หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (19)
ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและจำกัดสิ่งเหล่านั้น พร้อมทั้งแก้ไขสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น (ภาคที่เจ็ด)
ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร
หลักธรรมสำหรับจัดการคนที่มีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร
ในส่วนของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักร พวกเราได้แบ่งออกเป็นสิบเอ็ดประเด็นด้วยกัน ก่อนหน้านี้พวกเราสามัคคีธรรมถึงประเด็นที่หก—การมีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร ประเด็นนี้หมายถึงเรื่องใดเป็นหลัก? การยั่วยวนผู้อื่นโดยไม่ยั้งคิดและมีความสัมพันธ์ที่อยากในกำหนัด มีการสามัคคีธรรมถึงแง่มุมนี้ว่าอย่างไร? เมื่อมีผู้คนเช่นนี้ปรากฏตัวในคริสตจักร ควรจัดการกับพวกเขาอย่างไร? มีหนทางแก้ไขอย่างไรบ้าง? พวกเราควรทำเป็นมองไม่เห็นและปล่อยไปโดยไม่ตรวจสอบ หรือว่าควรแก้ปัญหาตามหลักธรรมความจริง? ควรหลีกเลี่ยงเรื่องนี้หรือใช้ความรักโน้มน้าวคนที่เกี่ยวข้อง? พวกเราควรสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขา หรือตักเตือนและเอาตัวพวกเขาออกไป? วิธีรับมือที่เหมาะสมที่สุดคืออะไร? (ตักเตือนและควบคุมคนที่เกี่ยวข้อง ถ้าควบคุมไม่ได้ จึงค่อยเอาตัวพวกเขาออกไป) แล้วควรควบคุมพวกเขาอย่างไร? ทำได้ง่ายหรือไม่? เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา โดยทั่วไปแล้วก็ไม่ง่ายที่จะควบคุมคนที่เกี่ยวข้อง บางคนสังเกตเห็นสถานการณ์ดังกล่าวและรู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่พวกเขาก็อายที่จะออกปากพูด บางคนอาจบอกใบ้อ้อมๆ แต่คนที่เกี่ยวข้องก็ไม่จำเป็นต้องรับฟัง ทุกคนที่สามารถยั่วยวนผู้อื่นโดยไม่ยั้งคิดนั้นมีความเป็นมนุษย์เช่นใด? ใช่คนที่มีศักดิ์ศรีและเที่ยงตรงหรือไม่? ใช่คนที่ทำตามมารยาทอันดีงามของวิสุทธิชนหรือไม่? ใช่คนที่มีศักดิ์ศรีและสำนึกละอายแก่ใจหรือไม่? (ไม่) ถ้ามีคนเอาแต่เตือนพวกเขาด้วยวาจาหรือสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาตามปกติ แล้วจะแก้ปัญหาได้หรือไม่? แก้ไม่ได้ เมื่อเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ย่อมหมายความว่าเรื่องดังกล่าวได้ก่อตัวอยู่ในหัวใจของพวกเขามานานแล้ว เมื่อถึงขั้นนั้นจะควบคุมได้ง่ายหรือไม่? การช่วยเหลือและพยายามที่จะโน้มน้าวพวกเขาอย่างเปี่ยมรักจะแก้ปัญหาได้หรือไม่? (ไม่ได้) ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคืออะไร? คือการเอาตัวผู้คนเช่นนั้นออกไป แยกพวกเขาออกจากคนที่เชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนด้วยความจริงใจ ไม่ปล่อยให้พวกเขาก่อกวนและทำร้ายผู้อื่นต่อไป
ปัจจุบันนี้ คริสตจักรบางแห่งเกิดเหตุชายหญิงเกี้ยวพานกันไม่หยุด ตราบใดที่พวกเขามีโอกาส ผู้คนเหล่านี้ก็จะยั่วยวนกัน ประพฤติตนตามอำเภอใจเป็นพิเศษและไม่มีสำนึกของความละอาย เราได้ยินเรื่องชายคนหนึ่งที่เกี้ยวพานผู้หญิงหลายคน เขาไม่ได้ขอความรักจริงจัง กลับเอาแต่เกี้ยวพานและเกาะแกะหญิงทุกคนที่ตนพบเจอโดยไม่ยั้งคิด บางคนบอกว่า “เขาก็แค่มีปฏิสัมพันธ์กันตามปกติ เพียงแต่วิธีมีปฏิสัมพันธ์ของเขาเป็นอย่างนั้น” ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมเห็นว่าการมีปฏิสัมพันธ์เช่นนั้นไม่ชวนให้เจริญใจ น่าสะอิดสะเอียน และน่าขยะแขยง เรื่องนี้เป็นปัญหามิใช่หรือ? พิสูจน์ได้หรือไม่ว่าความสัมพันธ์เช่นนั้นไม่ถูกควร? หากการคบหาดูใจกันของคนสองคนไม่เพียงส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อื่นด้วย ก็ควรห้ามปรามพวกเขา พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้คบหาดูใจกันในชีวิตคริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา เพราะเรื่องนี้ย่อมส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อื่นและเป็นผลเสียต่องานของคริสตจักร เมื่อพวกเขาสามารถจดจ่ออยู่กับหน้าที่ของตน จึงจะสามารถกลับมาทำหน้าที่ในคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาได้ บางคนก็ไม่ได้คบหาดูใจกันจริงจัง กลับเกี้ยวพานและเกาะแกะผู้อื่นโดยไม่ยั้งคิด เล่นกับความอยากในกำหนัด รบกวนชีวิตคริสตจักร ส่งผลต่ออารมณ์ของผู้คน และรบกวนผู้อื่น สถานการณ์เช่นนี้คือการรบกวนงานของคริสตจักร จึงควรแก้ไขและจัดการตามหลักธรรม ผู้คนเหล่านี้ควรถูกแยกเดี่ยวและเอาตัวออกไปให้ทันกาล ปัญหานี้จัดการได้ง่ายหรือไม่? ไม่ควรอนุญาตให้ใครก่อกวนและขัดขวางชีวิตคริสตจักรและงานของคริสตจักร และควรจัดการกับปัญหาทำนองนี้ไปตามหลักธรรม บางคนบอกว่า “ในสถานการณ์ที่จะไม่มีใครรับหน้าที่ของพวกเขาไปทำถ้าพวกเขาถูกจัดการ ก็เลยจัดการพวกเขาไม่ได้ ควรปล่อยให้พวกเขายั่วยวนคนอื่นต่อไปตามใจอยากเท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเกี้ยวพานคนอื่นอย่างไรก็ควรจะยอม” พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎเกณฑ์แบบนั้นหรือ? สามัคคีธรรมในการชุมนุมครั้งก่อนที่ว่าด้วยวิธีจัดการผู้คนดังกล่าว มีหลักธรรมเช่นนั้นหรือไม่? (ไม่มี) เมื่อเชิญสถานการณ์เช่นนั้น ผู้นำคริสตจักรและผู้ดูแลย่อมสับสนและไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร เปิดโอกาสให้ผู้คนเหล่านี้ยั่วยวนผู้อื่นในคริสตจักรกันอย่างไม่ยั้งคิด ซึ่งทำให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกอึดอัดและไร้ความเจริญใจ รู้สึกสะอิดสะเอียนอยู่ในหัวใจ แต่กลับไม่กล้าพูดออกมาและจำต้องสู้ทน ผู้นำและผู้ดูแลเชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าและงานของคริสตจักรไม่อาจขาดคนเหล่านี้ได้ ถ้าขับพวกที่ชอบยั่วยวนคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดเหล่านี้ออกไป ก็จะมีคนช่วยทำงานน้อยลง ตรรกะเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) ไม่ถูกต้องอย่างไร? (ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถทำงานได้ จิตใจของพวกเขาไม่อยู่กับงาน) พูดได้ตรงจุดทีเดียว พวกเจ้าคิดว่าผู้คนเช่นใดจึงสามารถยั่วยวนผู้อื่นได้โดยไม่ยั้งคิด? พวกเขาไม่มีความยับยั้งชั่งใจแม้แต่น้อย พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ เป็นผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาไม่เพียงไม่รักความจริง รังเกียจความจริง มีความเชื่อน้อย อายุน้อย และมีรากฐานที่ตื้นเขิน—ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ผู้ไม่มีความเชื่อที่ไม่เชื่อในพระเจ้าสามารถยั่วยวนผู้อื่นได้โดยไม่ยั้งคิดกันทุกคนหรือเปล่า? สามารถทำเรื่องไร้ศีลธรรมกันทุกคนหรือไม่? มีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังคงมีคนส่วนน้อยที่เห็นคุณค่าของความซื่อตรงและศักดิ์ศรี ใส่ใจในความมีหน้ามีตาของตนเอง และมีบรรทัดฐานในการประพฤติปฏิบัติตน คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้านี้ไม่ได้ดีไปกว่าผู้ไม่มีความเชื่อเลย ดังนั้นการเรียกพวกเขาว่าผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อนี้เกินเหตุหรือไม่? (ไม่) แม้คนเหล่านี้จะสามารถออกแรงทำงานบางอย่างในพระนิเวศของพระเจ้า แต่โดยธรรมชาติของพวกเขาแล้ว พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาไม่มีหลักธรรมในสิ่งที่ทำและประพฤติปฏิบัติตนโดยไม่มีบรรทัดฐาน ไม่มีศักดิ์ศรี และไม่มีสำนึกแห่งความละอาย ผู้ไม่มีความเชื่อถึงกับสนับสนุนแนวคิดที่ว่า “ต้นไม้ต้องมีเปลือกฉันใด ผู้คนต้องมีความภาคภูมิใจฉันนั้น” แต่ผู้คนเหล่านี้กลับไม่ต้องการรักษาความภาคภูมิใจในตนเองเอาไว้ด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะต้องการความจริงได้กระนั้นหรือ? พวกเขาจะสละเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริงได้หรือ? พวกเขาจะสามารถกระทำการในหน้าที่ของตนตามหลักธรรมได้หรือ? แน่นอนว่าไม่ได้! พวกเขาเป็นคนออกแรงทำงานโดยแท้ ผู้คนที่ออกแรงทำงานไม่มีความจริงแต่อย่างใด การลงแรงของพวกเขาขัดขวาง ก่อกวน และไม่ได้มาตรฐานของการทำหน้าที่ แม้ภายนอกจะดูเหมือนพวกเขากำลังทำหน้าที่ แต่ไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่ฟังอยู่ดี พวกเขาทำแต่สิ่งที่อยากทำ ไม่กระทำการตามหลักธรรม เวลาผู้คนเหล่านี้ฟังคำเทศนา กิริยาท่าทางและการแสดงออกของพวกเขาย่อมเปิดโปงแก่นแท้ที่เป็นผู้ไม่เชื่อของพวกเขาออกมา ผู้อื่นนั่งตัวตรง ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง แต่ผู้คนเหล่านี้รับฟังอย่างไร? บ้างก็เอนตัวพิงโต๊ะ ยืดเส้นยืดสายและหาวนอนอยู่เนืองๆ ไม่นั่งให้เรียบร้อย ดูไม่เหมือนมนุษย์มนา คนที่ดูไม่เหมือนมนุษย์มนาเป็นผู้คนเช่นใด? พวกเขาไม่ใช่มนุษย์แต่อย่างใด เพียงสวมคราบมนุษย์ไว้เท่านั้น พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเวลามองเห็น “สัตว์เลื้อยคลาน” กลุ่มนี้มาฟังคำเทศนา? ทำให้พวกเจ้าอึดอัดกันมิใช่หรือ? (ใช่) คนกลุ่มนี้ดูน่าขยะแขยง และพอมองเห็นพวกเขาก็ทำให้เราไม่อยากพูด เราพูดกับมนุษย์ ไม่ใช่กับ “สัตว์เลื้อยคลาน” ขณะทำหน้าที่ สภาวะของผู้คนที่ฟังคำเทศนากันเช่นนี้จะดีขึ้นได้หรือไม่? ยิ่งทำหน้าที่ ความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นและพวกเขาจะยิ่งเข้าใจความจริงได้อย่างชัดเจนขึ้นหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ได้! ไม่ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ของตนอย่างไร วุฒิภาวะและความเชื่อของพวกเขาก็ไม่เติบโตขึ้น พวกเขาทำทุกสิ่งตามอำเภอใจและไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจ ดำเนินชีวิตอยู่ในความกำหนัดของเนื้อหนังและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามโดยไม่มีการตระหนักรู้ การติเตียนตนเอง หรือการบ่มวินัย—พวกเขาไม่ใช่มนุษย์! สำหรับผู้คนเยี่ยงนี้ แม้ไม่คำนึงถึงเรื่องไม่ดีอื่นๆ ที่พวกเขาทำมาแล้วหรือการกระทำของพวกเขาที่ละเมิดหลักธรรมและทำร้ายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เพียงการมีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรก็มากพอที่จะเอาตัวพวกเขาออกไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่ผู้นำคริสตจักรและผู้ดูแลกลับเอาแต่เกาหัว ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร เรื่องนี้จัดการง่ายมาก เคยสามัคคีธรรมกันมาก่อนแล้ว ควรจัดการเรื่องนี้ไปตามหลักธรรม และคนที่ควรถูกเอาตัวออกไปก็พึงเอาตัวออกไปเสีย อย่าคิดมากจนเกินไป งานในพระนิเวศของพระเจ้าจะดำเนินต่อไปได้เป็นอย่างดีแม้ไม่มีพวกเขา จงบอกเราเถิดว่าถ้าใครสักคนเจอของเสียหรือมูลสุนัขที่ไหนสักแห่ง พวกเขาควรทำอย่างไร? ควรเก็บให้สะอาดทันที ถ้าไม่ทำความสะอาดให้ทันกาล แมลงวันกับยุงก็จะมากันในทันใด และผู้คนในสถานที่ดังกล่าวก็จะหาความสงบสุขไม่ได้ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เราหมายความว่าอย่างไร? (การแก้ปัญหาเรื่องการมีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรในคริสตจักร ขั้นแรกต้องชำระผู้ไม่เชื่อที่เลวทรามพวกนั้นออกไป) ใช่ เราหมายความเช่นนั้นจริงๆ หากมีผู้คนจำพวก “มูลสุนัขเน่า” อยู่ในคริสตจักร แน่นอนว่าพวกเขาย่อมดึงดูด “แมลงวันกลิ่นเหม็น” เข้ามา ด้วยการชำระมูลสุนัขที่ส่งกลิ่นนั้นออกไป แมลงวันเหล่านี้ก็จะหายไปเอง นี่คือทางแก้มิใช่หรือ? ทางแก้นี้เป็นเหตุเป็นผลหรือไม่? (เป็น) เวลาจัดการปัญหาแบบนี้ ผู้นำคริสตจักรบางคนกลับมีข้อกังวลอยู่เสมอ โดยกล่าวว่า “ถ้าพวกเราชำระคนที่ยั่วยวนคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดออกไป ก็จะมีผู้คนไว้ทำงานกันน้อยลงไม่ใช่หรือ?” นี่ใช่ปัญหาหรือไม่? (ไม่ใช่) เพราะเหตุใด? ควรแก้ไขข้อกังวลนี้อย่างไร? ต่อให้ข้อกังวลของพวกเขามีเหตุผล คิดว่าถ้าข้อกำหนดที่วางให้ผู้คนมีความเคร่งครัดเกินไปและคนที่สามารถทำงานได้ถูกชำระออกไป ก็จะไม่มีใครไว้ทำงานในส่วนนี้ แต่การหาผู้อื่นที่มีความสามารถมาแทนที่พวกเขาจะเป็นเรื่องง่ายมิใช่หรือ? (ใช่) และต่อให้หาคนมาแทนทันทีไม่ได้ ก็ยังทำงานนั้นได้ในภายหลังเมื่อพบคนที่เหมาะสม โดยที่ไม่ส่งผลต่องานในพระนิเวศของพระเจ้า พระนิเวศของพระเจ้าไม่เกื้อหนุนผู้คนที่ไม่ทำงานที่ถูกควรเหล่านี้ หากพวกเขาสามารถกลับใจและทำงานที่ถูกควรได้ พวกเขาก็สามารถทำงานนั้นๆ ต่อไปได้ แต่หากไม่กลับใจ เช่นนั้นแล้วก็ควรถอดพวกเขาออกจากการปฏิบัติหน้าที่ นี่มีเหตุอันชอบธรรมและสมเหตุสมผลมิใช่หรือ? พระนิเวศของพระเจ้าย่อมเกื้อหนุนคนออกแรงทำงานมากกว่าที่จะเกื้อหนุนผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อ หลักธรรมนี้ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) ถูกต้องอย่างไร? ต่อให้คนออกแรงทำงานไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ยังคงเต็มใจที่จะลงแรง และสามารถมานะพยายามในลักษณะที่เชื่อฟังและประพฤติตัวดีอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า แม้พวกเขาจะได้แต่ตรากตรำทำงาน แต่พวกเขาก็จงรักภักดี และอย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่คนไม่ดี เหล่านี้คือประเภทของผู้คนที่พระนิเวศของพระเจ้าย่อมรักษาเอาไว้ หากเป็นคนไม่ดีและเลวทราม มักทำเรื่องที่คดโกงและชั่วร้ายอยู่เสมอ หากพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะออกแรงทำงานให้ดีได้และไม่ใช่คนที่ได้มาตรฐานของคนออกแรงทำงาน ผู้คนเช่นนั้นย่อมเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ และพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่เก็บพวกเขาเอาไว้ ฉะนั้น การที่พระนิเวศของพระเจ้าไม่เก็บพวกเขาเอาไว้จึงไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นคนออกแรงทำงาน แต่เป็นเพราะแม้แต่แรงงานของพวกเขาก็ไม่ได้มาตรฐาน เพราะแม้แต่แรงงานของพวกเขาก็เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ นี่เป็นเพราะพวกเขาต้องการทำความชั่วและก่อให้เกิดการรบกวนอยู่เสมอ พยายามทำเรื่องคดโกงและชั่วร้ายในคริสตจักรตลอดเวลา ทำลายระเบียบงานของคริสตจักร และส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนส่วนใหญ่ พวกเขาทำให้บรรยากาศในคริสตจักรเสื่อมทรามและสร้างความเสื่อมเสียแก่พระนามของพระเจ้า—ไม่มีสิ่งใดเหมาะควรไปกว่าการชำระพวกเขาออกไปได้อีกแล้ว ที่ใดมีคนจำพวก “มูลสุนัขเน่า” ก็ควรชำระพวกเขาออกไปทันที เข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ)
XI. ครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก
วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานกันต่อ ซึ่งก็คือ “ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น” ประเด็นที่สิบเอ็ดของหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองนี้คืออะไร? (ครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก) ก่อนหน้านี้พวกเราเคยสามัคคีธรรมเรื่องการครอบงำและขัดขวางการคะแนนคัดเลือกไปบ้างแล้วตอนที่สามัคคีธรรมและเปิดโปงการสำแดงต่างๆ ของศัตรูของพระคริสต์ใช่หรือไม่? (ใช่) การจัดแจงเตรียมงานในพระนิเวศของพระเจ้ามีกฎกติกาสำหรับการลงคะแนนคัดเลือกในคริสตจักรรวมอยู่ด้วย การลงคะแนนคัดเลือกนี้สามารถจัดได้ปีละครั้ง และยังสามารถจัดให้มีการลงคะแนนคัดเลือกภายใต้รูปการณ์พิเศษบางอย่างได้อีกด้วย คริสตจักรทุกแห่งควรคัดเลือกผู้นำและคนทำงานทุกระดับตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าวางเอาไว้ กฎกติกาของการลงคะแนนคัดเลือกประกอบด้วยหลักธรรมของการลงคะแนนคัดเลือก หลักเกณฑ์ในการเลือกผู้คน วิธีการและแนวทางในการลงคะแนนคัดเลือก และเรื่องต่างๆ ที่ควรให้ความสนใจซึ่งพี่น้องชายหญิงจำเป็นต้องตระหนักรู้ในระหว่างที่มีการลงคะแนนคัดเลือก แน่นอนว่าก่อนการลงคะแนนคัดเลือกแต่ละครั้ง ผู้นำและคนทำงานทุกระดับควรสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมทุกแง่มุมของการลงคะแนนคัดเลือกเพื่อให้แน่ใจว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะสามารถเข้าใจหลักธรรมเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน ด้วยวิธีนี้ ผลการลงคะแนนคัดเลือกย่อมจะดีขึ้น วันนี้พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมถึงรายละเอียดของการลงคะแนนคัดเลือก หัวข้อหลักที่จะสามัคคีธรรมกันในวันนี้คือการสำแดงถึงการครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก
ก. การสำแดงถึงการครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก
การลงคะแนนคัดเลือกในคริสตจักรต้องทำตามหลักธรรมของการลงคะแนนคัดเลือกที่พระนิเวศของพระเจ้าวางเอาไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อคัดผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดมาเป็นผู้นำและคนทำงาน หากมีการละเมิดหลักธรรมของการลงคะแนนคัดเลือกและใช้วิธีอื่นในการลงคะแนนคัดเลือก นี่ย่อมเป็นการกระทำของผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ พระนิเวศของพระเจ้าต้องประกาศห้ามการละเมิดดังกล่าว ต้องตรวจสอบและจัดการตัวการสำคัญทั้งหลายที่ครอบงำการลงคะแนนคัดเลือก ในช่วงที่มีการลงคะแนนคัดเลือกในคริสตจักรย่อมจะเผยให้เห็นผู้คน และเปิดโปงวิธีคิดต่างๆ นานาของผู้คน บางคนวางแผนไม่ซื่อมากมายอยู่เบื้องหลังเพื่อให้ตนเองได้รับเลือกเป็นผู้นำหรือให้ผู้คนที่เป็นประโยชน์ต่อตนได้รับเลือก ตัวอย่างเช่น บางคนกลัวว่าคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะได้รับเลือกเป็นผู้นำและคุกคามสถานะของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะตัดสินผู้คนเหล่านี้ลับหลังว่าคนเหล่านี้ได้แสดงความอ่อนแอและได้ทำผิดพลาดอะไรไปแล้วบ้าง กล่าวโทษคนเหล่านี้ว่าโอหังและคิดว่าตนถูกเสมอ มีอุปนิสัยเป็นศัตรูของพระคริสต์ และอื่นๆ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะทำให้คนเหล่านี้พ่ายแพ้ในการลงคะแนนคัดเลือกทั้งสิ้น ยังมีผู้อื่นที่ซื้อหาของดีๆ มาติดสินบนผู้คนเพื่อให้ตนได้รับเลือกเป็นผู้นำในช่วงที่มีการลงคะแนนคัดเลือก หรือให้สัญญาต่างๆ ด้วยคำพูดที่ฟังเสนาะหู ทั้งยังใช้วิธีการนานัปการมายุยงและปลุกปั่นผู้อื่นให้ลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้ใครอีกด้วย ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิถีทางและวิธีการใด ก็ล้วนเป็นไปเพื่อที่จะครอบงำการลงคะแนนคัดเลือกและเปลี่ยนแปลงผลการลงคะแนนทั้งสิ้น แม้คริสตจักรจะสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมของการลงคะแนนคัดเลือกซ้ำแล้วซ้ำเล่า—เช่น ให้คัดเลือกคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดี คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และสามารถพาพี่น้องชายหญิงให้ทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ อ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ตามปกติ เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ รวมถึงหลักธรรมอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน—แต่ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่ฟังและต้องการแต่จะวางแผนไม่ซื่อเท่านั้น การวางแผนไม่ซื่อนี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าพวกเขาคิดแต่จะโกงตลอดเวลา ไม่เคยประเมินอย่างเปิดเผยว่าใครดีใครไม่ดี เอาแต่ต้องการวางแผนไม่ซื่อ ใช้กลอุบายและวิธีดำเนินการที่แยบยลอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา พวกเขาถึงกับวางแผนอยู่หลังฉากว่าควรเลือกใครและไม่ควรเลือกใคร พยายามให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน นี่คือการวางแผนไม่ซื่อมิใช่หรือ? นี่คือการโกงมิใช่หรือ? (ใช่) นี่ใช่การปกป้องการลงคะแนนคัดเลือกในทางที่เปิดเผยและโปร่งใสตามหลักธรรมความจริงหรือไม่? ไม่ใช่—พวกเขากำลังใช้กลอุบายและวิธีการของมนุษย์ในการพยายามครอบงำการลงคะแนนคัดเลือกอย่างอุกอาจ พวกเขามีจุดประสงค์ใดจึงครอบงำการลงคะแนนคัดเลือก? พวกเขาต้องการควบคุมผลการคัดเลือก ต้องการได้รับเลือกเสียเอง และหากไม่อาจได้รับเลือก เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องการเป็นคนตัดสินใจว่าใครควรได้รับเลือก ดังนั้นพวกเขาจึงวางแผนไม่ซื่ออยู่เบื้องหลัง โดยไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรหรือการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง พวกเขาไม่นึกถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิง คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น เมื่อมีการลงคะแนนคัดเลือก เจตนาและความอยากได้อยากมีของพวกเขาย่อมสำคัญที่สุด แล้วเหตุใดพวกเขาจึงต้องการครอบงำการลงคะแนนคัดเลือก? หากใครสักคนต้องการพาพี่น้องชายหญิงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและพาเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงโดยแท้ พวกเขาจะกระทำการเช่นนี้หรือไม่? พวกเขาจะมีความทะเยอทะยานเช่นนี้หรือไม่? พวกเขาจะแสดงพฤติกรรมเช่นนี้หรือไม่? พวกเขาจะไม่ทำ เฉพาะคนที่มีแรงจูงใจแอบแฝง มีความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี และต้องการครอบงำการลงคะแนนคัดเลือกในคริสตจักรเท่านั้นที่จะกระทำการเช่นนี้ พวกเขาดึงบางคนในคริสตจักรที่เข้ากับพวกเขาได้ค่อนข้างดี ร่วมทัศนะเดียวกัน มีแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายเหมือนกันมาเป็นพวก และพวกเขายังหลอกล่อบางคนที่โดยปกติแล้วอ่อนแอ ไม่ค่อยไล่ตามเสาะหาความจริงนัก เลอะเลือน ไม่รู้ความ ถูกโน้มน้าวและบงการได้ง่าย มาสร้างเป็นกองกำลังไว้ก่อกวนงานลงคะแนนคัดเลือกของคริสตจักร จุดประสงค์ที่พวกเขาต่อต้านคริสตจักรก็เพื่อให้ตนเองได้รับเลือก ให้ตนเองมีสิทธิ์ชี้ขาดผลการลงคะแนนคัดเลือก พวกเขาต้องการเลือกผู้ที่พวกเขากำหนดตัวไว้ล่วงหน้า คนที่มีประโยชน์ต่อพวกเขา หากผู้คนเหล่านี้ได้รับเลือก เช่นนั้นแผนการของพวกเขาย่อมประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ผลการลงคะแนนคัดเลือกเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง? (ไม่ถูกต้อง) ผลจะไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน พวกที่ได้รับเลือกเพราะคนชั่วใช้อุบายโกงการเลือกตั้งย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อคนชั่วอย่างแน่นอน เหตุใดพวกเขาจึงจะเป็นประโยชน์ต่อคนชั่วพวกนี้? เพราะต่อจากนั้นคนชั่วก็จะสามารถกระทำการได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องยั้งคิด ก่อความวุ่นวายในคริสตจักรได้โดยไม่มีใครกล้าเปิดโปงหรือห้ามปราม พวกเขาจะไม่ถูกเอาตัวออกไป ส่วนคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงกลับจะถูกพวกเขากีดกันและกดขี่ และคริสตจักรก็จะกลายเป็นแดนในอาณัติคนชั่ว ชัดเจนว่าท้ายที่สุดผลการลงคะแนนคัดเลือกที่ถูกคนชั่วครอบงำย่อมไม่ถูกต้องเป็นแน่ ย่อมขัดกับความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่และละเมิดหลักธรรมอย่างแน่นอน ผู้นำคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงควรตระหนักรู้และคอยระแวดระวังพฤติกรรมและการกระทำทั้งปวงของผู้คนเหล่านี้ในช่วงที่มีการลงคะแนนคัดเลือก พวกเขาไม่ควรเลอะเลือนในเรื่องนี้ เมื่อพบสัญญาณว่ามีการครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก ก็ควรดำเนินมาตรการต่างๆ ทันทีเพื่อห้ามปรามคนที่เกี่ยวข้อง และถ้าไม่อาจห้ามปรามผู้คนเหล่านี้ได้ ก็ควรถูกแยกเดี่ยวผู้คนเหล่านี้เสีย ผู้คนเหล่านี้เห่อเหิม ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ และควบคุมยากเป็นพิเศษ การที่จะขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือกและครอบงำผลลัพธ์นี้ก็แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะวางแผนไม่ซื่ออยู่เบื้องหลัง พูดจาและทำสิ่งต่างๆ มากมาย ควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้? เรื่องนี้จัดการได้ง่าย หากผู้นำคริสตจักรพบเห็นปัญหา พวกเขาก็ควรเปิดโปงและประกาศให้รู้โดยทั่วกัน ให้พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมถึงความร้ายแรงและผลสืบเนื่องของเรื่องนี้ และสามัคคีธรรมว่าธรรมชาติของการกระทำดังกล่าวแท้จริงแล้วเป็นเช่นใด ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาควรมีมาตรการบางอย่าง ควรมีมาตรการใดบ้าง? ใครก็ตามที่วางแผนไม่ซื่ออยู่เบื้องหลังเสมอ พยายามครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก ควรถูกจัดการโดยไม่ไว้หน้าและห้ามมีส่วนร่วมในการลงคะแนนคัดเลือก นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่ให้นับรวมคะแนนเสียงของพวกเขา ไม่ว่าจะมีสักกี่คนที่เกี่ยวข้องกับการครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก คะแนนเสียงของพวกเขาทุกคนก็ควรเป็นโมฆะ และไม่ควรอนุญาตให้มีส่วนร่วมในการลงคะแนนคัดเลือก ไม่ว่าคนที่ถูกชักพาให้หลงผิดและถูกรบกวนนี้จะเป็นใครก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาได้ทำตามวิธีการของคนที่ครอบงำการลงคะแนนคัดเลือกและสมรู้ร่วมคิดกับคนชั่วเพื่อจงใจทำลายการลงคะแนนคัดเลือก ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ควรลุกขึ้นมาเปิดโปงพวกเขาและเพิกถอนสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมกับการลงคะแนนคัดเลือกของพวกเขา แนวทางนี้ดีหรือไม่? (ดี) เป็นการทำไปเพื่อปกป้องงานของคริสตจักรทั้งสิ้น เจ้าไม่ยอมรับการห้ามปรามมิใช่หรือ? เจ้าไม่ยอมรับหลักธรรมของการลงคะแนนคัดเลือกในพระนิเวศของพระเจ้ามิใช่หรือ? เจ้าต้องการมีสิทธิ์ชี้ขาดใช่หรือไม่? หากเจ้ามีสิทธิ์ชี้ขาด ก็ย่อมเป็นซาตานที่มีสิทธิ์ชี้ขาด พระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรเป็นสถานที่ที่มีความจริงเป็นใหญ่ ซาตานไม่อาจได้รับอนุญาตให้ตัดสินชี้ขาดได้ ในเมื่อเจ้าต้องการวางแผนไม่ซื่อ จงใจครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือกครั้งนี้ เช่นนั้นก็ง่าย—ให้คะแนนเสียงของเจ้าเป็นโมฆะไปเสีย ไม่ว่าเจ้าจะลงคะแนนให้ใครก็เปล่าประโยชน์ ความคิดเห็นของเจ้าล้วนไม่เป็นผล และต่อให้เจ้ายืนกรานที่จะลงสมัครรับคัดเลือก นั่นก็จะไม่ได้ผล พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎการปกครองและข้อบังคับ และสิทธิ์ของเจ้าที่จะมีส่วนร่วมในการลงคะแนนคัดเลือกย่อมถูกริบและเพิกถอนไปแล้ว หากเจ้ายังคงก่อกวนการลงคะแนนคัดเลือกครั้งต่อไป เช่นนั้นแล้วสิทธิ์ของเจ้าที่จะมีส่วนร่วมในการลงคะแนนคัดเลือกก็จะถูกเพิกถอนอย่างถาวร เจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมอีกอย่างเด็ดขาด คนที่วางแผนไม่ซื่อเพื่อครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือกอยู่เสมอควรถูกจัดการเช่นนี้
เมื่อใดที่มีการลงคะแนนคัดเลือกในคริสตจักร ย่อมมีคนชั่วบางคนที่เริ่มอยู่ไม่สุขมากขึ้น บางคนก็วางแผนไม่ซื่ออยู่หลังฉาก พยายามครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก ขณะที่บางคนก็กระตือรือร้นที่จะแข่งขันชิงตำแหน่งผู้นำกับผู้อื่นอย่างเปิดเผย ทุ่มเถียงจนหน้าดำหน้าแดง ถึงขั้นจวนเจียนจะกระทำการอย่างหุนหันพลันแล่น ใช้ความรุนแรง และต่อยตีกัน ทำให้พี่น้องชายหญิงไม่แน่ใจว่าจะฟังหรือจะเลือกใคร ในช่วงที่มีการลงคะแนนคัดเลือก พวกเขาก็ไม่สามัคคีธรรมความจริง และไม่หารือว่าตนจะดำเนินงานของคริสตจักรอย่างไร จะมีเส้นทางในการทำงานเช่นใด หรือจะนำเสนอแนวคิดและแผนงานเช่นไรหากได้รับเลือกเป็นผู้นำ แต่กลับยืนกรานที่จะโจมตีและเปิดโปงข้อบกพร่องของผู้สมัครคนอื่นให้ได้ พลางดึงคนกลุ่มหนึ่งเข้าเป็นพวกเพื่อร่วมกันต่อต้านอีกฝ่าย ก่อให้เกิดสถานการณ์แตกแยกในคริสตจักรอีกด้วย การลงคะแนนคัดเลือกแบบนั้นจะกลายเป็นเช่นใด? กลายเป็นสิ่งที่แบ่งแยกคริสตจักร คริสตจักรแตกแยกไปเรียบร้อยแล้วก่อนที่ผลการลงคะแนนคัดเลือกจะออกมาเสียด้วยซ้ำ นี่คือปรากฏการณ์ที่ควรเกิดขึ้นในช่วงที่คริสตจักรมีการลงคะแนนคัดเลือกหรือไม่? เป็นปรากฏการณ์ที่ปกติหรือไม่? ไม่ใช่ หากเจ้าต้องการเป็นผู้นำและเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถบางอย่าง มีสำนึกในภาระ และมีคุณสมบัติที่จะทำงานนี้ เจ้าก็สามารถเข้าร่วมรับการคัดเลือกตามหลักธรรมในพระนิเวศของพระเจ้า แน่นอนว่าเจ้าย่อมสามารถแสดงจุดแข็งและคุณความดีของเจ้า สามัคคีธรรมถึงความเข้าใจและประสบการณ์ของเจ้าได้อีกด้วย เพื่อที่พี่น้องชายหญิงจะได้เชื่อมั่นและไว้วางใจให้เจ้ารับผิดชอบงานของผู้นำคริสตจักร อย่างไรก็ดี เจ้าไม่ควรสัมฤทธิ์จุดหมายที่จะได้รับเลือกของตนด้วยการเล่นงานผู้อื่น เพราะวิธีนี้สามารถชักพาให้ผู้คนหลงผิดและก่อให้เกิดผลสืบเนื่องที่เป็นลบได้ง่าย พี่น้องชายหญิงที่ด้อยวุฒิภาวะและไม่มีวิจารณญาณแยะแยะสามารถถูกเจ้าชักพาให้หลงผิดได้ง่าย และย่อมจะไม่รู้ว่าควรเลือกใคร ส่วนคริสตจักรก็อาจตกอยู่ในความอลหม่านและเต็มไปด้วยความแตกแยกได้เช่นกัน นั่นจะเป็นการเปิดช่องให้ซาตานใช้หาประโยชน์มิใช่หรือ? สรุปแล้ว การเข้าร่วมกับการลงคะแนนคัดเลือกโดยไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม มีความทะเยอทะยาน มีความอยากได้อยากมี และใช้วิถีทางที่น่าดูหมิ่นเพื่อสัมฤทธิ์จุดหมายในการให้ตนได้รับเลือกอยู่เสมอ ล้วนมีธรรมชาติของการครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกควรในการเข้ารับการคัดเลือกทั้งสิ้น แน่นอนว่าบางคนก็มีพฤติกรรมที่ถูกควรซึ่งควรแยกออกจากกรณีนี้ ตัวอย่างเช่น หากผู้เข้ารับการคัดเลือกสามัคคีธรรมว่าทำอย่างไรจึงจะทำงานต่างๆ ของคริสตจักรให้ดีได้ เช่น งานข่าวประเสริฐ งานข้อเขียน และงานกิจการทั่วไป หรือจะปรับปรุงชีวิตคริสตจักรให้ดีขึ้น และแก้ไขความยุ่งยากในการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างไร และอื่นๆ ทั้งหมดนี้ถูกควรทั้งสิ้น การแสดงทัศนคติและความเข้าใจของตนอย่างถูกควร แบ่งปันความคิดและแผนการของตนเกี่ยวกับงานของคริสตจักร เป็นต้น—ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำพูดและพฤติกรรมที่ปกติ สอดคล้องกับหลักธรรมของการลงคะแนนคัดเลือกที่คริสตจักรวางเอาไว้ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ผู้คนควรให้ความสนใจในพฤติกรรมที่ไม่ถูกควรซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนเป็นพิเศษในช่วงที่มีการลงคะแนนคัดเลือก ผู้คนจำเป็นต้องตื่นตัวและใช้วิจารณญาณแยกแยะเรื่องเหล่านี้—จงอย่าประมาท
บางคนมักจะเอ่ยอ้างว่างานยุ่ง มีปัญหาครอบครัวมากมาย หรือมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เพื่อที่จะไม่ทำหน้าที่ของตนและไม่เข้าร่วมชีวิตคริสตจักร อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเวลาคัดเลือกผู้นำคริสตจักร ความลำบากยากเย็นเหล่านี้กลับหมดไปในทันที และพวกเขาก็แต่งตัวอย่างพิถีพิถันสำหรับวาระดังกล่าว และมามีส่วนร่วมในการลงคะแนนคัดเลือก พวกเขาไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นมานานแล้ว แต่พอได้ยินข่าวใหญ่ว่าคริสตจักรมีการลงคะแนนคัดเลือก พวกเขาก็รีบรุดมาอย่างกระตือรือร้น พวกเขามาทำอะไร? มารับการคัดเลือก มาเพื่อตำแหน่งผู้นำคริสตจักร เพื่อ “ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ” นี้ ผู้คนเช่นนี้มีความหลักแหลมในการกระทำของตนเป็นพิเศษ เพราะกลัวผู้อื่นจะระแวงว่าตนต้องการเป็นผู้นำคริสตจักร พวกเขาจึงเลี่ยงไม่เอ่ยถึงการลงคะแนนคัดเลือก แล้วมุ่งเน้นการสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจและประสบการณ์ของตนเท่านั้นเพื่อทำให้ผู้คนชื่นชม พวกเขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าต่อหน้าสาธารณชน นำทุกคนสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า และแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ของตนเองอีกด้วย ในความเป็นจริง โดยทั่วไปแล้วพวกเขาแทบจะไม่เข้าร่วมชีวิตคริสตจักรและแทบจะไม่สามัคคีธรรมความจริง อีกทั้งไม่สามารถพูดถึงความเข้าใจที่ได้จากประสบการณ์ใดๆ อย่างไรก็ดี เมื่อการลงคะแนนคัดเลือกใกล้เข้ามา พวกเขากลับต่างไปจากเดิมมาก เข้าร่วมชีวิตคริสตจักรอย่างแข็งขันและกระตือรือร้นที่จะอธิษฐาน ร้องเพลงนมัสการ และสามัคคีธรรม ดูมีแรงผลักดันกับความกระตือรือร้นเป็นพิเศษและโดดเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หลังการชุมนุมต่างๆ พวกเขาก็หาโอกาสพูดคุยกับพี่น้องชายหญิงเรื่องครอบครัว พร้อมทั้งสร้างความสัมพันธ์ เมื่อพบผู้นำคริสตจักร พวกเขาก็กล่าวว่า “ช่วงนี้คุณดูไม่ค่อยสดใสเลย ฉันมีอินทผลัมอยู่ที่บ้าน ไว้จะเอามาให้คุณบ้าง” เมื่อพบหน้าพี่น้องหญิงบางคน พวกเขาก็พูดว่า “ได้ยินมาว่าครอบครัวของคุณกำลังประสบความยุ่งยากทางการเงิน คุณต้องการความช่วยเหลือบ้างหรือไม่? ฉันพอจะให้เสื้อผ้าคุณได้บ้าง” ทุกครั้งที่ชุมนุมกัน พวกเขาก็แข็งขันเป็นพิเศษ แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ที่ผ่านมาพวกเขาจะมาปรากฏตัวเป็นครั้งคราวเพื่อรายงานตัวเท่านั้น และไม่ว่าใครจะเรียกพวกเขาเข้าชุมนุม พวกเขาก็จะขอตัวโดยอ้างว่างานยุ่ง แต่ในช่วงที่มีการลงคะแนนคัดเลือก พวกเขาก็โผล่หน้ามาทันทีและเข้าร่วมทุกการชุมนุมโดยไม่พลาดเลยสักครั้ง ในการชุมนุมแต่ละครั้ง พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมเรื่องต่างๆ และหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงคะแนนคัดเลือก แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน ในช่วงเวลานี้พวกเขาพยายามทำทุกทางเพื่อที่จะสร้างสัมพันธภาพอันดีกับพี่น้องชายหญิง เพียรดึงพี่น้องส่วนหนึ่งเข้ามาเป็นพวก พวกเขาถึงกับถวายของมากมายต่อหน้าพี่น้องชายหญิง ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกแปลกใจ พลางคิดว่า “พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานแล้ว แต่พวกเราไม่เคยเห็นพวกเขาถวายของมาก่อนเลย ทำไมคราวนี้พวกเขาถึงใจกว้างขนาดนี้? พวกเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นและกลับตัวแล้วจริงๆ หรือ?” บางคนที่เบาปัญญา ไม่รู้ความ และไม่อาจประเมินเรื่องราวได้ย่อมคิดไปว่าคนคนนี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้วโดยแท้ เมื่อก่อนตนมองคนคนนี้ผิดไป แล้วก็เกิดความประทับใจต่ออีกฝ่ายอยู่ในหัวใจโดยไม่รู้ตัว โดยคิดว่า “ครอบครัวของคนคนนี้มีฐานะดี พวกเขามีเส้นสายและเข้าถึงช่องทางที่จะทำเรื่องต่างๆ ได้ ถ้าพวกเขาได้เป็นผู้นำคริสตจักร ย่อมจะสามารถทำเรื่องมากมายให้คริสตจักรได้ นี่ย่อมจะช่วยคริสตจักรของพวกเราในการประกาศข่าวประเสริฐและเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงบางคนที่กำลังถูกไล่ล่าและประสบความยากลำบากอยู่ไม่ใช่หรือ? ถ้าพวกเขายังคงแข็งขันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็คงจะดีมาก แต่ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะทำได้ตลอดรอดฝั่งหรือเต็มใจที่จะเป็นผู้นำคริสตจักรของพวกเราหรือไม่” บางคนหลงผิดและถูกหลอกไปแล้วมิใช่หรือ? ทุกสิ่งที่คนคนนี้ทำลงไปเริ่มให้ผลแล้วมิใช่หรือ? ชิ้นส่วนต่างๆ กำลังเข้าที่เข้าทางและจะให้ผลในไม่ช้า นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องการมิใช่หรือ? (ใช่) นอกจากนี้พวกเขายังมอบเสื้อผ้าสองชุดแก่คนคนหนึ่ง ผักหนึ่งตะกร้าให้กับอีกคน และยังให้อาหารเสริมสุขภาพแก่อีกคนด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้รับการดูแลเอาใจใส่ นี่ทำให้ผู้คนคิดว่า “ถ้าคนคนนี้ได้เป็นผู้นำคริสตจักร ย่อมจะเป็นผู้เลี้ยงที่ยอดเยี่ยมไม่ใช่หรือ? พวกเขาคือผู้ที่คนส่วนใหญ่ต้องการพึ่งพาไม่ใช่หรือ?” ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สุกงอมแล้วไม่ใช่หรือ? พี่น้องชายหญิงย่อมจะเลือกคนเช่นนี้โดยง่ายใช่หรือไม่? คนคนนี้มีการศึกษา พูดจาฉะฉาน และมีสถานะบางอย่างในสังคม หากคริสตจักรเผชิญการจับกุม พวกเขาย่อมเป็นโล่ปกป้องพี่น้องชายหญิงได้ หากครอบครัวของพี่น้องชายหญิงคนใดมีความยากลำบาก พวกเขาก็สามารถยื่นมือช่วยเหลือได้ และยังสามารถช่วยงานของคริสตจักรยามที่ต้องการแรงคนมากขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ดี มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มั่นใจ นั่นคือ “พวกเขาไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริง และแทบไม่เข้าชุมนุมมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ตอนนี้ เมื่อถึงเวลาลงคะแนนคัดเลือก พวกเขาก็รีบมาร่วมชุมนุมบ้าง ถ้าพวกเขาได้รับเลือกเป็นผู้นำ พวกเขาจะเข้าใจความจริงหรือเปล่า? ถ้าพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและทำได้เพียงปกป้องผู้คนเหล่านี้หรือทำประโยชน์ให้ผู้คนเหล่านี้ได้บ้าง แล้วพวกเขาจะช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงได้หรือไม่? พวกเขาจะพาผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่? เรื่องนี้น่าสงสัย” บางคนมีความสงสัยอยู่ในหัวใจ ขณะที่ผู้อื่นถูกผลประโยชน์ที่ได้จากคนคนนี้ชักจูงและซื้อตัวไปแล้ว สถานการณ์เช่นนี้อันตรายมากมิใช่หรือ? คะแนนเสียงเพียงเสียงเดียวก็สร้างความแตกต่างในการได้รับเลือกของพวกเขาได้ ไม่ว่าในท้ายที่สุดผลการลงคะแนนคัดเลือกจะเป็นเช่นใด การกระทำและพฤติกรรมของผู้คนดังกล่าวนี้ถูกควรหรือไม่? (ไม่) พวกเขาบริจาค ถวายของ และช่วยพี่น้องชายหญิงแก้ไขความยุ่งยากบางอย่างที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาที่ถูกจังหวะที่สุด เมื่อพี่น้องชายหญิงบางคนย้ายบ้าน พวกเขาก็จัดเตรียมพาหนะขนย้าย และเมื่อครอบครัวของพี่น้องชายหญิงบางคนขัดสนเรื่องเงิน พวกเขาก็ให้หยิบยืม บางคนไม่มีโทรศัพท์มือถือ พวกเขาก็ซื้อให้เครื่องหนึ่ง และเมื่อบางคนไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ พวกเขาก็ยกเครื่องของตนเองให้… พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ในช่วงเวลาที่ถูกจังหวะที่สุด เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่ง นี่เป็นพฤติกรรมเช่นใด? การทำสิ่งเหล่านี้ด้วยเจตนาที่จะแข่งขันชิงตำแหน่งผู้นำ มีความลับและจุดประสงค์ที่ไม่อาจเอ่ยได้ นี่คือการครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือกมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาไม่ก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ แต่กลับปรากฏตัวในเวลาที่มีการลงคะแนนคัดเลือกผู้นำพอดี พวกเขาย่อมมีความลับที่ไม่อาจเอ่ยถึงมิใช่หรือ? เรื่องนี้ไม่อาจชัดเจนไปกว่านี้ได้อีกแล้ว พวกเขาต้องเก็บงำความลับที่ไม่อาจเอ่ยได้เอาไว้ ไม่ใช่ว่าพวกเขามีมโนธรรมขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วนและต้องการทำความดีบางอย่าง จุดหมายของพวกเขาคือการลงสมัครชิงตำแหน่งผู้นำคริสตจักร เป็นคนกำกับดูแลคริสตจักร คอยบงการคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาต้องการบงการประชากรเหล่านี้เพื่อให้ตนเองสามารถทำสิ่งต่างๆ เพื่อประชากรเหล่านี้ได้อย่างแท้จริงใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นพวกเขาต้องการทำอะไร? ต้องการควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ควบคุมคริสตจักร และสร้างสถานะในคริสตจักรเพื่อให้พวกเขาสามารถทำตัวเป็นผู้มีตำแหน่งเป็นทางการและมีอำนาจสั่งการได้ วิธีการและแนวปฏิบัติที่ผิดปกติเหล่านี้นับเป็นการครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือกมิใช่หรือ? (ใช่)
ในช่วงที่มีการลงคะแนนคัดเลือกในคริสตจักร บางคนที่กลัวว่าตนจะไม่ได้คะแนนเสียงมากพอย่อมลงคะแนนให้ตนเองด้วย เรื่องนี้ฟังดูน่าขันและแปลกประหลาดมิใช่หรือ? ธรรมชาติของคนที่ลงคะแนนให้ตนเองเป็นเช่นไร? เป็นการสำแดงถึงการขาดความมั่นใจ ไร้ยางอาย หรือทะเยอทะยานเกินขอบเขตหรือไม่? เป็นทั้งหมดนี้ พวกเขากลัวว่าจะไม่ได้รับเลือก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลงคะแนนให้ตนเอง—นี่คือการขาดความมั่นใจ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่พึงมี แต่ก็ยังต้องการเป็นผู้นำ เมื่อกลัวว่าคนอื่นจะไม่ลงคะแนนให้ตน พวกเขาจึงลงคะแนนให้ตัวเอง นี่คือการไร้ยางอายมิใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ความทะเยอทะยานจนเกินขอบเขตของพวกเขาก็บดบังดุลยพินิจของตนเองถึงขั้นที่พวกเขาโยนความหยิ่งทะนงทิ้งไปและกลายเป็นคนที่ไร้ซึ่งความซื่อตรงและศักดิ์ศรี โดยคิดว่า “ฉันไม่ยอมแน่ถ้าคุณไม่ลงคะแนนให้ฉัน ฉันต้องได้เป็นผู้นำคริสตจักร ถ้าฉันเป็นผู้นำไม่ได้ ฉันก็จะไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป!” พวกเขายืนกรานที่จะเป็นผู้นำ ยืนกรานที่จะทำตัวเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐ รู้สึกสบายใจและพอใจในชีวิตเฉพาะเมื่อตนมีสถานะเท่านั้น—ช่างมีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีอันแรงกล้าเหลือเกิน! พวกเขาทะนุถนอมสถานะมากเกินไป เชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อที่จะเป็นผู้นำเท่านั้น การเป็นผู้นำมีสิ่งใดยิ่งใหญ่นักหนา? หากเจ้าไม่ให้ค่าผลประโยชน์ที่มากับสถานะและไม่เพลิดเพลินกับสิทธิพิเศษทั้งปวงที่สถานะนำมาให้ เจ้าจะยังละโมบตำแหน่งนี้หรือไม่? เจ้าจะยังคงลงคะแนนให้ตัวเองหรือไม่? เจ้าจะยังคงมีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีมากมายขนาดนั้นหรือไม่? เจ้าจะยังหวงแหนสถานะปานนั้นหรือไม่? ไม่ ผู้คนเช่นนี้ต้องการทุ่มเทความพยายามและแทรกแซงการลงคะแนนคัดเลือกอยู่เสมอ หันไปใช้การกระทำที่ไม่ซื่อ แม้พวกเขาเองจะรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นน่าอับอาย ไม่เปิดเผยหรือโปร่งใส และค่อนข้างเสื่อมเสีย แต่หลังจากที่พิจารณาดูแล้ว พวกเขากลับคิดว่า “ช่างปะไร สิ่งสำคัญคือการได้รับเลือกเป็นผู้นำ!” นี่คือความไร้ยางอาย พวกเขาถึงกับอยากเลียนแบบวิธีโต้วาทีที่ประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายใช้ในการเลือกตั้ง โดยที่ผู้สมัครเปิดโปงข้อเสียของกันและกัน ตัดสินและโจมตีกัน ต่อล้อต่อเถียงกัน โดยเอากลวิธีเหล่านี้มาปรับใช้กับการลงคะแนนคัดเลือกในคริสตจักร—นี่เป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงมิใช่หรือ? นี่ไม่ใช่เวทีที่เหมาะสมกับการใช้กลวิธีดังกล่าวมิใช่หรือ? หากเจ้ามาที่คริสตจักรเพื่อทำเรื่องคดโกงและต่ำทรามพวกนี้ พยายามครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก เราบอกเจ้าได้เลยว่าเจ้าเลือกผิดที่แล้ว! นี่คือพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ใช่สังคม ทุกคนที่ครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือกย่อมจะถูกกล่าวโทษโดยไม่มีการยกเว้น ในคริสตจักรนี้ไม่ว่าจะใช้เหตุผล ข้ออ้าง หรือวิธีการใดในการพยายามครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก ย่อมไม่อาจยอมรับได้ทั้งสิ้น และนี่ก็คือการทำชั่วอย่างหนึ่ง—เป็นการทำชั่วตลอดไป! ทุกคนที่พยายามครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือกย่อมถูกกล่าวโทษ ผู้คนเยี่ยงนั้นไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิง แต่กลับถูกระบุว่าเป็นข้ารับใช้ของซาตาน ข้ารับใช้ของซาตานทำเรื่องประเภทใดบ้าง? พวกเขาเชี่ยวชาญในการทำเรื่องสารพัดรูปแบบที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติในคริสตจักร คนที่ครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือกย่อมมีบทบาทที่เป็นลบ ทำสิ่งที่ข้ารับใช้ของซาตานทำ ไม่ว่าคริสตจักรจะทำงานใด ผู้คนเหล่านี้ก็ลุกขึ้นมาขัดขวางและทำลายงานนั้น ไม่สนใจการจัดการเตรียมงานและข้อบังคับในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่สนใจกฎการปกครองของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สนใจพระเจ้าอีกด้วย พวกเขาพยายามทำทุกสิ่งที่ตนต้องการในพระนิเวศของพระเจ้า ครอบงำกิจการต่างๆ ของคริสตจักร และที่หนักข้อกว่านั้นก็คือครอบงำสมาชิกคริสตจักร ทั้งยังไปไกลถึงขั้นครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือกอีกด้วย พวกเขาพยายามครอบงำบุคลากรของคริสตจักรด้วยวิธีการใด? พวกเขามองหาโอกาสครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก เมื่อการลงคะแนนคัดเลือกถูกข้ารับใช้เหล่านี้ของซาตานครอบงำและขัดขวาง การลงคะแนนคัดเลือกนั้นๆ ย่อมล้มเหลว หากข้ารับใช้ของซาตานได้ในสิ่งที่ตนต้องการและกลายเป็นผู้นำคริสตจักร ผลการคัดเลือกนั้นจะถูกต้องหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ถูกต้อง ควรจัดให้ลงคะแนนคัดเลือกกันใหม่โดยสามัคคีธรรมความจริงและสรุปบทเรียนที่ได้เรียนรู้มา
ข. หลักธรรมในการจัดการคนชั่วที่ครอบงำการลงคะแนนคัดเลือก
เมื่อเกิดกรณีที่คนชั่วครอบงำการลงคะแนนคัดเลือก ก็จำเป็นต้องจัดให้มีการลงคะแนนคัดเลือกกันใหม่ ควรปฏิบัติอย่างไรในเรื่องนี้? (ควรยกเลิกผลการคัดเลือกและจัดให้มีการลงคะแนนคัดเลือกใหม่อีกครั้ง) นี่เป็นหนทางหนึ่ง ควรเปิดเผยและแจ้งข้อมูลเบื้องลึกให้รู้ทั่วกันว่าการลงคะแนนคัดเลือกครั้งนี้ถูกคนชั่วครอบงำอย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนรู้ว่ากระบวนการลงคะแนนคัดเลือกที่ผ่านมาเป็นเช่นไรและก่อให้เกิดผลนั้นๆ ได้อย่างไร หลังจากที่รู้ข้อมูลเบื้องลึกโดยทั่วกันแล้ว ก็ควรยกเลิกผลการคัดเลือกนั้น และควรจัดให้มีการลงคะแนนคัดเลือกใหม่ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรส่วนใหญ่ต้องไม่เห็นชอบกับการลงคะแนนคัดเลือกดังกล่าว ไม่ว่าใครจะได้รับเลือกก็ไม่สำคัญ—ไม่อาจยอมรับผลนั้นๆ ได้ ภายใต้รูปการณ์ปกติสามารถปฏิเสธผลการคัดเลือกและจัดให้ลงคะแนนคัดเลือกใหม่ได้โดยผ่านการสามัคคีธรรมความจริงและเปิดโปงเรื่องราวเบื้องลึก แต่บางครั้งในรูปการณ์พิเศษบางอย่าง ต่อให้มีผู้คนเพียงส่วนน้อยพบว่าผลการลงคะแนนคัดเลือกถูกข้ารับใช้ของซาตานครอบงำ และแน่นอนว่าคนที่ได้รับเลือกก็ไม่สามารถทำงานได้จริง เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น แต่ด้วยเหตุที่ผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรถูกคนชั่วชักพาให้หลงผิดและยังคงยืนอยู่ฝ่ายข้ารับใช้ของซาตาน ขณะที่มีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พอจะมีวิจารณญาณแยกแยะและรู้ข้อมูลเบื้องลึก—และไม่มีใครเชื่อหรือรับฟังคนส่วนน้อยเมื่อพวกเขาเอ่ยปากพูด—พวกเขาจึงโดดเดี่ยว ไร้อำนาจ และโดยพื้นฐานแล้วก็ไม่มีกำลังที่จะพลิกสถานการณ์ได้ ในรูปการณ์ดังกล่าว เจ้าอาจจะต้องการเปิดโปงเรื่องราวเบื้องหลังการครอบงำการลงคะแนนคัดเลือก แต่ก็ไม่ง่ายที่จะเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน ในกรณีนั้น นอกจากรายงานเรื่องไปยังผู้นำและคนทำงานระดับสูงขึ้นไปแล้ว พวกเจ้ายังทำสิ่งใดได้อีก? หากเจ้าใช้ชีวิตคริสตจักรต่อไป ก็ย่อมจะถูกกีดกัน การเข้าชุมนุมที่คริสตจักรอื่นก็ดูไม่เหมาะสม เพราะผู้คนที่นั่นไม่สามารถเป็นเจ้าภาพรับรองคนแปลกหน้าแบบส่งเดชได้ นี่ทำให้เจ้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างแท้จริง! เจ้ามองเห็นว่าผู้นำคริสตจักรที่ได้รับเลือกมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี เป็นมารตนหนึ่ง และไม่ใช่คนที่ควรได้รับเลือก ดังนั้นแค่เห็นหน้าพวกเขา เจ้าก็โมโหแล้ว การไปชุมนุมทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัด แต่จะไม่ไปก็ไม่ได้ หากเจ้าไม่ไปและตัดสายสัมพันธ์ที่มีกับคริสตจักร เจ้าจะสูญเสียชีวิตคริสตจักร ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้ แล้วมีทางออกที่ดีสำหรับปัญหานี้บ้างหรือไม่? เรื่องนี้ต้องใช้ปัญญา หากเจ้าวู่วามเปิดโปงพวกเขา ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด? ผู้คนเหล่านี้อาจรวมตัวกันกดขี่เจ้า ผลักไสเจ้าออกไป หรือหากสิ่งต่างๆ ดำเนินไปในทางที่ไม่ดีจริงๆ พวกเขาอาจถึงขั้นเอาตัวเจ้าออกไป ทำให้เจ้าเป็นเหยื่อของความอยุติธรรม นี่คือผลสืบเนื่องที่มีแนวโน้มจะเป็นไปได้ที่สุด แล้วทางแก้ที่ดีที่สุดคืออะไร? (ผนึกกำลังกับพี่น้องชายหญิงบางคนที่มีวิจารณญาณและรวบรวมหลักฐานการทำชั่วทั้งหมดที่ผู้คนเหล่านี้แอบครอบงำการลงคะแนนคัดเลือก รายงานผู้นำและคนทำงานระดับสูงขึ้นไป และรีบสามัคคีธรรมความจริงกับพี่น้องชายหญิงที่ถูกชักพาให้หลงผิดเพื่อนำพวกเขากลับคืนมาด้วย) นี่ถือว่าเป็นทางแก้ที่ดีหรือไม่? เหมาะสมหรือไม่หากจะรีบร้อนทำเรื่องดังกล่าว? ผลที่ตามมาของการรีบร้อนคืออะไร? (ทำให้ศัตรูไหวตัวได้ง่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ) เมื่อพบเจอเรื่องแบบนี้ พวกเจ้ากลัวหรือกระวนกระวายหรือไม่? เจ้าควรกลัวหรือกระวนกระวายหรือไม่? (ไม่ควร) ในทางทฤษฎีแล้ว เจ้าไม่ควรกลัว—ความมีเหตุผลของเจ้าจะบอกเจ้าเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริง ผู้คนจะเป็นเช่นไร? สิ่งสำคัญที่สุดก็คือผู้คนเข้าใจความจริงหรือไม่ หากผู้คนไม่เข้าใจความจริงและมีแต่ความแน่วแน่เพียงอย่างเดียว ในใจของพวกเขาจะยังคงหวาดกลัวอยู่ดี เมื่อเจ้ากลัว ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดหรือทำสิ่งนั้นอย่างไร เจ้าจะสัมฤทธิ์ผลได้ง่ายหรือไม่? (ไม่) เมื่อเจ้ากลัว เจ้าจะอยู่ในสภาวะเช่นใด? เจ้าย่อมกลัวอำนาจของผู้คนเหล่านี้ กลัวว่าพวกเขาจะรู้เข้าว่าเจ้ามองพวกเขาออกและคอยระวังพวกเขาอยู่ ทั้งยังกลัวว่าพวกเขาจะกดขี่และกีดกันเจ้าเมื่อพวกเขาเห็นว่าเจ้าไม่ได้เข้าข้างพวกเขา และในที่สุดก็เอาตัวเจ้าออกไปจากคริสตจักร เจ้าย่อมจะมีข้อกังวลเหล่านี้อยู่ในหัวใจ เมื่อเจ้ามีข้อกังวลเช่นนี้ เจ้าจะเกิดปัญญา ความกล้าหาญ และมีลู่ทางที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเหล่านี้ แก้ปัญหาที่พวกเขาสร้างขึ้นมา หรือเปิดโปงความชั่วที่พวกเขาทำไว้เพื่อให้พี่น้องชายหญิงมีวิจารณญาณและไม่ถูกชักพาให้หลงผิดได้หรือไม่? วิธีกระทำการที่เหมาะสมที่สุดคืออะไร? เมื่อเจ้ากลัว เจ้าย่อมอยู่ในภาวะอ่อนแอมิใช่หรือ? ตอนแรกเจ้าย่อมอ่อนแอและนิ่งเฉย นัยหนึ่งเจ้าไม่มีความเชื่ออันแรงกล้าในพระเจ้า อีกนัยหนึ่งเจ้าคิดว่า “แบบนี้คนชั่วพวกนี้ก็ได้ทำสำเร็จไปแล้ว ทำไมตอนนี้ฉันถึงเป็นคนเดียวที่มองเรื่องนี้ออก? คนอื่นมีวิจารณญาณแยกแยะกันบ้างหรือไม่? ถ้าฉันเล่าสถานการณ์จริงให้คนอื่นฟัง พวกเขาจะเชื่อฉันหรือไม่? ถ้าพวกเขาไม่เชื่อ พวกเขาจะเปิดโปงฉันหรือเปล่า? ถ้าพวกเขาทุกคนมารุมจัดการฉัน แล้วฉันก็ตัวคนเดียวและไม่มีกำลังจะทำอะไร คนชั่วพวกนี้จะหาข้ออ้างสารพัดอย่างมาเอาตัวฉันออกไปหรือเปล่า?” เจ้าย่อมจะมีข้อกังวลเช่นนี้มิใช่หรือ? เมื่อเจ้ามีข้อกังวลเหล่านี้ เจ้าจะจัดการผู้คนเหล่านี้ได้อย่างไร? เจ้าจะสามารถปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาในหนทางที่เหมาะสมและเฉลียวฉลาดที่สุดได้อย่างไร? ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไม่มีทิศทางหรือเส้นทางให้เดินแล้วมิใช่หรือ? พูดให้ชัดเจนก็คือ เมื่อเจ้ากลัวและอ่อนแออย่างที่สุด เจ้าย่อมไม่สามารถขับเคี่ยวหรือมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาและไม่อาจจัดการปัญหาที่พวกเขาก่อขึ้นมาได้เลย ดังนั้นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าในเวลานี้คืออะไร? คือการชิงเล่นงานก่อน เผชิญหน้าพวกเขาและเปิดโปงการทำชั่วของพวกเขาเพื่อปกป้องตัวเจ้าเองใช่หรือไม่? วิธีนี้เหมาะสมหรือไม่? (ไม่) เหตุใดจึงไม่เหมาะสม? เพราะเจ้ายังไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนว่าควรกระทำการเช่นใด ไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของพวกเขา และเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเปิดโปงพวกเขาอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่ถูกชักพาให้หลงผิดนั้นจะสามารถยอมรับความจริงและพลิกครรลองกลับมาให้ถูกต้องได้หรือไม่ เจ้าไม่รู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้เลย และไม่ชัดเจนว่าสำหรับเจ้าแล้ว ทางออกใดเป็นประโยชน์และมีประสิทธิผลมากที่สุด แม้เจ้าจะยังไม่ถึงขั้นคิดลบขนาดนั้น แต่อย่างน้อยภาวะของเจ้าในตอนนี้ก็เป็นภาวะที่อ่อนแอและหวาดกลัว และเจ้าก็มีข้อกังวลมากมายอยู่ในใจ ไม่ว่าข้อกังวลเหล่านี้จะมีเหตุผลหรือเกิดจากความอ่อนแอและความหวาดกลัวของเจ้า สรุปแล้ว นี่คือข้อเท็จจริง เมื่อเกิดข้อเท็จจริงเหล่านี้ขึ้นมา ทางออกที่ดีที่สุดก็คือเรียนรู้ที่จะรอคอยและไม่ทำอะไรเลย ที่ว่าไม่ทำอะไรเลยหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าอย่าเร่งเปิดโปงสถานการณ์จริงของการลงคะแนนคัดเลือกแก่คนที่หลงผิด และอย่ารีบร้อนต่อต้านผู้นำคริสตจักรที่เพิ่งได้รับเลือกเข้ามาหรือกลุ่มคนที่ครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก อย่าเปิดโปงพวกเขา เวลานี้เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะรอคอย บางคนกล่าวว่า “การรอคอยนั้นเฉยชาเหลือเกิน ฉันต้องรอนานเท่าใด?” ไม่จำเป็นต้องรอนานนัก ระหว่างที่เจ้ารอ จงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน อ่านพระวจนะของพระเจ้า และแสวงหาความจริง ในรูปการณ์ดังกล่าว เมื่อเจ้าหวาดกลัวและอ่อนแออย่างที่สุด คำอธิษฐานของเจ้าย่อมถ่องแท้และจริงใจที่สุด เจ้าจำเป็นต้องให้พระเจ้าทรงชี้แนะและคุ้มครองเจ้า เจ้าจำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้า เวลาเจ้าอธิษฐาน ความหวาดกลัวของเจ้าก็จะค่อยๆ ลดลงทีละน้อยจนหมดไป เมื่อความหวาดกลัวของเจ้าหมดไปแล้ว เจ้าย่อมจะไม่อ่อนแออีกใช่หรือไม่? (ใช่) เจ้าจะมีข้อกังวลลดน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน ความหวาดกลัว ความอ่อนแอ และข้อกังวลเหล่านี้ไม่ใช่ว่าหายไปเองได้ เพียงแต่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ เจ้าจะค่อยๆ เข้าใจบางสิ่งบางอย่าง เจ้าจะเข้าใจสิ่งใดบ้าง? อย่างหนึ่งก็คือเจ้าจะรู้ว่าควรจัดการกับผู้คนเหล่านี้อย่างไร ควรเปิดโปงใครก่อน ควรพูดจาและกระทำการอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์ต่องานในพระนิเวศของพระเจ้า นอกจากนี้เจ้าก็จะรู้ว่าพฤติกรรมของผู้คนเหล่านี้มีธรรมชาติเช่นใด แล้วเจ้าจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร? ด้วยการแสวงหาความจริงในระหว่างที่เจ้ารอคอยจนเจ้าค่อยๆ เข้าใจเรื่องเหล่านี้ เมื่อเจ้ามองเห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจน เจ้าย่อมจะใคร่ครวญไปเองตามธรรมชาติว่าเจ้าควรใช้ปัญญาอย่างไร คุยกับใครจึงจะเหมาะสม และจะพูดจาอย่างไรจึงทำให้พวกเขาตื้นตันและรู้ข้อเท็จจริงว่ามีคนชั่วครอบงำการลงคะแนนคัดเลือก ทำให้พวกเขาสามารถพลิกครรลองกลับมาให้ถูกต้อง สามารถแยกแยะโฉมหน้าที่แท้จริงของคนที่ครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก และสามารถแยกแยะว่าผู้คนที่ได้ชื่อว่าได้รับเลือกเป็นผู้นำแท้จริงแล้วเป็นคนแบบใด เจ้าจะเกิดปัญญาเช่นนี้ และการกระทำของเจ้าก็จะพลอยเป็นระบบระเบียบไปด้วย แล้วผลประโยชน์ที่เป็นบวกเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าในช่วงที่เจ้ารอคอย บางส่วนเกิดจากพระราชกิจและความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และบ้างก็เป็นสิ่งที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้าซึ่งพระองค์ทรงเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นและเข้าใจ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่าอย่าสู้ศึกโดยไม่เตรียมตัว นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่ว่าเจ้าจะสู้อยู่กับซาตานหรือเปิดโปงการทำชั่วของข้ารับใช้ของซาตาน ไม่ว่าเจ้าจะทำศึกกับซาตานอย่างไร ตัวเจ้าเองก็ต้องแข็งแกร่ง เข้าใจหลักธรรมความจริง และสามารถมองทะลุแก่นแท้และการทำชั่วของซาตานและคนชั่ว จากนั้นจึงเปิดโปงพวกเขา ด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีในท้ายที่สุด เมื่อเจ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ความหวาดกลัว ความอ่อนแอ และข้อกังวลของเจ้าย่อมจะเบาบางลงและเลือนไปบ้างมิใช่หรือ? เจ้าจะไม่รู้สึกหวาดกลัวถึงเพียงนั้นอีกต่อไป สิ่งที่เจ้ารู้สึกนี้จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง เจ้าจะพบว่าเจ้าไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่เคยเป็นในตอนแรกที่เพิ่งเกิดสถานการณ์นี้ขึ้นมา แต่เจ้ากลับจะรู้สึกเข้มแข็งและมั่นใจในตัวเองมากกว่าแต่ก่อน และรู้ว่าควรทำสิ่งใด ถึงตอนนั้น จงอธิษฐานถึงพระเจ้าอีกครั้งและขอให้พระองค์ทรงตระเตรียมโอกาสอันเหมาะสมให้ จากนั้นเจ้าจึงลงมือ จงรายงานสถานการณ์นี้ไปยังผู้นำและคนทำงานระดับสูงขึ้นไป พลางสามัคคีธรรมกับคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีและเชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง แต่ถูกหลอกและถูกชักพาให้หลงผิดเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง เปิดโปงข้อมูลเบื้องลึกเรื่องคนชั่วที่ครอบงำการลงคะแนนคัดเลือกแก่พวกเขาด้วย เมื่อเจ้าชนะใจคนเหล่านี้ได้สักหนึ่งหรือสองคน ความกลัวของเจ้าก็จะหายไปเอง เจ้าย่อมจะตระหนักว่าทั้งหมดนี้ไม่อาจทำได้ด้วยการพึ่งพาพละกำลังของมนุษย์เท่านั้น และนับประสาอะไรกับการพึ่งพาความมุทะลุ เจ้าไม่อาจพึ่งพาอารมณ์ชั่ววูบหรือความโมโหชั่วครู่ หรือสิ่งที่เรียกว่าสำนึกแห่งความยุติธรรมเพียงชั่วขณะหนึ่ง—ทั้งหมดนี้ล้วนไร้ประโยชน์ พระเจ้าจะทรงตระเตรียมช่วงเวลาอันเหมาะสมแก่เจ้า ประทานความรู้แจ้งว่าเจ้าควรพูดสิ่งใด และพระองค์จะทรงชี้แนะเจ้าไปทีละก้าวตามสิ่งที่เจ้าเข้าใจ ประทานเส้นทางให้เจ้าเดินตาม จากเดิมที่เคยอ่อนแอและเกรงกลัวการแสวงหาการเข้าใจหลักธรรมและเส้นทาง—ในช่วงเวลานี้ เจ้ายังคงมีปฏิสัมพันธ์กับคนชั่วพวกนี้ได้ตามปกติ ระหว่างที่มีปฏิสัมพันธ์กันตามปกติ ในจิตใจผู้คนก็ไม่ใช่ว่าจะว่างเปล่า พวกเขามีความคิดอ่านของตนเอง ระหว่างที่เจ้าแสวงหาและอธิษฐานอยู่นั้น เจ้าก็เฝ้าสังเกตผู้คนเหล่านี้ เฝ้าสังเกตอะไร? เจ้าดูว่าพวกเขากำลังใช้เส้นทางประเภทใดและแท้จริงแล้วแก่นแท้ของพวกเขาเป็นอย่างไร หากสิ่งที่พวกเขากล่าวนั้นถูกต้องและตรงกับหลักธรรมเกี่ยวกับงานของคริสตจักร เจ้าก็สามารถรับฟังได้ หากสิ่งที่พวกเขาพูดขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร เจ้าก็สามารถหาข้ออ้างที่จะไม่ฟังหรือถ่วงเวลาเอาไว้ ใช้วิธีอันชาญฉลาดเพื่อปฏิสัมพันธ์ “ฉันมิตร” กับพวกเขาโดยไม่ทำให้พวกเขาไหวตัว ขณะที่มีปฏิสัมพันธ์ “ฉันมิตร” กับพวกเขาอยู่นั้น เจ้าก็รวบรวมหลักฐานเรื่องการทำชั่วของพวกเขา ใช้วิจารณญาณแยกแยะพวกเขาตามการกระทำและความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนต่างๆ ที่ละเมิดหลักธรรมความจริง และเสริมด้วยการยืนยันว่าคนเหล่านี้คือข้ารับใช้ของซาตาน การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมทำให้เจ้าไม่ถูกพวกเขาตีกรอบในระหว่างที่เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของตน—ผู้มีปัญญาย่อมทำเช่นนี้ เฉพาะคนที่มีความเป็นมนุษย์ มีปัญญา และรักความจริงเท่านั้นจึงสามารถเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องได้ ส่วนคนที่ขาดปัญญาและทำอะไรโดยไม่รอบคอบ ไม่ยั้งคิด พึ่งพาความหุนหันพลันแล่นและอารมณ์ชั่ววูบอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดหรือเผชิญรูปการณ์ใด การกระทำของพวกเขามักจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย ผู้คนเช่นนี้ไม่เพียงขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังทำให้ตัวเองมีปัญหาและเรื่องเดือดร้อนมากมายโดยไม่จำเป็น ส่วนผู้มีปัญญานั้นแตกต่างออกไป ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด พวกเขาก็รอคอย เฝ้าสังเกต และแสวงหา รอเวลาที่เหมาะสม รอคอยการจัดเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า ระหว่างที่รอคอยนี้ พวกเขาสามารถแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างมีจุดประสงค์ เข้าใจหลักธรรมความจริงได้แม่นยำขึ้น และกระทำการตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาใช้พระวจนะของพระเจ้าและความจริงมาต่อสู้อย่างเต็มกำลังและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า แทนที่จะมัวต่อกรหรือต่อล้อต่อเถียงกับผู้คนด้วยความมุทะลุ
เมื่อพูดถึงคนชั่วที่ครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือกนั้น สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าเจ้าสามารถรู้เท่าทันผู้คนเหล่านี้หรือไม่ หรือเจ้าวางแผนที่จะเปิดโปงพวกเขาอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือการรายงานสถานการณ์ขึ้นไปให้ทันกาล เจ้าควรใช้ปัญญามาขับเคี่ยวกับพวกเขา รอเวลาจากพระเจ้า แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และแสวงหาหลักธรรมความจริง ขณะเดียวกันก็ไม่ฉุดรั้งหน้าที่ของตนให้ล่าช้า การทำดังนี้จะให้ผลลัพธ์เช่นใดในท้ายที่สุด? เจ้าย่อมลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของตน การรายงานสถานการณ์ขึ้นไปและแสวงหาหนทางแก้ไข ไม่เพียงปัญหาจะได้รับการแก้ไขเท่านั้น แต่เจ้าจะได้รับความเข้าใจเชิงลึก เป็นการเพิ่มพูนวิจารณญาณแยกแยะและปัญญา เติบโตทางวุฒิภาวะ และทำให้ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเข้มแข็งขึ้นอีกด้วย ผู้คนได้รับมากมายเหลือเกินจากการมีประสบการณ์กับการเผชิญหน้าซาตาน และนี่ก็เป็นผลดีต่อพวกเขาอย่างยิ่ง ในทางกลับกัน สมมุติว่าเจ้ากระทำการด้วยความมุทะลุและด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ต่อกรกับผู้คนเหล่านี้อย่างดุเดือดและโต้เถียงกับพวกเขาซึ่งหน้า โดยกล่าวว่า “พวกคุณกำลังครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก ถึงพวกคุณกุมอำนาจมากมาย แต่ฉันก็จะไม่ยอมอ่อนข้อให้ ฉันไม่กลัวพวกคุณ!” ผลของการใช้แนวทางนี้คือการถูกไล่ออกจากคริสตจักร ทิ้งให้เจ้าร้องไห้และทนทุกข์อยู่ที่บ้านนานหลายเดือน แต่เจ้าก็ยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอยู่ดีว่า “ทำไมฉันถึงลงเอยด้วยความยุ่งเหยิงแบบนี้? ข้าแต่พระเจ้า ไม่ทรงต้องการข้าพระองค์แล้วหรือ? พระองค์ไม่ใส่พระทัยข้าพระองค์แล้วหรือ?” เป็นเวลานานหลายเดือนแล้วที่เจ้าพลาดคำเทศนาและเพลงนมัสการใหม่ๆ ไม่ตระหนักเลยว่าคริสตจักรกำลังทำงานอะไรอยู่ ไม่สามารถทำหน้าที่ของเจ้า และกลายเป็นคนโดดเดี่ยวโดยสิ้นเชิง ตกอยู่ในความมืดมิดโดยสมบูรณ์ ทุกวันนอกจากร้องไห้แล้ว เจ้าก็ได้แต่วิตกกังวล ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เจ้าไม่เรียนรู้ที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้าหรือกินและดื่มพระวจนะที่เกี่ยวข้องของพระองค์ และในสถานการณ์ที่ซับซ้อน เจ้าก็ยิ่งไม่เรียนรู้ที่จะแสวงหาหลักธรรมความจริง เจ้าไม่มีปัญญาเพิ่มพูนขึ้นมาเลย หลังจากร้องไห้อยู่ไม่กี่เดือน ในที่สุดวันหนึ่งก็มีคนพาเจ้ากลับเข้าคริสตจักรและขอให้เจ้าแบ่งปันประสบการณ์ของตนในช่วงเวลานี้ แต่เจ้ากลับเอาแต่พร่ำบ่นทั้งน้ำตาว่า “ฉันได้รับความไม่เป็นธรรมมากมาย! ฉันไม่ได้ก่อกวนคริสตจักร ฉันไม่ใช่คนชั่ว ฉันถูกคนชั่วปรักปรำ” เมื่อถูกถามว่า “คุณได้เรียนรู้บทเรียนอะไรในช่วงเวลานี้บ้าง? คุณได้รับอะไรบ้างหรือไม่?” เจ้ากลับตอบว่า “ฉันจะสามารถได้รับอะไรบ้าง? ฉันถูกพวกเขาแยกเดี่ยว เอาหนังสือพระวจนะของพระเจ้าและบทเพลงนมัสการไป แล้วฉันก็ฟังคำเทศนาไม่ได้ สิ่งที่ทำได้มีแต่พูดคุยเรื่องความเชื่อและร้องเพลงนมัสการไม่กี่เพลงเท่าที่ฉันจำได้เป็นบางครั้งเท่านั้น ฉันไม่ได้รับอะไรเลย โชคดีที่พระเจ้าทรงตระเตรียมช่วงเวลาให้พาฉันกลับมา ไม่อย่างนั้นฉันก็วางแผนอยู่ว่าจะออกไปทำธุรกิจเพื่อหาเงินเพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด พระเจ้าไม่ทรงต้องการฉันแล้ว และฉันก็ไม่อาจเชื่อต่อไปได้ หัวใจของฉันมืดสนิท” ท้ายที่สุดเจ้าก็กล่าวเสริมว่า “แกะของพระเจ้าจะไม่มีวันถูกพระเจ้าทอดทิ้ง” โดยสรุปไว้เช่นนี้ การมีประสบการณ์กับเหตุการณ์พิเศษและมีนัยสำคัญเช่นนี้ แต่กลับได้รับน้อยนัก—นี่ก็ค่อนข้างน่าสมเพชอยู่มิใช่หรือ? ไม่เหมาะสมมิใช่หรือ? เวลาเผชิญสถานการณ์ที่สำคัญเช่นนี้ เจ้ากลับไม่ได้เรียนรู้บทเรียนอันใดและไม่เพิ่มพูนปัญญาหรือความเชื่อให้ตนเองเลย แม้เจ้าจะยังคงเชื่อในพระเจ้าอยู่ในหัวใจ แต่เจ้าก็ถูกเหล่าซาตาน หมู่มาร และศัตรูของพระคริสต์ทรมานจนเจ้าเกือบจะเลิกเชื่อไปแล้ว แล้วเจ้าจะยังเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้หรือ? เจ้าไม่ใช่คนขลาดที่ไร้ประโยชน์หรอกหรือ? การร้องไห้อยู่ที่บ้านมีประโยชน์อันใด? ต่อให้เจ้าร้องไห้จนตาบอด แล้วจะช่วยอะไรได้หรือไม่? จะแก้ปัญหาที่มีกับศัตรูของพระคริสต์ได้หรือไม่? คนชั่วประสบความสำเร็จไปแล้ว และท้ายที่สุดเจ้าก็เหลือแต่คำกล่าวที่ว่า “แกะของพระเจ้าจะไม่มีวันถูกพระเจ้าทอดทิ้ง” โดยไม่ได้รับสิ่งอื่นใดไว้เลย เจ้าไร้ปัญญา ไม่มีครรลองในการปฏิบัติตน และเจ้าก็ไม่รู้จักแสวงหาพระเจ้าตามเส้นทางที่พระเจ้าประทานให้ ไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อรับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงไปต่อสู้กับซาตาน คำสอนในส่วนที่เจ้าพร่ำพูดจนติดปากนั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้าเลย เมื่อเป็นเรื่องของการเผชิญเรื่องราวจำพวกนี้ นอกจากร้องไห้แล้ว เจ้าก็ได้แต่รู้สึกว่าถูกกระทำและเอาแต่พร่ำบ่น—นี่คือคนขลาดที่หาประโยชน์ไม่ได้ คนขลาดที่ไร้ประโยชน์มักจะมีการสำแดงที่หลากหลาย ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของพวกเขาเช่นกัน ข้อแรก พวกเขาร้องไห้ ข้อสอง พวกเขารู้สึกว่าตนถูกกระทำ ข้อสาม พวกเขาพร่ำบ่นอยู่ในใจ พวกเขาพูดในใจด้วยว่า “พระเจ้า พระองค์อยู่ที่ไหน? ทำไมถึงไม่ใส่พระทัยดูแลข้าพระองค์? ข้าพระองค์ถูกซาตานทำร้ายแสนสาหัส ดำเนินชีวิตต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ได้โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดโดยเร็วด้วยเถิด!” พระเจ้าย่อมตรัสว่า “เจ้าเป็นคนขลาดที่ไร้ประโยชน์ เป็นขยะที่ห่อหุ้มด้วยผิวหนังมนุษย์ หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าจะเกรงกลัวสิ่งใด? ซาตานมีอะไรให้กลัว?” ไม่ว่าซาตานจะใช้แผนการและกลอุบายใดในยามที่มันลงมือ พวกเราก็ไม่กลัว พวกเรามีพระเจ้า มีความจริง พระเจ้าจะประทานปัญญาแก่พวกเรา พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง ทุกสิ่งอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า แล้วเจ้าจะกลัวสิ่งใด? การร้องไห้มีแต่จะแสดงให้เห็นว่าเจ้าขลาดกลัวและไร้ความสามารถ เจ้าเป็นเพียงเศษขยะ เปลืองอากาศหายใจ! การร้องไห้หมายความว่าเจ้ากำลังรอมชอมกับซาตาน กำลังขอความกรุณาจากซาตาน พระเจ้าโปรดคนขลาดที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้หรือไม่? (ไม่) พระเจ้าทรงเห็นว่าเจ้าเป็นคนขลาดที่หาประโยชน์ไม่ได้ เป็นคนโง่เขลา เป็นเศษขยะ ไม่มีคำพยานและไม่มีปัญญาแม้แต่น้อย ความจริงที่เจ้าเข้าใจกลายเป็นอะไรไปแล้ว? เจ้ายังฟังพระเจ้าเปิดโปงการสำแดงของซาตานและศัตรูของพระคริสต์ไม่มากพออย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่เข้าใจและไม่เท่าทันเรื่องเหล่านี้เลยหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าคนพวกนั้นคือเหล่าซาตานทั้งสิ้น? หากเจ้ารู้ว่าพวกเขาคือเหล่าซาตาน แล้วเจ้าจะกลัวอะไร? เหตุใดเจ้าจึงไม่ยำเกรงและเกรงกลัวพระเจ้า? เจ้าไม่กลัวว่าจะล่วงเกินพระเจ้าเพราะความหวาดกลัวซาตานหรอกหรือ? การกระทำเช่นนั้นเป็นความเลวร้ายมิใช่หรือ? เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้นมา เจ้าหวาดกลัวและไม่มีหนทางแก้ไข ไร้ปัญญาหรือมาตรการตอบโต้โดยสิ้นเชิง แล้วที่ฟังคำเทศนามาตลอดหลายปีนี้เจ้าได้รับอะไรไปบ้าง? ทั้งหมดล้วนสูญเปล่ากระนั้นหรือ? คนขลาดที่หาประโยชน์ไม่ได้เช่นนี้สามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนได้หรือ? (ไม่ได้) เมื่อเกิดสถานการณ์ที่เหล่าซาตานและคนชั่วครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก ไม่ว่าเจ้าจะเหลือตัวคนเดียวและไร้อำนาจ หรือมีพี่น้องชายหญิงบางคนที่มีจิตใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเจ้าอย่างแท้จริงก็ตาม จงอย่ารีบร้อนกระทำการ ประการแรก จงเรียนรู้ที่จะรอคอย ประการที่สอง จงเรียนรู้ที่จะแสวงหา ในช่วงเวลาที่รอคอยและแสวงหาอยู่นั้น อย่าละทิ้งหน้าที่ของเจ้า การรอคอยหมายถึงอะไร? หมายถึงการรอให้พระเจ้าทรงตระเตรียมห้วงเวลาและโอกาสที่เหมาะสม แล้วเจ้าควรแสวงหาสิ่งใด? แสวงหาหลักธรรมและเส้นทางที่เจ้าควรใช้ปฏิบัติในการเชื่อและติดตามพระเจ้า แสวงหาว่าควรกระทำการเช่นใดจึงจะตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า และกระทำการเช่นใดจึงจะเป็นการต่อสู้กับซาตานและกองกำลังศัตรูของพระคริสต์ เอาชนะกองกำลังของซาตานเพื่อที่จะกลายเป็นผู้ชนะในที่สุด หากเจ้าอยู่เพียงลำพัง เจ้าก็ต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าให้มากขึ้น รอคอยและแสวงหา หากมีผู้อื่นที่มีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าสักสองสามคน เจ้าก็สามารถสามัคคีธรรม อธิษฐาน รอคอย และแสวงหาด้วยกัน เมื่อพระเจ้าทรงตระเตรียมช่วงเวลาที่เหมาะสมไว้แล้ว จงขอความเข้มแข็งและปัญญาจากพระเจ้า เพื่อให้ทุกสิ่งที่เจ้าทำและทุกคำที่เจ้าพูดมีความเหมาะสม เมื่อทำดังนี้ นัยหนึ่งเจ้าย่อมลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง อีกนัยหนึ่งเจ้าย่อมจะสามารถเปิดโปงซาตานได้อย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิผล เปิดโปงและสกัดกั้นแผนการทั้งปวงที่ข้ารับใช้ของซาตานและศัตรูของพระคริสต์สมคบคิดกัน เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่? พวกเจ้าได้รับการบอกกล่าววิธีการ หนทาง เส้นทาง และหลักธรรมเหล่านี้แล้ว ดังนั้นจะปรับใช้อย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับพวกเจ้า เส้นทางนี้ชัดเจนพอหรือไม่? (พอ) เมื่อเป็นเช่นนั้น เวลาพวกเจ้าเผชิญเรื่องราวทำนองนี้ ก็จงปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ นี่เป็นเรื่องที่สัมฤทธิ์ได้โดยง่าย
ระหว่างที่มีการลงคะแนนคัดเลือกในคริสตจักรแต่ละครั้ง ทั้งผู้นำ คนทำงาน และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันที่จะต้องปกป้องงานลงคะแนนคัดเลือก ผู้นำและคนทำงานต้องรับผิดชอบงานสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงและหลักธรรมในการลงคะแนนคัดเลือก ส่วนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ควรหยิบยกปัญหาทั้งหมดที่ตนมีขึ้นมา จากนั้นก็ควรสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ในหนทางนี้เท่านั้นจึงจะแน่ใจได้ว่าการลงคะแนนคัดเลือกจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ในด้านหนึ่ง ผู้นำและคนทำงานควรยึดปฏิบัติตามหลักธรรมของการลงคะแนนคัดเลือกในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด และจัดงานลงคะแนนคัดเลือกในพระนิเวศของพระเจ้าแต่ละครั้งตามหลักธรรมเหล่านี้ ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาต้องระแวดระวังไม่ให้คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์มาครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือกอีกด้วย คนเหล่านี้คือข้ารับใช้ของซาตาน เป็นพวกเดียวกับซาตาน ผู้นำและคนทำงานต้องเฝ้าระวังคนเหล่านี้อย่างเข้มงวดและระมัดระวังตัวกับพวกเขา คอยจับตาดูว่าในระหว่างที่มีการลงคะแนนคัดเลือก พวกเขาพยายามครอบงำสิ่งต่างๆ อยู่เบื้องหลังและกระทำการไม่ซื่อส่อพิรุธบางอย่างเพื่อแอบโกงกระบวนการลงคะแนนคัดเลือกหรือไม่ หากปรากฏว่าการลงคะแนนคัดเลือกถูกคนชั่วครอบงำจริงๆ ส่งผลให้เกิดการกีดกันผู้ที่ควรได้รับคัดเลือกอย่างถูกต้องชอบธรรมและชักพาให้คนส่วนใหญ่หลงผิดเพื่อให้คนผิด—ซึ่งไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้—ได้รับเลือกเป็นผู้นำ หากเกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้นมาก็ยังคงมีทางแก้ ควรเปิดโปงสถานการณ์ที่แท้จริงของคนที่ได้รับเลือก หากคนส่วนใหญ่เห็นด้วย ก็จัดให้มีการลงคะแนนคัดเลือกใหม่ได้ การลงคะแนนคัดเลือกที่ถูกซาตานและคนชั่วครอบงำไม่ใช่ผลการลงคะแนนคัดเลือกที่คริสตจักรจัดขึ้นเป็นปกติตามหลักธรรมความจริง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวกและไม่ช้าก็เร็วย่อมจะถูกตีแผ่ เปิดโปง และยกเลิก เมื่อเชื่อเช่นนี้ หากเจ้าพบเจอสถานการณ์ดังกล่าว เจ้าควรกระทำการอย่างไร? เจ้าควรพร้อมที่จะต่อสู้กับซาตานทุกเมื่อและทุกที่ โดยไม่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน หากเจ้าเป็นคนอ่อนปวกเปียก เป็นคนเลอะเลือน หรือเป็นคนขลาดเขลาที่หาประโยชน์ไม่ได้ เจ้าก็อาจจะประนีประนอมและสมรู้ร่วมคิดกับพวกเขา หรือพ่ายแพ้พวกเขาอย่างหมดรูปจนเจ้ากลายเป็นคนคิดลบและไม่สามารถฟื้นตัวได้ บางคนเอาแต่ยืนดูอยู่เฉยๆ พลางพูดว่า “ถึงอย่างไรฉันก็เป็นผู้นำคริสตจักรไม่ได้ ไม่ว่าใครเป็นก็เหมือนกันหมด ใครมีความสามารถก็เชิญเป็นได้เลย! ถ้าศัตรูของพระคริสต์อยากเป็น ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ตราบใดที่พวกเขาไม่เอาตัวฉันออกไปก็ดีแล้ว” คนที่พูดเช่นนี้ล้วนไม่มีอะไรดีเลย พวกเขานึกภาพไม่ออกว่าหากศัตรูของพระคริสต์ทำหน้าที่ผู้นำ ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด และจะส่งผลกระทบต่อการเชื่อในพระเจ้าและความรอดของพวกเขาอย่างไร มีแต่ผู้ที่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ตามที่เป็นอยู่ พวกเขาย่อมจะกล่าวว่า “ถ้าศัตรูของพระคริสต์ได้เป็นผู้นำคริสตจักร คนที่จะทนทุกข์ก็คือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง คนที่มีสำนึกของความยุติธรรม และคนที่พร้อมจะทำหน้าที่ของตน ทุกคนจะถูกข่มขี่และกีดกัน มีแต่ผู้คนที่เลอะเลือนและคนที่ชอบเอาใจผู้คนเท่านั้นที่จะได้รับความโปรดปราน และย่อมจะถูกกักขังและควบคุมอยู่ใต้อำนาจของศัตรูของพระคริสต์ไปแล้ว” แต่คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงกลับไม่เคยคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ พวกเขาคิดว่า “คนเราเชื่อในพระเจ้าก็เพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอด ทุกคนเดินอยู่บนเส้นทางของตนเอง ต่อให้ศัตรูของพระคริสต์กลายเป็นผู้นำ นั่นก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อฉัน ตราบใดที่ฉันไม่ทำเรื่องไม่ดี พวกเขาก็ไม่อาจข่มขี่ กีดกัน หรือเอาตัวฉันออกจากคริสตจักรได้” มุมมองนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) หากไม่มีประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคนใดพะวงเรื่องการลงคะแนนคัดเลือกของคริสตจักร เมื่อพวกเขายอมให้ศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจ ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร? จะเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนที่ผู้คนนึกคิดกันจริงหรือ? ชีวิตคริสตจักรจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นใด? เรื่องนี้สัมพันธ์โดยตรงกับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หากศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจในคริสตจักรหนึ่งๆ จะเกิดอะไรขึ้น? ความจริงจะไม่ครองอำนาจในคริสตจักรแห่งนั้นอีกต่อไป พระวจนะของพระเจ้าก็เช่นกัน—แต่ผู้ไม่เชื่อและซาตานจะกุมอำนาจในที่แห่งนั้นแทน แม้จะยังคงอ่านพระวจนะของพระเจ้าในการชุมนุมได้ แต่ศัตรูของพระคริสต์ย่อมควบคุมสิทธิ์ในการพูดจา ศัตรูของพระคริสต์สามารถสามัคคีธรรมความจริงได้อย่างชัดเจนหรือไม่? ศัตรูของพระคริสต์จะยอมให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามัคคีธรรมความจริงกันอย่างเสรีโดยไม่ควบคุมได้หรือไม่? นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ เมื่อศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจ ก็จะมีการขัดขวางและก่อกวนมากขึ้นเรื่อยๆ ผลที่ได้จากชีวิตคริสตจักรจะลดน้อยลงไปทุกที และเมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรชุมนุมกัน ก็จะเก็บเกี่ยวได้ไม่มากนัก ซึ่งจะก่อความลำบากยากเย็นให้กับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ปัญหาของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ และไม่อาจแก้ไขได้ บางคนที่สามารถปฏิบัติความจริงได้ก็จะพลอยถูกรบกวนไปด้วย บรรยากาศของชีวิตคริสตจักรจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับมีเมฆดำมาบดบังดวงอาทิตย์เอาไว้ ถึงตอนนั้นจะยังคงมีความชื่นชมยินดีต่อชีวิตคริสตจักรอยู่อีกหรือไม่? แน่นอนว่าชีวิตคริสตจักรย่อมจะถูกบั่นทอนไปไม่น้อย ในคริสตจักร คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงคือคนส่วนน้อย หากคนส่วนน้อยเหล่านี้ถูกกดขี่และกีดกัน ก็กล่าวได้ว่าจะไม่มีชีวิตคริสตจักรอีกต่อไป หากผู้คนไม่สามารถมองเห็นผลที่ตามมานี้อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาย่อมจะไม่สนใจหรือเอาใจใส่การลงคะแนนคัดเลือก หากผู้คนส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจการลงคะแนนคัดเลือกอย่างจริงจัง ไม่ยึดปฏิบัติตามหลักธรรม มีท่าทีที่เป็นลบอย่างยิ่งต่อการลงคะแนนคัดเลือก ทั้งยังปฏิบัติตามผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ เมื่อคนชั่วหรือคนที่ไม่รักความจริงกลายเป็นผู้นำคริสตจักร ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรส่วนใหญ่ย่อมจะทนทุกข์กับความสูญเสียต่างๆ ในการเข้าสู่ชีวิตของตน ฉะนั้น ผลการลงคะแนนคัดเลือกในคริสตจักรจึงส่งผลต่อการเติบโตในชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและอนาคตของคริสตจักรโดยตรง ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรรับรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจนและต้องไม่ใช้ท่าทีที่เป็นลบอย่างเด็ดขาด คนที่เลอะเลือนบางคนไม่สามารถรู้เท่าทันในเรื่องนี้ พวกเขาพึ่งพาความคิดฝันของตนเองอยู่เสมอ นึกว่า “ทุกคนในคริสตจักรเป็นผู้เชื่อที่จริงใจ ดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถได้รับคัดเลือก ขอเพียงเป็นพี่น้องชายหญิง ใครก็เป็นผู้นำได้” พวกเขามองการลงคะแนนคัดเลือกในคริสตจักรกันง่ายเกินไป พาให้เกิดแนวคิดและทัศนคติที่เป็นลบอย่างผิดๆ มากมาย หากผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ได้รับเลือกเป็นผู้นำและคนทำงานเข้าจริงๆ งานของคริสตจักรย่อมจะถูกทำลาย และการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะเสียหายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงตอนนั้นผู้คนก็จะตระหนักว่าการจัดให้ลงคะแนนคัดเลือกตามหลักธรรมนั้นมีความสำคัญเพียงใด
ทุกคริสตจักรย่อมมีคนที่ชอบเอาใจผู้คนอยู่บ้าง คนที่ชอบเอาใจผู้คนเหล่านี้ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะคนชั่วที่ครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก ต่อให้พอจะมีวิจารณญาณแยกแยะอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็เพิกเฉย ท่าทีที่พวกเขามีต่อทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในการลงคะแนนคัดเลือกของคริสตจักรก็คือ “หากเรื่องราวไม่ส่งผลมาถึงตัวก็ปล่อยไป” พวกเขาคิดว่าใครจะมาเป็นผู้นำก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ และไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน ตราบใดที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข พวกเขาก็ไม่มีปัญหา เจ้าคิดอย่างไรกับผู้คนแบบนี้? พวกเขาคือคนที่รักความจริงหรือไม่? (ไม่) พวกเขาเป็นคนเช่นใด? นี่คือคนที่ชอบเอาใจผู้คน และสามารถเรียกว่าผู้ไม่เชื่อได้ด้วยเช่นกัน ผู้คนเหล่านี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เอาแต่เสาะแสวงการมีชีวิตที่ง่ายดาย ละโมบความสุขสบายทางเนื้อหนังเท่านั้น พวกเขาเห็นแก่ตัวเกินไปและเหลี่ยมจัดเหลือเกิน ในสังคมมีผู้คนเช่นนี้อยู่มากมายใช่หรือไม่? ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะขึ้นมามีอำนาจ ไม่ว่าใครจะดำรงตำแหน่ง พวกเขาก็เป็นที่ชื่นชอบ สามารถจัดการสัมพันธภาพทางสังคมได้อย่างราบรื่นยิ่ง และพวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองเช่นใด พวกเขาก็ไม่ติดร่างแหไปด้วย ผู้คนเหล่านี้เป็นคนเช่นใด? เป็นผู้คนที่หลอกลวงที่สุด เหลี่ยมจัดที่สุด ซึ่งรู้จักกันว่าเป็น “ปลาไหล” และ “อสรพิษเฒ่า” พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน ไม่มีหลักธรรมแม้แต่น้อย ไม่ว่าใครจะอยู่ในอำนาจ พวกเขาก็คอยสนองตอบคนเหล่านั้น ป้อยอ และชื่นชมคุณงามความดีของคนเหล่านั้น พวกเขาเอาแต่ปกป้องผู้บังคับบัญชาของตน และไม่เคยล่วงเกินผู้บังคับบัญชาเหล่านั้นเลย ไม่ว่าผู้บังคับบัญชาเหล่านั้นจะทำความชั่วมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่คัดค้านและไม่สนับสนุน แต่เก็บงำความคิดของตนไว้ลึกๆ ในใจ พวกเขาจึงเป็นที่ชื่นชอบไม่ว่าใครจะขึ้นมามีอำนาจ ซาตานและพวกกษัตริย์มารทั้งหลายชอบคนจำพวกนี้ เหตุใดพวกกษัตริย์มารจึงชอบคนจำพวกนี้? เพราะพวกเขาไม่ทำให้กิจธุระของกษัตริย์มารเสียหายและไม่ทำตัวเป็นภัยคุกคาม คนจำพวกนี้ไม่มีหลักธรรมและไม่มีบรรทัดฐานในการประพฤติปฏิบัติตน ไม่มีความซื่อตรงและไร้ศักดิ์ศรี พวกเขาเอาแต่ทำตามกระแสนิยมในสังคมและก้มหัวให้กษัตริย์มาร ปรับตัวตามความนิยมชมชอบของอีกฝ่ายเท่านั้น ในคริสตจักรก็มีผู้คนเช่นนี้ด้วยมิใช่หรือ? ผู้คนเช่นนี้สามารถเป็นผู้ชนะได้หรือไม่? พวกเขาเป็นทหารดีของพระคริสต์หรือไม่? พวกเขาเป็นพยานให้พระเจ้าหรือไม่? เมื่อคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์โผล่ออกมาก่อกวนงานของคริสตจักร ผู้คนเช่นนี้จะสามารถลุกขึ้นมาทำศึกกับพวกเขา เปิดโปง แยกแยะ และตัดขาดพวกเขา ยุติการทำชั่วของพวกเขา และเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรือไม่? แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาทำไม่ได้ ปลาไหลพวกนี้ไม่ใช่คนที่พระเจ้าจะทรงทำให้เพียบพร้อมหรือจะทรงช่วยให้รอด พวกเขาไม่เคยเป็นพยานให้พระเจ้าหรือค้ำชูผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระองค์ ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่ติดตามหรือนบนอบพระองค์ แต่เป็นคนที่ก่อปัญหาอย่างมืดบอด เป็นสมาชิกของซาตาน—เป็นพวกที่พระองค์จะทรงกำจัดออกไปเมื่อเสร็จสิ้นพระราชกิจ พระเจ้าไม่ทรงมองวายร้ายเยี่ยงนี้ว่าล้ำค่า พวกเขาไม่มีทั้งความจริงและชีวิต พวกเขาคือสัตว์เดรัจฉานและหมู่มาร ไม่คู่ควรกับความรอดจากพระเจ้าและไม่คู่ควรที่จะได้ชื่นชมความรักของพระองค์ ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงทิ้งขว้างและกำจัดผู้คนเยี่ยงนี้ออกไปอย่างง่ายดาย คริสตจักรก็ควรเอาตัวพวกเขาออกไปทันทีในฐานะผู้ไม่เชื่อ พวกเขาไม่มีหัวใจที่แท้จริงให้กับพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะประทานเสบียงที่แท้จริงแก่พวกเขากระนั้นหรือ? พระองค์จะประทานความรู้แจ้งและความช่วยเหลือแก่พวกเขากระนั้นหรือ? พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น เมื่อเกิดการแทรกแซงและก่อกวนขึ้นในระหว่างที่คริสตจักรมีการลงคะแนนคัดเลือก และผลการคัดเลือกก็ถูกควบคุมและได้รับอิทธิพลจากคนชั่ว ผู้คนเหล่านี้ย่อมจะไม่ยืนอยู่ฝ่ายพระเจ้าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้พระนิเวศของพระเจ้าอย่างแน่นอน และพวกเขาจะไม่มีทางยึดปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงเพื่อต่อสู้กับคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ ต่อสู้กับกองกำลังของซาตานให้ถึงที่สุด พวกเขาจะไม่ทำเช่นนี้เป็นแน่ พวกเขาไม่มีความกล้า ฉะนั้น พวกที่สามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าควรมีวิจารณญาณแยกแยะผู้คนเหล่านี้ และไม่ควรสามัคคีธรรมความจริงที่ตนเข้าใจหรือวิจารณญาณแยกแยะเกี่ยวกับซาตานของตนกับผู้คนเหล่านี้ ต่อให้เจ้าสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้กับพวกเขา ก็จะเปล่าประโยชน์ พวกเขาจะไม่ยืนอยู่ข้างความจริง เวลาคัดเลือกผู้ร่วมงานและคู่ทำงาน เจ้าควรกันผู้คนดังกล่าวออกไปและไม่เลือกพวกเขา เหตุใดเจ้าจึงไม่ควรเลือกพวกเขา? เพราะพวกเขาคือปลาไหล พวกเขาจะไม่ยืนอยู่ฝ่ายพระเจ้า จะไม่ยืนอยู่ฝั่งความจริง และจะไม่ร่วมจิตร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าเพื่อต่อสู้กับซาตานเลย หากเจ้ากล่าวความในใจให้พวกเขาฟังด้วยคำพูดที่มาจากหัวใจ เจ้าก็โง่เขลาและจะกลายเป็นตัวตลกให้ซาตานหัวเราะเยาะ อย่าสามัคคีธรรมความจริงหรือกล่าวเตือนสติผู้คนดังกล่าว และอย่าตั้งความหวังในตัวพวกเขา เพราะพระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเหล่านี้ให้รอดแต่อย่างใด พวกเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พวกเขาคือผู้ชมที่เฝ้าดูการต่อสู้อันดุเดือดอยู่ห่างๆ พวกเขาคือปลาไหล ผู้คนประเภทนี้แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อดูเรื่องน่าตื่นเต้นและสร้างปัญหาอย่างมืดบอดเท่านั้น พวกเขาไม่มีสำนึกของความยุติธรรมและไร้สำนึกรับผิดชอบ ไม่มีแม้แต่ความเห็นอกเห็นใจคนดีที่ถูกคนชั่วทำร้าย การเรียกผู้คนเหล่านี้ว่าหมู่มารและเหล่าซาตานจึงเหมาะสมที่สุด หากคนที่มีสำนึกของความยุติธรรมเปิดโปงคนชั่ว พวกเขาจะไม่ให้กำลังใจหรือสนับสนุนคนชั่วเหล่านี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่าไว้ใจผู้คนเหล่านี้เป็นอันขาด พวกเขาคือปลาไหล เป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสี และอสรพิษเฒ่า พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยความจริงใจ แต่เป็นข้ารับใช้ของซาตาน ผู้คนเหล่านี้จะไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างเด็ดขาด และพระเจ้าก็ไม่ทรงต้องการพวกเขา นี่คือพระประสงค์ที่ชัดเจนของพระเจ้า คริสตจักรส่วนใหญ่น่าจะมีผู้คนประเภทนี้อยู่ จงมองไปรอบๆ คริสตจักรของเจ้าดูว่าใครบ้างที่เป็นคนเช่นนี้ เมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้น จงอย่าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาเป็นอันขาด และอย่าให้พวกเขาล่วงรู้ว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า จงระวังผู้คนเยี่ยงนี้และอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกเขา มองหาคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและมีสำนึกแห่งความยุติธรรม—เมื่อพวกเขาเห็นว่าผลประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย งานของคริสตจักรและระเบียบของชีวิตคริสตจักรถูกรบกวนหรือครอบงำ พวกเขาย่อมกระวนกระวายใจและโกรธเคือง เกลียดชังคนชั่วที่ก่อกวนคริสตจักรอย่างลึกซึ้ง ต้องการลุกขึ้นมาเปิดโปงคนชั่วและหาผู้คนที่เข้าใจความจริงมารวมตัวกันต่อสู้พวกปีศาจชั่วอย่างกระตือรือร้น จงสามัคคีธรรมกับผู้คนเช่นนี้และจับมือกันต่อสู้กับซาตาน คนเหล่านี้คือผู้ชนะ เป็นทหารดีของพระคริสต์ เฉพาะผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่มีส่วนร่วมในราชอาณาจักรของพระคริสต์ คนที่ชอบเอาใจผู้คน พวกอสรพิษเฒ่า กิ้งก่าเปลี่ยนสี และคนที่ด้านชาและหัวทึบเหล่านั้นถูกเผยตัวหมดแล้ว พวกเขาคือคนที่จะถูกกำจัดออกไป พวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหญิง ไม่ใช่ผู้คนในพระนิเวศของพระเจ้า แต่เป็นผู้ไม่เชื่อและนักฉวยโอกาสที่ไม่คู่ควรกับความไว้วางใจ วิธีจัดการผู้คนเหล่านี้มีดังนี้คือ หากพวกเขาทำความชั่วได้ลงคอ ก็จงชำระพวกเขาออกไป หากพวกเขาไม่ใช่คนชั่วและไม่ก่อกวนคริสตจักรตามคนชั่ว พวกเขาก็สามารถอยู่ในคริสตจักรได้ชั่วคราวระหว่างที่เจ้ารอให้พวกเขากลับใจ ด้านหนึ่งจงเฝ้าสังเกตและทำความเข้าใจอุปนิสัย ความเป็นมนุษย์ ทัศนะ และท่าทีที่ผู้คนเหล่านี้มีต่อเรื่องต่างๆ จงใช้วิจารณญาณแยกแยะและมองให้เห็นถึงแก่นแท้ของผู้คนเหล่านี้ ในเวลาเดียวกันเมื่อคนชั่วครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก ก็จงเฝ้าระวังพวกที่ชอบเอาใจผู้คนและยืนอยู่ฝ่ายคนชั่ว ทำตัวเป็นลูกสมุนและสมรู้ร่วมคิดกับคนชั่วเหล่านี้ สรุปแล้ว ในส่วนของพฤติกรรมที่ไม่ถูกควรทั้งปวงของคนชั่วที่ครอบงำและก่อกวนการลงคะแนนคัดเลือกนั้น จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะตามพระวจนะของพระเจ้า เมื่อเจ้ามองเห็นแก่นแท้ของพวกเขาชัดเจน เจ้าก็จะรู้วิธีจัดการพวกเขาอย่างเหมาะสมตามหลักธรรม
เมื่อครู่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงปรากฏการณ์บางอย่างที่เป็นการครอบงำและก่อกวนการลงคะแนนคัดเลือก รวมทั้งการกระทำของคนบางคน แม้จะไม่ครอบคลุมทุกแง่มุม แต่โดยหลักก็ได้มีการสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไปแล้ว เมื่อพวกเจ้าพบเจอผู้คนที่ครอบงำและก่อกวนการลงคะแนนคัดเลือกภายในคริสตจักร เจ้าควรลุกขึ้นมาห้ามปรามพวกเขา อย่ายินยอมหรือทำตัวเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน หากมีคนพยายามที่จะครอบงำและก่อกวนการลงคะแนนคัดเลือกอยู่เสมอ ทันทีที่มองเห็นแนวโน้มดังกล่าว พี่น้องชายหญิงก็ควรรวมตัวกันลุกขึ้นมาหยุดยั้งและเปิดโปงพวกเขา หากพวกเขาทำลงไปด้วยความสับสน ไม่รู้ว่านี่นับเป็นการครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก พวกเจ้าก็สามารถอธิบายให้พวกเขาฟังได้ว่า “สิ่งที่คุณทำอยู่นี้คือการครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก อย่ารับบทเป็นข้ารับใช้ของซาตานเลย นี่เป็นการลงคะแนนคัดเลือกผู้นำคริสตจักร ไม่ใช่การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีหรือผู้ปกครองท้องถิ่น พระนิเวศของพระเจ้ามีข้อบังคับของตนเองและมีหลักธรรมในการทำงานนี้ ไม่ควรมีเจตนาของมนุษย์เข้ามาปะปน พวกเราควรปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงของงานนี้อย่างเคร่งครัด หากขีดความสามารถของคุณอ่อนด้อยและคุณไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมความจริง หรือถ้าคุณสูงอายุและเลอะเลือน ไม่มีสติปัญญาที่จำเป็นต่อการร่วมลงคะแนนคัดเลือก เช่นนั้นคุณก็สามารถงดลงคะแนนและรอผลการคัดเลือกก็พอ แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณก็ไม่ควรครอบงำหรือขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก หรือแทรกแซงและก่อให้เกิดการรบกวน สิ่งเหล่านี้คือการทำชั่ว และพระเจ้าก็ทรงชิงชังการกระทำดังกล่าว การทำชั่วเยี่ยงนี้ย่อมถูกกล่าวโทษตลอดไป อย่าเป็นคนเยี่ยงนี้หรือเดินตามเส้นทางนี้เป็นอันขาด ถ้าคุณเป็นมนุษย์จริงๆ ก็อย่าครอบงำและก่อกวนการลงคะแนนคัดเลือก เพราะเมื่อเรื่องนี้กลายเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา คุณก็จะถูกระบุว่าเป็นข้ารับใช้ของซาตาน และจะถูกเอาตัวออกจากคริสตจักร” หากพบตัวผู้คนที่ครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก ก็สามารถสามัคคีธรรมด้วยความรักกับคนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยในหมู่พวกเขาซึ่งไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น สามารถให้การเกื้อหนุน จัดเตรียม และช่วยเหลือได้ ทว่าจะทำเช่นใดกับคนที่แม้จะตระหนักรู้หลักธรรมความจริงเป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็ยังจงใจครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก ถึงกับไม่สนใจคำตักเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้? มีทางออกสำหรับพวกเขาเช่นกันคือ ไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าร่วมในการลงคะแนนคัดเลือกอีกต่อไป ริบสิทธิ์ในการลงคะแนนคัดเลือกของพวกเขา สรุปว่าต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะ หยุดยั้ง และควบคุมการกระทำทุกอย่างที่ครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือกทั้งหมดเพื่อพลิกสถานการณ์กลับมา ต้องไม่อนุญาตให้มีพฤติกรรมและการกระทำดังกล่าวในคริสตจักร เพื่อป้องกันไม่ให้ผลการคัดเลือกออกมาผิดและไม่ให้งานของคริสตจักรถูกรบกวนและเสียหาย
ข้อสรุปเกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน
หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานเกี่ยวพันถึงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติในคริสตจักร พวกเราได้แบ่งสิ่งเหล่านี้ออกเป็นสิบเอ็ดประเด็นเพื่อสามัคคีธรรม ปัญหาหรือเหตุการณ์ที่เป็นการขัดขวางและก่อกวนตามที่ระบุไว้ในแต่ละประเด็นนั้น เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนและความเชื่ออันถ่องแท้ที่พวกเขามีในพระเจ้า เหตุใดจึงแบ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วนขนาดนี้? เหตุใดเราจึงหยิบยกแต่ละประเด็นขึ้นมาสามัคคีธรรมและชำแหละ? เมื่อพิจารณาชื่อของแต่ละประเด็นแล้ว ความเป็นมนุษย์ของผู้คนที่ทำสิ่งเหล่านี้ไม่ดีเลย ยกเว้นข้อแรก—มักจะพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริง ซึ่งไม่ถือว่าร้ายแรง—ที่เหลือล้วนมีธรรมชาติที่ร้ายแรงมากทั้งสิ้น การสำแดงเหล่านี้ล้วนมีธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน และล้วนขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเราหยิบยกขึ้นมาสามัคคีธรรมและชำแหละไปทีละข้อ เมื่อเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นในชีวิตคริสตจักรหรือระหว่างที่ทำหน้าที่ของตน ผู้คนควรมีความตื่นตัวเป็นพิเศษ ใช้วิจารณญาณแยกแยะและมองสิ่งเหล่านี้ให้ทะลุปรุโปร่ง เมื่อผู้คนมองเห็นว่ามีเหตุการณ์ซึ่งก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนเช่นนี้เกิดขึ้น พวกเขาควรลุกขึ้นมาหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ ในส่วนของประเด็นแรกที่ว่า “มักจะพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริง” บางครั้งผู้คนก็ทำเช่นนี้โดยไม่ตั้งใจ อีกทั้งรูปการณ์ที่เกี่ยวข้องและธรรมชาติของเรื่องนั้นก็ไม่ได้ร้ายแรงนัก แต่หากพวกเขาพูดนอกเรื่องและพูดจาสับสนอยู่บ่อยครั้ง ก่อความรำคาญให้แก่ผู้ฟัง และไม่สัมฤทธิ์ผลดีใดๆ ในชีวิตคริสตจักร เช่นนี้ย่อมนำไปสู่ผลสืบเนื่องที่เป็นการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ปัญหาที่เหลือไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นใดก็มากพอที่จะก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรและระเบียบชีวิตคริสตจักรทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องสามัคคีธรรม วิเคราะห์ และชำแหละประเด็นเหล่านี้อย่างละเอียด เมื่อเกิดเหตุที่มุ่งร้ายขึ้น หากเจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะและรู้จักการทำชั่วที่ก่อกวนคริสตจักร เจ้าก็ควรลุกขึ้นมาหยุดยั้งและควบคุมการทำชั่วเหล่านั้นเอาไว้ สำหรับความหมายที่กว้างกว่านั้น นี่คือการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ส่วนความหมายที่แคบลงมา อย่างน้อยที่สุดก็เป็นการลุล่วงหน้าที่และความรับผิดชอบของสมาชิกคริสตจักร นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำได้มิใช่หรือ? (ใช่) หากเจ้าไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร? เมื่อเจ้าไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ พวกเราควรระบุว่าเจ้าเป็นอย่างไร? อย่างน้อยที่สุด นี่ย่อมหมายความว่าเจ้าเป็นคนเลอะเลือน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเป็นคนขลาดที่หาประโยชน์ไม่ได้ เกรงกลัวซาตาน นอกจากนี้เมื่อเหล่าซาตานและหมู่มารปรากฏตัวเพื่อก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติในคริสตจักร เจ้ากลับไม่แยแสและไร้พลัง ไม่มีการตอบโต้ ไม่มีความเชื่อและความกล้าหาญที่จะลุกขึ้นมาสู้รบกับซาตานและเป็นคำพยานให้พระเจ้า ในกรณีนั้น เจ้าย่อมเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ติดตามพระเจ้า
หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานได้ระบุเหตุการณ์หลากหลายประเภทในคริสตจักรที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าเอาไว้เป็นข้อๆ แต่ละเหตุการณ์เกี่ยวพันกับท่าทีของผู้นำและคนทำงาน รวมถึงพี่น้องชายหญิงธรรมดาสามัญที่มีต่อพระเจ้า ทั้งยังเกี่ยวข้องกับท่าทีที่แต่ละคนมีต่อหน้าที่และความรับผิดชอบของตน ตลอดจนจุดยืนและทัศนะที่พวกเขามีต่อเหตุการณ์และสิ่งเป็นลบที่ก่อกวนงานในพระนิเวศของพระเจ้า แน่นอนว่านี่ย่อมเกี่ยวข้องกับการที่คนคนหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าและฟังคำเทศนามานานหลายปีแล้วจะมีวุฒิภาวะและความเชื่อมากพอที่จะสู้รบกับซาตานและเป็นคำพยานให้พระเจ้าในยามที่เกิดเหตุการณ์และสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ขึ้นมาหรือไม่ มีการกล่าวถึงประเด็นสำคัญหรือไม่? มีการพูดถึงจุดยืนและเส้นทางที่คนคนหนึ่งใช้เดิน รวมทั้งท่าทีที่มีต่อพระเจ้า ความจริง และหน้าที่ของตน ฉะนั้น หลังจากที่ฟังพระวจนะเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าควรเข้าใจว่าพระวจนะเหล่านี้คือพระประสงค์ที่พระเจ้ามีต่อผู้คน อย่าปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านี้เหมือนเป็นคำสอน กฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับที่ต้องนำไปปฏิบัติและทำให้บรรลุผล แต่จงใคร่ครวญให้มากขึ้นเพื่อเข้าใจความจริง จากนั้นจึงปฏิบัติและเข้าสู่พระวจนะเหล่านี้ เพื่อสนองพระประสงค์ของพระเจ้า เมื่อคนชั่วขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร จงอย่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อน อย่าบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของตนด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา ด้วยการบอกว่าเจ้าเพิ่งเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสั้นๆ ด้อยวุฒิภาวะ หรืออายุยังน้อย และอื่นๆ เมื่อพระเจ้าทรงตรวจงาน เมื่อพระองค์ทรงจัดวางสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อดูท่าทีของเจ้า พระองค์ไม่ทรงดูที่อายุของเจ้า ไม่ทรงดูว่าเจ้าเชื่อในพระองค์มากี่ปีแล้ว หรือเคยจ่ายราคาใดและสัมฤทธิ์คุณความดีอันใดไปแล้วบ้าง พระเจ้าทรงต้องการท่าทีของเจ้าในขณะนั้น หากปกติแล้วเจ้าไม่เคยใคร่ครวญหรือแสวงหาในเรื่องเหล่านี้ และผ่านทุกเรื่องราวด้วยสภาวะที่เลอะเลือน ไม่จดจำสิ่งใดเลย ไม่แสวงหาความจริง ไม่เรียนรู้บทเรียนของตน หรือจริงจังกับสภาพแวดล้อมนานัปการที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้ให้ หากเจ้าหลบหนีเมื่อพบเห็นคนชั่วกำลังทำให้เกิดการก่อกวนและขัดขวาง ไม่เคยรายงานเรื่องนี้ต่อพระนิเวศของพระเจ้าหรือแสดงท่าทีของตนให้เห็น เช่นนั้นแล้วแม้เจ้าจะไม่มีส่วนร่วมในการทำความชั่ว แต่พฤติกรรมของเจ้าในเรื่องนี้ก็ได้เผยให้เห็นจุดยืนและทัศนคติของเจ้า—เจ้าคือคนที่ดูอยู่รอบนอก โดยยืนอยู่ฝ่ายซาตาน พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่ง และเจ้าก็ไม่สามารถหลอกลวงพระองค์ได้ ฉะนั้น เมื่อเกิดเรื่องที่เป็นลบเหล่านี้ขึ้นมา เมื่อเจ้าพบเจอผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรและระเบียบปกติในชีวิตคริสตจักร ย่อมเป็นการเผยให้เห็นท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้าอย่างชัดเจน อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น อายุค่อนข้างน้อย และด้อยวุฒิภาวะ แต่เมื่อเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น หากเจ้ากระทำการตามหลักธรรม พยายามหยุดยั้ง ควบคุม หรือถึงขั้นเปิดโปงคนชั่ว ยอมเสี่ยงและไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองเพื่อที่จะลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า—หากเจ้ามีหัวใจเช่นนี้ ท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า รวมทั้งความมุ่งมั่นของเจ้าในการเป็นพยานให้พระเจ้าและต่อสู้กับซาตาน ก็จะกลายเป็นคำพยานที่ผู้คนและพระเจ้าต่างก็มองเห็น การทำชั่วของผู้คน การหลอกลวงและปกปิดพระเจ้า บ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของตน ยอมจำนนและประนีประนอมกับซาตานเมื่อมันทำความชั่ว—พระเจ้าย่อมจะทอดพระเนตรเห็นทั้งหมดนี้ และการทำชั่วเหล่านี้ก็จะถูกสะสางและได้รับคำพิพากษาในสักวันหนึ่ง แต่ในทำนองเดียวกัน เมื่อผู้คนลุกขึ้นมาต่อต้านการขัดขวางและก่อกวนของซาตานเพื่อออกหน้าพูดแทนพระนิเวศของพระเจ้าและพี่น้องชายหญิง ต่อสู้กับซาตานเพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า แสวงหาความจริงโดยตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็นพยานให้พระเจ้า ต่อให้ในบางครั้งพวกเขารู้สึกอับจนหนทางและโดดเดี๋ยว ขาดปัญญา เข้าใจความจริงเพียงผิวเผิน หรือต้องการสามัคคีธรรมความจริงแต่ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างชัดเจน พาให้บางคนเยาะหยันและดูแคลนพวกเขา แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ทรงมองเห็นความจริงใจของพวกเขา และทรงมองว่าการกระทำและพฤติกรรมเหล่านี้คือการทำดี สักวันหนึ่งการทำชั่วย่อมจะได้รับคำพิพากษาและมีบทสรุปเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เช่นเดียวกับการทำดี—แต่บทสรุปสุดท้ายของพฤติกรรมทั้งสองประเภทนี้ย่อมจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การทำชั่วจะได้รับการลงทัณฑ์อย่างสาสม และการทำดีจะได้รับการตอบแทนในทางที่ดี พระเจ้าได้ทรงกำหนดเช่นนี้สำหรับทุกคนมานานแล้ว เพียงแต่ทรงรอการสำแดงต่างๆ ของผู้คนระหว่างช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อให้กลายเป็นข้อเท็จจริง แล้วจึงประทานรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว
หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานระบุประเด็นปัญหาเกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรเอาไว้สิบเอ็ดข้อ ทั้งสิบเอ็ดประเด็นนี้สำคัญหรือไม่? เผยผู้คนให้เห็นอย่างชัดเจนหรือไม่? เมื่อพวกเจ้าสามัคคีธรรมแต่ละประเด็น พวกเจ้าควรทุ่มเทความพยายามให้มากขึ้นเพื่อจะได้เข้าใจความจริงอย่างชัดเจน เรื่องนี้เกี่ยวพันกับวิธีที่ผู้คนค้ำจุนความยุติธรรมและสิ่งที่เป็นบวก ทั้งยังเกี่ยวพันกับการที่ผู้คนลุกขึ้นมาต่อสู้กับซาตาน เปิดโปงและเผยโฉมหน้าของซาตาน หยุดยั้งและควบคุมการทำชั่วของซาตานอย่างไรด้วยเช่นกัน—นี่คือสองแง่มุมที่เกี่ยวข้องกัน เมื่อซาตานขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร เจ้ามีบทบาทหรือไม่? เจ้ามีบทบาทเช่นใด? เจ้าได้ทำสิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์จากเจ้าแล้วหรือยัง? เจ้าได้ลุล่วงภาระผูกพันและหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้ติดตามพระเจ้าควรลุล่วงแล้วหรือยัง? เมื่อเกิดประเด็นปัญหาเหล่านี้ขึ้นมา เจ้าจะประนีประนอม กลบเกลื่อนเรื่องราว และยืนอยู่ตรงกลางในฐานะคนที่ชอบเอาใจผู้คน หรือว่าเจ้าจะลุกขึ้นมาหยุดยั้งและควบคุมการทำชั่วของซาตาน ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องชายหญิงที่แท้จริงอีกมากเพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้กับพระนิเวศของพระเจ้า? เจ้าปกป้องสิ่งใด? เจ้าปกป้องผลประโยชน์ของคนชั่ว ผลประโยชน์ของซาตาน หรือปกป้องผลประโยชน์ให้กับพระนิเวศของพระเจ้า? หากมีสิ่งที่ขัดขวางหรือก่อกวนงานของคริสตจักรเกิดขึ้น และเจ้าไม่ทำสิ่งใดเลย เอาแต่ทำตัวเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน รักษาตนให้ปลอดภัย เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าจะสามารถจัดการสัมพันธภาพระหว่างบุคคลได้สำเร็จและไม่เป็นอันตราย ไม่เคยรู้สึกห่วงใยหรือร้อนใจว่างานของคริสตจักรจะถูกก่อกวน ไม่เกลียดหรือโกรธการทำชั่วของคนชั่ว ไม่มีภาระใดๆ ต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและพี่น้องชายหญิงทั้งปวง ไม่สำนึกว่าติดค้างพระเจ้า และไม่รู้สึกติเตียนตนเองแต่อย่างใด เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมตกอยู่ในอันตราย ในสายพระเนตรของพระเจ้า หากเจ้าเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนมาโดยตลอด เอามือกอดอกคอยสังเกตการณ์และหลบหลีกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไรเลย รวมทั้งไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบหรือภาระผูกพันของตนแต่อย่างใด เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมตกอยู่ในอันตรายและมีแนวโน้มที่จะถูกพระเจ้ากำจัดออกไปจริงๆ หากพระเจ้าทรงมีพระดำริว่าไม่ทรงมีแม้แต่เจตนาที่จะให้เจ้าออกแรงทำงานอีกต่อไป และพระองค์ก็ทรงเอือมระอาเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมถูกกำหนดแล้วว่าจะถูกกำจัดออกไป ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง! เมื่อพระเจ้าตรัสว่าพระองค์ไม่ทรงต้องการเห็นคนอย่างเจ้าอีกต่อไป และไม่ทรงให้ค่าการทำหน้าที่ใดๆ หรือการลงแรงของคนอย่างเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อนั้นย่อมจะมีวันใดวันหนึ่งหรือเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคตไม่ไกลนักที่คริสตจักรจะกำจัดเจ้าออกไป ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเจ้า นั่นเป็นเพราะสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าไม่เป็นปกติอีกต่อไปหรือเจ้าได้พาตัวออกห่างจากพระเจ้าและทรยศพระองค์ไปแล้ว และนี่ย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์ดังกล่าว เจ้าสามารถมองเห็นข้อเท็จจริงนี้หรือไม่? เมื่อเจ้าตระหนักในข้อเท็จจริงนี้ ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับได้หรือไม่ ความหวังอันสวยงามทั้งปวงในหัวใจของเจ้าย่อมจะหายวับไปในพริบตา
เมื่อผู้คนเพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้า ทุกคนล้วนมีหัวใจอันแรงกล้า แม้พวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นบั้นปลายหรือจุดหมายปลายทางในอนาคตของตน แต่ก็รู้สึกถึงการพึ่งพาพระเจ้าอยู่เสมอ พวกเขามุ่งมาดสิ่งที่สวยงามและเป็นบวกอยู่ตลอดเวลา ความเข้มแข็งเช่นนี้มาจากไหน? ผู้คนไม่รู้ พวกเขาคิดไม่ออกว่า “ผู้คนก็เหมือนกันหมด ทุกคนดำรงชีวิตอยู่ในอากาศเดียวกันภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน แล้วทำไมผู้ไม่มีความเชื่อถึงไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวใจของพวกเขาในขณะที่พวกเรามีเล่า?” นี่คือความล้ำลึกมิใช่หรือ? ความเข้มแข็งนี้มาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากเหลือเกิน ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนมีมาแต่กำเนิด หากทุกคนมีความเข้มแข็งนี้มาแต่กำเนิด พวกเขาย่อมจะเหมือนกันหมดทุกคน ในหมู่มวลมนุษย์จะไม่มีการแบ่งแยกสูงหรือต่ำ สูงศักดิ์หรือต่ำช้า และจะไม่มีความแตกต่างระหว่างคนที่เชื่อกับคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาไม่มี แต่เจ้ากลับมีได้ เจ้าสามารถมีสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในหมู่มวลมนุษย์ เหตุใดจึงเรียกว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด? เพราะความหวังและความคาดหมายนี้โดยแท้ เจ้าจึงสามารถตั้งใจทำหน้าที่ของเจ้าอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างต่อเนื่อง นี่คือภาวะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการที่คนคนหนึ่งจะสามารถได้รับความรอด เป็นเพราะความคาดหวังนี้ เจ้าจึงมีโอกาส และมีความแน่วแน่ที่จะสละเพื่อพระเจ้าอยู่บ้าง ทำหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและเป็นคนดี เป็นคนที่ได้รับการช่วยให้รอด ผลประโยชน์ที่ได้จากความคาดหวังนี้ช่างยิ่งใหญ่นัก แล้วความคาดหวังนี้มาจากไหน? มาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมา อย่างไรก็ดี เมื่อพระเจ้าไม่ต้องประสงค์ใครบางคนอีกต่อไป ความคาดหวังนี้ย่อมถูกพรากไป พวกเขาจึงไม่ถวิลหาหรือคาดหวังในสิ่งต่างๆ ที่งดงามอีกต่อไป ไม่ตั้งความหวังในสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว หัวใจของพวกเขามืดมนและเริ่มจมดิ่งลง พวกเขาสูญเสียความกระตือรือร้นที่จะไล่ตามเสาะหาสิ่งที่งดงามหรือเป็นบวก รวมทั้งสัญญาต่างๆ จากพระเจ้า พวกเขาได้กลายเป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ เมื่อสูญเสียความคาดหวังนี้ไปแล้ว พวกเขาจะสามารถคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า เชื่อในพระเจ้า และติดตามพระองค์ต่อไปได้หรือไม่? เส้นทางของความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าได้สิ้นสุดลงแล้วมิใช่หรือ? เมื่อเจ้าสูญเสียเงื่อนไขเบื้องต้นซึ่งก็คือการมีความตั้งใจแน่วแน่ในการไล่ตามเสาะหา เจ้าย่อมกลายเป็นซากศพเดินได้ การเป็น “ซากศพเดินได้” หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้อีกต่อไป เมื่อเจ้ามีเงื่อนไขนี้ เจ้าย่อมสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า มีความหวัง ความเชื่อของเจ้าย่อมมีแรงบันดาลใจ และเงื่อนไขข้อนี้ก็สามารถทำให้เจ้ามีแรงจูงใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง อย่างไรก็ดี เมื่อเจ้าสูญเสียเงื่อนไขพื้นฐานที่สำคัญนี้ แรงจูงใจนี้ย่อมหายไปด้วย เจ้าไม่มีความกระตือรือร้นหรือความสนใจที่จะฟังพระวจนะของพระเจ้า คำสัญญาและความคาดหวังทั้งหลายไม่ทำให้เจ้าเกิดความสนใจหรือแรงจูงใจอีกต่อไป พระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นทฤษฎีขั้นสูงสำหรับเจ้าไปแล้ว เจ้าไม่พากเพียรที่จะเข้าถึงพระวจนะของพระเจ้า และพระเจ้าก็ไม่ประทานความรู้แจ้งแก่เจ้าอีกต่อไป เจ้าไม่สามารถได้รับความจริงใดๆ จากพระวจนะของพระเจ้าเลย สำหรับเจ้าแล้ว เส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าเส้นนี้จึงสิ้นสุดลงแล้วมิใช่หรือ? เมื่อมาถึงจุดนี้ เจ้าย่อมเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระเจ้าไปแล้ว แล้วเจ้ายังจะสามารถทำให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยได้หรือไม่? นั่นย่อมจะไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อพระเจ้าทรงกำหนดแล้วว่าพระองค์ไม่ต้องประสงค์ใครบางคนอีกต่อไป พวกเขาย่อมรู้สึกเช่นนี้อยู่ภายใน เมื่อความคาดหวังนี้ถูกริบไป ท่าทีที่เจ้ามีต่อเรื่องต่างๆ เช่น การเชื่อในพระเจ้า การทำหน้าที่ของเจ้า และการได้รับความรอดย่อมจะต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง เมื่อคิดทบทวนการไล่ตามเสาะหาด้วยความรู้สึกแรงกล้าที่เจ้าเคยมี เจ้าย่อมจะพบว่านั่นเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ และไม่น่าเชื่อ เมื่อเจ้าพบว่าเรื่องนั้นไม่น่าเชื่อ โดยเปรียบเทียบสภาพของเจ้าในตอนนี้กับตัวตนก่อนหน้านี้ของเจ้า สภาวะภายในของเจ้าย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพไปแล้ว เจ้าจะกลายเป็นคนที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง เจ้าจะไม่ใช่คนเดียวกันกับที่เจ้าเคยเป็นเมื่อก่อนนี้ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น? ย่อมจะไม่ใช่เพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะเจ้ามีอายุมากขึ้นและมีกลอุบายมากขึ้น ไม่ใช่เพราะเจ้ามีประสบการณ์และความเข้าใจชีวิตในเชิงลึกมากขึ้น จนเปลี่ยนความคิดอ่านและทัศนคติของตน แต่จะเป็นเพราะพระเจ้าเปลี่ยนพระทัยไปแล้ว พระดำริของพระองค์เปลี่ยนไป ท่าทีและความคาดหวังที่พระองค์ทรงมีต่อเจ้าก็เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงกลายเป็นคนละคนแม้เจ้าจะไม่ต้องการจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม เมื่อมองดูในเวลานี้ หากคนคนหนึ่งสูญเสียสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา แต่เป็นสิ่งที่เขามองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่สุด ไร้ความหมายที่สุด ถึงตอนนี้คนคนนั้นย่อมจะจมอยู่ในความทุกข์ โดยไม่มีความสุขใดให้พูดถึง ดังนั้น อย่าไปถึงจุดนั้นเป็นอันขาด หากเจ้าไปถึงจุดนั้น เจ้าก็อาจจะรู้สึกเหมือนน้ำหนักบนบ่าของเจ้าถูกยกออกไปแล้ว เจ้าเป็นอิสระ ผ่อนคลาย ไม่ต้องเชื่อในพระเจ้าหรือทำหน้าที่ของเจ้าอีกต่อไป สามารถใช้ชีวิตอย่างเสรีและไร้ศีลธรรมเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ เหมือนนกออกจากกรง แต่นั่นเป็นความสะดวกสบาย ความเบิกบาน และการตามใจตัวเองเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเจ้าเดินหน้าต่อไป จงมองดูหนทางข้างหน้าเถิด—เจ้ายังจะมีความสุขเช่นนี้หรือไม่? ไม่ เจ้าจะไม่เป็นสุขเช่นนี้ ช่วงเวลาที่ยากลำบากรอเจ้าอยู่ข้างหน้า! เวลาที่เจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง ไม่ว่าพระผู้สร้างจะจัดวางเรียบเรียงสิ่งต่างๆ ให้เจ้าอย่างไร จะทรงทำสิ่งใดต่อเจ้าและทรงทำสิ่งนั้นอย่างไร จะทรงนำบททดสอบและความทุกข์เข็ญมาให้เจ้ามากเท่าใด ไม่ว่าเจ้าจะสู้ทนความทุกข์มากเพียงใด หรือต่อให้เกิดความไม่เข้าใจ ความเข้าใจผิด และสิ่งอื่นๆ ขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดเจ้าย่อมจะรู้สึกว่าเจ้าอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าคือที่พึ่งพาของเจ้า และหัวใจของเจ้าก็มีสันติสุข แต่เมื่อพระเจ้าไม่ทรงต้องการเจ้าแล้ว เจ้าย่อมไม่สามารถรับรู้ได้อีกต่อไปว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร และเจ้าย่อมสูญเสียที่พึ่งพิงนี้ไป นั่นก็เหมือนโลกทั้งใบรอบตัวเจ้าพังครืน เหมือนตอนที่เจ้าเป็นเด็ก และเจ้าก็คิดเพียงว่า “แม่น่ารักที่สุด แม่ใส่ใจและรักฉันมากที่สุด แม่จะตายไม่ได้” เจ้าทนไม่ได้เมื่อได้ยินว่าแม่ของเจ้าป่วย เจ้าคิดว่าหากแม่ของเจ้าตายไปจริงๆ ฟ้าคงถล่ม และเจ้าคงจะไม่มีทางมีชีวิตอยู่ต่อไป มีการใช้เหตุผลแบบเดียวกันนี้กับการเชื่อในพระเจ้า สันติสุขและความเบิกบานอันยิ่งใหญ่ที่สุดในการเชื่อในพระเจ้าของคนคนหนึ่งมาจากการพึ่งพาพระเจ้า เชื่อว่าชะตาชีวิตของตนอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง ความรู้สึกมั่นคงของคนคนหนึ่งมาจากการมีความเชื่อใจและการพึ่งพาที่แท้จริงนี้ เมื่อเจ้ารู้สึกว่าความเชื่อใจและการพึ่งพานี้หายไป และหัวใจของเจ้าย่อมรู้สึกว่างเปล่า เหมือนหลุมที่เพิ่งขุดเสร็จใหม่ๆ ฟ้าของเจ้าย่อมถล่มลงมาแล้วมิใช่หรือ? เมื่อเจ้าสูญเสียที่พึ่ง เจ้าจะมีความเข้มแข็งในการดำเนินชีวิตต่อไปหรือไม่? ผู้คนเช่นนี้ก็เหมือนซากศพเดินได้ ได้แต่กินอาหารจนพุงกางพลางรอคอยจุดจบของตนเท่านั้น
ปัจจุบันนี้ บางคนแสดงพฤติกรรมแย่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำชั่ว และขัดขวาง ก่อกวน สร้างความเสียหายต่องานของคริสตจักรอย่างไม่หยุดหย่อนระหว่างที่ทำหน้าที่ของตน ถึงขั้นทำให้พระนิเวศของพระเจ้าสูญเสียผลประโยชน์ไปมากมาย พวกเขาไม่เคยแสดงความจริงใจหรือความจงรักภักดีต่อพระเจ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความนบนอบใดๆ ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงไม่เคยยอมรับพวกเขา พวกเขาคือคนชั่วที่แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าด้วยเจตนาที่จะได้รับพร พระเจ้าทรงอนุญาตให้พวกเขาเข้ามาเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถเรียนรู้บทเรียนและมีวิจารณญาณแยกแยะมากขึ้น แม้พวกเขาจะเป็นคนที่ถูกเรียก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถูกเลือกเพราะพฤติกรรมที่พวกเขาแสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ภาวะของพวกเขาเป็นเช่นไร? พวกเจ้าสามารถสอบถามดูได้ ไม่มีพวกเขาคนใดที่ดำเนินชีวิตด้วยดี คุณภาพชีวิตของคนที่พึ่งพาพระเจ้าและได้รับการจัดเตรียมจากพระองค์ทุกเมื่อและทุกที่ แตกต่างจากคนที่ไม่ได้รับการจัดเตรียมและความช่วยเหลือจากพระเจ้าชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งยังตกลงไปในบาดาลลึกอยู่เสมอเวลาเผชิญสถานการณ์ต่างๆ คนที่ไม่ได้รับการจัดเตรียมจากพระเจ้าย่อมไม่มีสันติสุขหรือความเบิกบาน ตลอดทั้งวันจะมีแต่ประสบการณ์กับความหวาดกลัว ความไม่สบายใจ ความกระสับกระส่าย และความวิตกกังวล พวกเขาใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างไร? ง่ายหรือไม่ที่จะใช้วันเวลาภายในบาดาลลึก? ไม่ง่ายเลย พักเรื่องบาดาลลึกนี้ไว้ก่อน แม้เจ้าจมอยู่ในความคิดลบเพียงไม่กี่วันติดต่อกัน เจ้าย่อมจะทนทุกข์อย่างแสนสาหัส ฉะนั้น จงทะนุถนอมช่วงเวลาปัจจุบันเอาไว้ อย่าพลาดโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ การทำหน้าที่ของเจ้าอยู่ในพระราชกิจบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้าย่อมถือเป็นเกียรติ เป็นเกียรติสำหรับทุกคน ไม่ใช่เรื่องของการถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม กุญแจสำคัญอยู่ที่เจ้าตอบแทนและปฏิบัติต่อเกียรติที่เจ้าได้รับจากพระเจ้านี้อย่างไร พระเจ้าทรงยกชูเจ้า อย่าเพิกเฉยต่อความเมตตาของพระองค์ เจ้าควรรู้จักตอบแทนพระคุณของพระเจ้า แล้วเจ้าควรตอบแทนอย่างไร? พระเจ้าไม่ทรงต้องการเงินหรือชีวิตของเจ้า ไม่มีพระประสงค์ในสมบัติใดๆ ที่เป็นมรดกตกทอดในครอบครัวของเจ้า แล้วพระเจ้าทรงต้องการสิ่งใด? พระเจ้าต้องประสงค์ให้เจ้าจริงใจและจงรักภักดี ความจริงใจและความจงรักภักดีนี้สำแดงออกมาอย่างไร? หนทางสำแดงสิ่งเหล่านี้ออกมาก็คือ ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสว่าอย่างไร เจ้าก็ควรพยายามอย่างที่สุดที่จะแสดงให้เห็นหัวใจที่จริงใจและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าคืออะไร? คือความจริง เมื่อเจ้ารับรู้และยอมรับความจริงแล้ว เจ้าควรนำความจริงไปใช้อย่างไร? เจ้าควรปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง ทำตามที่พระเจ้าตรัสทุกประการ อย่าดีแต่พูดว่าตนปฏิบัติความจริง แต่เวลาเผชิญสถานการณ์ต่างๆ เจ้ากลับกระทำการตามเจตจำนงของตนเอง จากนั้นก็หาข้อแก้ตัวและกล่าวถ้อยคำอำพรางและหลอกลวงในภายหลัง—นี่คือการไม่มีความจริงใจและไม่มีความจงรักภักดี พระเจ้าไม่ทรงปรารถนาที่จะเห็นเช่นนี้ สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในตัวคนคนหนึ่งก็คือความจริงใจ คนที่มีความจริงใจควรประพฤติตนอย่างไร? เจ้าควรทำตามที่พระเจ้าทรงกำหนดเอาไว้ทุกประการ ทำตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างไม่ลดละ ต่อให้เจ้าทุ่มเทและทำเหมือนตนเองกำลังปฏิบัติตามข้อบังคับ—และผู้อื่นก็มองว่าเจ้าค่อนข้างเขลาเมื่อพวกเขาเห็นเจ้าทำเช่นนี้—เจ้าก็ยังคงไม่ใส่ใจ และกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าต่อไป นี่คือความจริงใจที่พระเจ้าทรงต้องการจากผู้คน หากเจ้าวางอุบายและมีเล่ห์เหลี่ยมเสมอ ไม่เคยเต็มใจที่จะถูกมองว่าเป็นคนเขลาในสายตาผู้อื่น ไม่เต็มใจทนทุกข์กับการสูญเสียผลประโยชน์ของตนเองแม้เพียงน้อยนิด เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่สามารถปฏิบัติความจริงเพราะเจ้าไม่มีความจริงใจ ผู้คนที่ไม่มีความจริงใจและยังคงพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยกลลวงนั้นฉลาดหลักแหลมเกินไป และพระเจ้าไม่โปรดคนเช่นนี้ เวลาปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็เลือกหยิบแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองมาปฏิบัติและหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ปกติแล้วพวกเขาพูดจารื่นหู พร่ำพูดแต่แนวคิดที่ฟังดูใหญ่โต แต่พอเกิดปัญหาขึ้นมา พวกเขากลับซ่อนตัวและหายไปอย่างไร้ร่องรอย จะกลับมาให้เห็นอีกทีก็ต่อเมื่อผู้อื่นแก้ปัญหาแล้วเท่านั้น คนแบบนี้เป็นคนชั่วร้ายประเภทใด? เมื่อมีสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่พวกเขาได้ พวกเขาก็ชิงก้าวออกมาข้างหน้า ทำตัวแข็งขันกว่าคนอื่น อย่างไรก็ดี พอผลประโยชน์ของตนเองมีความเสี่ยง พวกเขากลับถอยหลังและเริ่มคิดลบ หมดคำพูดที่ฟังรื่นหู สูญเสียจุดยืนและมุมมองของตน พระเจ้าไม่โปรดคนจำพวกนี้ พระองค์ทรงยอมมีคนที่ดูเขลาในสายตาของผู้อื่นมากกว่าที่จะมีคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้
XII. เสวนาเรื่องการเมือง
พวกเราเพิ่งจบการสามัคคีธรรมครบทั้งสิบเอ็ดประเด็นที่อยู่ในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงาน นอกจากสิบเอ็ดประเด็นนี้แล้ว พวกเรามาเพิ่มอีกประเด็นหนึ่งเถิด แม้จะไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นกันทั่วไปในชีวิตคริสตจักร แต่ก็จำเป็นต้องหยิบยกขึ้นมาในที่นี้ กลายเป็นประเด็นที่สิบสอง—เสวนาเรื่องการเมือง การเสวนาหัวข้อทางการเมืองในชีวิตคริสตจักรนั้นเหมาะสมหรือไม่? (ไม่) ชีวิตคริสตจักรมีเพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า นมัสการพระเจ้า และแบ่งปันความเข้าใจที่คนเรามีเกี่ยวกับพระเจ้าและความรู้ที่ได้จากประสบการณ์เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลานี้มีบางคนคุยกันยืดยาวเรื่องการเมือง เช่น สถานการณ์ทางการเมือง บุคคลทางการเมือง ภูมิทัศน์ทางการเมือง ทัศนคติทางการเมือง และจุดยืนทางการเมือง แบบนี้เหมาะสมหรือไม่? เวลาเสวนาหัวข้อที่ว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งและมวลมนุษย์ บางคนก็เอาแนวคิดนี้ไปใช้โดยไม่ดูเหตุการณ์ว่าบุคคลทางการเมืองก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นกัน โดยบอกว่าบุคคลทางการเมืองบางคนก็ติดตามและเชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน ถึงกับเขียนบันทึกฝ่ายวิญญาณ และอื่นๆ อีกมากมาย นี่ย่อมทำให้ผู้อื่นสับสนมิใช่หรือ? มีแม้กระทั่งบางคนที่พูดว่า “พวกเราชาวคริสเตียนควรสนับสนุนนักการเมืองคนนี้เพราะพวกเขาไม่เพียงเป็นผู้เชื่อเท่านั้น แต่ยังปกป้องผลประโยชน์ของผู้เชื่ออย่างพวกเราด้วย เขาเห็นพ้องกับพวกเรา พวกเราจึงควรสนับสนุนและออกเสียงเลือกเขา” พวกเขาถึงกับส่งเสริมนักการเมืองคนนี้ในชีวิตคริสตจักรกันอย่างเอิกเกริก แบบนี้เหมาะสมหรือไม่? คริสตชนมีส่วนร่วมในการเมืองหรือไม่? (ไม่) เจ้าสามารถทำเช่นไรเพื่อหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วม? ก่อนอื่น ไม่ว่าเจ้าจะสนับสนุนพรรคการเมืองใด หรือมีทัศนะเช่นใดทางการเมือง ก็อย่านำเรื่องเหล่านั้นมาเสวนาในชีวิตคริสตจักร แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือไม่ควรมีการโต้เถียงให้เห็นในชีวิตคริสตจักรระหว่างผู้คนที่มีทัศนะทางการเมืองต่างกันอีกด้วย ตัวอย่างเช่น หากเจ้ากับใครสักคนมีทัศนะต่างกัน และสนับสนุนนักการเมืองคนละคนกัน เมื่อพวกเจ้าพบหน้ากันก็อาจจะอยากเสวนาเรื่องนี้ นี่ย่อมทำได้ แต่พวกเจ้าไม่อาจทำเช่นนี้ในที่ชุมนุมเป็นอันขาด เจ้าสองคนสามารถส่งข้อความส่วนตัวหากัน สามารถนัดพบและพูดคุยกัน หรือถึงขั้นเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดงก็ได้ และจะไม่มีใครแทรกแซง นี่เป็นสิทธิพลเรือนภายใต้ระบอบประชาธิปไตย แต่ขณะที่ใช้ชีวิตคริสตจักร เจ้าไม่ได้เป็นเพียงพลเรือนของประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเจ้าเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นั่นคืออัตลักษณ์ของเจ้าในบริบทนี้ อย่านำหัวข้อทางการเมืองหรือหัวข้อเกี่ยวกับบุคคลทางการเมืองเข้ามาในคริสตจักร สิ่งที่เจ้าเสวนาแสดงถึงจุดยืนและทัศนคติส่วนตัวของเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ของคริสตจักร คริสตจักรไม่สนใจการเมืองและไม่สนใจระบอบ บุคคล ผู้นำ หรือกลุ่มการเมืองใด เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงและไม่เกี่ยวพันกับการเชื่อในพระเจ้า ไม่ควรหยิบยกหัวข้อใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองขึ้นมาในชีวิตคริสตจักร บางคนกล่าวว่า “แล้วเป็นอะไรหรือไม่ถ้าทุกคนนัดเสวนาเรื่องนี้กันนอกชีวิตคริสตจักร?” อย่าทำเป็นดีที่สุด หากเจ้าอยากร่วมเสวนาในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อที่มีทัศนะทางการเมืองแตกต่างกัน นั่นก็แล้วแต่เจ้า เป็นเสรีภาพของเจ้า และพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่แทรกแซง แต่ตราบใดที่สมาชิกคริสตจักรมารวมตัวกัน หรืออยู่ในระหว่างเวลาชุมนุมกันอย่างเป็นทางการ จงอย่าหยิบยกทัศนะหรือข้อโต้แย้งทางการเมืองขึ้นมาเป็นหัวข้อหลัก และอย่าเสแสร้งว่าทัศนะทางการเมืองของเจ้าเกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้า ความจริง หรืออธิปไตยของพระเจ้า ทัศนะทางการเมืองของเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับความจริงโดยสิ้นเชิง ไม่มีความเชื่อมโยงกันแม้แต่น้อยระหว่างสองสิ่งนี้ ดังนั้นจงอย่าเสแสร้งว่ามี!
บางคนต้องการคุยเรื่องการเมือง แต่ที่บ้านไม่มีใครเสวนาเรื่องนี้ด้วย ดังนั้นบทสนทนาจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย เมื่อเห็นว่าพี่น้องชายหญิงล้วนเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว พวกเขาจึงเชื่อว่าตนพบช่องทางในการเสวนาเรื่องการเมืองและระบายทัศนะทางการเมืองแล้ว พวกเขาตื่นเต้นที่ได้พบโอกาสดีๆ เช่นนี้ ต้องการคุยเรื่องทัศนะทางด้านการเมือง เหตุการณ์ปัจจุบัน และสถานการณ์ระหว่างประเทศ เวลาเสวนาเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็เริ่มด้วยการกล่าวว่า “ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า นักการเมืองเหล่านี้และการเมืองของมวลมนุษย์ก็อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้าเช่นกัน พระเจ้าทรงลิขิตสิ่งเหล่านี้เอาไว้” หลังจากเกริ่นเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็เริ่มเสวนาเรื่องการเมืองและเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างยืดยาว และสรุปด้วยคำพูดว่า “การเมืองไม่อาจหนีพ้นอธิปไตยของพระเจ้า มีเจตนารมณ์อันดีงามของพระเจ้าอยู่ด้วยทั้งสิ้น” หากผู้คนไม่สามารถมองเรื่องเหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาก็ไม่ควรพูดเรื่องเหล่านี้โดยไม่ไตร่ตรอง การสามัคคีธรรมความจริงคือการสามัคคีธรรมความจริง อย่าเสวนาเรื่องการเมืองหรือนักการเมือง การเสวนาเรื่องการเมืองไม่ใช่การสามัคคีธรรมความจริง เป็นการชักพาให้ผู้คนหลงผิด หากเจ้าต้องการพูดเรื่องการเมือง ก็จงหากลุ่มคนที่รักการเมืองและไปคุยกับพวกเขาเอง เจ้าจะได้คุยอย่างจุใจ การพูดคุยหัวข้อเหล่านี้ในคริสตจักรอยู่เสมอ เจ้ามีจุดมุ่งหมายอะไร? เจ้ากำลังจงใจพยายามทำให้ผู้คนชื่นชมเจ้าและเลือกเจ้าเป็นผู้นำใช่หรือไม่? นี่คือการมีแรงจูงใจแอบแฝง! ผู้คนที่ชอบคุยเรื่องการเมืองคือผู้คนที่ไม่ทำกิจอันถูกควรของตนและแน่นอนว่าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง อย่าเสวนาหัวข้อทางการเมืองในที่ชุมนุมของคริสตจักรเป็นอันขาด บางคนกล่าวว่า “ถ้าพวกเราคุยเรื่องการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ระบอบการเมือง และนโยบายของประเทศเสรีไม่ได้ แล้วถ้าเป็นเรื่องการเมืองและเรื่องอื้อฉาวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง เช่น เจ้าหน้าที่ที่ทุจริตเอาทองไปมากเท่าใด และเขามีเมียน้อยกี่คนเล่า? พวกเราเสวนาเรื่องเหล่านี้ได้หรือไม่?” เจ้าไม่ขยะแขยงหัวข้อเหล่านี้บ้างหรือ? เหตุใดเจ้าจึงใส่ใจเรื่องที่น่าขยะแขยงเหล่านี้มากนัก? เหตุใดเราจึงรู้สึกว่าการใส่ใจและการอ่านเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง? บางคนสนใจเรื่องเหล่านี้เป็นพิเศษ ไม่รู้สึกว่าน่าขยะแขยงแม้แต่น้อย พวกเขาเต็มใจอ่านเรื่องเหล่านี้ทางอินเทอร์เน็ต โดยอ่านทุกครั้งที่มีเวลา หัวใจของพวกเขารู้สึกสบาย มั่นคง และเต็มอิ่มเมื่อพวกเขาอ่านเรื่องเหล่านี้ เหตุใดพวกเขาจึงไม่รู้สึกเต็มอิ่มเช่นนี้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้า? แบบนี้ไม่เลวทรามไปหน่อยหรือ? นี่คือการละเลยกิจอันถูกควรมิใช่หรือ? ในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แม้แต่การเดินเล่นในสนาม หายใจเอาอากาศสดชื่นเข้าไป และชื่นชมทิวทัศน์ก็ย่อมจะทำให้อารมณ์ของเจ้าสดใสขึ้น แต่บางคนก็ไม่ยอมทำสิ่งเหล่านี้ ในทางกลับกัน เมื่อใดที่มีเวลาว่าง พวกเขากลับเอาแต่จ้องคอมพิวเตอร์ ตรวจดูข่าวสาร รวบรวมข่าวซุบซิบนินทา—ว่าเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตคนใดมีเมียน้อยกี่คน เจ้าหน้าที่ที่ทุจริตคนใดถูกยึดทรัพย์สินไปจากบ้านมากเท่าใด เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใดของพญานาคใหญ่สีแดงโค่นล้มใคร หรือใครลอบสังหารใคร โดยปกติแล้วนี่คือเรื่องที่พวกเขาให้ความสนใจ หลังจากรวบรวมข้อมูลเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าตนเองเต็มไปด้วยความรู้ซึ่งพวกเขาก็เอาไปเล่าให้ทุกคนในที่ชุมนุมฟังอีกที นี่คือการแพร่พิษมิใช่หรือ? มารชั่วพวกนี้ล้วนกระทำผิดจนเป็นเรื่องที่ปกติเหลือเกินไม่ใช่หรือ? บางคนกล่าวว่า “เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะกระทำผิด แต่คุณก็คงนึกภาพเรื่องเลวร้ายบางอย่างที่พวกเขาทำไม่ออกด้วยซ้ำ” มีประโยชน์อันใดที่จะไปนึกภาพเรื่องเหล่านั้น? เจ้าได้รับสมองมาเพื่อให้สามารถนึกภาพว่าสิ่งเลวร้ายที่พวกเขาทำมีอะไรบ้างกระนั้นหรือ? นี่คือการละเลยกิจอันถูกควรของเจ้ามิใช่หรือ? เจ้าคิดว่าการรู้จักความเลวร้ายที่ไม่อาจจินตนาการได้จะทำให้เจ้าเหนือกว่าหรือ? เจ้าสามารถได้รับอะไรจากการนี้บ้าง? นั่นมีแต่จะทำให้เจ้ายิ่งรู้สึกขยะแขยงมากขึ้นมิใช่หรือ? ผู้คนที่ละเลยกิจอันถูกควรของตนนี้มักใส่ใจเรื่องเลวทรามต่ำช้าในเวทีการเมืองอยู่เสมอ พวกเขาไม่โง่งมไปหน่อยหรือ? เหตุใดจึงวิตกกังวลเรื่องของคนเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลาแทนที่จะใช้ชีวิตของตนก็พอ? นี่คือความเขลามิใช่หรือ? นี่คือการไม่มีอะไรทำดีไปกว่านี้มิใช่หรือ? บางคนกล่าวว่า “ผู้เชื่อถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหง พวกเขาย่อมต้องเกลียดชังพญานาคใหญ่สีแดง แน่นอนว่าผู้เชื่อย่อมจะสนใจเรื่องอื้อฉาว การทุจริต การล่วงละเมิด และความเหลวแหลกของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพญานาคใหญ่สีแดง รวมทั้งเรื่องไม่ชอบมาพากลที่พวกเขาทำเอาไว้ เมื่อเรื่องอื้อฉาวเหล่านี้ถูกเปิดโปง ผู้เชื่อก็ควรปรบมือด้วยความเบิกบานไม่ใช่หรือ?” เจ้าติดตามและเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้หรือ? การพูดคุยเรื่องการเมืองในคริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอื้อฉาวที่เปิดโปงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพญานาคใหญ่สีแดง เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุด เจ้าต้องไม่เสวนาเรื่องนี้เป็นอันขาด! และอย่าพูดคุยเรื่องนี้กับเราด้วยเช่นกัน มันทำให้เราขยะแขยง! เราบอกเจ้าเลยว่าอย่าพูดคุยเรื่องนี้และอย่าแม้แต่จะอ่านเรื่องนี้ มิเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วย่อมจะมีสักวันที่เจ้าจะนึกเสียใจที่ไปอ่านเรื่องพวกนั้นเข้า พอเสียใจ เจ้าก็จะรู้เองว่าความรู้สึกนั้นเป็นเช่นไร เรื่องพวกนี้น่าขยะแขยงอย่างไร้ที่สิ้นสุด การฟังและอ่านเรื่องพวกนี้มากเกินไปย่อมไม่ให้ประโยชน์อันใด เหตุใดเราจึงกล่าวว่าไม่ให้ประโยชน์? เพราะเมื่อความรู้สึกนึกคิดของเจ้าเต็มไปด้วยเรื่องน่าขยะแขยงพวกนี้ย่อมจะทำให้เจ้าไม่ปรารถนาที่จะฟังพระวจนะของพระเจ้าอีก แม้หัวข้อเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เรื่องพวกนั้นน่าขยะแขยงยิ่งกว่าเสียอีก หากเจ้าต้องการคุยเรื่องเหล่านี้ จงไปเล่าความในใจของเจ้าให้ผู้ไม่มีความเชื่อบางคนฟัง พูดทุกอย่างที่เจ้าต้องการจะพูดกับพวกเขา แต่ไม่ว่าอย่างไร จงอย่าพูดคุยเรื่องพวกนี้ในชีวิตคริสตจักรหรือในหมู่พี่น้องชายหญิง บางคนกล่าวว่า “การพูดถึงการกระทำอันเลวร้ายและสามานย์ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพญานาคใหญ่สีแดงช่วยให้พี่น้องชายหญิงมีวิจารณญาณแยกแยะมากขึ้นและช่วยให้พวกเขาได้ระบายความโกรธออกมา” ระบายออกมาแล้วได้ประโยชน์อันใด? การระบายคือการเป็นพยานหรือไม่? เป็นภาระผูกพันหรือหน้าที่ของเจ้าหรือไม่? การพูดคุยเรื่องพวกนี้ไม่มีประโยชน์ ไร้คุณค่าโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าเจ้าจะเปิดโปงการกระทำอันเลวร้ายของพญานาคใหญ่สีแดงมากเท่าใด พระเจ้าก็จะไม่ทรงจดจำ ในทางตรงข้าม หากเจ้าเล่าว่าตนเองมีประสบการณ์กับการข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดงอย่างไร เจ้าเอาชนะและหลุดพ้นจากการข่มขู่และคุกคามของมันมาได้อย่างไร เจ้าพึ่งพาพระเจ้าและตั้งมั่นในการเป็นพยานของเจ้าในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นได้อย่างไร พระเจ้าทรงยอมรับเรื่องนี้ แต่การพูดคุยเรื่องการเมืองไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต และพระเจ้าก็ไม่ทรงยอมรับ บางคนกล่าวว่า “ฉันเปิดโปงการทุจริตของพวกเจ้าหน้าที่ของพญานาคใหญ่สีแดงว่าพวกเขาจ่ายค่าอาหารมื้อเดียวเป็นเงินหลายหมื่นหยวน หรือหมดค่าโรงแรมหรูไปมากเท่าใด แบบนี้ทำได้หรือไม่?” เรื่องพวกนั้นมีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าบ้าง? โลกและสังคมนี้ก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือ? เจ้ากำลังยืนหยัดเพื่อใคร? นี่ไม่ใช่การเป็นพยานให้พระเจ้า ไม่ใช่การเปิดโปงธาตุแท้ของพญานาคใหญ่สีแดง และไม่ใช่การสำแดงถึงการขบถต่อพญานาคใหญ่สีแดง จงอย่าทำตัวหน้าซื่อใจคดหรือทำให้ผู้คนสับสน ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การปฏิบัติความจริง การรับสินบนของเจ้าหน้าที่และนักการเมืองทุจริตไม่ใช่เรื่องของพวกเรา และไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องเปิดโปง เจ้าอย่าไปสนใจเรื่องเหล่านี้ สิ่งเหล่ามีอยู่ในระบอบการปกครองของซาตานมาตั้งแต่ครั้งประวัติศาสตร์แล้ว และสิ่งที่คนพวกนั้นทำก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าหรือเป็นพยานให้พระเจ้าของพวกเรา ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าเอาเรื่องเหล่านี้ไปปะปนกับหัวข้อ “การขบถต่อพญานาคใหญ่สีแดงและเปิดโปงมันเพื่อเป็นพยานให้พระเจ้า” และอย่านำเรื่องแปลกประหลาดที่เลวร้ายและน่าขยะแขยงเหล่านี้เข้ามาเสวนาในชีวิตคริสตจักรหรือในหมู่พี่น้องชายหญิง หากเจ้าอยากเสวนาเรื่องการเมืองจริงๆ ก็จงเสวนากับผู้ไม่มีความเชื่อเถิด ไม่ว่าเจ้าจะเสวนาเป็นการส่วนตัวกับคนที่มีความชอบส่วนตนและความสนใจในเรื่องเหล่านั้นอย่างไรก็ได้ นั่นเป็นความชอบและความสนใจส่วนตัวของเจ้า เป็นเสรีภาพและสิทธิ์ของเจ้า ย่อมไม่มีใครแทรกแซง แต่ระหว่างเวลาชุมนุมและเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิง จงอย่าเสวนาเรื่องพวกนี้ ต่อให้มีคนเต็มใจฟังก็อย่าพูดถึง เพราะจะส่งผลต่อชีวิตคริสตจักรและส่งผลต่อการเข้าใจความจริงของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองหรือเรื่องอื้อฉาวในชีวิตส่วนตัวของนักการเมือง ก็อย่านำหัวข้อเหล่านี้เข้ามาเสวนาในชีวิตคริสตจักร หากใครบางคนไม่สนใจเนื้อหาของการชุมนุมในชีวิตคริสตจักรและชอบเสวนาเรื่องพวกนี้อยู่เสมอ พูดถึงเรื่องเหล่านี้ทุกครั้งที่มีการชุมนุม พี่น้องชายหญิงควรทำอย่างไร? พวกเขาควรห้ามปรามผู้คนเหล่านั้นโดยกล่าวว่า “นี่เป็นเวลาชุมนุม อย่าพูดคุยเรื่องขยะพวกนั้นเลย ถ้าคุณอยากคุยเรื่องเหล่านี้ก็กลับไปคุยที่บ้านเถอะ!” หากห้ามไม่ได้ และพวกเขายังคงคุยเรื่องเหล่านี้อยู่ดี จะทำอย่างไร? ไล่พวกเขาออกไปเสีย และบอกพวกเขาไปว่าหยุดพูดเมื่อใดค่อยกลับมา ยังมีอีกหนทางหนึ่งซึ่งมีประสิทธิผลยิ่งกว่าก็คือ ทันทีที่พวกเขาเปิดปากพูดคุยเรื่องการเมือง พี่น้องชายหญิงจงลุกขึ้นแล้วเดินไปอีกห้องหนึ่ง ทิ้งให้พวกเขาพูดคุยแต่เพียงลำพัง สรุปว่าผู้คนที่ชอบพูดคุยเรื่องการเมืองมีอยู่จริง คนเช่นนี้ละเลยกิจที่ถูกควร ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ตรึกตรองว่าควรทำหน้าที่อย่างไรให้ดี ไม่ตรึกตรองว่ามีความลำบากยากเย็นใดในงานของคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิงพบเจอความลำบากยากเย็นอะไรบ้าง และไม่ตรึกตรองว่าพวกเขาเองมีปัญหาจริงอะไรบ้างที่ต้องแก้ไข—พวกเขาไม่ตรึกตรองเรื่องที่ถูกควรเหล่านี้เลย กลับเอาแต่ไตร่ตรองเรื่องเลวทรามและคดโกงพวกนั้น กระตือรือร้นในเรื่องเหล่านั้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่ข้อมูลแพร่ไปในวงกว้างและเข้าถึงได้จากสารพัดช่องทาง—จึงเปิดโอกาสให้ผู้คนเหล่านี้ทำสิ่งที่เป็นความชอบส่วนตัวและความสนใจของตนได้ตามต้องการ พวกเราไม่แทรกแซงงานความชอบส่วนตัวและความสนใจของพวกเขา แต่พระนิเวศของพระเจ้าก็มีกฎข้อบังคับอยู่ว่าการเสวนาหัวข้อทางการเมืองในที่ชุมนุมจัดเป็นปัญหาที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ดังนั้นหัวข้อเหล่านี้จึงถูกห้ามอย่างเด็ดขาดระหว่างที่ใช้ชีวิตคริสตจักรและในเวลาที่พี่น้องชายหญิงมารวมตัวกัน บางคนกล่าวว่า “หัวข้อเหล่านี้ถูกห้าม แล้วถ้าเป็นทัศนะต่างๆ ทางการเมืองของพวกเราเล่า เรื่องที่ว่าพวกเราชอบหรือไม่ชอบพรรคไหน ลงคะแนนเลือกหรือไม่เลือกใคร—คริสตจักรจะแทรกแซงเรื่องเหล่านี้หรือไม่?” พวกเรามาพูดให้ชัดเจนกันเถิดว่า จงเลือกใครก็ได้ที่เจ้าอยากเลือก ชอบใครก็ได้ที่เจ้าอยากชอบ—คริสตจักรไม่แทรกแซงเรื่องราวเหล่านี้ เป็นเสรีภาพของเจ้า การไม่แทรกแซงเช่นนี้ก็เป็นการผ่อนปรนมากแล้วมิใช่หรือ? เจ้าเพลิดเพลินกับสิทธิมนุษยชนและภาระผูกพันในฐานะพลเรือนคนหนึ่งได้อย่างเต็มที่ นั่นเป็นการเคารพกันมากพอแล้วไม่ใช่หรือ? นั่นย่อมดีพอแล้ว แต่เจ้าก็ยังต้องการพูดจาอย่างเสรีและพูดตามใจชอบในคริสตจักรกระนั้นหรือ? แบบนั้นผิดกติกา หากเจ้าพบเจอผู้คนเช่นนั้น จงหาทางห้ามปรามพวกเขา ก่อนอื่นจงสามัคคีธรรมกับพวกเขาให้ชัดเจนว่า “คุณเป็นผู้เชื่อใหม่หรือเปล่า? นี่เป็นครั้งแรกที่คุณเข้าชุมนุม เลยไม่รู้จักกฎเกณฑ์ในพระนิเวศของพระเจ้ากระนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องบอกคุณว่าที่แห่งนี้คือที่ชุมนุม และตอนนี้ก็เป็นเวลาชุมนุม ไม่ว่าคุณจะมีทัศนะหรือแนวคิดทางการเมืองอย่างไร คุณก็ต้องไม่เผยแพร่เรื่องเหล่านั้นในคริสตจักรเป็นอันขาด และไม่นำมาเสวนากันในการชุมนุม พวกเราไม่อยากฟัง และไม่จำเป็นต้องฟังคุณพูดเรื่องเหล่านี้ คุณเลือกผิดที่เสียแล้ว หลังการชุมนุม พอคุณออกจากที่นี่ คุณสามารถพูดอะไรก็ได้ตามต้องการ ไม่มีใครแทรกแซง นั่นคือเสรีภาพของคุณ” หากพวกเขาเข้าใจและจดจำสิ่งที่เจ้าบอก โดยไม่พูดคุยเรื่องการเมืองในครั้งต่อไป เช่นนั้นย่อมถือว่าใช้ได้ และพวกเขาก็ได้แสดงให้เห็นว่าตัวเองยังมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่หากหลังจากสามัคคีธรรมแล้ว พวกเขายังคงพูดจาเช่นนี้อยู่อีก แบ่งปันทัศนะทางการเมืองอยู่เสมอทุกครั้งที่มีการชุมนุม ก็ควรจำกัดพวกเขาไม่ให้พูดใช่หรือไม่? (ใช่) ไม่ว่าพวกเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ ตราบใดที่มีคนพูดคุยเรื่องการเมือง ก็ควรจัดว่าเป็นการสร้างพรรคพวก แก่งแย่งสถานะ ระบายความคิดลบ และพฤติกรรมอื่นๆ เช่น ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่สามารถมีมารยาทกับผู้คนเช่นนี้ ต้องหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้ แน่นอนว่าผู้คนที่พูดคุยเรื่องการเมืองไม่จำเป็นว่าต้องชั่วหรือดี พวกเขาอาจจะแค่ชอบประเด็นและหัวข้อเหล่านี้เท่านั้นก็ได้ แต่พวกเราสามารถแน่ใจได้ว่าแท้จริงแล้วผู้คนเหล่านี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง โดยสรุป หลักธรรมในการจัดการกับผู้คนเหล่านี้ได้มีการสามัคคีธรรมไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ให้แจ้งข้อบังคับของพระนิเวศของพระเจ้าแก่พวกเขา หลังจากอธิบายข้อบังคับชัดเจนแล้ว หากพวกเขายังคุยเรื่องการเมืองกันต่อและไม่ใส่ใจคำตักเตือน เช่นนั้นแล้วก็จงแยกพวกเขาออก พวกเขาสามารถใช้ชีวิตคริสตจักรต่อไปได้ก็ต่อเมื่อกลับใจแล้วเท่านั้น หากไม่กลับใจเลย ก็จงอย่าให้เข้าร่วมชุมนุม การจัดการกับเรื่องนี้ควรเรียบง่ายเช่นนี้ อย่าทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องซับซ้อน เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใดเลย
24 กรกฎาคม ค.ศ. 2021