย่างแน่นอน  คนบางคนไม่รักความจริงเป็นพิเศษและไม่สนใจความจริง  เมื่อผู้อื่นสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็เริ่มง่วงเหงาหาวนอนและขาดชีวิตชีวา  อย่างไรก็ตาม ผู้คนประเภทนี้ไม่ได้มีความเป็นมนุษย์ที่ชั่วและไม่ได้ทรมานผู้อื่น  หากเจ้าสามัคคีธรรมเรื่องเจตนารมณ์ของพระเจ้า หลักธรรมความจริง หรือกฎเกณฑ์ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็สามารถรับฟังและเต็มใจที่จะยอมรับความจริงและมุมานะเพื่อความจริงนั้น แต่พวกเขาอาจจะไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  หากพวกเขากลายเป็นผู้นำ พวกเขาอาจจะไม่สามารถนำเจ้าให้เข้าใจความจริงหรือนำเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ แต่พวกเขาจะไม่ทรมานเจ้าอย่างแน่นอน  นี่คือความเป็นมนุษย์ของผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์  ไม่ว่าในกรณีใด ความเป็นมนุษย์ของผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ได้ชั่วมากขนาดนั้น พวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้ในระดับต่างๆ  ในทางกลับกัน ศัตรูของพระคริสต์ไม่เพียงไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผลเท่านั้น แต่ยังมีความเป็นมนุษย์ที่เลวทรามสุดขีดอีกด้วย  ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นมีสำนึกของมโนธรรมและพอมีเหตุผลอยู่บ้าง และพวกเขาก็สามารถรับมือกับบางเรื่องได้อย่างมีเหตุมีผล  ตัวอย่างเช่น ในเรื่องของวิธีการเลือกว่าจะเลือกฝ่ายใด รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า การจัดการกับผู้คนต่างๆ ในคริสตจักร และการจัดการกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและเป็นลบ พวกเขาสามารถแยกแยะเรื่องเหล่านั้นได้ และสุดท้ายแล้วพวกเขาก็สามารถเลือกได้อย่างถูกต้องตามมโนธรรมของพวกเขา  คนประเภทนี้ไม่ได้มีความเป็นมนุษย์ที่ชั่วและมีหัวใจที่ค่อนข้างโอบอ้อมอารี  อีกหนึ่งความแตกต่างที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปก็คือ บางคนที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นสามารถยอมรับความจริงได้ และเมื่อพวกเขาทำผิด พวกเขาก็สามารถทบทวนเรื่องนั้นและมีหัวใจที่คิดกลับใจได้  ในทางกลับกัน ศัตรูของพระคริสต์ไม่แสดงถึงการสำแดงสองประการนี้อย่างสิ้นเชิง  พวกเขาดื้อรั้นและไม่เปลี่ยนแปลงเพราะพวกเขารังเกียจความจริง ไม่ยอมรับความจริง และมีความเป็นมนุษย์ที่เลวทรามอย่างสุดขีด  คนประเภทนี้จึงไม่มีทางกลับตัวและสัมฤทธิ์การกลับใจได้  การที่ใครบางคนจะสามารถกลับใจอย่างแท้จริงได้หรือไม่ โดยหลักแล้วขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่ และขึ้นอยู่กับท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง  ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์มีโอกาสที่จะกลับตัว  เพราะพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ชั่ว ทั้งยังมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้าง รวมถึงสามารถยอมรับความจริงบางอย่างได้ในระดับที่แตกต่างกัน  เมื่อพวกเขาทำผิดพลาดหรือกระทำผิด พวกเขาก็สามารถกลับใจได้หลังจากถูกตัดแต่ง  นี่คือสิ่งที่กำหนดว่าผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นมีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด ในขณะที่ศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่ได้รับการไถ่ พวกเขาคือลูกสมุนของหมู่มารและซาตาน  ความแตกต่างที่เป็นแก่นแท้ระหว่างศัตรูของพระคริสต์กับผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์คือลักษณะนิสัยหลากหลายประการนี้เอง  การสรุปความเช่นนี้ค่อนข้างเป็นกลางใช่หรือไม่?  (ใช่)  สำหรับลักษณะนิสัยทั้งหลายของศัตรูของพระคริสต์นี้  การสำแดงโดยละเอียดที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปจึงเป็นกลางและสอดคล้องกับข้อเท็จจริง  ไม่มีองค์ประกอบใดที่เป็นการใส่ร้ายเลย  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรล้วนเผชิญและเป็นพยานให้การนี้มาแล้วทั้งสิ้น นี่คือสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์เป็น  สำหรับผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้น พวกเราได้เปิดโปงการสำแดงนานาประการไปเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้และสอดคล้องกับข้อเท็จจริง โดยไม่มีการทำให้ดูดีเกินจริงแต่อย่างใด

ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นมีข้อเสียและข้อบกพร่องมากมายในความเป็นมนุษย์ และพวกเขาก็เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานาประการออกมาในระดับที่ต่างกัน  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้มีการสำแดงลักษณะนิสัยที่เด่นชัดบางอย่างในตัวของคนทุกคน  ตัวอย่างเช่น คนบางคนโอหังเป็นพิเศษ คนบางคนชอบคิดคำนวณและหลอกลวงเป็นพิเศษ คนบางคนดื้อแพ่งเป็นพิเศษ คนบางคนเกียจคร้านเป็นพิเศษ และอื่นๆ  การแสดงออกเหล่านี้เป็นการสำแดงของผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ และเป็นลักษณะนิสัยของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  ถึงแม้ว่าในหัวใจของคนเหล่านี้จะมีความปรานีอยู่บ้าง—พูดตรงๆ ก็คือ พวกเขาค่อนข้างจิตใจดี—เมื่อเผชิญกับเรื่องต่างๆ พวกเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้ากำลังได้รับความเสียหาย แต่เนื่องจากกลัวจะล่วงเกินผู้อื่น พวกเขาจึงกลายเป็นเหมือนเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง ใช้ชีวิตด้วยปรัชญาของซาตานและไม่เต็มใจที่จะค้ำจุนหลักธรรมความจริง  ถึงแม้ลึกๆ แล้วพวกเขารู้สึกว่าไม่ควรทำเช่นนี้ และการทำเช่นนี้เป็นการทำผิดต่อพระเจ้า พวกเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเลือกเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะพวกเขาเชื่อว่าในการดำเนินชีวิตและการเอาตัวรอด พวกเขาต้องพึ่งพาปรัชญาของซาตาน และมีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถปกป้องตนเองได้  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเลือกที่จะเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและไม่ปฏิบัติความจริง  พวกเขารู้สึกอยู่ในหัวใจว่าการปฏิบัติตนในหนทางนี้ทำให้พวกเขาไร้ซึ่งมโนธรรมและขาดความเป็นมนุษย์ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์และแย่ยิ่งกว่าสุนัขเฝ้าบ้านเสียอีก  อย่างไรก็ตามหลังจากตำหนิตนเองแล้ว เมื่อเผชิญกับอีกสถานการณ์หนึ่ง พวกเขาก็ยังคงไม่กลับใจและยังคงปฏิบัติตนเช่นเดิม  พวกเขารู้สึกอ่อนแออยู่เป็นนิจและรู้สึกสำนึกผิดอยู่ตลอดเวลา  เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงสิ่งใด?  นี่พิสูจน์ว่า ถึงแม้ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์จะไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ แต่พวกเขาก็ยังมีปัญหาและความขาดตกบกพร่องในความเป็นมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาย่อมเผยความเสื่อมทรามออกมามากมายอย่างแน่นอน  เมื่อดูที่การสำแดงโดยรวมของคนเช่นนั้น พวกเขาคือคนที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากการถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งแต่อย่างใด พวกเขาคือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยถึงว่าเป็นลูกหลานของซาตานนั่นเอง  ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นดีกว่าศัตรูของพระคริสต์อย่างไร?  หากพูดให้ตรงประเด็นก็คือ ถึงแม้ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์แต่ไม่ได้มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์จะเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานหลากหลายประการ แต่พวกเขาไม่ได้เป็นคนชั่วอย่างแน่นอน  สถานการณ์ของพวกเขานั้นเหมือนกับที่กล่าวกันโดยทั่วไปว่า คนบางคนไม่ใช่คนชั่วและคิดคด และไม่ใช่คนดีเช่นกัน พวกเขาเพียงแต่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง เต็มใจที่จะกลับใจ และสามารถยอมรับความจริงได้หลังจากถูกตัดแต่ง ทั้งยังมีการนบนอบอยู่บ้าง  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนชั่วและยังมีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงห่างไกลจากมาตรฐานของการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วที่พระเจ้าตรัสถึง!  คนบางคนเชื่อในพระเจ้ามาสามถึงห้าปี และมีความเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าอยู่บ้าง  คนบางคนเชื่อในพระเจ้ามาแปดถึงสิบปีแต่ไม่มีความก้าวหน้าเลย  คนบางคนเชื่อในพระเจ้ามานานถึงยี่สิบปี โดยไม่มีความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญแต่อย่างใด พวกเขายังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน  พวกเขาดึงดันที่จะยึดติดกับมโนคติอันหลงผิดของตน  เพียงเพราะพวกเขาได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าและถูกกฎเกณฑ์และข้อบังคับนานาประการของพระนิเวศของพระเจ้ายับยั้งเอาไว้ พวกเขาจึงไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวง ไม่ได้ทำชั่วจนก่อให้เกิดการสูญเสียที่ร้ายแรงต่อพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ได้ก่อให้เกิดความวิบัติครั้งใหญ่  ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่ได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าทั้งหมดอย่างแน่นอน  พวกเขาส่วนใหญ่อาจจะเป็นคนลงแรง และแน่นอนว่าบางคนจะถูกกำจัดออกไป  ไม่ว่ากรณีก็ตาม ถึงแม้พวกเขาไม่ใช่คนชั่ว แต่พวกเขาก็เป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่แย่  จุดจบและบั้นปลายของพวกเขาย่อมจะไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน  ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่และพวกเขาเลือกเส้นทางของตนเองอย่างไร  บางคนกล่าวว่า “พระวจนะของพระองค์ย้อนแย้งเหลือเกิน  พระองค์ไม่ได้ตรัสหรอกหรือว่าคนเหล่านี้สามารถกลับตัวและกลับใจได้?”  ความหมายของเราก็คือในบางบริบทและในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ผู้คนเหล่านี้สามารถยอมรับความจริงได้ในระดับต่างๆ  คำว่า “ระดับต่างๆ” หมายความว่าอย่างไร?  คำนี้หมายความว่า คนบางคนเกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยหลังจากเชื่อในพระเจ้าได้สามถึงห้าปี และเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากเชื่อมานานสิบถึงยี่สิบปี  คนบางคนเชื่อในพระเจ้ามาสิบถึงยี่สิบปี และยังคงเป็นดังตอนแรกที่พวกเขาเริ่มเชื่อ พร่ำตะโกนว่า “ฉันต้องกลับใจ ฉันต้องตอบแทนความรักของพระเจ้า!” แต่ในความเป็นจริงกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลย  นี่เป็นเพราะพวกเขามีเพียงสำนึกของมโนธรรมจึงทำให้พวกเขามีความปรารถนาเช่นนี้อยู่ในหัวใจ และเต็มใจที่จะกลับตัวกลับใจ  อย่างไรก็ตาม ความเต็มใจก็เทียบไม่ได้กับการสามารถปฏิบัติความจริง ทั้งยังไม่อาจเทียบได้กับการเข้าสู่ความเป็นจริง  ความเต็มใจเป็นเพียงการไม่ต้านทานความจริง ไม่รังเกียจความจริง ไม่ว่าร้ายความจริงอย่างเปิดเผย ไม่กระทำการตัดสิน กล่าวโทษ หรือหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างเปิดเผย—มีเพียงการสำแดงเหล่านี้เท่านั้น  แต่ความเต็มใจมิได้หมายถึงการสามารถนบนอบ รวมถึงยอมรับและปฏิบัติความจริงได้อย่างแท้จริง อีกทั้งมิได้หมายถึงการสามารถต่อต้านเนื้อหนังและความอยากได้อยากมีของตนเอง  นี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นกลางใช่หรือไม่?  (ใช่)  เป็นเช่นนั้นอย่างแท้จริง  การมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้าง รวมถึงมีหัวใจที่กลับใจอยู่เล็กน้อยในความเป็นมนุษย์ของตนก็ไม่ได้หมายความว่าคนเราจะไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  โดยพื้นฐานแล้วผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นต่างจากศัตรูของพระคริสต์ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาคือคนที่สามารถยอมรับและนบนอบความจริงได้  อีกทั้งการนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาคือคนที่มีความเป็นจริงความจริง หรือเป็นคนที่พระเจ้าทรงรัก  ระหว่างสองแง่มุมนี้มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่ ทั้งสองแง่มุมนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  แน่นอนว่าผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ย่อมมีความเป็นมนุษย์ ท่าทีที่มีต่อความจริง และระดับของการกลับใจที่ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับศัตรูของพระคริสต์  อย่างไรก็ตาม มาตรฐานที่พระเจ้าทรงประเมินผู้คนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาแตกต่างจากศัตรูของพระคริสต์อย่างไร นี่มิใช่มาตรฐาน  พระเจ้าทรงประเมินความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งว่าพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่ พวกเขารักและยอมรับความจริงหรือไม่ พวกเขาทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดีหรือไม่ พวกเขานบนอบพระเจ้าหรือไม่ และพวกเขาสามารถได้มาซึ่งความจริงและสัมฤทธิ์ความรอดได้หรือไม่  สิ่งเหล่านี้เป็นมาตรฐานที่พระเจ้าทรงประเมินผู้คน  พระเจ้าได้ทรงตั้งข้อกำหนดนานาประการสำหรับบรรดาผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์  พระเจ้าทรงใช้ข้อกำหนดเหล่านี้ในการประเมินผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ด้วยทรงมุ่งหมายที่จะช่วยพวกเขาให้รอด  หลังจากได้ยินเช่นนี้แล้ว เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ใช่หรือไม่?  ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจโดยชัดเจนว่า ไม่ว่าเจ้ามีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์มากมายเพียงใด ตราบเท่าที่เจ้าสามารถยอมรับความจริงได้ เจ้าก็มิใช่ศัตรูของพระคริสต์  ถึงแม้เจ้าจะไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าคือคนที่นบนอบพระเจ้า  การไม่ผลักไสความจริงหรือรังเกียจความจริงนั้นมิได้หมายความว่าเจ้าคือใครบางคนที่ปฏิบัติและนบนอบความจริง  การมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้าง การมีหัวใจค่อนข้างโอบอ้อมอารี และการมีความเป็นมนุษย์ที่ดีกว่าศัตรูของพระคริสต์นั้นไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้าเป็นคนดี  มาตรฐานในการประเมินว่าคนคนหนึ่งเป็นคนดีหรือไม่ดีนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นมนุษย์ของศัตรูของพระคริสต์  ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์จะทำเรื่องไม่ดีมากมายเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยยอมรับสิ่งที่ทำและไม่เคยกลับใจ แต่กลับปฏิบัติตนในหนทางเดิมต่อไป พวกเขาไม่เคยหันหลังกลับ และพวกเขาก็ต่อต้านพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง  แม้ว่าผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์บางคนจะต้องการกลับตัวและกลับใจด้วยใจจริง แต่การกลับตัวเพียงเล็กน้อยนั้นไม่ได้ความว่าพวกเขามีการกลับใจที่แท้จริง  การมีความแน่วแน่ที่จะกลับใจไม่ได้หมายถึงการมีความสามารถที่จะยอมรับความจริง ได้มาซึ่งความจริง และได้รับชีวิต

บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ ดังนั้นฉันจึงดีกว่าศัตรูของพระคริสต์ และเสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งน้อยกว่าศัตรูของพระคริสต์”  คำกล่าวเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  นี่เป็นความเข้าใจที่บิดเบือนหรือไม่?  (เป็นความเข้าใจที่บิดเบือน)  ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นเดียวกับศัตรูของพระคริสต์ แต่แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาแตกต่างกัน  ลองคิดดูว่า—คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  เช่นนั้นจงอธิบายทีเถิด  (ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นเดียวกับศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาต่างก็มีอุปนิสัยที่โอหังและเลวร้าย และต่างไล่ตามไขว่คว้าสถานะกันทั้งคู่  อย่างไรก็ตาม แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ของพวกเขาแตกต่างกัน  ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์มีสำนึกของมโนธรรมอยู่บ้าง และสามารถยอมรับความจริงได้ในระดับที่แตกต่างกัน  พวกเขาไม่ได้รังเกียจความจริงและไม่ได้เกลียดชังความจริง  แต่ในทางกลับกัน ผู้ที่มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์มีแก่นแท้ความเป็นมนุษย์ที่มุ่งร้าย  พวกเขาไร้ซึ่งสำนึกของมโนธรรม ทั้งยังรังเกียจและเกลียดชังความจริง  พวกเขาจะไม่กลับใจ)  พวกเขาล้วนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงระบุลักษณะผู้ที่มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์และเป็นศัตรูของพระองค์เล่า?  (โดยหลักแล้วการนี้ขึ้นอยู่กับท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง  ศัตรูของพระคริสต์รังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริง และการเกลียดชังความจริงก็คือการเกลียดชังพระเจ้าโดยแท้)  มีสิ่งใดอีก?  (แก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์คือแก่นแท้ของหมู่มาร)  ผู้ที่มีแก่นแท้ของหมู่มารนั้นมีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  คนเหล่านี้ไม่ยอมรับความจริงเลย และไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด  เมื่อพิจารณาจากการที่คนสองประเภทนี้ต่างก็มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แล้วความแตกต่างระหว่างผู้ที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดกับผู้ที่ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดคืออะไร?  ในแง่ของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม คนสองประเภทนี้เหมือนกัน แล้วเหตุใดศัตรูของพระคริสต์จึงไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด ในขณะที่ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ แต่ไม่ได้มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ ยังพอมีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดอยู่เล็กน้อย?  (ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั้นไม่เหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ที่เป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงต่อความจริงและสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก  ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้รักความจริงเป็นพิเศษ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ผลักไสความจริง และสามารถยอมรับความจริงได้ในระดับที่แตกต่างกัน สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทีละน้อย  มากไปกว่านั้นคือ ความเป็นมนุษย์ของพวกเขายังมีสำนึกของมโนธรรมอยู่บ้าง ไม่เหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่มีสำนึกของความละอายใจเลย)  ความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดอยู่ตรงนี้ นี่คือความแตกต่างที่สำคัญ  เมื่อตัดสินจากแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ คนประเภทนี้ย่อมไม่อาจได้รับการไถ่และไม่มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ต่อให้เจ้าต้องการช่วยพวกเขาให้รอด เจ้าก็ไม่อาจทำเช่นนั้น พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  พวกเขาไม่ใช่คนประเภทธรรมดาที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน แต่เป็นคนประเภทที่มีแก่นแท้ชีวิตของหมู่มารและซาตาน  คนประเภทนี้ไม่อาจได้รับการช่วยให้รอดโดยสิ้นเชิง  ในทางตรงกันข้าม แก่นแท้ของคนธรรมดาที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นเช่นไร?  พวกเขาเพียงแต่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเท่านั้น ทว่าพวกเขาก็ยังมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่ในระดับหนึ่ง และสามารถยอมรับความจริงบางอย่างได้  นี่หมายความว่า ความจริงสามารถส่งผลบางอย่างต่อคนเหล่านี้ มอบความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดแก่พวกเขา  นี่คือคนประเภทที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด  ศัตรูของพระคริสต์ไม่อาจได้รับการช่วยให้รอดอย่างเด็ดขาด แต่ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่?  (ได้)  หากพวกเรากล่าวว่าคนเหล่านี้สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ นี่ย่อมไม่ใช่คำตอบที่เป็นจริง  พวกเราสามารถกล่าวได้ว่าพวกเขามีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดเท่านั้น—นี่คือคำตอบที่ค่อนข้างเป็นกลาง  สุดท้ายแล้ว คนคนหนึ่งจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้น  การนี้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริง ปฏิบัติความจริง และนบนอบความจริงอย่างแท้จริงได้หรือไม่  ดังนั้นแล้วจึงกล่าวได้เพียงว่า คนประเภทนี้มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  แล้วเหตุใดศัตรูของพระคริสต์จึงไม่มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด?  เพราะพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ พวกเขามีธรรมชาติของซาตาน  พวกเขาเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริง เกลียดชังพระเจ้า และไม่ยอมรับความจริงเลย  พระเจ้ายังทรงสามารถช่วยพวกเขาให้รอดได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ผู้เสื่อมทรามให้รอด แต่มิใช่ซาตานและหมู่มาร  พระเจ้าทรงช่วยผู้ที่ยอมรับความจริงเหล่านั้นให้รอด แต่ไม่ทรงช่วยพวกคนเลวที่เกลียดชังความจริง  คำอธิบายนี้ทำให้เข้าใจชัดเจนใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเราสามัคคีธรรมเช่นนี้เพื่อเลี่ยงไม่ให้ใครบางคนมีความเข้าใจที่บิดเบือน  หลังจากแยกแยะระหว่างศัตรูของพระคริสต์กับผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ คนบางคนย่อมคิดว่าตนเองไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ และนี่หมายความว่าพวกเขาอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย หมายความว่าพวกเขาได้หาที่หลบภัยที่ปลอดภัยให้ตนเองแล้วอย่างแท้จริง และในอนาคตพวกเขาจะไม่ถูกขับไล่ เอาตัวออกไป หรือกำจัดออกไปอย่างแน่นอน  นี่เป็นความเข้าใจที่บิดเบือนหรือไม่?  การมีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดไม่ได้หมายความว่าคนเราจะได้รับการช่วยให้รอด  ความหวังนี้ยังต้องการให้ผู้คนออกไปคว้ามา  ท่าทีที่เจ้ามีต่อความจริงนั้นต่างจากท่าทีของศัตรูของพระคริสต์  เจ้ามิได้รังเกียจความจริง หรือความเป็นมนุษย์ของเจ้าก็ดีกว่าความเป็นมนุษย์ของศัตรูของพระคริสต์อยู่เล็กน้อย เจ้ามีสำนึกของมโนธรรมอยู่บ้าง และมีหัวใจที่ค่อนข้างโอบอ้อมอารี ไม่ทำร้ายผู้อื่น รู้จักกลับใจเมื่อทำสิ่งที่ผิด และสามารถกลับตัวได้  การเพียงแต่มีคุณสมบัติไม่กี่ประการนี้หมายความว่าเจ้ามีภาวะพื้นฐานในการยอมรับความจริง ปฏิบัติความจริง และสัมฤทธิ์การได้รับความรอด  แต่การที่เจ้ามิได้เป็นศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด  เจ้ามิใช่ศัตรูของพระคริสต์ แต่เจ้ายังคงเป็นมนุษย์ผู้เสื่อมทราม  มนุษย์ผู้เสื่อมทรามจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดทั้งหมดหรือ?  ไม่จำเป็นเลย  ต่อให้คนเราไม่ได้เป็นศัตรูของพระคริสต์หรือเป็นคนชั่ว ตราบใดที่พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ยังไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  ความรอดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนนั้นสัมฤทธิ์ผ่านการยอมรับและการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขา  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า  ตราบใดที่คนบางคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่ในตัว พวกเขาก็ยังสามารถกบฏต่อพระเจ้า ท้าทายพระเจ้า ทรยศต่อพระเจ้า และอื่นๆ  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงจำเป็นต้องยอมรับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงจากพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการจัดเตรียมและการนำจากพระวจนะของพระเจ้า การตัดแต่ง การบ่มวินัย และการลงโทษจากพระเจ้า และอื่นๆ—พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำนี้ไม่อาจขาดสิ่งใดไปได้  เพราะฉะนั้น ในการสัมฤทธิ์การได้รับการช่วยให้รอด ประการหนึ่งคือจำเป็นต้องมีพระราชกิจของพระเจ้า และนอกจากนี้ ผู้คนก็จำเป็นต้องมีความแน่วแน่ที่จะให้ความร่วมมือ  หลังจากเข้าใจความจริง พวกเขาพึงต้องมีความสามารถในการสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคา มีความสามารถที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และอื่นๆ  นี่เป็นหนทางเดียวที่จะบรรลุความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และได้รับพรอันหาได้ยากยิ่งของการได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์บนพื้นฐานของการเข้าใจความจริง  เป็นเรื่องที่เรียบง่ายเช่นนั้นเอง  เอาละ พวกเราจบการสามัคคีธรรมหัวข้อนี้แต่เพียงเท่านี้เถิด

ประการที่สิบสาม: การปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการถูกศัตรูของพระคริสต์ก่อกวน ชักพาให้หลงผิด ควบคุม และสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง และทำให้พวกเขาสามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ อีกทั้งละทิ้งคนเหล่านั้นได้จากหัวใจ

งานหลายอย่างที่ผู้นำและคนทำงานต้องปฏิบัติทันทีที่รับรู้ว่าศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนคริสตจักร

ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหัวข้อหลัก  พวกเราได้เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานไปแล้ว  สำหรับสามัคคีธรรมนี้ พวกเราจะหารือถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสาม นั่นคือ “การปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการถูกศัตรูของพระคริสต์ก่อกวน ชักพาให้หลงผิด ควบคุม และสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง และทำให้พวกเขาสามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ อีกทั้งละทิ้งคนเหล่านั้นได้จากหัวใจ”  หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสามเกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ว่าผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติต่อศัตรูของพระคริสต์อย่างไร  ผู้นำและคนทำงานควรทำงานใดเมื่อมีศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัวในคริสตจักร?  อันดับแรก หน้าที่รับผิดชอบนี้ระบุว่า ขณะที่แก้ไขปัญหาดังกล่าว ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องก้าวออกมาเพื่อปกป้องพี่น้องชายหญิงจากการถูกศัตรูของพระคริสต์ก่อกวน ชักพาให้หลงผิด ควบคุม และสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง  นี่คืองานแรกที่พวกเขาควรทำ  ส่วนเรื่องที่ว่าศัตรูของพระคริสต์ก่อกวน ควบคุม สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง และชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิดอย่างไรนั้น เรื่องนี้ได้รับการสามัคคีธรรมไปมากมายแล้วก่อนหน้านี้  ดังนั้นเนื้อหาดังกล่าวจะไม่ใช่หัวข้อหลักของสามัคคีธรรมในวันนี้  วันนี้พวกเราจะมุ่งเน้นหน้าที่รับผิดชอบซึ่งผู้นำและคนทำงานต้องทำให้ลุล่วง รวมถึงงานที่พวกเขาต้องทำเมื่อเผชิญกับพฤติกรรมและการกระทำเหล่านี้ของศัตรูของพระคริสต์ เพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากความเสียหาย  ก่อนอื่น ผู้นำและคนทำงานต้องปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการก่อกวน การชักพาให้หลงผิด การควบคุม และการสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงของศัตรูของพระคริสต์—นี่เป็นหนึ่งในหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  “หนึ่งในหน้าที่รับผิดชอบ” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าในบรรดางานมากมายที่ผู้นำและคนทำงานต้องรับผิดชอบ การปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตคริสตจักรตามปกติได้โดยไร้ซึ่งการก่อกวนและการสร้างความเสียหายร้ายแรงจากศัตรูของพระคริสต์นั้นเป็นงานที่สำคัญ  นี่ยังเป็นงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งพวกเขาไม่สามารถบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบได้ด้วยเช่นกัน  เหล่าผู้นำและคนทำงานควรให้ความสำคัญและไม่ควรละเลยงานนี้  การรักษาชีวิตคริสตจักรให้ดำเนินไปตามปกติเป็นงานที่สำคัญมาก ทั้งยังเป็นงานที่สำคัญที่สุดในบรรดางานทั้งปวงของคริสตจักร  นี่ยังเป็นความรับผิดชอบผู้นำและคนทำงานด้วยเช่นกัน  งานพื้นฐานของผู้นำและคนทำงานคือการนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปสู่ความเป็นจริงความจริง  เมื่อซาตานและศัตรูของพระคริสต์เข้ามาก่อกวนและชักพาผู้คนให้หลงผิด และแก่งแย่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปจากพระองค์ เหล่าผู้นำและคนทำงานควรลุกขึ้นเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์เพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถแยกแยะคนเหล่านั้นได้ ทำให้ศัตรูของพระคริสต์เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตน แล้วจึงเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร  การนี้เพื่อป้องกันมิให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรถูกศัตรูของพระคริสต์ควบคุมและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง  นี่คือความรับผิดชอบที่เหล่าผู้นำและคนทำงานควรทำให้ลุล่วงในขณะทำงานของคริสตจักร  แล้วการป้องกันสิ่งเหล่านี้หมายถึงอะไร?  ควรป้องกันสิ่งเหล่านี้อย่างไร?  ที่จริงแล้ว คำว่า “ป้องกัน” หมายถึงการหยุดยั้งไม่ให้บางสิ่งเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ประเด็นสำคัญในที่นี้คืออะไร?  การหยุดยั้งไม่ให้เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นคือการสัมฤทธิ์การป้องกัน  ในการรับมือกับเหตุการณ์ของศัตรูของพระคริสต์ งานแรกของเหล่าผู้นำและคนทำงานก็คือการหยุดยั้งศัตรูของพระคริสต์จากการก่อกวน การชักพาให้หลงผิด การควบคุม และการสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  พวกเขาต้องปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากความเสียหายของศัตรูของพระคริสต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  นี่เป็นงานสำคัญที่เหล่าผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องทำ และนี่คือหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสามที่พวกเราต้องสามัคคีธรรมให้กระจ่าง  แล้วประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะได้รับการปกป้องได้อย่างไร?  ด้วยการหยุดยั้งมิให้ศัตรูของพระคริสต์ก่อให้เกิดการทำชั่วเหล่านี้ขึ้น  การหยุดยั้งสิ่งเหล่านี้ทำได้หลายหนทางและวิธีการ อย่างเช่น การเปิดโปง การตัดแต่ง การชำแหละ และการจำกัด  มีอะไรอีก?  (การขับไล่)  นั่นเป็นขั้นตอนสุดท้าย  เมื่อพี่น้องชายหญิงยังคงขาดวิจารณญาณและไม่รู้ว่าใครบางคนเป็นศัตรูของพระคริสต์ แต่ผู้นำและคนทำงานได้ระบุไปแล้วว่าคนเหล่านั้นเป็นศัตรูของพระคริสต์ หากพวกเขาขับไล่คนเหล่านั้นออกไปโดยตรง ผู้ที่ขาดวิจารณญาณอาจจะเกิดมโนคติอันหลงผิดและการตัดสิน และบางคนก็อาจจะสะดุดได้  หากเป็นเช่นนั้น ผู้นำและคนทำงานควรทำงานใด?  สิ่งที่เราเพิ่งกล่าวถึงคืออะไร?  (การเปิดโปง การตัดแต่ง การชำแหละ และการจำกัด)  พวกเจ้ามีวิธีการที่ดีในการห้ามมิให้ศัตรูของพระคริสต์ทำชั่วหรือไม่?  การจับตาดูพวกเขาเป็นวิธีการที่ดีหรือไม่?  การจับตาดูถือเป็นหนทางและวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมใช่หรือไม่?  (ใช่)  หนทางที่เหมาะสมในการปฏิบัติต่อศัตรูของพระคริสต์คืออะไร?  การพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงนั้นใช้กับศัตรูของพระคริสต์ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เหตุใดจึงไม่ได้?  (ศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริง พวกเขารังเกียจความจริง)  ศัตรูของพระคริสต์รังเกียจความจริงและไม่ยอมรับความจริง ดังนั้นการใช้บททดสอบ การถลุง การพิพากษา และการตีสอนในการจัดการกับศัตรูของพระคริสต์จึงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจนี้ในตัวพวกเขา  แนวคิดนี้ไม่เหมาะสม ดังนั้นวิธีการนี้ย่อมจะไม่ได้ผลอย่างแน่นอน  เช่นนั้นแล้ววิธีการใดจึงเหมาะสม?  ผู้คนมากมายที่ทนทุกข์แสนสาหัสจากความเสียหายที่เกิดจากศัตรูของพระคริสต์นั้นเกลียดชังพวกเขาอย่างลึกซึ้ง และเชื่อว่าศัตรูของพระคริสต์ควรถูกพิพากษา กล่าวโทษ และตีแผ่ต่อสาธารณะ  พวกเขาคิดว่าควรทำให้ศัตรูของพระคริสต์ยอมรับความผิดพลาดของตนและสารภาพบาปอย่างเปิดเผยในคริสตจักร และได้รับความอับอายอย่างที่สุด  พวกเจ้าคิดว่าการใช้วิธีการเหล่านี้จะเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่)  หากพวกเราพิจารณาจากแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ จริงๆ แล้วการกระทำเช่นนั้นย่อมจะไม่มากเกินไป—หมู่มารจะได้รับการปฏิบัติอย่างไรก็ได้ การนี้ทำได้อย่างสบายเช่นเดียวกับการบี้แมลง  ดังนั้น จุดประสงค์ในการที่ผู้นำและคนทำงานทำเช่นนี้จึงดูถูกต้องและชอบธรรมอย่างยิ่ง แต่วิธีการเหล่านี้มีปัญหาหรือไม่?  งานนี้อยู่ในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานหรือไม่?  การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้สอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่?  (ไม่สอดคล้อง)  เห็นได้ชัดว่าการทำเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับหลักธรรม  หลักธรรมมาจากที่ใด?  (จากพระวจนะของพระเจ้า)  ถูกต้อง  แม้ศัตรูของพระคริสต์—หมู่มาร—เป็นเป้าหมายของการกระทำดังกล่าว วิธีการทั้งหลายก็ควรสอดคล้องกับหลักธรรมและข้อกำหนดของพระเจ้าด้วยเช่นกัน เพราะการทำงานนี้คือการที่ผู้นำและคนทำงานกำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน มิใช่จัดการกับกิจธุระของครอบครัวหรือเรื่องส่วนตัว

I. การเปิดโปง

การจัดการกับศัตรูของพระคริสต์และการหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้ทำชั่วและสร้างความเสียหาย รวมถึงชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิดเป็นความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  จุดประสงค์ในการทำเช่นนี้คือเพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากความเสียหาย ไม่ใช่เพื่อทรมานผู้ใดหรือฉวยโอกาสตอบโต้ผู้ใด และแน่นอนว่าไม่ใช่การรณรงค์ต่อต้านผู้ใด  เพราะฉะนั้นงานที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องทำเพื่อหยุดยั้งศัตรูของพระคริสต์จากการทำชั่วให้ได้มากที่สุดคืออะไร?  อันดับแรกคือการเปิดโปงพวกเขา  จุดประสงค์ของการเปิดโปงคืออะไร?  (เพื่อช่วยให้ผู้คนมีวิจารณญาณ)  ถูกต้อง จุดประสงค์ก็เพื่อช่วยให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีวิจารณญาณแยกแยะแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ เพื่อให้พวกเขาสามารถพาใจออกห่างจากศัตรูของพระคริสต์และไม่ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด และ—เมื่อศัตรูของพระคริสต์พยายามควบคุมและชักพาพวกเขาให้หลงผิด—พวกเขาจะสามารถปฏิเสธคนเหล่านั้นได้อย่างแข็งขัน แทนที่จะปล่อยให้ศัตรูของพระคริสต์บงการและเล่นกับความรู้สึกของพวกเขา  ดังนั้นการเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์เป็นสิ่งที่สำคัญใช่หรือไม่?  (ใช่)  การเปิดโปงพวกเขาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่เจ้าต้องเปิดโปงพวกเขาอย่างถูกต้องแม่นยำ  เช่นนั้นแล้วเจ้าควรเปิดโปงพวกเขาอย่างไร?  สิ่งใดควรเป็นพื้นฐานในการเปิดโปงของเจ้า?  การตีตราพวกเขาตามอำเภอใจนั้นเหมาะสมหรือไม่?  การที่เจ้ากล่าวโทษพวกเขาอย่างไม่ยั้งคิดโดยไม่มีหลักฐานเป็นสิ่งที่ใช้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เช่นนั้นแล้วเจ้าควรเปิดโปงพวกเขาอย่างแม่นยำอย่างไรเพื่อให้สัมฤทธิ์เป้าหมายของการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร?  (สิ่งหนึ่งก็คือ พวกเราต้องเปิดโปงพวกเขาอย่างเป็นกลางและสัตย์จริงตามข้อเท็จจริงเรื่องการทำชั่วของพวกเขา  นอกจากนี้ พวกเราก็ต้องแยกแยะและชำแหละพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้า)  คำกล่าวทั้งสองนี้ตรงประเด็น และขาดไม่ได้ทั้งสองแง่มุม  ประการหนึ่งคือต้องมีหลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริง  เจ้าต้องตัดสินและระบุลักษณะแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ตามคำพูดกับการกระทำที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงความคิดและมุมมองอันไร้สาระที่พวกเขาเผยออกมา  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแยกแยะและชำแหละพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้า  พระวจนะใดของพระเจ้าที่เจ้าควรอ้างอิง?  พระวจนะใดของพระเจ้าที่ตรงไปตรงมาและตรงประเด็นมากที่สุด?  (พระวจนะที่เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)  ถูกต้อง เจ้าต้องหาพระวจนะบางประการที่เผยโฉมหน้าศัตรูของพระคริสต์เพื่อเปิดโปงพวกเขาและทำการเปรียบเทียบอย่างเหมาะสมและเป็นกลาง เพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้องแม่นยำโดยสมบูรณ์  พี่น้องชายหญิงย่อมจะเข้าใจเมื่อได้ฟังเช่นนี้ พวกเขาจะเกิดวิจารณญาณต่อคนที่เกี่ยวข้องและระวังตัวจากคนเหล่านั้นทันที  เมื่อมีวิจารณญาณในหัวใจ พวกเขาก็จะรู้สึกรังเกียจคนคนนี้ว่า “สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็เป็นศัตรูของพระคริสต์!  เมื่อก่อนพวกเขาเคยช่วยเหลือฉันและทำดีกับฉันเสียด้วยซ้ำ  ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นคนดี  ผ่านการชำแหละและสามัคคีธรรมนี้ ความหน้าซื่อใจคดและการสำแดงอันเป็นแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ของพวกเขาก็ถูกเปิดโปง ช่วยให้ทุกคนเห็นว่าคนคนนี้อันตราย  พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดโปงพวกเขาอย่างแม่นยำเหลือเกิน!  พวกเขาไม่ใช่คนดี  พวกเขาพูดจาดีและการกระทำของพวกเขาก็ดูไม่มีปัญหา แต่ด้วยการเปิดโปงแก่นแท้ของพวกเขา ตอนนี้จึงเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งว่า แท้จริงแล้วพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์”  หากตัดสินจากการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของผู้คน เมื่อผู้นำและคนทำงานกำลังทำงานเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ พวกเขากำลังหยุดยั้งศัตรูของพระคริสต์ไม่ให้ก่อกวนและชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิดอย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  แน่นอนว่าพวกเขากำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการถูกศัตรูของพระคริสต์ควบคุมและสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงอีกด้วย  พวกเขากำลังทำหนึ่งในงานของตนในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  งานที่ว่านี้คืออะไร?  การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์  งานของการเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์เป็นหนึ่งในงานที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำเพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  สำหรับงานนานาประการที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำ พวกเราจะไม่เรียงลำดับงานเหล่านั้นตามขนาดหรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ก่อนอื่น พวกเรามาสามัคคีธรรมถึงงานแห่ง “การเปิดโปง” กันเถิด  การเปิดโปงแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์หมายรวมถึงการเปิดโปงเจตนา จุดประสงค์ และผลที่ตามมาจากการทำชั่วอย่างไม่ว่างเว้นของพวกเขาซึ่งก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร เปิดโปงว่าขณะที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำและคนทำงานนั้นศัตรูของพระคริสต์ไม่ทำงานจริงของคริสตจักรเลย ทั้งยังไม่สนใจการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เปิดโปงโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของศัตรูของพระคริสต์ว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักตนเองแต่อย่างใด ไม่เคยปฏิบัติความจริง และเอาแต่กล่าวคำพูดและคำสอนเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดเท่านั้น รวมถึงเปิดโปงคำกล่าวและการกระทำที่แตกต่างกันของพวกเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าและลับหลังผู้คน  การเปิดโปงแง่มุมเหล่านี้อย่างถี่ถ้วนแสดงให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของศัตรูของพระคริสต์ว่าเป็นเหล่าซาตานและหมู่มาร  นี่คืองานสำคัญที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำ  แล้วสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องมีในการทำงานนี้คืออะไร?  อันดับแรกพวกเขาจำเป็นต้องมีสำนึกถึงภาระอยู่บ้างใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อผู้นำและคนทำงานแบกรับหน้าที่รับผิดชอบนี้ พวกเขาก็มักจะคิดว่า “คนคนนั้นเป็นศัตรูของพระคริสต์  พี่น้องชายหญิงบางคนมักจะไปหาพวกเขาเมื่อมีคำถาม สร้างความสนิทสนมกับพวกเขาและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาอยู่เสมอ  การถูกคนคนนี้ชักพาให้หลงผิดทำให้คนมากมายเทิดทูนเขาเป็นพิเศษ  ควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี?”  พวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและมักจะแสวงหาพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ด้วยความตั้งใจ เตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงในเรื่องนี้  จากนั้นพวกเขาก็ขอให้พระเจ้าทรงตระเตรียมช่วงเวลาที่เหมาะสม หรือไม่พวกเขาก็มองหาเวลาและโอกาสที่เหมาะสมด้วยตนเองเพื่อสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงถึงเรื่องนี้  พวกเขาปฏิบัติต่อเรื่องนี้ว่าเป็นภาระของตนและเป็นงานสำคัญที่พวกเขาจำเป็นต้องทำในลำดับต่อไป  พวกเขาตระเตรียม แสวงหา และอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อขอการทรงนำอยู่เป็นนิจ พวกเขาอยู่ในสภาพจิตใจและภาวะเช่นนี้เสมอ  นี่คือความหมายของการมีสำนึกถึงภาระ  หลังจากเตรียมตัวกับภาระดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็ต้องรอจนกว่าภาวะทั้งหลายจะพร้อม  อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ต้องรอให้มีคนที่มีวิจารณญาณที่แท้จริงเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์สักสองหรือสามคนเสียก่อนจึงเริ่มเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นได้  หากพวกเขาใช้ความรู้สึกของตนเพียงอย่างเดียวมากำหนดว่าใครบางคนดูเหมือนเป็นศัตรูของพระคริสต์ แต่ไม่สามารถมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งว่าแท้จริงแล้วคนคนนั้นเป็นศัตรูของพระคริสต์หรือไม่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องไม่กระทำการอย่างบุ่มบ่าม  โดยสรุปแล้ว ขณะที่ดำเนินงานนี้ พวกเขาย่อมจะมีความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้าอย่างแน่นอน  นี่คือความหมายของการทำงานจริงและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน

II. การตัดแต่ง

หลังจากได้ดำเนินงานของการเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์แล้ว ถึงแม้พี่น้องชายหญิงจะได้รับวิจารณญาณขึ้นมาบ้าง แต่ก่อนที่ศัตรูของพระคริสต์จะถูกตีแผ่อย่างสมบูรณ์ก็ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่คนเหล่านี้จะก่อกวนและชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิดมากขึ้น จนทำให้มีคนเทิดทูน เลื่อมใส และติดตามพวกเขาเพิ่มมากขึ้น  นี่ทำให้การเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องในการเชื่อในพระเจ้าของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรล่าช้าอย่างหนัก ขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาและสร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ  ดังนั้นงานที่สองที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำก็คือ เมื่อศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนและชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิด หรือเมื่อคำพูดและการกระทำของพวกเขาละเมิดหลักธรรมความจริงอย่างชัดเจน ผู้นำและคนทำงานต้องฉวยหลักฐานและออกมาตัดแต่งพวกเขาทันที แล้วเปิดโปงการทำชั่วของพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้พี่น้องชายหญิงสามารถแยกแยะและมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและคุ้มกันงานของพระนิเวศของพระเจ้าโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  เหล่าผู้นำและคนทำงานไม่ควรนั่งเฉยหรือปิดหูปิดตา พวกเขาควรฉวยโอกาสในทันที ชี้ให้เห็นเหตุการณ์ และออกมาตัดแต่งพวกศัตรูของพระคริสต์ โดยเปิดโปงการกระทำ ความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี และแก่นแท้ของพวกเขาอย่างเที่ยงตรง  แน่นอนว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องระบุลักษณะอย่างถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นว่าศัตรูของพระคริสต์เป็นคนประเภทใด เพื่อให้พี่น้องชายหญิงมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน เพื่อให้ศัตรูของพระคริสต์รู้ได้ด้วยตนเองและตระหนักว่าไม่ใช่ทุกคนที่ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะพวกเขาและสามารถถูกพวกเขาหลอกได้—ตระหนักว่าอย่างน้อยก็มีบางคนที่สามารถรู้เท่าทันการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขา รวมถึงมองเห็นแก่นแท้ ความทะเยอทะยานและความอยากที่แอบแฝงของพวกเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  แน่นอนว่าจุดประสงค์ของการตัดแต่งศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่เพื่อเปิดโปงแก่นแท้ของพวกเขาผ่านทางคำพูดต่างๆ เพียงอย่างเดียว  จุดประสงค์ที่สำคัญกว่านั้นคืออะไร?  (ประการหนึ่งก็เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงให้เกิดวิจารณญาณ รวมถึงจำกัดการทำชั่วของศัตรูของพระคริสต์)  ถูกต้อง  การนี้ก็เพื่อจำกัดพวกเขา เพื่อที่ว่าเมื่อพวกเขาทำสิ่งต่างๆ ที่ก่อกวนและชักพาผู้คนให้หลงผิด พวกเขาจะเกิดความลังเลใจและรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้าง เพื่อทำให้พวกเขาอยู่ภายใต้ข้อจำกัด มีการยับยั้งชั่งใจ และไม่กล้ากระทำการโดยไม่ยั้งคิด เพื่อให้พวกเขารู้ว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่เพียงมีความจริง และความจริงครองอำนาจเท่านั้น แต่ยังมีกฎการปกครองอีกด้วย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิบัติตนอย่างเผด็จการและด้วยความไม่ยั้งคิดตามอำเภอใจในพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อทำลายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และสร้างความเสียหายต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร รวมทั้งเพื่อให้พวกเขารู้ด้วยว่า พวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำผิดด้วยความประมาทซึ่งก่อกวนงานของคริสตจักรและสร้างความเสียหายต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอีกด้วย  ในขณะที่ตัดแต่งศัตรูของพระคริสต์อย่างทันท่วงทีนั้น เหล่าผู้นำและคนทำงานก็ต้องลุกขึ้นเปิดโปงพวกเขา ช่วยให้ผู้คนเกิดวิจารณญาณและมองเห็นความทะเยอทะยาน ความอยาก เจตนา และจุดประสงค์ของศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งอีกด้วย  แน่นอนว่านี่เป็นการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและคุ้มกันผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อพิจารณาที่ผู้นำและคนทำงานต้องคำนึงถึง และการดำเนินงานนี้ก็อยู่ในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถละเลยหรือไม่ใส่ใจได้  หากผู้นำและคนทำงานค้นพบศัตรูของพระคริสต์ในคริสตจักร พวกเขาก็ควรระแวดระวังคำพูดและการกระทำ รวมถึงตรรกะวิบัติที่ศัตรูของพระคริสต์แอบเผยแพร่ลับหลังอยู่เสมอ และพวกเขาก็ต้องปฏิบัติการตัดแต่งและเปิดโปงคนเหล่านั้น  นี่เป็นหนึ่งในงานของผู้นำและคนทำงานเพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่ให้ถูกศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนและทำให้เกิดความเสียหาย

III. การชำแหละ

งานต่อมาสำหรับผู้นำและคนทำงานคืออะไร?  คือการชำแหละ  การชำแหละนั้นแทบจะเหมือนกับการเปิดโปง ทว่ามีระดับที่แตกต่างกัน  เมื่อเป็นการชำแหละ ย่อมมิใช่เพียงการเปิดโปงข้อเท็จจริง สถานการณ์จริง หรือภูมิหลังเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องการระบุลักษณะนิสัย กล่าวคือ งานนี้เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ เกี่ยวกับปัญหาต้นตอที่สำคัญ  ชำแหละท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า ต่อความจริง ต่อหน้าที่ของตน และต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า รวมถึงแรงจูงใจ เจตนา และจุดประสงค์เบื้องหลังการที่พวกเขาเผยแพร่ตรรกะวิบัติทั้งหลาย—เหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงทำเช่นนี้—และแยกแยะว่าแท้จริงแล้วแก่นแท้ของพวกเขาเป็นเช่นไรผ่านความคิด มุมมอง คำพูด การกระทำของพวกเขา รวมถึงอุปนิสัยและการสำแดงที่พวกเขาเผยออกมา  สิ่งเหล่านี้ควรถูกนำไปเปรียบเทียบกับพระวจนะของพระเจ้าและอธิบายเพื่อให้พี่น้องชายหญิงสามารถได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อศัตรูของพระคริสต์ และเห็นอย่างชัดเจนจากมุมมองที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงว่าเหตุใดศัตรูของพระคริสต์ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาจึงพูดและทำสิ่งเหล่านี้ มุมมองที่พระเจ้าทรงมีต่อคนเหล่านี้เป็นอย่างไร และพระองค์ทรงระบุลักษณะของพวกเขาอย่างไร  แน่นอนว่า เหล่าผู้นำและคนทำงานก็ควรบอกให้พี่น้องชายหญิงตีตัวออกหากและปฏิเสธศัตรูของพระคริสต์ รวมถึงระแวดระวังการถูกชักพาให้หลงผิดด้วยการกระทำ พฤติกรรม คำพูด และมุมมองของศัตรูของพระคริสต์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจพระเจ้าผิด ระแวดระวังพระเจ้า ตีตนออกหากจากพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้า และถึงกับตัดสินและกล่าวโทษพระเจ้าอยู่ในใจเช่นเดียวกับศัตรูของพระคริสต์อีกด้วย  จุดประสงค์ของการชำแหละก็เหมือนกับงานอื่นๆ อย่างการเปิดโปงและการตัดแต่ง คือการหยุดยั้งศัตรูของพระคริสต์มิให้ก่อกวน สร้างความเสียหาย และชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด  การนี้ก็เพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมิให้ถูกศัตรูของพระคริสต์ทำให้เสียหายอย่างร้ายแรง และมิให้เบี่ยงเบนไปจากครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า  เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมองเห็นข้อเท็จจริงและสถานการณ์จริงอย่างชัดเจนว่าศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนคริสตจักรอย่างไร อีกทั้งมองเห็นแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์อย่างชัดเจน พวกเขาก็จะไม่ถูกคนเหล่านั้นควบคุมและชักพาให้หลงผิดอีกต่อไป  ต่อให้คนเลอะเลือนและโง่เขลาบางคนยังคงเทิดทูนและชื่นชมศัตรูของพระคริสต์อยู่ภายใน รวมถึงยังคงปฏิสัมพันธ์และใกล้ชิดกับคนเหล่านั้น ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่สามารถก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ได้อีกต่อไป  พวกเขาจะได้แต่ทำบางสิ่งบางอย่างกับคนโง่เขลา โดยไม่ส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง และด้วยเหตุนี้พวกเขาย่อมจะไม่สามารถก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักรได้  การบรรลุถึงระดับนี้คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรสัมฤทธิ์ให้ได้  นั่นคือ พวกเขาต้องทำให้แน่ใจว่าบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงและเต็มใจทำหน้าที่ของตน รวมถึงบรรดาผู้ที่รักความจริงนั้นสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนและดำเนินชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติได้  ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องทำให้แน่ใจได้ด้วยว่าผู้คนเหล่านี้จะสามารถระมัดระวังตัวจากการถูกศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนและชักพาให้หลงผิด และสามารถปฏิเสธศัตรูของพระคริสต์ได้  นี่คือการหยุดยั้งศัตรูของพระคริสต์จากการทำชั่วและการก่อกวนอย่างสุดกำลัง ทำให้การปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสัมฤทธิ์ผลได้โดยสมบูรณ์  แน่นอนว่าไม่ว่าเจ้าทำงานของตนอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด และไม่ว่าเจ้าพูดอย่างละเอียดถี่ถ้วนอย่างไร ก็ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนโง่เขลา คนที่มีขีดความสามารถต่ำ รวมถึงคนที่เลอะเลือนบางคนที่ไม่สามารถปฏิเสธศัตรูของพระคริสต์และจะยังคงเคารพและเลื่อมใสคนเหล่านั้นอยู่ในหัวใจ  อย่างไรก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะมาถึงจุดที่พวกเขาสามารถปฏิเสธศัตรูของพระคริสต์ได้  หากผู้นำและคนทำงานสามารถสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ได้ พวกเขาก็จะได้ปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างเต็มที่ และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ดังที่ปรารถนาแล้ว  สำหรับพวกคนหัวทึบที่ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมอย่างไร หากพวกเขายังสามารถออกแรงทำงานได้เล็กน้อย พวกเขาก็ควรได้รับการเอาใจใส่และความช่วยเหลืออยู่บ้าง รวมถึงควรได้รับความรัก ความอดทน และการผ่อนปรนเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย  นี่คือการทำทุกอย่างที่คนคนหนึ่งพึงทำ และการทำงานในหนทางนี้ย่อมเป็นไปตามหลักธรรม  ผู้นำและคนทำงานที่สามารถทำได้ตามมาตรฐานนี้มีมากหรือไม่?  (ไม่มาก)  เพราะฉะนั้นจงพยายามอย่างสุดความสามารถ เจ้าต้องปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและอย่างถึงที่สุด  คำว่า “อย่างถึงที่สุด” หมายความว่าอย่างไร?  หมายถึงการทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่เจ้าเข้าใจ เพื่อนำเสนอหลักฐานที่เจ้าได้มาแล้ว—การสำแดงถึงการทำชั่วนานาประการของศัตรูของพระคริสต์—โดยเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นกับพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ สามัคคีธรรมและชำแหละพวกเขา  นี่ก็เพื่อให้พี่น้องชายหญิงสามารถมองเห็นสถานการณ์จริงตามข้อเท็จจริงได้อย่างชัดเจน แยกแยะและมองแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งรู้จักท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อศัตรูของพระคริสต์  นี่คืองานชิ้นสำคัญที่ผู้นำและคนทำงานต้องลงมือทำ

IV. การจำกัด

งานลำดับต่อไปที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำคืออะไร?  การจำกัด  งานของ “การจำกัด” นี้ง่ายต่อการดำเนินการ นี่คืองานที่สัมพันธ์กับการใช้การประเมินวัดแบบพิเศษเพื่อให้การจำกัดสัมฤทธิ์ผล  ตัวอย่างเช่น ศัตรูของพระคริสต์มักกล่าวคำพูดและคำสอนอยู่เสมอ ยกชูตนเองอยู่เป็นนิจ บางครั้งก็ดูแคลนผู้อื่น เป็นพยานยืนยันบ่อยครั้งว่าพวกเขาสู้ทนความทุกข์มาแล้วมากเพียงใดและได้สร้างคุณูปการใดต่อพระนิเวศของพระเจ้าในระหว่างการชุมนุม รวมถึงเป็นพยานยืนยันถึงตนเองอย่างหน้าไม่อาย พูดเรื่องที่ว่าผู้อื่นเลื่อมใสพวกเขาอย่างไร พวกเขาดีกว่าผู้อื่นอย่างไร พวกเขามีเอกลักษณ์อย่างไร เป็นต้น  ผู้นำและคนทำงานควรจำกัดการทำชั่วนานาประการของศัตรูของพระคริสต์ที่ควบคุมและชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิดอย่างสุดความสามารถ แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาทำชั่วต่อไปเรื่อยๆ  เหล่าผู้นำและคนทำงานควรจำกัดระยะเวลาและหัวข้อที่ศัตรูของพระคริสต์หารือ  นอกจากนี้ สำหรับการกระทำของศัตรูของพระคริสต์ทั้งในที่รโหฐานและในที่สาธารณะ อย่างเช่น การใช้ความช่วยเหลือเล็กน้อยเพื่อดึงผู้คนมาเป็นพวกของตน ยุยงให้เกิดความแตกแยก การเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและความคิดเห็นที่เป็นลบ และอื่นๆ ผู้นำและคนทำงานไม่ควรปฏิบัติตนราวกับว่าหูหนวกหรือตาบอด  พวกเขาควรเข้าใจการกระทำของศัตรูของพระคริสต์อย่างทันท่วงที เมื่อค้นพบพฤติกรรมที่ก่อกวนและชักพาผู้อื่นให้หลงผิด พวกเขาก็ควรเปิดโปงและชำแหละพฤติกรรมเหล่านี้ และบังคับใช้ข้อจำกัดกับศัตรูของพระคริสต์ในทันที ไม่อนุญาตให้พวกเขาวนเวียนก่อกวนงานของคริสตจักรและชักพาผู้คนให้หลงผิด  นี่คือหนึ่งในงานสำคัญที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องทำใช่หรือไม่?  (ใช่)  เจ้าสามารถจำกัดการทำชั่วของศัตรูของพระคริสต์ด้วยการตัดแต่ง เปิดโปง และชำแหละพวกเขาเท่านั้นใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เจ้าไม่สามารถจำกัดพวกเขาในหนทางนี้ได้เพราะพวกเขาคือเหล่าซาตานและหมู่มาร  ตราบเท่าที่มือและเท้าของพวกเขาไม่ถูกมัดเอาไว้ และปากของพวกเขาไม่ได้ปิดสนิท พวกเขาย่อมจะเผยแพร่ตรรกะวิบัติและเอ่ยคำพูดเยี่ยงมารที่ก่อกวนผู้คน  ผู้นำและคนทำงานต้องดำเนินการจำกัดพวกเขาในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเผยแพร่ตรรกะวิบัติเพื่อก่อกวนและชักพาผู้คนให้หลงผิด ผู้นำและคนทำงานต้องขัดขวางและหยุดยั้งคนเหล่านี้อย่างทันท่วงที  พวกเขายังต้องทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีวิจารณญาณและมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของศัตรูของพระคริสต์อย่างชัดเจนอีกด้วย  นี่คืองานที่แท้จริงที่เหล่าผู้นำและคนทำงานพึงทำ

V. การจับตาดู

หลังจากการจำกัดศัตรูของพระคริสต์แล้ว งานต่อมาก็คือการจับตาดูพวกเขา  จงดูว่าศัตรูของพระคริสต์ชักพาผู้ใดให้หลงผิดและเผยแพร่ตรรกะวิบัติและคำพูดเยี่ยงมารลับหลังเช่นไร ตรวจสอบว่าพวกเขากำลังเข้าข้างพญานาคใหญ่สีแดงและสมคบคิดกันหรือไม่ ดูว่าพวกเขาได้ร่วมมือกับโลกศาสนาหรือไม่ พวกเขาแอบวางอุบายที่ไม่น่าไว้วางใจร่วมกับพรรคพวกของตนหรือไม่ ดูว่าพวกเขาอาจทรยศด้วยการเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ และอื่นๆ  นี่ก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานพึงลุล่วง  ก่อนที่การกระทำของศัตรูของพระคริสต์จะถูกเปิดเผยออกมา เหล่าผู้นำและคนทำงานไม่ควร “อุทิศตนเองอย่างเต็มที่ในการศึกษาหนังสือของนักปราชญ์และไม่ใส่ใจกับเรื่องภายนอก” แต่ควรเฉลียวฉลาดดั่งงู  เมื่อผู้นำและคนทำงานพบว่าใครบางคนเป็นศัตรูของพระคริสต์ หากยังไม่ถึงเวลาขับไล่หรือเอาตัวคนคนนั้นออกไป พวกเขาก็ต้องจับตาดูคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นทำชั่วต่อไป เพื่อให้แน่ใจว่าคำพูดและการกระทำของคนเหล่านั้นถูกจับตาดูจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  เนื่องจากศัตรูของพระคริสต์รักในอำนาจและการสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ ผู้นำและคนทำงานจึงควรจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า ศัตรูของพระคริสต์มักปฏิสัมพันธ์กับผู้ใดลับหลังตลอดเวลาและพวกเขาติดต่อกับคนในศาสนาหรือไม่  ศัตรูของพระคริสต์บางคนมักจะติดต่อกับศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสในศาสนาอยู่เป็นประจำ และบางคนก็ถึงกับปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจากกรมงานแนวร่วม  เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ผู้นำและคนทำงานไม่ควรปิดหูปิดตาในเรื่องนี้ แต่ควรระแวดระวังศัตรูของพระคริสต์และเตรียมพร้อมตลอดเวลา  หากศัตรูของพระคริสต์เห็นว่าวิธีการที่ตนใช้ชักพาผู้คนให้หลงผิดและดึงตัวมาเป็นพวกของตนใช้ไม่ได้ผลในพระนิเวศของพระเจ้าและเห็นว่าการทำชั่วของตนก็ถูกเปิดโปงแล้ว รวมทั้งรู้ว่าตนจะไม่มีจุดจบที่ดี เจ้าย่อมไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดหรือความชั่วของพวกเขาจะไปไกลถึงเพียงไหน  เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าเกิดความมั่นใจอยู่ในหัวใจของตนว่าใครบางคนเป็นศัตรูของพระคริสต์  เจ้าก็ต้องจับตาดูและคอยสังเกตคนคนนั้นอย่างใกล้ชิดโดยไม่เลิกรา  นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า  จุดประสงค์ของการทำเช่นนี้คืออะไร?  เพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ศัตรูของพระคริสต์กระทำผิดต่อคริสตจักรและต่อพี่น้องชายหญิงเพื่อทำให้พี่น้องชายหญิงเกิดความเสียหายให้ได้มากที่สุด  ศัตรูของพระคริสต์บางคนมักสอบถามเกี่ยวกับของถวายอยู่เสมอว่า “ใครเป็นคนบริหารจัดการเงินของพระนิเวศของพระเจ้า?  ใครเป็นคนทำบัญชี?  บัญชีเหล่านั้นได้รับการทำอย่างถูกต้องหรือไม่?  เป็นไปได้หรือไม่ว่ากำลังมีการยักยอกเกิดขึ้น?  เงินของคริสตจักรถูกเก็บเอาไว้ที่ไหน?  เรื่องเหล่านี้ควรเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อให้ทุกคนมีสิทธิ์รับรู้มิใช่หรือ?  พระนิเวศของพระเจ้ามีทรัพย์สินอยู่เท่าไร?  ใครเป็นผู้ที่บริจาคเงินมากที่สุด?  ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย?”  คำพูดของพวกเขาทำให้ฟังดูราวกับว่าพวกเขาเป็นกังวลเรื่องการเงินของพระนิเวศของพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงพวกเขากลับมีแรงจูงใจที่แตกต่างออกไป  ไม่มีศัตรูของพระคริสต์คนใดที่ไม่ละโมบเงินทอง  แล้วในกรณีเช่นนี้ ผู้นำและคนทำงานควรทำอย่างไร?  ก่อนอื่น เจ้าควรจัดการของถวายอย่างถูกควร มอบหมายให้คนที่ไว้วางใจได้เก็บรักษาสิ่งเหล่านี้อย่างปลอดภัย และเจ้าไม่ควรปล่อยให้ศัตรูของพระคริสต์ประสบความสำเร็จในการสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนโดยเด็ดขาด—เจ้าต้องไม่เลอะเลือนต่อประเด็นนี้  ทันทีที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เจ้าก็ควรตระหนักว่า “มีบางอย่างผิดปกติ  ศัตรูของพระคริสต์กำลังจะทำอะไรบางอย่าง  เงินของคริสตจักรกำลังตกเป็นเป้าหมายของพวกเขา  พวกเขาอาจจะกำลังวางแผนร่วมมือกับพญานาคใหญ่สีแดงเพื่อลอบวางอุบายและฮุบเงินของคริสตจักร  พวกเราต้องย้ายเงินนั้นเดี๋ยวนี้!”  ประการหนึ่ง เจ้าไม่อาจปล่อยให้ศัตรูของพระคริสต์รู้ว่าใครเป็นผู้บริหารจัดการการเงินของพระนิเวศของพระเจ้า  นอกจากนี้ หากผู้ที่บริหารจัดการเงินรู้สึกว่าความปลอดภัยตกอยู่ในความเสี่ยง ทั้งเงินและผู้ที่บริหารจัดการเงินต้องถูกโยกย้ายไปโดยเร็ว  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรเอาใจใส่ และเป็นงานที่พวกเขาควรปฏิบัติมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้นำที่โง่เขลาได้ยินศัตรูของพระคริสต์กล่าวสิ่งเหล่านี้แต่กลับคิดว่า “คนคนนี้แบกรับภาระ และรู้จักที่จะแสดงความกังวลต่อเงินของพระนิเวศของพระเจ้า เพราะฉะนั้นพวกเรามอบหน้าที่รับผิดชอบบางอย่างแก่พวกเขาและให้พวกเขาได้ช่วยเหลือเรื่องบัญชีเถิด”  เมื่อทำเช่นนี้ พวกเขาย่อมกลายเป็นยูดาสไปแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาไม่เพียงล้มเหลวในการปกป้องของถวายเท่านั้น แต่ยังถึงกับขายสิ่งเหล่านั้นให้กับศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาจึงกลายเป็นยูดาสอย่างแท้จริง  เจ้าคิดอย่างไรกับผู้นำและคนทำงานเหล่านี้?  พวกเขาเป็นคนชั่วมิใช่หรือ?  พวกเขาคือหมู่มารมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนเท่านั้น แต่พวกเขายังได้ส่งมอบของถวายพระเจ้าและพี่น้องชายหญิงให้กับศัตรูของพระคริสต์อีกด้วย  ดังนั้นแล้วในที่ที่มีศัตรูของพระคริสต์อยู่ เมื่อผู้นำและคนทำงานค้นพบเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาต้องเริ่มสืบค้นและทำงานที่เฉพาะเจาะจงบางอย่าง ซึ่งในที่นี้ “การจับตาดู” จึงเป็นงานที่ขาดไม่ได้

งานจับตาดูที่ผู้นำและคนทำงานดำเนินการนั้นมิใช่เรื่องของการจารกรรมหรือกิจกรรมการสอดแนมใดๆ งานนี้เป็นเพียงการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของเจ้า เอาใจใส่มากขึ้น เฝ้าสังเกตด้วยความระมัดระวังมากขึ้น และบันทึกว่าศัตรูของพระคริสต์กำลังทำสิ่งใด และเจตนาทำสิ่งใด  หากเจ้าค้นพบสัญญาณใดๆ ว่าพวกเขากระทำชั่วและก่อกวนคริสตจักร เจ้าต้องใช้มาตรการตอบโต้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  เจ้าไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาประสบความสำเร็จโดยเด็ดขาด  นี่คือการหยุดยั้งไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนงานของคริสตจักรให้ได้มากที่สุด  โดยธรรมชาติแล้ว การนี้ยังคุ้มกันงานของคริสตจักรและปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ดีที่สุดอีกด้วย  นี่คือการสำแดงของการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  การจับตาดูไม่ได้หมายถึงการจัดการเตรียมผู้คนไม่กี่คนให้ปฏิบัติตนเป็นสายลับ และให้พวกเขาติดตาม สะกดรอย และเฝ้าจับตาผู้คนราวกับจารชน หรือไปค้นบ้านของพวกเขา และใช้วิธีการสอบสวนที่รุนแรง  พระนิเวศของพระเจ้ามิได้ข้องเกี่ยวกับกิจกรรมเหล่านั้น  อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องเข้าใจสถานการณ์ของศัตรูของพระคริสต์ให้ได้ในทันที  เจ้าสามารถสอบถามถึงสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาด้วยการพูดคุยกับคนในครอบครัวของพวกเขา หรือพี่น้องชายหญิงที่คุ้นเคยกับพวกเขา หรือสามารถแยกแยะพวกเขาได้  ทั้งหมดนี้คือวิธีการและหนทางในการทำงานนี้มิใช่หรือ?  หากผู้นำและคนทำงานปฏิบัติงานที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของพวกเขาและเป็นไปตามหลักธรรมที่พระเจ้าทรงกำหนด พวกเขาก็กำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน  จุดประสงค์ของผู้นำและคนทำงานในการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนคืออะไร?  คือเพื่อให้เจ้าทำทุกอย่างที่เจ้าสามารถทำได้เพื่อหยุดยั้งศัตรูของพระคริสต์ไม่ให้ก่อการรบกวนและขัดขวางให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อป้องกันศัตรูของพระคริสต์ไม่ให้สร้างความเสียหายต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และขายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  การทำเช่นนี้ช่วยหยุดยั้งมิให้เกิดเหตุการณ์เกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ให้ได้มากที่สุดมิใช่หรือ?  ผู้นำและคนทำงานที่ปฏิบัติงานนี้กำลังทำทุกอย่างที่มนุษย์สามารถทำได้มิใช่หรือ?  (ใช่)  การทำเช่นนี้เป็นเรื่องยากหรือไม่?  (ไม่)  การทำเช่นนี้ไม่ยาก นี่คือสิ่งที่ผู้ซึ่งเข้าใจความจริงสามารถสัมฤทธิ์ได้  สิ่งใดที่ผู้คนสามารถสัมฤทธิ์ได้ พวกเขาก็ควรทำอย่างเต็มที่เพื่อให้สำเร็จลุล่วง ส่วนที่เหลือนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่พระเจ้าจะทรงทำ ที่จะทรงใช้อธิปไตยของพระองค์และทรงจัดวางเรียบเรียง และทรงนำ  นี่คือสิ่งที่พวกเรากังวลน้อยที่สุด  พวกเรามีพระเจ้าอยู่เบื้องหลังพวกเรา  พวกเราไม่เพียงแต่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจเท่านั้น แต่ยังมีความเชื่อที่แท้จริงอีกด้วย  นี่ไม่ใช่การเกื้อหนุนฝ่ายวิญญาณ ที่จริงแล้วพระเจ้าทรงเฝ้าดูอยู่เบื้องหลัง และพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างผู้คน สถิตอยู่กับพวกเขาเสมอ  เมื่อไรก็ตามที่ผู้คนทำสิ่งใดหรือทำหน้าที่ใด พระองค์ย่อมกำลังทรงเฝ้ามองอยู่ พระองค์ทรงอยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยเหลือเจ้าในทุกที่และทุกเวลา ทรงดูแลและคุ้มครองเจ้า  สิ่งที่ผู้คนควรทำคือการทำสิ่งที่สมควรทำให้สำเร็จลุล่วงอย่างสุดความสามารถ  ตราบเท่าที่เจ้าเกิดการตระหนักรู้ รู้สึกอยู่ในหัวใจ มองเห็นในพระวจนะของพระเจ้า ได้รับการตักเตือนจากผู้คนรอบตัว หรือได้รับสัญญาณหรือหมายสำคัญบางอย่างจากพระเจ้าที่ประทานข้อมูลแก่เจ้า—ว่านี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ นี่คือพระบัญชาของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเจ้า—เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน และไม่นั่งเฉยหรือเฝ้ามองจากข้างสนาม  เจ้ามิใช่หุ่นยนต์ เจ้ามีความคิดและจิตใจ  เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น เจ้ารู้แน่ว่าเจ้าควรทำอย่างไร และเจ้าย่อมมีความรู้สึกและการตระหนักรู้อย่างแน่นอน  ดังนั้น จงนำความรู้สึกและการตระหนักรู้เหล่านี้ไปใช้กับสถานการณ์จริง ใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านั้น และแปรเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้เป็นการกระทำของเจ้า และในหนทางนี้ เจ้าย่อมจะได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน  สำหรับสิ่งที่เจ้าสามารถตระหนักได้ เจ้าควรปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงที่เจ้าเข้าใจ  ในหนทางนี้เจ้าย่อมกำลังทำอย่างสุดความสามารถและพยายามอย่างเต็มที่ในการทำหน้าที่ของเจ้า  ในฐานะผู้นำและคนทำงาน เมื่อเจ้าได้พยายามอย่างสุดความสามารถ กล่าวคือ เมื่อเจ้าหยุดยั้งมิให้เกิดการทำชั่วของศัตรูของพระคริสต์ได้มากที่สุด พระเจ้าย่อมจะพอพระทัยที่เจ้าสามารถปฏิบัติในหนทางนี้ได้  เหตุใดพระเจ้าจึงจะพอพระทัย?  พระเจ้าจะทรงกำหนดเกี่ยวกับผู้นำและคนทำงานเหล่านั้นว่า พวกเขากำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปฏิบัติงานซึ่งเป็นหน้าที่ตามบทบาทของพวกเขา  นี่คือการเห็นชอบจากพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)

VI. การขับไล่

หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสามของผู้นำและคนทำงานหมายรวมถึงงานอันเฉพาะเจาะจงทั้งหลายที่พวกเขาต้องทำ ซึ่งพวกเราได้ระบุไว้หลายข้อ นั่นคือ พวกเขาต้องปฏิบัติการเปิดโปง การตัดแต่ง การชำแหละ การจำกัด และการจับตาดูศัตรูของพระคริสต์  การสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมพื้นฐานเหล่านี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว  ไม่ว่าในสถานการณ์พิเศษ ผู้นำและคนทำงานจะกระทำการเฉพาะเจาะจงอย่างไร หลักธรรมสำหรับการจัดการกับศัตรูของพระคริสต์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  นอกจากนี้ จุดประสงค์หลักของงานเหล่านี้ก็คือเพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  สมมุติว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต่างยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์แล้วว่าใครบางคนเป็นศัตรูของพระคริสต์ และได้เกิดวิจารณญาณแยกแยะและเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าศัตรูของพระคริสต์พยายามควบคุมและชักพาผู้คนให้หลงผิดอยู่เสมอ พวกเขารู้ว่าหากมีศัตรูของพระคริสต์อยู่ก็ย่อมไม่สามารถมีวันที่ดีหรือชีวิตคริสตจักรที่ดีได้ และทุกคนต่างเรียกร้องอย่างเป็นเอกฉันท์ให้เอาตัวศัตรูของพระคริสต์ออกไปจากคริสตจักร  ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ผู้นำและคนทำงานบางคนยังคงสนับสนุนการปล่อยให้ใช้ศัตรูของพระคริสต์เป็นเครื่องฝึกฝนในการเปิดโปง การตัดแต่ง การชำแหละ การจำกัด และการจับตาดูศัตรูของพระคริสต์ต่อไป—ยังมีความจำเป็นจะต้องผ่านกระบวนการเหล่านี้อยู่หรือไม่?  ผู้นำและคนทำงานบางคนอาจจะกล่าวว่า “หากพวกเราไม่ผ่านกระบวนการเหล่านี้ ฉันจะไม่ละเลยหน้าที่รับผิดชอบของตนหรือ?  มีเพียงการก้าวผ่านกระบวนการเหล่านี้เท่านั้นที่เน้นย้ำบทบาทผู้นำของฉัน  ฉันต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ  ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ฉันต้องปล่อยให้ศัตรูของพระคริสต์อยู่ต่อไปก่อน  อันดับแรกฉันจะเปิดโปงพวกเขา จากนั้นก็ตัดแต่งและชำและพวกเขา และปล่อยให้พี่น้องชายหญิงยืนยันอีกครั้งว่าพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์  หลังจากเห็นพ้องต้องกัน พวกเราจึงจะขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไป  แบบนี้ย่อมได้ผลดีกว่ามิใช่หรือ?”  ผลที่ได้ก็คือ ระหว่างช่วงเวลานี้ ศัตรูของพระคริสต์เริ่มเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดและก่อกวนงานของคริสตจักรอีกครั้ง ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่คนทุกคน และบางคนก็ถึงกับไม่ยอมมาชุมนุมอีก  เพื่อแสดงความมุ่งมั่นและพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ได้ละเลยหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้จึงแสร้งทำแบบผิวเผินพอเป็นพิธีและทำให้งานยืดเยื้อ  ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาใช้เส้นทางอ้อมมากมายโดยไม่จำเป็น ก่อกวนความเป็นระเบียบของชีวิตคริสตจักร และเสียเวลาอันมีค่าในการไล่ตามเสาะหาความจริงของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพียงเพื่อเอาตัวศัตรูของพระคริสต์ออกไปในภายหลังเท่านั้น  แนวทางนี้ยอมรับได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แนวทางนี้มีปัญหาตรงไหน?  (นี่เป็นเพียงการทำตามข้อบังคับและแสร้งทำพอเป็นพิธีเท่านั้น)  จุดประสงค์ของผู้นำและคนทำงานในการทำงานเหล่านี้คืออะไร?  (เพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร)  แล้วหากใครบางคนยังไม่สามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ได้ และยังผูกพันกับคนเหล่านั้นอยู่มาก เมื่อผู้นำและคนทำงานตัดสินใจที่จะขับไล่ศัตรูของพระคริสต์ออกจากคริสตจักร  บางคนย่อมเกิดความขุ่นเคือง โดยกล่าวว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้เปี่ยมรักหรือยุติธรรมต่อผู้คน ขาดหลักธรรมในการทำสิ่งทั้งหลาย และอื่นๆ และผู้คนที่เลอะเลือนบางคนก็ถึงกับได้รับอิทธิพลและถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด และต้องการเดินตามพวกเขาออกไปจากคริสตจักร  ในสถานการณ์เช่นนี้ควรทำอย่างไร?  ในเวลานี้ ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องทำงานสำคัญบางอย่าง เช่น ปฏิบัติการตัดแต่งศัตรูของพระคริสต์และใช้พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงและชำแหละศัตรูของพระคริสต์ เพื่อให้พี่น้องชายหญิงสามารถเรียนรู้บทเรียนได้อย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงและแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ได้ในท้ายที่สุด  วันหนึ่งพวกเขาย่อมกล่าวว่า “คนคนนี้น่ารังเกียจเหลือเกิน  พวกเขาเป็นคนชั่วและเป็นศัตรูของพระคริสต์อย่างแท้จริง  รีบชำระพวกเขาออกไปกันเถิด!”  นี่ไม่ใช่เสียงของคนคนเดียว แต่เป็นเสียงของพี่น้องชายหญิงมากมาย  ในกรณีนี้ยังจำเป็นต้องทำงานของการจำกัดและจับตาดูศัตรูของพระคริสต์อยู่หรือไม่?  ไม่จำเป็น เพียงแค่ขับไล่พวกเขาออกไปโดยตรงก็พอ  ผู้นำและคนทำงานที่ทำงานของตนมาจนถึงระดับนี้ย่อมสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากความเสียหายของศัตรูของพระคริสต์แล้ว  การนี้พิสูจน์ให้เห็นสิ่งใด?  ในแง่หนึ่ง การนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรนี้มีวิจารณญาณแยกแยะ มีขีดความสามารถ และมีสำนึกของความยุติธรรม  ในอีกแง่มุมหนึ่งนั้น อาจจะเป็นเพราะผู้นำและคนทำงานมีความสามารถในการทำงานจริง หรือการกระทำเช่นนี้ของศัตรูของพระคริสต์โจ่งแจ้งเกินไป ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาย่ำแย่และเลวร้ายเกินไปจนก่อให้เกิดความขุ่นเคืองต่อสาธารณชน และพวกเขาตัดช่องทางของตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้เหล่าผู้นำและคนทำงานไม่ต้องใช้กระบวนการในการจัดการกับพวกเขามากนัก  เรื่องนี้ทุ่นความพยายามไปได้มากมิใช่หรือ?  ในสถานการณ์เช่นนั้น การขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไปย่อมเป็นเรื่องดีใช่หรือไม่?  นอกจากนี้ งานที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำนั้นมีมากมายและไม่ได้จำกัดอยู่เพียงงานนี้งานเดียว  เจ้าคิดว่าการขับไล่ศัตรูของพระคริสต์ทำให้เรื่องนี้จบลงหรือ?  คิดว่าเจ้าได้ทำให้ทุกสิ่งสำเร็จโดยสมบูรณ์แล้วอย่างนั้นหรือ?  ยังห่างไกลนัก!  เจ้ามีงานอื่นที่ต้องทำ  นอกจากจัดการกับศัตรูของพระคริสต์และปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากความเสียหายแล้ว ผู้นำและคนทำงานยังมีหน้าที่รับผิดชอบในการนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า นำพวกเขาไปสู่การแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และนำพวกเขาไปสู่การแก้ไขอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ที่พวกเขามี ท่ามกลางงานสำคัญอื่นๆ มากมาย  อย่างไรก็ตาม หากศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัวขึ้นระหว่างที่ทำงานเหล่านี้ การจัดการกับศัตรูของพระคริสต์ย่อมกลายเป็นงานที่สำคัญอันดับหนึ่ง  พวกเขาต้องเปิดโปงและจัดการกับตัวศัตรูของพระคริสต์เสียก่อน รวมถึงสามัคคีธรรมความจริงในแง่มุมอื่นๆ ด้วย  หากเกิดการก่อกวนของศัตรูของพระคริสต์ขึ้นและทำให้งานอื่นๆ ดำเนินไปอย่างยากยิ่ง โดยงานนั้นต้องเผชิญกับอุปสรรคและการแทรกแซง และศัตรูของพระคริสต์ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการเติบโตในชีวิตของพี่น้องชายหญิง ต่อความเป็นระเบียบของชีวิตคริสตจักร และต่อสภาพแวดล้อมในการทำหน้าที่ทั้งหลาย เช่นนั้นก็แน่นอนว่าจำเป็นต้องจัดการกับตัวการหายนะที่ใหญ่ที่สุดและต้นตอของความวิบัตินี้เสียก่อน  หลังจากจัดการและเอาตัวศัตรูของพระคริสต์ออกไปแล้วเท่านั้น งานอื่นๆ จึงจะดำเนินต่อไปอย่างเป็นปกติและเป็นระเบียบ  ดังนั้น หากศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัวในคริสตจักร และพี่น้องชายหญิงมีวิจารณญาณแยกแยะพวกเขาได้โดยเร็วในเวลาอันสั้น และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ศัตรูของพระคริสต์ ไปให้พ้น!” นี่ย่อมจะเบาแรงของผู้นำและคนทำงานไปได้มากไม่ใช่หรือ?  เจ้าควรจะแอบพึงพอใจอยู่เงียบๆ มิใช่หรือ?  เจ้าอาจจะกล่าวว่า “ฉันกังวลว่าฉันไม่สามารถจำกัดศัตรูของพระคริสต์และมารตนนี้ได้  ฉันยังกังวลด้วยว่าพี่น้องชายหญิงบางคนจะถูกชักพาให้หลงผิดและได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากพวกเขา และกังวลว่าวุฒิภาวะของตัวเองน้อยเกินไปที่จะเปิดโปงแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ ชำแหละเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และแก้ไขปัญหานี้”  ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล  ถ้อยคำประโยคเดียวนี้จากพี่น้องชายหญิงย่อมทำให้ปัญหาได้รับการแก้ไข และ “ภาระ” ของผู้นำและคนทำงานย่อมถูกยกออกไป  ช่างมหัศจรรย์อะไรเช่นนี้!  เจ้าควรขอบคุณพระเจ้า นี่คือพระคุณของพระเจ้า!  เรื่องราวลักษณะนี้อาจจะเกิดขึ้นในคริสตจักรเพราะมีการหารือมากมายเกี่ยวกับหัวข้อของการเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ และเพราะพี่น้องชายหญิงไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าผู้นำและคนทำงานมากมายอย่างที่เจ้าอาจจะทึกทักเอาเอง  ภายใต้การนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาย่อมมีความสามารถบางอย่างในการทำความเข้าใจความจริงและแก้ไขปัญหาด้วยตนเองอีกด้วย  เมื่อพวกเขารวมตัวกันเรียกร้องให้มีการลงคะแนนและขับไล่ศัตรูของพระคริสต์ นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ดี เป็นปรากฏการณ์ที่ดี!  ผู้นำและคนทำงานไม่จำเป็นต้องรู้สึกเสียใจ ผิดหวัง หรือคิดลบเกี่ยวกับเรื่องนี้  หลังจากเอาอุปสรรค เอาศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ออกไป ทุกๆ ขั้นตอนของงานที่ตามมาก็ยังคงเป็นบททดสอบอันโหดร้ายสำหรับผู้นำและคนทำงาน  ทุกๆ งานที่พวกเขาจำเป็นต้องทำนั้นเกี่ยวข้องกับหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของพวกเขา

การสำแดงที่ผู้นำเทียมเท็จแสดงออกมาเมื่อศัตรูของพระคริสต์ก่อการรบกวน

พวกเราได้เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสามของผู้นำและคนทำงานแล้ว นั่นคือ “การปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการถูกศัตรูของพระคริสต์ก่อกวน ชักพาให้หลงผิด ควบคุม และสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง และทำให้พวกเขาสามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ อีกทั้งละทิ้งคนเหล่านั้นได้จากหัวใจ”  ต่อไป พวกเราจะชำแหละและเปิดโปงการสำแดงของผู้คนประเภทที่ไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้—พวกผู้นำเทียมเท็จ—โดยการนำพวกเขามาเปรียบเทียบกับงานที่ผู้นำและคนทำงานพึงกระทำให้สำเร็จลุล่วง  ในการทำงานนี้ มีงานมากมายที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องทำ ซึ่งกำหนดให้พวกเขาต้องมีขีดความสามารถบางอย่าง มีความใส่ใจ ละเอียดถี่ถ้วน แข็งขัน มีความรับผิดชอบ คำนึงถึงพระภาระของพระเจ้า มีหัวใจที่เปี่ยมรักในการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และอื่นๆ  พวกเขาต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้เท่านั้นจึงสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันของตนได้  อย่างไรก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จแตกต่างจากนี้โดยสิ้นเชิง ในความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่เลย  พวกเขาอาจจะมีขีดความสามารถบางอย่าง มีความสามารถในการทำความเข้าใจความจริงและแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ หรือพวกเขาอาจจะมีขีดความสามารถที่ต่ำกว่านั้นเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็สามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ที่โจ่งแจ้งบางคนซึ่งกระทำชั่วมาอย่างมากมายได้ ต่อให้พวกเขาจะไม่สามารถแยกแยะแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ได้โดยสมบูรณ์ หรือขีดความสามารถของพวกเขาอาจจะต่ำเสียจนพวกเขาไม่สามารถแยกแยะหรือมองเห็นความแตกต่างระหว่างผู้ที่มีแก่นแท้ศัตรูของพระคริสต์และผู้ที่มีอุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จย่อมแสดงให้เห็นถึงการสำแดงสองประการนี้ ประการหนึ่งคือ พวกเขาไม่ทำงานจริง และอีกประการหนึ่งคือพวกเขามีส่วนร่วมในงานธุรการทั่วไปที่ผิวเผินเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาจริงหรือทำงานที่แท้จริงได้เลย  ในงานที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสามนั้น การสำแดงสองประการนี้ที่เป็นลักษณะเฉพาะของผู้นำเทียมเท็จยังคงเด่นชัด  ต่อไป พวกเราจะสามัคคีธรรมกันว่าพวกเขามีการสำแดงอันเจาะจงประการใดบ้าง

I. การไม่เปิดโปงและไม่จัดการศัตรูของพระคริสต์เพราะกลัวที่จะล่วงเกินพวกเขา

ในยามที่ศัตรูของพระคริสต์ก่อกวน ชักพาให้หลงผิด ควบคุม หรือสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร การสำแดงประการแรกของผู้เทียมเท็จคือการนิ่งเฉย  การนิ่งเฉยหมายถึงอะไร?  หมายถึงการไม่ทำงานจริง  การไม่ทำงานจริงนั้นมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง โดยหลักคือการกลัวที่จะล่วงเกินผู้คนและไร้ความกล้าหาญที่จะค้ำจุนหลักธรรม  หลังจากกลายเป็นผู้นำแล้ว ผู้คนเหล่านี้ก็เริ่มอวดเบ่งอำนาจของตนเอง พลางคิดว่า “ตอนนี้ฉันมีสถานะ และได้เป็นเจ้าหน้าที่ของคริสตจักร  ฉันต้องบริหารจัดการเรื่องอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย และการเดินทางของพี่น้องชายหญิง ฉันต้องแยกแยะให้ได้ว่าสิ่งที่พี่น้องชายหญิงพูดสอดคล้องกับความจริงและเป็นไปตามมารยาทอันดีงามของธรรมิกชนหรือไม่  ฉันต้องดูว่าพวกเขาจริงใจต่อพระเจ้าหรือไม่ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขาเป็นปกติหรือไม่ พวกเขาอธิษฐานตอนเช้าและตอนค่ำหรือไม่ การชุมนุมตามปกติของพวกเขาเป็นปกติหรือไม่—ฉันต้องบริหารจัดการทั้งหมดนี้”  ผู้นำเทียมเท็จใส่ใจเพียงประเด็นเหล่านี้เท่านั้น  ในแง่ของระเบียบแบบแผน พวกเขาดูเหมือนจะลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน แต่เมื่อมีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับหลักธรรมเกิดขึ้น หรือแม้แต่เมื่อศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัว เหล่าผู้นำเทียมเท็จกลับซ่อนตัวอยู่ในเงามืดโดยไม่ปริปากออกมาเลย พวกเขานิ่งเงียบ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น  ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์จะเผยแพร่ตรรกะวิบัติอย่างไร พวกเขาก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ก่อกวน  ชักพาให้หลงผิด และควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ ราวกับข้อมูลทั้งหมดนี้อันตรธานไปเมื่อมาถึงพวกเขา  พวกเขาแสร้งทำเป็นไม่สามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ซึ่งแม้แต่พี่น้องชายหญิงทั่วไปก็สามารถแยกแยะได้  โดยกล่าวว่า “ฉันมองพวกเขาไม่ออก  หากฉันขับไล่ผิดคนขึ้นมาจะทำอย่างไร?  หากฉันเข้าใจพี่น้องชายหญิงผิดไปเล่า?  อีกอย่าง พระนิเวศของพระเจ้าก็ยังต้องการคนไว้ทำงานรับใช้!”  พวกเขาใช้ข้อแก้ตัวทุกรูปแบบมาบ่ายเบี่ยงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานก็เพื่อหลีกเลี่ยงการจัดการกับศัตรูของพระคริสต์และไม่ปกป้องพี่น้องชายหญิงจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากศัตรูของพระคริสต์  ผู้นำเทียมเท็จบางคนถึงกับกล่าวว่า “หากฉันเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์อยู่เสมอ แล้วพวกเขายุยงพี่น้องชายหญิงให้มาโจมตีฉันเล่า จะทำอย่างไร?  เช่นนั้นก็จะไม่มีใครลงคะแนนให้ฉันในการคัดเลือกครั้งหน้า และฉันก็จะไม่สามารถเป็นผู้นำได้อีกต่อไป  อิทธิพลของฉันไม่แข็งแกร่งเท่าพวกเขา!”  เพื่อปกป้องสถานะและความปลอดภัยส่วนตน ผู้นำเทียมเท็จจึงไม่ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนในการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และพวกเขาก็ไม่ได้หยุดยั้งศัตรูของพระคริสต์มิให้สร้างความเสียหายต่อพี่น้องชายหญิงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วย  พวกเขาทำตัวราวกับเป็นทั้งคนที่ชอบเอาใจผู้คนและเป็นเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ  พวกเขาไม่ปกป้องพี่น้องชายหญิงเลย แต่กลับคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าจะปกป้องตนเองอย่างไร  เมื่อถึงเวลาที่ต้องจัดการกับศัตรูของพระคริสต์หรือตัดแต่งและเปิดโปงคนเหล่านั้นเพื่อให้พี่น้องชายหญิงสามารถแยกแยะได้ พวกเขาก็กลัวแทบตาย กังวลว่าจะสูญเสียสถานะของตน และรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นเป็นอันตรายต่อตนเอง  พวกเขาไม่สนใจผลประโยชน์ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรโดยสิ้นเชิง คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ ชื่อเสียง และความปลอดภัยส่วนตัว และความปลอดภัยของครอบครัวของตนเท่านั้น โดยกลัวว่าการเผลอล่วงเกินศัตรูของพระคริสต์ก็อาจจะทำให้คนเหล่านั้นผันตัวมาเป็นปฏิปักษ์และกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้อย่างโหดเหี้ยม  แท้จริงแล้วผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้พอมีขีดความสามารถอยู่บ้าง  ด้วยขีดความสามารถและความเข้าใจเชิงลึกของพวกเขา พวกเขาย่อมรู้อยู่เต็มอกว่าใครเป็นศัตรูของพระคริสต์ แต่ปัญหาอยู่ที่พวกเขากลัวการล่วงเกินศัตรูของพระคริสต์  เมื่อเห็นอุปนิสัยอันชั่วช้าของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่กล้าล่วงเกินคนเหล่านั้น  อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับไม่ลังเลใจที่จะเสียสละผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าและของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อปกป้องตนเอง พวกเขามองดูพี่น้องชายหญิงถูกส่งตัวให้ศัตรูของพระคริสต์อย่างเฉยเมย ปล่อยให้ศัตรูของพระคริสต์ชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิด ควบคุม และสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อพี่น้องชายหญิงตามใจชอบ  ผู้นำเทียมเท็จเพียงแต่พูดลับหลังเป็นครั้งคราวกับบางคนที่ค่อนข้างไร้เล่ห์มารยาและมีความเป็นมนุษย์ที่ดีซึ่งไม่มีทีท่าเป็นภัยคุกคามต่อตนว่า “คนคนนั้นเป็นศัตรูของพระคริสต์  เขาชักพาผู้อื่นให้หลงผิด  เขาไม่ใช่คนดี”  อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิงทุกคนและต่อหน้าศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่เคยกล้าเอ่ยคำว่า “ไม่” กับศัตรูของพระคริสต์แม้แต่ครั้งเดียว  พวกเขาไม่เคยมีความกล้าหาญที่จะเปิดโปงการทำชั่วหรือแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์เลย  แม้กระทั่งระหว่างการชุมนุม เมื่อศัตรูของพระคริสต์ผูกขาดเวทีและพูดอยู่ฝ่ายเดียวเป็นเวลาหนึ่งหรือสองชั่วโมง พวกเขาก็ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ เลย  หากศัตรูของพระคริสต์ตบโต๊ะและขึงตาใส่ผู้คน พวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดังเกินไป  ภายในขอบเขตงานของพวกเขา บรรดาผู้ที่มีวุฒิภาวะน้อย พวกที่มีความเป็นมนุษย์อันขลาดกลัว และผู้ที่ต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงแต่ยังไม่มีวิจารณญาณแยกแยะย่อมรู้สึกเป็นทุกข์ เพราะไม่มีผู้นำหรือคนทำงานคนใดก้าวออกมาเปิดโปงและแยกแยะการทำชั่วของศัตรูของพระคริสต์เลย  ในขณะที่ศัตรูของพระคริสต์ทำตัวเป็นเผด็จการอยู่ในคริสตจักร กระทำการอย่างไม่ยั้งคิดตามอำเภอใจและก่อกวนชีวิตคริสตจักร พวกเขากลับมองดูอย่างจนปัญญา และไม่มีวิธีการตอบโต้คนเหล่านั้นเลย  ในขณะเดียวกัน ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ได้ทำงานจริง และไม่ได้แก้ไขปัญหาจริงให้กับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  เมื่อพี่น้องชายหญิงตกอยู่ในความยากลำบาก ผู้นำเทียมเท็จไม่เพียงล้มเหลวในการเปิดโปงและจำกัดการทำชั่วของศัตรูของพระคริสต์เท่านั้น แต่พวกเขายังถึงกับไม่กล้าพูดถึงความเป็นธรรมแม้แต่คำเดียว  ต่อให้มโนธรรมของพวกเขารู้สึกบางอย่างและกล่าวโทษพวกเขาอยู่เล็กน้อย และพวกเขาก็หลั่งน้ำตานิดหน่อยในการอธิษฐานถึงพระเจ้าเบื้องหลังประตูที่ปิดสนิท แต่วันต่อมาในระหว่างการชุมนุม เมื่อพวกเขาเห็นศัตรูของพระคริสต์แสดงความเห็นที่ไร้ความรับผิดชอบเกี่ยวกับงานในพระนิเวศของพระเจ้า และตัดสินตามอำเภอใจ ถึงกับตัดสินพระเจ้าทางอ้อมและเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขากลับไม่ทำอะไรเลย แม้จะรู้ว่าเป็นสิ่งผิดก็ตาม  แม้แต่ในยามที่พวกเขาเห็นศัตรูของพระคริสต์ผลาญของถวาย พวกเขาก็ใช้ท่าทีเมินเฉย  พวกเขาไม่เปิดโปงหรือจำกัดศัตรูของพระคริสต์เลย และในหัวใจของพวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงการตำหนิแม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำ—นี่คือความไม่รับผิดชอบอย่างยิ่ง!  ผู้ใดก็ตามที่พอจะมีสำนึกของมโนธรรมอยู่บ้าง ต่อให้พวกเขารู้สึกว่าอำนาจของตนอ่อนแอเกินไป ก็ควรเข้าร่วมกับพี่น้องชายหญิงที่พอมีวุฒิภาวะและวิจารณญาณอยู่บ้างเพื่อสามัคคีธรรมถึงเรื่องนี้ และหารือถึงวิธีจัดการกับศัตรูของพระคริสต์  แต่ผู้นำเทียมเท็จขาดความมุ่งมั่นและความกล้าหาญที่จะทำเช่นนั้น และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังขาดสำนึกของความรับผิดชอบอีกด้วย  พวกเขาถึงกับบอกพี่น้องชายหญิงว่า “ศัตรูของพระคริสต์ชั่วช้าเกินไป  หากพวกเราล่วงเกินพวกเขา พวกเขาก็จะนำเรื่องของพวกเราไปรายงานต่อรัฐบาล และถึงตอนนั้น พวกเราจะไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าได้แม้แต่คนเดียว  ศัตรูของพระคริสต์รู้สถานที่ชุมนุมของคริสตจักร เพราะฉะนั้นพวกเราห้ามไปยั่วยุพวกเขา”  นี่เป็นการกระทำที่น่าเกลียดอย่างสิ้นเชิงของการวางอาวุธและยอมจำนนต่อศัตรูของพระคริสต์ ของการประนีประนอมกับซาตานและร้องขอความกรุณาจากมัน

นอกจากการปกป้องตนเองแล้ว ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ได้ทำงานที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำ อย่างเช่น การปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและช่วยให้คนเหล่านั้นได้รับวิจารณญาณแยกแยะต่อศัตรูของพระคริสต์ และพวกเขาก็ยังไม่ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบใดเลย แต่พวกเขากลับต้องการให้พี่น้องชายหญิงเลือกตนเป็นผู้นำอยู่ร่ำไป  หลังจากหมดวาระหนึ่งแล้ว พวกเขาก็อยากได้รับเลือกในวาระต่อไป  นี่เป็นเรื่องที่ไร้ยางอายและไม่อาจได้รับการไถ่มิใช่หรือ?  ผู้คนเช่นนั้นสมควรได้เป็นผู้นำหรือไม่?  (ไม่สมควร)  พระนิเวศของพระเจ้าไว้วางใจมอบหมายฝูงแกะไว้กับเจ้า แต่เมื่อสัตว์ป่าที่บ้าคลั่งบุกเข้ามา ในช่วงเวลาที่คับขันนั้น เจ้ากลับปกป้องแต่ตนเองและมอบฝูงแกะให้กับสัตว์ป่าที่บ้าคลั่งนั่น  เจ้าทำตัวเป็นเต่าหดหัว หาที่กำบัง หาที่ปลอดภัยเพื่อเข้าไปซ่อนตัว  และผลลัพธ์ก็คือ แกะฝูงนั้นได้รับอันตราย—แกะบางตัวถูกกัดจนถึงแก่ความตาย และบางตัวก็พลัดหลงไป  สมมุติว่าผู้นำคนหนึ่งเห็นศัตรูของพระคริสต์บังอาจก่อกวนงานของคริสตจักร  อีกทั้งควบคุมและชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด แต่พวกเขากลับใช้ท่าทีไม่ใส่ใจเพื่อปกป้องหน้าตา สถานะ และความเป็นอยู่ของตนเอง และเพื่อรับรองความปลอดภัยของพวกเขาเอง  ผลพวงที่ตามมาคือ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรส่วนใหญ่ถูกชักพาให้หลงผิด รู้สึกสิ้นไร้หนทาง และเริ่มคิดลบและอ่อนแอ บางคนถึงกับถูกศัตรูของพระคริสต์จับตัวไว้ และบางคนก็ไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน  แต่ถึงอย่างนั้น ผู้นำคนนี้กลับไม่รู้สึกรู้สาเมื่อเห็นศัตรูของพระคริสต์ก่อการรบกวน  มโนธรรมของพวกเขาไม่รู้สึกถึงการตำหนิแต่อย่างใด  ผู้นำหรือคนทำงานประเภทนี้มีความเป็นมนุษย์บ้างหรือไม่?  เพื่อที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเองในการรักษาตัวรอด พวกเขาไม่ลังเลที่จะส่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้ศัตรูของพระคริสต์ และปล่อยให้ศัตรูของพระคริสต์ชักพาคนเหล่านั้นให้หลงผิด สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง และย่ำยีคนเหล่านั้น  นี่คือผู้นำประเภทใด?  (ผู้นำเทียมเท็จ)  นี่มิใช่การสมรู้ร่วมคิดกับซาตานหรอกหรือ?  พวกเขาอยู่ฝ่ายใดกันแน่?  ถึงแม้พวกเขาจะถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ แก่นแท้ของปัญหานี้อาจจะร้ายแรงยิ่งกว่าแก่นแท้ของการเป็นผู้นำเทียมเท็จเสียอีก  มันมีธรรมชาติของการขายพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตน เช่นเดียวกับผู้คนที่ถูกจับและถูกทรมานจนกลายเป็นยูดาส ส่งมอบพี่น้องชายหญิงให้พญานาคใหญ่สีแดงสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง  ดังนั้น ธรรมชาติของการที่ผู้นำเทียมเท็จส่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้กับศัตรูของพระคริสต์นั้นเป็นเช่นไร?  ผู้นำเทียมเท็จเช่นนั้นย่อมเลวทรามอย่างสุดมิใช่หรือ?  เมื่อเปรียบเทียบกับศัตรูของพระคริสต์ จากภายนอก ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ดูไม่มีเจตนาที่จะต่อต้านความจริง  พวกเขาดูเหมือนจะสามารถสามัคคีธรรมความจริงบางประการได้ มีความสามารถในการทำความเข้าใจอยู่บ้าง อีกทั้งสามารถปฏิบัติความจริงได้เล็กน้อย และบางคนก็สามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาได้เสียด้วยซ้ำ  แต่เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าวางใจมอบหมายฝูงแกะไว้กับพวกเขา และเมื่อคนชั่วและปีศาจปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ไม่เอาชีวิตของตนเข้าแลกเพื่อที่จะปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างสุดความสามารถ  ในทางกลับกัน พวกเขากลับทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อปกป้องตนเอง โดยผลักพี่น้องชายหญิงออกไปเป็นโล่กำบังเพื่อรักษาความปลอดภัยและผลประโยชน์ของตนเอง  คนพวกนี้ช่างน่ารังเกียจและเห็นแก่ตัวเหลือเกิน!  ดูเผินๆ แล้วความเป็นมนุษย์ของพวกเขาดูเหมือนไม่มีปัญหาสำคัญอะไร  พวกเขามีความรักแก่ผู้คน พวกเขาสามารถช่วยเหลือผู้อื่น พวกเขาเต็มใจที่จะจ่ายราคาและสามารถสู้ทนความยากลำบากในขณะทำหน้าที่ของตนได้  อย่างไรก็ตามเมื่อศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัว พวกเขากลับทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายและไม่อาจเข้าใจได้ ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์ชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิดหรือก่อกวนชีวิตคริสตจักรอย่างไร พวกเขาก็ไม่ทำอะไรเลย และไม่ว่ามีผู้คนมากมายเพียงใดถูกศัตรูของพระคริสต์โจมตี กีดกัน และทำให้เกิดความเสียหาย พวกเขาก็เพิกเฉย  การทำเช่นนั้นย่อมเป็นการที่ผู้นำเหล่านี้ส่งมอบประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้อยู่ในการควบคุมของศัตรูของพระคริสต์โดยสมบูรณ์ ยอมให้ศัตรูของพระคริสต์ชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิดและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อคนกลุ่มนี้ตามอำเภอใจ ในขณะที่ผู้นำเหล่านี้ไม่ได้ทำงานใดเลย  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกชำระออกไปและปัญหาได้รับการแก้ไข ผู้นำเหล่านี้ก็ออกมาสามัคคีธรรมถึงการรู้จักตัวเองของตน ว่าพวกเขาเคยอ่อนแอ ขี้ขลาด หวาดกลัว เห็นแก่ตัว และหลอกลวงอย่างไร และพวกเขาก็ไม่ได้จงรักภักดี ไม่ได้ปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้ดี ทั้งยังทำให้พระเจ้าและพี่น้องชายหญิงผิดหวัง  พวกเขาดูเหมือนสำนึกผิดอย่างมาก พวกเขาดูเหมือนสามารถที่จะกลับใจและกลับตัวได้แล้ว  อย่างไรก็ตามเมื่อศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเขาก็ผลักพี่น้องชายหญิงไปหาศัตรูของพระคริสต์อย่างที่เคยทำเมื่อครั้งก่อน และหาพื้นที่ปลอดภัยให้ตนเองหลบซ่อน  ถึงแม้พวกเขาไม่ได้ถูกศัตรูของพระคริสต์ทำให้เสียหายหรือชักพาให้หลงผิดเสียเอง แต่พวกเขาได้ละทิ้งหน้าที่รับผิดชอบของตนและทรยศต่อพระบัญชาของพระเจ้า และท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตน ต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และต่อตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาก็ถูกเปิดโปงอย่างหมดเปลือก  ทุกครั้งที่ศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัว พวกเขาไม่ได้เลือกที่จะยืนเคียงข้างพระเจ้าและต่อสู้กับศัตรูของพระคริสต์ไปจนถึงปลายทาง ทั้งยังไม่พูดในสิ่งที่ควรพูดหรือทำงานที่ควรทำเพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อให้มโนธรรมของพวกเขามีความสงบสุขเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ไม่ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนในฐานะผู้นำเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ  ทางเลือกและการกระทำทั้งหมดนี้ของผู้นำเทียมเท็จเป็นไปเพื่อปกป้องสถานะของพวกเขาจากความเสียหายโดยสมบูรณ์  พวกเขาไม่ได้สนใจความเป็นหรือความตายของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  สำหรับพวกเขาแล้วทุกสิ่งย่อมไม่เป็นปัญหาตราบเท่าที่ชื่อเสียง ผลประโยชน์ สถานะของพวกเขาไม่ได้รับความเสียหาย  ใครเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ ใครขับไล่ศัตรูของพระคริสต์ และศัตรูของพระคริสต์ควรถูกจัดการอย่างไร—ดูเหมือนเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย พวกเขาไม่ใส่ใจ และไม่ยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้อง  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนชีวิตคริสตจักร สร้างความเสียหายแก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร รวมถึงตีกรอบและทรมานบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็เมินเฉย  สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญสำหรับพวกเขา ตราบเท่าที่สถานะของพวกเขายังไม่ตกอยู่ในอันตราย ทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขา  เจ้าคิดอย่างไรกับคนประเภทนี้?  โดยทั่วไปแล้วความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่ได้ดูแย่ และพวกเขาก็ดูเหมือนสามารถที่จะทำงานบางอย่างได้  เมื่อพวกเขาเผชิญกับการตัดแต่ง พวกเขาก็ดูเหมือนสามารถที่จะรู้จักตนเองและมีหัวใจที่สำนึกผิดอยู่เล็กน้อย  อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อกวนคริสตจักร พวกเขาก็สูญเสียเหตุผลไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่มีสำนึกของความยุติธรรม และไม่มีแม้แต่ความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับศัตรูของพระคริสต์  เมื่อพวกเขาพบเห็นหมู่มารและเหล่าซาตาน พวกเขาก็ประนีประนอม เมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วก่อการรบกวน พวกเขาก็หลีกเลี่ยงคนเหล่านั้น  หากตัดสินจากท่าทีที่พวกเขามีต่อคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ พวกเขากำลังเดินตามเส้นทางใด?  นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงปัญหาของพวกเขาอย่างชัดเจนมิใช่หรือ?  (ใช่)  คนประเภทนี้อาจจะไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์จากภายนอก แต่ท่าทีที่พวกเขาแสดงออกต่อการกระทำและพฤติกรรมของคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์คืออุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์โดยแท้ และธรรมชาติของเรื่องนี้ก็เลวร้ายมาก  สามารถกล่าวได้ว่านี่คือธรรมชาติของการละทิ้งหน้าที่รับผิดชอบของตนและหักหลังประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อประโยชน์ส่วนตน  ธรรมชาติเช่นนี้ร้ายแรงมากมิใช่หรือ?  พวกเขาแสดงความจงรักภักดีต่องานของคริสตจักรและต่อพระบัญชาของพระเจ้าบ้างหรือไม่?  พวกเขามีท่าทีของความรับผิดชอบแม้เพียงเศษเสี้ยวหรือไม่?  ไม่ว่าพวกเขาได้รับความไว้วางใจมอบหมายงานหรือพระบัญชามาเมื่อไร หลักการของพวกเขาคือหลีกเลี่ยงการล่วงเกินผู้คนและปกป้องตนเอง  นี่คือมาตรฐานสูงสุดในการประพฤติปฏิบัติตนของพวกเขาและเป็นหลักการในการทำสิ่งทั้งหลายของพวกเขา และการนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ตอนนี้ขอให้วางคำถามที่ว่าผู้คนเช่นนั้นจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่เอาไว้ก่อน—หากตัดสินเพียงเรื่องงานของการจัดการกับศัตรูของพระคริสต์ ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ควรค่าที่จะได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาคู่ควรแก่การเป็นผู้นำและคนทำงานหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนเหล่านี้ไม่คู่ควรแก่การเป็นผู้นำและคนทำงาน  นี่เป็นเพราะพวกเขาไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผล และพวกเขาก็ไม่คู่ควรแก่การทำงานของผู้นำคริสตจักร พวกเขาไม่หยุดยั้งศัตรูของพระคริสต์จากการสร้างความเสียหายต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างสุดความสามารถ และพวกเขาก็ไม่ลุล่วงความรับผิดชอบนี้อย่างเต็มที่ หรือทำงานนี้ให้ดีเพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอีกด้วย—นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขามีขีดความสามารถต่ำและไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ทำต่างหาก  ด้วยเหตุนี้เมื่อมองจากแง่มุมนี้แล้ว ผู้ที่กลัวการล่วงเกินผู้อื่นย่อมไม่คู่ควรแก่การเป็นผู้นำและคนทำงานโดยสิ้นเชิง  ผู้นำและคนทำงานลักษณะนี้มีอยู่มากมายมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเขาก็วิ่งวุ่นด้วยความกระตือรือร้นยิ่งกว่าใครๆ พวกเขายุ่งมากจนถึงกับไม่ได้หวีผมหรือล้างหน้า จนดูเหมือนไปถึงระดับของฝ่ายวิญญาณที่สูงยิ่ง  แต่เมื่อศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัว พวกเขาก็หายตัวไป พวกเขาหาข้อแก้ตัวทุกรูปแบบเพื่อที่จะหลบเลี่ยงและไม่จัดการกับศัตรูของพระคริสต์เลย  ธรรมชาติของพฤติกรรมเช่นนี้คืออะไร?  นี่คือการไร้ซึ่งความจงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและเป็นคนที่ไว้วางใจไม่ได้  ในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งยวด พวกเขาก็ถึงกับสามารถทรยศพระเจ้าและยืนอยู่ฝั่งซาตาน ปิดหูปิดตาในขณะที่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนและสร้างความเสียหายต่องานของคริสตจักรเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาไร้ประโยชน์เสียยิ่งกว่าสุนัขเฝ้าบ้าน  นี่คือประเภทหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จ

II. การไม่สามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์

ผู้นำเทียมเท็จยังมีอีกหนึ่งประเภท นั่นคือ เมื่อศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัว พวกเขาก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าคนเหล่านั้นมีอุปนิสัยและแก่นแท้อย่างไร ศัตรูของพระคริสต์สำแดงและเผยสิ่งใดออกมา พวกเขาก่อการรบกวนในลักษณะใดต่อพี่น้องชายหญิง ถ้อยคำ ความคิด มุมมอง และพฤติกรรมใดที่สามารถก่อกวนและชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิด วิธีการใดที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ควบคุมผู้คน ภายใต้สถานการณ์ใดที่พี่น้องชายหญิงสามารถถูกชักพาให้หลงผิด ถูกควบคุม และเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงได้ และอื่นๆ—สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถแยกแยะได้  ศัตรูของพระคริสต์ชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิด พวกเขาและบรรดาพี่น้องชายหญิงที่ถูกชักพาให้หลงผิดแยกตัวจากคริสตจักรเพื่อไปจัดการชุมนุมของตนเองและก่อตั้งอาณาจักรอิสระ  คนเหล่านี้ไม่ยอมรับการนำของพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ยอมรับการจัดการเตรียมงานจากพระนิเวศของพระเจ้า และไม่นบนอบการจัดการเตรียมการหรือการชี้แนะใดๆ จากพระนิเวศของพระเจ้า นับประสาอะไรกับการนบนอบข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน  แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่ถือว่าการกระทำทั้งหลายของศัตรูของพระคริสต์ที่ชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิดล้วนเป็นปัญหา  พวกเขาไม่สามารถมองเห็นว่าสิ่งใดไม่ถูกต้องในสถานการณ์เหล่านี้ ไม่ต้องพูดถึงการเห็นได้ว่าคำพูด การกระทำ ความคิด และมุมมองของศัตรูของพระคริสต์นั้นก่อกวน สร้างความเสียหายและชักพาผู้คนให้หลงผิดอย่างไร  พวกเขาไม่อาจมองเห็นผลกระทบที่เป็นลบเหล่านี้ได้และไม่รู้ว่าจะแยกแยะสิ่งเหล่านี้อย่างไร  พี่น้องชายหญิงธรรมดาบางคนที่ได้เห็นและได้ฟังมามาก ย่อมมีวิจารณญาณแยกแยะ การรับรู้ และการตระหนักรู้ได้บ้างเล็กน้อย แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  แม้เมื่อมีคนชี้ให้พวกเขาเห็นว่าคนนั้นคนนี้กำลังทำบางสิ่งเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดและรวบรวมพรรคพวกกันอย่างลับๆ ผู้นำเทียมเท็จก็ยังคงขัดขวาง โดยกล่าวว่า “พวกเราไม่สามารถเผยแพร่คำกล่าวเหล่านี้ได้  อย่าก่อกวนกันเลย  พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดี—การที่พวกเขาสามัคคีธรรมร่วมกันผิดตรงไหน?  เราต้องให้เสรีภาพกับผู้คน!”  พวกเขายังไม่สามารถมองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  หากพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาก็สามารถเฝ้าสังเกตและแสวงหา สามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริงและพอมีวิจารณญาณอยู่บ้าง  อย่างไรก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จมักคิดว่าตนเองถูกเสมอ  เมื่อพี่น้องชายหญิงทำการตักเตือนพวกเขา พวกเขาก็ไม่ยอมรับ พลางคิดว่า “คุณหรือฉันที่เป็นผู้นำ?  ในเมื่อฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ฉันก็ต้องเข้าใจความจริงดียิ่งกว่าคนทั่วไป  ไม่อย่างนั้นทำไมเป็นฉันที่ได้รับเลือก มิใช่คนอื่นเล่า?  นี่เป็นการพิสูจน์ว่าฉันดีกว่าพวกคุณทุกคน  ไม่ว่าฉันจะอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าพวกคุณ ขีดความสามารถของฉันก็ต้องดีกว่าพวกคุณอย่างแน่นอน  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัว ฉันควรเป็นคนแรกที่ชี้ตัวพวกเขา  หากพวกคุณชี้ตัวพวกเขาก่อน ฉันก็จะไม่เห็นด้วยกับการประเมินของพวกคุณ  ก่อนจะทำอะไรต้องรอให้ฉันชี้ตัวพวกเขาเสียก่อน!”  ผลก็คือศัตรูของพระคริสต์เผยแพร่ความเห็นนอกรีตและตรรกะวิบัติมากมายในหมู่พี่น้องชายหญิง ต้านทานการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างเปิดเผย อีกทั้งโหวกเหวกโวยวายและต่อต้านคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า และการจัดการเตรียมงานจากเบื้องบนอย่างเปิดเผย  ศัตรูของพระคริสต์ถึงกับดึงพี่น้องชายหญิงไปเป็นพวกอย่างโจ่งแจ้งเพื่อจัดการชุมนุมเฉพาะกลุ่มซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้ฟังเพียงการประกาศของศัตรูของพระคริสต์และยอมรับความเป็นผู้นำของพวกเขาเท่านั้น  แม้กระทั่งผู้ที่มีขีดความสามารถย่ำแย่ที่สุดในคริสตจักรก็ยังเห็นได้ว่าคนคนนี้เป็นศัตรูของพระคริสต์  มีเพียงสถานการณ์เช่นนั้นเท่านั้นที่ผู้นำเทียมเท็จจะยอมรับว่า “ตายแล้ว พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์!  ทำไมฉันถึงเพิ่งมารู้ตอนนี้?  ไม่สิ ที่จริงฉันรู้อยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรเพราะกลัวว่าพี่น้องชายหญิงมีวุฒิภาวะน้อยและขาดวิจารณญาณแยกแยะ”  พวกเขาถึงกับกุคำลวงใหญ่โตให้กับตนเอง  เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพวกเขาเองเป็นพวกด้านชา หัวทึบ มีขีดความสามารถต่ำ และไม่สามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ได้ จึงปล่อยให้พี่น้องชายหญิงทนทุกข์กับความเสียหายมากมายที่เกิดจากคนเหล่านั้น  แทนที่จะรู้สึกผิด ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้กลับโทษว่าพี่น้องชายหญิงพูดจาไร้สาระ เผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูล เข้าใจผู้คนผิดไป และอื่นๆ  นี่คือผู้นำประเภทใด?  พวกเขาเป็นคนเลอะเลือนโดยแท้มิใช่หรือ?  โดยพื้นฐานแล้ว ผู้นำเช่นนั้นย่อมไม่สามารถรับผิดชอบงานของคริสตจักรได้  จากภายนอกพวกเขามักกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐาน เข้าร่วมการชุมนุม ฟังคำเทศนา เขียนบันทึกฝ่ายวิญญาณ และเขียนบทความคำพยานอยู่เป็นประจำ ดูเหมือนทุ่มเทความพยายามอย่างมาก แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขากลับไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ไม่สามารถแสวงหาความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า และแน่นอนว่าไม่สามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ตามพระวจนะของพระเจ้าได้  โดยทั่วไปผู้นำเทียมเท็จสามารถประกาศได้นานหนึ่งถึงสองชั่วโมง และเมื่อสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและประสบการณ์ของตน พวกเขาก็สามารถพูดได้เรื่อยเปื่อยไม่รู้จบ แต่เมื่อศัตรูของพระคริสต์เผยแพร่ความเห็นนอกรีตและตรรกะวิบัติ ชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิดและก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขากลับไม่พูดอะไรเลยและไม่ได้ทำงานใดทั้งสิ้น  พวกเขาไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการใช้มาตรการป้องกันหรือนำพี่น้องชายหญิงให้แยกแยะความเห็นนอกรีตและตรรกะวิบัติของศัตรูของพระคริสต์เท่านั้น แต่แม้เมื่อพวกเขาเห็นศัตรูของพระคริสต์ก่อให้เกิดการรบกวนและการขัดขวาง พวกเขาก็ไม่เปิดโปงหรือชำแหละคนเหล่านั้น และไม่ตัดแต่งศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาไม่ทำงานใดเลย  ปัญหาของผู้คนเช่นนี้คืออะไร?  (ขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไป)  ถึงแม้พวกเขาจะมีขีดความสามารถต่ำ พวกเขาก็ยังคุยโวว่าตนเองเป็นคนฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้นำที่ดี และเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและรักพระวจนะของพระเจ้า ทั้งยังอ้างอย่างหน้าไม่อายว่าพวกเขายอมละทิ้งความพอใจทางครอบครัวและเนื้อหนังเพื่อมาทำหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานให้ลุล่วง  ในความเป็นจริง พวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จตัวจริงที่ขาดความรับผิดชอบ ไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผล ทั้งยังด้านชาและหัวทึบอย่างหนัก—พวกเขาคือฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดอย่างแท้จริง  พวกเขารู้เพียงวิธีในการประกาศคำสอนและร้องตะโกนคำขวัญเท่านั้น  เมื่อผู้คนถามคำถามกับพวกเขา พวกเขาก็สามารถสร้างทฤษฎีขึ้นมาได้อย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อชักพาคนเหล่านั้นให้หลงผิด แต่ตามข้อเท็จจริงแล้วพวกเขาไม่สามารถอธิบายหลักธรรมความจริงให้กระจ่างได้เลย  แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็มองว่าตนเองมีความสามารถในการทำความเข้าใจและเข้าใจความจริง  พวกเขารู้ชัดเจนอยู่ในหัวใจว่าเมื่อผู้คนมาแสวงหาหนทางแก้ไขปัญหาจากพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถให้คำตอบที่สอดคล้องกับความจริงได้ แต่พวกเขายังคงแสร้งทำตัวเป็นผู้นำที่ดีและเป็นคนฝ่ายวิญญาณ  นี่ค่อนข้างไร้ยางอายไปหน่อยมิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้นำเทียมเท็จส่วนมากมีลักษณะและปัญหาร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งคือ การไร้ยางอาย  พวกเขาคิดว่าการมีสถานะและตำแหน่งผู้นำ และการสามารถพูดถึงทฤษฎีฝ่ายวิญญาณได้นั้นทำให้พวกเขาเป็นคนฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาใช้เวลากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ฟังคำเทศนา และดูวีดิทัศน์จากพระนิเวศของพระเจ้ามากกว่าผู้อื่น ทั้งยังสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าร่วมกับผู้อื่นมากกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าพวกเขาสามารถทำงานของผู้นำและคนทำงานและสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้  แต่ข้อเท็จจริงคือเมื่อเกิดปัญหาใหญ่เรื่องที่ศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนและชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิดอย่างไร้ยางอาย พวกเขาก็ได้แต่มองดูแต่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะใช้พระวจนะส่วนใดของพระเจ้ามาเชื่อมโยงและชำแหละศัตรูของพระคริสต์เพื่อให้พี่น้องชายหญิงได้รับวิจารณญาณแยกแยะ ปฏิเสธศัตรูของพระคริสต์จากหัวใจ และหลีกเลี่ยงการถูกคนเหล่านั้นควบคุมและชักพาให้หลงผิด  ถึงแม้ว่าบางครั้งในใจของพวกเขาจะตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ยังคิดว่าตนเชื่อในพระเจ้ามานานและฟังคำเทศนามามากมาย อีกทั้งพวกเขาก็เข้าใจความจริงดีกว่าคนทั่วไป และสามารถพูดได้อย่างฉะฉาน  พวกเขาจึงมักจะโอ้อวดว่า “ฉันเป็นคนฝ่ายวิญญาณ  ฉันสามารถประกาศได้  ถึงแม้ฉันจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องที่ศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนและชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด และไม่สามารถเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้ากับศัตรูของพระคริสต์และแยกแยะพวกเขาได้ แต่ฉันก็ได้ทำงานที่ควรทำและได้พูดสิ่งที่ควรพูดแล้ว  ตราบเท่าที่พี่น้องชายหญิงสามารถเข้าใจได้ เท่านั้นก็พอแล้ว!”  ส่วนผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้รับการปกป้องหรือไม่นั้น ในหัวใจของพวกเขากลับไม่แน่ใจในเรื่องนี้  พวกเขายังคิดด้วยว่าตนเป็นคนฉลาดและแสร้งทำเป็นแก้ไขปัญหา แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็เพียงกล่าวคำพูดและคำสอนมากมายโดยไม่ได้แก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง  พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อเปิดโปงและชำแหละศัตรูของพระคริสต์ได้  แต่พวกเขากลับพ่นเพียงคำพูดและคำสอนเพื่อปกป้องและหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง พูดอยู่นานหนึ่งหรือสองชั่วโมงและทิ้งให้ผู้คนรู้สึกสับสนอย่างสิ้นเชิง แม้แต่สิ่งที่ผู้คนเข้าใจแต่เดิมก็กลับเลือนราง  พวกเขาล้มเหลวในการช่วยพี่น้องชายหญิงจากการถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด ทั้งยังล้มเหลวในการทำให้พี่น้องชายหญิงแยกแยะศัตรูของพระคริสต์และปฏิเสธคนเหล่านั้นได้จากหัวใจ—พวกเขาไม่เคยสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ของการปกป้องพี่น้องชายหญิงเลย  ต่อให้พวกเขามองเห็นผลที่ตามมาเช่นนี้ได้ พวกเขาก็ยังคงอ้างถึงอัตลักษณ์ของผู้นำและไม่ยอมถ่อมตนเพื่อแสวงหาความจริงกับผู้อื่น หรือรายงานปัญหาขึ้นไปเบื้องบนเพื่อแสวงหาหนทางแก้ไขเลย  ผู้คนเช่นนั้นมิใช่คนเลวหรอกหรือ?  เจ้าไม่มีคุณค่าใดเลย แต่เจ้าก็ยังเสแสร้ง  เจ้าเสแสร้งไปเพื่ออะไร?  ในเมื่อเจ้าไม่สามารถเป็นผู้นำได้ เจ้าก็ควรถอนตัวและไปเสแสร้งที่อื่น  เจ้าต้องไม่สร้างความเสียหายต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร!  ขณะที่เจ้าเสแสร้งอยู่นั้น ศัตรูของพระคริสต์ก็ใช้โอกาสนี้ในการทำเรื่องชั่วมากมายที่ก่อกวนและควบคุมผู้คน สร้างความเสียหายและชักพาผู้คนมากมายให้หลงผิด!  ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้เล่า?  พระนิเวศของพระเจ้าจะสืบหาว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ!

ผู้นำและคนทำงานบางคนไม่ทำงานจริงเลยเมื่อต้องจัดการกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับศัตรูของพระคริสต์ และไม่สามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ได้อีกด้วย  ในช่วงเวลาที่ศัตรูของพระคริสต์ควบคุมและชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิดนั้น พวกเขาไม่เคยเปิดโปงการทำชั่วและแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์อย่างแท้จริง อีกทั้งไม่สามารถอธิบายเรื่องเหล่านั้นให้ชัดเจนได้เลย  ต่อมา ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรบางคนที่มีวิจารณญาณได้เปิดโปงและขับไล่ศัตรูของพระคริสต์ และผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ก็รู้สึกว่านี่เป็นความสำเร็จของตนเอง  หลังจากศัตรูของพระคริสต์ถูกขับไล่ พวกเขาก็ทำการสรุปและกล่าวคำสอนบางประการว่า “ดูเถิด เมื่อศัตรูของพระคริสต์พูดและกระทำ ชีวิตคริสตจักรก็เกิดความผิดปกติ ผู้คนถูกรบกวน และพวกเขาก็ทนทุกข์กับความสูญเสียในชีวิต  เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่เกิดจากศัตรูของพระคริสต์ พวกเราต้องแยกแยะการกระทำ คำพูด ความเป็นมนุษย์ แก่นแท้ และอื่นๆ ของศัตรูของพระคริสต์—พวกเราควรเข้าใจทั้งหมดนี้  พระเจ้าทรงอนุญาตให้ศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัวในคริสตจักร ทรงยอมให้พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายและเปิดโปงความอัปลักษณ์ของตนเอง ทรงเผยศัตรูของพระคริสต์เพื่อให้พวกเราสามารถเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริง เติบโตในวิจารณญาณแยกแยะ และเพิ่มพูนวุฒิภาวะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้—เจตนารมณ์ของพระเจ้าอยู่ในการนี้!  ตอนนี้พวกเราได้แยกแยะศัตรูของพระคริสต์และไม่ถูกพวกเขาบีบคั้นอีกต่อไปแล้ว ทุกคนสามารถปฏิเสธพวกเขาได้  นี่เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การฉลอง!”  สุดท้ายแล้ว ผู้นำเทียมเท็จก็ใช้น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่และทำการสรุป โดยพูดราวกับว่าพวกเขาได้ทำงานจริงไปแล้วมากมาย จ่ายราคาอย่างหนัก และมีบทบาทที่สลักสำคัญในการขับไล่ศัตรูของพระคริสต์  นี่มิใช่เรื่องที่ค่อนข้างไร้ยางอายหรอกหรือ?  เห็นได้ชัดว่า ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าศัตรูของพระคริสต์เป็นอย่างไร พวกเขาไม่เข้าใจว่าศัตรูของพระคริสต์ชักพาผู้คนให้หลงผิดอย่างไร ศัตรูของพระคริสต์ทำสิ่งใดต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หรือแก่นแท้อุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์เป็นอย่างไร ทว่าผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ก็ยังคงเสแสร้งราวกับว่าพวกเขาได้ทำงานมาแล้วมากมาย  เห็นได้ชัดว่าผู้ที่แยกแยะศัตรูของพระคริสต์และขับไล่พวกเขาจากคริสตจักรได้คือบรรดาพี่น้องชายหญิง เห็นได้ชัดว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ได้แสดงบทบาทที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำหรือลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน แต่พวกเขาก็ยังสรุปและยกความดีความชอบให้กับตนเอง ราวกับพวกเขาได้วางแผนทุกอย่างล่วงหน้าไว้นานแล้ว และตอนนี้ก็กำลังบอกพี่น้องชายหญิงว่าการกระทำของพวกเขาผลิดอกออกผลและเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่  นี่คือเรื่องที่ไร้ยางอายมิใช่หรือ?  เหตุใดเจ้าจึงกล่าวด้วยท่าทีเยี่ยงเจ้าหน้าที่เช่นนี้?  เจ้าไม่ทำงานจริง แต่ยังพูดจาราวกับเจ้าหน้าที่  เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ของพญานาคใหญ่สีแดงหรือ?  คนเช่นนั้นคือฟาริสีมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขารู้เพียงวิธีร้องตะโกนคำขวัญและประกาศคำสอนเท่านั้น  เมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้น พวกเขาไม่เพียงล้มเหลวในการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างถูกต้อง แต่พวกเขายังไม่มีเส้นทางในการปฏิบัติอีกด้วย  พวกเขาทำได้แค่พ่นเรื่องไร้สาระและหลับหูหลับตาใช้ข้อบังคับ แต่โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดได้เลย  หลังจากสิ่งทั้งหลายผ่านไปแล้ว พวกเขาก็ปฏิบัติตนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แสร้งทำเป็นคนดี และยกความดีความชอบให้ตนเองอย่างหน้าไม่อายเหลือเกิน  คนเหล่านี้คือแบบฉบับของฟาริสี  พวกเขาทำได้เพียงประกาศคำสอน ตะโกนร้องคำขวัญ ทุ่มเทความพยายามอยู่บ้าง และอดทนต่อความยากลำบากบางอย่างได้เท่านั้น และพวกเขาก็ไม่สามารถทำงานจริงได้ แต่พวกเขายังแสร้งว่าตนเองเป็นผู้คนฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาคือฟาริสี  นี่คือแก่นแท้ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้  พวกเขาสามารถประกาศคำสอนได้มากมายต่อหน้าทุกคน แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถเปิดโปงและจัดการกับศัตรูของพระคริสต์ได้?  พวกเขาสามารถประกาศได้นานต่อเนื่องกันหลายชั่วโมงและมีวาทศิลป์ดีเยี่ยม แล้วเหตุใดเมื่อเผชิญกับปัญหาจริง—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับการทำชั่วของศัตรูของพระคริสต์—พวกเขาจึงไม่สามารถรับมือกับสิ่งเหล่านั้น ดูตกตะลึงจนพูดไม่ออก?  เหตุผลของการนี้คืออะไร?  นี่เป็นเพราะพวกเขามีขีดความสามารถต่ำเกินไป  ต่ำเพียงใด?  พวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  พวกเขามีการศึกษาและฉลาดหลักแหลม ค่อนข้างมีไหวพริบในการรับมือกับเรื่องภายนอก และพอเข้าใจในเรื่องกฎหมายอยู่บ้าง  อย่างไรก็ตามในเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า เรื่องราวทางฝ่ายวิญญาณ และประเด็นปัญหาสำคัญต่างๆ นานา พวกเขากลับไม่สามารถแยกแยะและไม่สามารถมองสิ่งใดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งยังไม่สามารถหาหลักธรรมความจริงพบอีกด้วย  เมื่อไม่มีปัญหาเกิดขึ้น พวกเขาก็นั่งสงบราวกับชาวประมงที่รอปลาติดเบ็ด แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น พวกเขากลับประพฤติตนราวกับตัวตลกที่น่าขัน ราวกับมดบนกระทะร้อน เผยรูปโฉมอันน่าเวทนาออกมา  บางครั้งพวกเขาก็ทำตัวจริงจังและขึงขังอย่างสุดโต่ง  ในเวลาที่พวกเขาไม่ทำตัวขึงขัง พวกเขาก็ดูเป็นปกติ แต่เมื่อพวกเขาเริ่มทำตัวขึงขัง กลับทำให้ผู้คนหัวเราะ  นี่เป็นเพราะเมื่อพวกเขาทำตัวขึงขัง พวกเขาก็พูดแต่สิ่งที่เป็นตรรกะวิบัติและคำพูดที่ไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นคำพูดที่ดูเป็นมือสมัครเล่น  แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังทำหน้าตาขึงขัง—เช่นนี้ไม่น่าขันหรอกหรือ?  หากใครบางคนยกคำถามที่สำคัญอย่างยิ่งยวดขึ้นมาถามพวกเขา พวกเขาก็เริ่มสับสนและพูดไม่ออก ดูเหมือนอับอายเป็นพิเศษ  ผู้นำเทียมเท็จที่เป็นเช่นนี้มีอยู่มากมาย  การสำแดงหลักของพวกเขาคือขีดความสามารถต่ำและไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ พวกเขาเป็นผู้คนที่เลอะเลือน  การไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหมายความว่าอย่างไร?  เมื่อเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจริง การนี้เหมือนกับพวกเขากำลังพยายามแปลภาษากรีกโบราณ—แต่พวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลย  แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงเสแสร้ง โดยกล่าวว่า “ฉันเป็นคนฝ่ายวิญญาณ  ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานแล้ว  ฉันเข้าใจความจริงมากมาย  พวกคุณเป็นผู้เชื่อใหม่ พวกคุณเพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้าและไม่เข้าใจความจริง  พวกคุณเชื่อถือไม่ได้”  พวกเขาถือเสมอว่าตนเองเชื่อในพระเจ้ามานานและเข้าใจความจริง  ผู้คนเช่นนั้นทั้งน่าขันและน่าเกลียดชัง  นี่คือบทสรุปสามัคคีธรรมถึงการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จดังกล่าว

III. การทำตัวเป็นร่มป้องกันให้ศัตรูของพระคริสต์

ยังมีผู้นำเทียมเท็จอีกหนึ่งประเภทที่น่าเกลียดชังยิ่งกว่า  พวกเขาไม่เพียงล้มเหลวในการเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ แต่ยังทำตัวเป็นร่มป้องกันให้ศัตรูของพระคริสต์ ใช้ความช่วยเหลืออันเปี่ยมรักเป็นข้ออ้างเพื่อปล่อยปละละเลยการทำชั่วของศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อกวนงานของคริสตจักร  ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์จะเผยแพร่ตรรกะวิบัติมากมายเพียงใดเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้นอกจากจะไม่หักล้างหรือเปิดโปงสิ่งเหล่านั้นแล้ว พวกเขายังมอบโอกาสให้ศัตรูของพระคริสต์ได้แสดงมุมมองของตนและพูดออกมาอย่างเสรีอีกด้วย  ไม่ว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทนทุกข์กับความเสียหาย การก่อกวน การชักพาให้หลงผิดในลักษณะใด ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ก็ยังคงไม่แยแส  แม้กระทั่งในยามที่บางคนชี้ให้เห็นว่า “บุคคลเหล่านี้เป็นศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาคือคนที่ควรถูกจำกัดโดยพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่ควรได้เลื่อนตำแหน่งหรือได้รับการบ่มเพาะ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ควรได้รับการปกป้อง  พวกเขาทำให้พี่น้องชายหญิงเกิดความเสียหายมามากพอแล้ว  ถึงเวลาคิดบัญชีกับพวกเขา รวมถึงเปิดโปงและจัดการกับพวกเขาอย่างเด็ดขาดเสียที” ผู้นำเทียมเท็จก็จะก้าวออกมาและออกตัวแทนศัตรูของพระคริสต์  เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งหลายอย่างอายุ จำนวนปีที่เชื่อในพระเจ้า และคุณูปการที่ผ่านมาของศัตรูของพระคริสต์ ผู้นำเทียมเท็จก็ใช้ข้อแก้ตัวนานาประการเพื่อออกตัวและปกป้องคนเหล่านั้น  เมื่อผู้นำระดับสูงไปตรวจสอบงานหรือจัดการกับศัตรูของพระคริสต์ เหล่าผู้นำเทียมเท็จก็กีดกันไม่ให้พี่น้องชายหญิงรายงานข้อเท็จจริงเรื่องการทำชั่วของศัตรูของพระคริสต์ต่อผู้นำระดับสูง  พวกเขาถึงกับใช้มาตรการปิดกั้นคริสตจักรเพื่อไม่ให้ผู้นำระดับสูงล่วงรู้ถึงการก่อกวนคริสตจักรของศัตรูของพระคริสต์ และพวกเขายังขัดขวางพี่น้องชายหญิงผู้มีวิจารณญาณแยกแยะไม่ให้เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์อีกด้วย  ไม่ว่าผู้นำเทียมเท็จใช้ข้อแก้ตัวใดหรือมีจุดประสงค์อย่างไรในการทำตัวเป็นร่มป้องกันให้ศัตรูของพระคริสต์ แต่ท้ายที่สุดแล้ว การที่พวกเขาทำเช่นนั้นย่อมเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของศัตรูของพระคริสต์ ในขณะที่ทรยศต่อผลประโยชน์ของคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พวกเขาใช้ข้อแก้ตัวต่างๆ นานามาปกป้องศัตรูของพระคริสต์ อย่างเช่น “ศัตรูของพระคริสต์ก็เชื่อในพระเจ้าและมีสิทธิ์ที่จะพูดในพระนิเวศของพระเจ้าเช่นกัน” และ “พวกเขาเคยทำหน้าที่ที่เสี่ยงอันตรายมาก่อน พระนิเวศของพระเจ้าควรคำนึงถึงคุณูปการในอดีตของพวกเขา”  พวกเขากีดกันพี่น้องชายหญิงจากการแยกแยะศัตรูของพระคริสต์และไม่ยอมให้ผู้นำระดับสูงรับรู้ถึงการทำชั่วนานาประการของคนเหล่านั้น ในขณะเดียวกัน พวกเขาเองก็ไม่เปิดโปงและแน่นอนว่าไม่ได้ตัดแต่งศัตรูของพระคริสต์  ศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้อาจจะเป็นสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา เป็นเพื่อนสนิท หรือเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นคนที่พวกเขาเทิดทูน และพบว่าเป็นเรื่องลำบากใจที่จะปล่อยมือ  ไม่ว่าในสถานการณ์ใด ตราบเท่าที่พวกเขารู้ว่าคนเหล่านี้เป็นศัตรูของพระคริสต์และยังคงปกป้องการทำชั่วของคนเหล่านี้ บอกให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อคนเหล่านี้ด้วยความรัก และถึงกับใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้โอกาสศัตรูของพระคริสต์ได้เผยแพร่ตรรกะวิบัติทั้งหลายเพื่อก่อกวนและชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด การสำแดงเหล่านี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า พวกเขากำลังทำตัวเป็นร่มป้องกันให้ศัตรูของพระคริสต์  ผู้นำเทียมเท็จบางคนอาจจะเคยทำงานจริงในด้านอื่นมาบ้าง แต่เมื่อเป็นเรื่องของการจัดการกับศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่รับมือกับคนเหล่านั้นตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานตามที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องการ—พวกเขาไม่ได้หยุดยั้งศัตรูของพระคริสต์อย่างสุดกำลังจากการเผยแพร่มโนคติอันหลงผิด อารมณ์ที่เป็นลบ ความเห็นนอกรีต และตรรกะวิบัติเพื่อชักพาผู้คนในคริสตจักรให้หลงผิด  ในทางกลับกัน พวกเขามักจะค้ำจุนคำสอนลวงโลกที่ศัตรูของพระคริสต์พูดออกมา รวมถึงค้ำจุนคำกล่าวและความเห็นของคนเหล่านั้น ซึ่งมาจากความรู้หรือปรัชญาของซาตานในฐานะสิ่งที่เป็นบวก  ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการสำแดงของการที่พวกเขาทำตัวเป็นร่มป้องกันให้กับศัตรูของพระคริสต์  แน่นอนว่ายังมีผู้นำเทียมเท็จบางคนที่ไม่จัดการกับศัตรูของพระคริสต์เพราะพวกเขาให้ค่ากับอิทธิพลในสังคมของคนเหล่านั้น  พวกเขากล่าวว่า “พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่มาจากชนชั้นล่างของสังคมและไม่มีอิทธิพลอะไร  ถึงแม้คนคนนี้จะเป็นศัตรูของพระคริสต์ซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ชั่ว พวกเขาก็มีอำนาจ มีอิทธิพลในโลกใบนี้ และเป็นคนที่มีความสามารถ  ในยามที่พี่น้องชายหญิงหรือคริสตจักรเผชิญอันตราย พวกเราจำเป็นต้องมีคนที่น่าเกรงขามก้าวออกมาปกป้องพวกเรามิใช่หรือ?  เพราะฉะนั้น พวกเราก็ปิดหูปิดตาให้กับการทำผิดของพวกเขาและอย่าจริงจังกับเรื่องนั้นนักเลย”  ผู้นำเทียมเท็จเต็มใจที่จะทำตัวเป็นร่มป้องกันให้ศัตรูของพระคริสต์ เพื่อให้ศัตรูของพระคริสต์ยืนหยัดเพื่อพวกเขาและหนุนหลังพวกเขา—แม้แต่เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเสื่อมเสียสำหรับผู้นำเทียมเท็จ  ยังมีผู้นำเทียมเท็จบางคนที่มีมุมมองที่ไม่ถูกต้อง  พวกเขากล่าวว่า “ศัตรูของพระคริสต์บางคนมีสถานะและมีอิทธิพลในสังคม  พวกเขาเป็นคนมีเกียรติ  คริสตจักรของเราก็มีคนเช่นนั้นอยู่สองคน  ถึงแม้พวกเขาจะเป็นศัตรูของพระคริสต์ แต่หากพวกเราเอาตัวพวกเขาออกไป ผู้คนก็จะคิดว่าคริสตจักรของเราไม่มีคนที่มีความสามารถ และพวกที่อยู่ในแวดวงศาสนาก็จะดูถูกพวกเรา  พวกเราจำเป็นต้องเก็บพวกเขาเอาไว้เป็นหน้าเป็นตา  เพราะฉะนั้นสองคนนี้คือสมบัติล้ำค่าของคริสตจักรเรา ไม่มีใครสามารถแยกแยะหรือเอาตัวพวกเขาออกไปได้  พวกเขาต้องได้รับการปกป้อง”  นี่คือตรรกะประเภทใด?  พวกเขามองว่าศัตรูของพระคริสต์เป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษ ดังนั้นพวกเขาจึงปกป้องคนเหล่านี้  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้เป็นคนชั่วร้ายมิใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่ว่ารูปการณ์จะเป็นอย่างไร ตราบเท่าที่ผู้นำและคนทำงานยอมให้ศัตรูของพระคริสต์ทำตามอำเภอใจในคริสตจักรและก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขาก็ย่อมเป็นผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จ  ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเผยแพร่ตรรกะวิบัติอย่างไร ไม่ว่ามีผู้คนถูกชักพาให้หลงผิดมากมายแค่ไหน ไม่ว่าพวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เป็นบวกอย่างไร และไม่ว่าพวกเขาสร้างความเสียหายต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมากเพียงใด ผู้นำเทียมเท็จก็จะดูดายในเรื่องนั้นและแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง—ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถรักษาตัวรอดได้ นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา  สิ่งเหล่านี้เป็นการสำแดงหลักของผู้นำเทียมเท็จ  ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์พูดหรือทำสิ่งใด ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่เปิดโปง ชำแหละ หรือจำกัดพวกเขาเพื่อให้พี่น้องชายหญิงสามารถแยกแยะและปฏิเสธพวกเขาได้  ในทางกลับกัน พวกเขาบำรุงเลี้ยงศัตรูของพระคริสต์ราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงของตน รับใช้และปกป้องพวกเขาราวกับเป็นบุคคลสำคัญ เปิดทางให้พวกเขา และสร้างโอกาสต่างๆ เพื่อให้พวกเขาได้ปฏิบัติ  ในขณะที่ผู้นำเทียมเท็จปล่อยให้ศัตรูของพระคริสต์ชื่นชมเสรีภาพของตนอย่างเต็มที่ ผลประโยชน์ที่เสียไปเป็นของผู้ใดเล่า?  (ผลประโยชน์ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร)  ผู้นำเทียมเท็จไม่เพียงล้มเหลวในการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเท่านั้น แต่พวกเขายังยอมให้ศัตรูของพระคริสต์มีอำนาจหน้าที่ในคริสตจักร ทำให้พี่น้องชายหญิงต้องรับใช้ศัตรูของพระคริสต์ราวกับเป็นวัวเป็นม้า เป็นทาสของคนเหล่านั้น ทำให้พี่น้องชายหญิงทำตามคำสั่งของศัตรูของพระคริสต์ ยอมรับข้อคิดเห็น ความคิด และมุมมองที่เป็นตรรกะวิบัติของศัตรูของพระคริสต์ ยอมรับการควบคุม และยอมรับแม้แต่ความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ศัตรูของพระคริสต์ก่อ และอีกมากมาย  นี่คืองานที่ผู้นำเทียมเท็จทำ  พวกเขากำลังหยุดยั้งศัตรูของพระคริสต์ไม่ให้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างถึงที่สุดหรือไม่?  พวกเขาทำหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานให้ลุล่วงแล้วหรือยัง?  พวกเขาทำงานของการปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วหรือยัง?  (ยัง)  โดยสรุปก็คือ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ผู้นำคนใดที่อนุญาตให้ศัตรูของพระคริสต์ทำตามอำเภอใจโดยไม่ทำงานใดเลยย่อมเป็นผู้นำเทียมเท็จ  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จ?  เพราะเมื่อศัตรูของพระคริสต์ควบคุมและชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด พวกเขาก็ปล่อยให้พี่น้องชายหญิงทนทุกข์กับความเสียหายนานาประการจากศัตรูของพระคริสต์ ล้มเหลวในการทำตามพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา  พระนิเวศของพระเจ้าไว้ใจมอบหมายแกะของพระเจ้าและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้กับเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตนเอง  เจ้าไม่คู่ควรแก่การแบกรับพระบัญชาจากพระเจ้า!  ไม่ว่าเจ้ามีเหตุผลหรือมีความชอบด้วยเหตุผลอย่างไร หากในช่วงที่เจ้าดำรงตำแหน่งผู้นำ เจ้ากลับทำตัวเป็นร่มป้องกันให้ศัตรูของพระคริสต์ ทำให้พี่น้องชายหญิงทนทุกข์แสนสาหัสจากการก่อกวน การชักพาให้หลงผิด การควบคุม และความเสียหายอย่างร้ายแรงจากศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นคนบาปไปทุกยุค  เหตุผลของการนี้คือ ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่สามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์หรือไม่อาจมองทะลุแก่นแท้ของพวกเขาได้—เจ้ารู้อย่างชัดเจนในหัวใจของเจ้าว่าศัตรูของพระคริสต์คือหมู่มารและเหล่าซาตาน แต่เจ้ากลับไม่ยอมให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเปิดโปงและแยกแยะพวกเขา  ตรงกันข้ามเจ้ากลับปล่อยให้พี่น้องชายหญิงรับฟัง ยอมรับ และเชื่อฟังพวกเขา  นี่คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริงโดนสิ้นเชิง  สิ่งนี้ทำให้เจ้าเป็นคนบาปไปทุกยุคมิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าไม่เพียงล้มเหลวในการปกป้องบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ของตนและไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยใจจริงเท่านั้น ทว่าเจ้ายังส่งเสริมให้ศัตรูของพระคริสต์เป็นผู้นำและคนทำงาน บำรุงเลี้ยงพวกเขาราวกับสัตว์เลี้ยง และทำให้พี่น้องชายหญิงเชื่อฟังคำสั่งของพวกเขา  พระนิเวศของพระเจ้าไว้วางใจมอบหมายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้กับเจ้ามิใช่เพื่อเป็นทาสรับใช้ของศัตรูของพระคริสต์หรือเป็นทาสรับใช้ของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้านำพวกเขาให้ต่อสู้กับซาตานและศัตรูของพระคริสต์ แยกแยะและปฏิเสธศัตรูของพระคริสต์ รวมถึงทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ใช้ชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติ ทำหน้าที่ของพวกเขาได้ตามปกติ เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง อีกทั้งนบนอบและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าภายใต้การทรงนำของพระองค์  หากเจ้าไม่อาจลุล่วงแม้แต่ความรับผิดชอบนี้ เจ้าจะคู่ควรกับการถูกเรียกว่ามนุษย์หรือ?  แต่กระนั้นเจ้าก็ยังต้องการปกป้องศัตรูของพระคริสต์  ศัตรูของพระคริสต์เป็นบรรพบุรุษของเจ้าหรือเป็นรูปบูชาของเจ้าอย่างนั้นหรือ?  ต่อให้เจ้ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพวกเขา เจ้าก็ยึดมั่นในหลักธรรมความจริงและให้ความสำคัญกับความยุติธรรมเหนือครอบครัว  เจ้าควรรู้สึกผูกพันด้วยหน้าที่ที่จะลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน—เปิดโปง แยกแยะ และปฏิเสธศัตรูของพระคริสต์ รวมถึงปกป้องพี่น้องชายหญิงอย่างสุดความสามารถ เพื่อป้องกันพวกเขาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากศัตรูของพระคริสต์  นี่คือการทำหน้าที่ของเจ้าและทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสมบูรณ์ด้วยความจงรักภักดี ด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะถูกเรียกได้ว่าเป็นผู้นำและคนทำงานที่ได้มาตรฐาน  หากเจ้าไม่อาจลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ทั้งยังเต็มใจที่จะทำตัวเป็นร่มป้องกันให้ศัตรูของพระคริสต์ นอกจากเป็นคนบาปตลอดทุกยุคแล้วเจ้ายังจะเป็นอะไรได้อีกเล่า?  นี่คือบทสรุปสามัคคีธรรมถึงผู้นำเทียมเท็จที่ทำตัวเป็นร่มป้องกันให้ศัตรูของพระคริสต์  เห็นได้ชัดว่า การจัดคนเหล่านั้นให้อยู่ในกลุ่มผู้นำเทียมเท็จมิใช่ความอยุติธรรมเลย นี่คือหนึ่งในการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จที่แท้จริง

IV. การไม่เอาใจใส่หรือถามไถ่ถึงผู้คนที่ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด

มีการสำแดงอีกประการหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จที่น่าโมโหเสียยิ่งกว่า  ในระหว่างปฏิสัมพันธ์กับศัตรูของพระคริสต์ ผู้นำเทียมเท็จบางคนสามารถแยกแยะคนเหล่านั้นได้ในระดับหนึ่ง แต่กลับไม่ได้จัดการพวกเขาอย่างทันท่วงที  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ยังล้มเหลวในการเปิดโปงและชำแหละการทำชั่วและแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ในทันทีผ่านพฤติกรรมนานาประการของพวกเขา เพื่อให้พี่น้องชายหญิงแยกแยะและปฏิเสธศัตรูของพระคริสต์ได้  สิ่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  เมื่อพี่น้องชายหญิงบางคนถูกชักพาให้หลงผิดและติดตามศัตรูของพระคริสต์ ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ก็ยังคงไม่แยแส ราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือพวกเขาไม่รู้สึกตำหนิตนเองหรือกล่าวโทษตนเองอยู่ในหัวใจเลย  พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำให้พระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิงผิดหวัง  ในทางกลับกันพวกเขามักจะกล่าวประโยค “คลาสสิก” ที่ว่า “คนพวกนี้ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด  พวกเขาสมควรแล้ว!  เป็นความผิดของพวกเขาที่ขาดวิจารณญาณ  ต่อให้พวกเขาไม่ติดตามศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็จะยังคงเป็นเป้าหมายของการถูกพระนิเวศของพระเจ้าเอาตัวออกไปอยู่ดี”  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกผิดหรือตำหนิตนเองหลังจากพี่น้องชายหญิงถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาไม่ได้ทบทวนหรือกลับใจเลย  ตรงกันข้าม พวกเขากลับเอ่ยคำพูดที่ไร้มนุษยธรรมดังกล่าว อ้างว่าพี่น้องชายหญิงเหล่านี้สมควรถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด  สิ่งที่มองเห็นได้จากคำพูดเหล่านี้คืออะไร?  คนเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์บ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาไร้ความเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงกล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมา?  (เพื่อบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ)  อันดับแรก พวกเขากล่าวคำพูดเหล่านี้เพื่อบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ เพื่อทำให้ผู้คนเฉื่อยชาและชักพาพวกเขาให้หลงผิด  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้เชื่อว่า “คนเหล่านั้นถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดเพราะพวกเขาขาดวิจารณญาณ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน  พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เพราะฉะนั้น พวกเขาสมควรแล้วที่ถูกชักพาให้หลงผิด!”  คำว่า “สมควรแล้ว” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าผู้คนเหล่านี้ควรถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและควบคุม และควรได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากศัตรูของพระคริสต์—ไม่ว่าพวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างไรจากศัตรูของพระคริสต์ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ พวกเขาสมควรแล้วที่จะติดตามศัตรูของพระคริสต์  ความหมายโดยนัยคือผู้คนเหล่านี้ไม่ควรติดตามพระเจ้า แต่ควรติดตามศัตรูของพระคริสต์ การติดตามพระเจ้าเป็นความผิดพลาดสำหรับพวกเขา และการที่พระเจ้าทรงเลือกสรรพวกเขาก็เป็นความผิดพลาดเช่นเดียวกัน ถึงแม้พวกเขาจะได้เข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด  นี่คือสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จสื่อออกมามิใช่หรือ?  พวกเขาไม่เพียงว่าร้ายพี่น้องชายหญิงเท่านั้น แต่ยังหมิ่นประมาทพระเจ้าอีกด้วย  ผู้คนเช่นนั้นน่าเกลียดชังมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาน่าเกลียดชังอย่างที่สุด!  นอกจากการบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบและปิดบังข้อเท็จจริงและความจริงที่ว่าพวกเขาไม่ได้ปกป้องพี่น้องชายหญิงแล้ว พวกเขายังถึงกับโจมตีพี่น้องชายหญิง กล่าวว่าคนเหล่านี้สมควรถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด และพวกเขาไม่คู่ควรแก่การเชื่อในพระเจ้าและได้รับความรอดจากพระเจ้า  คำกล่าวเพียงประโยคเดียวนี้เผยให้เห็นว่าลักษณะนิสัยของพวกเขาเลวทรามเพียงไร!  ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ก่อกวน ข่มเหง หรือชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิดโดยตรงเช่นเดียวกับศัตรูของพระคริสต์ แต่ท่าทีที่พวกเขามีต่อพี่น้องชายหญิง ต่อพระบัญชาของพระเจ้า และต่อฝูงแกะที่พระนิเวศไว้วางใจมอบหมายไว้กับพวกเขาก็แสดงให้เห็นว่า แท้จริงแล้วพวกเขาไร้ความปรานีและเลือดเย็นเพียงใด!  ผู้ที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าไม่มีผู้ใดทำได้ง่ายดายนัก เรื่องนี้สัมพันธ์กับการพลีอุทิศและการให้ความร่วมมือของบรรดาผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐ  การนี้ต้องใช้แรงกำลังของมนุษย์และทรัพยากรมากมาย และยิ่งไปกว่านั้น ความมานะอุตสาหะของพระเจ้าก็อยู่ในการนี้ด้วย  พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่จัดการเตรียมการผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย รวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์  ผู้นำเทียมเท็จไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลย  ไม่ว่าใครเป็นผู้ที่ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด พวกเขาก็ตัดบทด้วยวลีเดียวว่า “พวกเขาสมควรแล้ว!”  ในการทำเช่นนั้น พวกเขากำลังทำลายการทำงานหนักที่ทุกคนมีส่วนร่วมและความมานะอุตสาหะของพระเจ้าจนไม่เหลืออะไรเลย  คำว่า “พวกเขาสมควรแล้ว” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่า “ใครบอกให้คุณประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเขา?  พวกเขาไม่คู่ควรกับการเชื่อในพระเจ้า  การประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเขาเป็นความผิดพลาด  ใครบอกให้พวกเขาติดตามศัตรูของพระคริสต์เล่า?  ถึงฉันจะไม่ได้ทำงานจริงเลย แต่ฉันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาติดตามศัตรูของพระคริสต์เหมือนกัน  พวกเขาดึงดันที่จะทำเช่นนั้นด้วยตัวเอง พวกเขาสมควรแล้วที่จะติดตามศัตรูของพระคริสต์!”  คนประเภทนี้มีความเป็นมนุษย์ในลักษณะใด?  พวกเขามีหัวใจบ้างหรือไม่?  พวกเขาเป็นสัตว์เลือดเย็น แย่เสียยิ่งกว่าสุนัขเฝ้าบ้าน แต่ยังได้เป็นผู้นำอย่างนั้นหรือ?  พวกเขาไม่คู่ควรเลย!  พวกเจ้าต้องมีวิจารณญาณแยกแยะ เมื่อเห็นว่าผู้คนเหล่านั้นไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผล อีกทั้งเลือดเย็นอย่างยิ่ง เจ้าก็ต้องไม่เลือกพวกเขาเป็นผู้นำ  จงอย่าทำตัวเลอะเลือน!  พวกเขาไม่เพียงล้มเหลวในการทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้เพื่อชดใช้ความสูญเสียและกอบกู้บรรดาผู้ที่ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดเท่านั้น ทว่าพวกเขายังพูดจาโหดร้ายเช่นนั้นอีกด้วย—พวกเขามุ่งร้ายเหลือเกิน!  ปัญหาของคนประเภทนี้มีธรรมชาติที่ร้ายแรงกว่าปัญหาของผู้นำเทียมเท็จทั่วไป  ถึงแม้จะไม่สามารถถือได้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ แต่จากการสำแดงของพวกเขาย่อมเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์และไม่คู่ควรกับการได้เป็นผู้นำหรือคนทำงานเลย  พวกเขาเป็นเพียงคนทรยศที่อัปลักษณ์และอกตัญญูเท่านั้นเอง!  พวกเขาไม่รู้ว่าพระบัญชาของพระเจ้าคืออะไร และพวกเขาก็ไม่ตระหนักว่าตนควรทำงานใด  พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อสิ่งนี้ด้วยมโนธรรมและเหตุผล พวกเขาไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และไม่คู่ควรแก่การยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำเทียมเท็จไม่มีความรักให้กับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเลย  เมื่อพี่น้องชายหญิงถูกชักพาให้หลงผิดและล้มลง พวกเขาก็ถึงกับซ้ำเติมและพูดว่า “พวกเขาสมควรแล้ว” โดยไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด  หากคนเช่นนั้นเห็นใครบางคนถูกถาโถมด้วยเคราะห์ร้ายและความลำบากยากเย็น พวกเขาจะไม่ช่วยเหลือ แต่จะเหยียบย่ำคนเหล่านั้นในยามที่ล้มลงแทน  มโนธรรมของพวกเขาจะไม่รู้สึกตำหนิตนเอง และพวกเขาจะยังคงเป็นผู้นำต่อไปในแบบที่เคยเป็นมาตลอด  นี่เป็นเรื่องที่ไร้ยางอายมิใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่ต้องพูดถึงพี่น้องชายหญิง ต่อให้เป็นผู้ไม่มีความเชื่อที่ดีคนหนึ่งได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากพวกมาร ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าและสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติย่อมจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แล้วหัวใจของพวกเขาจะรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเพียงใดเมื่อเป็นพี่น้องชายหญิง—ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง—ที่ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและทำให้เสียหายอย่างร้ายแรง  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่ทำงานจริงในช่วงเวลาที่ศัตรูของพระคริสต์กระทำชั่วและสร้างความเสียหายต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พวกเขาไม่เปิดโปงและไม่ชำแหละการทำชั่วและแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ นับประสาอะไรกับการมีสำนึกแห่งภาระที่จะช่วยพี่น้องชายหญิงให้เกิดวิจารณญาณแยกแยะศัตรูของพระคริสต์และปฏิเสธคนเหล่านั้นจากหัวใจ  พวกเขาไม่รู้สึกถึงสำนึกรับผิดชอบต่อเรื่องนี้เลย  แม้กระทั่งในยามที่บางคนถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด พวกเขาก็เพียงแสดงความคิดเห็นที่เย็นชาและไร้หัวใจว่า “พวกเขาสมควรแล้ว”  ช่างน่าโมโหเสียจริงๆ!  พวกเขาพูดจาไร้มนุษยธรรมเช่นนั้นเพื่อบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ เพื่อรักษาตัวรอด เพื่อทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นมึนงงและชักพาพวกเขาให้หลงผิด และเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ  นี่เป็นสิ่งที่น่าเกลียดชังมิใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่ว่าเจ้าพูดเช่นไร เจ้าก็ไม่ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน และเจ้าก็ไม่ได้ทำงานของตนอย่างถูกควร—สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จ  เจ้าไม่สามารถปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้ไม่ว่าเจ้าพยายามมากเพียงใดก็ตาม  เจ้าคือผู้นำเทียมเท็จ

หลังจากที่พี่น้องชายหญิงบางคนถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด ผู้นำเทียมเท็จบางคนไม่เพียงแต่ทำตัวไร้หัวใจ เย็นชา และขาดความรับผิดชอบโดยกล่าวว่าคนเหล่านี้สมควรถูกชักพาให้หลงผิดเท่านั้น แต่แม้ในยามที่การจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้พวกเขาลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนอย่างสุดแรงกำลังเพื่อกอบกู้ผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ค่อนข้างดีและมีหวังที่จะได้รับการช่วยกลับมา ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ก็ยังคงไม่ทำงานจริง  แม้ในยามที่บางคนร้องขอกลับเข้าคริสตจักร พวกเขาก็ยังคงไม่แยแสและเมินเฉย ไม่ปฏิบัติต่อชีวิตของผู้คนราวกับเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดที่พึงทะนุถนอม  พวกเขาล้มเหลวในการกอบกู้พี่น้องชายหญิงที่ถูกชักพาให้หลงผิดให้กลับมามากที่สุดเท่าที่จะทำได้  พวกเขาไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบนี้ และพวกเขาก็ไม่ได้พยายามที่จะทำเช่นนั้นเลย  ถึงแม้ว่าการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าจะเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าต้องทำงานนี้ให้ดี ผู้นำเทียมเท็จก็ยังคงไม่รู้สึกรู้สา ไม่ดำเนินการใดๆ และไม่ทำงานใดเลย  ผลก็คือบางคนที่ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและถูกแยกตัวและเอาตัวออกไปยังคงไม่สามารถหวนคืนสู่พระนิเวศของพระเจ้าได้ และยังไม่ได้กลับมาใช้ชีวิตคริสตจักรตามปกติ  แน่นอนว่าโดยแท้แล้วย่อมมีบางคนที่ไม่ตรงตามเงื่อนไขของพระนิเวศของพระเจ้าในการช่วยให้กลับคืนมาในหลากหลายแง่มุม แต่ก็มีผู้อื่นที่สามารถได้รับการกอบกู้คืนมาได้  หากพวกเขาสามารถเข้าใจความจริง แยกแยะ และปฏิเสธศัตรูของพระคริสต์ได้ด้วยการช่วยเหลืออันเปี่ยมรักและการเกื้อหนุนด้วยความอดทน พวกเขาก็สามารถได้รับการกอบกู้ให้กลับคืนมา  อย่างไรก็ตามเนื่องจากผู้นำและคนทำงานไม่ทำงานจริง ไม่ดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น และไม่ปฏิบัติต่อชีวิตของคนเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งสำคัญ บางคนจึงยังถูกทิ้งให้ระหกระเหินอยู่ข้างนอก  ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้เพิกเฉยต่อการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าโดยใช้ข้ออ้างนานาประการ  พวกเขาถึงกับดูดายบรรดาพี่น้องชายหญิงที่ต้องการหวนคืนสู่คริสตจักรและตรงตามเงื่อนไขการยอมรับของคริสตจักรเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาคิดหาข้อแก้ตัวทุกรูปแบบ กล่าวว่าคนเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี เผชิญความเสี่ยงด้านความปลอดภัย รักการแต่งเนื้อแต่งตัว เพลิดเพลินกับความพึงพอใจทางเนื้อหนัง หลงใหลในสถานะ และอื่นๆ  พวกเขาไม่ยอมให้พี่น้องชายหญิงเหล่านี้หวนคืนสู่คริสตจักรด้วยการใช้ข้ออ้างและเหตุผลทั้งหลายที่กุขึ้นมา  พี่น้องชายหญิงเหล่านี้ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและควบคุม แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่เป็นกังวลต่อการหลงทางของพี่น้องชายหญิงเหล่านี้เลย  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่มีสำนึกรับผิดชอบหรือไม่มีสำนึกของมโนธรรมแต่อย่างใด  บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่า การกอบกู้คนเหล่านี้กลับคืนมาเป็นเรื่องยากหรืออันตราย หรือบางทีพวกเขาอาจจะไม่เต็มใจและไม่เห็นด้วยอยู่ลึกๆ  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด พวกเขาก็ไม่ได้ดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานจากพระนิเวศของพระเจ้าที่กล่าวถึงข้างต้นเลย  สิ่งเหล่านี้เป็นการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จดังกล่าว  พวกเขาไม่เพียงล้มเหลวในการให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนในงานที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าหรือพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น แต่เมื่อใครบางคนเปิดโปงการละทิ้งหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา พวกเขาก็ปกป้องตนเอง ด้วยการพูดสิ่งที่เป็นการบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบตนและหาเหตุผลเข้าข้างตนเองเพื่อปกปิดความจริงเรื่องการละทิ้งหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา  ผู้นำเทียมเท็จเช่นนั้นน่าชังยิ่งกว่ามิใช่หรือ?  (ใช่)  โดยสรุปแล้ว ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ละเลยการจัดการกับศัตรูของพระคริสต์ที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และไม่ทำงานจริงเลยเช่นกัน  พวกเขาเพิกเฉยทุกๆ รายละเอียดของงานนี้ดังที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะสู้ทนความยากลำบากหรือจ่ายราคา กลับเลือกที่จะทำตามใจชอบและกระทำการตามอำเภอใจเท่านั้น—พวกเขาทำบ้างเล็กน้อยเมื่อรู้สึกอยากทำ และไม่ทำอะไรเลยเมื่อไม่รู้สึกอยากทำ  พวกเขาไม่ใส่ใจการจัดการเตรียมงานพระนิเวศของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่สนใจหน้าที่และความรับผิดชอบที่พระนิเวศของพระเจ้าไว้วางใจมอบหมายแก่พวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไม่สนใจเจตนารมณ์และข้อกำหนดของพระเจ้าเลย  คนเหล่านี้ไม่มีความเป็นมนุษย์และไม่มีมโนธรรม พวกเขาคือซากศพเดินได้  พวกเจ้าจะกล้าไว้วางใจมอบหมายเรื่องสำคัญในชีวิตของพวกเจ้าอย่างการไล่ตามเสาะหาความรอดในการเชื่อในพระเจ้าไว้กับคนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์หรือไม่?  (ไม่)  ต่อให้พวกเขาไม่ได้ส่งเจ้าให้กับศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาจะสู้กับศัตรูของพระคริสต์อย่างสุดความสามารถในยามที่คนเหล่านั้นสร้างความเสียหายร้ายแรงและชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิดหรือไม่?  ไม่ พวกเขาย่อมจะไม่ทำ เพราะคนเช่นนั้นเป็นสัตว์เลือดเย็นที่ไร้สำนึกของความรับผิดชอบ  พวกเขารับใช้ในฐานะผู้นำเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ตนเองเท่านั้น

บางครั้ง ผู้นำเทียมเท็จก็แสดงความห่วงใยพี่น้องชายหญิง พวกเขาถามพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ว่าต้องการสิ่งใดหรือไม่ ในเรื่องของการกินอยู่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง เป็นต้น  พวกเขาค่อนข้างเอาใจใส่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกับชีวิตประจำวัน แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระบัญชาของพระเจ้า ความเป็นความตายของพี่น้องชายหญิง และหลักธรรมความจริง พวกเขาก็ยังคงไม่แยแสและไม่ทำอะไรทั้งสิ้นไม่ว่าใครจะเป็นคนขอร้องพวกเขาก็ตาม  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้สนใจแต่เพียงความเพลิดเพลินทางเนื้อหนัง อาหาร เสื้อผ้า ที่พักอาศัย การเดินทาง หรือผลประโยชน์ทางวัตถุของผู้คน และพวกเขาจัดการเพียงเรื่องดังกล่าวเท่านั้น  บางคนกล่าวว่า “พระวจนะของพระองค์ขัดแย้งกันเอง  พระองค์ตรัสไม่ใช่หรือว่าพวกเขาเลือดเย็น?  คนที่เลือดเย็นจะเต็มใจทำสิ่งเหล่านี้เพื่อผู้อื่นหรือ?”  คนเลือดเย็นจะมีใจกรุณาในการทำสิ่งเหล่านี้เพื่อทุกคนหรือไม่?  (ไม่)  อันที่จริง คนที่เลือดเย็นบางคนอาจจะทำสิ่งเหล่านี้ได้จริงๆ และเหตุผลของเรื่องนี้มีอยู่สองประการ  ประการหนึ่งคือขณะที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายเพื่อทุกคน พวกเขาก็กำลังทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อตนเองและพวกเขาก็ได้รับประโยชน์จากการนี้ด้วยเช่นกัน  หากพวกเขาไม่ได้รับประโยชน์จากการทำบางสิ่งบางอย่าง ลองดูเถิดว่าพวกเขาจะยังทำเช่นนั้นอยู่หรือไม่—พวกเขาย่อมจะเปลี่ยนท่าทีและเลิกทำในทันที  นอกจากนี้ พวกเขากำลังใช้เงินใครในการทำสิ่งเหล่านี้และหาประโยชน์จากทุกคน?  พระนิเวศของพระเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย  การทำตัวใจกว้างด้วยทรัพยากรของพระนิเวศของพระเจ้าเป็นสิ่งที่คนเหล่านี้เชี่ยวชาญ  พวกเขาจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรในเมื่อพวกเขาได้รับประโยชน์ส่วนตน?  ขณะที่พวกเขาแสวงหาประโยชน์เพื่อทุกคน อันที่จริงพวกเขาก็กำลังทำสิ่งทั้งหลายเพื่อตัวเอง  พวกเขาไม่ได้ใจดีมากพอที่จะแสวงหาประโยชน์เพื่อทุกคน!  หากพวกเขาแสวงหาผลประโยชน์เพื่อทุกคนอย่างแท้จริง พวกเขาก็ไม่ควรมีแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวใดๆ และพวกเขาก็ควรรับมือกับเรื่องทั้งหลายตามหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองอยู่เสมอ และพวกเขาก็ไม่ได้นึกถึงการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเลย  นอกจากนี้ พวกเขายังทำสิ่งทั้งหลายเพื่อทุกคน เพื่อให้ผู้คนนับถือพวกเขาและกล่าวว่า “คนคนนี้แสวงหาประโยชน์เพื่อพวกเราและเพียรพยายามที่จะปกป้องผลประโยชน์ของพวกเรา  หากขาดเหลืออะไร พวกเราก็ควรขอให้พวกเขาจัดการให้  หากมีพวกเขาอยู่ใกล้ๆ พวกเราก็จะไม่ทนทุกข์กับการปฏิบัติแย่ๆ อีก”  พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ทุกคนขอบคุณพวกเขา  การปฏิบัติตนในหนทางนี้ ทำให้พวกเขาได้รับทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ แล้วเหตุใดพวกเขาจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้เล่า?  หากพวกเขาแสวงหาประโยชน์เพื่อทุกคน แต่ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นคนทำ และทุกคนกลับขอบคุณพระเจ้าและไม่มีใครรู้สึกขอบคุณพวกเขาเลย พวกเขาจะยังคงทำสิ่งนี้อยู่หรือไม่?  พวกเขาย่อมจะไม่มีอารมณ์ทำเช่นนี้อย่างแน่นอน ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาย่อมจะถูกเปิดโปง  เมื่อผู้คนเช่นนี้ทำสิ่งใดก็ตาม แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาย่อมถูกเปิดโปงอย่างหมดเปลือก  ด้วยเหตุนี้เมื่อศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนคริสตจักร ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้จะไม่มีวันทำงานจริงเพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างแน่นอน

เมื่อครู่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันว่า หลังจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทนทุกข์กับความเสียหาย การควบคุม และการถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดแล้ว ผู้นำเทียมเท็จก็จะยังปิดหูปิดตากับเรื่องนี้  พวกเขาไม่คิดหาวิธีการใดก็ตามที่จะกอบกู้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และพวกเขาก็ไม่ทำภาระผูกพันและหน้าที่รับผิดชอบของตนให้ลุล่วง  พวกเขาคำนึงถึงความรู้สึก อารมณ์ และผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น  พวกเขาไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน และไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ตนทำ แต่กลับบ่ายเบี่ยงและหลบเลี่ยงหน้าที่รับผิดชอบเหล่านั้น  หลังจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและควบคุม พวกเขาก็ถึงกับตัดสินคนเหล่านั้น กล่าวว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงและบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของตน โดยไม่รู้สึกผิดในมโนธรรมแต่อย่างใดเลย  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้น่าเกลียดชังมากที่สุด  การสำแดงประเภทต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จที่พวกเราเพิ่งหารือไปล้วนน่ารังเกียจอย่างยิ่ง แต่คนประเภทสุดท้ายนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่เลย  คนประเภทนี้เป็นสัตว์เลือดเย็น เป็นสัตว์เดรัจฉานในคราบมนุษย์ พวกเขาไม่อาจถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมวลมนุษย์ แต่ควรถูกจัดประเภทให้อยู่หมู่สัตว์เดรัจฉาน  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ทำหน้าที่รับผิดชอบของตนให้ลุล่วง?  เพราะพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลเลย  หน้าที่รับผิดชอบ ภาระผูกพัน ความรัก ความอดทน ความเห็นอกเห็นใจ การปกป้องพี่น้องชายหญิง—ในหัวใจของพวกเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่เลย พวกเขาไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้เลย  การที่พวกเขาไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่ในความเป็นมนุษย์นั้นเทียบเท่ากับการไม่มีความเป็นมนุษย์  สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จประเภทที่สี่

สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงทั้งสี่ประเภทของผู้นำเทียมเท็จที่จำเป็นต้องถูกเปิดโปงในหัวข้อหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสามของผู้นำและคนทำงาน  แน่นอนว่ามีการสำแดงอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้ว การสำแดงทั้งสี่ประเภทนี้ก็สามารถเป็นตัวแทนของการสำแดงนานาประการของผู้นำเทียมเท็จในการปฏิบัติงานนี้ รวมถึงแก่นแท้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้แล้ว  ไม่ว่าพวกเราจะจำแนกการสำแดงของพวกเขาออกเป็นกี่ประเภทก็ตาม การสำแดงที่เด่นชัดสองประการของผู้นำเทียมเท็จก็ยังคงสามารถพบได้ในสี่ประเภทนี้  ประการแรกคือการไม่ทำงานจริง และอีกประการหนึ่งคือการไม่สามารถทำงานจริงได้  สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงที่เด่นชัดสองประการของผู้นำเทียมเท็จ  ไม่ว่าความเป็นมนุษย์และขีดความสามารถของผู้นำเทียมเท็จเป็นเช่นไร และไม่ว่าพวกเขาปฏิบัติต่อความจริงอย่างไร การสำแดงสองประการนี้ย่อมปรากฏอยู่ในการสำแดงทั้งสี่ประเภทข้างต้นอยู่ดี  การสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสามของผู้นำและคนทำงานของพวกเราในเนื้อหาที่ว่าด้วยการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จในวันนี้จบลงเพียงเท่านี้

ภาคผนวก: การตอบคำถาม

พวกเจ้ามีคำถามใดหรือไม่?  (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มีเรื่องที่ต้องการถาม  ในช่วงเริ่มการชุมนุม พระเจ้าทรงถามพวกเราว่าความแตกต่างระหว่างผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์กับศัตรูของพระคริสต์ที่แท้จริงคืออะไร และลักษณะเฉพาะโดยทั่วไปของแก่นแท้ศัตรูของพระคริสต์คืออะไร  ในตอนนั้น พวกเรารู้สึกว่าความรู้สึกนึกคิดของพวกเราว่างเปล่า และหลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง พวกเราก็นึกออกเพียงคำพูดและคำสอนที่แสนเรียบง่ายบางประการเท่านั้น  ถึงตอนนี้พระเจ้าได้ทรงสามัคคีธรรมความจริงอันว่าด้วยการเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์มานานปีกว่าแล้ว แต่พวกเราสามารถเข้าใจและปฏิบัติความจริงเหล่านั้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น  เหตุผลหนึ่งก็คือ พวกเราไม่ได้ทุ่มเทความพยายามให้กับความจริงเหล่านี้ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ พวกเราพบเจอศัตรูของพระคริสต์ค่อนข้างน้อย และยังไม่เข้าใจความจริงเหล่านี้ด้วยการเห็นว่าความจริงเหล่านี้เชื่อมโยงกับสถานการณ์จริงอย่างไร  ดังนั้นแม้กระทั่งในตอนนี้พวกเราก็ยังไม่มีการเข้าสู่ความจริงเหล่านี้อย่างแท้จริง พวกเราไม่มีวิจารณญาณแยกแยะเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์มากนัก และมีการสำแดงของอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์มากมายในตัวของพวกเราที่ยังไม่ได้ระบุออกมา  ข้าพระองค์ต้องการถามว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร)  ไม่ว่าความจริงในแง่มุมใดก็ตาม เจ้าต้องมีประสบการณ์จริงและมีความรู้จากประสบการณ์อยู่บ้าง และต้องสัมฤทธิ์ความเข้าใจที่แท้จริงเพื่อให้พระวจนะแห่งความจริงจารึกลงในหัวใจของเจ้า  กระบวนการในการได้รับความจริงเป็นเช่นนี้เสมอ  สิ่งที่เจ้าจดจำได้คือสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้รับผ่านประสบการณ์ของตน สิ่งเหล่านั้นคือความประทับใจที่ลุ่มลึกที่สุด  ดังนั้นในขณะที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมหัวข้อศัตรูของพระคริสต์กันในวันนี้ เราจึงให้พวกเจ้าทบทวนเนื้อหานี้ก่อน  พวกเจ้าย่อมสามารถนึกเนื้อหาบางส่วนออก  ในสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้านึกออกนั้น บางส่วนคือสิ่งที่เป็นทฤษฎีสำหรับพวกเจ้า แต่โดยธรรมชาติแล้ว ย่อมมีการสำแดงบางอย่างของศัตรูของพระคริสต์ที่เจ้าสามารถนำมาเทียบกับชีวิตจริงได้ไม่มากก็น้อย—ทุกคนต้องมีประสบการณ์กับเรื่องนี้ในหนทางนี้  สถานการณ์ปกติสำหรับผู้คนคือไม่ว่าในขณะที่ฟังคำเทศนา พวกเขาจะดูเหมือนเข้าใจได้ดีแค่ไหนก็ตาม พวกเขาก็เข้าใจเพียงทางทฤษฎีและในแง่ของคำสอนเท่านั้น และพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับความจริงเลย  คนเราจะสามารถเข้าใจความจริงได้เมื่อใด?  เมื่อคนเรามีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้จนพวกเขาสามารถมีความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงบ้างเท่านั้น  หากไร้ซึ่งการมีประสบการณ์กับสถานการณ์จริง ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถได้รับความรู้ความเข้าใจ  ดังนั้น ขณะที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงหัวข้อของศัตรูของพระคริสต์ในวันนี้ จึงจำเป็นต้องให้พวกเจ้าทบทวนโดยสังเขป และย้ำเตือนพวกเจ้าอย่างเรียบง่าย  หลังจากนี้ ไม่ว่าพวกเราสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานหรือการสำแดงนานาประการของผู้นำเทียมเท็จ อย่างน้อยเรื่องที่สามัคคีธรรมก็จะไม่ว่างเปล่าเกินไปสำหรับพวกเจ้า—ก็เท่านั้นเอง  อย่างไรก็ตาม พวกเจ้ายังจำเป็นต้องได้รับการเปิดโปงการสำแดงนานาประการของศัตรูของพระคริสต์  บางคนกล่าวว่า “หากพระเจ้าไม่ทรงจัดการเตรียมการผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่แท้จริงไว้ให้ พวกเราจะได้รับการเปิดโปงจากที่ใด?  พวกเราไม่สามารถออกไปตามหาศัตรูของพระคริสต์ด้วยตนเองได้ใช่หรือไม่?”  เจ้าไม่จำเป็นต้องออกไปเสาะหาพวกเขา  หนทางแก้ไขที่เรียบง่ายที่สุดก็คือ เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับศัตรูของพระคริสต์ จงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเปรียบเทียบคนเหล่านั้นกับพระวจนะของพระเจ้า  จงเปรียบเทียบการเผยภายนอก คำกล่าว การกระทำ และอุปนิสัยของพวกเขา รวมไปถึงความคิดและมุมมองของพวกเขา และแม้กระทั่งวิธีวางตัวของพวกเขาและการจัดการกับโลก วิถีชีวิตของพวกเขา และอื่นๆ—กล่าวคือ จงนำสิ่งเหล่านี้ไปเปรียบเทียบกับการสำแดงสิบห้าประการของศัตรูของพระคริสต์ที่พวกเราได้หารือกันไปแล้ว  จงเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ความเข้าใจของผู้คนเป็นเช่นนี้ นั่นคือ พวกเขานึกออกได้ไม่มากนัก  เพราะความทรงจำของมนุษย์มีจำกัด  ผู้คนสามารถพูดถึงสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาได้รับผ่านการมีประสบการณ์ด้วยตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ  ไม่ว่าพวกเขาจะพูดมากมายเพียงใด สิ่งที่พูดก็ไม่ได้มาจากความจำ แต่มาจากประสบการณ์และสิ่งที่พวกเขาได้พบเจอ  สิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาได้รับมาใกล้เคียงกับความจริงและสิ่งที่เป็นจริงตามข้อเท็จจริงมากที่สุด—สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนได้รับผ่านประสบการณ์  นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว สิ่งทั้งหลายที่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ รวมถึงสิ่งทั้งหลายที่อ้างอิงจากความรู้นั้นไม่สอดคล้องกับความจริง ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะครอบครองตำแหน่งที่โดดเด่นในใจของเจ้ามากี่ปีหลังจากเข้าสู่จิตใจของเจ้าครั้งแรกก็ตาม  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้ สิ่งเหล่านี้ย่อมจะถูกทิ้งและถูกกำจัดออกไป  อย่างไรก็ตาม สิ่งทั้งหลายที่ใกล้เคียงและสอดคล้องกับความจริงซึ่งเจ้าได้รับมาจากประสบการณ์นั้น ย่อมเป็นสิ่งที่มีคุณค่า  ไม่ว่าพวกเจ้าเข้าใจคำถามที่เราถามในวันนี้อย่างถ่องแท้หรือไม่ พวกเจ้าย่อมสามารถเข้าใจหัวข้อของการแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ได้ส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะพวกเจ้าล้วนมีประสบการณ์กับการก่อกวนและการชักพาให้หลงผิดจากศัตรูของพระคริสต์  การนี้ได้มอบวิจารณญาณแยกแยะให้เจ้าอยู่บ้าง และเมื่อพวกเจ้าเผชิญกับศัตรูของพระคริสต์ที่ทำชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักร ความจริงเหล่านี้ย่อมจะเกิดผลกับพวกเจ้าได้  วจนะเหล่านี้จะเกิดผลได้ก็ต่อเมื่อเจ้าเผชิญกับสภาพแวดล้อมจริงเท่านั้น  หากเจ้าไม่มีประสบการณ์กับการถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและเอาแต่จินตนาการถึงการกระทำของพวกเขาอยู่ในใจ การนี้ย่อมไร้ประโยชน์  ไม่ว่าเจ้าจินตนาการได้ดีเพียงใด นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถแยกแยะพวกเขาได้  มีเพียงในยามที่เผชิญกับสภาพแวดล้อมจริงเท่านั้นผู้คนจึงตอบโต้โดยสัญชาตญาณ ใช้ความคิดและมุมมองของตนเอง ใช้ทฤษฎีบางอย่างที่พวกเขาเคยพบเจอ รวมถึงใช้คำสอน วิธีการ และหนทางบางอย่างที่พวกเขาได้เรียนรู้มาในการเผชิญและจัดการกับเรื่องเหล่านี้ และท้ายที่สุดก็เกิดการตัดสินใจในรูปแบบต่างๆ  แต่ก่อนที่ผู้คนจะเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ ย่อมเป็นเรื่องดีทีเดียวหากพวกเขามีความเข้าใจและความประทับใจอันบริสุทธิ์เกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆ  บางคนกล่าวว่า “การที่พระองค์ตรัสเอาไว้มากมายก่อนที่พวกเราจะเผชิญหน้ากับศัตรูของพระคริสต์นั้นมีประโยชน์อะไร?”  การนี้มีประโยชน์  วจนะที่เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์มิได้ถูกพิมพ์ไว้ในหนังสือหรอกหรือ?  วจนะเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พวกเจ้าสามารถมีประสบการณ์โดยสมบูรณ์และมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งได้ในหนึ่งหรือสองวันใช่หรือไม่?  ไม่ใช่  จุดประสงค์ของการพิมพ์วจนะลงในหนังสือเล่มนั้นคือเพื่อช่วยพวกเจ้าให้รอดและอนุญาตให้พวกเจ้าได้อ่านวจนะเหล่านี้บ่อยๆ เข้าใจความจริงเหล่านี้ รวมถึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าและได้รับเสบียงของชีวิตในยามที่เจ้าเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ในอนาคต—ไม่ว่าเป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ ความลำบากยากเย็นในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตัวเจ้าเอง หรือสิ่งใดก็ตาม  พระวจนะของพระเจ้าในหนังสือเล่มนี้เป็นต้นกำเนิดสำหรับการมีประสบการณ์และการรับมือสิ่งต่างๆ ของเจ้า และการเข้าสู่ความจริงในแง่มุมเหล่านี้  ไม่ว่าในขณะที่ฟังคำเทศนานั้นเจ้าสามารถเข้าใจได้มากเพียงใด นั่นก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความเป็นจริงมากแค่ไหน  หากเจ้าคิดไม่ออกหรือจำบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตเจ้าจะไม่มีวันมีประสบการณ์หรือไม่มีวันเข้าใจได้  โดยสรุปก็คือ พวกเจ้าต้องเข้าใจว่า มีเพียงสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนได้รับผ่านประสบการณ์และรู้จักจากพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สัมพันธ์กับความจริง  สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนจำได้และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเข้าใจอยู่ในความรู้สึกนึกคิดนั้นโดยมากแล้วไม่สัมพันธ์กับความจริง สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งที่เกี่ยวกับคำสอนเท่านั้น  เมื่อเป็นเรื่องของความจริงแล้ว สิ่งใดสำคัญที่สุด?  สิ่งสำคัญที่สุดคือประสบการณ์และการเข้าสู่  ไม่ว่าเป็นความจริงในแง่มุมใดก็ตาม เมื่อผู้คนมีประสบการณ์กับสิ่งนั้นอย่างแท้จริง ผลสุดท้ายที่พวกเขาเก็บเกี่ยวย่อมเป็นผลแห่งความจริงและเป็นเส้นทางเพื่อความอยู่รอดของตน  เพราะฉะนั้นการจำไม่ได้ย่อมไม่ใช่ปัญหา

หากเราเริ่มหารือถึงหัวข้อหลักโดยตรงตั้งแต่ช่วงต้นของการชุมนุม พวกเจ้าก็คงจะตามไม่ทันมิใช่หรือ?  ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการบางอย่างและถามพวกเจ้าเสียก่อนว่า “พวกเจ้าจำความแตกต่างระหว่างผู้มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์กับผู้มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ได้หรือไม่?”  จุดประสงค์ของเราในการถามคำถามนี้ก่อนมิใช่เพื่อทำให้พวกเจ้าตกตะลึงจนพูดไม่ออกหรือตีแผ่พวกเจ้า แต่เพื่อกระตุ้นเตือนพวกเจ้า  จากนั้นพวกเราก็ทำการทบทวน และบางคนก็ค่อยๆ จำได้ว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์ปฏิบัติต่อความจริง และความเป็นมนุษย์ของศัตรูของพระคริสต์เป็นอย่างไรไปแล้ว”  เนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ได้สร้างการรับรู้อันล้ำลึกไว้ในตัวเจ้าแล้ว เนื้อหานี้กำลังรอให้เจ้านำไปใช้ในยามที่เจ้ามีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้น เพื่อทำหน้าที่เป็นแนวทางและทิศทางสำหรับการปฏิบัติของเจ้า  แต่ก็ยังมีเนื้อหาอีกมากที่เจ้าไม่เกิดความประทับใจเลยหลังจากได้ฟังครั้งแรก  เนื้อหานี้ก็จำเป็นต้องมีประสบการณ์เช่นเดียวกัน  เมื่อเจ้าผ่านประสบการณ์เหล่านี้แล้วจึงกินดื่ม และอ่านอธิษฐานพระวจนะเหล่านี้ เจ้าก็จะได้รับมากยิ่งขึ้น  ไม่ว่าเจ้าเคยมีความประทับใจในเนื้อหานี้หรือไม่ หลังจากที่เจ้าก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว ทั้งหมดย่อมจะผสมปนเปกัน  คำสอนที่เจ้าจำได้จะกลายเป็นความเข้าใจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้า และจะเป็นสิ่งที่เจ้าได้รับหลังจากมีประสบการณ์กับคำสอนเหล่านั้น  สำหรับเนื้อหาที่เจ้ายังไม่เกิดความประทับใจ หลังจากผ่านประสบการณ์ครั้งหนึ่ง เจ้าอาจจะเกิดความประทับใจขึ้นบ้าง แต่นั่นจะเป็นเพียงความรู้ในเชิงการรับรู้เล็กน้อยเท่านั้น  ความรู้ในเชิงการรับรู้นี้สามารถอยู่ในระดับของคำสอนเท่านั้น  เจ้ายังต้องมีประสบการณ์กับสิ่งที่คล้ายกันอีกครั้งหนึ่ง และในจุดนั้นเอง สิ่งนี้จะชี้แนะเจ้า มอบทิศทางให้แก่เจ้า และมอบเส้นทางปฏิบัติให้แก่เจ้า  การมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและการมีประสบการณ์กับความจริงเป็นกระบวนการในลักษณะนี้  การที่พวกเจ้าไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเราอย่างไรเป็นเรื่องน่าอายหรือไม่?  นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเลย  หากพวกเจ้าถามคำถามเราขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เราก็จำเป็นที่จะต้องขบคิดในทันทีเช่นกัน โดยพิจารณาว่าคำถามดังกล่าวหมายถึงอะไรและเกี่ยวข้องกับความจริงในแง่มุมใด  สมองและจิตใจของมนุษย์ทำงานเช่นนี้—ทั้งสองสิ่งต้องการเวลาในการตอบสนอง  ต่อให้เป็นสิ่งที่เจ้าคุ้นเคยอย่างดี หากเจ้าไม่ได้ประสบกับสิ่งนั้นมานานหลายปี และเมื่อเจ้าพบเจออีกครั้งอย่างกะทันหัน เจ้าจะยังคงต้องการเวลาในการตอบ  ไม่ว่าเจ้ามีประสบการณ์กับบางสิ่งอย่างลึกซึ้งเพียงใด หากเจ้าเผชิญกับสิ่งนั้นอีกครั้งหลังจากที่ผ่านไปหลายวันหรือหลายปี เจ้าจะยังคงต้องการเวลาในการตอบ—นอกจากนี้ความเข้าใจของพวกเจ้าในหัวข้อศัตรูของพระคริสต์อยู่ในระดับของคำพูดและคำสอนเท่านั้น เจ้าจึงยังไม่สามารถนำสิ่งนี้มาเทียบกับศัตรูของพระคริสต์ที่เจ้าเผชิญในชีวิตจริงได้ และกล่าวได้ว่า โดยพื้นฐานแล้วเจ้ายังคงไม่สามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ได้  ดังนั้นความจริงเหล่านี้กำลังรอให้พวกเจ้ามีประสบการณ์อย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถยืนยันความจริงแท้และความถูกต้องแม่นยำของพระวจนะของพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้พวกเราได้สามัคคีธรรมกันว่า ศัตรูของพระคริสต์ดันทุรังที่จะไม่กลับใจ  สมมุติว่าเจ้าท่องจำเรื่องนี้ได้และกล่าวว่า “พระเจ้าตรัสว่าศัตรูของพระคริสต์ดันทุรังที่จะไม่กลับใจ  พวกเขาจะดื้อดึงกับพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ไปจนถึงปลายทาง  พวกเขาไม่ยอมรับความจริง และจะไม่มีวันยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  พวกเขารังเกียจความจริง”  นี่เป็นเพียงการที่เจ้าเข้าใจ ยอมรับ หรือมีความประทับใจต่อคำกล่าวนี้ในเชิงคำสอนเท่านั้น นี่เป็นเพียงความรู้ในเชิงการรับรู้เพียงเล็กน้อย  ในจิตใต้สำนึกของเจ้านั้นเจ้ารู้สึกว่าคำกล่าวนี้ถูกต้อง แต่คำพูดที่เฉพาะเจาะจงคำใดที่ศัตรูของพระคริสต์กล่าว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามประการใดที่พวกเขาเผยออกมา ธรรมชาติใดที่ขับเคลื่อนพวกเขา และอื่นๆ ที่สอดคล้องและสัมพันธ์กับพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์?  ในบรรดาสิ่งเหล่านั้น สิ่งใดสามารถแสดงให้เห็นได้ว่าการเปิดโปงของพระเจ้าเป็นไปตามข้อเท็จจริง?  การนี้พึงให้เจ้าพบกับศัตรูของพระคริสต์ด้วยตัวเอง หรือได้ยินเรื่องการกระทำและคำพูดของศัตรูของพระคริสต์จากผู้สังเกตการณ์ และท้ายที่สุดเจ้าย่อมตระหนักว่า “พระวจนะของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างยิ่งและถูกต้องโดยสมบูรณ์  คนคนนี้ถูกระบุว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์และถูกปลดหลายต่อหลายครั้ง  ถึงแม้พวกเขายังไม่ถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป การสำแดงและการเผยของพวกเขาก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย เป็นพวกดันทุรังไม่ยอมกลับใจ และไม่เพียงแต่มีอุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์เท่านั้น แต่ยังมีแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ด้วย—พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์โดยสมบูรณ์อย่างแท้จริง”  และวันหนึ่งเมื่อคนคนนี้ถูกขับไล่ เจ้าย่อมยืนยันอยู่ในหัวใจของตนว่า “พระวจนะของพระเจ้าช่างแม่นยำเหลือเกิน!  ผู้ที่มีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ผู้มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง”  คำพูดเหล่านี้หยั่งรากลงในหัวใจของเจ้า  สิ่งนี้มิใช่เพียงความจำหรือความประทับใจเพียงเล็กน้อย และนี่ก็ไม่ใช่เพียงความรู้ในเชิงของการรับรู้  แต่เจ้ากลับเข้าใจและยอมรับพระวจนะของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งว่า “ศัตรูของพระคริสต์จะไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาจะต่อต้านพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง  ไม่แปลกใจเลยที่พระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด ไม่แปลกใจเลยที่พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจในคนเหล่านั้น  ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาไม่มีวันมีความรู้แจ้งหรือความสว่างในขณะที่ทำหน้าที่ของตน และไม่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตแต่อย่างใด—พวกเขามุ่งมั่นที่จะไปตามทางของตนเอง  นี่คือศัตรูของพระคริสต์อย่างแท้จริง!”  เมื่อเจ้ายืนยันความถูกต้องของพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เจ้าก็บอกกับตนเองว่า “พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงอย่างแท้จริง  พระวจนะเหล่านี้ถูกต้องแล้ว  อาเมน!”  การที่เจ้ากล่าวอาเมนหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าได้มาเข้าใจผ่านประสบการณ์ของตนแล้วว่า พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักเกณฑ์ในการประเมินสรรพสิ่ง พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และแม้ในยามที่ยุคสมัยนี้ผ่านไปหรือมวลมนุษย์เหล่านี้จะสูญสิ้นไป พระวจนะของพระเจ้าก็จะไม่ดับสูญ  เหตุใดพระวจนะเหล่านี้จึงจะไม่สูญสลายไป?  เพราะไม่ว่าเมื่อใด แก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ถึงแม้ว่ายุคสมัยนี้จะผ่านพ้นไป ถึงแม้ว่ามวลมนุษย์ผู้เสื่อมเหล่านี้จะสูญสิ้น พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าจะเป็นความจริงของข้อเท็จจริงเสมอ—ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้  นี่คือพระวจนะของพระเจ้า!  เมื่อเจ้ารู้สึกว่า พระวจนะของพระเจ้าสอดคล้องและตรงกับข้อเท็จจริงที่เจ้าเห็นและเผชิญ และหัวใจของเจ้าได้รับการยืนยัน และนี่ไม่ใช่เพียงความรู้สึกที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าต้องถูกต้องหรือพระวจนะของพระเจ้าต้องไม่ผิด ทว่าเจ้ากลับได้เห็นและมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านี้ด้วยตนเอง เมื่อนั้นเจ้าจะกล่าวอาเมนต่อพระวจนะของพระเจ้าไปโดยธรรมชาติ  เมื่อถึงตอนนั้นหากเราถามอีกครั้งว่า “การสำแดงของผู้มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์คืออะไร?” ความเข้าใจภายในตัวเจ้าจะออกมาทันที เจ้าจะไม่เพียงแต่มีความประทับใจ วลีที่จดจำได้ หรือการตระหนักรู้หรือความรู้ในเชิงการรับรู้บางอย่างเท่านั้น  เจ้าจะกล่าวออกมาโดยทันทีว่า “ศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริงอย่างแน่นอน และไม่ยอมกลับใจโดยเด็ดขาด!”  ถึงแม้ว่าคำกล่าวนี้อาจจะไม่ได้มีโครงสร้างที่เป็นเหตุเป็นผลมากนัก ถึงแม้นี่เป็นสิ่งที่กล่าวออกมาในทันทีทันใด และผู้คนจะไม่เข้าใจในตอนแรก แต่เจ้าก็รู้ว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไรเพราะเจ้าได้มีประสบการณ์และได้เห็นสิ่งนี้ด้วยตาของเจ้าเอง  ศัตรูของพระคริสต์เป็นสิ่งชั่วช้าเช่นนี้จริงๆ—พวกเขาจะไม่มีวันกลับใจ  คำพูดเหล่านี้จำเป็นต้องมีประสบการณ์ ผู้ใดก็ตามที่ไม่มีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ย่อมจะไม่ได้รับสิ่งใดทั้งสิ้น

2 ตุลาคม ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (20)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (22)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger