มีการเข้าสู่ชีวิตเพียงในการปฏิบัติความจริงเท่านั้น

คนคนหนึ่งควรเริ่มต้นที่ใดเมื่อเดินก้าวย่างแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต?  คนคนหนึ่งจำเป็นต้องมีสิ่งใดเพื่อที่จะสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิต?  สิ่งใดคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดและสำคัญที่สุดที่คนคนหนึ่งควรไล่ตามไขว่คว้าและได้รับเพื่อที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง?  พวกเจ้าเคยพิจารณาคำถามเหล่านี้มาก่อนหรือไม่?  การเข้าสู่ชีวิตคือสิ่งใด?  การเข้าสู่ชีวิตคือความเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันในชีวิตของบุคคล ในการกระทำของพวกเขา ในทิศทางชีวิตของพวกเขา และในเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา  หลังจากที่โง่เขลาและรู้ไม่เท่าทันมาแล้วในอดีต และหลังจากที่กระทำการตามความคิด มโนคติที่หลงผิด และความคิดฝันของเนื้อหนังอยู่เสมอ บัดนี้ โดยผ่านทางการเปิดโปง การให้น้ำ และการจัดเตรียมของพระเจ้า บุคคลหนึ่งก็อาจมาเข้าใจว่าพวกเขาควรกระทำการให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า  นอกจากนี้ บุคคลนี้ยังก้าวผ่านการเปลี่ยนสภาพในชีวิตประจำวันมาแล้ว อันเป็นผลมาจากพระวจนะของพระเจ้า ในเรื่องของทัศนะและลีลาแห่งการประพฤติปฏิบัติตนและการจัดการกับทางโลกของพวกเขา และในเรื่องของทิศทางและเป้าหมายทั้งหลายในชีวิตของพวกเขา  นี่คือการเข้าสู่ชีวิต  พื้นฐานของการเข้าสู่ชีวิตคือสิ่งใด? (พระวจนะของพระเจ้า)  ถูกต้อง  การเข้าสู่ชีวิตมิอาจแยกออกจากพระวจนะของพระเจ้าได้ มิอาจแยกออกจากความจริงได้ พระวจนะทุกคำที่พระเจ้าตรัสคือความจริง  สิ่งใดเล่าถูกสำแดงในผู้คนที่สัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตแล้ว?  (พวกเขาสามารถวางใจในพระวจนะของพระเจ้าในการใช้ชีวิต)  ถูกต้อง  พวกเขาสามารถวางใจในพระวจนะของพระเจ้าในการใช้ชีวิต  การกระทำของพวกเขา วาทะ ความคิดเกี่ยวกับปัญหาทั้งหลาย ทัศนคติ จุดยืน และมุมมองทั้งหมดล้วนวางใจในพระวจนะของพระเจ้าและในความจริง  เหล่านี้คือการสำแดงถึงการบรรลุการเข้าสู่ชีวิตแล้ว  แล้วการเข้าสู่ชีวิตเชื่อมโยงกับสิ่งใดเป็นหลัก?  (พระวจนะของพระเจ้า)  การเข้าสู่ชีวิตเชื่อมโยงกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  แล้วในตอนนี้คนเราสามารถให้นิยามคนคนหนึ่งที่มีการเข้าสู่ชีวิตว่าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และให้นิยามคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงว่าเป็นคนที่มีการเข้าสู่ชีวิตได้หรือไม่?  (ได้)  เป้าหมายของการให้นิยามสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้คืออะไร?  พวกเราควรมุ่งหมายการสามัคคีธรรมของพวกเราไปในทิศทางใด?  (มุ่งไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริง)  การไล่ตามเสาะหาความจริงคือหัวข้อหลักที่เราต้องการสามัคคีธรรมในวันนี้  ในเวลาปัจจุบัน พวกเจ้าไม่เข้าใจอย่างชัดเจนจริงๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเข้าสู่ชีวิตกับการไล่ตามเสาะหาความจริง—เรื่องนี้ไม่ประจักษ์ชัดอย่างยิ่งสำหรับพวกเจ้า  เราสามัคคีธรรมการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยรวมทั้งการชำแหละเส้นทางของเปาโลอยู่เสมอ  ทั้งหมดนี้มีใจความสำคัญอยู่ที่หัวข้อหลักใด?  หัวข้อหลักนั้นคือการไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่สำคัญว่าเราชำแหละเส้นทางที่เปาโลเดินหรือไม่ หรือพูดถึงเส้นทางสู่ความเพียบพร้อมที่เปโตรเดินหรือไม่—ไม่สำคัญว่าเราพูดถึงสิ่งใด ในท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของเราที่จะทำให้ทุกคนเดินตามคือเส้นทางประเภทใด?  (เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง)  เมื่อผู้คนสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมแห่งพระวจนะของพระเจ้า เป้าหมายที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาและเส้นทางที่พวกเขาเดินไม่ชัดเจนหรอกหรือ?  (ชัดเจน)  การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นหัวข้อซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะหลีกเลี่ยงเมื่อพวกเขาเชื่อในพระเจ้า เสาะแสวงที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน และไล่ตามเสาะหาความรอด  มีเพียงผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่เป็นผู้เชื่อที่แท้จริงและสามารถสัมฤทธิ์ความรอด  ผู้คนบางคนมีแรงปรารถนาและเต็มใจที่จะสละตนเองเพื่อพระเจ้า แต่ก็ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  แม้ว่าทุกคนเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่บางคนมีขีดความสามารถแย่ พวกเขาขาดพร่องความสามารถในการจับใจความและไม่สามารถจับความเข้าใจความจริงได้  บางคนไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ไม่สำคัญว่าพวกเขารับฟังคำเทศนาอย่างไร พวกเขาไม่เคยเข้าใจเลย ทั้งพวกเขายังไม่เข้าใจเวลาที่พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาจับใจความสิ่งทั้งหลายอย่างบิดเบือนอยู่เสมอ และพยายามที่จะประยุกต์ใช้ข้อบังคับ  เหล่านี้คือคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ในคริสตจักรมีคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและพวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ มีพวกที่มีขีดความสามารถแย่ซึ่งขาดพร่องความสามารถในการจับใจความและบรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถดีซึ่งมีความเข้าใจอย่างหมดจดเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า มีบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและพวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนต่างประเภทกันเหล่านี้ล้วนแต่มีสภาวะและการสำแดงที่แตกต่างกัน และเจ้าต้องมีความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างพวกเขาได้อย่างชัดเจน

พวกเรามาเริ่มด้วยการเสวนาถึงคนประเภทแรกกันเถิด—ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ตัวอย่างเช่น พวกเราสามัคคีธรรมความจริงแง่มุมหนึ่ง และหลังจากพวกเราเสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมความจริงแง่มุมนี้รวมทั้งสภาวะ ท่าที เจตนา และการสำแดงของผู้คน ก็มีบางคนที่ไม่เข้าใจสิ่งที่พูดไป ไม่เข้าใจสิ่งที่มีการสามัคคีธรรม ผู้ที่ไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเองกับการนั่นได้ และไม่รู้ว่าพฤติกรรมและการสำแดงของตน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และแก่นแท้ตามธรรมชาติของตนมีความสัมพันธ์แบบใดกับความจริงที่มีการสามัคคีธรรม  พวกเขายังไม่รู้ด้วยว่าการนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าในชีวิตของตน หรือว่าเหตุใดจึงมีการประกาศคำเทศนานี้—ทั้งหมดที่พวกเขาเข้าใจจากการนั้นคือคำสอน และพวกเขาก็อ่านข้อบังคับเกี่ยวกับการนั้น  เมื่อใครบางคนถามพวกเขาว่าพวกเขาเข้าใจอะไร พวกเขาพูดว่า “แม้ว่าจะมีการสามัคคีธรรมหลายๆ หัวข้อในวันนี้ แต่ประเด็นหลักก็คือประเด็นเดิม กล่าวคือ หากเกิดบางสิ่งขึ้น ให้อธิษฐานมากขึ้น”  มีผู้อื่นที่พูดว่า “ฉันเข้าใจ  พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนเป็นคนดี ไม่ทำสิ่งที่แย่ และตระเตรียมความดีไว้ให้มาก  พระเจ้าโปรดเช่นนี้”  ยังคงมีผู้อื่นที่พูดว่า “พระเจ้ากำลังตรัสบอกผู้คนว่าพวกเขาต้องสละตนเองเพื่อพระเจ้า และจ่ายราคาที่ยิ่งยวดขึ้น”  พวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหรือยัง?  (ยังไม่เข้าใจ)  ผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่คิดว่าพวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระองค์แล้ว แต่อันที่จริงแล้วพวกเขากำลังคลำหาไปรอบๆ อยู่ในความมืด และติดพันอยู่กับแค่หนึ่งประโยคจากพระวจนะของพระองค์  ความเข้าใจของพวกเขาเป็นแบบข้างเดียวมากเกินไป และพวกเขาก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงเลยแม้แต่น้อย  สำหรับคนที่ไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสมากเพียงใด ทั้งหมดที่พวกเขามองเห็นคือข้อบังคับ คำสอน ทฤษฎีประเภทหนึ่ง มุมมองประเภทหนึ่ง หรือคำกล่าวประเภทหนึ่ง  เมื่อเป็นเรื่องของการนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ พวกเขานำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเราพูดถึงความจริงแห่งการนบนอบพระเจ้า หลังจากรับฟังพวกเขาพูดว่า “ฉันจะทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัสบอกให้ฉันทำ  นี่เองคือความหมายของการรับฟังพระวจนะของพระองค์และนบนอบพระองค์”  นี่ไม่ง่ายเกินไปหรอกหรือ?  นั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้  พวกเขาไม่เข้าใจว่าหนทางใดแห่งการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าคือการนบนอบพระองค์ที่แท้จริง วิธีแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าและสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า วิธีปฏิบัติตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และวิธีปฏิบัติความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า นับประสาอะไรกับวิธียืนอยู่ข้างเดียวกับพระเจ้าและคุ้มครองงานของคริสตจักร  ยิ่งบางสิ่งเกี่ยวข้องกับความจริงที่เป็นกุญแจสำคัญต่อการนบนอบพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งไร้ความสามารถที่จะจับใจความสิ่งนั้นมากขึ้นเท่านั้น  ทั้งหมดที่พวกเขารู้วิธีทำคือปฏิบัติตามข้อบังคับ  นี่เองคือความหมายของการไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  นอกจากการปฏิบัติตามข้อบังคับและติดอยู่ในความซ้ำซากจำเจในการคิดของตัวเองแล้ว คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณก็ยังไม่สะทกสะท้านกับเหตุผล  การแสดงออกหลักๆ ของผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณคืออะไร?  (การยึดตามข้อบังคับ)  เป็นการยึดตามข้อบังคับ  พวกเขามักจะยึดเอาประโยคหนึ่งหรือเหตุการณ์หนึ่งมากำหนดให้เป็นกฎข้อบังคับหรือวิธีการที่จะทำตามอยู่บ่อยครั้ง  เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเหล่านี้ปฏิบัติต่อความจริงในหนทางเดียวกันหรือไม่?  (ใช่)  พวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณย่อมจดจำแง่มุมหนึ่งของการสำแดงความจริงที่เจ้าได้สามัคคีธรรมในวันนี้ พวกเขาย่อมกำหนดคำพูดและพฤติกรรมเหล่านั้นให้เป็นข้อบังคับที่ควรฝึกฝนปฏิบัติ และท่องจำข้อบังคับเหล่านี้จนขึ้นใจ  จากนั้น ในครั้งต่อไป เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่แตกต่าง หากไม่มีผู้ใดสามัคคีธรรม พวกเขาก็จะนำวิธีการและข้อบังคับก่อนหน้าเหล่านั้นมาใช้โดยไม่พิจารณา และนำสิ่งเหล่านั้นมาปฏิบัติ  นี่คือการสำแดงที่เป็นรูปธรรมของผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ผู้คนเช่นนี้รู้สึกอย่างไรขณะที่พวกเขาปฏิบัติตามข้อบังคับ?  (เหน็ดเหนื่อย)  พวกเขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรอก หากพวกเขารู้สึกเช่นนั้น พวกเขาก็คงจะหยุด  พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงอยู่ต่างหาก พวกเขาไม่รู้สึกว่าพวกเขากำลังปฏิบัติตามข้อบังคับชุดหนึ่ง อีกทั้งพวกเขาก็ไม่รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  พวกเขายิ่งไม่รู้สึกเข้าไปใหญ่ว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจความจริง หรือยิ่งไม่รู้สึกเข้าไปใหญ่ว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจว่าสิ่งใดคือความจริงหลักธรรม  ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับคิดว่าพวกเขาได้เข้าใจด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความจริงแล้ว รวมทั้งหลักธรรมเกี่ยวกับแง่มุมนั้นของความจริงด้วย ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็คิดว่าพวกเขาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว และคิดว่าหากพวกเขาสามารถกระทำการในแนวเดียวกับกฎข้อบังคับของพวกเขา พวกเขาก็จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแง่มุมนั้น สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และนำความจริงมาปฏิบัติแล้ว  นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณคิดหรอกหรือ?  (ใช่ เป็นดังนั้น)  การคิดในหนทางนี้ตรงตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดหรือไม่?  อันที่จริงแล้วการปฏิบัติโดยการทำตามข้อบังคับคือการสำแดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ ไม่เป็นดังนั้น)  เหตุใดจึงไม่เป็นดังนั้น?  (เพราะเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นพวกเขาไม่แสวงหาความจริง และไม่ทุ่มเทความพยายามในการใคร่ครวญเรื่องนั้น พวกเขาเพียงแค่ยึดมั่นในหนทางที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายอยู่ตลอดอย่างดื้อด้าน)  นี่คือวิธีที่ผู้คนประเภทที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณกระทำการ—พวกเขายึดมั่นในหนทางเก่าๆ อย่างดื้อด้าน เกียจคร้าน ไม่แสวงหาความจริงเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้น และไม่สืบค้นหรือคิดถึงสิ่งทั้งหลาย  ต่อให้พวกเขาสืบค้น พวกเขาสามารถเข้าใจได้ด้วยหรือว่านั่นหมายความว่าอย่างไร?  (ไม่)  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เข้าใจ?  (เพราะพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ)  ถูกต้อง  เรื่องนี้มีใจความสำคัญอยู่ที่ว่าผู้คนเช่นนี้ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และจะไม่มีวันเข้าใจความจริง

อันที่จริงแล้วในหัวใจของพวกเขานั้น ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขาก็เริ่มทำการนั้นในหนทางที่ผิด  กล่าวอย่างแม่นยำแล้วคือ พวกเขาพึ่งพาการปฏิบัติตามข้อบังคับเป็นหลัก โดยประพฤติตนตามธรรมเนียมปฏิบัติ และยึดมั่นในคำสอน หรือประยุกต์ใช้หนทางของผู้อื่นในการทำสิ่งทั้งหลาย และเลียนแบบคำพูดของพวกเขาเหล่านั้น  แล้วอะไรคือแก่นแท้ของคนจำพวกนี้?  เหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติต่อการทำตามข้อบังคับดังเช่นการปฏิบัติความจริง และคิดว่าการปฏิบัติในหนทางนี้คือการไล่ตามเสาะหาความจริง?  เหตุใดปัญหานี้จึงเกิดขึ้น?  มีรากเหง้าอยู่อย่างหนึ่ง—พวกเจ้ามองเห็นรากเหง้านั้นได้หรือไม่?  (พวกเขาปฏิบัติต่อทรรศนะ มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันของตนดังเช่นความจริง  พวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และยังไม่ได้จับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง)  นี่เป็นส่วนหนึ่งของรากเหง้านั้น  มีอะไรอีกไหม?  (พวกเขาโอหังและคิดว่าตนถูก และเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นพวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริง  พวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องดังเช่นความจริง)  ผู้คนบางคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างนี้นี่เอง แต่นี่ก็ไม่ใช่รากเหง้าของปัญหา  อะไรทำให้คนเช่นนี้สำแดงตนออกมาในหนทางนี้?  ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและชอบที่จะปฏิบัติตามข้อบังคับรับฟังคำเทศนาอย่างตั้งใจจริงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น วิธีปฏิบัติหน้าที่ของตน และวิธีทำสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาควรทำให้ดี  พวกเขาใส่ใจ แต่ปัญหาสำคัญคือว่าพวกเขาไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงระหว่างสภาวะของพวกเขากับสิ่งที่พวกเขาได้ยินในคำเทศนาได้  ตัวอย่างเช่น หากเป็นการพูดถึงความเป็นกบฏของผู้คน หลังจากพวกเขารับฟังแล้ว พวกเขาก็คิดว่า “ความเป็นกบฏน่ะหรือ?  ไม่ใช่ฉันหรอก!  หากผู้คนไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นกบฏ เช่นนั้นแล้วหากฉันบังเอิญพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ในอนาคต ฉันก็ไม่ควรออกความเห็น  ฉันควรเพียงแค่ทนรับสถานการณ์นั้น และอ่านน้ำเสียงและการแสดงออกของผู้คน  ฉันจะดูว่าผู้คนรอบๆ ตัวฉันพูดอะไร รวมทั้งพวกเขาทำสิ่งทั้งหลายอย่างไร แล้วก็ทำตาม  เช่นนั้นแล้วฉันจะไม่เป็นกบฏใช่ไหม?”  หลังจากพวกเขารับฟังคำเทศนา ข้อสรุปที่พวกเขาได้ก็เป็นเพียงแค่ตรรกะและวิธีการปฏิบัติมากมายของตนเอง  พวกเขาไม่มีการตอบสนองต่อสภาวะทั้งหมดที่ถูกเปิดโปงในคำเทศนา และไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงใดๆ ขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้  ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาเลอะเลือน  เราหมายถึงสิ่งใดหรือกับคำว่า “เลอะเลือน”?  พวกเขาไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วคำเทศนากำลังพูดถึงเรื่องอะไร  พวกเขาพูดกับตัวเองในใจว่า “นี่กำลังสามัคคีธรรมอะไรกันอยู่?  เหตุใดจึงไม่ใช้คำศัพท์ที่ง่ายกว่านี้?  วันนี้ก็สามัคคีธรรมเรื่องนี้ แล้วพรุ่งนี้ก็จะเป็นเรื่องอื่นๆ”  จากมุมมองของพวกเขา การปฏิบัติความจริงนั้นง่าย กล่าวคือ เพียงแค่ทำสิ่งที่เจ้าได้รับการร้องขอให้ทำ ในส่วนสภาวะและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดที่ถูกเปิดโปงในคำเทศนา พวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้กับตัวเองได้  พวกเขาพร่ามัวและไม่รู้อะไรเลยเมื่อเป็นเรื่องที่ว่าผู้คนเผยให้เห็นความคิด แนวคิด และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานาสารพันแบบใดในรูปการณ์แวดล้อมแต่ละจำพวกในระหว่างกระบวนการของการเข้าสู่ชีวิต  พวกเขาไม่สามารถแยกแยะระหว่างรายละเอียดทั้งหลาย อีกทั้งไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้  ผู้คนที่ไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้รู้สึกอย่างไรหลังจากรับฟังความจริง?  (พวกเขาคิดว่านั่นเป็นการพูดถึงคนอื่น และนั่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวพวกเขา)  ถูกต้อง  นี่คือคุณสมบัติพิเศษอันเป็นหลัก พวกเขาไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้  เมื่อพวกเขาเห็นคำพูดซึ่งเปิดโปงสภาวะอันเสื่อมทรามของผู้คน พวกเขาก็คิดว่านั่นเป็นการพูดถึงคนอื่นเท่านั้น  พวกเขาสามารถยอมรับได้เมื่อปัญหาโดยเฉลี่ยหรือปัญหาทั่วไปที่ผู้คนมีถูกเปิดโปง แต่เมื่อเป็นเรื่องของคำพูดที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือแก่นแท้ของผู้คน พวกเขากลับไม่ยอมรับเรื่องนั้นได้โดยสิ้นเชิง พวกเขาจะไม่ยอมรับเรื่องนั้นไม่ว่าในรูปการณ์แวดล้อมใดๆ—ราวกับการยอมรับเรื่องนั้นจะหมายความว่าพวกเขาถูกกล่าวโทษ  นี่คือปัญหาที่ผู้คนทั้งหมดที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมีเหมือนกัน  เมื่อพวกเขาเผชิญกับการเปิดโปงของพระเจ้าเกี่ยวกับสภาวะและการสำแดงทุกประเภทที่ผู้คนมี รวมทั้งทุกหนทางที่แก่นแท้ธรรมชาติของตนเผยตัวเองออกมา พวกเขาไม่ยอมรับเรื่องใดแบบนี้เลย ทั้งพวกเขายังไม่ทบทวนหรือเปรียบเทียบตัวเองกับเรื่องนี้  ตรงกันข้าม พวกเขานำคำพูดและปัญหาเหล่านี้ไปประเมินคนอื่นอยู่เนืองนิจ คิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเอง  ไม่เพียงแต่ผู้คนเช่นนี้ไม่ยอมรับความจริงเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่มีกระบวนการทางความคิดที่ปกติด้วย คำพูดของพวกเขาเป็นแบบหลบหลีกและวกไปวนมา และคำถามที่พวกเขาตอบก็ไม่ใช่คำถามที่เจ้าถามไป  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าถามพวกเขาว่าพวกเขาทานอะไรมาหรือยัง พวกเขาก็พูดว่าพวกเขาไม่ต้องการน้ำ หากเจ้าถามพวกเขาว่าพวกเขารู้สึกง่วงนอนหรือไม่ พวกเขาก็พูดว่าพวกเขาไม่กระหายน้ำ  พวกเขาอยู่ในสภาวะเลอะเลือนและกรอบความรู้สึกนึกคิดที่ผสมปนเปประเภทนี้อยู่เนืองนิจ  ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมาอย่างนี้นี่เอง  ในทุกๆ คริสตจักรมีผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  แม้ว่าพวกเขามีปัญหาเหมือนๆ กัน แต่ก็มีความแตกต่างที่ละเอียดอ่อนเช่นกัน  มีคนคนไหนบ้างหรือไม่ที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิง?  (มี)  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ามาน้อยกว่าสามปีนั้นคลุมเครือมากในเรื่องทั้งหลายอย่างเช่นการเชื่อในพระเจ้า การเข้าสู่ชีวิต การไล่ตามเสาะหาความจริง การไล่ตามไขว่คว้าการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตน และการถูกทำให้เพียบพร้อม  พวกเขาพึ่งพาเพียงแค่แรงปรารถนาที่จะทำหน้าที่ของตน ทำการนี้หรือการนั้นเพื่อพระเจ้า และอยู่ในช่วงระยะของการทุ่มเทความพยายามและการลงแรง  พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต และพวกเขาก็ไม่มีมโนทัศน์เกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตและการไล่ตามเสาะหาความจริงโดยสิ้นเชิง  พวกเขาแค่ชอบทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นเรื่องภายนอก และโน้มเข้าหาแรงปรารถนาของตนที่จะทำสิ่งนั้น  เหล่านี้คือคนที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิง  ใครบางคนที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิงในช่วงระยะนี้จะระบุลักษณะว่าเป็นใครบางคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขายังไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเป็นเวลานานมากพอ ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่สามารถถูกระบุลักษณะได้  เพราะพวกเขายังคงอยู่ในช่วงระยะที่มุ่งมาดปรารถนา พวกเขาจึงไม่เข้าใจทุกสิ่งเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า เส้นทางของผู้คนสู่ความรอด หรือเส้นทางต่างๆ ที่คนแต่ละประเภทเดินตาม ดังนั้นการขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณของพวกเขาจึงยกโทษให้ได้ นี่คือสิ่งที่เป็นปกติ  อย่างไรก็ตาม ส่วนบรรดาผู้ที่เข้าใจอยู่แล้วว่าการเข้าสู่ชีวิตคืออะไรและเริ่มที่จะคุ้นเคยกับความจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้ว ท่ามกลางพวกเขามีใครบ้างไหมที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิง?  (มี)  พวกเขายังคงมีอยู่  ต่อให้ใครบางคนขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิงเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงในหัวใจของตน พวกเขาก็ไม่สามารถสัมฤทธิ์การนั้นได้ ดังนั้นจึงพูดด้วยความแน่ใจได้ว่าไม่มีทางที่ผู้คนที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิงจะเป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และแน่นอนที่สุดว่าไม่มีทางที่การสำแดงของพวกเขาจะเป็นการสำแดงของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง

อะไรคือหนทางต่างๆ ที่ผู้คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและพวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมา?  ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยพื้นฐานแล้วไม่รู้ความและไม่ตระหนักรู้ถึงความจริงที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรม ตลอดจนสภาวะ บริบท และข้อบ่งชี้ของพระวจนะของพระองค์ และพวกเขาก็ไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเองกับการนั้นได้  บรรดาผู้ที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเป็นสิ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง  ตัวอย่างเช่น หากเราสามัคคีธรรมความเป็นกบฏของผู้คน และภายในความเป็นกบฏมีการดื้อแพ่ง ความเห็นแก่ตัว และความโง่เขลาอันดื้อด้าน ตลอดจนความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และการต้านทานและการต่อต้านพระองค์ เมื่อเราพูดถึงสภาวะที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้ ไม่สำคัญว่าเรายกตัวอย่าง พูดถึงความจริงแง่มุมหนึ่ง ไพล่ไปแตะสภาวะที่ดำรงอยู่ในหัวใจของเจ้า หรือสามัคคีธรรมหัวข้อทั้งหลายเกี่ยวกับหลักธรรมความจริง หากเจ้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าได้ยินอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเป็นคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง  หากเจ้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าได้ยินและสามารถนำสิ่งนั้นไปปฏิบัติได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเป็นคนที่ปฏิบัติความจริง  เมื่อผู้คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณได้ยินพระวจนะของพระเจ้า พวกเขามีความสามารถที่จะเข้าใจอย่างหมดจด และสามารถถึงขั้นเข้าใจความจริงได้  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสถึงสิ่งใด พวกเขาก็ตามทันได้ และสามารถยกข้อเทียบเคียงระหว่างสภาวะของตนกับพระวจนะของพระเจ้า และค้นหาเส้นทางสู่การปฏิบัติได้  นี่คือการสำแดงถึงการมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  หลังจากผู้คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอ่านพระวจนะของพระเจ้า หัวใจของพวกเขาก็สว่างและพวกเขาก็ได้รับบางสิ่งจากพระวจนะของพระเจ้า  จิตวิญญาณของพวกเขาเป็นอิสระเป็นพิเศษ และพวกเขาก็รู้สึกว่ามีเส้นทางที่พวกเขาสามารถเดินตามได้  เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่พวกเขารับฟังคำเทศนา พวกเขาได้รับบางสิ่งจากคำเทศนานั้น และทุกครั้งที่พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ได้รับประโยชน์  ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตัวเองออกมาอย่างนี้นี่เอง  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมสิ่งใด หลังจากบรรดาผู้ที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณได้ยินการสามัคคีธรรมนั้น ภาพลักษณ์ทั้งหลายก็จะเป็นที่ปรากฏในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และเมื่อพระเจ้าทรงเปิดโปงสภาวะของผู้คน พวกเขาก็สามารถยกข้อเทียบเคียงได้  เมื่อพระองค์ตรัสถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาก็ประยุกต์ใช้ความเข้าใจผิดนั้นกับสภาวะของตน และตระหนักว่า “ข้อเรียกร้องนี้ของฉันและความคิดฝันเหล่านี้ที่ฉันมี อันที่จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า”  พวกเขาสร้างความเชื่อมโยงแล้ว  เมื่อพระองค์ตรัสถึงการต้านทานและการต่อต้านพระเจ้า หากพวกเขามีภาวะอารมณ์เดียวกันเหล่านี้ ใช้ชีวิตในสภาวะเดียวกัน และมีอุปนิสัยและแก่นแท้เหล่านี้อยู่ภายใน พวกเขาย่อมสามารถยกข้อเทียบเคียงระหว่างสิ่งเหล่านี้ได้  พวกเขาสามารถยกข้อเทียบเคียงสิ่งทั้งหลายจำพวกใดได้บ้าง?  ความคิด แนวคิด หรือการกระทำและพฤติกรรมที่พวกเขาแสดงให้เห็น เหล่านี้ล้วนแต่สามารถใช้เพื่อยกข้อเทียบเคียงได้  เมื่อผู้คนสามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้ากำลังตรัส และเข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสถึงสิ่งใดกันแน่ และรู้ว่าพฤติกรรม การเผย การสำแดง สภาวะ และแก่นแท้แบบใดของพวกเขาสอดคล้องกับสภาวะที่พระเจ้าทรงเปิดโปง และซึ่งมีการพูดถึงในคำเทศนา เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมสำแดงความเข้าใจฝ่ายวิญญาณออกมาแล้ว  พวกเจ้าบอกได้หรือไม่ว่าพวกเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่?  (บางครั้งข้าพระองค์ก็มี และบางครั้งข้าพระองค์ก็ไม่มี)  การนี้แก้ไขเยียวยาได้ แต่หากเจ้าไม่มีเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมก่อให้เกิดเรื่องเดือดร้อน  หากส่วนใหญ่แล้วเจ้ารู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าพูดถึงสิ่งใด ต่อให้เจ้าไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงใดขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้ แต่เจ้ารู้ว่าเจ้ามีสภาวะจำพวกนี้ หรือสังเกตเห็นสภาวะเหล่านี้ในตัวผู้อื่น และรู้จักความจริงแง่มุมนี้ รวมทั้งวิธีที่เจ้าควรเข้าสู่ เช่นนั้นแล้วก็ย่อมนับว่าเป็นการมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอยู่แล้ว  อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่พวกเขาได้ยินคำเทศนา คนจำพวกนี้สามารถสำแดงความเข้าใจฝ่ายวิญญาณได้หรือไม่?  ไม่ บางครั้งพวกเขาก็มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และบางครั้งพวกเขาก็ไม่มี  เพราะการเข้าสู่ชีวิตสัมพันธ์กับความจริงหลายแง่มุม  มีความจริงบางประการที่เจ้าเข้าใจและเข้าสู่แล้ว และมีความจริงอื่นๆ ซึ่งเจ้าไม่เข้าใจและยังไม่ได้เข้าสู่  มีความจริงบางประการที่เจ้ายังไม่ได้เผชิญเลยแม้แต่น้อย และยังไม่ได้แม้แต่ได้ยินเสียด้วยซ้ำ  บัดนี้เจ้าได้ยินความจริงนั้นแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะพูดว่าเจ้าสามารถจับใจความความจริงนั้นได้หรือไม่ และเจ้าก็อาจถึงขั้นมีมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความจริงนั้น  อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องปกติ  หากมีความจริงบางแง่มุมที่เจ้าเข้าใจ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเป็นแง่มุมซึ่งเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ หากมีความจริงบางแง่มุมที่เจ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเป็นแง่มุมซึ่งเจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ หากมีความจริงบางแง่มุมที่เจ้าไม่เคยได้ยินและซึ่งยังคงค่อนข้างแปลกสำหรับเจ้า หรือซึ่งเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดเสียด้วยซ้ำ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเป็นแง่มุมซึ่งเจ้าขาดพร่องในความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมากขึ้นไปอีก  เจ้าต้องก้าวผ่านประสบการณ์ช่วงเวลาหนึ่งจนกระทั่งเจ้าเข้าใจความจริงก่อนที่เจ้าจะบรรลุความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในแง่มุมเหล่านั้น  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังคงคิดว่า “ฉันไม่ได้เข้าใจพระเจ้าผิด ฉันไม่เคยเข้าใจพระเจ้าผิดเลย  ฉันไม่อาจรักพระเจ้าได้มากพอ!  แล้วฉันจะเข้าใจพระองค์ผิดไปได้อย่างไร?”  เหล่านี้คือคำพูดที่ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณกล่าว  หากเจ้าพูดว่า “ผู้คนมักจะเข้าใจพระเจ้าผิด แต่พวกเขาไม่สามารถควบคุมเรื่องนั้นได้ ความเข้าใจผิดนั้นเกิดขึ้นแบบปุบปับในทุกที่และทุกเวลา  อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ ดูเหมือนฉันไม่ตระหนักรู้ถึงแง่มุมใดๆ ซึ่งฉันเข้าใจพระเจ้าผิดไปหรือขัดแย้งกับพระองค์  ฉันจำเป็นต้องก้าวผ่านสิ่งทั้งหลายด้วยการตรวจสอบอย่างละเอียด มีประสบการณ์ และอธิษฐานถึงพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงจัดเตรียมสถานการณ์ทั้งหลายเพื่อเผยสิ่งเหล่านี้ต่อฉัน”  นี่เป็นเรื่องในอุดมคติ  นี่คือความปรารถนาที่เจ้าควรมีในความรู้สึกนึกคิด—เจ้าต้องเพียรพยายามที่จะทำให้ดีขึ้นต่อไป  หากใครบางคนพูดว่า “ฉันไม่เคยเข้าใจพระเจ้าผิดเลย  นี่เป็นการพูดถึงคนอื่น” ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถพูดบางสิ่งที่ไร้สาระขนาดนั้นได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเผยให้เห็นอุปนิสัยแบบใดเป็นหลัก?  ความโอหังและความโง่เขลาอันดื้อด้าน  ความโง่เขลาอันดื้อด้านคืออะไร?  หมายความว่าเจ้านั้นทั้งโง่เขลาและดื้อด้าน  ความโง่เขลาอันดื้อด้านสำแดงตัวเองอย่างไรในแง่ที่เป็นรูปธรรม?  (พวกเขาไม่ตระหนักรู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่คนอื่นมองเห็นได้ และคิดว่าพวกเขาไม่มีอุปนิสัยเหล่านี้  พวกเขายังคิดว่าตนถูกเป็นพิเศษด้วย และคิดว่าพวกเขาทำถูกต้องโดยสมบูรณ์)  ไม่เพียงแต่พวกเขาคิดว่าพวกเขาไม่มีความเสื่อมทรามแง่มุมนี้เท่านั้น แต่พวกเขายังคิดว่าพวกเขากำลังทำได้ดีด้วย  ภายในนั้นพวกเขาถูกอุปนิสัยอันโอหังของตนควบคุม และคิดว่าพวกเขาจะไม่มีวันทำบางสิ่งเช่นนั้น  ไม่สำคัญว่าคนอื่นพูดอย่างไร ตราบที่พวกเขาเองยังไม่ได้ตระหนัก มองเห็น หรือได้รับประสบการณ์กับบางสิ่ง พวกเขาย่อมคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องทบทวนและเข้าใจหรือยอมรับสิ่งนั้น  นี่คือความโง่เขลาอันดื้อด้าน  การบรรยายถึงความโง่เขลาอันดื้อด้านอีกหนทางเป็นอย่างไร?  คือในเวลาที่เจ้าไม่สะทกสะท้านกับเหตุผล  มีคำศัพท์อื่นใดหรือไม่?  (ความโง่เง่า)  ใช่แล้ว ความโง่เขลาอันดื้อด้านเชื่อมโยงกับความโง่เง่าเป็นส่วนใหญ่—ทั้งสองอย่างนี้โง่เขลาและดื้อด้าน  ตัวอย่างเช่น คนอื่นพูดว่า “คุณควรระมัดระวัง  การดื่มน้ำเย็นอยู่ตลอดทำให้การย่อยอาหารช้าลงและทำให้คุณปวดท้องได้”  แล้วพวกเขาก็ตอบกลับว่า “ร่างกายของฉันมีสุขภาพดีเลิศ  ไม่มีอะไรผิดปกติกับฉัน  คุณกำลังเป็นกังวลไปเปล่าๆ”  นี่ไม่ใช่ความโง่เขลาอันดื้อด้านหรอกหรือ?  (ใช่)  พวกเขาดูเหมือนดื้อด้านและโง่เขลามากเพราะพวกเขายังไม่ได้รับประสบการณ์กับบางสิ่ง แต่กระนั้นพวกเขากลับคิดว่าตนถูกยิ่งนัก  เหตุใดเราจึงพูดว่าพวกเขาดื้อด้านและโง่เขลา?  เพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์ ทว่ากลับอาจหาญที่จะขัดแย้งกับสิ่งที่ใครบางคนที่มีประสบการณ์พูด  พวกเขาไม่ยืนยันความถูกต้องแม่นยำของคำพูดเหล่านี้หรือเรียนรู้บทเรียนจากคำพูดเหล่านี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับคิดว่าพวกเขาถูกต้องยิ่งนัก และไม่ยอมรับสิ่งที่คนอื่นพูด  นี่เป็นการดื้อด้านและโง่เขลา ตลอดจนโอหังและคิดว่าตนถูก  ในการเข้าสู่ชีวิตของเขา เปโตรสามารถเรียนรู้จากความล้มเหลวของผู้อื่น  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่าอย่างไร?  (พระเจ้าตรัสว่าเปโตร “ซึมซาบสิ่งดีๆ จากวันเวลาที่ผ่านไปแล้ว และปฏิเสธสิ่งที่ไม่ดี” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักความเป็นจริง))  คนที่ดื้อด้านและโง่เขลาไม่สามารถแม้แต่ยอมรับสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา และพวกเขาก็ไม่เรียนรู้จากสิ่งนั้น  ผู้คนมองสิ่งนี้ว่าเป็นเรื่องโง่เง่า แต่อันที่จริงแล้วเป็นปัญหากับอุปนิสัยของพวกเขา—ปัญหานี้เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง

พวกเรากลับมาที่หัวข้อเกี่ยวกับวิธีที่บรรดาผู้ที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมาและวิธีที่พวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมากันเถิด  เราเพิ่งพูดว่าอะไรคือหนทางหลักที่บรรดาผู้ที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมา?  จงบอกเราที  (บรรดาผู้ที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสามารถเข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังเปิดโปงสภาวะใดของมนุษย์ และยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับความคิด แนวคิด การกระทำ และพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของตนเอง  พวกเขาสามารถเข้าใจว่าพระเจ้ากำลังตรัสสิ่งใด)  เจ้ากล่าวตรงกับประเด็นหลักส่วนใหญ่  เมื่อคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอ่านพระวจนะของพระเจ้าซึ่งเผยให้เห็นสิ่งที่ไม่รู้มาก่อน พวกเขาสามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้ และรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังพูดถึงความจริงใด ผู้คนควรเข้าสู่สิ่งใด พระวจนะของพระองค์กำลังเปิดโปงอุปนิสัยใดของมนุษย์ รวมทั้งพระวจนะของพระองค์กำลังเปิดโปงสภาวะและการสำแดงใดของมนุษย์  พวกเขาสามารถยกตัวเองมาเปรียบกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และตระหนักรู้ถึงสิ่งเหล่านี้  ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตัวเองออกมาอย่างนี้นี่เอง  ก่อนหน้านี้ เมื่อเรากำลังสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีที่ผู้คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนเองออกมา พวกเราได้หยิบยกคำถามขึ้นมาข้อหนึ่ง ซึ่งก็คือว่าพวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในทุกเรื่องหรือไม่  มีไหม?  (ไม่มี  ในบางเรื่องนั้นพวกเขาสามารถเปรียบเทียบตัวเองกับสภาวะทั้งหลายที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงได้ และดังนั้นพวกเขาจึงสำแดงความเข้าใจฝ่ายวิญญาณออกมา ในขณะที่ในเรื่องซึ่งพวกเขายังไม่ได้รับประสบการณ์นั้น พวกเขาไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ)  หากพวกเขายังไม่ได้รับประสบการณ์กับบางสิ่งและไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  เช่นนั้นถ้าเกิดมีสิ่งทั้งหลายซึ่งพวกเขาได้รับประสบการณ์แล้ว แต่พวกเขาไม่เข้าใจความจริงที่มีอยู่ในสิ่งเหล่านั้น จึงไม่ยอมรับสิ่งต่างๆ ดังกล่าว หรือไม่รับรู้ว่าเป็นความจริง—นั่นนับว่าเป็นการมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่?  (ไม่นับ)  นี่ก็ไม่ใช่การมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเช่นกัน  ถ้าเกิดพวกเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาได้ยินคือความจริง—นี่นับว่าเป็นการมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่?  (ไม่นับ)  พวกเจ้าคนใดสำแดงตนออกมาในหนทางเหล่านี้หรือไม่?  ตัวอย่างเช่น เมื่อเป็นเรื่องของความจริงเกี่ยวกับการนบนอบ บางคนกล่าวว่า “พวกเราต้องนบนอบในเรื่องนี้  ผู้คนไม่มีอะไรให้คุยโวเลย และเป็นหน้าที่และภาระผูกพันของพวกเขาที่จะนบนอบ”  หลังจากได้ยินเช่นนี้ เจ้าก็คิดในใจว่า “นี่คือความจริงจำพวกใดกัน?  นบนอบในเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?  จากมุมมองของฉัน ในที่นี้ไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องนบนอบ!”  เจ้าไม่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในเรื่องนี้หรอกหรือ?  (ขาดพร่อง)  อันที่จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการที่ว่าประสบการณ์ของเจ้าลึกซึ้งหรือตื้นเขินเพียงใด นี่คือคำถามที่ว่าเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่อย่างถ่องแท้  เราจะยกตัวอย่างสักข้อ  เมื่อโยบถูกทดสอบ เขากล่าวว่าอย่างไร? (“พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21))  หลังจากผู้คนได้ยินเขาพูดเช่นนี้ พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงในสิ่งที่เขาพูดหรือไม่?  (ไม่สามารถ)  ดังนั้นผู้คนมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้  ทุกคนมีความสามารถในการได้รับประสบการณ์กับเรื่องทั้งสองเรื่องเกี่ยวกับการที่พระเจ้าประทานและทรงเอาไปเสียมิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าได้รับประสบการณ์กับเรื่องเหล่านั้นแล้ว แต่เจ้าไม่เข้าใจความจริงที่มีอยู่ในเรื่องเหล่านั้น ดังนั้นเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่มี)  เจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  คำพูดที่โยบกล่าวมีความจริงใดอยู่?  (ว่าพระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยและทรงปกครองเหนือทุกสิ่ง)  นั่นก็คือเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยเหนือทุกเหตุการณ์และทุกสรรพสิ่ง และการตัดสินพระทัยที่จะประทานหรือทรงเอาไปเสียก็อยู่กับพระองค์  แล้วผู้คนควรปฏิบัติสิ่งใด?  (การนบนอบ)  ถูกต้อง  พวกเขาควรนบนอบ ยอมรับ และสรรเสริญอธิปไตยของพระเจ้า  เมื่อผู้คนเข้าใจคำพูดเหล่านี้และความจริงที่มีอยู่ในคำพูดเหล่านี้ เมื่อนั้นพวกเขาย่อมมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้  หากผู้คนไม่เข้าใจความจริงที่บรรจุอยู่ในคำพูดเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้  ณ เวลานี้ พวกเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับคำพูดของโยบหรือไม่?  (ไม่มี)  หากสิ่งที่เจ้าเข้าใจคือคำสอน เจ้าย่อมกล่าวว่า “โยบมีประสบการณ์ที่ดี  พระเจ้าตรัสว่าโยบเป็นคนชอบธรรม ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นไปตามความจริงและสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้”  เจ้าเข้าใจคำสอน  แล้วคำสอนนี้จะกลายเป็นความเป็นจริงความจริงของเจ้าเมื่อใด?  (เมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพการณ์ที่สิ่งทั้งหลายถูกเอาไปเสียจากข้าพระองค์จริงๆ และข้าพระองค์สามารถขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า นบนอบพระเจ้า และไม่พร่ำบ่น และปฏิบัติความจริงในแง่มุมนี้โดยทางนั้น)  เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงแง่มุมนี้ได้ แต่การปฏิบัติของเจ้าเป็นการทำตามข้อบังคับและการเลียนแบบผู้อื่น หรือเป็นความเข้าใจที่แท้จริงลึกลงไปในหัวใจของเจ้าเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้า?  ในที่นี้มีความแตกต่างอยู่ประการหนึ่งมิใช่หรือ?  การปฏิบัติแบบใดคือการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง?  ตอนนี้มีผู้คนมากมายที่หลังจากได้เห็นตัวอย่างที่โยบทำไว้ก็สามารถกล่าวเช่นเดียวกับโยบ แต่เวลาที่พวกเขาพูดสิ่งเหล่านี้ พวกเขาเพียงแค่เลียนแบบโยบ หรือว่าคำพูดของพวกเขา ดังเช่นของโยบ ถูกกล่าวออกมาเมื่อมีการตระหนักถึงความจริงและข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยเหนือมวลมนุษย์หลังจากได้รับประสบการณ์หลายทศวรรษ?  สิ่งใดในบรรดาสิ่งเหล่านี้คือความเป็นจริงความจริง?  (สิ่งที่มาจากประสบการณ์คือความเป็นจริง)  มีเพียงสิ่งทั้งหลายที่เจ้ารู้สึกและเข้าใจผ่านทางประสบการณ์เท่านั้นที่เป็นความเป็นจริงความจริง การเลียนแบบคำพูดของคนอื่นไม่ใช่ความเป็นจริง  วลีที่โยบกล่าวมีความเป็นจริงอยู่แง่มุมหนึ่ง แต่เมื่อคนที่เลียนแบบคำพูดของโยบกล่าววลีเดียวกันนี้ วลีนั้นก็กลายเป็นคำขวัญที่พวกเขาใช้เพื่ออำพรางตนและปลอมแปลงตนว่าเป็นผู้คนฝ่ายวิญญาณ  ผู้คนเหล่านี้เป็นคนหลอกลวงทางศาสนา  บางคนที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำในคริสตจักร รวมถึงมีความรับผิดชอบและสถานะ มักจะสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงถึงคำพูดเหล่านั้นที่โยบได้กล่าวไว้ว่า  “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  ผู้คนที่รับฟังรู้สึกอย่างไร?  สิ่งที่พวกเขารู้สึกคือ “คำพูดเหล่านี้มาจากพระเจ้า  ถูกนำมาแสดงผ่านทางความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงนำของพระเจ้า  คำพูดเหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างที่สุด”  ถัดมาไม่ถึงหนึ่งปี ผู้นำเหล่านั้นก็ถูกปลดเพราะไม่สามารถทำงานจริงได้ ทำให้การเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรล่าช้า และถ่วงความก้าวหน้าในงานของคริสตจักร และพวกเขาก็กลายเป็นคิดลบและพร่ำบ่นหลังจากนั้น  ผู้คนเช่นนี้กล่าวคำพูดเดียวกันกับโยบ แต่ไม่ได้รับประสบการณ์เช่นเดียวกับที่โยบประสบ และไม่มีประสบการณ์หรือความเข้าใจที่ลึกซึ้งในคำพูดเหล่านี้  เพราะฉะนั้นเวลาที่พวกเขากล่าว พวกเขากำลังเลียนแบบหรือกล่าวด้วยความจริงใจ?  (พวกเขากำลังเลียนแบบ)  เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่พวกเขาคิดลึกลงไปภายใน เวลาที่พวกเขากล่าว คำพูดของพวกเขารวมความรู้สึกส่วนตัว และมีความจริงใจ  พวกเขามีความปรารถนา ซึ่งก็คือว่าเมื่อพระเจ้าประทานสิ่งทั้งหลายให้กับพวกเขา พวกเขาสามารถสรรเสริญพระองค์และขอบคุณพระองค์อยู่เสมอสำหรับพรและของประทานที่พระองค์ประทานแก่พวกเขา และเมื่อพระเจ้าทรงเอาสิ่งทั้งหลายไปเสียจากพวกเขา พวกเขาจะไม่พร่ำบ่นอย่างแน่นอนที่สุด แต่จะสามารถสรรเสริญพระเจ้าดังเช่นที่โยบทำ และขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงนำและอธิปไตยของพระองค์  อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่ความปรารถนา และพวกเขายังไม่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งนี้  เมื่อพวกเขาไม่เหลือตำแหน่งและสถานะ เป็นเพียงแค่ผู้เชื่อปกติธรรมดา พวกเขาทำในสิ่งที่พูดหรือไม่?  (ไม่)  เราพูดไม่ได้หรอกว่าพวกเขาไม่ทำในสิ่งที่พูดแม้แต่น้อย นั่นขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด  ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงใช้คำพูดเหล่านี้เพื่อประเมินวัดพฤติกรรมของตนเอง และใช้เป็นเครื่องนำทางสำหรับประสบการณ์ของตน และสามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองและค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติในคำพูดเหล่านี้ได้  พวกเขาไม่หงุดหงิดหรือคิดลบเกินไป และสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามปกติ  ในทางตรงกันข้าม ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่กลับท่องคำขวัญแทนย่อมเดือดร้อน พวกเขาสำแดงตนเองออกมาแตกต่างกัน  หนทางใดที่เห็นได้ชัดที่สุดที่พวกเจ้าได้เห็นคนประเภทนี้เผยตัวเองออกมา?  (หลังจากถูกปลด ผู้นำบางคนไม่พยายามที่จะรู้จักตนเอง และไม่นบนอบ  พวกเขาคิดว่าการปลดพวกเขาออกนั้นไม่เป็นธรรม และกลายเป็นคิดลบและพร่ำบ่น  ครั้งถัดไปที่มีการคัดสรรพวกเขาก็ดิ้นรนเพื่อให้ได้อำนาจกลับคืนมา กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์และถูกขับไล่ในท้ายที่สุด)  นี่เป็นกรณีที่รุนแรงที่สุด  มีการสำแดงอื่นใดอีก?  (หลังจากถูกปลดบางคนเพียงแค่ทำงานทั่วไป และไม่ปฏิบัติหน้าที่)  นี่เป็นคนประเภทใด?  เหตุใดพวกเขาจึงอวดตัวและท่องคำขวัญก่อนหน้านี้?  พวกเขาท่องสิ่งต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้ยิน และใช้คำขวัญ คำสอน และคำพูดที่ฟังเสนาะหูเหล่านี้เพื่อเสริมแต่งตัวเอง เอาชนะใจผู้คน และทำให้ผู้คนเคารพพวกเขา  นั่นคือเป้าหมายของพวกเขา  มีการสำแดงอื่นใดอีก?  (ก่อนที่พวกเขาจะถูกปลด ผู้นำและคนทำงานบางคนภายนอกนั้นดูเหมือนไล่ตามเสาะหาอย่างเอาจริงเอาจัง และกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย” แต่หลังจากพวกเขาถูกปลด พวกเขาก็คิดลบและไม่สามารถหยัดยืนใหม่ได้ และถึงขั้นโมโหและด่าทอผู้คน โดยคิดว่าสิ่งที่พวกเขาสละและให้ไปก่อนหน้านั้นล้วนแต่สูญเปล่า ราวกับว่าพระนิเวศของพระเจ้าติดค้างพวกเขา)  ผู้คนที่พูดสิ่งเหล่านี้และทำเรื่องแบบนี้มีปัญหารุนแรง  ก่อนอื่นคนเราต้องแยกแยะธรรมชาติของการที่พวกเขากล่าวสิ่งเหล่านี้  พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่เลียนแบบคำพูดของโยบ ปั้นแต่งมงกุฎอันสวยงามสำหรับศีรษะของตน และพยายามทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าพวกเขาเป็นคนฝ่ายวิญญาณเพื่อที่จะอวดตัวและชักพาผู้คนให้หลงผิด  นี่ไม่ใช่การสำแดงถึงการล้อเล่นกับความจริงและการหมิ่นประมาทพระเจ้าหรอกหรือ?  จงบอกเราที คนประเภทไหนที่เมื่อสูญเสียชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตนแล้ว ก็ตีโพยตีพายเป็นพิเศษ ไถลตัวลงสู่ความคิดลบ หยุดทำหน้าที่ของตน ทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วแย่ลงไปอีกด้วยการฟันธงว่าตัวเองสิ้นหวังแล้ว และถึงขั้นเลิกเชื่อ?  (คนที่มีความเป็นมนุษย์เลวทราม และคนชั่ว)  ถูกต้อง  คนที่มีความเป็นมนุษย์เลวทรามและคนชั่วย่อมไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน แต่หากคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะสำแดงตนออกมาในหนทางนี้ด้วยหรือไม่?  ย่อมสำแดงออกมาแน่นอน  นอกจากคนชั่วที่สำแดงตนออกมาในหนทางนี้แล้ว ยังมีสถานการณ์อีกอย่างซึ่งเชื่อมโยงกับสิ่งที่คนไล่ตามเสาะหาและเส้นทางที่พวกเขาเดินโดยตรง  ต่อให้โดยผิวเผินแล้วดูเหมือนว่าคนที่ไม่รักความจริงมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้างก็ตาม จะไม่มีผลลัพธ์ที่ดีจากการนั้น และพวกเขาก็ล้วนแต่มีแก่นแท้ที่ชั่ว และสามารถละเมิดความจริงและต้านทานพระเจ้าได้ และหากพวกเขามีสถานะ พวกเขาก็สามารถทำความชั่วได้  มีอีกปัญหาที่รุนแรงที่สุดซึ่งก็คือคนเช่นนี้มีใจจดจ่อที่จะไล่ตามไขว่คว้าสถานะเป็นพิเศษ  หากพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้มีสถานะ หรือไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้นำ นั่นก็ดูราวกับชีวิตของพวกเขากำลังถูกพรากไป  พวกเขาสามารถยอมรับการนั้นได้หรือไม่?  เมื่อพวกเขามีสถานะ ไม่สำคัญว่าพวกเขาทนทุกข์มากเพียงใดหรือพวกเขาสู้ทนการถูกปฏิบัติที่ไม่ดีด้วยมากเพียงใด พวกเขาก็เต็มใจ  อย่างไรก็ตาม คนเราไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเพียงเพราะว่าพวกเขาเต็มใจ หรือเพราะพวกเขาสู้ทนความทุกข์และยอมลำบาก  นั่นย่อมจะผิด  สิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าคือชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ สิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าคือผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง  การนี้คล้ายกับเปาโลในทางใด?  (เขาไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎ)  ถูกต้อง  เขาไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎ และเป็นมงกุฎแห่งความชอบธรรม  นี่คือสิ่งที่ผู้คนดังเช่นเปาโลไล่ตามไขว่คว้า—พวกเขาปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎดังเช่นการไล่ตามเสาะหาที่ถูกควร และดังเช่นการไล่ตามเสาะหาความจริง  หลังจากนี้ พวกเจ้าจะมีวิจารณญาณเกี่ยวกับคนจำพวกนี้บ้างหรือไม่?  (มี)  สมมติว่าคนคนหนึ่งโมโหและด่าทอผู้คนหลังจากถูกปลดและสูญเสียสถานะของตน และไม่ใส่ใจหรือพูดคุยกับเหล่าพี่น้องชายหญิงที่พวกเขาพบเจอ และเมื่อพวกเขาถูกขอให้ประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาก็กล่าวว่า “ฉันจะไม่ประกาศข่าวประเสริฐ  ฉันจะไม่ทำงานรับใช้คุณ!  คุณคิดถึงฉันเมื่อคุณต้องการฉัน แต่ก็แค่เขี่ยฉันให้พ้นทางและปลดฉันเมื่อคุณไม่ต้องการฉัน ฉันไม่โง่เง่าขนาดนั้นหรอก!”  คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดประเภทใด?  คำพูดเหล่านี้ง่ายที่จะแยกแยะหรือไม่?  พวกเขาเป็นผู้เชื่ออย่างไรกัน?  พวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงจำพวกใดเลย และไม่ใช่คนดีจำพวกใดเลย  คนประเภทไหนตีโพยตีพายมากที่สุดหลังจากถูกปลด?  (คนที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ)  พวกเจ้าเพิ่งกล่าวว่าคนประเภทนี้มีความเป็นมนุษย์ที่เลวทราม หรือว่าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการเข้าสู่ชีวิต  นั่นเกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของปัญหานี้หรือไม่?  (ไม่เกี่ยวข้อง)  สิ่งที่เจ้าพูดดูเหมือนมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับแก่นแท้ของปัญหานี้  สิ่งนั้นไม่ใช่แก่นแท้ของปัญหานี้  พวกเจ้าเพิ่งกล่าวว่าเหตุผลที่ผู้คนบางคนพร่ำบ่นและพิจารณาตัวเองว่าไร้ประโยชน์หลังจากถูกปลดเป็นเพราะพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่เลวทราม  เหตุใดเราจึงพูดว่านี่คือคำสอน?  เป็นเพราะผู้คนบางคนมีความเป็นมนุษย์ที่ดีพอควร และยอมมอบตัวเองและสละตนเองอย่างจริงใจ เพียงแค่ว่าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะอยู่เสมอ  ผลก็คือ เมื่อพวกเขาถูกปลดในท้ายที่สุดพวกเขาก็ตีโพยตีพายใหญ่โต  นี่แสดงให้เห็นว่าหนทางที่พวกเขาสำแดงตนออกมาไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ที่เลวทราม แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยของพวกเขา—อุปนิสัยของพวกเขาถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างรุนแรงเหลือเกิน!  ผู้คนบางคนสรุปการนี้ในหนึ่งวลี และพูดว่า “คนคนนี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นั่นล่ะคือเหตุผล”  คำกล่าวนี้กว้างเกินไป  มีหลายหนทางที่การไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถสำแดงตัวเองออกมาได้ กล่าวคือ การพร่ำบ่น การไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างอุทิศตน ฯลฯ ล้วนแต่เป็นตัวอย่าง  คนเราไม่สามารถอธิบายทุกปัญหาได้ด้วยวลีวลีเดียวที่ว่า “พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง”  คำกล่าวนี้กว้างเกินไปและไม่เป็นรูปธรรม  คำกล่าวนี้เป็นการอธิบายโดยอิงตามคำสอน

ตอนนี้เราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีที่การขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตัวเองออกมา  พวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมีท่าทีใดต่อความจริง?  พวกเขาจัดการสภาวะของตนเอง การสำแดงต่างๆ และความเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมาอย่างไร?  พวกเขาสามารถมีการสำแดงของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  อะไรคือปัญหาใหญ่ที่สุดในที่นี้?  (พวกเขาไม่เข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังเปิดโปงสภาวะหรือการสำแดงแบบใดของมนุษย์ และไม่สามารถใช้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เพื่อยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเอง)  โดยหลักแล้วเป็นพวกเขาไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้  หากพวกเขาไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้ จะพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาเข้าใจความจริง?  (ไม่ได้)  เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งหนึ่ง แต่พวกเขาพูดถึงบางสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งนั้นอย่างสิ้นเชิงอยู่เสมอ พวกเขาไม่ลงรอยกับเจ้าและถกเถียงกับเจ้าอยู่เสมอ  ไม่มีจุดสนใจร่วมกันในประเด็นปัญหาที่เจ้าและพวกเขากำลังถกเถียงกันอยู่ และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่พวกเขายังคงคิดว่าพวกเขาค่อนข้างมีเหตุผลอันชอบธรรม  พวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมาอย่างนี้นี่เอง  คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไม่สามารถเข้าใจความจริงได้  พวกเขาสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  นี่ย่อมเป็นปัญหา หากพวกเขาไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ พวกเขาจะสามารถมีการเข้าสู่ชีวิตได้หรือ?  (ไม่สามารถ)  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่อาจเข้าสู่ชีวิตได้ นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด  หากคนคนหนึ่งได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแต่ไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วพวกเขาใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  พวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน  บางคนกล่าวว่า “ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอ  แม้ว่าบางคนไม่เข้าใจความจริง แต่พวกเขาก็กระตือรือร้นมากและละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสละตนเองเพื่อพระเจ้า  พวกเขาจะไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างไร?”  ทรรศนะนี้ถูกต้องหรือไม่?  เมื่อประเมินวัดว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ คนเราไม่สามารถเพียงแค่ดูที่ว่าพวกเขาละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสละตนเองเพื่อพระเจ้าได้หรือไม่  สิ่งสำคัญที่คนเราต้องดูก็คือว่าหัวใจของพวกเขาให้ความสำคัญกับสิ่งใด  หากสิ่งที่หัวใจของพวกเขาให้ความสำคัญคือการปฏิบัติความจริง การเข้าสู่ความจริง และการได้รับความจริง และพวกเขามีประสิทธิผลในการเข้าสู่ชีวิต เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  หากพวกเขาละทิ้งและสละตนเองเพื่อที่จะได้มาซึ่งมงกุฎและบำเหน็จ และพวกเขาได้ละทิ้งและสละตนเองมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทนทุกข์มามากแล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และยังไม่สามารถเข้าใจพระเจ้า เช่นนั้นแล้วการละทิ้งและการสละของพวกเขาจริงๆ แล้วใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  เป็นที่ปรากฏชัดว่าพวกเขาไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เพราะการละทิ้งและการสละของพวกเขายังไม่ได้ส่งผลให้พวกเขาเข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาละทิ้งและสละจึงไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนเยี่ยงนี้เป็นเหมือนเปาโลไม่มีผิด  เปาโลใช้เวลาครึ่งหนึ่งของชีวิตของตนในการประกาศและทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เขาก็ไม่ได้รับความจริง อีกทั้งเขาก็ไม่ได้รับองค์พระผู้เป็นเจ้า  แล้วเจ้ากล่าวได้หรือไม่ว่าเปาโลเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  เมื่อเป็นเรื่องที่ว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดที่คนเราดูที่ว่า เป้าหมายที่พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าอยู่รวมทั้งเจตนาของพวกเขา ให้ความสำคัญกับการได้รับความจริงหรือไม่  หากพวกเขาให้ความสำคัญกับการทุ่มเทความพยายามให้กับความจริงอย่างแท้จริง และมีประสิทธิภาพกับสิ่งทั้งหลายอย่างการปฏิบัติความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริง เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงมีความสามารถที่จะปฏิบัติความจริง และมีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่เป็นผู้ที่มีการเข้าสู่ชีวิต  หากใครบางคนพูดว่าพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะพูดว่าคนคนนี้มีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  พวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิตอย่างแน่นอน  ใครบางคนที่ไม่ปฏิบัติความจริงจะสามารถมีการเข้าสู่ชีวิตได้อย่างไร?  แน่นอนที่สุดว่านี่ย่อมเป็นไปไม่ได้  หากพวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีการเข้าสู่ชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรถามพวกเขาว่า “อะไรคือสิ่งพิสูจน์การเข้าสู่ชีวิตของคุณ?”  แค่เชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาพูดคือความจริงยังไม่เพียงพอ  หากไม่มีข้อพิสูจน์ สิ่งที่พวกเขาพูดย่อมไม่เป็นจริง  หากเจ้าพูดว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าเข้าใจความจริงมากแค่ไหน?  เจ้าได้นำความจริงไปปฏิบัติมากแค่ไหนแล้ว?  เจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแง่มุมใดแล้วบ้าง?  เจ้าพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่สามารถพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมกำลังใช้กลอุบายกับผู้คนและชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วยการกล่าวว่าเจ้าเป็นคนคนหนึ่งที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เหตุใดเราจึงพูดว่าเปาโลไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  เป็นเพราะจดหมายที่เปาโลเขียนไม่ได้บรรจุคำพยานใดๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตแม้แต่น้อย เขาไม่สามารถพูดถึงความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะพูดถึงการนบนอบหรือความรักที่มีให้กับองค์พระเยซูเจ้า  เขาไม่มีแม้แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองเสียด้วยซ้ำ  เขาก็แค่พูดว่าเขาเป็นคนบาปที่แย่ที่สุด  เขาพูดเช่นนี้โดยอิงตามข้อเท็จจริงที่ว่าเขาถูกลงโทษด้วยเหตุที่ต้านทานองค์พระเยซูเจ้า  ด้วยการพูดว่าเขาเป็นคนบาปที่แย่ที่สุด เขาก็แค่กำลังยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้ทำบาปด้วยการต้านทานองค์พระเยซูเจ้าอย่างบ้าคลั่ง  นี่หมายความว่าเขาเข้าใจอุปนิสัยและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตัวเองอย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงพูดว่า เมื่อเป็นเรื่องที่ว่าสิ่งใดประกอบกันขึ้นเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง และคนประเภทใดมีการเข้าสู่ชีวิต ก็ควรพิจารณาเรื่องดังกล่าวโดยอิงตามเรื่องที่ว่าพวกเขาเข้าใจความจริงและปฏิบัติความจริงหรือไม่ แทนที่จะเพียงแค่พิจารณาโดยอิงตามสิ่งที่พวกเขาพูดเองเออเอง  ทีนี้เจ้าเข้าใจสิ่งที่เราพูดอยู่หรือไม่?  เหตุใดพวกเราจึงสามัคคีธรรมกันโดยละเอียดเช่นนี้?  จำเป็นหรือไม่?  (จำเป็น)  เหตุใดจึงจำเป็น?  เรากำลังสามัคคีธรรมในหนทางนี้เพื่อที่จะชำแหละทรรศนะที่คลาดเคลื่อนของพวกเจ้า แก้ไขสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าคิดโดยสำคัญผิดว่าถูกต้อง ช่วยพวกเจ้าหาทางออก ปล่อยมือจากสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าคิดโดยสำคัญผิดว่าถูกต้อง แล้วจึงเข้าสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงที่แท้จริง  เมื่อนั้นผู้คนย่อมจะมีการเข้าสู่ชีวิตอย่างแท้จริง และสามารถสัมฤทธิ์การไล่ตามเสาะหาความจริงที่แท้จริงได้  ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไม่เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตหรือการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงหลายแง่มุมของตัวเองแล้ว และได้สัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตแล้ว  ตัวอย่างเช่น พวกเขาได้เปลี่ยนนิสัยที่แย่บางอย่างแล้ว กล่าวคือ พวกเขาไม่กินมากเกินไป ไม่นอนมากเกินไป ไม่เกียจคร้าน และอุตสาหะมากกว่าแต่ก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่านี่หมายความว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิต  มีผู้คนอื่นๆ ที่คิดถึงว่าพวกเขาเคยด่าว่าผู้คนอยู่เสมออย่างไร แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาสามารถพูดสิ่งที่ดีและสิ่งที่สร้างสรรค์กับผู้คนได้ และบางครั้งก็สามารถช่วยเหลือผู้คนได้  เพราะพวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเขาจึงคิดว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงอยู่แล้วและได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงแล้ว  ผู้คนบางคนคิดว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตเพราะพวกเขาสามารถปล่อยผ่านการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ สถานะ และความสำราญทางกายได้  นี่เป็นปัญหาทั่วไปสำหรับทุกคน  พวกเขาได้ปฏิบัติสิ่งที่พวกเขาเข้าใจ สิ่งที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องและดีตามมโนคติอันหลงผิดของตนเรื่อยมา และพวกเขาก็ได้จัดการกับนิสัยที่แย่และลักษณะนิสัยที่เป็นปัญหาของเนื้อหนังมากมายแล้ว หรือได้เปลี่ยนหลักเกณฑ์ของลีลาชีวิตของตนเพราะการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว  ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ได้ละทิ้งประโยชน์ทางเนื้อหนังมากมาย ละทิ้งครอบครัวและงานของตน และทิ้งการสมรสของตนและโลกปุถุชนแล้ว  พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงแล้วและได้รับการช่วยให้รอดแล้ว และกล่าวว่า “หากฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ฉันจะปล่อยมือจากทั้งหมดนี้ได้หรือ?  ฉันจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนั้นได้หรือ?”  นี่ไม่ใช่ความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ที่สุดที่ผู้เชื่อมีหรอกหรือ?  (ใช่ เป็นดังนั้น)  ไม่ว่าผู้คนมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่ พวกเขาก็ล้วนแต่มีความเข้าใจผิดนี้  เหตุใดเราจึงพูดว่านี่คือความเข้าใจผิด?  เหตุใดเราจึงพูดในที่นี้มีปัญหาที่ร้ายแรง?  โดยหลักแล้วเป็นเพราะผู้คนเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าพระเจ้าทรงเรียกร้องสิ่งใดต่อผู้คนกันแน่  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับคิดตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ โดยเชื่อว่าการที่สามารถปล่อยมือจากครอบครัว การงาน ความรู้สึกของตน โลกปุถุชน สิ่งพัวพันยุ่งเหยิงแห่งเนื้อหนัง และแม้กระทั่งทรัพย์สินของตน หมายความว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิต  นี่คือความเข้าใจผิด  อันที่จริงแล้วเจตนารมณ์ของพระเจ้าก็คือ เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน แก้ไขปัญหาของตนเกี่ยวกับการต้านทานพระเจ้า และแก้ไขรากเหง้าแห่งบาปที่พวกเขากระทำ  ในการทำเช่นนี้ ผู้คนต้องเข้าใจความจริงและเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าก่อนที่พวกเขาจะสามารถสลัดทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าที่แท้จริงได้  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากผู้คน และยังเป็นพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในการช่วยผู้คนให้รอดด้วย  ผู้คนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าเลย พวกเขามองไม่เห็นเป้าหมายและผลลัพธ์ที่พระองค์ต้องประสงค์จะสำเร็จลุล่วงผ่านพระราชกิจนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงแทนที่ความจริงด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ และพิจารณาการไล่ตามเสาะหาของผู้คนและสิ่งที่พวกเขาสามารถสำเร็จลุล่วงได้ว่าเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากผู้คน  นี่คือความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีเมื่อเชื่อในพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาสามารถสำเร็จลุล่วงได้แสดงให้เห็นความกระตือรือร้นของพวกเขาเท่านั้น และเมื่อพวกเขาละทิ้งสิ่งทั้งหลาย อันที่จริงแล้วพวกเขากำลังหาทางที่จะทำธุรกรรมกับพระเจ้า—นั่นกระทำไปเพื่อแลกกับบำเหน็จและมงกุฎ  พวกเขาคิดว่าธุรกรรมเช่นนี้ควรค่าจริงๆ และพวกเขาก็กำลังทำข้อตกลงอยู่  นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง  การละทิ้งสิ่งทั้งหลายไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริง อีกทั้งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้า  ขณะที่พวกเขาละทิ้งและสละ พวกเขาเข้าใจความจริงจริงๆ หรือไม่?  (ไม่ พวกเขาไม่เข้าใจ)  หากพวกเขาไม่เข้าใจความจริง การละทิ้งและการสละของพวกเขาแปดเปื้อนหรือไม่?  แน่นอนอย่างที่สุด  เช่นนั้นแล้วด้วยการสละและทนทุกข์เช่นนี้พวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาสิ่งใดกันแน่?  ผู้คนเช่นนี้ไม่เคยใส่ใจเกี่ยวกับว่าความจริงคืออะไร หรือข้อเรียกร้องของพระเจ้าคืออะไร พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา  ในหัวใจของพวกเขา อะไรก็ตามที่พวกเขาคิดย่อมถูกต้อง อะไรก็ตามที่พวกเขาคิดย่อมดี และอะไรก็ตามที่พวกเขาคิดคือการเข้าสู่ชีวิต นั่นคือสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติ และหลังจากปฏิบัติสิ่งนั้น พวกเขาก็คิดว่าพระเจ้าทรงจดจำสิ่งนั้นไว้แล้ว  พวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ดังเช่นเบี้ยที่ใช้แลกเปลี่ยนและต้นทุน  เหล่านี้ใช่การสำแดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่คือความเข้าใจผิดที่สร้างขึ้นโดยผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่เป็นหนึ่งในหนทางที่ผู้คนที่เข้าใจการเข้าสู่ชีวิตผิดตีความสิ่งทั้งหลาย  แล้วคนเราประเมินวัดและพิสูจน์อย่างไรว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การสำแดงถึงการที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงรวมทั้งพวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิต?  ข้อเท็จจริงใดสามารถใช้เพื่อยืนยันได้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาพูดนั้นไม่ถูกต้อง?  (พวกเขากระทำการโดยปราศจากหลักธรรมความจริง)  นี่เป็นส่วนหนึ่งของการนั้น  พวกเขากระทำการโดยอิงตามสิ่งที่พวกเขาจินตนาการ  จากภายนอกนั้นพวกเขาดูเหมือนผู้เชื่อที่แท้จริง พวกเขาสามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตนเองได้ แต่พวกเขาไม่มีหลักธรรมในการกระทำของตน  เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีหลักธรรม?  เพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  มุมมองที่พวกเขาใช้มองสิ่งทั้งหลายยังคงเป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันแบบเดียวกับที่พวกเขาเริ่มต้น  มีปัญหาใหญ่ที่สุดหนึ่งประการที่ผู้คนเช่นนี้มี กล่าวคือ พวกเขานบนอบต่อสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมหรือไม่?  พวกเขาเข้าใจหรือไม่ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเหล่านี้?  (ไม่)  นี่มากพอหรือไม่ที่จะพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิตที่แท้จริง?  (มากพอ)  พวกเขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงมากมายในนิสัยที่แย่และลักษณะเฉพาะที่เป็นปัญหาของตนแล้ว และได้ทำการพลีอุทิศมากมายแล้ว  ในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกเขาถูกทดสอบ ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังคงสามารถพร่ำบ่นและไม่สามารถนบนอบอีกด้วย  นี่คือปัญหาใด?  นั่นก็คือเรื่องที่ว่าพวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิต  ผู้คนที่ไม่มีการเข้าสู่ชีวิตไม่มีความเป็นจริงความจริง นั่นไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  (ถูกต้อง)  เมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้น พวกเขาพึ่งพามโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความเลือกชอบตามธรรมชาติของตนเองโดยสมบูรณ์  เมื่อเจ้าเกิดจริงจังกับพวกเขาขึ้นมาอย่างแท้จริงและขอให้พวกเขานบนอบ พวกเขาไม่นบนอบแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแค่พึ่งพาเหตุผล ข้อแก้ตัว และความคิดฝันของมนุษย์ และมองหาหนทางทุกรูปแบบเพื่อปกป้องตัวเอง และสำเร็จลุล่วงเป้าหมายของตนในการไม่นบนอบพระเจ้ารวมทั้งการไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า  มีแม้กระทั่งบางคนที่สุดโต่งมากเสียจนพวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถนบนอบได้เท่านั้น แต่ยังคงพยายามและคิดหาหนทางทุกอย่างที่จะพิสูจน์ว่ามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเองนั้นถูกต้อง วิธีการและเส้นทางที่พวกเขาคิดนั้นถูกต้อง และการกระทำและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องถูกต้องอีกด้วย  นี่เผยให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำและทั้งหมดที่พวกเขายอมมอบตัวเองหรือเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับตัวเองไม่ใช่การเข้าสู่ชีวิต สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่นิสัยชั่วซึ่งไม่มีอยู่อีกต่อไป  นิสัยส่วนตัว หลักเกณฑ์ และหนทางของชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย และแม้กระทั่งกระแสอารมณ์บางส่วนของผู้คนก็อาจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเขาพูดอย่างสุภาพมากขึ้นและมีวัฒนธรรมมากขึ้น และพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาก็อาจเป็นมาตรฐานมากขึ้น แต่เมื่อพวกเขาทำสิ่งทั้งหลายพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย และไม่เคยทำสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง ทั้งหมดเป็นความคิดฝันและความพึงปรารถนาส่วนตัวของตัวพวกเขาเอง  พวกเขาไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขารู้เพียงแค่วิธีพูดถึงทฤษฎีฝ่ายวิญญาณเล็กน้อยเท่านั้น และติดอยู่ในมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความรู้สึกของมนุษย์  พวกเจ้าคิดอย่างไร ผู้คนเหล่านี้น่าเวทนาหรือไม่?  (น่าเวทนา)  แล้วผู้คนเยี่ยงนี้มีมากหรือไม่?  (มีมาก)  พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีมาก?  (เพราะข้าพระองค์เป็นหนึ่งในนั้น)  นี่กระทบใจเจ้าใช่ไหม?  เช่นนั้นแล้วจงพูดถึงประสบการณ์ของพวกเจ้าในเรื่องนี้  (ข้าพระองค์จะแบ่งปันประสบการณ์เรื่องหนึ่ง  พี่น้องชายคนหนึ่งได้ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของข้าพระองค์ต่อหน้าเหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ มากมาย และในเวลานั้นข้าพระองค์ก็รู้สึกถูกทำให้อัปยศอดสู  เพื่อที่จะได้รับความภาคภูมิใจของข้าพระองค์คืนมา ข้าพระองค์จึงพยายามที่จะปกป้องและแก้ต่างให้ตัวเอง  ข้าพระองค์ไม่ได้ยอมรับความคิดเห็นของพี่น้องชายคนนั้น)  เจ้าถูกความภาคภูมิใจของเจ้าจำกัดควบคุม  เหตุใดผู้คนจึงถูกความภาคภูมิใจจำกัดควบคุมอยู่เสมอ?  เพราะผู้คนที่มีศักดิ์ศรีล้วนแต่อ่อนไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ ใช่ไหม?  (ไม่ใช่)  อันที่จริงแล้วผู้คนทำเช่นนี้เพราะพวกเขาต้องการรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบในสายตาของผู้คน  พวกเขาใส่ใจสถานะของตน และต้องการนำเสนอตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบเป็นพิเศษ โดยปราศจากข้อตำหนิ  พวกเขาต้องการทิ้งภาพประทับใจที่สมบูรณ์แบบไว้ในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน และไม่ยอมให้ผู้คนมองเห็นความจริงเกี่ยวกับว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นอย่างไร  นี่คือผลสืบเนื่องของอุปนิสัยอันโอหัง  ตอนนี้ปัญหานี้แก้ไขแล้วหรือยัง?  (ยังไม่ได้แก้ไข  ข้าพระองค์ยังคงเผยให้เห็นปัญหานี้บ่อยครั้ง)  หากคนคนหนึ่งสามารถทบทวนตัวเองและรับรู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้ เช่นนั้นแล้วย่อมจะเป็นเรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนแปลง  หากพวกเขาไม่ทบทวนตัวเอง ไม่สามารถตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้ และด้านชาต่อปัญหาของตนและไม่มีการตระหนักรู้ เช่นนั้นแล้วย่อมจะเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลง  หากพวกเขามีการตระหนักรู้อยู่แล้ว และรู้สึกว่าอุปนิสัยอันโอหังของตนนั้นร้ายแรง มีความเบี่ยงเบนอยู่ในการไล่ตามเสาะหาของตน และพวกเขายังคงอยู่ห่างจากการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่เมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาก็คิดลบเป็นเวลาสองสามวัน และมองหาหนทางที่จะได้รับความภาคภูมิใจคืนมาในทุกสถานการณ์อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วคนเช่นนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?  เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลง  แล้วพวกเขาควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?  แค่ยอมรับความจริงและทบทวนตัวเองพวกเขาก็ยังคงมีความหวังที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้  หากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหานี้  กุญแจสำคัญก็คือผู้คนต้องมีความตั้งใจแน่วแน่และความปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อพวกเขามีหัวใจที่กระหายความจริงอย่างยิ่ง พวกเขาย่อมจะสามารถรักความจริงและยอมรับความจริงได้ และพวกเขาย่อมจะมีเรี่ยวแรงที่จะปฏิบัติความจริงและขัดขืนเนื้อหนัง  ด้วยการยอมรับความจริงเท่านั้นผู้คนจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้อย่างถ้วนทั่ว และทันทีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้รับการแก้ไขแล้ว พวกเขาย่อมจะสามารถปฏิบัติความจริงได้ แล้วพวกเขาจึงจะมีการเข้าสู่ชีวิต

บรรดาผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและผู้ที่ตีความความจริงและการเข้าสู่ชีวิตแบบผิดๆ อยู่เสมอ คิดว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องง่าย ว่าทั้งหมดที่เป็นคือการเปลี่ยนนิสัยที่แย่หรือลักษณะนิสัยที่เป็นปัญหาสองสามอย่างหรือการละทิ้งสิ่งทั้งหลายภายในผลประโยชน์ของตนเองแล้วแต่โอกาส ว่าตราบที่พวกเขาไม่ทำชั่ว และบากบั่นในความเชื่อของตนจนถึงที่สุด พวกเขาย่อมได้รับชีวิตแล้ว และสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เป็นบำเหน็จและพรของพระเจ้าได้  ผู้คนที่ใช้ทรรศนะเช่นนี้เป็นพื้นฐานในการเชื่อของตนในพระเจ้าใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถมีการเข้าสู่ชีวิตได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  มีผู้คนมากมายที่ไม่เข้าใจอย่างชัดเจนแม้แต่น้อยว่าการเข้าสู่ชีวิตเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งใด  พวกเขาคิดว่าคนเรามีการเข้าสู่ชีวิตแค่ด้วยการทุ่มเทความพยายามบ้าง ทำหน้าที่บางอย่าง เปลี่ยนแปลงนิสัยที่แย่และลักษณะนิสัยที่เป็นปัญหาบางอย่าง ทำตามที่ตนได้รับการบอกกล่าว และนบนอบเล็กน้อย  พวกเขามองการเข้าสู่ชีวิตในแบบที่เรียบง่ายเกินไป  ด้วยการเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนหรือไม่?  (ไม่ พวกเขาเพียงแค่กำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ภายนอก แก่นแท้ของพวกเขายังไม่ได้เปลี่ยนแปลง)  พวกเจ้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วเล็กน้อยในตอนนี้ แต่มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมภายนอกของพวกเจ้าหรือไม่ หรือว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าพบทางออกจากทรรศนะที่ผิดของตนเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิต และเริ่มที่จะได้รับการเข้าสู่ชีวิตหรือยัง?  พวกเจ้าสามารถประเมินวัดได้หรือไม่ว่าส่วนไหนของตัวเองได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วและส่วนไหนยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง?  หากเจ้าได้รับหน้าที่ให้ปฏิบัติและแต่เดิมนั้นไร้ความสามารถที่จะนบนอบ เจ้าสามารถนบนอบได้ในระดับใดในตอนนี้?  ตัวอย่างเช่น เจ้าเป็นพี่น้องชายคนหนึ่ง และหากเจ้าถูกขอให้ทำอาหารและล้างจานชามให้กับเหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ทุกวัน เจ้าจะนบนอบหรือไม่?  (ข้าพระองค์คิดอย่างนั้น)  บางทีเจ้าอาจทำได้ในระยะสั้น แต่หากเจ้าถูกขอให้ทำหน้าที่นี้ในระยะยาว เจ้าจะนบนอบหรือไม่?  (ข้าพระองค์อาจนบนอบตามแต่โอกาส แต่เมื่อเวลาผ่านไปข้าพระองค์อาจจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้)  นี่หมายความว่าเจ้ายังไม่ได้นบนอบ  สิ่งใดทำให้ผู้คนไม่นบนอบ?  (เป็นเพราะผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมในหัวใจของตน  พวกเขาคิดว่าผู้ชายควรทำงานนอกบ้านและผู้หญิงควรดูแลงานในบ้าน คิดว่าการหุงหาอาหารคืองานของผู้หญิงและผู้ชายจะเสียหน้าหากต้องหุงหาอาหาร  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการนบนอบไม่ใช่เรื่องง่าย)  ถูกต้อง  มีการเลือกปฏิบัติทางเพศเมื่อเป็นเรื่องของการแบ่งงานกันทำ  ผู้ชายคิดว่า “พวกเราผู้ชายควรออกไปหาเลี้ยงชีพนอกบ้าน  ส่วนสิ่งทั้งหลายอย่างการหุงหาอาหารและการล้างจานชามควรให้ผู้หญิงทำ  พวกเราไม่ควรถูกบังคับให้ทำงานอย่างนั้น”  แต่ในตอนนี้เหล่านี้คือสภาพการณ์พิเศษ และเจ้าก็กำลังถูกขอให้ทำเช่นนั้น แล้วเจ้าทำอย่างไร?  เจ้าต้องยุติความยึดติดใดก่อนที่เจ้าจะสามารถนบนอบได้?  นี่คือประเด็นสำคัญของปัญหานี้  เจ้าต้องยุติการเลือกปฏิบัติทางเพศของตน  ไม่มีงานใดที่ต้องทำโดยผู้ชาย และไม่มีงานใดที่ต้องทำโดยผู้หญิง  จงอย่าแบ่งงานในลักษณะนี้  หน้าที่ที่ผู้คนปฏิบัติไม่ควรกำหนดพิจารณาตามเพศของพวกเขา  เจ้าสามารถแบ่งงานในลักษณะนี้ในบ้านและชีวิตประจำวันของตัวเอง แต่ตอนนี้เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของเจ้า แล้วเจ้าควรตีความเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าควรรับหน้าที่นี้จากพระเจ้าและยอมรับหน้าที่นี้ และเปลี่ยนทรรศนะที่ไม่ถูกต้องที่เจ้ามีอยู่ภายใน  เจ้าควรพูดว่า “ก็จริงที่ฉันเป็นผู้ชาย แต่ฉันเป็นสมาชิกของคริสตจักรและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในสายพระเนตรของพระเจ้า  ฉันจะทำอะไรก็ตามที่คริสตจักรมอบหมายให้ฉันทำ สิ่งทั้งหลายไม่ได้แบ่งตามเพศ”  อันดับแรกเลยก็คือ เจ้าควรปล่อยมือจากทรรศนะที่ไม่ถูกต้องของตน จากนั้นก็ยอมรับหน้าที่ของเจ้า  การยอมรับหน้าที่ของเจ้าใช่การนบนอบที่แท้จริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ในวันต่อๆ มา หากใครบางคนพูดว่าอาหารของเจ้าเค็มเกินไป หรือมีรสชาติไม่ดีพอ หรือพูดว่าเจ้าได้ทำบางสิ่งไม่ดีและพวกเขาไม่ต้องการกินสิ่งนั้น หรือบอกให้เจ้าทำอะไรใหม่ เจ้าจะสามารถยอมรับเรื่องนั้นได้หรือไม่?  ที่จุดนั้น เจ้าจะรู้สึกไม่สบายใจ และเจ้าคิดว่า “ฉันเป็นคนที่เคารพตัวเอง และฉันก็ยอมทำอาหารให้เหล่าพี่น้องชายหญิงทั้งหมดนี้แล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงชี้ให้เห็นถึงปัญหาทั้งหมดนี้อยู่ดี  ฉันไม่เหลือความภาคภูมิใจเลยแม้แต่น้อย”  ที่จุดนี้ เจ้าไม่ต้องการนบนอบใช่ไหม?  (ใช่)  นี่เป็นความลำบากยากเย็น  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าไม่สามารถนบนอบได้ นั่นเกิดขึ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เผยตัวเองออกมาและก่อให้เกิดปัญหา และทำให้เจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้  ที่จุดนี้ หัวใจของเจ้าจะเกิดความขัดแย้ง—ความคิดของเจ้ากำลังควบคุมตัวเจ้าและทำให้เจ้าคิดว่าเจ้าได้เสียหน้าไปแล้ว และเจ้าก็หงุดหงิดอยู่ภายใน  เจ้าควรทำอย่างไรที่จุดนี้?  (แสวงหาความจริง)  เจ้าแสวงหาความจริงอย่างไร?  เจ้าต้องอธิษฐานว่า “พระเจ้า ไม่สำคัญว่าผู้คนอื่นๆ ขออะไรจากข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นดังเช่นหน้าที่ของข้าพระองค์  ไม่สำคัญว่าภายนอกนั้นข้าพระองค์กำลังรับใช้หรือทำสิ่งทั้งหลายให้ใคร ข้าพระองค์จะยอมรับทั้งหมดนั้นจากพระเจ้า  นี่คือหน้าที่ของข้าพระองค์และข้าพระองค์ควรนบนอบ ความภาคภูมิใจไม่จำเป็นสำหรับข้าพระองค์  ในพระนิเวศของพระเจ้า หน้าที่ไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็นระดับสูงและระดับต่ำ สถานะสูงและสถานะต่ำ หน้าที่สำหรับผู้ชาย หน้าที่สำหรับผู้หญิง หน้าที่สำหรับผู้สูงวัย และหน้าที่สำหรับผู้เยาว์  มีเพียงแค่หน้าที่ที่ทำให้ดีและหน้าที่ที่ไม่ได้ทำให้ดี หน้าที่ที่ทำด้วยความอุทิศตน และหน้าที่ที่ไม่ได้ทำด้วยความอุทิศตน”  หลังจากเจ้าปล่อยมือจากความภาคภูมิใจ สถานะ ตำแหน่ง และศักดิ์ศรีของตนแล้ว เจ้าได้ปล่อยมือจากตัวเองอย่างสมบูรณ์แล้วหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าจะยังคงมีการตอบสนอง  บางครั้งผู้คนจะไม่เคารพเจ้า คิดว่าเจ้าโฉดเขลา และปฏิบัติต่อเจ้าดังเช่นผู้ที่ด้อยกว่า โดยพูดว่า “ผู้ชายที่มีความสุขขนาดนั้นขณะทำอาหารไม่น่าจะเทียบกับอะไรได้เลย!  ฉันจะไม่มีวันทำเช่นนั้น”  พวกเขาจะนำทางเจ้าไปในทิศทางที่ผิด ปลูกฝังแนวคิดที่ไม่ถูกต้องและมโนคติอันหลงผิดในตัวเจ้า และมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติของเจ้า  พวกเขามองสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกเช่นการที่เจ้าให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ชีวิต การเป็นบุคคลปกติธรรมดา และการอุทิศตนต่อหน้าที่ของตนดังเช่นความอัปยศอดสูรูปแบบหนึ่ง และเพราะฉะนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติต่อเจ้าดังผู้ที่ด้อยกว่าและตัดสินเจ้า  หากเจ้ารับไม่ได้ เจ้าย่อมจะตกอยู่ในความคิดลบในทันทีและคิดว่าหน้าที่นี้ทำให้เจ้าเสียหน้าต่อหน้าผู้อื่นอยู่เสมอ และทำให้ผู้คนปฏิบัติต่อเจ้าดังเช่นผู้ที่ด้อยกว่าและชี้นิ้วออกคำสั่งกับเจ้า  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่นบนอบอีกใช่ไหม?  เมื่อไม่มีใครปฏิบัติต่อเจ้าดังเช่นผู้ที่ด้อยกว่าหรือตัดสินเจ้า เจ้าก็คิดว่าเจ้าสามารถนบนอบได้แล้ว มีการเข้าสู่ชีวิตแล้ว มีความเป็นจริงความจริงบางส่วน และมีวุฒิภาวะบ้าง  การคิดในหนทางนี้ถูกต้องหรือไม่?  เช่นนั้นแล้วเมื่อใครบางคนตัดสินเจ้าและวุฒิภาวะของเจ้าถูกท้าทาย เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นคิดลบและคิดว่า “ฉันจำเป็นต้องทำอาหารต่อไปอีกนานแค่ไหนก่อนที่เรื่องนี้จะจบลง?  คนคนนี้ดูแคลนฉันอยู่เสมอ  การที่พวกเขาดูแคลนฉันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง และฉันก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้!”?  เรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว  ในเมื่อเจ้าไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ ในเวลาเดียวกันเจ้าก็พร่ำบ่นและพูดด้วยหรือไม่ว่า “ผู้นำมอบหมายหน้าที่แบบนี้ให้ฉันได้อย่างไรกัน?  เหตุใดพวกเขาจึงเลือกฉันโดยเฉพาะ แทนที่จะเลือกคนอื่น?  ฉันดูกลั่นแกล้งง่ายอย่างนั้นหรือ?  ผู้คนกลั่นแกล้งฉัน ผู้นำไม่ได้มองฉันด้วยความโปรดปราน และพระเจ้าก็ไม่ทรงคุ้มครองฉัน”?  อุปนิสัยอันเป็นกบฏของเจ้าปรากฏขึ้นมาอีก  ในที่นี้ปัญหาคืออะไร?  อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่าวุฒิภาวะของเจ้าต่ำเกินไป?  เจ้าไม่สามารถแม้แต่จะทานทนการปรามาสอันเล็กน้อยนี้ได้ และนั่นทำให้เจ้ากลายเป็นคิดลบและพร่ำบ่น  นี่ใช่การมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  เจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริงใดเลย  มีวิธีการที่เรียบง่ายมากวิธีหนึ่งในการแก้ไขปัญหานี้ กล่าวคือ ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าต้องคิดว่า “ไม่ว่าใครจะดูแคลนฉันหรือมองดูฉันด้วยการดูถูกก็ตาม ฉันก็ควรทำหน้าที่ของฉัน  ฉันไม่สามารถทิ้งพระบัญชาของพระเจ้าได้  ฉันไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อผู้คนอื่นๆ อีกทั้งฉันก็ไม่ได้ทำเช่นนั้นเพื่อให้คนอื่นๆ คิดบางอย่างกับฉัน—การที่คนอื่นๆ คิดบางอย่างกับฉันจะมีประโยชน์อะไร?  ฉันต้องลุล่วงหน้าที่ของฉันเพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย”  เจ้าควรคิดอย่างนี้ในหัวใจของเจ้า  ทีนี้เวลาที่เจ้าทำอาหาร เจ้าไม่รู้สึกมั่นใจในตัวเองหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้วปัญหานี้ก็ได้รับการแก้ไขแล้วหรือไม่?  อันที่จริงแล้วปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์  ในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าย่อมอยู่ในสภาวะแห่งความขัดแย้งไม่รู้จบ ตกอยู่ในความอ่อนแอและความคิดลบแล้วจึงดึงตัวเองกลับขึ้นมาอยู่เป็นนิตย์ เจ้ากำลังถูกกล่อมเกลาอย่างสม่ำเสมอ  เจ้าได้ตรวจสอบทุกสภาวะแล้ว และเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตโดยใช้ความพยายามทั้งกายและใจเช่นนั้นตลอดเวลา  เจ้าไม่ต้องการให้ความลำบากยากเย็นเหล่านี้ทำให้เจ้ารำคาญ รบกวนเจ้า หรือจำกัดควบคุมเจ้าอยู่เป็นนิตย์  เจ้าต้องการลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างง่ายดายและเรียบง่าย  แล้วเจ้าสำเร็จลุล่วงหน้าที่นี้อย่างไร?  เจ้าต้องแสวงหาความจริงอยู่เป็นนิตย์ ยึดมั่นในความเชื่อมั่นของตนอยู่เป็นนิตย์ และการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะทำอยู่เสมอ  เจ้าพูดว่า “ไม่มีใครสามารถรบกวนฉันได้  นี่คือหน้าที่ของฉัน นี่คือพระบัญชาที่พระเจ้าได้ประทานแก่ฉัน นี่คือความรับผิดชอบของฉันและภาระผูกพันของฉัน  ไม่ว่าใครจะล้อเลียนฉัน พยายามยั่วยุฉัน หรือทดลองฉัน นั่นย่อมเปล่าประโยชน์  ถือเป็นเกียรติที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้ และหากฉันสามารถรับมือกับหน้าที่นี้ได้ พระสิริทั้งหมดย่อมเป็นของพระเจ้า  หากฉันไม่สามารถรับมือกับหน้าที่นี้ได้ เช่นนั้นฉันก็ย่อมทำให้ตัวเองอับอายแล้ว  ใครก็ตามที่เอาตัวฉันมาทำเป็นเรื่องตลกและดูแคลนหน้าที่นี้ย่อมไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง”  นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  (ใช่ข้อเท็จจริง)  นี่คือข้อเท็จจริง เมื่อโยบประสบกับบททดสอบ ซาตานก่อกวนและทดลองเขา แต่โยบกังขาหรือไม่?  (ไม่)  เพราะความจริง พระวจนะของพระเจ้า และทางแห่งพระเจ้าอยู่ในหัวใจของโยบ  เมื่อเผชิญกับรูปการณ์แวดล้อมและบททดสอบ การที่เจ้าสามารถค้ำจุนความจริงและค้ำจุนพระบัญชาที่พระเจ้าได้ประทานแก่เจ้าได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ารู้ จับใจความ และยอมรับความจริงที่ระดับใด  บางคนกังขาในความจริงอยู่เสมอ และไม่อาจแน่ใจเกี่ยวกับความจริงได้ หรือในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่ของตน พวกเขาไม่เคยมั่นใจเลยว่าพวกเขาควรทำบางสิ่งอย่างไร รวมทั้งการทำเช่นนั้นเป็นหนทางที่ถูกต้องหรือไม่  พวกเขาไม่สามารถยึดมั่นในสิ่งทั้งหลายที่ถูกต้องได้เลย พวกเขาถูกบางคน บางเหตุการณ์ และบางสิ่งรบกวนอยู่เสมอ และเมื่อคนไม่ดี คนชั่ว ปีศาจ หรือซาตานย่องเข้ามาหาพวกเขาและพูดสิ่งที่เป็นการทดลองหรือรบกวนพวกเขา พวกเขาก็กลายเป็นอ่อนแอและถูกชักพาให้หลงผิด  นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยหรอกหรือ?  (ใช่)  วุฒิภาวะน้อยแก้ไขง่ายหรือไม่?  ในทางทฤษฎีนั้น วุฒิภาวะน้อยแก้ไขง่าย  นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถมั่นใจได้หรือไม่ว่าถนนที่เจ้าเดินนั้นเป็นถนนที่พระเจ้าทรงนำ  เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าควรปฏิบัติความจริงและยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า  นี่สำคัญอย่างยิ่งยวด  สิ่งเดียวให้กลัวคือว่าในหัวใจของเจ้านั้นเจ้ามีทรรศนะที่อคติต่อหน้าที่ของเจ้า และคิดว่าหน้าที่ของเจ้าทำให้เจ้าเสียหน้าและไม่น่าจะเทียบกับอะไรได้เลย  เมื่อเจ้ามีทรรศนะที่ลำเอียงและหากซ้ำร้ายผู้อื่นยังรบกวนเจ้า นั่นก็กลับกลายเป็นเรื่องเดือดร้อนมากขึ้นไปอีก  เมื่อหัวใจของเจ้าผสมปนเปไปหมด เจ้าย่อมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้  เมื่อโยบถูกทดสอบ มีผู้คนมากมายรอบๆ ตัวเขาที่รบกวนเขา  ภรรยาของเขาพูดอะไร?  (“จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยบ 2:9))  ซึ่งจากคำพูดนี้ภรรยาของโยบหมายความว่า “จงอย่าเชื่อ  หากสิ่งที่เธอเชื่อคือพระเจ้าจริงๆ แล้วล่ะก็ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นกับเธอล่ะ?”  โยบพูดว่าอะไร? (“เธอพูดอย่างหญิงโง่เขลาจะพึงพูด” (โยบ 2:10))  โยบกล่าวโทษภรรยาของตน เพราะเขามั่นใจแล้วว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พระเจ้าทรงทำการนี้ นี่คืออธิปไตยของพระองค์ และนี่คือฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  โยบมั่นใจมาก แล้วเมื่อผู้คนในวันนี้เข้าใจความจริง เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถยึดมั่นในหนทางที่แท้จริงและตั้งมั่นในคำพยานของตน?  เป็นเพราะหัวใจของผู้คนแปดเปื้อนเกินไป ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่เข้าใจความจริงเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่ใช่ผู้คนที่รักความจริงหรือแสวงหาความจริงอีกด้วย  เพราะฉะนั้นไม่สำคัญว่าผู้คนสามารถพูดถึงคำพูดและคำสอนได้มากเพียงใดหรือพวกเขาสามารถพ่นคำขวัญที่กังวานก้องได้มากเพียงใด ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถตั้งมั่นได้  ทันทีที่ใครบางคนในคริสตจักรพูดบางสิ่งที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย หรือใครบางคนพูดบางสิ่งที่เป็นการรบกวนหรือชักพาให้หลงผิด หรือที่กล่าวโทษและทำให้อัปยศอดสู พวกเขาก็คิดว่าพวกเขากำลังถูกเย้ยหยันและถูกทำให้อัปยศอดสู และยับเยินอย่างสิ้นเชิง  หากผู้คนสำแดงตนออกมาในหนทางนี้ มีความขัดแย้งภายในอยู่เป็นนิตย์ และปรับทรรศนะของตนอยู่เป็นนิตย์ แต่ในเวลาเดียวกันก็ยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ด้วย โดยเข้าใจความจริงต่อไป ค่อยๆ เข้าสู่เหลี่ยมมุมต่างๆ ของความจริง เข้าสู่ความจริงทั้งหมด และในท้ายที่สุดแล้วสามารถหลีกเลี่ยงการถูกรบกวน การได้รับผลกระทบ หรือการถูกคน เหตุการณ์ และสิ่งจำพวกใดก็ตามควบคุม และเชื่ออย่างมั่นคงว่าหลักธรรมความจริงที่พวกเขาปฏิบัตินั้นถูกต้อง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนแล้ว

ในเวลาปัจจุบัน เมื่อพวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน ยังคงเป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเจ้าจะถูกบุคคล เหตุการณ์ และเรื่องราวทุกจำพวกจำกัดควบคุม?  พวกเจ้าสามารถยึดมั่นในความจริงและทำสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับหลักธรรมได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  เช่นนั้นแล้วตามปกติแล้วพวกเจ้ามีความลำบากยากเย็นแบบใด?  (บางครั้งเมื่อข้าพระองค์เห็นผู้คนอื่นๆ ทำสิ่งทั้งหลายที่ทำอันตรายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ข้าพระองค์ก็ชี้ให้เห็นสิ่งนั้น แต่เมื่อข้าพระองค์เห็นว่าพวกเขาไม่ยอมรับสิ่งนั้น หรือว่าพวกเขามีท่าทีที่แย่ ข้าพระองค์ก็กลัวว่าจะทำให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้น ดังนั้นข้าพระองค์จึงอะลุ้มอล่วย)  การอะลุ้มอล่วยถูกต้องหรือผิด?  (การอะลุ้มอล่วยนั้นผิด แต่ข้าพระองค์กลัวว่าหากข้าพระองค์เคี่ยวเข็ญเรื่องนี้ การโต้แย้งก็จะเกิดขึ้นและทำลายสันติสุข และผู้คนก็จะไม่มีภาพจำอันดีเกี่ยวกับตัวข้าพระองค์)  หากเจ้าปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงการโต้แย้ง การอะลุ้มอล่วยเป็นหนทางเดียวอย่างนั้นหรือ?  เจ้าสามารถอะลุ้มอล่วยในสถานการณ์ใดได้บ้าง?  หากนั่นเกี่ยวข้องกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ผลประโยชน์ของตัวเจ้าเองหรือความภาคภูมิใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะโต้แย้งเรื่องนั้น  เจ้าสามารถเลือกที่จะยอมผ่อนปรนหรืออะลุ้มอล่วยได้  แต่กับเรื่องที่สามารถกระทบต่องานของคริสตจักรและทำอันตรายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าต้องยึดมั่นในหลักธรรม  หากเจ้าไม่รักษาหลักความเชื่อนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า  หากเจ้าเลือกที่จะอะลุ้มอล่วยและละทิ้งหลักธรรมความจริงเพื่อที่จะรักษาหน้าหรือปกปักรักษาสัมพันธภาพส่วนบุคคลของตน นี่ไม่ได้แสดงว่าเจ้าเห็นแก่ตัวและต่ำช้าหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่สัญญาณของการไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของตนและการไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  (ใช่)  แล้วในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากถึงเวลาที่ทุกคนไม่เห็นด้วย เจ้าควรปฏิบัติอย่างไร?  การโต้แย้งเรื่องนั้นด้วยสุดกำลังของเจ้าจะแก้ปัญหานี้ได้หรือ?  (ไม่ได้)  เช่นนั้นแล้วเจ้าควรแก้ปัญหานี้อย่างไร?  ในสถานการณ์นี้ คนที่เข้าใจความจริงควรก้าวออกมาแก้ไขประเด็นปัญหานี้ โดยตีแผ่ประเด็นปัญหาที่กำลังพิจารณาเสียก่อน แล้วจึงปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายแสดงความเห็นของตน  จากนั้นให้ทุกคนแสวงหาความจริงร่วมกัน และหลังจากอธิษฐานถึงพระเจ้า ความจริงที่สัมพันธ์กันในพระวจนะของพระเจ้าก็จะถูกนำมาสามัคคีธรรมกัน  หลังจากพวกเขาสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงและได้รับความชัดเจนแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็จะสามารถนบนอบได้  พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบความจริง  หากผู้คนส่วนใหญ่สามารถนบนอบความจริงได้ แต่มีไม่กี่คนที่ไม่นบนอบความจริงหรือที่ใครที่คนเราไม่สามารถเข้าใจเหตุผล เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมเป็นผู้คนที่ไม่ยอมรับความจริง และธรรมชาติของพวกเขาย่อมเป็นธรรมชาติของคนชั่ว และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมจะแยกแยะพวกเขาอย่างง่ายดาย  นี่คือหนทางที่ดีที่สุดที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาเกี่ยวกับข้อโต้แย้งในคริสตจักร  การใช้ความจริงเพื่อแก้ปัญหาเป็นหลักธรรมที่สำคัญ และคนเราไม่สามารถทำการอะลุ้มอล่วยโดยไร้หลักธรรมได้  หากเจ้าสามารถสละผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อที่จะปกปักรักษาสัมพันธภาพส่วนบุคคล ความภาคภูมิใจ และผลประโยชน์ของตนเอง เจ้าย่อมกำลังอะลุ้มอล่วยกับซาตาน  นี่ไร้หลักธรรมและไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า  หากแต่ละคนต่อสู้เพื่อรักษาหน้าของตนเองและเน้นย้ำเหตุผลของตนเอง นี่ใช่ท่าทีของการแสวงหาความจริงหรือไม่?  นี่ใช่ท่าทีที่คนเราควรมีในหน้าที่ของตนหรือไม่?  (ไม่ใช่)  การที่คนคนหนึ่งจะสัมฤทธิ์ความจงรักภักดีในหน้าที่ของตนนั้น พวกเขาไม่ควรต่อสู้เพื่อชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ พวกเขาควรยอมให้พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจ และยอมให้ความจริงเป็นเจ้านายของตน ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุดอย่างแรก และประสิทธิผลของงานคือสิ่งสำคัญที่สุดอย่างแรก  หลักธรรมนี้ไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  (ถูกต้อง)  หากพวกเจ้าล้วนแต่สามารถยึดมั่นในหลักธรรมนี้ได้ จะมีสิ่งใดเหลือให้โต้แย้งกับผู้คน?  จะไม่มีข้อโต้แย้งเลย  พวกที่คุ้มครองผลประโยชน์ของตัวเองอยู่เสมอและไม่ปฏิบัติความจริงเลยแม้แต่น้อยไม่ใช่คนดี และพวกที่ทรยศผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เสมอเพื่อที่จะรวบรวมความชื่นชอบจากผู้อื่นยิ่งแย่ไปกว่านั้นอีก  ผู้คนทั้งหมดนี้เป็นผู้ไม่เชื่อ และเป็นคนที่ทรยศพระเจ้า  หากคนคนหนึ่งเกิดเข้าไปขัดแย้งและถกเถียงกับผู้อื่นเพื่อที่จะคุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและความมีประสิทธิผลของงานของคริสตจักร และท่าทีของพวกเขาก็เด็ดเดี่ยวอยู่สักหน่อย พวกเจ้าจะพูดว่านั่นเป็นปัญหาหรือไม่?  (ไม่)  เนื่องจากเจตนาของพวกเขาถูกต้อง เจตนาของพวกเขาคือการคุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  นี่คือคนที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับพระเจ้าและยึดมั่นในหลักธรรมความจริง เป็นคนที่พระเจ้าทรงปีติยินดีด้วย  การมีท่าทีที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวในยามที่คุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นสัญญาณของจุดยืนที่มั่นคงและการยึดมั่นในหลักธรรม และพระเจ้าก็ทรงเห็นชอบการนี้  ผู้คนอาจรู้สึกว่าท่าทีนี้มีปัญหา แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้เห็น  จงจำไว้ว่าการยึดมั่นในหลักธรรมความจริงคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

การเข้าสู่ชีวิตคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุด  โดยหลักแล้วการเข้าสู่ชีวิตเชื่อมโยงกับสิ่งใด?  (การไล่ตามเสาะหาความจริง)  ถูกต้อง  โดยหลักแล้วการเข้าสู่ชีวิตเชื่อมโยงกับการไล่ตามเสาะหาความจริง  มีเพียงผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่มีการเข้าสู่ชีวิต  หากผู้คนต้องการมีการเข้าสู่ชีวิต เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริง  คนเราควรแยกแยะอย่างไรว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  คนประเภทใดไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  เจ้ารู้หรือไม่?  ประเภทแรกที่เราพูดถึงไปแล้วคือผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  อะไรคือแก่นแท้ของผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ?  (หลังจากอ่านพระวจนะจากพระเจ้าซึ่งเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน พวกเขาไม่สามารถสรุปความเชื่อมโยงระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับสภาวะและการสำแดงของตัวเองได้ พวกเขาคิดว่าพระเจ้ากำลังตรัสถึงผู้คนอื่นๆ)  โดยหลักแล้วเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้าได้ แต่พวกเขารู้เรื่องนี้หรือไม่?  (ไม่รู้)  ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไร้ความสามารถที่จะตระหนักสิ่งเหล่านี้  หัวใจของพวกเขายังคงร่าเริง พวกเขาคิดว่าพวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้ามากมาย แต่ในข้อเท็จจริงนั้น สำหรับพวกเขาแล้วทุกพระวจนะเป็นแค่ข้อบังคับ  พวกเขาคิดว่า “ฉันทำทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้ทำ  ฉันละทิ้งทุกสิ่งที่พระองค์ทรงขอให้ละทิ้ง และสละตนตามที่พระองค์ทรงขอเช่นกัน  ด้วยการนบนอบพระเจ้าในหนทางนี้ ฉันจึงได้รับการช่วยให้รอด”  หลังจากเชื่อในหนทางนี้มาเป็นเวลาหลายปี พวกเขาก็คิดว่าพวกเขามีต้นทุน เหมือนกันไม่มีผิดกับที่เปาโลพูดไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8)  ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร เปาโลก็ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  นั่นเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างแท้จริง  เมื่อเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณนั่นก็เป็นเรื่องเดือดร้อนอยู่แล้ว แต่ซ้ำร้ายเขายังไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย  เขาปฏิบัติต่อคำสอน คำขวัญ ความคิดฝัน มโนคติอันหลงผิด ความรู้ และปรัชญาทั้งหมดของตนเองราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง และใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นรากฐานในการขยับขยายการไล่ตามไขว่คว้าของตนเอง  ผลก็คือ ไม่ว่าเขาทำสิ่งใด เขาไม่ได้กำลังใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง และไม่ว่าเขาทำสิ่งใด สิ่งนั้นก็ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ปัญหานี้ของเขารุนแรง!  เปาโลเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดเมื่อเป็นเรื่องของการขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  (ถูกต้อง)  คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณรักความจริงหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด เนื่องจากคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจความจริง และหากพวกเขาไม่จับความเข้าใจความจริง ย่อมไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถรักความจริงได้  คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมาอย่างไร?  การสำแดงตนหลักก็คือ ไม่สำคัญว่าผู้คนสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขาอย่างไร พวกเขายังคงไม่เข้าใจอยู่ดี และไม่สำคัญว่าผู้คนสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างชัดเจนเพียงใด พวกเขาก็ยังคงไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจความจริงอยู่ดี  เรื่องนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับการมีขีดความสามารถต่ำเกินไป  คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  ต่อให้พวกเขาอยากทำ พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้  คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้ากำลังตรัสถึง ไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงเปิดโปงสภาวะใด และไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้  พวกเขาปฏิบัติต่อพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าดังเช่นข้อบังคับ วลี คำขวัญ และคำสอน และไม่เคยรู้เลยว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  ในที่นี้อะไรคือปัญหา?  นั่นก็คือเรื่องที่ว่าขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไป พวกเขาไม่มีความสามารถในการจับใจความแม้แต่น้อย และกำลังสำแดงการขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ

ประเภทที่สองคือคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสามารถเข้าใจความจริง ยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองเมื่อพวกเขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และเข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังเปิดโปงสิ่งใด ความจริงใดอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า และพระเจ้าทรงเรียกร้องสิ่งใด  ความสามารถที่จะเข้าใจเทียบเท่าการมีการเข้าสู่หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วเมื่อเราพูดว่าพวกเขาสามารถเข้าใจได้ นั่นกำลังอ้างอิงถึงสิ่งใด?  นั่นกำลังกล่าวถึงสิ่งใด?  (พวกเขาสามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเองได้)  ความสามารถที่จะยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น  พวกเขายอมรับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์และสภาวะทุกจำพวกที่พระเจ้าทรงเปิดโปง  แล้วพวกเขาสามารถรู้สิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องได้หรือไม่?  พวกเขาควรรู้ถึงระดับหนึ่ง—รู้ข้อเรียกร้องของพระเจ้า รู้ว่าหลักธรรมใดมีการพูดถึงในพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งเจตนารมณ์ของพระองค์คือสิ่งใด  พวกเขามีความชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้และเข้าใจสิ่งเหล่านี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงถูกเรียกว่าคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  เมื่อคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาย่อมสามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเอง เข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังอ้างอิงถึงสิ่งใดและข้อเรียกร้องของพระองค์คือสิ่งใด  นี่แสดงให้เห็นว่าคนประเภทนี้มีขีดความสามารถและความสามารถที่จะจับใจความความจริง  แล้วการมีขีดความสามารถและความสามารถนี้จำเป็นต้องหมายความว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  (ไม่)  มีหลายสถานการณ์แตกต่างกันไป  บางคนสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและมีขีดความสามารถและความสามารถที่จะจับใจความพระวจนะของพระองค์ แต่ไม่เคยยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเอง  พวกเขาเพียงแค่ยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับคนอื่น มองหาข้อตำหนิในตัวคนอื่น ใช้ข้อบกพร่องของคนอื่นเพื่อข่มขู่บังคับพวกเขา จับผิดสภาวะของพวกเขา และพยายามที่จะอ่านจิตใจของพวกเขาราวกับว่าตนเองเป็นเครื่องตรวจจับ  เมื่อพวกเขาไม่มีอะไรอื่นให้ทำ พวกเขาก็ครุ่นคิดถึงสิ่งที่คนอื่นคิด พยายามที่จะตรวจจับว่าผู้คนกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวใจ ความคิดและแนวคิดใดอยู่ในหัวใจของผู้คนเหล่านั้น เจตนาของผู้คนเหล่านั้นคืออะไร จุดมุ่งหมายของผู้คนเหล่านั้นคืออะไร แรงจูงใจของผู้คนเหล่านั้นคืออะไร ผู้คนเหล่านั้นหวังว่าจะได้รับอะไร และผู้คนเหล่านั้นเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบใดขณะที่ทำสิ่งทั้งหลาย  เป้าหมายของพวกเขาในการตรวจจับสิ่งเหล่านี้คืออะไร?  เพื่อยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับคนอื่น จากนั้นจึงแก้ปัญหาของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น สภาพแวดล้อมที่ “นายสมิธ” ดำรงชีวิต ภูมิหลังทางครอบครัวของเขาเป็นอย่างไร เขาได้เชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้ว โดยปกติแล้วเขามีประเด็นปัญหาใดบ้าง เขามีจุดอ่อนใดบ้างขณะที่ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของตน เขามักจะมีความลำบากยากเย็นใดเมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้น ในสถานการณ์ใดที่เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะกลายเป็นคิดลบ เขาปฏิบัติหน้าที่ของตนดีเพียงใด เขาปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร และชีวิตฝ่ายวิญญาณของเขาเป็นปกติหรือไม่—พวกเขามีการจับความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหมดนี้  พวกเขามีสติปัญญามาก แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ประยุกต์ใช้สติปัญญาของตนในที่ที่เหมาะสม  พวกเขาแก้ปัญหาของคนอื่น แต่ตัวเองกลับไม่ปฏิบัติความจริง  คนประเภทนี้มักจะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน หรือใครบางคนที่มีความรับผิดชอบปริมาณหนึ่ง  วิธีการไล่ตามเสาะหานี้ที่คนประเภทนี้มีเป็นปัญหาหรือไม่?  (เป็นปัญหา)  วิธีการไล่ตามเสาะหานี้เป็นปัญหา และเป็นปัญหารุนแรงยิ่งนัก  รุนแรงแค่ไหน?  พวกเราควรสามัคคีธรรมเรื่องนี้  คนประเภทนี้มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และรู้วิธียกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาไม่เคยยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเอง ตรงกันข้าม พวกเขากลับยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับคนอื่น  เป้าหมายของพวกเขาในการยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับคนอื่นคืออะไร?  (เพื่อโอ้อวด)  ถูกต้อง  พวกเขาโอ้อวดเพื่อตอบสนองความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานอันบ้าคลั่งของตน เพื่อทำให้สถานะของตนมั่นคงยิ่งขึ้น และเพื่อทำให้พวกเขามีความสามารถมากขึ้นในการที่จะยึดครองหัวใจของผู้คน  ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถทำเช่นนี้ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติของพวกเขา และเชื่อมโยงโดยตรงกับสิ่งที่พวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาขณะที่เชื่อในพระเจ้า  หากคนเราจะต้องตัดสินจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาทุ่มเทสุดหัวใจของตนให้กับสิ่งทั้งหลายและทำงานของตนอย่างเต็มที่ รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถจับความเข้าใจสภาวะนานาสารพันทั้งหมดที่ผู้คนอื่นๆ มีได้อย่างดียิ่ง คนเราจะพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  ไม่จำเป็น  เช่นนั้นแล้วคนเราจะสามารถบอกได้อย่างไรว่าใครบางคนเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  หากพวกเขารับผิดชอบเป็นพิเศษเมื่อเป็นเรื่องของการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายและพี่น้องหญิง ทุ่มเทหัวใจและการทำงานมากมายให้กับสิ่งทั้งหลาย ทำงานของตนอย่างดีมาก แสวงหาความจริงในส่วนที่เกี่ยวกับสภาวะทุกจำพวกที่พี่น้องชายหญิงมีอยู่บ่อยครั้ง จากนั้นจึงแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้เช่นนี้ พวกเขาเป็นผู้นำที่ถึงมาตรฐานหรือไม่?  เมื่อพิจารณาจากการสำแดงและการเผยเหล่านี้ของพวกเขา คนเราสามารถมั่นใจได้หรือไม่ว่าพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  (ไม่จำเป็น)  เพราะเหตุใด?  (พวกเขาสามารถแก้ปัญหาของคนอื่นได้ แต่ไม่เคยยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเองเลย)  หากพวกเขาไม่เคยแก้ปัญหาของตัวเองเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาแก้ปัญหาของคนอื่นอย่างไร?  (พวกเขาพึ่งพาคำพูดและคำสอนในการแก้ปัญหาเหล่านั้น)  พวกเขาเข้าใจคำพูดและคำสอนบางส่วน มีสติปัญญาอยู่บ้าง มีความจำที่ดี ตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว และทันทีที่พวกเขาได้ยินคำเทศนาหนึ่ง พวกเขาก็สามารถไปโอ้อวดคำเทศนานั้นกับผู้อื่นได้ทันที  เมื่อพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้ พวกเขามีการเข้าสู่หรือไม่?  (ไม่)  การแก้ไขความลำบากยากเย็นของคนอื่นแต่ไม่เคยแก้ไขความลำบากยากเย็นของตัวเองเลยไม่ใช่การสำแดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาเพียงแค่ใช้คำสอนและพระวจนะของพระเจ้าหรือชั้นเชิงและวิธีการทุกรูปแบบเพื่อชักจูงและโน้มน้าวคนอื่น พวกเขาใช้คำพูดและคำสอนที่พวกเขาเข้าใจ หรือเอาอย่างและเลียนแบบคำพูดจากประสบการณ์ชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากความยากลำบาก  พวกเขาใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นของคนอื่นแทนที่จะใช้สิ่งที่พวกเขาได้ก้าวผ่านมาด้วยตนเองรวมทั้งประสบการณ์จริงของพวกเขาเพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านั้น  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าคนคนนี้ไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาให้สิ่งใดแก่คนอื่น?  (คำสอน)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่านั่นเป็นคำสอน?  เพราะนั่นไม่ได้มาจากประสบการณ์ของพวกเขาเอง ไม่ใช่บางสิ่งที่พวกเขาได้ก้าวผ่านมาแล้วอย่างแท้จริง และไม่ใช่ความเข้าใจที่แท้จริงของพวกเขา  อันที่จริงแล้วพวกเขากำลังให้น้ำผู้อื่นด้วยสิ่งใด?  คำสอน วลี และคำพูดที่โน้มน้าวและปลอบโยนผู้คน  พวกเขายังใช้วิธีการ ชั้นเชิง และความฉลาดของมนุษย์อีกด้วย และไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาคิดว่าการตอบคำถามของผู้คนคือการแก้ปัญหา และคิดว่านี่ก็คือการทำงาน  เมื่อพิจารณาจากการสำแดงของพวกเขา จากสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาให้แก่ผู้อื่น วิธีที่พวกเขาทำงาน และหนทางในการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา คนคนนี้ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเขาไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  การใช้ความจริงเพื่อแก้ปัญหาในเมื่อตัวพวกเขาเองไม่มีการเข้าสู่นั้นมีเลศนัยไปหน่อยไม่ใช่หรือ?  (มีเลศนัย)  เรื่องนี้มีเลศนัย เป็นเรื่องหน้าซื่อใจคด และหลอกลวงผู้อื่น  แล้วผู้คนเยี่ยงนี้สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เหตุใดจึงไม่ได้?  เพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และมีความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราให้ดีกับการเข้าใจความจริง  ตัวอย่างเช่น คนเราต้องเข้าใจความจริงเพื่อให้น้ำคริสตจักร คนเราต้องเข้าใจความจริงเพื่อแก้ปัญหา คนเรายังต้องเข้าใจความจริงเพื่อรับมือกับปัญหาด้วย การเข้าใจความจริงเป็นเรื่องจำเป็นยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อที่จะมีการแยกแยะเกี่ยวกับผู้คน  งานของคริสตจักรทุกด้านเกี่ยวข้องกับความจริง หากคนเราไม่เข้าใจความจริง พวกเขาย่อมจะทำงานที่จำเป็นของคริสตจักรได้ไม่ดี และทำงานทั่วไปได้แค่พอใช้เท่านั้น  เพราะฉะนั้นหากผู้นำไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่สำคัญว่าพวกเขายุ่งขนาดไหน พวกเขาทำงานที่ต้องออกแรงมากเพียงใด หรือพวกเขาทนทุกข์มากเพียงใด พวกเขาย่อมจะทำงานได้ไม่ดี และจะไม่สามารถลุล่วงหน้าที่ของตนได้อย่างเต็มที่ตามงานและความรับผิดชอบของตน  เวลาที่พวกเขาทำงาน พวกเขาก็เดินทางไปที่นั่นที่นี่โดยไม่มีสาเหตุ ด้วยการดูว่าตรงไหนที่มีปัญหา แล้วจึงแก้ปัญหาเหล่านั้นในรูปแบบที่เรียบง่ายเกินไป  เวลาที่ใครบางคนมีความลำบากยากเย็นบางอย่าง พวกเขาก็สามัคคีธรรมคำสอนเล็กน้อย และเวลาที่ใครบางคนคิดลบและอ่อนแอ พวกเขาก็ให้กำลังใจและกระตุ้นเตือนคนเหล่านั้น นี่คือสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาทำ  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาจับตาดูผู้คนที่พวกเขานำ ตราบที่ทุกคนยุ่งและไม่อยู่ว่าง พวกเขาย่อมกำลังทำงานของตนได้ดี และหากพวกเขาสามารถเที่ยวไปตรวจสอบและกำกับดูแลงานได้ในทุกที่ ไม่ให้ใครรายงานหรือเปิดโปงพวกเขา สามารถประกาศและพูดได้ไม่ว่าพวกเขาไปที่ใดก็ตาม และให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นโดยปราศจากอุปสรรคใดๆ พวกเขาย่อมกำลังลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของตน  นี่คือการทำงานจากตำแหน่งแห่งที่อันมีสถานะ ไม่ใช่การใช้ความจริงเพื่อแก้ปัญหาในเชิงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  พวกเขาให้ความสำคัญกับการทำงาน และขณะที่ให้ความสำคัญกับการทำงานอยู่นั้น พวกเขาอาจไม่ได้ทำอะไรเพื่อสถานะของตน—ทั้งหมดที่พวกเขาทำคือใช้คำสอนและคำขวัญเพื่อกระตุ้นเตือนคนคนนี้หรือให้กำลังใจคนคนนั้นอยู่ท่าเดียว ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานนี้อยู่ท่าเดียว  พวกเขาคิดว่าตราบที่พวกเขาไม่อยู่ว่างก็คงพอได้อยู่  อย่างแรกก็คือพวกเขาไม่สามารถย่อหย่อนได้ อย่างที่สองก็คือพวกเขาต้องอุตสาหะ และอย่างที่สามก็คือพวกเขาต้องสามารถทนต่อความทุกข์ได้  พวกเขาทำโน่นทำนี่ตลอดทั้งวัน—หากมีปัญหาที่ไหนสักแห่งก็ต้องแก้ปัญหานั้นโดยเร็วที่สุดเมื่อมีโอกาส และพวกเขาต้องถามไปรอบๆ อยู่เสมอว่ามีใครมีปัญหาอะไรบ้างหรือไม่  พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนี้คือการไล่ตามเสาะหาความจริง  อันที่จริงแล้วการมีการสำแดงเหล่านี้จำเป็นต้องหมายความว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  นี่จำเป็นต้องหมายความว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  นี่ยังคงเป็นเรื่องของคำถาม  นี่คือการสำแดงอันดับแรกของคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง

การสำแดงอย่างที่สองของคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง คือการที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของสิ่งที่พระวจนะของพระองค์กำลังกล่าว และการที่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเอง แต่ไม่เคยนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ  คนประเภทนี้ไม่ทำสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า หรือตามหลักธรรมความจริง อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ยับยั้งชั่งใจตนเอง  เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้น พวกเขาแค่ต้องการทำให้ผู้คนนบนอบพวกเขาและรับฟังพวกเขา แต่พวกเขาเองไม่ต้องการนบนอบความจริง  พวกเขาปฏิบัติต่อการปฏิบัติความจริงและนบนอบความจริงดังเช่นความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน และหน้าที่ของคนอื่น และดังเช่นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนอื่นๆ ควรทำ  พวกเขาปฏิบัติต่อตัวเองราวกับว่าพวกเขาถูกแยกออกมาต่างหาก  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจมากเพียงใด หรือพวกเขาสามารถเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเองได้มากเพียงใด พวกเขาคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสมุ่งตรงไปยังคนอื่นและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวพวกเขา  แล้วพวกเขาทำอะไร?  พวกเขาก็ยุ่งมากเช่นกัน  พวกเขาไปที่คริสตจักรเพื่อดูว่าใครมีคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับพวกเขา แล้วก็จดบันทึกไว้  จากนั้นพวกเขาก็เค้นสมองเพื่อคิดหาทางที่จะ “แก้ไข” เรื่องนี้  พวกเขากล่าวว่า “พวกเรามาเปิดใจตนเองและสามัคคีธรรมกันเถิด  อะไรก็ตามที่คุณคิดในใจ ความเห็นใดก็ตามที่คุณมีเกี่ยวกับตัวฉัน และคำวิพากษ์วิจารณ์ใดก็ตามที่คุณมีเกี่ยวกับตัวฉัน แค่ให้ฉันรู้ แล้วฉันจะทำสุดความสามารถเพื่อเปลี่ยนแปลงและทำสิ่งต่างๆ อย่างแตกต่างออกไป”  เป้าหมายของพวกเขาในการเปลี่ยนแปลงคืออะไร?  เพื่อทำให้คนอื่นชอบพวกเขา  นอกจากนี้ พวกเขาดูว่าใครมีคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับพวกเขา และใครไม่นบนอบพวกเขา จากนั้นจึงค้นหาพระวจนะของพระเจ้าบทตอนที่สัมพันธ์กันเพื่อ “แก้ไข” เรื่องนี้  พวกเขากล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นองค์เจ้านายเมื่อพระนิเวศของพระเจ้าคัดสรรผู้นำและคนทำงาน  ในพระนิเวศของพระเจ้า ความจริงคือสิทธิอำนาจ  ไม่ว่าใครก็ตามที่พี่น้องชายหญิงคัดสรรให้เป็นผู้นำ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงปรารถนา และพวกคุณก็ควรนบนอบสิ่งนั้น  คุณไม่ได้กำลังนบนอบฉัน แต่นบนอบการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์และความจริง  หากคุณไม่นบนอบ คุณก็จะถูกลงโทษ!”  หลังจากรับฟังแล้ว บางคนก็รู้ว่าผู้นำกำลังตีความพระวจนะของพระเจ้าแบบผิดๆ และบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด และพวกเขาก็ไม่รับฟังผู้นำ  เมื่อผู้นำเห็นว่าคนเหล่านี้ค่อนข้างไม่นบนอบพวกเขา พวกเขาก็คิดว่า “คุณไม่ยอมนบนอบฉันใช่หรือเปล่า?  ฉันมีวิธีอื่นๆ ที่จะจัดการกับคุณ  ฉันจะไม่ใช้ไม้อ่อนแล้ว”  ผู้นำกล่าวกับคนที่ไม่นบนอบพวกเขาว่า “คุณเสร็จงานที่ฉันมอบให้คุณหรือยัง?”  แล้วผู้คนก็กล่าวว่า “เหลือให้ทำอีกแค่เล็กน้อยก็จะเสร็จแล้ว  ไม่ทำให้เกิดความล่าช้าใดๆ หรอก”  ผู้นำกล่าวว่า “การที่มีเหลืออีกเล็กน้อยไม่ใช่ความล่าช้าได้อย่างไร?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า เล็กน้อยคือเยอะมาก  นี่คือการสำแดงว่าเจ้าขาดการอุทิศตน  คุณเรียกการทำเช่นนี้ว่าการทำหน้าที่ของคุณอย่างนั้นหรือ?”  อันที่จริงแล้วนี่ใช่สิ่งที่ผู้นำต้องการกล่าวจริงๆ หรือ?  พวกเขามีเป้าหมายใดในหัวใจของพวกเขา?  พวกเขาต้องการบังคับให้ผู้คนอื่นๆ นบนอบ ทำให้ผู้คนเหล่านั้นพ่ายแพ้ และทำให้ผู้คนเหล่านั้นถ่อมตัว แต่พวกเขาไม่สามารถพูดเช่นนั้นอย่างชัดแจ้งได้  หากพวกเขาทำเช่นนั้น พี่น้องชายหญิงก็คงจะมองพวกเขาออกและเปิดโปงพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาเหตุผลและข้อแก้ตัวที่สมควรในการทำสิ่งต่างๆ พวกเขาต้องกดข่มผู้คนในลักษณะที่ “น่านับถือและสมเหตุสมผล” เพื่อที่ว่าหลังจากพวกเขาได้กดขี่ผู้คนแล้วเรื่องดังกล่าวจะไม่ปรากฏชัดต่อผู้อื่น ทำให้ผู้คนที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้เชื่อฟัง และสัมฤทธิ์เป้าหมายของผู้นำในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของตนและทำให้สถานะของตนมั่นคง  นี่คืออุปนิสัยใด?  (พวกเขาเคลือบแฝงและวางอุบาย)  พวกเขาเคลือบแฝง วางอุบาย มุ่งร้าย และทำสิ่งต่างๆ เพื่อประโยชน์แห่งสถานะ  พวกเขาไม่ใส่ใจต่อสิ่งทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานะ และไม่ทุ่มเทหัวใจให้กับสิ่งเหล่านั้นเลย แต่เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งทั้งหลายที่กระทบต่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ สถานะ ความภาคภูมิใจ และตำแหน่งของตนในคริสตจักร พวกเขากลับติดพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้และไม่ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ และเริ่มที่จะจริงจังขึ้นมา  เวลาที่สามัคคีธรรมความจริงในการชุมนุมตามปกติของพวกเขา บางครั้งพวกเขาก็จะรู้จักตัวเอง ยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเอง และเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง แต่ก็มีวัตถุประสงค์เบื้องหลังการสามัคคีธรรมนี้ มีเจตนา กล่าวคือ  ทั้งหมดนั้นก็เพื่อทำให้ผู้อื่นยกย่องบูชาพวกเขา อิจฉาพวกเขา และเคารพพวกเขา และเพื่อทำให้สถานะของตนมั่นคง  พวกเขามีความทะเยอทะยานอันบ้าคลั่งและมีวัตถุประสงค์  หากไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งสถานะของตน พวกเขาก็จะไม่กล่าวสักคำ หากไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งการรักษาสถานะของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่ทำอะไรเลย—ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำก็เพื่อประโยชน์แห่งสถานะของตน  พวกเขาจะทำงานหนักเพื่อประโยชน์แห่งสถานะของตน แต่หากเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งงานของคริสตจักร เมื่อพวกเขาค้นพบปัญหา พวกเขาก็จะไม่แก้ปัญหาเหล่านั้น เมื่อผู้คนอื่นๆ รายงานปัญหา พวกเขาก็จะไม่จัดการแก้ปัญหาเหล่านั้น และพวกเขาก็จะไม่กระดิกนิ้วเพื่อใส่ใจสิ่งใดเลย พวกเขาเห็นผู้คนอื่นๆ ยุ่งกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่พวกเขาไม่ทำอะไรแม้แต่น้อย  นี่เป็นคนประเภทใด?  (คนต่ำช้าและสามานย์ที่มีชีวิตเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเท่านั้น)  ใครบางคนที่มีชีวิตเพียงเพื่อสถานะใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  พวกเขาสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เป็นเรื่องยากที่จะพูด  หากพวกเขามีการตระหนักรู้ถึงมโนธรรมสักเล็กน้อย มีสำนึกละอายแก่ใจ มีศักดิ์ศรีและความซื่อตรง และสามารถยอมรับความจริงหลังจากได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาบางส่วน ได้รับประสบการณ์กับการถูกตัดแต่ง หรือการถูกทดสอบและถลุง เช่นนั้นแล้วย่อมเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสามารถพลิกฟื้นสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้นได้  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาด้านชา ปัญญาทึบ ดื้อแพ่ง และไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจมากเพียงใด นั่นจะเป็นประโยชน์อันใดหรือไม่?  (ไม่)  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจมากเพียงใด นั่นจะไม่สามารถดลใจพวกเขาได้  ไม่สำคัญว่าภายนอกพวกเขาดูเหมือนยุ่งมากเพียงใด พวกเขาเดินทางไกลแค่ไหน พวกเขาพลีอุทิศ เลิกล้ม และสละมากเพียงใด คนประเภทที่เพียงแค่พูดและกระทำการเพื่อประโยชน์แห่งสถานะอยู่เสมอจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอนที่สุด  เพื่อสถานะ พวกเขาจะยอมลำบากทุกอย่าง  เพื่อสถานะ พวกเขาจะทนทุกข์กับความยากลำบากใดๆ  เพื่อสถานะ พวกเขาจะทำทุกวิถีทาง  พวกเขาพยายามที่จะค้นหาเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้อื่น ใส่ความผู้อื่น หรือจงใจทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก โดยเหยียบย่ำผู้คนอื่นๆ ไว้ใต้ฝ่าเท้า  พวกเขาไม่แม้กระทั่งกลัวความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษและถูกกรรมสนอง พวกเขากระทำการเพื่อประโยชน์แห่งสถานะโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมาเลย  ผู้คนเช่นนี้ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด?  (สถานะ)  มีความคล้ายคลึงกับเปาโลตรงไหน?  (การไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎ)  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎแห่งความชอบธรรม พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ และปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ดังเช่นการไล่ตามไขว่คว้าที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แทนที่จะเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง  อะไรคือลักษณะเฉพาะที่มาก่อนอื่นของผู้คนดังกล่าว?  นั่นก็คือว่าพวกเขากระทำการเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ด้วยประการทั้งปวง  คนประเภทนี้ที่ทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เก่งกาจในการชักพาผู้อื่นให้หลงผิดที่สุด  เมื่อเจ้าพบกับพวกเขาครั้งแรก เจ้าไม่สามารถมองพวกเขาออก  เจ้ามองว่าคำสอนที่พวกเขาพูดฟังดูดี สิ่งที่พวกเขากล่าวดูเหมือนสัมพันธ์กับชีวิตจริง งานที่พวกเขาจัดการเตรียมการเหมาะยิ่งนัก และพวกเขาก็ดูเหมือนมีขีดความสามารถอยู่บ้าง และเจ้าก็เลื่อมใสพวกเขามากทีเดียว  คนประเภทนี้ยังเต็มใจที่จะจ่ายราคาอีกด้วยเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขาทำงานหนักทุกวันแต่ไม่เคยพร่ำบ่นเกี่ยวกับการเหน็ดเหนื่อยเลย  พวกเขาไม่มีความบอบบางแม้แต่นิดเดียว  เวลาที่คนอื่นอ่อนแอ พวกเขาไม่อ่อนแอ  พวกเขายังไม่ทะยานอยากเพื่อความสุขสบายแห่งเนื้อหนังอีกด้วย และก็ไม่ใช่คนกินยาก  เวลาที่เจ้าภาพของพวกเขาจัดเตรียมบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษให้กับพวกเขา พวกเขาก็ไม่ยอมรับและไม่กินสิ่งนั้น  พวกเขากินแต่อาหารในชีวิตประจำวันเท่านั้น  ใครก็ตามที่เห็นคนเช่นนี้ย่อมเลื่อมใสพวกเขา  แล้วคนเราจะสามารถแยกแยะได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะหรือไม่?  อันดับแรกเลยก็คือ คนเราต้องดูที่ว่าพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  ตรงไหนที่เรื่องนี้จะประจักษ์ชัด?  (เจตนาและจุดเริ่มต้นของพวกเขาเมื่อทำสิ่งทั้งหลาย)  นี่เป็นส่วนหนึ่งของการนั้น  โดยหลักแล้วนั่นจะประจักษ์ชัดในเป้าหมายที่พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้า  หากเป็นเพื่อประโยชน์แห่งการได้รับความจริง พวกเขาย่อมจะให้ความสำคัญกับการอ่านพระวจนะของพระเจ้าบ่อยๆ การเข้าใจความจริง และการรู้จักตนเองผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า  หากพวกเขาสามัคคีธรรมการรู้จักตนเองบ่อยครั้ง พวกเขาย่อมจะสามารถเห็นได้ว่าพวกเขาขาดพร่องหลายสิ่งมากเกินไป ไม่มีความจริง และโดยธรรมชาติแล้วจะเพียรพยายามที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  ยิ่งผู้คนรู้จักตนเองมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้มากขึ้นเท่านั้น  พวกที่กล่าวและทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะอยู่เสมอไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างชัดเจน  เมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาไม่ยอมรับการนั้น—พวกเขากลัวเป็นอย่างยิ่งว่าความมีหน้ามีตาของตนจะเสียหาย  แล้วพวกเขาสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับการพิพากษาและการตีสอนและทบทวนตัวเองได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถเข้าใจความเบี่ยงเบนในประสบการณ์ของตนเองได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  หากพวกเขาไม่มีการสำแดงเหล่านี้เลย เช่นนั้นแล้วคนเราย่อมสามารถแน่ใจได้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  จงบอกเราที คนที่ไม่รักความจริงและคนที่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะมีการสำแดงอื่นใด?  (เมื่อผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์พวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์นั้น แต่กลับปกป้องตนเองขึ้นมา แก้ต่างให้ตัวเอง และให้เหตุผล  พวกเขาพูดเพื่อที่จะรักษาความภาคภูมิใจของตนและปกปักรักษาสถานะของตน  หากใครบางคนไม่สนับสนุนพวกเขา พวกเขาก็โจมตีและตัดสินคนเหล่านั้น)  เมื่อผู้คนโจมตีและตัดสินผู้อื่น และพูดและปกป้องตัวเองเพื่อประโยชน์แห่งความภาคภูมิใจและสถานะของตนเอง เจตนาและเป้าหมายเบื้องหลังการกระทำของพวกเขาย่อมผิดอย่างเห็นได้ชัด และพวกเขาย่อมกำลังมีชีวิตอยู่เพื่อสถานะทั้งสิ้น  คนจำพวกที่พูดและทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์แห่งสถานะมีการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขามีการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาก็ต้องปฏิบัติความจริง และหากพวกเขาปฏิบัติความจริง พวกเขาก็ต้องทนทุกข์และจ่ายราคา  เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสูญเสียความชื่นชมยินดีที่มาพร้อมสถานะ และย่อมจะไม่สามารถสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งได้  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะเพียงแค่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ และไล่ตามไขว่คว้าการได้รับบำเหน็จ  คนที่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะสำแดงตนออกมาในหนทางอื่นใดบ้าง?  พวกเขาทำสิ่งอื่นใดอีก?  (หากพวกเขาเห็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษบางคนรอบๆ ตัวพวกเขาที่ทุ่มเทอุทิศให้กับการไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่า และผู้ที่ควรค่ากับการบ่มเพาะ และผู้ที่พี่น้องชายหญิงเอนเอียงที่จะสนับสนุนมากกว่า เช่นนั้นแล้วเนื่องจากความกลัวว่าคนเหล่านี้จะลุกขึ้นมาแทนที่พวกเขา และคุกคามสถานะของพวกเขา พวกเขาย่อมคิดถึงหนทางที่จะกดข่มบุคคลที่มีความสามารถพิเศษเหล่านี้ รวมทั้งหาเหตุผลและข้อแก้ตัวทุกจำพวกเพื่อกดบุคคลเหล่านี้ให้ต่ำกว่าตัวเอง  หนทางทั่วไปที่พบมากที่สุดคือการระบุลักษณะพวกเขาว่าโอหังมากเกินไป คิดว่าตนถูก และจำกัดควบคุมผู้อื่นอยู่เสมอ และทำให้ผู้คนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง และไม่ยอมให้พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมหรือบ่มเพาะบุคคลเหล่านี้)  นี่คือการสำแดงทั่วไปที่พบมากที่สุด  มีอะไรที่เจ้าต้องการเสริมอีกไหม?  (พวกเขาชอบที่จะเป็นพยานยืนยันให้ตัวเองและอวดตัวอยู่เสมอ  พวกเขาพูดถึงสิ่งที่วิเศษบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองอยู่เสมอ พวกเขาไม่เคยพูดถึงด้านที่น่าเกลียดของตน และหากพวกเขาทำบางสิ่งที่แย่ พวกเขาก็ไม่ทบทวนหรือชำแหละการกระทำของตน)  พวกเขาพูดอยู่เสมอว่าพวกเขาทนทุกข์และจ่ายราคาอย่างไร พระเจ้าทรงนำพวกเขาอย่างไร และแสดงให้เห็นงานที่พวกเขาได้ทำไป  นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของหนทางที่เป็นการคุ้มครองและการทำให้สถานะมั่นคงสำแดงออกมาอีกด้วย  คนที่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะและทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะมีลักษณะนิสัยอีกอย่างหนึ่งที่เด่นชัดที่สุด ซึ่งก็คือไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกเขาต้องมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสถานะเพราะพวกเขาต้องการมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย  พวกเขาต้องการเป็นผู้ที่ฟันธงและบุคคลผู้เดียวที่มีสิทธิอำนาจ  ไม่สำคัญว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ทุกคนต้องรับฟังพวกเขา และไม่สำคัญว่าใครมีประเด็นปัญหาอะไร คนเหล่านั้นต้องมาหาพวกเขาเพื่อแสวงหาและขอคำแนะนำ  สิ่งที่พวกเขาต้องการสุขสำราญคือผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งเหล่านี้  ไม่สำคัญว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร พวกเขาต้องมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย  ไม่สำคัญว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวจะถูกหรือผิด ต่อให้สิ่งนั้นผิด พวกเขาก็ยังคงต้องมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย และต้องทำให้ผู้อื่นรับฟังและเชื่อฟังพวกเขา  นี่เป็นปัญหาที่รุนแรงปัญหาหนึ่ง  ไม่สำคัญว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร พวกเขาต้องมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย ไม่สำคัญว่าจะเป็นสถานการณ์ที่พวกเขาเข้าใจหรือไม่ก็ตาม พวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีส่วนร่วมในสถานการณ์นั้นและมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย  ไม่สำคัญว่าผู้นำและคนทำงานกำลังสามัคคีธรรมประเด็นปัญหาใด พวกเขาต้องตัดสินใจ และไม่มีช่องว่างให้ผู้อื่นได้พูด  ไม่สำคัญว่าพวกเขาแนะนำทางออกใด พวกเขาต้องทำให้ทุกคนยอมรับทางออกนั้น และหากผู้อื่นไม่ยอมรับทางออกนั้น พวกเขาย่อมโกรธขึ้นมาและตัดแต่งทุกคน  หากมีใครมีคำวิพากษ์วิจารณ์หรือความเห็น ต่อให้คำวิพากษ์วิจารณ์หรือความเห็นนั้นถูกต้องและเป็นไปตามความจริง พวกเขาย่อมจำเป็นที่จะต้องคิดถึงหนทางทุกรูปแบบที่จะคัดค้านคำวิพากษ์วิจารณ์หรือความเห็นนั้น  พวกเขาเก่งในเรื่องเหตุผลอันชาญฉลาดเป็นพิเศษ จะโน้มน้าวบุคคลอื่นด้วยคำพูดที่รื่นหู และทำให้บุคคลอื่นเหล่านั้นทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของพวกเขาในท้ายที่สุด  พวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายในทุกสิ่งทุกอย่าง  พวกเขาไม่เคยปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงานหรือคู่ทำงานของตน พวกเขาไม่ถือหลักประชาธิปไตย  นี่ย่อมเพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและคิดว่าตนถูกมากเกินไป ไม่สามารถยอมรับความจริงได้แม้แต่น้อย และไม่นบนอบความจริงแม้แต่น้อย  หากเกิดบางสิ่งที่ใหญ่โตขึ้น หรือบางสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด และพวกเขาสามารถยอมให้ทุกคนทำการประเมินและออกความเห็นของตน และตกลงกันถึงวิธีการปฏิบัติตามความเห็นส่วนใหญ่ในท้ายที่สุด และมั่นใจว่านั่นจะไม่สร้างความเสียหายต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า และนั่นจะเป็นประโยชน์ต่องานโดยรวม—หากนี่เป็นท่าทีของพวกเขา เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมเป็นใครบางคนที่คุ้มครองงานของพระนิเวศของพระเจ้า และเป็นใครบางคนที่ยอมรับความจริง เนื่องจากมีหลักธรรมเบื้องหลังการทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้  อย่างไรก็ดี คนที่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะจะทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้หรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาจะทำสิ่งทั้งหลายอย่างไร?  หากเกิดบางสิ่งขึ้น พวกเขาจะไม่ใส่ใจว่าผู้คนอื่นๆ มีคำแนะนำใด  พวกเขาจะมีทางออกหรือการตัดสินใจอยู่ในใจมาก่อนที่ผู้คนจะแบ่งปันคำแนะนำของพวกเขานานแล้ว  ในหัวใจของพวกเขานั้นพวกเขาจะตัดสินใจไปแล้วว่านั่นคือสิ่งที่พวกเขาจะทำ  ที่จุดนี้ ไม่สำคัญว่าผู้คนพูดสิ่งใด พวกเขาจะไม่ใส่ใจกับสิ่งนั้น  ต่อให้ใครบางคนติติงพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย  พวกเขาไม่คำนึงถึงหลักธรรมความจริงว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรหรือไม่ หรือว่าพี่น้องชายหญิงสามารถยอมรับสิ่งนั้นได้หรือไม่  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายในขอบเขตที่พวกเขาคำนึงถึง  พวกเขาคำนึงถึงสิ่งใด?  พวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย พวกเขาต้องการเป็นผู้ที่ตัดสินใจในเรื่องนี้ เรื่องนี้ต้องทำในหนทางของพวกเขา พวกเขาต้องดูว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อสถานะของพวกเขาหรือไม่  นี่คือมุมมองที่พวกเขาใช้มองเรื่องทั้งหลาย  นี่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เมื่อคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาคำนึงถึงสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ของตนเองอยู่เสมอ พวกเขาคำนึงถึงอยู่เสมอว่าการนี้เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างไร  นี่คือจุดเริ่มต้นสำหรับการทำสิ่งทั้งหลายของพวกเขา

บางคนมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  จริงๆ แล้วมีบางคนที่เป็นเช่นนี้  ในเรื่องของการสำแดงหลักของพวกเขา ประเภทแรกคือการทำสิ่งทั้งหลายก็เพื่อประโยชน์แห่งการทำสิ่งเหล่านั้น พวกเขาชอบทำงานและอยู่นิ่งๆ ไม่ได้  ตราบที่พวกเขายุ่งกับการทำบางสิ่ง พวกเขาย่อมมีความสุข มีสำนึกรับรู้ถึงความสำเร็จลุล่วง และรู้สึกเป็นจริง  การสำแดงประเภทที่สองคือการทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ  คนประเภทนี้มีความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีที่แรงกล้าเป็นพิเศษ  พวกเขาต้องการควบคุมและเอาชนะใจผู้คนอยู่เสมอ และพึงปรารถนาที่จะแทนที่พระเจ้าอยู่เป็นนิตย์  การพึงปรารถนาที่จะแทนที่พระเจ้า—นี่สัมพันธ์กับการไล่ตามไขว่คว้าแบบใดของเปาโล?  (การไล่ตามไขว่คว้าที่จะกลายเป็นพระคริสต์ของเขา)  จุดมุ่งหมายในการไล่ตามไขว่คว้าสถานะของพวกเขาไม่ใช่เพียงการเป็นคนที่สูงส่ง เป็นคนมีสถานะที่ผู้อื่นให้ความเคารพเทิดทูนเท่านั้น  เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือการสามารถเอาชนะใจและควบคุมผู้คนได้ ทำให้ผู้อื่นให้ความเคารพเทิดทูนพวกเขาและปฏิบัติต่อพวกเขาดังเช่นพระเจ้า และทำให้ทุกคนติดตามพวกเขา นบนอบพวกเขา และเชื่อในตัวพวกเขา  ทั้งหมดนี้บอกเป็นนัยถึงสิ่งใด?  ว่าพวกเขาจะกลายเป็นพระเจ้าในหัวใจของผู้คน  นี่ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับเป็นการไล่ตามไขว่คว้าซาตาน  การไล่ตามไขว่คว้าสถานะไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการไล่ตามไขว่คว้างานและความมีหน้ามีตาก็ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน  มีการสำแดงอื่นใดอีก?  (พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าพร)  ถูกต้อง  พวกเขาจ่ายราคา สละตนเอง ทนทุกข์ และสามารถละทิ้งผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเองในเรื่องทุกจำพวกได้ แต่พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อที่จะได้รับพร  พวกเขาสำแดงตนออกมาในหนทางนี้เพื่อที่จะได้รับพรและการมีบั้นปลายที่ดีเท่านั้น  นี่ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน  นี่คือวิธีการที่สามซึ่งคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงสำแดงตนออกมา  พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายและทนทุกข์เพื่อที่จะได้รับพรและเพื่อประโยชน์แห่งบั้นปลายของตน โดยทุ่มทุนไม่อั้นแม้แต่น้อย เหมือนกันไม่มีผิดกับเปาโล  จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลายชัดเจน กล่าวคือ สิ่งใดก็ตามที่สำคัญที่สุดและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการได้รับพร นั่นคือสิ่งที่พวกเขามุ่งความสนใจทำเพียงอย่างเดียว  ตราบที่พวกเขาได้รับความเห็นชอบและการสนับสนุนจากพี่น้องชายหญิง นั่นย่อมดีแล้ว  พวกเขามุ่งความสนใจไปกับเรื่องที่ว่าทุกคนมองพวกเขาอย่างไร เบื้องบนมองพวกเขาอย่างไร รวมทั้งพวกเขาอยู่ในพระทัยของพระเจ้าหรือไม่เท่านั้น  ตราบที่เป็นที่แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับพรและได้รับบำเหน็จ นั่นย่อมดีแล้ว  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยใช้ความจริงเพื่อประเมินวัดสิ่งที่พวกเขาทำ และไม่เคยละทิ้งความปรารถนาที่จะได้รับพร พวกเขาไม่นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  หากพวกเขาทำบางสิ่งไม่ดีและถูกตัดแต่ง หากเบื้องบนไม่พอใจพวกเขา และพวกเขามองว่าไม่มีความหวังที่จะได้รับพรหรืออาจเป็นได้ว่าจะไม่ได้รับบั้นปลายที่ดี พวกเขาก็จะกลายเป็นคิดลบและเลิกทำหน้าที่ของตน ไม่อยากทำอีกต่อไป  มีแม้กระทั่งบางคนที่ไม่ต้องการที่จะเชื่อเอาเสียเลย พวกเขาคิดว่าไม่มีประโยชน์ในการเชื่อในพระเจ้า  การไล่ตามไขว่คว้าสามวิธีการข้างต้นล้วนแต่เป็นเส้นทางที่พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเดิน  มีคนประเภทนี้จำนวนมากพอประมาณในคริสตจักรทุกแห่ง และพวกเขาทั้งหมดคือคนที่ไม่รักความจริง  ไม่สำคัญว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ใด พวกเขาเชื่อมโยงหน้าที่นั้นกับผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง การได้รับพร และการได้รับบำเหน็จอยู่เสมอ และไม่เคยเชื่อมโยงหน้าที่นั้นกับการเข้าสู่ชีวิตของตน การเข้าใจความจริง หรือการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน  ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลากี่ปีแล้ว หรือพวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนมาเป็นเวลากี่ปีแล้ว พวกเขาไม่เคยไล่ตามเสาะหาการรู้จักตนเอง ไม่เคยไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิต และไม่เคยเสาะแสวงที่จะรักพระเจ้าหรือนบนอบพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเขากำลังทำอะไรก็ตาม พวกเขาไม่แสวงหาความจริง  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเผยให้เห็นความเสื่อมทรามใด พวกเขาไม่สรุปความเชื่อมโยงระหว่างความเสื่อมทรามนั้นกับความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเขากำลังทำอะไรก็ตาม ความตั้งใจของพวกเขาก็เห็นแก่ตัวและต่ำช้า ล้วนมุ่งไปที่การรักษาพรและผลประโยชน์ส่วนตัวไว้  ไม่ว่าพวกเขาถูกตัดแต่งอย่างไรพวกเขาก็ไม่ทบทวนตัวเอง และคิดว่าพวกเขาถูกต่อไป  คนประเภทนี้แทบจะไม่คิดลบ  พวกเขาไม่กลัวความทุกข์ไม่ว่าปริมาณเท่าใดหากนั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้รับพรและเข้าสู่ราชอาณาจักร  จริงๆ แล้วพวกเขามีความพากเพียร แต่การยอมรับความจริงเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขา  พวกเขายอมตายเสียดีกว่าที่จะทบทวนตัวเองและรู้จักตัวเอง  และพวกเขาก็คิดว่าพวกเขากำลังทำได้ค่อนข้างดี  คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีการสำแดงอีกอย่าง กล่าวคือ บางคนได้รับฟังคำเทศนามามากมายแล้ว แต่ไม่สนใจความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงหรือพระวจนะของพระองค์ที่เปิดโปงสภาวะนานาสารพันของผู้คน  ต่อให้พวกเขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่สนใจ  หากพวกเขาไม่สนใจแล้วเหตุใดพวกเขาจึงยังคงเชื่อในพระเจ้า?  แน่นอนที่สุดว่าพวกเขามีความคิดที่คลุมเครือและไม่เป็นความจริงจำพวกหนึ่งในหัวใจของตน  พวกเขากล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าบนโลกทรงสามารถทำอะไรได้  ฉันบอกไม่ได้  ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงสามารถสามัคคีธรรมความจริงเป็นหลัก  ฉันไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เรียกกันว่าความจริงเหล่านี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่พระองค์ตรัสก็ค่อนข้างดี และทำให้ผู้คนเดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง  อย่างไรก็ตาม ฉันบอกไม่ได้หรอกว่าอันที่จริงแล้วพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่”  ในเมื่อพวกเขากังขาพระเจ้ามากเหลือเกิน เหตุใดพวกเขาจึงยังอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าแทนที่จะผละจากไป?  เป็นเพราะพวกเขามีทรรศนะที่คลุมเครือและความเพ้อฝันในหัวใจของตน  พวกเขาคิดว่า “หากฉันฆ่าเวลาอยู่ที่นี่ต่อไป ในท้ายที่สุดแล้วฉันอาจจะหลีกหนีความตายได้ และเข้าสู่สวรรค์และได้รับพรอันยิ่งใหญ่ในที่สุด”  ดังนั้นขณะที่ผู้อื่นไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและยอมรับการถูกตัดแต่ง พวกเขาอยู่ตรงนั้นกำลังอธิษฐานถึงพระเจ้าในสวรรค์โดยพูดว่า “โอ พระเจ้า ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้ผ่านพ้นความลำบากยากเย็นเหล่านี้ และทำให้ข้าพระองค์สามารถยอมรับการถูกตัดแต่งด้วยเถิด  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์”  เจ้าได้ยินว่าคำพูดที่พวกเขาอธิษฐานนั้นไม่ผิด แต่พวกเขาก็ไม่เคยยอมรับว่ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือคิดผิด  ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขายอมรับพระเจ้าในสวรรค์เท่านั้น  ในเรื่องของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก—พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์—และพระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้า พวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย ราวกับสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา  การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเรียบง่ายและว่างเปล่าอย่างนี้นี่เอง  ไม่ว่าผู้อื่นพูดถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์และความจำเป็นที่จะต้องไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอย่างไร พวกเขาก็คิดรำพึงว่า “เหตุใดพวกคุณจึงล้วนแต่ถูกทำให้เสื่อมทรามมากแต่ฉันกลับไม่เป็นเช่นนั้น?”  พวกเขาคิดว่าพวกเขาสมบูรณ์แบบและไร้ข้อตำหนิ และไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  บางครั้งพวกเขาก็มีอคติหรือดูแคลนผู้อื่น แต่พวกเขาพิจารณาว่าเรื่องนี้ปกติ คิดว่านี่ก็เป็นแค่ความคิดไม่ดีและจะหายไปเองหากพวกเขากดเรื่องนี้เอาไว้  หรือเวลาที่พวกเขาเห็นคนอื่นกบฏต่อพระเจ้า พวกเขาก็คิดว่า “ฉันไม่เคยกบฏต่อพระเจ้า  ความรักที่ฉันมีให้กับพระองค์ในหัวใจของฉันไม่เคยสั่นคลอน”  พวกเขาเพียงแค่กล่าวไม่กี่ประโยคเหล่านี้และไม่ทบทวนตัวเองและไม่รู้วิธีปฏิบัติตนตามหลักธรรม  คนเยี่ยงนี้ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงยังคงคิดว่าตัวเองดีมากขนาดนั้น และคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ไม่ใช่เรื่องแย่?  กำลังเกิดอะไรขึ้นในที่นี้?  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รักความจริง  ตามมโนคติอันหลงผิดของผู้คน พวกเขาเป็นคนประเภทใด?  พวกเขาสำแดงตนออกมาในหนทางใด?  พวกเขาเจ้าคารม เฉลียวฉลาด เรียนรู้ได้เร็ว และมีความสามารถอันโดดเด่นที่จะเข้าใจสิ่งทั้งหลาย  พวกเขาเข้าใจสิ่งที่เจ้ากล่าวทันทีที่คำพูดนั้นออกมาจากปากของเจ้า และพวกเขาก็เข้าใจคำสอนได้เร็วเป็นพิเศษ  อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจสิ่งใด ทิศทางและจุดมุ่งหมายของการไล่ตามไขว่คว้าพรของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ที่มากกว่านั้น พวกเขาปฏิบัติต่อความจริงที่พวกเขาเข้าใจดังเช่นทฤษฎีทางเทววิทยา หรือดังเช่นหลักคำสอนหรือคำสอนจำพวกหนึ่ง  พวกเขาไม่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง และดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปฏิบัติหรือรับประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้น นับประสาอะไรที่จะนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ในชีวิตของตน  พวกเขายอมรับและประกาศคำสอนที่พวกเขาชอบและคำสอนที่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเท่านั้น โดยคิดว่าพวกเขาได้รับบางสิ่งบางอย่างแล้ว  การที่สามารถประกาศคำสอนและทำให้ผู้คนมากมายประทับใจคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกเขาได้รับจากการเชื่อในพระเจ้า  ในเรื่องที่ว่าพวกเขาปฏิบัติความจริงหรือมีการรู้จักตัวเองบ้างหรือไม่นั้น พวกเขาคิดว่าเหล่านี้คือเรื่องยิบย่อยที่ไม่สลักสำคัญ และการที่สามารถประกาศคำสอนฝ่ายวิญญาณ ตอบคำถาม และทำให้คนอื่นเลื่อมใสพวกเขาได้คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุด และเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขามีคุณสมบัติที่จะสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ใส่ใจการปฏิบัติความจริง พวกเขาไม่ทบทวนตัวเอง และพึงพอใจกับการที่สามารถประกาศคำเทศนาที่สูงส่งได้เท่านั้น  ปัญหานี้ค่อนข้างรุนแรง รุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ในพวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากพวกเขารู้อย่างชัดเจนว่านั่นคือความจริง แต่ไม่ปฏิบัติหรือรับประสบการณ์กับความจริงนั้น  นี่คือใครบางคนที่รังเกียจความจริงและล้อเล่นกับความจริง  ธรรมชาติของปัญหานี้ไม่ร้ายแรงมากหรอกหรือ?

ทีนี้พวกเจ้าสามารถแยกแยะคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้ใช่ไหม?  พวกเจ้าสำแดงตนออกมาเช่นคนประเภทนี้ในหนทางใดๆ หรือไม่?  (สำแดง โดยหลักแล้วในการที่ข้าพระองค์ทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ)  การกล่าวสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะและการทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ—ทุกสิ่งทุกอย่างวนเวียนอยู่กับสถานะ นี่ย่อมเป็นปัญหา  เป็นไปได้หรือที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นนี้?  อะไรคือการสำแดงถึงการทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ?  โดยหลักแล้ว นั่นเกี่ยวข้องกับการมุ่งความสนใจไปที่หน้าตา ภาพลักษณ์ และศักดิ์ศรีของตนเอง ตลอดจนสถานะที่คนเราครองในหัวใจของผู้อื่น—ผู้อื่นยกย่องบูชาและให้ความเคารพเทิดทูนพวกเขาหรือไม่  ไม่ว่าพวกเขาทำอะไรก็ตาม พวกเขาใส่ใจกับแง่มุมเหล่านี้เท่านั้น ไม่เคยยกย่องหรือเป็นพยานยืนยันให้แด่พระเจ้าเลย  ตัวอย่างเช่น เมื่อใครบางคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงพบกับผู้เชื่อรายใหม่ พวกเขาก็คิดในหัวใจว่า “คุณได้เชื่อในพระเจ้ามาไม่กี่ปีเท่านั้น คุณไม่เข้าใจอะไรเลย” แล้วก็ดูแคลนพวกเขา  หากผู้เชื่อรายใหม่คนนั้นต้องการแสวงหาความจริง พวกเขาก็จะพิจารณารูปลักษณ์ของผู้เชื่อรายใหม่คนนั้น วิธีที่เขาพูด รวมทั้งพิจารณาว่าพวกเขาชอบเขาหรือไม่เป็นอันดับแรก  หากผู้เชื่อรายใหม่คนนั้นมีขีดความสามารถแย่ พวกเขาก็จะไม่เต็มใจที่จะสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็แค่จะเสนอคำพูดหนุนใจไม่กี่คำแล้วก็ทิ้งไว้แค่นั้น  ในที่นี้อะไรคือปัญหา?  (พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้เป็นผู้เชื่อมาหลายปีแล้วและมีต้นทุน ดังนั้นพวกเขาจึงเบ่งความอาวุโสของตนไปทั่ว)  ต้นทุนนี้เป็นการสำแดงถึงการยืนยันสถานะของพวกเขา  เมื่อมีต้นทุน พวกเขาย่อมรู้สึกมีสิทธิ์ที่จะพูดจากตำแหน่งตามสถานะ—สถานะที่มอบให้ตนเอง ผู้อื่นไม่ได้มอบให้พวกเขา  คนเช่นนี้ที่ทำงานและพูดคุยในลักษณะนี้ใช่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเจ้าสำแดงตนออกมาในหนทางนี้หรือไม่?  เจ้าพูดว่า “ฉันได้เชื่อในพระเจ้ามาสิบปีแล้ว  การให้ฉันร่วมมือกับใครบางคนที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาสองปีเท่านั้นไม่ใช่การดูหมิ่นฉันหรอกหรือ?  ฉันไม่ต้องการพูดคุยกับพวกเขาเสียด้วยซ้ำ  พูดแค่คำเดียวฉันก็หมดกำลังแล้ว  พวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลย!”  นี่มีต้นตอมาจากการถูกอุปนิสัยอันโอหังครอบงำ  หากเจ้าไม่ได้มีหัวใจที่เห็นคุณค่าของสถานะ ไม่ได้จัดอันดับคนตามประสบการณ์หรือความอาวุโส และไม่ได้คิดว่าเจ้ามีต้นทุน เช่นนั้นแล้วเจ้าจะปฏิบัติต่อใครบางคนในหนทางนี้หรือไม่?  เป็นที่ชัดเจนว่าเนื่องจากการมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่ในตัวเจ้า การสำแดงถึงหนทางที่เจ้าปฏิบัติต่อผู้คนจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ซึ่งเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า การไล่ตามไขว่คว้าของเจ้า และสิ่งที่ฝังลึกในหัวใจของเจ้า  มีการสำแดงถึงการกระทำการเพื่อประโยชน์แห่งสถานะอีกอย่างหนึ่ง  ตัวอย่างเช่น บางคนที่ได้มาซึ่งความรู้เชิงวิชาชีพหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม เวลาที่เสวนาถึงความรู้สาขานี้ หากผู้อื่นพูดก่อน พวกเขาก็หัวเสียและคิดว่า “พวกคุณพูดโดยไม่มีสำนึกได้อย่างไร?  ต่อให้มีความยิ่งใหญ่มาอยู่ตรงหน้า พวกคุณก็ไม่รู้หรอก!”  พวกเขากล่าวว่า “ฉันเรียนวิชาเอกสาขานี้ในมหาวิทยาลัยและทุ่มเทอุทิศการวิจัยทั้งหมดของฉันให้กับประเด็นปัญหาเหล่านี้  หลังจบการศึกษา ฉันได้ทำงานในสาขานี้หลายปี  ฉันได้ทิ้งวิชาชีพนี้มาเกินสิบปีแล้วตั้งแต่เชื่อในพระเจ้า แต่ถึงจะหลับตาฉันก็จำทุกอย่างเกี่ยวกับวิชาชีพนี้ได้  ฉันไม่ชอบพูดคุยเรื่องนี้ ดูเหมือนราวกับว่าฉันกำลังโอ้อวด”  เจ้าคิดอย่างไรกับคำพูดเหล่านี้?  คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดของนักวิชาการผู้ไม่มีความเชื่อ และถูกพูดออกมาบนพื้นฐานของปรัชญาเยี่ยงซาตาน ทำให้พวกเขาดูมีความรู้และได้รับความเห็นชอบจากทุกคน  พวกเขากล่าวอ้างว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะโอ้อวด แต่นั่นคือสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่อย่างไม่ผิดเพี้ยน ก็แค่ในลักษณะที่มีทักษะมากขึ้น  พวกเขากล่าวถึงต้นทุนที่พวกเขามี อย่างจำนวนปีที่พวกเขาศึกษาวิชาชีพนี้และสิ่งที่พวกเขาได้รับ โดยใช้วิธีการนี้เพื่อส่งสารว่าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น  การเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาหนึ่งจำเป็นต้องหมายความว่าเจ้าเข้าใจสาขาวิชานั้นหรือไม่?  หากเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานในพระนิเวศของพระเจ้า นี่ใช่วิธีการที่เจ้าต้องใช้หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วเจ้าควรทำอย่างไร?  (แสวงหาความจริง หารือและแสวงหาร่วมกันกับพี่น้องชายหญิง)  ทุกคนควรแสวงหาร่วมกัน  เจ้ากล่าวว่า “ฉันจำเป็นต้องซื่อสัตย์  ฉันทำงานในวิชาชีพนี้หลายปีและรู้เกี่ยวกับวิชาชีพนี้อยู่บ้าง แต่ฉันไม่รู้หลักธรรมเบื้องหลังวิธีที่พระนิเวศของพระเจ้าใช้ประโยชน์จากวิชาชีพนี้  ฉันไม่รู้ว่าความรู้ที่ฉันมีนั้นมีประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่—พวกเราสามารถหารือถึงความรู้นี้ร่วมกันได้  ฉันจะบอกพวกคุณเกี่ยวกับพื้นฐานของสาขานี้สักหน่อย”  นี่คือวิธีพูดอย่างมีเหตุผล  แม้ว่าพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพนี้ แต่พวกเขาก็ถ่อมใจและไม่เย่อหยิ่งจองหอง  พวกเขาไม่ได้กำลังแสร้งทำ พวกเขาต้องการที่จะทำงานให้ดีอย่างแท้จริง รวมทั้งแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้และสิ่งที่พวกเขารู้กับทุกคน โดยไม่อุบสิ่งใดเอาไว้เลย  พวกเขาก็กำลังทำเช่นนี้อย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์แห่งการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ไม่ว่าผู้อื่นมองหรือปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร  พวกเขาก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์แห่งการสนองน้ำพระทัยพระเจ้า และเพื่อประโยชน์แห่งการได้รับความจริงและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์  ดังนั้นในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาทุกแง่มุม พวกเขาจึงพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและใส่ใจต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง  ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำสิ่งใด พวกเขาย่อมสามัคคีธรรมกับทุกคนก่อน จากนั้นก็หารือถึงการนั้นร่วมกันเพื่อบรรลุฉันทามติ ยอมให้พี่น้องชายหญิงมีส่วนร่วมการแบ่งปันแนวคิดและความอุทิศ โดยที่ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันในการทำงานให้เสร็จสิ้นเป็นอย่างดี  เจ้าคิดอย่างไรกับวิธีการนี้?  มีเพียงคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่จะทำการนี้ในหนทางนี้  ไม่ว่าอย่างไรเสียพวกเขาก็เชื่อในพระเจ้า แต่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและพวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นสำแดงตนออกมาในหนทางที่แตกต่างกัน  คนจำพวกใดน่าขยะแขยง?  (คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงน่าขยะแขยง)  ไม่มีความจำเป็นต้องโอ้อวดหากเจ้ารู้เกี่ยวกับบางอาชีพอยู่บ้าง และไม่มีความจำเป็นต้องดูเบาหรือจำกัดควบคุมผู้อื่นหากเจ้ารู้เกี่ยวกับอาชีพนั้นอยู่บ้างเช่นกัน  บางคนมองไม่เห็นหัวผู้อื่นเมื่อพวกเขากลายเป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาเดินเหินและพูดคุยด้วยอากัปกิริยาที่เสแสร้ง โดยถึงขั้นวางท่าเป็นเจ้าใหญ่นายโต  การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้น่าขยะแขยงยิ่งขึ้นไปอีก  ต่อให้เจ้ามีสถานะอยู่บ้างก็ไม่มีความจำเป็นต้องโอ้อวดหรือหยิ่งผยอง  เจ้าควรกระทำการอย่างรับผิดชอบเพื่อนำพี่น้องชายหญิงให้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี  นี่คือความรับผิดชอบของเจ้าและเป็นสิ่งที่เจ้าควรสำเร็จลุล่วง  ที่มากกว่านั้น หากเจ้ามีความเป็นมนุษย์และอุทิศตน เจ้าต้องมีความรับผิดชอบเมื่อทำสิ่งทั้งหลาย  เจ้าควรมีความรับผิดชอบอย่างไร?  ด้วยการสามัคคีธรรมอย่างชัดเจนด้านที่คนไม่เข้าใจ ด้านที่คนโน้มเอียงที่จะทำความผิดพลาดหรือถูกชักพาให้หลงผิด และแก้ไขความผิดพลาดและความเบี่ยงเบนใดๆ ที่เกิดขึ้นให้ถูกต้อง เจ้าย่อมมั่นใจว่าทุกคนสามารถทำสิ่งทั้งหลายโดยใช้วิธีการที่ถูกต้อง เพื่อที่พวกเขาจะไม่ทำความผิดพลาดหรือถูกผู้อื่นจำกัดควบคุมอีกต่อไป  ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะลุล่วงหน้าที่ของตนแล้ว  นี่คือการมีความรับผิดชอบและอุทิศตนต่อหน้าที่ของเจ้า  ทันทีที่เจ้าได้สัมฤทธิ์การนี้แล้ว คนอื่นจะยังคงสามารถกล่าวว่าเจ้าไล่ตามไขว่คว้าสถานะได้หรือไม่?  ไม่ได้ พวกเขาไม่สามารถกล่าวได้  หลักธรรมที่เจ้าปฏิบัติถูกต้องอยู่แล้ว เช่นเดียวกับเส้นทางของเจ้า  เหล่านี้คือการสำแดงของบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง นี่คือวิธีที่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงควรปฏิบัติ  สิ่งที่ตรงข้ามนั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากพฤติกรรมที่ทำให้เสื่อมเสียนานัปการ  การต้องการที่จะโอ้อวดและได้รับการคำนึงถึงอย่างสูงส่ง แต่ก็ต้องการที่จะซ่อนเร้นและอุบสิ่งที่พวกเขารู้เอาไว้ด้วย โดยกลัวว่าหากผู้อื่นรู้สิ่งเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะไม่สามารถอวดตัวหรือได้รับการคำนึงถึงอย่างสูงส่งอีกต่อไป—นั่นเป็นกบฏยิ่งนัก!  พวกเขาไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นเฝ้าดูอยู่ในเหตุการณ์ แอบหัวเราะกับตัวเองว่า “หากฉันไม่พูด มาดูกันว่าจะมีใครที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนไหม!  ต่อให้ฉันพูดบางอย่าง ฉันก็จะไม่พูดทั้งหมด  วันนี้ฉันจะเปิดเผยนิดหน่อย และพรุ่งนี้อีกเล็กน้อย แต่ก็ยังจะไม่บอกความจริงกับพวกคุณ  ฉันจะปล่อยให้พวกคุณไปใคร่ครวญกันเอง  ไม่ง่ายหรอกนะที่จะได้บางสิ่งไปจากฉัน!  หากฉันบอกทั้งหมดที่ฉันเข้าใจกับพวกคุณ ทำให้พวกคุณเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็จะไม่เหลืออะไรน่ะสิ และพวกคุณก็จะเก่งกว่าฉัน  แล้วแบบนั้นพวกคุณจะมองฉันอย่างไรล่ะ?”  สิ่งทรงสร้างจำพวกไหนที่จะคิดเช่นนี้?  คนคนนี้มุ่งร้าย!  พวกเขาไม่มีอะไรดีเลย  พวกเขาใช่คนที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเจ้าคนใดเคยทำเช่นนี้หรือไม่?  (ข้าพระองค์เคย  โดยเฉพาะหลังจากที่ข้าพระองค์ได้ประกาศข่าวประเสริฐเป็นระยะเวลานานขึ้นและได้รับผลลัพธ์บ้าง ข้าพระองค์ก็รู้สึกเหมือนข้าพระองค์มีทรัพย์สินและต้นทุนอยู่บ้าง  เมื่อคนอื่นถามว่าข้าพระองค์รู้จักวิธีการที่ดีใดๆ บ้างหรือไม่ หรือมีประสบการณ์ที่ดีใดๆ ที่จะแบ่งปันหรือไม่ ข้าพระองค์ก็ปฏิเสธ  ข้าพระองค์ใช้ชีวิตตามคำกล่าวที่เป็นพิษของซาตานว่า “ทันทีที่นักศึกษาคนหนึ่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์รู้ อาจารย์จะเสียการทำมาหากินของเขาไป”  ข้าพระองค์กลัวว่าผู้อื่นจะแซงหน้าข้าพระองค์ และแล้วข้าพระองค์ก็จะสูญเสียสถานะของข้าพระองค์)  การกลัวว่าคนอื่นจะแย่งชิงความเป็นที่สนใจไปจากเจ้าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะ  ชื่อเสียงและผลประโยชน์คือเป้าหมายที่ผู้คนใช้เวลาทั้งชีวิตของตนต่อสู้เพื่อให้ได้มา แต่สิ่งเหล่านี้ยังเป็นกริชสองเล่มที่ทิ่มแทงหัวใจด้วย—สิ่งเหล่านี้จะทำให้เจ้าสูญเสียชีวิตของเจ้าไป!

บางคนที่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงก็คิดว่าพวกเขาทำคุณประโยชน์และมีสถานะภายในคริสตจักรอยู่บ้าง  ทุกครั้งที่พวกเขาอยู่ตรงหน้าผู้อื่น พวกเขากล่าวถึงสิ่งที่ดีเหล่านี้ที่พวกเขาได้ทำ เพื่อให้ทุกคนมีการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับตัวพวกเขาใหม่อย่างสมบูรณ์—เป็นความเข้าใจเกี่ยวกับต้นทุนและสถานะของพวกเขา และความเข้าใจเกี่ยวกับความมีหน้ามีตาและตำแหน่งของพวกเขาภายในคริสตจักร  เหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้?  (เพื่อโอ้อวดและอวดตน)  แล้วอะไรคือเหตุผลที่ต้องอวดตน?  เพื่อสถาปนาตนเอง  แล้วด้วยการสถาปนาตนเองพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง?  (ทำให้คนอื่นยกย่องบูชาพวกเขา)  ทำให้คนอื่นยกย่องบูชาพวกเขา พูดถึงพวกเขาในทางที่ดี และเคารพพวกเขา  หลังจากได้รับสิ่งเหล่านี้แล้ว ในใจพวกเขารู้สึกอย่างไร?  (พวกเขาชื่นชมยินดีกับการนี้)  พวกเขาสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง  พวกเจ้าก็ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ด้วยหรือไม่?  อะไรเป็นเหตุให้ผู้คนมีความคิด แนวคิด และวิธีการคิดเหล่านี้?  อะไรทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น?  อะไรคือต้นตอของสิ่งเหล่านี้?  ต้นตอของสิ่งเหล่านี้ก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์นั่นเองที่ทำให้ผู้คนเผยตัวเองออกมาในหนทางนี้ และทำให้เกิดการไล่ตามไขว่คว้าจำพวกเหล่านี้  บางคนมักจะรู้สึกเหนือกว่าในพระนิเวศของพระเจ้า  ในหนทางใด?  อะไรเป็นเหตุให้พวกเขารู้สึกเหนือกว่าในลักษณะเหล่านี้?  ตัวอย่างเช่น บางคนรู้วิธีพูดภาษาต่างประเทศ และพวกเขาก็คิดว่านั่นหมายความว่าพวกเขามีพรสวรรค์และพวกเขามีทักษะ และหากพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้มีพวกเขา การที่จะขยับขยายงานของพระนิเวศของพระเจ้าก็น่าจะเป็นเรื่องยากจริงๆ  ผลก็คือ พวกเขาต้องการทำให้ผู้คนยกย่องบูชาพวกเขาทุกหนทุกแห่งที่พวกเขาไป  คนประเภทนี้นำวิธีการใดมาใช้เมื่อพวกเขาพบกับผู้อื่น?  ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขากำหนดลำดับชั้นต่างๆ ทุกจำพวกให้แก่คนที่ปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ กันในพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้นำอยู่ด้านบนสุด คนที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะทางมาเป็นลำดับสอง จากนั้นก็เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษทั่วไป และที่ด้านล่างสุดคือพวกที่ปฏิบัติหน้าที่ในการสนับสนุนทุกจำพวก  บางคนปฏิบัติต่อความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่สำคัญและหน้าที่พิเศษดังเช่นต้นทุน และปฏิบัติต่อการนี้ดังเช่นการมีความเป็นจริงความจริง  ในที่นี้อะไรคือปัญหา?  นี่ไม่ไร้เหตุผลหรอกหรือ?  การปฏิบัติหน้าที่พิเศษบางอย่างทำให้พวกเขาโอหังและหยิ่งผยอง และพวกเขาก็ดูแคลนทุกคน  เมื่อพวกเขาพบกับใครบางคน สิ่งแรกที่พวกเขาทำอยู่เสมอคือถามว่าใครคนนั้นปฏิบัติหน้าที่ใด  หากคนคนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ทั่วไป พวกเขาย่อมดูแคลนคนคนนี้ และคิดว่าคนคนนี้ไม่ควรค่ากับความใส่ใจจากพวกเขา  เมื่อคนคนนี้ต้องการสามัคคีธรรมกับพวกเขา ภายนอกนั้นพวกเขาเห็นพ้องด้วยกับเรื่องนี้ แต่กลับคิดในใจว่า “คุณต้องการสามัคคีธรรมกับฉันหรือ?  คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร  ดูที่หน้าที่ที่คุณปฏิบัติสิ—คุณจะควรค่ากับการพูดคุยกับฉันได้อย่างไร?”  หากหน้าที่ที่คนคนนี้ปฏิบัติสำคัญกว่าหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาก็ยกยอคนคนนี้และอิจฉาคนคนนี้  เมื่อพวกเขาเห็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาก็พินอบพิเทาและยกยอคนเหล่านั้น  พวกเขามีหลักธรรมในหนทางที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คนหรือไม่?  (ไม่มี  พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คนตามหน้าที่ที่ผู้คนเหล่านั้นปฏิบัติ และตามลำดับชั้นที่แตกต่างกันนานาสารพันที่พวกเขากำหนด)  พวกเขาจัดลำดับผู้คนตามประสบการณ์และความอาวุโสของผู้คนเหล่านั้น และตามความสามารถพิเศษและพรสวรรค์ของผู้คนเหล่านั้น  ข้อเท็จจริงใดถูกเผยให้เห็นจากการที่พวกเขาจัดลำดับผู้คนในหนทางนี้?  การไล่ตามเสาะหา การเข้าสู่ชีวิต แก่นแท้ธรรมชาติ และลักษณะนิสัยของพวกเขาเองล้วนถูกเผยออกมาผ่านสิ่งนี้  เมื่อบางคนเห็นผู้นำระดับสูงขึ้นไป พวกเขาก็พยักหน้าและโค้งคำนับเล็กน้อย และก็สุภาพ  เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนที่มีความสามารถบางอย่าง มีพรสวรรค์ มีทักษะในการพูด ได้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญในพระนิเวศของพระเจ้า หรือผู้ที่เบื้องบนได้ส่งเสริมและมองว่าสำคัญ พวกเขาก็พูดอย่างสุภาพเป็นพิเศษ  เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนที่มีขีดความสามารถต่ำหรือผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ทั่วไป พวกเขาก็ดูแคลนคนเหล่านั้นและปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นราวกับว่าพวกเขาไม่ปรากฏแก่ตา—หนทางที่พวกเขาปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นแตกต่างออกไป  พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ?  “คนอย่างคุณยังคงเป็นชนชั้นล่างอยู่ดีแม้ว่าคุณเชื่อในพระเจ้าก็ตาม แต่คุณก็ยังคงต้องการพูดคุยราวกับว่าคุณอยู่ระดับเดียวกับฉัน และสามัคคีธรรมกับฉันเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตและการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  คุณไม่เหมาะที่จะทำเช่นนั้นหรอก!”  นี่คืออุปนิสัยใด?  ความโอหัง ความโหดร้าย และความชั่ว  ผู้คนประเภทนี้มีมากหรือไม่ในคริสตจักร?  (มีมาก)  พวกเจ้าใช่คนประเภทนี้หรือไม่?  (ใช่)  การปฏิบัติต่อคนแตกต่างกันบนพื้นฐานที่ว่าพวกเขาเป็นใคร—สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรที่เป็นการสำแดงของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด? (พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าสถานะ)  พฤติกรรม การเผย และการสำแดงตามปกติของคนสามารถแสดงให้เห็นความคิด ทรรศนะ เจตนา และการไล่ตามไขว่คว้าทั้งหมดที่พวกเขามี ตลอดจนเส้นทางที่พวกเขาเดิน  สิ่งที่เจ้าเผยออกมา และสิ่งที่เจ้าสำแดงเป็นประจำ คือสิ่งที่เจ้าไล่ตามไขว่คว้า—การไล่ตามไขว่คว้าของเจ้าถูกเปิดโปง  แม้ว่าคนประเภทนี้มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า สรุปความเชื่อมโยงกับพระวจนะของพระองค์ และเปรียบเทียบพระวจนะของพระองค์กับสภาวะของตนเองได้ แต่ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นพวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริง และไม่จัดการกับสิ่งนั้นโดยใช้ความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักธรรมของตน  ตรงกันข้าม พวกเขากลับจัดการกับสิ่งนั้นและกระทำการโดยอิงตามมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน เจตนา วัตถุประสงค์ และความอยากได้อยากมีของตนเอง ตลอดจนความเลือกชอบของตนเอง  คนเยี่ยงนี้สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  หัวใจของพวกเขายังคงเก็บงำหลักธรรมและวิธีการที่คนที่ไม่เชื่อมีสำหรับการจัดการกับโลก พวกเขายังคงจัดลำดับผู้คนตามประสบการณ์และความอาวุโสของผู้คนเหล่านั้น รวมทั้งกำหนดลำดับชั้นต่างๆ ทุกจำพวกให้แก่ผู้คนในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาไม่ใช้ความจริงเพื่อประเมินวัดผู้คน แต่ในทางกลับกันประเมินวัดผู้คนโดยใช้ทรรศนะและมาตรฐานของพวกที่ไม่เชื่อ  นี่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แม้ว่าพวกเขาดูเหมือนใครบางคนที่เข้าใจความจริงเวลาที่พวกเขาพูดและประกาศ แต่จะสามารถเห็นความเป็นจริงความจริงได้บ้างหรือไม่จากวิธีที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน?  (ไม่สามารถ)  เช่นนั้นแล้วนี่ใช่คนที่มีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ภายในตัวพวกเขามีสิ่งที่เสื่อมทรามมากเกินไป และพวกเขาก็ยังห่างไกลจากมาตรฐานในส่วนที่เกี่ยวกับการลุล่วงข้อกำหนดสำหรับความรอดมากเกินไป  หากพวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ดังเช่นต้นทุนอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วพวกเขาสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาเข้าใจไปปฏิบัติได้มากแค่ไหน?  อันที่จริงแล้วหัวใจของพวกเขามีความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  สำหรับพวกเขาแล้ว การเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนมีความสำคัญอย่างไร?  อะไรกันแน่ที่ได้หยั่งรากลงในหัวใจของพวกเขา?  แน่นอนที่สุดว่านั่นก็คือปรัชญาเยี่ยงซาตานทั้งหมดและสิ่งทั้งหลายที่ได้รับสืบทอดจากมนุษย์ ตลอดจนมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  หากสิ่งเหล่านี้หยั่งรากในหัวใจของคนลึกเกินไป ย่อมจะเป็นเรื่องยากอย่างที่สุดที่พวกเขาจะยอมรับความจริง  พวกเขาพิจารณาอยู่เสมอว่าเบื้องบนมองพวกเขาอย่างไร เบื้องบนเห็นคุณค่าของพวกเขาหรือไม่ พวกเขาอยู่ในพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ และพระเจ้าทรงรู้จักพวกเขาหรือไม่  พวกเขามองคนอื่นอย่างเดียวกัน กล่าวคือ พวกเขาดูที่ว่าเบื้องบนเห็นคุณค่าของคนเหล่านี้หรือไม่ และพระเจ้าพอพระทัยพวกเขาหรือไม่—พวกเขาปฏิบัติต่อคนแตกต่างกันโดยอิงจากว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร  ในเมื่อหัวใจของพวกเขาให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ ความจริงสามารถมีผลกับพวกเขาได้มากเพียงใด?  อันที่จริงแล้วคนที่ใช้ชีวิตในสภาวะเหล่านี้และใช้ชีวิตในปรัชญาการจัดการดำรงชีวิตทางโลกเหล่านี้เสมอกำลังไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด?  พวกเขาสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  เช่นนั้นแล้วพวกเขาดำรงชีวิตตามสิ่งใด?  (พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตานในการดำรงชีวิตทางโลก)  พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน แต่พวกเขาก็คิดว่าพวกเขามีความรู้ ผ่านการศึกษาและมีปัญญา และรู้สึกถึงความชื่นชมยินดีอยู่ภายในค่อนข้างมาก  พวกเขามองพระนิเวศของพระเจ้าเป็นสิ่งใด?  (เป็นสังคม)  พวกเขามองพระนิเวศของพระเจ้าเป็นสังคม  พวกเขายังไม่ได้ละทิ้งทรรศนะนี้  แล้วพวกเขาแก้ประเด็นปัญหาเหล่านี้อย่างไร?  นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการที่ผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการมีความสามารถที่จะยอมรับข้อเท็จจริงที่พระเจ้าได้ทรงเปิดโปง  พวกเขายังต้องได้รับประสบการณ์กับการตัดแต่ง บททดสอบ และการถลุงด้วย  พวกเขายังจำเป็นต้องรู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของตน มองแก่นแท้ของต้นทุน พรสวรรค์ ความรู้ และคุณสมบัติอย่างชัดเจน  ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ ยอมรับความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และใช้ชีวิตตามความจริงด้วย  เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติอันเสื่อมทรามได้

การไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย  ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะมองสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า  ในอดีต ผู้คนมีทรรศนะที่ผิดมากมาย  หากพวกเขาไม่แสวงหาความจริง พวกเขาย่อมจะไม่ตระหนักทรรศนะที่ผิดเหล่านั้น และจะยังคงดำเนินต่อไปดังเช่นแต่ก่อน โดยคิดว่าพวกเขาถูกต้อง อีกทั้งโอหังและคิดว่าตนถูก โดยที่ต่อให้เจ้าตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็จะยังคงไม่ยอมรับความผิดพลาดของตน  เป็นเรื่องยากมากที่จะเปลี่ยนมุมมองซึ่งคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงใช้มองสิ่งทั้งหลาย  ตัวอย่างเช่น เมื่อบางคนเห็นว่ามีคนคนหนึ่งในคริสตจักรที่เคยเป็นผู้นำบริษัทแห่งหนึ่ง ความรู้สึกเคารพและเลื่อมใสก็เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา  พวกเขาอิจฉา เลื่อมใส ยกย่อง และแม้กระทั่งบูชาคนเช่นนี้  คนคนนี้มีสถานะในหัวใจของพวกเขา  ในสถานการณ์นี้ควรทำสิ่งใด?  เจ้าควรแยกแยะคนคนนี้และปฏิบัติต่อพวกเขาโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง และมองว่าพวกเขาเป็นใครบางคนที่รักความจริงและไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และพวกเขาเป็นใครบางคนที่ควรค่ากับความเคารพหรือไม่  หลังจากปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาและแยกแยะพวกเขาแล้ว หากเจ้าค้นพบว่าพวกเขาไม่ใช่คนจำพวกนี้ เจ้าย่อมจะไม่ยกย่องคนคนนั้นในหัวใจของเจ้าอีกต่อไป และจะไม่เคารพนับถือพวกเขาอย่างสูงส่ง  เจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาและปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาในหนทางปกติ  การปฏิบัติต่อพวกเขาในหนทางปกติหมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายถึงการที่สามารถปฏิบัติต่อพวกเขาได้อย่างถูกต้อง  หัวใจของผู้คนเต็มเปี่ยมไปด้วยความเลือกชอบ ความปรารถนา และการไล่ตามเสาะหาของตนเอง และคุณค่าของหัวใจของผู้คนก็เผยตัวเองออกมาในพฤติกรรมเล็กน้อยมากหลายอย่าง  หากมีใครบางคนที่พวกเขาเคารพ เมื่อพวกเขาพูดถึงคนเหล่านั้น คำพูดของพวกเขาย่อมจะรู้กาลเทศะและสุภาพอย่างยิ่ง และพวกเขาย่อมจะอ้างอิงถึงคนเหล่านั้นในลักษณะที่เปี่ยมความเคารพเป็นพิเศษ  นี่บ่งชี้สิ่งใด?  ว่าคนคนนี้มีสถานะในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาก็ยกย่องคนคนนี้  นอกจากนี้ มีสิ่งอื่นๆ ที่พวกเขากล่าว  พวกเขามักจะกล่าวว่า “คนคนนี้เคยเป็นเจ้าหน้าที่  หากคนคนนี้มายังพระนิเวศของพระเจ้าและได้รับการปฏิบัติดังเช่นคนปกติธรรมดา นั่นคงจะไม่เป็นธรรมต่อพวกเขา”  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขานั้น พวกเขาคิดว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้ความสำคัญกับบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ  บุคคลชั้นสูงเช่นนั้นสามารถถ่อมใจตัวเองและมาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า เป็นผู้เชื่อ และปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้ยกย่องพวกเขาหรือส่งเสริมพวกเขา และเบื้องบนก็ไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษในการแนะนำพวกเขากับพี่น้องชายหญิง  เจ้าถามพวกเขาว่าหน้าที่ของคนคนนี้เป็นไปอย่างไร และพวกเขาก็กล่าวว่า “คนคนนี้เคยเป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง และมีผู้คนหลายพันคนภายใต้พวกเขา  การทำงานเล็กน้อยนี้ไม่สำคัญอะไรสำหรับพวกเขา  ไม่มีผู้ใดในพระนิเวศของพระเจ้าที่มีขีดความสามารถสูงกว่าพวกเขา  พวกเขาเป็นชนชั้นสูง  ไม่มีชนชั้นสูงในพระนิเวศของพระเจ้า”  นี่เป็นการพูดคุยประเภทไหนกัน?  พวกเขาคิดว่าโลกปุถุชนมีชนชั้นสูง แต่พระนิเวศของพระเจ้าไม่มี  ผู้คนในพระนิเวศของพระเจ้ามีความจริง—ผู้คนในโลกปุถุชนมีความจริงหรือไม่?  เจ้ากล่าวว่าโลกปุถุชนมีชนชั้นสูง แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อในชนชั้นสูง?  เหตุใดเจ้าจึงได้มาที่นี่เพื่อเชื่อในพระเจ้า?  เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และควรรีบกลับไปโลกปุถุชน  ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถกล่าวสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่านั่นเป็นเสียงของซาตานหรอกหรือ?  นั่นคือเสียงของซาตาน  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและมาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า แต่ยกย่องซาตาน  พวกเขาเกือบจะกล่าวว่า “หากคนมีชื่อเสียงคนใดคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้า พวกเขาย่อมจะเป็นคนที่มีขีดความสามารถสูงสุด  หากพวกเขาไม่สามารถถูกทำให้เพียบพร้อมได้ เช่นนั้นแล้วย่อมไม่มีความหวังสำหรับพวกเราที่เหลือ  ในสายตาของพวกเขา พวกเราไม่สำคัญอะไร”  ในหัวใจของพวกเขาและในสายตาของพวกเขานั้น คนที่เชื่อในพระเจ้าไม่ดีเท่ากับคนมีชื่อเสียง ผู้ประกอบธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ในโลกปุถุชน  มีเพียงคนเหล่านั้นเท่านั้นที่เป็นชนชั้นสูง และเป็นผู้มีความสำคัญ  เมื่อเจ้าทำความเข้าใจกับความหมายที่แฝงไว้ในสิ่งที่พวกเขากล่าว พวกเขาใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ไม่สำคัญว่าพวกเขารับฟังคำเทศนามามากเพียงใด ทรรศนะและความคิดของพวกเขา ความเห็นเกี่ยวกับโลกของพวกเขา และความเห็นและทรรศนะเกี่ยวกับคนมีชื่อเสียงและชนชั้นสูงของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง  พวกเขาได้รับความจริงแล้วหรือยัง?  พวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  (ไม่)  คนคนนี้เป็นอะไรหรือ?  (ผู้ไม่เชื่อ)  พวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ  พวกเขาเป็นยูดาสและจอมหักหลัง!  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา พระเจ้าไม่ได้ทรงสูงสุดและความจริงก็ไม่ได้สูงที่สุด  ตรงกันข้าม อำนาจทางโลก เกียรติยศ ชื่อเสียง และผลประโยชน์นั้นกลับสูงที่สุด  คนคนนี้เป็นจอมหักหลัง  นี่คือความคิดและทรรศนะของยูดาส  นี่คือความคิดและตรรกะของซาตาน  แม้ว่าคนเหล่านี้สามารถเข้าใจความจริง แต่ความคิดและทรรศนะของพวกเขาย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง  สิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าคือความมีหน้ามีตา สถานะ และอำนาจ  เมื่อเจ้าอยู่รอบๆ ใครบางคนเช่นนี้ การแสดงออกที่พวกเขามีเวลาที่พูดคุยกับเจ้านั้นไม่เหมาะสม และนั่นทำให้เจ้ามีความรู้สึกบางอย่าง กล่าวคือ คนคนนี้ยากที่จะเข้าใกล้ และบุคคลปกติทั่วไปก็ไม่ปรากฏแก่ตาสำหรับพวกเขา  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าได้มากมายนัก  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงสามารถแสดงความจริงได้มากเพียงใด ในหัวใจของพวกเขาย่อมมีสิ่งกีดขวางระหว่างพวกเขากับพระเจ้าอยู่เสมอ  พวกเขาคิดว่าความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์นั้นปกติธรรมดา และไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือทรงฤทธิ์แม้แต่น้อย  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถเคารพความรู้และพรสวรรค์ รวมทั้งชื่นชูบุคคลสำคัญได้  เมื่อคนที่โอหัง คิดว่าตนสำคัญ และทะนงตนเช่นนี้ที่เต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เห็นพระคริสต์ที่ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติและเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริง พวกเขาสามารถกราบไหว้และนมัสการพระองค์ได้อย่างไร?  พวกเขาคิดในใจว่า “ท่านเป็นพระเจ้า  ท่านมีเพียงความจริงเท่านั้น  ท่านไม่มีความรู้  ฉันมีพรสวรรค์ ความรู้ของฉันสูงกว่าของท่าน ความสามารถพิเศษของฉันก้าวหน้ากว่าของท่าน ความสามารถของฉันในการรับมือกับสิ่งทั้งหลายก็โดดเด่นกว่าของท่าน และฉันก็พูดกับโลกภายนอกเก่งกว่าท่าน”  เมื่อพวกเขาทำงานบางอย่างในคริสตจักร มีต้นทุนอยู่บ้าง หรือมีส่วนร่วมแบ่งปันบางอย่าง พวกเขาก็คิดถึงพระเจ้าน้อยลงไปอีกเสียด้วยซ้ำ  นี่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแสดงพฤติกรรมที่น่าเกลียดนานัปการออกมาให้เห็น และไม่มีสำนึกแม้แต่น้อย  ดังนั้นคนเหล่านี้จึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ภายนอกของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย—ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงคิดถูก ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาคิดว่าพระองค์ทรงคิดผิด ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาคิดว่ามีพระเจ้า ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาคิดว่าไม่มีพระเจ้า ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่ทรงเป็นอธิปไตยเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง ชั่วขณะหนึ่งพวกเขากังขาที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง  หัวใจของพวกเขาเกิดความขัดแย้งและสู้รบอยู่เสมอ  แม้ว่าคนประเภทที่สองมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและเข้าใจความจริงในเชิงที่ตื้นเขินที่สุดของความหมายของความจริง—ซึ่งก็คือความหมายของคำพูดและคำสอนเท่านั้น ซึ่งยังคงนับว่าเป็นการมีความสามารถในการจับใจความอยู่บ้าง—ในขณะที่พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงบางประการ แต่พวกเขาก็ไม่เคยนำความจริงเหล่านั้นไปปฏิบัติเลย  การสำแดงของพวกเขาเป็นอย่างไร?  การไล่ตามไขว่คว้างาน การไล่ตามไขว่คว้าการได้รับพร การไล่ตามไขว่คว้าการตอบสนองความเชื่อที่คลุมเครือและเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณของตนเอง และการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ  นี่คือบุคคลประเภทที่สอง

ประเภทที่สามคือคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไล่ตามเสาะหาความจริง  คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสามารถเข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังกล่าวสิ่งใด รับสภาวะนานาสารพันที่เปิดโปงในพระวจนะของพระเจ้าและยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเอง และตระหนักรู้ว่าอะไรเป็นปัญหาเกี่ยวกับสภาวะของตน  อย่างไรก็ตาม การที่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาได้นั้นไม่ได้หมายความว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  หลังจากยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองแล้ว หากเจ้าปฏิบัติและเข้าสู่ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  หากผู้คนสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และใช้หลักธรรมแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาเข้าใจเป็นรากฐานซึ่งใช้ในการเข้าสู่อย่างแท้จริง ผู้คนเช่นนี้สำแดงตนออกมาอย่างไรในแง่ของการไล่ตามเสาะหาความจริง?  เหตุผลหนึ่งก็คือ พวกเขาสามารถยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้  อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ พวกเขาสามารถแสวงหาความจริงเมื่อเผชิญกับสภาพการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมและสัมฤทธิ์การนบนอบ  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือพวกเขาให้ความสำคัญกับการตรวจสอบสภาวะและการเผยในชีวิตประจำวันของตนทุกแง่มุม แล้วก็สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า แก้ไขปัญหา และสามารถไปถึงจุดที่พวกเขามีหลักธรรมในหนทางที่พวกเขาจัดการกับเรื่องทุกจำพวก และมีเส้นทางสู่การปฏิบัติในเรื่องทุกจำพวก  ตัวอย่างเช่น ครั้งสุดท้ายที่เราได้สามัคคีธรรมและชำแหละบาปหลักเจ็ดอย่างของเปาโล พวกเจ้าต้องสามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเอง เข้าใจการนั้นอย่างแท้จริง รวมทั้งปฏิบัติและเข้าสู่  การยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาและการเข้าสู่ชีวิตเชื่อมโยงถึงกันอย่างซับซ้อน  การที่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้คือทางผ่านสู่การเข้าสู่ชีวิต  วิธีที่เจ้าเข้าสู่หลังจากที่เข้าทางผ่านไปจะขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเข้าใจความจริงแง่มุมนี้หรือไม่  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงแง่มุมหนึ่ง เจ้าย่อมสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงแง่มุมหนึ่งได้ และเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงสองแง่มุม เจ้าก็ย่อมสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงสองแง่มุมได้  หากเจ้าเพียงแค่เข้าใจคำสอนและไม่มีหลักธรรมแห่งการเข้าสู่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงได้  ดังนั้นการที่เจ้าเข้าใจความจริงที่มากมายเป็นลำดับแรกจึงมีความสำคัญ  เจ้าสามารถเข้าใจความจริงเหล่านั้นได้อย่างไร?  เจ้าต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มาก ไตร่ตรองพระวจนะของพระองค์ ยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะเหล่านั้นกับชีวิตจริงของเจ้าและหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ ค้นหาหลักธรรมแห่งการปฏิบัติและค้นหาเส้นทางสู่การปฏิบัติ  เมื่อนั้นการเข้าสู่ความเป็นจริงย่อมจะเป็นเรื่องง่าย  หากมีปัญหาที่แท้จริงบางอย่าง เจ้าต้องเปรียบเทียบปัญหาเหล่านั้นกับพระวจนะของพระเจ้าบทตอนที่สัมพันธ์กัน และแก้ไขปัญหาเหล่านั้น  หากเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมเป็นเรื่องจำเป็นยิ่งขึ้นไปอีกที่จะยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับพระวจนะของพระเจ้า สามารถแยกแยะได้ว่ามโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดเหล่านี้อันที่จริงแล้วผิดในหนทางใด และสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาลักษณะใด  เจ้าต้องสามารถชำแหละปัญหาเหล่านี้ จากนั้นจึงแสวงหาความจริงที่สอดคล้องกันเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้  นี่คือเส้นทางสู่การเข้าสู่ชีวิต  เปาโลทำงานมากมายยิ่งนัก แต่เขามีเส้นทางสู่การเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด  อะไรคือบาปประการแรกในบาปหลักเจ็ดประการของเปาโล?  เขาปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎและการไล่ตามไขว่คว้าพรดังเช่นวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องเหมาะสม  การปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้าพรดังเช่นวัตถุประสงค์นั้นผิดในหนทางใด?  การปฏิบัติดังกล่าวขัดแย้งกับความจริงอย่างสิ้นเชิง และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยผู้คนให้รอด  เนื่องจากการได้รับพรไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่ถูกต้องเหมาะสมที่ผู้คนจะไล่ตามเสาะหา อะไรคือวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องเหมาะสม?  การไล่ตามเสาะหาความจริง การไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย และการที่สามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้า เหล่านี้คือวัตถุประสงค์ที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหา  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าการถูกตัดแต่งทำให้เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิด และเจ้ากลายเป็นไร้ความสามารถที่จะนบนอบ  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถนบนอบได้?  เพราะเจ้ารู้สึกว่าบั้นปลายของเจ้าหรือความฝันที่จะได้รับพรของเจ้าถูกท้าทาย  เจ้ากลายเป็นคิดลบและหัวเสีย และต้องการหันหลังให้กับงานของเจ้าและล้มเลิกหน้าที่ของตน  อะไรคือเหตุผลสำหรับการนี้?  มีปัญหากับการไล่ตามเสาะหาของเจ้า  แล้วการนี้ควรแก้ไขอย่างไร?  การที่เจ้าละทิ้งแนวคิดที่เข้าใจกันผิดเหล่านี้ทันที และการที่เจ้าแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด  เจ้าควรพูดกับตัวเองว่า “ฉันต้องไม่หันหลังให้กับงานของฉัน ฉันยังคงต้องทำหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำให้ดี และละวางความพึงปรารถนาที่จะได้รับพรของฉัน”  เมื่อเจ้าละทิ้งความพึงปรารถนาที่จะได้รับพรและเจ้าเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็ย่อมโล่งอก  และเจ้าจะยังคงสามารถคิดลบได้อยู่หรือไม่?  แม้ว่ายังคงมีช่วงเวลาที่เจ้าคิดลบ แต่เจ้าก็ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จำกัดควบคุมเจ้า และในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าคอยอธิษฐานและต่อสู้เรื่อยไป โดยเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของการไล่ตามเสาะหาของตน จากการไล่ตามเสาะหาการได้รับพรและการมีบั้นปลายเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าก็พูดกับตัวเองในใจว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เพื่อเข้าใจความจริงบางอย่างในวันนี้—ไม่มีการเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่กว่า นี่คือพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาพรทั้งปวง  ต่อให้พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ฉัน และฉันไม่มีบั้นปลายที่ดี และความหวังที่จะได้รับพรของฉันถูกทำให้แตกกระจัดกระจาย ฉันก็จะยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ฉันมีภาระผูกพันที่จะต้องทำ  ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม ฉันจะไม่ยอมให้ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของฉันอย่างถูกควร ฉันจะไม่ยอมให้ส่งผลต่อการทำพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีต่อฉันให้สำเร็จลุล่วง นี่คือหลักธรรมที่ฉันใช้ในการปฏิบัติตน”  และในการนี้ เจ้ายังไม่ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดควบคุมแห่งเนื้อหนังหรอกหรือ?  บางคนอาจกล่าวว่า “เอ้อ ถ้าเกิดฉันยังคงคิดลบอยู่ล่ะ?”  เช่นนั้นแล้วก็จงแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขการนั้นอีกครั้ง  ไม่ว่าเจ้าตกอยู่ในความคิดลบกี่ครั้งก็ตาม หากเจ้าเพียงแค่คอยแสวงหาความจริงเรื่อยไปเพื่อแก้ไขการนั้น และคอยเพียรพยายามเพื่อให้ได้ความจริงเรื่อยไป เจ้าย่อมจะผุดขึ้นมาจากความคิดลบของตนอย่างช้าๆ  และอยู่มาวันหนึ่งเจ้าย่อมจะรู้สึกว่าเจ้าไม่มีความพึงปรารถนาที่จะได้รับพรและไม่ถูกบั้นปลายและจุดจบของตนจำกัดควบคุม และเจ้าย่อมใช้ชีวิตโดยปราศจากสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นและเป็นอิสระขึ้น  เจ้าจะรู้สึกว่าชีวิตที่เจ้าเคยมีก่อนหน้านั้นที่ในทุกๆ วันเจ้าใช้ชีวิตเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะได้รับพรและบั้นปลายของตนนั้นน่าเหนื่อยอ่อน  การพูด การทำงาน และการเค้นสมองในทุกๆ วันเพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพร—แล้วการนั้นจะทำให้เจ้าได้รับสิ่งใดในท้ายที่สุด?  อะไรคือคุณค่าของชีวิตเช่นนี้?  เจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับสูญวันที่ดีที่สุดทั้งหมดของตนไปเปล่าๆ กับสิ่งที่ไม่มีนัยสำคัญ  ในท้ายที่สุด เจ้าก็ไม่ได้รับความจริงใดๆ และเจ้าก็ไม่สามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ใดๆ ได้  เจ้าทำให้ตัวเองเป็นเหมือนคนโง่ เสื่อมเสียและล้มเหลวอย่างถึงที่สุด  และจริงๆ แล้วอะไรคือสาเหตุของการนี้?  นั่นก็คือว่าเจตนาที่จะได้รับพรของเจ้าแรงกล้าเกินไป จุดจบและบั้นปลายของเจ้ายึดครองหัวใจของเจ้าและพันธนาการเจ้าไว้แน่นเกินไป  แต่เมื่อมาถึงวันที่เจ้าผุดขึ้นมาจากพันธนาการแห่งความสำเร็จในอนาคตและบั้นปลายของตน เจ้าย่อมจะสามารถทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและติดตามพระเจ้าได้  เจ้าจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์เมื่อใด?  ขณะที่การเข้าสู่ชีวิตของเจ้าลึกซึ้งอย่างไม่หยุด เจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตน และนั่นก็คือเวลาที่เจ้าจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์  บางคนพูดว่า “ฉันสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นเมื่อใดก็ตามที่ฉันต้องการ”  การนี้สอดคล้องกับกฎธรรมชาติหรือไม่?  (ไม่)  ผู้อื่นพูดว่า “ฉันได้ขบคิดทั้งหมดนี้ออกในชั่วข้ามคืน  ฉันเป็นคนเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนหรือบอบบางเช่นพวกคุณที่เหลือ  ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของพวกคุณแรงกล้าเกินไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกคุณถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกมากกว่าที่ฉันเป็น”  สถานการณ์เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  ไม่ใช่  มวลมนุษย์ทั้งปวงมีธรรมชาติที่ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างเดียวกัน ในเชิงลึกแล้วไม่แตกต่างกัน  ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างพวกเขาอยู่ที่ว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์หรือไม่ และพวกเขาเป็นคนประเภทใด  บรรดาผู้ที่รักและยอมรับความจริงสามารถรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้อย่างค่อนข้างลึกซึ้งและชัดเจน และผู้อื่นก็คิดอย่างผิดๆ ว่าคนเช่นนั้นเสื่อมทรามอย่างดิ่งลึก  พวกที่ไม่รักหรือไม่ยอมรับความจริงคิดอยู่เสมอว่าพวกเขาไม่มีความเสื่อมทราม พวกเขาจะเป็นวิสุทธิชนด้วยพฤติกรรมที่ดีอีกสองสามอย่าง  ทัศนคตินี้ไม่ถูกต้องอย่างเห็นได้ชัด—ในข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าความเสื่อมทรามของพวกเขาตื้นเขิน แต่เป็นว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่มีความรู้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับแก่นแท้และความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตน  โดยสรุป เพื่อเชื่อในพระเจ้า คนเราต้องยอมรับความจริง ปฏิบัติความจริง เข้าสู่ความเป็นจริง และสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนก่อนที่พวกเขาจะสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางและเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาที่ไม่ถูกต้องของตนได้ และก่อนที่พวกเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการไล่ตามไขว่คว้าพรและการเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างสมบูรณ์  ในหนทางนี้ คนเราจึงจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดและการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า  ความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงแสดงเพื่อพิพากษาและชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ใช้ได้ผลในการบรรลุเป้าหมายนี้

ทีนี้มีใครบ้างไหมท่ามกลางพวกเจ้าที่ยังคงมีความพึงปรารถนาที่จะเป็นพระเจ้า?  (ไม่มี)  เหตุผลที่พวกเจ้าไม่มีความพึงปรารถนานี้เป็นเพราะพวกเจ้าไม่อาจหาญที่จะมี หรือเพราะพวกเจ้าไม่มีความหวังหรือภูมิหลังและสภาพแวดล้อมที่ถูกต้องเหมาะสม?  เป็นเรื่องยากที่จะพูด  อันดับแรกเลยก็คือ เป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีผู้ใดที่ปรารถนาที่จะไล่ตามไขว่คว้าการเป็นพระเจ้าอย่างแข็งขัน  อย่างไรก็ตาม ในสภาพการณ์พิเศษ หากมีคนที่บูชาเจ้า ยกย่องเจ้า กล่าวคำชมและกล่าวชมเชยเจ้าอยู่บ่อยครั้ง เจ้ามีสถานะในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาสถาปนาเจ้าเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบและทรงอานุภาพจำพวกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว—แม้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นพยานยืนยันว่าเจ้าเป็นพระเจ้า และพวกเขาก็รู้ว่าเจ้าเป็นมนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังคงบูชาเจ้า เชื่อฟังเจ้า และปฏิบัติต่อเจ้าราวกับว่าเจ้าเป็นพระเจ้า—ในใจเจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าจะไม่รู้สึกถึงความชื่นชมยินดีและความพึงพอใจเป็นพิเศษหรอกหรือ?  (รู้สึก)  นี่มากพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ายังคงมีความพึงปรารถนานี้  ทุกคนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมีความพึงปรารถนาที่จะเป็นพระเจ้า  เพียงแค่ว่าเมื่อไม่มีใครปฏิบัติต่อเจ้าอย่างพระเจ้า เจ้าย่อมรู้สึกว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติเหมาะสม  เมื่อเจ้ารู้สึกว่าเจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสม สภาพแวดล้อมเหมาะสม และเงื่อนไขทั้งหลายนั้นเพียงพอ เจ้าย่อมจะยกระดับตนเองไปสู่ตำแหน่งนั้น  หรือบางทีเจ้าอาจจะไม่ยกระดับตนเอง แต่เวลาที่คนอื่นยกระดับเจ้าอยู่ท่าเดียว เจ้าจะยังคงถ่อมตัวอยู่หรือไม่?  เจ้าก็คงจะยอมรับการยกระดับนั้น “อย่างไม่มีการสงวนท่าที”  เกิดอะไรขึ้นตรงนี้?  ธรรมชาติของซาตานได้ฝังรากลึกภายในตัวผู้คน และยังคงไม่ได้รับการแก้ไข—ผู้คนไม่ต้องการที่จะเป็นผู้คนเลย พวกเขาต้องการที่จะเป็นพระเจ้าอยู่เสมอ  คนคนหนึ่งจะสามารถเป็นพระเจ้าแค่ด้วยการปรารถนาเช่นนั้นได้หรือ?  ซาตานต้องการที่จะเป็นพระเจ้าอยู่เสมอ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับมัน?  มันถูกโยนจากสวรรค์ลงไปยังโลก  นั่นเป็นชะตากรรมของซาตานในการต้องการที่จะเป็นพระเจ้า  จงบอกเราที เรารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับอัตลักษณ์ สถานะ และแก่นแท้ของเราเอง?  แน่นอนว่าพวกเจ้าย่อมไม่รู้  เราไม่รู้สึกอะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปกติอย่างยิ่ง  พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นปกติเป็นพิเศษ  ไม่มีสิ่งใดที่เหนือธรรมชาติเกี่ยวกับพระองค์ พระองค์ไม่ทรงมีความรู้สึกใดเป็นพิเศษ  เจ้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร เจ้ารู้ว่าเจ้าชอบอะไร เจ้ารู้ว่าเจ้าเกิดมาในครอบครัวไหน เจ้าอายุเท่าไหร่ และเจ้าได้รับการศึกษามามากเพียงใด เจ้ารู้ว่าเจ้ามีหน้าตาอย่างไร  แต่การรู้ว่าแก่นแท้ภายในของเจ้าเป็นอย่างไรเป็นเรื่องปกติหรือไม่ หรือการไม่รู้เป็นเรื่องปกติ?  (การไม่รู้เป็นเรื่องปกติ)  การไม่มีความรู้สึกใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ  การมีความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ  นั่นคงจะไม่ใช่เรื่องของเนื้อหนัง และคงจะไม่ใช่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ความเหนือธรรมชาติเป็นเรื่องไม่ปกติ  บรรดาผู้ที่ประพฤติตนในหนทางที่ไม่ปกติและมีความรู้สึกที่ไม่ปกติอยู่เสมอคือจิตวิญญาณชั่ว ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ต้องตาย  บางคนถามเราว่าเรารู้หรือไม่ว่าเราเป็นใคร  จงบอกเราที เราจะรู้กระนั้นหรือ?  เราควรรู้กระนั้นหรือ?  เรามีตรรกะและวิธีการคิดของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เรามีความคิดที่ปกติและชีวิตแห่งเนื้อหนังอันเป็นกิจวัตรที่ปกติ  เรามีมโนธรรม ความมีเหตุผล และดุลพินิจของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเราก็มีหลักธรรมในการประพฤติปฏิบัติตน การจัดการรับมือกับเรื่องต่างๆ และการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ชัดเจน  ในเรื่องของวิธีทำสิ่งทั้งหลาย วิธีปฏิบัติต่อคนที่แตกต่างกัน วิธีช่วยเหลือคน และจะช่วยเหลือคนไหน เรามีหลักธรรมทั้งหมดนี้  การใช้ชีวิตในความเป็นมนุษย์ที่ปกติและการทำสิ่งทั้งหลายที่เราควรทำคือความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ไม่มีอะไรที่เหนือธรรมชาติเกี่ยวกับเรื่องนี้  พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติ  การที่เราไม่รู้เป็นเรื่องปกติ  หากเรารู้ นั่นก็คงจะก่อให้เกิดเรื่องเดือดร้อน  เหตุใดการนั้นจึงจะก่อให้เกิดเรื่องเดือดร้อน?  หากเรารู้ สิ่งนั้นคงจะเป็นภาระสำหรับเรา เรื่องต่างๆ จะพัวพันกันมากเกินไป และเรื่องเหล่านั้นก็คงจะไม่สอดคล้องกัน  เพราะส่วนที่เรารู้จะไม่ใช่เรื่องของเนื้อหนังหรือโลกทางวัตถุ แต่จะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติและจะไม่สอดคล้องกับเรื่องต่างๆ ของโลกนี้  เหมือนกันไม่มีผิดกับที่บางคนสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  พวกเขาใช้ชีวิตในเนื้อหนังและในโลกทางวัตถุ แต่กลับมองเห็นโลกที่ไม่ใช่มนุษย์และไม่ใช่ทางวัตถุ  พวกเขาสามารถมองเห็นสองโลก และสามารถพูดสิ่งแปลกๆ บางอย่างได้  นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ  การนี้จะมีอิทธิพลต่อความคิดและงานของคนอื่น  นอกจากการนี้แล้ว สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง การที่พวกเขารู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของโลกวิญญาณยังคงเป็นเรื่องจำเป็น  มีสิ่งต่างๆ มากมายที่คนที่ไม่มีทางรู้เลย แต่การไม่รู้อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่การสูญเสีย การรู้หรือไม่รู้ก็น่าพอใจทั้งสองอย่าง  พระเจ้าได้ทรงจำกัดเขตแนวเขตของสิ่งต่างๆ ที่สิ่งมีชีวิตที่ต้องตายสามารถเข้าใจ รู้ และรู้สึกถึงได้ไว้แล้ว  พระเจ้าไม่ตรัสสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้น้อยไปแม้ประโยคเดียว—พระองค์ตรัสบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับเจ้า และไม่ทรงทิ้งความรู้ของเจ้าให้ขาดพร่อง  อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงปิดผนึกสิ่งที่เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้โดยสมบูรณ์  พระองค์จะไม่ตรัสบอกเจ้า และจะไม่ทรงทำให้ความคิดและความรู้สึกนึกคิดของเจ้าว้าวุ่น  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือ สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ต้องตายนั้น เรื่องต่างๆ ของโลกวิญญาณเป็นความล้ำลึก ปรากฏการณ์ที่แปลก หรือเรื่องของโลกที่แตกต่างออกไปจำพวกหนึ่ง  ในหัวใจของพวกเขา ผู้คนต้องการรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เจ้าสามารถทำอะไรได้บ้างด้วยความรู้เช่นนั้น?  เจ้าสามารถตรวจสอบยืนยันการนั้นได้หรือไม่?  เจ้าสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการนั้นได้หรือไม่?  หลายๆ เรื่องของโลกวิญญาณเป็นความลับและไม่สามารถเผยก่อนเวลาได้  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีใครสามารถมีส่วนร่วมได้—การรู้ในปริมาณจำกัดก็เพียงพอแล้ว  พระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยเหนือโลกนี้และเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ และก็มีข้อล้ำลึกมากมายเกินไป  สิ่งที่พวกเราควรเข้าใจคือพระวจนะและความจริงของพระเจ้า และเจตนารมณ์ของพระองค์ พวกเราควรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง สัมฤทธิ์การนบนอบอธิปไตยทั้งหมดของพระเจ้าที่คนสามารถเข้าถึงได้ เข้าใจและตระหนักรู้อธิปไตยดังกล่าว แล้วจึงกลายเป็นสามารถยำเกรงพระเจ้าได้ ยอมรับพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้างของเจ้า ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยเหนือทั้งหมด โดยในที่สุดแล้วก็กลายเป็นสามารถเปล่งถ้อยคำเหล่านั้นที่โยบกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  ผู้คนต้องได้รับประสบการณ์กับสิ่งใดเพื่อสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้?  พวกเขาต้องได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน การถูกตัดแต่ง ทดสอบ และถลุง และได้รับประสบการณ์กับสภาพการณ์ทุกรูปแบบที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการ และรู้จักกิจการทั้งหลายของพระเจ้า รู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ เข้าใจแก่นแท้ของพระผู้สร้าง และสามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาได้อ่านมาหรือคำเทศนาที่พวกเขาได้ยินมาโดยผ่านทางสภาพการณ์ดังกล่าว  ในท้ายที่สุดแล้ว ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร พระองค์ทรงเอาไปเสียหรือประทาน พวกเขาย่อมสัมฤทธิ์ความเข้าใจที่เป็นธรรมและถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับกิจการทั้งหลายของพระเจ้า และนบนอบและยอมรับกิจการเหล่านั้นในลักษณะที่สมควรแก่ความมีเหตุผลของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายที่จะสำเร็จลุล่วง

พวกเรากลับมาที่หัวข้อของพวกเราเกี่ยวกับการสามัคคีธรรมสำหรับวันนี้กันเถิด  การสำแดงของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและการสำแดงของคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยพื้นฐานแล้วก็คือสามประเภทนี้  เราได้จำแนกความต่างระหว่างคนสามประเภทนี้ไว้อย่างละเอียดแล้ว กล่าวคือ ประเภทแรกคือคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ประเภทที่สองคือคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และประเภทที่สามคือคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไล่ตามเสาะหาความจริง  ในบรรดาคนสามประเภทนี้ ประเภทใดมีความหวังที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและสามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้?  (ประเภทที่สาม)  คนประเภทใดมีความหวังที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถพัฒนาและเปลี่ยนเป็นคนที่มีความเป็นจริงความจริงได้?  (ประเภทที่สอง)  ในกรณีนี้ คนประเภทแรกได้ถูกตัดสินประหารชีวิตแน่แล้วหรือยัง?  คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสามารถเปลี่ยนไปเป็นคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือมีความเข้าใจเพียงครึ่งเดียวได้หรือไม่?  คนที่มีความเข้าใจอยู่ครึ่งเดียวย่อมมีความหวังอยู่บ้าง พวกเขาค่อนข้างดีกว่าคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่อย่างใด  ในบรรดาคนสามประเภทนี้ ประเภทใดมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดมากกว่ากัน?  (ประเภทที่สาม)  แล้วคนประเภทที่สองล่ะ?  (นั่นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนตัวของพวกเขา  หากพวกเขาสามารถพลิกฟื้นสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้น กลับใจ และไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมสามารถมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด)  เราจะบอกพวกเจ้าตรงๆ  พวกเจ้ายังไม่เข้าใจชัดเจนอย่างสมบูรณ์เกี่ยวกับคนประเภทที่สอง  แม้ว่าคนประเภทที่สองมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ แต่พวกเขาก็ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และนี่เป็นเรื่องวิกฤติ  ไม่ว่าพวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่ ตราบที่พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้อย่างแน่นอนที่สุด  สิ่งที่เราต้องการเน้นย้ำในที่นี้คือคนประเภทแรก พวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  สมมติว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดี และพวกเขาก็สละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างเต็มใจ ใส่ใจต่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส และมีหัวใจที่นบนอบ—เพียงแค่ว่าพวกเขาไม่มีความสามารถในการจับใจความเมื่อเป็นเรื่องของความจริง—แต่พวกเขาสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนและตรวจสอบตัวเองกับพระวจนะเหล่านั้น แล้วจึงปฏิบัติและเข้าสู่พระวจนะเหล่านั้น  คนเช่นนี้มีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  พวกเขาสามารถค่อยๆ พัฒนาความเข้าใจฝ่ายวิญญาณได้ด้วยการก้าวผ่านประสบการณ์ดังกล่าวสักพักหนึ่ง  ยิ่งพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างตั้งใจมากขึ้นเท่าใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยิ่งให้ความรู้แจ้งพวกเขามากขึ้นเท่านั้น พวกเขาสามารถเปรียบเทียบอะไรก็ตามที่พวกเขาเข้าใจเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้ากับสภาวะของตนเอง ยอมรับการตัดแต่ง การพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงของพระเจ้า ยอมลำบากสำหรับการนี้ และสุดท้ายแล้วก็สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงบางอย่างซึ่งสอดรับกันในอุปนิสัยของตน  คนเช่นนี้ยังนับว่าเป็นบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย  เนื่องจากพวกเขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขามีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  (มีความหวัง)  พวกเขามีความหวัง—ด้วยเหตุนี้ คนเช่นนี้จึงไม่สามารถถูกส่งไปตายได้  ในทางกลับกัน เป็นเรื่องยากที่จะกล่าวว่าจุดจบจะเป็นอย่างไรสำหรับคนจำพวกที่สามารถเข้าใจความจริงและยกตัวเองมาเปรียบกับความจริงได้ แต่ไม่เคยเข้าสู่ความจริง  อะไรคือรากเหง้าของปัญหานี้?  (ท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง)  นั่นก็คือท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง ซึ่งเป็นท่าทีของความไม่เคารพและการดูถูก  “การดูถูก” หมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายถึงการไม่ยอมรับความจริง นั่นหมายถึงการดูแคลนความจริง  นั่นหมายถึงการไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นความจริง และการไม่คำนึงถึงพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจัง  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจสิ่งที่พวกเขาได้ยินมากเพียงใด พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง และไม่สำคัญว่าพวกเขายกตัวเองมาเปรียบกับความจริงในระดับใด ต่อให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาเป็นคนจำพวกใด พวกเขาก็ยังคงไม่กลับใจ  แม้ว่าพวกเขารู้ว่าแง่มุมที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุดของการเชื่อในพระเจ้าคือการปฏิบัติความจริง แต่คำว่า “ปฏิบัติ” ก็ไม่เกี่ยวข้องกับคนเช่นนี้  คนเช่นนี้ไม่ได้รับการช่วยให้รอดโดยง่าย

ทีนี้พวกเราควรให้นิยามการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร?  การไล่ตามเสาะหาความจริงคือสิ่งใดกันแน่?  ใครสามารถบอกเราได้?  (การที่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อทบทวนตัวเองและยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเอง และการมีการเข้าสู่ชีวิตด้วย  มีเพียงการนี้เท่านั้นที่นับว่าเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง)  ถูกต้อง  ด้วยการที่สามารถยอมรับความจริงและปฏิบัติความจริงเท่านั้น ใครบางคนจึงจะเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  หากพวกเขาไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและไม่สามารถทบทวนตัวเองได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และย่อมไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ดังนั้นจึงมีสัมพันธภาพโดยตรงระหว่างการไล่ตามเสาะหาความจริงกับการเข้าสู่ชีวิต  หากคนคนหนึ่งสามารถกล่าวคำพูดและคำสอนได้มากมาย แต่ไม่เคยปฏิบัติความจริง ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และต่อให้พวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าบางสิ่งบางอย่างคืออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและมาจากพระเจ้า พวกเขาไม่นบนอบ และพวกเขาก็ขัดขืน ตัดสิน และคอยกบฏอยู่เรื่อยไป และพวกเขายังคงใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน และทำสิ่งทั้งหลายตามความเลือกชอบของตนเอง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  บางคนมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่รักความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปฏิบัติความจริง—คนเช่นนี้ไม่ใช่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  บางคนเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ขีดความสามารถของพวกเขาแย่เกินไป และพวกเขาไม่สามารถไปถึงความจริงได้  ผลก็คือ พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแต่ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้  คนเช่นนี้ใช่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  ไม่ใช่  คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีการสำแดงหลักแบบใด?  การสำแดงที่มาก่อนอื่นก็คือว่าพวกเขาไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า และไม่เต็มใจที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะสามัคคีธรรมความจริง และถึงขั้นไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมการชุมนุมหรือรับฟังคำเทศนา  เมื่อพวกเขารับฟังคำเทศนา พวกเขารู้สึกราวกับว่าคำพูดทุกคำมุ่งตรงไปยังพวกเขา และกำลังเปิดโปงพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกถูกตรึงไว้และไม่ชูใจ  ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ถึงเวลารับฟังคำเทศนา พวกเขาก็แค่ต้องการนอนหรือเข้าร่วมในการพูดคุยที่ไร้สาระ  มีคนเช่นนี้จำนวนมากพอประมาณ  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับพรเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อที่จะยอมรับความจริง ได้รับความจริง สลัดทิ้งความเสื่อมทรามของตน ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ หรือบรรลุความรอดจากพระเจ้า  รากเหง้าของปัญหาโดยหลักแล้วก็คือว่าพวกเขาไม่รักความจริงและไม่สนใจความจริง  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อได้รับพรเท่านั้น  นี่คือจุดสนใจในการโหยหาของพวกเขาแต่เพียงอย่างเดียว  เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพร พวกเขาสามารถลงแรงและละทิ้งสิ่งทั้งหลายได้ แต่พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้ รวมทั้งไม่สนใจความจริง  พวกเขาคิดว่าการเข้าใจคำสอนก็เพียงพอแล้ว การประพฤติชั่วน้อยลงหมายความว่าพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และการลงแรง การละทิ้งสิ่งทั้งหลาย และหนำซ้ำการทนทุกข์ ทำให้พวกเขามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับพร  นี่คือทรรศนะของพวกเขาเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  ดังนั้น ไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อกี่ปี ไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจและสามารถประกาศคำสอนได้มากเพียงใด และไม่สำคัญว่าคำพูดที่ตรงกับความจริงออกมาจากปากของพวกเขามากเพียงใด พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้เลย อุปนิสัยที่พวกเขาเผยให้เห็นยังคงดื้อรั้น ปล่อยตามใจ และไม่ยับยั้งชั่งใจ พวกเขาปกป้องความภาคภูมิใจและผลประโยชน์ของตนเองในทุกโอกาส พวกเขาเห็นแก่ตัวและต่ำช้าเป็นพิเศษ และแม้ในเวลาที่พวกเขาถูกติติงและตัดแต่ง พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับการนั้นได้ และไม่มีการนบนอบแม้แต่น้อย  คนเช่นนี้ทำตามที่พวกเขาพอใจ พวกเขาไม่หารือกับผู้อื่นก่อนลงมือกระทำการ และต่อให้พวกเขาหารือกับผู้อื่นจริงๆ นั่นก็เป็นเพียงเมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเท่านั้นและก็แค่เพื่อประโยชน์แห่งพิธีรีตอง—พวกเขากล่าวโดยอ้อม วกไปวนมา และในท้ายที่สุดก็ยังคงทำให้ผู้อื่นทำตามที่พวกเขากล่าว  อุปนิสัยใดถูกเผยออกมาในการทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้?  (ความหลอกลวง)  นี่ไม่ใช่แค่ความหลอกลวง มีบางสิ่งบางอย่างที่รุนแรงยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ  ไม่สำคัญว่าคำพูดของพวกเขาฟังดูรื่นหูเพียงใดเวลาที่ให้คำแนะนำแก่ผู้อื่น อธิบายว่านี่คือการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้าและการทำให้คนอื่นนบนอบ เมื่อเป็นเรื่องของตัวพวกเขาเอง นี่ไม่ใช่วิธีที่พวกเขาปฏิบัติ  ตรงกันข้าม พวกเขากลับดื้อแพ่งและเป็นกบฏ ไม่นบนอบ และไร้ความสามารถที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  นอกเหนือจากนี้แล้ว พวกเขาสำแดงตนออกมาอย่างไรเวลาที่ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น?  พวกเขากระทำการโดยสอดคล้องกับปรัชญาสำหรับการจัดการทางโลก โดยมองหาข้อได้เปรียบในทุกโอกาสและปกป้องสัมพันธภาพส่วนบุคคลของตน  คนประเภทนี้มีอุปนิสัยซึ่งเคลือบแฝงและฉลาดแกมโกงเป็นพิเศษ  ความเคลือบแฝงและฉลาดแกมโกงนี้มีใจความสำคัญอยู่ที่สิ่งใด?  ความเคลือบแฝงและฉลาดแกมโกงนี้มีใจความสำคัญอยู่ที่ความเลวทราม  โดยปกติแล้วการที่ผู้คนตระหนักถึงอุปนิสัยที่เลวไม่ใช่เรื่องง่าย  เมื่อคนที่มีอุปนิสัยที่เลวพูดกับผู้อื่น มีองค์ประกอบของการทดสอบและการสืบค้นหาข้อมูลอยู่เสมอ  พวกเขาไม่กล่าวสิ่งทั้งหลายออกมาตรงๆ และต่อให้พวกเขาเปิดใจตนเอง จุดมุ่งหมายของพวกเขาก็แค่ทำให้เจ้าพูดจากความรู้สึกในใจของเจ้า—พวกเขาไม่เปิดเผยสิ่งใดที่เป็นจริงเกี่ยวกับตัวเองเลย  บางคนพูดว่า “คุณพูดได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่เปิดเผยสิ่งใดที่เป็นจริงเกี่ยวกับตัวเองเลย?  พวกเขาสามัคคีธรรมกับผู้คนเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยให้เห็นอยู่เสมอ”  การสามัคคีธรรมเล็กน้อยนั้นมีนัยสำคัญอะไร?  พวกเขาไม่บอกสิ่งที่พวกเขาคิดในใจอย่างแท้จริงกับใครเลย  พวกเขายังใช้ชั้นเชิงและวิธีการทุกรูปแบบหรือการใช้คำทุกรูปแบบเพื่อปิดบังและอำพรางตนอย่างเอาจริงเอาจังด้วยเช่นกัน โดยนำเสนอภาพลักษณ์เทียมเท็จต่อผู้คน  หากบางคนเกิดไปรู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นอย่างไร และรู้สิ่งที่แย่ที่พวกเขาได้ทำไป พวกเขาก็แค่เสแสร้งกล่าวคำพูดสำนึกผิดไม่กี่คำ นำวิธีการที่ชักพาให้หลงผิดมาใช้เพื่อทำให้คนเชื่อว่าพวกเขาได้กลับใจและเปลี่ยนแปลงแล้ว  หากพวกเขาทำบางสิ่งที่แย่อีกและเปิดโปงความประพฤติที่แย่ของตน ยอมให้ผู้คนเห็นว่าอันที่จริงแล้วพวกเขาเป็นคนชั่ว พวกเขาย่อมจะเค้นสมองและคิดหาทุกทางที่พวกเขาทำได้เพื่อปิดบังข้อเท็จจริงนี้และทำให้ผู้คนยังคงปฏิบัติต่อพวกเขาดังเช่นพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง  นี่คืออุปนิสัยใด?  นี่คืออุปนิสัยที่เลวอย่างหนึ่ง  ไม่เพียงแต่คนที่มีอุปนิสัยที่เลวจำพวกนี้ไม่ยอมรับความจริงในหนทางใดๆ เท่านั้น แต่พวกเขายังมีทักษะในการเสแสร้งอีกด้วย และคิดหาการแก้ต่างหรือการให้เหตุผลอันฉลาดแยบยลสำหรับตัวเองอยู่เสมอ  พวกเขาเป็นพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด  สิ่งที่คนประเภทนี้กลัวมากที่สุดคือการที่ผู้คนสามัคคีธรรมความจริง การที่ผู้คนเปิดใจตนเองเพื่อรู้และชำแหละตัวเอง หรือการที่ผู้คนเปิดโปงข้อเท็จจริงที่แท้จริงเกี่ยวกับเรื่องเรื่องหนึ่งและด้วยการนั้นจึงเป็นการเปิดโปงข้อเท็จจริงดังกล่าว เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนกำลังสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็เกิดรำคาญเป็นพิเศษและไม่ต้องการรับฟัง หัวใจของพวกเขาไม่ยอมรับและรังเกียจการนี้  เรื่องนี้เปิดโปงแง่มุมอันน่าเกลียดของพวกเขาในการรังเกียจความจริงอย่างสมบูรณ์  นอกจากเข้าใจความจริงแต่ไม่ปฏิบัติความจริงแล้ว คนประเภทนี้มีปัญหาอีกอย่าง ซึ่งก็คือว่าพวกเขามีท่าทีของการไม่ยอมรับและการดูถูกต่อสิ่งที่เป็นบวกและทรรศนะที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคำพูดที่ตรงกับความจริง  เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งใดๆ ที่เป็นบวกหรือคำพูดใดๆ ที่ตรงกับความจริง ตราบที่สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาพิจารณาว่าดีหรือพวกเขาไม่ได้กล่าวสิ่งนั้นแต่เป็นคนอื่นที่กล่าว พวกเขาย่อมจะไม่ยอมรับสิ่งนั้น  นี่คืออุปนิสัยใด?  ความโง่เขลา การดื้อแพ่ง และความโง่เง่า  เจ้าควรประเมินวัดอย่างไรว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  สิ่งแรกที่ต้องมองคือสิ่งที่พวกเขาเผยออกมาและสำแดงในการปฏิบัติหน้าที่ปกติธรรมดาของพวกเขาและในการกระทำของพวกเขา  จากสิ่งนี้เจ้าจะมองเห็นอุปนิสัยของบุคคลได้  จากอุปนิสัยของพวกเขา เจ้าจะสามารถเห็นว่าพวกเขาสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอันใดหรือมีการเข้าสู่ชีวิตบ้างหรือไม่  หากใครบางคนเผยแต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาเวลาที่พวกเขากระทำการ และไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย พวกเขาย่อมไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  ไม่ แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาไม่มี  สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำอยู่ทุกวัน การวิ่งวุ่นไปทั่ว การสละ การทนทุกข์ของพวกเขา ราคาที่พวกเขาจ่าย—ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำสิ่งใด ทั้งหมดล้วนเป็นแค่การลงแรง และพวกเขาคือคนลงแรง  ไม่สำคัญว่าคนคนหนึ่งได้เชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขารักความจริงหรือไม่  สิ่งที่คนคนหนึ่งรักและไล่ตามเสาะหาสามารถเห็นได้จากสิ่งที่พวกเขาชอบทำที่สุด  หากสิ่งที่คนคนหนึ่งทำส่วนใหญ่คล้อยตามหลักธรรมความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คือผู้ที่รักและไล่ตามเสาะหาความจริง  หากพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริง และสิ่งที่พวกเขาทำทุกวันก็อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีการเข้าสู่ชีวิตและมีความเป็นจริงความจริง  การกระทำของพวกเขาอาจไม่ถูกต้องเหมาะสมในบางเรื่อง หรือพวกเขาอาจไม่จับความเข้าใจหลักธรรมความจริงอย่างถูกต้องแม่นยำ หรือพวกเขาอาจมีอคติที่ดื้อด้านในแง่มุมนี้ หรือบางครั้งพวกเขาอาจโอหังและคิดว่าตนถูก ยืนกรานในหนทางของตนเอง และล้มเหลวที่จะยอมรับความจริง แต่หากต่อมาภายหลังพวกเขาสามารถกลับใจและปฏิบัติความจริง นี่ก็พิสูจน์อย่างไม่มีข้อสงสัยว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตและไล่ตามเสาะหาความจริง  หากสิ่งที่ใครบางคนเผยออกมาในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตนมิใช่อื่นใดนอกจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ปากที่เต็มไปด้วยคำโกหก ความเย่อหยิ่งจองหอง การตามใจตนเอง ความหยิ่งยโสที่เหลือล้น การที่พวกเขาคือกฎในตัวเอง และการที่พวกเขาทำทุกสิ่งที่ตนชอบ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน และหากไม่สำคัญว่าพวกเขาได้เชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปีหรือฟังคำเทศนามาแล้วกี่ครั้ง ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ในท้ายที่สุด เช่นนั้นแล้วนี่ก็ไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน  มีผู้คนมากมายที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาแล้วหลายปี ดูภายนอกก็ไม่ใช่คนชั่ว และมีพฤติกรรมที่ดีอยู่บ้างเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างแรงกล้า แต่อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลย และพวกเขาไม่มีคำพยานจากประสบการณ์ที่จะแบ่งปันแม้แต่น้อย  ผู้คนเช่นนั้นไม่น่าเวทนาหรอกหรือ?  หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกิน พวกเขากลับไม่สามารถกล่าวถึงคำพยานจากประสบการณ์แม้แต่นิดเดียว  นี่คือคนลงแรงโดยแท้  พวกเขาน่าเวทนาอย่างแท้จริง!  สรุปสั้นๆ ก็คือ เพื่อประเมินวัดว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงและมีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่ เจ้าต้องดูที่อุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขาตามที่พวกเขาเผยให้เห็นและแสดงออก และดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในอุปนิสัยของพวกเขาหรือไม่  การกล่าวคำพูดและคำสอนอยู่เสมอ รวมทั้งการทำการอำพรางตนและหลอกลวง ไม่สามารถรักษาไว้ได้นานนัก  พวกเขามีแต่ทำร้ายตัวเอง โดยไม่ได้หลอกลวงผู้อื่น  พวกที่ไม่ยอมรับความจริงและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมจะถูกเผยออกมาและกำจัดทิ้งในไม่ช้า  มีเพียงบรรดาผู้ที่ยอมรับและปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่สามารถได้รับการเข้าสู่ชีวิตและมีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

เราได้เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมเรื่องที่ว่าการเข้าสู่ชีวิตคืออะไร การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร และการสำแดงที่แตกต่างกันทั้งหมดของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนควรยกสิ่งเหล่านี้มาเปรียบกับตัวเอง และเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาจำเป็นต้องนำความจริงไปปฏิบัติ  อะไรคือความลำบากยากเย็นข้อใหญ่ที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้า?  นั่นก็คือว่าพวกเขาเข้าใจความจริง แต่ไม่ปฏิบัติความจริง  แม้ว่าหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วพวกเขาสามารถนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง และสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวเองอยู่บ้าง เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้?  คนส่วนใหญ่หาเหตุผลไม่เจอ  ตัวอย่างเช่น ทุกคนมีอุปนิสัยอันโอหัง—พวกเขาล้วนแต่โอหังและคิดว่าตนถูกเป็นพิเศษ  คนส่วนใหญ่สามารถตระหนักรู้การนี้ แต่พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการเผยความโอหังของตนออกมาได้หรือไม่?  นี่ไม่ง่ายที่จะสัมฤทธิผล  แม้ว่าเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาสามารถนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง พวกเขายอมรับว่าตนมีอุปนิสัยอันโอหัง และมีเส้นทางสู่การปฏิบัติ แต่สิ่งที่ยากก็คือว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำบางสิ่งบางอย่าง พวกเขามีความเลือกชอบ เจตนา และเป้าหมายของตนเองอยู่เนืองนิจ และพวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เชื่อมโยงกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  พวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ และต้องเข้าใจความจริง แก้ไขสิ่งที่ควรได้รับการแก้ไข และปล่อยมือจากสิ่งที่ควรถูกปล่อยไป  กล่าวคือ พวกเขาไม่ควรทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งเจตนา ความอยากได้อยากมี ความหยิ่งยโส สถานะ และผลประโยชน์ของตนอีกต่อไป  พวกเขาควรหยุดการทำชั่วของตน และหักห้ามใจตัวเองไม่ให้พูดอีกประโยคหนึ่งหรือทำอีกความประพฤติหนึ่งเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง  หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าย่อมจะได้รับหัวใจแห่งการกลับใจใหม่แล้ว และย่อมจะเริ่มเปลี่ยนแปลงในด้านที่เป็นลบของตนแล้ว  หากเจ้ามีความคิดริเริ่มมากขึ้นไปอีก และนอกจากการไม่พูดเพื่อประโยชน์ของตัวเองแล้ว เจ้ายังสามารถชำแหละตัวเอง โดยยอมให้พี่น้องชายหญิงมองเห็นการสำแดงถึงอุปนิสัยอันโอหังของเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะสามารถเรียนรู้จากการนี้ ได้รับบทเรียนบางอย่าง ได้รับประโยชน์จากการนี้ และพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ นั่นก็คงจะดียิ่งขึ้นไปอีก  สิ่งที่ยากคืออะไร?  สิ่งที่ยากคือการปล่อยมือจากเจตนา จุดมุ่งหมาย ความทะเยอทะยานอันบ้าคลั่ง ความอยากได้อยากมี และผลประโยชน์ทั้งหมดของเจ้า การไม่ทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง และการไม่ยุ่งวุ่นวายหรือสาละวนเร่งร้อนเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง  เปาโลพูดว่าเขาได้วิ่งแข่งจนครบถ้วนแล้ว  เขาวิ่งแข่งครั้งนี้เพื่อใคร?  (เขาวิ่งแข่งครั้งนี้เพื่อที่เขาจะสามารถได้รับพรและได้มาซึ่งมงกุฎ)  แต่เปาโลก็ขาดพร่องความเข้าใจนี้  เขายังคงมีแววที่จะคิดว่าเขาวิ่งแข่งครั้งนี้เพื่อพระเจ้าและเพื่อทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสิ้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเองเป็นแน่  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงอาจหาญที่จะโอ้อวดและเป็นพยานยืนยันให้ตัวเองในลักษณะที่อวดตัวและหน้าไม่อายเช่นนั้น  เห็นได้ชัดว่าเขากำลังอธิบายและแก้ต่างให้ตัวเอง  ในเวลาเดียวกันนี่ยังเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดอีกด้วยว่าเขากำลังเป็นพยานยืนยันว่าสำหรับเขาแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์  เขากำลังเป็นพยานยืนยันให้ตัวเองและต้านทานความจริงอย่างโจ่งแจ้ง เขากำลังหมิ่นประมาทความจริง  มีคนมากมายในขณะนี้ที่บูชาเปาโล ซึ่งหัวใจของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานอันบ้าคลั่ง ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่ต้องการเป็นพยานยืนยันให้ตัวเองว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8)  ด้วยการทำเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้กำลังให้อิสระอย่างเต็มที่แก่ความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานอันบ้าคลั่งของตน โดยปล่อยให้สิ่งเหล่านี้พองโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เผยสิ่งเหล่านี้ออกมาในทุกสถานการณ์เพื่อให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมาหรอกหรือ?  หากเจ้าไม่สามารถเอาชนะความอยากได้อยากมีของตนได้ เช่นนั้นแล้วเรื่องนี้ก็จบลงแล้วอย่างสมบูรณ์สำหรับเจ้า เจ้าจะไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  อะไรคือประเด็นสำคัญของปัญหานี้?  (พวกเราต้องขัดขืนเจตนาของพวกเรา)  การขัดขืนเจตนาของเจ้าเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติที่เป็นลบ  เจ้ายังต้องสามารถเปิดโปงเจตนาเหล่านั้นของเจ้าอย่างแข็งขันอีกด้วย เหมือนกันไม่มีผิดกับการเปิดโปงคนอื่น  หากเจ้ากล่าวบางสิ่งเช่น “ฉันจะบอกความจริงเกี่ยวกับตัวฉันเองกับพวกคุณว่า ฉันมีความมักใหญ่ใฝ่สูงที่เกินเลยมาก และฉันก็พึงปรารถนาที่จะเอาชนะใจพวกคุณ  ในขณะนี้ฉันกำลังเปิดใจของตัวเองกับพวกคุณทุกคน  ฉันเต็มใจที่จะขัดขืนเนื้อหนัง ฉันจะไม่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน  จุดมุ่งหมายของฉันในการเปิดโปงตัวเองในหนทางนี้คือยอมให้พวกคุณเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของฉันอย่างชัดเจน เพื่อที่คุณจะได้ไม่บูชาฉัน”—การปฏิบัติในหนทางนี้จะมีผลใด?  ทุกคนจะเลื่อมใสเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด  นี่จะไม่ดีกว่าการบูชาและการเคารพนับถืออย่างสูงส่งที่เจ้าจะได้รับเพื่อแลกกับการใช้ชั้นเชิงที่ต่ำช้าทุกรูปแบบมากหรอกหรือ?  (ดีกว่ามาก)  อย่างน้อยที่สุดนี่ก็เป็นเรื่องบวก  แม้ว่าทุกคนน่าจะมีความเลื่อมใสให้กับเจ้าอยู่บ้าง แต่พวกเขาจะยกย่องเจ้าหรือไม่?  บางทีบางคนอาจจะยกย่อง แต่เจ้าต้องหาหนทางที่จะทำให้พวกเขาละทิ้งพฤติกรรมนี้  จงเปิดโปงตัวเจ้าเองอยู่เสมอโดยกล่าวว่า “ฉันก็เป็นกบฏเช่นกัน และความเป็นกบฏของฉันก็รุนแรงกว่าของพวกคุณ  ฉันยังหลอกลวงและเลวอีกด้วย  เมื่อฉันกล่าวในตอนนั้น ฉันมีจุดมุ่งหมายในใจ ซึ่งก็คือการทำให้พวกคุณยกย่องฉันและไม่ดูแคลนฉัน”  หลังจากทุกคนได้ยินเช่นนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ดูแคลนเจ้าในหัวใจของพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขาจะนับถือเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก  นี่คือหนทางแห่งการปฏิบัติที่ตรงไปตรงมา  มีเพียงคนที่รักความจริงเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้ คนที่ไม่รักความจริงไร้ความสามารถที่จะทำเช่นนี้ไม่ว่าจะอย่างไร  หากในหัวใจของเจ้าคิดว่าการทำเช่นนี้ดีจริงๆ และเป็นเอกสิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ ทำให้พระเจ้าพอพระทัย และเจ้าก็มุ่งมาดปรารถนาที่จะกระทำการในหนทางนี้ หากเจ้ามีความพึงปรารถนาอันแรงกล้าในหัวใจของตน โดยเชื่อว่าเจ้าควรทำเช่นนี้และนี่คือคนจำพวกที่เจ้าควรเป็น—คนที่ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ ไม่สามารถพบคำโกหกในสิ่งที่พวกเขากล่าว เป็นคนที่ขัดขืนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและซาตานอย่างถ้วนทั่ว—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นคนจำพวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง  และหากเจ้าปรารถนาและรักการเป็นคนจำพวกนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถรักความจริง เข้าสู่ความจริง และปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของซาตาน  แต่หากเจ้ายังคงสนใจเจตนา จุดมุ่งหมาย ความความทะเยอทะยานอันบ้าคลั่ง ความอยากได้อยากมี และผลประโยชน์ของตน และยังคงมีความชื่นชอบให้กับการไล่ตามไขว่คว้าความรู้ ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะหลงเหลืออยู่ เช่นนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้ย่อมยังคงมีที่ในหัวใจของเจ้า  เจ้ากล่าวว่า “ให้ฉันค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปจนกระทั่งฉันมีวุฒิภาวะที่ถูกต้องเหมาะสม แล้วพวกเราก็จะได้เห็นกัน”  นี่เรียกว่าการตามใจตัวเจ้าเอง และการที่ไม่สามารถขัดขืนตัวเจ้าเองได้อย่างสมบูรณ์  ด้วยการตามใจตัวเองเช่นนี้ การเข้าสู่ชีวิตของเจ้าจึงเชื่องช้า และไม่เพียงแต่ประเด็นปัญหาของเจ้าเกี่ยวกับการกระหายความสำราญทางเนื้อหนังและการลุ่มหลงในผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นดื้อด้านมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย  แล้วสิ่งทั้งหลายในหัวใจของเจ้าที่มีธรรมชาติของซาตานสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์อย่างถ้วนทั่วได้หรือไม่?  ประสบการณ์ชีวิตของเจ้ายังคงสามารถลึกซึ้งและชีวิตของเจ้าสามารถเติบโตต่อไปได้หรือไม่?  เจ้ายังคงสามารถสัมฤทธิ์การได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้าได้หรือไม่?  เจ้าได้ตกอยู่ในความสำราญทางเนื้อหนังแล้ว และผลประโยชน์แห่งสถานะก็ได้พันธนาการเจ้าไว้แน่น—เจ้ายังคงสามารถหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  เจ้าไม่ต้องการที่จะหลุดพ้น เจ้ากลายเป็นใครบางคนที่ชักพาผู้คนให้หลงผิดอย่างช้าๆ  นั่นย่อมจะเป็นปัญหา และบาปของเจ้าก็ย่อมจะรุนแรง  เหตุใดสิ่งทั้งหลายจึงจบลงอย่างที่เกิดขึ้นกับเปาโล?  เป็นเพราะเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงแม้แต่น้อย  เขาไล่ตามไขว่คว้าความมุ่งมาดปรารถนาและการโหยหาของตนอยู่เสมอ และต้องการที่จะควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อที่พวกเขาทุกคนจะได้ติดตามเขา และทำอย่างที่เขาทำ  เขายังต้องการที่จะใช้การทำงานหนักและการยอมลำบากเป็นอำนาจเพื่อทำข้อตกลงกับพระเจ้า และได้มาซึ่งบำเหน็จและมงกุฎ  ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถูกพระเจ้าลงโทษ  หากเส้นทางที่ใครบางคนเดินเป็นอย่างเดียวกับเส้นทางของเปาโลไม่มีผิด เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมเกินกว่าจะช่วยเหลือและจบสิ้นแล้วอย่างสมบูรณ์  ใครก็ตามที่เป็นคนจำพวกเดียวกับเปาโลเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะไม่กลับใจ  หากเจ้ามีเพียงแค่สภาวะบางอย่างที่เปาโลมี แต่เป้าหมายที่เจ้าไล่ตามเสาะหาแตกต่างไปจากของเปาโลเล็กน้อย เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องกลับใจทันที และบางทีเจ้าก็อาจจะทำได้ทันเวลา  หากเจ้าทำอย่างที่เปาโลได้ทำ บูชาเปาโล และเป็นอย่างเดียวกับเปาโลไม่มีผิด เช่นนั้นแล้วไม่เพียงแต่เจ้าเป็นผู้ไม่เชื่อเท่านั้น แต่เจ้ายังต้องการที่จะเป็นพระเจ้าและเป็นพระคริสต์ด้วย  นี่ไม่ใช่การต้องการที่จะอยู่ในระดับเดียวกับพระเจ้าหรอกหรือ?  ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าบูชาพระเจ้าที่คลุมเครือในสวรรค์ เจ้าต้องการที่จะอยู่ในระดับเดียวกับพระคริสต์ และถึงขั้นปฏิบัติต่อพรสวรรค์และความรู้ของตนดังเช่นชีวิต และปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้าที่ไม่ถูกควรดังเช่นการไล่ตามไขว่คว้าที่ถูกควร  เป้าหมายที่เจ้าไล่ตามไขว่คว้าและลักษณะของการไล่ตามไขว่คว้าของเจ้ากำลังเข้าใกล้สิ่งที่การไล่ตามไขว่คว้าของเปาโลเคยเป็นเข้าไปทุกที และตรงกับการไล่ตามไขว่คว้าของเปาโลอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ  นี่ย่อมก่อให้เกิดเรื่องเดือดร้อนสำหรับเจ้า เจ้าย่อมสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง และเจ้าก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  เจ้าต้องทำอย่างที่เปโตรได้ทำและเดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ขัดขืนเนื้อหนังอย่างถ้วนทั่ว และขัดขืนสิ่งเหล่านั้นที่เป็นของซาตาน และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ตอนนี้พวกเจ้ามีเส้นทางสู่การได้รับความรอดหรือไม่?  (การเปิดโปงตัวพวกเราเองและการปล่อยมือจากตัวพวกเราเองอยู่เป็นนิตย์)  อันดับแรกเลยก็คือ เจ้าต้องปล่อยมือจากเจตนา จุดมุ่งหมาย ความอยากได้อยากมี และความทะเยอทะยานอันบ้าคลั่งส่วนบุคคลของตน  ไม่ว่าเจ้าไล่ตามเสาะหาอย่างแข็งขันหรือไม่ หรือเจ้าไล่ตามเสาะหาในหนทางที่เป็นลบและเอื่อยเฉื่อย เจ้าต้องปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้และเรียนรู้ที่จะนบนอบ  การนี้มีความสำคัญสูงสุด  หากเจ้าตัดสินใจที่จะกระทำการในหนทางบางอย่างเมื่อบางสิ่งบังเกิดขึ้นกับเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องประเมินวัดว่าเจ้ากำลังกระทำการในหนทางนี้เพื่อสิ่งใด  หากนั่นเป็นไปเพื่อความภาคภูมิใจและสถานะ เช่นนั้นแล้วก็จงหยุดตรงนั้น แล้วก้าวย่างสู่การลงมือทำของเจ้าให้ช้าลง  เจ้าต้องอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะทำการนี้  ข้าพระองค์ต้องการที่จะขัดขืนการนี้ แต่ข้าพระองค์ก็ขาดพร่องกำลัง  ได้โปรดประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ คุ้มครองข้าพระองค์ และหยุดการทำชั่วในร่องครรลองของข้าพระองค์ด้วยเถิด”  เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะมีกำลังโดยที่เจ้าไม่ตระหนักเลย  บางครั้งความสามารถของผู้คนในการเอาชนะบาป ขัดขืนเนื้อหนัง และขัดขืนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนก็มาจากความปรารถนาและความแน่วแน่ของตน รวมทั้งความปรารถนาที่จะรักความจริงของตน  บางเวลาความสามารถดังกล่าวก็พึงต้องมีพระราชกิจของพระเจ้า และพึงต้องพึ่งพาพระเจ้า—ผู้คนไม่สามารถผละจากพระเจ้าได้  บางครั้งเจ้าก็เข้าใจความจริง เจ้ามีเส้นทางให้เดินตาม และเจ้าก็คิดว่าเจ้าสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระได้ แต่เมื่อเจ้าเผชิญกับสภาพการณ์ใหม่ๆ เจ้าไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร—เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์  ชีวิตของผู้คนเต็มไปด้วยทุกข์และสุข  อาจพูดได้ว่าผู้คนไม่สามารถปราศจากพระเจ้าได้เลย  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจความจริงมากเพียงใด พวกเขาไม่สามารถผละจากพระองค์ได้  ไม่สำคัญว่าพวกเขามีชั่วขณะความคิดลบมากเท่าไหร่หรือชั่วขณะแห่งความนิ่งเฉยมากเท่าไหร่ ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถผละจากการทรงนำและการทรงแนะแนวทางจากพระเจ้าได้  ยิ่งเจ้านบนอบพระเจ้ามากครั้งขึ้นเท่าใด ความเป็นจริงความจริงของเจ้าก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น  เมื่อความเป็นจริงความจริงของเจ้าเพิ่มขึ้น นี่ย่อมบอกเป็นนัยว่าการเข้าสู่ชีวิตของเจ้ากลายเป็นลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อการเข้าสู่ชีวิตของเจ้ากลายเป็นลึกซึ้งมากขึ้น นี่ย่อมหมายความว่าอุปนิสัยของเจ้ากำลังเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่ออุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าเจ้าได้รับวุฒิภาวะแล้ว  วุฒิภาวะของเจ้าคือตัวแทนของการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า  เมื่อเจ้ามีวุฒิภาวะ เจ้าย่อมสามารถเอาชนะการควบคุมและพันธนาการที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ามีเหนือตัวเจ้าได้ ความสามารถของเจ้าในการเอาชนะบาปย่อมจะแข็งแกร่งมากขึ้น และหัวใจของเจ้าย่อมจะมีกำลัง  เจ้าจะไม่เพียงแค่มีความปรารถนา ความหวัง และความทะเยอทะยานเกี่ยวกับอารมณ์ เจ้าจะไม่เอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่ระดับนี้  ตรงกันข้าม เจ้าจะสูงขึ้นไป และเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นใครบางคนที่มีความจริงและความเป็นมนุษย์  นี่คือเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง และยังเป็นผลลัพธ์จากการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย  พวกเจ้าสามารถมองเห็นทิศทางหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถมองเห็นความหวังหรือไม่?  (สามารถ)  นั่นเป็นสิ่งที่ดี

การเข้าสู่ชีวิตเป็นกระบวนการที่ไม่มีวันจบสิ้น  เจ้าต้องรับประสบการณ์ชั่วชีวิตเพื่อที่จะได้รับจากการนั้นและก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง  ต่อให้เจ้าเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง หากเจ้ายังคงกระหายความสำราญทางเนื้อหนังและผลประโยชน์แห่งสถานะ ไม่ว่าอย่างไรเสียเจ้าย่อมจะสะดุดและล้มเหลว  ตอนนี้เส้นทางของเจ้าถูกต้อง และเจ้าได้พบทิศทางของตนแล้ว  เจ้าได้แยกแยะสิ่งเหล่านั้นที่ไม่ถูกต้อง และเป็นลบอย่างชัดเจนแล้ว  มีอาณาเขตระหว่างเจ้ากับสิ่งเหล่านี้  ในเรื่องของสิ่งที่เป็นบวก เจ้ายังได้เข้าใจและได้รับจากสิ่งเหล่านั้นค่อนข้างมากเช่นกัน และสามารถจับใจความและยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้ค่อนข้างมากแล้ว  สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่หลังจากได้รับวิจารณญาณเหนือสิ่งทั้งหลายและการกระทำที่ผิด เลวทราม และเป็นลบเหล่านี้ ก็คือการเนรเทศสิ่งเหล่านี้จากหัวใจของเจ้าอย่างถ้วนทั่ว ละทิ้งสิ่งเหล่านี้และขัดขืนสิ่งเหล่านี้อย่างถ้วนทั่ว แล้วจึงปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งความจริง  ในหนทางนี้เจ้าจึงจะมีการเข้าสู่ชีวิต  การเข้าสู่ชีวิตอันที่จริงแล้วไม่ยาก นั่นก็แค่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ารักความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่  หากเจ้ารักความจริงอย่างแท้จริง สิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ย่อมจะไม่สามารถทำให้เจ้าพ่ายแพ้ได้  เจ้าอาจคิดลบและอ่อนแอเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่จะยังคงสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าต่อไปได้  หากเจ้าไม่รักความจริง หรือเจ้าไม่รักความจริงอย่างแรงกล้าขนาดนั้น โดยแค่มุ่งความสนใจไปที่พิธีรีตองภายนอก สละตนเองเล็กน้อยและมอบตัวเองเล็กน้อย สามารถตื่นเช้าและนอนดึกเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ หากเจ้าเพียงแค่อ้อยอิ่งอยู่ที่ช่วงระยะของการลงแรง ไม่ต้องการที่จะบรรลุการเข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริง แค่พอใจที่จะสละตนเองเพื่อพระเจ้าและไม่ทำการกระทำผิดหลักๆ และเจ้าก็ค้างคาและไม่เคลื่อนไปข้างหน้า ผลที่ตามมาจากทั้งหมดนี้จะเป็นอย่างไร?  เจ้าจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าอย่างแน่นอน  หากเจ้าต้องการให้การไล่ตามเสาะหาความจริงของตนประสบความสำเร็จ และต้องการที่จะได้รับชีวิตอย่างแท้จริง นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย  เจ้าต้องปล่อยมือจากผลประโยชน์ของตนเองและละทิ้งการไล่ตามไขว่คว้าที่ไม่ถูกควรทั้งหมด เช่นการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ การไล่ตามไขว่คว้าพร หรือการไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎหรือบำเหน็จ  ต้องปล่อยมือจากทั้งหมดนี้  หากเจ้ารักความจริงอย่างแท้จริงและชื่นชมยินดีกับการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วการเข้าสู่ชีวิตก็ย่อมจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจ้า  ตราบที่เจ้าเข้าใจความจริง โดยธรรมชาติแล้วเจ้าย่อมจะมีเส้นทาง และจะไม่มีความลำบากยากเย็นมากนัก

21 มิถุนายน ค.ศ. 2018

ก่อนหน้า: วิธีระบุแก่นแท้ธรรมชาติของเปาโล

ถัดไป: โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (1)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger