โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (3)

วันนี้พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเรื่องมโนคติอันหลงผิดกันต่อ  ก่อนหน้านี้พวกเราสามัคคีธรรมประเด็นปัญหานี้มาแล้วสองครั้ง และในวันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมประเด็นปัญหานี้อีกครั้งหนึ่งเพื่อทำการสรุป  เมื่อคำนึงถึงสิ่งที่สามัคคีธรรมกันไปก่อนหน้านี้ พวกเจ้าควรสื่อสารในหมู่พวกเจ้าเองหลังจากนี้ จากนั้นจึงไตร่ตรองและมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ไปทีละน้อย  หัวข้อเหล่านี้ไม่อาจเข้าใจได้อย่างครบถ้วนในเวลาแค่หนึ่งหรือสองวัน คนเราสามารถทำได้เพียงค่อยๆ ทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ด้วยการพยายามค้นหาและมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ในชีวิต  สิ่งที่พวกเจ้าสามารถเริ่มทำได้ในขณะนี้บนพื้นฐานของความจำเพียงอย่างเดียวเป็นเพียงแค่การเรียนรู้ด้วยการท่องจำ  การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าพึงต้องมีประสบการณ์ มีเพียงหลังจากก้าวผ่านประสบการณ์จากชีวิตจริงเป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้วเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีการเข้าใจและความชื่นชมที่จริงแท้ได้  โดยหลักแล้วมโนคติอันหลงผิดของผู้คนประกอบด้วยมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า  มโนคติอันหลงผิดสองประเภทนี้ส่งผลมากที่สุดต่อการไล่ตามเสาะหาของผู้คน หนทางที่พวกเขามองเรื่องต่างๆ การเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและท่าทีที่พวกเขามีต่อพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือเส้นทางที่พวกเขาเดินในการเชื่อในพระเจ้า ตลอดจนทิศทางและวัตถุประสงค์ที่พวกเขาเลือกสำหรับชีวิตของตน  จากสามัคคีธรรมสองครั้งก่อนหน้าของพวกเรา พวกเจ้าสามารถให้นิยามได้หรือไม่ว่ามโนคติอันหลงผิดหมายความว่าอะไรกันแน่?  ความคิดฝันเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าคือมโนคติอันหลงผิดประเภทหนึ่ง  ความคิดฝันเหล่านี้โดยเบื้องต้นแล้วสำแดงออกมาในพฤติกรรมที่ผิวเผินบางอย่างในคำพูดและการประพฤติของผู้คน ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของพวกเขา เช่น การกิน เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการเดินทาง  นี่คือระดับที่อยู่ในขั้นต้นที่สุด  หากไปไกลขึ้นอีกขั้น มีความคิดฝันบางอย่างเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาของคนเราในการเชื่อในพระเจ้าและเส้นทางที่คนเราเดินในการเชื่อเช่นนั้น ตลอดจนข้อเรียกร้อง ความคิดฝัน และความเข้าใจผิดบางอย่างของผู้คนซึ่งเกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระเจ้า  ความเข้าใจผิดเหล่านี้ครอบคลุมสิ่งใดบ้าง?  เหตุใดจึงเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าความเข้าใจผิด?  เมื่อพวกเราพูดคำว่าความเข้าใจผิด แน่นอนว่านี่ย่อมไม่ใช่ความคิดที่ถูกควร  ตรงกันข้าม นี่เป็นบางสิ่งที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ไม่สอดคล้องกับความจริง และเข้ากันไม่ได้และสวนทางกับพระราชกิจของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือเป็นบางสิ่งเกี่ยวกับเจตจำนงของมนุษย์ที่สร้างมโนภาพขึ้นจากมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความรู้ของผู้คน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพระเจ้าพระองค์เองหรือพระราชกิจของพระเจ้าแต่อย่างใดเลย  เมื่อมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความเข้าใจผิด และข้อเรียกร้องประเภทเหล่านี้เกิดขึ้น นั่นหมายความว่ามโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้าไปถึงจุดสูงสุดแล้ว  ที่จุดนี้สิ่งใดกลายเป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้คนกับพระเจ้า?  (สิ่งกีดขวางก่อร่างขึ้นระหว่างผู้คนกับพระเจ้า)  มีสิ่งกีดขวางระหว่างผู้คนกับพระเจ้า นี่ใช่ประเด็นปัญหาร้ายแรงหรือไม่?  (ใช่)  เมื่อสิ่งกีดขวางเช่นนี้ก่อร่างขึ้น นี่ย่อมหมายความว่ามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คนรุนแรงมาก  เมื่อสิ่งกีดขวางก่อร่างขึ้นระหว่างผู้คนกับพระเจ้า นี่ย่อมหมายความว่าพวกเขาพึงพอใจกับบางสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ พวกเขาไม่ต้องการบอกความในใจกับพระเจ้า ปฏิบัติต่อพระเจ้าดังเช่นพระเจ้า หรือนบนอบพระเจ้าอีกต่อไป  พวกเขาเริ่มตั้งคำถามถึงความชอบธรรมและพระอุปนิสัยของพระเจ้า  การสำแดงใดเกิดขึ้นตามหลังเรื่องนี้ทันที?  (การขัดขืน)  หากผู้คนไม่แสวงหาความจริง ความเข้าใจผิดนี้ย่อมไม่เพียงแต่สร้างสิ่งกีดขวางขึ้นในหัวใจของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การขัดขืนในทันทีอีกด้วย—ซึ่งก็คือการขัดขืนความจริง การขัดขืนพระวจนะของพระเจ้า และการขัดขืนอธิปไตยของพระเจ้า  พวกเขากลายเป็นไม่พึงพอใจกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ โดยพูดว่า “สิ่งที่พระองค์กำลังทรงกระทำอยู่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ข้าพระองค์ไม่ยอมรับและไม่เห็นชอบกับสิ่งนั้น!”  ข้อความที่แสดงเป็นนัยก็คือ “ฉันไม่สามารถนบนอบได้ นี่คือทางเลือกของฉัน  ฉันต้องการแสดงทัศนะที่เห็นต่าง ฉันต้องการแสดงความเห็นที่แตกต่างไปจากพระวจนะของพระเจ้า จากความจริง และจากข้อเรียกร้องของพระเจ้า”  นี่เป็นพฤติกรรมแบบใด?  (พวกเขากำลังเรียกร้อง)  หลังการขัดขืน การเรียกร้องและการต่อต้านก็เกิดขึ้น นี่คือการทวีความรุนแรง  เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราเข้าควบคุม มโนคติอันหลงผิดอย่างเดียวก็สามารถสร้างสิ่งกีดขวางและความเข้าใจผิดระหว่างพวกเขากับพระเจ้าขึ้นได้  หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการแก้ไขโดยทันทีผ่านทางการแสวงหาความจริง สิ่งกีดขวางนี้ย่อมมีขนาดใหญ่ขึ้น กลายเป็นกำแพงหนา  เจ้ามองไม่เห็นพระเจ้าหรือการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้าอีกต่อไป นับประสาอะไรที่เจ้าจะมองเห็นแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์  เจ้าเริ่มกังขาว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ หรือไม่ เจ้าหมดความสนใจในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าไม่ต้องการอธิษฐานถึงพระเจ้าอีกต่อไป  ในหนทางนี้ สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้ากลายเป็นห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ  เหตุใดผู้คนจึงสามารถแสดงให้เห็นพฤติกรรมดังกล่าวได้?  เพราะพวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นทำร้ายหัวใจของพวกเขา หมิ่นศักดิ์ศรีของพวกเขา และทำให้สภาพบุคคลของพวกเขาอัปยศอดสู  เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น?  (เป็นเพราะความอยากของผู้คนไม่ได้รับการสนอง และสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนบุคคลของพวกเขา)  เป็นเพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เมื่อความอยากอันฟุ้งเฟ้อของพวกเขาไม่ได้รับการสนองในทันที พวกเขาก็กลายเป็นมีระยะห่างจากพระเจ้าและไม่พึงพอใจอย่างที่สุดที่พระองค์ทรงพระราชกิจในหนทางที่ไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  พวกเขาไม่ยอมรับแต่โดยดี และพวกเขาก็ไม่ยอมรับว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำอยู่นั้นคือความจริง คือความรักของพระเจ้า และเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ในการช่วยผู้คนให้รอด  พวกเขาเริ่มก่อมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ ซึ่งหมายความว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเข้าควบคุมแล้ว  หลังจากสิ่งกีดขวางเหล่านี้เกิดขึ้น อะไรคือการสำแดงถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกจำพวกที่ผู้คนเผยให้เห็นเมื่อพวกเขาใช้ชีวิตตามมโนคติอันหลงผิด?  พวกเขาไม่แสวงหา ไม่รอ และไม่นบนอบ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะยำเกรงพระเจ้าหรือกลับใจ  ก่อนอื่นพวกเขาพินิจพิเคราะห์และตัดสิน จากนั้นพวกเขาจึงกล่าวโทษ และในท้ายที่สุดก็มาถึงการขัดขืน  พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งตรงกันข้ามกับการสำแดงที่เป็นบวกเช่นการแสวงหา การรอ การนบนอบ การยอมรับ และการกลับใจโดยสิ้นเชิงหรอกหรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นพฤติกรรมเหล่านี้ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ตรงข้าม  มีการเผยความเสื่อมทรามให้เห็น เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขานั่นเองที่ควบคุมการกระทำและความคิดของพวกเขา ตลอดจนท่าที เจตนารมณ์ และทัศนะที่พวกเขามีต่อการตัดสินผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย  เมื่อผู้คนเข้าร่วมในการพินิจพิเคราะห์ วิเคราะห์ ตัดสิน กล่าวโทษ และกลายเป็นขัดขืน อะไรคือขั้นตอนถัดไปที่พวกเขาใช้?  (การต่อต้าน)  จากนั้นก็มาถึงการต่อต้าน  อะไรคือการสำแดงบางประการถึงการต่อต้าน?  (การคิดลบ การละทิ้งหน้าที่ของตน)  การคิดลบก็เป็นการสำแดงถึงการต่อต้านอย่างหนึ่ง พวกเขาทำงานย่อหย่อนในลักษณะที่เป็นลบ และละทิ้งหน้าที่ของตน  มีอะไรอีกไหม?  (การแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิด)  (การทำการตัดสิน)  การทำการตัดสิน การแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิด นี่ล้วนเป็นการสำแดงบางอย่างถึงการเรียกร้องและการต่อต้านพระเจ้า  มีอะไรอีกไหม?  (พวกเขาอาจทรยศพระเจ้า และทรยศหนทางที่แท้จริง)  นั่นเป็นพฤติกรรมที่ร้ายแรงที่สุดในบรรดาพฤติกรรมทั้งหมด เมื่อใครบางคนไปถึงจุดนี้ ธรรมชาติเยี่ยงมารของพวกเขาย่อมปรากฏออกมาอย่างสิ้นเชิง โดยปฏิเสธและทรยศพระเจ้าอย่างถึงที่สุด และพวกเขาอาจหันไปจากพระเจ้าในชั่วขณะใดก็ได้

ที่เพิ่งพูดไปกันนั้น อะไรคือการสำแดงต่างๆ ถึงพฤติกรรมที่เรียกร้องและต่อต้านพระเจ้า?  (การทำงานย่อหย่อนในลักษณะที่เป็นลบ การละทิ้งหน้าที่ของตน)  (การตัดสินพระเจ้า)  การตัดสินพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์  (จากนั้นก็มาถึงการแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิด และสุดท้ายคือ การทรยศพระเจ้า)  พวกเรามาลงรายละเอียดเพิ่มเติมกันเถิด  มีการพร่ำบ่นใดๆ เกี่ยวข้องกับการแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิดหรือไม่?  (มี)  บางครั้งการการแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิดก็ ผสมปนเปกับการพร่ำบ่น อะไรต่ออะไรเช่น “สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำไม่ชอบธรรม” “ฉันเชื่อในพระเจ้า ไม่เชื่อในตัวผู้คน” และ “ฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม”  คำพูดเหล่านี้มีการพร่ำบ่นแฝงอยู่  การย่อหย่อนในลักษณะที่เป็นลบ การแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิด และการตัดสินพระเจ้าล้วนเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างร้ายแรง แต่ที่ร้ายแรงที่สุดคือการทรยศ  พฤติกรรมสี่อย่างนี้ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจน ค่อนข้างร้ายแรง และมีลักษณะที่ขัดขืนพระเจ้าโดยตรง  อะไรคือการสำแดงเฉพาะเจาะจงบางอย่างภายในพฤติกรรมเหล่านี้ที่พวกเจ้าสามารถนึกถึง เคยเห็น หรือแม้กระทั่งเคยทำด้วยตัวเอง?  (มีการยุยงด้วย เพื่อระบายความไม่พึงพอใจกับพระเจ้า บางคนยุยงผู้คนในจำนวนมากขึ้นให้ต่อต้านพระองค์ด้วยซ้ำ)  นี่เป็นการสำแดงถึงการแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิด  มีพวกที่ภายนอกนั้นดูเหมือนนบนอบ แต่ในระหว่างการอธิษฐานกลับพูดว่า “ให้พระเจ้าทรงเผยเรื่องนี้ออกมา สิ่งที่ฉันทำอยู่นั้นถูกต้อง ทุกอย่างจะถูกเผยออกมาทันเวลา ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม”?  คำพูดเหล่านี้อาจฟังดูถูกต้อง มั่นใจได้ว่าสมเหตุสมผลด้วยซ้ำ แต่กลับซ่อนเร้นการไม่เชื่อฟังและความไม่พึงพอใจต่อพระเจ้า  นี่คือการต่อต้านทางจิตใจ นี่คือการย่อหย่อนที่เป็นลบและการต่อต้านที่เป็นลบ  มีแง่มุมอื่นๆ อีกหรือไม่?  (ในกรณีของการย่อหย่อนที่เป็นลบ มีการปล่อยตัวเองให้อยู่ในความท้อแท้สิ้นหวังและการยกมือยอมแพ้ด้วยความคับข้องใจด้วย โดยเชื่อว่าพวกเขาก็เป็นเช่นนี้นี่เอง นี่เป็นธรรมชาติของพวกเขา พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครสามารถช่วยพวกเขาให้รอดได้ ดังนั้นหากพระเจ้าต้องประสงค์จะทำลายล้างพวกเขา เช่นนั้นก็ให้มันเป็นไปตามนั้น)  นี่คือการต่อต้านเงียบรูปแบบหนึ่ง สภาวะอันจริงแท้ของพวกเขาเป็นลบ คิดว่าการกระทำของพระเจ้ามิอาจเข้าใจได้และผู้คนไม่สามารถจับความเข้าใจการกระทำดังกล่าวของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าต้องประสงค์จะทำ ให้พระองค์ทรงทำสิ่งนั้นเถิด  ภายนอกนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขานบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า แต่อันที่จริงแล้วลึกลงไปในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาขัดขืนการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอย่างล้ำลึก และไม่พึงพอใจและไม่เชื่อฟังเป็นพิเศษ  พวกเขายอมรับแล้วว่านี่คือการกระทำของพระเจ้าและไม่สร้างข้อเรียกร้องใดๆ เพิ่มเติม เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาจึงกล่าวว่านี่คืออารมณ์อ่อนไหวเชิงต่อต้าน?  เหตุใดจึงแสดงลักษณะเรื่องนี้ในหนทางนี้?  ในข้อเท็จจริงนั้น  ในจิตสำนึกของพวกเขานั้น พวกเขาไม่ต้องการกล่าวโทษเรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาไม่ต้องการทำความมุ่งมั่นที่กล่าวว่า “สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นผิด ฉันไม่ยอมรับสิ่งนั้น  ฉันสามารถนบนอบสิ่งอื่นๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำ แต่ไม่ใช่สิ่งนี้  ไม่ว่าในกรณีใด ฉันจะทำงานย่อหย่อนในลักษณะที่เป็นลบเพราะสิ่งนี้”  ในจิตใต้สำนึกของพวกเขานั้น สภาวะของพวกเขาไม่เหมือนกับสภาวะเช่นนี้ พวกเขาไม่มีความตระหนักรู้นี้  พวกเขาก็แค่แข็งขืน ไม่พึงพอใจ หรือแค้นเคืองอยู่ในหัวใจของตนเองอยู่บ้าง  บางคนอาจจะถึงขั้นกล่าวโทษการกระทำของพระเจ้าว่าผิด แต่จากห้วงลึกของหัวใจ ในแง่มุมของความอยากส่วนตัวนั้น อันที่จริงแล้วในจิตสำนึกพวกเขาไม่ต้องการกล่าวโทษพระเจ้า เนื่องจากจะว่าไปแล้วสิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้นก็คือพระเจ้า  แล้วเหตุใดจึงกล่าวว่าพฤติกรรมนี้มีลักษณะเชิงต่อต้าน เป็นการย่อหย่อนที่เป็นลบ และมีองค์ประกอบของความคิดลบ?  ความคิดลบโดยตัวมันเองแล้วคือการขัดขืนและการต่อต้านรูปแบบหนึ่ง และมีการสำแดงหลายอย่าง  อันดับแรกเลยก็คือ เมื่อผู้คนเริ่มก่อสภาวะเช่นการยอมแพ้ให้กับความท้อแท้สิ้นหวังและการย่อหย่อนในลักษณะที่เป็นลบ พวกเขาสามารถตระหนักรู้ในหัวใจได้หรือไม่ว่าสภาวะเหล่านี้ไม่ถูกต้อง?  (สามารถ)  ทุกคนสามารถตระหนักรู้เรื่องนี้ ยกเว้นพวกที่เชื่อมาเพียงสองหรือสามปีเท่านั้นและแทบจะไม่ได้ยินคำเทศนา พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้  แต่ตราบที่คนเราเชื่อในพระเจ้ามาแล้วเป็นเวลาอย่างน้อยสามปี ได้ยินคำเทศนาอยู่เนืองนิจ และเข้าใจความจริง พวกเขาย่อมสามารถมีการตระหนักรู้นี้  เมื่อผู้คนตระหนักว่าสภาวะดังกล่าวไม่ถูกต้อง พวกเขาควรทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นคนต่อต้าน?  ก่อนอื่นพวกเขาต้องแสวงหา  แสวงหาสิ่งใด?  แสวงหาว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงจัดวางเรียบเรียงสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ เหตุใดสถานการณ์ดังกล่าวจึงบังเกิดขึ้นกับพวกเขา สิ่งที่เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า รวมทั้งสิ่งที่พวกเขาควรทำ นี่คือสิ่งที่เป็นบวก นี่คือการสำแดงที่เป็นบวกซึ่งผู้คนควรมี  มีอะไรอีกไหม?  (ยอมรับ นบนอบ และปล่อยมือจากแนวคิดของตัวเอง)  การปล่อยมือจากแนวคิดของตัวเองเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  (ไม่)  หากเจ้าคิดว่าเจ้าคิดถูก เจ้าจะไม่สามารถปล่อยมือจากแนวคิดดังกล่าวได้  ในการไปให้ถึงจุดของการปล่อยมือนั้น มีขั้นตอนหลายขั้นเกี่ยวข้อง  แล้วการปฏิบัติใดถูกต้องเหมาะสมและเหมาะสมสำหรับเรื่องนี้มากที่สุด?  (การอธิษฐาน)  หากการอธิษฐานของเจ้าประกอบด้วยประโยคกลวงเปล่าเพียงไม่กี่ประโยค และเจ้าก็แค่ทำอย่างขอไปที ปัญหานี้ย่อมจะไม่ได้รับการแก้ไข  เจ้าอธิษฐานว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาจะนบนอบ โปรดทรงจัดการเตรียมการและทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพการณ์ของข้าพระองค์แบบที่ข้าพระองค์สามารถนบนอบได้ด้วยเถิด  หากข้าพระองค์ยังไม่สามารถนบนอบได้ เช่นนั้นโปรดทรงสั่งสอนข้าพระองค์เถิด”  การเอ่ยประโยคที่ว่างเปล่าไม่กี่ประโยคเช่นนี้ทำให้สภาวะที่ไม่ถูกต้องของเจ้าเปลี่ยนแปลงหรือไม่?  ไม่ทำให้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย  เจ้าจำเป็นต้องมีวิธีการปฏิบัติเพื่อส่งผลต่อการพลิกฟื้น  แล้วเจ้าสามารถปฏิบัติเพื่อพลิกฟื้นสิ่งทั้งหลายได้อย่างไร?  (คนเราควรแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแข็งขัน ยอมรับภายในว่าพระเจ้าทรงคิดถูกและพวกเขาคิดผิด และสามารถปฏิเสธตัวเองได้)  นี่คือวิธีการปฏิบัติสองวิธี กล่าวคือ การแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแข็งขัน และการยอมรับภายในว่าพระเจ้าทรงคิดถูกและตัวเองคิดผิด  ทั้งสองวิธีนี้ค่อนข้างดี พวกเขาทั้งคู่พูดสิ่งที่ถูกต้อง แต่มีหนึ่งสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุด  สิ่งใดสัมพันธ์กับชีวิตจริง?  สิ่งใดเป็นการพูดคุยที่ว่างเปล่า?  (การแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแข็งขันนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริง)  บ่อยครั้งที่พระเจ้าจะไม่ตรัสบอกเจตนารมณ์ของพระองค์กับเจ้าโดยตรง  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์จะไม่ทรงทำให้การเข้าใจเกี่ยวกับตัวเจ้าเป็นที่ชัดเจนในทันที  และพระองค์ก็จะไม่ทรงนำทางเจ้าให้กินและดื่มพระวจนะที่เกี่ยวข้องของพระเจ้าซึ่งเจ้าควรเข้าใจอย่างแน่นอน  วิธีการเหล่านี้ล้วนไม่มีความเป็นจริงเกินไปสำหรับผู้คน  แล้วแนวทางการแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแข็งขันนี้สามารถมีประสิทธิผลสำหรับพวกเจ้าได้หรือไม่?  วิธีการที่มีประสิทธิผลคือวิธีการที่ดีที่สุด เป็นวิธีการที่มีความเป็นจริงและสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุด  วิธีการที่ไม่มีประสิทธิผล ไม่สำคัญว่าจะฟังดูดีแค่ไหน เป็นเรื่องในเชิงทฤษฎีและอยู่ที่ระดับคำพูดเท่านั้น และไม่ให้ผลลัพธ์ใดๆ  แล้ววิธีการใดสัมพันธ์กับชีวิตจริง?  (วิธีการที่สอง การยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงและตัวเองคิดผิด)  ถูกต้อง การยอมรับความผิดพลาดของเจ้า—นี่คือการมีเหตุผล  บางคนพูดว่าพวกเขาไม่ตระหนักว่าพวกเขาคิดผิด  ในกรณีนี้ เจ้าควรมีเหตุผลและสามารถปล่อยมือจากตัวเองและปฏิเสธตัวเองได้  บางคนพูดว่า “ฉันเคยคิดว่าฉันคิดถูก และตอนนี้ฉันก็ยังคงคิดอย่างนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนยอมรับและเห็นชอบกับฉัน และฉันก็ไม่รู้สึกถึงการตำหนิใดๆ ในหัวใจของฉัน  นอกจากนี้ เจตนาของฉันก็ถูก แล้วฉันจะคิดผิดได้อย่างไร?”  มีหลายเหตุผลที่กีดกันไม่ให้เจ้าปล่อยมือจากตัวเองและปฏิเสธตัวเอง  ในกรณีนี้เจ้าควรทำอย่างไร?  ไม่ว่าเจ้าจะมีเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้คิดว่าเจ้าคิดถูก หาก “คิดถูก” นี้ขัดแย้งกับพระเจ้าและต่อต้านความจริง เช่นนั้นเจ้าย่อมคิดผิดเป็นธรรมดา  ไม่สำคัญว่าท่าทีของเจ้านบนอบเพียงใด ไม่ว่าเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าในหัวใจของเจ้าอย่างไร หรือต่อให้เจ้ายอมรับด้วยวาจาว่าเจ้าคิดผิดแต่ลึกลงไปนั้นยังคงดิ้นรนต่อสู้กับพระเจ้าและใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะความคิดลบ แก่นแท้ของเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นการต่อต้านพระเจ้า  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ายังคงไม่ได้ตระหนักว่าเจ้าคิดผิด เจ้าไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าคิดผิด  เมื่อผู้คนเกิดความเข้าใจผิดและมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาต้องรับรู้เสียก่อนว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง และว่าผู้คนนั้นไม่มีความจริง และแน่นอนว่าเป็นพวกเขานั่นเองที่เข้าใจผิด  นี่เป็นพิธีการประเภทหนึ่งใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  หากเจ้าเพียงแค่นำการปฏิบัตินี้มาใช้ดังเช่นพิธีการหนึ่งอย่างผิวเผิน เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถมารู้จักความผิดพลาดของเจ้าเองได้หรือ?  ไม่มีทาง  การเกิดการรู้จักตนเองนั้นต้องใช้หลายขั้นตอน  ขั้นตอนแรก เจ้าต้องกำหนดพิจารณาว่าการกระทำของเจ้าอยู่ในแนวเดียวกันกับความจริงและกับหลักธรรมทั้งหลายหรือไม่  จงอย่าดูที่ความตั้งใจของเจ้าเป็นอันดับแรก มีหลายครั้งที่ความตั้งใจของเจ้านั้นถูกต้องแต่หลักธรรมที่เจ้าปฏิบัตินั้นผิด  สถานการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือไม่?  (บ่อยครั้ง)  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าหลักธรรมในการปฏิบัติของเจ้านั้นผิด?  เจ้าอาจได้แสวงหาแล้ว แต่บางทีเจ้าไม่มีความเข้าใจเลยว่าหลักธรรมทั้งหลายนั้นคืออะไร บางทีเจ้าอาจจะไม่ได้แสวงหาเลยด้วยซ้ำ และได้วางการกระทำของเจ้าไว้บนพื้นฐานของเจตนาดีและความมีใจกระตือรือร้นของเจ้า และบนความคิดฝันและประสบการณ์ของเจ้าเพียงอย่างเดียว และผลก็คือเจ้าได้ทำความผิดพลาดลงไป  เจ้าสามารถนึกถึงการนั้นได้หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถคาดการณ์การนั้นได้ และเจ้าได้ทำผิดพลาดไป—และเช่นนั้นแล้วเจ้าไม่ได้ถูกเผยหรอกหรือ?  หากเจ้าคอยแต่จะแข่งขันกับพระเจ้าอยู่ต่อไป  หลังจากถูกเผย ความผิดพลาดในการนี้อยู่ตรงไหน?  (นั่นอยู่ที่การไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงคิดถูก และการยืนกรานว่าข้าพระองค์คิดถูก)  นั่นคือวิธีที่เจ้าคิดผิด?  ความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุดของเจ้าไม่ใช่การที่เจ้าได้ทำบางสิ่งบางอย่างผิดไปหรือได้ฝ่าฝืนหลักธรรมทั้งหลายอันเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดความสูญเสียหรือผลสืบเนื่องที่ตามมาอื่นๆ แต่เป็นการที่เจ้าได้ทำบางสิ่งบางอย่างผิดไปแล้ว ทว่ายังยืนกรานในเหตุผลของตน และไม่สามารถยอมรับข้อผิดพลาดของเจ้าได้ เจ้ายังคงต่อต้านพระเจ้าบนพื้นฐานของมโนคติที่หลงผิดและความคิดฝันทั้งหลายของเจ้า โดยไม่ยอมรับพระราชกิจของพระองค์และความจริงที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้—นี่คือความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุดและร้ายแรงที่สุดของเจ้า  เหตุใดจึงมีคำกล่าวว่าสภาวะเช่นนั้นในตัวบุคคลหนึ่งเป็นสภาวะแห่งการต่อต้านพระเจ้า?  (เพราะพวกเขาไม่ยอมรับว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นผิด)  ไม่ว่าผู้คนจะระลึกได้หรือไม่ก็ตามว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำและอธิปไตยของพระองค์นั้นถูกต้อง และนัยสำคัญของสิ่งเหล่านั้นคืออะไร หากพวกเขาไม่สามารถระลึกได้ก่อนว่าตัวพวกเขาเองผิด เช่นนั้นแล้วสภาวะของพวกเขาก็คือสภาวะแห่งการต่อต้านพระเจ้า  จะต้องทำสิ่งใดเพื่อแก้ไขสภาวะนี้ให้ถูกต้อง?  ประการแรก คนเราต้องปฏิเสธตัวเอง  สิ่งที่พวกเราเพิ่งพูดถึงซึ่งจำเป็นต้องแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าเป็นดันดับแรกนั้นไม่ได้สัมพันธ์กับชีวิตจริงสักเท่าไรสำหรับผู้คน  บางคนกล่าวว่า “หากการนี้ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงสักเท่าไร เช่นนั้นแล้ว นั่นหมายความว่าการแสวงหาก็ไม่จำเป็นใช่หรือไม่?  บางสิ่งที่สามารถแสวงหาและเข้าใจได้ไม่จำเป็นต้องได้รับการแสวงหา—ฉันก็แค่สามารถข้ามขั้นตอนนั้นไปได้เลย”  การนี้จะใช้ได้หรือ?  (ไม่ได้)  คนผู้หนึ่งที่กระทำการในลักษณะนี้มิได้เกินกว่าจะช่วยให้รอดหรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนั้นมีความเบี่ยงเบนในการทำความเข้าใจของพวกเขา  การแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้านั้นค่อนข้างยาวไกลและไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้โดยทันที สำหรับทางลัด จะเป็นจริงมากกว่าที่จะละวางตนเองก่อน โดยรู้ว่าการกระทำของตนนั้นผิดและไม่อยู่ในแนวเดียวกันกับความจริง และจากนั้นก็แสวงหาหลักธรรมความจริง  เหล่านี้คือขั้นตอนทั้งหลาย  ขั้นตอนเหล่านี้อาจดูเหมือนเรียบง่าย ถึงกระนั้นการนำขั้นตอนเหล่านี้มาปฏิบัติก็ปรากฏให้เห็นถึงความลำบากยากเย็นมากมาย เนื่องเพราะพวกมนุษย์มีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม รวมทั้งการจินตนาการทุกลักษณะ ข้อเรียกร้องทุกลักษณะ และพวกเขาก็มีความอยากได้อยากมีด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นแทรกแซงการที่ผู้คนจะไม่ยอมรับตัวเองและการละวางตัวเอง  เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งง่ายๆ ที่จะทำ  พวกเราจะไม่เจาะลึกเข้าไปในหัวข้อนี้ พวกเรามาเสวนาประเด็นปัญหาเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดซึ่งพวกเราได้ทบทวนในสามัคคีธรรมสองครั้งล่าสุดของพวกเรากันต่อเถิด

ตอนนี้จุดสนใจหลักของสามัคคีธรรมของพวกเราคือมโนคติอันหลงผิดสามารถนำไปสู่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าได้อย่างไร ซึ่งต่อมาก็เกิดเป็นกำแพงขวางระหว่างผู้คนกับพระเจ้า และกำแพงนี้นำให้พวกเขาเกิดการขัดขืนพระเจ้า  ธรรมชาติของการขัดขืนนี้เป็นอย่างไร?  (การต่อต้าน)  คือการต่อต้าน การเป็นกบฏ  ดังนั้นเมื่อผู้คนเกิดการต่อต้านพระเจ้าและโวยวายประท้วงพระองค์ นี่จึงไม่ใช่บางสิ่งที่เกิดขึ้นข้ามคืน สิ่งนี้มีรากเหง้า  ก็เหมือนเวลาที่คนคนหนึ่งจู่ๆ ก็ค้นพบว่าพวกเขาล้มป่วย และอาการป่วยนี้ร้ายแรงมาก พวกเขาฉงนฉงายว่าภาวะนี้ช่างทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วมากได้อย่างไร  อันที่จริงแล้ว อาการป่วยมีอยู่ในร่างกายมานานแล้วและมีรากเหง้าอยู่แล้ว—อาการป่วยนี้ไม่ได้ติดมาในวันที่ปรากฏให้เห็นชัดเจน ตรงกันข้าม นั่นเป็นเพียงวันที่พวกเขาค้นพบอาการป่วยนี้เท่านั้น  เราหมายถึงสิ่งใดโดยการพูดเช่นนี้?  ความสามารถในการกบฏต่อพระเจ้า ต่อต้านพระองค์ โวยวายประท้วงพระองค์ ใช่บางสิ่งที่ทุกคนสามารถคาดการณ์เมื่อพวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรกหรือไม่?  ไม่ใช่อย่างแน่นอนที่สุด  นี่ใช่เจตนาเริ่มแรกในการเชื่อในพระเจ้าของทุกคนที่โวยวายประท้วงพระองค์และต่อต้านพระองค์ในที่สุดหรือไม่?  มีใครบ้างไหมที่เคยพูดว่า “ฉันไม่เชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพร ฉันแค่ต้องการโวยวายประท้วงและต่อต้านพระเจ้าหลังจากที่ได้พบพระองค์แล้ว เพื่อที่จากนั้นฉันจะได้กลายเป็นมีชื่อเสียงและสร้างชื่อให้กับตัวเอง แล้วชีวิตของฉันย่อมจะเป็นสิ่งที่คุ้มค่า”?  มีใครบ้างไหมที่เคยมีแผนการเช่นนี้?  (ไม่มี)  ไม่มีใครเคยวางแผนเช่นนี้ ไม่แม้แต่คนที่โง่เขลา โง่เง่า หรือชั่วที่สุด  ผู้คนล้วนต้องการเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ เป็นคนดี รับฟังพระวจนะของพระเจ้า และทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอจากพวกเขา  แม้พวกเขาไม่สามารถสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถทำได้ตามข้อกำหนดขั้นต่ำของพระเจ้าและทำให้พระเจ้าพอพระทัยอย่างสุดความสามารถ  นั่นช่างเป็นความปรารถนาอันดีเสียจริง—ความปรารถนานี้ลงเอยด้วยการที่พวกเขาเรียกร้องจากพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ได้อย่างไร?  ผู้คนเองรู้สึกไม่เต็มใจและไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างไร?  เมื่อเป็นเรื่องของการโวยวายประท้วงและการต่อต้านพระเจ้า พวกเขาก็รู้สึกไม่ดีและเสียใจอยู่ภายใน คิดว่า “ผู้คนทำเช่นนี้ได้อย่างไร?  ต่อให้ผู้อื่นกระทำในลักษณะนี้ ฉันก็ไม่ควรกระทำในลักษณะนี้!”  ก็เหมือนกับที่เปโตรกล่าวว่า “แม้ทุกคนจะทิ้งพระองค์ไป ข้าพระองค์จะไม่มีวันทิ้งพระองค์เลย” (มัทธิว 26:33)  คำพูดของเปโตรกล่าวมาจากหัวใจของเขา แต่พฤติกรรมของเขาไม่สามารถทำได้ดีสมกับความปรารถนาและความมุ่งมาดปรารถนาของเขา  ความอ่อนแอของมนุษย์เป็นบางสิ่งที่ผู้คนเองไม่สามารถคาดการณ์ได้  เมื่อสถานการณ์บางอย่างบังเกิดขึ้นกับพวกเขาจริงๆ ความเสื่อมทรามของพวกเขาก็ถูกเปิดโปง  แก่นแท้ธรรมชาติและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราสามารถควบคุมและกำหนดความคิดและพฤติกรรมของพวกเขาได้  ด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม มโนคติอันหลงผิดต่างๆ ย่อมสามารถเกิดขึ้นได้ รวมทั้งความอยากและข้อเรียกร้องที่แตกต่างกันไป นำไปสู่พฤติกรรมอันเป็นการกบฏทุกรูปแบบ  เรื่องนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสัมพันธภาพของคนเรากับพระเจ้าและมีอิทธิพลโดยตรงต่อการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของคนเรา  นี่ไม่ใช่เจตนาของผู้คนเมื่อพวกเขาตั้งใจจะเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก และในหัวใจของพวกเขานี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนเต็มใจและหวังจะทำ  ผลที่ตามมาดังกล่าวเป็นเพราะมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับพระเจ้า  หากมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข ความสำเร็จในอนาคต ชะตากรรม และบั้นปลายของคนเราอาจกลายเป็นปัญหาทั้งหมด

ในการแก้ไขความเข้าใจผิดของคนเราเกี่ยวกับพระเจ้า คนเราต้องแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า เกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้า และเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ในการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ คนเราต้องเข้าใจ รู้จัก และรับรู้ถึงมโนคติอันหลงผิดเสียก่อน  แล้วมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้คืออะไรกันแน่?  เรื่องนี้พาพวกเราย้อนกลับมาสู่หัวข้อหลัก  พวกเราต้องเริ่มด้วยบางตัวอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อกล่าวถึงมโนคติอันหลงผิดและการสำแดงเหล่านี้ของผู้คน โดยทำให้เจตนารมณ์ของพระเจ้าปรากฏชัดจากตัวอย่างเหล่านี้ เปิดโอกาสให้ผู้คนได้เห็นลึกลงไปในพระหทัยของพระเจ้าว่าพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์เป็นอย่างไร รวมทั้งพระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร ตลอดจนผู้คนคิดฝันว่าพระองค์ควรทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร และเปิดโอกาสให้พวกเขาจำแนกความต่าง เปรียบเทียบ และอธิบายให้ชัดเจนถึงมุมมองสองอย่างหลังนี้ ซึ่งสามารถนำไปสู่การเข้าใจและการยอมรับหนทางที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนและทรงปกครองเหนือผู้คน รวมทั้งการเข้าใจและการยอมรับแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ทันทีที่ผู้คนมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับหนทางที่พระเจ้าทรงปกครองเหนือผู้คนและพระราชกิจของพระองค์ พวกเขาย่อมจะไม่คิดเรื่องมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าอีกต่อไป  สิ่งกีดขวางระหว่างพระเจ้ากับพวกเขาก็จะปลาสนาการไปด้วย และสภาวะต่อต้านและโวยวายประท้วงซึ่งพุ่งตรงไปที่พระเจ้าย่อมจะไม่เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขาอีกต่อไป  ประเด็นปัญหาเหล่านี้เกี่ยวกับการเป็นกบฏและการขัดขืนพระเจ้าสามารถแก้ไขได้โดยตรงโดยผ่านทางการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมความจริง  ไม่สำคัญว่ามีการกล่าวถึงมโนคติอันหลงผิดแง่มุมใด การนี้ต้องเริ่มด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมความจริง  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเชื่อมโยงกับความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องกับความจริง  แล้วมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ที่ผู้คนมีคืออะไร?  พวกเรามาเริ่มกันด้วยการเสวนาถึงพระราชกิจของพระเจ้า โดยใช้ตัวอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อให้เข้าใจหลักธรรมเบื้องหลังพระราชกิจของพระเจ้าอย่างชัดเจน รวมทั้งหลักธรรมและวิธีการซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการปฏิบัติต่อผู้คนและปกครองผู้คน  ตัวอย่างหนึ่งอาจจะสัมพันธ์กับวิธีการของพระราชกิจของพระเจ้า และยังอาจสัมพันธ์กับวิธีการซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการจำแนกบุคคลและความมุ่งมั่นที่พระองค์ทรงมีต่อจุดจบของพวกเขาอีกด้วย หรืออาจสัมพันธ์กับพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า  เพื่ออธิบายประเด็นเหล่านี้ให้ชัดเจน หากพวกเราจะพูดอย่างว่างเปล่าว่าพระเจ้าทรงเป็นเช่นใด สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ และพระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนในช่วงหกพันปีแห่งพระราชกิจของพระองค์อย่างไร—พวกเจ้าคิดว่าการพูดเช่นนั้นจะถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถรับการพูดเช่นนั้นได้โดยง่ายหรือไม่?  หรือยกตัวอย่างเช่น หากพวกเราพูดถึงวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจเรื่อยมาเป็นเวลาหกพันปีแล้ว และในระยะที่สองของพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงปฏิบัติการในยูเดีย และพวกเราก็เสวนาถึงวิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อคนยิวในตอนนั้น รวมทั้งวิธีที่พวกเราสามารถเฝ้าสังเกตพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากเรื่องนี้—นั่นจะทำให้เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจหรือไม่?  (ไม่)  ตัวอย่างเช่น หากพวกเราพูดถึงวิธีที่พระเจ้าทรงปกครองเหนือโลกใบนี้ ซึ่งก็คือ วิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนจากชาติพันธุ์ต่างๆ สิ่งที่พระองค์ดำริ วิธีที่พระองค์ทรงกำหนดเขตดินแดนของพวกเขา และสาเหตุที่พระองค์ทรงแบ่งพวกเขาให้อยู่ในสถานที่ที่แตกต่างกัน—โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาเหตุที่คนดีบางคนมีแหล่งรกรากอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่ในอุดมคติ ในขณะที่คนชั่วบางคนอยู่ในสถานที่ที่ดีกว่ามาก รวมทั้งพระเจ้าทรงนำเอาหลักธรรมใดมาใช้ในการจัดสรรสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ และได้เห็นวิธีการของพระเจ้าในการทรงปกครองมวลมนุษย์จากหัวข้อนี้—นั่นจะทำให้เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจหรือไม่?  (ไม่)  หัวข้อเหล่านี้ค่อนข้างห่างไกลจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและการเข้าสู่ชีวิตในชีวิตประจำวันของผู้คนมิใช่หรือ?  หัวข้อเหล่านี้ค่อนข้างเป็นนามธรรมมิใช่หรือ?  (ใช่)  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าหัวข้อเหล่านี้ห่างไกลและเป็นนามธรรม?  เพราะในชีวิตจริงนั้น การเข้าใจเพียงแค่ความจริงซึ่งเกี่ยวข้องกับนิมิต เช่น รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงปกครองและทรงนำมวลมนุษย์ ดูเหมือนอยู่ห่างจากปัญหาที่พวกเราเผชิญในชีวิตประจำวันเล็กน้อย และไม่เกี่ยวข้องกันเป็นพิเศษ  ในการจัดการแก้ไขปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง พวกเราต้องเริ่มจากตัวอย่างที่เจ้าสามารถได้ยิน มองเห็น และรู้สึกในชีวิตของพวกเจ้า จากนั้นจึงขยายความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของพวกเจ้าให้กว้างขึ้นจากตรงนั้น  ไม่ว่าเราจะบอกเล่าเรื่องราวอะไร หรือเรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวข้องกับผู้คนคนไหนและเหตุการณ์ไหน—ต่อให้ผู้คนและเหตุการณ์เหล่านี้อาจสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเคยทำในอดีต—ผลกระทบสูงสุดที่เรื่องราวเหล่านี้มีคือเพื่อช่วยให้เจ้าเข้าใจความจริงที่สัมพันธ์กับหัวข้อที่กำลังเสวนาในวันนี้  ทุกเรื่องราวที่บอกเล่าทำหน้าที่ตามจุดประสงค์ และสัมพันธ์กับคุณค่าที่เรื่องราวนั้นมุ่งหมายจะสื่อรวมทั้งความจริงที่เรื่องราวนั้นแสดงให้เห็น

พวกเรามาเริ่มเรื่องราวของพวกเรากันเถิด  นี่คือกรณีที่หนึ่ง  นานมาแล้ว คริสตจักรแห่งหนึ่งส่งน้ำยาแก้ไอขวดหนึ่ง โดยอธิบายว่า “พระเจ้าตรัสกับพวกเราและทรงประกาศตลอดเวลา และบางครั้งก็ทรงไอเมื่อตรัสมากไป  เพื่อทำให้การประกาศของพระเจ้าราบรื่นยิ่งขึ้นและเพื่อลดอาการไอ พวกเราจึงส่งยาน้ำแก้ไอมาส่วนหนึ่ง”  เมื่อยาน้ำขวดนี้มาถึง ชายคนเห็นขวดยาน้ำและก็พูดขึ้นว่า “พูดกันว่านี่คือยาน้ำแก้ไอ แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วมันรักษาอะไร  พวกเราถวายยาน้ำขวดนี้ให้พระเจ้าทรงดื่มไม่ได้หรอก—มันอาจจะเป็นอันตรายก็ได้  นี่คือยา ยาทุกตัวย่อมมีพิษอยู่บ้าง  อาจมีผลข้างเคียงหากดื่มมันเข้าไป!”  บรรดาผู้ที่ได้ยินเขาพูดต่างก็คิดว่า “เขาค่อนข้างคิดคำนึงถึงผู้อื่น เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเราก็ถวายยาน้ำขวดนี้ให้พระเจ้าไม่ได้” ในเวลานั้น เราไม่ได้ต้องการยาน้ำขวดนี้ ดังนั้นเราจึงคิดว่าจะเก็บไว้ใช้ในภายหลัง และเรื่องนี้ก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้น  แต่เรื่องราวนี้จบลงตรงนี้หรือไม่?  ไม่ เรื่องราวของยานี้เริ่มขึ้นในวันนั้น  อยู่มาวันหนึ่ง ใครบางคนค้นพบว่าชายคนเดียวกันนี้ดื่มยาน้ำแก้ไอนี้เอง และเมื่อถึงตอนที่เขาถูกจับได้ก็เหลือยาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น  สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลำดับถัดไปเดาได้โดยง่าย เขาดื่มมันจนหมด  นั่นคือเรื่องราวในตัวมันเอง  จงไตร่ตรองดูว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับมโนคติอันหลงผิดที่พวกเรากำลังเสวนากันในวันนี้  อันดับแรกเลยก็คือ จงบอกเราที เรื่องราวนี้ทำให้พวกเจ้าตกตะลึงหรือไม่ สะเทือนใจพวกเจ้าหรือไม่?  (ทำให้พวกเราเป็นเช่นนั้น)  พวกเจ้ามีความคิดอย่างไรหลังจากได้ยินเรื่องนี้?  สิ่งใดสะเทือนใจพวกเจ้า?  โดยทั่วไปแล้ว พวกที่สะเทือนใจจะคิดว่า “โธ่ นี่เป็นบางสิ่งที่ถวายแด่พระเจ้า ใครบางคนดื่มสิ่งที่ถวายนี้ได้อย่างไรกัน?”  นั่นเป็นสิ่งแรกที่สะเทือนใจพวกเขา  สิ่งที่สองก็คือ “เขาดื่มยาน้ำนั้นเรื่อยๆ  ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาดื่มยาน้ำนั้นจนหมด!”  นอกจากสะเทือนใจแล้ว พวกเจ้าคิดอะไรออกอีกบ้าง?  เมื่อคำนึงถึงสิ่งที่คนคนนี้ทำ—พฤติกรรมทั้งหมดนี้ของเขา กล่าวคือ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ในเรื่องราวนี้ทั้งหมด—พวกเจ้าคิดว่าปฏิกิริยาของพระเจ้าจะเป็นเช่นไร?  พระเจ้าจะทรงทำอย่างไร?  พระเจ้าควรทรงทำอย่างไร?  พระเจ้าควรทรงปฏิบัติต่อคนเช่นนี้อย่างไร?  และนี่เป็นกรณีที่มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เริ่มที่จะเกิดขึ้นมิใช่หรือ?  ให้พวกเราลืมไปก่อนถึงเนื้อหาที่ว่าสิ่งใดสะเทือนใจเจ้า แล้วพูดถึงว่าประสบการณ์การสะเทือนใจนี้เองอาจเป็นประโยชน์อันใดได้หรือไม่  ในการสะเทือนใจนั้น ผู้คนเพียงแค่รู้สึกถึงความไม่สบายบางอย่างในมโนธรรมของตน แต่ไม่สามารถพูดเรื่องความไม่สบายดังกล่าวได้อย่างชัดเจน  ถัดไป อาจเกิดการกล่าวโทษและการตำหนิซึ่งมุ่งตรงไปยังบุคคลในเรื่องราวซึ่งหยั่งรากอยู่ในจริยธรรม ศีลธรรม ทฤษฎีทางเทววิทยา หรือคำพูดและคำสอน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง  หากพวกเราต้องการไปให้ถึงความจริง นั่นก็คือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นในส่วนที่เกี่ยวกับตัวเหตุการณ์เอง หรือข้อเรียกร้องในส่วนเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าควรทรงกระทำ—นี่คือประเด็นปัญหาที่จำเป็นต้องมีการแก้ไข  ในเรื่องราวนี้ มโนคติอันหลงผิดและความคิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าควรทรงกระทำในสถานการณ์ดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด  จงอย่ามุ่งความสนใจไปที่ปฏิกิริยาทางภาวะอารมณ์ของเจ้าเท่านั้น การถูกบางสิ่งทำให้สะเทือนใจไม่สามารถแก้ไขความเป็นกบฏของเจ้าได้  หากอยู่มาวันหนึ่งเจ้าพบบางสิ่งในของถวายของพระเจ้าที่เจ้าชอบหรือต้องการเป็นพิเศษ และเจ้าก็ถูกเย้ายวนมาก เจ้าอาจเอาสิ่งนั้นไปใช้เองด้วย ในกรณีเช่นนั้นเจ้าคงจะไม่รู้สึกสะเทือนใจเลยแม้แต่น้อย  ทีนี้การที่เจ้าสะเทือนใจเป็นเพียงแค่การทำหน้าที่ของมโนธรรม เป็นผลลัพธ์จากมาตรฐานทางศีลธรรมของมนุษย์ นี่ไม่ใช่การทำหน้าที่ของความจริง  เมื่อเจ้าสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์นี้ได้ เจ้าย่อมจะเข้าใจความจริงในสถานการณ์นี้  เจ้าจะได้แก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดใดๆ ที่เจ้ามีต่อพระเจ้าในเรื่องเช่นนี้ และในสถานการณ์แบบนี้ เจ้าย่อมจะเข้าใจความจริงและได้รับบางสิ่ง  ดังนั้นตอนนี้จงคิดดูว่าผู้คนอาจจะเกิดมโนคติอันหลงผิดประเภทใดบ้างในสถานการณ์นี้  มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้แบบใดอาจจะนำเจ้าให้เข้าใจพระเจ้าผิด ก่อกำแพงขวางระหว่างเจ้ากับพระองค์ หรือแม้กระทั่งต่อต้านพระองค์?  นี่คือสิ่งที่พวกเราควรสามัคคีธรรม  จงบอกเราที เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ในมโนธรรมของชายผู้นี้ เขารู้สึกถึงการตำหนิใดๆ หรือไม่?  (ไม่)  เจ้าบอกได้อย่างไรว่าเขาไม่รู้สึกถึงการตำหนิ?  (เขาดื่มยาน้ำแก้ไอหมด)  นี่ค่อนข้างง่ายที่จะวิเคราะห์มิใช่หรือ?  จากจิบแรกจนถึงจิบสุดท้าย เขาไม่แสดงให้เห็นการยับยั้งชั่งใจและไม่ได้หยุด  หากเขาชิมจากนั้นก็หยุด นั่นคงจะนับว่าเป็นการรู้สึกถึงการตำหนิตัวเอง เพราะเขาคงจะหยุด ยับยั้งชั่งใจตัวเอง และไม่ดื่มต่อ  แต่ชายผู้นี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาดื่มทั้งขวดตั้งแต่ต้นจนจบ  หากมีอีก เขาก็คงจะดื่มต่อ  นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่รู้สึกถึงการตำหนิแต่อย่างใดเลยในมโนธรรมของเขา นี่คือการมองเรื่องนี้จากมุมมองของมนุษย์  แล้วพระเจ้าทรงมองเรื่องนี้อย่างไร?  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจ  จากวิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อสถานการณ์นี้ วิธีที่พระองค์ทรงประเมินค่าและทรงให้นิยามสถานการณ์นี้ เจ้าสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า และยังแยกแยะหลักธรรมและวิธีการซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการปฏิบัติการได้อีกด้วย  ในเวลาเดียวกัน การนี้ก็อาจจะเผยให้เห็นมโนคติอันหลงผิดบางอย่างของมนุษย์ เป็นเหตุให้ผู้คนกล่าวว่า “ดังนั้นนี่ก็คือท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงรับมือกับผู้คน  ฉันไม่เคยคิดอย่างนี้มาก่อน”  ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าไม่ได้คิดอย่างนี้เผยให้เห็นกำแพงขวางระหว่างเจ้ากับพระเจ้า เจ้าสามารถเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับหนทางที่พระเจ้าทรงพระราชกิจและทรงปฏิบัติการในแง่มุมนี้  แล้วพระเจ้าทรงรับมือกับการนี้อย่างไรเมื่อเผชิญกับสถานการณ์นี้?  ชายผู้นี้พูดว่า “นี่คือยา ยาทุกตัวย่อมมีพิษอยู่บ้าง พวกเราให้พระเจ้าทรงดื่มยานี้ไม่ได้หรอก อาจจะมีผลข้างเคียงก็เป็นได้”  อะไรคือเจตนา จุดประสงค์เบื้องหลังคำพูดของเขา?  นี่เป็นคำพูดที่จริงใจหรือคำพูดที่เป็นเท็จ?  คำพูดเหล่านี้ไม่จริงใจ คำพูดเหล่านี้หลอกลวง เป็นเท็จ และมีเลศนัย  การกระทำต่อๆ มาของเขาและสิ่งที่เขาเผยให้เห็นทำให้เป็นที่เข้าใจชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในหัวใจของเขา  พระเจ้าทรงกระทำสิ่งใดเกี่ยวกับคำพูดที่เป็นเท็จและการกระทำของเขาหรือไม่?  (ไม่)  พวกเรารู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงกระทำสิ่งอันใดเลย?  เมื่อเขากล่าวคำพูดเหล่านั้น เขาไม่จริงใจ เขากำลังเป็นคนเทียมเท็จ  พระเจ้ากำลังทรงเฝ้าสังเกตอยู่เงียบๆ ไม่ได้ทรงปฏิบัติทั้งพระราชกิจการทรงนำในเชิงบวกและพระราชกิจการตำหนิในเชิงลบ  บางครั้งผู้คนก็รู้สึกถึงการตำหนิในมโนธรรมของตน—นั่นคือการทรงพระราชกิจของพระเจ้า  ชายผู้นี้รู้สึกถึงการตำหนิในเวลานั้นหรือไม่?  (ไม่)  ไม่เพียงแต่เขาไม่รู้สึกถูกตำหนิเท่านั้น แต่เขายังพูดในลักษณะที่ฟังดูสูงส่งอีกด้วย  พระเจ้าไม่ได้ทรงตำหนิเขา พระองค์แค่ทรงกำลังเฝ้าดู  เหตุใดพระเจ้าจึงจะทรงเฝ้าดู?  พระองค์กำลังทรงเฝ้าดูเพื่อทอดพระเนตรเห็นว่าข้อเท็จจริงทั้งหลายจะเปิดเผยคลี่คลายอย่างไรอยู่หรือไม่?  (ไม่)  ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น  เมื่อคนคนหนึ่งเผชิญกับสถานการณ์หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกว่าจะทำสิ่งใดหรือคิดถึงข้อเท็จจริงใด พระเจ้าเข้าพระทัยคนคนนั้นหรือไม่?  (พระเจ้าเข้าพระทัย)  พระเจ้าเข้าพระทัยไม่เพียงแค่โฉมภายนอกของพวกเขา แต่ยังเข้าพระทัยหัวใจส่วนที่อยู่ของพวกเขาด้วย—หัวใจของพวกเขาดีหรือชั่ว จริงแท้หรือเทียมเท็จ ท่าทีที่แท้จริงที่พวกเขามีต่อพระเจ้าคืออะไร ในหัวใจของพวกเขานั้นพวกเขามีพระเจ้าหรือไม่ พวกเขามีความเชื่อที่จริงแท้หรือไม่—พระเจ้าทรงรู้สิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว พระองค์ทรงมีหลักฐานที่ได้ข้อสรุปแล้ว และทรงเฝ้าสังเกตอยู่เสมอ  พระเจ้าทรงทำสิ่งใดหลังจากชายผู้นี้พูดเช่นนี้?  ประการแรก พระเจ้าไม่ได้ทรงตำหนิเขา ประการที่สอง พระเจ้าไม่ได้ทรงให้ความรู้แจ้งเขาและไม่ได้ทรงทำให้เขาตระหนักว่านี่คือของถวาย มนุษย์ไม่ควรแตะต้องของถวายนั้นโดยไม่ยั้งคิด  พระเจ้าทรงจำเป็นต้องตรัสบอกผู้คนให้มีการตระหนักรู้นี้อย่างชัดแจ้งหรือไม่?  (ไม่จำเป็น)  การตระหนักรู้นี้ควรปรากฏอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  บางคนอาจพูดว่า “บางคนก็แค่ไม่รู้  พระองค์จะไม่ตรัสบอกพวกเขาหรอกหรือ?  หากพระองค์แค่ตรัสบอกพวกเขา พวกเขาจะไม่รู้หรอกหรือ?  การไม่รู้ละเว้นคนเราจากบาป—ตอนนี้พวกเขาไม่รู้ หากพวกเขารู้ พวกเขาคงจะไม่ทำข้อผิดพลาดนี้มิใช่หรือ?  นี่จะไม่เป็นการคุ้มครองพวกเขาหรอกหรือ?”  พระเจ้าทรงกระทำในหนทางนี้หรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงกระทำในหนทางนี้?  ในทางหนึ่ง ชายผู้นั้นควรได้รู้แนวคิดที่ว่า “นี่คือของถวายแด่พระเจ้า มนุษย์ไม่ควรแตะต้องของถวายนี้”  อีกทางหนึ่ง หากเขาไม่รู้ เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ตรัสบอกเขา?  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงทำให้เขาตระหนักรู้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำสิ่งดังกล่าวและเผชิญกับผลที่ตามมาเช่นนั้น?  การบอกเขาจะไม่เผยความจริงใจของพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้นในการช่วยผู้คนให้รอดหรอกหรือ?  นั่นจะไม่เผยความรักของพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้นหรอกหรือ?  แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงทำเช่นนี้?  (พระเจ้าต้องประสงค์จะเผยเขา)  ใช่ พระเจ้าต้องประสงค์จะเผยเขา  ในยามที่เจ้าเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ การที่เจ้าเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ  สถานการณ์บางอย่างอาจหมายถึงความรอดของเจ้า หรืออาจหมายถึงการพังพินาศของเจ้า  ในระหว่างช่วงเวลานี้ พระเจ้าทรงเฝ้าดู ทรงยังคงเงียบอยู่ ไม่ทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพการณ์ใดๆ ที่จะกระตุ้นเตือนเจ้า และไม่ทรงให้ความรู้แจ้งเจ้าด้วยวจนะเช่น “เจ้าต้องไม่ทำเรื่องนี้ ผลที่ตามมาจะมิอาจจินตนาการได้” หรือ “การทำเรื่องนี้ในหนทางนี้ขาดพร่องเหตุผลและความเป็นมนุษย์”  ผู้คนไม่มีการตระหนักรู้ดังกล่าว  การขาดพร่องการตระหนักรู้ดังกล่าวในแง่หนึ่งนั้นเป็นเพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานการกระตุ้นเตือนใดๆ ให้พวกเขาในชั่วขณะนั้น—พระเจ้าไม่ได้ทรงกระทำการ  ในอีกแง่หนึ่งหากคนคนหนึ่งมีมโนธรรมและมีความเป็นมนุษย์บางระดับ เช่นนั้นพระเจ้าจะทรงกระทำการบนรากฐานเช่นนั้นหรือไม่?  (ใช่ พระเจ้าจะทรงกระทำการบนรากฐานเช่นนั้น)  ถูกต้อง พระเจ้าจะประทานพระคุณดังกล่าวให้พวกเขา  แต่เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเมินเฉยต่อสถานการณ์พิเศษนี้?  เหตุผลหนึ่งก็คือชายผู้นี้ขาดพร่องมโนธรรมและเหตุผล ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความสัตย์สุจริต และไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านี้ เขาไม่ได้มีพระเจ้าในหัวใจของเขาและไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า  ดังนั้นพระเจ้าจึงต้องประสงค์จะเผยเขาผ่านทางสถานการณ์นี้  บางครั้งการที่พระเจ้าทรงเผยใครบางคนเป็นความรอดรูปแบบหนึ่ง และบางครั้งก็ไม่ใช่—พระเจ้าทรงกระทำในหนทางนี้โดยเจตนา  หากเจ้าเป็นคนที่มีมโนธรรมและเหตุผล การทรงเผยเจ้าของพระเจ้าย่อมทำหน้าที่เป็นบททดสอบและความรอดรูปแบบหนึ่ง  แต่หากเจ้าขาดพร่องมโนธรรมและเหตุผล การทรงเผยเจ้าของพระเจ้าย่อมจะหมายถึงการถูกกำจัดออกไปและถูกทำลาย  แล้วเมื่อมองเรื่องนี้ในขณะนี้ การที่พระเจ้าทรงเผยชายผู้นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายถึงการถูกกำจัดออกไป ไม่ใช่พร แต่เป็นคำสาปแช่ง  บางคนพูดว่า “เขาทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ และความผิดพลาดนี้ค่อนข้างน่าละอาย  จากตอนที่เขาเริ่มแอบดื่มยาน้ำแก้ไอ พระเจ้าไม่ทรงสามารถจัดการเตรียมการสภาพการณ์บางอย่างเพื่อให้เขาหยุดได้หรอกหรือ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ทำความผิดพลาดนี้และดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถูกกำจัดออกไป?”  นี่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงทำหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พระเจ้าทรงกระทำอย่างไร?  (พระองค์ทรงปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปตามเรื่องตามราว)  พระเจ้าทรงปล่อยให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเรื่องตามราว—นี่คือหลักธรรมประการหนึ่งของพระองค์  ทันทีที่เขาเปิดขวดยาน้ำแก้ไอ แล้วมีความแตกต่างใดๆ บ้างไหมในธรรมชาติระหว่างจิบแรกของเขากับจิบสุดท้าย?  (ไม่มี)  เหตุใดจึงไม่มีความแตกต่าง?  (โดยแก่นแท้แล้วเขาก็แค่เป็นคนประเภทนั้น)  สถานการณ์นี้เผยให้เห็นความเป็นมนุษย์ของเขา การไล่ตามไขว่คว้าของเขา และความเชื่อของเขาอย่างถ้วนทั่ว

ในยุคภาคพันธสัญญาเดิม เอซาวแลกสิทธิบุตรหัวปีของเขากับแกงแดงชามหนึ่ง  เขาไม่ได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่า “สิทธิบุตรหัวปีเป็นเรื่องสำคัญใหญ่โตอะไร?  ถึงฉันจะแลกสิทธิบุตรหัวปีไปก็คงไม่มีอะไรแตกต่าง ฉันจะยังคงมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ?”  นี่คือสิ่งที่เขาคิดในหัวใจของเขา  อาจจะดูเหมือนว่าแนวทางแก้ปัญหาของเขาค่อนข้างมีความเป็นจริง แต่สิ่งที่เขาสูญเสียก็คือพระพรของพระเจ้า และผลที่ตามมาจากการนั้นมิอาจจินตนาการได้  บัดนี้ในคริสตจักรมีคนมากมายที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาไม่จริงจังกับพระสัญญาของพระเจ้าและพระพรของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่อย่างเดียวกับการสละสิทธิบุตรหัวปีของคนเราในธรรมชาติหรอกหรือ?  นี่ไม่ร้ายแรงมากขึ้นไปอีกกระนั้นหรือ?  เพราะการที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดเป็นโอกาสครั้งเดียว หากใครบางคนพลาดโอกาสนี้ มันก็จบสิ้นแล้วทุกอย่าง  มีแม้กระทั่งคนคนหนึ่งที่ถูกกำจัดออกไปในท้ายที่สุดเพียงเพื่อยาน้ำแก้ไอหนึ่งขวด บางสิ่งที่เขาแลกกับจุดจบของการถูกทำลาย เรื่องนี้มิอาจหยั่งลึกได้เป็นธรรมดา!  กระนั้นก็ตาม อันที่จริงแล้วไม่มีอะไรที่มิอาจหยั่งลึกได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนั้น?  เหตุการณ์นี้อาจจะดูเหมือนสิ่งที่เล็กน้อย  หากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นท่ามกลางผู้คน คงจะไม่มีการคำนึงถึงเหตุการณ์นี้มากนัก  เหมือนการก่ออาชญากรรม เช่น การขโมยหรือการทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ อย่างมากที่สุดเจ้าก็คงจะถูกลงโทษหลังความตาย จากนั้นก็เกิดใหม่เป็นมนุษย์ผ่านทางการเวียนว่ายตายเกิดเป็นมนุษย์  นั่นคงจะไม่สำคัญมากนัก  แต่สถานการณ์นี้ที่เราพูดถึงตอนนี้เรียบง่ายเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าสถานการณ์นี้ไม่เรียบง่าย?  เหตุใดสถานการณ์นี้จึงควรค่าแก่การเสวนา?  พวกเรามาเริ่มด้วยยาน้ำแก้ไอขวดนี้กันเถิด  อันที่จริงแล้วยาน้ำแก้ไอขวดนี้ไม่ใช่สิ่งที่มีมูลค่ามากมาย แต่ทันทีที่ถูกถวายแด่พระเจ้าแล้ว แก่นแท้ของยาน้ำแก้ไอขวดนี้ก็เปลี่ยนแปลงไป ยาน้ำแก้ไอขวดนี้กลายเป็นของถวาย  บางคนพูดว่า “ของถวายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ของถวายไม่ใช่ของผู้คน ผู้คนไม่ควรแตะต้องของถวาย”  การกล่าวเช่นนี้ก็ถูกต้องเช่นกัน  ของถวายคือสิ่งใด?  ของถวายคือบางสิ่งบางอย่างที่บุคคลหนึ่งอุทิศแด่พระเจ้า ไม่สำคัญว่าจะเป็นสิ่งใด สิ่งทั้งหลายดังกล่าวล้วนอ้างอิงถึงว่าเป็นของถวาย  ในเมื่อสิ่งเหล่านี้เป็นของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ของมนุษย์อีกต่อไป  สิ่งใดก็ตามที่ถูกอุทิศแด่พระเจ้า—ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือสิ่งของทางวัตถุ และไม่ว่ามันจะมีมูลค่าเพียงใด—ย่อมเป็นของพระเจ้าทั้งสิ้น และไม่ใช่ของที่มนุษย์สามารถเอาไปแจกจ่ายได้ตามสะดวก อีกทั้งไม่ใช่เป็นของของเขาที่จะเอาไปใช้ได้  ของถวายของพระเจ้าอาจจะถูกให้มโนทัศน์อย่างไรหรือ?  สิ่งเหล่านั้นเป็นของพระเจ้า มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่อาจแจกจ่ายสิ่งเหล่านั้น และก่อนที่จะได้มาซึ่งความเห็นชอบของพระองค์ ไม่อาจมีผู้ใดแตะต้องสิ่งเหล่านั้นหรือมีโครงการกับสิ่งเหล่านั้นได้  มีพวกที่กล่าวว่า “หากพระเจ้าไม่กำลังทรงใช้บางสิ่งบางอย่าง เหตุใดพวกเราจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิ่งนั้น?  หากสิ่งนั้นจะเสียไปหลังจากผ่านไปสักพัก นั่นจะไม่ใช่ความน่าละอายหรือ?”  ไม่ แม้กระทั่งเมื่อเป็นเช่นนั้น นี่คือหลักธรรม  ของถวายคือสิ่งที่เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก และไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะมีมูลค่าหรือไม่ก็ตาม ทันทีที่มนุษย์ได้อุทิศสิ่งเหล่านั้นให้พระเจ้าแล้ว แก่นสารของสิ่งเหล่านั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์สิ่งเหล่านั้นหรือไม่ก็ตาม  ทันทีที่สิ่งหนึ่งได้กลายเป็นของถวาย สิ่งนั้นก็อยู่ท่ามกลางสิ่งทรงครองของพระผู้สร้างและอยู่ในการแจกจ่ายของพระองค์  หนทางที่คนเราปฏิบัติต่อของถวายเกี่ยวข้องกับสิ่งใด?  ทรรศนะนั้นเกี่ยวข้องกับท่าทีของคนเราที่มีต่อพระเจ้า  หากท่าทีของบุคคลหนึ่งที่มีต่อพระเจ้าเป็นท่าทีที่ผยองและดูถูก และท่าทีที่เมินเฉย เช่นนั้นแล้ว ท่าทีของบุคคลนั้นที่มีต่อสิ่งทั้งหมดที่พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของก็จะเป็นเช่นเดียวกันนั้นอย่างแน่นอน  มีบางคนที่กล่าวว่า “มีของถวายบางอย่างไม่มีผู้ใดสอบถามถึง  นั่นหมายความว่าของถวายเหล่านั้นเป็นของผู้ใดก็ตามที่หาเจอใช่หรือไม่?  ไม่ว่าผู้ใดจะรู้การนั้นหรือไม่ก็ตาม ‘ผู้หาพบ ก็คือผู้เก็บรักษา’ สิ่งนั้น  ผู้ใดก็ตามที่สิ่งของเหล่านั้นอยู่ในมือของเขาก็คือผู้เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านั้น”  เจ้าคิดอย่างไรกับทรรศนะนั้น?  เป็นที่ชัดเจนทีเดียวว่า ทรรศนะนั้นไม่ถูกต้อง  ท่าทีของพระเจ้าที่ทรงมีต่อของถวายเป็นอย่างไร?  ไม่สำคัญว่าสิ่งใดถูกมอบถวายแด่พระเจ้า และไม่ว่าพระองค์จะทรงยอมรับสิ่งนั้นหรือไม่ ทันทีที่บางสิ่งบางอย่างได้ถูกกำหนดว่าเป็นของถวายแล้ว บุคคลใดที่มีการออกแบบเพิ่มเติมกับสิ่งนั้นอาจลงเอยด้วย “การเหยียบบนกับระเบิด”  นี่หมายความว่าอย่างไร?  (นั่นหมายถึงการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า)  ถูกต้อง  พวกเจ้าทั้งหมดรู้มโนทัศน์นี้  แต่เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่รับรู้ถึงแก่นแท้ของเรื่องนี้?  แล้วเรื่องนี้บอกสิ่งใดกับผู้คน?  เรื่องนี้บอกพวกเขาว่า พระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่ยอมทนต่อการล่วงเกินอันใดโดยเหล่ามนุษย์ และว่าพวกเขาจะต้องไม่ลูบคลำจับต้องสิ่งของทั้งหลายของพระองค์  ตัวอย่างเช่น ของถวายของพระเจ้า—หากบุคคลหนึ่งจะเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของพวกเขาเอง หรือจะผลาญหรือใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายกับสิ่งเหล่านั้น เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็หมิ่นเหม่ที่จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและจะถูกลงโทษ  ความเดือดดาลของพระเจ้าก็มีหลักธรรม ไม่ใช่เป็นดังที่ผู้คนจินตนาการว่า พระเจ้าทรงจู่โจมผู้ใดก็ตามที่ทำผิดพลาด  ตรงกันข้าม พระพิโรธของพระเจ้าถูกกระตุ้นเมื่อใครบางคนล่วงเกินพระเจ้าในเรื่องที่สำคัญจำเป็นอย่างยิ่งยวด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของการปฏิบัติต่อการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าและของถวายของพระเจ้า ผู้คนต้องแสดงให้เห็นความระมัดระวังและมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า

บางคนมีความเชื่อในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาและสามารถสละตนเองและยอมลำบาก ปฏิบัติได้ดีในทุกแง่มุมยกเว้นแง่มุมเดียว  เมื่อได้เห็นทรัพยากรอันอุดมในพระนิเวศของพระเจ้า และรู้ว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรถวายไม่เพียงแค่เงินทองเท่านั้น แต่ยังถวายอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยาต่างๆ รวมถึงสิ่งอื่นๆ ด้วย คนเช่นนี้ก็คิดว่า “ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรถวายสิ่งต่างๆ มากมายเหลือเกินแด่พระเจ้า และพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวไม่ทรงสามารถใช้ทั้งหมดนี้ได้  แม้บางส่วนเป็นสิ่งจำเป็นในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ส่วนที่ว่านั้นก็ยังจะไม่ถูกใช้ทั้งหมด  ควรจัดการกับรายการสิ่งของเหล่านี้อย่างไร?  บางทีผู้นำและคนทำงานก็ควรที่จะมีส่วนในรายการสิ่งของเหล่านี้บ้างไม่ใช่หรือ?”  เขากลายเป็นวิตกกังวลและกระวนกระวายเกี่ยวกับประเด็นปัญหานี้ รู้สึกถึง “ภาระ” ภายใน และเริ่มที่จะไตร่ตรองว่า “ในเมื่อตอนนี้ฉันควบคุมดูแลรายการสิ่งของเหล่านี้ ฉันก็ควรใช้บางส่วน  มิฉะนั้น เมื่อโลกถูกลบล้างของถวายทั้งหมดนี้จะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?  การแจกจ่ายรายการสิ่งของเหล่านี้ให้ผู้นำและคนทำงานย่อมเป็นธรรม  ทุกคนในพระนิเวศของพระเจ้าเท่าเทียมกัน ในเมื่อพวกเราอุทิศตนให้กับพระเจ้า เช่นนั้นสิ่งของของพระเจ้าย่อมเป็นของพวกเราด้วย และของของพวกเราย่อมเป็นของพระเจ้า  หากฉันจะชื่นชมของถวายบางส่วนของพระเจ้าย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถึงอย่างไรของถวายเหล่านั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของพระพรของพระเจ้า  ฉันอาจจะใช้บางส่วนไปเลยก็แล้วกัน”  ด้วยความคิดเช่นนี้ เขาจึงถูกทดลอง  ความอยากของเขาพองโตขึ้นทีละน้อยและเขาก็เริ่มที่จะละโมบของถวาย เริ่มเอารายการสิ่งของต่างๆ ไปโดยไม่รู้สึกถึงการตำหนิใดๆ ในหัวใจของเขา  เขาคิดว่าจะไม่มีใครรู้ และปลอบใจตัวเองโดยพูดว่า “ฉันสละตนเองเพื่อพระเจ้า การชื่นชมของถวายบางส่วนไม่ใช่เรื่องใหญ่  ต่อให้พระเจ้าทรงรู้ พระองค์ก็จะทรงยกโทษให้ฉัน  ฉันก็จะแค่ชื่นชมบางส่วนในตอนนี้”  ผลลัพธ์ก็คือ เขาเริ่มขโมยของถวาย ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ภายนอกนั้น เขาหาข้ออ้างมากมายให้ตัวเอง เช่น “หากไม่ถูกบริโภคสิ่งเหล่านี้ก็จะเสียหลังจากผ่านไปสักพัก!  พระเจ้าเพียงพระองค์เดียวไม่ทรงสามารถใช้สิ่งทั้งหมดนี้ได้ และหากสิ่งทั้งหมดนี้ถูกแจกจ่ายโดยเท่าๆ กัน ย่อมจะมีคนจำนวนมากเกินไปและมีไม่มากพอที่จะแจกจ่ายให้ทั่วกัน  เหตุใดฉันจึงไม่จัดการเรื่องนี้?  ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเกิดเงินทั้งหมดนี้ไม่อาจใช้ให้หมดเมื่อถึงวันสิ้นโลกล่ะ?  พวกเราแต่ละคนควรแบ่งส่วนกัน ซึ่งยังสะท้อนถึงความรักและพระคุณของพระเจ้าอีกด้วย!  แม้พระเจ้าไม่เคยทรงระบุเรื่องนี้ และไม่มีหลักธรรมดังกล่าว แต่ทำไมไม่คิดขึ้นเองล่ะ?  นี่เป็นการปฏิบัติตามหลักธรรม!”  เขาปั้นแต่งเหตุผลที่ฟังดูสูงส่งมากมาย จากนั้นจึงเริ่มลงมือกระทำการ  แต่ทันทีที่เขาเริ่มต้น สิ่งต่างๆ ก็คุมไม่อยู่ และมีการตำหนิในหัวใจของเขาน้อยลงเรื่อยๆ  เขาอาจถึงขั้นรู้สึกว่านั่นมีเหตุมีผล โดยคิดว่า “หากพระเจ้าไม่ทรงต้องการสิ่งนั้น ฉันก็ควรใช้สิ่งนั้น  นี่ไม่ใช่ปัญหาจริง”  สิ่งทั้งหลายผิดพลาดไปตรงนี้นี่เอง  พวกเจ้าคิดอย่างไร นี่ใช่เรื่องใหญ่หรือไม่?  เรื่องนี้ร้ายแรงหรือไม่?  (ร้ายแรง)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าเรื่องนี้ร้ายแรง?  ประเด็นปัญหานี้ควรค่าแก่การสามัคคีธรรมหรือไม่?  (ควรค่า)  อะไรทำให้ประเด็นปัญหานี้ควรค่าแก่การสามัคคีธรรม?  (ประเด็นปัญหานี้เกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและยังเกี่ยวข้องกับจุดจบและบั้นปลายของมนุษย์ด้วย)  ประเด็นปัญหานี้มีนัยสำคัญ ธรรมชาติของประเด็นปัญหานี้รุนแรง  ทีนี้เราควรเตือนพวกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งใด?  ไม่บันเทิงไปกับแนวคิดเรื่องการเอาของถวายไปเป็นอันขาด  บางคนพูดว่า “ไม่ถูกต้อง ของถวายที่พี่น้องชายหญิงทำขึ้นมีไว้สำหรับพระนิเวศของพระเจ้า สำหรับคริสตจักร  นี่ทำให้ของถวายเหล่านี้เป็นทรัพย์สินส่วนรวมของทุกคน”  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  คำกล่าวเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  ทฤษฎีเช่นนี้ถูกปั้นแต่งขึ้นจากความโลภของมนุษย์  ประเด็นปัญหานี้เกี่ยวข้องกับอะไรอีก?  มีบางสิ่งที่พวกเรายังไม่ได้กล่าวถึง—คือสิ่งใดหรือ?  บางคนคิดว่า “พระนิเวศของพระเจ้าเป็นครอบครัวใหญ่  เพื่อสะท้อนถึงครอบครัวที่ดี ควรมีความรักและการยอมผ่อนปรน ทุกคนควรแบ่งปันอาหาร เครื่องดื่ม และทรัพยากร และสิ่งทั้งหมดนี้ควรแจกจ่ายอย่างเท่าเทียมกัน  ตัวอย่างเช่น ทุกคนควรมีเครื่องนุ่งห่ม และเครื่องนุ่งห่มนี้ก็ควรแจกจ่ายและชื่นชมอย่างเท่าเทียมกัน  พระเจ้าไม่ทรงแสดงการเล่นพรรคเล่นพวก หากใครบางคนไม่สามารถแม้แต่จะมีเงินพอซื้อถุงเท้าและพระเจ้าก็ทรงมีคู่ที่เกินมาอยู่บ้าง พระองค์ก็ควรทรงเสนอการบรรเทาทุกข์ให้พวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น ของถวายเหล่านั้นของพระเจ้ามาจากพี่น้องชายหญิง พระเจ้าทรงมีมากมายเหลือเกินอยู่แล้ว ไม่ควรแจกจ่ายบางส่วนไปให้คนยากจนหรอกหรือ?  นี่จะไม่สะท้อนถึงความรักของพระเจ้าหรอกหรือ?”  ผู้คนคิดเช่นนี้หรือไม่?  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์หรอกหรือ?  ผู้คนกล่าวอ้างทรัพย์สินของพระเจ้าโดยใช้กำลังบังคับในขณะที่ติดป้ายกำกับทรัพย์สินดังกล่าวของพระเจ้าอย่างสละสลวยว่าเป็นพระคุณของพระเจ้า พระพรของพระเจ้า และความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  พวกเขาต้องการแบ่งแยกสิ่งต่างๆ กับพระเจ้าอย่างเท่าๆ กันเสมอ ต้องการแบ่งทุกสิ่งทุกอย่างเท่าๆ กัน ต้องการผลักดันให้เกิดสมภาคนิยมอยู่เสมอ  พวกเขาคิดว่านี่คือสัญลักษณ์ของเอกภาพ ของความปรองดองของมนุษย์ และการดำรงอยู่อย่างลุล่วง รวมทั้งพิจารณาว่านี่คือรูปการณ์แวดล้อมที่ควรที่จะสำแดงออกมา  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์หรอกหรือ?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาคิดว่าไม่ควรมีใครปล่อยให้ท้องหิว  หากใครบางคนหิว พระเจ้าทรงควรใช้ของถวายของพระองค์เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ พระเจ้าไม่ควรทรงเมินเฉยต่อเรื่องนี้  ไม่ใช่คำว่า “ควร” นี้หรอกหรือที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นมโนคติอันหลงแบบหนึ่ง?  คำนี้ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่มนุษย์มีต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  หลังจากเชื่อในพระเจ้า บางคนพูดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามาแล้วหลายปีเหลือเกินแต่ไม่ได้รับสิ่งใดเลย ครอบครัวของฉันยังคงยากจนอยู่  นี่ไม่ควรเกิดขึ้น พระเจ้าควรทรงมีเมตตากับฉัน ควรทรงอวยพรฉันเพื่อที่ฉันจะได้สามารถถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น”  เพราะครอบครัวของเจ้ายากจน เจ้าจึงไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าหวังจะเปลี่ยนแปลงภาวะที่ขัดสนของเจ้าผ่านทางการเชื่อในพระเจ้า และใช้การถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเป็นข้ออ้างเพื่อต่อรองกับพระองค์  นี่คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้คือความอยากอันฟุ้งเฟ้อของมนุษย์  การเชื่อในพระเจ้าด้วยสิ่งจูงใจเช่นนี้ไม่ใช่การต่อรองกับพระเจ้ารูปแบบหนึ่งหรอกหรือ?  พวกที่ต่อรองกับพระเจ้ามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  พวกเขาใช่คนที่นบนอบพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ใช่อย่างแน่นอนที่สุด  คนเหล่านี้ขาดพร่องมโนธรรมและเหตุผล ไม่ยอมรับความจริง ถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ และเป็นคนไม่มีเหตุผลซึ่งไม่สามารถบรรลุความรอดของพระเจ้า

บางคนคิดว่า “เมื่อมนุษย์มีความคิดและการกระทำบางอย่างอันไม่ถูกควรซึ่งละเมิดกฎการปกครองของพระเจ้าและก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า พระเจ้าควรทรงแทรกแซงเพื่อหยุดยั้งพวกเขา  นี่คือความรอดของพระเจ้า นี่คือความรักของพระเจ้า”  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คนหรอกหรือ?  นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอดหรือไม่?  พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดด้วยการทรงแสดงความจริง  การที่คนเราสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่  นอกจากนี้ มีสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงพิจารณาว่าสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก และนั่นก็คือมโนธรรมและความเป็นมนุษย์ของผู้คน  หากไม่มีมโนธรรม ไม่มีความสัตย์ซื่อ และไม่มีเหตุผลภายในความเป็นมนุษย์ของเจ้า—กล่าวคือ เมื่อบางสิ่งบังเกิดขึ้นกับเจ้า มโนธรรมและความมีเหตุผลของเจ้าไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ ไม่สามารถยับยั้งและกำกับควบคุมการกระทำของเจ้า ไม่สามารถแก้ไขเจตนาและทัศนะของเจ้า—เช่นนั้นพระเจ้าย่อมจะไม่ทรงทำสิ่งใดเลยอย่างแน่นอน  การที่พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนแปลงเจ้านั้น ก่อนอื่นพระองค์ทรงอนุญาตให้มโนธรรมและความมีเหตุผลของเจ้าได้ทำหน้าที่  เมื่อมโนธรรมของเจ้ารู้สึกถึงการตำหนิ เจ้าจะไตร่ตรองว่า “สิ่งที่ฉันทำอยู่นั้นไม่ถูกต้อง พระเจ้าจะทรงมองฉันอย่างไร?” และนี่จะนำทางเจ้าไปสู่การแสวงหาและการเข้าสู่ที่เป็นเชิงบวกและเป็นไปในเชิงรุกเพิ่มเติม  อย่างไรก็ตาม หากคนเราขาดพร่องแม้กระทั่งขั้นตอนเริ่มแรกนี้ ไม่มีมโนธรรม และโดยพื้นฐานแล้วไม่มีการตำหนิในหัวใจของตน เช่นนั้นพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใดเมื่อพวกเขาเผชิญกับบางสิ่ง?  พระเจ้าจะไม่ทรงทำสิ่งใดเลย  แล้วอะไรคือรากฐานซึ่งพระเจ้าทรงใช้เป็นพื้นฐานในการตรัสพระวจนะทั้งหมดนี้ รวมทั้งข้อเรียกร้องและความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสอนผู้คน?  สิ่งเหล่านี้มีพื้นฐานอยู่บนข้อสนับสนุนที่ว่าผู้คนมีมโนธรรมและความมีเหตุผล  ในเรื่องของชายผู้ที่ถูกกล่าวถึงก่อนหน้านี้ หากเขาได้มีมโนธรรมและมีความมีเหตุผลที่ระดับหนึ่ง เขาจะได้ลงมือกระทำการใดหลังจากเห็นยาน้ำแก้ไอขวดนั้น?  เขาจะได้แสดงพฤติกรรมใดออกมาให้เห็น?  ตอนที่เขามีความคิดดังนี้ “สิ่งนี้ได้ถวายแด่พระเจ้าแล้ว ดังนั้นจึงควรเป็นสิ่งที่ค่อนข้างดี แทนที่จะปล่อยให้พระเจ้าทรงดื่มสิ่งนี้ ทำไมฉันไม่ดื่มเสียล่ะ?” เขาจะได้ทำสิ่งใดในตอนนั้นหากเขามีมโนธรรม?  เขาจะได้เปิดขวดแล้วดื่มจิบแรกหรือไม่?  (ไม่)  คำว่า “ไม่” นี้จะได้เกิดขึ้นอย่างไร?  (จากการมีสำนึกถึงมโนธรรม)  เมื่อถูกมโนธรรมของตนควบคุม สำนึกนี้จะเข้ามามีบทบาท และเรื่องนี้ก็คงจะไม่ได้มีขั้นถัดไป เขาจะไม่ได้ดื่มจิบแรกนั้น  ผลลัพธ์ของเรื่องนี้คงจะกลับตาลปัตร และจุดจบก็คงจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง  อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน เขาไม่ได้มีมโนธรรมหรือความมีเหตุผล—เขาขาดพร่องสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง—แล้วเกิดอะไรขึ้นอันเป็นผลจากเรื่องนี้?  หลังจากมโนภาพความคิดเช่นนี้และโดยปราศจากการยับยั้งชั่งใจจากมโนธรรมของเขา เขาได้ขัดต่อหลักศีลธรรมและเปิดขวดดื่มจิบแรกนั้น  ไม่เพียงแต่เขาไม่รู้สึกถึงการตำหนิหรือการต่อว่าตัวเองหลังจากนั้นเท่านั้น แต่อันที่จริงแล้วเขายังเพลิดเพลินกับการทำเช่นนั้นอีกด้วย  เขาคิดว่าเขาไม่ถูกจับได้แน่แล้ว “ดูสิว่าฉันฉลาดหลักแหลมเพียงใดที่ฉกฉวยโอกาสเอาไว้ได้  พวกคุณล้วนเป็นคนโง่เขลา พวกคุณไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้  คนแก่ประสบการณ์ย่อมเหนือกว่าคนหนุ่มสาวเสมอล่ะ!  พวกคุณไม่มีใครเลยที่มีแนวคิดนี้ ไม่มีใครเลยที่หน้าด้านพอที่จะทำเช่นนี้ แต่ฉันกล้า  สิ่งที่แย่ที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นได้คืออะไร?  ฉันก็จิบคำแรกไปแล้ว ใครจะไปรู้ล่ะ?”  เขารู้สึกว่าเขาแซงหน้าไปแล้ว รวมทั้งรู้สึกพึงพอใจอยู่ภายใน เขาถึงขั้นคิดว่าเขาเป็นที่โปรดปราน นี่คือพระคุณของพระเจ้า  ทันทีที่เขาทำความผิดพลาดนี้แล้ว เขาก็คอยทำเช่นนี้อยู่เรื่อย แล้วมันก็แย่ลงจนควบคุมไม่ได้ เป็นเช่นนี้ต่อไปจนกระทั่งเขาดื่มหมดขวด  ตลอดเวลานี้ มโนธรรมของเขาไม่เคยรู้สึกถึงการต่อว่าหรือการตำหนิตนเองใดๆ  มโนธรรมและความมีเหตุผลของเขาไม่เคยบอกเขาว่า “ยาขวดนี้ไม่ใช่ของเจ้า ต่อให้พระเจ้าไม่ทรงดื่มยาขวดนี้ ต่อให้พระเจ้าทรงโยนยาขวดนี้ทิ้งไป หรือประทานยาขวดนี้ให้สุนัขหรือแมว ตราบที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสว่ายาขวดนี้มีไว้ให้เจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรใช้ยาขวดนี้ ยาขวดนี้ไม่ได้มีไว้ให้เจ้าดื่ม”  มโนธรรมของเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเขาเพราะเขาไม่มีมโนธรรม  คนที่ไม่มีมโนธรรมเป็นอย่างไร?  พวกเขาถูกนิยามว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน  คนที่ไม่มีมโนธรรมประพฤติตนในลักษณะนี้ พวกเขามโนภาพความคิดเช่นนี้ ณ จุดเริ่มต้น และดำเนินต่อไปในลักษณะนี้จนถึงที่สุด โดยปราศจากการตำหนิจากมโนธรรมของตนแม้สักเสี้ยว  อาจเป็นได้ว่าถึงตอนนี้แล้วชายผู้นี้ลืมอุบัติการณ์นี้ไปนานแล้ว หรือหากเขามีความจำที่ดี เขาอาจยังคงจำอุบัติการณ์นี้ได้และคิดว่าเขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในเวลานั้น  เขาไม่เคยคิดว่าการทำแบบนี้เป็นเรื่องผิดเลย และไม่ตระหนักรู้ถึงความรุนแรงและธรรมชาติของสิ่งที่เขาทำ  เขาไม่อาจรับรู้สิ่งนี้ได้  การที่พระเจ้าทรงจำแนกชั้นคนเช่นนี้ถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  (ถูกต้องแม่นยำ)  เมื่อพระเจ้าทรงจำแนกชั้น ทรงเผย และทรงกำจัดคนเช่นนี้ออกไป โดยประทานจุดจบแบบนี้ให้พวกเขา พระเจ้าทรงจำแนกชั้นพวกเขาบนหลักธรรมใดและบนพื้นฐานใด?  (บนพื้นฐานของแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา)  คนที่ขาดพร่องสำนึกรับรู้ถึงมโนธรรมและความมีเหตุผลมีภาวะที่จะยอมรับและปฏิบัติความจริงหรือไม่?  พวกเขามีแก่นแท้เช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าพวกเขาไม่มีแก่นแท้เช่นนี้?  เมื่อพวกเขาเริ่มแสดงทัศนะของตนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขานั้นพระเจ้าของพวกเขาอยู่ที่ไหน?  ใครคือพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา?  เขายืนอยู่ตรงไหน?  พวกเขามีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาหรือไม่?  พวกเรากล่าวได้อย่างมั่นใจว่าคนเช่นนี้ไม่มีพระเจ้าในหัวของพวกเขา  ความนัยของการไม่มีพระเจ้าในหัวใจของคนเราคืออะไร?  (พวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ)  ถูกต้อง พวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่จริงแท้ในพระเจ้า พวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง พวกเขาเป็นเพียงแค่ผู้ไม่เชื่อ  พฤติกรรมใดของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ?  พวกเขากระทำและพูดตามความชอบใจของตัวเองอย่างสิ้นเชิงโดยปราศจากพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความชอบของตนเอง โดยปราศจากอิทธิพลจากมโนธรรม  เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจความจริง มโนธรรมของพวกเขาก็ไม่ปลุกเร้า พวกเขากระทำการบนพื้นฐานของความชอบของตนเองล้วนๆ เพื่อข้อได้เปรียบและประโยชน์ส่วนบุคคลของตนเพียงอย่างเดียว  ในหัวใจของพวกเขามีที่ว่างให้พระเจ้าบ้างหรือไม่?  ไม่มีแม้แต่น้อย  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนั้น?  เพราะแรงจูงใจ จุดกำเนิด ทิศทาง และแม้กระทั่งการสำแดงการกระทำและคำพูดของพวกเขาล้วนมุ่งเป้ามาที่การรับใช้ผลประโยชน์ของตนเอง พวกเขากระทำและพูดตามสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพิจารณาถูกออกแบบมาเพื่อผลประโยชน์และวัตถุประสงค์ของตนเอง และพวกเขาก็ดำเนินการโดยไม่รู้สึกถึงการตำหนิใดๆ และโดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจ  เมื่อตัดสินจากพฤติกรรมนี้ พวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้าดังเช่นสิ่งใด?  (อากาศ)  ไม่ผิดเลย ตรงประเด็น  หากพวกเขาสามารถรู้สึกถึงการสถิตของพระเจ้า พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของมนุษย์ พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างผู้คน ทรงพินิจพิเคราะห์พวกเขาอย่างต่อเนื่อง การกระทำของพวกเขาจะขาดพร่องการยับยั้งชั่งใจใดๆ หรือไม่?  พวกเขาจะแสดงให้เห็นความอาจหาญอันบุ่มบ่ามดังกล่าวหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด  ในที่นี้เกิดคำถามขึ้น ซึ่งก็คือ  พระเจ้าที่พวกเขาเชื่อที่จริงแล้วทรงดำรงอยู่หรือไม่?  (ไม่)  นั่นคือแก่นแท้ของประเด็นปัญหานี้  พระเจ้าที่พวกเขาเชื่อไม่ได้ทรงดำรงอยู่ พระเจ้าของพวกเขาเป็นเพียงแค่อากาศ  ดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขากล่าวอ้างด้วยวาจาอย่างไรว่าพระเจ้าทรงเป็นอย่างไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างไร ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปีหรือพวกเขาทำสิ่งใดไปแล้วบ้างหรือพวกเขาเสียสละมาแล้วมากแค่ไหน ธรรมชาติของพวกเขาถูกเปิดโปงอย่างเต็มที่บนพื้นฐานของคำพูดและพฤติกรรมของพวกเขา ท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า และท่าทีที่พวกเขามีต่อสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า  พวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนอากาศ นี่ไม่ใช่การหมิ่นประมาทพระเจ้าหรอกหรือ?  (ใช่)  เหตุใดจึงพิจารณาเรื่องนี้ว่าเป็นการหมิ่นประมาท?  พวกเขาคิดว่า “พวกเขาพูดว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของมนุษย์—แต่พระเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ?  เหตุใดฉันจึงยังไม่รู้สึกถึงพระองค์?  พวกเขายังพูดอีกด้วยว่าการขโมยของถวายจะถูกพระเจ้าลงโทษ แต่ฉันก็ยังไม่เห็นใครทนทุกข์จากการลงโทษที่สาสมด้วยเหตุที่ขโมยของถวายเลย”  พวกเขาปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า นี่เป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า  พวกเขาพูดว่า “พระเจ้าไม่ทรงดำรงอยู่เสียด้วยซ้ำ พระองค์จะทรงทำพระราชกิจใดๆ ได้อย่างไร?  พระองค์จะทรงช่วยผู้คนให้รอดได้อย่างไร?  พระองค์ทรงตำหนิผู้คนอย่างไร?  พระองค์เคยทรงลงโทษใครบ้างหรือไม่?  ฉันไม่เคยเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นเลย ดังนั้นอะไรก็ตามที่ถวายแด่พระเจ้าย่อมสามารถใช้ได้อย่างอิสระ  หากฉันบังเอิญมาพบเจอสิ่งที่ถวายแด่พระเจ้า สิ่งนั้นย่อมเป็นของฉัน—ฉันจะถือว่านั่นเป็นหนทางของพระเจ้าในการโปรดปรานฉัน  ใครก็ตามที่เห็นสิ่งนั้นหรือบังเอิญพบเจอสิ่งนั้น สิ่งนั้นย่อมเป็นของพวกเขา คนนั้นเองคือผู้ที่พระเจ้าทรงแสดงความโปรดปราน”  นี่คือตรรกะประเภทใดหรือ?  นี่คือตรรกะของซาตาน ของโจร นี่คือธรรมชาติเยี่ยงมารของคนเราที่ปรากฏออกมา  คนเช่นนี้มีความเชื่อที่จริงแท้หรือไม่?  (ไม่)  หลังจากรับฟังคำเทศนามากมายเหลือเกินแล้ว พวกเขาก็พ่นคำพูดเยี่ยงมารอย่างมากล้นเช่นนั้น พวกเขามีรากฐานใดๆ ในความจริงบ้างหรือไม่?  (ไม่)  แล้วพวกเขาได้อะไรจากการรับฟังคำเทศนาทั้งหมดเหล่านั้น?  พวกเขายังไม่ได้ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่คำนึงถึงว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง และพวกเขาไม่ปฏิบัติต่อพระเจ้าดังเช่นพระเจ้า  ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้

จริงๆ แล้วบางคนเชื่อในหัวใจของตนว่ามีพระเจ้าอยู่ และไม่มีความกังขาเลยแม้แต่น้อยเกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า  แต่แม้พวกเขาติดตามพระองค์มาหลายปีแล้ว ทนทุกข์กับความยากลำบากมาบ้างแล้ว และยอมลำบากมาบ้างแล้ว แต่ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าแม้แต่น้อย  ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาเชื่อยังคงเป็นพระเจ้าที่คลุมเครือ พระเจ้าที่คิดฝันขึ้น คำนิยามเกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขาเป็นเพียงแค่อากาศ  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อคนเหล่านี้อย่างไร?  พระองค์ก็เพียงทรงเพิกเฉยพวกเขา  บางคนถามว่า “หากพระเจ้าทรงเพิกเฉยพวกเขา เหตุใดพวกเขาจึงยังคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า?”  พวกเขากำลังลงแรง  การลงแรงควรสร้างมโนทัศน์อย่างไร?  คนที่ลงแรงไม่มีความสนใจในความจริง หรือตรงกันข้ามพวกเขามีขีดความสามารถด้อยขนาดที่ว่าไม่สามารถไปถึงความจริงได้  พวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้าและความจริงดังเช่นบางสิ่งที่ว่างเปล่าและคลุมเครือ แต่เพื่อที่จะได้รับพร พวกเขาจึงทำได้เพียงพึ่งพาการทุ่มเทความพยายามบางส่วนเป็นการแลกเปลี่ยนเท่านั้น  แม้ภายนอกนั้นพวกเขาไม่ขัดขืนพระเจ้า ไม่สาปแช่งพระเจ้า และไม่ต่อต้านพระเจ้าโดยตรง แต่แก่นแท้ของพวกเขาก็ยังคงเป็นแก่นแท้ของลูกหลานของซาตาน—เป็นแก่นแท้ที่ปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้า  ใครก็ตามที่ไม่รักความจริงย่อมไร้ประโยชน์ ในพระหทัยของพระเจ้านั้น พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วว่าจะไม่ช่วยคนดังกล่าวให้รอด  สำหรับพวกที่พระเจ้าไม่ตั้งพระทัยจะช่วยให้รอด พระองค์จะยังจริงจังกับพวกเขาอยู่หรือไม่?  พระเจ้าจะตรัสกับพวกเขาหรือไม่ว่า “เจ้าไม่เข้าใจแง่มุมนี้ของความจริง เจ้าจำเป็นต้องตั้งใจฟัง เจ้าไม่เข้าใจแง่มุมนั้นของความจริง เจ้าจำเป็นต้องทุ่มเทความพยายามเพิ่มเติมและไตร่ตรองแง่มุมนั้นของความจริง”?  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงรู้ว่าคนเหล่านี้ไม่เข้าใจความจริงและไม่ปฏิบัติต่อพระเจ้าดังเช่นพระเจ้า  พระเจ้าควรทรงแสดงให้พวกเขาเห็นปาฏิหาริย์และการอัศจรรย์บางอย่างเพื่อทำให้พวกเขาตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์หรือไม่ หรือว่าควรทรงให้ความรู้แจ้งและให้ความกระจ่างพวกเขาเพิ่มเติมเพื่อที่พวกเขาจะได้รู้ว่ามีพระเจ้าอยู่?  พระเจ้าจะทรงกระทำการในหนทางนี้หรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าทรงมีหลักธรรมสำหรับการทำสิ่งเหล่านี้ พระองค์ไม่ทรงกระทำการในหนทางนี้ไม่ว่ากับใครก็ตาม  สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริง พระเจ้าทรงพระราชกิจอยู่เสมอ  ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อพวกที่ไม่สามารถยอมรับความจริงหรือไม่สามารถไปถึงความจริงได้เป็นอย่างไร?  (พระองค์ทรงเพิกเฉยพวกเขาเหล่านี้)  ตามมโนคติอันหลงผิดของผู้คน หากพระเจ้าทรงเพิกเฉยใครบางคน เช่นนั้นคนคนนี้ย่อมร่อนเร่ไปทั่วเหมือนขอทาน  คนเราไม่อาจมองเห็นพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง และคนเราย่อมไม่อาจมองเห็นการกระทำใดๆ ของพระเจ้ากับตัวพวกเขา พวกเขาก็เพียงลงแรง และพวกเขาก็ไม่เข้าใจความจริง  ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้กระนั้นหรือ?  ในข้อเท็จจริงนั้น คนเหล่านี้ยังสามารถเพลิดเพลินกับพระคุณและพระพรของพระเจ้าบางส่วนได้อีกด้วย  เมื่อพวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการที่เป็นอันตราย พระเจ้าย่อมจะทรงรักษาพวกเขาให้ปลอดภัยเช่นกัน  เมื่อพวกเขาป่วยหนัก พระเจ้าย่อมจะทรงรักษาพวกเขาเช่นกัน  พระองค์อาจทรงถึงขั้นประทานความสามารถพิเศษบางอย่างให้พวกเขา หรือในสภาพการณ์พิเศษพระเจ้าอาจทรงแสดงการกระทำอันมีปาฏิหาริย์บางอย่างกับพวกเขา หรือทรงทำสิ่งพิเศษบางอย่าง กล่าวคือ หากคนเหล่านี้สามารถสละตนเองเพื่อพระเจ้าและลงแรงให้ดีโดยไม่เป็นเหตุให้เกิดการก่อกวนได้จริงๆ พระเจ้าย่อมไม่ทรงเลือกปฏิบัติต่อพวกเขา  อะไรคือมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับเรื่องนี้?  “พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยคนเหล่านี้ให้รอด ดังนั้นพระองค์ก็แค่ทรงใช้พวกเขาตามที่พระองค์พอพระทัยและทรงละทิ้งพวกเขาหลังจากนั้น”  นี่ใช่วิธีที่พระเจ้าจะทรงกระทำการหรือไม่?  ไม่ใช่  จงอย่าลืมว่าพระเจ้าทรงเป็นใคร พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง  ท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวง ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้เชื่อหรือผู้ไม่มีความเชื่อ จะมาจากนิกายหรือชาติพันธุ์ใดๆ ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว พวกเขาล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมองค์พระเยซูเจ้าจึงตรัสไว้ว่า “เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน”  คำกล่าวนี้คือหลักธรรมสำหรับวิธีที่พระเจ้า—พระผู้สร้าง—ทรงกระทำการ  ไม่ว่าในท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าจะประทานจุดจบใดกับใครบางคนตามแก่นแท้ของพวกเขา หรือพระเจ้าจะทรงช่วยพวกเขาให้รอดหรือไม่ก่อนที่จะประทานจุดจบนั้นให้พวกเขา ไม่สำคัญว่าแก่นแท้ของพวกเขาเป็นอย่างไร ตราบที่พวกเขาสามารถทำงานบางอย่างและปฏิบัติการลงแรงบางอย่างในพระนิเวศของพระเจ้าและเพื่อพระราชกิจของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้าย่อมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์จะยังทรงปฏิบัติต่อพวกเขาตามหลักธรรมของพระองค์ โดยปราศจากความลำเอียงใดๆ  นี่คือความรักของพระเจ้า หลักธรรมของการกระทำของพระองค์ และพระอุปนิสัยของพระองค์  อย่างไรก็ตาม ตามแก่นแท้ของคนเหล่านี้ ทัศนะและท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าอยู่เสมอก็คือพวกเขาพิจารณาว่าพระองค์ทรงคลุมเครือและไม่ชัดเจน ราวกับว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่แต่ก็ไม่ทรงดำรงอยู่  พวกเขาไม่สามารถรับรู้ถึงการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้าและไม่สามารถรับประสบการณ์กับการดำรงอยู่นี้ได้ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้า  ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงพวกเขาแล้ว พระเจ้าทรงทำได้มากเท่าที่พระองค์ทรงควรทำเท่านั้น ทรงจัดเตรียมพระคุณให้พวกเขาบ้าง ประทานพระพรและการคุ้มครองในชีวิตให้พวกเขาบ้าง ทรงอำนวยให้พวกเขารู้สึกถึงความอบอุ่นแห่งพระนิเวศของพระเจ้า รวมทั้งเพลิดเพลินกับพระคุณ ความกรุณา และเมตตาของพระเจ้า  แล้วก็จบแค่นั้น—นั่นคือพระพรทั้งหมดที่พวกเขาจะได้รับในชั่วชีวิตนี้  บางคนพูดว่า “ในเมื่อพระเจ้าทรงยอมผ่อนปรนยิ่งนักและพวกเขายังเพลิดเพลินกับพระคุณและพระพรของพระเจ้าอีกด้วย จะไม่ดีกว่าหรือหากจะข้ามไปอีกขั้นหนึ่งแล้วปล่อยให้พวกเขาได้รับความรอดของพระเจ้าด้วย?”  นั่นคือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ พระเจ้าไม่ทรงกระทำการเช่นนั้น  เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงกระทำการเช่นนั้น?  พวกเจ้าสามารถวางพระเจ้าไว้ในหัวใจของใครบางคนซึ่งหัวใจไม่มีที่สำหรับพระองค์ได้หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถ  ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขามากเพียงใดหรือไม่ว่าเจ้ากล่าวคำพูดมากแค่ไหนก็ตาม นั่นย่อมไม่สำคัญ นั่นจะไม่เปลี่ยนแปลงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้า  ดังนั้นทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสามารถทำได้สำหรับคนประเภทนี้คือการจัดเตรียมพระคุณ พระพร ความใส่ใจ และการคุ้มครองบางอย่าง  มีบางคนที่กล่าวว่า “ในเมื่อพวกเขาสามารถชื่นชมพระคุณของพระเจ้า หากพระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและทรงให้ความกระจ่างพวกเขาเพิ่มเติม เช่นนั้นพวกเขาจะไม่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้าหรอกหรือ?”  คนเช่นนี้สามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่?  (ไม่)  หากพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ นี่ย่อมกำหนดว่าพวกเขาเป็นพวกที่ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด ดังนั้น พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงเข้าร่วมในงานที่ไร้จุดหมายหรือไร้ประโยชน์  บางคนพูดว่า “ไม่ถูกต้อง  บางครั้งพวกเขาก็เผชิญกับการบ่มวินัยหรือมีความรู้แจ้งบางอย่างจากพระเจ้าและได้รับความจริงบางอย่างจากพระองค์เช่นกัน”  เป็นอีกครั้งที่เรื่องนี้สัมพันธ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  บรรดาผู้ที่พระเจ้าต้องประสงค์จะช่วยให้รอดต้องมีสิ่งใดเพื่อที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า เพื่อที่จะเป็นเป้าหมายแห่งความรอดของพระองค์?  ผู้คนควรเข้าใจเรื่องนี้  พระเจ้าทรงรู้เรื่องนี้เช่นกัน พระองค์ไม่ทรงช่วยทุกคนให้รอด  ต่อให้พระเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์ การอัศจรรย์ และความทรงมหิทธิฤทธิ์บางอย่างเพื่อทำให้ผู้คนยอมรับพระองค์ คนเหล่านี้สามารถได้รับการช่วยให้รอดด้วยเหตุนี้ได้หรือไม่?  นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่  พระเจ้าทรงมีมาตรฐานสำหรับการช่วยผู้คนให้รอด คนเราต้องมีความเชื่อที่จริงแท้และรักความจริงด้วย  ดังนั้นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำกับผู้คนซึ่งเกี่ยวข้องกับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงจึงมีมาตรฐานของพระราชกิจเองเช่นกัน  บางคนพูดว่า “พวกเราเผชิญกับการพิพากษาและการตีสอนบ่อยครั้ง  การเผชิญกับการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบ และการถลุงเป็นสัญญาณว่าพวกเราจะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าหรือไม่?”  เป็นเช่นนั้นหรือ?  (ไม่)  เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่เป็นเช่นนั้น?  ในเมื่อบางคนทำไม่ได้ตามเงื่อนไขที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า พระเจ้าจะยังทรงบังคับใช้การพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงกับพวกเขาหรือไม่?  เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามว่าพระเจ้าทรงบังคับใช้การพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงของพระองค์กับใคร ทั้งนี้เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความเข้าใจผิดของผู้คนเช่นกัน  จงบอกเราที คนคนหนึ่งที่ไม่แม้แต่จะรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นใคร พระเจ้าสถิตอยู่ที่ใด หรือแม้กระทั่งว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่ จะสามารถรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้าได้หรือไม่?  คนคนหนึ่งที่คำนึงถึงว่าพระเจ้าทรงเป็นเพียงแค่อากาศจะสามารถรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้าได้หรือไม่?  ใครบางคนที่หัวใจไร้ซึ่งพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงจะสามารถรับบททดสอบและการถลุงจากพระเจ้าได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  แล้วบางเวลาผู้คนดังกล่าวอาจจะเผชิญกับสิ่งใด?  (การบ่มวินัย)  ถูกต้อง การบ่มวินัย  พวกที่คำนึงถึงว่าพระเจ้าทรงเป็นเพียงแค่อากาศ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วไม่รับรู้และไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า จะไม่ได้รับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้าหรือบททดสอบและการถลุงจากพระองค์อย่างแน่นอน  อาจกล่าวได้ว่าผู้คนที่มีแก่นแท้เช่นนี้และมีพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ใช่เป้าหมายแห่งความรอดของพระเจ้า  พวกเขาไม่สามารถรับความรอดของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด—เรื่องนี้ตัดสินจากแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาซึ่งรังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริง  พวกเขาขาดพร่องท่าทีที่ถูกต้องในการรักและยอมรับความจริง และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงทำไม่ได้ตามเงื่อนไขที่จะได้รับการช่วยให้รอด  เช่นนั้นพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรเมื่อพวกเขาแทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าโดยหวังที่จะได้รับพร?  นอกจากการจัดเตรียมพระพร พระคุณบางอย่าง และการเสนอความใส่พระทัยและการคุ้มครอง พระเจ้าทรงใช้วิธีการใดบ้างเพื่อลุล่วงบทบาทของพระองค์ในฐานะพระผู้สร้าง?  พระเจ้าทรงส่งการเตือนใจ คำเตือน และการเตือนสติผ่านทางพระวจนะของพระองค์  ในเวลาต่อมาพระองค์ทรงตัดแต่ง ทรงตำหนิ และทรงบ่มวินัยพวกเขา พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำกับพวกเขาสิ้นสุดลงตรงนั้น ทั้งหมดนั้นอยู่ภายในขอบเขตนี้  ผลกระทบจากการกระทำเหล่านี้ของพระเจ้ากับผู้คนคืออะไร?  ผลกระทบดังกล่าวเปิดโอกาสให้พวกเขายึดปฏิบัติตามข้อจำกัดตามหน้าที่ ประพฤติตนให้ดีขณะลงแรงในพระนิเวศของพระเจ้า โดยไม่เป็นเหตุให้เกิดการก่อกวนหรือทำชั่ว  สิ่งที่พระเจ้าทรงทำสามารถทำให้ผู้คนดังกล่าวลุล่วงหน้าที่ของตนได้อย่างจงรักภักดีได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  เหตุใดจึงไม่สามารถ?  พระคุณ พระพร ความใส่พระทัย และการคุ้มครองที่พวกเขาได้รับ—ควบคู่ไปกับการเตือนใจจากพระวจนะของพระเจ้า การตัดแต่ง การตีสอน และการบ่มวินัย และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน—สามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขาได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา แล้วพระราชกิจของพระเจ้าส่งผลใดต่อพวกเขา?  พระราชกิจของพระเจ้าทำให้พวกเขายับยั้งชั่งใจในพฤติกรรมของตนอยู่บ้าง ช่วยให้พวกเขาทำตามกฎเกณฑ์ และทำให้พวกเขามีสภาพเสมือนมนุษย์ที่ภายนอกอยู่บ้าง  ยิ่งไปกว่านั้น พระราชกิจของพระเจ้าทำให้พวกเขาค่อนข้างเชื่อฟัง พวกเขาจะยอมรับการถูกตัดแต่งอย่างไม่เต็มใจนักเพื่อประโยชน์แห่งพระคุณและพระพรของพระเจ้า และพวกเขาจะสามารถทำสิ่งทั้งหลายตามข้อบังคับและกฎการปกครองแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แล้วก็จบแค่นั้น  การสัมฤทธิ์ทั้งหมดนี้หมายความว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือไม่?  พวกเขายังคงห่างไกลจากเรื่องนั้น เพราะสิ่งที่พวกเขาทำโดยพื้นฐานแล้วก็แค่เป็นไปตามหลักธรรมในกฎการปกครองแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดจนแนวทางที่เคร่งครัดบางอย่าง  นั่นเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น  แล้วคนเราพูดได้หรือไม่ว่า ในเมื่อคนเหล่านี้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนแล้ว การอำนวยให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนด้วยย่อมจะเป็นเรื่องที่ดียิ่งขึ้นไปอีก?  (พวกเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้)  พวกเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ พวกเขาไม่สามารถสัมฤทธิ์เรื่องนั้นได้—นี่คือเหตุผลประการหนึ่ง  แล้วเหตุผลสำคัญที่สุดคืออะไร?  นั่นก็คือว่าโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาไม่มีพระเจ้าในหัวใจของตน พวกเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า  แล้วสำหรับผู้คนดังกล่าว พวกเขาสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาบางคนสามารถ และพวกเขาก็พูดว่า “พระวจนะของพระเจ้านั้นดี แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถนำพระวจนะไปปฏิบัติได้  การปฏิบัติพระวจนะรู้สึกทนทุกข์ทรมานมากกว่าการเข้ารับการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดด้วยซ้ำ”  เมื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเองถูกกระทบกระเทือน หรือเมื่อพวกเขาต้องฝืนใจ พวกเขารู้สึกเสียศูนย์อย่างที่สุดและไม่สามารถทำตามนั้นได้  ต่อให้พวกเขาทำให้ตนเองหมดแรงอย่างสิ้นสภาพ พวกเขาก็ไม่สามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้  นอกจากนี้ พวกเขาไม่เคยรับรู้หรือยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  พวกเขาไม่สามารถซึมซับเรื่องนี้ได้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระวจนะของพระเจ้าจึงเป็นความจริง  ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าตรัสบอกผู้คนให้ซื่อสัตย์ พวกเขาพูดว่า “ก็ได้ ข้าพระองค์จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์หากพระองค์ตรัสดังนั้น แต่เหตุใดจึงพิจารณาการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ว่าเป็นความจริง?”  พวกเขาไม่รู้และไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้  เมื่อพระเจ้าตรัสว่าผู้คนควรนบนอบพระองค์ พวกเขาก็ตั้งคำถามว่า “การนบนอบพระเจ้าจะทำเงินให้หรือไม่?  พระเจ้าประทานพระพรสำหรับการนบนอบพระองค์หรือไม่?  การนบนอบพระองค์สามารถปรับเปลี่ยนบั้นปลายของคนเราได้หรือไม่?”  พวกเขาไม่คิดว่าสิ่งอันใดก็ตามที่พระเจ้าตรัสหรือทรงทำคือความจริง  พวกเขาไม่รู้เลยว่านัยสำคัญของพระวจนะของพระเจ้าและข้อกำหนดสำหรับมนุษย์คืออะไร และไม่สามารถแยกแยะได้ว่าการกระทำใดถูกต้องและเป็นไปตามหลักธรรมความจริง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้า—พระอัตลักษณ์ของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า ข้อเรียกร้องของพระเจ้า—ในทัศนะของพวกเขาแล้วสิ่งทั้งหมดนี้ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นสิ่งทรงมีและสิ่งทรงเป็น  พวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง พวกเขาไม่เข้าใจว่าพระผู้สร้างคืออะไร หรือพระเจ้าคืออะไร  นี่เป็นปัญหามิใช่หรือ?  นี่เองคือวิธีที่บางคนประพฤติตน  ผู้อื่นพูดว่า “นั่นมันไม่ถูก  หากพวกเขามีความคิดและทัศนะเหล่านี้ พวกเขายังสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มใจในพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างไร?”  คำศัพท์ว่า “อย่างเต็มใจ” ในที่นี้ควรอยู่ในเครื่องหมายคำพูด  เรื่องนี้ควรอธิบายอย่างไร?  ในแง่หนึ่งนั้น พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนเพราะพวกเขาถูกสภาพการณ์บีบหรือเพราะความต้องการที่จะได้รับพรของพวกเขา ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะดำเนินการต่อไปอย่างไม่เต็มใจนักในเวลานั้น โดยปฏิบัติหน้าที่บางอย่างและทุ่มเทความพยายามเล็กน้อย  ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาเชื่อว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาควรทำ แต่เพราะพวกเขาไม่สนใจในความจริง พวกเขาจึงทำได้แค่เพียงทุ่มเทความพยายามและปฏิบัติหน้าที่เพื่อแลกกับพระพรของพระเจ้า  ด้วยกรอบความคิดนี้ พวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  พวกเขาไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไรด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะสามารถยอมรับความจริงได้อย่างไร?

พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายคือการนำพาบทอวสานมาสู่ยุคนี้  การที่คนเราจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่นั้นที่สำคัญยิ่งขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้หรือไม่ รวมทั้งพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่  บางคนรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่พวกเขาไม่ยอมรับความจริง  สำหรับพวกเขาแล้วการยอมรับความจริงเป็นราวกับการรับการผ่าตัดหัวใจ พวกเขาจะพบว่าเรื่องนี้ทนทุกข์ทรมานอย่างนี้นี่เอง  เมื่อพิจารณาถึงหนทางที่คนประเภทนี้ปฏิบัติต่อความจริง ปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงไม่ว่าจะอย่างไร พระเจ้าย่อมไม่ใช่องค์หนึ่งเดียวที่จะติเตียนด้วยเหตุที่ไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด—มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถถูกติเตียนได้ด้วยเหตุที่ไม่ยอมรับความจริง พวกเขาไม่มีพรนี้  การที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดจากอิทธิพลของซาตานไม่เรียบง่ายอย่างที่ผู้คนคิดฝัน  ในแง่หนึ่งนั้น บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต้องยอมรับการถูกสั่งสอนและถูกตัดแต่งผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า นี่คือหนึ่งช่วงระยะ  ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาก็ต้องยอมรับการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบ และการถลุงจากพระเจ้าด้วย  การพิพากษาและการตีสอนคือหนึ่งช่วงระยะ บททดสอบและการถลุงก็คืออีกช่วงระยะหนึ่ง  บางคนสามารถยอมรับการถูกตัดแต่งอย่างไม่เต็มใจนัก คิดว่าพวกเขาสัมฤทธิ์การนบนอบแล้ว แล้วก็ไม่ก้าวหน้าต่อไปและไม่เพียรพยายามเข้าถึงความจริงอีกต่อไป  ผู้อื่นรักความจริงเป็นพิเศษและสามารถสู้ทนความเจ็บปวดใดๆ เพื่อได้มาซึ่งความจริง  พวกเขาไม่เพียงแต่สามารถสู้ทนการสั่งสอนจากพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังสามารถเข้าสู่ช่วงระยะแห่งการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้อีกด้วย  พวกเขารู้สึกว่าการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้าคือการยกย่องของพระเจ้า ความรักของพระเจ้า และเป็นเรื่องที่งามสง่า พวกเขาไม่เกรงกลัวความทุกข์  หลังจากรับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน คนเหล่านี้ยังสามารถยอมรับบททดสอบและการถลุงและยังคงไล่ตามเสาะหาความจริงอีกด้วย  ไม่ว่าบททดสอบและการถลุงจะใหญ่หลวงแค่ไหน พวกเขายังสามารถมองเห็นความรักของพระเจ้า และสามารถถวายตนเองเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  ไม่สำคัญว่าพวกเขาถูกตัดแต่งมากแค่ไหน พวกเขาไม่คำนึงถึงว่านั่นเป็นความยากลำบาก แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับรู้สึกว่านี่คือความรักจากพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก  หลังจากรับประสบการณ์กับบททดสอบและการถลุงอีกมากมาย ในที่สุดพวกเขาก็สัมฤทธิ์การชำระให้บริสุทธิ์และการทำให้เพียบพร้อมอันถ้วนทั่ว  นี่คือวิธีรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงระยะสูงสุด  ทีนี้จงบอกเราที มีความแตกต่างหรือไม่ระหว่างบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและมีประสบการณ์กับการสั่งสอนของพระเจ้าช่วงระยะหนึ่งผ่านทางพระวจนะของพระองค์เท่านั้น กับบรรดาผู้ที่มีประสบการณ์กับสองช่วงระยะ—ซึ่งก็คือ การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ตลอดจนบททดสอบและการถลุง?  แน่นอนว่ามีความแตกต่าง  สำหรับบางคน พระเจ้าทรงหยุดหลังจากทรงสั่งสอนพวกเขาแล้วเท่านั้น ทรงทิ้งที่เหลือให้อยู่กับทางเลือกและการตระหนักรู้ของพวกเขาเอง  หากพวกเขาไม่ยอมรับความจริงและไม่เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง เรื่องนี้บ่งชี้ถึงสิ่งใด?  อาจกล่าวได้ว่าพระเจ้าไม่มีทางที่จะทรงช่วยผู้คนดังกล่าวให้รอด  บางคนพูดถึงการทนทุกข์กับงาน การทนทุกข์กับความสำเร็จในอนาคต การทนทุกข์กับบ้าน การทนทุกข์กับคู่ครอง การทนทุกข์กับการรักใคร่เอ็นดู—ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับพวกเขาเป็นเรื่องของความทุกข์ แล้วผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไร?  (ผลลัพธ์สุดท้ายดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับความจริง)  ถูกต้อง ผลลัพธ์สุดท้ายดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับความจริงและไม่เกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระเจ้า  สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ในกรณีนี้เป็นแค่การทนทุกข์โดยไร้จุดมุ่งหมาย เจ้าก็แค่ดิ้นรนและปล่อยให้เวลาผ่านไป โดยปราศจากกระบวนการใดๆ ที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริง  นั่นไม่ใช่ “การทนทุกข์” ประเภทที่เกี่ยวกับข้องการถลุง เพราะนั่นไม่ใช่พระราชกิจของพระเจ้าและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพระองค์  เจ้าก็แค่ทำให้ตัวเองทนทุกข์ ไม่ได้ก้าวผ่านการถลุงของพระเจ้า  แต่เจ้ากลับยังคงคิดว่านั่นคือการที่พระเจ้าทรงถลุงเจ้า เจ้ามองโลกในแง่ดีเกินไป  นั่นเป็นแค่การเพ้อฝัน!  เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับการถลุงโดยพระเจ้าด้วยซ้ำ  เจ้ายังไม่ผ่านพ้นช่วงระยะแห่งการตีสอนและการพิพากษาด้วยซ้ำ แล้วเจ้าคาดหวังว่าพระเจ้าจะทรงส่งเจ้าไปสู่บททดสอบและการถลุงอย่างนั้นหรือ?  เป็นไปได้ด้วยหรือ?  นั่นไม่ใช่การวาดวิมานในอากาศหรอกหรือ?  ผู้คนธรรมดาสามัญสามารถสู้ทนบททดสอบและการถลุงได้หรือไม่?  นั่นใช่บางสิ่งที่ผู้คนธรรมดาสามัญสามารถยอมรับได้หรือไม่?  นั่นใช่บางสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ผู้คนธรรมดาสามัญหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด  หลังจากพระเจ้าทรงสั่งสอนคนคนหนึ่ง หากบุคคลผู้นั้นถูกพระเจ้าทรงพิพากษา ทรงบ่มวินัย หรือทรงสั่งสอนอย่างชัดแจ้งในเรื่องเรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่อง เนื่องจากอุปนิสัยอันโอหังของพวกเขา การดื้อแพ่ง การหลอกลวง ความเลวร้ายของพวกเขา หรืออุปนิสัยอื่นใด ทำให้พวกเขาตระหนักว่าเหตุใดพวกเขาจึงถูกพระเจ้าทรงบ่มวินัย—และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเริ่มก่อความเข้าใจที่จริงแท้เกี่ยวกับพระเจ้าและเกี่ยวกับตัวเอง อุปนิสัยของพวกเขาก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงที่จริงแท้ จากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ ได้รับการนบนอบที่แท้จริงต่อความจริง—มีเพียงกระบวนการนี้เท่านั้นที่เป็นกระบวนการซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการพิพากษาและตีสอนผู้คน  พระเจ้าทรงพระราชกิจนี้บนพื้นฐานใด?  มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง กล่าวคือ บุคคลที่ได้รับพระราชกิจดังกล่าวต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างเพียงพอในพระนิเวศของพระเจ้า  ความเพียงพอนี้พึงต้องมีเพียงสองสิ่งเท่านั้น ซึ่งก็คือ การนบนอบและความจงรักภักดี  ประการแรก บุคคลผู้นี้จำเป็นต้องมีมโนธรรมและเหตุผล มีเพียงคนที่มีมโนธรรมและเหตุผลเท่านั้นที่ทำได้ตามเงื่อนไขสำหรับการยอมรับความจริง  เมื่อผู้คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลดังกล่าวได้รับการสั่งสอนของพระเจ้า พวกเขาย่อมสามารถแสวงหาความจริงและนบนอบได้  มีเพียงหลังจากการนี้แล้วเท่านั้นพระเจ้าจึงจะทรงดำเนินการพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนต่อไป  นั่นคือลำดับของพระราชกิจของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม หากใครบางคนในพระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างจงรักภักดีเลย ไม่แสดงการนบนอบอธิปไตยของพระเจ้าแม้แต่น้อย และล้มเหลวที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างเพียงพอ เมื่อพวกเขาเผชิญกับความทุกข์ยาก ถูกเผยหรือถูกตัดแต่ง อย่างมากที่สุดสิ่งที่พวกเขามีประสบการณ์ก็คือการสั่งสอนและการบ่มวินัยของพระเจ้า  พวกเขาไม่อยู่ภายใต้การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า นับประสาอะไรกับบททดสอบและการถลุง  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาไม่มีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งการทำให้ผู้คนเพียบพร้อมของพระเจ้า

เนื้อหาที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปเกี่ยวข้องกับพระราชกิจแห่งการช่วยผู้คนให้รอดและการทำให้ผู้คนเพียบพร้อมของพระเจ้า วิธีการและเป้าหมายของพระราชกิจของพระเจ้า ตลอดจนพระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบและการถลุงของพระองค์กับคนแบบไหน  เนื้อหาดังกล่าวยังสัมพันธ์กับระดับของการเข้าสู่ชีวิตของผู้คนเมื่ออยู่ภายใต้พระราชกิจนี้ของพระเจ้า รวมทั้งแก่นแท้และภาวะประเภทที่อย่างน้อยที่สุดผู้คนต้องมีในการที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  แล้วในที่นี้อะไรคือมโนคติอันหลงผิดของผู้คน?  ผู้คนคิดว่า “ตราบที่คนเราติดตามพระเจ้า ตราบที่คนเรายอมรับขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้านี้ พวกเขาย่อมไม่แคล้วที่จะอยู่ภายใต้การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  เช่นนั้นไม่นานหลังจากนั้นบททดสอบและการถลุงจากพระเจ้าย่อมจะมาถึงเช่นกัน  ดังนั้นพวกเราจึงมักจะเผชิญกับบททดสอบ การถลุง และการตัดแต่ง และถูกทำให้สูญเสียครอบครัว การรักใคร่เอ็นดู สถานะ และความสำเร็จในอนาคต  ต่อมาพวกเราก็ทนทุกข์ในแง่ของการรักใคร่เอ็นดู สถานะ และความสำเร็จในอนาคตอย่างต่อเนื่อง”  คำกล่าวเหล่านี้ถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนสามารถเปลี่ยนพระวจนะคำเดียวจากพระวจนะของพระเจ้าแล้วทำให้เป็นสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณได้—ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น?  ในข้อเท็จจริงนั้น หนทางที่พวกเขาทนทุกข์ล้วนเป็นเพียงแค่การดิ้นรนต่อสู้ เป็นเพียงแค่การปล่อยให้เวลาผ่านไป ไม่มีนัยสำคัญใดๆ แต่อย่างใดเลย  แต่พวกเขาคำนึงถึงว่าหนทางที่พวกเขาทนทุกข์ดังกล่าวเป็นบททดสอบและการถลุง กล่าวว่านั่นคือการถลุงของพระเจ้า  นี่เป็นความผิดพลาดที่หนักหนาสาหัส เป็นบางสิ่งที่ผู้คนบังคับกำหนดให้กับพระเจ้า และไม่ได้แสดงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าแม้แต่น้อย  นี่เป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้ามิใช่หรือ?  จริงๆ แล้วนี่เป็นการเข้าใจผิด  แล้วการเข้าใจผิดเช่นนี้เริ่มก่อขึ้นอย่างไร?  เพราะผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงเริ่มเกิดการเข้าใจผิดดังกล่าวบนพื้นฐานของความคิดฝันของตนเอง  ต่อมาพวกเขาก็แพร่และเผยแพร่ความเข้าใจผิดดังกล่าวไปทุกที่อย่างหน้าทน ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วนำไปสู่คำกล่าวต่างๆ เกี่ยวกับ “ความทุกข์”  ด้วยเหตุนี้เราจึงมักได้ยินบางคนพูดว่า “ใครบางคนถูกแทนที่แล้วก็กลายเป็นคิดลบ พวกเขา ‘ทนทุกข์กับสถานะ’!”  การทนทุกข์กับสถานะไม่ใช่การมีประสบการณ์กับบททดสอบและการถลุง เป็นเพียงแค่คนที่สูญสิ้นสถานะ ทนทุกข์กับความคับข้องใจทางภาวะอารมณ์ และดิ้นรนต่อสู้กับความเจ็บปวดภายในระหว่างความล้มเหลว  เนื่องจากสิ่งที่ผู้คนเรียกว่า “การทนทุกข์” กับสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกว่าการถลุงนั้นแตกต่างกัน อันที่จริงแล้วการถลุงที่แท้จริงหมายถึงสิ่งใด?  อันดับแรกเลยก็คือ เข้าใจว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจขั้นเตรียมการมากมายก่อนที่จะทรงนำผู้คนไปสู่บททดสอบและการถลุง  เหตุผลหนึ่งก็คือ พระองค์ทรงเลือกผู้คน พระองค์ทรงเลือกคนที่เหมาะสม  ก่อนหน้านี้พวกเราเสวนาว่าคนประเภทใดถือว่าเหมาะสมในสายพระเนตรของพระเจ้าและพวกเขาต้องทำให้ได้ตามเงื่อนไขใด ซึ่งก็คือ ประการแรก อย่างน้อยที่สุดพวกเขาต้องมีมโนธรรมและเหตุผลในความเป็นมนุษย์ของตน  ประการที่สอง พวกเขาต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างเพียงพอ โดยปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นด้วยความจงรักภักดีและการนบนอบ  จากนั้นพวกเขาต้องก้าวผ่านการถูกตัดแต่ง ถูกบ่มวินัย และถูกสั่งสอนหลายปี  พวกเจ้าอาจไม่เข้าใจชัดเจนมากนักว่าการบ่มวินัยและการสั่งสอนหมายถึงสิ่งใด เนื่องจากแนวคิดเหล่านี้อาจจะไม่แรงกล้ามากนักสำหรับเจ้า  แนวคิดเหล่านี้อาจดูเหมือนค่อนข้างไม่อาจจับต้องได้และเป็นนามธรรมสำหรับผู้คน  แต่เมื่อเป็นเรื่องของการถูกตัดแต่ง นั่นเป็นบางสิ่งที่ผู้คนสามารถได้ยินและรู้สึก มีภาษาพิเศษและน้ำเสียงที่ชัดเจนเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นผู้คนจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  หากใครบางคนทำบางสิ่งที่ผิด ขัดต่อหลักธรรม กระทำการอย่างหุนหันพลันแล่น หรือทำการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวที่ทำอันตรายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรืองานของคริสตจักร และพวกเขาก็ถูกตัดแต่ง เช่นนั้นนี่เองคือความหมายของการถูกตัดแต่ง  แล้วการสั่งสอนกับการบ่มวินัยล่ะ?  ตัวอย่างเช่น หากใครบางคนไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำกลุ่มและขาดพร่องความจงรักภักดี และทำสิ่งทั้งหลายที่ละเมิดหลักธรรมความจริงหรือข้อบังคับของคริสตจักร และถูกแทนที่ในเวลาต่อมา นั่นใช่การสั่งสอนหรือไม่?  จริงๆ แล้วนั่นเป็นการสั่งสอนรูปแบบหนึ่ง  ไม่ว่าพวกเขาปรากฏให้เห็นภายนอกว่าได้รับการรับมือโดยคริสตจักรหรือถูกผู้นำบางคนแทนที่ ในสายพระเนตรของพระเจ้า นั่นเป็นการกระทำของพระองค์ และเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ เป็นการสั่งสอนรูปแบบหนึ่ง  และเมื่อผู้คนอยู่ในสภาวะที่ดี โดยปกติแล้วพวกเขายังเต็มไปด้วยความสว่างและสามารถมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่สดใหม่อีกด้วย เมื่องานของพวกเขาเสียศูนย์เนื่องจากสภาวะบางอย่างหรือเหตุผลพิเศษและพวกเขาถูกเผย นี่เป็นการสั่งสอนรูปแบบหนึ่งมิใช่หรือ?  นี่ก็เป็นการสั่งสอนรูปแบบหนึ่งเช่นกัน  สิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นการพิพากษาและการตีสอนหรือไม่?  ณ จุดนี้ สิ่งเหล่านี้ยังไม่นับว่าเป็นการพิพากษาและการตีสอน ดังนั้นจึงแน่นอนว่าไม่สามารถพิจารณาสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นการถลุงและบททดสอบได้  สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่การสั่งสอนที่ได้รับในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  การสำแดงถึงการสั่งสอนบางครั้งก็ครอบคลุมการเผชิญกับอาการป่วยหรืองานที่ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือการที่คนเราสับสนในเรื่องต่างๆ ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยมีความช่ำชองและไม่รู้ว่าจะต้องทำสิ่งใด  ทั้งหมดนี้คือการสั่งสอน  แน่นอนว่าบางครั้งการสั่งสอนก็มาโดยผ่านทางการบอกใบ้จากผู้คนใกล้ตัวหรือผ่านทางสิ่งที่เหตุการณ์เฉพาะบางอย่างเผยให้เห็นซึ่งทำให้คนเราอับอาย เป็นเหตุให้พวกเขาล่าถอยเข้าสู่การทบทวนและตรวจสอบตัวเองอย่างลึกซึ้ง  นี่ก็เป็นการสั่งสอนเช่นกัน  การได้รับการสั่งสอนของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่แย่?  (เป็นสิ่งที่ดี)  หากพูดในเชิงทฤษฎี นี่เป็นสิ่งที่ดี  ไม่ว่าผู้คนจะสามารถยอมรับการได้รับการสั่งสอนของพระเจ้าได้หรือไม่ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากอย่างน้อยที่สุดนั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรับผิดชอบต่อเจ้า พระเจ้าไม่ได้ทรงผละจากเจ้าไป และพระเจ้าก็กำลังทรงพระราชกิจกับเจ้า ประทานการกระตุ้นเตือนและการทรงนำให้เจ้า  ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจกับเจ้ายืนยันว่าพระเจ้ายังไม่ทรงมีเจตนารมณ์ที่จะละทิ้งเจ้า  ความนัยหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือพระเจ้าอาจทรงสั่งสอนและบ่มวินัยเจ้าต่อไป หรือหากการปฏิบัติของเจ้าดีและเจ้าอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง พระองค์จะทรงให้เจ้าอยู่ภายใต้การพิพากษาและการตีสอน  แต่พวกเราอย่าเพิ่งไปไกลเกินไปกันเลย ตอนนี้พระเจ้าจะทรงสั่งสอนและทรงบ่มวินัยเจ้าหลายครั้ง  จากนั้น พระเจ้าจะทรงให้เจ้าอยู่ภายใต้การพิพากษาและการตีสอน เนื่องจากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง เนื่องจากเจ้ามีการนบนอบ และเนื่องจากเจ้าเป็นคนที่เหมาะสม นี่คือขั้นตอนเริ่มแรก  คนส่วนใหญ่มีประสบการณ์กับการถูกตัดแต่งมาแล้ว มีเพียงผู้มาใหม่เท่านั้นที่ยังไม่มีประสบการณ์นี้  ส่วนใหญ่แล้วผู้คนกระทำการบนพื้นฐานของความรู้สึกถึงมโนธรรมของพวกเขา โดยรู้สึกถึงการตำหนิภายใน สำนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าซึ่งกระตุ้นเตือนในหูหรือหัวใจของพวกเขาว่า “ฉันไม่ควรทำเช่นนี้ เรื่องนี้เป็นกบฏ” นี่คือพระวจนะของพระเจ้าซึ่งกระตุ้นเตือน เตือนสติ และตักเตือนพวกเขา  มีการถูกตัดแต่งหลากหลายรูปแบบที่ผู้คนได้รับประสบการณ์ กล่าวคือ การถูกตัดแต่งอาจมาจากผู้นำและคนทำงาน จากพี่น้องชายหญิง จากเบื้องบน และแม้กระทั่งจากพระเจ้าโดยตรง  คนมากมายมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้แล้ว แต่มีน้อยคนที่มีประสบการณ์กับการสั่งสอนและการบ่มวินัยของพระเจ้า  ในที่นี้คำว่าน้อยคนบอกเป็นนัยถึงสิ่งใด?  บอกเป็นนัยว่ามีคนอีกมากมายที่ยังห่างไกลจากการได้รับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า—แล้วบททดสอบและการถลุงของพระเจ้าล่ะ?  พวกเขาอยู่ห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้มากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ ช่องว่างใหญ่ขึ้นด้วยซ้ำ ระยะห่างมีมากขึ้นด้วยซ้ำ  ก่อนหน้านี้ผู้คนคิดว่า “พระเจ้าทรงพิพากษาและทรงตีสอนฉัน ทรงทำให้ฉันมีแผลพุพองในปาก” “พระเจ้าทรงพิพากษาและทรงตีสอนฉัน ฉันทำความผิดพลาด พูดบางสิ่งที่ผิด และปวดหัวอยู่หลายวัน ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าคืออะไร”—นี่เป็นความเข้าใจผิดไม่ใช่หรือ?  นี่เป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าประเภทที่พบบ่อยที่สุด คนส่วนใหญ่เข้าใจพระเจ้าผิดในลักษณะนี้  ความเข้าใจผิดนี้ยังทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบบางอย่างด้วย ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการกล่าวคำพูดที่ผิดคำเดียวจะส่งผลให้ถูกพระเจ้าทรงบ่มวินัย  นี่เป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าล้วนๆ และไม่สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงทำอย่างที่สุด  ด้วยความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าดังกล่าว ในท้ายที่สุดแล้วคนเราสามารถทำได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้าหรือไม่?  แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะห่างไกลจากการทำเช่นนั้นได้

เอาล่ะ คนส่วนใหญ่มีประสบการณ์กับการตีสอนและการบ่มวินัยของพระเจ้าแล้ว มีประสบการณ์กับการถูกตัดแต่งแล้ว และได้รับการกระตุ้นเตือนและการเตือนสติจากพระวจนะของพระเจ้าแล้ว แต่ทั้งหมดก็เท่านั้นเอง  ในที่นี้เกิดคำถามขึ้นว่า เหตุใดผู้คนจึงยังไม่ได้มีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าแม้ภายหลังจากมีประสบการณ์มาจนถึงขั้นตอนนี้แล้ว?  เหตุใดการถูกตัดแต่ง การกระตุ้นเตือนจากพระวจนะของพระเจ้า หรือการบ่มวินัยและการสั่งสอนจึงไม่นับเป็นการพิพากษาและการตีสอน?  จากมุมมองของการกระตุ้นเตือนจากพระวจนะของพระเจ้า การถูกตัดแต่ง รวมทั้งการสั่งสอนและการบ่มวินัยที่ผู้คนมีประสบการณ์ มีการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดแล้ว?  (พวกเขาเกิดการควบคุมพฤติกรรมภายนอกของพวกเขา)  การเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นในพฤติกรรมของพวกเขา แต่การเปลี่ยนแปลงนี้บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยหรือไม่?  (ไม่)  นี่ไม่ได้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  บางคนพูดว่า “พวกเราเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายต่อหลายปีและรับฟังคำเทศนามาหลายครั้ง แต่อุปนิสัยของพวกเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง  พวกเราไม่ได้ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมหรอกหรือ?  พวกเรามีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องนี้ไม่น่าเวทนามากหรอกหรือ?  พระเจ้าจะทรงช่วยพวกเราให้รอดเมื่อใด?  พวกเราจะได้รับความรอดเมื่อใด?”  เช่นนั้นพวกเรามาเสวนากันเถิดว่า บรรดาผู้ที่มีประสบการณ์กับแง่มุมอันหลากหลายเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าสร้างผลตอบแทนและการเปลี่ยนแปลงใดไปบ้างแล้ว  ใครบางคนเพิ่งกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม นี่เป็นคำกล่าวทั่วไป  หากพูดให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ในการมายังคริสตจักรและรับหน้าที่ของพวกเขาเป็นครั้งแรก  พวกเขาจะสากระคายเหมือนเช่นลูกสาลี่ ซึ่งต้องการมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายในสิ่งทั้งหลาย  พวกเขาคิดกับตัวเองว่า  “บัดนี้ที่ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันมีสิทธิ์และอิสรภาพในคริสตจักร ดังนั้น ฉันจะกระทำการดังเช่นที่ฉันเห็นว่าเหมาะ”  ในที่สุด ทันทีที่พวกเขาได้ก้าวผ่านการถูกตัดแต่งและการถูกบ่มวินัยไปรอบหนึ่งแล้ว และทันทีที่พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ได้ฟังการเทศนาแล้ว และได้ยินการสามัคคีธรรมความจริงแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าประพฤติตนในหนทางนี้อีกต่อไป  อันที่จริงแล้ว พวกเขายังไม่ได้กลายเป็นปฏิบัติตามข้อบังคับโดยครบถ้วนบริบูรณ์ พวกเขาเพิ่งได้รับสำนึกรับรู้เพียงน้อยนิดและมาเข้าใจคำสอนบางอย่าง  เมื่อผู้อื่นกล่าวสิ่งทั้งหลายที่ตรงกับความจริง พวกเขาสามารถรับรู้ความถูกต้องของสิ่งเหล่านั้น และถึงแม้ว่าพวกเขาอาจไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้นดี พวกเขาก็สามารถยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับมากกว่าที่พวกเขาเคยปฏิบัติหรอกหรือ?  การที่พวกเขาสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้สาธิตแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมของพวกเขาได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว  การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเกิดขึ้นเนื่องจากการเตือนสติและการกระตุ้นเตือน ตลอดจนการชูใจ จากพระวจนะของพระเจ้า  บางครั้ง ผู้คนเช่นนั้นจำเป็นต้องมีการบ่มวินัยบ้าง การตัดแต่งบ้าง ตลอดจนการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมบ้าง โดยบอกพวกเขาว่าสิ่งหนึ่งต้องถูกทำในหนทางเฉพาะหนึ่งและไม่สามารถทำเป็นอย่างอื่นไปได้  พวกเขาคิดว่า “ฉันต้องยอมรับสิ่งนั้น  ความจริงถูกจัดวางอยู่ตรงนั้น ผู้ใดจะกล้าคัดค้านความจริง?”  ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ ความจริงยิ่งใหญ่ และความจริงครองราชย์ ด้วยรากฐานเชิงทฤษฎีนี้ ผู้คนบางคนได้ตื่นขึ้นและได้รับความเข้าใจว่าการมีความเชื่อในพระเจ้านั้นเกี่ยวกับอะไรบ้าง  ทำให้ใครบางคนที่ป่าเถื่อนและเสเพล ไม่ยับยั้งชั่งใจโดยสิ้นเชิง และไม่รู้เท่าทันเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ทั้งหลาย เกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า เกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้า เกี่ยวกับคริสตจักร และเกี่ยวกับหลักธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา กล่าวคือ  เมื่อบุคคลเช่นนั้น—ผู้ซึ่งไม่รู้สิ่งใดเลย—มายังพระนิเวศของพระเจ้าด้วยความใจดีและความมีใจกระตือรือร้น เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจและความหวังอันยิ่งใหญ่ และได้รับการกระตุ้นเตือนและเตือนสติที่นั่น ได้รับการให้น้ำและให้อาหาร และได้รับการตัดแต่งโดยพระวจนะของพระเจ้า และได้รับการสั่งสอนและการบ่มวินัยครั้งแล้วครั้งแล้ว ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างจะเกิดขึ้นในสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุคคลนั้นทีละน้อย  เหล่านั้นคือการเปลี่ยนแปลงใดหรือ?  พวกเขามาเข้าใจบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับหลักธรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ และมารู้ว่า ในอดีตนั้นพวกเขาค่อนข้างขาดพร่องสภาพเสมือนมนุษย์ พวกเขาป่าเถื่อน โอหัง แข็งขืน และแค้นเคือง พวกเขาพูดไม่เหมือนมนุษย์ที่จริงแท้และกระทำการโดยปราศจากกฎเกณฑ์ และไม่รู้จักแสวงหาความจริง พวกเขาคิดไปว่าการมีความเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องเรียบง่ายเกี่ยวกับการทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงขอ และการไปที่ใดก็ตามที่พระองค์ตรัส กล่าวคือ พวกเขาเก็บความกร้าวแกร่งแบบป่าเถื่อนไว้กับตัว ตลอดเวลานั้นเชื่อว่านี่คือความจงรักภักดีและความรักต่อพระเจ้า  บัดนี้ บุคคลนี้ไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดและรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นผลิตผลของความคิดฝันของมนุษย์ เป็นเพียงแค่พฤติกรรมที่ดี และบางอย่างก็มีต้นกำเนิดจากซาตานด้วยซ้ำ  บรรดาผู้เชื่อของพระเจ้านั้นควรจะใส่ใจพระวจนะของพระองค์และวางความจริงไว้เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง ปล่อยให้ความจริงกวัดแกว่งอำนาจในทุกสรรพสิ่ง  กล่าวสั้นๆ ได้ว่า ในทางทฤษฎีผู้คนทั้งหมดได้เข้าใจและได้รับรู้ และในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขาได้ยอมรับแล้วว่าพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัสถูกต้อง—ว่าพระวจนะเหล่านี้คือความจริง คือความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก—โดยไม่คำนึงถึงว่าพระวจนะเหล่านี้ได้หยั่งรากในหัวใจของพวกเขาลึกเพียงใด และไม่สำคัญว่าบทบาทที่พระวจนะเหล่านี้มีจะยิ่งใหญ่เพียงใด  ภายหลังต่อมา หลังจากก้าวผ่านการสั่งสอนและการบ่มวินัยที่จับต้องได้ระดับหนึ่ง ความเชื่อที่แท้จริงประมาณหนึ่งก็เกิดขึ้นในจิตสำนึกของพวกเขา จากการจินตนาการแรกเริ่มที่คลุมเครือของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าสู่ความรู้สึกที่พวกเขามีในปัจจุบัน—ว่ามีพระเจ้า และว่าพระองค์ทรงค่อนข้างสัมพันธ์กับชีวิตจริง—ทันทีที่ผู้คนได้มีความรู้สึกเหล่านี้ในความเชื่อของพวกเขาในพระเจ้าแล้ว เช่นนั้นแล้ว ความคิดและทัศนคติ หนทางแห่งการมองสิ่งทั้งหลาย และมาตรฐานทางศีลธรรมของพวกเขา ตลอดจนหนทางแห่งการคิดของพวกเขา ก็จะค่อยๆ เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนซื่อสัตย์  แม้เจ้ายังสามารถโกหกและหลอกลวงได้ แต่ลึกลงไปนั้นเจ้ารู้ว่าการหลอกลวงนั้นผิด และการโกหกและหลอกลวงเป็นบาป เป็นอุปนิสัยอันเลวร้าย—แต่เจ้าก็อดไม่ได้  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าในขณะนี้เจ้ายังคงมีอุปนิสัยอันโอหัง  บางครั้งเจ้าไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้ เจ้ามักจะเผยอุปนิสัยนี้ออกมา และเจ้าก็มักจะกบฏต่อพระเจ้า ต้องการครอบงำและกระทำการโดยฝ่ายเดียวอยู่เสมอ เป็นคนชี้ขาด  แต่เจ้าก็รู้ด้วยว่านี่เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเจ้าก็สามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าเกี่ยวกับอุปนิสัยนี้ได้  แม้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สามารถสังเกตเห็นได้ แต่พฤติกรรมของเจ้าก็ค่อยๆ เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง  แม้ปราศจากการก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอน และแม้อุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ความจริงและพระวจนะของพระเจ้าก็ค่อยๆ ทำให้ห้วงลึกของหัวใจของเจ้าสดใส ในขณะที่ชี้นำและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเจ้าด้วย ทำให้เจ้าใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์มากขึ้นทุกที ค่อยๆ ปลุกมโนธรรมของเจ้าให้ตื่นขึ้น  หากเจ้าทำบางสิ่งที่ทรยศมโนธรรมของเจ้า ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าย่อมจะรู้สึกไม่สบายใจ  การนำเรื่องนั้นขึ้นมาพูดคุยทำให้เจ้ารู้สึกถึงบางสิ่ง เจ้าไม่ด้านชาเหมือนเมื่อก่อน เจ้ารู้สึกเสียใจ และเต็มใจที่จะแก้ไขตัวเอง  ต่อให้เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้าในแง่มุมนี้ได้ทันที หากเรื่องนี้สัมพันธ์กับสภาวะของเจ้า เจ้าย่อมสามารถตระหนักรู้ได้ว่าเจ้ามีสภาวะนี้ เจ้ามีการตระหนักรู้ภายใน และการตระหนักรู้นี้กำลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเจ้า  การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมแต่เพียงอย่างเดียว  แม้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นและยังเกิดขึ้นต่อไป แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  บางคนอาจจะรู้สึกไม่สบายใจหลังจากได้ยินเช่นนี้ โดยพูดว่า “เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญเช่นนี้ แต่ก็ยังคงไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอย่างนั้นหรือ?  เช่นนั้นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยคืออะไร?  การเปลี่ยนแปลงใดบ้างที่เป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย?”  ตอนนี้พวกเรามาพักเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถิด พวกเรามาเสวนากันต่อถึงการเปลี่ยนแปลงที่ผู้คนสัมฤทธิ์แล้ว ซึ่งเป็นผลและผลลัพธ์จากพระวจนะของพระเจ้าและทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำในตัวผู้คน  ผู้คนทำงานหนักเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนะของตนซึ่งไม่ตรงกับความจริง  เมื่อเผชิญกับเรื่องต่างๆ พวกเขาจะมีการตระหนักรู้ พวกเขาจะเปรียบเทียบเรื่องนี้กับความจริง โดยพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เป็นไปตามความจริง แต่ฉันไม่ก็สามารถปล่อยมือจากทัศนะของฉันไปได้ ทัศนะของฉันยังคงอยู่ตรงนั้น”  เจ้าเพิ่งเกิดความตระหนักรู้และเรียนรู้ว่าทัศนะของเจ้าไม่ตรงกับพระวจนะของพระเจ้าเพียงเท่านั้น เรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าทัศนะของเจ้าเปลี่ยนแปลงหรือถูกปล่อยมือไปแล้ว?  ไม่สามารถ  ทัศนะของเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงและยังไม่ได้ถูกปล่อยมือไป เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ายังอยู่ครบและยังไม่ได้เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง เป็นเพียงแค่ว่าจิตสำนึกของเจ้า หัวใจส่วนที่อยู่ลึกของเจ้า ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและคำนึงถึงว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงแล้ว  แต่นี่เป็นเพียงแค่ความปรารถนาในเชิงทฤษฎีและเป็นส่วนตัว—พระวจนะของพระเจ้ายังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าและยังไม่ได้กลายเป็นความเป็นจริงของเจ้า  เมื่อพระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นความเป็นจริงของเจ้า เจ้าย่อมจะปล่อยมือจากทัศนะของเจ้า และเจ้าย่อมจะปฏิบัติต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทั้งหมดตลอดจนทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเจ้าโดยใช้ทัศนะจากพระวจนะของพระเจ้า

ตอนนี้การเข้าสู่ชีวิตของพวกเจ้าอยู่ที่ช่วงระยะใดกัน?  เจ้าได้มารู้แล้วว่าทัศนะของเจ้านั้นผิด แต่เจ้ายังคงพึ่งพาทัศนะของเจ้าในการดำรงชีวิต และเจ้าใช้ทัศนะเหล่านั้นเพื่อประเมินวัดพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าใช้ความคิดและทัศนะของเจ้าเพื่อทำการตัดสินรูปการณ์แวดล้อมที่พระองค์ทรงวางเข้าที่ให้กับเจ้า และเจ้าปฏิบัติต่ออธิปไตยของพระเจ้าด้วยวิถีทางแห่งความคิดของเจ้าและทัศนะทั้งหลายของเจ้า  นี่เป็นไปตามหลักธรรมความจริงหรือ?  นี่ไม่ไร้เหตุผลหรอกหรือ?  ผู้คนเข้าใจคำสอนจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น แต่พวกเขากลับปรารถนาที่จะประเมินค่าการกระทำของพระเจ้า  นี่เป็นเรื่องโอหังอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  ตอนนี้เจ้าเพียงแค่ยอมรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นดีงามและถูกต้อง และหากจะดูที่พฤติกรรมภายนอกของเจ้า เจ้าไม่ทำสิ่งทั้งหลายซึ่งเห็นได้ชัดว่าขัดกับความจริง นับประสาอะไรที่เจ้าจะทำสิ่งทั้งหลายซึ่งทำการตัดสินพระวจนะของพระเจ้า  เจ้ายังมีความสามารถที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการงานของพระนิเวศของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  เรื่องนี้ไปจากการเป็นผู้ไม่มีความเชื่อเพื่อเป็นผู้ติดตามของพระเจ้าที่มีความประพฤติที่ถูกทำนองคลองธรรมของวิสุทธิชน  เจ้าไปจากใครคนหนึ่งผู้ซึ่งดำรงชีวิตอย่างเด็ดเดี่ยวไปโดยปรัชญาของซาตาน และโดยมโนทัศน์ กฎ และความรู้ของซาตาน เพื่อเป็นใครคนหนึ่งผู้ซึ่งเมื่อได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ก็รู้สึกว่าพระวจนะเหล่านั้นคือความจริง ยอมรับพระวจนะเหล่านั้น และไล่ตามเสาะหาความจริง กลายเป็นใครบางคนผู้ซึ่งสามารถน้อมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา  เป็นกระบวนการจำพวกนั้นนั่นเอง—ไม่มีอะไรอื่นนอกเหนือจากนั้น  ในระหว่างช่วงเวลานี้ พฤติกรรมและหนทางในการทำสิ่งทั้งหลายของเจ้า จะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอย่างแน่นอน  ไม่สำคัญว่าเจ้าเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน สำหรับพระเจ้าแล้ว สิ่งที่สำแดงในตัวเจ้าไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและวิธีการของเจ้า การเปลี่ยนแปลงในความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานส่วนที่อยู่ภายในที่สุดของเจ้า  นั่นไม่ใช่อะไรมากไปว่าการเปลี่ยนแปลงในความคิดและทัศนะของเจ้า  ตอนนี้เจ้าอาจมีความสามารถที่จะมอบชีวิตของเจ้าแด่พระเจ้าเมื่อเจ้าเรียกตัวเรี่ยวแรงของเจ้าและมีแรงผลักดัน แต่เจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์การนบนอบสัมบูรณ์ต่อพระเจ้าในเรื่องที่เจ้าพบว่าเป็นที่น่ารังเกียจโดยเฉพาะได้  นี่คือความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  บางทีหัวใจอันใจดีของเจ้าอาจจะทำให้เจ้าสามารถวางชีวิตของเจ้าและทุกสิ่งทุกอย่างลงเพื่อพระเจ้า โดยพูดว่า “ข้าพระองค์พร้อมและเต็มใจที่จะละวางโลหิตของชีวิตของข้าพระองค์เพื่อพระเจ้า  ในชีวิตนี้ ข้าพระองค์ไม่มีความเสียใจและไม่มีข้อร้องทุกข์!  ข้าพระองค์ได้ละวางในเรื่องของการแต่งงาน ในเรื่องของความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ทางโลก ในเรื่องของศักดิ์ศรีและความมั่งคั่งทั้งหมด และข้าพระองค์ยอมรับรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงแผ่ออกมาให้เห็น  ข้าพระองค์สามารถทานทนการเยาะเย้ยถากถางและการใส่ร้ายป้ายสีทั้งหมดของโลก”  แต่ชั่วขณะที่พระเจ้าทรงจัดวางรูปการณ์แวดล้อมซึ่งไม่เหมาะสมกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้าย่อมสามารถยืนขึ้นแล้วเรียกร้องจากพระองค์และต้านทานพระองค์  นี่คือความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  ยังเป็นไปได้อีกเช่นกันที่เจ้าสามารถแผ่ชีวิตของเจ้าออกมาให้เห็นเพื่อพระเจ้า และละวางผู้คนซึ่งเจ้ารักมากที่สุด หรือสิ่งซึ่งเจ้ารักมากที่สุดหัวใจของเจ้าสามารถทนที่จะแยกจากกันได้น้อยที่สุด—แต่เมื่อเจ้าถูกเรียกให้พูดกับพระเจ้าจากหัวใจและเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เจ้าก็พบว่าเป็นการค่อนข้างลำบากยากเย็นและไม่สามารถทำการนั้นได้  นี่คือความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  จากนั้นก็เป็นอีกครั้งที่บางทีเจ้าไม่กระหายการปลอบประโลมฝ่ายเนื้อหนังในชีวิตนี้ ทั้งไม่กินอาหารดีๆ และไม่สวมใส่เสื้อผ้าชั้นดี โดยแต่ละวันนั้นทำงานจนตัวเจ้าเองมอมแมมสกปรกและจนเหนื่อยล้าในหน้าที่ของเจ้า  เจ้าสามารถทานทนความเจ็บปวดทุกลักษณะซึ่งเนื้อหนังนำพามาสู่เจ้า แต่ถ้าหากการจัดการเตรียมการของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจได้ และ ความคับข้องใจต่อพระเจ้า และความเข้าใจผิดทั้งหลายเกี่ยวกับพระองค์ก็เกิดขึ้นในตัวเจ้า  สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็ยิ่งผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ  เจ้าขัดขืนและเป็นกบฏอยู่เสมอ ไร้ความสามารถที่จะนบนอบพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์  นี่คือความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  เจ้าเต็มใจละวางชีวิตของเจ้าเพื่อพระเจ้าได้ ดังนั้น เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถพูดคำพูดที่ซื่อสัตย์กับพระองค์ได้?  เจ้าเต็มใจวางทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกตัวเจ้าเองไว้ก่อนได้ ดังนั้นแล้ว เหตุใดเล่าเจ้าจึงไม่สามารถจงรักภักดีโดยเฉพาะต่อพระบัญชาซึ่งพระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้าได้?  เจ้าเต็มใจละวางชีวิตของเจ้าเพื่อพระเจ้าได้ ดังนั้นแล้ว เมื่อเจ้าพึ่งพาความรู้สึกทั้งหลายในการทำสิ่งต่างๆ และค้ำจุนสัมพันธภาพของเจ้ากับผู้อื่น เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถทบทวนตัวเองได้  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถยึดมั่นในจุดยืนที่จะค้ำจุนงานของคริสตจักรและผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้?  นี่ใช่คนที่ใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่?  เจ้าได้ทำปฏิญญาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าที่จะสละตัวเจ้าเองเพื่อพระองค์ตลอดชั่วชีวิตของเจ้า และที่จะยอมรับความทุกข์ใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับเจ้าได้แล้ว ดังนั้นแล้ว เหตุใดเล่าหนึ่งเหตุการณ์ของการถูกปลดจากหน้าที่ของเจ้าจึงทำให้เจ้าจมลงสู่ความคิดลบ มากเสียจนเจ้าไม่สามารถคลานออกมาได้เป็นเวลาหลายวัน?  เหตุใดหัวใจของเจ้าจึงเต็มไปด้วยการต้านทาน ความคับข้องใจ ความเข้าใจผิด และความคิดลบ?  กำลังเกิดอะไรขึ้น?  นี่แสดงให้เห็นว่าหัวใจของเจ้ารักสถานะมากที่สุด และเรื่องนี้เชื่อมโยงกับความอ่อนแออันสำคัญยิ่งของเจ้า  ดังนั้นเมื่อเจ้าถูกปลด เจ้าย่อมล้มลงและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้  นี่ย่อมเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้พฤติกรรมของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลง  นี่คือความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

ตอนนี้คนส่วนใหญ่แสดงให้เห็นพฤติกรรมบางอย่างที่ดี แต่มีน้อยคนนักที่แสวงหาความจริงหรือยอมรับความจริง และแทบจะไม่มีใครเลยที่มีการนบนอบที่แท้จริง  จากมุมมองนี้ คนมากมายเพียงแค่กำลังมีประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมรวมทั้งการแปรเปลี่ยนในความคิดและทัศนะของตน พวกเขามีความเต็มใจและความมุ่งมาดปรารถนาที่จะยอมรับและนบนอบอธิปไตยของพระเจ้า รวมทั้งไม่เก็บงำความคับแค้นใจเอาไว้ในหัวใจของตน  จงบอกเราที คนเหล่านี้มีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าแล้วหรือยัง?  (ยัง)  น่าเสียดายที่คำพยานจากประสบการณ์ที่พวกเจ้าแบ่งปันก่อนหน้านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า คำพยานเหล่านั้นล้วนแต่ห่างไกลจากข้อกำหนดของพระเจ้า  ตราบที่เจ้ายังไม่มีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า เช่นนั้นอุปนิสัยของเจ้าย่อมยังไม่เริ่มเปลี่ยนแปลง  หากอุปนิสัยของเจ้ายังไม่เริ่มเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เจ้ารับรู้ย่อมเป็นเพียงแค่ในเชิงพฤติกรรม  การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมดังกล่าวก็เนื่องมาจากความร่วมมือของเจ้าเอง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความเป็นมนุษย์ที่ดีของเจ้า และเป็นผลจากพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพระเจ้าจะทรงไปไกลเพียงเท่านี้ในการทรงช่วยผู้คนให้รอด?  (ไม่)  เช่นนั้นพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใดถัดไป?  พระราชกิจหลักที่พระเจ้าทรงเข้าร่วมเมื่อทรงช่วยผู้คนให้รอดคืออะไร?  (การพิพากษาและการตีสอน)  วิธีการหลักที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อช่วยผู้คนให้รอดคือการพิพากษาและการตีสอน  แต่น่าเสียดายที่เกือบจะไม่มีใครที่สามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้  ดังนั้น พระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยผู้คนให้รอด ทำให้พวกเขาเพียบพร้อม และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาจึงยังไม่ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ  เหตุใดจึงยังไม่ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ?  เพราะพระราชกิจนี้ของพระเจ้ายังไม่สามารถดำเนินการกับผู้คนได้  เหตุใดไม่สามารถดำเนินการได้?  เพราะเมื่อพิจารณาถึงสภาวะ วุฒิภาวะปัจจุบันของผู้คน รวมทั้งสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ในขณะนี้ พวกเขายังคงอยู่ห่างจากมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนด ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ทรงสามารถดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ต่อไปได้  นั่นหมายความว่าพระเจ้าจะทรงหยุดพระราชกิจของพระองค์หรือไม่?  ไม่ พระเจ้ากำลังทรงรอ  พระองค์ทรงทำสิ่งใดด้วยขณะที่กำลังทรงรอ?  พระองค์กำลังทรงชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์ ชำระให้สะอาดปราศจากผู้ทำให้หยุดชะงักและผู้ก่อความไม่สงบ ศัตรูของพระคริสต์ วิญญาณชั่ว คนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ ผู้ที่ไม่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง และผู้ที่ไม่สามารถแม้แต่จะลงแรง  นี่เรียกว่าการเก็บกวาดพื้นที่ นี่ยังเรียกว่าการฝัดร่อนเช่นกัน  การเก็บกวาดพื้นที่คือพระราชกิจหลักของพระเจ้าในระหว่างช่วงระยะเวลานี้หรือไม่?  ไม่ใช่ ในระหว่างช่วงระยะเวลานี้ พระเจ้าจะทรงพระราชกิจกับพวกเจ้าต่อไปผ่านทางวิถีทางแห่งการกระตุ้นเตือนด้วยพระวจนะ การให้น้ำ การเลี้ยงดู การตัดแต่ง การสั่งสอน และการบ่มวินัยเจ้า  ในระดับใด?  ทันทีที่ผู้คนมีภาวะพื้นฐานที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนเท่านั้น พระเจ้าจึงจะทรงเริ่มพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน  ทีนี้จงบอกเราที ตามการคาดเดาและการตัดสินของพวกเจ้า ผู้คนต้องทำให้ได้ตามภาวะใดบ้างก่อนที่พระเจ้าจะทรงเริ่มพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน?  เจ้าสามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงทำทุกสิ่งตามเวลาของสิ่งนั้นๆ  พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจอย่างไร้แบบแผน  พระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์เป็นไปตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ และพระองค์ทรงทำทุกสิ่งอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่อย่างไร้แบบแผน  แล้วขั้นตอนเหล่านั้นเป็นเช่นไร?  พระราชกิจแต่ละขั้นตอนที่พระเจ้าทรงทำกับผู้คนต้องบังเกิดผล และเมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าบังเกิดผลแล้ว พระองค์ก็ทรงพระราชกิจขั้นตอนถัดไป  พระเจ้าทรงรู้ว่าพระราชกิจของพระองค์อาจบังเกิดผลอย่างไร พระองค์ต้องตรัสและทำสิ่งใด  พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ตามสิ่งที่ผู้คนต้องการ ไม่ใช่อย่างไร้แบบแผน  พระราชกิจใดก็ตามที่จะมีประสิทธิผลแก่ผู้คน พระเจ้าก็ทรงทำ และพระราชกิจใดก็ตามที่ไม่มีนัยสำคัญในแง่ของประสิทธิผล พระเจ้าย่อมไม่ทรงทำอย่างแน่นอน  ตัวอย่างเช่น เมื่อจำเป็นต้องมีบทเรียนด้านลบในเชิงประจักษ์เพื่อที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอาจพัฒนาวิจารณญาณของพวกเขา พระคริสต์เทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ วิญญาณชั่ว คนชั่ว และผู้ทำให้หยุดชะงักและผู้ก่อความไม่สงบย่อมจะปรากฏในคริสตจักร เพื่อที่ผู้อื่นอาจพัฒนาวิจารณญาณของพวกเขา  หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าใจความจริงและสามารถแยกแยะผู้คนเยี่ยงนั้นได้ เช่นนั้นแล้วผู้คนเหล่านั้นก็ได้ให้การปรนนิบัติของพวกเขาแล้ว และการดำรงอยู่ของพวกเขาก็ไม่มีค่าอีกต่อไป  ในเวลานั้น ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะลุกขึ้นเปิดโปงและรายงานพวกเขา และคริสตจักรจะชำระพวกเขาทิ้งในทันที  พระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้ามีขั้นตอนของตน และพระเจ้าทรงจัดการเตรียมขั้นตอนทั้งหมดนั้นตามสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีในชีวิตของพวกเขาและตามวุฒิภาวะของพวกเขา  สิ่งใดจำเป็นต่อผู้คนจริงๆ และเหตุใดศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วจึงปรากฏในคริสตจักร?  โดยทั่วไปแล้วผู้คนสับสนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องเหล่านี้  บางคนที่ไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเอาไว้ และถึงขั้นพร่ำบ่น โดยพูดว่า “ศัตรูของพระคริสต์สามารถปรากฏในคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไร?  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ใส่พระทัยเรื่องนี้?”  มีเพียงเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าซึ่งระบุว่าเหตุการณ์เหล่านี้มุ่งหมายเพื่อให้ผู้คนเรียนรู้บทเรียนและเริ่มเกิดวิจารณญาณแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีการรู้แจ้งและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เดิมทีนั้นผู้คนขาดพร่องวิจารณญาณที่มีต่อคนชั่ว  เมื่อคริสตจักรขับไล่คนดังกล่าว ผู้คนกลับยอมรับมโนคติอันหลงผิด พวกเขาคิดว่าพวกที่ถูกขับไล่นั้นมอบของถวายมากมายและสามารถสู้ทนความยากลำบาก และคิดว่าพวกเขาไม่ควรถูกขับไล่  จากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นขัดขืนสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ  แต่หลังจากผ่านประสบการณ์ไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผู้คนก็ได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงและเริ่มเกิดความสามารถในการแยกแยะคนชั่ว  ตอนนี้เมื่อคนชั่วถูกขับไล่ พวกเขาไม่บันเทิงไปกับมโนคติอันหลงผิดหรือขัดขืนอีกต่อไป  เมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วกระทำชั่วอีก พวกเขาสามารถระบุคนชั่วเหล่านี้ได้ และทุกคนก็ให้ความร่วมมือในการรายงานบุคคลผู้นั้นและเอาตัวพวกเขาออกไปก่อนที่จะเกิดความเสียหายอันมีนัยสำคัญใดๆ  เช่นนั้นคนชั่วเหล่านี้ย่อมไม่มีฐานที่มั่นในพระนิเวศของพระเจ้าอีกต่อไป  การนี้สัมฤทธิ์ได้อย่างไรหรือ?  วิจารณญาณนี้เกิดขึ้นในตัวผู้คนอย่างไร?  นี่เป็นการกระทำของพระเจ้า  หากปราศจากพระราชกิจของพระเจ้า ผู้คนย่อมจะไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้  พระราชกิจของพระเจ้าเป็นไปตามลำดับขั้น และขั้นตอนของลำดับขั้นนี้พิจารณาจากสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตมนุษย์  แต่ผู้คนเองก็ไม่เข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริง พวกเขาเลอะเลือน  ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงทำได้เพียงทรงพระราชกิจของพระองค์ต่อไปเท่านั้น โดยทรงจัดการเตรียมการบทเรียนที่เหลือล้นให้ผู้คนได้เรียนรู้ ทรงเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่พระองค์ทรงเรียกร้อง  ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจหรือไม่ พระเจ้าก็ทรงพระราชกิจของพระองค์ต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย—นี่คือความรักของพระเจ้า  ก็เหมือนกับวิธีที่พระเจ้าทรงตัดแต่งใครบางคน กล่าวคือ หากพวกเขาทำความผิดพลาด พระเจ้าย่อมทรงตัดแต่งพวกเขา หากพวกเขาทำความผิดพลาดอีก พระองค์ย่อมทรงตัดแต่งพวกเขาอีก  หากพวกเขาถูกเผยอีก พระเจ้าย่อมทรงตัดแต่งพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง  พระองค์ทรงพระราชกิจอย่างอดทนจนกระทั่งคนคนนี้ได้รับความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ด้านชาอีกต่อไป และกลายเป็นอ่อนไหวราวกับว่าพวกเขากำลังสัมผัสสายลวดที่มีกระแสไฟฟ้าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายๆ กันอีก ไม่ทำความผิดพลาดอีกต่อไป  เช่นนั้นนั่นย่อมเพียงพอแล้ว และพระเจ้าจะทรงหยุดพระราชกิจของพระองค์  เมื่อเผชิญกับเรื่องเหล่านี้อีกแล้วเจ้าสามารถรับมือกับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างเป็นอิสระและโดยสอดคล้องกับหลักธรรม พระเจ้าจะไม่ทรงจำเป็นต้องวิตกกังวลอีกต่อไป  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและความจริงของพระเจ้าแล้ว น้อมรับพระวจนะและความจริงของพระเจ้าไว้ในหัวใจของเจ้าแล้ว และพระวจนะและความจริงของพระเจ้ากลายมาเป็นชีวิตของเจ้าแล้ว  ณ จุดนั้น พระเจ้าย่อมทรงหยุดพระราชกิจของพระองค์  นี่คือขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้า และหลังจากเจ้ามีประสบการณ์กับขั้นตอนเหล่านี้ของพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว เจ้าย่อมจะเห็นแก่นแท้และพระปัญญาของพระเจ้า เรื่องนี้ไม่อาจปฏิเสธได้และเป็นสิ่งที่แน่นอนเต็มร้อย

เมื่อครู่เพิ่งกล่าวถึงว่าขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้านั้นสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของผู้คน  พระราชกิจของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของการให้ผู้คนก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมเพียงเล็กน้อย เข้าใจกฎเกณฑ์บางอย่าง และมีสภาพเสมือนมนุษย์บ้าง จากนั้นก็ประกาศว่านั่นเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่  หากเป็นเช่นนั้น พระราชกิจนี้คงจะสรุปปิดลงไปแล้วในยุคพระคุณ  พระเจ้าต้องประสงค์สิ่งใด?  (การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของผู้คน)  ถูกต้อง การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยคือสิ่งที่ผู้คนที่ได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริงควรมี  สิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้คน แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา นี่คือมาตรฐานสำหรับการได้รับการช่วยให้รอด  การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมบางอย่างก็เพิ่งมีการกล่าวถึงไปเมื่อครู่เช่นกัน เช่น การสามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลายและยอมพลีชีวิตของคนเราเพื่อพระเจ้า—นี่คือการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมอันชัดเจน  แต่หากไม่มีความจงรักภักดีต่อพระบัญชาของพระเจ้า หากคนเรายังสามารถปฏิบัติตนอย่างสุกเอาเผากิน และยังคงมีการหลอกลวง นี่ย่อมหมายความว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  ขณะนี้ผู้คนน่าชมเชยในพฤติกรรมเท่านั้น พฤติกรรมเหล่านั้นดูเหมือนตรงกับอากัปกิริยาของธรรมิกชนมากกว่า พวกเขาประพฤติตนด้วยความเป็นมนุษย์ที่มากกว่า รวมทั้งมีศักดิ์ศรีและความสัตย์สุจริตอยู่บ้าง  อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าใครบางคนแสดงให้เห็นพฤติกรรมที่ดีมากแค่ไหน หากการทำเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริง และไม่ใช่การดำเนินชีวิตจากมโนธรรม เหตุผล และความเป็นมนุษย์ที่ปกติของตน เช่นนั้นการทำเช่นนี้ย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์  เมื่อมองดูเรื่องนี้ในลักษณะนี้ ในแง่ของพฤติกรรมปัจจุบันของพวกเจ้า ไม่สำคัญว่าพวกเจ้ายึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์มากเพียงใด ไม่สำคัญว่าพวกเจ้ายอมตามแค่ไหน ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าอาจจะยอมพลีชีวิตของพวกเจ้าอย่างไร หรือความมุ่งมาดปรารถนาของพวกเจ้ามีมากแค่ไหน พวกเจ้าสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้แล้วหรือยัง?  เจ้าทำได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้าแล้วหรือยัง?  (ยัง)  เป็นเพราะข้อกำหนดของพระเจ้าสูงเกินไปหรือไม่?  บางคนคิดว่า “ขณะนี้ผู้คนปฏิบัติตามกฎเกณฑ์มาก ทำไมพวกเขาจึงยังทำไม่ได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้า?”  พวกเจ้าคิดอย่างไร นี่ใช่การนบนอบยอมตามหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถูกต้อง  การยอมตามนี้ในขณะนี้เป็นแค่การมีความมีเหตุผลเล็กน้อย ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นผลลัพธ์จากการบ่มวินัยของพระเจ้า  นั่นเป็นผลที่สัมฤทธิ์จากการบ่มวินัยของพระเจ้าทั้งสิ้น เป็นเพียงภายหลังพระเจ้าทรงมานะอุตสาหะตรัสพระวจนะมากมายยิ่งนักแล้วเท่านั้น มโนธรรมของผู้คนจึงถูกปลุกให้ตื่นขึ้น สำนึกถึงมโนธรรมของผู้คนจึงถูกกระตุ้น และพวกเขาก็เริ่มใช้ชีวิตตามลักษณะภายนอกของความเป็นมนุษย์บ้าง มีกฎเกณฑ์บางอย่างในการทำสิ่งทั้งหลาย รู้จักการไต่ถามในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำ และรู้สึกถึงการตำหนิเล็กน้อยเมื่อปฏิบัติตนขัดกับหลักธรรม  สรุปสั้นๆ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมไม่เป็นไปตามเงื่อนไขสำหรับการรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องประสงค์การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของผู้คน  แล้วพระเจ้าต้องประสงค์สิ่งใด?  พระองค์ต้องประสงค์การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของพวกเขา  แล้วอะไรกันแน่ที่เป็นการสำแดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย?  พวกเขาต้องเปลี่ยนแปลงในแง่มุมต่างๆ ขนาดไหนเพื่อให้มีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า?  พวกเขาต้องเปลี่ยนแปลงถึงระดับที่พระเจ้าทรงสามารถทอดพระเนตรเห็นการปฏิบัติของคนคนนี้ในทุกแง่มุม—พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างเพียงพอเป็นพิเศษ และพวกเขาสามารถยอมรับการถูกตัดแต่ง สามารถแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถติดตามพระเจ้าเมื่อเผชิญกับความทุกข์ลำบากและบททดสอบ และโดยพื้นฐานแล้วสามารถยอมรับและนบนอบสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส แม้ในยามที่ผู้อื่นไม่กำกับดูแลพวกเขา และเมื่อเผชิญกับการทดลอง พวกเขาก็สามารถหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำสิ่งไม่ดี ไม่กระทำความชั่วแม้เล็กน้อย  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้คนดังกล่าวทำได้ตามมาตรฐาน พวกเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นขั้นตอนถัดไปของพระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยผู้คนให้รอดและทำให้ผู้คนเพียบพร้อม  ในที่นี้มีสัญญาณแบบใด มาตรฐานแบบใด—พวกเจ้ารู้หรือไม่?  (สิ่งที่ข้าพระองค์คิดก็คือคนคนหนึ่งสามารถค่อยๆ ฟื้นฟูมโนธรรมและเหตุผลของตนผ่านทางการสั่งสอนและการบ่มวินัยของพระเจ้า และเมื่อรวมกับการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในพฤติกรรมของตน ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาย่อมสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างจงรักภักดี  จากนั้นพระเจ้าอาจจะทรงเริ่มพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนในคนคนนั้น)  พวกเจ้าทุกคนเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้หรือไม่?  (เห็นด้วย)  ดี แต่นี่เป็นแค่เงื่อนไขหนึ่งเท่านั้น  ก่อนที่พระเจ้าจะทรงดำเนินการพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนในใครบางคน พระเจ้าจะทรงประเมินค่าคนคนนี้  พระองค์ทรงประเมินค่าพวกเขาอย่างไร?  พระองค์ทรงมีมาตรฐานหลายประการ  ประการแรก พระองค์ทรงเฝ้าสังเกตว่าพวกเขามีท่าทีใดต่อพระบัญชาของพระองค์ กล่าวคือ พวกเขามีท่าทีใดต่อหน้าที่ที่พวกเขาควรปฏิบัติ พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุดจิตสุดใจ สุดความสามารถ และด้วยความจงรักภักดีหรือไม่  สรุปสั้นๆ ก็คือ พระองค์ทรงเฝ้าสังเกตว่าผู้คนสามารถทำได้ตามมาตรฐานสำหรับการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอหรือไม่—นี่เป็นแง่มุมแรก  เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตแห่งการเชื่อในพระเจ้าและงานประจำวันที่ผู้คนเข้าร่วม  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงกำหนดแง่มุมนี้เป็นเงื่อนไขหนึ่ง เป็นมาตรฐานหนึ่งสำหรับการประเมินค่า?  อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังเรื่องนี้—พวกเจ้ารู้หรือไม่?  เมื่อพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายงานให้ใครบางคน ท่าทีของคนคนนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด—นี่เป็นวิธีที่พระองค์ทรงประเมินค่าพวกเขา  พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายงานนี้ให้พวกเขา คนคนหนึ่งที่มีมโนธรรมจะปฏิบัติต่องานนี้แบบตรงกันข้ามกับคนที่ปราศจากมโนธรรมอย่างไร?  คนคนหนึ่งที่มีเหตุผลจะปฏิบัติต่องานนี้แบบตรงกันข้ามกับคนที่ไม่มีเหตุผลอย่างไร?  มีการจำแนกความต่างระหว่างเรื่องเหล่านี้  มโนธรรมและความมีเหตุผลเป็นลักษณะนิสัยที่ความเป็นมนุษย์ของคนเราควรมี  นอกจากนี้ แค่มีสำนึกถึงมโนธรรมเล็กน้อยหรือความมีเหตุผลเล็กน้อยนั้นไม่เพียงพอ  หากผู้คนฟื้นคืนมโนธรรมและความมีเหตุผลของตน เช่นนั้นพวกเขาคล้ายคลึงกับมนุษย์หรือไม่?  พวกเขาบรรลุความเป็นจริงความจริงด้วยเหตุนี้แล้วหรือยัง?  ยัง นั่นยังไม่มากพอ พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตเส้นทางที่ผู้คนเดินในระหว่างช่วงเวลาของการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเช่นกัน  เส้นทางแบบใดที่ผู้คนเดินสามารถทำได้ตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนด?  อันดับแรกเลยก็คือ การไม่กระทำชั่วและการนบนอบขณะปฏิบัติหน้าที่คือมาตรฐานขั้นต่ำ  หากคนเราสามารถกระทำความชั่วได้ คนคนนี้ย่อมจบเห่แล้วอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่พระเจ้าต้องประสงค์จะช่วยให้รอด  ยิ่งไปกว่านั้น ในการปฏิบัติต่อพระบัญชาของพระเจ้า นอกจากการรับมือกับพระบัญชาเหล่านี้ด้วยมโนธรรมและความมีเหตุผล มีความจำเป็นมากขึ้นไปอีกที่จะแสวงหาความจริงและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าสภาพการณ์จะเป็นอย่างไร ไม่ว่าเรื่องที่เจ้าเผชิญอยู่ตรงหน้านั้นตรงกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้าหรือไม่ เจ้าควรรักษาท่าทีแห่งการนบนอบเอาไว้  ณ หัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาคือท่าทีที่นบนอบของเจ้า  หากเจ้าเพียงแค่รับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าล้วนเป็นความจริงและถูกต้อง นั่นใช่ท่าทีแห่งการนบนอบหรือไม่?  ไม่ใช่อย่างแน่นอนที่สุด  ท่าทีของการนบนอบด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเป็นอย่างไร?  นั่นคือการนี้ที่ว่า เจ้าต้องข่มใจยอมรับพระวจนะของพระเจ้า  แม้การเข้าสู่ชีวิตของเจ้านั้นตื้นเขิน และวุฒิภาวะของเจ้าไม่เพียงพอ และความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับความจริงความเป็นจริงก็ยังไม่ลึกซึ้งพอ แต่เจ้าก็ยังคงสามารถติดตามพระเจ้าและนบนอบพระองค์ได้—นั่นคือท่าทีของการนบนอบ  ก่อนที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบอย่างที่สุดได้ เจ้าต้องนำเอาท่าทีแห่งการนบนอบมาใช้เสียก่อน นั่นคือ เจ้าต้องยอมรับพระวจนะของพระเจ้า เชื่อว่าพระวจนะเหล่านั้นถูกต้อง มองว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงและเป็นหลักธรรมแห่งการปฏิบัติ และสามารถค้ำจุนพระวจนะเหล่านั้นเป็นกฎเกณฑ์ แม้กระทั่งในยามที่เจ้าไม่รู้ซึ้งดีในหลักธรรมเหล่านั้น  นั่นคือท่าทีแห่งการนบนอบประเภทหนึ่ง  เพราะตอนนี้อุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลง หากเจ้าต้องการสัมฤทธิ์การนบนอบที่จริงแท้ต่อพระเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องมีความรู้สึกนึกคิดแห่งการนบนอบและมุ่งมาดปรารถนาที่จะนบนอบ โดยพูดว่า “ฉันจะนบนอบไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด  ฉันไม่เข้าใจความจริงมากมายนัก แต่ฉันรู้ว่าเมื่อพระเจ้าตรัสบอกให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะทำสิ่งนั้น”  พระเจ้าทรงมองว่าเรื่องนี้เป็นท่าทีแห่งการนบนอบ  บางคนพูดว่า “ถ้าเกิดฉันคิดผิดที่นบนอบพระเจ้าล่ะ?”  พระเจ้าทรงสามารถผิดพลาดได้หรือ?  พระเจ้าทรงเป็นความจริงและความชอบธรรม  พระเจ้าไม่ทรงทำความผิดพลาด ก็แค่มีหลายสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำซึ่งไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน  เจ้าควรพูดว่า “ไม่สำคัญว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของฉันเองหรือไม่ ฉันก็แค่จะมุ่งความสนใจไปที่การรับฟัง การนบนอบ การยอมรับ และการติดตามพระเจ้าเท่านั้น  นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง”  ต่อให้มีคนที่ตัดสินเจ้าว่านบนอบอย่างมืดบอด เจ้าก็ไม่ควรใส่ใจ  หัวใจของเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง และเจ้าควรนบนอบ  ถูกต้อง และนั่นคือความรู้สึกนึกคิดแบบที่คนเราควรนบนอบ  มีเพียงคนที่มีความรู้สึกนึกคิดดังกล่าวเท่านั้นที่สามารถได้รับความจริง  หากเจ้าไม่มีความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ แต่พูดว่า “ฉันไม่เป็นทุกข์ให้คนอื่นมาตอแยฉันหรอกนะ  ไม่มีใครหลอกฉันได้  ฉันเฉลียวฉลาดเกินไปและไม่มีใครมาทำให้ฉันนบนอบอะไรได้!  ไม่ว่าฉันเจออะไร ฉันก็ต้องตรวจสอบและวิเคราะห์สิ่งนั้น  เมื่อสิ่งนั้นสอดคล้องกับทัศนะของฉัน และฉันสามารถยอมรับสิ่งนั้นได้เท่านั้น ฉันจึงจะนบนอบ”—นั่นใช่ท่าทีแห่งการนบนอบหรือไม่?  นั่นไม่ใช่ท่าทีแห่งการนบนอบ นั่นเป็นการขาดพร่องความรู้สึกนึกคิดแบบนบนอบ โดยไม่มีเจตนาที่จะนบนอบในหัวใจของคนคนนั้น  หากเจ้าพูดว่า “ต่อให้เป็นพระเจ้า ฉันก็ยังจะต้องตรวจสอบสิ่งนั้น แม้กระทั่งเหล่าพระราชาและพระราชินีก็ได้รับการปฏิบัติเดียวกันจากฉัน  สิ่งที่คุณกำลังพูดกับฉันนั้นไร้ประโยชน์  เป็นความจริงที่ว่าฉันคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่ฉันก็ไม่ใช่คนโง่—ดังนั้นจงอย่าปฏิบัติต่อฉันเหมือนคนโง่” เช่นนั้นนั่นย่อมจบแล้วสำหรับเจ้า เจ้าขาดพร่องภาวะที่จะยอมรับความจริง  ผู้คนดังกล่าวขาดพร่องความมีเหตุผลใดๆ  พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นสัตว์เดรัจฉานมิใช่หรือ?  หากปราศจากความมีเหตุผล คนคนหนึ่งจะสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบได้อย่างไร?  ในการที่จะสัมฤทธิ์การนบนอบ ก่อนอื่นคนเราต้องมีความรู้สึกนึกคิดแบบนบนอบ  ด้วยความรู้สึกนึกคิดแห่งการนบนอบเท่านั้นคนคนหนึ่งจึงจะมีความมีเหตุผลใดๆ ให้พูดถึงได้  หากพวกเขาไม่มีความรู้สึกนึกคิดแห่งการนบนอบ เช่นนั้นพวกเขาย่อมไม่มีความมีเหตุผลใดๆ  ผู้คนคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขาจะสามารถมองเห็นพระผู้สร้างอย่างชัดเจนได้อย่างไร?  มนุษยชาติทั้งปวงยังไม่สามารถถอดรหัสแนวคิดประการหนึ่งของพระเจ้ามาเป็นเวลา 6,000 ปี แล้วผู้คนจะสามารถเข้าใจสิ่งที่พระองค์กำลังทรงกระทำอยู่ในทันทีได้อย่างไร?  เจ้าไม่สามารถเข้าใจได้  มีหลายสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงกระทำเรื่อยมาหลายพันปีแล้ว และพระเจ้าทรงเผยต่อมนุษยชาติแล้ว แต่หากพระองค์ไม่ได้ทรงอธิบายเรื่องนี้ต่อผู้คนให้ชัดเจน พวกเขาย่อมจะยังคงไม่เข้าใจ  บางทีตอนนี้เจ้าอาจจะเข้าใจพระวจนะของพระองค์ในแง่ตามตัวอักษร แต่ยี่สิบปีหลังจากนี้เจ้าจะเข้าใจอย่างแท้จริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ช่องว่างที่มีระหว่างผู้คนกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องใหญ่เช่นนี้นี่เอง  เมื่อพิจารณาตามเรื่องนี้ ผู้คนควรมีความมีเหตุผลและความรู้สึกนึกคิดแห่งการนบนอบ  ผู้คนเป็นเพียงแค่มดและหนอนแมลง แต่พวกเขากลับปรารถนาที่จะเห็นพระผู้สร้างอย่างชัดเจน  นี่คือสิ่งที่ไม่มีเหตุผลที่สุด  บางคนพร่ำบ่นเสมอว่าพระเจ้าไม่ตรัสบอกข้อล้ำลึกของพระองค์กับพวกเขา และไม่ทรงอธิบายความจริงโดยตรง ทรงทำให้ผู้คนแสวงหาอยู่เสมอ  แต่การพูดสิ่งเหล่านี้ไม่ถูกต้องและไม่มีเหตุผล  เจ้าเข้าใจพระวจนะกี่คำจากพระวจนะทั้งหมดนี้ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเจ้า?  เจ้าสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้กี่คำ?  พระราชกิจของพระเจ้าเกิดขึ้นเป็นขั้นตอนเสมอ  หากเมื่อ 2,000 ปีก่อนพระเจ้าตรัสบอกผู้คนเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ พวกเขาจะเข้าใจหรือไม่?  ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงกลายเป็นสภาพเหมือนของเนื้อหนังอันเปี่ยมบาป และทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อมนุษยชาติทั้งปวง  หากพระองค์จะตรัสบอกกับผู้คนในเวลานั้น ใครเล่าจะเข้าใจ?  และตอนนี้ผู้คนเช่นพวกเจ้าเข้าใจแนวคิดทฤษฎีบางอย่าง แต่ในเรื่องความจริงทั้งหลาย เช่น พระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า เจตนารมณ์ของพระเจ้าในการทรงรักมนุษยชาติ และจุดกำเนิดของแผนการเบื้องหลังสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงกระทำในเวลานั้น ผู้คนจะไม่มีวันสามารถเข้าใจได้เลย  นี่คือความล้ำลึกของความจริง นี่คือแก่นแท้ของพระเจ้า  ผู้คนจะสามารถมองเห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจนได้อย่างไร?  การที่เจ้าปรารถนาจะมองเห็นพระผู้สร้างอย่างชัดเจนไม่มีเหตุผลโดยสิ้นเชิง  เจ้าโอหังเกินไปและประเมินความสามารถของตนสูงเกินไป  ผู้คนไม่ควรปรารถนาจะมองเห็นพระเจ้าอย่างชัดเจน  หากพวกเขาสามารถเข้าใจความจริงบางอย่างได้ย่อมดีอยู่แล้ว  สำหรับเจ้าแล้ว การเข้าใจความจริงเล็กน้อยก็เป็นความสำเร็จที่เพียงพออยู่แล้ว  ดังนั้นการมีความรู้สึกนึกคิดแห่งการนบนอบมีเหตุผลหรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่านี่เป็นสิ่งที่มีเหตุผลที่จะทำ  ความรู้สึกนึกคิดและท่าทีแห่งการนบนอบคือขั้นต่ำของสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกคนควรมี

การสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอย่างเพียงพอและด้วยความจงรักภักดีรวมทั้งการมีความรู้สึกนึกคิดแห่งการนบนอบ—เรื่องนี้ใช้เวลานานแค่ไหน?  พึงต้องใช้เวลาเป็นจำนวนปีที่กำหนดหรือไม่?  ไม่มีกรอบเวลาที่กำหนด และเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของคนเรา ความมุ่งมาดปรารถนาของพวกเขา รวมทั้งระดับของการถวิลหาความจริงของพวกเขา  เรื่องนี้ยังขึ้นอยู่กับมโนธรรม เหตุผล ขีดความสามารถ และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกอันเป็นลักษณะประจำตัวของพวกเขาเช่นกัน  เมื่อได้มาซึ่งท่าทีแห่งการนบนอบ ย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมหลังจากนั้นทันทีในการพูด การกระทำ และพฤติกรรมของคนเรา  การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คืออะไร?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยพื้นฐานแล้วตอนนี้เจ้าเป็นคนซื่อสัตย์  การเป็นคนซื่อสัตย์โดยพื้นฐานหมายความว่าอะไร?  หมายความว่าองค์ประกอบของการโกหกโดยเจตนาในการพูดและพฤติกรรมของเจ้าลดน้อยถอยลง ร้อยละแปดสิบของสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง  บางครั้งเจ้าก็โกหกโดยไม่ตั้งใจเนื่องจากความแปดเปื้อน สภาพการณ์ต่างๆ หรือเหตุผลอื่นบางอย่าง และการโกหกก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกินของแสลงเข้าไป เจ้ารู้สึกไม่สบายใจเป็นเวลาหลายวัน  เจ้ายอมรับความผิดพลาดของตนและกลับใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และหลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลง—คำโกหกของเจ้ามีน้อยลงทุกที และสภาวะของเจ้าก็ดีขึ้น  ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยพื้นฐานแล้วเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์  บางคนพูดว่า “หากโดยพื้นฐานแล้วใครบางคนเป็นคนซื่อสัตย์ อุปนิสัยของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วหรอกหรือ?”  เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  ไม่ นี่เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม  ในสายพระเนตรของพระเจ้า การสามารถเป็นคนที่ซื่อสัตย์ไม่ได้แค่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในทางการประพฤติปฏิบัติและพฤติกรรมเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นอย่างยิ่งในวิธีคิดและทัศนะของคนเราเกี่ยวกับเรื่องทั้งหลายอีกด้วย  พวกเขาไม่มีเจตนาที่จะโกหกหรือหลอกลวงอีกต่อไป และแน่นอนที่สุดว่าไม่มีการโป้ปดมดเท็จหรือการหลอกลวงในสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ  คำพูดและความประพฤติของพวกเขากลายเป็นจริงใจมากขึ้นเรื่อยๆ มีคำพูดที่ซื่อสัตย์มากขึ้นเรื่อยๆ  ตัวอย่างเช่น เมื่อถูกถามว่าเจ้าได้ทำบางสิ่งไปแล้วหรือไม่ ต่อให้การยอมรับเรื่องนี้จะนำไปสู่การถูกตบหน้าหรือถูกลงโทษ เจ้าก็ยังสามารถบอกความจริงได้  ต่อให้การยอมรับเรื่องนี้พ่วงเอาการแบกรับความรับผิดชอบอันมีนัยสำคัญ การเผชิญกับความตาย หรือการทำลายล้างมาด้วย เจ้าก็ยังสามารถบอกความจริงและเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้  นี่บ่งชี้ว่าท่าทีที่เจ้ามีต่อพระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นค่อนข้างมั่นคงไปแล้ว  ไม่สำคัญว่าจะเป็นเวลาใด การเลือกมาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่งในการปฏิบัติซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดแทบจะไม่ได้กลายเป็นประเด็นปัญหาสำหรับเจ้า เจ้าสามารถบรรลุและนำมาตรฐานในการปฏิบัติดังกล่าวไปปฏิบัติได้ตามธรรมชาติโดยปราศจากการควบคุมจากสภาพการณ์ภายนอก การชี้นำจากผู้นำและคนทำงาน หรือสำนึกถึงการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าภายในตัวเจ้า  เจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเองได้อย่างค่อนข้างไม่ลำบากยากเย็น  เมื่อปราศจากการควบคุมจากสภาพการณ์ภายนอก อีกทั้งไม่มีความกลัวการบ่มวินัยจากพระเจ้าและความกลัวการตำหนิจากมโนธรรมของตน และแน่นอนว่าไม่มีความกลัวการเยาะเย้ยถากถางหรือการกำกับดูแลจากผู้อื่น—ไม่ใช่เพราะสิ่งใดเหล่านี้—เจ้าย่อมสามารถตรวจสอบพฤติกรรมของตัวเอง ประเมินวัดความถูกต้องของพฤติกรรมดังกล่าว และประเมินค่าว่าพฤติกรรมดังกล่าวสอดคล้องกับความจริงและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยหรือไม่ได้อย่างกระตือรือร้น  ณ จุดนั้น โดยพื้นฐานแล้วเจ้าย่อมทำได้ตามมาตรฐานของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว  การเป็นคนซื่อสัตย์โดยพื้นฐานคือเงื่อนไขขั้นพื้นฐานขั้นที่สามสำหรับการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเงื่อนไขสามประการสำหรับการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  ประการแรกคือการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอย่างเพียงพอ ประการที่สองคือการมีท่าทีแห่งการนบนอบ และประการที่สามคือการเป็นคนซื่อสัตย์โดยพื้นฐาน  เงื่อนไขประการที่สามนี้ประเมินค่าอย่างไร?  สิ่งใดคือกฎเกณฑ์?  (ความถี่ที่คนเราโกหกโดยตั้งใจน้อยลง และบอกความจริงบ่อยครั้งมากขึ้น)  นี่หมายถึงการสามารถบอกความจริงได้โดยมาก พวกเจ้าทุกคนควรสามารถประเมินค่าเงื่อนไขนี้ได้ใช่ไหม?  การเป็นคนซื่อสัตย์คือเงื่อนไขประการที่สามสำหรับการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  เงื่อนไขที่สองคือการมีท่าทีแห่งการนบนอบ ซึ่งครอบคลุมรายละเอียดบางอย่าง โดยหลักแล้วไม่ใช่การพินิจพิเคราะห์หรือการวิเคราะห์พระราชกิจของพระเจ้า แต่เป็นเพียงการมีความรู้สึกนึกคิดแบบนบนอบเท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้นยังพ่วงเอาการไล่ตามเสาะหาการเป็นคนซื่อสัตย์มาด้วย ไปถึงจุดที่คำโกหกของเจ้าลดลง และโดยมากแล้วเจ้าสามารถพูดได้อย่างจริงใจ โดยแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของเจ้า  แง่มุมที่สำคัญที่สุดในที่นี้คือความร่วมมือส่วนตัวของผู้คน ซึ่งหมายถึงการก้าวหน้าอย่างแข็งขัน และการเพียรพยายามที่จะไปให้ถึงความจริง  การมีความรู้สึกนึกคิดแบบนบนอบเป็นผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์กับด้านที่เป็นส่วนตัว การสามารถกลายเป็นคนซื่อสัตย์—การเป็นคนซื่อสัตย์โดยพื้นฐาน—ก็เป็นเรื่องที่เป็นส่วนตัวเช่นกัน และเป็นผลลัพธ์จากการไล่ตามเสาะหาอย่างขะมักเขม้นของคนเรา  การยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้ามีเงื่อนไขหลักเพิ่มอีกหนึ่งประการ  ก่อนอื่นเราจะให้คำใบ้กับพวกเจ้า และหากพวกเจ้าคิดตามทิศทางของสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่ พวกเจ้าย่อมจะสามารถจับความเข้าใจสิ่งนี้ได้  ตั้งแต่แรกเริ่มที่เชื่อในพระเจ้าไปจนถึงตอนจบ ในชีวิตนี้ผู้คนทำความผิดพลาดใดบ้างหรือไม่?  มีการกระทำแห่งความเป็นกบฏต่อพระเจ้ามากมายหรือไม่?  (มีมากมาย)  แล้วใครบางคนควรทำอย่างไรเมื่อพวกเขาทำความผิดพลาด หรือเมื่อพวกเขาเป็นกบฏ?  (พวกเขาต้องมีหัวใจที่กลับใจ)  การมีหัวใจที่กลับใจเป็นสัญญาณของคนที่มีมโนธรรมและเหตุผล  การมีมโนธรรมและเหตุผลคือคุณสมบัติขั้นต่ำที่ผู้รับความรอดของพระเจ้าควรมี พวกที่ขาดพร่องมโนธรรมและเหตุผลไม่สามารถบรรลุความรอดของพระเจ้า  หากใครบางคนไม่เคยรู้จักกลับใจเลยหลังจากทำความผิดพลาด พวกเขาคือสิ่งประเภทใด?  คนที่ไม่เคยรู้จักกลับใจเลยจะสามารถติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถมีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  เหตุใดจึงไม่สามารถ?  (เพราะพวกเขาขาดพร่องหัวใจที่กลับใจ)  ถูกต้องโดยแท้ และนี่ก็นำพวกเรามายังเงื่อนไขประการสุดท้าย ซึ่งก็คือ คนเราต้องมีหัวใจที่กลับใจ  ในขณะที่กำลังติดตามพระเจ้า ผู้คนมักจะเปิดเผยตัวเองว่าเป็นกบฏบ่อยครั้งเพราะความโง่เขลาและความไม่รู้เท่าทัน และเนื่องจากอุปนิสัยเสื่อมทรามอันหลากหลายของพวกเขา และบางครั้งก็เข้าใจผิดหรือพร่ำบ่นต่อว่าพระเจ้า  พวกเขาหลงผิดไป และบางคนถึงขั้นเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า กลายเป็นคิดลบและหย่อนยานในงานของพวกเขาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ และสูญเสียความเชื่อของพวกเขาไป  พฤติกรรมที่เป็นกบฏเกิดขึ้นในทุกช่วงระยะแห่งชีวิตของผู้คน  พวกเขามีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาและรู้ว่าพระองค์กำลังทรงพระราชกิจอยู่เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้น บางครั้งพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจข้อเท็จจริงนั้น  ถึงแม้พวกเขามีความสามารถที่จะนบนบได้อย่างผิวเผิน แต่ลึกลงไปพวกเขาแค่ไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงนั้นได้  สิ่งใดหรือที่ทำให้ประจักษ์ชัดว่าลึกลงไปแล้วพวกเขาไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงนั้นได้?  หนทางหนึ่งที่การนี้สำแดงก็คือว่า ถึงแม้จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พวกเขาแค่ไร้ความสามารถที่จะละวางสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปแล้วและมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับความผิดพลาดของพวกเขาและกล่าวว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว ข้าพระองค์จะไม่กระทำเช่นนั้นอีก  ข้าพระองค์จะแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์และทำดังที่พระองค์จะให้ข้าพระองค์ทำ  ข้าพระองค์ไม่เคยได้ใส่ใจพระองค์ วุฒิภาวะของข้าพระองค์น้อย ข้าพระองค์โง่เขลาและไม่รู้ความ และเป็นกบฏอยู่เนืองนิจ  ตอนนี้ข้าพระองค์รู้ถึงการนั้นแล้ว”  ผู้คนมีท่าทีใดหากพวกเขาสามารถยอมรับความผิดของพวกเขา?  (พวกเขาต้องการที่จะกลับตัว)  หากผู้คนมีมโนธรรมและเหตุผล และโหยหาความจริง กระนั้นพวกเขาก็ไม่เคยรู้จักที่จะทบทวนตัวเองและกลับตัวหลังจากทำความผิด โดยกลับเชื่อว่า อดีตก็คืออดีตและรู้สึกแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ผิดแทน เช่นนั้นแล้ว การนี้แสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยชนิดใด?  พฤติกรรมชนิดใด?  แก่นแท้ของพฤติกรรมเช่นนั้นคือสิ่งใด?  (การเป็นคนดื้อแพ่ง)  ผู้คนเช่นนั้นดื้อแพ่ง และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นั่นคือเส้นทางที่พวกเขาจะติดตาม  พระเจ้าไม่ทรงโปรดผู้คนเช่นนั้น  โยนาห์ได้กล่าวสิ่งใดเมื่อเขาแสดงพระวจนะของพระเจ้าต่อชาวนีนะเวห์?  (“อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย” (โยนาห์ 3:4))  ชาวนีนะเวห์มีปฏิกิริยาต่อพระวจนะเหล่านี้อย่างไร?  เมื่อพวกเขามองเห็นว่าพระเจ้ากำลังจะทรงทำลายพวกเขา พวกเขาก็รีบเร่งที่จะสวมผ้ากระสอบและขี้เถ้า สารภาพบาปของพวกเขาต่อพระองค์ และผละจากเส้นทางแห่งความชั่ว  นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของการที่จะกลับใจ  หากมนุษย์สามารถกลับใจได้ นั่นย่อมปรากฏให้มนุษย์เห็นโอกาสเหมาะมากมายมหาศาล  โอกาสเหมาะนั้นคือสิ่งใด?  นั่นคือโอกาสเหมาะที่จะมีชีวิตต่อไป  หากปราศจากการกลับใจใหม่ที่แท้จริงแล้ว ก็คงจะยากลำบากที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า ไม่ว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือในการไล่ตามเสาะหาความรอดของเจ้า  ในทุกๆ ช่วงระยะ—ไม่ว่าในยามที่พระเจ้าทรงกำลังบ่มวินัยหรือตีสอนเจ้า หรือในยามที่พระองค์ทรงย้ำเตือนและเตือนสติเจ้า—ตราบใดที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับพระเจ้า แต่เจ้าไม่กลับตัว ทั้งยังยึดติดกับแนวคิด มุมมอง และท่าทีของตนเองต่อไป เช่นนั้นถึงแม้ว่าย่างก้าวของเจ้ามุ่งไปข้างหน้า ความขัดแย้งระหว่างตัวเจ้ากับพระเจ้า ความเข้าใจผิดที่เจ้ามีต่อพระองค์ การพร่ำบ่นและความเป็นกบฏที่เจ้ามีต่อพระองค์นั้นไม่ได้รับการแก้ไข และหัวใจของเจ้าก็ไม่ได้พลิกกลับทาง  เช่นนั้นแล้วในส่วนของพระเจ้านั้น พระองค์จะทรงกำจัดเจ้าออกไป  ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่เคยปล่อยมือจากหน้าที่ที่อยู่ตรงหน้า อีกทั้งเจ้ายังคงรักษาหน้าที่ของตนและพอมีความจงรักภักดีอยู่เล็กน้อยต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงมีพระบัญชา และผู้คนเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่รับได้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งก็คือ ข้อพิพาทระหว่างเจ้ากับพระเจ้าก็เกิดเป็นปมถาวรขึ้นมา  เจ้าไม่เคยใช้ความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนี้และเพื่อให้ได้รับความเข้าใจที่แท้จริงในเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ผลก็คือ ความเข้าใจผิดที่เจ้ามีต่อพระเจ้ากลับลึกซึ้งมากขึ้น และเจ้าก็คิดอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงเป็นฝ่ายผิดและเจ้ากำลังได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม  นี่หมายความว่าเจ้ายังไม่ได้กลับตัว  ความเป็นกบฏของเจ้า มโนคติอันหลงผิดของเจ้า และความเข้าใจผิดที่เจ้ามีต่อพระเจ้ายังคงอยู่ ซึ่งทำให้เจ้ามีความรู้สึกนึกคิดที่ไร้ซึ่งความนบนอบ ทำให้เจ้าเป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอ  บุคคลประเภทนี้ไม่ใช่ใครบางคนที่กบฏต่อพระเจ้า แข็งขืนต่อพระเจ้า และปฏิเสธอย่างหัวชนฝาที่จะกลับใจหรอกหรือ?  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงให้ความสำคัญขนาดนั้นแก่ผู้คนที่กลับตัว?  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรคำนึงถึงพระผู้สร้างด้วยท่าทีเช่นไร?  ท่าทีที่ยอมรับว่าพระผู้สร้างทรงถูกต้อง ไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด  หากเจ้าไม่ยอมรับเรื่องนี้ ที่ว่าพระผู้สร้างทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิตย่อมจะเป็นเพียงถ้อยคำอันว่างเปล่าสำหรับเจ้า  หากเป็นเช่นนั้น เจ้ายังสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่?  เจ้าย่อมไม่สามารถทำได้  เจ้าจะมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเช่นเจ้าให้รอด  มีบางคนที่กล่าวว่า “พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนมีหัวใจที่กลับใจ และให้พวกเขารู้จักที่จะกลับตัว  แต่มีสิ่งมากมายที่ฉันยังไม่ได้กลับตัว  ฉันยังคงมีเวลาที่จะทำเช่นนั้นใช่หรือไม่?”  ใช่ ยังคงมีเวลาอยู่  นอกเหนือจากนั้นแล้ว บางคนกล่าวว่า “ฉันต้องกลับตัวในสิ่งใดบ้าง?  สิ่งทั้งหลายในอดีตได้ผ่านไปแล้วและถูกลืมไปแล้ว”  ตราบที่อุปนิสัยของเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง ตราบที่เจ้าไม่ได้มารู้ว่าสิ่งใดในการกระทำของเจ้าที่ไม่สอดคล้องกับความจริงและสิ่งใดที่ไม่สามารถสอดคล้องไปกับพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว ปมนั้นที่ดำรงอยู่ระหว่างเจ้ากับพระเจ้าก็ยังไม่ได้ถูกคลายไป เรื่องนั้นยังไม่ได้รับการแก้ไข  อุปนิสัยนี้อยู่ภายในตัวเจ้า แนวคิด ทัศนคติ และท่าทีที่กบฏต่อพระเจ้าอยู่ภายในตัวเจ้า  ทันทีที่รูปการณ์แวดล้อมที่ถูกต้องปรากฏขึ้น ทัศนคตินี้ของเจ้าจะผุดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และความขัดแย้งของเจ้ากับพระเจ้าก็จะปะทุขึ้นมาอีก  ด้วยเหตุนี้เอง ถึงแม้ว่าเจ้าอาจไม่สามารถแก้ไขอดีตให้ถูกต้องได้ แต่เจ้าต้องแก้ไขสิ่งทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ถูกต้อง  สิ่งเหล่านั้นจะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องอย่างไร?  เจ้าต้องกลับตัวและละวางแนวคิดและเจตนาของเจ้าไว้ก่อน ทันทีที่เจ้ามีความตั้งใจนี้ ความตั้งใจของเจ้าก็จะเป็นท่าทีแห่งการนบนอบไปด้วยเช่นกันเป็นธรรมดา  อย่างไรก็ตาม กล่าวให้ตรงชัดขึ้นอีกนิดก็คือ การนี้อ้างอิงถึงการที่ผู้คนกลับตัวในท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า พระผู้สร้าง นั่นคือการระลึกได้และการยืนยันถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างทรงเป็นความจริง หนทางและชีวิต  หากเจ้าสามารถกลับตัวของเจ้าเองได้ นี่ก็สาธิตแสดงให้เห็นว่าเจ้าสามารถละวางสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นที่เจ้าคิดว่าถูกต้องลงได้ หรือสิ่งเหล่านั้นที่มวลมนุษย์—ซึ่งเสื่อมทราม—โดยรวมแล้วคิดว่าถูกต้อง และในทางกลับกัน เจ้ากลับกำลังรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นความจริงและเป็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก  หากเจ้าสามารถมีท่าทีนี้ได้ นั่นพิสูจน์ให้เห็นถึงการที่เจ้าระลึกได้ถึงพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างและแก่นแท้ของพระองค์  นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงมีทรรศนะต่อประเด็นปัญหานี้ และเพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงมองว่าการกลับตัวของมนุษย์สำคัญเป็นพิเศษ

มีบางคนที่พูดว่า “หากคนคนหนึ่งไม่เคยทำอะไรผิดเลย พวกเขาจำเป็นต้องกลับตัวเพื่อสิ่งใด?”  ต่อให้เจ้าไม่เคยทำอะไรผิดเลย ณ ชั่วขณะนี้ เจ้าก็ต้องเข้าใจความจริงแห่งการกลับใจเสียก่อน  นี่เป็นบางสิ่งที่เจ้าควรมี  ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริง เจ้าจะค้นพบว่าบางสิ่งที่เจ้าได้ทำนั้นไม่ถูกต้องเหมาะสม และเจ้าจะเปิดเผยปัญหาซึ่งเกี่ยวข้องกับเจตนาและความรู้สึกนึกคิดของเจ้า—กล่าวคือ ปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยของเจ้า  สิ่งเหล่านี้จะปรากฏออกมาโดยที่เจ้าไม่ทันได้รู้ตัว และทำให้เจ้าเห็นว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าอันที่จริงแล้วไม่ใช่สัมพันธภาพที่เรียบง่ายระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  พระเจ้ายังทรงเป็นพระเจ้า  แต่เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ทำไม่ได้ตามมาตรฐาน  ในเรื่องเหล่านั้นซึ่งผู้คนได้ล้มเหลวที่จะอยู่ในที่ที่ถูกควรของตน และได้ล้มเหลวที่จะสำเร็จลุล่วงสิ่งที่พวกเขาควรที่จะลุล่วง—กล่าวคือ เมื่อพวกเขาล้มเหลวในหน้าที่ของตน—นั่นจะกลายเป็นปมภายในเรื่องเหล่านั้น  นี่เป็นปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหลือเกิน และเป็นปัญหาซึ่งจำเป็นที่จะต้องแก้ไข  เช่นนั้นแล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?  ผู้คนควรมีท่าทีประเภทใด?  ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด พวกเขาต้องเต็มใจที่จะกลับตัว  และความเต็มใจที่จะกลับตัวที่ว่านี้ควรได้รับการนำไปสู่การปฏิบัติอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่งเป็นผู้นำมาสองปี แต่เพราะเขามีขีดความสามารถต่ำ เขาจึงทำหน้าที่ของตนได้ไม่ดี ไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ใดๆ ได้อย่างชัดเจน ไม่รู้วิธีใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และไม่สามารถทำงานจริงอันใดได้ ดังนั้นพวกเขาจึงถูกปลด  หากหลังจากถูกปลด เขาสามารถนบนอบ ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ต่อไป และเต็มใจที่จะกลับตัว พวกเขาควรทำอย่างไร?  ประการแรก พวกเขาควรเข้าใจเรื่องนี้ว่า “พระเจ้าทรงถูกต้องแล้วในการทำอย่างที่พระองค์ได้ทรงทำ  ขีดความสามารถของฉันด้อยมากยิ่งนัก และเป็นเวลานานเหลือเกินที่ฉันไม่ได้ทำงานจริงอันใดเลย แต่เพียงแค่เทิดทูนงานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงเท่านั้นแทน  ฉันโชคดีที่พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ขับไล่ฉันทันที  ฉันไร้ยางอายพอดูจริงๆ โดยเกาะตำแหน่งของฉันไว้แน่นตลอดเวลาที่ผ่านมา และถึงขั้นเชื่อว่าตัวเองได้ทำงานอันยิ่งใหญ่นัก  ฉันช่างไม่มีเหตุผลจริงๆ!”  การสามารถรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังตัวเองและสำนึกแห่งการสำนึกผิด นี่ใช่หรือไม่ใช่การแสดงความเต็มใจที่จะกลับตัว?  หากพวกเขาสามารถกล่าวเช่นนี้ได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาเต็มใจ  หากพวกเขากล่าวในหัวใจของตนว่า “เป็นเวลานานเหลือเกินตอนที่ฉันอยู่ในตำแหน่งผู้นำ ฉันได้เพียรพยายามอยู่เสมอเพื่อให้ได้ผลประโยชน์แห่งสถานะ ฉันประกาศคำสอนและเตรียมตัวเองให้พร้อมสรรพด้วยคำสอนอยู่เสมอ ฉันไม่ได้เพียรพยายามเพื่อการเข้าสู่ชีวิต  เพียงบัดนี้ที่ฉันได้ถูกแทนที่แล้วเท่านั้น ฉันจึงเห็นว่าฉันไม่ดีพอและขาดพร่องเพียงใดกันแน่  พระเจ้าได้ทรงทำสิ่งที่ถูกต้อง และฉันต้องนบนอบ  ในอดีต ฉันมีสถานะ และพี่น้องชายหญิงปฏิบัติต่อฉันด้วยดี พวกเขาจะห้อมล้อมฉันไม่ว่าฉันจะไปที่ใดก็ตาม  ตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเห็นฉันเลย และฉันก็ถูกละทิ้ง การนี้เป็นสิ่งที่ฉันสมควรได้รับ นี่คือการลงทัณฑ์อันสาสมที่ฉันคู่ควร  ที่มากกว่านั้นคือ สิ่งมีชีวิตทรงสร้างจะสามารถมีสถานะอันใดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร?  ไม่สำคัญว่าสถานะของใครบางคนสูงเพียงใด นั่นย่อมไม่ใช่ทั้งจุดจบและบั้นปลาย พระเจ้าประทานพระบัญชาให้ฉันไม่ใช่เพื่อที่ฉันจะได้สามารถใช้อิทธิพลหรือเพลิดเพลินกับสถานะของฉัน แต่เพื่อที่ฉันจะได้สามารถปฏิบัติหน้าที่ของฉัน และฉันควรทำสิ่งใดก็ตามที่ฉันสามารถทำได้  ฉันควรมีท่าทีแห่งการนบนอบต่ออธิปไตยของพระเจ้าและการจัดการงานของพระนิเวศของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าการนบนอบอาจยากลำบาก แต่ฉันต้องนบนอบ พระเจ้าทรงถูกต้องแล้วที่ทำอย่างที่พระองค์ทรงทำ และแม้แต่จะสมมุติว่าฉันมีข้อแก้ตัวหลายพัน หลายหมื่นข้อ ก็คงจะไม่มีข้อใดเลยที่เป็นความจริง  การนบนอบพระเจ้าคือความจริง!” นี่คือการแสดงออกที่แน่ชัดถึงความเต็มใจที่จะกลับตัว  และหากคนเราจะครองทั้งหมดเหล่านี้ พระเจ้าอาจจะทรงประเมินบุคคลเช่นนั้นอย่างไร?  พระเจ้าคงจะตรัสว่านี่คือบุคคลที่มีมโนธรรมและเหตุผล  การประเมินนี้สูงส่งหรือไม่?  นั่นไม่สูงส่งเกินไป การมีมโนธรรมและเหตุผลเพียงอย่างเดียวไม่เป็นไปตามมาตรฐานสำหรับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า—แต่เท่าที่บุคคลประเภทนี้คิดเห็น นั่นไม่ใช่ความสำเร็จลุล่วงเล็กน้อยเลย  การสามารถนบนอบได้นั้นล้ำค่า  หลังจากนี้ วิธีที่คนคนนี้เสาะแสวงที่จะทำให้พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงทัศนะของพระองค์เกี่ยวกับพวกเขานั้น ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเลือกถนนเส้นใด  หากพวกเขายังไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง และเนื่องจากพวกเขาไม่มีสถานะ พวกเขาย่อมไม่จงรักภักดีในหน้าที่ของตนและสุกเอาเผากินเสมอ เช่นนั้นสำหรับพวกเขาเรื่องนี้จบแล้วอย่างสิ้นเชิง พวกเขาจะถูกกำจัดออกไป  หากพวกเขายังคงเก็บงำความคับข้องใจเอาไว้ การโดยพร่ำบ่นว่า “ในระหว่างเวลาที่ฉันเป็นผู้นำ ฉันทนทุกข์มากมาย และต่อให้ไม่มีคุณความดี ก็มีงานหนัก  พวกเขาพูดว่าฉันไม่ได้ทำงานจริง แต่ฉันทำอย่างมากทีเดียว  ไม่ว่าฉันจะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์อันใดหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยที่สุดฉันก็ไม่ได้อยู่ว่าง  แค่เพราะฉันไม่ได้อยู่ว่าง พระเจ้าก็ไม่ควรทรงกำจัดฉันออกไปอย่างสบายๆ ขนาดนั้นแล้ว  แม้ปราศจากสถานะ ฉันก็ยังคงถูกสั่งให้ทำสิ่งนานาสารพัน—นี่ไม่ใช่การหยอกฉันเล่นหรอกหรือ?”—หากหลังจากถูกแทนที่ พวกเขาไม่มีความกระตือรือร้นใดๆ เหลืออยู่ที่จะปฏิบัติหน้าที่อันใด ในที่นี้มีความจงรักภักดีหรือการนบนอบอันใดหรือไม่?  พวกเขาไม่มีความจงรักภักดี ไม่มีการนบนอบ และไม่มีความเต็มใจที่จะกลับตัว พวกเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย  นี่ไม่น่าเวทนาหรอกหรือ?  นี่ล้วนน่าเวทนาเกินไป พวกเขาเชื่อโดยสูญเปล่าตลอดหลายปีมานี้  เมื่อได้รับฟังคำเทศนามาเป็นเวลาหลายต่อหลายปี แต่กลับไม่ปฏิบัติความจริงอันใด อบรมสั่งสอนผู้อื่นด้วยคำพูดและคำสอนอยู่เสมอ แต่ตัวเองไม่สามารถทำได้เลย—นี่คือวิธีที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาประกาศคำสอนกับผู้อื่นมากมายทีเดียว แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะแก้ไขปัญหาของตนเองได้  นี่น่าเวทนายิ่งนัก!  และพวกเขายังจะปรารถนาจะรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าอีกหรือ?  หลังจากถูกแทนที่ พวกเขายังคงขับเคี่ยวกับพระเจ้าและทนทุกข์กับความทรมาน ไม่แสดงการนบนอบแต่อย่างใด  นี่ไม่ใช่แค่การทนทุกข์อย่างมืดบอดหรอกหรือ?  การทนทุกข์ของเจ้าไร้ค่า!  เมื่อละวางทุกสิ่งทุกอย่างไว้ก่อน และแค่มองดูที่ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าได้กลายเป็นเดือดดาลและพร้อมเผชิญหน้าเมื่อคริสตจักรถอดเจ้าออกจากตำแหน่งของเจ้า—แค่พิจารณาจากเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว เจ้าก็ไม่คู่ควรกับการเป็นมนุษย์ ไม่คู่ควรกับการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า  เช่นนั้นแล้วเจ้ากำลังโต้แย้งเพื่ออะไร?  ข้อโต้แย้งใดก็ตามที่เจ้ามีนั้นไร้ประโยชน์  เจ้าเชื่อมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปี แต่เจ้ากลับขาดพร่องแม้กระทั่งการนบนอบเล็กๆ น้อยๆ นี้ด้วยซ้ำ ดอกผลจากความเชื่อของเจ้าในช่วงเวลาหลายปีมานี้อยู่ที่ไหน?  น่าเวทนา น่าชิงชัง น่าขยะแขยง!  เจ้าได้รับสถานะและเจ้าก็ปฏิบัติต่อสถานะดังกล่าวดังเช่นบทบาทของเจ้าหน้าที่ การมีสถานะหมายความว่าอุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือไม่?  นี่ไม่เป็นแค่พระคุณของพระเจ้าหรอกหรือ?  พระเจ้าประทานพระคุณให้เจ้าด้วยพระบัญชานี้ แต่เจ้ากลับมองว่าพระคุณนี้เป็นบทบาทของเจ้าหน้าที่—นั่นไม่น่าขยะแขยงหรอกหรือ?  ในพระนิเวศของพระเจ้ามีเจ้าหน้าที่บ้างหรือไม่?  ในบรรดาธรรมิกชนตลอดหลายยุคหลายสมัย ไม่มีคนใดเป็นเจ้าหน้าที่เลย  ผู้คนเคารพบูชาเปาโลมาเป็นเวลาสองพันปี แต่ไม่มีใครเคยพูดว่าเปาโลมีตำแหน่งเจ้าหน้าที่ใดๆ  ดังนั้นคำศัพท์ว่า “เจ้าหน้าที่” จึงใช้ไม่ได้ ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ทั้งบำเหน็จและพระบัญชาจากพระเจ้า และเจ้าจำเป็นต้องปล่อยมือจากตำแหน่งนี้  หากเจ้าไล่ตามไขว่คว้าการเป็นเจ้าหน้าที่อยู่เป็นนิตย์ พระเจ้าจะทรงเห็นชอบกับเรื่องนี้หรือไม่?  นั่นจะอำนวยให้เจ้าสัมฤทธิ์ความรอดหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่  พวกเราเพิ่งกล่าวถึงว่าการที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้านั้น คนเราต้องมีความเต็มใจที่จะกลับตัว  นี่สำคัญหรือไม่?  (สำคัญ)  การมีท่าทีเช่นนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างที่สุด!  หากเจ้าปรารถนาจะสร้างสัมพันธภาพของพระผู้ช่วยให้รอดกับผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดระหว่างเจ้ากับพระผู้สร้าง และเจ้าปรารถนาให้พระเจ้าทรงช่วยเจ้าให้รอด เจ้าต้องแก้ไขฐานะของเจ้า และต้องสอบค้นให้แน่ใจว่ามีที่และสถานะของพระเจ้าในหัวใจของเจ้า  เช่นนั้นฐานะของเจ้าคืออะไร?  (สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง)  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเป็นใคร?  เป็นมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน  เจ้าต้องจดจำไว้ตลอดเวลาว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ และเจ้าต้องไม่ลืมตำแหน่งแห่งที่อันชอบธรรมของเจ้า  เมื่อพระเจ้าประทานพระคุณเล็กน้อยและพระพรเล็กน้อยให้เจ้า เมื่อนั้นเจ้าย่อมลืมไปว่าเจ้าเป็นใคร  เมื่อพระเจ้าทรงแบ่งปันพระวจนะบางวจนะที่ออกมาจากพระทัยเพื่อชูใจเจ้าด้วยความถ่อมพระทัยและความซ่อนเร้น พระองค์กำลังทรงยกระดับเจ้า แต่เจ้ากลับต้องการยืนอยู่ในระดับเดียวกับพระเจ้า ยกตัวเองให้สูงขึ้น—สิ่งใดกันจะทำเช่นนี้?  มนุษย์จะทำเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าไม่ทรงรับรู้ถึงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเช่นเจ้า—เจ้าหลบไปได้เลย!  หากพระเจ้าไม่ทรงรับรู้เจ้า พระองค์จะทรงทำให้เจ้าเพียบพร้อมหรือไม่?  เจ้าทำไม่ได้ตามเงื่อนไขที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า  ถึงจุดนี้แล้วประเด็นสำคัญของการเสวนานี้ยังไม่ได้มีการสื่ออย่างชัดเจนแล้วหรอกหรือ?  ด้วยเหตุนี้ การมีความเต็มใจที่จะเปลี่ยนทิศทางจึงมีความสำคัญมาก นี่เป็นสภาวะของจิตใจ และในเวลาเดียวกันก็เป็นท่าที  ท่าทีนี้คือหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่สำคัญซึ่งคนเราควรมีเพื่อรับความรอดและการทำให้เพียบพร้อมของพระเจ้า  จงอย่าคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาก สูงศักดิ์มาก และจงอย่าทึกทักเอาว่าเจ้าถูกต้องและมิอาจผิดพลาดได้อย่างสิ้นเชิง  เจ้าไม่ยิ่งใหญ่ ไม่รุ่งโรจน์ และไม่ถูกต้อง เจ้าเล็กมาก ต่ำต้อย เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจากมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  เจ้าจำเป็นต้องยอมรับความรอดของพระผู้สร้าง  เจ้ายังไม่ได้รับการช่วยให้รอด เจ้าไม่เพียบพร้อม เจ้าต้องมีเหตุผลนี้

มีเงื่อนไขสี่ประการสำหรับการยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า กล่าวคือ การปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ การมีความรู้สึกนึกคิดแบบนบนอบ การเป็นคนซื่อสัตย์โดยพื้นฐาน และการมีหัวใจที่กลับใจ  จงจดจำเงื่อนไขสี่ประการนี้ไว้และเปรียบเทียบตัวพวกเจ้าเองกับภาวะสี่ประการนี้เมื่อพวกเจ้าเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ  หากสถานการณ์เกี่ยวข้องกับการนบนอบ เช่นนั้นก็จงปฏิบัติการนบนอบ  พระวจนะของพระเจ้าพึงกำหนดให้ผู้คนมีท่าทีที่นบนอบ หากเจ้าเปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้าและพบความแตกต่างมาก เจ้าควรทำอย่างไร?  จงทำดังที่พระเจ้าตรัส ทำตามพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่วิเคราะห์หรือโต้แย้ง  หากเจ้าพยายามโต้แย้ง พระเจ้าจะทรงขยะแขยงเจ้า  เจ้าจะทำอย่างไรหากพระเจ้าทรงขยะแขยงเจ้า?  มีมาตรการเยียวยาอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือการเปลี่ยนทิศทางทันที  จงอย่าทำร้ายพระหทัยของพระเจ้าด้วยเรื่องยิบย่อยที่ไม่สลักสำคัญแล้วก็ทำร้ายพระหทัยของพระเจ้าและเพิกเฉยพระองค์ต่อไป  มนุษย์ไม่สำคัญอะไร หากเจ้าเพิกเฉยพระเจ้า พระองค์จะไม่ต้องประสงค์เจ้าอีกต่อไป  เจ้าทำอย่างไรหากพระเจ้าทรงเพิกเฉยเจ้าและไม่ต้องประสงค์เจ้า?  เจ้าพูดว่า “ข้าพระองค์จะเปลี่ยนทิศทาง  ข้าแต่พระเจ้า โปรดอย่าทรงละทิ้งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากปราศจากพระองค์”  แต่แค่พูดเช่นนี้นั้นไร้ประโยชน์  พระเจ้าไม่ทรงต้องการการพูดจาปากหวานของเจ้า พระองค์จะทอดพระเนตรท่าทีของเจ้า การปฏิบัติของเจ้า เส้นทางที่เจ้าจะเดินหลังจากนั้น และการปฏิบัติของเจ้า  จงอย่าคิดว่าพระเจ้าทรงเป็นคนธรรมดาสามัญที่เจ้าสามารถเปลี่ยนพระหทัยได้ด้วยคำพูดไพเราะไม่กี่คำ พระเจ้าไม่ทรงเป็นเช่นนั้น พระองค์ทอดพระเนตรท่าทีของเจ้า  ทันทีที่เจ้าเปลี่ยนทิศทางแล้ว พระเจ้าทรงมองว่าเจ้าได้เปลี่ยนจากการเป็นคนดื้อแพ่งไปสู่การเป็นคนนบนอบ และสามารถยอมรับความจริง ไม่ขับเคี่ยวกับพระเจ้าอีกต่อไป  การดื้อแพ่งของเจ้าก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง เจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร และเจ้าก็รับรู้ถึงพระเจ้าของเจ้า หลังจากนี้ไม่นาน พระเจ้าจะทรงเริ่มดำเนินการพระราชกิจบางอย่างในเจ้า  บางคนพูดว่า “ฉันยังไม่รู้สึกเลยว่าพระเจ้าตั้งพระทัยจะทำอะไร”  จงอย่าพึ่งพาความรู้สึกของเจ้า  ความรู้สึกของเจ้าถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  พระเจ้าทรงพระราชกิจกับเจ้ามากเหลือเกิน—เจ้ารู้สึกถึงพระราชกิจใดบ้างหรือยัง?  เมื่อพระเจ้าพระทัยสลายเจ้ารู้สึกหรือไม่?  เจ้าไม่ได้รู้อะไรเลย—บางทีเจ้าอาจจะกำลังรู้สึกมีความสุขในที่อื่นด้วยซ้ำ  ดังนั้น จงอย่าตีความความรู้สึกของพระเจ้าบนพื้นฐานของความรู้สึกของเจ้าเอง และจงอย่าประเมินวัดความรู้สึกของพระเจ้าด้วยความรู้สึกของเจ้าเอง นั่นไร้ประโยชน์  หากพระเจ้าทรงเพิกเฉยเจ้า และเจ้าไม่รู้สึกอะไรเลย อีกทั้งไม่ได้รับความรู้แจ้งหรือการยอมรับ เจ้าควรทำอย่างไร?  จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า เจ้าต้องลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรลุล่วงต่อไป และเจ้ายังคงต้องพูดอย่างจริงใจดังที่เจ้าควรพูด  จงอย่ากลับไปโกหกเหมือนก่อนหน้านี้เพียงเพราะพระเจ้าทรงเพิกเฉยเจ้าหรือไม่ต้องประสงค์เจ้าอีกต่อไป โดยพูดในขณะนี้ดังที่เจ้าพูดย้อนกลับไปในตอนนั้น หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าย่อมจบเห่แล้วอย่างสิ้นเชิง  นี่เป็นการต่อต้านและขับเคี่ยวกับพระเจ้า  เจ้าจำเป็นต้องยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้า และนบนอบดังที่เจ้าควรนบนอบ  มีประโยชน์อะไรในเรื่องนี้?  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเจ้าเปลี่ยนทิศทางแล้ว พระหทัยของพระองค์ย่อมจะอ่อนลง และพระพิโรธกับพระโทสะของพระองค์ที่มีต่อเจ้าย่อมจะค่อยๆ ลดน้อยถอยลง  การลดน้อยถอยลงในพระพิโรธของพระเจ้ามิใช่สัญญาณที่ดีสำหรับเจ้าหรอกหรือ?  นั่นหมายความว่าจุดเปลี่ยนของเจ้ามาถึงแล้ว  เมื่อเจ้าหยุดใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความรู้สึก หยุดพยายามเฝ้าสังเกตการแสดงออกของพระเจ้า และหยุดสร้างข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อต่อพระเจ้าเพื่อทำให้ตำแหน่งของพระองค์เป็นที่รู้จัก แต่ใช้ชีวิตตามพระวจนะที่พระเจ้าตรัส หน้าที่และหลักธรรมแห่งการปฏิบัติซึ่งพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า และตามเส้นทางที่พระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าปฏิบัติและเดินแทน หากเจ้าใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรหรือพระองค์ใส่พระทัยเจ้าหรือไม่ เจ้ายังคงทำดังที่เจ้าควรทำต่อไป—เช่นนั้นพระเจ้าย่อมจะทรงเห็นชอบเจ้า  เหตุใดพระองค์จึงจะทรงเห็นชอบเจ้า?  เพราะไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงกระทำสิ่งใดกับเจ้า พระองค์ใส่พระทัยเจ้าหรือไม่ พระองค์ประทานพระคุณ พระพร ความกระจ่าง ความรู้แจ้ง ความใส่พระทัย หรือการคุ้มครองให้เจ้าหรือไม่ และไม่สำคัญว่าเจ้ารู้สึกถึงเรื่องนี้มากแค่ไหน เจ้ายังสามารถติดตามพระองค์ไปจนถึงปลายทางได้  เจ้ายึดมั่นในตำแหน่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรยึดมั่นโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง เจ้าคำนึงถึงว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นเป้าหมายและทิศทางของชีวิตของเจ้า รวมทั้งคำนึงถึงว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงและเป็นถ้อยคำแห่งปัญญาสูงสุดในชีวิตของเจ้า  อะไรคือแก่นแท้ของพฤติกรรมดังกล่าว?  คือการรับรู้ในหัวใจของเจ้าว่าพระผู้สร้างทรงเป็นชีวิตของเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า  ในหนทางนี้พระเจ้าย่อมมั่นพระทัย และเจ้าย่อมกลายเป็นคนธรรมดาสามัญที่ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า คนเช่นนี้มีภาวะพื้นฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  บนพื้นฐานนี้ ความเข้าใจและการเปลี่ยนแปลงที่ผู้คนสัมฤทธิ์ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้ยังคงห่างไกลจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว  ดังนั้นเจ้าต้องมีการรับรู้พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้าง และต้องมีท่าทีที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองด้วย  นอกจากนี้เจ้าจำเป็นต้องมีท่าทีที่สามารถยอมรับและนบนอบความจริง  หลังจากมีคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว เมื่อนั้นพระเจ้าจะทรงเริ่มพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนกับเจ้า  การได้รับการช่วยให้รอดเริ่มต้นจากจุดนี้  บางคนพูดว่า “หากพวกเรามีคุณสมบัติเหล่านี้ นั่นหมายความว่าอุปนิสัยของพวกเราเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือไม่?  เมื่อได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายแล้ว มีสิ่งอื่นใดอีกหรือไม่ที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาและทรงตีสอน?”  พระเจ้าทรงพิพากษาและทรงตีสอนสิ่งใด?  นั่นก็คือแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คน ซึ่งก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  หากคนเรามีเงื่อนไขสี่ประการนี้และสามารถตอบสนองเงื่อนไขเหล่านี้ได้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามแง่มุมใดของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างถ้วนทั่ว?  ไม่มีเลย  มีเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมเล็กน้อย แต่นั่นไม่มากพอ  ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันเป็นรากฐาน  กล่าวคือ ก่อนที่พระเจ้าจะทรงเริ่มพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์กับเจ้า การรู้จักตนเองของเจ้าจะเป็นเรื่องผิวเผินและอยู่ในระดับผิวเผินเสมอ  การรู้จักตนเองของเจ้าดังกล่าวจะไม่ตรงกับแก่นแท้อันเสื่อมทรามของเจ้า แต่อยู่ห่างไกลจากแก่นแท้ดังกล่าว ช่องว่างนั้นค่อนข้างมีนัยสำคัญ  ดังนั้นก่อนที่พระเจ้าจะทรงเริ่มพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ ไม่สำคัญว่าเจ้าคิดว่าตนดี ไร้เล่ห์เหลี่ยม ยึดปฏิบัติตามกฎเพียงใด หรือเจ้าคิดว่าตนมีท่าทีที่นบนอบอย่างไร เจ้าต้องรู้สิ่งหนึ่ง ซึ่งก็คือ อุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทางการ  หนทางแห่งการปฏิบัติของเจ้าและวิธีการเหล่านั้นของเจ้าบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมเท่านั้น และประกอบขึ้นเป็นความเป็นมนุษย์พื้นฐานซึ่งคนที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าควรที่จะมี  ความซื่อสัตย์ การนบนอบ ความสามารถที่จะเปลี่ยนทิศ ความจงรักภักดี—นี่คือสิ่งที่ควรมีอยู่ภายในความเป็นมนุษย์ของคนเรา  แน่นอนว่านี่ย่อมครอบคลุมมโนธรรมและเหตุผลด้วย เจ้าต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้ก่อนที่พระเจ้าจะทรงดำเนินการพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์  ทันทีที่ใครบางคนมีเงื่อนไขทั้งสี่ประการนี้—การปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ ความรู้สึกนึกคิดแบบนบนอบ การเป็นคนซื่อสัตย์โดยพื้นฐาน และหัวใจที่กลับใจ—พระเจ้าย่อมจะทรงเริ่มพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์กับคนคนนั้น

ตอนนี้พวกเจ้าควรมีแนวคิดบางอย่างในความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้าเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงดำเนินการพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนกับผู้คนเป็นพิเศษ  ตัวอย่างเช่น เกี่ยวกับความเลวร้าย ผู้คนมักจะทดสอบพระเจ้า ต้องการพินิจพิเคราะห์พระองค์โดยที่มิอาจอธิบายได้ และเก็บงำความสงสัย ความกังขา และคำถามเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าเอาไว้  พวกเขาคาดเดาว่าท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อผู้คนที่จริงแล้วเป็นอย่างไร ต้องการรู้เรื่องนี้อยู่เสมอ  นี่ไม่เลวร้ายหรอกหรือ?  ในขณะนี้ผู้คนรู้หรือไม่ว่าสภาวะหรือพฤติกรรมใดบ้างของพวกเขาแสดงอุปนิสัยแบบนี้?  ผู้คนไม่เข้าใจอย่างชัดเจน  ในระหว่างช่วงระยะเวลาของการพิพากษาและการตีสอนเจ้า พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าเปิดใจรวมทั้งตีแผ่ตัวเจ้าเองและสภาวะต่างๆ ของเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้รับความชัดเจนเกี่ยวกับสภาวะต่างๆ เหล่านี้ในหัวใจของเจ้า  แน่นอนว่าในยามที่ตีแผ่ตัวเอง เจ้าอาจไม่รู้สึกละอายแก่ใจมากนัก อย่างน้อยที่สุด นั่นจะให้เจ้าได้รู้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงพิพากษาและทรงตีสอนเจ้า  เจ้าจะเห็นว่าพระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้าและการเปิดโปงของพระองค์เป็นข้อเท็จจริง โน้มน้าวเจ้าอย่างสิ้นเชิงและทำให้เจ้าเห็นว่าพระวจนะดังกล่าวถูกต้องแม่นยำโดยไม่มีข้อยกเว้น  จากนั้นเจ้าจะเข้าใจอย่างชัดเจนว่าทั้งหมดนี้คือสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ภายในตัวเจ้าเอง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่พฤติกรรมหรือการเผยชั่วคราว แต่เป็นอุปนิสัยที่แท้จริงของเจ้า  ถัดไป ในระหว่างช่วงระยะเวลาที่พระเจ้ากำลังทรงดำเนินการพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์อยู่นั้น เจ้าจะถูกเผยอย่างต่อเนื่องและถูกตัดแต่งเนื่องจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เป็นเหตุให้เจ้าทนทุกข์และสู้ทนกับการถลุง ตัวอย่างเช่น การสงสัยในพระเจ้าเป็นการแสดงออกถึงความเลวร้าย  ผู้คนมักจะสงสัยในพระเจ้าแต่ไม่เคยตระหนักเลยว่านี่เป็นเรื่องที่เลวร้าย ประเด็นปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไข  เมื่อพระเจ้าพิพากษาและตีสอนเจ้า หากเจ้าสงสัยในพระเจ้า พระองค์จะทรงให้เจ้ารู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เลวร้าย  เจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันเลวร้าย โดยใช้อุปนิสัยอันเลวร้ายที่ว่านั้นปฏิบัติต่อพระเจ้าที่เจ้าเชื่อ แข่งขันกับพระเจ้าของเจ้า และตั้งข้อสงสัยกับพระเจ้าของเจ้า—แล้วหัวใจของเจ้าก็จะรู้สึกถึงความร้าวราน  เจ้าไม่ต้องการทำเช่นนี้ แต่เจ้าก็อดไม่ได้  เนื่องจากเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ พระเจ้าจะทรงจัดการเตรียมการสภาพการณ์ที่จะถลุงเจ้า ทรงทำให้เจ้าละทิ้งมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้า การคิดตามตรรกะของเจ้า รวมทั้งความคิดและแนวคิดของเจ้าโดยไม่ทันได้รู้ตัว ณ จุดนั้น เจ้าจะทนทุกข์ นี่เป็นการถลุงที่แท้จริง และเป็นเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ เจ้าจึงถูกถลุง  การถลุงเกิดขึ้นได้อย่างไร?  หากเจ้าคิดว่านั่นไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทราม เชื่อว่าเจ้าไม่มีการสำแดงหรือสภาวะดังกล่าว และไม่ใช่คนแบบนั้น และหากเจ้ารู้สึกว่าแง่มุมนี้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่ได้อยู่ภายในตัวเจ้า เช่นนั้นเมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาเจ้า เจ้าจะถูกถลุงหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อเจ้ายอมรับว่าเจ้าเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเจ้าก็รู้ว่าพระเจ้าทรงพิพากษาเจ้าแล้ว และเจ้าสามารถจับคู่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ากับการพิพากษาของพระองค์ แต่เจ้าก็ยังคงใช้เหตุผลและยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้น ไม่สามารถหลุดพ้นได้—การถลุงเกิดขึ้นอย่างนี้นี่เอง เจ้ารู้ว่าพระเจ้าไม่โปรดและทรงเกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า และเจ้าก็อยู่ห่างจากการทำได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้า เจ้ารู้อย่างชัดเจนว่าเจ้าคิดผิดและพระเจ้าทรงคิดถูก แต่เจ้าไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติ และเจ้าก็ไม่สามารถเดินตามหนทางของพระเจ้า—ความเจ็บปวดของเจ้าย่อมเกิดขึ้นในชั่วขณะนั้น  ตอนนี้พวกเจ้ามีความเจ็บปวดดังกล่าวหรือไม่?  (ไม่มี)  เช่นนั้นอย่างน้อยที่สุด พวกเจ้าก็ยังไม่เคยสู้ทนการถลุงในแง่ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เจ้าเพียงมีประสบการณ์กับความเจ็บปวดอยู่บ้างจากการถูกตำหนิและถูกบ่มวินัยเมื่อเจ้าทำความผิดพลาดหรือการกระทำผิด แต่แน่นอนที่สุดว่านี่ไม่ใช่การถลุง  สมมติว่าเจ้าสามารถเข้าสู่ชีวิตเช่นนั้น เริ่มเข้าสู่เส้นทางเช่นนั้น และเจ้าพูดว่า “การรักใคร่เอ็นดูหรือสถานะไม่ทำให้ฉันเป็นทุกข์อีกต่อไป แต่ฉันกำลังสู้ทนกับการถลุงอย่างแท้จริง  ฉันตระหนักว่าฉันเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้าจริงๆ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันหยั่งรากลึก และฉันไม่สามารถสลัดอุปนิสัยนี้ได้  ให้พระเจ้าทรงถลุงและทรงเผยฉัน”  เมื่อเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนั้น เจ้าย่อมอยู่บนเส้นทางสู่การได้รับการช่วยให้รอด  เมื่อพูดเช่นนี้ในตอนนี้ พวกเจ้าทุกคนอาจโหยหาและตั้งตารอคอยการมาถึงของวันนั้น แต่เราไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วมีพวกเจ้ากี่คนที่สามารถได้รับพรมากพอที่จะชื่นชมกับการปฏิบัติดังกล่าวได้  นี่เป็นสิ่งที่ดีอย่างมหันต์และเป็นพรอันมหาศาล  การได้รับการช่วยให้รอดไม่ใช่เรื่องง่าย  หากพระผู้สร้างทรงเห็นคุณค่าเจ้าอย่างแท้จริง ทรงเลือกเจ้า และทรงให้เจ้าเป็นผู้ติดตามของพระองค์ นั่นเป็นเพียงขั้นตอนแรกสู่การได้รับการช่วยให้รอดเท่านั้น  หากพระผู้สร้างทรงเห็นคุณค่าเจ้าและตรัสว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะได้รับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ นั่นเป็นเพียงขั้นตอนที่สองเท่านั้น  หากเจ้าสามารถผุดขึ้นมาจากการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ไปถึงสภาวะที่อุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลง และกลายเป็นเข้ากันได้กับพระผู้สร้าง ใช้เส้นทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว นั่นย่อมเป็นจุดจบสุดท้าย  ทีนี้ ในบรรดาพวกเจ้ามีใครบ้างที่จะได้รับพรมากพอที่จะไปถึงวันนั้น มีใครบ้างที่จะได้รับพรที่จะรับความรอดดังกล่าว?  จะสามารถแยกแยะการนี้จากรูปลักษณ์ของคนเราได้หรือไม่?  จากขีดความสามารถของคนเราล่ะ?  จากระดับการศึกษาของคนเราล่ะ?  (ไม่สามารถ)  จะสามารถพิจารณาการนี้ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าคนเราปฏิบัติหน้าที่ใดในตอนนี้ได้หรือไม่?  หรือด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าคนเราเกิดมาในครอบครัวใดล่ะ?  ปัจจัยเหล่านี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเผยการนี้ได้  บางคนพูดว่า “ครอบครัวของฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาสามชั่วอายุคนแล้ว ฉันเชื่อตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ ดังนั้นฉันย่อมจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน”  นี่เป็นการพูดคุยที่โง่เขลาและไม่รู้ความอย่างยิ่ง พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรสิ่งทั้งหลายดังกล่าว  พวกฟาริสีเชื่อในพระเจ้ามาหลายชั่วอายุคน แล้วตอนนี้พวกเขากลายเป็นอย่างไร?  พระเจ้าไม่ต้องประสงค์พวกเขาในฐานะผู้ติดตามของพระองค์ด้วยซ้ำ พวกเขาถูกกำจัดออกไปแล้วอย่างถ้วนทั่ว พวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าและไม่มีส่วนร่วมในพระราชกิจดังกล่าว

การที่คนเราสามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้หรือไม่นั้นสัมพันธ์โดยตรงกับประเด็นปัญหาสำคัญเรื่องการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  อย่างไรก็ตาม ผู้คนมีแววที่จะมีมโนคติอันหลงผิดมากมายเกี่ยวกับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  การสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าอยู่เนืองนิจเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง  เรื่องนี้จำเป็นมากที่สุด  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงพิพากษาและทรงตีสอนผู้คน?  มวลมนุษย์กลายเป็นเสื่อมทรามที่ระดับใด?  การพิพากษาและการตีสอนของมุ่งหมายจะแก้ไขประเด็นปัญหาใด และสิ่งเหล่านี้สัมฤทธิ์จุดจบใด?  อะไรคือมาตรฐานที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากผู้คน?  หากความจริงเหล่านี้ไม่เป็นที่เข้าใจ การที่คนเราจะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาจะเริ่มก่อมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าตลอดจนความเป็นกบฏและการขัดขืนโดยง่ายดาย และพวกเขาอาจถึงขั้นหมิ่นประมาทพระเจ้าและกลายเป็นปรปักษ์กับพระองค์  พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร?  ใครเล่าสามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้?  ใครเล่าสามารถเริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและการถูกทำให้เพียบพร้อมได้?  ใครเล่าจะถูกพระราชกิจของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้ายกำจัดออกไป?  หากความจริงเหล่านี้มีการสามัคคีธรรมอย่างชัดเจน มโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับการพิพากษาและการตีสอนจะไม่ได้รับการแก้ไขหรอกหรือ?  อย่างน้อยที่สุด มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขโดยพื้นฐาน—ประเด็นปัญหาใดๆ ที่ยังคงมีอยู่สามารถแก้ไขได้ผ่านทางประสบการณ์ของตนเองเท่านั้น ประเด็นปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขตามธรรมชาติเมื่อความจริงเป็นที่เข้าใจกันแล้ว  บางคนพูดว่า “บาปของพวกเราได้รับการให้อภัยแล้ว แล้วเหตุใดพวกเราจึงยังจำเป็นต้องมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน?”  การได้รับการให้อภัยบาปเป็นพระคุณของพระเจ้า การนี้ทำให้ผู้คนมีคุณสมบัติพอที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  อย่างไรก็ตาม การพิพากษาและการตีสอนมุ่งหมายที่จะช่วยผู้คนให้รอดจากบาปและจากอิทธิพลของซาตานอย่างถ้วนทั่ว การได้รับการให้อภัยบาปกับการพิพากษาและการตีสอนนั้นไม่ขัดแย้งกัน  ในยุคพระคุณ พระเจ้าทรงไถ่ผู้คนและทรงให้อภัยบาปของพวกเขา ในยุคราชอาณาจักร พระเจ้าทรงพิพากษาผู้คนและทรงชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาให้บริสุทธิ์  นี่คือสองช่วงระยะของพระราชกิจของพระเจ้า  บุคคลที่ไร้สาระน่าขันมากมายในศาสนามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการพิพากษาและการตีสอนอยู่เสมอ พวกเขายึดมั่นอย่างแข็งขืนในวลีที่ว่า “การให้เหตุผลผ่านทางความเชื่อทันทีที่มีการให้อภัยบาป” และปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  คนเราควรโต้แย้งกับผู้คนดังกล่าวหรือไม่?  หากพวกเจ้าเผชิญกับผู้คนดังกล่าว และหากพวกเขาสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง เจ้าย่อมสามารถสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาและอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังได้  หากพวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงอย่างสิ้นเชิง ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องลำบากใจกับพวกเขา แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้รับความรอดของพระเจ้า  พระเจ้าทรงช่วยบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับพระวจนะของพระองค์และความจริงให้รอดเท่านั้น สำหรับพวกที่ไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงได้อย่างสิ้นเชิง พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยให้พวกเขาให้รอดอย่างแน่นอนที่สุด  บรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนได้อย่างง่ายดาย ไม่สำคัญว่าพวกเขาอาจมีมากเพียงใด พวกเขาก็แค่จำเป็นต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นและแสวงหาความจริงมากขึ้น  คนที่สามารถยอมรับความจริงคือบรรดาผู้ที่มีความเป็นมนุษย์และบรรดาผู้ที่มีมโนธรรมและเหตุผล  ก่อนที่คนยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า พวกเขาจะเริ่มก่อมโนคติอันหลงผิดมากมายและความคิดที่ไม่ถูกต้องมากมาย ตลอดจนสภาวะที่เป็นลบบางอย่าง  สภาวะที่เป็นลบทั่วไปที่พบมากที่สุดคือ “ฉันสละตนเองเพื่อพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของฉัน ฉันควรได้รับการคุ้มครองและได้รับพรจากพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง  เหตุใดหายนะจึงบังเกิดขึ้นกับฉัน?”  นี่คือสภาวะทั่วไปที่พบมากที่สุด  ยังมีสภาวะอีกประเภทหนึ่งด้วย ซึ่งก็คือ  เมื่อได้เห็นผู้อื่นใช้ชีวิตอยู่ในภาวะที่ดีและมีความสำราญ ในขณะที่พบว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในความยากลำบากและความยากจน พวกเขาก็พร่ำบ่นเกี่ยวกับการที่พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม  อาจเป็นกระทั่งว่าพวกเขามองเห็นผู้อื่นสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และพวกเขากลายเป็นอิจฉาและคิดลบ  พวกเขายังคิดลบอีกด้วยหากครอบครัวของผู้อื่นกลมเกลียวกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน หากผู้อื่นมีขีดความสามารถสูงกว่าพวกเขา หากการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาน่าเหนื่อยล้า หรือหากบางสิ่งไม่เป็นไปตามที่พวกเขาปรารถนา  สรุปสั้นๆ ก็คือ ภายใต้สภาพการณ์ใดๆ ที่ไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา พวกเขาก็กลายเป็นคิดลบ  หากคนคนนี้มีขีดความสามารถอยู่บ้างและสามารถยอมรับความจริง พวกเขาควรได้รับความช่วยเหลือ  ตราบที่พวกเขาเข้าใจความจริง ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความคิดลบของพวกเขาย่อมสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย  หากพวกเขาไม่แสวงหาความจริงและยังคงคิดลบ โดยเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้เสมอ เช่นนั้นพระเจ้าย่อมจะทรงพักวางพวกเขาและไม่ใส่พระทัยพวกเขา ด้วยเหตุที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจที่ไร้ผล  ผู้คนดังกล่าวเอาแต่ใจ ไม่ยอมรับความจริง มีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่เสมอ และมีข้อเรียกร้องของตนเองเสมอ นี่เป็นการขาดพร่องในสำนึกอย่างยิ่งและทำให้พวกเขาค่อนข้างไม่ยอมใช้เหตุผล พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงแต่ไม่ยอมรับความจริง  นี่ไม่ค่อนข้างเหมือนการกระทำความผิดโดยรู้ตัวหรอกหรือ?  ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ใส่พระทัยพวกเขา  บางคนพูดว่า “ฉันมักจะคิดลบ และพระเจ้าก็ทรงเพิกเฉยฉัน  นี่หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงรักฉัน!”  คำกล่าวเช่นนี้ไร้เหตุผล  เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงรักใคร?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าความรักของพระเจ้าสำแดงออกมาอย่างไร?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าไม่ทรงรักใครและพระเจ้าทรงบ่มวินัยใคร?  ความรักของพระเจ้ามีหลักธรรม  ความรักของพระเจ้าไม่ใช่ดังเช่นที่มนุษย์คิดฝัน แต่กลับสู้ทนผู้คนและแสดงความกรุณาและพระคุณให้พวกเขาเห็นอยู่เป็นนิตย์ ช่วยทุกคนให้รอดไม่สำคัญว่าพวกเขาเป็นใคร ให้อภัยทุกคนไม่ว่าพวกเขากระทำบาปใด และนำพาทุกคนเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าในท้ายที่สุดโดยไม่มีข้อยกเว้น  นี่ไม่ใช่แค่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คนหรอกหรือ?  หากเป็นเช่นนั้นก็คงจะไม่มีความจำเป็นที่พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา  มีหลักธรรมเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงประพฤติพระองค์ต่อคนที่มักจะคิดลบ  เมื่อคนคิดลบอยู่เป็นนิตย์ ย่อมมีปัญหาในที่นี้  พระเจ้าตรัสมากมาย ทรงแสดงความจริงมากมาย และหากคนคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจความจริง สิ่งที่เป็นลบในตัวพวกเขาย่อมจะน้อยลงเรื่อยๆ  หากคนคิดลบอยู่เสมอ ย่อมเป็นที่แน่ใจได้ว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย และทันทีที่พวกเขาเผชิญกับบางสิ่งซึ่งขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิดของตนเอง พวกเขาย่อมจะกลายเป็นคิดลบ  เหตุใดพวกเขาจึงไม่แสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ยอมรับความจริง?  แน่นอนว่าเป็นเพราะพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้นไม่เคยแสวงหาความจริงเลย  แล้วพระเจ้าจะยังใส่พระทัยพวกเขาบ้างหรือไม่เมื่อพวกเขาเข้าหาความจริงในหนทางนี้?  ผู้คนดังกล่าวไม่ยอมใช้เหตุผลใช่ไหม?  ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อพวกที่ไม่ยอมใช้เหตุผลเป็นอย่างไร?  พระองค์ทรงปัดพวกเขาทิ้งและทรงเพิกเฉยพวกเขา  จงเชื่อในลักษณะใดก็ตามที่เจ้าปรารถนา การที่เจ้าเชื่อหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวเจ้า หากเจ้าเชื่อและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง เช่นนั้นเจ้าก็จะได้รับความจริง หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่ได้มาซึ่งความจริง  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเป็นธรรม  หากเจ้าไม่มีท่าทีแห่งการยอมรับความจริง หากเจ้าไม่มีท่าทีแห่งการนบนอบ หากเจ้าไม่เพียรพยายามที่จะทำให้ได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าอาจเชื่อไปตามที่เจ้าปรารถนา อีกทั้งหากเจ้าอยากจะจากไปเสียมากกว่า เจ้าก็อาจจะทำเช่นนั้นได้ทันที  หากเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำหน้าที่ของเจ้า พระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่บังคับให้เจ้าทำ เจ้าสามารถไปที่ใดก็ตามที่เจ้าชอบ  พระเจ้าไม่ทรงคะยั้นคะยอให้ผู้คนเช่นนั้นอยู่ต่อ  นั่นเองคือท่าทีของพระองค์  เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างชัดเจน แต่เจ้าก็ไม่เคยต้องการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เจ้าต้องการเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์อยู่เสมอ ไม่เต็มใจที่จะนบนอบพระเจ้า และเจ้าก็พึงปรารถนาจะอยู่ในระดับเดียวกับพระเจ้าอยู่เสมอ  นี่เป็นการขัดขืนพระเจ้าอย่างหน้าทน นี่เป็นบางสิ่งที่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นแค่คนธรรมดาสามัญ แต่เจ้ากลับปรารถนาการปฏิบัติอันพิเศษ มีสถานะ และเป็นใครบางคนอยู่เสมอ ต้องการดีกว่าผู้อื่นในทุกทาง รับพรอันยิ่งใหญ่ และล้ำเลิศกว่าทุกคน  นี่แสดงให้เห็นถึงการขาดพร่องเหตุผล  พระเจ้าทรงมีทัศนะถึงคนที่ขาดพร่องเหตุผลอย่างไร?  พระเจ้าทรงประเมินค่าพวกเขาอย่างไร?  ผู้คนดังกล่าวไม่ยอมใช้เหตุผล  บางคนพูดว่า “หากพระองค์ตรัสว่าข้าพระองค์ไม่ยอมใช้เหตุผล เช่นนั้นข้าพระองค์ก็จะไม่ลงแรงอีกต่อไป!”  ใครขอให้เจ้าลงแรงกระนั้นหรือ?  หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะทำการลงแรง พระเจ้าก็จะไม่ทรงบังคับเจ้า จงรีบจากไปเสีย—พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่เก็บเจ้าไว้  ต่อให้เจ้าเต็มใจจะลงแรง พระนิเวศของพระเจ้าก็มีข้อกำหนด  หากการลงแรงของเจ้าต่ำกว่ามาตรฐานและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านำความเดือดร้อนมาสู่พระนิเวศของพระเจ้ามากเกินไป ก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี พระนิเวศของพระเจ้าก็จะกำจัดเจ้าออกไปอย่างแน่นอน ต่อให้เจ้าปรารถนาจะลงแรง พระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่ต้องการเจ้า  หากผู้คนเต็มใจจะลงแรง สามารถยอมรับความจริง และยอมรับการถูกตัดแต่ง เช่นนั้นพวกเขาย่อมมีคุณสมบัติพอที่จะอยู่ต่อในพระนิเวศของพระเจ้า  หากพวกเขาสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และสามารถได้รับการช่วยให้รอดและได้รับการทำให้เพียบพร้อม นี่ย่อมเป็นพรอันยิ่งใหญ่ไพศาล  จงอย่าคิดว่าพระเจ้ากำลังทรงขอร้องเจ้าและพระองค์ทรงจำเป็นต้องพิพากษาและทรงตีสอนเจ้า พระเจ้าจะไม่ทรงขอร้องเจ้า  พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดและทรงทำให้ผู้คนเพียบพร้อมอย่างเลือกสรร โดยมีเป้าหมายพิเศษในความรู้สึกนึกคิดของพระองค์ และโดยมีหลักธรรม ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์การได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์—หลายคนถูกเรียก แต่มีไม่กี่คนที่ถูกเลือกสรร  เจ้าต้องทำให้ได้ตามมาตรฐานของพระเจ้าหลายประการ—การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างเพียงพอ การมีความรู้สึกนึกคิดแบบนบนอบ การเป็นคนซื่อสัตย์โดยพื้นฐาน และการมีหัวใจที่กลับใจ—และเมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะทรงเริ่มพิพากษาและตีสอนเจ้า ชำระเจ้าให้บริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเพียบพร้อมอย่างเป็นทางการ  บางคนพูดว่า “การมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนหมายถึงการทนทุกข์!”  ในขณะที่เป็นความจริงที่เจ้าจะทนทุกข์ เจ้าต้องมีคุณสมบัติพอสำหรับการทนทุกข์ดังกล่าว  หากเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอ เจ้าย่อมไม่เหมาะที่จะทนทุกข์ด้วยซ้ำ!  เจ้าคิดว่าพระราชกิจของพระเจ้าและการที่พระองค์ทรงทำให้ผู้คนเพียบพร้อมเรียบง่ายเช่นนั้นหรือ?  พวกที่ปฏิเสธที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอน หรือผู้ที่หลบหนีจากการพิพากษาและการตีสอน ในท้ายที่สุดแล้วย่อมจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน  ไม่ว่าใครบางคนเป็นใครหรือท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร หากท่าทีนี้ไม่ตรงกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนด พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงแทรกแซงและจะทรงให้พวกเขาไปตามทางของตนเอง  พระวจนะของพระเจ้าอยู่ตรงนั้นทั้งหมด หากเจ้าสามารถทำสิ่งที่พระองค์ตรัส เช่นนั้นก็จงทำสิ่งนั้น  หากเจ้าเต็มใจที่จะทำสิ่งนั้น เช่นนั้นก็จงทำสิ่งนั้น  หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะทำสิ่งนั้นหรือไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงบังคับเจ้า  เจ้าคิดว่าพระเจ้าจะทรงร้องขอเจ้าหรือไม่?  เจ้าคิดว่าพระเจ้าจะทรงบ่มวินัยเจ้าหรือไม่?  วางใจได้ พระเจ้าจะไม่ทรงทำเช่นนั้นอย่างแน่นอนที่สุด  พระเจ้าจะตรัสว่า “หากเจ้าไม่ชอบการยอมรับความจริง หากเจ้ารังเกียจการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร  เจ้าชื่นชมพระคุณมาบ้างแล้ว ดังนั้นจงรีบกลับไปยังโลก จงเร่งรีบผละจากไป เจ้าจะไม่ถูกบังคับ  เจ้ามีคุณสมบัติไม่พอที่จะชื่นชมพรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ และเจ้าไม่สามารถได้มาซึ่งพรเหล่านี้ต่อให้เจ้าปรารถนาจะได้มาก็ตาม”  การที่พระเจ้าไม่ทรงบังคับให้ผู้คนยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าหากผู้คนไม่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า พระเจ้าย่อมไม่ทรงบ่มวินัย สั่งสอน เตือนความจำ หรือเตือนสติ จะไม่มีทั้งความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  ภายนอกนั้น คนเหล่านี้ดูเหมือนใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างสุขสบาย  พวกเขาไม่ได้รับการบ่มวินัยจากการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน หรือจากการที่พวกเขาทำงานย่อหย่อนและในเชิงลบ หรือจากการที่พวกเขาตัดสินพระเจ้าอย่างเรื่อยๆ  แม้กระทั่งจากการที่เข้าใจพระเจ้าผิด พร่ำบ่นพระเจ้า และขัดขืนพระเจ้า พวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลยในหัวใจของตน จนกระทั่งพวกเขากระทำชั่วมหันต์เช่นการขโมยหรือการใช้ของถวายไปในทางที่ผิด แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ตระหนักรู้  คนที่กระทำชั่วมหันต์เช่นนั้นใช้ชีวิตเป็นเวลาหลายปีโดยไม่ได้ทบทวนตัวเอง ไม่มีการกลับใจแม้แต่น้อย ไม่มีความสังหรณ์ใจใดเลยว่าการลงโทษหรือจุดจบใดจะเกิดกับตน  คนธรรมดาสามัญควรมีความสังหรณ์ใจบางอย่าง แต่พวกเขาไม่มี เพราะแน่นอนที่สุดว่าพระเจ้าไม่ทรงกระทำสิ่งใดในตัวพวกเขา  การไม่ทำอะไรของพระเจ้าคือท่าทีประเภทหนึ่ง  การไม่ทำอะไรของพระเจ้าแสดงถึงสิ่งใด?  พวกเจ้าสามารถคิดฝันได้หรือไม่ว่าพระเจ้ากำลังทรงดำริสิ่งใดในพระหทัยของพระองค์?  พระองค์ทรงละทิ้งผู้คนดังกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงละทิ้งผู้คนดังกล่าว?  พระองค์ทรงดูหมิ่นผู้คนดังกล่าว พวกเขามีนัยสำคัญน้อยกว่าขนนก น้อยกว่ามด พวกเขาไม่คู่ควรกับการกล่าวถึง และจุดจบของพวกเขาก็ตัดสินไปตามนั้น  อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อคนเช่นนั้นกล่าวว่า “ข้าพระองค์ต้องการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า ข้าพระองค์ยอมรับพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” พระเจ้าจะต้องประสงค์พวกเขาหรือไม่?  พระเจ้าจะไม่ต้องประสงค์พวกเขา  บางคนพูดว่า “ข้าพระองค์เสียใจกับเรื่องนั้น ตอนนี้ข้าพระองค์กำลังหันกลับมา”  นั่นสายเกินไปสำหรับพวกเขาหรือไม่?  สายเกินไป  เพราะธรรมชาติของพวกเขาคือธรรมชาติของมารและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนดังกล่าวให้รอด  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเสียใจเพียงใด ไม่สำคัญว่าพวกเขาคร่ำครวญอย่างน่าสมเพชเพียงใด พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถกลับใจอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด  ดังนั้นไม่ว่าเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ตราบที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงแท้ เจ้าควรเข้าใจกฎการปกครองแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  แน่นอนที่สุดว่าเจ้าไม่สามารถมุ่งหมายในของถวายของพระเจ้า แม้แต่การมีความคิดเรื่องขโมยหรือใช้ของถวายเหล่านั้นก็ไม่อาจเป็นที่ยอมรับ  ทันทีที่เจ้าดำเนินการดังกล่าว เจ้าย่อมจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ ส่งผลต่อจุดจบของเจ้า  ทันทีที่กำหนดพิจารณาจุดจบของเจ้าแล้ว การคิดย้อนกลับไปยังสิ่งที่พระเจ้าตรัสหรือคิดย้อนกลับไปว่าข้อกำหนดของพระเจ้าเป็นอย่างไร รวมทั้งการรู้สึกเสียใจจะไร้ประโยชน์—นั่นย่อมจะสายเกินไป  ในขณะนี้พระราชกิจของพระเจ้ายังไม่ได้สรุปปิดตัว แต่จุดจบของบางคนได้ถูกกำหนดพิจารณาไว้แล้ว  พระเจ้าไม่ได้ทรงกล่าวประกาศเรื่องนี้ และพระองค์ก็ไม่ได้ตรัสบอกใครเลย  คนเหล่านี้ยังคงคิดว่าพวกเขาทำได้ดีพออยู่ ยังคงปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์  แม้กระทั่งเมื่อความตายมาเคาะประตูเรียก พวกเขาก็ไม่ตระหนักรู้โดยสิ้นเชิง พวกเขาเป็นฝูงคนที่เลอะเลือนและเป็นคนไม่เอาไหน

เราจะไปต่อกับอีกสองกรณี  กรณีก่อนหน้าเสวนาถึงชายคนหนึ่ง ในขณะที่ตัวละครเอกสองตัวในกรณีเหล่านี้เป็นผู้นำสตรีสองคน  เมื่อได้ยินชื่อนี้ คนเราย่อมสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าสถานะของพวกเขาไม่ต่ำต้อย แต่กระนั้นก็ตาม คนที่มีสถานะดังกล่าวก็สามารถทำชั่วมหันต์ได้  สตรีหนึ่งในสองคนนี้มีข้อตกลงกับผู้ไม่มีความเชื่อคนหนึ่งซึ่งธุรกิจใกล้เข้าสู่ภาวะล้มละลายเนื่องจากเงินทุนไม่เพียงพอ  เนื่องจากสตรีผู้นี้ทำหน้าที่เป็นผู้นำในคริสตจักรและควบคุมทรัพยากรการเงิน ผู้ไม่มีความเชื่อคนดังกล่าวจึงเอ่ยปากขอยืมเงินจากเธอ  โดยปราศจากการแสวงหาจากเบื้องบน เธอตกลงโดยฝ่ายเดียวที่จะให้ยืมเงินหลายแสนหยวน  เงินที่เป็นของผู้คนนั้นสามารถให้ยืมกันได้ แต่เงินของพระเจ้าเป็นของถวาย และใครก็ตามที่แตะต้องของถวายของพระเจ้าต้องเผชิญกับการลงโทษ  เธอแอบเบียดบังของถวาย และจำนวนเงินก้อนนี้ก็ไม่ใช่ไร้นัยสำคัญ  หลังจากการเบียดบังครั้งนี้ คริสตจักรก็ดำเนินการกับเธอ โดยกำหนดให้เธอทำงานเพื่อชดใช้คืนเงินดังกล่าว  นี่คือวิธีที่คริสตจักรรับมือกับเรื่องนี้ นี่เป็นวิธีการของมนุษย์  เธอสามารถชดใช้เงินคืนและภายนอกนั้นก็ดูเหมือนมีท่าทีที่ดี  เรื่องนี้มีนัยสำคัญว่าเธอกลับตัวแล้วหรือไม่?  (ไม่)  การกระทำของเธอค่อนข้างอาจหาญ เหมือนคนโง่ที่ไม่รู้จักยั้งคิด เป็นการบ่งชี้ถึงอุปนิสัยของเธอและท่าทีของเธอที่มีต่อพระเจ้า  คนเช่นนี้สามารถเข้าใจความจริงได้อย่างถ่องแท้หรือไม่?  เธอสามารถที่จะกระทำการด้วยเหตุผลได้หรือไม่?  เธออาจหาญที่จะแตะต้องสร้างความเสียหายต่อของถวายของพระเจ้า โดยปฏิบัติต่อของถวายของพระเจ้าดังเช่นเงินทองของเธอเอง  โดยปราศจากการให้คำแนะนำของพระเจ้าเกี่ยวกับวิธีจัดสรรเงินทุน หรือการระบุว่าไม่ควรแตะต้องเงินทุนดังกล่าว เธอไม่มีทั้งหลักธรรมและขอบเขตในหัวใจของเธอ  เธอเชื่อว่าในฐานะผู้นำ เธอมีสิทธิที่จะควบคุมเงินก้อนนี้ และอาจหาญที่จะเบียดบังเงินก้อนนี้  หลังจากการเบียดบังเงินก้อนนี้ พระเจ้าทรงรับมือเรื่องนี้อย่างไร?  พระเจ้าไม่ได้ทรงต้องกระดิกนิ้วด้วยซ้ำ คริสตจักรลงโทษเธอเอง  เงินหลายแสนหยวนแค่นี้กำหนดจุดจบของเธอ เธอถูกตัดออกโดยพระเจ้าและถูกปัดทิ้งไปตลอดกาล  เหตุใดพระเจ้าจึงจะทรงกระทำเช่นนี้?  นี่แสดงถึงพระพิโรธของพระเจ้า แน่นอนว่านี่ยังเป็นแง่มุมหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้าอีกด้วย  พระเจ้าไม่ทรงทนยอมรับการก้าวล่วงใดๆ หากเจ้าก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า เจ้าก็ล้ำเส้นแล้ว  เรื่องนี้ระบุเงื่อนไขไว้ในกฎการปกครองหรือไม่?  (ระบุเงื่อนไขไว้)  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจน กล่าวคือ การเบียดบังของถวายเป็นการก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  เมื่อสตรีผู้นี้เบียดบังของถวาย พระเจ้าทรงแทรกแซงหรือไม่?  พระเจ้าไม่ได้ทรงแทรกแซง ไม่ได้ทรงหยุดยั้งเธอ และไม่ได้ตรัสอะไรเลย และพระองค์ก็ไม่ได้ทรงยับยั้ง ไม่ได้ทรงติติง และไม่ได้ทรงเตือนความจำเธอเมื่อเธอกำลังลงมือกระทำการ—เงินก็ถูกให้ยืมไปเช่นนั้นเอง  เธอรู้สึกค่อนข้างพอใจกับตัวเองก่อนที่ประเด็นปัญหานี้จะถูกเปิดโปง และคริสตจักรก็รับมือกับเธอ  เธอเริ่มคร่ำครวญและร้องไห้ฟูมฟาย จากนั้นก็เริ่มทำงานชดใช้เงินคืนทันที  ที่จริงแล้วนี่ใช่เงินที่พระเจ้าใส่พระทัยหรือไม่?  ไม่ใช่ สิ่งที่พระองค์ใส่พระทัยไม่ใช่เงินทอง แต่เป็นท่าทีที่สตรีผู้นี้เผยต่อพระองค์ในเรื่องนี้  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าใส่พระทัย  การก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าเพียงเพราะเงินทองเท่านั้น—นี่ไม่คู่ควรกับความตายหรอกหรือ?  นี่เรียกว่าการได้รับสิ่งที่เจ้าคู่ควร!  หากเจ้าคิดลบหรืออ่อนแอเล็กน้อย หรือบางครั้งก็มีการปลอมปนอยู่บ้างในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หรือบางครั้งก็ยืนในตำแหน่งของสถานะเฉพาะและปล่อยใจไปกับประโยชน์ของสถานะดังกล่าว พระเจ้าย่อมทอดพระเนตรว่าเรื่องนี้เป็นการเผยความเสื่อมทราม  แต่เมื่อเจ้าแตะต้องสร้างความเสียหายต่อของถวายของพระเจ้าโดยไม่ได้ปรึกษาพระองค์ หรือใช้ของถวายของพระเจ้าไปในทางที่ผิดโดยไม่ได้มาซึ่งการอนุญาตจากพระองค์ นั่นเป็นปัญหาแบบใด?  นี่เป็นการขโมยของถวาย  เรื่องนี้บ่งชี้อุปนิสัยแบบใด?  เป็นอุปนิสัยของหัวหน้าทูตสวรรค์ อุปนิสัยของซาตาน  การขโมยของถวายของพระเจ้าไม่ใช่การทรยศหรอกหรือ?  (ใช่)  ซาตานทำสิ่งใดที่พระเจ้าทรงมองว่าเป็นการทรยศ?  (ซาตานเสาะแสวงที่จะเป็นพระเจ้า)  ในเรื่องของสตรีผู้ที่พวกเรากำลังเสวนาอยู่นั้น เธอต้องการควบคุมของถวายของพระเจ้า  เธอคิดว่าเธอเป็นใคร?  (เธอคิดว่าเธอเป็นพระเจ้า)  ถูกต้อง เธอมองตัวเองเป็นพระเจ้า และเธอทำพลาดไปตรงนั้นนั่นเอง  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราจึงกล่าวว่าเธอก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ธรรมชาติของเรื่องนี้ร้ายแรงหรือไม่?  (ร้ายแรง)  การแสดงลักษณะของพวกเราถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  (ถูกต้องแม่นยำ)  เธอไม่มีจุดจบอีกต่อไป  เธอไม่มีจุดจบ—ตอนนี้เรื่องนี้ดูเหมือนเป็นอย่างนั้น  ในแง่ของคำนิยามของพระเจ้า ในแง่ที่ว่าเธอจะมีประสบการณ์กับการลงโทษแบบใดหลังจากนั้น นี่เป็นเรื่องสำหรับอนาคต  นี่เป็นเรื่องราวของสตรีรายแรก  เธออาจหาญอย่างแท้จริง สามารถหลอกบรรดาผู้ที่อยู่เหนือและใต้เธอ กระทำการอย่างไม่รู้จักยั้งคิดโดยไม่พิจารณาผลที่ตามมา ทั้งโง่เขลาและยโส  เธอมีการนบนอบหรือความพึงปรารถนาที่จะแสวงหาสักเล็กน้อยหรือไม่?  (ไม่)  เธอต้องการควบคุมของถวายของพระเจ้า สิ่งทรงครอง โดยไม่ได้รับความยินยอมจากใครๆ และโดยไม่ได้เสวนาหรือสามัคคีธรรมเรื่องนี้กับใครเลย  เธอเอาตัวเองเข้าไปจัดการกับเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว และนี่ก็คือผลที่ตามมา  บางคนอาจพูดว่า “การแค่แตะต้องของถวายของพระเจ้านั้นหมายความว่าคนเราก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระองค์หรือไม่?”  เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  ไม่  คริสตจักรมีหลักธรรมสำหรับการจัดสรรของถวายของพระเจ้า และหากเจ้ากระทำการตามหลักธรรมเหล่านั้น พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงแทรกแซง  หากเจ้ามีหลักธรรมอยู่แล้วและเจ้าไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านั้น แต่กลับยืนกรานที่จะกระทำการอย่างหุนหันพลันแล่นและทำสิ่งทั้งหลายตามหนทางของตนเอง โดยแอบจัดการกับเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง เช่นนั้นเจ้าย่อมกำลังก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  นั่นเป็นเรื่องราวของสตรีรายแรก

เรื่องราวของผู้นำสตรีคนที่สองก็เกี่ยวข้องกับของถวายเช่นกัน  เรื่องราวมีดังนี้ คริสตจักรซื้อบ้านหลังหนึ่งเพื่อใช้เป็นสถานที่นมัสการ ซึ่งพึงต้องมีการบูรณะซ่อมแซม  การบูรณะซ่อมแซมเกี่ยวข้องกับการออกแบบและการซื้อวัสดุ ซึ่งต้องใช้เงิน  เนื่องจากนี่เป็นงานของพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระเจ้า เงินที่ใช้ไปย่อมมาจากพระนิเวศของพระเจ้าเป็นธรรมดา และเป็นของถวายของพระเจ้า  เงินก้อนนี้ใช้อย่างมีเหตุผล ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และถูกควรตามหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้า  ในเวลานั้นสตรีผู้นี้เป็นผู้นำและรับผิดชอบโครงการนี้  เธอเลือกผู้เชื่อรายใหม่ซึ่งไม่คุ้นเคยกับใครเลยให้มากำกับดูแลโครงการนี้  ชายคนนี้เป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ  ต่อมาภายหลังเธอก็สมรู้ร่วมคิดกับผู้ไม่มีความเชื่อรายนี้ ซื้อของชั้นดีชั้นสูงมากมายและสูญเงินไปมาก  นี่ไม่ใช่การฉ้อโกงเงินจากพระนิเวศของพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่เป็นการคดโกงและการผลาญของถวายของพระเจ้า!  ผู้ไม่มีความเชื่อรายนี้ทำเงินจากเรื่องนี้ค่อนข้างมากทีเดียว  เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับสตรีผู้นี้หรือไม่?  (เกี่ยวข้อง)  เธออำนวยความสะดวกในเรื่องนี้ เปิดโอกาสให้ผู้ไม่มีความเชื่อรายนี้ทำสิ่งทั้งหลายดังกล่าว  เมื่อใครบางคนค้นพบและต้องการรายงานประเด็นปัญหานี้ เธอก็ขัดขวางและข่มขู่พวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย  เธอทุจริตผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเหล่านี้ได้รับความเสียหายและเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียของถวายมากมายเช่นกัน  ในระหว่างช่วงระยะเวลานี้ พระเจ้าทรงติติงเธอหรือไม่?  (ไม่)  เธอไม่ได้ตระหนักรู้  พวกเราบอกได้อย่างไรว่าเธอไม่ได้ตระหนักรู้?  มีข้อเท็จจริงบางอย่างที่พิสูจน์เรื่องนี้ เธออาจจะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงสิ่งผู้ไม่มีความเชื่อกำลังวางแผนที่จะทำมาตั้งแต่แรกแต่ไม่ได้หยุดยั้งเขา แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับปล่อยตามใจและเห็นชอบกับเรื่องนี้ไปโดยปริยาย ทุ่มเทเงินลงไปอย่างต่อเนื่อง  ผลก็คือ ต้นทุนเพิ่มทวีคูณ และงานขั้นสุดท้ายก็ต่ำกว่ามาตรฐาน  เธอมองเห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจนแต่ก็เอาแต่ทุ่มเงินเพิ่มลงไปอีก  ครั้งนี้พระเจ้าทรงกระทำการหรือไม่?  พระเจ้าไม่ได้ทรงกระทำการ  มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คนเกี่ยวกับเรื่องนี้คืออะไร?  ผู้คนคิดว่าพระเจ้าควรทรงรับผิดชอบต่อเงินทองของพระองค์เองและควรได้ทรงหยุดเธอไว้  นี่คือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ พระเจ้าไม่ได้ทรงกระทำการในหนทางนี้  หลังจากการบูรณะซ่อมแซมเสร็จสิ้นลง และเมื่อมีการตรวจสอบ พระนิเวศของพระเจ้าก็ค้นพบว่าของถวายส่วนใหญ่สูญหายไป  ควรทำสิ่งใดกับสตรีผู้นี้?  พระเจ้าไม่ได้ทรงกระทำสิ่งใดเลย คริสตจักรรับมือกับเธอ และสตรีอีกรายหนึ่งก็เริ่มชดใช้เงินคืน  ลักษณะของการกระทำของเธอเป็นอย่างไร?  ในฐานะผู้นำ เธอไม่เพียงแค่ไม่รับผิดชอบและล้มเหลวที่จะตรวจสอบค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับของถวายเท่านั้น แต่ยังสมรู้ร่วมคิดกับบุคคลภายนอกหลอกลวงพระนิเวศของพระเจ้าและยักยอกของถวายของพระเจ้า  กรณีนี้รุนแรงมากกว่ากรณีก่อนหน้าด้วยซ้ำ  แล้วจุดจบของคนเช่นนี้ในสายพระเนตรของพระเจ้าเป็นอย่างไร?  การทำลายล้าง การที่เธอจะถูกลงโทษหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำหรับอนาคต  คนเช่นนี้วันหนึ่งอาจถูกพระเจ้าทรงจัดวางไว้ในที่อาศัยของพวกวิญญาณชั่วและปีศาจโสโครก โดยร่างทางกายภาพของเธอจะถูกทำลายในชีวิตนี้ และดวงจิตของเธอจะถูกพวกปีศาจโสโครกและวิญญาณชั่วทำให้มัวหมองและทำให้เสื่อมเสีย ในเรื่องของชีวิตหน้า นั่นไกลเกินกว่าจะพูดถึง  นี่คือจุดจบ  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงรับมือกับคนเช่นนี้ในหนทางนี้?  เพราะเธอก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  เมื่อได้ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะยังสามารถรักเธอได้หรือไม่?  ไม่มีความรักเหลืออยู่ ไม่มีทั้งความกรุณาและความเมตตา—มีเพียงพระพิโรธ  เมื่อการกระทำของเธอถูกกล่าวถึง พระเจ้าทรงเกลียดชังและทรงรังเกียจเธอ  เหตุใดพระองค์จึงทรงรังเกียจถึงระดับนี้?  เป็นเพราะเธอกระทำบาปโดยรู้อยู่แก่ใจทั้งๆ ที่ตระหนักรู้ถึงหนทางที่แท้จริง  ไม่เพียงแค่ไม่มีเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับเธออีกเลยเท่านั้น แต่เธอยังต้องเผชิญกับการลงโทษจากพระพิโรธของพระเจ้าอีกด้วย  ไม่มีจุดจบ บั้นปลาย หรือโอกาสในความรอด—เธอไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย  นี่เองคือความหมายของการก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคนเราก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า

จงบอกเราที การก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีโอกาสเหมาะมากขนาดนั้น และไม่มีสถานการณ์มากขนาดนั้นที่เรื่องนี้จะสามารถเกิดขึ้นได้  โอกาสเหมาะนั้นมีน้อย ความเป็นไปได้ก็ริบหรี่ แต่ด้วยโอกาสเหมาะที่หายากเช่นนั้นและความเป็นไปได้ที่ต่ำเช่นนั้น เหตุใดผู้คนยังคงสามารถก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้สำเร็จ?  สตรีสองคนนี้ต่างก็เชื่อในพระเจ้ามานานกว่ายี่สิบปี รับฟังคำเทศนานานหลายปี และทำหน้าที่เป็นผู้นำและคนทำงานมายาวนาน  เหตุใดพวกเธอจึงสามารถทำความผิดพลาดร้ายแรงเช่นนี้ได้?  จากมุมมองของความเป็นมนุษย์ พวกเธอขาดพร่องความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และความมีเหตุผล จากมุมมองของความเชื่อในพระเจ้าของพวกเธอ พวกเธอไม่ได้มีความเชื่อที่จริงแท้ พวกเธอไม่ได้มีพระเจ้าในหัวใจ  การไร้ซึ่งพระเจ้านี้ในหัวใจของพวกเธอสำแดงออกมาอย่างไร?  ในการกระทำของพวกเธอ ไม่มีสำนึกถึงความยำเกรง ไม่มีบรรทัดฐาน พวกเธอไม่คำนึงถึงว่า “อะไรจะเกิดขึ้นกับฉันหลังจากฉันทำเช่นนี้?  จะมีผลสะท้อนกลับหรือไม่?  ผู้คนอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากพระเจ้าทรงรู้?  ฉันต้องมีความรับผิดชอบในเรื่องนี้ เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจุดจบของฉัน”  พวกเธอไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้—นั่นไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ?  หากพวกเธอไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้ พวกเธอมีมโนธรรมหรือเหตุผลหรือไม่?  (ไม่)  ด้วยเหตุนี้พวกเธอจึงสามารถก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า สามารถทำความผิดพลาดมหันต์เช่นนั้นได้  หากคนเรามีการคิดตามปกติแบบมนุษย์ พวกเขาย่อมจะมีความรู้สึกนึกคิดนี้ เมื่อใครบางคนขอยืมเงิน พวกเขาคงจะพิจารณาว่า “ยืมเงินเหรอ?  นี่เป็นเงินของพระเจ้า  หากฉันให้ยืมเงินของพระเจ้าเพียงเพื่อจะให้ได้ความเคารพนับถือชั่วขณะหนึ่ง แล้วถ้าพวกเขาชำระเงินนั้นคืนไม่ได้ล่ะ?  ฉันจะชดใช้เงินก้อนนี้คืนได้อย่างไร?  ต่อให้ฉันชดใช้คืนได้ก็ตาม การให้ยืมเงินก้อนนี้เป็นพฤติกรรมแบบใดกัน?  เงินของพระเจ้าสามารถแตะต้องอย่างสบายๆ ได้กระนั้นหรือ?  เงินของพระเจ้าไม่สามารถแตะต้องอย่างสบายๆ ได้ หากฉันแตะต้องเงินของพระเจ้า ธรรมชาติของการกระทำนี้จะเป็นอย่างไร?”  พวกเขาคงจะพิจารณาสิ่งเหล่านี้ และคงจะไม่ให้ยืมเงินไปตามอารมณ์ชั่ววูบเพียงเพราะใครบางคนเอ่ยขอ  หากพวกเขาไม่พิจารณาเรื่องนี้ หรือต่อให้พวกเขาพิจารณาแต่ยังไม่ได้พิจารณาผลที่ตามมา นั่นบอกถึงทัศนะของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าอย่างไร?  พวกเขาเชื่ออย่างไร?  พวกเขาไม่รับรู้การทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าเป็นพื้นฐาน ซึ่งเป็นเรื่องน่าพรั่นพรึง!  เนื่องจากพวกเขาไม่รับรู้การทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า พวกเขาไม่รับรู้ว่าพระเจ้าจะทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของพวกเขา และไม่รับรู้ว่าพระเจ้าจะทรงมอบการลงทัณฑ์ให้พวกเขา พวกเขาไม่เกรงกลัวเรื่องนี้ พวกเขาไม่เชื่อในการลงทัณฑ์  โดยทั่วไปแล้ว หากใครบางคนมีการเชื่อร้อยละห้าสิบถึงหกสิบ พวกเขาย่อมจะกระทำการอย่างระมัดระวังและแสดงให้เห็นการยับยั้งชั่งใจ  หากพวกเขามีการเชื่อร้อยละสามสิบ พวกเขาก็อาจจะยั้งใจอยู่บ้างเช่นกัน แต่ทันทีที่มีโอกาสพวกเขาย่อมจะยังคงลงมือทำจนสำเร็จ หรือหากโอกาสมีน้อยหรือยังไม่สุกงอม พวกเขาย่อมจะสามารถยับยั้งชั่งใจและจำกัดตัวเองได้เล็กน้อย  อย่างไรก็ตาม พวกที่ขาดพร่ององค์ประกอบใดๆ ของการเชื่อย่อมจะอาจหาญที่จะทำสิ่งที่แย่ทุกจำพวกนี้ กระทำการอย่างไม่ยั้งคิดโดยไม่พิจารณาผลที่ตามมา นี่ก็เหมือนสัตว์เดรัจฉาน  ภายนอกนั้นพวกเขาดูเหมือนมนุษย์ แต่สิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควรทำ อย่างน้อยที่สุดก็อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาคือสัตว์เดรัจฉาน และที่ร้ายแรงกว่าก็คือ พวกเขาอาจจะเป็นพวกปีศาจโสโครกและวิญญาณชั่วที่มาขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้า เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการบ่อนทำลายพระราชกิจของพระเจ้า  การที่พระเจ้าทรงจำแนกชั้นคนเช่นนี้ถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  (ถูกต้องแม่นยำ)  ถูกต้องแม่นยำอย่างที่สุด ไม่มีสิ่งใดผิดในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นเที่ยงตรง  ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำของพระเจ้า ความมุ่งมั่นของพระเจ้าต่อจุดจบของผู้คนไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการปฏิบัติในชั่วขณะหนึ่ง  สตรีสองรายนี้เชื่อในพระเจ้าเป็นเวลายี่สิบปี แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างกลับลงเอย ณ จุดนี้ ปิดกั้นจุดจบของตนเองในลักษณะนี้  เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน  จากมุมมองของการไล่ตามเสาะหาในความเชื่อของพวกเขาและเส้นทางที่พวกเขาเลือก พวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นเป็นแง่มุมหนึ่ง  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือพวกเขาไม่มีความสนใจในความจริงแม้แต่น้อย  หากพวกเขาได้มีความสนใจแม้เพียงน้อยนิด ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาคงจะได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง  แล้วการเปลี่ยนแปลงในความเป็นมนุษย์ดังกล่าวจะนำพาสิ่งใดมาสู่พวกเขา?  นั่นคงจะหมายความว่าพวกเขาคงจะกระทำการด้วยความยับยั้งชั่งใจและถือปฏิบัติตามขอบเขต มีมาตรฐานสำหรับการประเมินค่า และวัดสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุผลและกระบวนการคิดของมนุษย์ที่ปกติ  หากพวกเขาเห็นว่าการทำบางสิ่งไม่ถูกต้องเหมาะสม พวกเขาคงจะละเว้น  อย่างไรก็ตาม สตรีสองรายนี้ไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาขาดพร่องแม้กระทั่งขอบเขตพื้นฐานและวิธีคิดนี้  พวกเขากล้าดีที่จะทำอะไรก็ตาม และเป็นธรรมชาติที่แท้จริงนี้นั่นเองที่นำพาพวกเขาไปสู่ความย่อยยับของพวกเขา และแม้กระทั่งความตายของพวกเขา  นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมการเดินทางไกลในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาจึงจบลงในลักษณะเช่นนี้

หลังจากได้ยินสองกรณีนี้ พวกเจ้ามีความคิดอย่างไร?  บางคนพูดว่า “ฉันได้รับมากมายในวันนี้  ฉันได้มาซึ่งความจริงสูงสุด ซึ่งก็คือจงอย่าแตะต้องสิ่งของของพระเจ้า จงอย่าแม้แต่จะบันเทิงไปกับแนวคิดนี้ จงอย่าไปแตะต้องสร้างความเสียหายต่อสิ่งของของพระเจ้า  หากคุณแตะต้องสร้างความเสียหายต่อสิ่งของของพระเจ้า จะไม่มีผลลัพธ์ที่ดีจากการทำเช่นนั้น”  เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือไม่?  นี่ใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การที่เจ้าแตะต้องสร้างความเสียหายต่อสิ่งของของพระเจ้าหรือไม่ แต่สิ่งที่สำคัญคือ ท่าทีของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าเป็นอย่างไรในหัวใจของเจ้า  หากเจ้ายำเกรงพระเจ้าและมีสำนึกหวาดหวั่นครั่นคร้ามพระองค์ เชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระองค์อย่างแท้จริง และคำนึงถึงจุดจบของตัวเองอย่างจริงแท้ ย่อมมีสิ่งทั้งหลายที่เจ้าจะไม่ทำ เจ้าจะไม่คิดถึงสิ่งเหล่านั้นด้วยซ้ำ  ดังนั้นเจ้าจะไม่ตกอยู่ภายใต้การทดลองแบบนี้ นั่นจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับเจ้า  ความหวาดกลัวมีประโยชน์หรือไม่?  ความหวาดกลัวไร้ประโยชน์  พระเจ้าทรงกระทำสิ่งใดขณะที่สตรีสองรายนี้กำลังทำสิ่งเหล่านี้อยู่?  พระเจ้าทรงให้สิ่งทั้งหลายดำเนินไปตามครรลองของพวกมัน โดยทรงวางมารสองตัวนี้—อมนุษย์สองตัวนี้ซึ่งมีหัวใจที่ไม่หวาดกลัวต่อพระเจ้าแม้แต่น้อย—ไว้ในการทดลองของซาตาน เพื่อที่มารสองตัวนี้จะได้ถูกเผยออกมาและถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง  นี่มิใช่ท่าทีของพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าที่ไม่ควรถูกมองข้าม!  ผู้คนใช้วิถีทางของมนุษย์ให้เป็นประโยชน์ในการรับมือและลงโทษผู้อื่น โดยตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว  แต่พระเจ้าไม่ทรงกระทำเช่นนั้น พระเจ้าทรงมีบรรทัดฐาน หลักธรรม รวมทั้งหนทางของพระองค์เอง  เมื่อพระเจ้าทรงมอบการลงทัณฑ์ให้ใครบางคน พระองค์ทรงทำเช่นนั้นเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลย พวกเขาไม่ตระหนักรู้ แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ประเด็นปัญหานี้ได้รับการแก้ไขไปแล้ว  หลายปีถัดมา ความทุกข์ในเวลาต่อมาก็จะปรากฏออกมาทีละนิด  หลังจากพระเจ้าทรงปลดเปลื้องพระคุณ พระพร ความรู้แจ้ง ความกระจ่างของพระองค์ และการปฏิบัติทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสามารถประทานให้มนุษย์ปกติไปจากคนคนนั้น พวกเขาก็ถูกทำให้หมดความเป็นมนุษย์ไปอย่างถ้วนทั่วแล้ว ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างอีกต่อไป แต่เป็นสัตว์เดรัจฉาน พวกเขาเป็นสิ่งอื่นโดยสิ้นเชิง  พระเจ้าตรัสว่า “พระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน”  คนเหล่านี้ดีหรือชั่ว?  พวกเขาทั้งไม่ดีและไม่ชั่ว  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ในบันทึกของพระองค์ คนแบบนี้ถูกเอาออกไปแล้ว พวกเขาไม่อยู่แล้ว พวกเขาเป็นอมนุษย์  คำนิยามของอมนุษย์มีว่าอย่างไร?  (คนเหี้ยมโหด สัตว์เดรัจฉานในคราบมนุษย์)  บางคนอาจถึงขั้นอิจฉาพวกเขา โดยพูดว่า “พวกเขาทำงานและทำเงินข้างนอก ใช้ชีวิตกับผู้ไม่มีความเชื่อ ชีวิตของพวกเขาสะดวกสบายมากกว่าการทนทุกข์ปฏิบัติหน้าที่ของตนตั้งแต่เช้าจรดเย็นในคริสตจักรอย่างมาก”  เราขอบอกเจ้าว่า วันแห่งความทุกข์ของเขายังมาไม่ถึง  หากเจ้าอิจฉาพวกเขา ก็เชิญเจ้าเอาอย่างพวกเขาได้เลย พระนิเวศของพระเจ้าไม่บังคับจำกัดใคร  ความทุกข์ไม่ได้จำกัดเฉพาะความเจ็บปวดทางกายภาพจากอาการป่วย หากความทุกข์ภายในของคนเราไปถึงขอบข่ายเฉพาะอย่างหนึ่ง นั่นย่อมสุดที่จะพรรณนาได้ เช่น เรื่องที่ส่งผลต่อจิตของคนเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตกอยู่ภายใต้การลงโทษของพระเจ้า—นั่นเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย เจ็บปวดมากกว่า เป็นความระทมทางจิตใจแบบหนึ่ง  สตรีสองรายนี้ลงเอยอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เพราะพวกเธอก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าผ่านทางการกระทำอันหุนหันพลันแล่นของตน  ในมโนคติอันหลงผิดของผู้คน ดูเหมือนไม่สำคัญว่าผู้คนทำความผิดพลาดใดหรือพวกเขาทำสิ่งใด ตราบที่พวกเขาสามารถกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อสารภาพและกลับใจ พระเจ้าย่อมทรงสามารถให้อภัยพวกเขาได้ เรื่องนี้น่าจะพิสูจน์ให้เห็นว่าความรักของพระเจ้ากว้างใหญ่ไพศาล พระองค์ทรงรักมวลมนุษย์อย่างแท้จริง  นี่คือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และนี่แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจของผู้คนเกี่ยวกับพระเจ้าเต็มไปด้วยความคิดฝันมากเกินไปและเจตจำนงของมนุษย์มากเกินไป  หากพระเจ้าทรงถูกจำกัดโดยมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ เช่นนั้นการกระทำของพระเจ้าก็คงจะปราศจากหลักธรรม และพระเจ้าก็คงจะทรงปราศจากพระอุปนิสัยอันใด พระเจ้าเช่นนี้ไม่ทรงดำรงอยู่  แน่นอนว่าเป็นเพราะพระเจ้าทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริง ทรงพระชนม์และสว่างไสว และทรงแท้จริงอย่างมิอาจปฏิเสธได้และเป็นรูปธรรม พระองค์จึงทรงมีการสำแดงที่แตกต่างออกไป  การสำแดงเหล่านี้ปรากฏชัดในกิจการและท่าทีต่างๆ ของพระองค์ที่ทรงมีต่อผู้คน และการสำแดงเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นหลักฐานแห่งการทรงดำรงอยู่อันจริงแท้ของพระองค์  บางคนพูดว่า “คนเหล่านี้เองไม่ตระหนักรู้ในยามที่พวกเขาถูกจัดการรับมือ แล้วพวกเราจะมองเห็นการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าได้อย่างไร?”  แค่กรณีที่เรากล่าวถึงก็เปิดโอกาสให้ผู้คนได้เห็นท่าทีและพระอุปนิสัยของพระเจ้าแล้ว และยังให้ผู้คนได้เห็นหลักธรรมของพระเจ้าในการกระทำสิ่งทั้งหลายและรับมือกับผู้คนอีกด้วย  นี่ไม่ใช่หลักฐานแห่งการทรงดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้าหรอกหรือ?  (ใช่)  หากพระเจ้าพระองค์นี้ไม่ทรงดำรงอยู่ หากพระองค์ทรงเป็นเพียงอากาศจริงๆ เช่นนั้นสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงกระทำย่อมจะปราศจากหลักธรรมหรือขอบเขต สิ่งนั้นย่อมจะไม่อาจตรวจพบได้ ไม่สามารถแตะต้องได้ กลวงเปล่า ไม่มีการดำเนินการในชีวิตของผู้คน และไม่สัมพันธ์กับชีวิต การกระทำของผู้คน รวมทั้งการสำแดงใดๆ ของพวกเขา  สิ่งนั้นคงจะเป็นเพียงทฤษฎี การโต้แย้ง ลมปาก  แน่นอนว่าเป็นเพราะพระเจ้าพระองค์นี้ทรงดำรงอยู่ หลายสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเปิดโอกาสให้ผู้คนได้เห็นท่าทีของพระองค์

ส่วนสำคัญของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันต่างๆ ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าโดยพื้นฐานแล้วครอบคลุมอยู่ในสามัคคีธรรมของพวกเราแล้ว  ส่วนสำคัญนี้มุ่งความสนใจไปที่สิ่งใด?  เป็นเรื่องเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และแนวคิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ตลอดจนมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันต่างๆ ของพวกเขาว่าสิ่งใดประกอบขึ้นเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  นอกจากนี้ ผู้คนยังมีความคิดฝันเหลือล้นเกี่ยวกับหลักธรรมเบื้องหลังพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้ารวมทั้งมาตรฐานที่พระเจ้าทรงประสงค์จากผู้คน  สำหรับผู้คนแล้ว แนวคิดเหล่านี้โดยทั่วไปแล้วเลอะเลือนและไม่ชัดเจน  การขาดพร่องความชัดเจนนี้แสดงถึงสิ่งใด?  หมายความว่าผู้คนยังคงไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาไม่เข้าใจความจริงที่เกี่ยวข้องในพระราชกิจที่พระเจ้ากำลังทรงกระทำกับพวกเขา  ผ่านทางสามัคคีธรรมในวันนี้ ตอนนี้โดยพื้นฐานแล้วพวกเจ้ามีคำนิยามคร่าวๆ เกี่ยวกับการพิพากษาและการตีสอนตลอดจนมาตรฐานที่พระเจ้าทรงประสงค์จากผู้คนหรือยัง?  (มีแล้ว)  ด้วยความเข้าใจนี้ พวกเจ้าควรทำสิ่งใดเป็นลำดับถัดไป?  อันดับแรกเลยก็คือ พวกเจ้าจำเป็นต้องรับรู้ว่าพระเจ้าทรงมีมาตรฐานดังกล่าว  มาตรฐานเหล่านี้ยืดหยุ่นหรือไม่?  มาตรฐานเหล่านี้สามารถสูงกว่าหรือต่ำกว่าที่เป็นอยู่จริงๆ ได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  เหตุใดจึงไม่สามารถ?  จากยุคพระคุณจวบจนกระทั่งตอนนี้ พวกเราสามารถเห็นได้จากบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงทำให้เพียบพร้อมว่ามาตรฐานเหล่านี้เข้มงวดและระบุไว้ชัดเจน พระเจ้าจะไม่มีวันทรงเปลี่ยนแปลงมาตรฐานเหล่านี้  พระองค์ไม่ได้ทรงเปลี่ยนแปลงมาตรฐานเหล่านี้เมื่อสองพันปีที่แล้ว และพระองค์ก็ยังไม่ได้ทรงเปลี่ยนแปลงมาตรฐานเหล่านี้จวบจนกระทั่งตอนนี้  เพียงแต่ตอนนี้จะมีผู้คนมากขึ้นที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมเพราะพระเจ้าตรัสไว้มากมาย  ย้อนกลับไปตอนนั้น พระองค์ทรงพระราชกิจในขอบข่ายที่เล็กกว่าและไม่ได้ตรัสบอกความจริงเพิ่มเติมกับผู้คนอย่างชัดแจ้ง  ตอนนี้พระองค์ตรัสบอกความจริงเพิ่มเติมกับผู้คนและทำให้พวกเขาตระหนักรู้ถึงเจตนารมณ์ของพระองค์เพิ่มเติม และพระเจ้าทรงแสดงมาตรฐานทั้งหมดที่พระองค์ทรงพึงประสงค์รวมทั้งความจริงที่จะให้ผู้คนได้รู้  ในเวลาเดียวกัน พระวิญญาณของพระเจ้ายังทรงพระราชกิจร่วมกันท่ามกลางผู้คนในหนทางนี้ด้วย  สองแง่มุมนี้รวมกันพิสูจน์ให้เห็นว่าในระหว่างช่วงระยะเวลานี้ พระเจ้าตั้งพระทัยจะทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นเพียบพร้อม—นี่เป็นกลุ่มผู้คน ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองคน  เมื่อตัดสินจากข้อมูลนี้ พวกเจ้าส่วนใหญ่มีความหวังที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมหรือไม่?  บางคนพูดว่าพวกเขาไม่แน่ใจ แต่ต่อให้พวกเราไม่มั่นใจ ก็ขอให้พวกเราลองดู การล้มเหลวย่อมดีกว่าการวิงวอนขอความกรุณาในตอนนี้  การวิงวอนขอความกรุณา ณ ชั่วขณะนี้เป็นพฤติกรรมแบบใด?  เป็นพฤติกรรมที่ขี้ขลาด ไร้ค่า ไม่มีสมรรถภาพ น่ารังเกียจ ทำให้พระเจ้าทรงเสื่อมเสีย  เจ้าต้องไม่เป็นคนขี้ขลาด!  ภาวะและมาตรฐานสำหรับการได้รับการทำให้เพียบพร้อมได้รับการบอกเล่าแก่ผู้คนอย่างง่ายและชัดเจน สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่คือวิธีปฏิบัติและวิธีให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าเจ้าล้มเหลวกี่ครั้งในระหว่างช่วงระยะเวลานี้ ตราบที่เจ้าไม่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า เจ้าไม่ควรเกิดท้อแท้หรือยอมแพ้ จงเพียรพยายามพัฒนาตนเอง  บางคนพูดว่าขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อย  พระเจ้าไม่ทรงรู้ว่าขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อยกระนั้นหรือ?  การที่พวกเขายอมรับขีดความสามารถที่อ่อนด้อยของตนนั้นดีอยู่แล้วในสายพระเนตรของพระเจ้าเนื่องจากมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนั้นโอหังและคิดว่าตนถูก และมีน้อยคนนักที่ยอมรับว่าขีดความสามารถของตนอ่อนด้อย  การรับรู้เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดี เป็นการแสดงออกที่ดี  บางคนพูดถึงประสบการณ์ของตน ตระหนักว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาอ่อนด้อยและแย่  เหตุใดผู้อื่นจึงไม่มีการตระหนักรู้นี้?  การรับรู้ความเป็นมนุษย์ที่อ่อนด้อยของเจ้า ความเป็นมนุษย์ที่แย่ของเจ้า บ่งชี้ว่าเจ้าเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้กับตัวเจ้าเองแล้ว นี่แสดงว่าเจ้ามีความเชื่อในพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้า เจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่และความเต็มใจที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย—อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็สามารถยอมรับคำกล่าวที่จริงใจนี้  ผู้ใดในท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อพูดว่าตอนนี้พวกเขาเป็นคนไม่ดี?  แม้ในยามที่พวกเขาเป็นคนไม่ดี พวกเขาก็กล่าวอ้างว่าเป็นคนดี พวกเขากล่าวอ้างว่าการทำความชั่วของพวกเขาเป็นการทำความดีอันยิ่งใหญ่และเป็นพฤติกรรมที่มีคุณธรรม บิดเบือนเรื่องถูกผิดอย่างโจ่งแจ้ง  ดังนั้นไม่สำคัญว่าเจ้าเผชิญกับการชะงักงันใด ไม่สำคัญว่าจะเป็นความล้มเหลวหรือการสะดุดใด เจ้าต้องสามารถมองเห็นได้ว่ามีความหวังรออยู่ข้างหน้า  ใครอยู่ข้างหน้า?  เป็นพระเจ้านั่นเอง!  ด้วยพระวจนะของพระเจ้าที่ชี้นำและนำทาง ผู้คนย่อมสามารถเริ่มเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้

วันนี้มีการสามัคคีธรรมกันไปสามกรณีศึกษา เป็นการอธิบายมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันต่างๆ ของผู้คนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าให้ชัดเจน  พวกเจ้าทุกคนเข้าใจสิ่งที่สื่อไปหรือไม่?  (เข้าใจ)  ความสามารถของพวกเจ้าในการเข้าใจแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ามีขีดความสามารถและปฏิภาณที่จะยอมรับความจริง—มีความหวังที่เจ้าจะเข้าใจละได้มาซึ่งความจริง  เหตุใดจึงไม่สามารถอธิบายความจริงเหล่านี้ให้ชัดเจนได้ในเวลาแค่หนึ่งหรือสองชั่วโมง หรือสองหรือสามชั่วโมง?  เป็นเพราะจะต้องกำหนดเนื้อหาขั้นต้นมากมายเพื่อที่จะพูดถึงรายละเอียดที่จะตามมา  หากปราศจากการวางรากฐานบางอย่างล่วงหน้า พวกเจ้าย่อมจะไม่สามารถตามเนื้อหาในลำดับถัดมาได้ทัน  หากพวกเราจะพูดอย่างกระชับโดยปราศจากเนื้อหาขั้นต้นใดๆ คงจะเป็นเรื่องยากที่พวกเจ้าจะตามทัน ดังนั้นเราจึงพูดถึงบางตัวอย่าง จากนั้นจึงเสวนาตัวอย่างเหล่านี้จากทั้งมุมมองที่เป็นบวกและมุมมองที่เป็นลบเพื่อช่วยให้พวกเจ้าเข้าใจและแยกแยะ รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องเหล่านี้กันแน่ รวมทั้งวิธีที่คนเราควรเข้าใจตัวอย่างเหล่านี้อย่างถ่องแท้  หากพวกเจ้าสามารถสัมฤทธิ์เรื่องนี้ได้ เช่นนั้นการที่เราพูดย่อมไม่ได้สูญเปล่า  จากชั่วขณะที่พวกเราเริ่มที่จะมีแนวคิดบางอย่างเกี่ยวกับความจริงเหล่านี้เมื่อได้ยินความจริงเหล่านี้ จนถึงจุดที่เจ้ามีความเข้าใจที่ถ่องแท้ จุดที่เจ้าตระหนักจากลึกลงไปในหัวใจของเจ้าว่าเหตุใดพระเจ้าจึงตรัสสิ่งเหล่านี้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเองส่วนใดเกี่ยวข้องกับความจริงที่พระเจ้าตรัสเหล่านี้ และเหตุใดพระเจ้าจึงต้องประสงค์จะตรัสบอกความจริงเหล่านี้แก่เจ้า พึงต้องมีช่วงระยะเฉพาะหนึ่งเพื่อไปให้ถึงความเข้าใจระดับนี้  เจ้าจำเป็นต้องเชื่อมโยงความจริงเหล่านี้กับอุปนิสัย วาทะ พฤติกรรม ความคิด และแนวคิดอันเสื่อมทรามของเจ้าเอง—กล่าวคือ นำความจริงเหล่านี้มาใช้กับสถานการณ์ที่เป็นจริงของเจ้า—และเจ้าจะค่อยๆ ทำความเข้าใจและจับความเข้าใจความจริงเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว  หากเจ้าไม่เปรียบเทียบความจริงเหล่านี้กับกรณีของตัวเจ้าเอง แต่จดบันทึกในวันนี้ ทบทวนและจดจำความจริงเหล่านี้ในวันพรุ่งนี้ จากนั้นจึงกล่าวประกาศความจริงเหล่านี้กับพวกที่ไม่เคยได้ยินความจริงเหล่านี้ เจ้าอาจจะคิดว่าเจ้าได้มาซึ่งความจริงเหล่านี้แล้ว แต่อันที่จริงแล้วเจ้ายังไม่ได้ได้มา  จากวันที่เจ้าสามารถพ่นคำสอน ความจริงเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ความจริงสำหรับเจ้าอีกต่อไป และการที่เจ้าจะจับความเข้าใจความจริงย่อมกลายเป็นเรื่องยาก ราวกับว่าความจริงได้ปลาสนาการไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว  ทันทีที่ความจริงเปลี่ยนเป็นเพียงแค่คำสอนสำหรับเจ้า การที่ความจริงจะมีผลกระทบต่อเจ้าย่อมกลายเป็นเรื่องยาก  เจ้าต้องเปลี่ยนความจริงเป็นความเป็นจริงของเจ้าเอง ค่อยๆ ดำเนินการแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความจริงแต่ละประการกับตัวเจ้าเองโดยวิถีทางแห่งการแสวงหาและสามัคคีธรรม และทำความเข้าใจในท้ายที่สุดว่าความจริงนี้รวมถึงสภาวะใด และความจริงนี้ครอบคลุมสิ่งใด เพื่อเข้าใจความหมายเบื้องหลังการที่พระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้  นี่คือจุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจความจริง  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจสิ่งใด?  (คำสอน)  เมื่อผู้คนพบเจอความจริงเป็นครั้งแรก สิ่งที่พวกเขาเข้าใจคือคำสอนแบบหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม การเข้าใจคำสอนไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย การเข้าใจคำสอนพึงต้องมีขีดความสามารถและความสามารถเฉพาะที่จะจับใจความด้วย  การเข้าใจคำสอนยังพึงต้องให้เจ้ามีหัวใจที่เงียบสงบและที่มีสมาธิด้วย เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถรับฟังคำเทศนาด้วยใจจดจ่อ  เราพบว่า ในยามที่รับฟังคำเทศนาบางคนคิดว่า “สิ่งที่พระองค์กำลังตรัสถึงนั้นไร้ค่า ข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะรับฟัง  ข้าพระองค์ต้องการรับฟังคำเทศนา ไม่ได้ต้องการได้ยินเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ”  พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่เรากำลังพูดถึงนั้นเป็นเรื่องถูกผิด  เพราะพวกเขาพกพาทัศนคตินี้ พวกเขาจึงไม่สามารถรับสิ่งที่พวกเขาได้ยินไว้ได้ พวกเขาเกิดเซื่องซึม ไม่สามารถเข้าใจ และไม่สามารถตามได้ทัน  ผู้คนดังกล่าวไม่มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง ขีดความสามารถของพวกเขาขาดพร่อง  บางคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายวิญญาณไม่เต็มใจที่จะรับฟังเมื่อพวกเขาได้ยินเราบอกเล่าเรื่องราวทั้งหลาย  พวกเขาดื่มน้ำหรือหาว และอยู่ไม่สุขเสมอ  พวกเขาคิดว่า “เรื่องราวที่พระองค์กำลังตรัสบอกเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องภายนอก ตื้นเขินเกินไป ข้าพระองค์ไม่สามารถรับไว้ได้  พระองค์ควรทรงตรัสเรื่องอาณาจักรฝ่ายวิญญาณมากขึ้น นั่นจะเหมาะกับรสนิยมของข้าพระองค์”  นี่เป็นท่าทีที่แน่ชัดที่บางคนมี  เมื่อพวกเขากระทำการในฐานะผู้นำเป็นเวลาหลายปี พวกเขาชอบพูดถึงคำเทศนาอันสูงส่ง ทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ และคำพูดของสวรรค์ชั้นที่สาม ยิ่งพวกเขาพูดมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีใจกระตือรือร้นมากขึ้นเท่านั้น  แต่หากพวกเราพูดถึงเรื่องทั้งหลายในคริสตจักร ประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หรือการชำแหละความไม่หยุดนิ่งของจิตใจมนุษย์เป็นพิเศษ พวกเขากลับพบอยู่เสมอว่าการที่พวกเราพูดเช่นนั้นตื้นเขินและน่าเบื่อ  นี่คืออุปนิสัยประเภทใด?  คนเหล่านี้มีความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  ผู้คนดังกล่าวสามารถแก้ไขปัญหาจริงในงานของตนได้หรือไม่?  พวกเจ้าชอบผู้คนดังกล่าวหรือไม่?  การสามัคคีธรรมความจริงไม่สามารถแยกออกจากความเป็นจริงได้  คนที่ไม่สนใจความเป็นจริงสามารถรักความจริงได้หรือไม่?  เราไม่คิดอย่างนั้น ผู้คนดังกล่าวรังเกียจความจริง และนั่นเป็นภัยอันตรายมาก

8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018

ก่อนหน้า: โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (1)

ถัดไป: อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger