โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (1)

พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ และแม้เจ้าเข้าใจความจริงอยู่บ้าง แต่ภายในหัวใจแต่ละดวงของพวกเจ้ามีการตีความ ความคิด และความคิดฝันของตัวเอง—และสิ่งเหล่านี้ล้วนฝ่าฝืนและขัดแย้งกับความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  อะไรหรือคือสิ่งเหล่านี้?  สิ่งเหล่านี้คือมโนคติอันหลงผิดของผู้คน  แม้มนุษย์ไม่มีความจริงแม้แต่น้อย แต่ความรู้สึกนึกคิดของเขาสามารถสร้างมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันขึ้นมามากมาย ซึ่งทั้งหมดนั้นเข้ากันไม่ได้กับความจริง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขัดแย้งกับความจริงเกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์  แล้วมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เกิดขึ้นอย่างไร?  มีสาเหตุต่างๆ กันมากมาย  ส่วนหนึ่งก็คือการวางเงื่อนไขของวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ตลอดจนการเผยแพร่และการพร่ำสอนความรู้ ผลกระทบจากกระแสนิยมทางสังคมและคำสอนของครอบครัว และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  ในประเทศจีน—ประเทศที่ถูกปกครองโดยอเทวนิยมมาเป็นเวลาหลายพันปี—ผู้คนมีความเข้าใจและคำนิยามเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร?  แม้พระเจ้าไม่ทรงปรากฏแก่ตาและไม่อาจจับต้องได้ แต่พระองค์ทรงดำรงอยู่จริง พระองค์ทรงสามารถเหาะเหินไปที่นั่นที่นี่ เสด็จไปมาโดยไม่มีร่องรอย ทรงปรากฏและทรงหายลับไปทันที ทรงสามารถดำเนินทะลุผ่านกำแพงโดยไม่มีอุปสรรคจากวัตถุหรือพื้นที่ใดๆ และด้วยพระปรีชาสามารถมหาศาล ทรงฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดอย่างเต็มเปี่ยม—นี่คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้า  แล้วความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกิดขึ้นอย่างไร?  สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาและการวางเงื่อนไขของวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมมากกว่าอย่างอื่น  คำสอนของอเทวนิยมอยู่คู่กับประเทศจีนมาเป็นสหัสวรรษและได้ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์อเทวนิยมในหัวใจส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของผู้คนนานมาแล้ว  ในระหว่างช่วงเวลานี้ ซาตานและจิตวิญญาณชั่วทุกรูปแบบแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมายท่ามกลางผู้คนเพื่อที่จะควบคุมและชักพาพวกเขาให้หลงผิด  สิ่งเหล่านี้แพร่กระจายไปกว้างไกลท่ามกลางผู้คน และมีผลกระทบที่เลวร้าย  จิตวิญญาณชั่วเหล่านี้กระทำการอย่างไม่ยั้งคิดเพื่อหลอกลวง ทำอันตราย และชักพาผู้คนให้หลงผิด ดังนั้นผู้คนจึงเริ่มมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้า  โดยสรุป มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คนมาจากภาวะทางสังคมที่เลวร้ายและการสั่งสอนของซาตานทั้งสิ้น  ตั้งแต่โบราณกาลจวบจนถึงวันนี้ คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้รับคำสอนของซาตานและได้รับการเผยแพร่และการสั่งสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรมและความรู้แบบดั้งเดิม และด้วยเหตุนี้จึงได้สร้างมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทุกรูปแบบขึ้นมา  แม้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องาน การศึกษา และชีวิตปกติของผู้คนโดยตรง แต่เป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้นี่เองซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางอย่างยิ่งต่อการที่ผู้คนยอมรับและนบนอบพระราชกิจของพระเจ้า  ต่อให้ผู้คนยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ยังคงแสดงถึงสิ่งขัดขวางการรู้จักและการนบนอบพระเจ้าของพวกเขา เป็นเหตุให้พวกเขามีความเชื่อเล็กน้อยมาก รู้สึกคิดลบและอ่อนแอบ่อยครั้ง และพบว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะตั้งมั่นในบททดสอบ แม้ภายหลังจากใช้เวลามานานหลายปีในการเชื่อในพระเจ้า  นี่คือผลที่ตามมาจากการมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน

คนส่วนใหญ่เชื่อว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงการทำสิ่งที่ดีและการเป็นคนดี  ตัวอย่างเช่น พวกเขาเชื่อว่าใครบางคนเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าก็ต่อเมื่อพวกเขาให้ของบริจาคแก่คนยากจนเท่านั้น  หากใครบางคนทำสิ่งที่ดีมากมายและได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่น พวกเขาก็ขอบคุณพระเจ้าจากหัวใจของตนและกล่าวกับผู้คนว่า “ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก  คุณควรขอบคุณพระเจ้าในสวรรค์ ด้วยเป็นเพราะพระองค์นั่นเองที่ทรงสอนฉันให้ทำเช่นนี้”  หลังจากได้รับคำชมจากผู้คน พวกเขารู้สึกพึงพอใจและได้รับการปลอบประโลมใจอย่างมาก และพวกเขาเชื่อว่าความเชื่อในพระเจ้านั้นดี พวกเขาสมควรได้รับการยอมรับจากผู้อื่นแล้ว และแน่นอนว่าย่อมจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าเช่นกัน  ความรู้สึกถึงการได้รับการปลอบประโลมใจนี้มาจากไหน?  (มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา)  ความรู้สึกถึงการผ่อนคลายของพวกเขาเป็นจริงหรือเทียมเท็จ?  (เทียมเท็จ)  แต่สำหรับพวกเขาแล้วความรู้สึกนี้เป็นจริง และพวกเขาก็รู้สึกหนักแน่นมั่นคง สัมพันธ์กับชีวิตจริง และเป็นจริงมาก เพราะสิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าก็คือความรู้สึกถึงการได้รับการปลอบประโลมใจนี้  ความรู้สึกถึงการได้รับการปลอบประโลมใจนี้เกิดขึ้นอย่างไร?  ภาพประทับใจเทียมเท็จนี้เกิดขึ้นเพราะมโนคติอันหลงผิด และเป็นมโนคติอันหลงผิดของเขานั่นเองที่เป็นเหตุให้พวกเขาคิดว่านี่คือวิธีที่การเชื่อในพระเจ้าควรเป็น พวกเขาควรประพฤติปฏิบัติตนในหนทางนี้ พวกเขาควรปฏิบัติตนในหนทางนี้ พระเจ้าจะพอพระทัยพวกเขาด้วยเหตุที่ได้ทำสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน และพวกเขาจะบรรลุความรอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ในท้ายที่สุดอย่างแน่นอน  คำว่า “อย่างแน่นอน” นี้มาจากไหน?  (จากมโนคติอันหลงผิดของผู้คน)  เป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขานั่นเองที่ทำให้พวกเขามีความแน่นอนนี้และภาพประทับใจเทียมเท็จนี้ และที่ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจเหลือเกิน  แล้วอันที่จริงพระเจ้าทรงประเมินวัดและกำหนดพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร?  นี่เป็นเพียงพฤติกรรมที่ดีประเภทหนึ่งซึ่งกระทำไปโดยสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนและความดีแบบมนุษย์ของผู้คน  อยู่มาวันหนึ่งคนคนนี้ทำบางสิ่งซึ่งขัดกับหลักธรรมและพวกเขาก็ถูกตัดแต่งขึ้นมา และจากนั้นพวกเขาก็ค้นพบว่ากฎเกณฑ์ของพระเจ้าในการประเมินวัดคนดีไม่ใช่ดังเช่นที่พวกเขาคิด และพระวจนะของพระเจ้าก็ไม่ได้กล่าวสิ่งดังกล่าวเช่นนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกต่อต้านและคิดว่า “ฉันไม่ใช่คนดีกระนั้นหรือ?  ฉันเป็นคนดีตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้และไม่มีใครเคยกล่าวว่าฉันไม่ใช่คนดี  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ตรัสว่าฉันไม่ใช่คนดี!”  ในที่นี้ไม่มีปัญหาหรอกหรือ?  ปัญหานี้เกิดขึ้นอย่างไร?  เกิดขึ้นเพราะมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา  ในที่นี้อะไรคือตัวการหลัก?  (มโนคติอันหลงผิด)  ตัวการหลักคือมโนคติอันหลงผิดของผู้คน  มโนคติอันหลงผิดของผู้คนมักจะเป็นเหตุให้พวกเขาเข้าใจพระเจ้าผิดและมักจะทำข้อเรียกร้องและการตัดสินทุกรูปแบบเกี่ยวกับพระเจ้ารวมทั้งมีกฎเกณฑ์ในการประเมินวัดพระเจ้าทุกรูปแบบ มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้เป็นเหตุให้ผู้คนมักจะใช้ความคิดและทรรศนะที่ไม่ถูกต้องเพื่อประเมินวัดว่าสิ่งทั้งหลายถูกหรือผิด ใครบางคนดีหรือแย่ และเพื่อประเมินวัดว่าใครบางคนจงรักภักดีต่อพระเจ้าและมีความเชื่อในพระเจ้าหรือไม่  อะไรคือสาเหตุรากเหง้าของความผิดพลาดเหล่านี้?  นั่นก็คือมโนคติอันหลงผิดของผู้คน  มโนคติที่หลงผิดของผู้คนอาจไม่มีผลกับสิ่งที่พวกเขากินหรือวิธีที่พวกเขานอนหลับ และสิ่งเหล่านั้นอาจไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตปกติของพวกเขา แต่สิ่งเหล่านั้นดำรงอยู่จริงในจิตใจของผู้คนและในความคิดของพวกเขา สิ่งเหล่านั้นเกาะติดผู้คนเฉกเช่นเงา ติดตามพวกเขาไปรอบๆ ตลอดเวลา  หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้ทันเวลา สิ่งเหล่านั้นจะควบคุมการคิดของเจ้า การพิพากษาของเจ้า พฤติกรรมของเจ้า ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า และสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าอยู่เนืองนิตย์  ตอนนี้เจ้ามองเห็นการนี้อย่างชัดเจนหรือไม่?  มโนคติอันหลงผิดทั้งหลายคือปัญหาหลัก  ผู้คนที่มีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นเหมือนกำแพงที่ตั้งอยู่ระหว่างพวกเขากับพระเจ้า เป็นกำแพงที่หยุดพวกเขาจากการมองเห็นพระพักตร์แท้จริงของพระเจ้า ที่หยุดพวกเขาจากการมองเห็นพระอุปนิสัยแท้จริงและแก่นแท้ที่แท้จริงของพระเจ้า  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เป็นเพราะผู้คนดำรงชีวิตท่ามกลางมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา และท่ามกลางการจินตนาการของพวกเขา และพวกเขาใช้มโนคติที่หลงผิดของพวกเขากำหนดพิจารณาว่าพระเจ้าทรงถูกหรือผิด และประเมินวัด พิพากษา และกล่าวโทษทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำ  ผู้คนมักจะจมอยู่ในสภาวะประเภทใดด้วยการทำเช่นนี้?  ผู้คนสามารถนบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงเมื่อพวกเขาดำรงชีวิตท่ามกลางมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาได้หรือ?  พวกเขาสามารถมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าได้หรือ?  (ไม่ พวกเขาไม่สามารถมีได้)  แม้ในเวลาที่ผู้คนนบนอบพระเจ้าเล็กน้อย พวกเขาทำเช่นนั้นโดยสอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของพวกเขาเอง  เมื่อคนเราพึ่งพามโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของพวกเขา นั่นก็จะกลายเป็นด่างพร้อยด้วยสรรพสิ่งส่วนตัวที่เป็นของซาตานและพิภพ และนั่นไม่ลงรอยกับความจริง  ปัญหาของมโนคติที่หลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นปัญหาที่ร้ายแรง นั่นเป็นประเด็นปัญหาสำคัญระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าซึ่งจำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน  ทุกคนที่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านำพามโนคติที่หลงผิดมา พวกเขานำพาความสงสัยทุกลักษณะเกี่ยวกับพระเจ้ามา  หรือไม่ก็สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขานำพาความเข้าใจผิดมากมายมหาศาลเกี่ยวกับพระเจ้ามา ทั้งๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับทั้งหมดที่พระเจ้าประทานให้พวกเขา ทั้งๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์  และสัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าจะกลายเป็นอย่างไร?  ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่เนืองนิตย์ พวกเขาสงสัยพระเจ้าอยู่เนืองนิตย์ และพวกเขาใช้มาตรฐานของพวกเขาเองอยู่เนืองนิตย์ในการประเมินวัดว่าพระเจ้าทรงถูกหรือผิด ประเมินพระวจนะแต่ละคำและพระราชกิจแต่ละครั้งของพระองค์  พฤติกรรมประเภทนี้คือสิ่งใด?  (นั่นคือความเป็นกบฏและการเยาะเย้ยท้าทาย)  ถูกต้อง นั่นคือการที่ผู้คนเยาะเย้ยท้าทาย กล่าวโทษ และกบฏต่อพระเจ้า และนั่นคือการที่ผู้คนตัดสินพระเจ้า หมิ่นประมาทพระเจ้า และแข่งขันกับพระองค์ และในกรณีที่รุนแรงผู้คนต้องการนำพระเจ้าไปขึ้นศาลและเข้าร่วมใน “การดิ้นรนต่อสู้แบบชี้เป็นชี้ตาย” กับพระองค์  ระดับที่รุนแรงที่สุดที่มโนคติอันหลงผิดของผู้คนสามารถไปถึงได้คืออะไร?  คือการปฏิเสธพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง การปฏิเสธว่าพระวจนะของพระองค์คือความจริง รวมทั้งการกล่าวโทษพระราชกิจของพระองค์  เมื่อมโนคติอันหลงผิดของผู้คนไปถึงระดับนี้ พวกเขาย่อมปฏิเสธพระเจ้า กล่าวโทษพระเจ้า หมิ่นประมาทพระเจ้า และทรยศพระเจ้าเป็นธรรมดา  พวกเขาไม่เพียงแต่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงและติดตามพระเจ้าด้วย—นี่ไม่น่าขวัญผวาหรอกหรือ?  (น่าขวัญผวา)  นี่เป็นปัญหาที่น่าขวัญผวา  อาจกล่าวได้ว่ามโนคติอันหลงผิดเป็นอันตรายต่อผู้คนทั้งสิ้น ปราศจากประโยชน์แม้แต่ประการเดียว  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในวันนี้พวกเราจึงสามัคคีธรรมและชำแหละว่ามโนคติอันหลงผิดคืออะไรและผู้คนเก็บงำมโนคติอันหลงผิดใดเอาไว้—นี่เป็นเรื่องจำเป็นมากเหลือเกิน  โดยธรรมดาสามัญทั่วไปแล้วมโนคติอันหลงผิดใดบ้างจะเกิดขึ้นในตัวพวกเจ้า?  ความคิด ความเข้าใจ การตัดสิน และทรรศนะใดบ้างของเจ้าที่เป็นมโนคติอันหลงผิดของเจ้า?  นี่ไม่ควรค่าที่จะพิจารณาหรอกหรือ?  พฤติกรรมของผู้คนไม่เกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดของตน แต่ความคิดและทรรศนะเบื้องหลังพฤติกรรมดังกล่าวนั้นสัมพันธ์กับมโนคติอันหลงผิดของตนโดยตรง  มโนคติอันหลงผิดของผู้คนไม่อยู่ภายนอกขอบเขตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  หนึ่ง มโนคติอันหลงผิดต่างๆ ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  กล่าวคือ ผู้คนมีความคิดฝันและคำนิยามที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาควรได้รับจากการเชื่อในพระเจ้าของตน และเส้นทางที่พวกเขาควรเดินในการเชื่อในพระเจ้าของตน ดังนั้นพวกเขาจึงมามีมโนคติอันหลงผิดทุกรูปแบบ  สอง มโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า  ผู้คนมีความคิดฝันและคำนิยามเกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์มากขึ้นไปอีก ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงมามีมโนคติอันหลงผิดมากมาย—สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กัน  สาม มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  ผู้คนมีความคิดฝันและคำนิยามต่างๆ เกี่ยวกับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง อุปนิสัยที่พระเจ้าทรงเผยให้เห็น และหนทางที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ ดังนั้นพวกเขาจึงมามีมโนคติอันหลงผิดมากมาย  พวกเราสามารถแยกสามประเด็นเหล่านี้ให้มีรายละเอียดมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม สามประเด็นเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วกินความครอบคลุมมโนคติอันหลงผิดทั้งหมดของผู้คน ดังนั้นพวกเรามาสามัคคีธรรมสามประเด็นเหล่านี้ไปทีละข้อกันเถิด

ตอนนี้พวกเรามาพูดถึงประเด็นแรกกันเถิด ซึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดต่างๆ ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  มโนคติอันหลงผิดประเภทเหล่านี้มีขอบเขตค่อนข้างกว้าง  ไม่ว่าผู้คนเป็นคนแปลกหน้าต่อการเชื่อในพระเจ้าหรือพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาก่อนหรือไม่ พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันมากมายเมื่อพวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าครั้งแรก  เมื่อผู้คนเริ่มอ่านพระคัมภีร์ครั้งแรก พวกเขารู้สึกถึงการถั่งโถมในหัวใจของตน และคิดว่า “ฉันจะเป็นคนดี ฉันจะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์”  หลังจากนั้นพวกเขาก็มามีความคิดฝันและคำนิยามหรือแนวคิดที่ยึดติดทุกรูปแบบเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาย่อมจะเกิดมโนคติอันหลงผิดที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน  ตัวอย่างเช่น ผู้คนจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบเกี่ยวกับคนประเภทที่พวกเขาควรเป็นหลังจากพวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า  บางคนพูดว่า “หลังจากฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันจะไม่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือเล่นการพนันอีกต่อไป  ฉันจะไม่ไปยังสถานที่เลวร้ายเหล่านั้น  ฉันจะพูดกับผู้คนอย่างสุภาพและจะมีรอยยิ้มบนใบหน้า”  นี่คืออะไร?  นี่ใช่มโนคติอันหลงผิดหรือไม่ หรือนี่เป็นหนทางที่ผู้คนควรประพฤติตน?  (นี่เป็นหนทางที่ผู้คนควรประพฤติตน)  นี่เป็นการแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ปกติ และผู้คนควรปฏิบัติตนในหนทางนี้  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิด และไม่ใช่ความคิดฝัน—การคิดในหนทางนี้มีเหตุผลและสมเหตุสมผลอย่างสมบูรณ์แบบ  พี่น้องชายที่อาวุโสบางคนกล่าวว่า “ฉันแก่แล้วและฉันเชื่อในพระเจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้  ฉันควรกำหนดตัวอย่างให้กับผู้คนหนุ่มสาวในหนทางที่ฉันพูดและทำสิ่งต่างๆ  ฉันไม่ควรหัวเราะต่อกระซิกหรือปฏิบัติตนอย่างไม่ถูกควรในวัยของฉัน  ฉันควรดูมีศักดิ์ศรีและได้รับการอบรมสั่งสอนและมีอากัปกิริยาของสุภาพบุรุษที่สุภาพเรียบร้อย”  ดังนั้นเวลาที่เขาพูดกับผู้คนหนุ่มสาว เขาจึงมีสีหน้าเคร่งขรึมและเปี่ยมล้นไปด้วยคำพูดและวลีในเชิงวรรณกรรม และเวลาที่ผู้คนหนุ่มสาวมองเห็นเขา พวกเขาก็รู้สึกไม่สบายใจและไม่ต้องการไปใกล้ๆ เขา  พี่น้องชายหญิงเต้นรำและสรรเสริญพระเจ้าในการชุมนุม และพี่น้องชายผู้มีอายุมากเชื่อว่าเขาจำเป็นต้องควบคุมตัณหาในสายตาของตนและดูเฉพาะสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงยับยั้งตัวเองไม่ให้เฝ้าดูแต่ยังคงพึมพำว่า “ผู้คนหนุ่มสาวเหล่านี้ใช้ชีวิตเป็นตามสบายมาก เหตุใดฉันจึงใช้ชีวิตโดยรู้สึกคับข้องใจมาก?  ถึงอย่างนั้นก็ตามก็เป็นเรื่องจำเป็นต้องรู้สึกคับข้องใจเล็กน้อยเมื่อคนเราเชื่อในพระเจ้า เพราะเป็นผู้ที่เป็นเหตุให้ฉันแก่ชรามาก!”  เขากล่าวว่าเขาต้องไม่เฝ้าดูคนเต้นรำ แต่เขาก็ยังคงแอบชำเลืองมอง คอยเสแสร้งแกล้งทำเรื่อยไปอย่างชัดเจน  การเสแสร้งแกล้งทำนี้เกิดขึ้นอย่างไร?  เป็นอย่างไรหนอที่เขามาอยู่ในสภาวะของความน่าอับอายนี้?  เป็นเพราะเขามีความคิดฝันเกี่ยวกับพฤติกรรมและการแสดงออกที่เขาควรมีในการเชื่อในพระเจ้าของตน รวมทั้งการพูดและการกระทำของเขากลายเป็นลับๆ ล่อๆ และแสร้งทำเมื่อถูกความคิดฝันนี้ครอบงำ  ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขาขับร้องในการชุมนุม บางคนปรบมือขณะพวกเขาขับร้อง ปล่อยตัวตามสบาย แต่พี่น้องชายผู้มีอายุมากคนนี้ก็ด้านชาและปัญญาทึบดังเช่นคนตาย ปราศจากความมีชีวิตชีวาหรือสภาพเสมือนมนุษย์ใดๆ แม้แต่น้อย  เขาเชื่อว่าเพราะเขาแก่ชรา เขาจึงจำเป็นต้องดูเหมือนคนชราและไม่ปฏิบัติตนเหมือนเด็ก ซึ่งไม่รู้ประสาและทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะเขา  สรุปสั้นๆ ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาแสดงออกเป็นแค่การเสแสร้งแกล้งทำ และเขาก็แค่บังคับตัวเองให้แสร้งทำเป็นเหมือนขาใหญ่  เมื่อคนอื่นรู้เห็นพฤติกรรมที่เสแสร้งเช่นนี้ พวกเขาได้รับการทำให้เจริญใจขึ้นหรือไม่?  (ไม่)  เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าเห็นเช่นนี้?  ประการแรก เจ้ารู้สึกว่าเขาหน้าซื่อใจคดและเรื่องนี้ทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายใจ ประการที่สอง เจ้ารู้สึกว่าเขาเทียมเท็จ มีความรู้สึกถึงความคลื่นเหียนและความขยะแขยงอีกด้วย และเวลาที่พูดกับเขา เจ้ารู้สึกหายใจไม่ออกและถูกตีกรอบ ไม่สามารถพูดได้อย่างเป็นอิสระ  หากเจ้าไม่ระมัดระวัง เจ้าก็จะได้การอบรมสั่งสอนจากเขาซึ่งกล่าวว่า “ดูสิว่าพวกคุณคนรุ่นเยาว์กลายมาเป็นอะไร พวกคุณเสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกยิ่งนัก!  พวกคุณกินดีและสวมใส่เสื้อผ้าชั้นดี กินเหมือนที่พวกเราเคยกินในงานเลี้ยงปีใหม่และงานฉลองอื่นๆ แต่พวกคุณก็ยังเลือกมากและไม่พึงพอใจอยู่ดี  ตอนที่พวกเรายังเล็ก ทั้งหมดที่พวกเรามีกินก็คือแกลบจากธัญพืชและสมุนไพรป่า”  เขาอวดความอาวุโสของตนและอบรมสั่งสอนผู้อื่น และคนรุ่นเยาว์ก็หลีกเลี่ยงเขา  เขาไม่เข้าใจเรื่องนี้และถึงขั้นวิพากษ์วิจารณ์คนรุ่นเยาว์ด้วยเหตุที่ไม่เคารพผู้ที่อาวุโสกว่าพวกเขาและประพฤติตนไม่ดี  สิ่งเหล่านี้ที่เขากล่าวเพียบด้วยมโนคติอันหลงผิดและเจตจำนงของมนุษย์ ไม่ตรงตามความจริง และไม่สามารถทำให้ผู้อื่นเจริญใจขึ้นไม่ใช่หรือ?  อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ  สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือ เขาสามารถเข้าใจความจริงด้วยการปฏิบัติตนในหนทางนี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เรื่องนี้เป็นประโยชน์และมีประโยชน์ต่อการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  (ไม่)  ด้วยการปฏิบัติและประพฤติปฏิบัติตนในหนทางนี้ โดยใช้ชีวิตเช่นนี้วันแล้ววันเล่า การทำเช่นนี้จะสามารถอำนวยให้เขาใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่?  เขาเคยไตร่ตรองหรือไม่ว่า “ความเข้าใจการเชื่อในพระเจ้าของฉันเป็นไปตามความจริงและข้อกำหนดของพระเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าทรงกำหนดสิ่งใด?  พระเจ้าทรงรักคนประเภทใด?  มีความคลาดเคลื่อนอันใดหรือไม่ระหว่างความเข้าใจของฉันกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนด?”  แน่นอนว่าเขาไม่เคยคิดถึงคำถามเหล่านี้มาก่อน  หากในตอนนั้นเขาเคยคิดถึงคำถามเหล่านี้ ต่อให้เขาไม่ได้ขบคิดคำตอบให้ออก เขาก็คงจะไม่ประพฤติตนอย่างโง่เขลาเช่นนั้น  เช่นนั้นอะไรคือสาเหตุรากเหง้าของการที่เขาปฏิบัติตนในหนทางนี้?   (มโนคติอันหลงผิด)  แล้วอะไรคือสาเหตุรากเหง้าของการเกิดมโนคติอันหลงผิดของเขา?  เป็นเพราะเขามีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับวิธีที่คนที่เชื่อในพระเจ้าควรประพฤติตนและแสดงตัวตนออกมา  แล้วความเข้าใจที่ลวงหลอกนี้เกิดขึ้นอย่างไร?  อะไรคือต้นตอของความเข้าใจที่ลวงหลอกนี้?  มีการวางเงื่อนไขของวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมและคำสอนที่ครูประจำโรงเรียนเป็นผู้สอน  ตัวอย่างเช่น ผู้คนหนุ่มสาวควรเคารพคนชราและดูแลเด็กๆ ในขณะที่คนสูงวัยควรปฏิบัติตนตามวัย และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  ดังนั้นเขาจึงเริ่มมีพฤติกรรมที่แปลกต่างๆ โดยบางครั้งก็ปฏิบัติตนแปลกๆ และบางครั้งก็มีการแสดงออกที่แปลก แต่ไม่ว่าในกรณีใดเขาก็ดูไม่ปกติทั้งสิ้น  ไม่ว่าเขาปฏิบัติตนแปลกๆ หรือมีการแสดงออกที่แปลกหรือไม่ก็ตาม ตราบเท่าที่เขาไม่เข้าใจความจริงหรือข้อกำหนดของพระเจ้า และเขาไม่แสวงหาความจริง เช่นนั้นวิธีที่เขาปฏิบัติตนแน่นอนว่าย่อมจะห่างไกลจากความจริง  ในเรื่องที่เรียบง่ายเช่นนั้น—แค่พฤติกรรมภายนอกบางอย่าง—เป็นเพราะผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดที่หยั่งรากภายในหัวใจของตน พวกเขาจึงทำสิ่งที่ไร้เหตุผลเหล่านี้  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง ไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะไม่เข้าใจว่ามาตรฐานที่พระเจ้าทรงประสงค์จากผู้คนคืออะไร  เมื่อคนสูงวัยไม่เข้าใจมาตรฐานที่พระเจ้าทรงประสงค์จากผู้คน พวกเขาย่อมทำพฤติกรรมและการแสดงออกที่แปลกรวมทั้งการกระทำที่ไร้เหตุผล เมื่อผู้คนหนุ่มสาวไม่เข้าใจมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนด และการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามีพื้นฐานอยู่บนความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะทำการแสดงออกและพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน  พวกเขาทำพฤติกรรมและการแสดงออกที่ไม่ถูกต้องแบบใด?  ตัวอย่างเช่น ในพระวจนะของพระเจ้านั้นผู้คนหนุ่มสาวบางคนมองว่าพระองค์ทรงกำหนดให้ผู้คนใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์และเปิดใจ สดใหม่และมีชีวิตชีวา เหมือนเด็กๆ และพวกเขาก็คิดว่า “พวกเราจะเป็นเด็กทารกเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอและพวกเราจะไม่มีวันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นพวกเราต้องเดินและพูดเหมือนเด็กๆ  ตอนนี้ฉันรู้วิธีเป็นหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและผู้ติดตามพระเจ้า และตอนนี้ฉันก็เข้าใจว่าการเป็นดังเช่นเด็กคนหนึ่งนั้นเป็นอย่างไร  ฉันเคยเป็นคนหลอกลวง ดูกร้านโลก ด้านชา และปัญญาทึบมาก แต่ในอนาคตฉันต้องปฏิบัติตนให้สดใหม่มากขึ้นและมีชีวิตชีวามากขึ้น”  หลังจากนั้นพวกเขาก็เฝ้าสังเกตวิธีที่ผู้คนหนุ่มสาวปฏิบัติตนในสังคมในทุกวันนี้ และทันทีที่พวกเขาสรุปวิธีปฏิบัติตน พวกเขาก็เริ่มปฏิบัติการปฏิบัติตนดังกล่าวในหมู่พี่น้องชายหญิง โดยพูดกับทุกคนด้วยเสียงของเด็ก ออกแรงกดที่ลำคอของตนเมื่อพวกเขาพูด และพูดด้วยโทนเสียงที่หวานแบบเด็กๆ  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขานั้น พวกเขาคิดว่ามีเพียงเสียงแบบนี้เท่านั้นที่เป็นเสียงของเด็ก ขณะที่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ทำท่าทางบางอย่างที่แปลกซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกกระอักกระอ่วนและไม่สบายใจอย่างยิ่ง  พวกเขายังไม่เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงจากคำว่าการเป็นคนบริสุทธิ์และเปิดใจ สดใหม่และมีชีวิตชีวา เหมือนเด็กๆ และทั้งหมดที่พวกเขาทำเป็นแค่พฤติกรรมภายนอก—การเสแสร้งแกล้งทำ การล้อเลียน และการออกท่าออกทาง  ความเข้าใจของผู้คนเช่นนี้บิดเบือน  อะไรคือประเด็นปัญหาใหญ่หลวงที่สุดในที่นี้?  ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจความหมายของพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างถ่องแท้เท่านั้น แต่ในทางกลับกัน พวกเขาผสมพระวจนะของพระเจ้าปนเปกับพฤติกรรม การกระทำ และกระแสนิยมของผู้ไม่มีความเชื่อ  นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดหรอกหรือ?  พวกเขาไม่มาแสวงหาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาไม่แสวงหาความจริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับวิเคราะห์และศึกษาสิ่งต่างๆ โดยใช้สมองของตัวเอง หรือไม่พวกเขาก็มองหาพื้นฐานทางทฤษฎีในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ ในวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม หรือในความรู้ทางวิทยาศาสตร์  นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดหรอกหรือ?  (ใช่ เป็นความผิดพลาด)  นี่คือความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุด  มีความจริงอันใดอยู่ตรงไหนในความรู้ของผู้ไม่มีความเชื่อ?  หากเจ้ากำลังมองหาพื้นฐานในเรื่องวิธีประพฤติปฏิบัติตน เจ้าสามารถทำได้เพียงแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  ไม่ว่าในกรณีใด ไม่ว่าผู้คนสามารถไปถึงความเข้าใจระดับใด พระวจนะของพระเจ้าทุกวจนะและทุกข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์สัมพันธ์กับชีวิตจริงและแน่นอนที่สุดว่าไม่เรียบง่ายดังเช่นที่ปรากฏในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์  ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ไม่ใช่เครื่องประดับสำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขา ไม่ใช่พฤติกรรมที่เรียบง่าย นับประสาอะไรที่ข้อกำหนดเหล่านี้จะเป็นแค่หนทางในการทำสิ่งต่างๆ แต่ในทางกลับกันข้อกำหนดเหล่านี้คือมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดต่อผู้คน ข้อกำหนดเหล่านี้คือหลักธรรมและมาตรฐานซึ่งมนุษย์ควรใช้ในการประพฤติตนและปฏิบัติตน และหลักธรรมเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนควรที่จะมีและเชี่ยวชาญ  หากเราไม่สามัคคีธรรมอย่างชัดเจนถึงปัญหาที่ละเอียดเหล่านี้ เช่นนั้นผู้คนย่อมจะเข้าใจคำสอนบางอย่างเท่านั้น และจะพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง

สิ่งที่พวกเราเพิ่งจะสามัคคีธรรมไปนั้นคือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่ผู้คนมีเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าในแง่ของพฤติกรรมภายนอกของพวกเขา  พวกเจ้ารู้อะไรอีกบ้างในแง่ของพฤติกรรมภายนอก?  เมื่อพูดถึงมโนคติอันหลงผิด มโนคติอันหลงผิดนั้นถูกหรือผิด?  (ผิด)  มโนคติอันหลงผิดเป็นบวกหรือเป็นลบ?  (เป็นลบ)  แน่นอนว่ามโนคติอันหลงผิดตรงกันข้ามกับข้อกำหนดของพระเจ้าและความจริง มโนคติอันหลงผิดไม่ตรงตามความจริง  ไม่ว่าผู้คนจินตนาการถึงมโนคติอันหลงผิดโดยไม่มีที่มาที่ไปหรือพวกเขามีพื้นฐานอยู่บ้างก็ตาม ไม่ว่าในกรณีใด มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็ไม่มีอันใดที่เกี่ยวข้องกับความจริงเลย   แล้วสิ่งใดคือจุดประสงค์ของการสามัคคีธรรมและการชำแหละมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้?  คือการทำให้ผู้คนตระหนักเสียก่อนว่ามโนคติอันหลงผิดคือสิ่งใด และในเวลาเดียวกันกับที่รู้ว่านี่คือมโนคติอันหลงผิด เพื่ออำนวยให้ผู้คนเข้าใจว่าความจริงคืออะไรด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะเข้าสู่ความจริงหลังจากนั้น  จุดประสงค์ของการนี้คือการอำนวยให้ผู้คนเข้าใจแก่นแท้ของความจริง ซึ่งก็คือการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างจริงแท้  ไม่สำคัญว่ามโนคติอันหลงผิดของเจ้ามีเหตุผลเพียงใดหรือมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้มีพื้นฐานมากเพียงใด ก็ยังคงเป็นมโนคติอันหลงผิด ไม่ใช่ความจริง อีกทั้งยังไม่สามารถแทนที่ความจริงได้  หากเจ้าคำนึงถึงมโนคติอันหลงผิดเป็นความจริง เช่นนั้นความจริงย่อมจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า เจ้าย่อมจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเชื่อในพระเจ้า และความเชื่อของเจ้าย่อมจะไร้ค่า  ไม่สำคัญว่าเจ้าทำงานหรือวิ่งวุ่นเพื่อพระเจ้ามากเพียงใด หรือเจ้ายอมลำบากเพื่อพระเจ้าอย่างใหญ่หลวงเพียงใด ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรหากเจ้าทำทั้งหมดนี้บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน?  ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าทำที่จะเกี่ยวข้องอะไรกับความจริงหรือเกี่ยวข้องกับพระเจ้า พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษสิ่งนั้นและไม่ทรงเห็นชอบสิ่งนั้น—นี่คือจุดจบที่เป็นประโยชน์และเป็นอันตราย  ตอนนี้พวกเจ้าควรเข้าใจว่าการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของคนเราสำคัญเพียงใด

อะไรคือขั้นตอนแรกในการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของเจ้า?  คือการแยกแยะและรับรู้ว่ามโนคติอันหลงผิดคือสิ่งใด  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ครั้งแรก บางสิ่งที่น่าเดียดฉันท์เกิดขึ้นในฝ่ายผลิตภาพยนตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน  เรานำเรื่องนี้มาชำแหละในตอนนี้ไม่ใช่เพื่อกล่าวโทษใคร แต่เพื่ออำนวยให้พวกเจ้ามีวิจารณญาณมากขึ้น เพื่อที่พวกเจ้าจะได้จดจำเรื่องนี้ และเพื่อที่พวกเจ้าจะได้ทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเจ้าลึกซึ้งผ่านทางเรื่องนี้ รวมทั้งรู้ว่ามโนคติอันหลงผิดเป็นอันตรายเพียงใดต่อผู้คน  หากเราไม่พูดถึงเรื่องนี้ เช่นนั้นพวกเจ้าอาจคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่  อย่างไรก็ตาม หลังจากเราชำแหละเรื่องนี้ พวกเจ้าย่อมจะพยักหน้าและยอมรับว่านี่เป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน  เมื่อเป็นเรื่องของการทำภาพยนตร์ มีคำถามว่าจะเลือกเครื่องนุ่งห่มสีใดและรูปแบบใด  บางคนอนุรักษ์นิยมเป็นพิเศษ ใช้สีเทาหม่นและสีกากีโดยเฉพาะ  เราพิศวงกับเรื่องนี้และสงสัยว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องอะไรกัน  เหตุใดพวกเขาจึงเลือกเครื่องนุ่งห่มสีเหล่านี้?  สีเทาหม่นและสีกากีทั้งตัวทำให้ฉากทั้งหมดมืดเป็นพิเศษ และเมื่อเราเห็นเช่นนี้เราก็รู้สึกไม่สบายใจมาก  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เลือกบางอย่างที่มีสีสันมากกว่านี้?  เราพูดไปแล้วว่าเครื่องนุ่งห่มสามารถมีสีสันได้และรูปแบบก็ต้องถูกต้องเหมาะสมและสง่างาม  แล้วเหตุใดผู้คนจึงไม่ใส่ใจพระวจนะของพระเจ้าและข้อกำหนดจากพระนิเวศของพระเจ้าและไม่ใส่ใจพระวจนะและข้อกำหนดเหล่านี้เลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเลือกผ้าสีเทาหม่นและสีกากีทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม?  เหตุใดพวกเขาจึงประพฤติตนในหนทางนี้?  นี่ไม่ควรค่าที่จะทบทวนหรอกหรือ?  อะไรคือสาเหตุรากเหง้าของเรื่องนี้?  ผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาไม่รับฟังสิ่งที่ได้กล่าวไว้แล้ว และพวกเขาไม่นบนอบ—สาเหตุรากเหง้าก็คือผู้คนมีธรรมชาติที่ทรยศพระเจ้าภายในตัวเอง  ธรรมชาตินี้คืออะไร?  อุปนิสัยนี้คืออะไร?  ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุดก็คือ ผู้คนไม่รักความจริงและสามารถปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง และหัวใจของพวกเขาก็แข็งกระด้าง  ผู้คนพูดว่าพวกเขาเต็มใจที่จะนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและเต็มใจที่จะแสวงหาความจริง แต่เมื่อพวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาแค่ทำสิ่งเหล่านั้นโดยขึ้นอยู่กับความชอบของตนเองเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของตนเองเท่านั้น  หากเป็นเรื่องของชีวิตส่วนตัวของเจ้า เช่นนั้นการทำทุกสิ่งทุกอย่างตามอำเภอใจของเจ้าคงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ เนื่องจากการทำเช่นนั้นเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าเองเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม บัดนี้เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนในคริสตจักร และผลที่ตามมาจากการปฏิบัติตนในหนทางนั้นก็เกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระเจ้าและพระสิริของพระเจ้า รวมทั้งเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของคริสตจักร หากผู้คนปฏิบัติตนอย่างไม่ยั้งคิดตามเจตจำนงของตนเอง พวกเขาย่อมจะง่ายต่อการหลู่พระเกียรติพระเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ก้าวก่ายวิธีที่บุคคลแต่งกาย—หลักการก็คือการดูดีและถูกควร เพื่อให้ผู้อื่นเจริญใจเมื่อพวกเขาเห็นเจ้า  อย่างไรก็ตาม การที่ใครบางคนเสนอให้สวมเครื่องนุ่งห่มสีเทาและสีกากีเก่าๆ โทรมๆ ทั้งตัวขณะถ่ายทำภาพยนตร์เป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?  แก่นแท้ของปัญหานี้คืออะไร?  นี่คือการที่ผู้คนทำสิ่งต่างๆ โดยพึ่งพามโนคติอันหลงผิดของตนและคำนึงถึงว่าสีเทาหม่นและสีกากีคือเครื่องหมายและสัญลักษณ์ของคนที่ติดตามและเชื่อในพระเจ้า  อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาให้คำนิยามสีเหล่านี้ว่าเป็นสีที่ตรงตามความจริง ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า และตรงตามข้อกำหนดของพระเจ้า  นี่คือความผิดพลาด  ไม่มีสิ่งใดผิดเกี่ยวกับสีเหล่านี้ในตัวมันเอง แต่หากผู้คนทำสิ่งต่างๆ บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดของตนและทำให้สีเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์รูปแบบหนึ่ง เช่นนั้นนั่นย่อมเป็นปัญหา  ผลที่ตามมานี้เกิดขึ้นจากมโนคติอันหลงผิดของผู้คน และแนวคิดและการปฏิบัติเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อยู่ในหัวใจของผู้คน  ผู้คนปฏิบัติต่อมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้เหมือนสิ่งเหล่านี้คือความจริง โดยคำนึงถึงว่าสีเทาหม่นและสีกากีเป็นสัญลักษณ์ในการสวมเครื่องนุ่งห่มสำหรับผู้เชื่อในพระเจ้า ในขณะที่วางความจริง พระวจนะของพระเจ้า และข้อกำหนดของพระเจ้าไว้ข้างหนึ่ง รวมทั้งกีดกันสิ่งเหล่านี้ แทนที่สิ่งเหล่านี้ด้วยมโนคติอันหลงผิดและมาตรฐานของผู้คน—นี่คือสาเหตุรากเหง้าของปัญหานี้  อันที่จริงแล้วการเลือกสีและรูปแบบของเครื่องนุ่งห่มเป็นสิ่งภายนอกซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความจริง แต่สิ่งที่ไร้เหตุผลเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะมโนคติอันหลงผิดของผู้คน และสิ่งที่ไร้เหตุผลเหล่านี้สร้างผลกระทบเชิงลบบางอย่างขึ้นมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนี้

ในการเชื่อในพระเจ้าของผู้คน ไม่สำคัญว่าพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหาใดหรือบังเอิญพบเจอปัญหาใด พวกเขาเกิดมโนคติอันหลงผิดอยู่เป็นนิตย์และพวกเขาก็ใช้มโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นต่อไป  พวกเขาใช้ชีวิตท่ามกลางมโนคติอันหลงผิดของตนตลอดเวลาและถูกมโนคติอันหลงผิดของตนตีกรอบ ครอบงำ และควบคุม  นี่เป็นเหตุให้ความคิด พฤติกรรม วิถีการดำเนินชีวิต หลักธรรมในการประพฤติปฏิบัติตน ทิศทางและเป้าหมายในชีวิตของผู้คน ตลอดจนวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าล้วนถูกแต่งแต้มสีด้วยมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่หลุดพ้นและไม่เป็นอิสระด้วยความจริงเลยแม้แต่น้อย  ด้วยการเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้และการยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดอยู่เสมอ หลังจาก 10 หรือ 20 ปี ต่อเนื่องมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีในเบื้องต้นก็ยังคงไม่ถูกแตะต้อง  ไม่มีใครเคยชำแหละมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ ผู้คนเองก็ไม่เคยตรวจสอบมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเคยยอมรับการถูกตัดแต่ง  ผู้คนไม่เคยรับมือกับมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อย่างจริงจังตั้งใจ ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามายาวนานเพียงใด พวกเขาได้เก็บเกี่ยวผลหรือไม่?  แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เก็บเกี่ยวผลใดเลย  สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าค่อยๆ ได้รับการปรับปรุงผ่านทางขั้นตอนของการชำแหละและการเข้าใจมโนคติอันหลงผิดอยู่เป็นนิตย์ แล้วก็แก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้—สำหรับเรื่องนี้ไม่มีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรอกหรือ?  (มี)  อย่างไรก็ตาม หากมโนคติอันหลงผิดของเจ้ายังคงอยู่ในช่วงระยะที่เคยเป็นในตอนที่เจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้าครั้งแรกอยู่เป็นนิตย์ เช่นนั้นอาจกล่าวได้ว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้ายังไม่ได้รับการปรับปรุงแต่อย่างใดเลย  เมื่อเป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า พวกเจ้ายังไม่ได้แก้ไขมโนคติอันหลงผิดอื่นใดบ้างที่พวกเจ้าพึ่งพาในการดำเนินชีวิต?  มโนคติอันหลงผิดใดที่พวกเจ้าเชื่ออยู่เสมอว่าถูกต้อง เป็นสิ่งที่ตรงตามความจริง และเป็นสิ่งที่พวกเจ้าเชื่อว่าไม่ใช่ปัญหา?  มโนคติอันหลงผิดแบบใดสามารถส่งผลต่อพฤติกรรมของเจ้า การไล่ตามเสาะหาของเจ้า และทรรศนะที่เจ้ามีต่อการเชื่อในพระเจ้า เป็นเหตุให้สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้ามีลักษณะแบ่งรับแบ่งสู้อยู่เสมอและทั้งไม่ใกล้ชิดและไม่ไกลห่าง?  เจ้าเชื่ออย่างผิดๆ ว่าเจ้ารักพระเจ้าอย่างยิ่ง ความเชื่อในพระเจ้าและความจงรักภักดีต่อพระเจ้าของเจ้าเพิ่มมากขึ้น ความแน่วแน่ที่จะทนทุกข์ของเจ้าเพิ่มมากขึ้น ในเมื่ออันที่จริงแล้ว สำหรับพระเจ้า เจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริงเลยแม้แต่น้อย  พวกเจ้าล้วนควรชำแหละเรื่องนี้ และแน่นอนว่าพวกเจ้าแต่ละคนจะยังคงมีมโนคติอันหลงผิดซึ่งตนพึ่งพาในการดำเนินชีวิตอยู่มากมายที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข  นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก

เราให้ตัวอย่างไปสามประการเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า แล้วในตอนนี้พวกเจ้าตระหนักรู้มากขึ้นหรือไม่ว่าพวกเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดแบบใดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า?  (มากขึ้นแล้ว)  เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจงบอกเราทีว่า มีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันอื่นใดบ้างที่สามารถขัดขวางไม่ให้ผู้คนปฏิบัติความจริงรวมทั้งมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและสัมพันธภาพปกติของพวกเขากับพระเจ้า กล่าวคือ มโนคติอันหลงผิดที่สามารถขัดขวางไม่ให้ผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการที่พวกเขารู้จักพระเจ้า?  (มโนคติอันหลงผิดที่แรงกล้าอย่างยิ่งที่ข้าพระองค์มีก็คือข้าพระองค์เชื่อว่าหากข้าพระองค์สามารถปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ได้ตามปกติทุกวัน เช่นนั้นด้วยการเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ ข้าพระองค์ย่อมสามารถบรรลุความรอด)  การเชื่อว่าเจ้าสามารถบรรลุความรอดด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน  แล้วการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้มาตรฐานเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่?  คนที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐานสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่?  หากใครบางคนกระทำชั่วด้วยความมุทะลุในหน้าที่ของตน เช่นนั้นนี่ย่อมเกี่ยวข้องกับการขัดขวางและการก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่เพียงแต่คนที่ทำเช่นนี้จะไม่สามารถบรรลุความรอดได้เท่านั้น แต่พวกเขายังจะถูกลงโทษด้วย  พวกเจ้าไม่สามารถคิดถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเจ้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ และพวกเจ้าก็ไม่สามารถมองสิ่งเหล่านี้ออกได้อย่างชัดเจน แต่กระนั้นพวกเจ้าก็ยังกล่าวสิ่งทั้งหลายเช่น “ตราบที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉัน เช่นนั้นฉันย่อมสามารถบรรลุความรอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์”  เรื่องนี้เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  แนวคิดนี้เป็นแค่การเพ้อฝัน เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์การนั้นง่ายอย่างนั้นได้อย่างไร?  จะพิจารณาว่าการไม่ยอมรับความจริงเป็นการมีความเชื่อในพระเจ้าได้หรือไม่?  ใครบางคนสามารถบรรลุความรอดโดยไม่ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้หรือ?  พวกเจ้ามีหลายสิ่งเหลือเกินที่เกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันภายในตัวพวกเจ้า  ความคิดฝัน ความเข้าใจ และคำนิยามทุกลักษณะที่ไม่ตรงตามความจริงล้วนเกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิด  พวกเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดอื่นใดบ้าง?  (ข้าพระองค์คิดว่ายิ่งข้าพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญมากขึ้นเท่าใดและยิ่งข้าพระองค์ทำความสำเร็จที่เป็นพยานให้พระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เช่นนั้นข้าพระองค์ก็ยิ่งจะได้รับคุณความดีมากขึ้นเท่านั้น พระเจ้าจะทรงเห็นชอบข้าพระองค์มากขึ้น และพรของข้าพระองค์จะมีมากขึ้นในอนาคต)  นี่ก็เป็นมโนคติอันหลงผิดเช่นกัน  สรุปสั้นๆ ก็คือ มโนคติอันหลงผิดล้วนคิดฝันและอนุมานขึ้นจากผู้คนโดยไม่มีที่มาที่ไป  แม้มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อาจมีพื้นฐานอยู่บ้าง แต่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็ไม่ใช่ได้รับมาจากพื้นฐานอันใดในพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง แต่ในทางกลับกันเป็นแนวคิดที่มีพื้นฐานอยู่บนการเพ้อฝันของผู้คนและถูกสร้างขึ้นจากความอยากได้รับพร  เมื่อผู้คนทำสิ่งต่างๆ ที่ถูกความคิดเช่นนั้นครอบงำ พวกเขาย่อมทำสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบ และจ่ายราคาใหญ่หลวงก่อนที่สุดท้ายแล้วจะค้นพบว่าพวกเขาทำความผิดพลาดและขัดต่อหลักธรรม สิ่งต่างๆ ไม่เหมือนที่พวกเขาคิดฝันว่าเคยเป็น ดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นคิดลบ  อยู่มาวันหนึ่งเมื่อพวกเขามองย้อนกลับไปและตระหนักว่าพวกเขาเดินตามเส้นทางที่พึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเรื่อยมา เวลามากมายยิ่งนักสูญเปล่าไปแล้ว และพวกเขาต้องการกลับไปแต่ก็เป็นไปไม่ได้  พวกเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดอื่นใดบ้างที่พวกเจ้ายังไม่ได้แก้ไข?  (ข้าพระองค์คิดว่าในเมื่อข้าพระองค์เชื่อในพระเจ้าและสละตัวเองเพื่อพระเจ้า เช่นนั้นพระเจ้าก็ควรทรงอวยพรข้าพระองค์และประทานผลประโยชน์แก่ข้าพระองค์  เมื่อข้าพระองค์มีประเด็นปัญหาและข้าพระองค์ร้องขอพระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนพระเจ้าควรทรงเปิดหนทางให้ข้าพระองค์ และในเมื่อข้าพระองค์เชื่อในพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างก็ควรเป็นไปอย่างราบรื่น  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อข้าพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์และเผชิญกับสถานการณ์ที่ลำบากยากเย็น ข้าพระองค์เข้าใจพระเจ้าผิดและต่อต้านพระองค์ และรู้สึกเหมือนพระเจ้าไม่ควรทรงปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นกับข้าพระองค์)  คนส่วนใหญ่มีมโนคติอันหลงผิดนี้ นี่เป็นความเข้าใจประเภทที่ผู้คนมีเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  ผู้คนคิดว่าคนเราเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ และหากพวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์ เช่นนั้นเส้นทางนี้ย่อมผิดแน่  แล้วตอนนี้มโนคติอันหลงผิดนี้ได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง?  เจ้าเริ่มแก้ไขมโนคติอันหลงผิดนี้ให้ถูกต้องแล้วหรือยัง?  เมื่อมโนคติอันหลงผิดนี้ควบคุมพฤติกรรมของเจ้าหรือส่งผลต่อทิศทางข้างหน้าของเจ้า เจ้าแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดนี้แล้วหรือยัง?  ผู้คนมักจะจำกัดขอบเขตการเชื่อในพระเจ้าในหัวใจของตน โดยเชื่อว่าในเมื่อพวกเขาเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ควรเปี่ยมสันติสุข หรือไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คิดว่า “ฉันสละตัวเองและปฏิบัติหน้าที่ของฉันเพื่อพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าก็ควรทรงอวยพรครอบครัวของฉัน ทรงอวยพรทั้งครอบครัวของฉันด้วยสันติสุข ทรงทำเช่นนั้นเพื่อที่ฉันจะได้ไม่ล้มป่วย และครอบครัวของฉันทุกคนจะได้มีความสุข  และแม้ฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉัน แต่นี่คือพระราชกิจของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าก็ควรทรงแบกรับภาระความรับผิดชอบทั้งหมดสำหรับพระราชกิจนี้และทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างให้ดี รวมทั้งทรงทำเช่นนั้นเพื่อที่ฉันจะได้ไม่เผชิญกับความลำบากยากเย็น ภัยอันตราย หรือการทดลองใดๆ ขณะที่ฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง  หากมีสิ่งใดเช่นนี้เกิดขึ้น เช่นนั้นบางทีนั่นอาจไม่ใช่การทรงกระทำของพระเจ้า”  นี่ล้วนเป็นมโนคติอันหลงผิดของผู้คน ผู้คนหมิ่นเหม่ที่จะมีมโนคติอันหลงผิดดังกล่าวเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า  มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งหรือไม่ขณะที่พวกเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน?  (ปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง)  หากเจ้าเชื่ออยู่เสมอว่ามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้านั้นปกติและสมเหตุสมผลเป็นธรรมดาและสิ่งทั้งหลายควรเป็นอย่างนี้ อีกทั้งเจ้าไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะไม่สามารถได้รับความจริงและจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิต  สำหรับเจ้าแล้ว ความจริงจะไม่มีคุณค่าหรือความหมายใดเลย และความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าย่อมจะไร้ความหมายเช่นกัน  ในการเชื่อในพระเจ้าของผู้คน หากพวกเขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าบ่อยครั้ง เข้าร่วมการชุมนุม รับฟังคำเทศนา และดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติเป็นพิเศษ แต่กระนั้นพวกเขากลับปฏิบัติตน ประพฤติตน และปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยพึ่งพามโนคติอันหลงผิดของตน โดยใช้มโนคติอันหลงผิดของตนเป็นพื้นฐานในทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งใช้มโนคติอันหลงผิดของตนเพื่อประเมินวัดความถูกผิดของสิ่งทั้งหลายทุกลักษณะ เช่นนั้นผู้คนเช่นนี้ไม่ได้กำลังใช้ชีวิตภายใต้มโนคติอันหลงผิดของตนหรอกหรือ?  ไม่สำคัญว่าพวกเขารับฟังคำเทศนามากมายเพียงใดหรือพวกเขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใด คนที่ใช้ชีวิตภายใต้มโนคติอันหลงผิดของตนจะมีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้บ้างหรือไม่?  สัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าจะมีวันดีขึ้นได้หรือไม่?  (ไม่)  แล้วพระเจ้าทรงเห็นชอบความเชื่อประเภทนี้หรือไม่?  (ไม่)  พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบอย่างแน่นอน  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการชำแหละมโนคติอันหลงผิดภายในตัวผู้คนจึงสำคัญยิ่งนัก

คนส่วนใหญ่ไม่มีมโนคติอันหลงผิดในยามที่พวกเขากินและดื่มจนอิ่มและทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี หรือในยามที่เฝ้าสังเกตพิธีกรรมทางศาสนาแบบดั้งเดิม แต่เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์และทรงแสดงความจริง ย่อมเกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นไม่ว่าจำนวนเท่าใด  ผู้คนไม่มีมโนคติอันหลงผิดในยามที่พวกเขายังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนและเข้าร่วมการชุมนุมตามปกติเท่านั้น แต่เมื่อพระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือพวกเขาเผชิญความลำบากยากเย็นในหน้าที่ของตน ตอนนั้นเองมโนคติอันหลงผิดมากมายจึงเกิดขึ้น  ผู้คนไม่มีมโนคติอันหลงผิดในยามที่พวกเขาสุขสบายทางกายและกำลังเพลิดเพลินกับชีวิต แต่เมื่อพวกเขาล้มป่วยหรือเผชิญกับความทุกข์เข็ญ มโนคติอันหลงผิดก็เกิดขึ้นตามธรรมชาติ  ตัวอย่างเช่น ก่อนที่พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า งานและชีวิตครอบครัวของใครบางคนล้วนกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น แต่หลังจากพวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าบางสิ่งก็เกิดขึ้นซึ่งพวกเขาไม่ชอบ  บางครั้งพวกเขาก็ถูกตัดสิน ถูกเลือกปฏิบัติ ถูกกลั่นแกล้ง หรือแม้กระทั่งถูกจับกุม ถูกทรมาน และถูกทิ้งให้อยู่กับความเจ็บไข้ได้ป่วยที่คงอยู่นาน ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ และพวกเขาก็คิดว่า “เหตุใดสิ่งต่างๆ จึงไม่เป็นไปด้วยดีในระหว่างหลายปีที่ฉันเชื่อในพระเจ้า?  ฉันเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงคุ้มครองฉัน?  พระเจ้าทรงสามารถทอดพระเนตรเห็นฉันถูกคนชั่วทุบตีและถูกพวกมารเหยียบย่ำและไม่สนพระทัยได้อย่างไร?”  ผู้คนไม่เกิดมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้หรอกหรือ?  อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังการที่พวกเขาเกิดมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้?  ผู้คนเชื่อว่า “ในเมื่อตอนนี้ฉันเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นฉันย่อมเป็นของพระองค์ และพระเจ้าก็ควรทรงดูแลฉัน ดูแลอาหารและที่พักของฉัน ดูแลอนาคตและชะตากรรมของฉัน ตลอดจนความปลอดภัยส่วนบุคคลของฉัน รวมถึงความปลอดภัยของครอบครัวของฉัน และรับประกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีสำหรับฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปอย่างมีสันติสุขและปราศจากอุบัติการณ์”  และหากข้อเท็จจริงทั้งหลายไม่เป็นดังเช่นที่ผู้คนพึงประสงค์และจินตนาการ พวกเขาก็คิดว่า “การเชื่อในพระเจ้าไม่ดีและไม่ง่ายดังเช่นที่ฉันเคยจินตนาการไว้ว่าจะต้องเป็น  ปรากฏว่าฉันยังต้องทนทุกข์กับการข่มเหงและความทุกข์ลำบากทั้งหมดนี้และก้าวผ่านบททดสอบมากมายในการเชื่อในพระเจ้าของฉัน—เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงคุ้มครองฉัน?”  การคิดเช่นนี้ถูกหรือผิด?  การคิดเช่นนี้ตรงตามความจริงหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วการคิดเช่นนี้ไม่แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังทำข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  เหตุใดผู้คนที่มีการคิดเช่นนี้จึงไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริง?  เจตนารมณ์อันดีของพระเจ้าโดยธรรมชาติแล้วอยู่เบื้องหลังการที่พระองค์ทรงเป็นเหตุให้ผู้คนเผชิญกับสิ่งทั้งหลายดังกล่าว เหตุใดผู้คนจึงไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้า?  พระเจ้าทรงเป็นเหตุให้ผู้คนเผชิญกับสิ่งทั้งหลายดังกล่าวโดยเจตนาเพื่อที่พวกเขาจะได้แสวงหาความจริงและได้รับความจริง และเพื่อที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความจริง  อย่างไรก็ตาม ผู้คนไม่แสวงหาความจริง แต่กลับพยายามตัดสินพระเจ้าโดยใช้มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเองเสมอ—นี่คือปัญหาของพวกเขา  เจ้าต้องเข้าใจสิ่งที่ไม่น่ายินดีเหล่านี้ในลักษณะนี้ กล่าวคือ ไม่มีผู้ใดใช้ทั้งชีวิตของพวกเขาไปโดยไม่มีความทุกข์  สำหรับผู้คนบางคนนั่นเกี่ยวกับครอบครัว สำหรับบางคนนั่นเกี่ยวกับงาน สำหรับบางคนนั่นเกี่ยวกับการสมรส และสำหรับบางคนนั่นเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บทางกายภาพ  ทุกคนต้องทนทุกข์  บางคนพูดว่า “เหตุใดผู้คนจึงต้องทนทุกข์?  สิ่งนั้นคงจะยอดเยี่ยมเพียงใดที่จะดำรงทั้งชีวิตของพวกเราอย่างเปี่ยมสันติสุขและมีความสุข  พวกเราไม่ทนทุกข์ไม่ได้หรือ?”  ไม่ได้—ทุกคนต้องทนทุกข์  ความทุกข์ทำให้ทุกบุคคลได้รับประสบการณ์กับความรู้สึกมากมายมหาศาลของชีวิตทางกายภาพ ไม่ว่าความรู้สึกเหล่านี้จะเป็นเชิงบวกหรือเชิงลบ ความทุกข์ให้ความรู้สึกและความซึ้งคุณค่าที่แตกต่างกันแก่เจ้า ซึ่งสำหรับเจ้าแล้วเป็นประสบการณ์ในชีวิตทั้งหมดของเจ้า  นั่นคือแง่มุมหนึ่ง และนั่นเป็นไปเพื่อที่จะทำให้ผู้คนได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้น  หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าจากแง่มุมนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเข้าไปใกล้ชิดมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อเจ้ามากขึ้นตลอด  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือนั่นเป็นความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์  ความรับผิดชอบอันใด?  นี่คือความทุกข์ที่เจ้าควรก้าวผ่าน  หากเจ้าสามารถรับความทุกข์นี้เอาไว้และทนความทุกข์นี้ได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือคำพยาน  และไม่ใช่สิ่งที่น่าละอาย  เมื่อพวกเขาล้มป่วย บางคนกลัวว่าคนอื่นจะมารู้เรื่องนี้ พวกเขาคิดว่าการล้มป่วยเป็นเรื่องน่าละอาย แต่ตามข้อเท็จจริงแล้วนั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าละอายเลย  ในฐานะบุคคลปกติ หากท่ามกลางโรคภัยไข้เจ็บ เจ้าสามารถนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า สู้ทนความทุกข์ทุกประเภท และยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตามปกติได้ สามารถทำให้พระบัญชาที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้าสำเร็จสมบูรณ์ได้ เช่นนั้นนี่เป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่แย่?  นี่เป็นสิ่งที่ดี เป็นคำพยานให้การนบนอบพระเจ้าของเจ้า เป็นคำพยานให้การที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี และเป็นคำพยานซึ่งทำให้ซาตานอดสูและมีชัยเหนือซาตาน  และดังนั้น ความทุกข์ใดๆ ควรถูกยอมรับและนบนอบโดยทุกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและทุกบุคคลที่เป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นี่คือวิธีที่เจ้าต้องเข้าใจสิ่งนั้น และเจ้าต้องเรียนรู้บทเรียนนี้และสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าที่แท้จริง  การนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า และนั่นเป็นความพระประสงค์ของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสำหรับทุกสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  การที่พระเจ้าทรงวางเจ้าในสถานการณ์และสภาพเงื่อนไขเหล่านี้เทียบเท่ากับการมอบความรับผิดชอบ พันธะ และภารกิจให้เจ้า และดังนั้นเจ้าจึงควรยอมรับสิ่งเหล่านี้  นี่ไม่ใช่ความจริงหรือ?  (ใช่)  ตราบเท่าที่สิ่งนั้นมาจากพระเจ้า ตราบเท่าที่พระเจ้าทรงทำข้อเรียกร้องเช่นนี้ต่อเจ้าและทรงมีเจตนารมณ์นี้สำหรับเจ้า เช่นนั้นแล้วสิ่งนั้นก็คือความจริง  เหตุใดจึงพูดว่านั่นคือความจริง?  นี่เป็นเพราะหากเจ้ายอมรับพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า มโนคติอันหลงผิดของเจ้า และความเป็นกบฏของเจ้า เพื่อที่เวลาที่เจ้าเผชิญความลำบากยากเย็นอีกเจ้าจะได้ไม่ต่อต้านความพึงปรารถนาของพระเจ้าหรือกบฏต่อพระเจ้า กล่าวคือ เจ้าจะสามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า  ในหนทางนี้ เจ้าจะสามารถเป็นคำพยานซึ่งนำความอดสูมาสู่ซาตาน และเจ้าจะสามารถได้รับความจริงและบรรลุความรอด  หากเจ้าทำไปตามมโนคติอันหลงผิดและแนวคิดของตัวเองโดยคิดว่า “ตอนนี้ฉันเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าก็ควรทรงอวยพรฉัน  ฉันควรเป็นใครบางคนที่ได้รับพร” เช่นนั้นเจ้าเข้าใจพรนี้อย่างไรล่ะ?  พรที่เจ้าเข้าใจคือความงดงามตระการตาและความเจริญรุ่งเรืองชั่วชีวิต เพื่อให้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าต้องการกินและดื่ม เพื่อให้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อถือกำเนิดพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อมีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมให้รับไว้ และเพื่อเพลิดเพลินกับชีวิตทางวัตถุอันอุดมโดยไม่ต้องทำงานแลกมา  ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือการดำเนินชีวิตที่เปี่ยมสันติสุขโดยที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ใช้ชีวิตด้วยความชูใจเป็นพิเศษโดยปราศจากความเจ็บปวดอันใด—นี่คือสิ่งที่เจ้าคิดว่าเป็นพร  แต่เมื่อมองเรื่องนี้ในขณะนี้ นั่นใช่พรหรือไม่?  นั่นไม่ใช่พร นั่นคือหายนะ  การเดินบนเส้นทางของการลุ่มหลงในความสุขสบายทางเนื้อหนังจะเป็นเหตุให้เจ้าล่องลอยห่างออกจากพระเจ้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดจนเป็นเหตุให้เจ้าดิ่งลึกลงสู่โลกที่เลวร้ายใบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถดึงตัวเองให้หลุดพ้นได้  เมื่อพระผู้สร้างทรงเรียกใช้เจ้า มีหลายสิ่งที่เจ้าไม่เต็มใจที่จะละทิ้ง และเจ้าก็ไม่สามารถปล่อยมือจากการสุขสบายฝ่ายเนื้อหนังเหล่านี้ได้  ต่อให้พระเจ้าประทานพระบัญชาให้เจ้าและทรงขอให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็ปฏิบัติต่อตัวเองอย่างล้ำค่าเกินไป กล่าวคือ วันนี้เจ้ารู้สึกไม่ดี พรุ่งนี้เจ้าอารมณ์ไม่ดี เจ้าคิดถึงบิดามารดาของเจ้า เจ้าคิดถึงคู่ครองของเจ้า คิดถึงเพียงแค่สิ่งทั้งหลายทางเนื้อหนังทุกวัน ไม่ปฏิบัติหน้าที่อันใดให้ดีแต่ต้องการมีความสุขสำราญมากกว่าผู้อื่น  เจ้าใช้ชีวิตเยี่ยงปรสิต—เจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่?  เจ้าสามารถเป็นคำพยานได้หรือไม่?  ไม่ เจ้าไม่สามารถ  ผู้คนมีความคิดฝันมากมายเหลือเกินเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  พวกเขาจินตนาการว่าหลังจากพวกเขามาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาจะมีความมั่งคั่งและสันติสุขตลอดชีวิต ญาติพี่น้องของพวกเขาทุกคนจะได้ประโยชน์ไปด้วยกันกับพวกเขา โดยที่สายตาล้วนเป็นประกายด้วยความอิจฉา พวกเขาจะไม่มีวันยากจน และพวกเขาจะไม่มีวันล้มป่วยหรือเผชิญความวิบัติไม่ว่ารูปแบบใด  ความคิดฝันเช่นนี้เป็นเหตุให้ผู้คนมีข้อพึงประสงค์ที่ไม่สมเหตุสมผลมากมายต่อพระเจ้า  เมื่อเจ้าเกิดมีข้อกำหนดที่ไม่สมเหตุสมผลต่อพระเจ้าขึ้นมา สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นปกติหรือไม่ปกติ?  แน่นอนว่าไม่ปกติ  แล้วมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้เป็นเหตุให้เจ้ายืนอยู่ข้างเดียวกับพระเจ้าหรือตรงข้ามกับพระองค์?  สิ่งเหล่านี้สามารถทำได้เพียงเป็นเหตุให้เจ้ายืนอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ประชันกับพระเจ้าและไม่ยอมรับพระองค์ และถึงขั้นทรยศและละทิ้งพระเจ้า และพฤติกรรมเหล่านี้ก็กลายเป็นร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ  กล่าวคือ ทันทีที่ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ พวกเขาย่อมไม่สามารถรักษาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าไว้ได้อีกต่อไป  เมื่อผู้คนเกิดมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมา เช่นนั้นหัวใจของพวกเขาก็สร้างความรู้สึกถึงความเป็นกบฏและความคิดลบขึ้น  ในช่วงเวลาเช่นนี้ พวกเขาควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้  เมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง เมื่อพวกเขาเข้าใจพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้พวกเขาและข้อกำหนดมากมายที่พระเจ้าทรงมีสำหรับการเชื่อในพระองค์ของพวกเขา ทันทีที่พวกเขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และสามารถประพฤติตนและปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า เช่นนั้นในหนทางนี้ มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาย่อมจะได้รับการแก้ไข  ทันทีที่พวกเขาทำความเข้าใจความจริง พวกเขาย่อมจะละทิ้งมโนคติอันหลงผิดของตนไปโดยธรรมชาติ และ ณ จุดนั้นสัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าย่อมจะกลายเป็นปกติมากขึ้น  การแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเทียบเท่ากับการแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีเพียงเมื่อพวกเขาแก้ไขและปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนเท่านั้น พวกเขาจึงจะเข้าใจว่าความจริงคืออะไรและข้อกำหนดของพระเจ้าคืออะไร

มีมโนคติที่หลงผิดอื่นใดบ้างภายในหัวใจของพวกเจ้าที่สามารถมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้า?  มโนคติอันหลงผิดใดมักจะคอยควบคุมและมีอิทธิพลต่อพวกเจ้าในชีวิตของพวกเจ้า?  เมื่อบางสิ่งที่เจ้าไม่ชอบเกิดขึ้นกับเจ้า มโนคติที่หลงผิดของเจ้าก็ปรากฏขึ้นเป็นธรรมดา จากนั้นเจ้าก็ตำหนิพระเจ้า ต่อล้อต่อเถียงและเทียบตัวเองกับพระเจ้า และมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้ก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนสภาพอย่างรวดเร็วในสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้า กล่าวคือ เจ้าแปรเปลี่ยนจากที่เจ้าเป็นในตอนต้น รู้สึกว่าเจ้ารักพระเจ้ามากเหลือเกินและเจ้าจงรักภักดีต่อพระองค์มาก และต้องการอุทิศทั้งชีวิตของเจ้าให้กับพระองค์ ไปเป็นการกลับคำพูดอย่างฉับพลัน ไปเป็นการไม่ต้องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและอุทิศตนให้พระเจ้าอีกต่อไป และเจ้าเสียดายการเชื่อของเจ้าในพระเจ้า เจ้าเสียดายที่ได้เลือกเส้นทางนี้ และแม้แต่ตำหนิเกี่ยวกับการได้รับการทรงเลือกสรรโดยพระเจ้า  มโนคติที่หลงผิดอื่นใดบ้างสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้า?  (เมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมสถานการณ์เพื่อทดสอบฉันและเผยฉันออกมา และฉันรู้สึกว่าฉันจะไม่มีจุดจบที่ดี ฉันก็ก่อร่างมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  ฉันรู้สึกว่าฉันเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า และฉันทำหน้าที่ของฉันอยู่เสมอ ตราบเท่าที่ฉันไม่ละทิ้งพระเจ้า เช่นนั้นพระองค์ก็ไม่ควรทรงทอดทิ้งฉัน)  นั่นคือมโนคติที่หลงผิดประเภทหนึ่ง  พวกเจ้ามีมโนคติที่หลงผิดเช่นนี้บ่อยๆ หรือไม่?  สิ่งใดคือความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับการถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้ง?  เจ้าคิดว่าหากพระเจ้าทรงทิ้งเจ้าไป เช่นนั้นนั่นย่อมหมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์เจ้าและจะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดใช่ไหม?  นี่เป็นมโนคติที่หลงผิดอีกประเภทหนึ่ง  ดังนั้นแล้วมโนคติที่หลงผิดเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างไร?  มันมาจากจินตนาการของเจ้าหรือ หรือมันมีพื้นฐานหรือไม่?  เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าจะไม่ทรงให้จุดจบที่ดีแก่เจ้า?  พระเจ้าได้ตรัสบอกเจ้าด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะหรือ?  เจ้ากำหนดความคิดเหล่านั้นขึ้นมาทั้งสิ้น  ตอนนี้เจ้ารู้ว่านี่เป็นมโนคติที่หลงผิด คำถามสำคัญคือจะแก้ไขมโนคติที่หลงผิดอย่างไร  อันที่จริงแล้วผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดมากมายเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า  หากเจ้าสามารถตระหนักได้ว่าเจ้ามีมโนคติอันหลงผิด เช่นนั้นเจ้าก็ควรรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่ผิด  แล้วมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ควรแก้ไขอย่างไร?  อันดับแรกเลยก็คือ เจ้าจำเป็นต้องมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านี้มาจากความรู้หรือปรัชญาเยี่ยงซาตาน ข้อผิดพลาดอยู่ตรงไหน อันตรายอยู่ตรงไหน และทันทีที่เจ้ามองเห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว เจ้าย่อมจะสามารถปล่อยมโนคติอันหลงผิดไปได้โดยธรรมชาติ  อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่อย่างเดียวกับการที่เจ้าแก้ไขมโนคติอันหลงผิดนี้อย่างถ้วนทั่ว เจ้ายังต้องแสวงหาความจริง เห็นว่าข้อกำหนดของพระเจ้าคืออะไร จากนั้นจึงชำแหละมโนคติอันหลงผิดนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อเจ้าสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่ามโนคติอันหลงผิดนี้ผิด เป็นบางสิ่งที่ไร้เหตุผล และไม่ตรงตามความจริงอย่างสิ้นเชิง นั่นย่อมหมายความว่าเจ้าได้แก้ไขมโนคติอันหลงผิดนี้โดยพื้นฐานแล้ว  หากเจ้าไม่แสวงหาความจริง หากเจ้าไม่เปรียบเทียบมโนคติอันหลงผิดนี้กับพระวจนะของพระเจ้า เจ้าย่อมจะไม่สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่ามโนคติอันหลงผิดนี้ผิดอย่างไร ดังนั้นเจ้าย่อมจะไม่สามารถละทิ้งมโนคติอันหลงผิดนี้ได้อย่างถ้วนทั่ว ต่อให้เจ้ารู้ว่านี่คือมโนคติอันหลงผิด ก็ไม่จำเป็นที่เจ้ายังจะสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดนี้ได้อย่างสิ้นเชิง  ในสภาพการณ์เช่นนี้ เมื่อมโนคติอันหลงผิดของเจ้าขัดแย้งกับข้อกำหนดของพระเจ้า และแม้เจ้าอาจตระหนักว่ามโนคติอันหลงผิดของเจ้านั้นผิด แต่หัวใจของเจ้ายังคงยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดของเจ้า และเจ้าก็รู้อย่างแน่นอนว่ามโนคติอันหลงผิดของเจ้าไม่ลงรอยกับความจริง แต่ในหัวใจของเจ้านั้นเจ้ายังคงเชื่อว่าเจ้าจะสามารถธำรงมโนคติอันหลงผิดของตนไว้ได้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะไม่ใช่คนที่เข้าใจความจริง และคนเยี่ยงเจ้าย่อมไม่มีการเข้าสู่ชีวิตและขาดพร่องวุฒิภาวะเกินไป  ตัวอย่างเช่น ผู้คนอ่อนไหวเป็นพิเศษต่อจุดจบและบั้นปลายของพวกเขาเอง และต่อการปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ของพวกเขาและการถูกปลดจากหน้าที่ของพวกเขา  ผู้คนบางคนมักด่วนสรุปอย่างผิดพลาดบ่อยๆ เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น โดยคิดว่าทันทีที่พวกเขาถูกปลดและพวกเขาไม่มีสถานะอีกต่อไป หรือพระเจ้าตรัสว่าพระองค์ไม่โปรดหรือต้องประสงค์พวกเขาอีกต่อไป เช่นนั้นพวกเขาก็จบเห่แล้ว  นี่คือสิ่งที่พวกเขากำหนดขึ้น  พวกเขาเชื่อว่า “ไม่มีประโยชน์ในการที่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ฉัน และจุดจบของฉันก็ถูกกำหนดไว้แล้ว แล้วจะมีประโยชน์อะไรในการดำรงชีวิตอีกต่อไป?”  เมื่อได้ยินความคิดเช่นนี้ ผู้อื่นก็คิดว่าพวกเขามีเหตุผลและมีศักดิ์ศรี—แต่อันที่จริงแล้ว นี่คือการคิดประเภทใด?  นั่นคือการเป็นกบฏต่อพระเจ้า เป็นการปล่อยตัวเองให้อยู่ในความท้อแท้สิ้นหวัง  เหตุใดพวกเขาจึงปล่อยตัวเองให้อยู่ในความท้อแท้สิ้นหวัง?  เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร และพวกเขาก็ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า  พระเจ้าทรงรู้หรือไม่เมื่อผู้คนทอดทิ้งตัวพวกเขาเองให้กับความท้อแท้สิ้นหวัง?  (ทรงรู้)  พระเจ้าทรงรู้ แล้วพระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้นอย่างไร?  ผู้คนก่อให้เกิดมโนคติอันหลงผิดประเภทนี้และพูดว่า “พระเจ้าได้ทรงสละพระโลหิตมากมายจากพระหทัยของพระองค์เพื่อมนุษย์ พระองค์ได้ทรงพระราชกิจมากมายในทุกบุคคล และได้ทรงใช้ความพยายามอย่างหนัก ไม่ง่ายดายที่พระเจ้าจะทรงเลือกสรรและช่วยบุคคลหนึ่งให้รอด  พระเจ้าจะทรงปวดร้าวเหลือเกินหากบุคคลหนึ่งทอดทิ้งตัวพวกเขาเองให้กับความท้อแท้สิ้นหวัง และในแต่ละวันจะทรงหวังว่าพวกเขาสามารถลุกขึ้นมาได้ด้วยตัวพวกเขาเอง”  นี่คือความหมายในระดับผิวเผิน แต่ในข้อเท็จจริง นั่นก็เป็นมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ด้วยเช่นกัน  พระเจ้าทรงมีท่าทีเฉพาะหนึ่งกับผู้คนเช่นนั้น กล่าวคือ หากเจ้าทอดทิ้งตัวเจ้าเองให้กับความท้อแท้สิ้นหวังและไม่พยายามก้าวไปข้างหน้า พระองค์ก็จะทรงอนุญาตให้เจ้าเลือกด้วยตัวเอง พระองค์จะไม่ทรงบังคับให้เจ้าทำอะไรที่ขัดกับเจตจำนงของเจ้า  หากเจ้าพูดว่า “ฉันยังคงปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ที่จะทำทั้งหมดที่ฉันสามารถเพื่อปฏิบัติตามที่พระเจ้าทรงขอ และทำให้สมดังเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ฉันจะใช้พรสวรรค์และความสามารถพิเศษทั้งหมดของฉัน และหากฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลย เช่นนั้นฉันก็จะเรียนรู้ที่จะนบนอบและเชื่อฟัง ฉันจะไม่ละทิ้งหน้าที่ของฉัน” พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้าเต็มใจดำรงชีวิตในหนทางนี้ เช่นนั้นแล้วก็จงติดตามต่อไป แต่เจ้าต้องทำตามที่พระเจ้าทรงขอ ทั้งนี้ มาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดและหลักธรรมของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง”  พระวจนะเหล่านี้หมายถึงสิ่งใดหรือ?  พระวจนะเหล่านี้หมายความว่ามีเพียงผู้คนเท่านั้นที่สามารถละทิ้งตัวพวกเขาเองได้ ทั้งนี้ พระเจ้าจะไม่มีวันทรงละทิ้งใคร  สำหรับผู้ใดก็ตามที่มีความสามารถที่จะบรรลุความรอดและมองเห็นพระเจ้าในท้ายที่สุด ผู้ซึ่งสถาปนาสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า และเป็นผู้ที่สามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถสัมฤทธิ์ได้หลังจากล้มเหลวหรือถูกตัดแต่งเพียงครั้งเดียว หรือหลังจากถูกพิพากษาและตีสอนเพียงครั้งเดียว  ก่อนเปโตรได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม เขาได้ถูกถลุงหลายร้อยครั้ง  ในบรรดาผู้ที่คงอยู่หลังจากลงแรงจนถึงปลายทางสุดท้าย จะไม่มีผู้ใดที่ได้เพียงแค่ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบและกระบวนการถลุงแปดหรือสิบครั้งก่อนไปถึงบทอวสานจนได้  ไม่ว่าคนเราถูกทดสอบและถลุงกี่ครั้ง นี่ไม่ใช่ความรักของพระเจ้าหรอกหรือ?  (ใช่ นี่คือความรักของพระเจ้า)  เมื่อเจ้าสามารถมองเห็นความรักของพระเจ้า เมื่อนั้นเจ้าย่อมสามารถเข้าใจท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์

        เมื่อบางคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าและมองเห็นการที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษผู้คนในพระวจนะของพระองค์ พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิดและรู้สึกคัดค้าน  ตัวอย่างเช่น พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่าเจ้าไม่ยอมรับความจริง ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่โปรดเจ้าและไม่ทรงยอมรับเจ้า เจ้าเป็นคนทำชั่ว เป็นศัตรูของพระคริสต์ แค่ทรงมองดูเจ้าพระองค์ก็ไม่สบพระทัย และพระองค์ไม่ต้องประสงค์เจ้า  ผู้คนอ่านพระวจนะเหล่านี้และคิดว่า “พระวจนะเหล่านี้มุ่งเป้ามาที่ฉัน  พระเจ้าตกลงพระทัยว่าพระองค์ไม่ต้องประสงค์ฉัน และเนื่องจากพระเจ้าทรงทอดทิ้งฉันแล้ว ฉันก็จะไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไปเช่นกัน”  มีผู้ที่เมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าก็มักจะสร้างมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดขึ้นมาบ่อยๆ เพราะพระเจ้าทรงเปิดโปงสภาวะอันเสื่อมทรามของผู้คนและตรัสบางสิ่งที่กล่าวโทษผู้คน  พวกเขากลายเป็นลบและอ่อนแอ คิดว่าพระวจนะของพระเจ้าชี้ตรงไปที่ตน คิดว่าพระเจ้าจะทรงละทิ้งพวกเขาและจะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  พวกเขาคิดลบเสียจนร้องไห้คร่ำครวญออกมาและไม่ต้องการติดตามพระเจ้าอีกต่อไป  อันที่จริงนี่คือการเข้าใจพระเจ้าผิด  เมื่อเจ้าไม่เข้าใจความหมายของพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็ไม่ควรที่จะพยายามกำหนดพระเจ้า  เจ้าไม่รู้ว่าบุคคลประเภทใดที่พระเจ้าทรงทอดทิ้ง หรือภายใต้สถานการณ์ใดที่พระองค์ทรงละทิ้งผู้คน หรือภายใต้สถานการณ์ใดที่พระองค์ทรงละวางผู้คนเอาไว้ชั่วคราว มีหลักธรรมและบริบทที่เป็นที่มาของทั้งหมดนี้  หากเจ้าไม่มีความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องที่ละเอียดลออเหล่านี้โดยครบถ้วน เจ้าย่อมจะโน้มเอียงมากที่จะเกิดความรู้สึกไวเกินไป และเจ้าจะกำหนดตนเองตามพระวจนะหนึ่งคำจากพระเจ้า  นั่นเป็นปัญหามิใช่หรือ?  เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาผู้คน สิ่งใดคือแง่มุมสำคัญของพวกเขาที่พระองค์ทรงกล่าวโทษ?  สิ่งที่พระเจ้าทรงพิพากษาและเปิดโปงคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของผู้คน  พระองค์ทรงกล่าวโทษอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขา พระองค์ทรงกล่าวโทษการสำแดงและพฤติกรรมต่างๆ ของความเป็นกบฏและการต่อต้านพระเจ้าของพวกเขา พระองค์ทรงกล่าวโทษพวกเขาที่ไม่สามารถนบนอบพระเจ้า ที่ต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอ และที่มีแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายของตนเองอยู่เป็นนิจ—แต่การกล่าวโทษเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าได้ทรงละทิ้งผู้คนที่มีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  หากเจ้ามองเรื่องนี้ไม่ออก เช่นนั้นเจ้าก็ขาดความสามารถในการเข้าใจ ซึ่งทำให้เจ้าเป็นเหมือนคนที่ป่วยทางจิตเล็กน้อย ระแวงสงสัยในทุกสิ่งและตีความพระเจ้าผิดอยู่เสมอ  ผู้คนเช่นนั้นไร้ซึ่งความเชื่อที่แท้จริง ดังนั้นพวกเขาจะสามารถติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางได้อย่างไร?  จากการได้ยินถ้อยแถลงในการกล่าวโทษจากพระเจ้าครั้งเดียว เจ้าก็คิดว่าผู้คนที่ถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ พวกเขาย่อมถูกพระเจ้าทรงละทิ้ง และจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดอีกต่อไป และเพราะเหตุนี้เจ้าจึงกลายเป็นคนคิดลบ และทอดทิ้งตนเองให้สิ้นหวัง  นี่คือการตีความพระเจ้าผิด  อันที่จริงพระเจ้าไม่เคยทรงทอดทิ้งผู้คน  พวกเขาตีความพระเจ้าผิดและทอดทิ้งตนเอง  ไม่มีสิ่งใดคอขาดบาดตายไปกว่ายามที่ผู้คนทอดทิ้งตนเอง ดังที่ลุล่วงไว้ในพระวจนะในพันธสัญญาเดิมว่า “คนโง่ตายเพราะขาดสามัญสำนึก” (สุภาษิต 10:21)  ไม่มีพฤติกรรมใดโง่เขลาไปกว่าการที่ผู้คนทอดทิ้งตนเองให้สิ้นหวัง  บางครั้งเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าซึ่งดูเหมือนจะกำหนดผู้คน ทว่าที่จริงพระวจนะเหล่านั้นมิได้กำหนดผู้ใดเลย แต่เป็นการแสดงออกถึงเจตนารมณ์และความคิดเห็นของพระเจ้า  เหล่านี้คือพระวจนะแห่งความจริงและหลักธรรม พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้กำหนดผู้ใด  พระวจนะที่พระเจ้าดำรัสในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงกริ้วหรือพิโรธยังแสดงให้เห็นถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าอีกด้วย พระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง และยิ่งไปกว่านั้นพระวจนะเหล่านี้คือหลักธรรม  ผู้คนต้องเข้าใจเรื่องนี้  จุดประสงค์ของพระเจ้าในการตรัสเช่นนี้คือเพื่ออนุญาตให้ผู้คนเข้าใจความจริงและเข้าใจหลักธรรม แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพื่อกำหนดผู้ใด  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบั้นปลายและบำเหน็จสุดท้ายของผู้คน และยิ่งไม่เกี่ยวกับการลงโทษผู้คนในขั้นสุดท้าย  นี่เป็นเพียงพระวจนะที่ตรัสเพื่อพิพากษาและตัดแต่งผู้คนเท่านั้น พระวจนะเหล่านี้คือผลแห่งความกริ้วที่ผู้คนไม่เป็นไปตามความคาดหวังของพระองค์ และถ้อยคำเหล่านี้ถูกตรัสออกมาเพื่อปลุกผู้คนให้ตื่น เพื่อกระตุ้นเตือนพวกเขา อีกทั้งเป็นพระวจนะที่มาจากพระทัยของพระเจ้า  แต่กระนั้นบางคนก็ล้มลงและละทิ้งพระเจ้าเพราะถ้อยแถลงของการพิพากษาจากพระเจ้าเพียงครั้งเดียว  ผู้คนเช่นนี้ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่ยอมใช้เหตุผล พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย  บางคนรู้สึกอ่อนแอเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แล้วจึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกครั้ง โดยคิดว่า “นี่ไม่ถูกต้อง ฉันต้องยังคงติดตามพระเจ้าต่อไปและทำดังที่พระเจ้าทรงกำหนด  หากฉันไม่ติดตามพระเจ้าหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดี เช่นนั้นชีวิตของฉันย่อมจะไร้ค่า  เพื่อประโยชน์แห่งการดำเนินชีวิตที่มีความหมาย ฉันต้องติดตามพระเจ้า”  แล้วพวกเขาติดตามพระเจ้าอย่างไร?  พวกเขาต้องได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  การกล่าวเพียงว่าคนเราเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าไม่ใช่การติดตามพระเจ้า  การไม่ปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอย่างอุทิศตนและการไม่เต็มใจที่จะยอมรับการตัดแต่งเล็กน้อยก่อนหน้านี้—เมื่อยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า นี่ใช่ท่าทีที่คนเราควรมีหรือไม่?  การไม่ยอมรับการถูกตัดแต่งและการพร่ำบ่นอยู่เป็นนิตย์เมื่อคนเราทนทุกข์เล็กน้อย—นี่คืออุปนิสัยประเภทใด?  คนเราควรทบทวนตัวเองและมองว่าพระเจ้าทรงกำหนดสิ่งใด และคนเราก็ต้องทำดังที่พระเจ้าทรงกำหนด  หากพระเจ้าตรัสว่าเจ้าไม่ดีมากพอ เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่ดีมากพอ และเจ้าก็ไม่ควรใช้มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้ากำหนดสิ่งทั้งหลายหรือต่อต้านพระเจ้า เจ้าควรนบนอบและยอมรับว่าเจ้าไม่ดีมากพอ  เช่นนั้นเจ้าไม่มีเส้นทางแห่งการปฏิบัติหรอกหรือ?  ใครบางคนยังสามารถผละจากพระเจ้าได้หรือไม่เมื่อพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า?  ไม่ พวกเขาไม่สามารถ  มีหลายครั้งที่เจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงละทิ้งเจ้าไปแล้ว—แต่ในข้อเท็จจริงแล้วพระเจ้ายังไม่ได้ทรงละทิ้งเจ้า พระองค์แค่ทรงวางเจ้าไว้ข้างหนึ่งเพื่อให้เจ้าสามารถทบทวนตัวเองได้  พระเจ้าอาจทรงพบว่าเจ้านั้นน่าชิงชัง และไม่ทรงปรารถนาที่จะใส่พระทัยเจ้า แต่พระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งเจ้าอย่างแท้จริง  มีบรรดาผู้ที่พยายามปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้า แต่เพราะแก่นแท้ของพวกเขาและสิ่งต่างๆ ที่ถูกสำแดงในตัวพวกเขา พระเจ้าจึงทรงมองว่าพวกเขาไม่รักความจริงและไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย และดังนั้นพระองค์จึงทรงละทิ้งพวกเขาจริงๆ พวกเขาไม่ได้ถูกเลือกสรรอย่างแท้จริง แต่เพียงแค่ทำงานรับใช้ชั่วคราว  ขณะเดียวกันก็มีบางคนที่พระเจ้าทรงทำอย่างเต็มที่ของพระองค์เพื่อบ่มวินัย สั่งสอน และพิพากษา และถึงขั้นกล่าวโทษและสาปแช่ง ทรงนำหนทางต่างๆ ในการปฏิบัติต่อพวกเขามาใช้ ซึ่งไม่ลงรอยกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์  ผู้คนบางคนไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และคิดว่าพระเจ้าทรงหาเรื่องพวกเขาและทรงจ้องทำร้าย  พวกเขาคิดว่าไม่มีศักดิ์ศรีในการดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะทำร้ายพระเจ้าอีกต่อไป และผละจากคริสตจักร  พวกเขาถึงกับคิดว่าการกระทำเช่นนี้มีเหตุผล และในหนทางนี้พวกเขาจึงหันหลังให้พระเจ้า—แต่ในข้อเท็จจริง พระเจ้าไม่ได้ทรงละทิ้งพวกเขาไปแล้ว  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความเฉลียวใจเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาค่อนข้างอ่อนไหวเกินไป โดยไปไกลถึงขั้นยอมทิ้งความรอดของพระเจ้า  พวกเขามีมโนธรรมจริงๆ หรือ?  มีหลายครั้งที่พระเจ้าทรงหลีกเลี่ยงผู้คน และหลายครั้งที่พระองค์ทรงวางพวกเขาไว้ก่อนชั่วครู่หนึ่งเพื่อที่พวกเขาอาจคิดทบทวนตัวพวกเขาเอง แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงละทิ้งพวกเขา พระองค์กำลังประทานโอกาสให้พวกเขากลับใจ  อันที่จริงพระเจ้าทรงละทิ้งแต่คนชั่วที่ทำความชั่วมากมาย พวกผู้ไม่เชื่อ และพวกศัตรูของพระคริสต์เท่านั้น  ผู้คนบางคนพูดว่า “ฉันรู้สึกไร้ซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนานแล้วที่ฉันไม่ได้มีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระเจ้าได้ทรงละทิ้งฉันแล้วหรือ?”  นี่คือมายาคติ  ตรงนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ผู้คนทั้งหลายเจ้าอารมณ์เกินไป พวกเขาทำตามเหตุผลของตนเองตลอดเวลา เอาแต่ใจตนเองอยู่เสมอ และไร้ซึ่งความมีเหตุผล—นี่คือปัญหาทางด้านอุปนิสัยมิใช่หรือ?  เจ้าพูดว่าพระเจ้าทรงละทิ้งเจ้าแล้ว ว่าพระองค์จะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด แล้วพระองค์ทรงกำหนดจุดจบของเจ้าแล้วกระนั้นหรือ?  พระเจ้าเพียงตรัสพระวจนะอันโกรธกริ้วไม่กี่คำกับเจ้าเท่านั้น  เจ้าพูดได้อย่างไรว่าพระองค์ทรละทิ้งเจ้าแล้ว ว่าพระองค์ไม่ทรงต้องการเจ้าอีกต่อไป?  มีเป็นครั้งคราวที่เจ้าไม่สามารถรู้สึกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงตัดสิทธิ์ไม่ให้เจ้าอ่านพระวจนะของพระองค์ และพระองค์ก็ยังไม่ได้ทรงกำหนดจุดจบของเจ้า หรือตัดเจ้าให้ขาดจากเส้นทางสู่ความรอด—ดังนั้นเจ้าจะไม่สบายใจนักหนาด้วยเรื่องอันใด?  เจ้าอยู่ในสภาวะที่แย่ แรงจูงใจของเจ้ามีปัญหา ความคิดและมุมมองของเจ้ามีปัญหา สภาวะจิตใจของเจ้าบิดเบี้ยว—ทว่าเจ้าไม่พยายามแก้ไขสิ่งเหล่านี้ด้วยการแสวงหาความจริง กลับตีความพระเจ้าผิดและพร่ำบ่นพระเจ้าอยู่เนืองนิตย์ และผลักความรับผิดชอบไปให้พระเจ้า และถึงกับพูดว่า “พระเจ้าไม่ทรงต้องการฉัน ดังนั้นฉันก็ไม่เชื่อในพระองค์อีกต่อไป” เจ้าไม่ได้กำลังทำตัวไม่สมเหตุสมผลหรอกหรือ?  เจ้าไม่ได้กำลังไร้เหตุผลอยู่หรอกหรือ?  คนประเภทนี้เจ้าอารมณ์มากเกินไป ปราศจากสำนึกใดๆ ทั้งสิ้น ไม่สะทกสะท้านกับเหตุผลทั้งปวง  พวกเขามีแนวโน้มน้อยที่สุดที่จะยอมรับความจริงและจะพบว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะบรรลุความรอด

จงจดจำคำพูดเหล่านี้ที่ว่า เปโตรได้รับการทำให้เพียบพร้อมด้วยการถูกถลุงหลายร้อยครั้ง  ในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเจ้า การถูกถลุงหลายร้อยครั้งคือการดำเนินชีวิตแห่งความยากลำบากเหลือคณานับที่น่าทึ่งเพื่อติดตามพระเจ้า และในท้ายที่สุดก็คือการถูกตรึงกางเขนกลับหัว  มิได้เป็นเช่นนี้ นี่เป็นแค่มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  เหตุใดเราจึงพูดว่านี่คือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์?  เป็นเพราะผู้คนไม่เข้าใจว่าบททดสอบของพระเจ้าคืออะไรและทุกบททดสอบจัดการเตรียมการและกระทำไปด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า ผู้คนไม่เข้าใจคำว่า “หลายร้อยครั้ง” นี้หรือเหตุใดพระเจ้าจึงทรงถลุงเปโตรหลายร้อยครั้ง หรือคำว่า “หลายร้อยครั้ง” นี้ไปถึงอย่างไร หรือสาเหตุรากเหง้าคืออะไร—ผู้คนไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนในการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ และผลลัพธ์ก็คือพวกเขาเข้าใจพระเจ้าผิด  ผู้คนไม่สามารถเข้าใจบางพระวจนะของพระเจ้าซึ่งพวกเขาไม่เคยได้รับประสบการณ์  ในชีวิตจริง หากสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำกับทุกคนคือการอวยพรพวกเขา ทรงชี้นำพวกเขา และตรัสกับพวกเขาอย่างใจเย็น เช่นนั้นบททดสอบทั้งหลายก็คงจะเป็นแค่ถ้อยคำที่ว่างเปล่าสำหรับผู้คนไปตลอดกาล และเป็นเพียงคำพูด คำนิยาม แนวคิด  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจนี้กับเจ้าบ่อยครั้ง โดยบางครั้งก็เป็นเหตุให้เจ้าล้มป่วย บางคราวก็เป็นเหตุให้เจ้าเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่น่ายินดีและกลายเป็นท้อแท้และอ่อนแอ ในขณะนี้เป็นเหตุให้เจ้าเผชิญกับสถานการณ์ที่ลำบากยากเย็นซึ่งเจ้าพบว่ายากที่จะจัดการและเจ้าไม่รู้จักสิ่งที่ถูกต้องที่จะทำ—สำหรับเจ้าแล้วสิ่งเหล่านี้คืออะไร?  เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่น่ายินดีเหล่านี้ทั้งหมด ความทุกข์หรือความลำบากยากเย็นหรือความยากลำบากเหล่านี้ทั้งหมด และแม้กระทั่งการทดลองของซาตาน หากเจ้าสามารถคำนึงอยู่เสมอว่าสิ่งเหล่านี้คือบททดสอบที่พระเจ้าประทานให้เจ้า โดยบททดสอบแต่ละอย่างคือหนึ่งการทดสอบจากจำนวนหลายร้อย และเจ้าสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้รวมทั้งแสวงหาความจริงภายในสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นสภาวะของเจ้าย่อมจะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงและสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าย่อมจะดีขึ้น  อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าเผชิญบททดสอบ หากเจ้าปฏิเสธบททดสอบเหล่านี้ พยายามซ่อนเร้นจากบททดสอบเหล่านี้อยู่เป็นนิตย์ ขัดขืนบททดสอบเหล่านี้ และต่อต้านบททดสอบเหล่านี้ เช่นนั้นคำว่า “บททดสอบหลายร้อยครั้ง” นี้ย่อมจะเป็นแค่ถ้อยคำที่ว่างเปล่าสำหรับเจ้าซึ่งจะไม่มีวันได้รับการทำให้ลุล่วงไปตลอดกาล  ตัวอย่างเช่น ใครบางคนเก็บงำท่าทีที่ไม่ดีต่อเจ้าเอาไว้ และเมื่อไม่รู้เหตุผลสำหรับเรื่องนี้ เจ้ารู้สึกไม่มีความสุข  หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายในความหัวร้อนและภายในเนื้อหนังของเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมมีข้อแก้ตัวที่จะไม่ยินดีกับสิ่งเหล่านี้เช่นกัน—ตาต่อตา ฟันต่อฟัน  แต่หากเจ้าใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเจ้าปรารถนาจะยอมรับการได้รับการทำให้เพียบพร้อมและการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรคำนึงว่าทั้งหมดนี้ที่เจ้าเผชิญคือบททดสอบจากพระเจ้าและยอมรับทั้งหมดนี้ ตามความจริงแล้ว นี่คือหนทางหนึ่งที่แตกต่างออกไปซึ่งพระเจ้าทรงใช้ทดสอบเจ้า  ด้วยการสามัคคีธรรมในหนทางนี้ ในหัวใจของพวกเจ้าในขณะนี้พวกเจ้ารู้สึกเป็นอิสระกว่ามากและโล่งใจกว่ามากหรือไม่?  หากพวกเจ้าสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับถ้อยคำเหล่านี้ เปรียบเทียบพฤติกรรมและทรรศนะของพวกเจ้ากับถ้อยคำเหล่านี้ เช่นนั้นนี่ย่อมจะช่วยพวกเจ้าอย่างมากเมื่อเป็นเรื่องของการนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า

แง่มุมหลักที่เกี่ยวข้องกับการเสวนาในวันนี้ในเรื่องมโนคติอันหลงผิดของผู้คนซึ่งเกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าคือสิ่งใด?  แง่มุมหนึ่งคือแง่มุมของพฤติกรรมภายนอกของผู้คน เป็นการปฏิบัติตนอย่างเทียมเท็จดังเช่นพวกฟาริสี แสร้งทำเป็นผู้ดีสุภาพเรียบร้อยเสียเหลือเกิน อีกแง่มุมหนึ่งคือแง่มุมของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการเดินทาง อีกแง่มุมหนึ่งคือแง่มุมของความเข้าใจการเชื่อในพระเจ้าของผู้คน โดยคิดว่าด้วยการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องได้รับพรและได้รับข้อได้เปรียบ  ประสบการณ์ของโยบเกี่ยวกับแง่มุมนี้คืออะไร?  เมื่อบททดสอบบังเกิดขึ้นกับโยบ เขาสามารถรู้แน่แก่ใจได้ว่าบททดสอบเหล่านี้มาจากพระเจ้า เขาไม่ได้ทำสิ่งใดที่ผิดและนี่ไม่ใช่การลงโทษจากพระเจ้า แต่ในทางกลับกันนี่คือการที่พระเจ้าทรงทดสอบเขาและการที่ซาตานทดลองเขา—เขาเข้าใจเรื่องนี้อย่างนี้นี่เอง  แล้วเพื่อนๆ ของโยบเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร?  พวกเขาเชื่อว่าหายนะนี้ต้องบังเกิดขึ้นกับโยบเป็นแน่เพราะเขาได้ทำบางสิ่งที่ผิดและล่วงเกินพระเจ้า  การที่พวกเขาสามารถคิดเช่นนี้ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าเอาไว้  เหตุใดความเข้าใจของโยบจึงแตกต่างจากผู้อื่น?  เป็นเพราะโยบได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น และดังนั้นเขาจึงไม่เก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นเอาไว้  ขณะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจกับโยบ โยบทำความรู้จักและได้รับพระราชกิจของพระเจ้าไว้ในประสบการณ์ และมโนคติอันหลงผิดกับแนวคิดเหล่านี้ของมนุษย์ก็จะไม่พบในตัวโยบอีกต่อไป  ดังนั้นแล้วเมื่อพระหัตถ์ของพระเจ้ามาถึงโยบ เขาเข้าใจผิดหรือไม่?  (ไม่)  เขาไม่ได้เข้าใจผิดและดังนั้นเขาจึงไม่ได้พร่ำบ่น เขาไม่ได้เข้าใจผิดและดังนั้นเขาจึงไม่ได้กบฏ เขาไม่ได้เข้าใจผิด และดังนั้นเขาจึงสามารถนบนอบได้อย่างแท้จริง  ไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  (ถูกต้อง)  เหตุใดจึงถูกต้อง?  หากผู้คนพูดว่า “อาเมน” กับพระวจนะของพระเจ้าในหัวใจของตน รับเอาพระวจนะของพระเจ้าเป็นความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวก เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นมาตรฐาน เป็นความสูงส่ง และเป็นหลักธรรมที่พวกเขาควรนำไปปฏิบัติ เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะนบนอบและไม่เข้าใจผิด  มีการแสดงออกอยู่เสมอเมื่อผู้คนก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระวจนะที่พระเจ้าดำรัสหรือพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำ—นั่นคือการแสดงออกแบบใด?  (พวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระวจนะหรือกิจการของพระเจ้า)  แล้วสิ่งใดอยู่เบื้องหลังความไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้านี้?  นั่นก็คือว่าพวกเขามีแนวคิดของตนเอง และแนวคิดเหล่านี้ขัดแย้งและขัดกับพระวจนะของพระเจ้า จากนั้นผู้คนก็เกิดความเข้าใจผิดและมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า โดยเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าตรัสไม่จำเป็นต้องถูกต้อง  บางครั้งต่อให้ผู้คนดูเหมือนยอมรับสิ่งเหล่านั้น นั่นก็ยังคงเป็นแค่การเสแสร้งแกล้งทำและไม่ใช่การยอมรับที่แท้จริง  โดยการแสวงหาความจริง คนเราต้องคิดโดยสอดคล้องกับพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และเห็นพ้องด้วยกับพระวจนะของพระเจ้าในหัวใจของตน และเมื่อนั้นเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า  หากเจ้าไม่ยอมรับสิ่งเหล่านี้ในหัวใจของเจ้า และเจ้าเข้าใจผิดและถึงขั้นต่อต้านและขัดขืนสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นนี่ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีบางสิ่งอยู่ภายในตัวเจ้า  หากเจ้าสามารถชำแหละสิ่งนี้ภายในตัวเจ้าและแสวงหาความจริง เช่นนั้นมโนคติอันหลงผิดของเจ้าย่อมสามารถได้รับการแก้ไข หากเจ้ามีความเข้าใจที่บิดเบือน หากเจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ หรือเจ้าไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจ เจ้าย่อมเพียงแค่ไม่สามารถเปรียบเทียบมโนคติอันหลงผิดของเจ้ากับพระวจนะของพระเจ้า ไม่สามารถรู้จักและชำแหละพระวจนะ และเจ้าไม่ตระหนักเมื่อมโนคติอันหลงผิดเกิดขึ้นในตัวเจ้า เช่นนั้นมโนคติอันหลงผิดของเจ้าย่อมจะไม่สามารถแก้ไขได้  บางคนรู้ดีว่าพวกเขาเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ในหัวใจของตน แต่พวกเขาก็ยังคงพูดว่าพวกเขาไม่มีมโนคติอันหลงผิดเลย กลัวว่าหากพวกเขาพูดขึ้นมา เช่นนั้นพวกเขาก็จะเสียหน้าและถูกดูแคลน  หากใครบางคนถามพวกเขาว่า “หากคุณไม่ได้เข้าใจพระเจ้าผิด ทำไมคุณจึงไม่สามารถนบนอบพระองค์?” เช่นนั้นพวกเขาย่อมตอบกลับว่า “ฉันไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร”  นี่เป็นการสำแดงประเภทใด?  หากเจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ หากเจ้าไม่สามารถใช้วิจารณญาณ และไม่รู้ว่าจะทบทวนตัวเองอย่างไรเมื่อเจ้ามีปัญหา เช่นนั้นเจ้าย่อมจะไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของเจ้า  เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นซึ่งไม่สัมพันธ์กับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้ารู้สึกใจเย็นมาก และไม่อาจมองเห็นได้ว่าเจ้ามีปัญหาอันใด  อย่างไรก็ตาม ชั่วขณะที่บางสิ่งเกิดขึ้นซึ่งสัมพันธ์กับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า ความรู้สึกคัดค้านพระเจ้าก็เกิดขึ้นในตัวเจ้า  ความรู้สึกคัดค้านนี้สำแดงออกมาอย่างไร?  บางครั้งเจ้าอาจรู้สึกขุ่นเคือง และเมื่อเวลาผ่านไปและความรู้สึกนี้ไม่ได้รับการแก้ไข เช่นนั้นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของเจ้าย่อมกลายเป็นฝังรากมากขึ้นไปอีกและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้น รวมทั้งเจ้าจะเริ่มระบายมโนคติอันหลงผิดของเจ้าและตัดสินพระเจ้า  ชั่วขณะที่เจ้าตัดสินพระเจ้า เมื่อนั้นนั่นย่อมไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับการคิดหรือพฤติกรรมอีกต่อไป แต่กลับเป็นการเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานออกมา  หากใครบางคนแสดงให้เห็นการไม่ยอมรับอยู่เล็กน้อยหรือขาดพร่องการนบนอบในพฤติกรรมของตนเนื่องจากการไม่รู้ความเอาเสียเลย เช่นนั้นพระเจ้าย่อมไม่ทรงกล่าวโทษเรื่องนี้ หากใครบางคนต้านทานพระเจ้าจากอุปนิสัยของตนโดยตรงและตั้งใจต่อต้านพระองค์ เช่นนั้นนี่ย่อมจะก่อความเดือดร้อนให้กับพวกเขา และพวกเขาย่อมกำลังขัดขืนพระเจ้า  เมื่อใครบางคนตั้งใจขัดขืนพระเจ้า เช่นนั้นนี่ย่อมเป็นการก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ดังนั้นเมื่อผู้คนมีมโนคติอันหลงผิด พวกเขาควรแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ มีเพียงเมื่อพวกเขาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถแก้ไขความเข้าใจผิดระหว่างตัวพวกเขาเองกับพระเจ้า และมีเพียงเมื่อความเข้าใจผิดระหว่างตัวพวกเขาเองกับพระเจ้าได้รับการแก้ไขเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  บางคนพูดว่า “ฉันไม่มีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดระหว่างตัวฉันเองกับพระเจ้าก็ได้รับการแก้ไขแล้ว  ฉันไม่คิดถึงอะไรอีกต่อไปแล้ว”  นี่เพียงพอหรือไม่?  จุดประสงค์ของการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเท่านั้น แต่ในทางกลับกันก็เพื่อปฏิบัติโดยสอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้าและความจริง เพื่อสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  บางคนพูดว่า “ตราบเท่าที่ฉันไม่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นนั่นย่อมเพียงพอ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะไม่เป็นไร และฉันย่อมจะปลอดภัย”  นี่ไม่ใช่การนำความจริงไปปฏิบัติอย่างแท้จริง และไม่ใช่การนบนอบที่แท้จริง—ปัญหายังคงไม่ได้รับการแก้ไข  หากปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วจริงๆ เช่นนั้นไม่เพียงแต่ผู้คนจะไม่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังจะรู้อีกด้วยว่าพระเจ้าทรงพึงประสงค์สิ่งใดและเจตนารมณ์ของพระองค์คือสิ่งใดในสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับพวกเขา  พวกเขาไม่เพียงแต่จะสามารถชำแหละมโนคติอันหลงผิดของตนเองเท่านั้น แต่ยังจะสามารถช่วยเหลือพวกที่มีมโนคติอันหลงผิดให้เรียนรู้วิธีแสวงหาความจริง สามารถปฏิบัติความจริงและให้ได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้าอีกด้วย  เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรอกหรือ?  เป้าหมายสูงสุดในการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดคือการเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง—นี่คือกุญแจสำคัญ  เจ้าพูดว่าเจ้าไม่ได้เกิดความเข้าใจผิดใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่?  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นต่อให้เจ้าไม่มีมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เจ้าก็ยังคงไม่ใช่คนที่นบนอบพระเจ้าอยู่ดี  การไม่มีความเข้าใจผิดไม่ได้หมายความว่าเจ้าเข้าใจพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะหมายความว่าเจ้าสามารถนบนอบพระองค์ได้  ผู้คนไม่มีมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเลย  เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับพวกเขาซึ่งข้องเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนบุคคลของพวกเขา เมื่อนั้นมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาย่อมเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและพวกเขาย่อมจะก่อความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและถึงขั้นแสดงการพร่ำบ่น  ผู้คนสามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่เมื่อพวกเขาคำนึงว่าผลประโยชน์ส่วนบุคคลของตนสำคัญมากยิ่งนัก?  เหตุใดเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นซึ่งกระทบต่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลของใครบางคน มโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดของพวกเขาจึงเกิดขึ้นจากสิ่งนั้น อีกทั้งพวกเขาก็ท้าทายและกบฏต่อพระเจ้า?  กับผู้คนที่มีธรรมชาติเยี่ยงซาตานและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานก็เป็นอย่างนี้นี่เอง  เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นซึ่งกระทบต่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถนบนอบพระเจ้าได้อีกต่อไป และพวกเขาก็ไม่สามารถนบนอบพระเจ้าเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นซึ่งขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง  มโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของผู้คนเกิดขึ้นกับสถานการณ์ของพวกเขา  หากพวกเขาไม่สามารถแสวงหาและยอมรับความจริง เช่นนั้นมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาย่อมจะไม่มีวันได้รับการแก้ไขและสัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าย่อมจะไม่มีวันกลับคืนสู่ปกติ  พวกที่เก็บงำมโนคติอันหลงผิดเอาไว้แต่ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้น พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด โดยไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อในพระองค์มาเป็นเวลากี่ปีแล้วก็ตาม

ความรอดของพระเจ้าที่มีให้มนุษย์นั้นไม่ใช่แค่คำพูดที่ว่างเปล่า  พระองค์ทรงแสดงความจริงเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อที่จะแก้ไขสิ่งต่างๆ ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามซึ่งไม่ลงรอยกับความจริง—มโนคติที่หลงผิด จินตนาการ ความรู้ ปรัชญา วัฒนธรรมตามประเพณีของพวกเขา เป็นต้น  โดยการชำแหละสิ่งเหล่านี้ พระองค์ทรงอำนวยให้มนุษย์เข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นบวก และอะไรคือสิ่งที่เป็นลบ สิ่งใดมาจากพระเจ้า สิ่งใดมาจากซาตาน ความจริงคือสิ่งใด และปรัชญาและตรรกะของซาตานคือสิ่งใด  เมื่อผู้คนมีความสามารถที่จะมองเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาย่อมจะเลือกไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิต และพวกเขาก็จะมีความสามารถที่จะปฏิบัติความจริง ทำดังที่พระเจ้าทรงขอ และหยั่งรู้สิ่งทั้งหลายที่เป็นลบได้  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากมนุษย์ และดังนั้น นี่คือมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้ทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมและช่วยผู้คนให้รอดด้วยเช่นกัน  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงชำแหละมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ แต่ฉันไม่มีมโนคติอันหลงผิด  ผู้คนที่มีมโนคติที่หลงผิดโดยปกติแล้วจะเป็นพวกสุนัขจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ หรือไม่ก็เป็นพวกนักเทววิทยาและพวกฟาริสี  ฉันไม่เป็นเหมือนอย่างนั้น”  ปัญหาในการสามารถพูดสิ่งเช่นนั้นได้คืออะไร?  พวกเขาไม่รู้จักตัวเอง  ไม่สำคัญว่าได้มีการสามัคคีธรรมไปอย่างไร พวกเขาก็ไม่นำการสามัคคีธรรมนั้นมาประยุกต์ใช้กับตัวพวกเขาเอง โดยคิดว่าพวกเขาไม่เป็นอย่างนั้น  นี่คือการไม่รู้ความ และพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเลย  พวกเจ้าจะคิดในหนทางนี้ได้หรือไม่?  ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่คิดเช่นนั้น  เมื่อคนเราได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากมายแล้วและสามารถเข้าใจความจริงบางประการ เช่นนั้นคนเราย่อมสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกคนมีสิ่งทั้งหลายเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน และทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ไม่มีสิ่งใดน่าละอายในการชำแหละสิ่งเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากชำแหละสิ่งเหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็เชื่อว่านั่นจะช่วยผู้อื่นให้พัฒนาวิจารณญาณขึ้นมา และตัวพวกเขาเองก็จะเติบโต และสามารถเข้าใจความจริงได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น  ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงล้วนสามารถชำแหละตัวพวกเขาเองได้อย่างเปิดเผย  เป้าหมายของการชำแหละมโนคติที่หลงผิดคือสิ่งใด?  นั่นก็คือการละวางมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้ไว้ก่อน การจัดการแก้ไขความเข้าใจผิดระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และต่อจากนั้นก็ทำให้ผู้คนสามารถมุ่งเน้นอยู่กับสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากมนุษย์ได้ การรู้วิธีที่จะเข้าสู่เส้นทางแห่งความรอด และการรู้ว่าจะทำสิ่งใดเพื่อปฏิบัติความจริง  สุดท้ายแล้ว โดยการปฏิบัติในหนทางนี้บ่อยครั้ง ก็จะสัมฤทธิ์ผลที่ตั้งใจไว้ ในแง่มุมหนึ่งก็คือผู้คนจะได้มาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและกลายมามีความสามารถที่จะนบนอบพระเจ้า ขณะที่อีกแง่มุมหนึ่งก็คือพวกเขาจะมีภูมิคุ้นกันที่จะบอกปัดและต้านทานสิ่งทั้งหลายมากมายที่เป็นลบ อาทิ มโนคติที่หลงผิดและจินตนาการที่เลวๆ และสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากความรู้  ในยามที่เผชิญหน้ากับปัญญาชนเคร่งศาสนา นักเทววิทยา หรือศิษยาภิบาลหรือผู้อาวุโสเคร่งศาสนา เจ้าสามารถมองพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งด้วยการพูดคุยกับพวกเขา และสามารถใช้ความจริงเพื่อหักล้างมโนคติที่หลงผิด จินตนาการ ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติ  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าสามารถระบุชี้สิ่งทั้งหลายที่เป็นลบได้ ว่าเจ้าได้เข้าใจความจริงบางอย่างแล้ว ว่าเจ้านั้นครองวุฒิภาวะอย่างใดอย่างหนึ่ง และดังนั้นจึงไม่ถูกข่มขวัญเมื่อเผชิญหน้ากับพวกผู้นำและบุคคลสำคัญเคร่งศาสนาเหล่านี้  ความรู้ การเรียนรู้ และปรัชญาที่พวกเขาพูดถึง—แม้กระทั่งอุดมการณ์และทฤษฎีทั้งหมดของพวกเขา—ล้วนไม่สามารถเอาอยู่ เพราะเจ้าได้มองทะลุถึงความหมายตามคำพูดและคำสอน มโนคติที่หลงผิดและจินตนาการเกี่ยวกับศาสนาแล้ว และสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถชักพาพวกเจ้าให้หลงผิดได้อีกต่อไป  แต่ทว่าเจ้ายังไม่ได้อยู่ในที่นั้น  เมื่อพวกเจ้าเผชิญหน้ากับนักต้มตุ๋นทางศาสนาและพวกฟาริสี หรือใครสักคนที่มีสถานะนิดหน่อย พวกเจ้าก็เสียขวัญ เจ้ารู้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังพูดนั้นผิด ว่าสิ่งนั้นประกอบไปด้วยมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการ เกิดมาจากความรู้ แต่พวกเจ้าไม่รู้จะบอกปฏิเสธสิ่งนั้นอย่างไร เจ้าไม่รู้จะเริ่มชำแหละสิ่งนั้นจากที่ใด หรือจะเปิดโปงผู้คนเหล่านี้ด้วยคำพูดใด  นี่มิได้แสดงให้เห็นว่าเจ้ายังคงไม่เข้าใจความจริงหรอกหรือ?  (แสดงให้เห็นเช่นนั้น)  ดังนั้น พวกเจ้าต้องเตรียมตัวพวกเจ้าเองให้พร้อมด้วยความจริง แล้วพวกเจ้าก็จะสามารถชำแหละตัวพวกเจ้าเองได้ทันทีที่พวกเจ้าเข้าใจความจริงแล้ว และพวกเจ้าก็จะรู้ว่าจะมีวิจารณญาณเกี่ยวกับผู้คนอย่างไร  เมื่อเจ้าได้เข้าใจความจริงแล้ว พวกเจ้าจะสามารถมองผู้คนอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน แต่หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าจะไม่มีวันสามารถมองพวกเขาอย่างชัดเจนได้  การจะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างทะลุปรุโปร่งนั้น เจ้าต้องเข้าใจความจริง หากปราศจากความจริงเป็นรากฐานของเจ้า เป็นชีวิตของเจ้า เจ้าย่อมจะไม่สามารถทะลวงผ่านสิ่งใดได้อย่างลึกซึ้ง

เมื่อผู้คนได้แก้ไขมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการสารพัดแล้ว พวกเขาก็มีความรู้และได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาก็ได้เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้วด้วย  ในกระบวนการของการเข้าสู่ความเป็นจริงในพระวจนะของพระเจ้านั้น มโนคติที่หลงผิดและจินตนาการที่เกิดขึ้นในผู้คนจะได้รับการแก้ไขไปทีละอย่าง และมีการเปลี่ยนแปลงในความรู้ของผู้คนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า และท่าทีหลากหลายที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน  การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างไร?  การนั้นเกิดขึ้นเมื่อผู้คนละวางมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการสารพัดของมนุษย์ของพวกเขาไว้ก่อน เมื่อพวกเขาละวางแนวคิดและมุมมองซึ่งมาจากความรู้ ปรัชญา วัฒนธรรมตามประเพณี หรือโลกไว้ก่อน และกลับยอมรับมุมมองอันหลากหลายที่มาจากพระเจ้าและที่เชื่อมโยงกับความจริงแทน  เมื่อผู้คนยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นชีวิตของพวกเขา พวกเขายังเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าด้วย และสามารถที่จะคำนึงถึงและนึกถึงคำถามทั้งหลายโดยใช้ความจริง และแก้ไขประเด็นปัญหาโดยใช้ความจริง  ทันทีที่ผู้คนแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดต่างๆ ของตนเกี่ยวกับพระเจ้าแล้ว เช่นนั้นพวกเขาย่อมสามารถทำให้สัมพันธภาพของตนกับพระเจ้าดีขึ้นได้ทันที พร้อมทั้งปูทางเข้าสู่ชีวิตของตนในเวลาเดียวกัน  เมื่อผู้คนสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น สัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้ากลายมาเป็นอย่างไร?  กลายมาเป็นสัมพันธภาพของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้าง  ในสัมพันธภาพระดับนี้ ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการทดสอบ และมีการกบฏน้อยมาก ผู้คนนบนอบ เข้าใจ นมัสการ จงรักภักดี และซื่อสัตย์ต่อพระเจ้ามากขึ้นเป็นอย่างมาก  และพวกเขายำเกรงพระเจ้าอย่างแท้จริง  นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ถูกนำพามาสู่ชีวิตของผู้คนเมื่อพวกเขาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนแล้ว  หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงประเภทนี้ เช่นนั้นพวกเจ้าเต็มใจที่จะแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนหรือไม่?  (เต็มใจ)  และการแก้ไขมโนคติที่หลงผิดของผู้คนเป็นกระบวนการที่เจ็บปวดมาก  ผู้คนต้องปฏิเสธตัวเอง พวกเขาต้องละวางมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาไว้ก่อน ละวางสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง ละวางสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาแสวงหาอย่างไม่ลดละ ละวางสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้องและที่พวกเขาได้ไล่ตามเสาะหาและถวิลหารอคอยมาทั้งชีวิตของพวกเขา  นี่หมายความว่า ผู้คนต้องขัดขืนตัวพวกเขาเอง ต้องละวางความรู้ ปรัชญา—แม้กระทั่งหนทางแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา—ที่เรียนรู้มาจากโลกของซาตาน และแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยหนทางแห่งการดำรงชีวิตอีกหนทางหนึ่งซึ่งมีรากฐานและรากเหง้าที่เป็นความจริง  เช่นนั้นเอง ผู้คนต้องสู้ทนความทุกข์อันใหญ่หลวง  ความทุกข์เช่นนั้นอาจจะไม่ใช่ความเจ็บป่วยทางร่างกายหรือความยากลำบากและความลำบากยากเย็นในชีวิตประจำวัน แต่นั่นอาจมาจากการเปลี่ยนแปลงในทรรศนะทุกชนิดที่มีต่อสิ่งทั้งหลายที่แตกต่างกันและต่อมวลมนุษย์ในหัวใจของเจ้า หรือนั่นอาจจะมาจากการเปลี่ยนแปลงในแง่มุมสารพัดของความรู้ที่เจ้ามีต่อพระเจ้าด้วยซ้ำ ซึ่งพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือกับความรู้และทรรศนะของเจ้าเกี่ยวกับโลก ชีวิตของมนุษย์ มวลมนุษย์ และแม้กระทั่งพระเจ้า

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมเรื่องมโนคติอันหลงผิดของผู้คนซึ่งเกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าและยกตัวอย่างสองสามข้อเพื่อที่เจ้าจะได้มีแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับความจริงแง่มุมนี้  หลังจากนี้พวกเจ้าอาจใคร่ครวญความจริงแง่มุมนี้อีกครั้งและสามัคคีธรรมความจริงแง่มุมนี้ร่วมกัน ทำการอนุมาน และค่อยๆ ทบทวน ทำความเข้าใจ และชำแหละมโนคติอันหลงผิดต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้า ก่อนที่จะแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ไปทีละขั้นหลังจากนั้น  สรุปสั้นๆ ก็คือ ผู้คนมีความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดมากมายเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าในแง่ของชีวิต การแต่งงาน ครอบครัว หรืองานของผู้คน ชั่วขณะที่ความลำบากยากเย็นบางอย่างเกิดขึ้น ผู้คนก็เกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า จากนั้นพวกเขาก็ตัดสินและพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์ คิดอยู่ในหัวใจของตนเสมอว่า “เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงคุ้มครองฉันและไม่ทรงอวยพรฉัน?”  ก็เหมือนกับที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวอยู่เสมอว่า “สวรรค์ไม่เป็นธรรม” และ “สวรรค์ไม่มีตา” แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ  เมื่อชีวิตสะดวกสบายและมีความสุข ผู้คนไม่กล่าวคำขอบคุณพระเจ้าเลยสักคำและสามารถถึงขั้นปฏิเสธพระเจ้าและกังขาการทรงดำรงอยู่ของพระองค์  อย่างไรก็ตาม เมื่อความวิบัติมาเยือน พวกเขาก็โยนให้เป็นความผิดของพระเจ้า และเริ่มตัดสินและหมิ่นประมาทพระองค์  บางคนถึงขั้นคิดว่าทันทีที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งใดและไม่จำเป็นต้องทำงานอีกต่อไป พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้พวกเขาเมื่อเวลานั้นมาถึง หากพวกเขามีความลำบากยากเย็นอันใด พวกเขาก็สามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและวางใจมอบหมายเรื่องนั้นให้พระองค์ แล้วพระองค์ก็จะทรงแก้ไขเรื่องนั้นให้พวกเขา  พวกเขาเชื่อว่าหากตนล้มป่วย พระเจ้าจะทรงรักษาพวกเขา หากความวิบัติบังเกิดขึ้น พระเจ้าจะทรงคุ้มครองพวกเขา เมื่อวันของพระเจ้ามาถึง พวกเขาทุกคนจะเปลี่ยนรูปสัณฐาน และหากพระเจ้าทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะออกมาดี—นี่คือความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมี  ส่วนในเรื่องความรู้เชิงวิชาชีพซึ่งเกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่ผู้คนควรเรียนรู้ ผู้คนควรเรียนรู้ความรู้ดังกล่าวนี้โดยสอดคล้องกับสิ่งที่จำเป็นต่อหน้าที่ของพวกเขา นี่เรียกว่าปฏิบัตินิยมและการทุ่มเทอุทิศให้กับงานที่ถูกควรของคนเรา และคนเราไม่ควรแค่ฝันและพึ่งพาความคิดฝันของตัวเอง  สิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนทำคือสิ่งที่ผู้คนต้องทำ นั่นคือหน้าที่ที่ผู้คนควรปฏิบัติ  แน่นอนว่านี่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้และต้องจัดการอย่างมีมโนธรรม—นี่ตรงตามความจริงและเป็นมุมมองที่ผู้คนควรมีต่อหน้าที่ของตน  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิด แต่เป็นความจริงและเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนด  มีหลายช่วงเวลาที่สิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงทำขัดแย้งกับความคิดฝันของผู้คน  หากผู้คนสามารถละวางมโนคติอันหลงผิดของตน แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และแสวงหาหลักธรรมความจริง เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้  หากเจ้าดื้อดึงและเจ้ายึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดของตนอย่างหัวชนฝา เช่นนั้นนั่นย่อมเทียบเสมอกับการที่เจ้าไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับสิ่งทั้งหลายที่ถูกต้อง และไม่ยอมรับข้อกำหนดของพระเจ้า  หากเจ้าไม่ยอมรับความจริงหรือสิ่งทั้งหลายที่ถูกต้อง เช่นนั้นจะไม่สามารถพูดได้หรือว่าเจ้าต่อต้านพระเจ้า?  ความจริงและสิ่งที่เป็นบวกมาจากพระเจ้า  หากเจ้าไม่ยอมรับสิ่งเหล่านี้แต่กลับยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดของตน เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าต่อต้านความจริง  พวกเราจะจบสามัคคีธรรมของพวกเราเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนซึ่งเกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าลงตรงนี้  สิ่งที่เหลือก็คือให้พวกเจ้านำสามัคคีธรรมนี้ไปใช้กับตัวเจ้าเองบนพื้นฐานของหลักธรรมเหล่านี้รวมทั้งวจนะที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันที่นี่ในวันนี้  มโนคติอันหลงผิดซึ่งเกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าของผู้คนเป็นมโนคติอันหลงผิดที่พบมากที่สุดและเป็นขั้นพื้นฐานมากที่สุดในบรรดามโนคติอันหลงผิดทั้งสามประเภท  ความจริงที่สัมพันธ์กับมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้จริงๆ แล้วไม่ลุ่มลึกขนาดนั้น และดังนั้นมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้จึงควรจะแก้ไขได้ง่าย

ตอนนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมเรื่องมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์ ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดมากมายเกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์เช่นกัน  ในเมื่อผู้คนไม่เคยเห็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ พวกเขาย่อมมีความคิดฝันมากมายมิใช่หรือ?  ตัวอย่างเช่น พวกเขาเชื่อว่าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ควรทรงเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างและทรงมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างอย่างชัดเจน  สรุปสั้นๆ ก็คือ พวกเขาคิดว่าเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ควรเพียบพร้อมเป็นพิเศษ คิดไปว่าพระองค์ทรงดีเกินไปสำหรับคนอย่างพวกเขาและไม่สามารถเข้าหาได้  ในเมื่อผู้คนไม่เคยพบพระเจ้า ความคิดฝันเหล่านี้ที่ผู้คนมีก็คือมโนคติอันหลงผิด และมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้เกิดขึ้นตามการตัดสินบางอย่าง หรือความรู้ การเชื่อทางศาสนา และการศึกษาด้านวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมที่ผู้คนมี  พอผู้คนได้พบกับพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิดใหม่ๆ ขึ้นว่า “อ้อ พระคริสต์ทรงมีรูปลักษณ์อย่างนี้นี่เอง  พระองค์ตรัสอย่างนี้นี่เอง และบุคลิกภาพของพระองค์ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง  พระองค์ทรงแตกต่างไปจากสิ่งที่ฉันคิดเอาไว้ได้อย่างไร?  พระเจ้าของฉันไม่ควรที่จะเป็นเช่นนี้”  ในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนไม่รู้และไม่สามารถอธิบายได้ว่าพระเจ้าควรที่จะเป็นเช่นไร  ในขณะที่ผู้คนเกิดมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา พวกเขาก็กำลังปฏิเสธและตัดแต่งตัวเองอยู่อย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยเชื่อว่าการเก็บงำมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเอาไว้เป็นเรื่องผิด และเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นถูกต้อง แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้  มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่องและสงครามก็ดำเนินไปในหัวใจของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาคิดว่า “สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นถูกต้อง ฉันไม่ควรเก็บงำมโนคติอันหลงผิดอันใดเอาไว้”  แต่พวกเขาไม่สามารถละวางมโนคติอันหลงผิดของตนได้โดยสมบูรณ์และพวกเขายังคงไม่มั่นใจ ดังนั้นจึงไม่มีสันติสุขในหัวใจของพวกเขา  พวกเขาคิดว่า “พระองค์ทรงเป็นมนุษย์หรือพระเจ้า?  หากพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เช่นนั้นรูปลักษณ์ของพระองค์ก็ไม่เหมือนพระเจ้า และหากพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ เช่นนั้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พระองค์จะทรงแสดงความจริงมากมาย”  พวกเขาติดอยู่ตรงนี้  พวกเขาต้องการหาใครบางคนที่จะสามัคคีธรรมด้วยแต่ก็พบว่าการพูดคุยเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก กลัวว่าจะถูกหัวเราะเยาะหรือผู้อื่นจะพูดว่าพวกเขาโง่เขลามาก ไร้ซึ่งความเชื่อ หรือความเข้าใจของพวกเขาบิดเบือนไป ดังนั้นทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือกดความรู้สึกของตนเอาไว้  ไม่ว่าในกรณีใด ไม่ว่าใครบางคนเคยเห็นพระเจ้าหรือไม่ ตราบที่มโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา เช่นนั้นความเข้าใจของพวกเขาก็ย่อมมีปัญหา  พระเจ้าทรงแสดงความจริงมากมายและทรงสามัคคีธรรมประเด็นปัญหาเหล่านี้อย่างชัดเจนและกระจ่างแจ้ง เพื่อที่จะได้สามารถใช้วจนะทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในหัวใจ  เมื่อผู้คนยังคงสามารถเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดในสถานการณ์เช่นนั้น นี่ย่อมไม่ใช่ปัญหาที่เรียบง่ายเช่นนั้นอีกต่อไป  บางคนมีมโนคติอันหลงผิดเพราะพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ บางคนมีมโนคติอันหลงผิดเพราะความเข้าใจที่บิดเบือนของพวกเขา และบางคนเกิดมโนคติอันหลงผิดเพราะพวกเขาไม่รักความจริงและไม่เข้าใจความจริงเลยแม้แต่น้อย  ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ตราบใดที่ทัศนะและแนวคิดของผู้คนไม่สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้า และแก่นแท้ของพระเจ้า และสิ่งเหล่านี้ขัดขวางผู้คนไม่ให้เชื่อในพระเจ้า รู้จักพระเจ้า และนบนอบพระราชกิจของพระเจ้า หรือมิเช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเหตุให้ผู้คนมีแนวคิดและมุมมองซึ่งตั้งคำถาม เข้าใจผิด ปฏิเสธ และขัดขืนพระเจ้า เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ย่อมล้วนเป็นมโนคติอันหลงผิด และล้วนเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริง

ถัดไป เราจะใช้ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมบางอย่างมาสามัคคีธรรมกับเจ้า  อาจมีพวกเจ้าหลายคนที่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเรามาแล้ว  เมื่อแรกเริ่มที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าหรือเจ้าพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์บางอย่าง ใครบางคนอาจจะบอกเรื่องเล่าขานบางเรื่องกับเจ้าที่ทำให้หัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยภาวะอารมณ์หรือทำให้เจ้าตื้นตันจนหลั่งน้ำตา  ตัวอย่างเช่น ในวันขึ้นปีใหม่ปีหนึ่งใครบางคนพูดว่าคนอื่นเขากลับไปใช้ช่วงเวลาขึ้นปีใหม่ที่บ้านกันหมด ในขณะที่พระคริสต์ทรงดำเนินอยู่บนท้องถนนเพียงลำพัง ทรงเผชิญกับลมและหิมะ ไม่ทรงมีบ้านให้ไป  หลังจากได้ยินเรื่องราวนี้ บางคนสะเทือนใจอย่างยิ่งและพูดว่า “เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่พระเจ้าจะเสด็จมาและทรงดำรงพระชนม์ชีพในโลกนี้!  มวลมนุษย์เสื่อมทรามเหลือเกินและพวกเขาก็ล้วนปฏิเสธพระเจ้า และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงทนทุกข์เช่นนี้  สิ่งที่พระเจ้าตรัส ที่ว่า ‘หมาจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ’ ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริง  พระวจนะเหล่านี้ได้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว  พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ยิ่งนัก!”  พวกเขาเชื่อว่าความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเกิดขึ้นจากเรื่องราวนี้ และนี่คือบทสรุปที่พวกเขาค้นพบจากเรื่องราวนี้  ในขณะที่พวกเจ้ากำลังตื้นตันใจจนหลั่งน้ำตาหลังจากได้ฟังเรื่องราวนี้ พวกเจ้าเคยสงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดผู้คนจึงต้องการฟังเรื่องราวเช่นนี้?  เหตุใดเรื่องราวดังกล่าวจึงทำให้พวกเขาสะเทือนใจ?  ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเนื้อหนังของพระเจ้า พวกเขามีข้อพึงประสงค์อย่างหนึ่งเกี่ยวกับเนื้อหนังของพระองค์ และพวกเขาก็มีมาตรฐานอย่างหนึ่งในการประเมินวัดเนื้อหนังของพระองค์  มโนคติอันหลงผิดนี้คืออะไร?  เป็นเพราะหากพระเจ้าเสด็จมาในเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ เช่นนั้นพระองค์ก็ควรทรงทนทุกข์  พระเจ้าตรัสว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ”  หากพระวจนะเหล่านี้ไม่ได้เป็นจริงขึ้นมา หากภาวะชีวิตของบุตรมนุษย์ไม่ได้เป็นเช่นนี้ และพระองค์ไม่ได้ทรงทนทุกข์ในหนทางนี้ แต่กลับทรงชื่นชมยินดีกับความสุข เช่นนั้นผู้คนคงจะไม่เลื่อมใสพระองค์และคงจะไม่รู้สึกมีแรงจูงใจ จากนั้นพวกเขาก็คงจะไม่ต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตนและพวกเขาก็คงจะไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์แม้เพียงเล็กน้อย  ผู้คนเชื่อว่าพระเจ้าควรทรงทนทุกข์ และมีเพียงการทนทุกข์เท่านั้นพระองค์จึงจะทรงสามารถทำหน้าที่เป็นตัวอย่างและต้นแบบให้กับมวลมนุษย์  พวกเขาเชื่อว่าเมื่อพระเจ้าเสด็จมายังโลกนี้ พระองค์ย่อมไม่ทรงสามารถชื่นชมยินดีกับความมั่งคั่งและลำดับชั้นอันยิ่งใหญ่ได้—เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นของโลกนี้  พระเจ้าได้เสด็จมาในโลกนี้เพื่อทรงทนทุกข์อย่างเจาะจง และเฉพาะหลังจากพระองค์ได้ทรงทนทุกข์แล้วเท่านั้น พระองค์จึงจะทรงสามารถทำให้มวลมนุษย์เงียบอึ้ง รวมทั้งรู้สึกสะเทือนใจกับการทนทุกข์ของพระองค์และเลื่อมใสพระองค์ ก่อนที่จะติดตามพระองค์หลังจากนั้น  ผู้คนเก็บงำมโนคติอันหลงผิดประเภทนี้ที่เกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงรู้สึกว่าเข้าใจเรื่องราวเช่นนี้ได้และพบว่าเรื่องราวเหล่านี้ง่ายที่จะยอมรับ  แล้วพวกเจ้าอยากรู้ไหมว่าเรื่องราวนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?  พวกเจ้าหวังว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง?  พวกเจ้าพบว่าเรื่องนี้ยากที่จะตอบหรือไม่?  หากเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นผู้คนย่อมจะพบว่าเรื่องนี้เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของตนเองอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เรื่องจริง นั่นจะทำลายตัวอย่างของวีรบุรุษในส่วนลึกที่สุดในหัวใจของพวกเจ้าหรือไม่?  เรื่องนี้จะมีผลกระทบต่อพวกเจ้าหรือไม่?  เรื่องนี้จะส่งผลต่อจิตใจของพวกเจ้าหรือไม่?  อันที่จริงแล้วเรื่องนี้จะจริงหรือไม่นั้นไม่มีความสำคัญ  อะไรที่สำคัญ?  การชำแหละมโนคติอันหลงผิดของผู้คน  ทุกคนมีมโนคติอันหลงผิดและมาตรฐานที่ใช้ในการประเมินวัดพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ พระชนม์ชีพของพระองค์ สภาพแวดล้อมในการดำรงพระชนม์ชีพของพระองค์ คุณภาพพระชนม์ชีพของพระองค์ รวมทั้งพระกระยาหาร พระภูษา พระนิเวศ และการเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์ และมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขามีนี้ก็คือว่าเมื่อพระเจ้าเสด็จมา พระองค์ต้องทนทุกข์  ยิ่งไปกว่านั้น ในหัวใจของผู้คนแล้ว พระคริสต์ต้องทรงมีอิทธิพลและควรค่าแก่การนมัสการ การเลื่อมใส และการรักใคร่บูชาอย่างแน่นอน พระองค์ต้องทรงสามารถอ่านได้รวดเร็วอย่างที่สุดและไม่ลืมสิ่งใดที่พระองค์เคยทรงมองเลย พระองค์ต้องทรงมีความสามารถพิเศษบางอย่างที่พ้นวิสัยที่คนปกติจะเอื้อมถึง และพระองค์ต้องทรงถึงขั้นสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ซึ่งในกรณีนั้นย่อมทำให้พระองค์ทรงควรค่าแก่การติดตามและควรค่าแก่พระฉายานามว่า “พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์”  หากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คนได้รับการทำให้ลุล่วงในชีวิตจริง พวกเขาย่อมจะขะมักเขม้นและมั่นใจอย่างมากในความเชื่อของตน  หากสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นจริงๆ ขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา เช่น การได้เห็นพระคริสต์ยังคงถูกเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจปกครองไล่ล่า เช่นนั้นผู้คนย่อมคิดว่า “พระเจ้ายังคงทรงทนทุกข์กับความเจ็บปวดจากการถูกไล่ล่า—นี่ไม่ใช่วีรบุรุษและพระผู้ช่วยให้รอดที่ฉันคิดฝันไว้!”  แล้วพวกเขาก็คิดว่าพระเจ้าไม่ทรงควรค่าแก่การเชื่อ  นี่ไม่ได้เกิดขึ้นจากมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาหรอกหรือ?  มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  แง่มุมหนึ่งก็คือมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้เกิดขึ้นจากความคิดฝันของผู้คน ในขณะที่อีกแง่มุมหนึ่งก็คือผู้คนได้รับอิทธิพลจากภาพลักษณ์ของคนที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขาเกิดคำนิยามที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพระเจ้า  ผู้คนเชื่อว่าชีวิตของคนที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่นั้นเรียบง่าย สำหรับคนเหล่านี้แปรงสีฟันด้ามหนึ่งสามารถคงทนอยู่ได้เป็นเวลา 20 ถึง 30 ปี และเครื่องนุ่งห่มหนึ่งชิ้นก็ซ่อมแซมได้และถึงขั้นสวมใส่ได้ตลอดชีวิต  คนที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่บางคนกินโดยไม่ทิ้งให้อะไรสูญเปล่า ถึงขั้นเลียถ้วยชามของตนจนสะอาดหลังจากกินอาหารของตนเสร็จ และหยิบเศษอาหารที่หล่นขึ้นมากินทุกชิ้น ดังนั้นผู้คนจึงเกิดภาพประทับใจพิเศษเหนือธรรมดาเกี่ยวกับคนที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ในหัวใจของตน และพวกเขาก็ใช้ภาพประทับใจดังกล่าวประเมินวัดพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  หากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ไม่ทรงลงรอยกับภาพประทับใจของพวกเขา พวกเขาย่อมเกิดมโนคติอันหลงผิด แต่หากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงลงรอยกับภาพประทับใจของพวกเขาไม่มีผิด พวกเขาย่อมไม่เกิดมโนคติอันหลงผิด  การที่ผู้คนเปรียบเทียบพระคริสต์กับสิ่งเหล่านี้นั้นตรงตามความจริงหรือไม่?  สิ่งทั้งหลายที่คนที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ทำนั้นตรงตามความจริงหรือไม่?  แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาใช่แก่นแท้ธรรมชาติของเหล่าธรรมิกชนหรือไม่?  ที่จริงแล้วคนที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่เหล่านี้ล้วนเป็นพวกปีศาจและพวกกษัตริย์มาร และไม่มีใครแม้แต่คนเดียวในบรรดาพวกเขาที่มีแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  แม้ว่าเมื่อใช้มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ประเมินวัด พวกเขาก็อาจจะดูเหมือนมีคุณความดีอยู่บ้าง แต่ในแง่ของแก่นแท้ธรรมชาติและการกระทำของพวกเขา พวกเขาล้วนเป็นพวกมารและซาตานโดยแก่นแท้  การนำภาพลักษณ์ของพวกมารและซาตานไปเปรียบเทียบกับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่การหมิ่นประมาทพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกซาตานและมารเก่งที่สุดเสมอในการอำพรางตน  ดูภายนอกทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดและทำนั้นตรงตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน และพวกเขาพูดแต่สิ่งที่เสนาะหูเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาวางแผนในหัวใจของตนและสิ่งที่พวกเขาทำอยู่หลังฉากนั้นล้วนเป็นสิ่งชั่วร้ายน่าละอาย และหากไม่มีใครเปิดโปงพวกเขา เช่นนั้นย่อมไม่มีใครสามารถหยั่งถึงพวกเขาได้  สิ่งที่พวกซาตานและกษัตริย์มารพูดเป็นเรื่องหน้าซื่อใจคดและชักพาให้หลงผิดทั้งสิ้น และบางคนที่เข้าใจความจริงย่อมจะสามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน  บางคนเปรียบเทียบภาพลักษณ์ของคนที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นพวกมารกับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์อยู่เนืองนิตย์ และเมื่อไม่มีความสอดคล้องใดๆ พวกเขาย่อมรู้สึกไม่สบายใจ พวกเขาเกิดมโนคติอันหลงผิดและไม่ยอมปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นเลย  ผู้คนเยี่ยงนี้มีมากหรือไม่?  แน่นอนว่าผู้คนเยี่ยงนี้มีมาก  บางคนยังคงห่วงกังวลว่าเรื่องราวที่เราเพิ่งจะบอกเล่าไปนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่  เมื่อเราได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก เราพิศวงว่าเราซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกลับไม่รู้ว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับเราตามที่เชื่อกัน  นั่นเป็นเรื่องตลกขนานใหญ่และคำโกหกคำโต  ไม่ใช่เรื่องจริง  ในสถานการณ์นั้น แม้ว่ามีพี่น้องชายหญิงไม่กี่คนที่ได้ยอมรับพระราชกิจใหม่ในช่วงระยะนี้ แต่ก็ยังคงมีบางคนที่ยอมรับพระราชกิจใหม่นี้เมื่อพระเจ้าเริ่มดำรัสพระวจนะของพระองค์ครั้งแรก  ที่มากไปกว่านั้น พวกเขาล้วนเป็นผู้เชื่อในพระเยซูที่ได้มายอมรับพระราชกิจในช่วงระยะนี้  พวกเขาล้วนเต็มใจที่จะแสดงความรักและไม่มีทางที่จะปิดประตูใส่พระพักตร์ของพระคริสต์ได้อย่างเด็ดขาด พวกเขาไม่มีทางทำเช่นนั้นได้เป็นอันขาด  ในวันขึ้นปีใหม่ บางคนเชิญเราไปบ้านของพวกเขา  นอกจากนี้ ด้วยพี่น้องชายหญิงมากมายขนาดนั้น จะมีบ้านไหนที่เราไปแล้วไม่ต้อนรับเราบ้างเล่า?  ด้วยการพูดเช่นนั้น ดูราวกับว่าพี่น้องชายหญิงกำลังเป็นกบฏและคงจะไม่มีใครที่ไหนเป็นเจ้าบ้านต้อนรับเรา  นี่คือความพยายามที่จะใส่ความพี่น้องชายหญิงและกุข่าวลือที่ไม่มีมูลเกี่ยวกับพวกเขา!  เรื่องนี้ไม่มีมูลทั้งสิ้นและชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่บางคนที่มีเหตุจูงใจแอบแฝงปั้นแต่งขึ้นมา แต่กระนั้นพวกเจ้าก็ยังคงเชื่อเรื่องนี้จริงๆ  พวกเจ้ายังคงเชื่อเรื่องนี้ได้อย่างไร?  เป็นเพราะผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดบางอย่างเกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์ และพวกเขามีข้อพึงประสงค์เหล่านี้ในแง่ของความรู้สึก ความอยาก และสภาพจิตใจของตน ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มใจที่จะรับฟังเรื่องราวดังกล่าว  บางคนฉวยประโยชน์จากโอกาสนี้มาปั้นแต่งเรื่องราวเหล่านี้ จากนั้นก็ทำทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อแพร่กระจายและแผ่ขยายเรื่องราวเหล่านี้ เสริมแต่งเรื่องราวเหล่านี้ แล้วก็เอาไปเล่าเกินจริง ปรุงแต่งสิ่งต่างๆ ขึ้นมา  ในที่สุดก็มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดได้ยินเรื่องปั้นแต่งของพวกเขาและเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริง  หากเราไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน พวกเจ้าก็คงจะไม่มีวันสามารถจำแนกความจริงออกจากความเท็จได้ในชั่วชีวิตของพวกเจ้า  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง?  เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย

ตอนนี้เราจะบอกบางสิ่งกับพวกเจ้าโดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้ เพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจได้ว่ามีมโนคติอันหลงผิดใดบ้างเกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์และพระคริสต์  เมื่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าช่วงระยะนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นได้ไม่นาน คริสตจักรจำเป็นต้องเขียนบทเพลงนมัสการบางส่วน และเราก็เขียนบทเพลงหนึ่งด้วย   ณ เวลานั้น พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ทรงรับการเป็นพยานให้แล้ว  หลังจากพวกเขาได้อ่านบทเพลงนมัสการของเราแล้ว บางคนคิดว่าบทเพลงนมัสการนี้ยอดเยี่ยม แต่ก็มีคนคนหนึ่งที่กล่าวบางสิ่งที่แปลกมากว่า “พระองค์ทรงเขียนบทเพลงนมัสการนี้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?  พระองค์ทรงคิดหาพระวจนะมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?”  เมื่อได้ยินเช่นนี้เราก็รู้สึกพิศวงมากและคิดว่า “คนเราจำเป็นต้องมีคำพูดเพื่อเขียนบทเพลงกระนั้นหรือ?  คนเราต้องรอบรู้หรือไม่?  เช่นนั้นเขาคิดว่าคำพูดเหล่านั้นทั้งหมดที่เราแสดงเป็นเช่นไร?”  เขามีมโนคติอันหลงผิด แนวคิด การเชื่อว่าพระวจนะเหล่านี้ที่ผู้ประสูติเป็นมนุษย์กำลังทรงแสดงเป็นแค่คำพูดและบทความ—เขาไม่คิดและไม่เข้าใจว่าพระวจนะเหล่านี้คือความจริง  เขาพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงทำนั้นคลุมเครือมาก  เพราะเขาไม่เข้าใจความจริง เขาจึงใช้คำพูดของผู้ไม่มีความเชื่อมาอธิบายพระวจนะ และผู้คนก็รู้สึกไม่สบายใจและรังเกียจเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้  คนคนนี้ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และแม้กระทั่งบัดนี้ก็มีผู้คนเช่นนี้อยู่  แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดแบบใด?  คนคนนี้ไม่ปฏิเสธการประสูติเป็นมนุษย์และไม่ปฏิเสธพระคริสต์ เขาใช้มโนคติอันหลงผิดประเมินวัดสิ่งที่ได้เกิดขึ้น  เขาเชื่อว่าพระคริสต์ต้องทรงรอบรู้และมีการศึกษา และเมื่อทรงอยู่ท่ามกลางคนอื่น พระองค์ต้องทรงสามารถโน้มน้าวพวกเขาได้อย่างถึงที่สุด  ต่อให้พระคริสต์ไม่ทรงมีการศึกษามากนัก แต่ขีดความสามารถ ความสามารถพิเศษ และความสามารถทั่วไปของพระองค์ต้องดีกว่าผู้อื่น กล่าวคือ พระองค์ต้องทรงเก่งกว่าคนอื่นในบางเรื่องหรือแตกต่างจากคนอื่นในบางลักษณะ เพื่อที่จะทรงควรค่าแก่การเป็นพระเจ้าและพระคริสต์  เขาเชื่อว่าพระคริสต์สามารถเป็นพระคริสต์ได้หากพระองค์ทรงมีคุณสมบัติที่จะเป็นเช่นนั้นได้  เขาไม่เชื่อว่าพระคริสต์สามารถเป็นพระคริสต์ได้เพียงเพราะพระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระคริสต์ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงพูดเรื่องเช่นนั้น  มโนคติอันหลงผิดประเภทนี้ก่อให้เกิดอุปสรรคขัดขวางใดต่อการเชื่อในพระเจ้าของผู้คนและการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา?  ผู้คนจะใช้สมองของตนวิเคราะห์พระวจนะของพระเจ้ารวมทั้งวิเคราะห์และศึกษาเนื้อหนังของพระเจ้า และพวกเขาก็ศึกษาพระองค์อยู่เสมอและคิดว่า “สิ่งที่คนคนนี้พูดมีตรรกะหรือไม่?  สิ่งนั้นสอดคล้องกับการคิดปกติธรรมดาหรือไม่?  สิ่งนั้นเป็นไปตามกฎเกณฑ์ไวยากรณ์หรือไม่?  พระองค์ทรงเรียนรู้เรื่องนี้จากที่ใด?”  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่จับใจความพระวจนะของพระเจ้าจากมุมมองของการยอมรับความจริง และพวกเขาก็ไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับใช้สมองและความรู้ของตนวิเคราะห์ ศึกษา และตั้งคำถาม  ไม่สำคัญว่าผู้คนใช้ทัศนคติหรือมโนคติอันหลงผิดประเภทใดเพื่อทำการประเมินวัดคนคนนี้หรือจัดการกับคนคนนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไร?  (พวกเขาไม่สามารถได้รับความจริง)  พวกเขาไม่สามารถได้รับความจริงอย่างแน่นอน  มีอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งเจ้ายังไม่เข้าใจ และนั่นก็คือผู้คนไม่สามารถสอบค้นให้แน่ใจได้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ประสูติมาเป็นมนุษย์หรือไม่—นี่ไม่สำคัญอย่างยิ่งยวดหรอกหรือ?  (สำคัญอย่างยิ่งยวด)  ผู้คนมากมายสอบค้นให้แน่ใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ พระวจนะของพระองค์คือความจริงและชีวิต และพระวจนะเหล่านี้มาจากพระเจ้าด้วยการรับฟังคำเทศนาที่พระองค์ประทานให้รวมทั้งข้อล้ำลึกบางอย่างที่พระองค์ทรงเปิดเผย  อย่างไรก็ตาม หากผู้คนศึกษาพระเจ้าด้วยมโนคติอันหลงผิดของตนอยู่เสมอและไม่เคยยอมรับพระวจนะของพระองค์เป็นความจริงเลย เช่นนั้นผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไร?  พวกเขาจะตั้งคำถามกับอัตลักษณ์และแก่นแท้ของคนคนนี้และพระราชกิจของพระองค์อยู่เสมอ  กล่าวคือ พวกเขาจะไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนคนนี้เป็นมนุษย์หรือพระเจ้า คิดว่าบางทีคนคนนี้อาจจะเป็นทูตสื่อสารที่พระเจ้าทรงส่งมา หรือบางทีอาจจะเป็นผู้เผยพระวจนะ เพราะมนุษย์ไม่สามารถพูดสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ตรัสได้  บางคนไม่ยอมรับว่าคนคนนี้คือพระเจ้า เพราะภายในตัวพวกเขามีข้อจำกัดและเครื่องผูกมัดมากมายรวมทั้งมโนคติอันหลงผิดมากมายซึ่งไม่ตรงกับเนื้อหนังนี้  เมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ตรงกัน คนเหล่านี้ย่อมไม่แสวงหาความจริงแต่ยังยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดของตนอยู่ต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงลงเอยด้วยการติดอยู่  เมื่อเจ้าบอกคนเช่นนี้ให้ทุ่มเทความพยายามในความเชื่อของตน พวกเขาเก็บงำมโนคติอันหลงผิดมากมายซึ่งพวกเขาไม่สามารถปล่อยมือได้ และเมื่อเจ้าบอกพวกเขาให้ผละจากไป พวกเขาก็กลายเป็นเต็มไปด้วยความกลัวว่าพวกเขาจะไม่ได้รับพร  มีผู้คนเช่นนี้หรือไม่?  พวกเจ้าเป็นเช่นนี้หรือไม่?  แม้พวกเจ้าส่วนใหญ่ยืนยันแล้วว่าคนคนนี้คือพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์จริงๆ อันที่จริงแล้วพวกเจ้ายืนยันเรื่องนี้เพียงร้อยละ 80 หรือ 90 เท่านั้น และยังคงมีร้อยละ 10 หรือ 20 ที่กังขาและตั้งคำถาม  อาจกล่าวได้ว่าโดยพื้นฐานแล้วพวกเจ้ายืนยันเรื่องนี้แล้ว ในขณะที่การยังคงกังขาและตั้งคำถามไม่ใช่ประเด็นปัญหาที่เร่งด่วนขนาดนั้น  ทางแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ก็อาจเป็นปัญหามากหากมโนคติอันหลงผิดและคำถามเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที  ในเรื่องของมโนคติอันหลงผิดของพวกเจ้า เราควรปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไรเพื่อให้พวกเจ้าพึงพอใจ เพื่อให้พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงกระทำเรื่องนี้และนี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงควรที่จะปฏิบัติต่อผู้คน?  เราควรพูดเบาๆ จากนั้นจึงสนใจพวกเจ้าและใส่ใจในทุกเรื่องหรือไม่?  หากอยู่มาวันหนึ่งเราจะได้พบว่าพวกเจ้าบางคนได้ทำบางสิ่งที่ไร้เหตุผล และเราดุด่าพวกเจ้ามาก เปิดโปงและพิพากษาพวกเจ้าอย่างก้าวกระด้าง และส่งผลเสียต่อความเคารพนับถือตนเองของพวกเจ้าเอง พวกเจ้าจะรู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นดังเช่นพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่สุภาพอ่อนโยนที่สุด ผู้ที่ทรงเปี่ยมรักมากที่สุด และพระเจ้าทรงเต็มไปด้วยความเมตตา เช่นนั้นแล้วเราจะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อที่จะเป็นพระเจ้าแห่งมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเจ้า?  หากในตอนนี้พวกเจ้ายังคงสร้างข้อเรียกร้องดังกล่าวต่อพระเจ้า เช่นนั้นพวกเจ้าย่อมปราศจากสำนึกใดๆ และพวกเจ้าย่อมไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ

เราจะบอกอีกสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดในเรื่องการประสูติเป็นมนุษย์กับพวกเจ้า  ยี่สิบปีมาแล้ว ตอนที่เราอยู่ในประเทศจีน เรายังอายุไม่ถึง 20 ปี และในวัยนั้นผู้คนไม่มีประสบการณ์และไม่เป็นผู้ใหญ่มากนักในการพูดและการกระทำของพวกเขา พวกเขาพูดและทำดังเช่นคนรุ่นหนุ่มสาว และนี่เป็นเรื่องปกติธรรมดา  หากพวกเขาพูดและทำดังเช่นคนสูงวัย เช่นนั้นนั่นย่อมไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา  การที่ผู้คนในกลุ่มอายุใดๆ จะเป็นดังเช่นผู้คนในกลุ่มอายุนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา  พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์และทรงลิขิตรูปแบบการเติบโตปกติให้กับมนุษย์  แน่นอนว่า พระเจ้าพระองค์เองในเนื้อหนังก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น และพระองค์ก็ดำรงพระชนม์ชีพและทรงได้รับประสบการณ์กับชีวิตโดยสอดคล้องกับรูปแบบนี้เช่นกัน  รูปแบบนี้มาจากพระเจ้า และพระเจ้าจะไม่ทรงละเมิดรูปแบบนี้  ดังนั้นก่อนที่พระเจ้าผู้ประสูติมาเป็นมนุษย์จะมีอายุครบ 20 ปี แน่นอนว่าพฤติกรรมบางอย่างของพระองค์ก็เป็นดังเช่นพฤติกรรมของคนรุ่นหนุ่มสาว  ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งตอนที่ย้ายบ้าน พี่น้องชายหญิงบางคนทิ้งปากกาและสมุดจดบันทึกไว้หลังจากย้ายออกไปแล้ว  เราคิดว่าถ้าโยนทิ้งไปก็จะน่าเสียดาย และพี่น้องชายหญิงก็จำเป็นต้องจดบันทึกเช่นกัน ดังนั้นเราจึงเก็บปากกาและสมุดจดบันทึกเหล่านี้ใส่กล่องและแบ่งปันกับพี่น้องหญิงสองสามคน  จากนั้นใครบางคนก็เกิดมโนคติอันหลงผิดและพูดว่า “ใครก็ตามที่ต้องการสิ่งเหล่านี้มาเอาสิ่งเหล่านี้ไปได้ด้วยตัวเอง  โดยการแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ คุณกำลังทำตัวเหมือนเด็ก!”  นี่คือสิ่งที่เขาพูด  นี่เป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องเล็กน้อย?  หากใครบางคนจะตัดสินคนปกติธรรมดาว่าประพฤติตนดังเช่นเด็ก เช่นนั้นนั่นก็คงจะเป็นเรื่องปกติที่จะทำ คงจะเป็นคำกล่าว และคงจะไม่มีใครใส่ใจหรือจริงจังกับเรื่องนี้ คงจะไม่มีใครคิดว่าคำกล่าวนี้คือมโนคติอันหลงผิดหรือมุมมองเช่นกัน แต่แค่จะยอมรับเรื่องนี้อย่างที่เป็นอยู่  อย่างไรก็ตาม แนวทางของเขาในการพูดเช่นนี้กับเราเป็นอย่างไร?  ธรรมชาติของแนวทางนี้ของเขาเป็นอย่างไร?  ในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเขา แม้พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ยังมีพระชนมายุไม่ถึง 20 พรรษา แต่พระองค์ก็ยังควรทรงปฏิบัติตนดังเช่นคนมีอายุ ประทับอย่างเคร่งขรึมทุกวันด้วยสายพระเนตรของพระองค์ที่จ้องไปข้างหน้า ทรงดูเหมือนคนมีอายุที่มีปัญญาและมีประสบการณ์ที่ไม่เคยเล่าเรื่องตลกหรือสนทนาเลย และเป็นผู้ที่มั่นคงและสำรวมเป็นพิเศษ  ชั่วขณะที่เราประพฤติตนหรือทำบางสิ่งที่สวนทางกับสิ่งที่คนมีอายุอาจจะทำ เช่น การที่เราแบ่งปันปากกาและสมุดบันทึกให้กับพี่น้องหญิงบางคน ใครบางคนจะกล่าวโทษการกระทำของเราว่าเป็นเหมือนการกระทำของเด็ก ไม่เหมือนพระคริสต์ และไม่เหมือนพระเจ้าในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา เพราะพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ไม่ควรที่จะต้องกระทำการในลักษณะใดๆ ที่เหมือนเด็ก  นั่นพวกเขากำลังพูดถึงพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มิใช่หรือ?  การพูดแบบนี้เป็นการกล่าวโทษและตัดสินอย่างหนึ่ง หรือเป็นการชื่นชมและยอมรับแบบหนึ่ง?  (เป็นการกล่าวโทษและตัดสิน)  เหตุใดจึงเป็นการกล่าวโทษแบบหนึ่ง?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าด้วยการพูดว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงเป็นดังเช่นเด็ก เขากำลังปฏิเสธพระเจ้า?  เขามีปัญหาตรงไหนในการพูดเช่นนี้?  ประเด็นปัญหาหลักของการที่เขาเกิดมโนคติอันหลงผิดคืออะไร?  (เขากำลังไม่ยอมรับความเป็นมนุษย์ที่ปกติของผู้ประสูติเป็นมนุษย์รวมทั้งไม่ยอมรับความเป็นปกติและความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า  นั่นก็เป็นเหมือนสิ่งที่พระเจ้าเพิ่งตรัส ผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็เป็นเหมือนมวลมนุษย์ที่ทรงสร้าง โดยมีรูปแบบการเติบโตที่ปกติ  อย่างไรก็ตาม คนคนนั้นคำนึงถึงพระเจ้าว่าทรงเหนือธรรมชาติเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจผู้ประสูติเป็นมนุษย์  ธรรมชาติของการนี้คือการปฏิเสธและการกล่าวโทษพระเจ้า และเป็นการหมิ่นประมาท)  ถูกต้อง การไม่ยอมรับของเขาคือแก่นแท้ของปัญหานี้  เหตุใดเขาจึงไม่ยอมรับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ในหนทางนี้?  เป็นเพราะเขาเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เอาไว้ในหัวใจของตน คิดว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงสามารถเผยสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์โดยเป็นไปตามการแก่ชราตามปกติ พระองค์ยังมีพระชนมายุไม่ถึง 20 พรรษา แต่พระองค์ต้องทรงเป็นผู้ใหญ่และมีประสบการณ์ดังเช่นคนอายุ 50 ปี พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นพระองค์ควรทรงดำรงพระชนม์ชีพโดยละเมิดรูปแบบการเติบโตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พระองค์ต้องทรงเหนือธรรมชาติ พระองค์ต้องทรงแตกต่างจากคนอื่น และเมื่อนั้นเท่านั้นพระองค์จึงจะทรงสามารถเป็นพระคริสต์และพระเจ้าที่พวกเรามีในความรู้สึกนึกคิดของพวกเราได้” นี่คือมโนคติอันหลงผิดที่เขามี  แล้วผลที่ตามมาจากมโนคติอันหลงผิดนี้คืออะไร?  มโนคติอันหลงผิดของเขาจะถูกเผยออกมาหรือไม่หากสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น?   ไม่มีใครรู้ เพียงแต่เขาถูกเผยผ่านทางเรื่องนี้  หากเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ได้คิดว่าผู้คนไม่สามารถเข้าใจอย่างถ้วนทั่วในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ และเขาก็ไม่ได้พูดอย่างหุนหันพลันแล่น เช่นนั้นเขาย่อมจะมีพื้นที่ให้แสวงหา และนี่ย่อมจะเป็นเรื่องที่ให้อภัยได้  ผู้คนไม่เข้าใจความจริงและมีหลายสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ้วนทั่ว  อย่างไรก็ตาม แม้ผู้คนไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างถ้วนทั่ว แต่บางคนก็ตัดสินและกล่าวโทษ ในขณะที่ผู้อื่นไม่พูดอย่างหุนหันพลันแล่นและแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับรอและแสวงหาความจริง—ในที่นี้มีความแตกต่างกันในธรรมชาติมิใช่หรือ?  (มี)  แล้วธรรมชาติของความล้มเหลวในการทำความเข้าใจอย่างถ้วนทั่วของคนคนนี้เป็นอย่างไร?  เขาด่วนกล่าวโทษทันที และนี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรง  ทันทีที่ผู้คนเกิดมโนคติอันหลงผิด ความกังขาและแม้กระทั่งการกล่าวโทษและการไม่ยอมรับเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ย่อมเกิดขึ้นในตัวพวกเขา และเรื่องนี้ร้ายแรงอย่างที่สุด

เราเพิ่งยกตัวอย่างสามประการของมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์  ตัวอย่างสามประการนี้แสดงให้เห็นประเด็นปัญหาบางอย่าง และเจ้าควรเสาะแสวงที่จะค้นหาในตัวอย่างเหล่านี้ว่าความจริงคืออะไร  มโนคติอันหลงผิดประการแรกคืออะไร?  (ผู้คนกำหนดพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์โดยใช้คำนิยามของตนเกี่ยวกับคนที่ยิ่งใหญ่ เชื่อว่าพระเจ้าควรทรงทนทุกข์เพื่อที่จะเป็นต้นแบบให้กับมวลมนุษย์)  นี่คือมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมี  มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาก็คือพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ควรทรงทนทุกข์มากขึ้นและกำหนดตัวอย่าง เป็นต้นแบบให้กับมวลมนุษย์  มโนคติอันหลงผิดประการที่สองคืออะไร?  (ผู้คนเชื่อว่าพระคริสต์ควรทรงมีความรู้และได้รับการศึกษา เป็นเช่นนั้นมากกว่าคนธรรมดาสามัญ และเมื่อนั้นเท่านั้นพระองค์จึงจะทรงเป็นพระคริสต์)  ผู้คนมากมายในขณะนี้ยังคงเชื่อว่าถ้อยดำรัสและพระราชกิจของพระเจ้ามาจากความรู้และพรสวรรค์ของพระองค์ หรือจากบางสิ่งที่พระองค์ทรงเชี่ยวชาญและเข้าใจ—นี่คือมโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่ง  มโนคติอันหลงผิดประการที่สามคืออะไร?  (ผู้คนเชื่อว่าพระคริสต์ไม่ควรที่จะต้องทรงมีการเผยความเป็นมนุษย์ที่ปกติใดๆ ให้เห็น)  หากพูดให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เป็นเพราะพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ควรที่จะต้องทรงเหนือธรรมชาติและควรต้องทรงแตกต่างจากทุกคนและมีความสามารถที่เหนือธรรมชาติ  หากพระคริสต์ทรงเป็นผู้ที่ธรรมดาสามัญและปกติในทุกลักษณะ ความเชื่อของผู้คนในพระเจ้าย่อมจะอ่อนแอ และพวกเขาย่อมจะกังขาพระเจ้าและถึงขั้นไม่ยอมรับพระองค์—ทุกคนรักพระเจ้าที่ทรงเหนือธรรมชาติ  การที่เราบอกเรื่องราวเหล่านี้กับพวกเจ้าเป็นประโยชน์ต่อความเข้าใจความจริงของพวกเจ้าหรือไม่?  (เป็นประโยชน์)  ควรจะเป็นประโยชน์  บางทีพวกเจ้าอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมหากเราจะสามัคคีธรรมความจริงแง่มุมนี้กับพวกเจ้าโดยไม่มีพื้นฐานใดๆ ที่เป็นข้อเท็จจริง และพวกเจ้าก็คงจะไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเรื่องนี้หมายถึงอะไร  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราบอกพวกเจ้าไปแล้วนั้นเป็นตัวอย่างบางส่วนที่เป็นรูปธรรม และเมื่อได้ยินตัวอย่างเหล่านี้พวกเจ้าก็คิดว่าสัมพันธ์กับความจริงและง่ายที่จะเข้าใจ และพวกเจ้าก็สามารถเข้าใจความจริงบางประการได้โดยผ่านทางเรื่องราวเหล่านี้  แต่พวกเจ้าสามารถเรียนรู้วิธีใช้ความจริงประเมินวัดและจัดการกับสิ่งอื่นๆ ในเวลาที่พวกเจ้าเผชิญสิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่?  หากพวกเจ้าสามารถนำความจริงมาใช้ เช่นนั้นนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและเข้าใจความจริงในเรื่องราวเหล่านี้ หากไม่แล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าย่อมไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและยังไม่เข้าใจความจริงในเรื่องราวเหล่านี้  หากเจ้าสามารถค้นพบความจริงเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในโครงเรื่องเหล่านี้ รู้ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคือสิ่งใด รู้ว่าเจ้าควรเข้าใจ ชำแหละ และเข้าสู่สิ่งใด รวมทั้งเจ้าควรแสวงหาและได้รับความจริงใดบ้าง เช่นนั้นเจ้าย่อมมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ หากในเวลาที่เราบอกเล่าถึงเรื่องราวเหล่านี้จบสิ้น เจ้ากลับกลายเป็นสนใจในสิ่งเหล่านี้มากและเจ้าจดจำสิ่งเหล่านี้ได้ แต่เจ้าวางความจริงไว้ข้างหนึ่ง เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  หากพวกเจ้าสามารถเข้าใจความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นเราย่อมจะไม่ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวเหล่านี้ไปโดยสูญเปล่า  เราจะยกตัวอย่างบางประการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงตราบที่การทำเช่นนี้ช่วยให้พวกเจ้าเข้าใจความจริง  ไม่สำคัญว่าประเด็นปัญหานั้นคืออะไร เราจะชำแหละประเด็นปัญหานั้น ตราบที่การทำเช่นนี้ช่วยให้พวกเจ้ามีความเข้าใจและสามารถเข้าใจความจริงและมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นเราย่อมไม่ถือสาที่จะบอกเล่าถึงเรื่องราวทั้งหลายไม่ว่าจะกี่เรื่องก็ตาม  ที่จริงแล้วเราไม่ต้องการบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้กับพวกเจ้า และเราไม่ต้องการบอกเล่าเรื่องราวถูกผิดกับพวกเจ้าจริงๆ แต่หากสิ่งเหล่านี้ช่วยให้พวกเจ้าเข้าสู่ความจริง เช่นนั้นเราก็จะบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้กับพวกเจ้า ตราบที่การทำเช่นนี้ช่วยให้พวกเจ้าเข้าใจความจริง เราย่อมไม่ถือสาที่จะพูดอีกสักเล็กน้อย  อย่างไรก็ตาม หากพวกเจ้าไม่ชอบการที่เราสนทนาเรื่อยไป เช่นนั้นเราย่อมจะไม่มีทางเลือกนอกจากจะพูดให้น้อยลง

จากเรื่องราวเหล่านี้ที่เราได้บอกเล่ากับพวกเจ้าไปแล้ว ควรแก้ไขมโนคติอันหลงผิดใดบ้าง?  เมื่อเป็นเรื่องของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ อันดับแรกเลยก็คือ พวกเจ้าต้องเข้าใจว่าโดยแก่นสารแล้วพระเจ้าทรงให้นิยามความเป็นมนุษย์ของเนื้อหนังนี้อย่างไร?  พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ธรรมดาสามัญและปกติและทรงสามารถดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามในกิจกรรมทั้งหมดของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และพระองค์ไม่ทรงเป็นประเภทที่แตกต่างออกไป  พระองค์ทรงสามารถช่วยเหลือ ชี้นำ และนำทางผู้คน  ไม่ว่าจะเป็นสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์หรือเทวสภาพของพระองค์หรือบุคลิกของพระองค์—ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมใด—แน่นอนว่าพระองค์ต้องทรงสามารถรับมือกับพระราชกิจที่พระองค์ทรงเข้ารับและพันธกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติ  นี่คือมาตรฐานซึ่งพระเจ้าทรงใช้ประเมินวัดพระคริสต์และการประสูติเป็นมนุษย์ นี่คือมาตรฐานสำหรับพระราชกิจของพระองค์ และเป็นมาตรฐานสำหรับคำนิยามของพระองค์  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ ความเป็นมนุษย์ของพระองค์ เมื่อเปรียบเทียบกับการประสูติเป็นมนุษย์ในขณะนี้ มีแง่มุมบางอย่างที่เหนือธรรมชาติ  พระองค์ทรงสามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ กล่าวคือ พระองค์ทรงสามารถสาปแช่งต้นมะเดื่อ ว่ากล่าวทะเล ทำให้ทะเลและลมสงบ รักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจ และหล่อเลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องนี้แล้ว สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติและความจำเป็นพื้นฐานของพระองค์ปรากฏว่าเป็นปกติและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากเหลือเกิน  พระองค์ไม่ได้ประสูติเมื่อพระชนมายุ 33 พรรษาครึ่งจากนั้นจึงทรงถูกตรึงกางเขน  พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพจนมีพระชนมายุ 33 พรรษาครึ่ง และพระองค์ก็ทรงดำรงพระชนม์ชีพไปทุกวัน ทุกปี หนึ่งนาที และหนึ่งวินาที จนกระทั่งในท้ายที่สุดพระองค์ก็ทรงถูกตรึงกางเขนและด้วยการนั้นจึงทรงทำพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ให้เสร็จสิ้น  เป็นหลังจากที่ทรงดำรงพระชนม์ชีพเป็นเวลา 33 พรรษาครึ่งในโลกใบนี้แล้วเท่านั้น ผู้ประสูติเป็นมนุษย์จึงทรงทำพระราชกิจนี้ให้เสร็จสิ้น—นี่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรอกหรือ?  (สัมพันธ์กับชีวิตจริง)  เรื่องนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ในเรื่องช่วงระยะของพระราชกิจที่พระเจ้ากำลังทรงปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ตรัสกับพวกเจ้าและความจริงทุกประการที่พระองค์ทรงสามัคคีธรรมมีพื้นฐานอยู่บนวุฒิภาวะของพวกเจ้า ระดับการเติบโตในชีวิตของพวกเจ้า และสภาพแวดล้อมทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม ดังนั้นเราจึงใคร่ครวญว่าความจริงใดบ้างที่จะถูกต้องเหมาะสมที่สุดในการสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าและความจริงใดบ้างที่เราต้องการให้พวกเจ้าเข้าใจ  ภายนอกนั้น ดูเหมือนราวกับว่าเนื้อหนังนี้กำลังไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้ แต่ในอันที่จริงแล้ว พระวิญญาณของพระเจ้ากำลังทรงกระทำการในเวลาเดียวกัน ในขณะที่คนคนนี้กำลังให้ความร่วมมือ พระวิญญาณของพระเจ้ากำลังทรงนำทุกอย่าง  หากเจ้าดูเรื่องนี้ในหนทางนี้ เจ้าย่อมจะไม่กังขาแก่นแท้ของเนื้อหนังนี้หรือพระอัตลักษณ์ของพระองค์—เจ้าจะไม่มีวันตั้งคำถามสิ่งเหล่านี้  สิ่งทั้งหลายที่เราทำกับพวกเจ้าและข้อกำหนดที่เรามีต่อพวกเจ้าไม่สามารถขัดแย้งกับแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระวิญญาณของพระเจ้าได้เลย  สิ่งเหล่านี้ก้าวหน้าไปพร้อมกัน สิ่งเหล่านี้ก้าวไปในทิศทางเดียวกัน และสิ่งเหล่านี้สนับสนุนกันและกัน  หากพระวิญญาณของพระเจ้าไม่ทรงสวมใส่เนื้อหนังนี้ พระองค์ย่อมจะไม่ทรงสามารถตรัสกับพวกเจ้าต่อหน้า พวกเจ้าย่อมจะไม่สามารถได้ยินสิ่งที่พระองค์ตรัส และพวกเจ้าย่อมจะไม่สามารถเข้าใจว่าพระองค์ทรงประสงค์สิ่งใดจากพวกเจ้า  อย่างไรก็ตาม หากมีเพียงเนื้อหนังนี้และพระวิญญาณของพระเจ้าไม่ได้สถิตภายในพระองค์ เนื้อหนังนี้จะสามารถปฏิบัติงานใดๆ ได้หรือ?  แน่นอนว่าพระองค์ไม่ทรงสามารถ  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เช่นนั้นย่อมจะไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถเข้ารับงานนี้ได้  ดังนั้นเนื้อหนังที่ปกตินี้จึงจำเป็นต้องดำรงชีวิตทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี ดำรงชีวิตไปตามแต่ละชั่วขณะในหนทางนี้ โดยความเป็นมนุษย์ของพระองค์เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์ของพระองค์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็เพียรพยายามอยู่เป็นนิตย์ที่จะสามารถเข้ารับพระราชกิจที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ากำหนดไว้  ในการปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะนี้ เราเริ่มทำงานในคริสตจักรเมื่ออายุยังไม่ถึง 20 ปี และเราก็ได้มาติดต่อกับพี่น้องชายหญิง  เราเริ่มเข้าร่วมการชุมนุม ให้สามัคคีธรรม และเดินอยู่ท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลาย และเราก็ได้มาติดต่อกับผู้คนทุกจำพวก  ตั้งแต่เวลานั้นจนถึงบัดนี้ เรารู้สึกว่าความสามารถทางภาษาและความสามารถในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายของเราเติบโตอย่างต่อเนื่อง  การเติบโตในความสามารถของเรานี้แตกต่างจากสภาพการณ์ของพวกเจ้าอย่างไร?  พวกเจ้าจำเป็นต้องได้รับประสบการณ์ผ่านทางคำพูดที่เรากล่าวและความจริงที่เราสามัคคีธรรม และขณะที่เจ้าได้รับประสบการณ์ เจ้าก็ค่อยๆ ยืนยันได้ว่าคำพูดที่เรากล่าวนั้นมาจากพระเจ้า เป็นความจริง ถูกต้อง และเป็นคำพูดที่สามารถช่วยให้พวกเจ้าสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและบรรลุความรอด  ในเรื่องของเรานั้น ขณะที่พวกเจ้ากำลังก้าวหน้าอยู่นั้น เราก็ยิ่งเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ  ขณะที่ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับพวกเจ้ายังเพิ่มขึ้นต่อไป เรายังทำให้สิ่งทั้งหลายที่เราต้องการพูดสามารถจัดหาให้กับความจำเป็นของพวกเจ้าไปทีละขั้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  บางคนพูดว่า “พระองค์ต้องประสงค์จะจัดหาให้กับความจำเป็นของพวกเรา ทำให้วุฒิภาวะของพวกเราค่อยๆ เติบโต ช่วยให้พวกเราสามารถเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ บนเส้นทางแห่งความรอด และให้สัมพันธภาพของพวกเรากับพระเจ้าใกล้ชิดกันมากขึ้นทุกที แล้วพระองค์จะทรงทำเช่นนั้นอย่างไร?”  พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้   เราไม่เคยร้องขอสิ่งใด และเราก็ไม่จำเป็นต้องอดอาหารหรืออธิษฐานหรือร้องขอสิ่งใดราวกับการอธิษฐานขอฝน เพื่อที่พระเจ้าจะได้ประทานบางวจนะแก่เราโดยเร็วเพื่อจัดเตรียมให้กับพวกเจ้า  เราไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น  เพราะเนื้อหนังนี้คือพระเจ้าพระองค์เองและพระองค์ก็ทรงปฏิบัติพันธกิจนี้ ดังนั้นพระองค์จึงทรงแสดงความจริงเพื่อจัดเตรียมให้กับผู้คน—นี่คือความแตกต่างระหว่างเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้ากับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม  ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องชี้ให้เห็นเหตุผลของการทำความเข้าใจสิ่งที่พวกเจ้าต้องการ แต่สิ่งที่เราต้องการจัดเตรียมให้กับพวกเจ้าและสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าคือสิ่งที่จำเป็นต่อพวกเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด  พวกเจ้าแค่จำเป็นต้องเคลื่อนต่อไปข้างหน้าโดยเป็นผลตามมาจากคำพูดและงานของเรา แล้วสภาวะของพวกเจ้าก็จะเริ่มดีขึ้น และชีวิตของพวกเจ้าก็จะก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับสภาวะดังกล่าวของพวกเจ้าเช่นกัน  ในเวลาเดียวกัน พระวิญญาณของพระเจ้าก็จะทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในการให้ความร่วมมือ ขณะที่เรากำลังให้น้ำพวกเจ้า  ในข้อเท็จจริงนั้น เป็นพระวิญญาณของพระเจ้านั่นเองซึ่งให้ความร่วมมือกับสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ และความเป็นมนุษย์ของพระองค์ก็ให้ความร่วมมือกับเทวสภาพของพระองค์—ทั้งหมดนี้ทำงานพร้อมกัน  เราอยู่ตรงนี้ให้น้ำพวกเจ้าและพระวิญญาณของพระเจ้าก็สถิตอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า ทรงพระราชกิจ ทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงให้ความกระจ่าง จากนั้นจึงทรงจัดเตรียมสถานการณ์ทั้งหลายและทรงสร้างภาวะทั้งหลายให้กับพวกเจ้าเพื่อที่พวกเจ้าจะได้สามารถเข้าสู่ความจริงต่างๆ ได้  ความเป็นมนุษย์และเทวสภาพของพระองค์ทำงานร่วมกันในหนทางนี้  แล้วมีมนุษย์คนใดที่สามารถสัมฤทธิ์การให้ความร่วมมือนี้ระหว่างเนื้อหนังกับพระวิญญาณ?  ไม่มีอย่างแน่นอนที่สุด  ดังนั้นหากเจ้าไม่พยายามที่จะรู้จักการบริหารจัดการทั้งหมดหรือการปฏิบัติต่อเนื้อหนังนี้จากแง่มุมนี้ของความจริง เจ้าย่อมจะไม่สามารถเข้าใจไปตลอดกาลว่าแก่นแท้ของเนื้อหนังนี้คืออะไรกันแน่ เนื้อหนังนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งใด และพระองค์ทรงพระราชกิจอย่างไรกันแน่  หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะไม่มีวันมั่นใจได้ว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์หรือพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าสามารถมองเห็นระดับนี้ได้อย่างชัดเจนหรือไปถึงระดับนี้ในประสบการณ์ของตนและชื่นชมระดับนี้ได้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะรู้ว่าในขณะที่เนื้อหนังของพระเจ้า—พระคริสต์—กำลังทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็กำลังทรงให้ความร่วมมือและทรงปฏิบัติพระราชกิจเดียวกัน นี่เป็นบางสิ่งที่ไม่มีใครท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวงสามารถสัมฤทธิ์ได้  และในขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจอยู่นั้น เนื้อหนังก็กำลังร่วมมือกับพระราชกิจของพระวิญญาณ  พระวิญญาณบริสุทธิ์กับเนื้อหนังเสริมกันและกัน สอดคล้องกัน และไม่เคยขัดแย้งกัน  บางคนพูดว่า “บางครั้งเมื่อข้าพระองค์เผชิญกับบททดสอบ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์เพื่อเรียนรู้บทเรียนต่างๆ  อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงแสดงความจริงอื่นๆ  ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งใด?”  ในที่นี้ไม่มีความย้อนแย้งหรือความขัดแย้งเลย  พระคริสต์ทรงแสดงความจริงทีละน้อยและในลักษณะที่ถูกต้องเหมาะสม ในขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทางทุกคนในประสบการณ์ของพวกเขาในระดับที่แตกต่างกัน—ไม่มีแนวทางแบบที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์  พระคริสต์ทรงประกาศด้วยการให้สามัคคีธรรมความจริงบนพื้นฐานของประเด็นปัญหาสำคัญซึ่งมีอยู่จริงๆ สำหรับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มีพื้นฐานอยู่บนสภาพการณ์ของแต่ละบุคคลเช่นกัน  ในที่นี้ไม่มีความย้อนแย้งหรือความขัดแย้ง  ผู้คนมีวุฒิภาวะที่แตกต่างกันในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและในช่วงระยะที่แตกต่างกัน ในขณะที่พระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงปฏิบัติอยู่ในความจริงที่พระองค์ทรงแสดง ซึ่งก็คือความจริง หนทาง และชีวิตดังที่พระเจ้าตรัสถึง  พระราชกิจของพระองค์ไม่ไปไกลเกินขอบข่ายนี้—นั่นล้วนเป็นความจริง  ความจริงที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ในการให้ความรู้แจ้งเจ้าและความสว่างที่พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้เจ้าเข้าใจมีพื้นฐานอยู่บนสิ่งใด?  สิ่งเหล่านี้มีพื้นฐานอยู่บนความจริงเหล่านี้ที่พระคริสต์ทรงแสดงในขณะนี้ ซึ่งก็คือความจริง หนทาง และชีวิตดังที่พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้เจ้าเข้าใจในขณะนี้  บางคนพูดว่า “พวกเราไม่ต้องการพระองค์ในเนื้อหนังนี้  การที่พวกเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำพวกเรานั้นก็เพียงพอแล้ว  พวกเราสามารถมีความรู้แจ้งและความสว่างใหม่เหมือนเดิมไม่ผิดเลยโดยปราศจากพระองค์ พวกเราสามารถเข้าสู่ยุคใหม่ได้เหมือนเดิมไม่ผิดเลย และพวกเราก็สามารถบรรลุความรอดได้เหมือนเดิมไม่ผิดเลย”  นี่ใช่สิ่งที่ไม่อาจธำรงไว้ได้ที่จะกล่าวหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ผู้คนทางศาสนาได้เชื่อในพระเยซูมาสองพันปีแล้ว และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้ทรงนำพวกเขามาสองพันปีแล้ว แล้วพวกเขาได้รับสิ่งใด?  แค่ข่าวประเสริฐแห่งการไถ่เท่านั้น และพวกเขาก็แค่ได้ชื่นชมพระคุณมากมายจากพระเจ้า ทว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับความจริงเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงแสดงในยุคสุดท้าย  ดังนั้นหากเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ในยุคสุดท้ายในการแสดงความจริงมากมายยิ่งนัก พวกเจ้าจะสามารถได้รับสิ่งใด?  พวกเจ้าก็คงจะเป็นดังเช่นผู้คนทางศาสนาเหล่านั้นที่ได้รับความรู้แจ้งอันยิ่งใหญ่จากพระวิญญาณบริสุทธิ์และพระคุณมากมาย หรือไม่เช่นนั้นพระเจ้าก็คงจะทรงเลือกเจ้าและทรงใช้เจ้าและเจ้าก็อาจเป็นผู้เผยพระวจนะหรืออัครทูต แต่หากเจ้าไม่ยอมรับความจริงเหล่านี้ที่การประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าในยุคสุดท้ายแสดง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะไม่มีทางที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ หรือได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า

บัดนี้พวกเจ้าสามารถยอมรับผู้ประสูติเป็นมนุษย์ แต่พวกเจ้าก็ยังคงมีมโนคติอันหลงผิดบางอย่างเกี่ยวกับแก่นแท้ของผู้ประสูติเป็นมนุษย์และไม่เคยมั่นใจเลยว่าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง  หากเราจะมีส่วนร่วมกับพวกเจ้าในตอนนี้ และพวกเจ้าค้นพบว่าเราก็ไม่เข้าใจบางสิ่งในโลกภายนอกเช่นกัน พวกเจ้าจะเกิดมโนคติอันหลงผิดหรือไม่?  บางคนคงจะไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ และคงจะคิดว่า “พระองค์ก็ไม่เข้าพระทัยเรื่องนี้เช่นกัน  นี่ไม่ควรที่จะเกิดขึ้น  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ ดังนั้นพระองค์จึงควรทรงเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่ควรมีสิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงรู้และไม่ควรมีสิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงสามารถทำได้  แม้พระองค์ไม่ทรงสามารถสถิตอยู่ทุกแห่งได้ในคราวเดียวกัน แต่พระองค์ก็ยังควรทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง!”  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีหรอกหรือ?  (ใช่)  นี่ก็เป็นมโนคติอันหลงผิดเช่นกัน  แนวคิดเบื้องหลังความเป็นมนุษย์ที่ปกติของผู้ประสูติเป็นมนุษย์คืออะไร?  นั่นก็คือวิธีดำริของผู้ประสูติเป็นมนุษย์ซึ่งมีตรรกะของมนุษย์ที่ปกติอยู่—นี่ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ ไม่คลุมเครือ และไม่กลวงเปล่า  พระองค์ทรงสามารถสัมฤทธิ์สิ่งที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยการคิดของความเป็นมนุษย์ที่ปกติโดยการศึกษา แม้พระองค์อาจไม่ทรงจำเป็นต้องรู้เรื่องสิ่งทั้งหลายดังกล่าวมากกว่าใครบางคนที่มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง และนี่เป็นเรื่องปกติ  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ตรัสและทรงกระทำการโดยสอดคล้องกับตรรกะและการคิดของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไม่เหนือธรรมชาติ  ตัวอย่างเช่น การคิดของความเป็นมนุษย์ที่ปกติดำเนินไปทีละขั้น และผู้ประสูติเป็นมนุษย์ย่อมจะดำริอย่างนี้เช่นกัน  เหตุใดสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์จึงเป็นเช่นนี้?  นี่สมเหตุสมผลหรือไม่?  (สมเหตุสมผล)  เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่านี่สมเหตุสมผล?  เวลาที่ก้าวขึ้นบันไดบุคคลปกติธรรมดาก้าวทีละกี่ขั้น?  (หนึ่งขั้น)  ก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น นี่คือวิธีก้าวขึ้นบันไดตามปกติ  หากแค่ก้าวเดียวเราจะข้ามบันไดหลายขั้นแล้วเข้าบ้านทันที พวกเจ้าจะสามารถทำเช่นนี้ได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  ไม่ พวกเจ้าจะไม่สามารถ  และหากเรายืนกรานให้พวกเจ้าทำเช่นนี้ พวกเจ้าจะทำอย่างไร?  พวกเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์เรื่องนี้ได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  ไม่ พวกเจ้าจะไม่สามารถ  เรื่องนี้มีพื้นฐานอยู่บนความจำเป็นของบรรดาผู้ที่พระราชกิจนั้นมุ่งเป้ามา  เราสามัคคีธรรมความจริงในหนทางนี้ โดยหารือหัวข้อและแก่นแท้หลักจากนั้นจึงทำทุกอย่างที่เราสามารถเพื่อพูดอย่างเฉพาะเจาะจงและครบบริบูรณ์ บอกเล่าเรื่องราว ยกตัวอย่าง พูดสิ่งต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่แม้กระทั่งพูดในหนทางนี้ก็ยังมีคนมากมายที่ไม่เข้าใจและพลาดประเด็นสำคัญไป  ดังนั้นหากเราไม่ได้พูดอย่างละเอียดเช่นนั้นและไม่ได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างในลักษณะที่ลุ่มลึกและทั่วไปที่สุด เช่นนั้นพวกเจ้าคงจะไม่สามารถได้รับหรือเข้าใจอะไรเลย และพระราชกิจนี้ก็คงจะว่างเปล่าและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  พวกเจ้าสามารถคืบหน้าไปได้ด้วยการก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ดังนั้นเราจะนำทางพวกเจ้าไปข้างหน้าด้วยการก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นเช่นกัน และในหนทางนี้พวกเจ้าย่อมสามารถตามเราทันได้  หากเราจะก้าวขึ้นบันไดทีละสี่ขั้น ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?  พวกเจ้าจะไม่มีวันสามารถตามเราทัน  หากการคิดของเราล้ำหน้าและสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว และพวกเจ้าไม่สามารถไปถึงการคิดของเราได้แม้แต่น้อย ผู้ประสูติเป็นมนุษย์คงจะทรงกลายเป็นไร้ความหมาย  ดังนั้นไม่สำคัญว่าเนื้อหนังนี้ปกติธรรมดาและสัมพันธ์กับชีวิตจริงเพียงใด—พระองค์อาจทรงดูเหมือนไม่มีความสามารถของพระวิญญาณของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ—ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความจำเป็นของมวลมนุษย์  เพราะผู้คนที่พระเจ้าทรงจัดหาให้ในขณะนี้คือคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม คนที่ไม่เข้าใจความจริง และคนที่ไม่สามารถทำความเข้าใจความจริง ในการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ต้องทรงมีการคิดที่เป็นพื้นฐานที่สุดของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  การคิดที่เป็นพื้นฐานที่สุดนี้คืออะไร?  นั่นก็คือว่า ในยามที่พระองค์ตรัส คนที่มีขีดความสามารถปานกลางและแม้กระทั่งขาดพร่องขีดความสามารถเล็กน้อยก็สามารถเข้าใจพระองค์ได้  ตราบที่การคิดของทุกคนเป็นปกติ พวกเขาย่อมสามารถเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสและทรงพูดถึง รวมทั้งเข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงประกาศ จากนั้นจึงสามารถยอมรับความจริงได้  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นทุกขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงปฏิบัติและพระวจนะทั้งหมดที่พระองค์ดำรัสจึงจะสามารถบรรลุประสิทธิผลและเห็นผลลัพธ์ได้  นี่มีความเป็นจริงมิใช่หรือ?  (มีความเป็นจริง)  ดังนั้น หากผู้คนยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดและจะไม่ปล่อยมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ไป โดยพูดว่า “ในอดีต จักรพรรดิบางองค์ทรงมีพรสวรรค์ด้านความทรงจำอันยอดเยี่ยมและแค่มองผ่านๆ ก็ทรงสามารถอ่านได้สิบบรรทัด  พระเจ้าไม่ควรทรงเป็นเช่นนั้นหรอกหรือ?  หากพระองค์ไม่ทรงมีพรสวรรค์เหล่านี้ พวกเราย่อมจะไม่สามารถติดตามพระองค์ได้ เพราะพระองค์ทรงธรรมดาสามัญเกินไป  หากพระองค์ทรงดูเหมือนคนใหญ่คนโตจะเป็นเรื่องที่ดีมาก” พวกเจ้าเห็นอะไรได้บ้างจากการนี้?  ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามจนถึงจุดที่พวกเขาไม่รู้ความมากเสียจนเกินกว่าจะเยียวยา  นอกจากการมีการคิดและขีดความสามารถบางอย่างแบบมนุษย์ที่ปกติ และด้วยการที่พระเจ้าทรงเลือกพวกเขาและทรงพระราชกิจกับพวกเขา ผู้คนที่มีหัวใจที่จะติดตามพระเจ้าอยู่บ้างและมีมโนธรรมและเหตุผลเล็กน้อย—นอกจากเรื่องนี้แล้ว พวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลย  ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่เข้าใจความจริงใดๆ เท่านั้น แต่พวกเขายังไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำว่าความเป็นมนุษย์ที่ปกติคืออะไร อุปนิสัยอันเสื่อมทรามคืออะไร มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกิดขึ้นอย่างไร จะแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้อย่างไร ผู้คนควรปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไร หรืออย่างน้อยที่สุดพวกเขาควรมีมโนธรรมและเหตุผลใดบ้าง และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงใช้ภาษาที่ง่ายที่จะเข้าใจแบบใด ผู้คนไม่ค่อยเข้าใจและมีเพียงความเข้าใจผิวเผินเท่านั้น  จงบอกเราทีว่าเมื่อเผชิญกับกลุ่มคนที่เสื่อมทรามที่ไม่เข้าใจอะไรเลย คนที่ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ควรทรงมีแก่นแท้แบบใด ความเป็นมนุษย์แบบใด และการคิดของมนุษย์ที่ปกติแบบใด เพื่อที่จะทรงสามารถนำทางคนเช่นนั้นมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า?  จงบอกเราทีว่าพระเจ้าควรทรงทำอย่างไร?  บางคนพูดว่า “พระเจ้าไม่ทรงฤทธานุภาพไปทุกเรื่องหรอกหรือ?  เหตุใดจึงไม่ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมายเพื่อพิชิตผู้คนเล่า?”  นี่คือมโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในหัวใจของคนส่วนใหญ่  พวกเขาไม่ตั้งคำถามว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามสามารถเผยให้เห็นและแก้ไขได้ด้วยการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์และด้วยวิถีทางที่เหนือธรรมชาติหรือไม่  ความจริงสามารถกอปรกันขึ้นเป็นผู้คนด้วยวิถีทางที่เหนือธรรมชาติได้หรือไม่?  เรื่องนี้จะโน้มน้าวซาตานได้หรือไม่?  (ไม่)  การที่พวกเจ้าพูดว่า “ไม่” ในตอนนี้บางทีอาจจะเป็นคำสอนจำพวกหนึ่ง แต่เวลาที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์จนถึงวันวันหนึ่ง ตอนนั้นพวกเจ้าจะรู้ว่าผู้คนนั้นด้านชาและปัญญาทึบแค่ไหน เป็นกบฏแค่ไหน ดื้อแพ่งแค่ไหน ผู้คนนั้นเลวแค่ไหน รวมทั้งพวกเขาไม่รักความจริงมากเพียงใด  เมื่อพวกเจ้าได้รับประสบการณ์จวบจนถึงวันใดวันหนึ่งแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเจ้าย่อมจะเข้าใจว่าเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ เนื้อหนังแห่งความเป็นมนุษย์ที่ปกตินี้ คือสิ่งที่มวลมนุษย์ทั้งปวงต้องการ  ดังนั้นหากเจ้ายังคงมีความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดทุกลักษณะ สำหรับเจ้านี่ย่อมเป็นท่าทีที่ไร้ความรับผิดชอบที่จะมี และสำหรับพระเจ้านี่ย่อมเป็นการหมิ่นประมาท นี่ก็คือการปฏิเสธและตั้งคำถามต่อเจตนารมณ์อันเปี่ยมไปด้วยความอุตสาหะของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  หากเจ้าคิดว่า “พวกเรามีความรู้อีกทั้งการศึกษาและสมอง  พวกเราเกิดมาในยุคสุดท้าย และพวกเราบางคนได้รับการศึกษาขั้นอุดมศึกษาในโลกใบนี้และมีภูมิหลังทางครอบครัวระดับหนึ่ง  พวกเราเป็นคนสมัยใหม่ที่มีการศึกษา และพวกเราก็มีเหตุผลที่จะปฏิเสธพระคริสต์ที่ธรรมดาสามัญและปกติเหลือเกินเช่นนั้นซึ่งทุกคนดูแคลน พวกเรามีเหตุผลที่จะเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์” เช่นนั้นนี่เป็นปัญหาแบบใด?  นี่คือความเป็นกบฏและการไม่รู้ความแตกต่างระหว่างดีและชั่ว!  ผู้คนสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนทันทีที่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว แต่หากหลังจากมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ผู้คนยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือด้านความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระคริสต์อย่างดื้อด้าน เช่นนั้นนี่ย่อมจะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาสำหรับพวกเขาและจะกีดกันไม่ให้พวกเขาบรรลุความรอด  เมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์จวบจนถึงวันใดวันหนึ่งแล้ว เจ้าจะรู้เข้าใจว่า ยิ่งการจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้า สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงมีและสิ่งที่พระองค์ทรงเผยทั้งหมดนั้นเป็นปกติมากขึ้นเท่าไร ยิ่งความรอดของเจ้ายิ่งใหญ่ขึ้นเท่าไร และยิ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นปกติมากขึ้นเท่าไร สิ่งเหล่านั้นก็ยิ่งเป็นสิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องการมากขึ้นเท่านั้น  หากเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นนั้นเหนือธรรมชาติ เช่นนั้นแล้ว ก็คงจะไม่มีบรรดาผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกสักคนที่สามารถบรรลุถึงความรอดได้  แน่ชัดว่าเป็นเพราะความถ่อมพระทัยและการซ่อนเร้นของพระเจ้า เป็นเพราะความปกติและความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าที่ดูเหมือนไม่โดดเด่นสำคัญพระองค์นี้นี่เอง มวลมนุษย์จึงมีโอกาสแห่งความรอด  เพราะในตัวผู้คนมีความเป็นกบฏ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน และแก่นแท้ที่เสื่อมทราม มโนคติที่หลงผิด ความเข้าใจผิด และความรู้สึกคัดค้านพระเจ้าทุกประเภทจึงถูกผลิตออกมา มีแม้กระทั่งกรณีที่ ผู้คนมักจะปฏิเสธพระคริสต์พระองค์นี้อย่างภาคภูมิใจและอย่างมั่นใจในตัวเอง และปฏิเสธสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ อันเป็นผลลัพธ์มาจากมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้—นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่  หากเจ้าปรารถนาที่จะบรรลุความรอด หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับความรอดของพระเจ้า และการพิพากษากับการตีสอนของพระเจ้า เจ้าก็ต้องละวางมโนคติที่หลงผิดและความคิดฝันและคำนิยามที่ผิดพลาดทั้งหลายแหล่ของเจ้าเกี่ยวกับสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระคริสต์ลงเสียก่อน เจ้าต้องละวางสารพัดทรรศนะและความคิดเห็นเกี่ยวกับพระคริสต์ลงเสียก่อน และเจ้าต้องคิดหาหนทางที่จะยอมรับทุกสิ่งที่มาจากพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้น พระวจนะที่พระองค์ตรัสและความจริงที่พระองค์ทรงแสดงออกจึงจะค่อยๆ พบการเข้าสู่หัวใจของเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้าทีละน้อย  หากเจ้าปรารถนาจะติดตามพระองค์ เจ้าควรยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นพระวิญญาณของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ หรือเนื้อหนังของพระองค์ เจ้าควรยอมรับทั้งหมดนี้  หากเจ้าได้ยอมรับพระองค์อย่างแท้จริงแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรยืนต้านทานพระองค์ เข้าใจพระองค์ผิดและเป็นกบฏต่อพระองค์อยู่เสมอโดยการพึ่งพามโนคติอันหลงผิดของตน นับประสาอะไรที่เจ้าควรยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดของตน กังขาพระองค์อยู่เสมอและแม้กระทั่งไม่ยอมรับและต่อต้านพระองค์  ท่าทีประเภทนี้มีแต่จะทำความเสียต่อเจ้าเท่านั้น และไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าเลยแม้แต่น้อย  พวกเจ้าสามารถยอมรับสิ่งที่เรากล่าวได้หรือไม่?  (สามารถ)  นั่นก็ดี ดังนั้นตอนนี้จงรีบแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตน  ประเด็นปัญหานี้เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และหากเจ้าไม่แก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมต้องตายด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน

ทีนี้เมื่อเป็นเรื่องของรูปแบบซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในยุคสุดท้าย ทั้งๆ ที่มีข้อเท็จจริงที่ว่าบางผู้คนสร้างความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดบางอย่างเกี่ยวกับรูปแบบที่ว่านี้ขึ้นมา ความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้โดยส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถเป็นอุปสรรคขัดขวางความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาได้ และผู้คนย่อมจะไม่พูดไปอย่างเรื่อยเปื่อยว่าพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าหรือปฏิเสธพระเจ้า  ปรากฏการณ์นี้คืออะไร?  นี่คือผลลัพธ์ซึ่งสัมฤทธิ์โดยพระวจนะของพระเจ้า  ผู้คนถูกพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าพิชิตแล้ว และโดยพื้นฐานแล้วสามารถยอมรับพระคริสต์เป็นพระเจ้าของตน  ในสำนึกรับรู้นี้ โดยพื้นฐานแล้วผู้คนได้วางรากฐานบนหนทางที่แท้จริงแล้ว และพวกเขามีความมั่นใจและแน่ใจเกี่ยวกับรากฐานที่ว่านี้  เมื่อสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้แล้ว ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของผู้คนได้รับการแก้ไขหรือไม่?  (ไม่ ไม่ได้รับการแก้ไข)  การที่ความเข้าใจผิดของพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไขพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขายังคงมีความคิดฝัน ข้อพึงประสงค์ และมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าและเกี่ยวกับพระคริสต์  มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้สามารถชี้นำความคิดของเจ้า ชี้นำทิศทางและเป้าหมายในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า และยังสามารถมีอิทธิพลต่อสภาวะของเจ้าอยู่เนืองนิจได้เช่นกัน  เมื่อเรื่องต่างๆ ที่เจ้าเผชิญไม่สัมพันธ์กับมโนคติอันหลงผิดของตน เจ้ายังคงสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามปกติ  ชั่วขณะที่บางสิ่งขัดกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า ไปไกลเกินมโนคติอันหลงผิดของเจ้า และเกิดข้อขัดแย้งขึ้น เจ้าแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าให้อิสระอย่างเต็มที่แก่มโนคติอันหลงผิดของตน หรือเจ้าตัดแต่งมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ ยับยั้งมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ และขบถต่อมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้?  บางคนมีมโนคติอันหลงผิดเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา และไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนเท่านั้น แต่พวกเขายังไปเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดของตนให้ผู้อื่นและหาโอกาสที่จะระบายมโนคติอันหลงผิดของตนด้วย เพื่อที่ผู้อื่นจะได้มามีมโนคติอันหลงผิดเช่นกัน  บางคนยังโต้เถียงอีกด้วยโดยกล่าวว่า “พวกคุณกล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นมีความหมาย แต่ฉันไม่คิดว่าเหตุการณ์เฉพาะนี้มีความหมายอันใด”  การกล่าวเช่นนี้สมควรกระนั้นหรือ?  (ไม่สมควร)  เส้นทางที่ถูกต้องที่จะเดินคือสิ่งใด?  เมื่อบางคนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาสามารถตระหนักได้ว่าสัมพันธภาพกับพระเจ้าไม่เป็นปกติ พวกเขาเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และหากพวกเขาไม่แก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ย่อมจะกลายเป็นภัยอันตรายมาก พวกเขามีแววที่จะขัดแย้งกับพระเจ้า ตั้งคำถามพระเจ้า และถึงขั้นทรยศพระเจ้า  จากนั้นพวกเขาก็อธิษฐานถึงพระเจ้าและละทิ้งมโนคติอันหลงผิดของตน  ก่อนอื่น พวกเขาปฏิเสธมุมมองที่ไม่ถูกต้องของตนเอง จากนั้นพวกเขาก็แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมุมมองดังกล่าว  ด้วยการทำเช่นนี้ พวกเขาย่อมสามารถมานบนอบพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย  หากใครบางคนเกิดมโนคติอันหลงผิด แต่ยังคงเชื่อว่าพวกเขาถูก และหากในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาไม่สามารถแก้ไขหรือปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้อย่างสมบูรณ์ เช่นนั้นเมื่อเวลาผ่านไปมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ย่อมจะส่งอิทธิพลต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  ในกรณีที่รุนแรง พวกเขาสามารถถึงขั้นกบฏต่อพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ และผลที่ตามมาจากการนี้ย่อมไม่อาจทำใจคิดถึงได้  หากนั่นเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้ที่เข้าใจความจริงบางอย่างอยู่แล้วและเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เป็นบางครั้งบางคราว นี่ย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่ขนาดนั้น และมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาย่อมจะไม่มีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อพวกเขา  เพราะพวกเขามีความจริงอยู่ภายในตัวเองกำหนดทิศทางความคิดและพฤติกรรมของตน และชี้นำพวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่ของตน มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาย่อมจะไม่มีผลกระทบต่อการที่พวกเขาติดตามพระเจ้า  บางทีวันหนึ่งพวกเขาอาจจะรับฟังคำเทศนาหรือสามัคคีธรรมบางอย่างแล้วพวกเขาอาจจะเข้าใจ และมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาอาจจะได้รับการแก้ไข  บางคนเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และหลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่รู้สึกว่าอยากทำหน้าที่ของตน และพวกเขาไม่ทุ่มเทความพยายามให้กับการปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้น พวกเขาอยู่ในสภาวะที่เป็นลบอยู่เสมอ และหัวใจของพวกเขาเก็บงำความรู้สึกคัดค้าน ความไม่พึงพอใจ และความคับแค้นใจเอาไว้—พฤติกรรมนี้ถูกหรือไม่?  นี่ใช่สิ่งที่ง่ายที่จะแก้ไขหรือไม่?  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดแยบยล แต่เราพูดว่าเจ้าเป็นคนโง่และเจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจ้ากลายเป็นโกรธและไม่ยอมรับเรื่องนี้ และเจ้าพูดกับตัวเองในใจว่า “ไม่มีใครเคยอาจหาญพูดว่าฉันไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  วันนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเช่นนี้และฉันไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้  ฉันจะนำคริสตจักรได้หรือไม่หากฉันไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ฉันจะทำงานมากขนาดนี้ได้หรือ?”  เกิดความไม่ลงรอยกันขึ้นใช่หรือไม่?  เจ้าควรทำอย่างไร?  การที่ผู้คนทบทวนตัวเองเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพวกเขาเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  คนประเภทใดสามารถทบทวนตัวเองได้?  คนที่ยอมรับความจริงและแสวงหาความจริงสามารถทบทวนตัวเองได้  หากเจ้าเป็นคนที่มีเหตุผล เจ้าควรปฏิเสธตัวเองเสียก่อนเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับเจ้า การปฏิเสธตัวเองหมายถึงการยอมรับว่าคนเราไม่มีความจริง  ต่อให้เจ้ามีแนวคิดและมุมมองบางอย่าง แนวคิดและมุมมองเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องถูกต้องแม่นยำ  ดังนั้นการปฏิบัติการปฏิเสธตัวเองในสภาพการณ์เช่นนี้คือสิ่งที่ถูกต้องที่จะทำ ไม่ได้เป็นการทำให้ตัวเจ้าเองตกต่ำ  หลังจากเจ้าปฏิเสธตัวเองแล้ว เจ้าจะรู้สึกมีสันติสุขในหัวใจของตน เจ้าจะประพฤติตนดีขึ้นมาก และทัศนคติของเจ้าย่อมจะได้รับการแก้ไข  เมื่อเจ้าได้ยินพระเจ้าตรัสว่าเจ้าเป็นคนโง่และเจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ เจ้าควรอยู่ในความเงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับพระวจนะของพระองค์ด้วยกรอบความคิดที่นบนอบ  แม้เจ้ายังไม่มีจิตสำนึกหรือความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ถูกหรือไม่ แต่ภายในการเชื่อของเจ้านั้นเจ้าควรยอมรับว่า “พระเจ้าทรงเป็นความจริง แล้วพระเจ้าจะทรงสามารถตรัสบางสิ่งที่ผิดได้อย่างไร?”  แม้สิ่งที่พระเจ้าตรัสแตกต่างไปจากสิ่งที่เจ้าคิด เจ้าต้องยอมรับพระวจนะของพระเจ้าบนพื้นฐานของความเชื่อ ต่อให้เจ้าไม่เข้าใจพระวจนะเหล่านี้ เจ้าย่อมต้องยอมรับว่าพระวจนะเหล่านี้คือความจริง  การทำเช่นนี้รับประกันได้ว่าถูกต้อง  หากผู้คนไม่ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะเหล่านี้ นั่นย่อมเป็นการขาดพร่องเหตุผลยิ่งนัก และคนเหล่านั้นย่อมต้องละอายแก่ใจในเรื่องนี้ ดังนั้นการนบนอบพระเจ้าจึงไม่อาจผิดได้เลย  นี่ไม่ใช่คำสอน นี่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และพระวจนะเหล่านี้มาจากประสบการณ์  เมื่อนั้น ในยามที่เจ้าสามารถรับเอาพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงและยอมรับพระวจนะเหล่านี้ เจ้าย่อมต้องเริ่มทบทวนตัวเอง  ผ่านทางการปฏิบัติหน้าที่และการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เจ้าย่อมจะค้นพบว่าไม่เพียงแต่เจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่เจ้ายังโง่เขลาอย่างยิ่งอีกด้วย รวมทั้งมีข้อผิดพลาดและความขาดตกบกพร่องมากมาย และเจ้าย่อมจะค้นพบว่าเจ้ามีปัญหาร้ายแรง  นั่นจะไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถเข้าใจและยอมรับสิ่งที่พระเจ้าตรัสหรอกหรือ?  เจ้าต้องยอมรับพระวจนะเหล่านี้ เริ่มแรกในฐานะข้อบังคับ คำนิยาม หรือแนวคิด จากนั้นในชีวิตจริงเจ้าต้องคิดถึงหนทางที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระองค์ รวมทั้งเข้าใจและมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านี้  หลังจากทำเช่นนี้ไปสักพัก เจ้าจะมามีการประเมินตัวเองที่ถูกต้องแม่นยำ  เมื่อเกิดเรื่องนั้นขึ้นมา เจ้าจะยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่?  หากไม่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันระหว่างเจ้ากับพระเจ้าในเรื่องนี้ เจ้าจะยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับการประเมินตัวเจ้าจากพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าจะสามารถยอมรับการประเมินนี้และจะไม่เป็นกบฏอีกต่อไป  เมื่อเจ้าสามารถยอมรับความจริงและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถ้วนทั่ว เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะสามารถก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและก้าวหน้า  หากเจ้าไม่ยอมรับความจริง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะยืนอยู่ในที่เดียวอยู่เสมอและจะไม่มีความก้าวหน้าใดๆ  การยอมรับความจริงสำคัญหรือไม่?  (สำคัญ การยอมรับความจริงสำคัญ)  ผู้คนต้องละทิ้งมโนคติอันหลงผิดของตนเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาต้องไม่เก็บงำความไม่เป็นมิตรใดๆ ต่อสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าตรัสรวมทั้งความรู้สึกคัดค้านต่อสิ่งดังกล่าว—นี่เท่านั้นที่เป็นท่าทีของการยอมรับความจริง  บางคนกลายเป็นคิดลบและอ่อนแอเพราะพวกเขาถูกปลด  พวกเขาไม่ต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตนรวมทั้งนิ่งดูดายและย่อหย่อนต่องานอยู่เสมอ  จากภายนอกดูราวกับว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่มีสถานะและพวกเขาทะนุถนอมสถานะมากเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น  พวกเขารู้สึกอ่อนแอและคิดลบเพียงเพราะการประเมินพวกเขาจากพระเจ้าหรือการประเมินที่พี่น้องชายหญิงมีต่อพวกเขาไม่ตรงกับการประเมินตัวเองของพวกเขา เพราะนั่นแย่กว่าวิธีที่พวกเขาประเมินและเข้าใจตัวเอง  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงรู้สึกไม่เชื่อถือและคับข้องใจ และในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะคิดลบและเป็นปรปักษ์ และยอมรับว่าตัวเองหมดหวังแล้ว คิดว่า “พระองค์ตรัสว่าข้าพระองค์ไม่ดีพอกระนั้นหรือ?  เช่นนั้นข้าพระองค์ก็จะแสดงให้พระองค์เห็น ข้าพระองค์จะไม่ทำอะไรเลย”  ผลจากการนี้ก็คือพวกเขาเป็นเหตุให้เกิดความล่าช้าต่อหน้าที่ของตน พวกเขาล่วงเกินพระเจ้า และการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเองก็หยุดชะงัก—นี่เป็นความสูญเสียอันมีนัยสำคัญ

ผู้คนบางคนพูดว่า “ฉันไม่สามารถยอมรับการนั้นได้เมื่อพระคริสต์ตรัสว่าฉันไม่ดี  ฉันจะยอมรับการนั้นก็ต่อเมื่อพระเจ้าในสวรรค์ตรัสว่ามีบางสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับฉัน  พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ การพิพากษาของพระองค์สามารถผิดได้ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำก็ไม่สามารถถูกต้องเต็มร้อย  มีบางคำถามในเรื่องที่ว่า พระองค์จะทรงสามารถผิดพลาดได้หรือไม่ ในการที่พระองค์ทรงประเมินและกล่าวโทษผู้คน หรือในวิธีที่พระองค์ทรงรับมือและทรงทำการจัดการเตรียมการสำหรับพวกเขา  ดังนั้น ฉันจึงไม่เกรงกลัวสิ่งที่พระคริสต์—พระเจ้าบนแผ่นดินโลก—ตรัสเกี่ยวกับฉัน ด้วยเหตุที่พระองค์ไม่ทรงสามารถกล่าวโทษฉันหรือกำหนดพิจารณาจุดจบของฉันได้”  ผู้คนเช่นนั้นมีอยู่หรือไม่?  แน่นอนว่าพวกเขามีอยู่!  เมื่อเราตัดแต่งพวกเขา พวกเขาพูดว่า “พระเจ้าในสวรรค์ทรงชอบธรรม!”  เมื่อเรารับมือกับพวกเขา พวกเขาพูดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่บุคคลบางคน!”  พวกเขาใช้คำพูดเหล่านี้เพื่อหยุดยั้งเรา  และคำพูดเหล่านี้คืออะไรกัน?  (คำพูดเหล่านี้คือการปฏิเสธพระเจ้า)  ใช่แล้ว คำพูดเหล่านี้คือการปฏิเสธและเป็นการทรยศพระเจ้า  สิ่งที่คำพูดเหล่านี้หมายถึงคือ “นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระองค์ แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้าแห่งสวรรค์”  ในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาและในความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้จะไม่มีวันตระหนักถึงสัมพันธภาพระหว่างพระคริสต์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์กับพระเจ้าในสวรรค์—สิ่งที่เป็นสัมพันธภาพระหว่างเนื้อหนังกับพระวิญญาณในสวรรค์  ในสายตาของพวกเขา บุคคลที่ไร้นัยสำคัญคนนี้บนแผ่นดินโลกจะเป็นแค่บุคคลคนหนึ่งเสมอ และไม่สำคัญว่าบุคคลคนนี้แสดงความจริงมากมายเพียงใด พระองค์ทรงประกาศคำเทศนามากมายเพียงใด พระองค์ก็ยังคงทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ต่อให้พระองค์ทรงทำให้ผู้คนบางคนครบบริบูรณ์ และทรงนำพาความรอดสู่พวกเขา พระองค์ก็จะยังคงทรงอยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ก็จะยังคงทรงเป็นบุคคลคนหนึ่ง และทรงไร้ความสามารถที่จะก้าวข้ามพระเจ้าในสวรรค์  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนเหล่านี้จึงเชื่อว่า ความเชื่อในพระเจ้าต้องเป็นความเชื่อในพระเจ้าในสวรรค์ สำหรับพวกเขาแล้ว มีเพียงการเชื่อในพระเจ้าในสวรรค์เท่านั้นที่เป็นการเชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง  ผู้คนเช่นนี้เชื่อไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามที่พวกเขาปรารถนา  พวกเขาเชื่อในสิ่งใดก็ตามที่ทำให้พวกเขามีความสุข และพวกเขาจินตนาการว่าพระเจ้าทรงเป็นอะไรก็ตามที่พวกเขาอยากให้ทรงเป็น  พวกเขาปฏิบัติตามการจินตนาการของพวกเขาเองเช่นกัน เมื่อมาถึงเรื่องของพระคริสต์ผู้ประสูติเป็นมนุษย์  “หากพระเจ้าองค์นี้บนแผ่นดินโลกทรงดีต่อฉันมากขึ้นสักเล็กน้อย หากพระองค์ทรงดูให้แน่ใจว่าสิ่งต่างๆ เป็นไปด้วยดีสำหรับฉัน เช่นนั้นแล้ว ฉันก็คงจะเคารพพระองค์ และรักพระองค์  หากพระองค์ไม่ทรงดีต่อฉัน หากพระองค์ทรงมีปัญหากับฉัน หากพระองค์ทรงมีท่าทีที่แย่ต่อฉัน และทรงตัดแต่งฉันเสมอ เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ไม่ทรงเป็นพระเจ้าของฉัน ฉันเลือกที่จะเชื่อในพระเจ้าในสวรรค์”  ผู้คนที่มีท่าทีนี้ไม่ได้เป็นส่วนน้อย  พวกเขารวมถึงพวกเจ้าด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุที่เราได้เผชิญกับผู้คนเช่นนั้นแล้ว  เมื่อทุกอย่างนั้นดี พวกเขาก็ดีกับเราทีเดียว และคอยรับใช้เราด้วยความใส่ใจ แต่ทันทีที่เราปลดพวกเขา พวกเขาก็ต่อต้านเรา  ดังนั้นแล้ว เมื่อพวกเขากำลังดีต่อพระเจ้าอยู่นั้น พวกเขาเชื่อว่านี่คือพระเจ้าและพระคริสต์จริงๆ หรือไม่?  ไม่  สิ่งที่พวกเขากำลังหมายตาคืออัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้า ทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นเพียงการประจบประแจงสถานะและอัตลักษณ์ของพระเจ้า  พวกเขาเอาแต่ปักใจเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่าพระเจ้าที่คลุมเครือในสวรรค์คือพระเจ้าเที่ยงแท้ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าองค์นี้บนแผ่นดินโลกทรงแสดงความจริงมากมายเพียงใด พระองค์ทรงให้ความเจริญและเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เพียงใด ข้อเท็จจริงเพียงแค่ว่า พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติและทรงมีกายฝ่ายเนื้อหนัง หมายความว่า พระองค์ไม่ทรงสามารถเป็นพระเจ้าในสวรรค์ได้ และในหัวใจของพวกเขาแล้ว ผู้คนเหล่านี้ยังคงเชื่อว่า พระเจ้าในสวรรค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้คนเหล่านี้เยินยอ รับใช้ และเคารพพระเจ้าองค์นี้บนแผ่นดินโลกอย่างไร  เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับทรรศนะนี้?  อาจกล่าวได้ว่า ทรรศนะเช่นนั้นมีอยู่ลึกลงไปในหัวใจของผู้คนจำนวนมาก ว่าการนั้นถูกฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของพวกเขา  ในเวลาเดียวกับที่ยอมรับการทรงจัดหาและการเลี้ยงดูของพระคริสต์ พวกเขายังคงเฝ้าสังเกต ศึกษา และกังขาพระคริสต์ด้วยเช่นกัน—ในขณะที่ยังตั้งตาคอยด้วยเช่นกันว่า เมื่อใดที่พระเจ้าผู้ชอบธรรมบนฟ้าจะเสด็จมาทำการพิพากษาทุกอย่างที่พวกเขาได้ทำไป  และเหตุใดพวกเขาจึงปรารถนาให้พระเจ้าบนฟ้าทรงพิพากษาพวกเขา?  เพราะพวกเขาต้องการใช้การเลือกชอบ มโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของพวกตนเพื่อให้อิสระอย่างเต็มที่แก่ความพึงปรารถนาของพวกเขาว่าพระเจ้าบนฟ้า—พระเจ้าแห่งการจินตนาการของพวกเขา—จะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างที่พวกเขาปรารถนา ในขณะที่พระเจ้าบนแผ่นดินโลกจะไม่ทรงทำการนั้น พระเจ้าบนแผ่นดินโลกทรงแสดงความจริงและตรัสหลักธรรมความจริงเท่านั้น  และพวกเขาคิดว่า “ความรักมนุษย์ของพระเจ้าในสวรรค์นั้นไม่เห็นแก่ตัว ไร้เงื่อนไข และปราศจากขีดจำกัด ในขณะที่ทันทีที่เจ้าพูดหรือทำบางสิ่งและพระเจ้าบนแผ่นดินโลกทรงรู้เข้า พระองค์ทรงใช้เจ้าเป็นตัวอย่างที่เป็นลบในคำเทศนาของพระองค์และเริ่มชำแหละเจ้า—ดังนั้นผู้คนจึงต้องระมัดระวังให้มากขึ้น พวกเขาต้องซ่อนตัวเองให้มากขึ้น และพวกเขาไม่สามารถให้พระองค์รู้ได้เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น”  จงบอกเราที เราไม่สามารถชำแหละสิ่งทั้งหลายที่เจ้าพยายามปิดบังจากเรากระนั้นหรือ?  เราไม่จำเป็นต้องชำแหละสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำ เราจะชำแหละอุปนิสัยและสภาวะของเจ้า  เราไม่จำเป็นต้องรับเอาสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำมาเป็นตัวอย่าง เรายังสามารถสามัคคีธรรมความจริงและเทศนาเพื่อแก้ไขปัญหาเหมือนเดิมไม่มีผิด และเรายังสามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงได้  ในหัวใจของผู้ไม่เชื่อ พวกเขาเชื่อว่าเนื้อหนังนี้ พระเจ้าองค์นี้ ไม่ทรงสามารถรู้สิ่งทั้งหลายซึ่งพระเนตรของพระองค์มองไม่เห็น นับประสาอะไรที่จะทรงรู้อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณหรือความจริง  พวกเขาเชื่อว่าพระองค์ไม่ทรงสามารถแม้กระทั่งทอดพระเนตรเห็นสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนสามารถทำได้เมื่อพวกเขาถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนครอบงำ และพระองค์ไม่อาจทรงสามารถเข้าใจแก่นแท้อันเสื่อมทรามของมนุษย์ได้อย่างครบถ้วน—นี่คือตรรกะและเหตุผลของผู้ไม่เชื่อ  พวกเขาเข้าหาพระคริสต์ด้วยท่าทีของการศึกษา การตั้งคำถาม และแม้กระทั่งการไม่เชื่ออยู่เสมอ และพวกเขายังใช้เกณฑ์ประเมินสำหรับการประเมินมนุษย์ตลอดจนความรู้ที่พวกเขาเข้าใจและสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาคิดฝันเพื่อประเมินพระคริสต์อีกด้วย  ตัวอย่างเช่น เวลาที่พูดคุยกับผู้อื่น บางคนเชื่อว่าคนอื่นไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรในหัวใจของพวกเขาหรือพวกเขามีอุปนิสัยแบบใด และพวกเขาก็พูดกับเราในหนทางนี้เช่นกัน โดยปฏิบัติต่อเราในหนทางนี้เหมือนที่พวกเขาจะปฏิบัติต่อบุคคลธรรมดาสามัญ คิดว่าเราไม่รู้อะไรเลย—นี่ไม่ใช่การที่พวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกเขาโกหกคนอื่นและคนอื่นก็ไม่ถือสา และพวกเขายังโกหกเราอย่างนั้นด้วย หัวเราะต่อกระซิกและปฏิบัติต่อเราดังเช่นคนที่เท่าเทียมกัน ต้องการปฏิบัติต่อเราเหมือนเพื่อนของตนอยู่เสมอ  พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติตนในหนทางนั้นได้เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับเรา และพวกเขาคิดว่าเราอาจไม่รู้อะไรเลย  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์หรอกหรือ?  นี่คือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ นี่คือการไม่รู้ความของมนุษย์ และภายในการไม่รู้ความนี้มีอุปนิสัยที่เลวเยี่ยงซาตานแฝงตัวอยู่ เป็นอุปนิสัยที่เลวนี้นี่เองที่นำผู้คนให้เกิดมโนคติอันหลงผิด  จงบอกเราที เราจำเป็นต้องใช้ชีวิตกับใครบางคน รวมทั้งใช้ทุกนาทีไปกับการเฝ้าสังเกตความคิดและทรรศนะของพวกเขา และจับใจความภูมิหลังของพวกเขาอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะเปิดโปงหรือมองออกถึงธรรมชาติของพวกเขาหรือไม่?  (ไม่จำเป็น)  ไม่ เราไม่จำเป็น แต่พวกเจ้าคงจะไม่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้  แม้พวกเจ้าคบหาสมาคมกับผู้คนและใช้ชีวิตกับพวกเขาทุกวัน แต่พวกเจ้าก็ยังไม่สามารถมองออกถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  ไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า พวกเจ้าสามารถมองออกถึงพื้นผิวของสิ่งต่างๆ เท่านั้นและไม่สามารถมองออกถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้นได้  พวกเจ้าสามารถทำได้เพียงมีวิจารญาณเล็กน้อยเกี่ยวกับใครบางคนหากพระเจ้าจะทรงเผยพวกเขาให้เห็นอย่างสิ้นเชิง มิเช่นนั้นพวกเจ้าคงจะไม่สามารถมองพวกเขาออกต่อให้พวกเจ้าคบหาสมาคมกับพวกเขามาเป็นเวลาหลายปีก็ตาม  เราสามารถติดต่อกับใครบางคนเป็นเวลาหนึ่งหรือสองวัน และพวกเขาก็ทำบางสิ่ง พูดบางสิ่ง และแสดงทรรศนะบางอย่าง จากนั้นโดยพื้นฐานแล้วเราย่อมรู้ว่าพวกเขาเป็นบุคคลประเภทใด  อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่เราไม่เคยปฏิสัมพันธ์ด้วยหรือรับมือด้วย แต่เราก็วาดเครื่องหมายคำถามกับพวกเขา และชั่วขณะที่พวกเขาเผชิญประเด็นปัญหาและแสดงทรรศนะบางอย่าง แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาก็ถูกเปิดโปงทันที  หลายคนพูดว่า “พระองค์ทรงสามารถมองพวกเขาออกทันทีที่แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาถูกเปิดโปงหรือไม่?  พระองค์ทรงใช้สิ่งใดเป็นพื้นฐานในความรู้ความเข้าใจเชิงลึกนี้?  ทำไมพวกเราจึงไม่สามารถมองพวกเขาออก?”  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะไม่สามารถประเมินผู้คน และเจ้าจะไม่มีวันมีเกณฑ์ประเมินที่จำเป็นที่จะทำเช่นนั้น  หากเจ้าไม่มีเกณฑ์ประเมินเหล่านั้น เจ้าย่อมจะไม่สามารถมองผู้คนออก  อย่างไรก็ตาม เรามีเกณฑ์ประเมินเหล่านั้น  ในแง่มุมหนึ่ง เราเข้าใจความจริง ดังนั้นเราจึงรับรู้มากกว่าและรวดเร็วกว่าเมื่อเป็นเรื่องของการประเมินใครบางคน และในอีกแง่มุมหนึ่ง พระวิญญาณของพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจ  บางคนคิดว่า “เมื่อผู้คนใช้ชีวิตในโลกใบนี้มาเป็นเวลานาน พวกเขาย่อมสามารถมองสิ่งทั้งหลายและผู้คนออก”  นั่นไม่ใช่ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่แท้จริง พวกเขามองออกถึงสิ่งใดหรือ?  การหลอกลวงประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคม เช่น การหลอกลวงทางการเมือง การหลอกลวงทางธุรกิจ การหลอกลวงทางการเงิน หรือการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับสื่อลามกอนาจาร  คนที่ได้รับประสบการณ์และได้ยินเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มากกว่าสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้  คนที่ก้าวผ่านและมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้น้อยกว่ามักจะถูกหลอกลวง แต่ทันทีที่พวกเขาถูกหลอกมากขึ้น พวกเขาย่อมได้รับประสบการณ์ และพวกเขาย่อมสามารถมองสิ่งเหล่านี้ออก  นี่คือวิธีที่พวกเขามองออกถึงสิ่งต่างๆ  อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องของความเสื่อมทราม ธรรมชาติของมนุษย์ รวมทั้งแก่นแท้ของมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม หากผู้คนไม่มีความจริง  เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะไม่มีวันมีปัญญาที่จะมองสิ่งเหล่านี้ออก และพวกเขาจะไม่มีวันสามารถมองออกถึงอุปนิสัยที่ผู้คนหลากหลายประเภทเผยให้เห็นเบื้องหลังเรื่องๆ หนึ่ง หรือต้นตอของปัญหา  หากเจ้าไม่สามารถมองสิ่งเหล่านี้ออก เช่นนั้นเจ้าย่อมจะไม่รู้วิธีรับมือกับเรื่องนี้หรือผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง—เจ้าจะไม่มีทางที่จะรับมือกับเรื่องนี้และเจ้าจะไม่มีปัญญาที่จะรับมือกับเรื่องนี้  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อเจ้าเผชิญเรื่องดังกล่าวเจ้าจึงรู้สึกวุ่นวายใจและกระวนกระวายมาก และเจ้าก็พบว่านี่เป็นเรื่องยากที่จะรับมือด้วย  หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างชัดเจน เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสามารถมองออกถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  ผ่านทางการมองเห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมา เจ้าจะมารู้จักแก่นแท้ของพวกเขา จากนั้นเจ้าจะรู้ว่าพวกเขาเป็นสิ่งประเภทใด พวกเขาเป็นบุคคลประเภทใด เจ้าจะรู้วิธีเฝ้าระวังพวกเขา วิธีแยกแยะพวกเขา และเจ้าจะรู้วิธีจัดการกับเรื่องนี้  นี่ไม่ใช่แหล่งที่มาของปัญญาหรอกหรือ?  (ใช่แหล่งที่มาของปัญญา)  ดังนั้นพระคริสต์จึงทรงสามารถมองมนุษย์ออกและจัดหาให้มนุษย์ได้—แหล่งที่มาของทั้งหมดนี้คืออะไร?  หากจะพูดในแง่ของคำสอน ทั้งหมดนี้มาจากพระวิญญาณของพระเจ้า  หากจะพูดในแง่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น เป็นเพราะพระคริสต์ทรงครองความจริงที่มาจากพระเจ้า  ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง  เมื่อวันหนึ่งพวกเจ้ามามีความเป็นจริงความจริงเป็นชีวิตของพวกเจ้า เมื่อนั้นพวกเจ้าจะมีปัญญาและพวกเจ้าจะสามารถมองผู้คนออก

มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์มีอีกแง่มุมหนึ่งและนั่นก็คือมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนก่อขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  มโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าเกิดขึ้นอย่างไร?  บางส่วนมาจากความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อก่อนหน้าของผู้คน และบางส่วนมาจากการจินตนาการของพวกเขาเองเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น ผู้คนเคยจินตนาการพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าเป็นการมีบัลลังก์ใหญ่สีขาวบนฟ้า โดยมีพระเจ้าทรงพิพากษาผู้คนมากมายอยู่บนบัลลังก์  วันนี้ พวกเจ้าล้วนรู้ว่าการจินตนาการเช่นนั้นไม่สมจริง—สิ่งเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้  ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ผู้คนก็มีการจินตนาการมากมายเกี่ยวกับพระราชกิจ การบริหารจัดการ และการปฏิบัติต่อมนุษย์ของพระเจ้า และการจินตนาการเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากความชื่นชอบของมนุษย์  ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะผู้คนไม่ต้องการทนทุกข์  พวกเขาต้องการอยู่เสมอที่จะติดตามพระเจ้าไปถึงปลายทางด้วยความง่ายดาย ชื่นชมพระคุณอันอุดม สืบต่อพระพรของพระองค์ และจากนั้นก็เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  ช่างเป็นความคิดที่แสนวิเศษเสียจริง!  แนวคิดที่พบได้ทั่วไปและฟุ้งเฟ้อมากที่สุดซึ่งมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า คือการนั่งเสลี่ยงผ่านเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์อย่างสบายๆ  ที่มากกว่านั้น เมื่อผู้คนพบพานพระราชกิจของพระเจ้า โดยมากแล้วพวกเขาไร้ความสามารถที่จะเข้าใจการนั้น พวกเขาไม่รู้จักความจริงที่อยู่ในการนั้น หรือว่าจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการทรงพระราชกิจนี้คือสิ่งใด และเหตุใดพระเจ้าจึงทรงประพฤติพระองค์ต่อมนุษย์เช่นนั้น  ตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้เราได้บรรยายความรักของพระเจ้าโดยใช้วจนะว่า “กว้างไกล” และ “ไร้ขอบเขต” แต่เราคิดว่าพวกเจ้าน่าจะยังไม่เคยได้เข้าใจสิ่งที่เราหมายความถึงโดยวจนะสองคำนี้  จุดมุ่งหมายของเราในการใช้วจนะสองคำนี้คืออะไร?  นั่นคือเพื่อให้ได้รับความสนใจจากทุกคน เพื่อที่พวกเจ้าจะไปใคร่ครวญวจนะเหล่านั้น  โดยผิวเผินแล้ว วจนะเหล่านี้ดูว่างเปล่า  วจนะเหล่านี้มีความหมายเฉพาะบางอย่าง แต่ไม่สำคัญว่าผู้คนพิจารณาวจนะเหล่านี้มากเพียงใด ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถคิดได้ก็คือ “กว้างไกล—นั่นหมายความว่าไร้เขตคั่นอย่างท้องฟ้า นั่นเป็นการพูดว่าพระทัยของพระเจ้านั้นไร้เขตคั่น ความรักของพระองค์ที่มีทรงมีให้มวลมนุษย์นั้นไม่มีขีดจำกัด!”  ความรักของพระเจ้าไม่ใช่ความรักประเภทที่จิตใจของมนุษย์สามารถจินตนาการได้  ผู้คนไร้ความสามารถที่จะจินตนาการถึงความรักนี้ได้ พวกเขาต้องไม่ใช้การเรียนรู้และความรู้เพื่อตีความคำนี้ แต่ต้องใช้อีกวิธีการหนึ่งเพื่อซาบซึ้งและรับประสบการณ์กับคำนี้  ในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็มาสำนึกรับรู้อย่างแท้จริงว่าความรักของพระเจ้านั้นแตกต่างจากความรักที่ผู้คนพูดถึง ความรักแท้จริงของพระเจ้านั้นไม่เหมือนกับความรักประเภทอื่นใด ไม่เหมือนกับความรักที่มวลมนุษย์ทั้งปวงเข้าใจ  ดังนั้น ความรักนี้ของพระเจ้าคือสิ่งใดกันแน่?  เจ้าควรเข้าใจความรักของพระเจ้าอย่างไร?  ก่อนอื่น เจ้าต้องไม่เข้าหาความรักนั้นด้วยมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของมนุษย์  จงดูความรักของมารดาเป็นตัวอย่าง กล่าวคือ  ความรักของมารดาที่มีต่อลูกๆ ของนางนั้นไม่มีเงื่อนไข รักนั้นอบอุ่นและเป็นการอารักขาอย่างที่สุด  บัดนี้ ความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์ที่พวกเจ้ารู้สึกนั้นมีความสัมผัสรับรู้และความหมายในระดับเดียวกันกับความรักของมารดาหรือไม่?  (ใช่แล้ว)  เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือปัญหาหนึ่ง—สิ่งนั้นผิด  เจ้าต้องจำแนกความรักของพระเจ้าออกจากความรักของบิดามารดา ของสามี ภรรยา หรือลูกๆ ของญาติพี่น้องของเจ้า ออกจากความกังวลห่วงใยของมิตรสหาย และมารู้จักความรักของพระเจ้าใหม่  ความรักของพระเจ้าเป็นเช่นไรกันแน่?  ความรักของพระเจ้านั้นปราศจากความรู้สึกทางเนื้อหนังและไม่ได้รับผลกระทบโดยสัมพันธภาพทางสายเลือด  เป็นความรักล้วนๆ  ดังนั้น ผู้คนควรเข้าใจความรักของพระเจ้าอย่างไรหรือ?  เหตุใดหรือเราจึงได้มาเสวนากันถึงความรักของพระเจ้า?  ความรักของพระเจ้านั้นจำแลงรูปอยู่ในพระราชกิจของพระเจ้า เพื่อให้ผู้คนรับรู้ถึง ยอมรับ และได้รับประสบการณ์กับความรักนั้น และได้ตระหนักในท้ายที่สุดว่านี่คือความรักของพระเจ้า และรับรู้ว่านี่คือความจริง ความรักของพระเจ้าไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่า อีกทั้งไม่ใช่พฤติกรรมบางรูปแบบในฝ่ายของพระเจ้า แต่เป็นความจริง  เมื่อเจ้ายอมรับว่าความรักนี้เป็นความจริง เจ้าย่อมจะสามารถที่จะระลึกได้ถึงแก่นแท้แง่มุมนี้ของพระเจ้าจากความรักนั้น  หากเจ้าปฏิบัติกับความรักนี้ในฐานะพฤติกรรมบางรูปแบบ เจ้าจะมีความลำบากยากเย็นในการระลึกได้ถึงความรักนี้  “พฤติกรรม” หมายถึงสิ่งใด?  จงดูมารดาเป็นตัวอย่าง กล่าวคือ  พวกนางเสียสละวัยเยาว์ของพวกนางและเลือดจากหัวใจของพวกนางเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ ของพวกนาง และพวกนางให้สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการแก่พวกเขา  ไม่ว่าลูกของนางได้ทำถูกหรือผิด หรือพวกนางจะใช้เส้นทางใด  มารดาคนหนึ่งให้อย่างไม่เห็นแก่ตัว ตอบสนองความต้องการของลูกของนาง โดยไม่เคยสอน ช่วยเหลือ หรือนำทางลูกของนางถึงวิธีเดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง แค่ดูแลเอาใจใส่อยู่เป็นนิตย์ รักและปกป้องพวกเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนถึงขอบเขตที่ในที่สุด ลูกก็ไม่สามารถแยกความถูกต้องจากความผิดพลาดได้  นี่คือความรักของมารดาหรือความรักทุกประเภทที่เกิดมาจากเนื้อหนัง ความรู้สึก และสัมพันธภาพทางเนื้อหนังของมนุษย์  ในขณะเดียวกัน ความรักของพระเจ้านั้นอยู่ตรงกันข้ามพอดิบพอดี กล่าวคือ  หากพระเจ้ารักเจ้า พระองค์จะทรงแสดงออกถึงการนี้โดยการสั่งสอน การบ่มวินัย และการตัดแต่งเจ้าบ่อยครั้ง  แม้วันเวลาของเจ้าอาจผ่านไปอย่างไม่ชูใจท่ามกลางการสั่งสอนและการบ่มวินัย แต่ทันทีที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับการนี้แล้ว เจ้าจะค้นพบว่าเจ้าได้เรียนรู้ไปมากแล้ว เจ้ามีวิจารณญาณและมีปัญญาเมื่อเป็นเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอื่นๆ และค้นพบว่าเจ้าได้มาเข้าใจความจริงบางอย่างแล้วด้วยเช่นกัน  หากความรักของพระเจ้าเหมือนกันกับความรักของมารดาหรือบิดา ดังที่เจ้าจินตนาการว่ารักนั้นจะเป็น หากพระองค์ทรงพิถีพิถันในการดูแลเอาใจใส่ของพระองค์ถึงเพียงนั้น และตามใจอย่างสม่ำเสมอ เจ้าจะสามารถได้รับสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  เจ้าจะไม่สามารถ  และดังนั้น ความรักของพระเจ้าที่ผู้คนสามารถทำความเข้าใจได้จึงแตกต่างจากความรักที่แท้จริงของพระเจ้าที่พวกเขาสามารถได้รับประสบการณ์ในพระราชกิจของพระองค์ ผู้คนต้องเข้าหาความรักที่ว่านี้ของพระเจ้าตามพระวจนะของพระเจ้า และแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระองค์เพื่อที่จะได้รู้ว่าความรักที่แท้จริงคืออะไร  หากพวกเขาไม่แสวงหาความจริง ใครบางคนที่เสื่อมทรามจะสามารถเสกสรรความเข้าใจออกมาจากความว่างเปล่าว่า ความรักของพระเจ้าคืออะไร จุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระองค์ในมนุษย์คือสิ่งใด และเจตนารมณ์อันอุตสาหะมานะของพระองค์นั้นวางอยู่แห่งใด ได้อย่างไรเล่า?  ผู้คนคงจะไม่มีวันเข้าใจสิ่งเหล่านี้  นี่คือความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีแนวโน้มที่จะมีมากที่สุดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และนี่คือแก่นแท้ของพระเจ้าในแง่มุมที่ผู้คนพบว่าเข้าใจได้ยากที่สุด  ผู้คนต้องรับประสบการณ์กับเรื่องนี้อย่างลุ่มลึกและด้วยตัวเอง รวมทั้งมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้อย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงและซาบซึ้งกับเรื่องนี้เพื่อที่จะสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้  โดยธรรมดาสามัญทั่วไปแล้ว เมื่อผู้คนพูดคำว่า “รัก” พวกเขาหมายถึงการให้สิ่งที่พวกเขาชอบแก่ใครบางคน ไม่ใช่การให้บางสิ่งที่ขมแก่พวกเขาเมื่อพวกเขาต้องการบางสิ่งที่หวาน หรือต่อให้บางครั้งพวกเขาได้รับบางสิ่งที่ขม นั่นก็เพื่อที่จะรักษาความเจ็บป่วย กล่าวโดยสรุปคือ ความรักเกี่ยวข้องกับความเห็นแก่ตัว ความรู้สึก และเนื้อหนังของมนุษย์ ความรักเกี่ยวข้องกับจุดมุ่งหมายและแรงจูงใจ  แต่ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงกระทำสิ่งใดในตัวเจ้า ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงพิพากษาและทรงตีสอนเจ้า ทรงสั่งสอนและทรงบ่มวินัยเจ้าอย่างไร หรือพระองค์ทรงตัดแต่งเจ้าอย่างไร ต่อให้เจ้าเข้าใจพระองค์ผิด และถึงขั้นร้องทุกข์คร่ำครวญกับพระองค์ในหัวใจของเจ้า พระเจ้าก็จะทรงพระราชกิจในตัวเจ้าต่อไปด้วยความอดทนที่ไม่ย่อท้อ  อะไรหรือคือจุดมุ่งหมายขั้นสูงสุดของพระเจ้าในการทำเช่นนี้?  พระองค์ทรงใช้วิธีการนี้เพื่อปลุกเจ้าให้ตื่น เพื่อที่วันหนึ่งเจ้าจะสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  แต่เมื่อพระเจ้าทรงมองเห็นผลลัพธ์นี้  พระองค์ทรงได้รับสิ่งใด?  พระองค์กลับไม่ทรงได้รับสิ่งใดอย่างแท้จริงเลย  และเหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะทั้งหมดของเจ้านั้นมาจากพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องได้รับสิ่งใด  ทั้งหมดที่พระองค์ทรงจำเป็นต้องประสงค์ก็คือ ให้ผู้คนติดตามอย่างถูกต้องเหมาะสมและเข้าสู่โดยสอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ในขณะที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ ให้สามารถใช้ชีวิตตามความจริงความเป็นจริงได้ในท้ายที่สุด ให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยสภาพเสมือนมนุษย์ และไม่ถูกซาตานชักพาให้หลงผิด ล่อลวง และทดลองอีกต่อไป มีความสามารถที่จะขัดขืนซาตาน ให้นบนอบและนมัสการพระเจ้า จากนั้นพระเจ้าจึงจะพอพระทัยอย่างยิ่ง และพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์เสร็จสิ้นไป  พระเจ้าทรงได้รับสิ่งใดไว้?  พระเจ้าทรงได้รับเจ้าไว้และเจ้าสามารถสรรเสริญพระเจ้า  แต่การสรรเสริญของเจ้ามีความหมายอย่างไรต่อพระเจ้า?  หากเจ้าไม่ได้สรรเสริญพระเจ้า พระองค์จะไม่ใช่พระเจ้ากระนั้นหรือ?  หากเจ้าไม่ได้สรรเสริญพระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงมหิทธิฤทธิ์กระนั้นหรือ?  การที่เจ้าไม่สรรเสริญพระเจ้าจะเปลี่ยนแก่นแท้หรือสถานะของพระองค์กระนั้นหรือ?  (ไม่)  ไม่เปลี่ยน  นี่อาจกล่าวได้ว่าคือความรักและพระราชกิจของพระเจ้า  ความเข้าใจถึงความรักของพระเจ้าของพวกเจ้ามีความหมายที่กว้างไกลและไร้ขอบเขตเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่มี)  ความเข้าใจของพวกเจ้ายังไม่ได้ไปถึงจุดนั้น  แม้ในยามที่ใครคนหนึ่งหักหาญพระทัยของพระเจ้า และผู้อื่นคิดว่าไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงช่วยพวกเขาให้รอด ท่าทีของพระเจ้าเป็นอย่างไรเมื่อพวกเขาทบทวนตัวเอง ตระหนักถึงความผิดพลาดในหนทางของตนและกลับใจ อีกทั้งละวางความชั่วในมือของพวกเขาและยอมรับความรอดของพระองค์?  พระเจ้าทรงยอมรับพวกเขาเช่นเดียวกันหมด ตราบเท่าที่ผู้คนเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงถือสาการกระทำผิดของผู้คน  นี่คือความรักของพระเจ้า  มีมโนคติอันหลงผิดใดของมนุษย์ให้ได้รับการเยียวยาในที่นี้?  นั่นก็คือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับหนทางที่พระเจ้าทรงรัก  ผู้คนควรทิ้งมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันต่างๆ ของตนไว้ข้างหลัง พวกเขาต้องแสวงหาความจริงและเข้าใจความจริงเพื่อที่จะได้สามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้  การทิ้งมโนคติอันหลงผิดของคนเราไว้ข้างหลังเป็นเรื่องง่าย แต่การเปลี่ยนแปลงมโนคติอันหลงผิดของคนเราอย่างถ้วนทั่วนั้นไม่ง่าย  หากเจ้าเผชิญกับประเด็นปัญหาที่คล้ายคลึงกันในอนาคตแล้วเกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นอีก นั่นเป็นปัญหาประเภทใด?  นั่นคงจะพิสูจน์ให้เห็นว่ามโนคติอันหลงผิดนี้ฝังลึกอยู่ภายในตัวเจ้า  แม้กับเรื่องบางเรื่องเจ้าสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดได้ด้วยการสามัคคีธรรมความจริง แต่กับเรื่องอื่นๆ บางเรื่องเจ้าจะไม่สามารถปล่อยมือจากเรื่องเหล่านั้นได้  การปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดกับเรื่องหนึ่งเรื่องอาจเป็นเรื่องง่าย แต่การจะให้ผู้คนแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนอย่างถึงที่สุดไม่ใช่เรื่องง่าย  คนเราต้องเข้าใจความจริงมากมายก่อนที่จะสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดของตนได้อย่างถึงที่สุด  เรื่องนี้พึงต้องให้ผู้คนแสวงหาความจริงในเรื่องต่างๆ ที่พวกเขาเผชิญ รับประสบการณ์และเห็นคุณค่าในความรักของพระเจ้าอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง รวมทั้งพึงต้องให้พระเจ้าทรงปฏิบัติกิจการมากมายเพื่อที่ผู้คนจะได้สามารถรู้จักพระองค์  มีเพียงเมื่อผู้คนรู้จักพระเจ้าเท่านั้น ปัญหาเรื่องมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้าที่พวกเขาเก็บงำเอาไว้จึงจะถูกขจัดออกไปได้อย่างถ้วนทั่ว

สิ่งที่พวกเจ้าจำเป็นต้องชำแหละในขณะนี้คือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและสิ่งที่เป็นมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ และโดยหลักแล้วสรุปความคิดฝัน ความรู้สึกคัดค้าน และข้อกำหนดของเจ้าเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า อธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า รวมทั้งหนทางที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ  สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นอุปสรรคขัดขวางเจ้าไม่ให้นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และสามารถเป็นเหตุให้เจ้าเข้าใจผิดและรู้สึกไม่ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำกับเจ้า  มโนคติอันหลงผิดเช่นนี้ร้ายแรงมากและควรค่าแก่การชำแหละ  ตัวอย่างเช่น บางคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าซึ่งพิพากษาและกล่าวโทษผู้คน และพวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิดและกล่าวว่า “พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ไม่โปรดคนเยี่ยงฉัน ดังนั้นบางทีพระองค์อาจจะไม่ทรงช่วยฉันให้รอด”  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่งหรอกหรือ?  ผลที่ตามมาจากมโนคติอันหลงผิดนี้จะเป็นอย่างไร?  ไม่สำคัญว่าเจ้ามีความเสื่อมทรามใดหรือเจ้าเป็นคนประเภทใด เจ้าย่อมรู้ว่าพระเจ้าไม่โปรดคนที่กบฏต่อพระองค์ แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่กลับใจ?  หากเจ้ายอมรับความจริง ทิ้งความเสื่อมทรามของตน และนบนอบพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นพระเจ้าจะไม่โปรดเจ้าหรอกหรือ?  เหตุใดเจ้าจึงกำหนดพระเจ้าโดยกล่าวว่าพระองค์จะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด?  ความคิดที่เป็นลบเหล่านี้ที่เจ้ามีจะเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้เจ้าติดตามพระเจ้าและรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ ความคิดที่เป็นลบเหล่านี้จะเป็นเหตุให้เจ้ายังคงหยุดนิ่งและปล่อยตัวเองให้อยู่ในความท้อแท้ และจะถึงขั้นเป็นเหตุให้เจ้าปฏิเสธพระเจ้า  ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วปรากฏตัวในคริสตจักรบางแห่งและกระทำการก่อกวน และในการทำเช่นนั้น พวกเขาก็ชักพาให้บางคนพลอยหลงผิด—นี่คือสิ่งที่ดีหรือไม่ดี?  นี่เป็นความรักของพระเจ้า หรือว่าพระเจ้ากำลังทรงเล่นกับผู้คนและทำให้พวกเขาเผยตัวตนออกมา?  เจ้าไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ใช่หรือไม่?  พระเจ้าทรงนำเอาเหตุการณ์และสรรพสิ่งทั้งหลายมาใช้ในการปรนนิบัติของพระองค์เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอดและทำให้พวกเขาเพียบพร้อม และท้ายที่สุดสิ่งที่บรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงและปฏิบัติความจริงโดยแท้จะได้รับก็คือความจริง  อย่างไรก็ตาม บางคนที่ไม่แสวงหาความจริงกลับพร่ำบ่นโดยกล่าวว่า  “การที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในหนทางนี้ไม่ถูกต้อง  การนี้ทำให้ฉันทนทุกข์อย่างมาก!  ฉันเกือบตกไปเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์  หากนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการจริง แล้วพระองค์ทรงอนุญาตให้ผู้คนตกไปเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างไร?”  เกิดอะไรขึ้นที่นี่?  การที่เจ้าไม่ติดตามศัตรูของพระคริสต์นั้นพิสูจน์ว่าเจ้ามีการคุ้มครองของพระเจ้า หากเจ้าตกไปเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วย่อมเป็นการทรยศต่อพระเจ้าและพระเจ้าไม่ทรงต้องการเจ้าอีกต่อไป  ดังนั้นแล้ว การที่ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเหล่านี้ก่อกวนคริสตจักรเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี?  ดูภายนอกแล้วเหมือนนี่เป็นเรื่องไม่ดี แต่เมื่อศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเหล่านี้เผยตัวออกมา วิจารณญาณของเจ้าย่อมเติบโต พวกเขาจะถูกชำระออกไป และวุฒิภาวะของเจ้าย่อมเติบโต  ในอนาคตเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับผู้คนเช่นนั้นอีกครั้ง เจ้าจะมีวิจารณญาณเกี่ยวกับพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะแสดงโฉมหน้าที่แท้จริงของตนออกมาด้วยซ้ำ และเจ้าจะปฏิเสธพวกเขา  เรื่องนี้ทำให้เจ้าได้เรียนรู้บทเรียนและได้ประโยชน์ เจ้าจะรู้วิธีแยกแยะศัตรูของพระคริสต์และจะไม่ถูกซาตานชักพาให้หลงผิดอีกต่อไป  ดังนั้นจงบอกเราเถิดว่า การให้ศัตรูของพระคริสต์มาก่อกวนและชักพาให้ผู้คนหลงผิดย่อมเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?  เมื่อผู้คนได้มีประสบการณ์มาถึงระยะนี้เท่านั้น พวกเขาถึงจะสามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าไม่ทรงกระทำสิ่งที่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา และพระเจ้าทรงอนุญาตให้พญานาคใหญ่สีแดงกระทำการก่อกวนอย่างบ้าคลั่งและทรงอนุญาตให้ศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหลงผิดเพื่อที่พระองค์จะได้ให้ซาตานรับใช้พระองค์ในการทำให้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรนั้นเพียบพร้อม และตอนนั้นเท่านั้นผู้คนจึงเข้าใจเจตนารมณ์อันเปี่ยมไปด้วยความอุตสาหะของพระเจ้า  บางคนพูดว่า “ฉันถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดสองครั้งแล้วและฉันก็ยังไม่สามารถแยกแยะพวกเขาได้  หากศัตรูของพระคริสต์ที่ฉลาดแกมโกงยิ่งกว่านี้อีกผ่านเข้ามา ฉันก็จะถูกชักพาให้หลงผิดอีกครั้ง”  เช่นนั้นก็จงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีกเพื่อที่เจ้าจะได้สามารถรับประสบการณ์กับเรื่องนี้และเรียนรู้บทเรียน—พระเจ้าต้องทรงทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงสามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากอิทธิพลของซาตาน  วลีสองวลีสามารถใช้ในที่นี้เพื่อบรรยายถึงหนทางที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ และวลีสองวลีนี้ก็คือ หนทางต่างๆ ซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในพระราชกิจนั้นเหนือธรรมดาและเกินความคิดฝันของคนธรรมดาสามัญ  เหตุใดเราจึงให้นิยามพระราชกิจของพระเจ้าโดยใช้วลีสองวลีนี้ที่ว่า “เหนือธรรมดา” และ “เกินความคิดฝัน”?  เป็นเพราะมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ อีกทั้งพวกเขาไม่เข้าใจความจริง หนทางที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ หรือพระปัญญาของพระเจ้าในการต่อสู้กับซาตานของพระองค์—มวลมนุษย์ทั้งปวงไม่รู้เรื่องสิ่งเหล่านี้เลย  แล้วผู้คนยังสามารถเก็บงำแนวคิดและมโนคติอันหลงผิดเอาไว้ได้อย่างไร?   เป็นเพราะพวกเขาเรียนรู้ความรู้เล็กน้อย เข้าใจคำสอนอยู่บ้าง และมีความชอบของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงเกิดมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันบางอย่าง  อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องของเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณและพระราชกิจที่พระเจ้าทรงปฏิบัติ พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย  ในยุคสุดท้าย พระผู้สร้างทรงพบหน้ากับมวลมนุษย์ทั้งปวงและดำรัสพระวจนะของพระองค์โดยตรง  นี่เป็นครั้งแรกที่เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นตั้งแต่การสร้างโลก  กล่าวคือ พระองค์ทรงเผชิญกับมวลมนุษย์ทั้งปวงและทรงปฏิบัติกิจการในหนทางนี้อย่างเปิดเผย ทรงเผยแพร่แผนการบริหารจัดการของพระองค์จากนั้นจึงทรงดำเนินการแผนการดังกล่าวและดำเนินงานตามแผนการดังกล่าวจนเสร็จสิ้นท่ามกลางมวลมนุษย์—นี่เป็นครั้งแรกที่เรื่องนี้เคยเกิดขึ้น  ผู้คนไม่รู้เรื่องอาณาจักรแห่งความคิดของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า และหนทางที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ รวมทั้งไม่คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้คนจะเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เอาไว้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งเหล่านี้ตรงตามความจริง  ไม่สำคัญว่ามโนคติอันหลงผิดของผู้คนนั้นปกติธรรมดาเพียงใด มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ยังคงเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริง ไม่คล้อยตามพระวจนะของพระเจ้า และขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  หากมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที เช่นนั้นมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ย่อมจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการที่ผู้คนรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและต่อการเข้าสู่ชีวิตของตนเอง  ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องของมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ไม่สำคัญว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ตรงตามความคิดฝันและแนวคิดของผู้คนเพียงใด ตราบที่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ไม่คล้อยตามความจริงและต่อต้านพระเจ้า เช่นนั้นมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็ล้วนตรงกันข้ามกับความจริง และย่อมเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า  ไม่สำคัญว่ามโนคติอันหลงผิดของผู้คนจะเป็นไปตามความคิดฝันของพวกเขาเพียงใด ผู้คนควรพยายามแยกแยะมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อยู่เสมอ แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาไม่ควรยอมรับมโนคติอันหลงผิดของตนอย่างมืดบอด  มวลมนุษย์ควรยอมรับสิ่งใด?  มวลมนุษย์ควรยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และสิ่งที่เป็นบวกทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า  ในเรื่องของสิ่งทั้งหลายที่มีธรรมชาติของซาตาน ไม่ว่าผู้คนคิดว่าสิ่งเหล่านี้ดีเพียงใดหรือเป็นไปตามความคิดฝันของตนเองเพียงใด พวกเขาต้องไม่ยอมรับสิ่งเหล่านี้ แต่กลับต้องปฏิเสธสิ่งเหล่านี้  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นผู้คนจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าและสนองได้ตามข้อกำหนดของพระผู้สร้าง

มโนคติอันหลงผิดของผู้คนสามารถแก้ไขได้ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้าและโดยใช้ความจริงเท่านั้น สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถจะถูกละวางลงผ่านทางการประกาศคำสอนและด้วยการให้คำเตือนสติ—การนั้นไม่ง่ายเช่นนั้น  ผู้คนไม่มีความหมายมั่นต่อเรื่องที่ชอบธรรม แต่หมิ่นเหม่ที่จะเกาะติดมโนคติอันหลงผิดต่างๆ และสิ่งทั้งหลายที่เลวและบิดเบือน ซึ่งพวกเขาพบว่ายากที่จะละวางลง  สิ่งใดหรือที่เป็นสาเหตุของการนี้?  นี่ก็เป็นเพราะพวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  ไม่ว่ามโนคติอันหลงผิดของผู้คนจะใหญ่หรือเล็ก จะร้ายแรงหรือไม่ หากพวกเขาไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็ง่ายที่จะแก้ไข  มโนคติอันหลงผิดนั้น ในท้ายที่สุดแล้วก็เป็นแค่หนทางแห่งการคิดเท่านั้น  แต่เพราะอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์ เช่น ความโอหัง ความดื้อแพ่ง และแม้กระทั่งความเลว มโนคติอันหลงผิดจึงกลายเป็นชนวนซึ่งเป็นเหตุให้ผู้คนคัดค้าน ตีความผิด และถึงขั้นตัดสินพระเจ้า  ในเมื่อคนเราเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ ใครจะยังสามารถนบนอบและสรรเสริญพระเจ้าได้?  ไม่มีใครเลย  ผู้คนที่เก็บงำมโนคติอันหลงผิดเอาไว้ก็มีแต่จะรู้สึกคัดค้านต่อพระเจ้า พวกเขาพร่ำบ่นพระองค์ พวกเขาตัดสินพระองค์ และพวกเขาถึงขั้นกล่าวโทษพระองค์  นี่เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่ามโนคติอันหลงผิดเกิดขึ้นจากภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การปรากฏขึ้นของมโนคติอันหลงผิดคือการเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดที่ถูกเผยให้เห็นนั้นต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า  บางคนพูดว่า “ฉันมีมโนคติอันหลงผิด แต่ฉันไม่ต่อต้านพระเจ้า”  นี่เป็นวาจาที่หลอกลวง  ต่อให้พวกเขาไม่พูดอะไรเลย ในหัวใจของพวกเขาก็ยังคงรู้สึกคัดค้าน และพฤติกรรมของพวกเขาก็ไม่ยอมรับ  ในเมื่อคนเช่นนี้เป็นเยี่ยงนี้ พวกเขายังสามารถนบนอบความจริงได้หรือ?  เป็นไปไม่ได้  เมื่อถูกบริหารปกครองโดยอุปนิสัยที่เสื่อมทราม พวกเขาก็เกาะติดกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา—การนี้มีเหตุมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  และดังนั้น เมื่อมโนคติอันหลงผิดได้รับการแก้ไข ดังนั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนก็ได้รับการแก้ไขด้วยเช่นกัน  หากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คนได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้ว ความคิดที่ไม่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ประสีประสาของพวกเขามากมาย และแม้กระทั่งสิ่งทั้งหลายที่ได้กลายเป็นมโนคติอันหลงผิดแล้วนั้น ก็ไม่ใช่ประเด็นปัญหาสำหรับพวกเขา สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่ความคิด และไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หรือการนบนอบพระเจ้าของเจ้า  มโนคติอันหลงผิดและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามนั้นเชื่อมโยงกัน  บางครั้งในหัวใจของเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดอยู่อย่างหนึ่ง แต่มโนคตินี้ไม่ชี้นำการกระทำทั้งหลายของเจ้า  เมื่อมโนคติอันหลงผิดนั้นไม่ล่วงล้ำมาบนผลประโยชน์ขณะนี้ของเจ้า เจ้าก็เพิกเฉยเสีย  อย่างไรก็ตาม การเพิกเฉยกับมโนคติอันหลงผิดนั้น มิใช่หมายความว่าไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอยู่ภายในมโนคติอันหลงผิดของเจ้า และเมื่อบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นที่ขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้าก็เกาะติดกับสิ่งนั้นด้วยท่าทีบางอย่าง ท่าทีที่ถูกครอบงำโดยอุปนิสัยของเจ้า  อุปนิสัยนี้อาจจะเป็นความดื้อแพ่ง อาจจะเป็นความโอหัง และอาจจะเป็นความเลวทรามก็ได้ อุปนิสัยนี้เป็นเหตุให้เจ้าพ่นคำพูดของเจ้าใส่พระเจ้า โดยกล่าวว่า “มุมมองของข้าพระองค์ได้รับการยืนยันรับรองทางวิชาการมาแล้วหลายครั้ง  ผู้คนได้ยึดถือมุมมองนี้มาหลายพันปีแล้ว ดังนั้น เหตุใดข้าพระองค์จึงไม่สามารถยึดถือเล่า?  สิ่งที่พระองค์ตรัสซึ่งขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์นั้นผิด แล้วพระองค์จะยังคงสามารถตรัสว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความจริง ตรัสว่าสิ่งเหล่านั้นอยู่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดได้อย่างไรเล่า?  มุมมองของข้าพระองค์นั้นสูงที่สุดในบรรดามวลมนุษย์ทั้งปวง!”  มโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่งสามารถนำเจ้าให้ประพฤติตนได้เยี่ยงนี้ ให้สามหาวได้เช่นนี้  อะไรเป็นเหตุให้เกิดการนี้?  (อุปนิสัยอันเสื่อมทราม)  ถูกต้อง การนี้มีเหตุมาจากอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  มีสัมพันธภาพโดยตรงระหว่างมโนคติอันหลงผิดกับอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คน และมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาต้องได้รับการแก้ไข  ทันทีที่มโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าได้รับการจัดการแก้ไขแล้ว ก็จะกลายเป็นง่ายสำหรับพวกเขาที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการงานในพระนิเวศของพระเจ้า และดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดีอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น พวกเขาไม่เดินบนเส้นทางที่วกวน พวกเขาไม่ขัดขวางหรือก่อกวน และพวกเขาไม่ทำสิ่งใดที่นำความอับอายมาสู่พระเจ้า  หากมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของผู้คนไม่ได้รับการจัดการแก้ไข ก็ย่อมกลายเป็นง่ายสำหรับพวกเขาที่จะทำสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน  ในกรณีที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นก็คือ มโนคติอันหลงผิดของผู้คนสามารถก่อให้เกิดความรู้สึกคัดค้านทุกลักษณะต่อการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าขึ้นในตัวพวกเขาได้  เมื่อพูดถึงมโนคติอันหลงผิด แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้คือทรรศนะที่ผิดซึ่งขัดแย้งกับความจริง สิ่งเหล่านี้ตรงกันข้ามกับความจริงอย่างสิ้นเชิง และสามารถเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกคัดค้านต่อพระเจ้าทุกรูปแบบในตัวผู้คน  ความรู้สึกคัดค้านนี้ทำให้เจ้าเกิดคำถามเกี่ยวกับพระคริสต์และกลายเป็นไร้ความสามารถที่จะยอมรับหรือนบนอบพระองค์ ในขณะเดียวกันก็ยังส่งผลต่อการยอมรับความจริงและการเข้าสู่ความจริงความเป็นจริงของเจ้าอีกด้วย  ในกรณีที่ร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ มโนคติอันหลงผิดนานาสารพันของผู้คนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า เป็นเหตุให้พวกเขาไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า หนทางซึ่งพระเจ้าใช้ในการทรงพระราชกิจ และอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า—ซึ่งในกรณีนั้น พวกเขาย่อมไม่มีความหวังของความรอดไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม  ไม่สำคัญว่าผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับแง่มุมใดของพระเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็แอบซุ่มอยู่เบื้องหลังมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ ซึ่งสามารถเป็นเหตุให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้กลายเป็นแย่ลง อันเป็นการให้ผู้คนมีข้ออ้างในการเข้าหาพระราชกิจของพระเจ้า เข้าหาพระเจ้าพระองค์เอง และเข้าหาพระอุปนิสัยของพระเจ้าโดยใช้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเองมากกว่าเดิมยิ่งขึ้นไปอีก  และการนี้ไม่หนุนใจให้พวกเขาต้านทานพระเจ้าด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาหรอกหรือ?  นี่คือผลสืบเนื่องของมโนคติอันหลงผิดสำหรับมนุษย์

แม้ก่อนหน้านี้พวกเราพูดถึงมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์บ่อยครั้ง แต่พวกเราก็ไม่เคยสามัคคีธรรมอย่างเป็นระบบและละเอียดว่าผู้คนเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับแง่มุมและเรื่องใดเอาไว้ รวมทั้งพวกเขาเกิดมโนคติอันหลงผิดประเภทใด  ด้วยการสามัคคีธรรมและการชำแหละไปทีละประเด็นในหนทางนี้ในวันนี้ เราได้ให้เส้นที่ชัดเจนที่จะติดตามกับพวกเจ้าเพื่อที่พวกเจ้าจะได้รู้ว่าพวกเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดประเภทใด เมื่อเป็นดังนั้นพวกเจ้าจึงสามารถมีเส้นทางที่จะแก้ไขมโนคติอันหลงผิดดังกล่าวได้ทีละอย่าง  หากผู้คนสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ได้ทีละอย่าง ความจริงทุกแง่มุมย่อมจะกลายเป็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับพวกเขา  ในหนทางนี้ เส้นทางต่อไปข้างหน้าก็จะกลายเป็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน และยิ่งพวกเขาไปไกลมากขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาย่อมจะกลายเป็นมั่นคงและสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ

20 กันยายน ค.ศ. 2018

ก่อนหน้า: มีการเข้าสู่ชีวิตเพียงในการปฏิบัติความจริงเท่านั้น

ถัดไป: โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (2)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger