โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (2)

ในส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นปัญหาว่าด้วยมโนคติอันหลงผิด ครั้งล่าสุดพวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสามประเด็น กล่าวคือ ประเด็นแรกคือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า ประเด็นที่สองคือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์ และประเด็นที่สามคือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเราเสวนาสองประเด็นแรกเสร็จสิ้นไปแล้ว รวมทั้งพูดถึงเนื้อหาบางอย่างซึ่งเป็นพื้นฐานและเป็นเชิงแนวคิดอยู่บ้างในส่วนของประเด็นที่สาม  ในเรื่องของมโนคติอันหลงผิดที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ หลังจากนั้นพวกเจ้าได้ใคร่ครวญอย่างระมัดระวังหรือไม่ว่าเนื้อหาอื่นใดเกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้และสัมพันธ์กับความจริงนี้?  ไม่มีความจริงใดที่เรียบง่ายเท่าความหมายตามตัวอักษร ความจริงเหล่านี้ล้วนมีความหมายที่แท้จริงของตัวเองซึ่งบรรจุอยู่ภายใน และความจริงเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน ตลอดจนทุกแง่มุมของชีวิตประจำวันและการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  แล้วพวกเจ้าเข้าใจถึงเนื้อหาใดๆ เกี่ยวกับความจริงแง่มุมนี้จากชีวิตประจำวันของตนแล้วหรือยัง?  เมื่อพวกเจ้ารับฟังสามัคคีธรรมความจริงแง่มุมนี้ พวกเจ้าย่อมสามารถเข้าใจบางส่วนของความจริงนี้ในแง่ตามตัวอักษรเท่านั้น และมีวิจารณญาณเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดที่เห็นได้ชัดเจนอยู่บ้าง  หลังจากนั้น ผ่านทางการใคร่ครวญเพิ่มเติม การอธิษฐานและการแสวงหา และการสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของเจ้าบนพื้นฐานของประสบการณ์ของเจ้า เจ้าควรสามารถได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นบ้าง  เมื่อมองความจริงสามประการนี้ในแง่ตามตัวอักษร ประการใดเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน ความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า และการเข้าสู่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพวกเขามากที่สุด?  ความจริงใดมีลักษณะเชิงลึกและลุ่มลึกมากที่สุด?  (ความจริงประการที่สาม)  ความจริงประการที่สามมีลักษณะเชิงลึกมากกว่าเล็กน้อย  ประการแรกนั้นคือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า และมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนและผิวเผินพอควร ประการที่สองคือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบางอย่างที่ผู้คนสามารถมองเห็นและเข้าใจได้และพวกเขาอาจพบเจอและทบทวนในชีวิต ประการที่สามคือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน—ความจริงประการที่สุดท้ายนี้ลุ่มลึกมากกว่าอยู่บ้าง  แล้วมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าคืออะไรกันแน่?  ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดใดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า?  พวกเขาควรเข้าใจและจัดการกับมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อย่างไร และพวกเขาควรแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อย่างไร?  นี่คือเนื้อหาของสามัคคีธรรมในวันนี้

ในเมื่อมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าทวีความรุนแรงขึ้นจากการที่พวกเขานำเหตุผลและการตัดสินมาใช้ในการสร้างข้อเรียกร้องของพวกเขาต่อพระเจ้า การมีความอยากอันฟุ้งเฟ้อต่อพระเจ้า การไม่ยอมรับพระองค์ และการทำการประเมินวัดหรือการตัดสินบางอย่างเกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์ เช่นนั้นมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ย่อมไม่ใช่แค่มุมมองหรือการเชื่ออีกต่อไป แต่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนอีกด้วย  ทันทีที่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้กลายมาเป็นเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม นี่ย่อมเพียงพอแล้วที่จะเป็นเหตุให้ผู้คนไม่ยอมรับพระเจ้า ตัดสินพระองค์ และถึงขั้นทรยศพระองค์  ดังนั้นหากมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับพระเจ้าไม่ไปไกลเกินกว่าความคิดฝันและการคาดเดา นั่นย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่  ในขณะที่หากมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ทวีความรุนแรงไปสู่ประเด็นเรื่องทรรศนะและท่าทีต่อพระราชกิจของพระเจ้า เปลี่ยนเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลต่อพระเจ้าหรือการตัดสินและการกล่าวโทษพระเจ้า หรือกลายเป็นเต็มไปด้วยเจตนา ความอยาก หรือความทะเยอทะยานอันบ้าคลั่ง เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดธรรมดาอีกต่อไป  เหตุใดเราจึงพูดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดธรรมดาอีกต่อไป?  เพราะมโนคติอันหลงผิดและความคิดเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า และเกี่ยวข้องกับความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าเจ้าสามารถยอมรับและนบนอบอธิปไตยของพระเจ้าได้หรือไม่ รวมทั้งเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าเจ้าสามารถรับรู้ถึงพระองค์ในฐานะองค์อธิปัตย์ของเจ้าและในฐานะพระผู้สร้างได้หรือไม่ และทั้งหมดนี้มีผลโดยตรงต่อจุดยืนและท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า  เมื่อมองเรื่องนี้ในหนทางนี้ การที่ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้เป็นปัญหาร้ายแรงหรือไม่?  (ร้ายแรง)  เพื่อที่จะชำแหละมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ หากพวกเราทำการชำแหละจากมุมมองเชิงทฤษฎี มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อาจฟังดูเป็นนามธรรมเล็กน้อย หรืออยู่ห่างจากชีวิตประจำวันของพวกเจ้าอยู่บ้าง  ดังนั้นพวกเรามาพูดคุยถึงสถานการณ์ประเภทต่างๆ ในการดำรงชีวิตของผู้คน ซึ่งพวกเราสามารถมองเห็นได้ในชีวิตประจำวันหรือท่ามกลางมวลมนุษย์ หรือเกี่ยวกับโชคชะตาของพวกเขา หรือเกี่ยวกับทรรศนะและท่าทีต่างๆ ต่อชีวิตและต่ออธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้ากัน เพื่อที่จะชำแหละมโนคติอันหลงผิดของผู้คนและอำนวยให้พวกเขาได้เห็นว่าพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและทรงปกครองเหนือมวลมนุษย์อย่างไร รวมทั้งสภาพการณ์ที่แท้จริงของพระราชกิจของพระเจ้าเป็นอย่างไร  นี่คือหัวข้อที่ไม่ง่ายนักที่จะสามัคคีธรรม  หากการสามัคคีธรรมเป็นเชิงทฤษฏีมากเกินไป ผู้คนจะรู้สึกว่าการสามัคคีธรรมนี้กลวงเปล่า ในขณะที่หากการสามัคคีธรรมนี้เน้นในเรื่องยิบย่อยที่ไม่สลักสำคัญมากเกินไปหรือใกล้ชิดกับชีวิตจริงของผู้คนมากเกินไป พวกเขาจะคิดว่าการสามัคคีธรรมนี้ตื้นเขินมาก และย่อมจะมีปัญหาประเภทนี้  แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม พวกเรามาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนทางที่ตรงไปตรงมาพอควรและง่ายที่จะเข้าใจกันเถิด ซึ่งยังคงเป็นการเล่าเรื่องราว  ผ่านทางโครงเรื่องและตัวละครของเรื่องราว ตลอดจนปรัชญาชีวิตที่สะท้อนให้เห็นในตัวเรื่องราวเองและปรากฏการณ์ที่ผู้คนเห็น พวกเขาสามารถเข้าใจหนทางและวิธีการบางอย่างซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจของพระองค์ ตลอดจนทัศนะที่คลาดเคลื่อนที่ผู้คนมีในชีวิตจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า อธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่งของพระองค์ หรือบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่ผู้คนยึดมั่น—เมื่อสามัคคีธรรมในหนทางนี้ การที่ผู้คนจะเข้าใจนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าอยู่บ้าง

เอาล่ะเรื่องราวก็มีดังนี้  ครั้งหนึ่งมีเด็กสาวคนหนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ร่ำรวยนัก  เธอมีความปรารถนาอย่างหนึ่งตั้งแต่ที่เธอยังเล็กมาก นั่นคือ เธอไม่ได้ขอให้มีชีวิตที่ร่ำรวยหรือมั่งคั่ง ทั้งหมดที่เธอต้องการก็คือใครสักคนที่จะพึ่งพา  ความปรารถนานี้ฟุ้งเฟ้อเกินไปหรือไม่?  นี่เป็นการขอมากเกินไปหรือไม่?  (ไม่)  แต่น่าเสียดายที่พ่อของเธอเสียชีวิตไปก่อนที่เธอจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ดังนั้นก็เท่ากับว่าเธอไม่มีใครให้พึ่งพาในชีวิต  เธอได้สูญเสียเสาหลักที่เธอสามารถพึ่งพาได้ในชีวิตนี้ไปแล้ว บุคคลเดียวที่เธอคิดในจิตใจที่อ่อนวัยของเธอว่าสามารถพึ่งพาได้  จิตใจอันอ่อนวัยของเธอไม่ได้รับความทุกข์ร้อนกับความระทมใหญ่หลวงหรอกหรือ?  การที่บางสิ่งเช่นนี้เกิดขึ้นต้องเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ระทมใหญ่หลวงกับเธอเป็นแน่  มีแผลในหัวใจของเธอหรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่ามีแผล  แผลที่ว่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  เป็นเพราะในจิตใจอันอ่อนวัยของเธอ เธอยังไม่พร้อม การกล่าวว่า “ฉันพึ่งพาตนเองได้ ฉันหาเลี้ยงตัวเองได้ ฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพ่อแม่ของฉันอีกต่อไป”  เธอยังไม่ได้สยายปีกออกดังคำที่เขาพูดกัน  ด้วยความคิดที่ไม่รู้ประสา เธอยังไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ว่าจะต้องทำอะไรบ้างเกี่ยวกับอนาคตของเธอ หรือเธอจะมีชีวิตรอดอย่างไรเมื่อปราศจากพ่อแม่  ในสถานการณ์นี้นี่เองที่พ่อของเธอเสียชีวิตลงก่อนที่เธอจะตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ดังที่กล่าวมา ซึ่งหมายความว่าเธอไม่เหลือปัจจัยสำหรับดำรงชีพแล้ว และวันเวลาก็คงจะยากลำบากกว่าที่เป็นมาอยู่แล้วด้วยซ้ำ  เจ้าสามารถจินตนาการได้เลยว่าวันเวลาของเธอเป็นอย่างไรหลังจากนั้น  เธอดำเนินชีวิตที่ลำบากยากเย็นกับแม่และน้องชายของเธอ แทบจะหาไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง  แต่ไม่สำคัญว่าเธอทุกข์เข็ญเพียงใด ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ดังนั้นเธอก็แค่โซซัดโซเซต่อไป อยู่เคียงข้างแม่และน้องชายของเธอ  สองสามปีถัดมาเธอเติบโตขึ้น และสามารถหาเงินด้วยตัวเองมาเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพของแม่และน้องชายของเธอได้บ้าง แต่พวกเขาก็ยังคงไม่มีทางเลยที่จะมีชีวิตที่มั่งคั่ง  ตลอดเวลาที่ผ่านมา ความปรารถนาในส่วนลึกสุดของเธอก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง  เธอต้องการใครสักคนให้พึ่งพา แต่เป็นบุคคลประเภทใดเล่า?  ผู้ใดกันแน่ที่เธอปรารถนาจะพึ่งพา?  พวกเจ้าจงอธิบายให้เราฟังที  “ใครสักคนให้พึ่งพา” ในความหมายที่เรียบง่ายที่สุดหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าใครสักคนที่สามารถให้ปัจจัยในการดำรงชีวิตกับเธอ ตลอดจนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม โดยที่เธอไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอกและหาเลี้ยงปากท้องด้วยตัวเอง หรือทนทุกข์กับความเจ็บปวดใดๆ  ใครสักคนที่อย่างน้อยที่สุดเธอก็สามารถพึ่งพาได้เมื่อใดก็ตามที่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ใครสักคนที่คอยสนับสนุนและปกป้องเธอดังคำที่เขาพูดกัน—นั่นคือบุคคลประเภทที่เธอหวังจะพึ่งพา  ต่อให้พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือหรือให้การสนับสนุนเธอทางการเงินในชีวิต เช่นนั้นอย่างน้อยที่สุดเมื่อใดก็ตามที่บางสิ่งเกิดผิดพลาดไปหรือเมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกทุกข์เข็ญ เธอจะมีไหล่ให้พักพิง ใครสักคนที่สามารถช่วยเธอให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากและเป็นเกราะคุ้มภัยให้ได้—นี่คือสิ่งที่เธอปรารถนาจะมี  นี่มากเกินไปที่จะเอ่ยขอหรือไม่?  ความปรารถนานี้เป็นจริงได้หรือไม่?  นี่ไม่มากเกินไปที่จะเอ่ยขอ และไม่ใช่ความปรารถนาที่ไม่สมจริง  คนมากมายไม่ปรารถนาจะให้ได้บางสิ่งที่เรียบง่ายเช่นนี้เช่นกันหรอกหรือ?  มีคนน้อยมากที่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาเกิดมาโดยไม่ได้พึ่งพาใครเลยนอกจากตัวเอง  คนส่วนใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้และในชุมชนหวังว่าจะมีเพื่อน หรือใครสักคนให้พึ่งพา และเด็กสาวคนนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ชั่วพริบตาเดียวเธอก็เข้าสู่วัยที่สมรสได้ และเธอก็ยังคงปรารถนาจะหาใครสักคนให้เธอได้พึ่งพิง ใครสักคนที่พึ่งพาได้  คนคนนั้นไม่จำเป็นต้องมั่งคั่งเป็นพิเศษ หรือให้เธอมีชีวิตที่หรูหรา และเขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่สนทนาที่ยอดเยี่ยม  เขาก็แค่ต้องคอยเกื้อหนุนเธอเมื่อใดก็ตามที่เธอเดือดร้อนมากที่สุดหรือถูกรุมเร้าไปด้วยความลำบากยากเย็นหรือความเจ็บป่วย ต่อให้เป็นเพียงการกล่าวคำพูดที่ชูใจบางคำกับเธอและไม่มีอะไรอื่นนอกเหนือจากนั้น  นี่คือความปรารถนาที่สามารถเป็นจริงได้อย่างง่ายดายหรือไม่?  เรื่องนี้ไม่แน่นอน  ไม่มีใครรู้ว่าความปรารถนาของผู้คนคือสิ่งที่พระเจ้าทรงวางแผนที่จะประทานให้พวกเขาหรือสำเร็จลุล่วงในตัวพวกเขาหรือไม่ หรือในท้ายที่สุดแล้วความปรารถนาของพวกเขาถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าในโชคชะตาของพวกเขาแล้วหรือไม่  ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าความปรารถนาของเด็กสาวคนนี้จะกลายเป็นจริงได้หรือไม่ และตัวเธอเองก็ไม่รู้เช่นกัน  อย่างไรก็ตาม เธอยึดมั่นในความปรารถนานี้เรื่อยมาขณะที่เธอก้าวเข้าสู่ช่วงระยะถัดไปในชีวิต  ณ เวลานี้ เธอรู้สึกหวาดหวั่นและไม่สบายใจมาก แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตามวันนั้นก็มาถึง  เธอไม่รู้ว่าที่จริงแล้วคนที่เธอวางแผนจะสมรสด้วยนั้นเป็นใครบางคนที่เธอสามารถพึ่งพาไปจนตลอดชีวิตที่เหลือของเธอได้หรือไม่ แต่เธอก็ยังหวังด้วยใจจริงว่า “คนคนนี้ควรเป็นใครบางคนที่ฉันสามารถพึ่งพาได้  ชีวิตของฉันประมาณยี่สิบปีที่ผ่านมานั้นยากลำบากมากพอแล้ว  หากฉันลงเอยกับใครบางคนที่พึ่งพาไม่ได้ ตลอดชีวิตที่เหลือของฉันย่อมจะยากลำบากยิ่งขึ้นไปอีก  มีใครอีกเล่าที่ฉันจะสามารถพึ่งพาได้?”  เธอรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ไม่มีอะไรที่เธอจะสามารถทำได้ ดังนั้นเธอจึงแค่หวังต่อไป  เพื่อที่จะมีชีวิตรอด เมื่อผู้คนไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาจึงมาอยู่ที่นี่ในชีวิตนี้และพวกเขาควรฟันฝ่าชีวิตอย่างไร พวกเขาจึงคลำทางไปข้างหน้าด้วยความปรารถนาลักษณะนี้และความหวังที่ไม่ปรากฏ  เมื่อชั่วขณะนี้มาถึง เธอไม่รู้ว่าอนาคตของเธอจะเป็นเช่นไร  อนาคตนั้นไม่มีใครรู้  เธอดำเนินชีวิตต่อไป  อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงมากมายมักจะวิ่งสวนทางกับความปรารถนาของผู้คน  สำหรับเวลานี้ พวกเราจะไม่แสดงความเห็นเรื่องที่ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงจัดการเตรียมการโชคชะตาของผู้คนในหนทางนี้—เป็นการจัดการเตรียมการโดยความตั้งพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ หรือเป็นเพราะความเสื่อมทรามและการไม่รู้ความของผู้คนเป็นเหตุให้ความพึงปรารถนาและข้อเรียกร้องของพวกเขาตรงกันข้ามอย่างคนละขั้วกับโชคชะตาที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้พวกเขาหรือไม่ ความปรารถนาของพวกเขาก็เลยมักจะไม่สามารถเป็นจริงได้ และสิ่งทั้งหลายก็เลยมักจะไม่กลายเป็นอย่างที่พวกเขาได้หวังเอาไว้—พวกเราจะไม่เสวนาทั้งหมดนี้ในขณะนี้  ก่อนอื่น พวกเรามาพูดคุยถึงเรื่องราวนี้ต่อกันเถิด

หลังจากเด็กสาวสมรสแล้ว เธอก็เข้าสู่ช่วงระยะถัดไปของชีวิต ในขณะที่ยึดมั่นในความปรารถนาของเธอ  อะไรรอเธออยู่ ณ ช่วงระยะนี้ของชีวิต?  เธอไม่รู้ แต่เธอก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นได้เพียงเพราะเธอกลัวสิ่งที่ยังมาไม่ถึง  เธอต้องเข้มแข็งและกล้าที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ และก้าวไปข้างหน้า และเธอก็ยังต้องใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวัน  ณ จุดเปลี่ยนสำคัญนี้ในชีวิตของเธอ โชคชะตาที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้เธอในที่สุดแล้วก็มาถึง—และสิ่งนี้ตรงกันข้ามกับที่เธอถวิลหาเรื่อยมา  ชีวิตครอบครัวเรียบๆ ที่เธอโหยหา มีเตียงนอนธรรมดา โต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆ ห้องที่เรียบง่ายและสะอาด สามีและบุตรชายหญิง—ชีวิตที่เรียบง่ายนี้ที่เธอต้องการไม่อาจมีวันเกิดขึ้นได้เลย  หลังจากเธอสมรสแล้ว สามีของเธอก็จะใช้เวลาทั้งปีห่างบ้านเนื่องจากงาน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องแยกกันอยู่  สตรีที่มีชีวิตเช่นนี้จะมีสิ่งใดรออยู่ในอนาคตหรือ?  ชีวิตที่ถูกกลั่นแกล้งและถูกเลือกปฏิบัตินั่นเอง  การที่ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตเช่นนี้เป็นอีกเรื่องที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตและโชคชะตาของเธอ  นี่เป็นบางสิ่งที่เธอไม่เคยวาดมโนภาพไว้ และยังเป็นบางสิ่งที่เธอไม่เคยต้องการเห็นหรือเผชิญอีกด้วย  แต่บัดนี้ ข้อเท็จจริงทั้งหลายไม่สอดคล้องกับความปรารถนาและความคิดฝันของเธออย่างสิ้นเชิง  สิ่งที่เธอไม่ต้องการเห็นหรือมีประสบการณ์ได้เกิดขึ้นกับเธอจริงๆ  สามีของเธอออกไปทำงานตลอดทั้งปี  เธอต้องพึ่งพาตนเอง ทั้งในชีวิตและทางการเงิน  เธอต้องออกไปหาเงินด้วยตัวเองเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่าย  เธอไม่มีใครที่จะช่วยเหลือเธอในชีวิต และต้องพึ่งตนเองในทุกสิ่งทุกอย่าง  ในสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตเช่นนี้ สตรีผู้นี้ลงเอยกับใครบางคนที่เธอสามารถพึ่งพาได้ หรือไม่เลยแม้แต่น้อย?  (ไม่เลยแม้แต่น้อย)  หลังจากเธอสมรสแล้วความปรารถนาของเธอลุล่วงหรือว่าไม่สมหวัง?  (ความปรารถนาของเธอไม่สมหวัง)  เห็นได้ชัดว่าในช่วงระยะสำคัญช่วงที่สองของชีวิตเธอนั้น ความหวังของเธอได้ถูกทำให้ไม่สมหวังอีกครั้ง และเธอก็ไม่มีใครให้พึ่งพา  คนที่เธอเคยคิดว่าสามารถพึ่งพาได้ในชีวิตก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอ และไม่สามารถพึ่งพาได้เลยแม้แต่น้อย  คนที่เธอเคยพิจารณาว่าเป็นเสาหลักอันแข็งแกร่งของเธอ เป็นรากฐานอันมั่นคงของเธอ และเป็นคนที่จะพึ่งพา ก็ไม่สามารถพึ่งพาได้เลยแม้แต่น้อย  เธอต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง รวมทั้งเผชิญและรับมือกับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง  ในระหว่างช่วงเวลาที่ลำบากยากเย็นที่สุดของเธอ เธอสามารถทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่บนเตียงและร้องไห้ภายใต้ผ้าห่ม โดยไม่มีใครร่วมทุกข์ไปกับเธอเลย  เพื่อรักษาหน้า ความชิงดีชิงเด่น และความเคารพนับถือตนเองของเธอ เธอมักจะแสดงให้เห็นถึงภายนอกที่น่าเกรงขาม และดูเหมือนเป็นสตรีที่แข็งแกร่ง แต่ที่จริงแล้วลึกลงไปเธอเปราะบางมาก  เธอต้องการการเกื้อหนุน และถวิลหาใครสักคนให้พึ่งพา แต่ความปรารถนานี้ยังไม่เป็นจริง

ผ่านไปอีกสองสามปีเธอก็ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยพร้อมกับลูกเล็กๆ ของเธออีกหลายคน เช่าบ้านอยู่และดำเนินชีวิตอย่างไม่เป็นหลักแหล่ง  หลายปีผ่านไปในหนทางนี้ ข้อพึงประสงค์ในชีวิตที่เป็นพื้นฐานที่สุดข้อหนึ่งของเธอก็ค่อยๆ แหลกสลายไปทีละน้อย  ทั้งหมดที่เธอต้องการคือมีห้องเล็กๆ ที่มีเตียง โต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆ และเตาเอาไว้หุงหาอาหาร และให้ครอบครัวของเธอได้ล้อมวงกินอาหาร เลี้ยงไก่สักสองสามตัว และดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย  เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะร่ำรวยหรือมั่งคั่ง  ตราบที่ชีวิตเรียบง่าย มีสันติสุข และครอบครัวอยู่ด้วยกัน นั่นก็มากพอแล้ว  อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่เธอทำได้ในตอนนี้คือใช้ชีวิตอย่างปากกัดตีนถีบพร้อมลูกๆ ของเธอพ่วงไปด้วย  ไม่เพียงแต่เธอไม่มีใครให้พึ่งพาเท่านั้น แต่ยังมีที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอต้องกลายเป็นคนที่ลูกๆ ของเธอเองพึ่งพา  เธอยังคิดอีกด้วยว่า ในเมื่อการมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ใบนี้เจ็บปวดยิ่งนัก บางทีเธออาจจะหาหนทางแก้ไขความเจ็บปวดนี้ เช่น โดยการกลายมาเป็นแม่ชีในพุทธศาสนา หรือหาที่สักแห่งเพื่อฝึกปฏิบัติธรรม ห่างจากสังคมมนุษย์และห่างจากความทุกข์นี้ โดยไม่พึ่งพาใครเลย และโดยไม่มีใครพึ่งพาเธอ เพราะการมีชีวิตอยู่เช่นนี้น่าเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดเกินไปจริงๆ  แต่สิ่งหนึ่งที่ค้ำจุนเธอและทำให้เธอก้าวต่อไปคืออะไร?  (ลูกๆ ของเธอ)  ถูกต้อง  หากเธอไม่มีลูกๆ  บางทีในแต่ละวันที่เธอมีชีวิตอยู่อาจจะเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ แต่ทันทีที่เธอมีลูกๆ  เธอก็รับผิดชอบพวกเขาและกลายมาเป็นคนที่พวกเขาพึ่งพา  เมื่อลูกๆ ของเธอร้องเรียก “แม่” เธอรู้สึกว่าภาระบนบ่าของเธอหนักเกินไป เธอไม่สามารถทิ้งความรับผิดชอบไปเช่นนั้นได้จริงๆ และเธอก็ไม่สามารถพึ่งพาผู้อื่น แต่เธอสามารถเป็นผู้ที่ผู้อื่นพึ่งพาได้—เธอคิดว่านี่ยังอาจถือได้ว่าเป็นแหล่งที่มาของความชื่นบานยินดีในชีวิต ท่าทีที่มีต่อชีวิต และแรงจูงใจที่จะมีชีวิตอยู่อีกด้วย  ในหนทางนี้ เธอสู้ทนไปอีกประมาณสิบปีเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของลูกๆ ของเธอ  วันเวลาดูเหมือนยาวนานหรือไม่?  (ใช่ วันเวลาดูเหมือนยาวนาน)  เหตุใดวันเวลาจึงดูเหมือนยาวนาน? (เพราะเธอดำเนินชีวิตที่ยากลำบาก ดังนั้นวันเวลาจึงดูเหมือนยาวนาน)  เจ้าย่อมรู้จากประสบการณ์ คำพูดเหล่านั้นฟังดูเหมือนคำพูดของใครบางคนที่เคยมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน  วันเวลานั้นยากลำบากและทรมาน ดังนั้นจึงดูเหมือนยาวนานอย่างที่สุด  ประสบการณ์ทั้งหมดที่เธอได้รับสร้างความทรมานลักษณะหนึ่งอยู่ลึกๆ ภายในหัวใจของเธอ ดังนั้นเธอจึงต้องนับวันเวลาในชีวิต และการจะฟันฝ่าชีวิตแบบนี้ไปไม่ใช่เรื่องง่าย  แม้ภายหลังจากลูกๆ ของเธอเติบโตขึ้นแล้ว ความปรารถนาของเธอก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง  เธอยังคงมีความปรารถนานี้ลึกอยู่ในหัวใจของเธอว่า “ลูกๆ ของฉันโตขึ้นแล้ว และการเลี้ยงดูพวกเขาก็ไม่ต้องใช้ความพยายามมากขนาดนั้นอีกต่อไป  หากสามีของฉันสามารถอยู่กับพวกเราได้และครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน เช่นนั้นชีวิตของพวกเราย่อมจะดีกว่านี้อีก”  ความคิดฝันอันวิเศษของเธอหวนกลับมาและมันปลุกความหวังของเธอขึ้นมาอีกครั้ง ดังที่ผู้ไม่มีความเชื่อพูดกัน  เมื่อใดก็ตามที่เธอนอนไม่หลับในยามค่ำคืน เธอจะคิดว่า “ตอนนี้ลูกๆ ก็โตกันแล้ว หากพวกเขาเข้ามหาวิทยาลัยได้ และในท้ายที่สุดก็ได้งานดีๆ และมีรายได้ เช่นนั้นชีวิตย่อมจะง่ายขึ้น สถานการณ์เรื่องอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่พักอาศัยย่อมจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้  และหากสามีของฉันกลับมา ชีวิตย่อมจะดีขึ้นไปอีก และฉันย่อมจะมีใครสักคนให้พึ่งพา!  คนสองคนที่ฉันพึ่งพาก่อนหน้านี้ได้พลัดพรากจากกันไป แต่ตอนนี้ฉันมีคนมากขึ้นให้พึ่งพา  สวรรค์ดีกับฉันมาก!  ดูเหมือนวันเวลาที่ดีกว่าอยู่ข้างหน้าแล้ว”  เธอเชื่อว่าวันเวลาที่ดีกว่าอยู่ข้างหน้าแล้ว  นี่เป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่แย่?  ไม่มีใครรู้  ไม่มีใครรู้ว่าโชคชะตาในชีวิตของคนคนหนึ่งเป็นอย่างไร หรือมีอะไรอยู่ในภายภาคหน้า  ผู้คนล้วนโซซัดโซเซฟันฝ่าชีวิตเช่นนี้ พลางยึดมั่นในความปรารถนาที่สวยงามของตน

สิบปีผ่านไป สามีของเธอถูกโยกย้ายให้ไปทำงานอื่น และครอบครัวก็กลับมาอยู่ร่วมกันในที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี  แล้วในท้ายที่สุดสามีของเธอจะกลายเป็นคนที่เธอสามารถพึ่งพาได้หรือไม่?  เขาจะสามารถแบ่งปันความเจ็บปวดในชีวิตของเธอได้บ้างหรือไม่?  เพราะพวกเขาไม่เคยอยู่ด้วยกันและไม่เคยปฏิสัมพันธ์กันในระดับลึก เธอจึงไม่รู้จักสามีของเธอดีแต่อย่างใด  ในวันต่อๆ มา เธอกับสามีของเธอก็เริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันและทำความเข้าใจกันและกันลึกซึ้งมากขึ้น  แต่ความปรารถนาของเธอก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง  เธอหวังว่าชายคนนี้จะสามารถกลายเป็นผู้ที่เธอพึ่งพา ผู้ที่ชูใจเธอและบรรเทาความเจ็บปวดของเธอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ ยังคงไม่ได้เป็นอย่างที่เธอตั้งใจไว้  สามีคนนี้ซึ่งเธอไม่เคยปฏิสัมพันธ์ด้วยในระดับลึก ชายผู้นี้ซึ่งเธอไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ก็แค่ไม่สามารถกลายเป็นผู้ที่เธอพึ่งพาได้  เหตุผลก็คือความสามารถในการมีชีวิตรอด ลักษณะนิสัย มุมมองที่มีต่อชีวิต ค่านิยมของคนสองคนนี้ รวมทั้งท่าทีต่อลูกๆ  ครอบครัว และญาติพี่น้องของพวกเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  คู่สมรสคู่นี้ทะเลาะกันอยู่เป็นนิตย์ และต่อล้อต่อเถียงกันและกันในเรื่องไม่สลักสำคัญอย่างต่อเนื่อง  สตรีผู้นี้หวังลึกลงไปว่าเธอจะสามารถสู้ทนไปเรื่อยๆ เพื่อที่สามีของเธอจะได้มาเข้าใจความใจดีมีเมตตา ความอดทน และความยากลำบากของเธอ และหลังจากนั้นจะได้ซาบซึ้งในตัวเธอและเชื่อมสัมพันธ์กับเธอใหม่ แต่ความปรารถนาของเธอก็ยังคงไม่เป็นจริง  สำหรับเธอแล้ว ลึกลงไปนั้นสามีของเธอใช่คนที่เธอสามารถพึ่งพาได้หรือไม่?  เขาสามารถกลายเป็นคนที่เธอพึ่งพาได้หรือ?  (ไม่ เขาไม่สามารถ)  เมื่อใดก็ตามที่เธอเผชิญความลำบากยากเย็น สามีของเธอไม่เพียงแต่ล้มเหลวที่จะชูใจเธอและบรรเทาความเจ็บปวดของเธอเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วยังเพิ่มความเจ็บปวดของเธอด้วย ทำให้เธอรู้สึกผิดหวังและไร้หนทางยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ  ในเวลานี้ ความรู้สึกและความเข้าใจในชีวิตที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดในใจของเธอคืออะไร?  สิ่งเหล่านั้นคือความผิดหวังและความเจ็บปวด ซึ่งทำให้เธอตั้งคำถามว่า “พระเจ้ามีจริงหรือ?  เหตุใดชีวิตของฉันจึงยากลำบากเหลือเกิน?  ทั้งหมดที่ฉันต้องการคือใครสักคนให้พึ่งพา นั่นเป็นการเอ่ยขอมากเกินไปหรือ?  ฉันมีความปรารถนาน้อยๆ นี้อย่างเดียวเท่านั้น  เหตุใดความปรารถนานี้จึงยังไม่เป็นจริงในหลายปีที่ฉันใช้ชีวิตมา?  ข้อพึงประสงค์ของฉันไม่เกินเลยและฉันก็ไม่มีความทะเยอทะยานที่บ้าคลั่ง  ฉันแค่ต้องการใครสักคนให้พึ่งพาเมื่อใดก็ตามที่สิ่งทั้งหลายผิดพลาดไป ก็เท่านั้นเอง  เหตุใดความปรารถนาเล็กน้อยเช่นนี้จึงไม่อาจแม้แต่จะลุล่วงได้?”  สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปหลายปี  เห็นได้ชัดว่าชีวิตของครอบครัวนี้ไม่ค่อยกลมเกลียวนัก มีการโต้แย้งบ่อยครั้ง  ลูกๆ เศร้าและไม่มีความสุข พ่อแม่ของพวกเขาก็เช่นกัน  ไม่มีสันติสุขหรือความชื่นบานยินดีในครอบครัว และแต่ละคนก็รู้สึกถึงความกลัว ความหวาดหวั่น และความขวัญผวาเท่านั้น ตลอดจนความเจ็บปวดและความไม่สบายใจลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา

สองสามปีต่อมา ในที่สุดแล้วสิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น และข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้าก็เข้ามาหาเธอ  เธอรู้สึกว่าความปรารถนาของเธออาจจะเป็นจริงในท้ายที่สุด  เธอคิดว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพ่อของฉัน สามีของฉัน หรือใครก็ตามรอบๆ ตัวฉัน”  “ตราบที่ฉันพึ่งพาองค์พระเยซูเจ้าฉันย่อมสามารถมีสันติสุขรวมทั้งมีใครบางคนให้พึ่งพาจริงๆ และพบสันติสุขและความสุขที่แท้จริง จากนั้นชีวิตย่อมจะกลายเป็นความทุกข์ยากสาหัสน้อยลงเรื่อยๆ”  หลังจากยอมรับข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้า สตรีผู้นี้ก็มีความสุขมากขึ้น และแน่นอนว่าชีวิตของเธอเป็นหลักเป็นฐานขึ้นมาก  แม้ท่าทีที่สามีของเธอมีต่อเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลง และเขายังคงแข็งกร้าวเหมือนเมื่อก่อน เพิกเฉยต่อเธอและไม่แสดงความคำนึงถึงเธอ ความใส่ใจหรือความห่วงใย และแม้กระทั่งความอดทน ความสำนึกรู้คุณ หรือความยอมผ่อนปรน กระนั้นก็ตาม เนื่องจากเธอมีความรอดขององค์พระเยซูเจ้าในหัวใจของเธอ ท่าทีที่เธอมีต่อทั้งหมดนี้จึงเปลี่ยนไป  เธอไม่โต้แย้งหรือพยายามใช้เหตุผลกับสามีของเธออีกต่อไป เพราะเธอเกิดความเข้าใจว่าผู้คนไม่ได้อะไรเลยจากการโต้แย้งเกี่ยวกับสิ่งทั้งหมดนี้  เมื่อใดก็ตามที่สิ่งทั้งหลายผิดเพี้ยนไป เธอพูดกับองค์พระเยซูเจ้า และหัวใจของเธอก็กลายเป็นเปิดกว้างมากขึ้นเป็นอย่างมาก  ในหนทางนี้ ชีวิตครอบครัวของเธอจึงดูค่อนข้างเป็นหลักเป็นฐาน  แต่ช่วงเวลาที่ดีก็อยู่ไม่นาน และชีวิตของเธอก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง  ทันทีที่เธอเริ่มเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า เธอประกาศข่าวประเสริฐด้วยความกระตือรือร้น น้อมรับชีวิตคริสตจักร และให้การสนับสนุนพี่น้องชายหญิงของเธอ  อย่างไรก็ตาม สามีของเธอไม่เห็นชอบ  เขาเริ่มข่มเหงเธอและดุด่าเธอบ่อยครั้งด้วยการพูดสิ่งต่างๆ เช่น “คุณยังอยากใช้ชีวิตกับผมอยู่หรือเปล่า?  ถ้าคุณไม่ต้องการอยู่กับผมจริงๆ พวกเราแยกทางกันเถอะ!”  เธอไม่มีทางเลือกนอกจากแค่อธิษฐานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็ทนกับเรื่องนี้  แม้วันเวลาเช่นนี้จะลำบากยากเย็นและเจ็บปวด แต่แผลในหัวใจของเธอก็น้อยกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก และเธอยังสามารถรับเอาความชูใจบางส่วนจากคำอธิษฐานได้อีกด้วย  เมื่อใดก็ตามที่เธอทุกข์ใจ เธอจะอธิษฐานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า  ด้วยเหตุนี้หัวใจของเธอจึงมีที่พึ่งและได้รับความอิ่มเอมชั่วคราว และเธอก็รู้สึกว่าชีวิตของเธอดีขึ้นเป็นอย่างมาก

ลูกๆ ค่อยเติบโตขึ้น  เนื่องจากลูกๆ ใช้ชีวิตอยู่กับเธอตั้งแต่วัยเด็กและการรักใคร่เอ็นดูที่พวกเขามีให้เธอก็ค่อนข้างมากกว่า สตรีผู้นี้จึงรู้สึกว่า “ในเมื่อตอนนี้ลูกๆ ของฉันก็เติบโตกันแล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสามีของฉันอีกต่อไป ฉันสามารถพึ่งพาลูกๆ ของฉันได้”  เห็นได้ชัดว่าดูเหมือนว่าเธอได้มาพึ่งพาองค์พระเยซูเจ้าและได้วางหัวใจ ครอบครัว และแม้กระทั่งอนาคตและจุดหมายปลายทางในอนาคตของเธอไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว  แต่ในข้อเท็จจริงนั้น ลึกลงไปเธอยังคงยึดมั่นในความปรารถนานี้ที่มีให้กับผู้คนที่เธอสามารถพบเจอและผู้ที่มีสัมพันธภาพกับเธอ และเธอก็หวังว่าวันหนึ่งความปรารถนานี้จะเป็นจริง  เนื่องจากผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าสถิตอยู่ ณ ที่ใด พวกเขาจึงกล่าวว่าองค์พระเยซูเจ้าสถิตอยู่เคียงข้างพวกเขาและในหัวใจของพวกเขา แต่เธอคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงสามารถเป็นที่สัมผัสหรือมองเห็นได้ ดังนั้นนี่จึงทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ  เธอคิดว่าแค่พึ่งพาองค์พระเยซูเจ้าให้เฝ้าทอดพระเนตรเธอผ่านเหตุการณ์สำคัญๆ และปัญหาใหญ่ๆ ก็เพียงพอแล้ว แต่ในชีวิตจริงนั้นเธอก็ยังคงต้องพึ่งพาลูกๆ ของเธออยู่ดี  ตลอดเวลาทั้งหมดนี้ ความปรารถนาของเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลง และเธอก็ไม่ได้ปล่อยมือจากความปรารถนานี้  ตอนนี้เธอเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า แต่เหตุใดความปรารถนานี้จึงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง?  มีเหตุผลหลายประการสำหรับเรื่องนี้  เหตุผลหนึ่งก็คือเธอไม่เข้าใจความจริง อีกทั้งไม่รู้และไม่เข้าใจเกี่ยวกับอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้ามากนัก นี่คือเหตุผลที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง  เหตุผลที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงก็คือเธอเป็นคนขี้ขลาด  แม้เธอเชื่อในพระเจ้า แต่หลังจากรับประสบการณ์กับความเจ็บปวดมากมาย เธอก็ยังคงไม่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับนัยสำคัญของการเชื่อในพระเจ้า หรือเกี่ยวกับโชคชะตาของผู้คน การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และหนทางซึ่งพระผู้สร้างทรงใช้ในการทรงพระราชกิจ  สิ่งใดแสดงให้เห็นว่าเธอไม่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้?  อันดับแรกเลยก็คือ เธอเอาความสุขของตัวเองและการโหยหาลึกๆ ที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าของเธอไปฝากไว้กับคนอื่น โดยหวังว่าความปรารถนาของเธอจะได้รับการทำให้เป็นจริงด้วยความช่วยเหลือหรือการยื่นมือเข้ามาช่วยจากผู้อื่น  นี่คือทัศนะที่ผิดพลาดเกี่ยวกับชีวิตและโชคชะตาใช่หรือไม่?  (ใช่)  ทัศนะนี้ผิดพลาด  ในฐานะพ่อแม่ การเอาความหวังของเจ้าไปฝากไว้ที่ลูกๆ ของเจ้า โดยหวังว่าพวกเขาจะกตัญญูต่อเจ้าและสามารถให้การสนับสนุนเจ้าได้เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น เป็นความผิดพลาดหรือไม่?  นี่ไม่ใช่เรื่องผิดพลาด และไม่ใช่การเอ่ยขอที่มากเกินไป  แล้วในที่นี้อะไรคือปัญหา?  เธออยากมีชีวิตที่ดีด้วยการพึ่งพาลูกๆ ของเธออยู่ตลอดเวลา ใช้ชีวิตที่เหลือของเธอไปกับการพึ่งพาลูกๆ และคาดหวังอยู่เสมอว่าจะสุขสำราญกับสิ่งต่างๆ ที่มาจากลูกๆ  ทัศนะที่ผิดพลาดของเธอในการทำเช่นนี้คืออะไร?  เหตุใดเธอจึงมีแนวคิดนี้?  ต้นตอของการที่เธอมีทัศนะเช่นนี้คือสิ่งใด?  ผู้คนตั้งความหวังอย่างสูงลิ่วให้ได้หนทางดำเนินชีวิตบางอย่างและมาตรฐานในการดำรงชีวิตบางอย่างอยู่เสมอ  กล่าวคือ แม้ก่อนที่ผู้คนจะมารู้จักวิธีที่พระเจ้าทรงกำหนดชีวิตของพวกเขาไว้ล่วงหน้าหรือโชคชะตาของพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเขาได้วางแผนเอาไว้แล้วว่ามาตรฐานในการดำรงชีวิตของตนต้องเป็นอย่างไร ซึ่งก็คือพวกเขาต้องมีความสุข และมีสันติสุขและความชื่นบานยินดีในชีวิตของตน รวมทั้งร่ำรวยและมั่งมี และมีคนให้พึ่งพาและช่วยเหลือพวกเขา—ผู้คนได้วางแผนเส้นทางชีวิตของตนเอง เป้าหมายในชีวิตของตน บั้นปลายสุดท้ายในชีวิตของตน และทุกสิ่งทุกอย่างไว้แล้ว  ภายในทั้งหมดนี้มีการเชื่อใดๆ ในพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่ ไม่มี  สตรีผู้นี้มีทัศนะหนึ่งในชีวิตเสมอ กล่าวคือ หากฉันพึ่งพาคนนั้นคนนี้ ชีวิตของฉันย่อมจะกลายเป็นมีสันติสุขมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น และมั่งคั่งมากขึ้น หากฉันพึ่งพาคนนั้นคนนี้ ชีวิตของฉันย่อมจะเป็นหลักเป็นฐานมากขึ้น มั่นคงมากขึ้น และเปี่ยมความชื่นบานมากขึ้น  ทัศนะนี้ถูกหรือผิด?  (ทัศนะนี้ผิด)  หลังจากผ่านไปหลายปีเหลือเกิน เธอได้ไปถึงช่วงระยะของการเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าแล้ว แต่เธอก็ยังคงไม่ได้เห็นอย่างชัดเจนว่าชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร  เธอยังคงมีเจตนาและแผนการของตัวเอง อีกทั้งขบคิดหาเส้นทางในอนาคตและวางแผนชีวิตในอนาคตของตัวเอง  เมื่อมองเรื่องนี้ในขณะนี้ ท่าทีนี้ต่อชีวิตและการวางแผนประเภทนี้ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง?  (ไม่ถูกต้อง)  เพราะเหตุใด?  (เพราะเธอกำลังไล่ตามไขว่คว้าความมุ่งมาดปรารถนาและความปรารถนาของตัวเอง แทนที่จะเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากผู้คน)  สิ่งที่เธอกำลังไล่ตามไขว่คว้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าของพระเจ้า  แม้ก่อนที่เธอจะรู้ว่าพระเจ้ากำลังจะทรงทำสิ่งใด เธอมุ่งมั่นที่จะหาใครสักคนที่จะพึ่งพาเป็นอันดับแรก  เธอจะพึ่งพาคนคนนี้ในช่วงระยะนี้และคนคนนั้นในช่วงระยะถัดไป  ในหนทางนี้ เธอสูญเสียการพึ่งพาพระเจ้าของเธอไปและมาพึ่งพาผู้คนเท่านั้น แทนที่จะพึ่งพาพระเจ้า  เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเธอมีความปรารถนานี้และแผนการเหล่านี้อยู่เป็นนิตย์ เธอมีพระเจ้าในหัวใจของเธอหรือไม่?  (ไม่มี)  เช่นนั้นแล้ว ในระดับหนึ่ง อะไรเป็นสาเหตุของความเจ็บปวดที่มาจากการดิ้นรนทั้งหมดของเธอ?  (ความเจ็บปวดนี้เกิดจากความปรารถนาของเธอ)  เป็นจริงอย่างแน่นอนที่สุด  แล้วความปรารถนาของเธอเกิดขึ้นอย่างไร?  (จากการที่เธอไม่เชื่อในอธิปไตยของพระเจ้าหรือการที่เธอไม่เชื่อในการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์)  ถูกต้อง  เธอไม่เข้าใจว่าโชคชะตาของผู้คนเกิดขึ้นอย่างไร และเธอก็ไม่เข้าใจว่าอธิปไตยของพระเจ้าทำงานอย่างไร  นี่คือรากเหง้าของปัญหา

พวกเรามาพูดถึงเรื่องราวนี้กันต่อเถิด  เมื่อลูกๆ ของสตรีผู้นี้เติบโตขึ้น บางคนได้งานทำและคนอื่นๆ ลงหลักปักฐานและสมรส และแน่นอนว่าพวกเขาต้องจากพ่อแม่ของตนไปดำเนินชีวิตที่เป็นอิสระ และไม่สามารถกลับมาใช้เวลากับพ่อแม่ของตนได้บ่อยนัก  แล้วปัญหาถัดไปที่สตรีผู้นี้เผชิญคือสิ่งใด?  ความปรารถนาของเธอที่จะพึ่งพาลูกๆ ดูเหมือนจวนเจียนจะแหลกสลายไปอีกครั้ง  นั่นเป็นอีกหนึ่งโศกนาฏกรรมอันเจ็บปวด เป็นอีกเรื่องที่ส่งผลต่อประสบการณ์ชีวิตของเธอ  เนื่องด้วยเหตุผลนานาประการ ลูกๆ ของเธอจึงไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างเธอ หรือมาเยี่ยมเยียนและดูแลเธอได้บ่อยครั้งนัก  ดังนั้นความหวังของเธอที่ลูกๆ จะสามารถอยู่เคียงข้างเธอ กตัญญูและดูแลเธอ รวมทั้งความปรารถนาของเธอที่จะพึ่งพาลูกๆ เพื่อให้เธอจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และดำเนินชีวิตที่สะดวกสบายและมีความสุขมากขึ้น—ทั้งหมดนี้หลุดลอยห่างไกลจากเธอออกไปทุกที ด้วยเหตุนี้ข้อกังวล ความวิตกกังวล และการถวิลหาลูกๆ ของเธอจึงแรงกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ  นี่ไม่ใช่ความเจ็บปวดอีกแบบหนึ่งหรอกหรือ?  เมื่อเธอแก่ชราลงและปีแล้วปีเล่ากดทับลงบนใจของเธอทีละน้อย ความเจ็บปวดของเธอดิ่งลึกลงไปทุกที เช่นเดียวกับการถวิลหาลูกๆ ของเธอ  หลายปีผ่านไป และแม้ผู้คนที่สตรีผู้นี้พึ่งพาในแต่ละช่วงระยะของชีวิตของเธอจะแตกต่างกันไป พวกเขาล้วนจากเธอไปในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ทำให้ความปรารถนาหรือความหลงผิดของเธอแหลกสลายลงไปไม่มีชิ้นดี เหลือไว้เพียงความรู้สึกทรมานและระทมทุกข์อย่างใหญ่หลวงลึกลงไปในใจเธอ  เรื่องนี้นำสิ่งใดมาสู่เธอ?  เรื่องนี้เป็นเหตุให้เธอทบทวนชีวิตตัวเองหรือไม่?  หรือเป็นเหตุให้เธอทบทวนถึงวิธีที่พระผู้สร้างทรงจัดการเตรียมการโชคชะตาของผู้คนหรือไม่?  หากคนเราคำนึงถึงการคิดที่ปกติของผู้คน หลังจากรับฟังคำเทศนาบางอย่างและได้เข้าใจความจริงบางอย่างแล้ว พวกเขาควรรู้บางสิ่งเกี่ยวกับพระผู้สร้าง เกี่ยวกับชีวิตและเกี่ยวกับโชคชะตาของผู้คน  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเหตุผลต่างๆ และเพราะปัญหาเกี่ยวกับตัวเธอเองซึ่งเป็นตัวเอกในเรื่องราวนี้ จนถึงจุดนี้เธอก็ยังไม่สามารถเข้าใจและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เธอได้รับประสบการณ์และเผชิญในแต่ละช่วงระยะของชีวิตของเธอ อีกทั้งไม่รู้ว่าปัญหาของเธอคืออะไร และลึกลงไปในหัวใจของเธอ เธอยังคงถวิลหาใครบางคนที่จะพึ่งพา  แล้วใครกันแน่ที่เธอควรพึ่งพา?  เป็นความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่ผู้คนพึ่งพา แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงสำหรับแค่ให้ผู้คนพึ่งพา พระองค์ไม่ได้ทรงดำรงอยู่เพื่อสิ่งเหล่านี้เท่านั้น  การที่ผู้คนรู้วิธีที่จะเข้ากันได้กับพระผู้สร้าง วิธีรู้จักพระเจ้าและนบนอบพระองค์ เป็นเรื่องสำคัญมากกว่า—นี่ไม่ใช่แค่สัมพันธภาพของการพึ่งพาและการเป็นที่พึ่งพา

หลังจากสตรีผู้นี้สูญเสียการพึ่งพาลูกๆ ของเธอไป และพอเธอเข้าสู่วัยชรา เธอก็ฝากความหวังไว้กับสามีของเธอ ซึ่งกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เธอจะคว้าเอาไว้  เธอต้องพึ่งพาเขาในเรื่องสิ่งจำเป็นพื้นฐานเพื่อดำเนินชีวิตต่อไป  เธอต้องหาทางที่จะทำให้สามีของเธอมีชีวิตอยู่อีกสักสองสามปี เพื่อที่เธอจะได้สามารถฉวยประโยชน์บางอย่างให้กับตัวเอง  นั่นคือสิ่งที่เธอพึ่งพา  ด้วยเหตุที่ได้มีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ สตรีวัยชราผู้นี้จึงมีผมสีดอกเลาเต็มศีรษะ มีใบหน้าเหี่ยวย่น และฟันของเธอก็ร่วงหลุดไปเกือบหมดแล้ว  แม้รูปลักษณ์ของเธอเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ยังคงเป็นเช่นเดิมก็คือในแต่ละช่วงระยะของชีวิตของเธอ เธอเจอทางตัน และทั้งๆ ที่เจอทางตันหลายครั้ง เธอก็มีความปรารถนาแบบเดิมไม่เสื่อมคลาย—นั่นก็คือความปรารถนาที่จะมีใครบางคนให้พึ่งพา  อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือความหลงผิดของเธอเกี่ยวกับพระสัญญาที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน ตลอดจนความหลงผิดบางอย่างเกี่ยวกับตัวเธอเอง มวลมนุษย์ รวมทั้งโชคชะตาและจุดหมายปลายทางในอนาคตของเธอ  แม้ลึกลงไปนั้นความหลงผิดเหล่านี้จะกลายเป็นคลุมเครือและห่างไกลออกไปมากขึ้นทุกที แต่บางทีเธออาจจะยังคงมีความหวังริบหรี่อยู่ลึกๆ ในหัวใจของเธอว่า “ในขวบปีที่เหลือของฉัน หากฉันสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับใครสักคนที่ฉันสามารถพึ่งพาได้ หรือฉันสามารถมองเห็นวันที่พระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดและพระองค์ทรงได้รับพระเกียรติ เช่นนั้นชีวิตนี้ย่อมจะไม่สูญเปล่า”  นั่นคือชีวิตของสตรีผู้นี้  และเรื่องราวก็จบลงตรงนี้  ชื่อของเรื่องราวนี้ควรเป็นอะไร?  (“ฉันพึ่งพาใคร”)  เป็นชื่อเรื่องที่ดีและทำให้ฉุกคิดมากทีเดียว

กลับไปที่หัวข้อของสามัคคีธรรมของพวกเรา เรื่องราวนี้เกี่ยวข้องอะไรกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า?  ส่วนใดสัมพันธ์กับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า?  ส่วนนั้นสัมพันธ์กับมโนคติอันหลงผิดแบบใด?  จงแบ่งปันความคิดของพวกเจ้าเถิด  (ผู้คนรู้สึกว่าพระเจ้าควรทรงสำเร็จลุล่วงสิ่งทั้งหลายตามความคาดหวังและแผนการของตน  นี่คือมโนคติอันหลงผิดแบบที่ผู้คนมี)  ภายในมโนคติอันหลงผิดของผู้คนนั้น ผู้คนคิดว่า ตราบเท่าที่ความปรารถนาของพวกเขาดีและเป็นบวก พระผู้สร้างก็ควรประทานความปรารถนาเหล่านั้น และเชื่อว่าพวกเขาไม่ควรถูกริดรอนสิทธิในการเพียรพยายามไปสู่ชีวิตที่งดงาม  นี่คือมโนคติอันหลงผิด  การทำให้ลุล่วงของพระผู้สร้างสอดคล้องกับความปรารถนาของมนุษย์ กับความหวังของเขา กับจินตนาการของเขาหรือไม่?  (ไม่สอดคล้อง)  เช่นนั้นแล้ว พระผู้สร้างทรงกระทำการในหนทางใด?  โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าเป็นใคร และโดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าได้วางแผนอะไรไว้ จินตนาการของเจ้าเพียบพร้อมและทรงเกียรติเพียงใด หรือสิ่งเหล่านั้นเข้ากันกับความเป็นจริงของชีวิตของเจ้ามากเพียงใด แต่พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรสิ่งใดในสิ่งเหล่านี้เลย อีกทั้งพระองค์ไม่ใส่พระทัยสิ่งเหล่านี้ แต่สิ่งต่างๆ กลับได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วง จัดวางเรียบเรียง และจัดการเตรียมการโดยสอดคล้องกับวิธีการและธรรมบัญญัติที่พระเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้เสียมากกว่า  นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  ผู้คนบางคนคิดว่า “หลังจากความยากลำบากมากเหลือคณานับที่ข้าพระองค์ได้ผ่านประสบการณ์ในชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่มีสิทธิที่จะมีชีวิตที่ดีหรือ?  เมื่อข้าพระองค์มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง ข้าพระองค์จะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะร้องขอและเฝ้ารอชีวิตที่งดงามและบั้นปลายที่งดงามหรือ?”  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์หรือ?  มโนคติอันหลงผิดและความคิดที่มนุษย์ทำให้มีขึ้นต่อพระเจ้าเช่นนี้คืออะไรบ้าง?  สิ่งเหล่านั้นคือข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผล  ข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  (ผู้คนไม่รู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้า)  นี่เป็นเหตุผลเชิงวัตถุวิสัย  เหตุผลเชิงอัตวิสัยคืออะไร?  นั่นก็คือว่าพวกเขามีอุปนิสัยที่เป็นกบฏ และพวกเขาไม่เต็มใจที่จะแสวงหาความจริงหรือนบนอบอธิปไตยหรือการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง  ชีวิตที่พระผู้สร้างจัดการเตรียมการให้ผู้คนส่วนใหญ่เป็นชีวิตแห่งความยากลำบาก หรือเป็นชีวิตที่มีความสุขและไร้กังวล?  (ชีวิตแห่งความยากลำบาก)  ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตแห่งความยากลำบาก พร้อมกับความลำบากยากเย็นมากเกินไปและความเจ็บปวดมากเกินไป  อะไรคือพระประสงค์ของพระผู้สร้างในการจัดการเตรียมการความยากลำบากให้กับผู้คนในระหว่างชั่วชีวิตของพวกเขา?  อะไรคือนัยสำคัญของการจัดการเตรียมการนี้?  ในแง่หนึ่ง การจัดการเตรียมการเช่นนี้หมายที่จะเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ผ่านประสบการณ์กับและรู้จักอธิปไตย การจัดการเตรียมการ และสิทธิอำนาจของพระเจ้า ในอีกแง่หนึ่ง พระประสงค์เบื้องต้นของพระองค์คือเพื่อให้ผู้คนได้ผ่านประสบการณ์ว่าจริงๆ แล้วชีวิตคืออะไร และจากการนั้น ตระหนักว่าโชคชะตาของมนุษย์ถูกควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่ได้ถูกตัดสินใจโดยบุคคลใด หรือเปลี่ยนแปลงไปโดยสืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในเจตจำนงเชิงอัตวิสัยของผู้คน  ไม่ว่าพระผู้สร้างทรงทำอะไร และไม่ว่าจะเป็นชีวิตหรือชะตากรรมชนิดใดที่พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้ผู้คน พระองค์ก็ทรงทำให้พวกเขาคิดทบทวนชีวิตและสิ่งที่โชคชะตาของมนุษย์เป็นจริงๆ และขณะที่พวกเขาคิดทบทวนสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด พระองค์ก็ทรงทำให้พวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงแสดงความจริงและตรัสบอกผู้คนว่าทั้งหมดนี้คืออะไร พระองค์ก็ทรงทำให้ผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ยอมรับสิ่งที่พระเจ้าตรัส ผ่านประสบการณ์กับสิ่งที่พระเจ้าตรัส เข้าใจว่าจริงๆ แล้วอะไรคือสัมพันธภาพระหว่างทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับทุกสิ่งที่ผู้คนผ่านประสบการณ์ด้วยในชีวิตจริงของพวกเขา  พระองค์ทรงให้ผู้คนประสบด้วยตนเองถึงความสัมพันธ์กับชีวิตจริง ความถูกต้องแม่นยำ และคุณสมบัติความเป็นจริงของความจริงเหล่านี้ ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้รับสิ่งเหล่านั้นไว้ และยอมรับรู้ว่ามนุษย์ถูกควบคุมในพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง และโชคชะตาของมนุษย์ถูกปกครองและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า  ทันทีที่ผู้คนได้เข้าใจทั้งหมดนี้แล้ว พวกเขาก็จะไม่มีแผนการที่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงใดๆ สำหรับชีวิตของพวกเขาอีกต่อไป และพวกเขาจะไม่วางแผนที่จะขัดแย้งต่อความทรงปรารถนาของพระผู้สร้าง อีกทั้งสิ่งที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติและจัดการเตรียมการไว้ แต่พวกเขากลับจะมีการประเมินและความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำขึ้นเรื่อยๆ หรือความหยั่งรู้และแผนการ ว่าชีวิตของพวกเขาควรใช้อย่างไรและถนนที่พวกเขาควรใช้เสียมากกว่า  นี่คือจุดประสงค์และนัยสำคัญของความยากลำบากมากมายที่พระผู้สร้างทรงจัดการเตรียมการในชีวิตของผู้คน

กลับมาที่เรื่องราวนี้ หลังจากตัวเอกได้มีประสบการณ์กับความยากลำบากมากมาย เธอมีความเข้าใจอย่างไรเกี่ยวกับเหตุผลว่าเหตุใดเธอจึงได้ทนทุกข์กับความยากลำบากและความเจ็บปวดในชีวิตนี้ รวมทั้งเหตุผลว่าเหตุใดพระผู้สร้างจึงทรงจัดวางเรียบเรียงและทรงจัดการเตรียมการสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้?  เจ้าสามารถมองเห็นความเข้าใจนั้นจากเรื่องราวนี้หรือไม่?  เธอได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดเธอจึงไม่ได้รับความเข้าใจดังกล่าว?  (เพราะในแต่ละช่วงระยะของชีวิตของเธอ และในแต่ละจุดเปลี่ยนในชีวิตของเธอ เมื่อความปรารถนาของเธอแหลกสลายลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า เธอไม่ได้ทบทวนหรือลงความเห็นในเรื่องที่ว่าเหตุใดความฝันชั่วชีวิตของเธอจึงไม่อาจมีวันเป็นจริงได้เลย  หากเธอสามารถทบทวนและแสวงหาความจริง เธอคงจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว  อย่างไรก็ตาม เธอไม่เข้าใจอธิปไตยของพระผู้สร้าง และสามารถทำได้เพียงมุ่งมั่นไปต่อกับความฝันของเธอและหวังว่าวันหนึ่งอยู่ๆ โชคชะตาของเธอจะเปลี่ยนไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  ในระหว่างกระบวนการนี้เธอขัดขืนและดิ้นรนอยู่เป็นนิตย์ เธอจึงระทมทุกข์เหลือคณานับด้วยเหตุนี้)  เป็นเช่นนั้นนั่นเอง  เพราะเธอเลือกเส้นทางที่ผิด แต่เธอไม่รู้เรื่องนี้  เธอคำนึงถึงเส้นทางนี้ว่าเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นการไล่ตามเสาะหาที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและความปรารถนาที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของเธอ จากนั้นก็ทำงานหนัก ต่อสู้ และดิ้นรนในทิศทางนั้น  เธอไม่เคยกังขาว่าความปรารถนาของเธอสมจริงหรือไม่ และเธอก็ไม่กังขาความถูกต้องของความปรารถนานี้ของเธอ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เธอกลับไล่ตามไขว่คว้าในทิศทางนี้อย่างดื้อดึง ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือหันเหไปทางอื่นเลย  เช่นนั้นจุดประสงค์ของพระเจ้าในการประทานความยากลำบากมากมายเหลือเกินในชีวิตให้เธอคืออะไร?  การที่พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ  ในชีวิตของคนคนใดก็ตาม พระเจ้าทรงจัดการเรียบเรียงประสบการณ์บางอย่างที่ไม่ธรรมดาและประสบการณ์บางอย่างที่เจ็บปวดให้กับพวกเขา  โดยข้อเท็จจริงแล้ว พระผู้สร้างกำลังทรงใช้วิธีการนี้และข้อเท็จจริงเหล่านี้เพื่อบอกเจ้าไม่ให้ดำเนินต่อไปเช่นนี้ และเส้นทางนี้นำไปสู่ที่ไหนไม่ได้เลย และเส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางที่เจ้าควรเดิน  เจ้ามองเห็นอะไรอย่างไม่อาจจับต้องได้ในเรื่องนี้?  นี่คือการที่พระเจ้าทรงเลือกเส้นทางให้กับผู้คน และนี่ยังเป็นหนทางของพระเจ้าในการตรัสกับผู้คนเช่นกัน รวมทั้งเป็นหนทางของพระองค์ในการช่วยผู้คนให้รอดและให้ผู้คนหลุดพ้นจากมโนคติอันหลงผิดที่ไม่ถูกต้องและหนทางอันดื้อดึงของตน  นี่ยังเป็นหนทางของพระเจ้าในการตรัสบอกกับเจ้าเช่นกันว่า เส้นทางที่เจ้าเลือก คือปลักตม หลุมไฟ ถนนที่ไม่หวนกลับ และเจ้าต้องไม่เดินบนถนนเส้นนี้  หากเจ้าดำเนินต่อไปเรื่อยไปในลักษณะนี้ เจ้าย่อมจะทนทุกข์ต่อไป  นี่ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ไม่ใช่เส้นทางที่เจ้าควรเดิน และไม่ใช่เส้นทางที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าให้เจ้า  หากเจ้าเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม เช่นนั้นหลังจากรับประสบการณ์กับความยากลำบาก เจ้าย่อมจะทบทวนว่า “เหตุใดฉันจึงรับประสบการณ์กับความยากลำบากเช่นนี้?  เหตุใดฉันจึงเจอทางตัน?  เส้นทางนี้ไม่เหมาะสมกับฉันกระนั้นหรือ?  แล้วฉันควรเดินบนเส้นทางใดและฉันควรใช้ทิศทางใดในชีวิต?”  ขณะที่เจ้ากำลังทบทวนอยู่นั้น พระเจ้าจะประทานแรงบันดาลใจและการทรงนำบางอย่างให้เจ้า หรือทรงชี้ให้เห็นทิศทางที่ถูกต้องซึ่งเจ้าควรใช้ในก้าวย่างถัดไป  พระเจ้ากำลังทรงนำเจ้าอยู่เป็นนิตย์ เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถทำความเข้าใจเส้นทางข้างหน้าซึ่งพระองค์ได้ทรงวางแผนให้เจ้าในชีวิตจริงได้อย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงและถูกต้องแม่นยำมากขึ้น  ตัวเอกในเรื่องราวนี้ที่เราเพิ่งบอกเจ้าทำเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่ เธอไม่เคยทบทวน)  เธอมีอุปนิสัยแบบใด?  (การดื้อแพ่ง)  การดื้อแพ่ง—นี่เป็นปัญหามาก  จากเวลาที่เธอเป็นเด็กจนถึงเวลาที่เธอเป็นสตรีวัยชราผมสีดอกเลา ความปรารถนาของเธอที่จะมีใครสักคนให้พึ่งพาไม่เคยเปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าก่อนหน้านี้เธอได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้าและได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกว่าพระผู้สร้างทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งอย่างไรหรือไม่ หรือเมื่อเธอเริ่มนึกถึงข่าวประเสริฐของพระเจ้าและพระเจ้าตรัสบอกความจริงทั้งหมดนี้กับเธอ ความปรารถนาของเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ—นี่คือแง่มุมที่น่าเศร้าที่สุด  ผู้คนมีความคิดและแนวคิดต่างๆ  จุดประสงค์ของพระเจ้าในการทรงสร้างทั้งหมดนี้ให้ผู้คนคืออะไร?  เพื่อให้ผู้คนรับรู้และเข้าใจผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้พวกเขา  ในฐานะคนคนหนึ่งที่มีมโนธรรมและสำนึก พวกเขาย่อมจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระผู้สร้างไม่มากก็น้อยและในระดับความลึกที่แตกต่างกันเมื่อหัวใจของพวกเขาเห็นคุณค่าสิ่งทั้งหมดนี้ที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียง นี่คือหนทางหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจที่ปฏิบัติได้จริงและเป็นจริงเป็นอย่างยิ่ง  แต่เพราะผู้คนโอหังและดื้อแพ่งเกินไป และไม่สามารถยอมรับความจริงได้โดยง่าย จึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระผู้สร้าง  ความดื้อแพ่งของผู้คนสำแดงออกมาอย่างไร?  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสหรือทรงกระทำสิ่งใด ผู้คนยังคงยึดมั่นในสิ่งทั้งหลายของตนเอง  วิธีคิดของพวกเขาก็คือ “ฉันต้องการวางแผนชีวิตของฉัน  ฉันมีแนวคิด ฉันมีสมอง ฉันได้รับการศึกษา และฉันสามารถควบคุมชีวิตของฉันได้  ฉันสามารถมองเห็นแหล่งที่มาของทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของฉัน และฉันก็สามารถจัดวางเรียบเรียงทั้งหมดนี้ได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นฉันจึงสามารถวางแผนความสุขของตัวเอง อนาคตของตัวเอง และจุดหมายปลายทางในอนาคตของตัวเองได้”  เมื่อพวกเขาเจอทางตัน พวกเขาก็พูดว่า “ฉันล้มเหลวในครั้งนี้ คราวหน้าฉันจะพยายามอีกครั้ง”  พวกเขาเชื่อว่านี่คือวิธีที่ผู้คนควรดำเนินชีวิต และหากคนคนหนึ่งไม่มีจิตวิญญาณแห่งการแข่งขัน พวกเขาย่อมจะไร้คุณค่าและน่าสมเพชอย่างที่สุดในชีวิตนี้  อะไรคือต้นตอของความดื้อแพ่งของพวกเขา?  อะไรคือเหตุผลสำหรับเรื่องนี้?  เป็นเพราะพวกเขาเชื่อเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าพวกเขาต้องเป็นคนที่เข้มแข็งแทนที่จะเป็นคนที่อ่อนแอ และพวกเขาต้องไม่พ่ายแพ้ต่อชีวิต นับประสาอะไรกับการถูกผู้อื่นดูแคลน และผู้คนควรเป็นอิสระและสามารถแข่งขันได้ รวมทั้งมีความตั้งใจแน่วแน่ และได้รับการเคารพนับถืออย่างสูงส่งจากผู้อื่น  อุปนิสัยเหล่านี้ แนวคิดเหล่านี้ และความคิดเหล่านี้ครอบงำพฤติกรรมของพวกเขา จึงทำให้ในแต่ละครั้งที่พวกเขาเผชิญความลำบากยากเย็น สภาวะที่ลำบากใจ หรือความเจ็บปวดที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงให้พวกเขา พวกเขาก็เลือกหนทางเดิมๆ ซึ่งก็คือหนทางของการยืนกรานกับความคิดของตนเอง ไม่กลับตัว และแน่นอนว่าเป็นการยืนกรานจนถึงที่สุดกับสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาคิดว่าดี ถูกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อตัวพวกเขาเอง รวมทั้งการเป็นคนที่สามารถแข่งขันได้  แน่นอนว่าเป็นเพราะอุปนิสัยอันดื้อแพ่งนี้นี่เองที่นำพาพวกเขาให้ทำการตัดสินโดยไม่รู้ความและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากมาย รวมทั้งทำให้เกิดความเข้าใจและการรู้ซึ้งที่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากมาย

เราเพิ่งพูดถึงแง่มุมหนึ่งของอุปนิสัยของผู้คน—ซึ่งก็คือความดื้อแพ่ง  เพราะความดื้อแพ่งของผู้คน เมื่อพวกเขาเผชิญสภาพการณ์ที่เจ็บปวดและสภาวะที่ลำบากใจซึ่งพระผู้สร้างทรงจัดเตรียมไว้ให้พวกเขา ท่าทีของพวกเขาไม่ใช่การนบนอบ แต่กลับเป็นการยึดมั่นในสิ่งใดก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาและไม่ละทิ้งสิ่งดังกล่าว  พระเจ้าทรงจัดการกับพฤติกรรมเช่นนี้อย่างไร?  พระราชกิจของพระเจ้าเป็นอิสระจากเจตจำนงของผู้คน แล้วพระเจ้าทรงจัดการกับการกระทำของผู้คนเช่นนี้อย่างไร?  แน่นอนว่าพระเจ้าจะไม่ตรัสว่า “คราวนี้เจ้าล้มเหลว ดังนั้นเจ้าย่อมจบสิ้นแล้ว  คนเช่นเจ้าไร้ประโยชน์ และเราไม่ต้องการเจ้าอีกต่อไป”  พระเจ้ายังไม่ได้ทรงละทิ้งผู้คน  พระองค์ทรงใช้หนทางเดิมเรื่อยไป ทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมต่างๆ และผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายนานา เพื่อที่ผู้คนจะได้สามารถรับประสบการณ์กับความเจ็บปวดอย่างเดียวกันและเผชิญสภาวะที่ลำบากอย่างเดียวกัน  จุดประสงค์ของการนี้คืออะไร?  (การนี้ทำให้ผู้คนตั้งสติ)  การนี้ทำให้ผู้คนทบทวน ตั้งสติ และละทิ้งทัศนะที่ดื้อดึงของตน  พระเจ้าทรงใช้วิธีการอันเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์เองเพื่อสนทนากับมนุษย์ในหนทางนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และเพื่อปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในหนทางนี้  ในท้ายที่สุดแล้ว อะไรคือผลลัพธ์ที่พระเจ้าต้องประสงค์จะสัมฤทธิ์ผ่านทางการทำงานด้วยวิธีการนี้?  พระเจ้าทรงนำผู้คนด้วยการทำให้พวกเขาก้าวผ่านสภาวะที่ลำบาก ความระทมทุกข์ต่างๆ และแม้กระทั่งความเจ็บป่วยและโชคร้ายของครอบครัวตลอดชีวิตของพวกเขา  จุดประสงค์ในการทำให้ผู้คนมีประสบการณ์กับความทุกข์ก็เพื่อให้พวกเขาทบทวนและเข้าใจในดวงจิตของตนอยู่เป็นนิตย์ รวมทั้งเพื่อยืนยันลึกลงไปว่า “นี่ใช่การจัดการเตรียมการของพระเจ้าหรือไม่?  ฉันควรเดินบนเส้นทางในอนาคตของฉันอย่างไร?  ฉันควรเปลี่ยนทิศทางหรือไม่?  ฉันควรแสวงหาหนทางแห่งความจริงหรือไม่?  ฉันควรเปลี่ยนหนทางที่ฉันดำเนินชีวิตหรือไม่?”  พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนรับประสบการณ์กับความเจ็บปวด ความทุกข์เข็ญ โชคร้าย และสภาวะที่ลำบากทุกประเภท เพื่อที่หลังจากนั้นพวกเขาจะได้รับการยืนยันลึกลงไปในหัวใจของตนว่ามีองค์อธิปัตย์ผู้ทรงปกครองเหนือโชคชะตาของผู้คน และผู้คนไม่อาจดื้อรั้น โอหัง หรือดื้อดึง แต่ต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบ—นบนอบสภาพแวดล้อม นบนอบโชคชะตา และนบนอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวพวกเขา  ก่อนที่เจ้าได้ยินพระวจนะที่ชัดเจนของพระเจ้า พระเจ้าทรงใช้หนทางและข้อเท็จจริงเหล่านี้เพื่อทำให้เจ้ารับประสบการณ์กับสภาพแวดล้อม ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกจำพวก รวมทั้งเพื่อทำให้เจ้ายืนยันลึกลงไปในหัวใจของตนอยู่เป็นนิตย์ว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการโชคชะตาของผู้คน ไม่มีบุคคลใดถือครองอธิปไตยเหนือการนั้น และผู้คนไม่สามารถถือครองอธิปไตยเหนือโชคชะตาของตัวเอง  เจ้ามีความเข้าใจหรือเสียงแบบนี้ลึกลงไปในหัวใจของตน และเจ้าก็ยืนยันอยู่เป็นนิตย์ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามีประสบการณ์ไม่ได้เกิดจากบุคคลคนหนึ่งคนใด อีกทั้งไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ และไม่ได้เกิดขึ้นจากเหตุผลหรือสภาพการณ์ที่มีอยู่จริง แต่เป็นพระเจ้าผู้ทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพระหัตถ์ที่มองไม่เห็น  ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่คนคนหนึ่งพบกับอีกคนและบางสิ่งเกิดขึ้นหรือพวกเขาเผชิญสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของตน  ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่คนคนหนึ่งทุกข์ร้อนจากโรคและหลังจากนั้นก็ได้รับพรอันยิ่งใหญ่  นี่คือการที่พระเจ้าตรัสบอกแต่ละคนในหนทางที่เป็นเอกลักษณ์ กล่าวคือ พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือโชคชะตาของผู้คน พระเจ้ากำลังทรงเฝ้ามองและทรงนำทางผู้คนในแต่ละวัน และทรงนำทุกคนให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวันและตลอดชีวิตของพวกเขา  นอกจากการให้ผู้คนรู้ว่าพระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือโชคชะตาของมวลมนุษย์ เหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คน เหนือบั้นปลายของมวลมนุษย์ และแน่นอนที่สุดว่าเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมวลมนุษย์ พระเจ้าต้องประสงค์จะสัมฤทธิ์อะไรอีก?  นั่นก็คือการทำให้มโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และข้อเรียกร้องซึ่งไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่ผู้คนมีต่อพระเจ้าพระผู้สร้างค่อยๆ เลือนหาย ปลาสนาการไป และถูกทิ้งไป จากนั้นก็เพื่อให้ผู้คนค่อยๆ ไปถึงจุดที่พวกเขาสามารถรับรู้และเข้าใจได้อย่างชัดเจนถึงหนทางซึ่งพระผู้สร้างทรงใช้ในการทรงนำมวลมนุษย์และหนทางซึ่งพระผู้สร้างทรงใช้ในการจัดการเตรียมการโชคชะตาของชีวิตทั้งชีวิตของผู้คน  เช่นนั้นจากสิ่งเหล่านี้ผู้คนย่อมสามารถมองเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงมีพระอุปนิสัยและพระเจ้าทรงชัดแจ้งและเหมือนมีชีวิต  พระองค์ไม่ใช่รูปปั้นดินเหนียว ไม่ใช่หุ่นยนต์ และพระองค์ไม่ใช่สิ่งที่ทรงสร้างซึ่งไม่มีชีวิตจิตใจที่ผู้คนคิดฝัน แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์กลับทรงมีชีวิตและพระอุปนิสัย  ในแง่หนึ่งนั้น เรื่องนี้ทำให้ผู้คนเข้าใจหนทางซึ่งพระผู้สร้างทรงใช้ในการทรงพระราชกิจและทรงทำให้ผู้คนปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดทุกจำพวก ความคิดฝัน รวมทั้งเหตุผลและตรรกะอันว่างเปล่าบางอย่างซึ่งไม่คล้อยตามความเป็นจริง  สรุปสั้นๆ ก็คือ เรื่องนี้ทำให้ผู้คนปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่ว่างเปล่าทั้งหมดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  ในอีกแง่หนึ่ง ทันทีที่พวกเขาปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้ ผู้คนย่อมสามารถยอมรับและนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์  นี่คือผลลัพธ์เล็กน้อยในแง่หนึ่ง แต่ในอีกแง่หนึ่งก็มีผลลัพธ์ที่พวกเจ้ายังไม่ได้เห็น และเป็นผลลัพธ์ที่ใหญ่สุดและลุ่มลึกที่สุด  ผลลัพธ์ที่ว่านี้คืออะไร?  นั่นก็คือพระเจ้าทรงใช้หนทางเหล่านี้เพื่อตรัสบอกผู้คนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำและทรงสำเร็จลุล่วงกับผู้คน พระองค์ทรงกระทำในสภาวะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นจริงอย่างยิ่ง  ทันทีที่ผู้คนเข้าใจเรื่องนี้ พวกเขาย่อมจะทิ้งสิ่งที่ว่างเปล่าและเป็นภาพมายาบางอย่าง เชื่อฟังและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างอย่างแท้จริง จากนั้นจึงเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างที่พระผู้สร้างทรงจัดเตรียมในชีวิตจริงอย่างแท้จริง แทนที่จะใช้ทฤษฎีหรือแนวคิดทางศาสนาหรือความรู้ทางเทววิทยาที่ว่างเปล่าบางอย่างเพื่อคิดฝันถึงพระผู้สร้าง หรือเพื่อจัดการกับบางสิ่งในชีวิต  นี่คือผลลัพธ์ที่พระเจ้าต้องประสงค์จะทอดพระเนตรเห็น และคือสิ่งที่พระองค์ต้องประสงค์จะสัมฤทธิ์ในตัวผู้คน  ดังนั้นในช่วงระยะแรก ก่อนที่เจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระผู้สร้างและเข้าใจพระวจนะอันชัดเจนของพระผู้สร้างเกี่ยวกับความจริงนานาประการ หนทางที่พระเจ้าทรงพระราชกิจกับผู้คนคือการจัดการเตรียมการสถานการณ์อันหลากหลายให้เจ้าก้าวผ่านและรับประสบการณ์  เมื่อเจ้ามีการยืนยันบางอย่าง และเมื่อเจ้ามีความรู้สึกบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ลึกลงไปในหัวใจของเจ้า และได้รับแรงดลใจจากสิ่งเหล่านี้และเข้าใจสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าย่อมจะตรัสบอกเจ้าด้วยพระวจนะอันชัดเจนว่าชีวิตเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร พระเจ้าทรงเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร มนุษย์มาดำรงอยู่ได้อย่างไร และผู้คนควรเดินบนเส้นทางใด  ในหนทางนี้ บนพื้นฐานของการเชื่อว่ามนุษย์มาจากพระเจ้าและถูกพระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา รวมทั้งการเชื่อว่ามีองค์อธิปัตย์อยู่ท่ามกลางฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก และสรรพสิ่ง เช่นนั้นผู้คนจึงเดินบนเส้นทางของความเชื่อในพระเจ้า และมายอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้าในเวลาต่อมา และยอมรับความรอดและการทำให้เพียบพร้อมของพระเจ้า—ประสิทธิผลของเรื่องนี้ดียิ่งขึ้นไปอีก  ทีนี้ ใครคือผู้คนทั้งหมดที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้าย?  อย่างน้อยที่สุด พวกเขายอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าและเชื่อว่าโลกของทั้งจักรวาลอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า  พวกเขายังเชื่อในโชคชะตาอีกด้วย รวมทั้งเชื่อว่าชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของโลกวิญญาณและการดำรงอยู่ของสวรรค์และนรก และโชคชะตาของผู้คนถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว  จากท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ พระเจ้าทรงเลือกประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร ผู้ที่รักความจริงและสามารถยอมรับความจริงได้  พวกเขาสามารถเข้าใจพระสุรเสียงของพระเจ้าและยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า  นี่คือหนทางหนึ่งและหลักธรรมหนึ่งซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจ

พวกเราเพิ่งพูดถึงวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจกับผู้คนรวมทั้งหนทางซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจ  พวกเราพาดพิงถึงสิ่งเหล่านี้เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้กล่าวเลยว่ามโนคติอันหลงผิดของผู้คนคืออะไรหรือผู้คนเรียกร้องสิ่งใดต่อพระเจ้า  ตอนนี้พวกเรามาสามัคคีธรรมประเด็นปัญหาในแง่มุมนี้กันเถิด  เนื่องจากในสามัคคีธรรมนี้พวกเรากล่าวถึงว่าผู้คนมีแนวคิดและความเข้าใจที่ว่างเปล่าและคลุมเครือเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเรามาหาตัวอย่างบางส่วนเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้รวมทั้งพูดถึงตัวอย่างทั้งที่เป็นบวกและเป็นลบกันสักเล็กน้อยเถิด  บนรากฐานนี้ เช่นนั้นผู้คนจะไม่สามารถเข้าใจได้กระนั้นหรือว่าความคิดฝันใดกลวงเปล่าพอควรและค่อนข้างคลุมเครือและเป็นมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า?  เริ่มด้วยเรื่องราวที่เราบอกเจ้าก่อนหน้านี้ ตัวเอกของเรื่องราวนี้ก้าวผ่านประสบการณ์อันเจ็บปวดจำนวนหนึ่งในชีวิต  หลังจากประสบการณ์อันเจ็บปวดแต่ละอย่าง พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและทรงจัดวางเรียบเรียงโชคชะตาของเธอและทรงนำทางเธอไปบนถนนข้างหน้าต่อไปโดยใช้วิธีการของพระองค์เอง  แม้เธอไม่เข้าใจ ไม่รู้ และไม่ทบทวน แต่พระเจ้าก็ยังทรงทำเช่นนี้ ดังที่พระองค์ได้ทรงทำเสมอมา  ในช่วงระยะนี้ เธอแสดงความคิดบางอย่างเกี่ยวกับหนทางนี้ซึ่งพระผู้สร้างทรงใช้ในการทรงพระราชกิจหรือไม่?  จะกล่าวได้หรือไม่ว่าความคิดเหล่านี้เป็นมโนคติอันหลงผิดจำพวกหนึ่ง? ความคิดเหล่านี้และมโนคติอันหลงผิดจำพวกนี้คืออะไรกันแน่?  อันดับแรกเลยก็คือ ในแง่มุมของตัวเอกเองนั้น เธอมีความปรารถนาประการหนึ่ง  เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะมีชีวิตที่ร่ำรวยหรือมั่งคั่ง เธอเพียงต้องการใครสักคนที่จะพึ่งพาเท่านั้น  ผ่านทางการชำแหละและการวิเคราะห์ พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่าความปรารถนานี้ผิด  ในแง่หนึ่งนั้น ความปรารถนานี้สวนทางกับโชคชะตาที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและทรงจัดการเตรียมการให้ผู้คน และในอีกแง่หนึ่งความปรารถนานี้ก็ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นกัน  แล้วพระเจ้าทรงจัดเตรียมคำนิยามหรือคำกล่าวเกี่ยวกับความปรารถนานี้ของเธออย่างไร?  ตามความคิดฝันของผู้คน การที่พระเจ้าทรงทำให้คนคนหนึ่งเข้าใจคำสอนสักเล็กน้อยจะไม่เป็นเรื่องที่ง่ายมากหรอกหรือ?  หากพระองค์ต้องประสงค์จะทำให้พวกเขาเข้าใจ พวกเขาย่อมจะเข้าใจไม่ใช่หรือ?  สตรีผู้นี้มีความพึงปรารถนาที่จะมีใครสักคนให้พึ่งพา—พระเจ้าทรงสามารถทำให้เธอไม่มีความพึงปรารถนานั้นหรือทำให้เธอเปลี่ยนความพึงปรารถนานั้น—พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่)  ไม่ พระเจ้าไม่ได้ทรงทำเช่นนั้น  ดังนั้นแล้ว อันที่จริงความคิดประเภทนี้ของผู้คนคือมโนคติอันหลงผิดมิใช่หรือ?  สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติหรอกหรือ?  ไม่กลวงเปล่าหรอกหรือ?  การที่ความคิดดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ในตัวผู้คนเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ  เหตุใดเราจึงพูดว่านี่เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ?  พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีเจตจำนงเสรี  มนุษย์มีสมอง ความคิด และแนวคิด  หลังจากถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์ก็กลายเป็นจมอยู่ในเสียงและภาพของโลก และหลังจากได้รับการศึกษาจากพ่อแม่ของพวกเขา ถูกกำหนดเงื่อนไขจากครอบครัว และได้รับการศึกษาจากสังคม หลายสิ่งก็เกิดขึ้นในความคิดของมนุษย์—สิ่งทั้งหลายที่เกิดจากหัวใจของมนุษย์ ซึ่งออกมาเองโดยธรรมชาติทั้งสิ้น  สิ่งเหล่านี้ที่ออกมาเองโดยธรรมชาติภายในตัวมนุษย์ถูกก่อร่างขึ้นอย่างไร?  ประการแรก บุคคลหนึ่งต้องมีความสามารถที่จะคิดพิจารณาปัญหา—นี่คือรากฐานที่คนเราต้องมีเพื่อที่จะสามารถทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้  เช่นนั้นแล้ว โดยผ่านทางการกำหนดเงื่อนไขแวดล้อม—เช่นการได้รับการศึกษาจากครอบครัวและสังคมของคนเรา—รวมถึงการถูกบีบบังคับโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานอันบ้าคลั่งของคนเรา ความคิดเหล่านี้จึงค่อยๆ ก่อตัวขึ้น  เมื่อเป็นเรื่องของความคิดและแนวคิดที่ก่อตัวขึ้นเช่นนั้น ไม่ว่าจะสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือกลวงเปล่า หรือไม่ว่าจะเป็นประการอื่นใดก็ตาม พวกเราจะไม่ระบุลักษณะความคิดและแนวคิดเหล่านี้ในตอนนี้  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเราก็แค่จะพูดถึงวิธีที่พระเจ้าทรงรับมือกับความคิดประเภทนี้  พระเจ้าทรงกล่าวโทษความคิดและแนวคิดเหล่านั้นหรือไม่?  พระองค์ไม่ทรงกล่าวโทษความคิดและแนวคิดเหล่านั้น  เช่นนั้นแล้วพระองค์ทรงมีแนวทางต่อความคิดและแนวคิดเหล่านั้นอย่างไร?  พระองค์ไม่ทรงขจัดความคิดเช่นนั้นจากผู้คน  ผู้คนเก็บงำมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเอาไว้ พวกเขาคิดว่า ด้วยการสัมผัสที่อ่อนโยนของพระหัตถ์ไร้รูปร่างที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า การคิดของพวกเขาก็จะถูกเปลี่ยนแปลง  มโนคติที่หลงผิดนี้ไม่คลุมเครือ เหนือธรรมชาติ และกลวงเปล่าหรือ?  (ใช่)  นี่เป็นมโนคติที่หลงผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ  ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา ผู้คนมักจะมีความเพ้อฝันเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและวิธีการของพระราชกิจของพระองค์บ่อยครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความเพ้อฝันเหล่านั้น  ผู้คนจินตนาการว่าพระผู้สร้างเสด็จอย่างนุ่มนวลมาอยู่ข้างมนุษย์ และด้วยการโบกพระหัตถ์ยิ่งใหญ่ของพระองค์และลมหายใจหรือโดยการสับเปลี่ยนความคิด สิ่งที่เป็นลบในตัวมนุษย์ก็จะปลาสนาการไปในพริบตาเดียว พร้อมกับมีความเงียบที่ไร้คำพูดของลมยิ่งใหญ่พัดพาเมฆให้หมดไป  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อแนวคิดเหล่านี้ของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ที่ความคิดของมนุษย์ทำให้เกิดขึ้นอย่างไร?  พระเจ้าไม่ทรงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีการเหนือธรรมชาติที่กลวงเปล่า แต่โดยการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมของมนุษย์  พระองค์ทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมชนิดใด?  นี่ไม่กลวงเปล่า—พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งใดที่เหนือธรรมชาติ ซึ่งทลายกฎเกณฑ์ทุกข้อ  แต่พระองค์กลับทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่บังคับให้บุคคลหนึ่งเข้าใจเรื่องนี้และคิดทบทวนอย่างไม่หยุดยั้งเสียมากกว่า ซึ่งหลังจากนั้นพระเจ้าก็ทรงใช้ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทุกลักษณะเพื่อนำทางบุคคลนั้น ส่งผลให้บุคคลนั้นมีความเข้าใจขึ้นมา  พระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเขา พระองค์ก็แค่ทรงเพิ่มเหตุการณ์เล็กน้อยในครรลองของโชคชะตาของพวกเขา  ด้วยเหตุนี้จึงช่วยให้พวกเขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้  มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ล้วนเหนือธรรมชาติ กลวงเปล่า คลุมเครือ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง—มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ตัดขาดจากความเป็นจริง  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าใครบางคนหิวและอยากกิน  มีพวกที่จะพูดว่า “พระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์ ทั้งหมดที่พระองค์จะต้องทรงทำคือปล่อยลมหายใจใส่ข้าพระองค์แล้วข้าพระองค์ก็จะอิ่ม  ข้าพระองค์จำเป็นต้องทำอาหารจริงๆ หรือ?  คงจะดีหากพระเจ้าจะทรงสามารถแสดงปาฏิหาริย์สักเล็กน้อยเพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ไม่รู้สึกหิว?”  นี่ไม่ได้ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงหรือ?  (ใช่ ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง)  หากเจ้าทูลพระเจ้าว่าเจ้าหิว พระเจ้าจะตรัสอะไร?  พระเจ้าจะตรัสบอกให้เจ้าหาอาหารบ้างและทำอาหารนั้น  หากเจ้าพูดว่าเจ้าไม่มีอาหารและไม่สามารถทำอาหารได้ พระเจ้าจะทรงทำอะไร?  พระองค์จะตรัสบอกให้เจ้าเรียนรู้การทำอาหาร  นี่คือด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระราชกิจของพระเจ้า  เมื่อพวกเจ้าเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่ชัดเจนสำหรับเจ้า และเจ้าไม่ให้การอธิษฐานที่กลวงเปล่าหรือพึ่งพาพระเจ้าอย่างคลุมเครือในลักษณะที่เชื่อมั่นในตนเอง และไม่ฝากความหวังของเจ้าไว้กับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้อีกต่อไป เมื่อนั้นเจ้าก็จะรู้ว่าสิ่งที่เจ้าควรทำคืออะไร—เจ้าจะรู้หน้าที่ของเจ้า ความรับผิดชอบของเจ้า และภาระผูกพันของเจ้า

เราเพิ่งพูดถึงแง่มุมหนึ่ง ซึ่งก็คือเมื่อผู้คนไม่เข้าใจสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม พระเจ้าทรงทำอย่างไร?  พระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมต่อไป  พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อที่ผู้คนจะได้คอยทำความเข้าใจอธิปไตยของพระผู้สร้างเรื่อยไป รวมทั้งเข้าใจว่าโชคชะตาของตนคืออะไรผ่านทางประสบการณ์ของชีวิต และเพื่อที่ผู้คนจะได้รู้ลึกลงไปว่าความปรารถนาของตนแตกต่างจากโชคชะตาของตน และแตกต่างจากการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง  พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อที่จากนั้นผู้คนจะได้เรียนรู้ที่จะค่อยๆ ปล่อยมือจากความปรารถนาของตนเองและนบนอบทุกสิ่งทุกอย่างที่พระผู้สร้างทรงจัดวางเรียบเรียง  นี่เป็นเรื่องง่ายพอควรที่จะเข้าใจ  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือเมื่อพระวจนะอันชัดเจนของพระเจ้ามาสู่ผู้คน พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันบางอย่างเพิ่มเติม  มโนคติอันหลงผิดใดหรือ?  “พระวจนะของพระเจ้าคือขนมปังแห่งชีวิตและความจริง  พระวจนะของพระเจ้าคือพระเจ้าพระองค์เอง  เมื่อฉันได้ยินพระวจนะของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าฉันโง่เง่าเพียงใด ฉันก็มีสติปัญญาขึ้นมาทันที  ตราบที่ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น ขีดความสามารถของฉันย่อมจะดีขึ้นและทักษะของฉันย่อมจะเพิ่มขึ้น”  ความคิดเหล่านี้ที่ผู้คนมีคืออะไร?  คือมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา  แล้วนี่ใช่วิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เนื่องจากสิ่งเหล่านี้คือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ แน่นอนว่าจึงขัดแย้งและตรงกันข้ามกับพระราชกิจของพระเจ้า  ในที่นี้มีข้อเท็จจริงประการหนึ่ง  พระเจ้าตรัสกับมนุษย์ซึ่งๆ หน้า และตรัสบอกเขาว่าเขาควรและไม่ควรทำอะไร เขาควรใช้ถนนสายใด เขาควรนบนอบพระเจ้าอย่างไร รวมทั้งหลักธรรมที่เขาควรเข้าสู่ภายในแง่มุมต่างๆ ของพระราชกิจ  พระเจ้าตรัสบอกมนุษย์อย่างชัดเจนถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แต่ทว่ามนุษย์มักจะยังคอยและคาดการณ์ว่าพระเจ้าจะตรัสบอกเขาว่าจริงๆ แล้วเจตนารมณ์ของพระองค์คืออะไรโดยวิถีทางอื่นๆ นอกเหนือจากพระวจนะของพระองค์ โดยหวังว่าจะมีความสามารถที่จะบรรลุผลลัพธ์ที่ไม่สามารถจินตนาการได้ก่อนหน้านี้ และหวังว่าจะเป็นประจักษ์พยานของการอัศจรรย์  นี่ไม่ใช่มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์หรือ?  (ใช่)  อันที่จริงแล้วพระเจ้าทรงทำอะไร?  (พระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงให้ผู้คนได้ก้าวผ่านและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า)  พระเจ้าทรงทำอย่างไรหากผู้คนยังคงไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์หลังจากพระองค์ทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านั้นให้พวกเขา?  (พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำผู้คน)  เจ้าควรทำอย่างไรหากพระองค์ไม่ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเจ้า?  (ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและทำดังที่พระเจ้าตรัส)  ถูกต้อง  นับตั้งแต่เวลาที่พระเจ้าทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์จนกระทั่งปัจจุบันนี้ พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะกับผู้คนแบบซึ่งหน้าไปแล้วกี่คำ?  มีมากมายเหลือเกินที่ต่อให้เจ้าใช้เวลาหลายปีอ่านพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็จะยังคงไปไม่ถึงตอนจบ  แต่ผู้คนได้รับพระวจนะกี่คำ?  หากคนคนหนึ่งได้รับพระวจนะของพระเจ้าเพียงน้อยนิด นั่นพิสูจน์ให้เห็นสิ่งใด?  นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าคนคนนั้นทุ่มเทความพยายามให้กับพระวจนะของพระเจ้ายังไม่มากพอและยังไม่ได้รับฟังพระวจนะของพระเจ้า  มีบางคนที่พูดว่า “ฉันรับฟัง”—แต่เจ้านำพระวจนะของพระเจ้ามาใส่ใจหรือไม่?  เจ้าเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้ามุ่งความสนใจไปที่พระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่พระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้าจึงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของเจ้า  ดังนั้นเมื่อพระเจ้าทรงใช้ภาษาที่ชัดเจนเพื่อบอกมนุษย์ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร นบนอบพระองค์อย่างไร และผ่านประสบการณ์กับทุกเหตุการณ์อย่างไร หากมนุษย์ยังคงไม่เข้าใจแล้วไซร้ พระเจ้าก็ไม่ทรงทำอะไรเพิ่มเติมนอกจากการจัดวางสภาพแวดล้อมให้กับเขา ให้ความกระจ่างพิเศษบางอย่างแก่มนุษย์ หรือให้มนุษย์ก้าวผ่านประสบการณ์พิเศษบางอย่าง  นั่นคือปลายทางของสิ่งที่พระเจ้าสามารถทรงทำ ควรทรงทำ และทรงเต็มพระทัยที่จะทำ  มีพวกที่ถามว่า “พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้ทุกบุคคลได้รับการช่วยให้รอด และไม่ทรงต้องการให้ผู้ใดทนทุกข์กับความพินาศหรือ?  ถ้าพระเจ้าทรงใช้วิธีการเช่นนั้นในการกระทำการ จะมีผู้คนสักกี่คนที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้?”  ในการขานรับ พระเจ้าจะทรงถามว่า “มีผู้คนกี่คนที่ใส่ใจวจนะของเราและติดตามหนทางของเรา?”  มีมากเท่าที่มีนั่นเอง—นี่คือทรรศนะของพระเจ้าและวิธีการของพระราชกิจของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงทำมากกว่านี้  มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ในเรื่องนี้คืออะไร?  “พระเจ้าทรงสงสารมวลมนุษย์นี้  พระองค์ทรงกังวลสนใจมวลมนุษย์นี้ ดังนั้นพระองค์จึงทรงได้รับผิดชอบจนถึงที่สุด  หากมนุษย์ติดตามพระองค์จนถึงที่สุด เขาก็จะได้รับการช่วยให้รอดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”  มโนคติอันหลงผิดนี้ถูกหรือผิด?  มโนคติอันหลงผิดนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  ในยุคพระคุณ การที่ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้า  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าได้ตรัสบอกความจริงเหล่านี้ทั้งหมดแก่ผู้คน และพระเจ้ายังได้ทรงทำให้พวกเขาเข้าใจอย่างชัดเจนถึงหลักธรรมเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการช่วยผู้คนให้รอดของพระองค์อีกด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องวิปลาสเป็นอย่างยิ่งหากผู้คนยังคงมีมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อยู่ในหัวใจของตน  พระเจ้าได้ตรัสบอกความจริงเหล่านี้ทั้งหมดกับเจ้า ดังนั้นหากในท้ายที่สุดแล้วเจ้ายังคงไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและไม่รู้จักวิธีปฏิบัติ และเจ้ายังคงกล่าวคำพูดที่เป็นกบฏและคิดคดทรยศดังกล่าว คนเช่นนี้จะสามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าได้หรือ?  มีบางคนที่คิดอยู่เสมอว่า “พระเจ้าทรงทำพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น พระองค์ควรทรงได้รับผู้คนในโลกนี้มากกว่าครึ่งรวมทั้งควรทรงใช้ผู้คนจำนวนมาก กำลังบังคับที่ทรงพลัง และบุคคลสำคัญระดับสูงในจำนวนที่มีนัยสำคัญเพื่อเป็นพยานให้การถวายพระเกียรติของพระเจ้า!  นั่นจะเป็นเรื่องน่าวิเศษเพียงใด!”  นี่คือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  ในพระคัมภีร์ ทั้งในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ มีทั้งหมดกี่คนที่ได้รับการช่วยให้รอดและการทำให้มีความเพียบพร้อม?  ใครมีความสามารถที่จะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ในท้ายที่สุด?  (โยบและเปโตร)  พวกเขาเป็นเพียงสองคนเท่านั้น  ในสายพระเนตรของพระเจ้า การยำเกรงพระองค์และการหลบเลี่ยงความชั่วอันที่จริงคือการบรรลุมาตรฐานของการรู้จักพระองค์ ของการรู้จักพระผู้สร้าง  ผู้คนเช่นอับราฮัมและโนอาห์มีความชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ต่ำกว่าโยบและเปโตรหนึ่งระดับ  แน่นอนว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจมากเหลือเกินในเวลานั้น  พระองค์ไม่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้ผู้คนอย่างที่พระองค์ทรงทำในขณะนี้ อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ตรัสพระวจนะที่ชัดเจนมากเหลือเกิน และพระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจแห่งความรอดในมาตราส่วนขนาดใหญ่เช่นนี้  พระองค์อาจไม่ทรงได้รับผู้คนมากมายไว้ แต่นี่ยังคงอยู่ภายในการทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าของพระองค์  แง่มุมใดของพระอุปนิสัยของพระผู้สร้างสามารถมองเห็นได้ในการนี้?  พระเจ้าทรงหวังที่จะได้รับผู้คนมากมายไว้ แต่ในความเป็นจริง หากผู้คนมากมายไม่สามารถได้รับการรับไว้—หากมนุษยชาตินี้ไม่สามารถได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงชอบที่จะทอดทิ้งพวกเขาและละทิ้งพวกเขามากกว่า  นี่คือพระสุรเสียงภายในและพระทัศนะของพระผู้สร้าง  ในเรื่องนี้ มนุษย์มีข้อเรียกร้องหรือมโนคติที่หลงผิดอะไรต่อพระเจ้า?  “ในเมื่อพระองค์ทรงปรารถนาจะช่วยข้าพระองค์ให้รอด พระองค์ก็ต้องทรงรับผิดชอบจนถึงที่สุด และพระองค์ได้ทรงสัญญาจะให้พระพรข้าพระองค์ ดังนั้นแล้วพระองค์ก็ต้องทรงให้พระพรเหล่านั้นแก่ข้าพระองค์ และให้ข้าพระองค์ได้รับพระพรเหล่านั้นไว้”  ภายในตัวมนุษย์มีคำว่า “ต้อง” มากมาย—ข้อเรียกร้องมากมาย—และนี่เป็นมโนคติที่หลงผิดข้อหนึ่งของเขา  คนอื่นๆ พูดว่า “พระเจ้าทรงพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่นัก—แผนการบริหารจัดการหกพันปี—หากในท้ายที่สุด พระองค์ก็ทรงรับเพียงสองคนไว้เท่านั้น นั่นคงจะน่าละอายเหลือเกิน  เช่นนั้นการกระทำของพระองค์จะไม่สูญเปล่าหรือ?”  มนุษย์คิดว่าไม่ควรที่จะเป็นเช่นนั้น แต่พระเจ้าทรงมีความสุขที่ได้รับแม้แต่สองคนนั้น  พระประสงค์ที่เป็นจริงของพระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงเพื่อให้ได้รับสองคนนั้นไว้ แต่เพื่อให้ได้รับไว้มากกว่านั้น แต่หากผู้คนไม่ตื่นขึ้นมาและไม่เข้าใจ และพวกเขาทั้งหมดเข้าใจผิดและต้านทานพระเจ้า และล้วนหมดหวังและไม่มีคุณค่า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็คงจะชอบที่จะไม่มีพวกเขามากกว่า  นั่นคือพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ผู้คนบางคนพูดว่า “แบบนั้นใช้ไม่ได้  แล้วซาตานจะไม่หัวเราะหรือ?”  ซาตานอาจกำลังหัวเราะ แต่ก็เป็นศัตรูที่ถูกพิชิตแล้วของพระเจ้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ?  พระเจ้ายังคงได้ทรงรับมวลมนุษย์ไว้—หลายคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถขบถต่อซาตานและไม่ทนทุกข์กับการควบคุมของมัน  พระเจ้าได้ทรงรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงไว้  เช่นนั้นแล้วพวกที่ไม่ได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า ถูกซาตานจับเป็นเชลยหรือ?  พวกเจ้าไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม—พวกเจ้าสามารถติดตามซาตานได้หรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนบางคนพูดว่า “ต่อให้พระเจ้าไม่ทรงต้องการข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะยังคงไม่ติดตามซาตาน  ต่อให้มันเสนอให้พรแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่รับ”  แม้กระทั่งพวกที่พระเจ้าไม่ได้ทรงรับไว้ก็ไม่ติดตามซาตาน—ด้วยเหตุนั้นพระเจ้าจึงไม่ได้รับพระสิริไว้หรือ?  ผู้คนมีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับจำนวนผู้คนที่พระเจ้าทรงรับไว้ หรือมาตราส่วนที่พระองค์ทรงใช้ในการรับพวกเขาไว้ พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าไม่ควรทรงรับเพียงไม่กี่คนนั่นไว้เท่านั้น  การที่มนุษย์สามารถทำให้มโนคติที่หลงผิดเช่นนั้นเกิดขึ้นได้เป็นเพราะ ในแง่หนึ่ง มนุษย์ไม่สามารถหยั่งลึกถึงพระหฤทัยของพระเจ้า และไม่สามารถเข้าใจได้ว่าพระองค์ทรงต้องการรับบุคคลประเภทใดไว้—มีระยะห่างระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเสมอ ในอีกแง่หนึ่ง การมีมโนคติที่หลงผิดเช่นนี้เป็นหนทางให้มนุษย์ชูใจตัวเขาเอง และปลดปล่อยตัวเขาเองให้เป็นอิสระในส่วนที่เกี่ยวกับโชคชะตาและอนาคตของตัวเขาเอง  มนุษย์เชื่อว่า “พระเจ้าได้ทรงรับผู้คนไว้น้อยเหลือเกิน—จะงามสง่าเพียงใดสำหรับพระองค์ที่จะทรงได้รับพวกเราทั้งหมดไว้!  หากพระเจ้าไม่ทรงละทิ้งบุคคลแม้เพียงคนเดียว แต่ทรงพิชิตทุกคน และทุกคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมในที่สุด และการพูดคุยถึงการที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและทรงช่วยผู้คนให้รอดก็จะไม่สูญเปล่า อีกทั้งพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ด้วย เช่นนั้นแล้วซาตานก็จะไม่ถูกเหยียดหยามมากยิ่งขึ้นอีกหรือ?  พระเจ้าจะไม่ทรงได้รับพระสิริมากขึ้นหรือ?”  การที่เขาสามารถพูดเช่นนี้ได้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่รู้จักพระผู้สร้างและส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขามีสิ่งจูงใจที่เห็นแก่ตัวของเขาเอง กล่าวคือ เขากังวลเกี่ยวกับอนาคตของเขา ดังนั้นเขาจึงผูกมันไว้กับพระสิริของพระผู้สร้าง และด้วยเหตุนั้นหัวใจของเขาจึงรู้สึกสบาย  คิดว่าเขาสามารถจับปลาสองมือได้  นอกจากนี้เขายังรู้สึกอีกด้วยว่า “การที่พระเจ้าทรงรับผู้คนไว้และทรงทำให้ซาตานอัปยศอดสูเป็นหลักฐานที่หนักแน่นของความพ่ายแพ้ของซาตาน  ก็เหมือนฆ่านกสามตัวด้วยหินก้อนเดียว!”  ผู้คนเก่งจริงๆ ในการไขคำตอบว่าจะทำให้พวกเขาเองได้ประโยชน์อย่างไร  มโนคติอันหลงผิดนี้ค่อนข้างหลักแหลมไม่ใช่หรือ?  มนุษย์มีสิ่งจูงใจที่เห็นแก่ตัว และไม่มีความเป็นกบฏอยู่บ้างในสิ่งจูงใจเหล่านี้เลยหรือ?  ไม่มีการทำข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าหรือ?  ในนั้นมีการต้านทานอย่างเงียบๆ ต่อพระเจ้าซึ่งพูดว่า “พระองค์ได้ทรงเลือกพวกเรา นำทางพวกเรา อุตสาหะมากเหลือเกินเพื่อพวกเรา ประทานพระชนม์ชีพของพระองค์และความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ให้พวกเรา ประทานพระวจนะและความจริงของพระองค์ให้พวกเรา และได้ทรงให้พวกเราติดตามพระองค์มาตลอดหลายปีนี้  จะเป็นการสูญเสียยิ่งนักหากพระองค์ไม่สามารถทรงได้รับพวกเราไว้ได้ในที่สุด”  ข้ออ้างเช่นนี้เป็นความพยายามที่จะขู่กรรโชกพระเจ้า ผูกมัดให้พระองค์ทรงได้รับพวกเขาไว้  นั่นก็คือคำกล่าวที่ว่าหากพระเจ้าไม่ทรงได้รับพวกเขาไว้ เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะไม่เสียประโยชน์ และเป็นพระเจ้านั่นเองที่จะทรงประสบกับความสูญเสีย—คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  ภายในเรื่องนี้มีทั้งข้อเรียกร้องของมนุษย์และความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของเขา กล่าวคือ พระเจ้าทรงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ดังนั้นพระองค์ต้องทรงได้รับผู้คนไม่ว่ากี่คนก็ตาม  คำว่า “ต้อง” นี้มาจากไหน?  มาจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ ข้อเรียกร้องที่ไม่มีเหตุผลของเขา รวมทั้งความถือดีของเขา ควบคู่ไปกับการผสมผสานบางอย่างจากอุปนิสัยอันดื้อแพ่งและชั่วช้าของเขา

มโนคติอันหลงผิดดังกล่าวของมนุษย์ต้องสามัคคีธรรมจากมุมมองอื่น  มีบางคนที่คิดว่า “ในเมื่อพระผู้สร้างไม่ใส่พระทัยว่าพระองค์ทรงได้รับผู้คนกี่คน และคิดว่าพระองค์ก็แค่จะทรงได้รับผู้คนมากเท่าที่พระองค์ทรงได้รับ ในเมื่อนี่คือท่าทีของพระผู้สร้าง พวกเราควรร่วมมือกับพระองค์อย่างไร?  แค่เชื่ออย่างสบายๆ ไม่คิดอะไรและไม่จริงจังกับเรื่องนี้มากนักนั้นพอได้อยู่หรือไม่?  ไม่ว่าในกรณีใด พระเจ้าก็ไม่ทรงจริงจังกับเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นพวกเราจึงไม่จำเป็นต้องจริงจังมากนักในการสนองต่อข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงว่าเรื่องนี้เป็นอาชีพหลักของพวกเราหรือการไล่ตามเสาะหาชั่วชีวิตของพวกเรา  ในเมื่อตอนนี้พวกเรารู้จักพระดำริของพระเจ้า พวกเราไม่ควรเปลี่ยนหนทางแห่งการดำรงชีวิตของพวกเราหรอกหรือ?”  ทัศนะนี้ถูกหรือผิด?  (ทัศนะนี้ผิด)  ในเมื่อท่าทีของพระเจ้าได้ถูกทำให้เป็นที่เข้าใจชัดเจนสำหรับผู้คนแล้ว และพวกเขาก็เข้าใจท่าทีของพระเจ้า พวกเขาก็ควรปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตน  หลังปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนแล้ว ผู้คนควรทำสิ่งใดและพวกเขาควรเลือกอย่างไร รวมทั้งพวกเขาควรเข้าใจและจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร เพื่อที่พวกเขาจะได้มีทัศนะและท่าทีที่พวกเขาควรที่จะครองมากที่สุด?  อันดับแรกเลยก็คือ ในแง่มุมของทัศนะของพวกเขา ผู้คนควรพยายามไตร่ตรองมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้  ทันทีที่คนเราเชื่อในพระเจ้า พวกเขาย่อมมีการจินตนาการอันคลุมเครือเกี่ยวกับความเคารพนับถือที่มีให้พระองค์  พวกเขาคิดว่า “พระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงฤทธานุภาพไม่สิ้นสุด และเนื่องจากพระองค์ได้ทรงสรรเลือกประชากรกลุ่มหนึ่งจากท่ามกลางมนุษยชาติที่เสื่อมทรามนี้ แน่นอนว่าพระองค์จะทรงสามารถทำให้พวกเขาครบบริบูรณ์  ดังนั้น เรื่องที่แน่นอนก็คือ พวกเราผูกมัดอยู่กับการได้รับการอวยพร”  “ความแน่นอน” เช่นนั้นไม่มีความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับการลองพยายามเสี่ยงโชคของคนเราเบื้องหลังการนั้นหรอกหรือ?  การปรารถนาที่จะได้รับพรและความเห็นชอบของพระเจ้า โดยไม่มีการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าคือท่าทีที่มนุษย์ควรที่จะยึดถือน้อยที่สุด  จงอย่ารับเอาความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับการลองพยายามเสี่ยงโชคของเจ้าไปใช้—โชคคือศัตรูตัวฉกาจของเจ้า  การลองพยายามเสี่ยงโชคของคนเราคือกรอบความคิดจำพวกใดกัน?  สภาวะ ความคิด แนวคิด ท่าที มโนคติอันหลงผิด และทัศนะใดของเจ้ามีวิธีคิดในการลองเสี่ยงโชคเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้?  เจ้าสามารถตรวจจับเรื่องนี้ได้หรือไม่?  หากเจ้าตรวจจับเรื่องนี้และมองเห็นการมีอยู่ของกรอบความคิดในการเสี่ยงโชคเพื่อรับพรได้จริงๆ เจ้าควรเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าควรแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร?  นี่เป็นประเด็นปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  เจ้าต้องมองวิธีคิดในการลองเสี่ยงโชคให้ออก  เจ้าต้องแก้ไขวิธีคิดนี้  หากเจ้าไม่แก้ไขวิธีคิดนี้ วิธีคิดนี้ย่อมจะมีแววที่จะทำให้เจ้าสะดุดล้ม และเจ้าย่อมจะทนทุกข์  แล้วสิ่งใดเกี่ยวข้องกับวิธีคิดในการลองเสี่ยงโชคของคนเรา?  มีบางคนที่คิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้าและได้ถึงขั้นละทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานของฉัน  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ต่อให้ฉันไม่ได้ทำงานรับใช้ที่น่าสรรเสริญ ฉันก็ได้ทำงานหนัก และต่อให้ฉันไม่ได้ทำงานหนัก ฉันก็ได้ทำให้ตัวเองเหนื่อยมาก ตราบที่ฉันติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง ฉันอาจจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ชนะ หนึ่งในผู้ได้รับการช่วยให้รอด หนึ่งในผู้ได้รับพร หนึ่งในประชากรแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า”  นี่คือวิธีคิดในการลองเสี่ยงโชคของคนเรา  ทุกคนไม่มีวิธีคิดนี้หรอกหรือ?  อย่างน้อยที่สุด ส่วนใหญ่ของบรรดาผู้ที่ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนเต็มเวลามีวิธีคิดแบบนี้  ความรู้สึกนึกคิดของการลองพยายามเสี่ยงโชคของคนเราไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดจำพวกหนึ่งหรอกหรือ?  (ใช่)  เหตุใดเราจึงพูดว่า การนั้นคือมโนคติอันหลงผิดจำพวกหนึ่ง?  เพราะเมื่อเจ้าไม่ได้เข้าใจหรือจับใจความเจตนารมณ์และท่าทีที่พระผู้สร้างทรงมีต่อเรื่องนี้ เจ้าก็แค่คาดหวังผลลัพธ์ที่ดีอย่างเป็นส่วนตัวและไล่ตามเสาะหาอย่างเป็นส่วนตัว และนั่นคือวิธีที่เจ้าเข้าหาการนั้น  การนั้นคือมโนคติอันหลงผิดจำพวกหนึ่ง  สำหรับพระผู้สร้าง มโนคติอันหลงผิดเช่นนั้นไม่ใช่การกรรโชกประเภทหนึ่งหรอกหรือ?  การนั้นไม่ใช่ข้อเรียกร้องอันไม่สมเหตุสมผลหรอกหรือ?  นั่นเป็นราวกับการพูดว่า “เนื่องจากข้าพระองค์ได้ติดตามพระองค์ และเนื่องจากข้าพระองค์ได้ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง และมายังพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์เต็มเวลา ข้าพระองค์ต้องนับว่าเป็นใครคนหนึ่งที่ได้นบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างใช่หรือไม่?  ดังนั้นแล้ว ตอนนี้ข้าพระองค์สามารถมีอนาคตที่มีความหวังได้หรือไม่?  อนาคตของข้าพระองค์ไม่ควรเลือนราง—การนั้นควรง่ายที่จะมองเห็น”  นี่คือกรอบความคิดของการลองพยายามเสี่ยงโชคของคนเรา  กรอบความคิดเช่นนั้นได้รับการแก้ไขอย่างไร?  คนเราต้องรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ในเมื่อตอนนี้เราได้สามัคคีธรรมอย่างนี้แล้ว โดยพื้นฐานเบื้องต้นทุกคนก็ควรเข้าใจเรื่องนี้  “ดังนั้นแล้ว นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงดำริ  นั่นคือทรรศนะของพระเจ้าและท่าทีของพระองค์  ดังนั้นแล้ว พวกเราควรทำสิ่งใด?”  ผู้คนควรละวางความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาเกี่ยวกับการลองพยายามเสี่ยงโชคของพวกเขา  การที่จะละวางความรู้สึกนึกคิดนี้ การพูดว่า “ฉันได้ละวางการนั้นแล้วและจะไม่มีความคิดเช่นนั้นอีกแล้ว  ฉันจะปฏิบัติต่อหน้าที่ของฉันอย่างจริงจัง แสดงความรับผิดชอบ และทำงานหนักขึ้น” เพียงพอหรือไม่?  การนั้นไม่เรียบง่ายเช่นนั้น—เมื่อคนเราพัฒนาความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับการลองพยายามเสี่ยงโชคของพวกเขา ในตัวพวกเขานั้นปรากฏความคิดและการปฏิบัติบางอย่างออกมา และที่มากไปกว่านั้น อุปนิสัยบางอย่างจะถูกเปิดเผย  สิ่งเหล่านี้ควรแก้ไขด้วยการแสวงหาความจริง  บางคนพูดว่า “หากฉันได้เข้าใจเจตนารมณ์และท่าทีของพระเจ้าแล้ว ฉันไม่ได้กำจัดความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับการลองพยายามเสี่ยงโชคของพวกฉันแล้วหรอกหรือ?”  นั่นคือการพูดคุยแบบไหนกัน?  การนั้นเป็นการขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ การนั้นเป็นการพูดคุยที่กลวงเปล่า  เช่นนั้นแล้ว ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขอย่างไร?  เจ้าต้องพิจารณาว่า “ฉันควรทำสิ่งใดหากพระเจ้าทรงนำเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉัน?  ทุกสิ่งที่ฉันอุทิศแด่พระเจ้าและสละเพื่อพระองค์ได้มอบให้อย่างเต็มใจหรือไม่ หรือสิ่งเหล่านั้นเป็นความพยายามที่จะเจรจาต่อรองกับพระองค์?  หากฉันมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองกับพระองค์ เช่นนั้นนั่นย่อมไม่ดีเลย  ฉันจะจำเป็นที่จะต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขการนั้น”  นอกจากนี้ ขณะที่เจ้าปฏิบัติและขณะที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าควรเข้าใจว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริงหลักธรรมใด เจ้าทำสิ่งใดที่ต่อต้านข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและเจตนารมณ์ของพระองค์ เส้นทางจำพวกใดเป็นเส้นทางที่ผิดและเป็นเส้นทางของความวิบัติ และเส้นทางจำพวกใดเป็นเส้นทางที่สามารถบรรจบกับความเห็นชอบของพระเจ้า  สิ่งอื่นใดเกี่ยวข้องกับกรอบความคิดในการลองเสี่ยงโชคของคนเรา?  มีผู้คนที่เมื่อได้เป็นโรคภัยไข้เจ็บรุนแรงแล้ว ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าและไม่เจ็บป่วยอีกต่อไป  พวกเขาคิดว่า “พวกคุณทั้งหมดเชื่อในพระเจ้าเพื่อไล่ตามพระพร  ฉันแตกต่างออกไป  เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้านั่นเองที่ได้นำพาฉันมาอยู่ตรงนี้ พระองค์ได้ทรงมอบรูปการณ์แวดล้อมพิเศษและประสบการณ์พิเศษแก่ฉัน ซึ่งได้นำให้ฉันเชื่อในพระองค์ ดังนั้น พระองค์จึงทรงรักฉันมากกว่าที่พระองค์ทรงรักพวกคุณ พระองค์ทรงปฏิบัติต่อฉันด้วยพระคุณพิเศษ และสุดท้ายแล้ว ฉันจะมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่ขึ้นที่จะมีชีวิตรอดมากกว่าพวกคุณ”  พวกเขาคิดว่าพวกเขามีสัมพันธภาพกับพระเจ้าอันพิเศษเหนือธรรมดาและพิเศษ—ว่าสัมพันธภาพของพวกเขากับพระองค์แตกต่างไปจากสัมพันธภาพของผู้คนธรรมดาสามัญ  เพราะประสบการณ์พิเศษของพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าตัวพวกเขาเองนั้นพิเศษเหนือธรรมดาและไม่ธรรมดา และดังนั้นพวกเขาจึงคงไว้ซึ่งประเภทของความแน่ใจว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จ  พวกเขานิยามตัวพวกเขาเองว่าแตกต่างจากผู้อื่นเป็นแน่ และแน่ใจได้ถึงความสามารถของพวกเขาที่จะมีชีวิตรอด—การนี้ก็เป็นความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับการลองพยายามเสี่ยงโชคของคนเราเช่นกัน  มีผู้อื่นผู้ซึ่งได้เข้ารับงานสำคัญบางอย่างและผู้ซึ่งมีสถานะสูงส่ง  พวกเขาทนทุกข์มากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย ถูกตัดแต่งมากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย ทำตัวพวกเขาเองให้ติดธุระมากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย และพูดมากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย  พวกเขาคิดว่า “ฉันได้ถูกวางในตำแหน่งสำคัญโดยพระเจ้าและโดยพระนิเวศของพระองค์ และฉันได้รับการยกย่องจากพี่น้องชายหญิงของฉัน  การนี้ช่างเป็นเกียรติยศอะไรเช่นนี้  การนี้ไม่ได้หมายความว่า ฉันได้รับการอวยพรก่อนผู้อื่นหรอกหรือ?”  การนี้ก็เป็นความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับการลองพยายามเสี่ยงโชคของคนเราเช่นกัน และเป็นมโนคติอันหลงผิดชนิดหนึ่ง

เราเพิ่งพูดถึงการสำแดงและสภาวะบางอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับการลองเสี่ยงโชคของคนเรา  สภาวะ การสำแดง หรือสิ่งอื่นใดที่มักจะเกิดขึ้นและมีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนโดยเป็นนิสัยอะไรเป็นส่วนหนึ่งของการลองเสี่ยงโชคของคนเรา?  นอกจากพวกที่มีประสบการณ์พิเศษ สถานะที่สูง และพวกที่ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อสละตนเองเพื่อพระเจ้าเต็มเวลา ยังมีพวกที่มีคุณสมบัติพอ ทำหน้าที่พิเศษบางอย่าง และมีความสามารถพิเศษบางอย่าง—คนเหล่านี้ล้วนมีกรอบความคิดในการลองเสี่ยงโชค  คำว่า “มีคุณสมบัติพอ” หมายถึงสิ่งใด?  ตัวอย่างเช่น บางคนที่ประกาศข่าวประเสริฐเชื่อว่าหากพวกเขาเอาชนะใจคน 10 คน พวกเขาย่อมจะออกผล 10 อย่างและมีโอกาสร้อยละ 10 ที่จะได้รับพร และหากพวกเขาออกผล 50 อย่าง พวกเขาย่อมจะมีโอกาสร้อยละ 50 และหากพวกเขาออกผล 100 อย่าง เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะมีโอกาสร้อยละ 100  นี่คือมโนคติอันหลงผิดจำพวกหนึ่ง เป็นจำพวกการแลกเปลี่ยน และเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือการลองเสี่ยงโชค  หากพวกเขาสามารถประเมินวัดพระราชกิจของพระเจ้าขณะที่ยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้และวิธีคิดในการลองเสี่ยงโชคแบบนี้ นี่ใช่การเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขากำลังเดินบนเส้นทางใด?  ไม่มีบางสิ่งผิดปกติกับการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาหรอกหรือ?  เหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นในตัวพวกเขา?  เหตุใดพวกเขาจึงยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้และปฏิเสธที่จะปล่อยมือ?  บางคนพูดว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้า  นี่ถูกต้องหรือ?  นี่เป็นการพูดคุยที่ว่างเปล่า  แล้วอะไรคือเหตุผลกันแน่?  คนที่ยึดมั่นในทัศนะและท่าทีดังกล่าวอยู่เสมอ และผู้ที่มีมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้และดื้อดึงเป็นพิเศษในการยึดมั่นในทัศนะและท่าทีเหล่านี้—พวกเขากำลังทุ่มเทความพยายามให้กับพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจังหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขามีท่าทีแบบสุกเอาเผากินต่อพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ กล่าวคือ ท่าทีและทัศนะของใครบางคนที่กำลังมองผ่านหมอก  พวกเขาคิดว่าในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้น พวกเขาจำเป็นต้องรู้เพียงแค่ว่าพวกเขาได้ทนทุกข์เพื่อพระเจ้ามาแล้วมากเพียงใดรวมทั้งพวกเขายอมลำบากมาแล้วเพียงใด พวกเขาได้รับคุณงามความดีมาแล้วมากเพียงใด พวกเขามีความสามารถพิเศษใด พวกเขามีทักษะเพียงใด สถานะของพวกเขาสูงเพียงใด พวกเขามีประสบการณ์กับ “ชั่วขณะแห่งไมตรีจิตในความทุกข์เข็ญ” แบบใดกับพระเจ้า พวกเขามีประสบการณ์พิเศษใด และพระเจ้าได้ประทานสิ่งที่พิเศษใดให้พวกเขา หรือพระองค์ได้ประทานพระคุณและพรใดให้พวกเขาซึ่งแตกต่างไปจากสิ่งที่ประทานให้คนอื่น—พวกเขาคิดว่านี่ก็มากพอแล้ว  ไม่สำคัญว่าพวกเขายึดมั่นในทัศนะเหล่านี้แน่นเพียงใด พวกเขาไม่เคยทบทวนว่าทัศนะเหล่านี้ของพวกเขาถูกต้องหรือไม่ หรือทัศนะเหล่านี้ขัดแย้งกับพระวจนะใดของพระเจ้าและหลักธรรมใดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์ หรือทัศนะเหล่านี้ได้รับการรับรองจากพระเจ้าแล้วหรือยัง หรือพระเจ้าทรงพระราชกิจในหนทางนี้หรือทรงสำเร็จลุล่วงสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้หรือไม่  พวกเขาไม่เคยใส่ใจประเด็นปัญหาเหล่านี้  จวบจนกระทั่งบัดนี้ พวกเขาได้แต่เพียงไตร่ตรอง ตรึกตรอง และฝันในความรู้สึกนึกคิดของตน  แล้วสำหรับพวกเขาความจริงได้กลายมาเป็นสิ่งใด?  ความจริงได้กลายมาเป็นของตกแต่ง  แม้คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้า แต่การเชื่อของพวกเขาก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพระเจ้าหรือความจริง  แล้วการเชื่อของพวกเขาเกี่ยวข้องกับอะไร?  เกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความปรารถนาของตนเอง ตลอดจนพรและบั้นปลายในอนาคตของพวกเขาเท่านั้น  พวกเขาไม่ได้ทุ่มเทความพยายามให้กับความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงลงเอยด้วยผลลัพธ์เหล่านี้

ผ่านทางสามัคคีธรรมในวันนี้ ในเมื่อตอนนี้เจ้าก็ได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับหนทางในการทรงพระราชกิจของพระเจ้าหรือทัศนะและท่าทีของพระเจ้าไปแล้ว เรื่องนี้สามารถมีผลบางอย่างและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์บางอย่างเมื่อเป็นเรื่องของการที่พวกเจ้าไล่ตามเสาะหาการรู้จักพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเจ้า และการไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตของพวกเจ้าได้หรือไม่?  เรื่องนี้สามารถพลิกฟื้นทัศนะที่ผิดของพวกเจ้าได้หรือไม่ เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนเอง?  (ได้)  เรื่องนี้พึงต้องให้ผู้คนทำสิ่งใด?  (การปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาและกระทำการตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนด)  เจ้าต้องเข้าใจว่าเนื่องจากพระเจ้าได้ทรงทำข้อกำหนดและความมุ่งมั่นดังกล่าว พระองค์จะทรงทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน  ในท้ายที่สุดแล้วข้อเท็จจริงก็คือพระวจนะของพระเจ้าจะไม่สลายไปเปล่าๆ—พระวจนะของพระเจ้าจะได้รับการทำให้สัมฤทธิ์ผลและลุล่วง  หากเจ้าคิดว่าพระเจ้าอาจจะไม่ทรงจำเป็นต้องดำเนินการสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ตรัสถึง นี่ย่อมเป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ และยังเป็นการกังขาและตัดสินพระเจ้าอีกด้วย  มีบางคนที่พูดว่า “พระเจ้าทรงสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างไร?  พระองค์ทรงสามารถพอพระทัยกับการแค่ช่วยคนให้รอดเท่าที่พระองค์ทรงช่วยให้รอดได้อย่างไร?  ความรักของพระเจ้ามิใช่ยิ่งใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุดหรอกหรือ?  ความอดทนของพระเจ้าไม่มีที่สิ้นสุด และความยอมผ่อนปรนและความกรุณาของพระเจ้าก็ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน”  พวกเขาสร้างข้อแก้ตัวทุกจำพวกในการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาทิ้งทางออกที่สะดวกไว้ให้ตัวเองเพื่อที่พวกเขาจะสามารถย่ำเดินไปบนเส้นทางของตนเองได้ และพวกเขาก็เพิกเฉยต่อพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า รวมทั้งการทรงปรากฏของพระผู้สร้าง  ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขารู้เป็นอย่างดีว่านี่คือความจริง แต่กระนั้นพวกเขากลับหวังว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น  มีองค์ประกอบของการไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาทำ ตลอดจนองค์ประกอบของการแข่งขันกับพระผู้สร้าง รวมทั้งองค์ประกอบของการพยายามที่จะต้านทานและขู่กรรโชกพระองค์  จุดประสงค์ของการที่เรากล่าววจนะเหล่านี้คืออะไร?  มีบางคนที่พูดว่า “นี่ก็เพื่อเป็นการปลุกพวกเราให้ตื่น ทำให้พวกเราขวัญผวา หรือทำให้พวกเราเข้าใจว่าพวกที่ต้องการหลีกหนีก็สามารถหลีกหนีได้เลย พวกที่กลายเป็นอ่อนแอหรือคิดลบก็สามารถยังคงอ่อนแอและคิดลบได้เลย และพวกที่ต้องการดำเนินชีวิตของตนเองก็สามารถดำเนินชีวิตของตนเองได้เลย  พระราชกิจของพระเจ้าจะไม่ใช้เวลานานมาก และนอกจากนี้พระเจ้าก็ไม่ทรงต้องการผู้คนมากขนาดนั้น ดังนั้นพวกเราจงแยกกันไปตามทางของพวกเรากันเถิด!”  สิ่งทั้งหลายเป็นอย่างนี้หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด หรือพระองค์ตรัสสิ่งนั้นอย่างไร สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนเข้าใจคือเจตนารมณ์ของพระองค์ และสิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาจับใจความก็คือความจริง  แล้วผู้คนควรเดินตามเส้นทางใด?  พวกเขาควรเดินตามหนทางของพระเจ้า  ผู้คนควรทบทวนตนเองและเสาะแสวงที่จะแก้ไขสิ่งใด?  มโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และข้อเรียกร้องทั้งหมดที่เป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ล้วนสวนทางกับความจริง  เจ้าต้องละทิ้งสิ่งเหล่านี้ เจ้าต้องปัดเป่าสิ่งเหล่านี้ไปจากหัวใจของเจ้า และเจ้าต้องไม่ถูกสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อหรือควบคุมอีกต่อไป  เจ้าต้องสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับการพิพากษา การตีสอน และการตัดแต่งจากพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เจ้าต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า และสัมฤทธิ์การนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  นอกจากนี้ เจ้าต้องทบทวนสิ่งทั้งหลายในตัวเจ้าเองซึ่งเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้าและสวนทางกับความจริง รวมทั้งทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า ทัศนะที่ไม่ถูกต้องของเจ้าเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ และมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่แตกต่างกันของมนุษย์  ทันทีที่เจ้าทบทวนและเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านี้เป็นครั้งสุดท้ายให้จบสิ้นเสียที เจ้าย่อมจะเริ่มเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องแห่งความเชื่อในพระเจ้าแล้ว และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเชื่อฟังพระเจ้าและนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ได้

พวกเรายังไม่เสร็จสิ้นการชำแหละส่วนสุดท้ายของเรื่องราวที่ชื่อ “ฉันพึ่งพาใคร?” ที่พวกเราเพิ่งพูดถึงไป  ทันทีที่คนคนหนึ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาย่อมมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และยอมรับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระเจ้า ยอมรับการทรงนำของพระเจ้า และรับฟังทุกวจนะที่พระเจ้าดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง  ในระหว่างช่วงระยะเวลานี้ พระเจ้าทรงใช้วจนะที่ชัดเจนตรัสบอกผู้คนถึงเจตนารมณ์ของพระองค์และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจ  พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ให้เจ้าเข้าใจคำสอนและวจนะ และพระองค์ก็ไม่ต้องประสงค์ให้เจ้าเรียนรู้เทววิทยา  พระเจ้าไม่ทรงใช้วจนะเหล่านี้เพื่อที่จะให้การศึกษาเจ้าให้เป็นคนที่ประพฤติตนดี หรือเป็นคนดี หรือใครบางคนที่มีการโหยหาและความทะเยอทะยาน—พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ให้เจ้าเป็นคนเช่นนั้น  พระเจ้าต้องประสงค์ที่จะใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อทำให้เจ้าเข้าใจว่าผู้คนมาจากไหน พวกเขาควรดำเนินชีวิตอย่างไร และพวกเขาควรเดินตามหนทางแบบใด  อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ยินพระวจนะเหล่านี้ ผู้คนไม่คิดอะไรกับพระวจนะเหล่านี้เลย และยังคงยึดมั่นในทัศนะของตนเองรวมทั้งความปรารถนาของตนเอง และถึงขั้นยึดมั่นในหลักธรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติตนของตนเอง  ตัวอย่างเช่น บางคนพูดว่า “ฉันเกิดมาโดยที่ต้องการเป็นคนดี และฉันไม่คิดว่าฉันอยู่ห่างจากการเป็นคนดีมากเกินไป  ฉันไม่ทำสิ่งใดๆ ที่แย่ ฉันไม่ทำร้ายหรือฉ้อโกงผู้คนหรือฉวยโอกาสจากพวกเขา และฉันก็ได้กลายมาเป็นคนที่ดีขึ้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่ที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า  ฉันพูดความจริงเสมอ ฉันจัดการกับผู้อื่นอย่างจริงใจ และฉันก็เชื่อฟังพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของคริสตจักรเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของฉัน—นั่นไม่มากพอหรือ?”  ผู้คนที่มีความคิดแบบนี้มีมากหรือไม่?  จริงๆ แล้วผู้เชื่อสามารถทำได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้าด้วยการพึ่งพาการคิดในหนทางนี้หรือไม่?  มีความจริงมากมายที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนเข้าใจรวมทั้งหลายบทเรียนที่จะเรียนรู้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความจริงเกี่ยวกับนิมิตก็คือความจริงที่บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต้องมีรวมทั้งเป็นสิ่งทั้งหลายที่วางรากฐาน  หากพวกเขาไม่แม้แต่จะเข้าใจความจริงเหล่านี้ พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้หรือไม่?  หากพวกเขาเพียงแค่พึ่งพาความคิดฝันและรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเองเท่านั้น อีกทั้งไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขายังคงมีคุณสมบัติพอที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้าหรือบททดสอบและการถลุงของพระองค์หรือไม่?  พวกเขาสามารถได้มาซึ่งการชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้าและได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระองค์ได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถ  จำนวนผู้คนในคริสตจักรที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงอาจมากกว่าครึ่ง หรือมากกว่ายิ่งกว่านั้น  เมื่อพวกเจ้าพิจารณาสถานการณ์นี้ พวกเจ้าจะคิดหรือไม่ว่า “พระเจ้าได้ตรัสมากมายเหลือเกิน แต่ผู้คนก็ยังคงไม่เข้าใจ แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงให้ความรู้แจ้งคนที่ไม่รู้ความและโง่เขลาเหล่านี้?  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ตรัสบางสิ่งเพิ่มเติม ไม่ทรงพระราชกิจเพิ่มเติม และไม่ทรงทุ่มเทความพยายามให้กับพวกเขามากขึ้น?  เหตุใดพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่ทรงดลใจและไม่ทรงบ่มวินัยพวกเขาเพื่อที่คนที่ไม่รู้ความเหล่านี้จะได้ไม่เป็นคนที่ไม่รู้ความอีกต่อไป และคนโง่เขลาจะได้ไม่โง่เขลาอีกต่อไป?  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงทำเช่นนี้?”  นี่ไม่ถูกต้อง  พระเจ้ายังตรัสไม่มากพอหรือ?  มีคนมากมายพูดว่าพระเจ้าตรัสมากเกินไป พระองค์ตรัสอย่างละเอียดเกินไป และพูดแม้กระทั่งว่าพระองค์ทรงย้ำมากเกินไป  แล้วมีใครบ้างไหมที่รู้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงต้องตรัสในหนทางนี้?  เป็นเพราะผู้คนดื้อแพ่งและเป็นกบฏเกินไป ไม่เคยยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและไม่ทุ่มเทความพยายามให้กับความจริง—พระเจ้าจะไม่ทรงบังคับคนจำพวกนี้  หากผู้คนไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  พระเจ้าไม่เคยทรงทำสิ่งอันใดโดยใช้กำลัง นี่คือหนทางที่พระองค์ทรงพระราชกิจ  พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะไปแล้วมากมายกระทั่งผู้คนไม่สามารถอ่านได้หมดด้วยซ้ำ แล้วพระองค์จะทรงสามารถบังคับผู้คนได้อย่างไร?  เหตุใดผู้คนจึงไม่เข้าใจเจตนารมณ์อันเปี่ยมไปด้วยความอุตสาหะของพระเจ้า?  ตัวเอกในเรื่องราวนี้ซึ่งได้รับประสบการณ์กับความเจ็บปวดชั่วชีวิตก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าและรับฟังคำเทศนาของพระองค์เช่นกัน และถึงขั้นสละตนเองและทำหน้าที่ของเธออย่างเต็มเวลาในคริสตจักร แต่ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็ไม่เข้าใจว่าใครกันแน่ที่เธอจะพึ่งพาได้ และไม่เข้าใจว่าความปรารถนาของเธอเกิดขึ้นอย่างไรและจะกลายเป็นจริงได้หรือไม่—ในกรณีเช่นนั้นต้องมีปัญหาเป็นแน่  ในข้อเท็จจริงนั้น จากมุมมองของพระเจ้านี่เป็นปัญหาที่เรียบง่ายมาก  เจ้าแค่จำเป็นต้องเปลี่ยนทิศทางและเคลื่อนเข้าหาทิศทางที่พระเจ้าประทานให้เจ้าและเส้นทางที่พระเจ้าตรัสบอกกับเจ้า รวมทั้งเชื่อ ยอมรับ นบนอบ และปฏิบัติอย่างหนักแน่นมั่นคง โดยปราศจากความกังขาหรือความคลางแคลงใจใดๆ  แต่ผู้คนก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  พวกเขายึดมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความหวังของตนเอง ตลอดจนความหลงผิดที่ถูกปกปิดไว้ภายในหัวใจของพวกเขาเอาไว้แน่น  พวกเขาถึงขั้นคำนึงถึงว่าสิ่งเหล่านี้เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่พวกเขาจะคว้าเอาไว้ หรือที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ คำนึงถึงว่าเป็นรากฐานซึ่งพวกเขาใช้ในการพึ่งพาเพื่อการดำรงอยู่ โดยละวางพระวจนะของพระเจ้าและทิศทางที่พระเจ้าประทานให้พวกเขาไว้ก่อน รวมทั้งเพิกเฉยต่อพระวจนะและทิศทางดังกล่าว  แล้วพระเจ้าทรงจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?  หากเจ้าไม่ยอมรับและไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ดีที่ประทานให้เจ้า พระเจ้าย่อมทรงเอาสิ่งเหล่านั้นไปเสีย  คนคนหนึ่งจะได้รับอะไรในทันทีที่สิ่งเหล่านี้ถูกนำไปเสีย?  ไม่มีสิ่งใดเลย  ดังนั้นลึกลงไปในหัวใจของเธอ ตัวเอกคนนี้จึงไม่รู้คำตอบสำหรับคำถามต่างๆ อีกต่อไป ซึ่งก็คือ “พระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่ฉันสามารถพึ่งพาได้จริงๆ หรือ?  อันที่จริงแล้วฉันสามารถพึ่งพาใครได้?  ฉันสามารถพึ่งพาใครได้เพื่อมีชีวิตรอด เพื่อได้รับพร และเพื่อได้รับบั้นปลายในอนาคตของฉัน?”  เธอกลายเป็นสับสนเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไปแล้ว  ในท้ายที่สุดแล้ว ความเสียใจที่ยังคงอยู่ลึกลงไปในหัวใจของเธอคือสิ่งใด?  การที่เธอไม่มีใครให้พึ่งพา ไม่มีใครให้วางใจ  ชีวิตของเธอช่างน่าสลดใจและน่าอนาถเสียจริง!  เธอสับสนว่านัยสำคัญของการจัดการเตรียมการให้กับผู้คนในชีวิตนี้ของพระผู้สร้างคืออะไร เธอไม่รู้  หลังจากเธอได้ก้าวผ่านชีวิตในหนทางนี้แล้ว และได้ถึงวัยชราแล้วแต่ยังคงไม่สามารถเข้าใจนัยสำคัญทั้งหมดนี้ หรือได้บทสรุปที่ถูกต้องแม่นยำ หรือคิดหาทิศทางและเป้าหมายที่ถูกต้องแม่นยำในชีวิตได้—เมื่อเธอไม่สามารถได้รับอะไรเช่นนี้เลย พระเจ้าทรงทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?  พระองค์ทรงกำหนดขอบเขตภายใต้ชีวิตของคนคนนี้  พระเจ้าได้ทรงทำทั้งหมดที่สามารถทำได้แล้ว  พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อม ได้ทรงให้ความรู้แจ้งและได้ทรงนำเธอ และถึงขั้นได้ประทานแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตต่อไปให้กับเธอในยามที่เธอเจ็บปวดที่สุดหรือในยามที่เธอเผชิญกับสถานการณ์ที่หมดหวัง  พระเจ้าได้ทรงช่วยให้เธอสามารถดำเนินชีวิตมาถึงจุดนี้ได้ด้วยความรักและการเกื้อหนุนสูงสุด  แล้วเพื่อจุดประสงค์ใด?  เพื่อทำให้เธอกลับตัว  จุดประสงค์ของการกลับตัวของคนเราคืออะไร?  เพื่อทำความเข้าใจว่าไม่มีใครที่เจ้าสามารถพึ่งพาได้ เจ้าต้องไม่พึ่งพาใคร และเจ้าต้องไม่พยายามสร้างชีวิตที่มีความสุขด้วยตัวเอง เจ้าต้องไม่ทำให้เกิดความปรารถนาใดๆ และยกเว้นพระผู้สร้าง ไม่มีใครสามารถจัดวางเรียบเรียงหรือใช้อำนาจทำการควบคุมเหนือโชคชะตาของเจ้าได้ ไม่แม้กระทั่งตัวเจ้าเอง  อะไรคือตัวเลือกที่เจ้าควรเลือก?  มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้างโดยปราศจากคำพูดพร่ำบ่นหรือเงื่อนไขที่ต้องมีก่อน รับฟังสิ่งที่พระองค์ตรัส และเดินตามหนทางของพระองค์  ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดหรือความเจ็บป่วย ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ต้องได้รับประสบการณ์  เมื่อกำลังจะมีการกำหนดขอบเขตภายใต้ชีวิตของคนคนหนึ่งและพวกเขาไม่เข้าใจทั้งหมดนี้ พระเจ้าทรงทำอะไรอีก?  พระองค์ไม่ทรงทำอะไรอีกต่อไป ซึ่งมีนัยสำคัญอีกด้วยว่าพระเจ้าทรงละทิ้งพวกเขาแล้ว  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงทำอะไรอีกต่อไป?  เพราะคนคนนี้ใช้ชีวิตอยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนเองเสมอมา อีกทั้งใช้ชีวิตอยู่ในความอยากและความดื้อดึงของตนเอง และพวกเขาก็ปฏิบัติต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงด้วยท่าทีที่ดื้อแพ่งและดื้อดึง รวมทั้งท่าทีที่คิดว่าตนถูกและชิงดีชิงเด่น  ดังนั้นเมื่อชีวิตของคนคนหนึ่งกำลังจะสิ้นสุดลงและพวกเขาก้าวผ่านสภาพแวดล้อมหรือกระบวนการเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ไปทีละขั้นแล้ว แต่ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระผู้สร้างไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับโชคชะตาของชีวิตมนุษย์แต่อย่างใดเลย เช่นนั้นย่อมเป็นที่ประจักษ์ในตัวของมันเองว่าชีวิตของพวกเขาเทียบได้กับสิ่งใด และพระผู้สร้างจะไม่ทรงแทรกแซงหรือทำสิ่งใดอีกต่อไป  นี่คือหนทางซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจ

มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันแบบใดเกิดขึ้นในตัวผู้คนอันเป็นผลจากหนทางแห่งการทรงพระราชกิจของพระเจ้า?  เมื่อบางคนมองเห็นพระเจ้าทรงกำจัดผู้อื่นออกไป มโนคติอันหลงผิดก็เกิดขึ้นในตัวพวกเขาและพวกเขาก็พูดว่า “คนคนนี้ได้รับประสบการณ์กับความเจ็บปวดในชีวิตของพวกเขามากเหลือเกิน พระผู้สร้างไม่ทรงเวทนาพวกเขาหรอกหรือ?”  การเวทนาแสดงถึงสิ่งใด?  (การประทานพระคุณ)  การประทานพระคุณสามารถกำหนดโชคชะตาของคนคนนี้ได้หรือไม่?  การประทานพระคุณสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเขาได้หรือไม่? การประทานพระคุณสามารถเปลี่ยนแปลงทัศนะของพวกเขาได้หรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้น ไม่สำคัญว่าพระผู้สร้างประทานพร พระคุณ และความสำราญทางวัตถุให้กับคนคนหนึ่งมากแค่ไหน หากสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถชักจูงหรือช่วยคนคนนั้นให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือใช้เส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และในท้ายที่สุดแล้วใช้เส้นทางที่พระเจ้าทรงชี้ให้ผู้คนเห็น รวมทั้งเข้าใจว่าทุกสิ่งที่ผู้คนได้รับประสบการณ์ในชีวิตของตนคืออะไร เช่นนั้นพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำกับพวกเขาย่อมจะสูญเปล่า และเห็นได้ชัดว่าจะมีการขีดเส้นใต้ช่วงระยะเวลาของชีวิตที่คนคนนั้นได้เชื่อในพระเจ้า  มโนคติอันหลงผิดแบบใดมีแววที่จะเกิดขึ้นในตัวผู้คน?  “พระเจ้าทรงยอมผ่อนปรนและทรงอดทน และความรักของพระองค์ทรงพลังอำนาจและกว้างใหญ่ไพศาล  เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงสามารถรักคนเช่นนั้นได้?”  ความรักของพระเจ้าสำแดงออกมาอย่างไร?  พระเจ้าทรงรักคนคนนั้นอย่างแท้จริงหรือไม่?  ความรักของพระเจ้าสร้างผลลัพธ์อันใดในตัวคนคนนั้นหรือยัง?  ในเมื่อไม่มีผลลัพธ์ ความรักของพระเจ้าสำแดงออกมาอย่างไร?  พระอุปนิสัยของพระเจ้าสำแดงออกมาอย่างไร?  พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างไร?  ในข้อเท็จจริงนั้น ก่อนที่พระเจ้าจะทรงทำสิ่งใดก็ตาม พระองค์ได้ทรงเลือกสรรคนคนนั้น ทรงพระราชกิจกับพวกเขา และทรงพิจารณาการกำหนดทั้งชีวิตของพวกเขาไว้ล่วงหน้าและทรงจัดวางเรียบเรียงทั้งชีวิตของพวกเขาตามหนทางของพระองค์แล้ว  เจตนารมณ์ของพระเจ้าอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้  นี่ไม่ใช่ความรักของพระเจ้าหรอกหรือ?  (ใช่)  นี่คือความรักของพระเจ้าแล้ว  ขณะที่คนคนนั้นก้าวผ่านแต่ละกระบวนการในชีวิตของพวกเขา พระเจ้าทรงแสดงให้พวกเขาเห็นความกรุณาและความใส่พระทัย ทรงคุ้มครองพวกเขา ประทานแรงจูงใจให้พวกเขา และทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมบางอย่าง โดยทรงคุ้มครองพวกเขาอยู่เป็นนิตย์ในการทำภารกิจของพวกเขาให้เสร็จสิ้นในชีวิตนี้  ในระหว่างกระบวนการนี้ ไม่สำคัญว่าพวกเขายืนกราน ดื้อดึง โอหัง หรือดื้อแพ่งเพียงใด พระเจ้าจะทรงช่วยพวกเขาอย่างต่อเนื่องให้ก้าวผ่านชีวิตของพวกเขาตามหนทางของพระเจ้าอย่างราบรื่น ด้วยความรักและความเอื้ออารีของพระผู้สร้าง และความรับผิดชอบของพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเผชิญภยันตรายและการทดลองมากแค่ไหนในชีวิตของพวกเขา หรือแม้กระทั่งพวกเขารู้สึกหมดหวังและต้องการฆ่าตัวตายกี่ครั้ง พระเจ้าย่อมทรงนำทางพวกเขาให้ก้าวผ่านชีวิตนี้ตามหนทางของพระองค์  หากปราศจากการทรงนำของพระเจ้า แน่นอนว่าชีวิตของพวกเขาคงจะไม่เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะพวกเขาคงจะถูกรุมเร้าไปด้วยการชักนำ การทดลอง หรือภยันตรายทุกประเภท  ดังนั้นนี่จึงเป็นความรักของพระเจ้าทั้งสิ้น  ในมโนคติอันหลงผิดของผู้คน พวกเขาคิดว่าความรักของพระเจ้าควรเป็นอิสระจากความเจ็บปวดดังกล่าว ความทุกข์เข็ญทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลายดังกล่าวซึ่งสวนทางกับความรู้สึกของพวกเขา  ในข้อเท็จจริงนั้น พระเจ้าประทานความกรุณา พระคุณ และพระพรให้ผู้คนในหนทางที่เปี่ยมรักและยอมผ่อนปรนอยู่เป็นนิตย์  ในท้ายที่สุดแล้ว พระองค์ยังทรงแสดงความจริงด้วยความอดทนและความรักอันยิ่งใหญ่ เพื่อที่ผู้คนจะได้เข้าใจความจริงและได้รับชีวิต  พระองค์ทรงใช้วิธีการต่างๆ เพื่อสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ โดยทรงนำทางผู้คนไปทีละขั้นเพื่อที่พวกเขาจะได้เข้าใจชีวิตมนุษย์และรู้วิธีดำเนินชีวิตอย่างมีความหมาย  จุดประสงค์ของพระเจ้าในการทำพระราชกิจของพระองค์ในหนทางนี้คืออะไร?  หากพูดในระดับที่ตื้นเขินกว่านี้ จุดประสงค์ของพระองค์นั้นก็เพื่อให้ผู้คนสามารถทิ้งความเจ็บปวดทั้งหมดที่บังเกิดขึ้นกับพวกเขาในชีวิต ตลอดจนความเจ็บปวดทั้งหมดที่พวกเขาเองทำให้เกิดขึ้น ในระดับที่ลุ่มลึกยิ่งขึ้น จุดประสงค์ของพระเจ้าคือการทำให้ผู้คนดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ดำเนินชีวิตอย่างคนปกติธรรมดา อย่างคนจริง และดำเนินชีวิตภายใต้การทรงนำของพระผู้สร้าง  อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีอิสรภาพ  พระเจ้าทรงสร้างเจตจำนงอันเสรีและปฏิภาณแห่งความคิดให้ผู้คน  ต่อมาภายหลังผู้คนยอมรับหลายสิ่งจากโลกใบนี้และสังคมนี้ เช่น ความรู้ วัฒนธรรมแบบดั้งเดิม กระแสนิยมทางสังคม การอบรมศึกษาในครอบครัว และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  พระเจ้าทรงเกลียดสิ่งเหล่านี้ที่มาจากซาตานเสมอมา และทรงเปิดโปงสิ่งเหล่านี้เพื่อที่ผู้คนจะได้รู้จักความไร้เหตุผลและความหน้าซื่อใจคดของสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งความเข้ากันไม่ได้กับความจริงอย่างสิ้นเชิงของสิ่งเหล่านี้  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่เคยทรงแยกผู้คนหรือทำให้พวกเขาอยู่ห่างสิ่งเหล่านี้ที่เป็นของซาตาน  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับทรงให้ผู้คนรับประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้และแยกแยะสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นเช่นไร อีกทั้งได้รับประสบการณ์ชีวิตที่ถูกต้องและความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งเหล่านี้  เมื่อกระบวนการทั้งหมดจบลงและพระเจ้าได้ทรงทำทั้งหมดที่พระองค์ทรงควรที่จะทำแล้ว ผู้คนย่อมได้รับมากเท่าที่พวกเขาสามารถได้รับ  แล้วในช่วงระยะสุดท้ายนี้ มโนคติอันหลงผิดใดเกิดขึ้นในตัวผู้คน?  การที่พระเจ้าทรงทอดทิ้งใครบางคน ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ทรงคำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขา  เป็นจุดที่ผู้คนรู้สึกว่าความหวังอันอบอุ่นเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งคนคนนั้นสามารถฝากไว้กับพระเจ้าถูกทำให้แตกกระจัดกระจายแล้ว และผู้คนก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องโหดร้ายอยู่บ้าง  เมื่อผู้คนรู้สึกถึงสำนึกแห่งความโหดร้ายนี้ มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาก็ถูกเปิดโปงเช่นกัน  เจ้าต้องการเป็นคนดีและช่วยเหลือคนคนนั้นให้ได้รับการช่วยให้รอด  นี่เป็นประโยชน์หรือไม่?  คนคนนั้นเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกินโดยไม่มีการไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใดเลยและไม่ได้รับสิ่งใดเลย  เจ้าต้องการเวทนาพวกเขาและช่วยเหลือพวกเขา แต่เจ้าสามารถจัดหาความจริงให้พวกเขาได้หรือไม่?  เจ้าสามารถให้ชีวิตกับพวกเขาได้หรือไม่?  เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก แล้วเหตุใดเจ้าจึงมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า?  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำนั้นเป็นธรรมและมีเหตุผลต่อทุกคน  หากพวกเขาไม่ยอมรับความจริงและไม่นบนอบพระราชกิจของพระเจ้าด้วยตัวเอง เจ้าจะพร่ำบ่นได้อย่างไรว่าพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด?  แน่นอนว่าในที่นี้มีมโนคติอันหลงผิดจำนวนมากมายของผู้คน  ผู้คนเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเอาไว้มากมายเหลือเกินเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า เช่น “ในเมื่อพระเจ้าทรงทำมากมายเหลือเกิน เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงสำเร็จลุล่วงช่วงระยะสุดท้ายนี้อย่างสมบูรณ์?  นี่ดูเหมือนว่าไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์จะทำ อีกทั้งพระเจ้าก็ไม่ควรทรงทำสิ่งนี้  ในเมื่อพระเจ้าทรงทำพระราชกิจอันยิ่งใหญ่เช่นนั้น พระองค์ก็ควรทรงให้คนเหล่านั้นทั้งหมดที่เชื่อในพระองค์ได้รับการช่วยให้รอด  ความสำเร็จเช่นนี้เท่านั้นที่จะเป็นผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบของพระราชกิจของพระเจ้า  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงกำจัดคนคนนี้ออกไป?  เรื่องนี้ขัดแย้งกับความรักและความกรุณาที่พระเจ้าทรงมีให้กับผู้คน และผู้คนก็มีแววว่าจะเข้าใจเรื่องนี้ผิด!  เหตุใดพระเจ้าจึงจะทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้?  นี่ไม่ใช่การไม่ค่อยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้คนหรอกหรือ?”  พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเป็นเช่นนี้นี่เอง  นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  แค่รับประสบการณ์กับพระอุปนิสัยนี้แล้ววันหนึ่งพวกเจ้าจะเข้าใจ

สิ่งที่พวกเราเพิ่งพูดถึงเกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันบางอย่างของผู้คนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ส่วนหนึ่งคือความคิดฝันของผู้คน และส่วนหนึ่งคือข้อเรียกร้องที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า กล่าวคือ ผู้คนคิดว่าพระเจ้าควรทรงทำเช่นนี้และพระเจ้าควรทรงทำเช่นนั้น  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของเจ้าและขัดแย้งกับข้อเรียกร้องหรือความคิดฝันของเจ้า เจ้าย่อมจะรู้สึกเสียใจและเศร้า และคิดว่า “ท่านไม่ใช่พระเจ้าของฉัน พระเจ้าของฉันจะไม่เป็นดังที่ท่านเป็น”  หากพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า เช่นนั้นใครคือพระเจ้าของเจ้าเล่า?  เมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข ผู้คนมักจะใช้ชีวิตอยู่ภายในสภาวะและมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ และในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขานั้นพวกเขามักจะนำมโนคติอันหลงผิดและข้อเรียกร้องเหล่านี้มาใช้ประเมินวัดพระราชกิจของพระเจ้า ตัดสินว่าพวกเขาทำสิ่งที่ถูกหรือผิด รวมทั้งตัดสินความถูกต้องของเส้นทางที่พวกเขากำลังเดิน—นี่จะนำไปสู่ปัญหา  เจ้ากำลังเดินตามเส้นทางที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้อกำหนดของพระเจ้า ดังนั้นต่อให้เจ้าจะดูเหมือนเดินตามพระเจ้าและดูเหมือนจะรับฟังคำเทศนาและพระวจนะของพระองค์ ผลลัพธ์สุดท้ายจะใช่การบรรลุความรอดหรือไม่?  ไม่ใช่  ดังนั้น เพื่อที่จะบรรลุความรอดผ่านทางการเชื่อในพระเจ้า ไม่ได้เป็นความจริงที่ว่า ด้วยการยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตคริสตจักร เจ้าย่อมเป็นบุคคลหนึ่งภายในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า และเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอดและทำให้เพียบพร้อม และนี่หมายความว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดแล้ว หรือเจ้าย่อมจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน  ไม่ใช่เช่นนั้น  นี่เป็นแค่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ รวมทั้งเป็นเหตุผลและการตัดสินของมนุษย์

พวกเจ้าจงสรุปเถิด—มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องในเรื่องราวนี้ที่เราเพิ่งบอกเจ้าไปคืออะไร?  ทันทีที่พวกเจ้าสรุปมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้แล้ว จงอ่านให้เราฟัง  (พระเจ้า พวกเราได้สรุปมโนคติอันหลงผิดสี่ประการดังนี้ ประการแรก ผู้คนรู้สึกว่าหากพวกเขามีความปรารถนาและการไล่ตามหาเสาะหาซึ่งมีเหตุผลและไม่ไปไกลเกินไป พระเจ้าก็ควรทรงลุล่วงความปรารถนาและการไล่ตามหาเสาะหาเหล่านี้  ประการที่สอง ผู้คนรู้สึกว่าหากพระเจ้าทรงยอมลำบากมากเช่นนั้นในการทรงพระราชกิจกับพวกเขาแต่พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจ พระเจ้าก็ควรทรงทำพระราชกิจบางอย่างที่เหนือธรรมชาติเพื่อให้ความรู้แจ้งพวกเขาทันทีและให้พวกเขารู้เส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต แทนที่จะทำให้พวกเขาทนทุกข์กับความยากลำบากในชีวิตมากมายยิ่งนัก รวมทั้งทำให้พวกเขาคลำทางไปทั่วด้วยตัวเองและก้าวผ่านกับรับประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายด้วยตัวเอง  ประการที่สาม ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  พวกเขารู้สึกว่าหากพระเจ้าทรงยอมลำบากมากเช่นนั้นในการทรงพระราชกิจกับพวกเขา ในท้ายที่สุดแล้วย่อมต้องมีผลลัพธ์สุดท้าย ซึ่งก็คือพวกเขาต้องได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้า  ประการที่สี่ เบื้องหลังการเชื่อในพระเจ้าของผู้คนมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับการลองเสี่ยงโชคอยู่)  มีอะไรอีกไหม?  ใครสามารบอกเราได้?  (มโนคติอันหลงผิดอีกอย่างหนึ่งก็คือในเมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้และทรงทำงานใหญ่เช่นนั้น พระองค์ก็ควรทรงได้รับผู้คนมากขึ้นบ้าง และหากพระองค์ทรงได้รับผู้คนเพียงไม่กี่คน นั่นย่อมไม่ใช่พระราชกิจของพระเจ้า)  นั่นก็มโนคติอันหลงผิดห้าประการแล้ว  มีอะไรอีกไหม?  (ข้าพระองค์นึกได้ประการหนึ่ง ซึ่งก็คือเมื่อผู้คนมีประสบการณ์พิเศษบางอย่าง เช่น การถูกจับกุมและถูกข่มเหง และในระหว่างนั้นมีปฏิสัมพันธ์ที่จริงแท้บางอย่างกับพระเจ้ารวมทั้งคำพยานที่จริงแท้ พวกเขาคำนึงถึงว่าเรื่องนี้เป็นต้นทุนอย่างหนึ่งและคิดว่าเพราะพวกเขามีคำพยานจากประสบการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าและดังนั้นโอกาสที่พวกเขาจะมีชีวิตรอดย่อมจะสูงขึ้น)  (นอกจากนี้ผู้คนยังคิดอีกด้วยว่า ยิ่งงานของพวกเขายิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใดและยิ่งพวกเขายอมลำบากมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้นและมีแววว่าจะได้รับการช่วยให้รอดมากขึ้นเท่านั้น)  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้คนคิดว่าโอกาสที่พวกเขาจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าขึ้นอยู่กับว่าพวกเขายอมลำบากมากเท่าใด และสองสิ่งนี้ต้องได้สัดส่วนกันโดยตรง แทนที่จะได้สัดส่วนกันอย่างผกผันหรือไม่สัมพันธ์กัน และต้องเชื่อมโยงกัน—นี่คือมโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่ง  นั่นคือประการที่เจ็ด  มีอะไรอีกไหม?  (มีอีกหนึ่งแง่มุม ซึ่งก็คือผู้คนคิดว่าหากพระเจ้าต้องประสงค์ให้พวกเขาเข้าใจความจริง พระองค์ทรงสามารถให้ความรู้แจ้งพวกเขาเพื่อที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจ และพระองค์ไม่ควรทดสอบผู้คน ลิดรอนพวกเขา ทำให้พวกเขาทนทุกข์ เพราะพระเจ้าทรงรักผู้คน และการทำให้พวกเขาทนทุกข์ไม่ใช่ความรัก)  นี่คือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับความรักของพระเจ้า  มีมโนคติอันหลงผิดอื่นใดอีก?  (ผู้คนคิดว่าคงจะดีกว่านี้หากพระเจ้าทรงได้รับทุกคนไว้  ซาตานคงจะถูกทำให้อัปยศอดสูและพระเจ้าคงจะได้รับมวลมนุษย์ไว้เช่นกัน  แต่ในข้อเท็จจริงนั้น นี่เป็นหนทางที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจที่ผู้คนจะคิด อีกทั้งเป็นไปเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของพวกเขาเอง)  พวกเขามีความคิดฝันอันสมบูรณ์แบบเกี่ยวกับผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระเจ้า  นี่คือมโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่ง  นอกจากจุดมุ่งหมายที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจนั้นของผู้คน พวกเขาเชื่อว่าทั้งหมดนี้ซึ่งพระเจ้าทรงทำควรมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด และจุดจบต้องสมบูรณ์แบบ และตรงตามความปรารถนาของตน และเป็นไปตามความคิดฝันของตน และเป็นไปตามการถวิลหาสิ่งที่สวยงามของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้นลงแล้ว ข้อเท็จจริงต่างๆ มักจะไม่เป็นไปตามความคิดฝันของผู้คน และจุดจบของทั้งหมดนี้อาจไม่สมบูรณ์แบบดังที่ผู้คนคิดฝัน  แน่นอนว่าผู้คนไม่ต้องการเห็นว่าจะไม่มีผู้คนมากมายที่ยังคงอยู่เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้นลงแล้ว เหมือนกันไม่มีผิดกับในยุคธรรมบัญญัติ ซึ่งเป็นเวลาที่มีผู้เชื่อไม่กี่คนอย่างโยบที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ผู้คนรู้สึกว่าผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระเจ้าไม่ควรเป็นเช่นนี้ เพราะพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์ และนี่คือวิธีที่พวกเขาให้นิยามมหิทธานุภาพของพระเจ้า  คำนิยามของคำว่ามหิทธานุภาพของพระเจ้านี้ในตัวมันเองก็คือมโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่ง เป็นแนวคิดเกี่ยวกับความนิยมความสมบูรณ์แบบซึ่งผู้คนคิดฝัน และไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์จะทำรวมทั้งหลักธรรมซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจของพระองค์  มีมโนคติอันหลงผิดอื่นใดอีก?  (เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาไม่ทบทวนเส้นทางที่พวกเขาเดินอีกทั้งไม่ทบทวนวิธีที่พวกเขาทิ้งความเสื่อมทรามและบรรลุความรอด  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับคิดว่าพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์ และหากพระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะทรงทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลง พวกเขาย่อมจะเปลี่ยนแปลง)  พระเจ้าตรัสบอกผู้คนถึงวิธีเปลี่ยนแปลง แต่ผู้คนไม่นำพระวจนะของพระองค์ไปปฏิบัติ และพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง และถึงขั้นต้องการทำให้ตัวเองไม่ต้องเดือดร้อนลำบากและต้องการให้พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงพวกเขาอยู่เป็นนิตย์  นี่คือความคิดฝันที่กลวงเปล่าประเภทหนึ่ง และคือมโนคติอันหลงผิด  มีอะไรอีกไหม?  (ผู้คนคิดว่าใครบางคนที่ทนทุกข์มามากมายและถึงทางตันในชีวิตของตนควรมีจุดจบที่ดีในท้ายที่สุด และพระเจ้าไม่ควรทรงละทิ้งพวกเขา  ในท้ายที่สุดแล้วเมื่อคนคนนี้ไม่ได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าและพระองค์ต้องประสงค์จะละทิ้งพวกเขา ผู้คนย่อมจะนำมุมมองของ “คนดี” มาใช้ในการมองดูสิ่งทั้งหมดนี้ที่พระเจ้าทรงกระทำ และรู้สึกว่าการกระทำของพระเจ้าใจจืดต่อความรู้สึกของพวกเขาเกินไปและโหดร้ายเกินไป)  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  พวกเจ้าเพียงบรรยายเรื่องบางเรื่องและความเข้าใจจากการรับรู้ของพวกเจ้าบางส่วนเท่านั้น โดยไม่ได้กล่าวถึงว่านี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิด  ในที่นี้อะไรคือมโนคติอันหลงผิดหลักของผู้คน?  ผู้คนคิดว่าพระเจ้าทรงช่วยคนคนหนึ่งให้รอดบนพื้นฐานที่ว่าพวกเขาน่าเวทนาเพียงใดและพวกเขาทนทุกข์มามากเพียงใด  ผู้คนคิดว่าเมื่อสุดท้ายแล้วพระเจ้าตัดสินพระทัยจุดจบของคนคนนั้น พระองค์ควรแสดงพระหทัยที่เปี่ยมกรุณาของพระองค์ รวมทั้งความเอื้ออารี การยอมผ่อนปรน ความรัก และความเวทนาของพระองค์ เพราะคนคนนี้ทนทุกข์มามากมายยิ่งนักและชีวิตของพวกเขาก็น่าเวทนา  ไม่สำคัญว่าคนคนนี้เข้าใจความจริงหรือไม่ และไม่สำคัญว่าพวกเขานบนอบพระเจ้ามากเพียงใด ผู้คนคิดว่าพระเจ้าไม่ควรทรงพิจารณาสิ่งเหล่านั้น แต่พระองค์กลับควรทรงพิจารณาว่าคนคนนี้น่าเวทนาเพียงใด รวมทั้งควรทรงพิจารณาว่าพวกเขาทนทุกข์กับความเจ็บปวดมากมาย และควรทรงพิจารณาว่าพวกเขายึดมั่นในความฝันของตนอย่างมุ่งมั่นไม่ท้อถอยยิ่งนัก และควรทรงทำการยกเว้นด้วยการทรงอนุญาตให้พวกเขาได้รับการช่วยให้รอด—นี่คือมโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่งของผู้คน  ผู้คนมี “สิ่งที่ควรทำ” มากมายและใช้ “สิ่งที่ควรทำ” ทั้งหมดนี้เพื่อพิจารณากำหนดว่าพระเจ้าควรทรงทำสิ่งใดและเพื่อให้นิยามการกระทำของพระเจ้า  เมื่อข้อเท็จจริงทั้งหลายเผยให้เห็นว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ ความแตกแยกก็เกิดขึ้นระหว่างผู้คนกับพระเจ้า และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าก็เกิดขึ้นในตัวผู้คน  แล้วนี่ใช่ความเข้าใจผิดเพียงอย่างเดียวหรือไม่?  ความเป็นกบฏของผู้คนก็เกิดขึ้นจากเรื่องนี้ด้วย  นี่คือความเลวร้ายและผลที่ตามมาซึ่งมโนคติอันหลงผิดนำพามาสู่ผู้คน

ประเด็นที่พวกเรากำลังอภิปรายกันอยู่ก็คือมโนคติอันหลงผิด  ผ่านทางเรื่องราวที่พวกเราเพิ่งพูดถึง ผู้คนสามารถมองเห็นได้ว่าตัวเอกใช้มโนคติอันหลงผิดมากมายเพื่อประเมินวัดทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียง และผู้คนเริ่มก่อความคิดและข้อเรียกร้องมากมายต่อพระเจ้า อันเป็นผลมาจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอกและลักษณะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเธอ—ซึ่งทั้งหมดนั้นคือมโนคติอันหลงผิด  จงบอกเราที ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดอื่นใดบ้าง?  (ผู้คนคิดว่าในเมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจใหญ่เช่นนั้น พระองค์ก็ควรทรงได้รับผู้คนมากขึ้น  แต่พระเจ้าตรัสว่าหากพระองค์สามารถได้รับผู้คนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เช่นนั้นนั่นก็คือทั้งหมดที่พระองค์จะทรงได้รับ ดังนั้นผู้คนจึงรู้สึกว่าพระเจ้าไม่โปรดการได้รับผู้คนมากมายขนาดนั้น และแล้วพวกเขาก็หยุดไล่ตามเสาะหา)  มโนคติอันหลงผิดส่งผลกระทบต่อการไล่ตามเสาะหาของผู้คน  ในที่นี่ต้องมีการแก้ไข  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่โปรดการได้รับผู้คนมากมายขนาดนั้น พระองค์โปรดการนี้  ในที่นี้มีคำถามอยู่ข้อหนึ่ง  เมื่อในท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าทรงพิจารณาจุดจบของผู้คน พระเจ้าตรัสบนพื้นฐานใดว่าพระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจกับพวกเขาอีกต่อไป แต่กลับจะทรงละทิ้งพวกเขาแทน?  ในที่นี้พระเจ้าทรงมีมาตรฐาน ซึ่งเป็นหลักธรรมและบรรทัดฐานด้วยเช่นกัน  หากเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับมาตรฐาน หลักธรรม หรือบรรทัดฐานนี้ หรือไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกคัดค้านบางอย่างกับพระเจ้าหรือความคิดฝันบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าย่อมจะเกิดขึ้นในตัวเจ้า  บางคนพูดว่า “พระเจ้าทรงทุ่มเทความพยายามมากมายให้กับเธอแต่ถึงกระนั้นเธอกลับไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ปล่อยมือจากความปรารถนาของตนเอง แต่ถึงขั้นยึดมั่นในความปรารถนานั้นของเธอรวมทั้งไม่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงละทิ้งเธอ”  นี่ใช่เหตุผลหลักที่พระองค์ทรงละทิ้งเธอหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วอะไรคือเหตุผลหลัก?  ตอนจบของเรื่องราวนี้ เมื่อตัวเอกแก่ชรา แม้รูปลักษณ์ของเธอจะเปลี่ยนไป และเธอก็แก่ตัวลงตามขวบปีที่ผ่านไป และช่วงเวลาก็เปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงก็คือความปรารถนาของเธอ และความหลงผิดที่เกือบจะพร่าเลือนเหล่านี้ของเธอ  แล้วอะไรทำให้เธอคอยยึดมั่นในความปรารถนาเช่นนั้นอยู่เรื่อยไป?  (อุปนิสัยอันดื้อแพ่งและเป็นกบฏ)  ถูกต้อง เป็นข้อเท็จจริงที่เธอไม่รักความจริง ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า และไม่ปฏิบัติความจริงนั่นเองที่เป็นเหตุให้เกิดผลลัพธ์เช่นนั้น  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามซึ่งเป็นความโอหัง ความดื้อแพ่ง และความดื้อดึงทำให้เธอคอยยึดมั่นในความปรารถนาและความใฝ่ฝันของเธอเองเรื่อยไป และหยุดยั้งเธอไม่ให้ปล่อยมือจากความใฝ่ฝันของเธอ  อะไรเป็นเหตุให้เกิดการนี้?  นี่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเธอ  แล้วเมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนคนหนึ่งไปถึงสุดทาง และอุปนิสัยของพวกเขายังคงดื้อแพ่ง โอหัง และดื้อดึง นี่หมายความว่าอย่างไร?  ในระหว่างพระราชกิจของพระเจ้า เมื่อมองจากภายนอกแม้คนคนนี้จะปรากฏว่าติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่พวกเขาไม่ปฏิบัติและรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ และในแก่นแท้แล้วพวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิตเลยแม้แต่น้อย  แล้วผู้คนเยี่ยงนี้ยอมรับและนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  ถูกต้อง  การนี้เป็นผลให้พระเจ้าทรงทอดทิ้งพวกเขาในที่สุด  พวกเขาได้ก้าวผ่านเส้นทางของทั้งชีวิตของตน และแม้ได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในระหว่างชีวิตและได้เข้าใจว่าเป็นพระผู้สร้างนั่นเองที่ได้ทรงจัดวางเรียบเรียงทั้งหมดนี้  และเป็นพระผู้สร้างนั่นเองที่ทรงจัดการเตรียมการโชคชะตาของผู้คน โดยในระหว่างช่วงระยะเวลาที่พวกเขาได้ติดตามพระเจ้าและได้รับฟังพระวจนะของพระเจ้า อุปนิสัยอันดื้อแพ่ง โอหัง และดื้อดึงของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งในท้ายที่สุด ดังนั้นผลลัพธ์นี้จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดในตัวเอง  นี่คือมาตรฐานสุดท้ายของพระเจ้า—หลักธรรมของพระเจ้า—ในการละทิ้งใครบางคน  ไม่สำคัญว่าผู้คนมีทัศนะแบบใด หรือพวกเขาทำการประเมินแบบใดเกี่ยวกับหลักธรรมและมาตรฐานนี้ของพระเจ้า ผู้คนย่อมจะไม่มีอิทธิพลต่อพระองค์และพระองค์ย่อมจะทรงทำสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงพึงทำ  หากเจ้าไม่มีส่วนร่วมกับคนคนนี้และไม่เข้าใจว่าแก่นแท้ส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของคนคนนี้คืออะไรและอุปนิสัยของพวกเขาเป็นอย่างไร แต่เพียงพิจารณารูปลักษณ์ของพวกเขาเท่านั้น เจ้าย่อมจะไม่มีวันเข้าใจหลักธรรมและรากเหง้าของการกระทำของพระเจ้า และเจ้าย่อมจะทำการตัดสินเกี่ยวกับการกระทำของพระเจ้าและคำวินิจฉัยของพระองค์ในส่วนเกี่ยวกับคนคนนี้  เราขอถามพวกเจ้าว่า เหตุใดพระเจ้าจึงจะทรงมอบการปฏิบัติประเภทนี้ให้คนที่น่าเวทนาเช่นนั้น ซึ่งเป็นคนที่ได้รับประสบการณ์กับความเจ็บปวดทุกรูปแบบในชีวิต คนที่ได้รับประสบการณ์กับความเจ็บปวดชั่วชีวิต?  เหตุใดพระเจ้าจึงจะทรงละทิ้งพวกเขา?  ผลลัพธ์นี้เป็นบางสิ่งที่ไม่มีใครต้องการเห็น แต่ที่จริงแล้วคือข้อเท็จจริงและมีอยู่จริงๆ  อะไรคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนี้?  หากพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจกับคนเช่นนั้นเป็นเวลาอีกสิบปี เมื่อตัดสินจากการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา คนคนนั้นจะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาและเส้นทางที่พวกเขาใช้หรือไม่?  (ไม่)  หากพระองค์ได้ทรงพระราชกิจกับพวกเขาเป็นเวลาอีก 50 ปีและทรงให้พวกเขามีชีวิตยาวนานขึ้นอีกเล็กน้อย พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดพวกเขาจึงจะไม่เปลี่ยนแปลง?  (แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเป็นตัวกำหนดว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าอีกกี่ปี พวกเขาย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง)  ใครสามารถพูดเรื่องนี้ในลักษณะที่จำเพาะมากกว่านี้ได้?  (เส้นทางที่พวกเขาใช้ไม่ถูกต้อง นั่นไม่ใช่เส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่หมายความว่าไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี นั่นจะไม่มีประโยชน์  ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าอีก 10 หรือ 20 ปี เส้นทางที่พวกเขาใช้และทิศทางของชีวิตของพวกเขาย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง)  จริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้นเอง  พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันภายในตัวพวกเขา  พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ไล่ตามเสาะหาความเข้าใจเกี่ยวกับความจริง รวมทั้งไม่ไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ความจริง  ทั้งหมดที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาคือรูปลักษณ์ของการติดตามอย่างต่อเนื่อง แต่แก่นแท้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาแล้วเป็นเวลา 10 หรือ 20 ปีโดยไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง หรือเป็นเวลา 30 หรือ 50 ปีและยังคงไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และสิ่งที่พวกเขาเผยออกมาและใช้ชีวิตตามในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  การนี้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา และนี่ก็เป็นเพียงแค่อุปนิสัยประเภทที่พวกเขามี  อุปนิสัยประเภทนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย อีกทั้งมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย  แล้วพระเจ้าทรงมีหลักธรรมสำหรับการจัดการกับคนเช่นนั้นหรือไม่?  เป็นเช่นนั้นจริงๆ  ผู้คนแสร้งทำเป็นคนดีอยู่ตลอดเวลา คิดว่าพวกเขายอมผ่อนปรนและยิ่งใหญ่เพียงใด  แต่การยอมผ่อนปรนของเจ้ายิ่งใหญ่เท่าการยอมผ่อนปรนของพระเจ้าหรือไม่?  ความรักของเจ้ายิ่งใหญ่เท่าความรักของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  แล้วการยอมผ่อนปรนของพระเจ้าคืออะไร?  เจ้าบอกได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงยอมผ่อนปรนและทรงเปี่ยมรัก?  พระเจ้าทรงใช้หนทางต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนเพื่อนำพาพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ เพื่อให้พวกเขารับฟังและเข้าใจพระวจนะของพระองค์ และเพื่อให้พวกเขาเดินข้ามผ่านชีวิตและปฏิบัติในหนทางที่พระองค์ทรงกำหนด  แต่คนคนนั้นไม่ยอมรับ และยึดมั่นในทัศนะของตนเองจนถึงปลายทางสุดท้าย  แล้วพระเจ้าทรงละทิ้งพวกเขาในระหว่างประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าไม่ทรงละทิ้ง  ในทุกช่วงระยะของชีวิต ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำเพื่อพวกเขาและทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงกำหนดให้พวกเขารับประสบการณ์ พระเจ้าทรงรับผิดชอบอย่างจริงจังจนถึงปลายทางสุดท้าย  จุดประสงค์ของพระเจ้าในการรับผิดชอบจนถึงปลายทางสุดท้ายคืออะไร?  เพื่อสามารถมองเห็นผลลัพธ์ที่ดี เพื่อสามารถมองเห็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและเป็นที่ยอมรับได้สำหรับคนคนนั้น เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถสำราญในความสุขที่แท้จริงที่พวกเขาปรารถนา—นี่คือการยอมผ่อนปรนของพระเจ้า  แต่ผลลัพธ์ที่พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นในท้ายที่สุดแล้วเป็นอย่างไร?  พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นผลลัพธ์ที่พระองค์ต้องประสงค์จะทอดพระเนตรเห็นในท้ายที่สุดหรือไม่?  (ไม่)  พระองค์ทอดพระเนตรไม่เห็นผลลัพธ์ดังกล่าว ไม่มีความหวังอันใดอยู่ในสายพระเนตรแล้ว  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เห็นความหวังอันใด นั่นมีนัยสำคัญถึงสิ่งใด?  หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงมีความหวังอันใดในคนคนนี้อีกต่อไป  เมื่อพูดตามแบบมวลมนุษย์ พระองค์ทรงท้อแท้สิ้นหวัง  หากมีความหวังริบหรี่ เช่นนั้นพระเจ้าย่อมจะไม่ทรงละทิ้ง  นี่คือการยอมผ่อนปรนและความรักของพระเจ้า  พระเจ้าทรงทุ่มเทการยอมผ่อนปรนและความรักของพระองค์กับผู้คนอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง แทนที่จะแค่ตรัสคำพูดที่กลวงเปล่า  ในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นในคนคนนี้ก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความดื้อดึงของพวกเขายังคงอยู่ และความปรารถนาของพวกเขาก็ยังคงอยู่ ณ ก้นบึ้งของหัวใจของพวกเขา  แม้คนคนนี้ต้องการได้รับพร แต่เมื่อพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาไม่ปล่อยมือจากสิ่งใดเลย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับยึดมั่นในความปรารถนาเพียงไร้ค่าน้อยนี้ตลอดทั้งชั่วชีวิตของพวกเขา อีกทั้งเกาะติดความปรารถนานี้ตลอดทั้งชั่วชีวิตของพวกเขา และเกาะกุมความปรารถนานี้เอาไว้แน่นตลอดทั้งชั่วชีวิตของพวกเขา  ภายนอกนั้น คนคนนี้มอบตัวเองให้กับพระเจ้า และมอบชีวิตของตนและญาติพี่น้องทุกคนของตนให้พระเจ้า  แต่ความเป็นจริงคืออะไร?  พวกเขาต้องการควบคุมดูแลด้วยตัวเอง ควบคุมดูแลผู้คนรอบๆ ตัวพวกเขา ควบคุมดูแลญาติๆ ของตน และควบคุมดูแลตัวเอง และนอกจากนี้พวกเขาต้องการให้คนเหล่านี้พึ่งพากันและกัน—จริงๆ แล้วพวกเขาไม่มอบทั้งหมดนี้ให้กับพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  ไม่สำคัญว่าเจ้ามองดูเรื่องนี้ในหนทางใด เส้นทางที่คนคนนี้ใช้ไม่ใช่เส้นทางของการติดตามหนทางของพระเจ้า และไม่ใช่เส้นทางของการทำได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้าอย่างมีสติ  พวกเขาไม่ใช้เส้นทางของการติดตามหนทางของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาทนทุกข์มากมายและได้รับประสบการณ์กับสิ่งที่พิเศษเหนือธรรมดามากมายในชีวิตของตน แต่นั่นก็ยังไม่ได้ทำให้พวกเขาทอดทิ้งภาพชีวิตอันสวยงามและมีความสุขซึ่งพวกเขาวาดเอาไว้ อีกทั้งยังไม่ได้ทำให้พวกเขาทบทวนในหนทางใดๆ  นี่เป็นบุคคลประเภทไหนกัน?  คนเยี่ยงนี้ดื้อแพ่งเกินไป  หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่เดินตามเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต เช่นนั้นนี่ย่อมเป็นผลลัพธ์สุดท้าย  ในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่พระเจ้าทรงทำก็คือทั้งหมดที่พระองค์อาจทรงสามารถทำได้อยู่แล้ว  สิ่งนั้นเกินความคิดฝันของผู้คนอยู่แล้วและไปไกลเกินสิ่งที่พวกเขาสามารถไปถึงได้  พระเจ้าประทานให้ผู้คนมากเกินไป  ตามความเสื่อมทรามของผู้คน อุปนิสัยของพวกเขา และท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า พวกเขาไม่สมควรได้รับสิ่งเหล่านี้ และไม่สมควรได้รับพรเหล่านี้  แต่พระเจ้าทรงละทิ้งหรือไม่?  พระเจ้าทรงพระราชกิจมากมายก่อนที่จะทรงละทิ้ง  พระเจ้าประทานความรักของพระองค์ ความกรุณาของพระองค์ รวมทั้งพระคุณและพระพรของพระองค์แก่พวกเขาอย่างทุ่มเท  แต่หลังจากพวกเขาได้รับสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้าแล้ว ท่าทีของพวกเขาซึ่งเป็นการตอบแทนนั้นเป็นอย่างไร?  พวกเขายังคงหลีกเลี่ยงพระองค์และอยู่ห่างจากพระองค์ และมักจะกังขาพระองค์อยู่ภายใน ระแวดระวังพระองค์ ต้านทานพระองค์ และล้มเลิก  เหตุใดคนคนนี้จึงต้องการพึ่งพาผู้อื่นเพื่อสร้างชีวิตที่มีความสุขอยู่เป็นนิตย์?  พวกเขาไม่สามารถบังคับตัวเองให้เชื่อในพระเจ้า  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถนำทางผู้คนไปสู่ครรลองที่ถูกต้องและทำให้พวกเขามีความสุขได้  พวกเขารู้สึกเสมอว่าเส้นทางของตัวเองถูกต้อง  หากพระเจ้าทรงสามารถช่วยเหลือพวกเขาและนำทางพวกเขาให้ลุล่วงเป้าหมายของพวกเขาโดยสอดคล้องกับเส้นทางที่พวกเขาเลือกและโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพวกเขา พวกเขาคงจะยอมรับและนบนอบแล้ว  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อทำให้ผู้คนกลับคืนสู่พระองค์ เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถยอมรับความจริงและดำเนินชีวิตอย่างมีความหมาย และนี่ขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิดของคนคนนี้  ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการไปตามทางของตัวเองและดำเนินชีวิตของตัวเอง  พวกเขาคิดว่าพวกเขาก็แค่ต้องพึ่งพาตัวเองและพึ่งพาผู้อื่น และพวกเขาไม่สามารถสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนได้ด้วยการพึ่งพาพระเจ้า  เพราะผู้คนไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดของตนเองเท่านั้น พวกเขาจึงไถลห่างจากพระเจ้าออกไปไกลขึ้นทุกที  มีเพียงบรรดาผู้ที่มองเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต และผู้ที่มองเห็นว่าผู้คนเสื่อมทรามอย่างที่สุดและต้องการความรอดของพระเจ้า รวมทั้งผู้ที่มองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำคือความจริง และทั้งหมดนั้นก็เพื่อประโยชน์แห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากอิทธิพลของซาตานและนำพามวลมนุษย์ไปสู่บั้นปลายที่สวยงาม—มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถยกย่องบูชาพระเจ้า พึ่งพาพระองค์ ติดตามพระองค์ไปจนถึงปลายทาง และไม่มีวันผละจากพระองค์

สิ่งที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมไปนั้นคือท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อคนคนหนึ่ง และยังเป็นหนทางต่างๆ ซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจท่ามกลางผู้คนและกับผู้คนด้วย  หากผู้คนเริ่มก่อมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาควรตรวจสอบ ทบทวน ทำความเข้าใจบ่อยๆ จากนั้นจึงกลับตัว  จุดประสงค์ของการกลับตัวของคนเราคืออะไร?  หากผู้คนตระหนักว่านี่คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน และตระหนักว่าอันที่จริงแล้วพระเจ้าทรงทำสิ่งทั้งหลายอย่างไร พวกเขายังคงมีแววว่าจะเริ่มก่อมโนคติอันหลงผิดบางอย่างที่ไม่ถูกต้องและบิดเบือนเกี่ยวกับพระเจ้ามากขึ้นไปอีกหรือไม่?  ยังคงเป็นไปได้ เนื่องจากผู้คนเป็นกบฏและมีความคิดที่กระตือรือร้น ดังนั้นพวกเขาจึงมีแววว่าจะเริ่มก่อมโนคติอันหลงผิดต่างๆ ทุกจำพวกเกี่ยวกับพระเจ้า  มโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่งทำให้เกิดมโนคติอันหลงผิดอีกอย่าง ซึ่งในทางกลับกันก็ทำให้เกิดมโนคติอันหลงผิดอื่นๆ และมโนคติอันหลงผิดทุกจำพวกก็อุบัติขึ้นอยู่เป็นนิตย์  ในเวลาเดียวกันกับที่พวกเขากำลังเริ่มก่อมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ผู้คนก็กำลังเข้าใจพระองค์ผิด ตลอดจนทบทวนอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงเข้าใจความจริงอย่างต่อเนื่อง และในกระบวนการนี้พวกเขาก็ค่อยๆ มารู้จักพระเจ้า  อะไรคือเหตุผลที่ผู้คนไม่สามารถสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า?  พวกเขาไม่รู้ว่ามโนคติอันหลงผิดคืออะไร และไม่รับรู้ถึงมโนคติอันหลงผิดภายในตัวพวกเขาเอง ทั้งพวกเขายังไม่ทบทวนมโนคติอันหลงผิดของตน และไม่เคยปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนเลย  พวกเขามุ่งความสนใจไปที่การยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้เท่านั้น และไม่เคยพยายามเรียนรู้หรือเข้าใจว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไร หรือแก่นแท้ของพระราชกิจของพระเจ้าคืออะไร ในหนทางนี้ นอกจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่มาอยู่ระหว่างพระเจ้ากับผู้คนซึ่งส่งผลต่อความรอดของผู้คนด้วย  ดังนั้นขณะที่จัดการกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองอยู่นั้น ผู้คนจำเป็นต้องได้รับความเข้าใจอันประณีตมากขึ้นและละเอียดมากขึ้นว่ามโนคติอันหลงผิดของมนุษย์คืออะไร  จุดประสงค์ของการทำความเข้าใจและแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์คืออะไร?  ใช่การปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้หรือไม่?  จุดประสงค์นี้ก็เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เข้าใจว่าพระเจ้าต้องประสงค์ให้ผู้คนเข้าสู่สิ่งใดกันแน่ รวมทั้งเข้าใจว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งทั้งหลายอย่างไร  หากพระเจ้าได้ทรงทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่เจ้าคิดฝัน พระราชกิจของพระเจ้ากับตัวเจ้าจะสามารถมีประสิทธิผลได้หรือ?  ไม่ ไม่สามารถ  ตัวอย่างเช่น มีบางสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงเคยให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับทรงระบุข้อกำหนดชัดเจนถึงวิธีทำสิ่งเหล่านั้น และเจ้าก็แค่จำเป็นต้องไปทำสิ่งเหล่านั้น  แต่เจ้าก็รอให้พระเจ้าทรงดลใจและทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าอยู่เสมอ และผลลัพธ์ก็คือ การรอนี้ทำให้งานล่าช้า เจ้าไม่ลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างถูกควร และเจ้าก็ลงเอยด้วยการถูกปลด  อะไรเป็นเหตุให้เกิดการนี้?  (มโนคติอันหลงผิด)  เมื่อมองเรื่องนี้ในขณะนี้ มโนคติอันหลงผิดของผู้คนส่งผลต่อการเข้าสู่ของพวกเขาหรือไม่?  (ส่งผล)  มโนคติอันหลงผิดของผู้คนส่งผลต่อการเข้าสู่ของพวกเขาจนถึงระดับใด?  อย่างน้อยที่สุด มโนคติอันหลงผิดของผู้คนส่งผลต่อความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงของผู้คนและการเข้าสู่ความเป็นจริงของพวกเขา อย่างแย่ที่สุด มโนคติอันหลงผิดของผู้คนส่งผลต่อทางเลือกที่ถูกต้องของผู้คนและนำพาพวกเขาไปใช้เส้นทางที่ผิดอย่างง่ายดาย  ผู้คนมีแววว่าจะเข้าใจพระเจ้าผิดมากที่สุดเมื่อพวกเขามีมโนคติอันหลงผิด  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงตัดแต่ง ทรงพิพากษา และทรงตีสอนพวกเขาทั้งสิ้นเพื่อที่จะสัมฤทธิผลลัพธ์ที่เป็นบวก เพื่อให้ผู้คนได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเองดียิ่งขึ้นและกลับใจอย่างแท้จริง  อย่างไรก็ตาม ผู้คนคิดว่าพระเจ้าทรงประทับยืนต้านพวกเขาโดยเจตนา และพระองค์จงใจต้องประสงค์จะเผยและกำจัดพวกเขาออกไป  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสหรือทรงทำสิ่งใด พวกเขาคิดกับพระองค์ในทางที่แย่สุดเสมอ และเชื่อว่าพระเจ้าไม่ทรงมีความรักให้กับพวกเขา และพวกเขาถึงขั้นปฏิบัติต่อบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงดังเช่นคนโง่เขลา  พระเจ้าทรงแสดงให้ผู้คนเห็นเส้นทางที่ถูกต้องและทรงอำนวยให้พวกเขาปฏิบัติความจริงและใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง แต่พวกเขากลับเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความมืดตามปรัชญาเยี่ยงซาตานและตรรกะเยี่ยงซาตาน  ด้วยเหตุนี้เส้นทางที่พวกเขากำลังเดินอยู่นั้นจึงไม่ใช่เส้นทางแห่งความรอด  หากเจ้ายืนยันที่จะต่อต้านพระเจ้า เจ้าไม่ได้กำลังไถลห่างจากพระราชกิจของพระเจ้าออกไปไกลขึ้นทุกทีหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าไถลห่างจากเส้นทางแห่งความรอดออกไปไกลขึ้นทุกที เจ้าย่อมจะถูกกำจัดออกไปอย่างถึงที่สุด  ในพระคัมภีร์มีคำกล่าวว่า “คนโง่ตายเพราะขาดสามัญสำนึก” (สุภาษิต 10:21)  ความตายเป็นเรื่องร้ายแรงหรือไม่?  ในบริบทของยุคสุดท้าย การตายไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่การพินาศต่างหากที่เป็นเรื่องร้ายแรง  การตายไม่ได้หมายถึงการพินาศ ในขณะที่การพินาศจำเป็นต้องหมายถึงการไม่มีจุดจบ—การตายไปตลอดกาล  ในอดีต กล่าวกันว่าผู้คนอาจตายเพราะความโง่เขลา  แต่ทุกวันนี้ ความโง่เขลาไม่ใช่เรื่องใหญ่  ใครเล่าไม่ทำสิ่งที่โง่เขลา?  การตายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เช่นกัน เพราะการตายไม่จำเป็นต้องหมายถึงการพินาศ  แล้วเหตุใดผู้คนจึงพินาศ?  ผู้คนพินาศเพราะความดื้อดึงและความหัวรั้นของตน ซึ่งร้ายแรงกว่าการตายเพราะความโง่เขลามากนัก เนื่องจากไม่มีจุดจบ  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าความดื้อดึงหรือความหัวดื้อสามารถนำไปสู่การที่ผู้คนพินาศ?  เรื่องนี้สัมพันธ์กับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเส้นทางที่ผู้คนเลือกเดิน  ความดื้อดึงคืออุปนิสัยแบบใด?  การดื้อแพ่ง  การมีอุปนิสัยอันดื้อแพ่งเป็นปัญหามาก  บางครั้งผู้คนไม่เข้าใจและแค่ต้องการทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ ในขณะที่บางครั้งพวกเขาเข้าใจแต่ก็ยังคงต้องการทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ โดยไม่ทำตามข้อกำหนดของพระเจ้า  นอกจากนี้ ความหัวดื้อยังเป็นอุปนิสัยประเภทหนึ่งด้วย—กล่าวได้ว่าเป็นความไม่สะทกสะท้านกับเหตุผล—และมีความโอหังและความเลวทรามร่วมด้วย  หากอุปนิสัยสองอย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ก็อาจเป็นเหตุให้คนคนหนึ่งพินาศได้ในที่สุด  นี่เป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถนำเรื่องนี้มาใช้กับตัวเองได้หรือไม่?  พวกเจ้าควรเข้าใจว่าอุปนิสัยอันโอหังและชั่วช้าสามารถนำผู้คนให้ทำสิ่งใดได้บ้าง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้คนทำนั้นทำเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพระผู้สร้าง และพระเจ้าจะทรงตัดสินผู้คนตามพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ไม่สำคัญว่าพวกเขาเป็นใคร  แล้วสำหรับคนที่มีอุปนิสัยอันโอหังและชั่วช้า อะไรคือผลที่ตามมาจากสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ?  เหตุใดจึงอาจกล่าวได้ว่านี่คือผลที่ตามมาซึ่งไม่อาจย้อนกลับได้?  พวกเจ้าทุกคนควรเข้าใจเช่นนั้นใช่ไหม?  เอาละ เช่นนั้นพวกเราจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดในเรื่องราวนี้อีก

เมื่อคำนึงถึงมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเจ้าคิดว่ามีสิ่งอื่นใดบ้างไหมที่พวกเรายังไม่ได้พูดถึง?  มโนคติอันหลงผิดที่พวกเจ้าได้ยินในวันนี้เป็นเพียงส่วนเดียวที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่?  หากพวกเราพูดถึงการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ การถลุง การตัดแต่ง ตลอดจนการเผยและการทำให้ผู้คนเพียบพร้อม การพูดถึงที่ว่านั้นสัมพันธ์กับเนื้อหาใด?  พระเจ้าทรงตัดแต่ง ทรงพิพากษา และทรงตีสอนคนประเภทใด?  คนประเภทใดเผชิญกับบททดสอบและการถลุง?  ในการทรงทำงานเหล่านี้และการใช้หนทางเหล่านี้เพื่อทรงพระราชกิจกับผู้คน พระเจ้าทรงมีหลักธรรมและขอบเขต ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของวุฒิภาวะของผู้คน การไล่ตามเสาะหาของพวกเขา ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และระดับที่พวกเขาเข้าใจความจริง—เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดในวันนี้  สรุปสั้นๆ ก็คือ พระเจ้าทรงตัดแต่งและทรงบ่มวินัยผู้คน ทรงพิพากษาและทรงตีสอนพวกเขา และทรงให้พวกเขาอยู่ภายใต้บททดสอบและการถลุง—พระเจ้าทรงพระราชกิจกับผู้คนตามขั้นตอนหลายขั้นเหล่านี้  หลักธรรมเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ากับผู้คนรวมทั้งพระราชกิจนั้นเสร็จสิ้นที่ขั้นตอนใดมีพื้นฐานอยู่บนวุฒิภาวะของคนคนหนึ่ง  คำศัพท์ที่ว่า “วุฒิภาวะ” นี้อาจดูเหมือนว่างเปล่าอยู่บ้างสำหรับพวกเจ้าทุกคน  โดยหลักแล้วคำศัพท์นี้ถูกประเมินวัดบนพื้นฐานของระดับที่คนคนหนึ่งเข้าใจความจริง บนพื้นฐานที่ว่าสัมพันธภาพระหว่างคนคนนี้กับพระเจ้าเป็นปกติหรือไม่ และยังขึ้นอยู่กับระดับที่คนคนนี้นบนอบพระเจ้าอีกด้วย  หากพวกเราจำแนกความต่างบนพื้นฐานของการนี้ ในขณะนี้ผู้คนส่วนใหญ่เผชิญกับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงแล้วหรือยัง?  สำหรับบางคนอาจยังเร็วเกินไปสำหรับขั้นตอนเหล่านี้ พวกเขามองเห็นสิ่งเหล่านี้แต่ไม่สามารถได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ ในขณะที่สำหรับคนอื่น ภาพเช่นนี้น่าขวัญผวาอยู่บ้าง  สรุปสั้นๆ ก็คือ หนทางเหล่านี้คือขั้นตอนที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อช่วยผู้คนให้รอดและทรงทำให้พวกเขาเพียบพร้อม และพระเจ้าก็ทรงกำหนดขั้นตอนหลายขั้นเหล่านี้บนพื้นฐานของคำนิยามอันถูกต้องแม่นยำจากแง่มุมต่างๆ ทั้งหมดของคนคนหนึ่ง  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำกับผู้คนไม่มีพระราชกิจใดเป็นไปโดยพลการ  พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ในลักษณะที่เป็นไปทีละขั้นทีละตอนและมีหลักธรรม  พระองค์ทอดพระเนตรการไล่ตามเสาะหาและความเป็นมนุษย์ของเจ้า ตลอดจนการรับรู้ของเจ้า รวมทั้งท่าทีซึ่งเจ้าใช้ในการจัดการกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกประเภทในชีวิตประจำวันของเจ้า และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  พระองค์ทรงกำหนดวิธีทรงพระราชกิจกับผู้คนและวิธีทรงนำชี้พวกเขาบนพื้นฐานของสิ่งเหล่านี้  พระเจ้าทรงต้องการช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ใช้ในการเฝ้าสังเกตคนคนหนึ่ง  พระองค์ไม่ทรงด่วนตัดสินบนพื้นฐานของหนึ่งหรือสองสิ่ง—พระเจ้าไม่เคยทรงรีบร้อนขนาดนั้นในแต่ละสิ่งที่พระองค์ทรงทำกับบุคคลใดๆ  บางคนพูดว่า “ฉันกลัวหนทางนั้นที่พระเจ้าทรงใช้ทดสอบโยบ  หากสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับฉันจริงๆ ฉันคงจะไม่สามารถเป็นพยานให้พระเจ้าได้  ถ้าเกิดพระเจ้าทรงลิดรอนทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันเช่นนั้นจริงๆ ล่ะ?  ฉันจะทำอย่างไร?”  อย่ากังวลไปเลย พระเจ้าจะไม่มีวันทรงพระราชกิจกับเจ้าโดยพลการเช่นนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัว  เหตุใดเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องกลัว?  ก่อนที่จะกลัว เจ้าต้องโน้มน้าวใจตัวเองด้วยข้อเท็จจริงเสียก่อน แล้วพิจารณาวุฒิภาวะของเจ้า  เจ้ามีความเชื่อของโยบ การนบนอบของโยบ และความยำเกรงพระเจ้าของโยบหรือไม่?  เจ้ามีความจงรักภักดีและความแน่วแน่ในการติดตามหนทางของพระเจ้าในระดับของโยบหรือไม่?  จงประเมินวัดสิ่งเหล่านี้ และหากเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถวางใจได้ว่าพระเจ้าจะไม่ทรงให้เจ้าอยู่ภายใต้บททดสอบและการถลุง เพราะวุฒิภาวะของเจ้าไม่เทียบเท่าและยังห่างไกล  ผู้คนยังมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันบางอย่าง—ตลอดจนความสงสัย ความขวัญผวา หรือการหลีกเลี่ยงและการระวังตัว—เกี่ยวกับบททดสอบและการถลุงของพระเจ้าอีกด้วย  ทันทีที่ผู้คนได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้รวมทั้งวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างถ้วนทั่วแล้ว มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าย่อมจะค่อยๆ ปลาสนาการไป และพวกเขาย่อมจะมุ่งความสนใจไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริงและการทุ่มเทความพยายามให้กับพระวจนะของพระเจ้า  จุดประสงค์ของการที่พระองค์ตรัสพระวจนะเหล่านี้ก็เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้  ในการติดตามพระเจ้า เจ้าต้องเข้าใจวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจและทรงช่วยผู้คนให้รอด  หากเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง เช่นนั้นก็จงไปทำสิ่งทั้งหลายตามข้อกำหนดของพระเจ้า  จงอย่ามองดูพระเจ้าด้วยอคติ และจงอย่าใช้ความรู้สึกนึกคิดที่มีใจคับแคบของเจ้าเองหยั่งลึกถึงความรู้สึกนึกคิดของพระเจ้า  เจ้าต้องเข้าใจว่าหลักธรรมเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าคืออะไรกันแน่ หลักธรรมซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการปฏิบัติต่อผู้คนคืออะไร พระเจ้าทรงพระราชกิจกับผู้คนที่ระดับใด และมาตรฐานการประเมินวัดของพระเจ้าคืออะไร  ทันทีที่เจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เจ้าควรทำสิ่งใดเป็นลำดับถัดไป?  สิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์จะทอดพระเนตรไม่ใช่การที่เจ้าละทิ้งการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า และพระองค์ก็ไม่ต้องประสงค์จะทอดพระเนตรท่าทีของคนที่ยอมรับว่าตัวเองสิ้นหวังแล้ว  พระองค์ต้องประสงค์จะทอดพระเนตรว่าทันทีที่เจ้าเข้าใจข้อเท็จจริงที่แท้จริงทั้งหมดนี้ เจ้าสามารถไปไล่ตามเสาะหาความจริงในลักษณะที่หนักแน่นมั่นคง กล้าแกร่ง และมั่นใจมากขึ้น รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม  เมื่อเจ้ามาถึงสุดถนน ตราบที่เจ้าได้ไปถึงมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้กับเจ้า และเจ้าอยู่บนเส้นทางแห่งความรอด พระเจ้ายอมจะไม่ทรงละทิ้งเจ้า  นั่นก็คือทั้งหมดคร่าวๆ สำหรับตอนนี้ในเรื่องมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ การถลุง และการตัดแต่ง  ยังคงมีแง่มุมอย่างละเอียดมากมายมหาศาล มากเกินไปที่จะอธิบายอย่างละเอียดในการพูดคุยสั้นๆ นี้  การยกตัวอย่างเกี่ยวกับวิธีที่ผู้คนสำแดงและเผยมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ในชีวิตประจำวันคงจะเป็นเรื่องจำเป็น และการบอกเรื่องราวสั้นๆ บางเรื่องอีกทั้งรวมตัวละครที่เรียบง่ายสองสามตัวและเนื้อเรื่องที่เรียบง่ายสองสามเรื่องไว้ด้วยก็คงจะเป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน เพื่อที่พวกเจ้าจะได้สามารถเข้าใจหรือตีความมโนคติอันหลงผิดของผู้คนผ่านทางตัวอย่างจากชีวิตจริงเหล่านี้ และเพื่อที่พวกเจ้าจะได้สามารถตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้คือมโนคติอันหลงผิดที่ไม่ลงรอยกับความเป็นจริง และขัดแย้งกับหลักธรรมและมาตรฐานของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  พระเจ้าไม่ทรงแม้แต่จะทำเช่นนั้น แล้วเหตุใดเจ้าจึงคอยคิดและคาดเดาอย่างมืดบอดอยู่เรื่อย?  หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเองอยู่เป็นนิตย์ เจ้าย่อมจะไม่มีวันเดินตามเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงตามข้อกำหนดของพระเจ้าเลย และเจ้าย่อมจะอยู่ไกลออกไปจากข้อกำหนดของพระเจ้าเสมอ  หากเจ้าดำเนินต่อไปเช่นนี้ เจ้าย่อมจะไม่มีเส้นทางที่จะปฏิบัติและเจ้าย่อมจะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดอยู่เสมอ  ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด เจ้าจะเจอทางตันในทุกโอกาส ทิ้งให้เจ้าจนปัญญาว่าจะต้องทำสิ่งใด และไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นไปอย่างราบรื่นเลยแม้แต่น้อย  ผลลัพธ์ก็คือ ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้าด้วยซ้ำ  นั่นจะเป็นเรื่องน่าเศร้าเพียงใด!

เมื่อเป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า ไม่มีใครตั้งใจจริงกับพวกเจ้ามาก่อน  บัดนี้เป็นเวลาที่จะตั้งใจจริง เพราะนี่คือหัวเลี้ยวหัวต่อที่วิกฤติ!  เวลากำลังจะหมดแล้ว ดังนั้นจงอย่าปฏิบัติต่อความเชื่อในพระเจ้าดังเช่นบางสิ่งที่จะเล่นสนุกไปทั่วด้วย  พระเจ้าปลงพระทัยที่จะทำให้ผู้คนครบบริบูรณ์และช่วยผู้คนให้รอด และพระองค์ก็ต้องประสงค์จะทำพระราชกิจนี้ให้เสร็จสิ้นอย่างถ้วนทั่ว  พระองค์ทรงเริ่มทำพระราชกิจนี้อย่างถ้วนทั่วอย่างไร?  ด้วยการตรัสบอกแง่มุมทั้งหมดของความจริงกับผู้คน เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถเข้าใจความจริงได้อย่างชัดเจนและไม่หลงออกนอกลู่นอกทาง  พระเจ้าจะทรงบ่มวินัยเจ้าเมื่อเจ้าหลงออกนอกลู่นอกทาง  หากเจ้าหลงไถลเข้าสู่เส้นทางของตัวเองบ่อยครั้ง พระเจ้าย่อมจะทรงบ่มวินัยเจ้าต่อไปจนกว่าเจ้าจะกลับคืนสู่เส้นทางที่ถูกต้อง  ในท้ายที่สุดแล้ว หากพระเจ้าทรงทำทั้งหมดที่พระองค์ทรงสามารถทำได้แล้วและเจ้ายังคงทำไม่ได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้า มีใครอื่นให้ตำหนิหรือ?  เจ้าสามารถทำได้เพียงตำหนิตัวเอง  ในเวลานั้น ทั้งหมดที่เหลือให้ผู้คนทำก็คือตีอกชกตัวและคร่ำครวญอย่างขมขื่น  อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อเป็นเรื่องของการเข้าใจความจริงของผู้คน?  พวกเขาต้องยอมรับความจริง และสามารถแสวงหาความจริงและเชื่อมโยงความจริงกับชีวิตประจำวันของตนได้หลังจากยอมรับความจริงแล้ว  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นผู้คนจึงจะสามารถค่อยๆ สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริงได้อย่างจริงแท้  เมื่อเจ้ารับฟังคำเทศนาและได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายตามตัวอักษรของคำเทศนาดังกล่าว เจ้าย่อมคิดว่าเจ้าเข้าใจ—จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่การเข้าใจความจริง  นี่เป็นเพียงการเข้าใจคำสอน  ทันทีที่เจ้าเข้าใจเช่นนั้นในยามที่รับฟัง เจ้าต้องเชื่อมโยงความจริงในชีวิตจริงกับสภาวะของตัวเองและการเข้าสู่ของตัวเอง เพื่อที่เจ้าจะสามารถได้รู้จักตัวเองและสามารถปฏิบัติความจริงได้  มีเพียงการนั้นเท่านั้นที่หมายความว่าเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  หากเจ้าไม่ปฏิบัติความจริงในหนทางนี้ ความจริงย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า พระวจนะของพระเจ้าย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ดังนั้นพระเจ้าย่อมไม่ทรงเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า  หากเจ้าไม่ปฏิบัติความจริง เจ้าย่อมจะไม่ได้รับสิ่งใดเลย!

11 ตุลาคม ค.ศ. 2018

ก่อนหน้า: โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (1)

ถัดไป: โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (3)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger