มีการเข้าสู่ชีวิตเพียงในการปฏิบัติความจริงเท่านั้น

คนคนหนึ่งควรเริ่มต้นที่ใดเมื่อเดินก้าวย่างแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต?  คนคนหนึ่งจำเป็นต้องมีสิ่งใดเพื่อที่จะสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิต?  สิ่งใดคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดและสำคัญที่สุดที่คนคนหนึ่งควรไล่ตามไขว่คว้าและได้รับเพื่อที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง?  พวกเจ้าเคยพิจารณาคำถามเหล่านี้มาก่อนหรือไม่?  การเข้าสู่ชีวิตคือสิ่งใด?  การเข้าสู่ชีวิตคือความเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันในชีวิตของบุคคล ในการกระทำของพวกเขา ในทิศทางชีวิตของพวกเขา และในเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา  หลังจากที่โง่เขลาและรู้ไม่เท่าทันมาแล้วในอดีต และหลังจากที่กระทำการตามความคิด มโนคติที่หลงผิด และความคิดฝันของเนื้อหนังอยู่เสมอ บัดนี้ โดยผ่านทางการเปิดโปง การให้น้ำ และการจัดเตรียมของพระเจ้า บุคคลหนึ่งก็อาจมาเข้าใจว่าพวกเขาควรกระทำการให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า  นอกจากนี้ บุคคลนี้ยังก้าวผ่านการเปลี่ยนสภาพในชีวิตประจำวันมาแล้ว อันเป็นผลมาจากพระวจนะของพระเจ้า ในเรื่องของทัศนะและลีลาแห่งการประพฤติตนของพวกเขา และในเรื่องของทิศทางและเป้าหมายทั้งหลายในชีวิตของพวกเขา  นี่คือการเข้าสู่ชีวิต  พื้นฐานของการเข้าสู่ชีวิตคือสิ่งใด? (พระวจนะของพระเจ้า)  ถูกต้อง  การเข้าสู่ชีวิตมิอาจแยกออกจากพระวจนะของพระเจ้าได้ มิอาจแยกออกจากความจริงได้ พระวจนะทุกคำที่พระเจ้าตรัสคือความจริง  สิ่งใดเล่าถูกสำแดงในผู้คนที่สัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตแล้ว?  (พวกเขาสามารถวางใจในพระวจนะของพระเจ้าในการใช้ชีวิต)  ถูกต้อง  พวกเขาสามารถวางใจในพระวจนะของพระเจ้าในการใช้ชีวิต  การกระทำของพวกเขา วาทะ ความคิดเกี่ยวกับปัญหาทั้งหลาย ทัศนคติ จุดยืน และมุมมองทั้งหมดล้วนวางใจในพระวจนะของพระเจ้าและในความจริง  เหล่านี้คือการสำแดงถึงการบรรลุการเข้าสู่ชีวิตแล้ว  แล้วการเข้าสู่ชีวิตเชื่อมโยงกับสิ่งใดเป็นหลัก?  (พระวจนะของพระเจ้า)  การเข้าสู่ชีวิตเชื่อมโยงกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  แล้วในตอนนี้คนเราสามารถให้นิยามคนคนหนึ่งที่มีการเข้าสู่ชีวิตว่าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และให้นิยามคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงว่าเป็นคนที่มีการเข้าสู่ชีวิตได้หรือไม่?  (ได้)  เป้าหมายของการให้นิยามสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้คืออะไร?  พวกเราควรมุ่งหมายการสามัคคีธรรมของพวกเราไปในทิศทางใด?  (มุ่งไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริง)  การไล่ตามเสาะหาความจริงคือหัวข้อหลักที่เราต้องการสามัคคีธรรมในวันนี้  ในเวลาปัจจุบัน พวกเจ้าไม่เข้าใจอย่างชัดเจนจริงๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเข้าสู่ชีวิตกับการไล่ตามเสาะหาความจริง—เรื่องนี้ไม่ประจักษ์ชัดอย่างยิ่งสำหรับพวกเจ้า  เราสามัคคีธรรมการเข้าสู่ชีวิต การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของผู้คน และการชำแหละเส้นทางของเปาโลอยู่เสมอ  ทั้งหมดนี้มีใจความสำคัญอยู่ที่หัวข้อหลักใด?  หัวข้อหลักนั้นคือการไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่สำคัญว่าเราชำแหละเส้นทางที่เปาโลเดินหรือไม่ หรือพูดถึงเส้นทางสู่ความเพียบพร้อมที่เปโตรเดินหรือไม่—ไม่สำคัญว่าเราพูดถึงสิ่งใด ในท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของเราที่จะทำให้ทุกคนเดินตามคือเส้นทางประเภทใด?  (เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง)  เมื่อผู้คนสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมแห่งพระวจนะของพระเจ้า เป้าหมายที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาและเส้นทางที่พวกเขาเดินไม่ชัดเจนหรอกหรือ?  (ชัดเจน)  การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นหัวข้อซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะหลีกเลี่ยงเมื่อพวกเขาเชื่อในพระเจ้า เสาะแสวงที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน และไล่ตามเสาะหาความรอด  มีเพียงผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่เป็นผู้เชื่อที่แท้จริงและสามารถสัมฤทธิ์ความรอด  ผู้คนบางคนมีแรงปรารถนาและเต็มใจที่จะสละตนเองเพื่อพระเจ้า แต่ก็ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  แม้ว่าทุกคนเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่บางคนมีขีดความสามารถแย่ พวกเขาขาดพร่องความสามารถในการจับใจความและไม่สามารถจับความเข้าใจความจริงได้  บางคนไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ไม่สำคัญว่าพวกเขารับฟังคำเทศนาอย่างไร พวกเขาไม่เคยเข้าใจเลย ทั้งพวกเขายังไม่เข้าใจเวลาที่พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาจับใจความสิ่งทั้งหลายอย่างบิดเบือนอยู่เสมอ และพยายามที่จะประยุกต์ใช้กฎข้อบังคับ  เหล่านี้คือคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ในคริสตจักรมีคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและพวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ มีพวกที่มีขีดความสามารถแย่ซึ่งขาดพร่องความสามารถในการจับใจความและบรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถดีซึ่งมีการจับใจความอันถ่องแท้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า มีบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและพวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนต่างประเภทกันเหล่านี้ล้วนแต่มีสภาวะและการสำแดงที่แตกต่างกัน และเจ้าต้องมีความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างพวกเขาได้อย่างชัดเจน

พวกเรามาเริ่มด้วยการเสวนาถึงคนประเภทแรกกันเถิด—ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ตัวอย่างเช่น พวกเราสามัคคีธรรมความจริงแง่มุมหนึ่ง และหลังจากพวกเราเสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมความจริงแง่มุมนี้รวมทั้งสภาวะ ท่าที เจตนา และการสำแดงของผู้คน ก็มีบางคนที่ไม่เข้าใจสิ่งที่พูดไป ไม่เข้าใจสิ่งที่มีการสามัคคีธรรม ผู้ที่ไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเองกับการนั่นได้ และไม่รู้ว่าพฤติกรรมและการสำแดงของตน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และแก่นแท้ตามธรรมชาติของตนมีความสัมพันธ์แบบใดกับความจริงที่มีการสามัคคีธรรม  พวกเขายังไม่รู้ด้วยว่าการนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าในชีวิตของตน หรือว่าเหตุใดจึงมีการประกาศคำเทศนานี้—ทั้งหมดที่พวกเขาเข้าใจจากการนั้นคือคำสอน และพวกเขาก็อ่านกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการนั้น  เมื่อใครบางคนถามพวกเขาว่าพวกเขาเข้าใจอะไร พวกเขาพูดว่า “แม้ว่าจะมีการสามัคคีธรรมหลายๆ หัวข้อในวันนี้ แต่ประเด็นหลักก็คือประเด็นเดิม กล่าวคือ หากเกิดบางสิ่งขึ้น ให้อธิษฐานมากขึ้น”  มีผู้อื่นที่พูดว่า “ฉันเข้าใจ  พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนเป็นคนดี ไม่ทำสิ่งที่แย่ และทำความดีให้มาก  พระเจ้าโปรดเช่นนี้”  ยังคงมีผู้อื่นที่พูดว่า “พระเจ้ากำลังตรัสบอกผู้คนว่าพวกเขาต้องสละตนเองเพื่อพระเจ้า และยอมมอบตัวเองให้มาก”  พวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหรือยัง?  (ยังไม่เข้าใจ)  ผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่คิดว่าพวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระองค์แล้ว แต่อันที่จริงแล้วพวกเขากำลังคลำหาไปรอบๆ อยู่ในความมืด และติดพันอยู่กับแค่หนึ่งประโยคจากพระวจนะของพระองค์  ความเข้าใจของพวกเขาเป็นแบบข้างเดียวมากเกินไป และพวกเขาก็ไม่เข้าใจสิ่งพระเจ้าทรงหมายความถึงเลยแม้แต่น้อย  สำหรับคนที่ไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสมากเพียงใด ทั้งหมดที่พวกเขามองเห็นคือกฎข้อบังคับ คำสอน ทฤษฎีประเภทหนึ่ง มุมมองประเภทหนึ่ง หรือคำกล่าวประเภทหนึ่ง  เมื่อเป็นเรื่องของการนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ พวกเขานำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเราพูดถึงความจริงแห่งการนบนอบพระเจ้า หลังจากรับฟังพวกเขาพูดว่า “ฉันจะทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัสบอกให้ฉันทำ  นี่เองคือความหมายของการรับฟังพระวจนะของพระองค์และนบนอบพระองค์”  นี่ไม่ง่ายเกินไปหรอกหรือ?  นั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้  พวกเขาไม่เข้าใจว่าหนทางใดแห่งการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าคือการนบนอบพระองค์ที่แท้จริง วิธีแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าและสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า วิธีปฏิบัติตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และวิธีปฏิบัติความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า นับประสาอะไรกับวิธียืนอยู่ข้างเดียวกับพระเจ้าและคุ้มครองงานของคริสตจักร  ยิ่งบางสิ่งเกี่ยวข้องกับความจริงที่เป็นกุญแจสำคัญต่อการนบนอบพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งไร้ความสามารถที่จะจับใจความสิ่งนั้นมากขึ้นเท่านั้น  ทั้งหมดที่พวกเขารู้วิธีทำคือปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ  นี่เองคือความหมายของการไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  นอกจากการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับและติดอยู่ในความซ้ำซากจำเจในการคิดของตัวเองแล้ว คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณก็ยังไม่สะทกสะท้านกับเหตุผล  การแสดงออกหลักๆ ของผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณคืออะไร?  (การยึดตามกฎเกณฑ์)  เป็นการยึดตามกฎเกณฑ์  พวกเขามักจะยึดเอาประโยคหนึ่งหรือเหตุการณ์หนึ่งมากำหนดให้เป็นกฎข้อบังคับหรือวิธีการที่จะทำตามอยู่บ่อยครั้ง  เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเหล่านี้ปฏิบัติต่อความจริงในหนทางเดียวกันหรือไม่?  (ปฏิบัติ)  พวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณย่อมจดจำแง่มุมหนึ่งของการสำแดงความจริงที่เจ้าได้สามัคคีธรรมในวันนี้ พวกเขาย่อมกำหนดคำพูดและพฤติกรรมเหล่านั้นให้เป็นกฎข้อบังคับที่ควรฝึกฝนปฏิบัติ โดยจดจำแต่ละคำและแต่ละพฤติกรรมอย่างไม่ผิดพลาด  จากนั้น ในครั้งต่อไป เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่แตกต่าง หากไม่มีผู้ใดสามัคคีธรรม พวกเขาก็จะนำวิธีการและกฎข้อบังคับก่อนหน้าเหล่านั้นมาใช้โดยไม่พิจารณา และนำสิ่งเหล่านั้นมาปฏิบัติ  นี่คือการสำแดงที่เป็นรูปธรรมของผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ผู้คนเช่นนี้รู้สึกอย่างไรขณะที่พวกเขาปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ?  (เหน็ดเหนื่อย)  พวกเขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรอก หากพวกเขารู้สึกเช่นนั้น พวกเขาก็คงจะหยุด  พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงอยู่ต่างหาก พวกเขาไม่รู้สึกว่าพวกเขากำลังปฏิบัติตามกฎข้อบังคับชุดหนึ่ง อีกทั้งพวกเขาก็ไม่รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  พวกเขายิ่งไม่รู้สึกเข้าไปใหญ่ว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจความจริง หรือยิ่งไม่รู้สึกเข้าไปใหญ่ว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจว่าสิ่งใดคือความจริงหลักธรรม  ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับคิดว่าพวกเขาได้เข้าใจด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความจริงแล้ว รวมทั้งหลักธรรมเกี่ยวกับแง่มุมนั้นของความจริงด้วย ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็คิดว่าพวกเขาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว และคิดว่าหากพวกเขาสามารถกระทำการในแนวเดียวกับกฎข้อบังคับของพวกเขา พวกเขาก็จะเข้าสู่ความจริงความเป็นจริงแง่มุมนั้น ทำให้สมดังเจตนารมณ์ของพระเจ้า และนำความจริงมาปฏิบัติแล้ว  นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณคิดหรอกหรือ?  (ใช่ เป็นดังนั้น)  การคิดในหนทางนี้ตรงตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์หรือไม่?  อันที่จริงแล้วการปฏิบัติโดยการทำตามกฎข้อบังคับคือการสำแดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ ไม่เป็นดังนั้น)  เหตุใดจึงไม่เป็นดังนั้น?  (เพราะเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นพวกเขาไม่แสวงหาความจริง และไม่ทุ่มเทความพยายามในการใคร่ครวญเรื่องนั้น พวกเขาเพียงแค่ยึดมั่นในหนทางที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายอยู่ตลอดอย่างดื้อด้าน)  นี่คือวิธีที่ผู้คนประเภทที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณกระทำการ—พวกเขายึดมั่นในหนทางเก่าๆ อย่างดื้อด้าน เกียจคร้าน ไม่แสวงหาความจริงเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้น และไม่สืบค้นหรือคิดถึงสิ่งทั้งหลาย  ต่อให้พวกเขาสืบค้น พวกเขาสามารถเข้าใจได้ด้วยหรือว่านั่นหมายความว่าอย่างไร?  (ไม่)  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เข้าใจ?  (เพราะพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ)  ถูกต้อง  เรื่องนี้มีใจความสำคัญอยู่ที่ว่าผู้คนเช่นนี้ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และจะไม่มีวันเข้าใจความจริง

อันที่จริงแล้วในหัวใจของพวกเขานั้น ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขาก็เริ่มทำการนั้นในหนทางที่ผิด  กล่าวอย่างแม่นยำแล้วคือ พวกเขาพึ่งพาการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับเป็นหลัก โดยประพฤติตนตามธรรมเนียมปฏิบัติ และยึดมั่นในคำสอน หรือประยุกต์ใช้หนทางของผู้อื่นในการทำสิ่งทั้งหลาย และเลียนแบบคำพูดของพวกเขาเหล่านั้น  แล้วอะไรคือแก่นแท้ของคนจำพวกนี้?  เหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติต่อการทำตามกฎข้อบังคับดังเช่นการปฏิบัติความจริง และคิดว่าการปฏิบัติในหนทางนี้คือการไล่ตามเสาะหาความจริง?  เหตุใดปัญหานี้จึงเกิดขึ้น?  มีรากเหง้าอยู่อย่างหนึ่ง—พวกเจ้ามองเห็นรากเหง้านั้นได้หรือไม่?  (พวกเขาปฏิบัติต่อทรรศนะ มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันของตนดังเช่นความจริง  พวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และยังไม่ได้จับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง)  นี่เป็นส่วนหนึ่งของรากเหง้านั้น  มีอะไรอีกไหม?  (พวกเขาโอหังและคิดว่าตนถูก และเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นพวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริง  พวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องดังเช่นความจริง)  ผู้คนบางคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างนี้นี่เอง แต่นี่ก็ไม่ใช่รากเหง้าของปัญหา  อะไรทำให้คนเช่นนี้สำแดงตนออกมาในหนทางนี้?  ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและชอบที่จะปฏิบัติตามกฎข้อบังคับรับฟังคำเทศนาอย่างตั้งใจจริงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น วิธีปฏิบัติหน้าที่ของตน และวิธีทำสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาควรทำให้ดี  พวกเขาใส่ใจ แต่ปัญหาสำคัญคือว่าพวกเขาไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงระหว่างสภาวะของพวกเขากับสิ่งที่พวกเขาได้ยินในคำเทศนาได้  ตัวอย่างเช่น หากเป็นการพูดถึงความเป็นกบฏของผู้คน หลังจากพวกเขารับฟังแล้ว พวกเขาก็คิดว่า “ความเป็นกบฏน่ะหรือ?  ไม่ใช่ฉันหรอก!  หากผู้คนไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นกบฏ เช่นนั้นแล้วหากฉันบังเอิญพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ในอนาคต ฉันก็ไม่ควรออกความเห็น  ฉันควรเพียงแค่ทนรับสถานการณ์นั้น และอ่านน้ำเสียงและการแสดงออกของผู้คน  ฉันจะดูว่าผู้คนรอบๆ ตัวฉันพูดอะไร รวมทั้งพวกเขาทำสิ่งทั้งหลายอย่างไร แล้วก็ทำตาม  เช่นนั้นแล้วฉันจะไม่เป็นกบฏใช่ไหม?”  หลังจากพวกเขารับฟังคำเทศนา ข้อสรุปที่พวกเขาได้ก็เป็นเพียงแค่ตรรกะและวิธีการปฏิบัติมากมายของตนเอง  พวกเขาไม่มีการตอบสนองต่อสภาวะทั้งหมดที่ถูกเปิดโปงในคำเทศนา และไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงใดๆ ขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้  ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาเลอะเลือน  เราหมายถึงสิ่งใดหรือกับคำว่า “เลอะเลือน”?  พวกเขาไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วคำเทศนากำลังพูดถึงเรื่องอะไร  พวกเขาพูดกับตัวเองในใจว่า “นี่กำลังสามัคคีธรรมอะไรกันอยู่?  เหตุใดจึงไม่ใช้คำศัพท์ที่ง่ายกว่านี้?  วันนี้ก็สามัคคีธรรมเรื่องนี้ แล้วพรุ่งนี้ก็จะเป็นเรื่องอื่นๆ”  จากมุมมองของพวกเขา การปฏิบัติความจริงนั้นง่าย กล่าวคือ เพียงแค่ทำสิ่งที่เจ้าได้รับการร้องขอให้ทำ ในส่วนสภาวะและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดที่ถูกเปิดโปงในคำเทศนา พวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้กับตัวเองได้  พวกเขาพร่ามัวและไม่รู้อะไรเลยเมื่อเป็นเรื่องที่ว่าผู้คนเผยให้เห็นความคิด แนวคิด และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานาสารพันแบบใดในรูปการณ์แวดล้อมแต่ละจำพวกในระหว่างกระบวนการของการเข้าสู่ชีวิต  พวกเขาไม่สามารถแยกแยะระหว่างรายละเอียดทั้งหลาย อีกทั้งไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้  ผู้คนที่ไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้รู้สึกอย่างไรหลังจากรับฟังความจริง?  (พวกเขาคิดว่านั่นเป็นการพูดถึงคนอื่น และนั่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวพวกเขา)  ถูกต้อง  นี่คือคุณสมบัติพิเศษอันเป็นหลัก พวกเขาไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้  เมื่อพวกเขาเห็นคำพูดซึ่งเปิดโปงสภาวะอันเสื่อมทรามของผู้คน พวกเขาก็คิดว่านั่นเป็นการพูดถึงคนอื่นเท่านั้น  พวกเขาสามารถยอมรับได้เมื่อปัญหาโดยเฉลี่ยหรือปัญหาทั่วไปที่ผู้คนมีถูกเปิดโปง แต่เมื่อเป็นเรื่องของคำพูดที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือแก่นแท้ของผู้คน พวกเขากลับไม่ยอมรับเรื่องนั้นได้โดยสิ้นเชิง พวกเขาจะไม่ยอมรับเรื่องนั้นไม่ว่าในรูปการณ์แวดล้อมใดๆ—ราวกับการยอมรับเรื่องนั้นจะหมายความว่าพวกเขาถูกกล่าวโทษ  นี่คือปัญหาที่ผู้คนทั้งหมดที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมีเหมือนกัน  เมื่อพวกเขาเผชิญกับการเปิดโปงของพระเจ้าเกี่ยวกับสภาวะและการสำแดงทุกประเภทที่ผู้คนมี รวมทั้งทุกหนทางที่แก่นแท้ธรรมชาติของตนเผยตัวเองออกมา พวกเขาไม่ยอมรับเรื่องใดแบบนี้เลย ทั้งพวกเขายังไม่ทบทวนหรือเปรียบเทียบตัวเองกับเรื่องนี้  ตรงกันข้าม พวกเขานำคำพูดและปัญหาเหล่านี้ไปประเมินคนอื่นอยู่เนืองนิจ คิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเอง  ไม่เพียงแต่ผู้คนเช่นนี้ไม่ยอมรับความจริงเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่มีกระบวนการทางความคิดที่ปกติด้วย คำพูดของพวกเขาเป็นแบบหลบหลีกและวกไปวนมา และคำถามที่พวกเขาตอบก็ไม่ใช่คำถามที่เจ้าถามไป  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าถามพวกเขาว่าพวกเขาทานอะไรมาหรือยัง พวกเขาก็พูดว่าพวกเขาไม่ต้องการน้ำ หากเจ้าถามพวกเขาว่าพวกเขารู้สึกง่วงนอนหรือไม่ พวกเขาก็พูดว่าพวกเขาไม่กระหายน้ำ  พวกเขาอยู่ในสภาวะเลอะเลือนและกรอบความรู้สึกนึกคิดที่ผสมปนเปประเภทนี้อยู่เนืองนิจ  ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมาอย่างนี้นี่เอง  ในทุกๆ คริสตจักรมีผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  แม้ว่าพวกเขามีปัญหาเหมือนๆ กัน แต่ก็มีความแตกต่างที่ละเอียดอ่อนเช่นกัน  มีคนคนไหนบ้างหรือไม่ที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิง?  (มี)  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ามาน้อยกว่าสามปีนั้นคลุมเครือมากในเรื่องทั้งหลายอย่างเช่นการเชื่อในพระเจ้า การเข้าสู่ชีวิต การไล่ตามเสาะหาความจริง การไล่ตามไขว่คว้าการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตน และการถูกทำให้เพียบพร้อม  พวกเขาพึ่งพาเพียงแค่แรงปรารถนาที่จะทำหน้าที่ของตน ทำการนี้หรือการนั้นเพื่อพระเจ้า และอยู่ในช่วงระยะของการทุ่มเทความพยายามและการลงแรง  พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต และพวกเขาก็ไม่มีมโนทัศน์เกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตและการไล่ตามเสาะหาความจริงโดยสิ้นเชิง  พวกเขาแค่ชอบที่จะทำสิ่งทั้งหลายซึ่งมองเห็นได้จากภายนอก และโน้มเข้าหาแรงปรารถนาของตนที่จะทำสิ่งนั้น  เหล่านี้คือคนที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิง  ใครบางคนที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิงในช่วงระยะนี้จะตีตราว่าเป็นใครบางคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขายังไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเป็นเวลานานมากพอ ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่สามารถถูกตีตราได้  เพราะพวกเขายังคงอยู่ในช่วงระยะที่มุ่งมาดปรารถนา พวกเขาจึงไม่เข้าใจทุกสิ่งเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า เส้นทางของผู้คนสู่ความรอด หรือเส้นทางต่างๆ ที่คนแต่ละประเภทเดินตาม ดังนั้นการขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณของพวกเขาจึงยกโทษให้ได้ นี่คือสิ่งที่เป็นปกติ  อย่างไรก็ตาม ส่วนบรรดาผู้ที่เข้าใจอยู่แล้วว่าการเข้าสู่ชีวิตคืออะไรและเริ่มที่จะคุ้นเคยกับความจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้ว ท่ามกลางพวกเขามีใครบ้างไหมที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิง?  (มี)  พวกเขายังคงมีอยู่  ต่อให้ใครบางคนขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิงเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงในหัวใจของตน พวกเขาก็ไม่สามารถสัมฤทธิ์การนั้นได้ ดังนั้นจึงพูดด้วยความแน่ใจได้ว่าไม่มีทางที่ผู้คนที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยสิ้นเชิงจะเป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และแน่นอนที่สุดว่าไม่มีทางที่การสำแดงของพวกเขาจะเป็นการสำแดงของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง

อะไรคือหนทางต่างๆ ที่ผู้คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและพวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมา?  ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยพื้นฐานแล้วไม่รู้ความและไม่ตระหนักรู้ถึงความจริงที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรม ตลอดจนสภาวะ บริบท และข้อบ่งชี้ของพระวจนะของพระองค์ และพวกเขาก็ไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเองกับการนั้นได้  บรรดาผู้ที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเป็นสิ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง  ตัวอย่างเช่น หากเราสามัคคีธรรมความเป็นกบฏของผู้คน และภายในความเป็นกบฏมีการดื้อแพ่ง ความเห็นแก่ตัว และความโง่เขลาอันดื้อด้าน ตลอดจนความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และการต้านทานและการต่อต้านพระองค์ เมื่อเราพูดถึงสภาวะที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้ ไม่สำคัญว่าเรายกตัวอย่าง พูดถึงความจริงแง่มุมหนึ่ง ไพล่ไปแตะสภาวะที่ดำรงอยู่ในหัวใจของเจ้า หรือสามัคคีธรรมหัวข้อทั้งหลายเกี่ยวกับหลักธรรมความจริงหรือไม่ หากเจ้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าได้ยินอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเป็นคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง  หากเจ้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าได้ยินและสามารถนำสิ่งนั้นไปปฏิบัติได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเป็นคนที่ปฏิบัติความจริง  เมื่อผู้คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณได้ยินพระวจนะของพระเจ้า พวกเขามีความสามารถที่จะจับใจความได้อย่างถ่องแท้ และสามารถถึงขั้นเข้าใจความจริงได้  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสถึงสิ่งใด พวกเขาก็ตามทันได้ และสามารถยกข้อเทียบเคียงระหว่างสภาวะของตนกับพระวจนะของพระเจ้า และค้นหาเส้นทางสู่การปฏิบัติได้  นี่คือการสำแดงถึงการมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  หลังจากผู้คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอ่านพระวจนะของพระเจ้า หัวใจของพวกเขาก็สว่างและพวกเขาก็ได้รับบางสิ่งจากระวจนะของพระเจ้า  จิตวิญญาณของพวกเขาเป็นอิสระเป็นพิเศษ และพวกเขาก็รู้สึกว่ามีเส้นทางที่พวกเขาสามารถเดินตามได้  เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่พวกเขารับฟังคำเทศนา พวกเขาได้รับบางสิ่งจากคำเทศนานั้น และทุกครั้งที่พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ก้าวหน้า  ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตัวเองออกมาอย่างนี้นี่เอง  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมสิ่งใด หลังจากบรรดาผู้ที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณได้ยินการสามัคคีธรรมนั้น ภาพลักษณ์ทั้งหลายก็จะเป็นที่ปรากฏในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และเมื่อพระเจ้าทรงเปิดโปงสภาวะของผู้คน พวกเขาก็สามารถยกข้อเทียบเคียงได้  เมื่อพระองค์ตรัสถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาก็ประยุกต์ใช้ความเข้าใจผิดนั้นกับสภาวะของตน และตระหนักว่า “ข้อเรียกร้องนี้ของฉันและความคิดฝันเหล่านี้ที่ฉันมี อันที่จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า”  พวกเขาสร้างความเชื่อมโยงแล้ว  เมื่อพระองค์ตรัสถึงการต้านทานและการต่อต้านพระเจ้า หากพวกเขามีภาวะอารมณ์เดียวกันเหล่านี้ ใช้ชีวิตในสภาวะเดียวกัน และมีอุปนิสัยและแก่นแท้เหล่านี้อยู่ภายใน พวกเขาย่อมสามารถยกข้อเทียบเคียงระหว่างสิ่งเหล่านี้ได้  พวกเขาสามารถยกข้อเทียบเคียงสิ่งทั้งหลายจำพวกใดได้บ้าง?  ความคิด แนวคิด หรือการกระทำและพฤติกรรมที่พวกเขาแสดงให้เห็น เหล่านี้ล้วนแต่สามารถใช้เพื่อยกข้อเทียบเคียงได้  เมื่อผู้คนสามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้ากำลังตรัส และเข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสถึงสิ่งใดกันแน่ และรู้ว่าพฤติกรรม การเผย การสำแดง สภาวะ และแก่นแท้แบบใดของพวกเขาสอดคล้องต้องกันกับสภาวะที่พระเจ้าทรงเปิดโปง และซึ่งมีการพูดถึงในคำเทศนา เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมสำแดงความเข้าใจฝ่ายวิญญาณออกมาแล้ว  พวกเจ้าบอกได้หรือไม่ว่าพวกเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่?  (บางครั้งข้าพระองค์ก็มี และบางครั้งข้าพระองค์ก็ไม่มี)  การนี้แก้ไขเยียวยาได้ แต่หากเจ้าไม่มีเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมก่อให้เกิดเรื่องเดือดร้อน  หากส่วนใหญ่แล้วเจ้ารู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าพูดถึงสิ่งใด ต่อให้เจ้าไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงใดขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้ แต่เจ้ารู้ว่าเจ้ามีสภาวะจำพวกนี้ หรือสังเกตเห็นสภาวะเหล่านี้ในตัวผู้อื่น และรู้จักความจริงแง่มุมนี้ รวมทั้งวิธีที่เจ้าควรเข้าสู่ เช่นนั้นแล้วก็ย่อมนับว่าเป็นการมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอยู่แล้ว  อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่พวกเขาได้ยินคำเทศนา คนจำพวกนี้สามารถสำแดงความเข้าใจฝ่ายวิญญาณได้หรือไม่?  ไม่ บางครั้งพวกเขาก็มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และบางครั้งพวกเขาก็ไม่มี  เพราะการเข้าสู่ชีวิตสัมพันธ์กับความจริงหลายแง่มุม  มีความจริงบางประการที่เจ้าเข้าใจและเข้าสู่แล้ว และมีความจริงอื่นๆ ซึ่งเจ้าไม่เข้าใจและยังไม่ได้เข้าสู่  มีความจริงบางประการที่เจ้ายังไม่ได้เผชิญเลยแม้แต่น้อย และยังไม่ได้แม้แต่ได้ยินเสียด้วยซ้ำ  บัดนี้เจ้าได้ยินความจริงนั้นแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะพูดว่าเจ้าสามารถจับใจความความจริงนั้นได้หรือไม่ และเจ้าก็อาจถึงขั้นมีมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความจริงนั้น  อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องปกติ  หากมีความจริงบางแง่มุมที่เจ้าเข้าใจ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเป็นแง่มุมซึ่งเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ หากมีความจริงบางแง่มุมที่เจ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเป็นแง่มุมซึ่งเจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ หากมีความจริงบางแง่มุมที่เจ้าไม่เคยได้ยินและซึ่งยังคงค่อนข้างแปลกสำหรับเจ้า หรือซึ่งเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดเสียด้วยซ้ำ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเป็นแง่มุมซึ่งเจ้าขาดพร่องในความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมากขึ้นไปอีก  เจ้าต้องก้าวผ่านประสบการณ์ช่วงเวลาหนึ่งจนกระทั่งเจ้าเข้าใจความจริงก่อนที่เจ้าจะบรรลุความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในแง่มุมเหล่านั้น  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังคงคิดว่า “ฉันยังไม่ได้เข้าใจพระเจ้าผิด ฉันไม่เคยเข้าใจพระเจ้าผิดเลย  ฉันรักพระเจ้ายิ่งนัก!  แล้วฉันจะเข้าใจพระองค์ไปได้อย่างไร?”  เหล่านี้คือคำพูดที่ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณกล่าว  หากเจ้าพูดว่า “ผู้คนมักจะเข้าใจพระเจ้าผิด แต่พวกเขาไม่สามารถควบคุมเรื่องนั้นได้ ความเข้าใจผิดนั้นเกิดขึ้นแบบปุบปับในทุกที่และทุกเวลา  อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ ดูเหมือนฉันไม่ตระหนักรู้ถึงแง่มุมใดๆ ซึ่งฉันเข้าใจพระเจ้าผิดไปหรือขัดแย้งกับพระองค์  ฉันจำเป็นต้องก้าวผ่านสิ่งทั้งหลายด้วยการตรวจสอบอย่างละเอียด มีประสบการณ์ และอธิษฐานถึงพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงสถานการณ์ทั้งหลายเพื่อเผยสิ่งเหล่านี้ต่อฉัน”  นี่เป็นเรื่องในอุดมคติ  นี่คือความปรารถนาที่เจ้าควรมีในความรู้สึกนึกคิด—เจ้าต้องเพียรพยายามที่จะทำให้ดีขึ้นต่อไป  หากใครบางคนพูดว่า “ฉันไม่เคยเข้าใจพระเจ้าผิดเลย  นี่เป็นการพูดถึงคนอื่น” ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถพูดบางสิ่งที่ไร้สาระขนาดนั้นได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเผยให้เห็นอุปนิสัยแบบใดเป็นหลัก?  ความโอหังและความโง่เขลาอันดื้อด้าน  ความโง่เขลาอันดื้อด้านคืออะไร?  หมายความว่าเจ้านั้นทั้งโง่เขลาและดื้อด้าน  ความโง่เขลาอันดื้อด้านสำแดงตัวเองอย่างไรในแง่ที่เป็นรูปธรรม?  (พวกเขาไม่ตระหนักรู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่คนอื่นมองเห็นได้ และคิดว่าพวกเขาไม่มีอุปนิสัยเหล่านี้  พวกเขายังคิดว่าตนถูกเป็นพิเศษด้วย และคิดว่าพวกเขาทำถูกต้องโดยสมบูรณ์)  ไม่เพียงแต่พวกเขาคิดว่าพวกเขาไม่มีความเสื่อมทรามแง่มุมนี้เท่านั้น แต่พวกเขายังคิดว่าพวกเขากำลังทำได้ดีด้วย  ภายในนั้นพวกเขาถูกอุปนิสัยอันโอหังของตนควบคุม และคิดว่าพวกเขาจะไม่มีวันทำบางสิ่งเช่นนั้น  ไม่สำคัญว่าคนอื่นพูดอย่างไร ตราบที่พวกเขาเองยังไม่ได้ตระหนัก มองเห็น หรือได้รับประสบการณ์กับบางสิ่ง พวกเขาย่อมคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องทบทวนและเข้าใจหรือยอมรับสิ่งนั้น  นี่คือความโง่เขลาอันดื้อด้าน  การบรรยายถึงความโง่เขลาอันดื้อด้านอีกหนทางเป็นอย่างไร?  คือในเวลาที่เจ้าไม่สะทกสะท้านกับเหตุผล  มีคำศัพท์อื่นใดหรือไม่?  ความโง่เง่า  ใช่แล้ว ความโง่เขลาอันดื้อด้านเชื่อมโยงกับความโง่เง่าเป็นส่วนใหญ่—ทั้งสองอย่างนี้โง่เขลาและดื้อด้าน  ตัวอย่างเช่น คนอื่นพูดว่า “คุณควรระมัดระวัง  การดื่มน้ำเย็นอยู่ตลอดทำให้การย่อยอาหารช้าลงและทำให้คุณปวดท้องได้”  แล้วพวกเขาก็ตอบกลับว่า “ร่างกายของฉันมีสุขภาพดีเลิศ  ไม่มีอะไรผิดปกติกับฉัน  คุณกำลังเป็นกังวลไปเปล่าๆ”  นี่ไม่ใช่ความโง่เขลาอันดื้อด้านหรอกหรือ?  (ใช่)  พวกเขาดูเหมือนดื้อด้านและโง่เขลามากเพราะพวกเขายังไม่ได้รับประสบการณ์กับบางสิ่ง แต่กระนั้นพวกเขากลับคิดว่าตนถูกยิ่งนัก  เหตุใดเราจึงพูดว่าพวกเขาดื้อด้านและโง่เขลา?  เพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์ ทว่ากลับอาจหาญที่จะขัดแย้งกับสิ่งที่ใครบางคนที่มีประสบการณ์พูด  พวกเขาไม่ยืนยันความถูกต้องแม่นยำของคำพูดเหล่านี้หรือเรียนรู้บทเรียนจากคำพูดเหล่านี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับคิดว่าพวกเขาถูกต้องยิ่งนัก และไม่ยอมรับสิ่งที่คนอื่นพูด  นี่คือดื้อด้านและโง่เขลา ตลอดจนโอหังและคิดว่าตนถูก  ในการเข้าสู่ชีวิตของเขา เปโตรสามารถเรียนรู้จากความล้มเหลวของผู้อื่น  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่าอย่างไร?  (พระเจ้าตรัสว่าเปโตร “ซึมซาบสิ่งดีๆ จากวันเวลาที่ผ่านไปแล้ว และปฏิเสธสิ่งที่ไม่ดี” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักความเป็นจริง))  คนที่ดื้อด้านและโง่เขลาไม่สามารถแม้แต่ยอมรับสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา และพวกเขาก็ไม่เรียนรู้จากสิ่งนั้น  ผู้คนมองสิ่งนี้ว่าเป็นเรื่องโง่เง่า แต่อันที่จริงแล้วเป็นปัญหากับอุปนิสัยของพวกเขา—ปัญหานี้เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง

พวกเรากลับมาที่หัวข้อเกี่ยวกับวิธีที่บรรดาผู้ที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมาและวิธีที่พวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมากันเถิด  เราเพิ่งพูดว่าอะไรคือหนทางหลักที่บรรดาผู้ที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมา?  จงบอกเราที  (บรรดาผู้ที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสามารถเข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังเปิดโปงสภาวะใดของมนุษย์ และยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับความคิด แนวคิด การกระทำ และพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของตนเอง  พวกเขาสามารถเข้าใจว่าพระเจ้ากำลังตรัสสิ่งใด)  เจ้ากล่าวตรงกับประเด็นหลักส่วนใหญ่  เมื่อคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอ่านพระวจนะของพระเจ้าซึ่งเผยให้เห็นสิ่งที่ไม่รู้มาก่อน พวกเขาสามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้ และรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังพูดถึงความจริงใด ผู้คนควรเข้าสู่สิ่งใด พระวจนะของพระองค์กำลังเปิดโปงอุปนิสัยใดของมนุษย์ รวมทั้งพระวจนะของพระองค์กำลังเปิดโปงสภาวะและการสำแดงใดของมนุษย์  พวกเขาสามารถยกตัวเองมาเปรียบกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และตระหนักรู้ถึงสิ่งเหล่านี้  ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตัวเองออกมาอย่างนี้นี่เอง  ก่อนหน้านี้ เมื่อเรากำลังสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีที่ผู้คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนเองออกมา พวกเราได้หยิบยกคำถามขึ้นมาข้อหนึ่ง ซึ่งก็คือว่าพวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในทุกเรื่องหรือไม่  มีไหม?  (ไม่มี  ในบางเรื่องนั้นพวกเขาสามารถเปรียบเทียบตัวเองกับสภาวะทั้งหลายที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงได้ และดังนั้นพวกเขาจึงสำแดงความเข้าใจฝ่ายวิญญาณออกมา ในขณะที่ในเรื่องซึ่งพวกเขายังไม่ได้รับประสบการณ์นั้น พวกเขาไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ)  หากพวกเขายังไม่ได้รับประสบการณ์กับบางสิ่งและไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  เช่นนั้นถ้าเกิดมีสิ่งทั้งหลายซึ่งพวกเขาได้รับประสบการณ์แล้ว แต่พวกเขาไม่เข้าใจความจริงที่มีอยู่ในสิ่งเหล่านั้น จึงไม่ยอมรับสิ่งต่างๆ ดังกล่าว หรือไม่รับรู้ว่าเป็นความจริง—นั่นนับว่าเป็นการมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่?  (ไม่นับ)  นี่ก็ไม่ใช่การมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเช่นกัน  ถ้าเกิดพวกเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาได้ยินคือความจริง—นี่นับว่าเป็นการมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่?  (ไม่นับ)  พวกเจ้าคนใดสำแดงตนออกมาในหนทางเหล่านี้หรือไม่?  ตัวอย่างเช่น เมื่อเป็นเรื่องของความจริงเกี่ยวกับการนบนอบ บางคนกล่าวว่า “พวกเราต้องนบนอบในเรื่องนี้  ผู้คนไม่มีอะไรให้คุยโวเลย และเป็นหน้าที่และภาระผูกพันของพวกเขาที่จะนบนอบ”  หลังจากได้ยินเช่นนี้ เจ้าก็คิดในใจว่า “นี่คือความจริงจำพวกใดกัน?  นบนอบในเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?  จากมุมมองของฉัน ในที่นี้ไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องนบนอบ!”  เจ้าไม่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในเรื่องนี้หรอกหรือ?  (ขาดพร่อง)  อันที่จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการที่ว่าประสบการณ์ของเจ้าลึกซึ้งหรือตื้นเขินเพียงใด นี่คือคำถามที่ว่าเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่อย่างถ่องแท้  เราจะยกตัวอย่างสักข้อ  เมื่อโยบถูกทดสอบ เขากล่าวว่าอย่างไร? (“พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21))  หลังจากผู้คนได้ยินเขาพูดเช่นนี้ พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงในสิ่งที่เขาพูดหรือไม่?  (ไม่สามารถ)  ดังนั้นผู้คนมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้  ทุกคนมีความสามารถในการได้รับประสบการณ์กับเรื่องทั้งสองเรื่องเกี่ยวกับการที่พระเจ้าประทานและทรงเอาไปเสียมิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าได้รับประสบการณ์กับเรื่องเหล่านั้นแล้ว แต่เจ้าไม่เข้าใจความจริงที่มีอยู่ในเรื่องเหล่านั้น ดังนั้นเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่มี)  เจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  คำพูดที่โยบกล่าวมีความจริงใดอยู่?  (ว่าพระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยและทรงปกครองเหนือทุกสิ่ง)  นั่นก็คือเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยเหนือทุกเรื่องและทุกสรรพสิ่ง และการตัดสินพระทัยที่จะประทานหรือทรงเอาไปเสียก็อยู่กับพระองค์  แล้วผู้คนควรปฏิบัติสิ่งใด?  (การนบนอบ)  ถูกต้อง  พวกเขาควรนบนอบ ยอมรับ และสรรเสริญอธิปไตยของพระเจ้า  เมื่อผู้คนเข้าใจคำพูดเหล่านี้และความจริงที่มีอยู่ในคำพูดเหล่านี้ เมื่อนั้นพวกเขาย่อมมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้  หากผู้คนไม่เข้าใจความจริงที่บรรจุอยู่ในคำพูดเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้  ณ เวลานี้ พวกเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับคำพูดของโยบหรือไม่?  (ไม่มี)  หากสิ่งที่เจ้าเข้าใจคือคำสอน เจ้าย่อมกล่าวว่า “โยบมีประสบการณ์ที่ดี  พระเจ้าตรัสว่าโยบเป็นคนชอบธรรม ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นไปตามความจริงและสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้”  เจ้าเข้าใจคำสอน  แล้วคำสอนนี้จะกลายเป็นความเป็นจริงความจริงของเจ้าเมื่อใด?  (เมื่อพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพการณ์ที่สิ่งทั้งหลายถูกเอาไปเสียจากข้าพระองค์จริงๆ และข้าพระองค์สามารถขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า นบนอบพระเจ้า และไม่พร่ำบ่น และปฏิบัติความจริงในแง่มุมนี้โดยทางนั้น)  เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงแง่มุมนี้ได้ แต่การปฏิบัติของเจ้าเป็นการทำตามข้อบังคับและการเลียนแบบผู้อื่น หรือเป็นความเข้าใจที่แท้จริงลึกลงไปในหัวใจของเจ้าเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้า?  ในที่นี้มีความแตกต่างอยู่ประการหนึ่งมิใช่หรือ?  การปฏิบัติแบบใดคือการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง?  ตอนนี้มีผู้คนมากมายที่หลังจากได้เห็นตัวอย่างที่โยบทำไว้ก็สามารถกล่าวเช่นเดียวกับโยบ แต่เวลาที่พวกเขาพูดสิ่งเหล่านี้ พวกเขาเพียงแค่เลียนแบบโยบ หรือว่าคำพูดของพวกเขา ดังเช่นของโยบ ถูกกล่าวออกมาเมื่อมีการตระหนักถึงความจริงและข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยเหนือมวลมนุษย์หลังจากได้รับประสบการณ์หลายทศวรรษ?  สิ่งใดในบรรดาสิ่งเหล่านี้คือความเป็นจริงความจริง?  (สิ่งที่มาจากประสบการณ์คือความเป็นจริง)  มีเพียงสิ่งทั้งหลายที่เจ้ารู้สึกและเข้าใจผ่านทางประสบการณ์เท่านั้นที่เป็นความเป็นจริงความจริง การเลียนแบบคำพูดของคนอื่นไม่ใช่ความเป็นจริง  วลีที่โยบกล่าวมีความเป็นจริงอยู่แง่มุมหนึ่ง แต่เมื่อคนที่เลียนแบบคำพูดของโยบกล่าววลีเดียวกันนี้ วลีนั้นก็กลายเป็นคำขวัญที่พวกเขาใช้เพื่ออำพรางตนและปลอมแปลงตนว่าเป็นผู้คนฝ่ายวิญญาณ  ผู้คนเหล่านี้เป็นคนหลอกลวงทางศาสนา  บางคนที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำในคริสตจักร รวมถึงมีความรับผิดชอบและสถานะมักจะสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงถึงคำพูดเหล่านั้นที่โยบได้กล่าวไว้ว่า  “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  ผู้คนที่รับฟังรู้สึกอย่างไร?  สิ่งที่พวกเขารู้สึกคือ “คำพูดเหล่านี้มาจากพระเจ้า  ถูกนำมาแสดงผ่านทางความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงนำของพระเจ้า  คำพูดเหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างที่สุด”  ถัดมาไม่ถึงหนึ่งปี ผู้นำเหล่านั้นก็ถูกปลดเพราะไม่ได้ทำงานจริง ทำให้การเข้าสู่ชีวิตของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรล่าช้า และถ่วงความก้าวหน้าในงานของคริสตจักร และพวกเขาก็กลายเป็นคิดลบและพร่ำบ่นหลังจากนั้น  ผู้คนเช่นนี้กล่าวคำพูดเดียวกันกับโยบ แต่ไม่ได้รับประสบการณ์เช่นเดียวกับที่โยบประสบ และไม่มีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง มีประสบการณ์ หรือได้ข้อสรุปในคำพูดเหล่านี้  เพราะฉะนั้นเวลาที่พวกเขากล่าว พวกเขากำลังเลียนแบบหรือกล่าวด้วยความจริงใจ?  (พวกเขากำลังเลียนแบบ)  เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่พวกเขาคิดลึกลงไปภายใน เวลาที่พวกเขากล่าว คำพูดของพวกเขารวมความรู้สึกส่วนตัว และมีความจริงใจ  พวกเขามีความปรารถนา ซึ่งก็คือว่าเมื่อพระเจ้าประทานสิ่งทั้งหลายให้กับพวกเขา พวกเขาสามารถสรรเสริญพระองค์และขอบคุณพระองค์อยู่เสมอสำหรับพระพรและของประทานที่พระองค์ประทานให้กับพวกเขา และเมื่อพระเจ้าทรงเอาสิ่งทั้งหลายไปเสียจากพวกเขา พวกเขาจะไม่พร่ำบ่นอย่างแน่นอนที่สุด แต่จะสามารถสรรเสริญพระเจ้าดังเช่นที่โยบทำ และขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงนำและอธิปไตยของพระองค์  อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่ความปรารถนา และพวกเขายังไม่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งนี้  เมื่อพวกเขาไม่เหลือตำแหน่งและสถานะ เป็นเพียงแค่ผู้เชื่อปกติธรรมดา พวกเขาทำในสิ่งที่พูดหรือไม่?  (ไม่)  เราพูดไม่ได้หรอกว่าพวกเขาไม่ทำในสิ่งที่พูดแม้แต่น้อย นั่นขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด  ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงใช้คำพูดเหล่านี้เพื่อประเมินวัดพฤติกรรมของตนเอง และใช้เป็นเครื่องนำทางสำหรับประสบการณ์ของตน และสามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองและค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติในคำพูดเหล่านี้ได้  พวกเขาไม่หงุดหงิดหรือคิดลบเกินไป และสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามปกติ  ในทางตรงกันข้าม ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่กลับท่องคำขวัญแทนย่อมเดือดร้อน พวกเขาสำแดงตนเองออกมาแตกต่างกัน  หนทางใดที่เห็นได้ชัดที่สุดที่พวกเจ้าได้เห็นคนประเภทนี้เผยตัวเองออกมา?  (หลังจากถูกปลด ผู้นำบางคนไม่พยายามที่จะรู้จักตนเอง และไม่นบนอบ  พวกเขาคิดว่าการปลดพวกเขาออกนั้นไม่เป็นธรรม และกลายเป็นคิดลบและพร่ำบ่น  ครั้งถัดไปที่มีการคัดสรรพวกเขาก็ดิ้นรนเพื่อให้ได้อำนาจกลับคืนมา กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์และถูกขับไล่ในท้ายที่สุด)  นี่เป็นกรณีที่รุนแรงที่สุด  มีการสำแดงอื่นใดอีก?  (หลังจากถูกปลดบางคนเพียงแค่ทำงานทั่วไป และไม่ปฏิบัติหน้าที่)  นี่เป็นคนประเภทใด?  เหตุใดพวกเขาจึงอวดตัวและท่องคำขวัญก่อนหน้านี้?  พวกเขาท่องสิ่งต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้ยิน และใช้คำขวัญ คำสอน และคำพูดที่พังเสนาะหูเหล่านี้เพื่อเสริมแต่งตัวเอง เอาชนะใจผู้คน และทำให้ผู้คนเคารพพวกเขา  นั่นคือเป้าหมายของพวกเขา  มีการสำแดงอื่นใดอีก?  (ก่อนที่พวกเขาจะถูกปลด ผู้นำและคนทำงานบางคนภายนอกนั้นดูเหมือนไล่ตามเสาะหาอย่างเอาจริงเอาจัง และกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย” แต่หลังจากพวกเขาถูกปลด พวกเขาก็คิดลบและไม่สามารถหยัดยืนใหม่ได้ และถึงขั้นโมโหและด่าทอผู้คน โดยคิดว่าสิ่งที่พวกเขาสละและให้ไปก่อนหน้านั้นล้วนแต่สูญเปล่า ราวกับว่าพระนิเวศของพระเจ้าติดค้างพวกเขา)  ผู้คนที่พูดสิ่งเหล่านี้และทำเรื่องแบบนี้มีปัญหารุนแรง  ก่อนอื่นคนเราต้องแยกแยะธรรมชาติของการที่พวกเขากล่าวสิ่งเหล่านี้  พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่เลียนแบบคำพูดของโยบ ปั้นแต่งมงกุฎอันสวยงามสำหรับศีรษะของตน และพยายามทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าพวกเขาเป็นคนฝ่ายวิญญาณเพื่อที่จะอวดตัวและชักพาผู้คนให้หลงผิด  นี่ไม่ใช่การสำแดงถึงการล้อเล่นกับความจริงและการหมิ่นประมาทพระเจ้าหรอกหรือ?  จงบอกเราที คนประเภทไหนที่เมื่อสูญเสียชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตนแล้ว ก็ตีโพยตีพายเป็นพิเศษ ไถลตัวลงสู่ความคิดลบ หยุดทำหน้าที่ของตน ทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วแย่ลงไปอีกด้วยการฟันธงว่าตัวเองสิ้นหวังแล้ว และถึงขั้นเลิกเชื่อ?  (คนที่ความเป็นมนุษย์เลวทราม และคนชั่ว)  ถูกต้อง  คนที่ความเป็นมนุษย์เลวทรามและคนชั่วย่อมไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน แต่หากคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะสำแดงตนออกมาในหนทางนี้ด้วยหรือไม่?  ย่อมสำแดงออกมาแน่นอน  นอกจากคนชั่วที่สำแดงตนออกมาในหนทางนี้แล้ว ยังมีสถานการณ์อีกอย่างซึ่งเชื่อมโยงกับสิ่งที่คนไล่ตามเสาะหาและเส้นทางที่พวกเขาเดินโดยตรง  ต่อให้โดยผิวเผินแล้วดูเหมือนว่าคนที่ไม่รักความจริงมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้างก็ตาม จะไม่มีผลลัพธ์ที่ดีจากการนั้น และพวกเขาก็ล้วนแต่มีแก่นแท้ที่ชั่ว และสามารถละเมิดความจริงและต้านทานพระเจ้าได้ และหากพวกเขามีสถานะ พวกเขาก็สามารถทำความชั่วได้  มีอีกปัญหาที่รุนแรงที่สุดซึ่งก็คือคนเช่นนี้มีใจจดจ่อที่จะไล่ตามไขว่คว้าสถานะเป็นพิเศษ  หากพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้มีสถานะ หรือไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้นำ นั่นก็ดูราวกับชีวิตของพวกเขากำลังถูกพรากไป  พวกเขาสามารถยอมรับการนั้นได้หรือไม่?  เมื่อพวกเขามีสถานะ ไม่สำคัญว่าพวกเขาทนทุกข์มากเพียงใดหรือพวกเขาสู้ทนการถูกปฏิบัติที่ไม่ดีด้วยมากเพียงใด พวกเขาก็เต็มใจ  อย่างไรก็ตาม คนเราไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเพียงเพราะว่าพวกเขาเต็มใจ หรือเพราะพวกเขาสู้ทนความทุกข์และยอมลำบาก  นั่นย่อมจะผิด  สิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าคือชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ สิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าคือประโยชน์แห่งสถานะ  การนี้คล้ายกับเปาโลในทางใด?  (เขาไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎ)  ถูกต้อง  เขาไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎ และเป็นมงกุฎแห่งความชอบธรรม  นี่คือสิ่งที่ผู้คนดังเช่นเปาโลไล่ตามไขว่คว้า—พวกเขาปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎดังเช่นการไล่ตามเสาะหาที่ถูกควร และดังเช่นการไล่ตามเสาะหาความจริง  หลังจากนี้ พวกเจ้าจะมีวิจารณญาณเกี่ยวกับคนจำพวกนี้บ้างหรือไม่?  (มี)  สมมติว่าคนคนหนึ่งโมโหและด่าทอผู้คนหลังจากถูกปลดและสูญเสียสถานะของตน และไม่ใส่ใจหรือพูดคุยกับเหล่าพี่น้องชายหญิงที่พวกเขาพบเจอ และเมื่อพวกเขาถูกขอให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเขาก็กล่าวว่า “ฉันจะไม่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ฉันจะไม่ทำงานรับใช้คุณ!  คุณคิดถึงฉันเมื่อคุณต้องการฉัน แต่ก็แค่เขี่ยฉันให้พ้นทางและปลดฉันเมื่อคุณไม่ต้องการฉัน ฉันไม่โง่เง่าขนาดนั้นหรอก!”  คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดประเภทใด?  คำพูดเหล่านี้ง่ายที่จะแยกแยะหรือไม่?  พวกเขาเป็นผู้เชื่ออย่างไรกัน?  พวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงจำพวกใดเลย และไม่ใช่คนดีจำพวกใดเลย  คนประเภทไหนตีโพยตีพายมากที่สุดหลังจากถูกปลด?  (คนที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ)  พวกเจ้าเพิ่งกล่าวว่าคนประเภทนี้มีความเป็นมนุษย์ที่เลวทราม หรือว่าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการเข้าสู่ชีวิต  นั่นเกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของปัญหานี้หรือไม่?  (ไม่เกี่ยวข้อง)  สิ่งที่เจ้าพูดดูเหมือนมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับแก่นแท้ของปัญหานี้  สิ่งนั้นไม่ใช่แก่นแท้ของปัญหานี้  พวกเจ้าเพิ่งกล่าวว่าเหตุผลที่ผู้คนบางคนพร่ำบ่นและพิจารณาตัวเองว่าไร้ประโยชน์หลังจากถูกปลดเป็นเพราะพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่เลวทราม  เหตุใดเราจึงพูดว่านี่คือคำสอน?  เป็นเพราะผู้คนบางคนมีความเป็นมนุษย์ที่ดีพอควร และยอมมอบตัวเองและสละตนเองอย่างจริงใจ เพียงแค่ว่าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะอยู่เสมอ  ผลก็คือ เมื่อพวกเขาถูกปลดในท้ายที่สุดพวกเขาก็ตีโพยตีพายใหญ่โต  นี่แสดงให้เห็นว่าหนทางที่พวกเขาสำแดงตนออกมาไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ที่เลวทราม แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยของพวกเขา—อุปนิสัยของพวกเขาถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างรุนแรงเหลือเกิน!  ผู้คนบางคนสรุปการนี้ในหนึ่งวลี และพูดว่า “คนคนนี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นั่นล่ะคือเหตุผล”  คำกล่าวนี้กว้างเกินไป  มีหลายหนทางที่การไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถสำแดงตัวเองออกมาได้ กล่าวคือ การพร่ำบ่น การไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี ฯลฯ ล้วนแต่เป็นตัวอย่าง  คนเราไม่สามารถอธิบายทุกปัญหาได้ด้วยวลีวลีเดียวที่ว่า “พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง”  คำกล่าวนี้กว้างเกินไปและไม่เป็นรูปธรรม  คำกล่าวนี้เป็นการอธิบายโดยอิงตามคำสอน

ตอนนี้เราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีที่การขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตัวเองออกมา  พวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมีท่าทีใดต่อความจริง?  พวกเขาจัดการสภาวะของตนเอง การสำแดงต่างๆ และความเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมาอย่างไร?  พวกเขาสามารถมีการสำแดงของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  อะไรคือปัญหาใหญ่ที่สุดในที่นี้?  (พวกเขาไม่เข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังเปิดโปงสภาวะหรือการสำแดงแบบใดของมนุษย์ และไม่สามารถใช้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เพื่อยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเอง)  โดยหลักแล้วเป็นพวกเขาไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้  หากพวกเขาไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้ จะพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาเข้าใจความจริง?  (ไม่ได้)  เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งหนึ่ง แต่พวกเขาพูดถึงบางสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งนั้นอย่างสิ้นเชิงอยู่เสมอ พวกเขาไม่ลงรอยกับเจ้าและถกเถียงกับเจ้าอยู่เสมอ  ไม่มีจุดสนใจร่วมกันในประเด็นปัญหาที่เจ้าและพวกเขากำลังถกเถียงกันอยู่ และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่พวกเขายังคงคิดว่าพวกเขาค่อนข้างมีเหตุผลอันชอบธรรม  พวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมาอย่างนี้นี่เอง  คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไม่สามารถเข้าใจความจริงได้  พวกเขาสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  นี่ย่อมเป็นปัญหา หากพวกเขาไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ พวกเขาจะสามารถมีการเข้าสู่ชีวิตได้หรือ?  (ไม่สามารถ)  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่อาจสามารถมีการเข้าสู่ชีวิตได้ นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด  หากคนคนหนึ่งได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นมาเวลาหลายปีแต่ไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วพวกเขาใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  พวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน  บางคนกล่าวว่า “ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอ  แม้ว่าบางคนไม่เข้าใจความจริง แต่พวกเขาก็กระตือรือร้นมากและละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสละตนเองเพื่อพระเจ้า  พวกเขาจะไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างไร?”  ทรรศนะนี้ถูกต้องหรือไม่?  เมื่อประเมินวัดว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ คนเราไม่สามารถเพียงแค่ดูที่ว่าพวกเขาละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสละตนเองเพื่อพระเจ้าได้หรือไม่  สิ่งสำคัญที่คนเราต้องดูก็คือว่าหัวใจของพวกเขาให้ความสำคัญกับสิ่งใด  หากสิ่งที่หัวใจของพวกเขาให้ความสำคัญคือการปฏิบัติความจริง การเข้าสู่ความจริง และการได้รับความจริง และพวกเขามีประสิทธิผลในการเข้าสู่ชีวิต เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  หากพวกเขาละทิ้งและสละตนเองเพื่อที่จะได้มาซึ่งมงกุฎและบำเหน็จ และพวกเขาได้ละทิ้งและสละตนเองมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทนทุกข์มามากแล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และยังไม่สามารถเข้าใจพระเจ้า เช่นนั้นแล้วการละทิ้งและการสละของพวกเขาจริงๆ แล้วใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  เป็นที่ปรากฏชัดว่าพวกเขาไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เพราะการละทิ้งและการสละของพวกเขายังไม่ได้ส่งผลให้พวกเขาเข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาละทิ้งและสละจึงไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนเยี่ยงนี้เป็นเหมือนเปาโลไม่มีผิด  เปาโลใช้เวลาครึ่งหนึ่งของชีวิตของตนในการประกาศและทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เขาก็ไม่ได้รับความจริง อีกทั้งเขาก็ไม่ได้รับองค์พระผู้เป็นเจ้า  แล้วเจ้ากล่าวได้หรือไม่ว่าเปาโลเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  เมื่อเป็นเรื่องที่ว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดที่คนเราดูที่ว่า เป้าหมายที่พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าอยู่รวมทั้งเจตนาของพวกเขา ให้ความสำคัญกับการได้รับความจริงหรือไม่  หากพวกเขาให้ความสำคัญกับการทุ่มเทความพยายามให้กับความจริงอย่างแท้จริง และมีประสิทธิภาพกับสิ่งทั้งหลายอย่างการปฏิบัติความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริง เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงมีความสามารถที่จะปฏิบัติความจริง และมีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่เป็นผู้ที่มีการเข้าสู่ชีวิต  หากใครบางคนพูดว่าพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะพูดว่าคนคนนี้มีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  พวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิตอย่างแน่นอน  ใครบางคนที่ไม่ปฏิบัติความจริงจะสามารถมีการเข้าสู่ชีวิตได้อย่างไร?  แน่นอนที่สุดว่านี่ย่อมเป็นไปไม่ได้  หากพวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีการเข้าสู่ชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรถามพวกเขาว่า “อะไรคือสิ่งพิสูจน์การเข้าสู่ชีวิตของคุณ?”  แค่เชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาพูดคือความจริงยังไม่เพียงพอ  หากไม่มีข้อพิสูจน์ สิ่งที่พวกเขาพูดย่อมไม่เป็นจริง  หากเจ้าพูดว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าเข้าใจความจริงมากแค่ไหน?  เจ้าได้นำความจริงไปปฏิบัติมากแค่ไหนแล้ว?  เจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแง่มุมใดแล้วบ้าง?  เจ้าพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่สามารถพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมกำลังใช้กลอุบายกับผู้คนและชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วยการกล่าวว่าเจ้าเป็นคนคนหนึ่งที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เหตุใดเราจึงพูดว่าเปาโลไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  เป็นเพราะจดหมายที่เปาโลเขียนไม่ได้บรรจุคำพยานใดๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตแม้แต่น้อย เขาไม่สามารถพูดถึงความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะพูดถึงการนบนอบหรือความรักที่มีให้กับองค์พระเยซูเจ้า  เขาไม่มีแม้แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองเสียด้วยซ้ำ  เขาก็แค่พูดว่าเขาเป็นคนบาปที่แย่ที่สุด  เขาพูดเช่นนี้โดยอิงตามข้อเท็จจริงที่ว่าเขาถูกลงโทษด้วยเหตุที่ต้านทานองค์พระเยซูเจ้า  ด้วยการพูดว่าเขาเป็นคนบาปที่แย่ที่สุด เขาก็แค่กำลังยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้ทำบาปด้วยการต้านทานองค์พระเยซูเจ้าอย่างบ้าคลั่ง  นี่หมายความว่าเขาเข้าใจอุปนิสัยและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตัวเองอย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงพูดว่า เมื่อเป็นเรื่องที่ว่าสิ่งใดประกอบกันขึ้นเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง และคนประเภทใดมีการเข้าสู่ชีวิต ก็ควรพิจารณาเรื่องดังกล่าวโดยอิงตามเรื่องที่ว่าพวกเขาเข้าใจความจริงและปฏิบัติความจริงหรือไม่ แทนที่จะเพียงแค่พิจารณาโดยอิงตามสิ่งที่พวกเขาพูดเองเออเอง  ทีนี้เจ้าเข้าใจสิ่งที่เราพูดอยู่หรือไม่?  เหตุใดพวกเราจึงสามัคคีธรรมกันโดยละเอียดเช่นนี้?  จำเป็นหรือไม่?  (จำเป็น)  เหตุใดจึงจำเป็น?  เรากำลังสามัคคีธรรมในหนทางนี้เพื่อที่จะชำแหละทรรศนะที่ลวงหลอกของพวกเจ้า แก้ไขสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าคิดโดยสำคัญผิดว่าถูกต้อง ช่วยพวกเจ้าหาทางออก ปล่อยมือจากสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าคิดโดยสำคัญผิดว่าถูกต้อง แล้วจึงเข้าสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงที่แท้จริง  เมื่อนั้นผู้คนย่อมจะมีการเข้าสู่ชีวิตอย่างแท้จริง และสามารถสัมฤทธิ์การไล่ตามเสาะหาความจริงที่แท้จริงได้  ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไม่เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตหรือการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงหลายแง่มุมของตัวเองแล้ว และได้สัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตแล้ว  ตัวอย่างเช่น พวกเขาได้เปลี่ยนนิสัยที่แย่บางอย่างแล้ว กล่าวคือ พวกเขาไม่กินมากเกินไป ไม่นอนมากเกินไป ไม่เกียจคร้าน และอุตสาหะมากกว่าแต่ก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่านี่หมายความว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิต  มีผู้คนอื่นๆ ที่คิดถึงว่าพวกเขาเคยด่าว่าผู้คนอยู่เสมออย่างไร แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาสามารถพูดสิ่งที่ดีและสิ่งที่สร้างสรรค์กับผู้คนได้ และบางครั้งก็สามารถช่วยเหลือผู้คนได้  เพราะพวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเขาจึงคิดว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงอยู่แล้วและได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงแล้ว  ผู้คนบางคนคิดว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตเพราะพวกเขาสามารถปล่อยผ่านการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ สถานะ และความสำราญทางกายได้  นี่เป็นปัญหาทั่วไปสำหรับทุกคน  พวกเขาได้ปฏิบัติสิ่งที่พวกเขาเข้าใจ สิ่งที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องและดีตามมโนคติอันหลงผิดของตนเรื่อยมา และพวกเขาก็ได้จัดการกับนิสัยที่แย่และลักษณะนิสัยที่เป็นปัญหาของเนื้อหนังมากมายแล้ว หรือได้เปลี่ยนหลักเกณฑ์ของลีลาชีวิตของตนเพราะการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว  ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ได้ละทิ้งประโยชน์ทางเนื้อหนังมากมาย ละทิ้งครอบครัวและงานของตน และทิ้งการสมรสของตนและโลกปุถุชนแล้ว  พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงแล้วและได้รับการช่วยให้รอดแล้ว และกล่าวว่า “หากฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ฉันจะปล่อยมือจากทั้งหมดนี้ได้หรือ?  ฉันจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนั้นได้หรือ?”  นี่ไม่ใช่ความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ที่สุดที่ผู้เชื่อมีหรอกหรือ?  (ใช่ เป็นดังนั้น)  ไม่ว่าผู้คนมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่ พวกเขาก็ล้วนแต่มีความเข้าใจผิดนี้  เหตุใดเราจึงพูดว่านี่คือความเข้าใจผิด?  เหตุใดเราจึงพูดในที่นี้มีปัญหาที่ร้ายแรง?  โดยหลักแล้วเป็นเพราะผู้คนเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าพระเจ้าทรงเรียกร้องสิ่งใดต่อผู้คนกันแน่  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับคิดตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ โดยเชื่อว่าการที่สามารถปล่อยมือจากครอบครัว งาน ความรู้สึกของตน โลกปุถุชน สิ่งพัวพันยุ่งเหยิงแห่งเนื้อหนัง และแม้กระทั่งทรัพย์สินของตน หมายความว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิต  นี่คือความเข้าใจผิด  อันที่จริงแล้วเจตนารมณ์ของพระเจ้าก็คือ เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน แก้ไขปัญหาของตนเกี่ยวกับการต้านทานพระเจ้า และแก้ไขรากเหง้าแห่งบาปที่พวกเขากระทำ  ในการทำเช่นนี้ ผู้คนต้องเข้าใจความจริงและเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าก่อนที่พวกเขาจะสามารถสลัดทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าที่แท้จริงได้  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากผู้คน และยังเป็นพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในการช่วยผู้คนให้รอดด้วย  ผู้คนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าเลย พวกเขามองไม่เห็นเป้าหมายและผลลัพธ์ที่พระองค์ต้องประสงค์จะสำเร็จลุล่วงผ่านพระราชกิจนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงแทนที่ความจริงด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ และพิจารณาการไล่ตามเสาะหาของผู้คนและสิ่งที่พวกเขาสามารถสำเร็จลุล่วงได้ว่าเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากผู้คน  นี่คือความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีเมื่อเชื่อในพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาสามารถสำเร็จลุล่วงได้แสดงให้เห็นความกระตือรือร้นของพวกเขาเท่านั้น และเมื่อพวกเขาละทิ้งสิ่งทั้งหลาย อันที่จริงแล้วพวกเขากำลังหาทางที่จะทำธุรกรรมกับพระเจ้า—นั่นกระทำไปเพื่อแลกกับบำเหน็จและมงกุฎ  พวกเขาคิดว่าธุรกรรมเช่นนี้ควรค่าจริงๆ และพวกเขาก็กำลังทำข้อตกลงอยู่  นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง  การละทิ้งสิ่งทั้งหลายไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริง อีกทั้งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้า  ขณะที่พวกเขาละทิ้งและสละ พวกเขาเข้าใจความจริงจริงๆ หรือไม่?  (ไม่ พวกเขาไม่เข้าใจ)  หากพวกเขาไม่เข้าใจความจริง การละทิ้งและการสละของพวกเขาแปดเปื้อนหรือไม่?  แน่นอนอย่างที่สุด  เช่นนั้นแล้วด้วยการสละและทนทุกข์เช่นนี้พวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาสิ่งใดกันแน่?  ผู้คนเช่นนี้ไม่เคยใส่ใจเกี่ยวกับว่าความจริงคืออะไร หรือข้อเรียกร้องของพระเจ้าคืออะไร พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา  ในหัวใจของพวกเขา อะไรก็ตามที่พวกเขาคิดย่อมถูกต้อง อะไรก็ตามที่พวกเขาคิดย่อมดี และอะไรก็ตามที่พวกเขาคิดคือการเข้าสู่ชีวิต นั่นคือสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติ และหลังจากปฏิบัติสิ่งนั้น พวกเขาก็คิดว่าพระเจ้าทรงรำลึกถึงสิ่งนั้นแล้ว  พวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ดังเช่นเบี้ยที่ใช้แลกเปลี่ยนและต้นทุน  เหล่านี้ใช่การสำแดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่คือความเข้าใจผิดที่สร้างขึ้นโดยผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่เป็นหนึ่งในหนทางที่ผู้คนที่เข้าใจการเข้าสู่ชีวิตผิดตีความสิ่งทั้งหลาย  แล้วคนเราประเมินวัดและพิสูจน์อย่างไรว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การสำแดงถึงการที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงรวมทั้งพวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิต?  ข้อเท็จจริงใดสามารถใช้เพื่อยืนยันได้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาพูดนั้นไม่ถูกต้อง?  (พวกเขากระทำการโดยปราศจากหลักธรรมความจริง)  นี่เป็นส่วนหนึ่งของการนั้น  พวกเขากระทำการโดยอิงตามสิ่งที่พวกเขาจินตนาการ  จากภายนอกนั้นพวกเขาดูเหมือนผู้เชื่อที่แท้จริง พวกเขาสามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตนเองได้ แต่พวกเขาไม่มีหลักธรรมในการกระทำของตน  เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีหลักธรรม?  เพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  มุมมองที่พวกเขาใช้มองสิ่งทั้งหลายยังคงเป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันแบบเดียวกับที่พวกเขาเริ่มต้น  มีปัญหาใหญ่ที่สุดหนึ่งประการที่ผู้คนเช่นนี้มี กล่าวคือ พวกเขานบนอบต่อสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงหรือไม่?  พวกเขาเข้าใจหรือไม่ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อมเหล่านี้?  (ไม่)  นี่มากพอหรือไม่ที่จะพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิตที่แท้จริง?  (มากพอ)  พวกเขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงมากมายในนิสัยที่แย่และลักษณะเฉพาะที่เป็นปัญหาของตนแล้ว และได้ทำการพลีอุทิศมากมายแล้ว  ในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกเขาถูกทดสอบ ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังคงสามารถพร่ำบ่นและไม่สามารถนบนอบอีกด้วย  นี่คือปัญหาใด?  นั่นก็คือเรื่องที่ว่าพวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิต  ผู้คนที่ไม่มีการเข้าสู่ชีวิตไม่มีความเป็นจริงความจริง นั่นไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  (ถูกต้อง)  เมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้น พวกเขาพึ่งพามโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความเลือกชอบตามธรรมชาติของตนเองโดยสมบูรณ์  เมื่อเจ้าเกิดจริงจังกับพวกเขาขึ้นมาอย่างแท้จริงและขอให้พวกเขานบนอบ พวกเขาไม่นบนอบแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแค่พึ่งพาเหตุผล ข้อแก้ตัว และความคิดฝันของมนุษย์ และมองหาหนทางทุกรูปแบบเพื่อปกป้องตัวเอง และสำเร็จลุล่วงเป้าหมายของตนในการไม่นบนอบพระเจ้ารวมทั้งการไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า  มีแม้กระทั่งบางคนที่สุดโต่งมากเสียจนพวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถนบนอบได้เท่านั้น แต่ยังคงพยายามและคิดหาหนทางทุกอย่างที่จะพิสูจน์ว่ามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเองนั้นถูกต้อง วิธีการและเส้นทางที่พวกเขาคิดนั้นถูกต้อง และการกระทำและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องถูกต้องอีกด้วย  นี่เผยให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำและทั้งหมดที่พวกเขายอมมอบตัวเองหรือเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับตัวเองไม่ใช่การเข้าสู่ชีวิต สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่นิสัยชั่วซึ่งไม่มีอยู่อีกต่อไป  นิสัยส่วนตัว หลักเกณฑ์ และหนทางของชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย และแม้กระทั่งกระแสอารมณ์บางส่วนของผู้คนก็อาจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเขาพูดอย่างสุภาพมากขึ้นและมีวัฒนธรรมมากขึ้น และพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาก็อาจเป็นมาตรฐานมากขึ้น แต่เมื่อพวกเขาทำสิ่งทั้งหลายพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย และไม่เคยทำสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง ทั้งหมดเป็นความคิดฝันและความพึงปรารถนาส่วนตัวของตัวพวกเขาเอง  พวกเขาไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขารู้เพียงแค่วิธีพูดถึงทฤษฎีฝ่ายวิญญาณเล็กน้อยเท่านั้น และติดอยู่ในมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความรู้สึกของมนุษย์  พวกเจ้าคิดอย่างไร ผู้คนเหล่านี้น่าเวทนาหรือไม่?  (น่าเวทนา)  แล้วผู้คนเยี่ยงนี้มีมากหรือไม่?  (มีมาก)  พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีมาก?  (เพราะข้าพระองค์เป็นหนึ่งในนั้น)  นี่กระทบใจเจ้าใช่ไหม?  เช่นนั้นแล้วจงพูดถึงประสบการณ์ของพวกเจ้าในเรื่องนี้  (ข้าพระองค์จะแบ่งปันประสบการณ์เรื่องหนึ่ง  พี่น้องชายคนหนึ่งได้ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของข้าพระองค์ต่อหน้าเหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ มากมาย และในเวลานั้นข้าพระองค์ก็รู้สึกถูกทำให้อัปยศอดสู  เพื่อที่จะได้รับความภาคภูมิใจของข้าพระองค์คืนมา ข้าพระองค์จึงพยายามที่จะปกป้องและแก้ต่างให้ตัวเอง  ข้าพระองค์ไม่ได้ยอมรับความคิดเห็นของพี่น้องชายคนนั้น)  เจ้าถูกความภาคภูมิใจของเจ้าจำกัดควบคุม  เหตุใดผู้คนจึงถูกความภาคภูมิใจจำกัดควบคุมอยู่เสมอ?  เพราะผู้คนที่มีศักดิ์ศรีล้วนแต่อ่อนไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ ใช่ไหม?  (ไม่ใช่)  อันที่จริงแล้วผู้คนทำเช่นนี้เพราะพวกเขาต้องการรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบในสายตาของผู้คน  พวกเขาใส่ใจสถานะของตน และต้องการนำเสนอตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบเป็นพิเศษ โดยปราศจากข้อตำหนิ  พวกเขาต้องการทิ้งภาพประทับใจที่สมบูรณ์แบบไว้ในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน และไม่ยอมให้ผู้คนมองเห็นความจริงเกี่ยวกับว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นอย่างไร  นี่คือผลสืบเนื่องของอุปนิสัยอันโอหัง  ตอนนี้ปัญหานี้แก้ไขแล้วหรือยัง?  (ยังไม่ได้แก้ไข  ข้าพระองค์ยังคงเผยให้เห็นปัญหานี้บ่อยครั้ง)  หากคนคนหนึ่งสามารถทบทวนตัวเองและรับรู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้ เช่นนั้นแล้วย่อมจะเป็นเรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนแปลง  หากพวกเขาไม่ทบทวนตัวเอง ไม่สามารถตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้ และด้านชาต่อปัญหาของตนและไม่มีการตระหนักรู้ เช่นนั้นแล้วย่อมจะเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลง  หากพวกเขามีการตระหนักรู้อยู่แล้ว และรู้สึกว่าอุปนิสัยอันโอหังของตนนั้นร้ายแรง การไล่ตามเสาะหาของตนนั้นออกนอกทาง และพวกเขายังคงอยู่ห่างจากการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่เมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาก็คิดลบเป็นเวลาสองสามวัน และมองหาหนทางที่จะได้รับความภาคภูมิใจคืนมาในทุกสถานการณ์อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วคนเช่นนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?  เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลง  แล้วพวกเขาควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?  แค่ยอมรับความจริงและทบทวนตัวเองพวกเขาก็ยังคงมีความหวังที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้  หากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหานี้  กุญแจสำคัญก็คือผู้คนต้องมีความตั้งใจแน่วแน่และความปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อพวกเขามีหัวใจที่กระหายความจริงอย่างยิ่ง พวกเขาย่อมจะสามารถรักความจริงและยอมรับความจริงได้ และพวกเขาย่อมจะมีเรี่ยวแรงที่จะปฏิบัติความจริงและขัดขืนเนื้อหนัง  ด้วยการยอมรับความจริงเท่านั้นผู้คนจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้อย่างถ้วนทั่ว และทันทีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้รับการแก้ไขแล้ว พวกเขาย่อมจะสามารถปฏิบัติความจริงได้ แล้วพวกเขาจึงจะมีการเข้าสู่ชีวิต

บรรดาผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและผู้ที่ตีความความจริงและการเข้าสู่ชีวิตแบบผิดๆ อยู่เสมอ คิดว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องง่าย ว่าทั้งหมดที่เป็นคือการเปลี่ยนนิสัยที่แย่หรือลักษณะนิสัยที่เป็นปัญหาสองสามอย่างหรือการละทิ้งสิ่งทั้งหลายภายในผลประโยชน์ของตนเองแล้วแต่โอกาส ว่าตราบที่พวกเขาไม่ทำชั่ว และบากบั่นในความเชื่อของตนจนถึงที่สุด พวกเขาย่อมได้รับชีวิตแล้ว และสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เป็นบำเหน็จและพระพรของพระเจ้าได้  ผู้คนที่ใช้ทรรศนะเช่นนี้เป็นพื้นฐานในการเชื่อของตนในพระเจ้าใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถมีการเข้าสู่ชีวิตได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  มีผู้คนมากมายที่ไม่เข้าใจอย่างชัดเจนแม้แต่น้อยว่าการเข้าสู่ชีวิตเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งใด  พวกเขาคิดว่าคนเรามีการเข้าสู่ชีวิตแค่ด้วยการทุ่มเทความพยายามบ้าง ทำหน้าที่บางอย่าง เปลี่ยนแปลงนิสัยที่แย่และลักษณะนิสัยที่เป็นปัญหาบางอย่าง ทำตามที่ตนได้รับการบอกกล่าว และนบนอบเล็กน้อย  พวกเขามองการเข้าสู่ชีวิตในแบบที่เรียบง่ายเกินไป  ด้วยการเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนหรือไม่?  (ไม่ พวกเขาเพียงแค่กำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ภายนอก แก่นแท้ของพวกเขายังไม่ได้เปลี่ยนแปลง)  พวกเจ้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วเล็กน้อยในตอนนี้ แต่มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมภายนอกของพวกเจ้าหรือไม่ หรือว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าพบทางออกจากทรรศนะที่ผิดของตนเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิต และเริ่มที่จะได้รับการเข้าสู่ชีวิตหรือยัง?  พวกเจ้าสามารถประเมินวัดได้หรือไม่ว่าส่วนไหนของตัวเองได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วและส่วนไหนยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง?  หากเจ้าได้รับหน้าที่ให้ปฏิบัติและแต่เดิมนั้นไร้ความสามารถที่จะนบนอบ เจ้าสามารถนบนอบได้ในระดับใดในตอนนี้?  ตัวอย่างเช่น เจ้าเป็นพี่น้องชายคนหนึ่ง และหากเจ้าถูกขอให้ทำอาหารและล้างจานชามให้กับเหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ทุกวัน เจ้าจะนบนอบหรือไม่?  (ข้าพระองค์คิดอย่างนั้น)  บางทีเจ้าอาจทำได้ในระยะสั้น แต่หากเจ้าถูกขอให้ทำหน้าที่นี้ในระยะยาว เจ้าจะนบนอบหรือไม่?  (ข้าพระองค์อาจนบนอบตามแต่โอกาส แต่เมื่อเวลาผ่านไปข้าพระองค์อาจจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้)  นี่หมายความว่าเจ้ายังไม่ได้นบนอบ  สิ่งใดทำให้ผู้คนไม่นบนอบ?  (เป็นเพราะผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมในหัวใจของตน  พวกเขาคิดว่าผู้ชายควรทำงานนอกบ้านและผู้หญิงควรดูแลงานในบ้าน คิดว่าการหุงหาอาหารคืองานของผู้หญิงและผู้ชายจะเสียหน้าหากต้องหุงหาอาหาร  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการนบนอบไม่ใช่เรื่องง่าย)  ถูกต้อง  มีการเลือกปฏิบัติทางเพศเมื่อเป็นเรื่องของการแบ่งงานกันทำ  ผู้ชายคิดว่า “พวกเราผู้ชายควรออกไปหาเลี้ยงชีพนอกบ้าน  ส่วนสิ่งทั้งหลายอย่างการหุงหาอาหารและการล้างจานชามควรให้ผู้หญิงทำ  พวกเราไม่ควรถูกบังคับให้ทำงานอย่างนั้น”  แต่ในตอนนี้เหล่านี้คือสภาพการณ์พิเศษ และเจ้าก็กำลังถูกขอให้ทำเช่นนั้น แล้วเจ้าทำอย่างไร?  เจ้าต้องยุติความยึดติดใดก่อนที่เจ้าจะสามารถนบนอบได้?  นี่คือประเด็นสำคัญของปัญหานี้  เจ้าต้องยุติการเลือกปฏิบัติทางเพศของตน  ไม่มีงานใดที่ต้องทำโดยผู้ชาย และไม่มีงานใดที่ต้องทำโดยผู้หญิง  จงอย่าแบ่งงานในลักษณะนี้  หน้าที่ที่ผู้คนปฏิบัติไม่ควรกำหนดพิจารณาตามเพศของพวกเขา  เจ้าสามารถแบ่งงานในลักษณะนี้ในบ้านและชีวิตประจำวันของตัวเอง แต่ตอนนี้เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของเจ้า แล้วเจ้าควรตีความเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าควรรับหน้าที่นี้จากพระเจ้าและยอมรับหน้าที่นี้ และเปลี่ยนทรรศนะที่ไม่ถูกต้องที่เจ้ามีอยู่ภายใน  เจ้าควรพูดว่า “ก็จริงที่ฉันเป็นผู้ชาย แต่ฉันเป็นสมาชิกของคริสตจักรและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในสายพระเนตรของพระเจ้า  ฉันจะทำอะไรก็ตามที่คริสตจักรมอบหมายให้ฉันทำ สิ่งทั้งหลายไม่ได้แบ่งตามเพศ”  อันดับแรกเลยก็คือ เจ้าควรปล่อยมือจากทรรศนะที่ไม่ถูกต้องของตน จากนั้นก็ยอมรับหน้าที่ของเจ้า  การยอมรับหน้าที่ของเจ้าใช่การนบนอบที่แท้จริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ในวันต่อๆ มา หากใครบางคนพูดว่าอาหารของเจ้าเค็มเกินไป หรือมีรสชาติไม่ดีพอ หรือพูดว่าเจ้าได้ทำบางสิ่งไม่ดีและพวกเขาไม่ต้องการกินสิ่งนั้น หรือบอกให้เจ้าทำอะไรใหม่ เจ้าจะสามารถยอมรับเรื่องนั้นได้หรือไม่?  ที่จุดนั้น เจ้าจะรู้สึกไม่ชูใจ และเจ้าคิดว่า “ฉันเป็นคนที่เคารพตัวเอง และฉันก็ยอมทำอาหารให้เหล่าพี่น้องชายหญิงทั้งหมดนี้แล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงชี้ให้เห็นถึงปัญหาทั้งหมดนี้อยู่ดี  ฉันไม่เหลือความภาคภูมิใจเลยแม้แต่น้อย”  ที่จุดนี้ เจ้าไม่ต้องการนบนอบใช่ไหม?  (ใช่)  นี่เป็นความลำบากยากเย็น  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าไม่สามารถนบนอบได้ นั่นเกิดขึ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เผยตัวเองออกมาและก่อให้เกิดปัญหา และทำให้เจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้  ที่จุดนี้ หัวใจของเจ้าจะเกิดความขัดแย้ง—ความคิดของเจ้ากำลังควบคุมตัวเจ้าและทำให้เจ้าคิดว่าเจ้าได้เสียหน้าไปแล้ว และเจ้าก็หงุดหงิดอยู่ภายใน  เจ้าควรทำอย่างไรที่จุดนี้?  (แสวงหาความจริง)  เจ้าแสวงหาความจริงอย่างไร?  เจ้าต้องอธิษฐานว่า “พระเจ้า ไม่สำคัญว่าผู้คนอื่นๆ ขออะไรจากข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นดังเช่นหน้าที่ของข้าพระองค์  ไม่สำคัญว่าภายนอกนั้นข้าพระองค์กำลังรับใช้หรือทำสิ่งทั้งหลายให้ใคร ข้าพระองค์จะยอมรับทั้งหมดนั้นจากพระเจ้า  นี่คือหน้าที่ของข้าพระองค์และข้าพระองค์ควรนบนอบ ความภาคภูมิใจไม่จำเป็นสำหรับข้าพระองค์  ในพระนิเวศของพระเจ้า หน้าที่ไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็นระดับสูงและระดับต่ำ สถานะสูงและสถานะต่ำ หน้าที่สำหรับผู้ชาย หน้าที่สำหรับผู้หญิง หน้าที่สำหรับผู้สูงวัย และหน้าที่สำหรับผู้เยาว์  มีเพียงแค่หน้าที่ที่ทำให้ดีและหน้าที่ที่ไม่ได้ทำให้ดี หน้าที่ที่ทำด้วยความจงรักภักดี และหน้าที่ที่ไม่ได้ทำด้วยความจงรักภักดี”  หลังจากเจ้าปล่อยมือจากความภาคภูมิใจ สถานะ ตำแหน่ง และศักดิ์ศรีของตนแล้ว เจ้าได้ปล่อยมือจากตัวเองอย่างสมบูรณ์แล้วหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าจะยังคงมีการตอบสนอง  บางครั้งผู้คนจะไม่เคารพเจ้า คิดว่าเจ้าโฉดเขลา และปฏิบัติต่อเจ้าดังเช่นผู้ที่ด้อยกว่า โดยพูดว่า “ผู้ชายที่มีความสุขขนาดนั้นขณะทำอาหารไม่น่าจะเทียบกับอะไรได้เลย!  ฉันจะไม่มีวันทำเช่นนั้น”  พวกเขาจะนำทางเจ้าไปในทิศทางที่ผิด ปลูกฝังแนวคิดที่ไม่ถูกต้องและมโนคติอันหลงผิดในตัวเจ้า และมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติของเจ้า  พวกเขามองสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกเช่นการที่เจ้าให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ชีวิต การเป็นบุคคลปกติธรรมดา และการจงรักภักดีต่อหน้าที่ของตนดังเช่นความอัปยศอดสูรูปแบบหนึ่ง และเพระฉะนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติต่อเจ้าดังผู้ที่ด้อยกว่าและตัดสินเจ้า  หากเจ้ารับไม่ได้ เจ้าย่อมจะตกอยู่ในความคิดลบในทันทีและคิดว่าหน้าที่นี้ทำให้เจ้าเสียหน้าต่อหน้าผู้อื่นอยู่เสมอ และทำให้ผู้คนปฏิบัติต่อเจ้าดังเช่นผู้ที่ด้อยกว่าและชี้นิ้วออกคำสั่งกับเจ้า  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่นบนอบอีกใช่ไหม?  เมื่อไม่มีใครปฏิบัติต่อเจ้าดังเช่นผู้ที่ด้อยกว่าหรือตัดสินเจ้า เจ้าก็คิดว่าเจ้าสามารถนบนอบได้แล้ว มีการเข้าสู่ชีวิตแล้ว มีความเป็นจริงความจริงบางส่วน และมีวุฒิภาวะบ้าง  การคิดในหนทางนี้ถูกต้องหรือไม่?  เช่นนั้นแล้วเมื่อใครบางคนตัดสินเจ้าและวุฒิภาวะของเจ้าถูกท้าทาย เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นคิดลบและคิดว่า “ฉันจำเป็นต้องทำอาหารต่อไปอีกนานแค่ไหนก่อนที่เรื่องนี้จะจบลง?  คนคนนี้ดูแคลนฉันอยู่เสมอ  การที่พวกเขาดูแคลนฉันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง และฉันก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้!”?  เรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว  ในเมื่อเจ้าไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ ในเวลาเดียวกันเจ้าก็พร่ำบ่นและพูดด้วยหรือไม่ว่า “ผู้นำมอบหมายหน้าที่แบบนี้ให้ฉันได้อย่างไรกัน?  เหตุใดพวกเขาจึงเลือกฉันโดยเฉพาะ แทนที่จะเลือกคนอื่น?  ฉันดูกลั่นแกล้งง่ายอย่างนั้นหรือ?  ผู้คนกลั่นแกล้งฉัน ผู้นำไม่ได้มองฉันด้วยความโปรดปราน และพระเจ้าก็ไม่ทรงคุ้มครองฉัน”?  อุปนิสัยอันเป็นกบฏของเจ้าปรากฏขึ้นมาอีก  ในที่นี้ปัญหาคืออะไร?  อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่าวุฒิภาวะของเจ้าต่ำเกินไป?  เจ้าไม่สามารถแม้แต่จะทานทนการปรามาสอันเล็กน้อยนี้ได้ และนั่นทำให้เจ้ากลายเป็นคิดลบและพร่ำบ่น  นี่ใช่การมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  เจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริงใดเลย  มีวิธีการที่เรียบง่ายมากวิธีหนึ่งในการแก้ไขปัญหานี้ กล่าวคือ ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าต้องคิดว่า “ไม่ว่าใครจะดูแคลนฉันหรือมองดูฉันด้วยการดูถูกก็ตาม ฉันก็ควรทำหน้าที่ของฉัน  ฉันไม่สามารถทิ้งพระบัญชาของพระเจ้าได้  ฉันไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อผู้คนอื่นๆ อีกทั้งฉันก็ไม่ได้ทำเช่นนั้นเพื่อให้คนอื่นๆ คิดบางอย่างกับฉัน—การที่คนอื่นๆ คิดบางอย่างกับฉันจะมีประโยชน์อะไร?  ฉันต้องลุล่วงหน้าที่ของฉันเพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย”  เจ้าควรคิดอย่างนี้ในหัวในของเจ้า  ทีนี้เวลาที่เจ้าทำอาหาร เจ้าไม่รู้สึกมั่นใจในตัวเองหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้วปัญหานี้ก็ได้รับการแก้ไขแล้วหรือไม่?  อันที่จริงแล้วปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์  ในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าย่อมอยู่ในสภาวะแห่งความขัดแย้งไม่รู้จบ ตกอยู่ในความอ่อนแอและความคิดลบแล้วจึงดึงตัวเองกลับขึ้นมาอยู่เป็นนิตย์ เจ้ากำลังถูกกล่อมเกลาอย่างสม่ำเสมอ  เจ้าได้ตรวจสอบทุกสภาวะแล้ว และเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตโดยใช้ความพยายามทั้งกายและใจเช่นนั้นตลอดเวลา  เจ้าไม่ต้องการให้ความลำบากยากเย็นเหล่านี้ทำให้เจ้ารำคาญ รบกวนเจ้า หรือจำกัดควบคุมเจ้าอยู่เป็นนิตย์  เจ้าต้องการลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างง่ายดายและเรียบง่าย  แล้วเจ้าสำเร็จลุล่วงหน้าที่นี้อย่างไร?  เจ้าต้องแสวงหาความจริงอยู่เป็นนิตย์ ยึดมั่นในความเชื่อมั่นของตนอยู่เป็นนิตย์ และการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะทำอยู่เสมอ  เจ้าพูดว่า “ไม่มีใครสามารถรบกวนฉันได้  นี่คือหน้าที่ของฉัน นี่คือพระบัญชาที่พระเจ้าได้ประทานแก่ฉัน นี่คือความรับผิดชอบของฉันและภาระผูกพันของฉัน  ไม่ว่าใครจะล้อเลียนฉัน ทำให้ฉันสงสัยในตัวเอง หรือทดลองฉัน นั่นย่อมเปล่าประโยชน์  ถือเป็นเกียรติที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้ และหากฉันสามารถรับมือกับหน้าที่นี้ได้ พระสิริทั้งหมดย่อมเป็นของพระเจ้า  หากฉันไม่สามารถรับมือกับหน้าที่นี้ได้ เช่นนั้นฉันก็ย่อมทำให้ตัวเองอับอายแล้ว  ใครก็ตามที่เอาตัวฉันมาทำเป็นเรื่องตลกและดูแคลนหน้าที่นี้ย่อมไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง”  นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  (ใช่ข้อเท็จจริง)  นี่คือข้อเท็จจริง เมื่อโยบถูกทดสอบ ซาตานก่อกวนและทดลองเขา แต่โยบกังขาหรือไม่?  (ไม่)  เพราะความจริง พระวจนะของพระเจ้า และทางแห่งพระเจ้าอยู่ในหัวใจของโยบ  เมื่อเผชิญกับรูปการณ์แวดล้อมและการทดสอบ การที่เจ้าสามารถค้ำจุนความจริงและค้ำจุนพระบัญชาที่พระเจ้าได้ประทานแก่เจ้าได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ารู้ จับใจความ และยอมรับความจริงที่ระดับใด  บางคนกังขาในความจริงอยู่เสมอ และไม่อาจแน่ใจเกี่ยวกับความจริงได้ หรือในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่ของตน พวกเขาไม่เคยมั่นใจเลยว่าพวกเขาควรทำบางสิ่งอย่างไร รวมทั้งการทำเช่นนั้นเป็นหนทางที่ถูกต้องหรือไม่  พวกเขาไม่สามารถยึดมั่นในสิ่งทั้งหลายที่ถูกต้องได้เลย พวกเขาถูกบางคน บางเหตุการณ์ และบางสิ่งรบกวนอยู่เสมอ และเมื่อคนไม่ดี คนชั่ว ปีศาจ หรือซาตานย่องเข้ามาหาพวกเขาและพูดสิ่งที่เป็นการทดลองหรือรบกวนพวกเขา พวกเขาก็กลายเป็นอ่อนแอและถูกชักพาให้หลงผิด  นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยหรอกหรือ?  (ใช่)  วุฒิภาวะน้อยแก้ไขง่ายหรือไม่?  ในทางทฤษฎีนั้น วุฒิภาวะน้อยแก้ไขง่าย  นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถมั่นใจได้หรือไม่ว่าถนนที่เจ้าเดินนั้นเป็นถนนที่พระเจ้าทรงนำ  เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าควรปฏิบัติความจริงและยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า  นี่สำคัญอย่างยิ่งยวด  สิ่งเดียวให้กลัวคือว่าในหัวใจของเจ้านั้นเจ้ามีทรรศนะที่อคติต่อหน้าที่ของเจ้า และคิดว่าหน้าที่ของเจ้าทำให้เจ้าเสียหน้าและไม่น่าจะเทียบกับอะไรได้เลย  เมื่อเจ้ามีทรรศนะที่ลำเอียงและหากซ้ำร้ายผู้อื่นยังรบกวนเจ้า นั่นก็กลับกลายเป็นเรื่องเดือดร้อนมากขึ้นไปอีก  เมื่อหัวใจของเจ้าผสมปนเปไปหมด เจ้าย่อมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้  เมื่อโยบถูกทดสอบ มีผู้คนมากมายรอบๆ ตัวเขาที่รบกวนเขา  ภรรยาของเขาพูดอะไร?  (“จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยบ 2:9))  ซึ่งจากคำพูดนี้ภรรยาของโยบหมายความว่า “จงอย่าเชื่อ  หากสิ่งที่เธอเชื่อคือพระเจ้าจริงๆ แล้วล่ะก็ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นกับเธอล่ะ?”  โยบพูดว่าอะไร? (“เธอพูดอย่างหญิงโง่เขลาจะพึงพูด” (โยบ 2:10))  โยบกล่าวโทษภรรยาของตน เพราะเขามั่นใจแล้วว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พระเจ้าทรงทำการนี้ นี่คืออธิปไตยของพระองค์ และนี่คือฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  โยบมั่นใจมาก แล้วเมื่อผู้คนในวันนี้เข้าใจความจริง เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถยึดมั่นในหนทางที่แท้จริงและตั้งมั่นในคำพยานของตน?  เป็นเพราะหัวใจของผู้คนแปดเปื้อนเกินไป ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่เข้าใจความจริงเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่ใช่ผู้คนที่รักความจริงหรือแสวงหาความจริงอีกด้วย  เพราะฉะนั้นไม่สำคัญว่าผู้คนสามารถพูดถึงคำพูดและคำสอนได้มากเพียงใดหรือพวกเขาสามารถพ่นคำขวัญที่กังวานก้องได้มากเพียงใด ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถตั้งมั่นได้  ทันทีที่ใครบางคนในคริสตจักรพูดบางสิ่งที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย หรือใครบางคนพูดบางสิ่งที่เป็นการรบกวนหรือชักพาให้หลงผิด หรือที่กล่าวโทษและทำให้อัปยศอดสู พวกเขาก็คิดว่าพวกเขากำลังถูกเย้ยหยันและถูกทำให้อัปยศอดสู และยับเยินอย่างสิ้นเชิง  หากผู้คนสำแดงตนออกมาในหนทางนี้ มีความขัดแย้งภายในอยู่เป็นนิตย์ และปรับทรรศนะของตนอยู่เป็นนิตย์ แต่ในเวลาเดียวกันก็ยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ด้วย โดยเข้าใจความจริงต่อไป ค่อยๆ เข้าสู่เหลี่ยมมุมต่างๆ ของความจริง เข้าสู่ความจริงทั้งหมด และในท้ายที่สุดแล้วสามารถหลีกเลี่ยงการถูกรบกวน การได้รับผลกระทบ หรือการถูกคน เหตุการณ์ และสิ่งจำพวกใดก็ตามควบคุม และเชื่ออย่างมั่นคงว่าหลักธรรมความจริงที่พวกเขาปฏิบัตินั้นถูกต้อง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนแล้ว

ในเวลาปัจจุบัน เมื่อพวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน ยังคงเป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเจ้าจะถูกคน เหตุการณ์ หรือสิ่งทุกจำพวกจำกัดควบคุม?  พวกเจ้าสามารถยึดมั่นในความจริงและทำสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับหลักธรรมได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  เช่นนั้นแล้วตามปกติแล้วพวกเจ้ามีความลำบากยากเย็นแบบใด?  (บางครั้งเมื่อข้าพระองค์เห็นผู้คนอื่นๆ ทำสิ่งทั้งหลายที่ทำอันตรายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ข้าพระองค์ก็ชี้ให้เห็นสิ่งนั้น แต่เมื่อข้าพระองค์เห็นว่าพวกเขาไม่ยอมรับสิ่งนั้น หรือว่าพวกเขามีท่าทีที่แย่ ข้าพระองค์ก็กลัวว่าจะทำให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้น ดังนั้นข้าพระองค์จึงอะลุ้มอล่วย)  การอะลุ้มอล่วยถูกต้องหรือผิด?  (การอะลุ้มอล่วยนั้นผิด แต่ข้าพระองค์กลัวว่าหากข้าพระองค์เคี่ยวเข็ญเรื่องนี้ การโต้แย้งก็จะเกิดขึ้นและทำลายสันติสุข และผู้คนก็จะไม่มีภาพจำอันดีเกี่ยวกับตัวข้าพระองค์)  หากเจ้าปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงการโต้แย้ง การอะลุ้มอล่วยเป็นหนทางเดียวอย่างนั้นหรือ?  เจ้าสามารถอะลุ้มอล่วยในสถานการณ์ใดได้บ้าง?  หากนั่นเกี่ยวข้องกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ผลประโยชน์ของตัวเจ้าเองหรือความภาคภูมิใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะโต้แย้งเรื่องนั้น  เจ้าสามารถเลือกที่จะยอมผ่อนปรนหรืออะลุ้มอล่วยได้  แต่กับเรื่องที่สามารถกระทบต่องานของคริสตจักรและทำอันตรายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าต้องยึดมั่นในหลักธรรม  หากเจ้าไม่รักษาหลักความเชื่อนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า  หากเจ้าเลือกที่จะอะลุ้มอล่วยและละทิ้งหลักธรรมความจริงเพื่อที่จะรักษาหน้าหรือปกปักรักษาสัมพันธภาพส่วนบุคคลของตน นี่ไม่ได้แสดงว่าเจ้าเห็นแก่ตัวและต่ำช้าหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่สัญญาณของการไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของตนและการไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  (ใช่)  แล้วในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากถึงเวลาที่ทุกคนไม่เห็นด้วย เจ้าควรปฏิบัติอย่างไร?  การโต้แย้งเรื่องนั้นด้วยสุดกำลังของเจ้าจะแก้ปัญหานี้ได้หรือ?  (ไม่ได้)  เช่นนั้นแล้วเจ้าควรแก้ปัญหานี้อย่างไร?  ในสถานการณ์นี้ คนที่เข้าใจความจริงควรก้าวออกมาแก้ไขประเด็นปัญหานี้ โดยตีแผ่ประเด็นปัญหาที่กำลังพิจารณาเสียก่อน แล้วจึงปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายแสดงความเห็นของตน  จากนั้นให้ทุกคนแสวงหาความจริงร่วมกัน และหลังจากอธิษฐานถึงพระเจ้า ความจริงที่สัมพันธ์กันในพระวจนะของพระเจ้าก็จะถูกนำมาสามัคคีธรรมกัน  หลังจากพวกเขาสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงและได้รับความชัดเจนแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็จะสามารถนบนอบได้  พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบความจริง  หากผู้คนส่วนใหญ่สามารถนบนอบความจริงได้ แต่มีไม่กี่คนที่ไม่นบนอบความจริงหรือที่ใครที่คนเราไม่สามารถเห็นเหตุผล เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมเป็นผู้คนที่ไม่ยอมรับความจริง และธรรมชาติของพวกเขาย่อมเป็นธรรมชาติของคนชั่ว และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมจะแยกแยะพวกเขาอย่างง่ายดาย  นี่คือหนทางที่ดีที่สุดที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาเกี่ยวกับข้อโต้แย้งในคริสตจักร  การใช้ความจริงเพื่อแก้ปัญหาเป็นหลักธรรมที่สำคัญ และคนเราไม่สามารถทำการอะลุ้มอล่วยโดยไร้หลักธรรมได้  หากเจ้าสามารถสละผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อที่จะปกปักรักษาสัมพันธภาพส่วนบุคคล ความภาคภูมิใจ และผลประโยชน์ของตนเอง เจ้าย่อมกำลังอะลุ้มอล่วยกับซาตาน  นี่ไร้หลักธรรมและไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า  หากแต่ละคนต่อสู้เพื่อรักษาหน้าของตนเองและเน้นย้ำเหตุผลของตนเอง นี่ใช่ท่าทีของการแสวงหาความจริงหรือไม่?  นี่ใช่ท่าทีที่คนเราควรมีในหน้าที่ของตนหรือไม่?  (ไม่ใช่)  การที่คนคนหนึ่งจะสัมฤทธิ์ความจงรักภักดีในหน้าที่ของตนนั้น พวกเขาไม่ควรต่อสู้เพื่อความมีหน้ามีตาหรือผลประโยชน์ พวกเขาควรยอมให้พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจ และยอมให้ความจริงเป็นเจ้านายของตน ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุดอย่างแรก และงานที่มีประสิทธิผลคือสิ่งสำคัญที่สุดอย่างแรก  หลักธรรมนี้ไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  (ถูกต้อง)  หากพวกเจ้าล้วนแต่สามารถยึดมั่นในหลักธรรมนี้ได้ จะมีสิ่งใดเหลือให้โต้แย้งกับผู้คน?  จะไม่มีข้อโต้แย้งเลย  พวกที่คุ้มครองผลประโยชน์ของตัวเองอยู่เสมอและไม่ปฏิบัติความจริงเลยแม้แต่น้อยไม่ใช่คนดี และพวกที่ขายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เสมอเพื่อที่จะรวบรวมความชื่นชอบจากผู้อื่นยิ่งแย่ไปกว่านั้นอีก  ผู้คนทั้งหมดนี้เป็นผู้ไม่เชื่อ และเป็นคนที่ทรยศพระเจ้า  หากคนคนหนึ่งเกิดเข้าไปขัดแย้งและถกเถียงกับผู้อื่นเพื่อที่จะคุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและความมีประสิทธิผลของงานของคริสตจักร และท่าทีของพวกเขาก็เด็ดเดี่ยวอยู่สักหน่อย พวกเจ้าจะพูดว่านั่นเป็นปัญหาหรือไม่?  (ไม่)  เนื่องจากเจตนาของพวกเขาถูกต้อง เจตนาของพวกเขาคือการคุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  นี่คือคนที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับพระเจ้าและยึดมั่นในหลักธรรมความจริง เป็นคนที่พระเจ้าทรงปีติยินดีด้วย  การมีท่าทีที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวในยามที่คุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นสัญญาณของจุดยืนที่มั่นคงและการยึดมั่นในหลักธรรม และพระเจ้าก็ทรงเห็นชอบการนี้  ผู้คนอาจรู้สึกว่าท่าทีนี้มีปัญหา แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้เห็น  จงจำไว้ว่าการยึดมั่นในหลักธรรมความจริงคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

การเข้าสู่ชีวิตคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุด  โดยหลักแล้วการเข้าสู่ชีวิตเชื่อมโยงกับสิ่งใด?  (การไล่ตามเสาะหาความจริง)  ถูกต้อง  โดยหลักแล้วการเข้าสู่ชีวิตเชื่อมโยงกับการไล่ตามเสาะหาความจริง  มีเพียงผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่มีการเข้าสู่ชีวิต  หากผู้คนต้องการมีการเข้าสู่ชีวิต เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริง  คนเราควรแยกแยะอย่างไรว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  คนประเภทใดไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  เจ้ารู้หรือไม่?  ประเภทแรกที่เราพูดถึงไปแล้วคือผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  อะไรคือแก่นแท้ของผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ?  (หลังจากอ่านพระวจนะจากพระเจ้าซึ่งเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน พวกเขาไม่สามารถสรุปความเชื่อมโยงระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับสภาวะและการสำแดงของตัวเองได้ พวกเขาคิดว่าพระเจ้ากำลังตรัสถึงผู้คนอื่นๆ)  โดยหลักแล้วเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้าได้ แต่พวกเขารู้เรื่องนี้หรือไม่?  (ไม่รู้)  ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไร้ความสามารถที่จะตระหนักสิ่งเหล่านี้  หัวใจของพวกเขายังคงร่าเริง พวกเขาคิดว่าพวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้ามากมาย แต่ในข้อเท็จจริงนั้น สำหรับพวกเขาแล้วทุกพระวจนะเป็นแค่ข้อบังคับ  พวกเขาคิดว่า “หากพระเจ้าทรงทำให้ฉันทำบางสิ่ง ฉันก็จะทำสิ่งนั้น  หากพระองค์ทรงทำให้ฉันละทิ้งบางสิ่ง ฉันก็จะละทิ้งสิ่งนั้น หากพระองค์ทรงทำให้ฉันสละตนเอง ฉันก็จะทำเช่นนั้น  ด้วยการนบนอบพระเจ้าในหนทางนี้ ฉันจึงได้รับการช่วยให้รอด”  หลังจากเชื่อในหนทางนี้มาเป็นเวลาหลายปี พวกเขาก็คิดว่าพวกเขามีต้นทุน เหมือนกันไม่มีผิดกับที่เปาโลพูดไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8)  ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร เปาโลก็ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  นั่นเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างแท้จริง  เมื่อเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณนั่นก็เป็นเรื่องเดือดร้อนอยู่แล้ว แต่ซ้ำร้ายเขายังไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย  เขาปฏิบัติต่อคำสอน คำขวัญ ความคิดฝัน มโนคติอันหลงผิด ความรู้ และปรัชญาทั้งหมดของตนเองราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง และใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นรากฐานในการขยับขยายการไล่ตามไขว่คว้าของตนเอง  ผลก็คือ ไม่ว่าเขาทำสิ่งใด เขาไม่ได้กำลังใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง และไม่ว่าเขาทำสิ่งใด สิ่งนั้นก็ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ปัญหานี้ของเขารุนแรง!  เปาโลเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดเมื่อเป็นเรื่องของการขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  (ถูกต้อง)  คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณรักความจริงหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด เนื่องจากคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจความจริง และหากพวกเขาไม่จับความเข้าใจความจริง ย่อมไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถรักความจริงได้  คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำแดงตนออกมาอย่างไร?  การสำแดงตนหลักก็คือ ไม่สำคัญว่าผู้คนสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขาอย่างไร พวกเขายังคงไม่เข้าใจอยู่ดี และไม่สำคัญว่าผู้คนสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างชัดเจนเพียงใด พวกเขาก็ยังคงไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจความจริงอยู่ดี  เรื่องนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับการมีขีดความสามารถต่ำเกินไป  คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  ต่อให้พวกเขาอยากทำ พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้  คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้ากำลังตรัสถึง ไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงเปิดโปงสภาวะใด และไม่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้  พวกเขาปฏิบัติต่อพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าดังเช่นข้อบังคับ วลี คำขวัญ และคำสอน และไม่เคยรู้ว่าเลยพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  ในที่นี้อะไรคือปัญหา?  นั่นก็คือเรื่องที่ว่าขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไป พวกเขาไม่มีความสามารถในการจับใจความแม้แต่น้อย และกำลังสำแดงการขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ

ประเภทที่สองคือคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสามารถเข้าใจความจริง ยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองเมื่อพวกเขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และเข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังเปิดโปงสิ่งใด ความจริงใดอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า และพระเจ้าทรงเรียกร้องสิ่งใด  ความสามารถที่จะเข้าใจเทียบเท่าการมีการเข้าสู่หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วเมื่อเราพูดว่าพวกเขาสามารถเข้าใจได้ นั่นกำลังอ้างอิงถึงสิ่งใด?  นั่นกำลังกล่าวถึงสิ่งใด?  (พวกเขาสามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเองได้)  ความสามารถที่จะยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น  พวกเขายอมรับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์และสภาวะทุกจำพวกที่พระเจ้าทรงเปิดโปง  แล้วพวกเขาสามารถรู้สิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องได้หรือไม่?  พวกเขาควรรู้ถึงระดับหนึ่ง—รู้ข้อเรียกร้องของพระเจ้า รู้ว่าหลักธรรมใดมีการพูดถึงในพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งเจตนารมณ์ของพระองค์คือสิ่งใด  พวกเขามีความชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้และเข้าใจสิ่งเหล่านี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงถูกเรียกว่าคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  เมื่อคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาย่อมสามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเอง เข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังอ้างอิงถึงสิ่งใดและข้อเรียกร้องของพระองค์คือสิ่งใด  นี่แสดงให้เห็นว่าคนประเภทนี้มีขีดความสามารถและความสามารถที่จะจับใจความความจริง  แล้วการมีขีดความสามารถและความสามารถนี้จำเป็นต้องหมายความว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  (ไม่)  มีสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปหลายสถานการณ์  บางคนสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและมีขีดความสามารถและความสามารถที่จะจับใจความพระวจนะของพระองค์ แต่ไม่เคยยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเอง  พวกเขาเพียงแค่ยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับคนอื่น มองหาข้อตำหนิในตัวคนอื่น ใช้ข้อบกพร่องของคนอื่นเพื่อข่มขู่บังคับพวกเขา จับผิดสภาวะของพวกเขา และพยายามที่จะอ่านจิตใจของพวกเขาราวกับว่าตนเองเป็นเครื่องตรวจจับ  เมื่อพวกเขาไม่มีอะไรอื่นให้ทำ พวกเขาก็ครุ่นคิดถึงสิ่งที่คนอื่นคิด พยายามที่จะตรวจจับว่าผู้คนกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวใจ ความคิดและแนวคิดใดอยู่ในหัวใจของผู้คนเหล่านั้น เจตนาของผู้คนเหล่านั้นคืออะไร จุดมุ่งหมายของผู้คนเหล่านั้นคืออะไร แรงจูงใจของผู้คนเหล่านั้นคืออะไร ผู้คนเหล่านั้นหวังว่าจะได้รับอะไร และผู้คนเหล่านั้นเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบใดขณะที่ทำสิ่งทั้งหลาย  เป้าหมายของพวกเขาในการตรวจจับสิ่งเหล่านี้คืออะไร?  เพื่อยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับคนอื่น จากนั้นจึงแก้ปัญหาของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น สภาพแวดล้อมที่ “นายสมิธ” ดำรงชีวิต ภูมิหลังทางครอบครัวของเขาเป็นอย่างไร เขาได้เชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้ว โดยปกติแล้วเขามีประเด็นปัญหาใดบ้าง เขามีจุดอ่อนใดบ้างขณะที่ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของตน เขามักจะมีความลำบากยากเย็นใดเมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้น ในสถานการณ์ใดที่เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะกลายเป็นคิดลบ เขาปฏิบัติหน้าที่ของตนดีเพียงใด เขาปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร และชีวิตฝ่ายวิญญาณของเขาเป็นปกติหรือไม่—พวกเขามีการจับความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหมดนี้  พวกเขามีสติปัญญามาก แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ประยุกต์ใช้สติปัญญาของตนในที่ที่เหมาะสม  พวกเขาแก้ปัญหาของคนอื่น แต่ตัวเองกลับไม่ปฏิบัติความจริง  คนประเภทนี้มักจะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน หรือใครบางคนที่มีความรับผิดชอบปริมาณหนึ่ง  วิธีการไล่ตามเสาะหานี้ที่คนประเภทนี้มีเป็นปัญหาหรือไม่?  (เป็นปัญหา)  วิธีการไล่ตามเสาะหานี้เป็นปัญหา และเป็นปัญหารุนแรงยิ่งนัก  รุนแรงแค่ไหน?  พวกเราควรสามัคคีธรรมเรื่องนี้  คนประเภทนี้มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และรู้วิธียกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาไม่เคยยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเอง ตรงกันข้าม พวกเขากลับยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับคนอื่น  เป้าหมายของพวกเขาในการยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับคนอื่นคืออะไร?  (เพื่อโอ้อวด)  ถูกต้อง  พวกเขาโอ้อวดเพื่อตอบสนองความอยากได้อยากมีและความมักใหญ่ใฝ่สูงของตน เพื่อทำให้สถานะของตนมั่นคงยิ่งขึ้น และเพื่อทำให้พวกเขามีความสามารถมากขึ้นในการที่จะยึดครองหัวใจของผู้คน  ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถทำเช่นนี้ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติของพวกเขา และเชื่อมโยงโดยตรงกับสิ่งที่พวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาขณะที่เชื่อในพระเจ้า  หากคนเราจะต้องตัดสินจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาทุ่มเทสุดหัวใจของตนให้กับสิ่งทั้งหลายและทำงานของตนอย่างเต็มที่ รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถจับความเข้าใจสภาวะนานาสารพันทั้งหมดที่ผู้คนอื่นๆ มีได้อย่างดียิ่ง คนเราจะพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  ไม่จำเป็น  เช่นนั้นแล้วคนเราจะสามารถบอกได้อย่างไรว่าใครบางคนเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  หากพวกเขารับผิดชอบเป็นพิเศษเมื่อเป็นเรื่องของการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายและพี่น้องหญิง ทุ่มเทหัวใจและการทำงานมากมายให้กับสิ่งทั้งหลาย ทำงานของตนอย่างดีมาก แสวงหาความจริงในส่วนที่เกี่ยวกับสภาวะทุกจำพวกที่พี่น้องชายหญิงมีอยู่บ่อยครั้ง จากนั้นจึงแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้เช่นนี้ พวกเขาเป็นผู้นำที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่?  เมื่อพิจารณาจากการสำแดงและการเผยเหล่านี้ของพวกเขา คนเราสามารถมั่นใจได้หรือไม่ว่าพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  (ไม่จำเป็น)  เพราะเหตุใด?  (พวกเขาสามารถแก้ปัญหาของคนอื่นได้ แต่ไม่เคยยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเองเลย)  หากพวกเขาไม่เคยแก้ปัญหาของตัวเองเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาแก้ปัญหาของคนอื่นอย่างไร?  (พวกเขาพึ่งพาคำพูดและคำสอนในการแก้ปัญหาเหล่านั้น)  พวกเขาเข้าใจคำพูดและคำสอนบางส่วน มีสติปัญญาอยู่บ้าง มีความจำที่ดี ตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว และทันทีที่พวกเขาได้ยินคำเทศนาหนึ่ง พวกเขาก็สามารถไปโอ้อวดคำเทศนานั้นกับผู้อื่นได้ทันที  เมื่อพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้ พวกเขามีการเข้าสู่หรือไม่?  (ไม่)  การแก้ไขความลำบากยากเย็นของคนอื่นแต่ไม่เคยแก้ไขความลำบากยากเย็นของตัวเองเลยไม่ใช่การสำแดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาเพียงแค่ใช้คำสอนและพระวจนะของพระเจ้าหรือชั้นเชิงและวิธีการทุกรูปแบบเพื่อชักจูงและโน้มน้าวคนอื่น พวกเขาใช้คำพูดและคำสอนที่พวกเขาเข้าใจ หรือเอาอย่างและเลียนแบบคำพูดจากประสบการณ์ชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากความยากลำบาก  พวกเขาใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นของคนอื่นแทนที่จะใช้สิ่งที่พวกเขาได้ก้าวผ่านมาด้วยตนเองรวมทั้งประสบการณ์จริงของพวกเขาเพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านั้น  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าคนคนนี้ไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาให้สิ่งใดแก่คนอื่น?  (คำสอน)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่านั่นเป็นคำสอน?  เพราะนั่นไม่ได้มาจากประสบการณ์ของพวกเขาเอง ไม่ใช่บางสิ่งที่พวกเขาได้ก้าวผ่านมาแล้วอย่างแท้จริง และไม่ใช่ความเข้าใจที่แท้จริงของพวกเขา  อันที่จริงแล้วพวกเขากำลังให้น้ำผู้อื่นด้วยสิ่งใด?  คำสอน วลี และคำพูดที่โน้มน้าวและปลอบโยนผู้คน  พวกเขายังใช้วิธีการ ชั้นเชิง และความฉลาดของมนุษย์อีกด้วย และไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาคิดว่าการตอบคำถามของผู้คนคือการแก้ปัญหา และคิดว่านี่ก็คือการทำงาน  เมื่อพิจารณาจากการสำแดงของพวกเขา จากสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาให้แก่ผู้อื่น วิธีที่พวกเขาทำงาน และเส้นทางที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา คนคนนี้ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเขาไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  การใช้ความจริงเพื่อแก้ปัญหาในเมื่อตัวพวกเขาเองไม่มีการเข้าสู่นั้นมีเลศนัยไปหน่อยไม่ใช่หรือ?  (มีเลศนัย)  เรื่องนี้มีเลศนัย เป็นเรื่องหน้าซื่อใจคด และหลอกลวงผู้อื่น  แล้วผู้คนเยี่ยงนี้สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เหตุใดจึงไม่ได้?  เพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และมีความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราให้ดีกับการเข้าใจความจริง  ตัวอย่างเช่น คนเราต้องเข้าใจความจริงเพื่อให้น้ำคริสตจักร คนเราต้องเข้าใจความจริงเพื่อแก้ปัญหา คนเรายังต้องเข้าใจความจริงเพื่อรับมือกับปัญหาด้วย การเข้าใจความจริงเป็นเรื่องจำเป็นยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อที่จะมีวิจารณญาณเกี่ยวกับผู้คน  งานของคริสตจักรทุกด้านเกี่ยวข้องกับความจริง หากคนเราไม่เข้าใจความจริง พวกเขาย่อมจะทำงานที่จำเป็นของคริสตจักรได้ไม่ดี และทำงานทั่วไปได้แค่พอใช้เท่านั้น  เพราะฉะนั้นหากผู้นำไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่สำคัญว่าพวกเขายุ่งขนาดไหน พวกเขาทำงานที่ต้องออกแรงมากเพียงใด หรือพวกเขาทนทุกข์มากเพียงใด พวกเขาย่อมจะทำงานได้ไม่ดี และจะไม่สามารถลุล่วงหน้าที่ของตนได้อย่างเต็มที่ตามงานและความรับผิดชอบของตน  เวลาที่พวกเขาทำงาน พวกเขาก็เดินทางไปที่นั่นที่นี่โดยไม่มีสาเหตุ ด้วยการดูว่าตรงไหนที่มีปัญหา แล้วจึงแก้ปัญหาเหล่านั้นในรูปแบบที่เรียบง่ายเกินไป  เวลาที่ใครบางคนมีความลำบากยากเย็นบางอย่าง พวกเขาก็สามัคคีธรรมคำสอนเล็กน้อย และเวลาที่ใครบางคนคิดลบและอ่อนแอ พวกเขาก็ให้กำลังใจและกระตุ้นเตือนคนเหล่านั้น นี่คือสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาทำ  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาจับตาดูผู้คนที่พวกเขานำ ตราบที่ทุกคนยุ่งและไม่อยู่ว่าง พวกเขาย่อมกำลังทำงานของตนได้ดี และหากพวกเขาสามารถเที่ยวไปตรวจสอบและกำกับดูแลงานได้ในทุกที่ ไม่ให้ใครรายงานหรือเปิดโปงพวกเขา สามารถประกาศและพูดได้ไม่ว่าพวกเขาไปที่ใดก็ตาม และให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นโดยปราศจากอุปสรรคใดๆ พวกเขาย่อมกำลังลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของตน  นี่คือการทำงานจากตำแหน่งแห่งที่อันมีสถานะ ไม่ใช่การใช้ความจริงเพื่อแก้ปัญหาในเชิงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  พวกเขาให้ความสำคัญกับการทำงาน และขณะที่ให้ความสำคัญกับการทำงานอยู่นั้น พวกเขาอาจไม่ได้ทำอะไรเพื่อสถานะของตน—ทั้งหมดที่พวกเขาทำคือใช้คำสอนและคำขวัญเพื่อกระตุ้นเตือนคนคนนี้หรือให้กำลังใจคนคนนั้นอยู่ท่าเดียว ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานนี้อยู่ท่าเดียว  พวกเขาคิดว่าตราบที่พวกเขาไม่อยู่ว่างก็คงพอได้อยู่  อย่างแรกก็คือพวกเขาไม่สามารถย่อหย่อนได้ อย่างที่สองก็คือพวกเขาต้องอุตสาหะ และอย่างที่สามก็คือพวกเขาต้องสามารถทนต่อความทุกข์ได้  พวกเขาทำโน่นทำนี่ตลอดทั้งวัน—หากมีปัญหาที่ไหนสักแห่งก็ต้องแก้ปัญหานั้นโดยเร็วที่สุดเมื่อมีโอกาส และพวกเขาต้องถามไปรอบๆ อยู่เสมอว่ามีใครมีปัญหาอะไรบ้างหรือไม่  พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนี้คือการไล่ตามเสาะหาความจริง  อันที่จริงแล้วการมีการสำแดงเหล่านี้จำเป็นต้องหมายความว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  นี่จำเป็นต้องหมายความว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  นี่ยังคงเป็นเรื่องของคำถาม  นี่คือการสำแดงอันดับแรกของคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง

การสำแดงอย่างที่สองของคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง คือการที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของสิ่งที่พระวจนะของพระองค์กำลังกล่าว และการที่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเอง แต่ไม่เคยนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ  คนประเภทนี้ไม่ทำสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า หรือตามหลักธรรมความจริง อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ยับยั้งชั่งใจตนเอง  เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้น พวกเขาแค่ต้องการทำให้ผู้คนนบนอบพวกเขาและรับฟังพวกเขา แต่พวกเขาเองไม่ต้องการนบนอบความจริง  พวกเขาปฏิบัติต่อการปฏิบัติความจริงและนบนอบความจริงดังเช่นความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน และหน้าที่ของคนอื่น และดังเช่นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนอื่นๆ ควรทำ  พวกเขาปฏิบัติต่อตัวเองราวกับว่าพวกเขาถูกแยกออกมาต่างหาก  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจมากเพียงใด หรือพวกเขาสามารถเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเองได้มากเพียงใด พวกเขาคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสมุ่งตรงไปยังคนอื่นและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวพวกเขา  แล้วพวกเขาทำอะไร?  พวกเขาก็ยุ่งมากเช่นกัน  พวกเขาไปที่คริสตจักรเพื่อดูว่าใครมีคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับพวกเขา แล้วก็จดบันทึกไว้  จากนั้นพวกเขาก็เค้นสมองเพื่อคิดหาทางที่จะ “แก้ไข” เรื่องนี้  พวกเขากล่าวว่า “พวกเรามาเปิดใจตนเองและสามัคคีธรรมกันเถิด  อะไรก็ตามที่คุณคิดในใจ ความเห็นใดก็ตามที่คุณมีเกี่ยวกับตัวฉัน และคำวิพากษ์วิจารณ์ใดก็ตามที่คุณมีเกี่ยวกับตัวฉัน แค่ให้ฉันรู้ แล้วฉันจะทำสุดความสามารถเพื่อเปลี่ยนแปลงและทำสิ่งต่างๆ อย่างแตกต่างออกไป”  เป้าหมายของพวกเขาในการเปลี่ยนแปลงคืออะไร?  เพื่อทำให้คนอื่นชอบพวกเขา  นอกจากนี้ พวกเขาดูว่าใครมีคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับพวกเขา และใครไม่นบนอบพวกเขา จากนั้นจึงค้นหาพระวจนะของพระเจ้าบทตอนที่สัมพันธ์กันเพื่อ “แก้ไข” เรื่องนี้  พวกเขากล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นองค์เจ้านายเมื่อพระนิเวศของพระเจ้าคัดสรรผู้นำและคนทำงาน  ในพระนิเวศของพระเจ้า ความจริงคือสิทธิอำนาจ  ไม่ว่าใครก็ตามที่พี่น้องชายหญิงคัดสรรให้เป็นผู้นำ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงปรารถนา และพวกคุณก็ควรนบนอบสิ่งนั้น  คุณไม่ได้กำลังนบนอบฉัน แต่นบนอบการทรงนำของ พระวิญญาณบริสุทธิ์และความจริง  หากคุณไม่นบนอบ คุณก็จะถูกลงโทษ!”  หลังจากรับฟังแล้ว บางคนก็รู้ว่าผู้นำกำลังตีความพระวจนะของพระเจ้าแบบผิดๆ และบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด และไม่รับฟัง  เมื่อผู้นำเห็นว่าคนเหล่านี้ค่อนข้างไม่นบนอบพวกเขา พวกเขาก็คิดว่า “คุณไม่ยอมนบนอบฉันใช่หรือเปล่า?  ฉันมีวิธีอื่นๆ ที่จะจัดการกับคุณ  ฉันจะไม่ใช้ไม้อ่อนแล้ว”  ผู้นำกล่าวกับคนที่ไม่นบนอบพวกเขาว่า “คุณเสร็จงานที่ฉันมอบให้คุณหรือยัง?”  แล้วคนคนนั้นก็กล่าวว่า “เหลือให้ทำอีกแค่เล็กน้อยก็จะเสร็จแล้ว  ไม่ทำให้เกิดความล่าช้าใดๆ หรอก”  ผู้นำกล่าวว่า “การที่มีเหลืออีกเล็กน้อยไม่ใช่ความล่าช้าได้อย่างไร?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า เล็กน้อยคือมาก  นี่คือการสำแดงถึงความไม่จงรักภักดี  คุณเรียกการทำเช่นนี้ว่าการทำหน้าที่ของคุณอย่างนั้นหรือ?”  อันที่จริงแล้วนี่ใช่สิ่งที่ผู้นำต้องการกล่าวจริงๆ หรือ?  พวกเขามีเป้าหมายใดในหัวใจของพวกเขา?  พวกเขาต้องการบังคับให้ผู้คนอื่นๆ นบนอบ ทำให้ผู้คนเหล่านั้นพ่ายแพ้ และทำให้ผู้คนเหล่านั้นถ่อมตัว แต่พวกเขาไม่สามารถพูดเช่นนั้นอย่างชัดแจ้งได้  หากพวกเขาทำเช่นนั้น พี่น้องชายหญิงก็คงจะมองพวกเขาออกและเปิดโปงพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาเหตุผลและข้อแก้ตัวที่สมควรในการทำสิ่งต่างๆ พวกเขาต้องกดข่มผู้คนในลักษณะที่ “น่านับถือและสมเหตุสมผล” เพื่อที่ว่าหลังจากพวกเขาได้กดขี่ผู้คนแล้วเรื่องดังกล่าวจะไม่ปรากฏชัดต่อผู้อื่น ทำให้ผู้คนที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้เชื่อฟัง และสัมฤทธิ์เป้าหมายของผู้นำในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของตนและทำให้สถานะของตนมั่นคง  นี่คืออุปนิสัยใด?  (พวกเขาเคลือบแฝงและวางอุบาย)  พวกเขาเคลือบแฝง วางอุบาย มุ่งร้าย และทำสิ่งต่างๆ เพื่อประโยชน์แห่งสถานะ  พวกเขาไม่ใส่ใจต่อสิ่งทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานะ และไม่ทุ่มเทหัวใจให้กับสิ่งเหล่านั้นเลย แต่เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งทั้งหลายที่กระทบต่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ สถานะ ความภาคภูมิใจ และตำแหน่งของตนในคริสตจักร พวกเขากลับติดพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้และไม่ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ และเริ่มที่จะจริงจังขึ้นมา  เวลาที่สามัคคีธรรมความจริงในการชุมนุมตามปกติของพวกเขา บางครั้งพวกเขาก็จะรู้จักตัวเอง ยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเอง และเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง แต่ก็มีวัตถุประสงค์เบื้องหลังการสามัคคีธรรมนี้ มีเจตนา กล่าวคือ  ทั้งหมดนั้นก็เพื่อทำให้ผู้อื่นยกย่องบูชาพวกเขา อิจฉาพวกเขา และเคารพพวกเขา และเพื่อทำให้สถานะของตนมั่นคง  พวกเขามีความมักใหญ่ใฝ่สูงและวัตถุประสงค์  หากไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งสถานะของตน พวกเขาก็จะไม่กล่าวสักคำ หากไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งการรักษาสถานะของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่ทำอะไรเลย—ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำก็เพื่อประโยชน์แห่งสถานะของตน  พวกเขาจะทำงานหนักเพื่อประโยชน์แห่งสถานะของตน แต่หากเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งงานของคริสตจักร เมื่อพวกเขาค้นพบปัญหา พวกเขาก็จะไม่แก้ปัญหาเหล่านั้น เมื่อผู้คนอื่นๆ รายงานปัญหา พวกเขาก็จะไม่จัดการแก้ปัญหาเหล่านั้น และพวกเขาก็จะไม่กระดิกนิ้วเพื่อใส่ใจสิ่งใดเลย พวกเขาเห็นผู้คนอื่นๆ ยุ่งกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่พวกเขาไม่ทำอะไรแม้แต่น้อย  นี่เป็นคนประเภทใด?  (คนต่ำช้าและสามานย์ที่มีชีวิตเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเท่านั้น)  ใครบางคนที่มีชีวิตเพียงเพื่อสถานะใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  พวกเขาสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เป็นเรื่องยากที่จะพูด  หากพวกเขามีการตระหนักรู้ถึงมโนธรรมสักเล็กน้อย มีสำนึกละอายแก่ใจ มีศักดิ์ศรีและเกียรติคุณ และสามารถยอมรับความจริงหลังจากได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาบางส่วน ได้รับประสบการณ์กับการถูกตัดแต่ง หรือการถูกทดสอบและถลุง เช่นนั้นแล้วย่อมเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสามารถพลิกฟื้นสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้นได้  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาด้านชา ปัญญาทึบ ดื้อแพ่ง และไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจมากเพียงใด นั่นจะเป็นประโยชน์อันใดหรือไม่?  (ไม่)  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจมากเพียงใด นั่นจะไม่สามารถดลใจพวกเขาได้  ไม่สำคัญว่าภายนอกพวกเขาดูเหมือนยุ่งมากเพียงใด พวกเขาใช้เวลาวิ่งวุ่นไปทั่วท้องถนนมากเพียงใด พวกเขาพลีอุทิศ เลิกล้ม และสละมากเพียงใด คนประเภทที่เพียงแค่พูดและกระทำการเพื่อประโยชน์แห่งสถานะอยู่เสมอจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอนที่สุด  เพื่อสถานะ พวกเขาจะยอมลำบากทุกอย่าง  เพื่อสถานะ พวกเขาจะทนทุกข์กับความยากลำบากใดๆ  ก็ตาม เพื่อสถานะ พวกเขาจะทำทุกวิถีทาง  พวกเขาพยายามที่จะค้นหาเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้อื่น ใส่ความผู้อื่น หรือจงใจทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก โดยเหยียบย่ำผู้คนอื่นๆ ไว้ใต้ฝ่าเท้า  พวกเขาไม่แม้กระทั่งกลัวความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษและถูกกรรมสนอง พวกเขากระทำการเพื่อประโยชน์แห่งสถานะโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมาเลย  ผู้คนเช่นนี้ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด?  (สถานะ)  มีความคล้ายคลึงกับเปาโลตรงไหน?  (การไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎ)  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎแห่งความชอบธรรม พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ และปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ดังเช่นการไล่ตามไขว่คว้าที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แทนที่จะเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง  อะไรคือลักษณะเฉพาะที่มาก่อนอื่นของผู้คนดังกล่าว?  นั่นก็คือว่าพวกเขากระทำการเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ด้วยประการทั้งปวง  คนประเภทนี้ที่ทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เก่งกาจในการชักพาผู้อื่นให้หลงผิดที่สุด  เมื่อเจ้าพบกับพวกเขาครั้งแรก เจ้าไม่สามารถมองพวกเขาออก  เจ้ามองว่าคำสอนที่พวกเขาพูดฟังดูดี สิ่งที่พวกเขากล่าวดูเหมือนสัมพันธ์กับชีวิตจริง งานที่พวกเขาจัดการเตรียมการเหมาะยิ่งนัก และพวกเขาก็ดูเหมือนมีขีดความสามารถอยู่บ้าง และเจ้าก็เลื่อมใสพวกเขามากทีเดียว  คนประเภทนี้ยังเต็มใจที่จะยอมลำบากอีกด้วยเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขาทำงานหนักทุกวันแต่ไม่เคยพร่ำบ่นเกี่ยวกับการเหน็ดเหนื่อยเลย  พวกเขาไม่มีความบอบบางแม้แต่นิดเดียว  เวลาที่คนอื่นอ่อนแอ พวกเขาไม่อ่อนแอ  พวกเขายังไม่ทะยานอยากเพื่อความสุขสบายแห่งเนื้อหนังอีกด้วย และก็ไม่ใช่คนกินยาก  เวลาที่ครอบครัวอุปถัมภ์ของพวกเขาจัดเตรียมบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษให้กับพวกเขา พวกเขาก็ไม่ยอมรับและไม่กินสิ่งนั้น  พวกเขากินแต่อาหารในชีวิตประจำวันเท่านั้น  ใครก็ตามที่เห็นคนเช่นนี้ย่อมเลื่อมใสพวกเขา  แล้วคนเราจะสามารถแยกแยะได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะหรือไม่?  อันดับแรกเลยก็คือ คนเราต้องดูที่ว่าพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  ตรงไหนที่เรื่องนี้จะประจักษ์ชัด?  (เจตนาและจุดเริ่มต้นของพวกเขาเมื่อทำสิ่งทั้งหลาย)  นี่เป็นส่วนหนึ่งของการนั้น  โดยหลักแล้วนั่นจะประจักษ์ชัดในเป้าหมายที่พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้า  หากเป็นเพื่อประโยชน์แห่งการได้รับความจริง พวกเขาย่อมจะให้ความสำคัญกับการอ่านพระวจนะของพระเจ้าบ่อยๆ การเข้าใจความจริง และการรู้จักตนเองผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า  หากพวกเขาสามัคคีธรรมการรู้จักตนเองบ่อยครั้ง พวกเขาย่อมจะสามารถเห็นได้ว่าพวกเขาขาดพร่องหลายสิ่งมากเกินไป ไม่มีความจริง และโดยธรรมชาติแล้วจะเพียรพยายามที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  ยิ่งผู้คนรู้จักตนเองมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้มากขึ้นเท่านั้น  พวกที่กล่าวและทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะอยู่เสมอไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างชัดเจน  เมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาไม่ยอมรับการนั้น—พวกเขากลัวเป็นอย่างยิ่งว่าความมีหน้ามีตาของตนจะเสียหาย  แล้วพวกเขาสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับการพิพากษาและการตีสอนและทบทวนตัวเองได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถเข้าใจความเบี่ยงเบนในประสบการณ์ของตนเองได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  หากพวกเขาไม่มีการสำแดงเหล่านี้เลย เช่นนั้นแล้วคนเราย่อมสามารถแน่ใจได้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  จงบอกเราที คนที่ไม่รักความจริงและคนที่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะมีการสำแดงอื่นใด?  (เมื่อผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์พวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์นั้น แต่กลับปกป้องตนเองขึ้นมา แก้ต่างให้ตัวเอง และให้เหตุผล  พวกเขาพูดเพื่อที่จะรักษาความภาคภูมิใจของตนและปกปักรักษาสถานะของตน  หากใครบางคนไม่สนับสนุนพวกเขา พวกเขาก็โจมตีและตัดสินคนเหล่านั้น)  เมื่อผู้คนโจมตีและตัดสินผู้อื่น และพูดและปกป้องตัวเองเพื่อประโยชน์แห่งความภาคภูมิใจและสถานะของตนเอง เจตนาและเป้าหมายเบื้องหลังการกระทำของพวกเขาย่อมผิดอย่างเห็นได้ชัด และพวกเขาย่อมกำลังมีชีวิตอยู่เพื่อสถานะทั้งสิ้น  คนจำพวกที่พูดและทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์แห่งสถานะมีการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขามีการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาก็ต้องปฏิบัติความจริง และหากพวกเขาปฏิบัติความจริง พวกเขาก็ต้องทนทุกข์และยอมลำบาก  เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสูญเสียความชื่นชมยินดีที่มาพร้อมสถานะ และย่อมจะไม่สามารถชื่นชมประโยชน์แห่งสถานะได้  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะเพียงแค่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ และไล่ตามไขว่คว้าการได้รับบำเหน็จ  คนที่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะสำแดงตนออกมาในหนทางอื่นใดบ้าง?  พวกเขาทำสิ่งอื่นใดอีก?  (หากพวกเขาเห็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษบางคนรอบๆ ตัวพวกเขาที่ได้รับมอบหมายให้ไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่า และผู้ที่ควรค่ากับการเลี้ยงดู และผู้ที่พี่น้องชายหญิงเอนเอียงที่จะสนับสนุนมากกว่า เช่นนั้นแล้วเนื่องจากความกลัวว่าคนเหล่านี้จะลุกขึ้นมาแทนที่พวกเขา และคุกคามสถานะของพวกเขา พวกเขาย่อมคิดถึงหนทางที่จะกดข่มบุคคลที่มีความสามารถพิเศษเหล่านี้ รวมทั้งหาเหตุผลและข้อแก้ตัวทุกจำพวกเพื่อกดบุคคลเหล่านี้ให้ต่ำกว่าตัวเอง  หนทางทั่วไปที่พบมากที่สุดคือการตราหน้าพวกเขาว่าโอหังมากเกินไป คิดว่าตนถูก และจำกัดควบคุมผู้อื่นอยู่เสมอ และทำให้ผู้คนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง และไม่ยอมให้พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมหรือเลี้ยงดูบุคคลเหล่านี้)  นี่คือการสำแดงทั่วไปที่พบมากที่สุด  มีอะไรที่เจ้าต้องการเสริมอีกไหม?  (พวกเขาชอบที่จะเป็นพยานยืนยันให้ตัวเองและอวดตัวอยู่เสมอ  พวกเขาพูดถึงสิ่งที่วิเศษบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองอยู่เสมอ พวกเขาไม่เคยพูดถึงด้านที่น่าเกลียดของตน และหากพวกเขาทำบางสิ่งที่แย่ พวกเขาก็ไม่ทบทวนหรือชำแหละการกระทำของตน)  พวกเขาพูดอยู่เสมอว่าพวกเขาทนทุกข์และยอมลำบากอย่างไร พระเจ้าทรงนำพวกเขาอย่างไร และแสดงให้เห็นงานที่พวกเขาได้ทำไป  นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของหนทางที่การคุ้มครองและการทำให้สถานะมั่นคงสำแดงออกมาอีกด้วย  คนที่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะและทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะมีลักษณะนิสัยอีกอย่างหนึ่งที่เด่นชัดที่สุด ซึ่งก็คือไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกเขาต้องมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสถานะเพราะพวกเขาต้องการมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย  พวกเขาต้องการเป็นผู้ที่ฟันธงและบุคคลผู้เดียวที่มีสิทธิอำนาจ  ไม่สำคัญว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ทุกคนต้องรับฟังพวกเขา และไม่สำคัญว่าใครมีประเด็นปัญหาอะไร คนเหล่านั้นต้องมาหาพวกเขาเพื่อแสวงหาและขอคำแนะนำ  สิ่งที่พวกเขาต้องการชื่นชมคือผลประโยชน์แห่งสถานะเหล่านี้  ไม่สำคัญว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร พวกเขาต้องมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย  ไม่สำคัญว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวจะถูกหรือผิด ต่อให้สิ่งนั้นผิด พวกเขาก็ยังคงต้องมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย และต้องทำให้ผู้อื่นรับฟังและเชื่อฟังพวกเขา  นี่เป็นปัญหาที่รุนแรงปัญหาหนึ่ง  ไม่สำคัญว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร พวกเขาต้องมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย ไม่สำคัญว่าจะเป็นสถานการณ์ที่พวกเขาเข้าใจหรือไม่ก็ตาม พวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีส่วนร่วมในสถานการณ์นั้นและมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย  ไม่สำคัญว่าผู้นำและคนทำงานกำลังสามัคคีธรรมประเด็นปัญหาใด พวกเขาต้องตัดสินใจ และไม่มีช่องว่างให้ผู้อื่นได้พูด  ไม่สำคัญว่าพวกเขาแนะนำทางออกใด พวกเขาต้องทำให้ทุกคนยอมรับทางออกนั้น และหากผู้อื่นไม่ยอมรับทางออกนั้น พวกเขาย่อมโกรธขึ้นมาและตัดแต่งทุกคน  หากมีใครมีคำวิพากษ์วิจารณ์หรือความเห็น ต่อให้คำวิพากษ์วิจารณ์หรือความเห็นนั้นถูกต้องและเป็นไปตามความจริง พวกเขาย่อมจำเป็นที่จะต้องคิดถึงหนทางทุกรูปแบบที่จะคัดค้านคำวิพากษ์วิจารณ์หรือความเห็นนั้น  พวกเขาเก่งในเรื่องเหตุผลอันชาญฉลาดเป็นพิเศษ จะโน้มน้าวบุคคลอื่นด้วยคำพูดที่รื่นหู และทำให้บุคคลอื่นเหล่านั้นทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของพวกเขาในท้ายที่สุด  พวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายในทุกสิ่งทุกอย่าง  พวกเขาไม่เคยเจรจาต่อรองกับเพื่อนร่วมงานหรือคู่ทำงานของตน พวกเขาไม่ถือหลักประชาธิปไตย  นี่ย่อมเพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและคิดว่าตนถูกมากเกินไป ไม่สามารถยอมรับความจริงได้แม้แต่น้อย และไม่นบนอบความจริงแม้แต่น้อย  หากเกิดบางสิ่งที่ใหญ่โตขึ้น หรือบางสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด และพวกเขาสามารถยอมให้ทุกคนทำการประเมินและออกความเห็นของตน และตกลงกันถึงวิธีการปฏิบัติตามความเห็นส่วนใหญ่ในท้ายที่สุด และมั่นใจว่านั่นจะไม่สร้างความเสียหายต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า และนั่นจะเป็นประโยชน์ต่องานโดยรวม—หากนี่เป็นท่าทีของพวกเขา เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมเป็นใครบางคนที่คุ้มครองงานของพระนิเวศของพระเจ้า และเป็นใครบางคนที่ยอมรับความจริง เนื่องจากมีหลักธรรมเบื้องหลังการทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้  อย่างไรก็ดี คนที่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะจะทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้หรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาจะทำสิ่งทั้งหลายอย่างไร?  หากเกิดบางสิ่งขึ้น พวกเขาจะไม่ใส่ใจว่าผู้คนอื่นๆ มีคำแนะนำใด  พวกเขาจะมีทางออกหรือการตัดสินใจอยู่ในใจมาก่อนที่ผู้คนจะแบ่งปันคำแนะนำของพวกเขานานแล้ว  ในหัวใจของพวกเขานั้นพวกเขาจะตัดสินใจไปแล้วว่านั่นคือสิ่งที่พวกเขาจะทำ  ที่จุดนี้ ไม่สำคัญว่าผู้คนพูดสิ่งใด พวกเขาจะไม่ใส่ใจกับสิ่งนั้น  ต่อให้ใครบางคนติติงพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย  พวกเขาไม่คำนึงถึงหลักธรรมความจริง ว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรหรือไม่ หรือว่าพี่น้องชายหญิงสามารถยอมรับสิ่งนั้นได้หรือไม่  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายในขอบเขตที่พวกเขาคำนึงถึง  พวกเขาคำนึงถึงสิ่งใด?  พวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย พวกเขาต้องการเป็นผู้ที่ตัดสินใจในเรื่องนี้ เรื่องนี้ต้องทำในหนทางของพวกเขา พวกเขาต้องดูว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อสถานะของพวกเขาหรือไม่  นี่คือมุมมองที่พวกเขาใช้มองเรื่องทั้งหลาย  นี่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เมื่อคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาคำนึงถึงสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ของตนเองอยู่เสมอ พวกเขาคำนึงถึงอยู่เสมอว่าการนี้เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างไร  นี่คือจุดเริ่มต้นสำหรับการทำสิ่งทั้งหลายของพวกเขา

บางคนมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  จริงๆ แล้วมีบางคนที่เป็นเช่นนี้  ในเรื่องของการสำแดงหลักของพวกเขา ประเภทแรกคือการทำสิ่งทั้งหลายก็เพื่อประโยชน์แห่งการทำสิ่งเหล่านั้น พวกเขาชอบทำงานและอยู่นิ่งๆ ไม่ได้  ตราบที่พวกเขายุ่งกับการทำบางสิ่ง พวกเขาย่อมมีความสุข มีสำนึกรับรู้ถึงความสำเร็จลุล่วง และรู้สึกเป็นจริง  การสำแดงประเภทที่สองคือการทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ  คนประเภทนี้มีความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีที่แรงกล้าเป็นพิเศษ  พวกเขาต้องการควบคุมและเอาชนะใจผู้คนอยู่เสมอ และพึงปรารถนาที่จะแทนที่พระเจ้าอยู่เป็นนิตย์  การพึงปรารถนาที่จะแทนที่พระเจ้า—นี่สัมพันธ์กับการไล่ตามไขว่คว้าแบบใดของเปาโล?  (การไล่ตามไขว่คว้าที่จะกลายเป็นพระคริสต์ของเขา)  จุดมุ่งหมายในการไล่ตามไขว่คว้าสถานะของพวกเขาไม่ใช่เพียงการเป็นใครบางคนที่เหนือคนอื่นขาดลอย เป็นใครบางคนที่มีสถานะซึ่งผู้อื่นให้ความเคารพเทิดทูน  เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือการสามารถเอาชนะใจและควบคุมผู้คนได้ ทำให้ผู้อื่นให้ความเคารพเทิดทูนพวกเขาและปฏิบัติต่อพวกเขาดังเช่นพระเจ้า และทำให้ทุกคนติดตามพวกเขา นบนอบพวกเขา และเชื่อในตัวพวกเขา  ทั้งหมดนี้บอกเป็นนัยถึงสิ่งใด?  ว่าพวกเขาจะกลายเป็นพระเจ้าในหัวใจของผู้คน  นี่ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับเป็นการไล่ตามไขว่คว้าซาตาน  การไล่ตามไขว่คว้าสถานะไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการไล่ตามไขว่คว้างานและความมีหน้ามีตาก็ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน  มีการสำแดงอื่นใดอีก?  (พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าพระพร)  ถูกต้อง  พวกเขายอมลำบาก สละตนเอง ทนทุกข์ และสามารถละทิ้งผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเองในเรื่องทุกจำพวกได้ แต่พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อที่จะได้รับพระพร  พวกเขาสำแดงตนออกมาในหนทางนี้เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพระพรและการมีบั้นปลายที่ดีเท่านั้น  นี่ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน  นี่คือหนทางที่สามซึ่งคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงสำแดงตนออกมา  พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายและทนทุกข์เพื่อที่จะได้รับพระพรและเพื่อประโยชน์แห่งบั้นปลายของตน โดยทุ่มทุนไม่อั้นแม้แต่น้อย เหมือนกันไม่มีผิดกับเปาโล  จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลายชัดเจน กล่าวคือ สิ่งใดก็ตามที่สำคัญที่สุดและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการได้รับพระพร นั่นคือสิ่งที่พวกเขามุ่งความสนใจทำเพียงอย่างเดียว  ตราบที่พวกเขาได้รับความเห็นชอบและการสนับสนุนจากพี่น้องชายหญิง นั่นย่อมดีแล้ว  พวกเขามุ่งความสนใจไปกับเรื่องที่ว่าทุกคนมองพวกเขาอย่างไร เบื้องบนมองพวกเขาอย่างไร รวมทั้งพวกเขาอยู่ในพระทัยของพระเจ้าหรือไม่เท่านั้น  ตราบที่เป็นที่แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับพระพรและได้รับบำเหน็จ นั่นย่อมดีแล้ว  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยใช้ความจริงเพื่อประเมินวัดสิ่งที่พวกเขาทำ และไม่เคยละทิ้งความปรารถนาที่จะได้รับพระพร พวกเขาไม่นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมของพระเจ้า  หากพวกเขาทำบางสิ่งไม่ดีและถูกตัดแต่ง หากเบื้องบนไม่พอใจพวกเขา และพวกเขามองว่าไม่มีความหวังที่จะได้รับพระพรหรืออาจเป็นได้ว่าจะไม่ได้รับบั้นปลายที่ดี พวกเขาก็จะกลายเป็นคิดลบและเลิกล้มไป ไม่ต้องการที่จะทำหน้าที่ของตน  มีแม้กระทั่งบางคนที่ไม่ต้องการที่จะเชื่อเอาเสียเลย พวกเขาคิดว่าไม่มีประโยชน์ในการเชื่อในพระเจ้า  การไล่ตามไขว่คว้าสามวิธีการข้างต้นล้วนแต่เป็นเส้นทางที่พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเดิน  มีคนประเภทนี้จำนวนมากพอประมาณในคริสตจักรทุกแห่ง และพวกเขาทั้งหมดคือคนที่ไม่รักความจริง  ไม่สำคัญว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ใด พวกเขาเชื่อมโยงหน้าที่นั้นกับผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง การได้รับพระพร และการได้รับบำเหน็จอยู่เสมอ และไม่เคยเชื่อมโยงหน้าที่นั้นกับการเข้าสู่ชีวิตของตน การเข้าใจความจริง หรือการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน  ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลากี่ปีแล้ว หรือพวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนมาเป็นเวลากี่ปีแล้ว พวกเขาไม่เคยไล่ตามเสาะหาการรู้จักตนเอง ไม่เคยไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิต และไม่เคยไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้าหรือการนบนอบพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเขากำลังทำอะไรก็ตาม พวกเขาไม่แสวงหาความจริง  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเผยให้เห็นความเสื่อมทรามใด พวกเขาไม่สรุปความเชื่อมโยงระหว่างความเสื่อมทรามนั้นกับความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเขากำลังทำอะไรก็ตาม ความตั้งใจของพวกเขาก็เห็นแก่ตัวและต่ำช้า ล้วนมุ่งไปที่การรักษาพระพรและผลประโยชน์ส่วนตัวไว้  ไม่ว่าพวกเขาถูกตัดแต่งอย่างไรพวกเขาก็ไม่ทบทวนตัวเอง และคิดว่าพวกเขาถูกต่อไป  คนประเภทนี้แทบจะไม่คิดลบ  พวกเขาไม่กลัวความทุกข์ไม่ว่าปริมาณเท่าใดหากนั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้รับพระพรและเข้าสู่ราชอาณาจักร  จริงๆ แล้วพวกเขามีความพากเพียร แต่การยอมรับความจริงเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขา  พวกเขายอมตายเสียดีกว่าที่จะทบทวนตัวเองและรู้จักตัวเอง  และพวกเขาก็คิดว่าพวกเขากำลังทำได้ค่อนข้างดี  คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีการสำแดงอีกอย่าง กล่าวคือ บางคนได้รับฟังคำเทศนามามากมายแล้ว แต่ไม่สนใจความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงหรือพระวจนะของพระองค์ที่เปิดโปงสภาวะนานาสารพันของผู้คน  ต่อให้พวกเขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่สนใจ  หากพวกเขาไม่สนใจแล้วเหตุใดพวกเขาจึงยังคงเชื่อในพระเจ้า?  แน่นอนที่สุดว่าพวกเขามีความคิดที่คลุมเครือและไม่เป็นความจริงจำพวกหนึ่งในหัวใจของตน  พวกเขากล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าบนโลกทรงสามารถทำอะไรได้  ฉันบอกไม่ได้  ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงสามารถสามัคคีธรรมความจริงเป็นหลัก  ฉันไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เรียกกันว่าความจริงเหล่านี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่พระองค์ตรัสก็ค่อนข้างดี และทำให้ผู้คนเดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง  อย่างไรก็ตาม ฉันบอกไม่ได้หรอกว่าอันที่จริงแล้วพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่”  ในเมื่อพวกเขากังขาพระเจ้ามากเหลือเกิน เหตุใดพวกเขาจึงยังอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าแทนที่จะผละจากไป?  เป็นเพราะพวกเขามีทรรศนะที่คลุมเครือและความเพ้อฝันในหัวใจของตน  พวกเขาคิดว่า “หากฉันฆ่าเวลาอยู่ที่นี่ต่อไป ในท้ายที่สุดแล้วฉันอาจจะหลีกหนีความตายได้ และเข้าสู่สวรรค์และได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่ในที่สุด”  ดังนั้นขณะที่ผู้อื่นไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและยอมรับการถูกตัดแต่ง พวกเขาอยู่ตรงนั้นกำลังอธิษฐานถึงพระเจ้าในสวรรค์โดยพูดว่า “โอ พระเจ้า ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้ผ่านพ้นความลำบากยากเย็นเหล่านี้ และทำให้ข้าพระองค์สามารถยอมรับการถูกตัดแต่งด้วยเถิด  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์”  เจ้าได้ยินว่าคำพูดที่พวกเขาอธิษฐานนั้นไม่ผิด แต่พวกเขาก็ไม่เคยยอมรับว่ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือคิดผิด  ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขายอมรับพระเจ้าในสวรรค์เท่านั้น  ในเรื่องของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก—พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์—และพระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้า พวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย ราวกับสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา  การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเรียบง่ายและว่างเปล่าอย่างนี้นี่เอง  ไม่ว่าผู้อื่นพูดถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์และความจำเป็นที่จะต้องไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอย่างไร พวกเขาก็คิดรำพึงว่า “เป็นอย่างไรล่ะที่พวกคุณล้วนแต่ถูกทำให้เสื่อมทรามมากแต่ฉันกลับไม่เป็นเช่นนั้น?”  พวกเขาคิดว่าพวกเขาเพียบพร้อมและไร้ข้อตำหนิ และไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  บางครั้งพวกเขาก็มีอคติหรือดูแคลนผู้อื่น แต่พวกเขาพิจารณาว่าเรื่องนี้ปกติ คิดว่านี่ก็เป็นแค่ความคิดไม่ดีและจะหายไปเองหากพวกเขากดเรื่องนี้เอาไว้  หรือเวลาที่พวกเขาเห็นคนอื่นกบฏต่อพระเจ้า พวกเขาก็คิดว่า “ฉันไม่เคยกบฏต่อพระเจ้า  ความรักที่ฉันมีให้กับพระองค์ในหัวใจของฉันไม่เคยสั่นคลอน”  พวกเขาเพียงแค่กล่าวไม่กี่ประโยคเหล่านี้และไม่ทบทวนตัวเองและไม่รู้วิธีปฏิบัติตนตามหลักธรรม  คนเยี่ยงนี้ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงยังคงคิดว่าตัวเองดีมากขนาดนั้น และคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ไม่ใช่เรื่องแย่?  กำลังเกิดอะไรขึ้นในที่นี้?  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รักความจริง  ตามมโนคติอันหลงผิดของผู้คน พวกเขาเป็นคนประเภทใด?  พวกเขาสำแดงตนออกมาในหนทางใด?  พวกเขาเจ้าคารม เฉลียวฉลาด เรียนรู้ได้เร็ว และมีความสามารถอันโดดเด่นที่จะเข้าใจสิ่งทั้งหลาย  พวกเขาเข้าใจสิ่งที่เจ้ากล่าวทันทีที่คำพูดนั้นออกมาจากปากของเจ้า และพวกเขาก็เข้าใจคำสอนได้เร็วเป็นพิเศษ  อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจสิ่งใด ทิศทางและจุดมุ่งหมายของการไล่ตามไขว่คว้าพระพรของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ที่มากกว่านั้น พวกเขาปฏิบัติต่อความจริงที่พวกเขาเข้าใจดังเช่นทฤษฎีทางเทววิทยา หรือดังเช่นหลักคำสอนหรือคำสอนจำพวกหนึ่ง  พวกเขาไม่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง และดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปฏิบัติหรือรับประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้น นับประสาอะไรที่จะนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ในชีวิตของตน  พวกเขายอมรับและประกาศคำสอนที่พวกเขาชอบและคำสอนที่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเท่านั้น โดยคิดว่าพวกเขาได้รับบางสิ่งบางอย่างแล้ว  การที่สามารถประกาศคำสอนและทำให้ผู้คนมากมายประทับใจคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกเขาได้รับจากการเชื่อในพระเจ้า  ในเรื่องที่ว่าพวกเขาปฏิบัติความจริงหรือมีการรู้จักตัวเองบ้างหรือไม่นั้น พวกเขาคิดว่าเหล่านี้คือเรื่องยิบย่อยที่ไม่สลักสำคัญ และการที่สามารถประกาศคำสอนฝ่ายวิญญาณ ตอบคำถาม และทำให้คนอื่นเลื่อมใสพวกเขาได้คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุด และเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขามีคุณสมบัติที่จะชื่นชมผลประโยชน์แห่งสถานะ  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ใส่ใจการปฏิบัติความจริง พวกเขาไม่ทบทวนตัวเอง และพึงพอใจกับการที่สามารถประกาศคำเทศนาที่สูงส่งได้เท่านั้น  ปัญหานี้ค่อนข้างรุนแรง รุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ในพวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากพวกเขารู้อย่างชัดเจนว่านั่นคือความจริง แต่ไม่ปฏิบัติหรือรับประสบการณ์กับความจริงนั้น  นี่คือใครบางคนที่รังเกียจความจริงและล้อเล่นกับความจริง  ธรรมชาติของปัญหานี้ไม่ร้ายแรงมากหรอกหรือ?

ทีนี้พวกเจ้าสามารถแยกแยะคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้ใช่ไหม?  พวกเจ้าสำแดงตนออกมาเช่นคนประเภทนี้ในหนทางใดๆ หรือไม่?  (สำแดง โดยหลักแล้วในการที่ข้าพระองค์ทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ)  การกล่าวสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะและการทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ—ทุกสิ่งทุกอย่างวนเวียนอยู่กับสถานะ นี่ย่อมเป็นปัญหา  เป็นไปได้หรือที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นนี้?  อะไรคือการสำแดงถึงการทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ?  โดยหลักแล้ว นั่นเกี่ยวข้องกับการมุ่งความสนใจไปที่หน้าตา ภาพลักษณ์ และศักดิ์ศรีของตนเอง ตลอดจนสถานะที่คนเราครองในหัวใจของผู้อื่น—ผู้อื่นยกย่องบูชาและให้ความเคารพเทิดทูนพวกเขาหรือไม่  ไม่ว่าพวกเขาทำอะไรก็ตาม พวกเขาใส่ใจกับแง่มุมเหล่านี้เท่านั้น ไม่เคยยกย่องหรือเป็นพยานยืนยันให้แด่พระเจ้าเลย  ตัวอย่างเช่น เมื่อใครบางคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงพบกับผู้เชื่อรายใหม่ พวกเขาก็คิดในหัวใจว่า “คุณได้เชื่อในพระเจ้ามาไม่กี่ปีเท่านั้น คุณไม่เข้าใจอะไรเลย” แล้วก็ดูแคลนพวกเขา  หากผู้เชื่อรายใหม่คนนั้นต้องการแสวงหาความจริง พวกเขาก็จะพิจารณารูปลักษณ์ของผู้เชื่อรายใหม่คนนั้น วิธีที่เขาพูด รวมทั้งพิจารณาว่าพวกเขาชอบเขาหรือไม่เป็นอันดับแรก  หากผู้เชื่อรายใหม่คนนั้นมีขีดความสามารถแย่ พวกเขาก็จะไม่เต็มใจที่จะสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็แค่จะเสนอคำพูดหนุนใจไม่กี่คำแล้วก็ทิ้งไว้แค่นั้น  ในที่นี้อะไรคือปัญหา?  (พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้เป็นผู้เชื่อมาหลายปีแล้วและมีต้นทุน ดังนั้นพวกเขาจึงเบ่งความอาวุโสของตนไปทั่ว)  ต้นทุนนี้เป็นการสำแดงถึงการยืนยันสถานะของพวกเขา  เมื่อมีต้นทุน พวกเขาย่อมรู้สึกมีสิทธิ์ที่จะพูดจากตำแหน่งตามสถานะ—สถานะที่มอบให้ตนเอง ผู้อื่นไม่ได้มอบให้พวกเขา  คนเช่นนี้ที่ทำงานและพูดคุยในลักษณะนี้ใช่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเจ้าสำแดงตนออกมาในหนทางนี้หรือไม่?  เจ้าพูดว่า “ฉันได้เชื่อในพระเจ้ามาสิบปีแล้ว  การจับคู่ฉันกับใครบางคนที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาสองปีเท่านั้นไม่ใช่การดูหมิ่นฉันหรอกหรือ?  ฉันไม่ต้องการพูดคุยกับพวกเขาเสียด้วยซ้ำ  พูดแค่คำเดียวฉันก็หมดกำลังแล้ว  พวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลย!”  นี่มีต้นตอมาจากการถูกอุปนิสัยอันโอหังครอบงำ  หากเจ้าไม่ได้มีหัวใจที่เห็นคุณค่าของสถานะ ไม่ได้จัดอันดับคนตามประสบการณ์หรือความอาวุโส และไม่ได้คิดว่าเจ้ามีต้นทุน เช่นนั้นแล้วเจ้าจะปฏิบัติต่อใครบางคนในหนทางนี้หรือไม่?  เป็นที่ชัดเจนว่าเนื่องจากการมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่ในตัวเจ้า การสำแดงถึงหนทางที่เจ้าปฏิบัติต่อผู้คนจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ซึ่งเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า การไล่ตามไขว่คว้าของเจ้า และสิ่งที่ฝังลึกในหัวใจของเจ้า  มีการสำแดงถึงการกระทำการเพื่อประโยชน์แห่งสถานะอีกอย่างหนึ่ง  ตัวอย่างเช่น บางคนที่ได้มาซึ่งความรู้เชิงวิชาชีพหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม เวลาที่เสวนาถึงความรู้สาขานี้ หากผู้อื่นพูดก่อน พวกเขาก็หัวเสียและคิดว่า “พวกคุณพูดโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร?  ต่อให้มีความยิ่งใหญ่มาอยู่ตรงหน้า พวกคุณก็ไม่รู้หรอก!”  พวกเขากล่าวว่า “ฉันเรียนวิชาเอกสาขานี้ในมหาวิทยาลัยและทุ่มเทอุทิศการวิจัยทั้งหมดของฉันให้กับประเด็นปัญหาเหล่านี้  หลังจบการศึกษา ฉันได้ทำงานในสาขานี้หลายปี  ฉันได้ทิ้งวิชาชีพนี้มาเกินสิบปีแล้วตั้งแต่เชื่อในพระเจ้า แต่ถึงจะหลับตาฉันก็จำทุกอย่างเกี่ยวกับวิชาชีพนี้ได้  ฉันไม่ชอบพูดคุยเรื่องนี้ ดูเหมือนราวกับว่าฉันกำลังโอ้อวด”  เจ้าคิดอย่างไรกับคำพูดเหล่านี้?  คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดของนักวิชาการผู้ไม่มีความเชื่อ และถูกพูดออกมาบนพื้นฐานของปรัชญาเยี่ยงซาตาน ทำให้พวกเขาดูมีความรู้และได้รับความเห็นชอบจากทุกคน  พวกเขากล่าวอ้างว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะโอ้อวด แต่นั่นคือสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่อย่างไม่ผิดเพี้ยน ก็แค่ในลักษณะที่มีทักษะมากขึ้น  พวกเขากล่าวถึงต้นทุนที่พวกเขามี อย่างจำนวนปีที่พวกเขาศึกษาวิชาชีพนี้และสิ่งที่พวกเขาได้รับ โดยใช้วิธีการนี้เพื่อส่งสารว่าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น  การเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาหนึ่งจำเป็นต้องหมายความว่าเจ้าเข้าใจสาขาวิชานั้นหรือไม่?  หากเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานในพระนิเวศของพระเจ้า นี่ใช่วิธีการที่เจ้าต้องใช้หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วเจ้าควรทำอย่างไร?  (แสวงหาความจริง เสวนาและแสวงหาร่วมกันกับพี่น้องชายหญิง)  ทุกคนควรแสวงหาร่วมกัน  เจ้ากล่าวว่า “ฉันจำเป็นต้องซื่อสัตย์  ฉันทำงานในวิชาชีพนี้หลายปีและรู้เกี่ยวกับวิชาชีพนี้อยู่บ้าง แต่ฉันไม่รู้หลักธรรมเบื้องหลังวิธีที่พระนิเวศของพระเจ้าใช้ประโยชน์จากวิชาชีพนี้  ฉันไม่รู้ว่าความรู้ที่ฉันมีนั้นมีประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่—พวกเราสามารถเสวนาความรู้นี้ร่วมกันได้  ฉันจะบอกพวกคุณเกี่ยวกับพื้นฐานของสาขานี้สักหน่อย”  นี่คือวิธีพูดอย่างมีเหตุผล  แม้ว่าพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพนี้ แต่พวกเขาก็ถ่อมใจและไม่เย่อหยิ่งจองหอง  พวกเขาไม่ได้กำลังแสร้งทำ พวกเขาต้องการที่จะทำงานให้ดีอย่างแท้จริง รวมทั้งแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้และสิ่งที่พวกเขารู้กับทุกคน โดยไม่อุบสิ่งใดเอาไว้เลย  พวกเขาก็กำลังทำเช่นนี้อย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์แห่งการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ไม่ว่าผู้อื่นมองหรือปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร  พวกเขาก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์แห่งการสนองน้ำพระทัยพระเจ้า และเพื่อประโยชน์แห่งการได้รับความจริงและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์  ดังนั้นในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาทุกแง่มุม พวกเขาจึงพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและใส่ใจต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง  ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำสิ่งใด พวกเขาย่อมสามัคคีธรรมกับทุกคนก่อน จากนั้นก็เสวนาการนั้นร่วมกันเพื่อบรรลุฉันทามติ ยอมให้พี่น้องชายหญิงมีส่วนร่วมการแบ่งปันแนวคิดและความพยายาม โดยที่ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันในการทำงานให้เสร็จสิ้นเป็นอย่างดี  เจ้าคิดอย่างไรกับวิธีการนี้?  มีเพียงคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่จะทำการนี้ในหนทางนี้  แม้ว่าไม่ว่าอย่างไรเสียพวกเขาก็เชื่อในพระเจ้า แต่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและพวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นสำแดงตนออกมาในหนทางที่แตกต่างกัน  คนจำพวกใดน่าขยะแขยง?  (คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงน่าขยะแขยง)  ไม่มีความจำเป็นต้องโอ้อวดหากเจ้ารู้เกี่ยวกับบางอาชีพอยู่บ้าง และไม่มีความจำเป็นต้องดูเบาหรือจำกัดควบคุมผู้อื่นหากเจ้ารู้เกี่ยวกับอาชีพนั้นอยู่บ้างเช่นกัน  บางคนมองไม่เห็นหัวผู้อื่นเมื่อพวกเขากลายเป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาเดินเหินและพูดคุยด้วยอากัปกิริยาที่เสแสร้ง โดยถึงขั้นวางท่าเป็นเจ้าใหญ่นายโต  การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้น่าขยะแขยงยิ่งขึ้นไปอีก  ต่อให้เจ้ามีสถานะอยู่บ้างก็ไม่มีความจำเป็นต้องโอ้อวดหรือหยิ่งผยอง  เจ้าควรกระทำการอย่างรับผิดชอบเพื่อนำพี่น้องชายหญิงให้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี  นี่คือความรับผิดชอบของเจ้าและเป็นสิ่งที่เจ้าควรสำเร็จลุล่วง  ที่มากกว่านั้น หากเจ้ามีความเป็นมนุษย์และจงรักภักดี เจ้าต้องมีความรับผิดชอบเมื่อทำสิ่งทั้งหลาย  เจ้าควรมีความรับผิดชอบอย่างไร?  ด้วยการสามัคคีธรรมอย่างชัดเจนด้านที่คนไม่เข้าใจ ด้านที่คนโน้มเอียงที่จะทำความผิดพลาดหรือถูกชักพาให้หลงผิด และแก้ไขความผิดพลาดและความเบี่ยงเบนใดๆ ที่เกิดขึ้นให้ถูกต้อง เจ้าย่อมมั่นใจว่าทุกคนสามารถทำสิ่งทั้งหลายโดยใช้วิธีการที่ถูกต้อง เพื่อที่พวกเขาจะไม่ทำความผิดพลาดหรือถูกผู้อื่นจำกัดควบคุมอีกต่อไป  ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะลุล่วงหน้าที่ของตนแล้ว  นี่คือการมีความรับผิดชอบและจงรักภักดีในหน้าที่ของตน  ทันทีที่เจ้าได้สัมฤทธิ์การนี้แล้ว คนอื่นจะยังคงสามารถกล่าวว่าเจ้าไล่ตามไขว่คว้าสถานะได้หรือไม่?  ไม่ได้ พวกเขาไม่สามารถกล่าวได้  หลักธรรมที่เจ้าปฏิบัติถูกต้องอยู่แล้ว เช่นเดียวกับเส้นทางของเจ้า  เหล่านี้คือการสำแดงของบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง นี่คือวิธีที่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงควรปฏิบัติ  สิ่งที่ตรงข้ามนั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากพฤติกรรมที่ทำให้เสื่อมเสียนานัปการ  การต้องการที่จะโอ้อวดและได้รับการคำนึงถึงอย่างสูงส่ง แต่ก็ต้องการที่จะซ่อนเร้นและอุบสิ่งที่พวกเขารู้เอาไว้ด้วย โดยกลัวว่าหากผู้อื่นรู้สิ่งเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะไม่สามารถอวดตัวหรือได้รับการคำนึงถึงอย่างสูงส่งอีกต่อไป—นั่นเป็นกบฏยิ่งนัก!  พวกเขาไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นเฝ้าดูอยู่ในเหตุการณ์ แอบหัวเราะกับตัวเองว่า “หากฉันไม่พูด มาดูกันว่าจะมีใครที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนไหม!  ต่อให้ฉันพูดบางอย่าง ฉันก็จะไม่พูดทั้งหมด  วันนี้ฉันจะเปิดเผยนิดหน่อย และพรุ่งนี้อีกเล็กน้อย แต่ก็ยังจะไม่บอกความจริงกับพวกคุณ  ฉันจะปล่อยให้พวกคุณไปใคร่ครวญกันเอง  ไม่ง่ายหรอกนะที่จะได้บางสิ่งไปจากฉัน!  หากฉันบอกทั้งหมดที่ฉันเข้าใจกับพวกคุณ ทำให้พวกคุณเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็จะไม่เหลืออะไรน่ะสิ และพวกคุณก็จะเก่งกว่าฉัน  แล้วแบบนั้นพวกคุณจะมองฉันอย่างไรล่ะ?”  สิ่งทรงสร้างจำพวกไหนที่จะคิดเช่นนี้?  คนคนนี้มุ่งร้าย!  พวกเขาไม่มีอะไรดีเลย  พวกเขาใช่คนที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเจ้าคนใดเคยทำเช่นนี้หรือไม่?  (ข้าพระองค์เคย  โดยเฉพาะหลังจากที่ข้าพระองค์ได้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นระยะเวลานานขึ้นและได้รับผลลัพธ์บ้าง ข้าพระองค์ก็รู้สึกเหมือนข้าพระองค์มีทรัพย์สินและต้นทุนอยู่บ้าง  เมื่อคนอื่นถามว่าข้าพระองค์รู้จักวิธีการที่ดีใดๆ บ้างหรือไม่ หรือมีประสบการณ์ที่ดีใดๆ ที่จะแบ่งปันหรือไม่ ข้าพระองค์ก็ปฏิเสธ  ข้าพระองค์ใช้ชีวิตตามคำกล่าวที่เป็นพิษของซาตานว่า “ทันทีที่นักศึกษาคนหนึ่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์รู้ อาจารย์จะเสียการทำมาหากินของเขาไป”  ข้าพระองค์กลัวว่าผู้อื่นจะแซงหน้าข้าพระองค์ และแล้วข้าพระองค์ก็จะสูญเสียสถานะของข้าพระองค์)  การกลัวว่าคนอื่นจะแย่งชิงความเป็นที่สนใจไปจากเจ้าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะ  ความมีหน้ามีตาและผลประโยชน์ของตัวเองคือเป้าหมายที่ผู้คนใช้เวลาทั้งชีวิตของตนต่อสู้เพื่อให้ได้มา แต่สิ่งเหล่านี้ยังเป็นกริชสองเล่มที่ทิ่มแทงหัวใจด้วย—สิ่งเหล่านี้จะทำให้เจ้าสูญเสียชีวิตของเจ้าไป!

บางคนที่ได้ทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงคิดว่าพวกเขาได้มีส่วนร่วมแบ่งปันแล้วและมีสถานะอยู่บ้างภายในคริสตจักร  ทุกครั้งที่พวกเขาอยู่ตรงหน้าผู้อื่น พวกเขากล่าวถึงสิ่งที่ดีเหล่านี้ที่พวกเขาได้ทำ เพื่อให้ทุกคนมีการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับตัวพวกเขาใหม่อย่างสมบูรณ์—เป็นความเข้าใจเกี่ยวกับต้นทุนและสถานะของพวกเขา และความเข้าใจเกี่ยวกับความมีหน้ามีตาและตำแหน่งของพวกเขาภายในคริสตจักร  เหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้?  (เพื่อโอ้อวดและอวดตน)  แล้วอะไรคือเหตุผลที่ต้องอวดตน?  เพื่อสถาปนาตนเอง  แล้วด้วยการสถาปนาตนเองพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง?  (ทำให้คนอื่นยกย่องบูชาพวกเขา)  ทำให้คนอื่นยกย่องบูชาพวกเขา พูดถึงพวกเขาในทางที่ดี และเคารพพวกเขา  หลังจากได้รับสิ่งเหล่านี้แล้ว ในใจพวกเขารู้สึกอย่างไร?  (พวกเขาชื่นชมยินดีกับการนี้)  พวกเขาชื่นชมยินดีกับผลประโยชน์แห่งสถานะ  พวกเจ้าก็ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ด้วยหรือไม่?  อะไรเป็นเหตุให้ผู้คนมีความคิด แนวคิด และวิธีการคิดเหล่านี้?  อะไรทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น?  อะไรคือต้นตอของสิ่งเหล่านี้?  ต้นตอของสิ่งเหล่านี้ก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์นั่นเองที่ทำให้ผู้คนเผยตัวเองออกมาในหนทางนี้ และทำให้เกิดการไล่ตามไขว่คว้าจำพวกเหล่านี้  บางคนมักจะรู้สึกเหนือกว่าในพระนิเวศของพระเจ้า  ในหนทางใด?  อะไรเป็นเหตุให้พวกเขารู้สึกเหนือกว่าในลักษณะเหล่านี้?  ตัวอย่างเช่น บางคนรู้วิธีพูดภาษาต่างประเทศ และพวกเขาก็คิดว่านั่นหมายความว่าพวกเขามีพรสวรรค์และพวกเขามีทักษะ และหากพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้มีพวกเขา การที่จะขยับขยายงานของพระนิเวศของพระเจ้าก็น่าจะเป็นเรื่องยากจริงๆ  ผลก็คือ พวกเขาต้องการทำให้ผู้คนยกย่องบูชาพวกเขาทุกหนทุกแห่งที่พวกเขาไป  คนประเภทนี้นำวิธีการใดมาใช้เมื่อพวกเขาพบกับผู้อื่น?  ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขากำหนดลำดับชั้นต่างๆ ทุกจำพวกให้แก่คนที่ปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ กันในพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้นำอยู่ด้านบนสุด คนที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะทางมาเป็นลำดับสอง จากนั้นก็เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษทั่วไป และที่ด้านล่างสุดคือพวกที่ปฏิบัติหน้าที่ในการสนับสนุนทุกจำพวก  บางคนปฏิบัติต่อความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่สำคัญและหน้าที่พิเศษดังเช่นต้นทุน และปฏิบัติต่อการนี้ดังเช่นการมีความเป็นจริงความจริง  ในที่นี้อะไรคือปัญหา?  นี่ไม่ไร้เหตุผลหรอกหรือ?  การปฏิบัติหน้าที่พิเศษบางอย่างทำให้พวกเขาโอหังและหยิ่งผยอง และพวกเขาก็ดูแคลนทุกคน  เมื่อพวกเขาพบกับใครบางคน สิ่งแรกที่พวกเขาทำอยู่เสมอคือถามว่าใครคนนั้นปฏิบัติหน้าที่ใด  หากคนคนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ทั่วไป พวกเขาย่อมดูแคลนคนคนนี้ และคิดว่าคนคนนี้ไม่ควรค่ากับความใส่ใจจากพวกเขา  เมื่อคนคนนี้ต้องการสามัคคีธรรมกับพวกเขา ภายนอกนั้นพวกเขาเห็นพ้องด้วยกับเรื่องนี้ แต่กลับคิดในใจว่า “คุณต้องการสามัคคีธรรมกับฉันหรือ?  คุณเป็นแค่คนคนหนึ่งที่ไม่สำคัญอะไร  ดูที่หน้าที่ที่คุณปฏิบัติสิ—คุณจะควรค่ากับการพูดคุยกับฉันได้อย่างไร?”  หากหน้าที่ที่คนคนนี้ปฏิบัติสำคัญกว่าหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาก็ยกยอคนคนนี้และอิจฉาคนคนนี้  เมื่อพวกเขาเห็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาก็พินอบพิเทาและยกยอคนเหล่านั้น  พวกเขามีหลักธรรมในหนทางที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คนหรือไม่?  (ไม่มี  พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คนตามหน้าที่ที่ผู้คนเหล่านั้นปฏิบัติ และตามลำดับชั้นที่แตกต่างกันนานาสารพันที่พวกเขากำหนด)  พวกเขาจัดลำดับผู้คนตามประสบการณ์และความอาวุโสของผู้คนเหล่านั้น และตามความสามารถพิเศษและพรสวรรค์ของผู้คนเหล่านั้น  ข้อเท็จจริงใดถูกเผยให้เห็นด้วยวิธีที่พวกเขาจัดลำดับผู้คนในหนทางนี้?  วิธีการเช่นนี้เผยให้เห็นการไล่ตามเสาะหาของคนคนหนึ่ง การเข้าสู่ชีวิตของคนคนหนึ่ง แก่นแท้ธรรมชาติของคนคนหนึ่ง และคุณภาพของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  เมื่อบางคนเห็นผู้นำระดับสูงขึ้นไป พวกเขาก็พยักหน้าและโค้งคำนับเล็กน้อย และก็สุภาพ  เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนที่มีความสามารถบางอย่าง มีพรสวรรค์ มีทักษะในการพูด ได้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญในพระนิเวศของพระเจ้า หรือผู้ที่เบื้องบนได้ส่งเสริมและมองว่าสำคัญ พวกเขาก็พูดอย่างสุภาพเป็นพิเศษ  เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนที่มีขีดความสามารถต่ำหรือผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ทั่วไป พวกเขาก็ดูแคลนคนเหล่านั้นและปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นราวกับว่าพวกเขาไม่ปรากฏแก่ตา—หนทางที่พวกเขาปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นแตกต่างออกไป  พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ?  “คนอย่างคุณยังคงเป็นชนชั้นล่างอยู่ดีแม้ว่าคุณเชื่อในพระเจ้าก็ตาม แต่คุณก็ยังคงต้องการพูดคุยราวกับว่าคุณอยู่ระดับเดียวกับฉัน และสามัคคีธรรมกับฉันเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตและการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  คุณไม่เหมาะที่จะทำเช่นนั้นหรอก!”  นี่คืออุปนิสัยใด?  ความโอหัง ความเลวทราม และความชั่ว  ผู้คนประเภทนี้มีมากหรือไม่ในคริสตจักร?  (มีมาก)  พวกเจ้าใช่คนประเภทนี้หรือไม่?  (ใช่)  การปฏิบัติต่อคนแตกต่างกันบนพื้นฐานที่ว่าพวกเขาเป็นใคร—สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรที่เป็นการสำแดงของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด? (พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าสถานะ)  พฤติกรรม การเผย และการสำแดงตามปกติของคนสามารถแสดงให้เห็นความคิด ทรรศนะ เจตนา และการไล่ตามไขว่คว้าทั้งหมดที่พวกเขามี ตลอดจนเส้นทางที่พวกเขาเดิน  สิ่งที่เจ้าเผยออกมา และสิ่งที่เจ้าสำแดงเป็นประจำ คือสิ่งที่เจ้าไล่ตามไขว่คว้า—การไล่ตามไขว่คว้าของเจ้าถูกเปิดโปง  แม้ว่าคนประเภทนี้มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า สรุปความเชื่อมโยงกับพระวจนะของพระองค์ และเปรียบเทียบพระวจนะของพระองค์กับสภาวะของตนเองได้ แต่ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นพวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริง และไม่จัดการกับสิ่งนั้นโดยใช้ความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักธรรมของตน  ตรงกันข้าม พวกเขากลับจัดการกับสิ่งนั้นและกระทำการโดยอิงตามมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน เจตนา วัตถุประสงค์ และความอยากได้อยากมีของตนเอง ตลอดจนความเลือกชอบของตนเอง  คนเยี่ยงนี้สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  หัวใจของพวกเขายังคงเก็บงำหลักธรรมและวิธีการที่คนที่ไม่เชื่อมีสำหรับการจัดการกับโลก พวกเขายังคงจัดลำดับผู้คนตามประสบการณ์และความอาวุโสของผู้คนเหล่านั้น รวมทั้งกำหนดลำดับชั้นต่างๆ ทุกจำพวกให้แก่ผู้คนในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาไม่ใช้ความจริงเพื่อประเมินวัดผู้คน แต่ในทางกลับกันประเมินวัดผู้คนโดยใช้ทรรศนะและมาตรฐานของพวกที่ไม่เชื่อ  นี่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แม้ว่าพวกเขาดูเหมือนใครบางคนที่เข้าใจความจริงเวลาที่พวกเขาพูดและประกาศ แต่จะสามารถเห็นความเป็นจริงความจริงได้บ้างหรือไม่จากวิธีที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน?  (ไม่สามารถ)  เช่นนั้นแล้วนี่ใช่คนที่มีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ภายในตัวพวกเขามีสิ่งที่เสื่อมทรามมากเกินไป และพวกเขาก็ยังห่างไกลจากมาตรฐานในส่วนที่เกี่ยวกับการลุล่วงข้อกำหนดสำหรับความรอดมากเกินไป  หากพวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ดังเช่นต้นทุนอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วพวกเขาสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาเข้าใจไปปฏิบัติได้มากแค่ไหน?  อันที่จริงแล้วหัวใจของพวกเขามีความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  สำหรับพวกเขาแล้ว การเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนมีความสำคัญอย่างไร?  อะไรกันแน่ที่ได้หยั่งรากลงในหัวใจของพวกเขา?  แน่นอนที่สุดว่านั่นก็คือปรัชญาเยี่ยงซาตานทั้งหมดและสิ่งทั้งหลายที่ได้รับสืบทอดจากมนุษย์ ตลอดจนมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  หากสิ่งเหล่านี้หยั่งรากในหัวใจของคนลึกเกินไป ย่อมจะเป็นเรื่องยากอย่างที่สุดที่พวกเขาจะยอมรับความจริง  พวกเขาพิจารณาอยู่เสมอว่าเบื้องบนมองพวกเขาอย่างไร เบื้องบนเห็นคุณค่าของพวกเขาหรือไม่ พวกเขาอยู่ในพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ และพระเจ้าทรงรู้จักพวกเขาหรือไม่  พวกเขามองคนอื่นอย่างเดียวกัน กล่าวคือ พวกเขาดูที่ว่าเบื้องบนเห็นคุณค่าของคนเหล่านี้หรือไม่ และพระเจ้าพอพระทัยพวกเขาหรือไม่—พวกเขาปฏิบัติต่อคนแตกต่างกันโดยอิงจากว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร  ในเมื่อหัวใจของพวกเขาให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ ความจริงสามารถมีผลกับพวกเขาได้มากเพียงใด?  อันที่จริงแล้วคนที่ใช้ชีวิตในสภาวะเหล่านี้และใช้ชีวิตในปรัชญาเหล่านี้อยู่เสมอในการจัดการทางโลกกำลังไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด?  พวกเขาสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  เช่นนั้นแล้วพวกเขาดำรงชีวิตตามสิ่งใด?  (พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตานสำหรับการจัดการทางโลก)  พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน แต่พวกเขาก็คิดว่าพวกเขามีความรู้ ผ่านการศึกษาและมีปัญญา และรู้สึกถึงความชื่นชมยินดีอยู่ภายในค่อนข้างมาก  พวกเขามองพระนิเวศของพระเจ้าเป็นสิ่งใด?  (เป็นสังคม)  พวกเขามองพระนิเวศของพระเจ้าเป็นสังคม  พวกเขายังไม่ได้ละทิ้งทรรศนะนี้  แล้วพวกเขาแก้ประเด็นปัญหาเหล่านี้อย่างไร?  นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการที่ผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการมีความสามารถที่จะยอมรับข้อเท็จจริงที่พระเจ้าได้ทรงเปิดโปง  พวกเขายังต้องได้รับประสบการณ์กับการตัดแต่ง การทดลอง และการถลุงด้วย  พวกเขายังจำเป็นต้องรู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของตน มองแก่นแท้ของต้นทุน พรสวรรค์ ความรู้ และคุณสมบัติอย่างชัดเจน  ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ ยอมรับความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และใช้ชีวิตตามความจริงด้วย  เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติอันเสื่อมทรามได้

การไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย  ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะมองสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า  ในอดีต ผู้คนมีทรรศนะที่ผิดมากมาย  หากพวกเขาไม่แสวงหาความจริง พวกเขาย่อมจะไม่ตระหนักทรรศนะที่ผิดเหล่านั้น และจะยังคงดำเนินต่อไปดังเช่นแต่ก่อน โดยคิดว่าพวกเขาถูกต้อง อีกทั้งโอหังและคิดว่าตนถูก โดยที่ต่อให้เจ้าตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็จะยังคงไม่ยอมรับความผิดพลาดของตน  เป็นเรื่องยากมากที่จะเปลี่ยนมุมมองซึ่งคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงใช้มองสิ่งทั้งหลาย  ตัวอย่างเช่น เมื่อบางคนเห็นว่ามีคนคนหนึ่งในคริสตจักรที่เคยเป็นผู้นำบริษัทแห่งหนึ่ง ความรู้สึกเคารพและเลื่อมใสก็เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา  พวกเขาอิจฉา เลื่อมใส ยกย่องบูชา และแม้กระทั่งเคารพคนเช่นนี้  คนคนนี้มีสถานะในหัวใจของพวกเขา  ในสถานการณ์นี้ควรทำสิ่งใด?  เจ้าควรแยกแยะคนคนนี้และปฏิบัติต่อพวกเขาโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง และมองว่าพวกเขาเป็นใครบางคนที่รักความจริงและไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และพวกเขาเป็นใครบางคนที่ควรค่ากับความเคารพหรือไม่  หลังจากปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาและแยกแยะพวกเขาแล้ว หากเจ้าค้นพบว่าพวกเขาไม่ใช่คนจำพวกนี้ เจ้าย่อมจะไม่ยกย่องบูชาคนคนนั้นในหัวใจของเจ้าอีกต่อไป และจะไม่เคารพนับถือพวกเขาอย่างสูงส่ง  เจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาและปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาในหนทางปกติ  การปฏิบัติต่อพวกเขาในหนทางปกติหมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายถึงการที่สามารถปฏิบัติต่อพวกเขาได้อย่างถูกต้อง  หัวใจของผู้คนเต็มเปี่ยมไปด้วยความเลือกชอบ ความปรารถนา และการไล่ตามเสาะหาของตนเอง และคุณค่าของหัวใจของผู้คนก็เผยตัวเองออกมาในพฤติกรรมเล็กน้อยมากหลายอย่าง  หากมีใครบางคนที่พวกเขาเคารพ เมื่อพวกเขาพูดถึงคนเหล่านั้น คำพูดของพวกเขาย่อมจะรู้กาลเทศะและสุภาพอย่างยิ่ง และพวกเขาย่อมจะอ้างอิงถึงคนเหล่านั้นในลักษณะที่เปี่ยมความเคารพเป็นพิเศษ  นี่บ่งชี้สิ่งใด?  ว่าคนคนนี้มีสถานะในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาก็ยกย่องบูชาคนคนนี้  นอกจากนี้ มีสิ่งอื่นๆ ที่พวกเขากล่าว  พวกเขามักจะกล่าวว่า “คนคนนี้เคยเป็นเจ้าหน้าที่  หากคนคนนี้มายังพระนิเวศของพระเจ้าและได้รับการปฏิบัติดังเช่นคนปกติธรรมดา นั่นคงจะไม่สมควร”  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขานั้น พวกเขาคิดว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้ความสำคัญกับบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ  บุคคลชั้นสูงเช่นนั้นสามารถถ่อมใจตัวเองและมาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า เป็นผู้เชื่อ และปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้ยกย่องบูชาพวกเขาหรือส่งเสริมพวกเขา และเบื้องบนก็ไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษในการแนะนำพวกเขากับพี่น้องชายหญิง  เจ้าถามพวกเขาว่าหน้าที่ของคนคนนี้เป็นไปอย่างไร และพวกเขาก็กล่าวว่า “คนคนนี้เคยเป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง และมีผู้คนหลายพันคนภายใต้พวกเขา  การทำงานเล็กน้อยนี้ไม่สำคัญอะไรสำหรับพวกเขา  ไม่มีผู้ใดในพระนิเวศของพระเจ้าที่มีขีดความสามารถสูงกว่าพวกเขา  พวกเขาเป็นชนชั้นสูง  ไม่มีชนชั้นสูงในพระนิเวศของพระเจ้า”  นี่เป็นการพูดคุยประเภทไหนกัน?  พวกเขาคิดว่าโลกปุถุชนมีชนชั้นสูง แต่พระนิเวศของพระเจ้าไม่มี  ผู้คนในพระนิเวศของพระเจ้ามีความจริง—ผู้คนในโลกปุถุชนมีความจริงหรือไม่?  เจ้ากล่าวว่าโลกปุถุชนมีชนชั้นสูง แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อในชนชั้นสูง?  เหตุใดเจ้าจึงได้มาที่นี่เพื่อเชื่อในพระเจ้า?  เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และควรรีบกลับไปโลกปุถุชน  ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถกล่าวสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่านั่นเป็นเสียงของซาตานหรอกหรือ?  นั่นคือเสียงของซาตาน  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและมาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า แต่ยกย่องซาตาน  พวกเขาเกือบจะกล่าวว่า “หากคนมีชื่อเสียงคนใดคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้า พวกเขาย่อมจะเป็นคนที่มีขีดความสามารถสูงสุด  หากพวกเขาไม่สามารถถูกทำให้เพียบพร้อมได้ เช่นนั้นแล้วย่อมไม่มีความหวังสำหรับพวกเราที่เหลือ  ในสายตาของพวกเขา พวกเราไม่สำคัญอะไร”  ในหัวใจของพวกเขาและในสายตาของพวกเขานั้น คนที่เชื่อในพระเจ้าไม่ดีเท่ากับคนมีชื่อเสียง ผู้ประกอบธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ในโลกปุถุชน  มีเพียงคนเหล่านั้นเท่านั้นที่เป็นชนชั้นสูง และเป็นผู้มีความสำคัญ  เมื่อเจ้าทำความเข้าใจกับความหมายที่แฝงไว้ในสิ่งที่พวกเขากล่าว พวกเขาใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ไม่สำคัญว่าพวกเขารับฟังคำเทศนามามากเพียงใด ทรรศนะและความคิดของพวกเขา ความเห็นเกี่ยวกับโลกของพวกเขา และความเห็นและทรรศนะเกี่ยวกับคนมีชื่อเสียงและชนชั้นสูงของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง  พวกเขาได้รับความจริงแล้วหรือยัง?  พวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  (ไม่)  คนคนนี้เป็นอะไรหรือ?  (ผู้ไม่เชื่อ)  พวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ  พวกเขาเป็นยูดาสและจอมหักหลัง!  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา พระเจ้าไม่ได้ทรงสูงสุดและความจริงก็ไม่ได้สูงที่สุด  ตรงกันข้าม อำนาจทางโลก เกียรติยศ ชื่อเสียง และผลประโยชน์นั้นกลับสูงที่สุด  คนคนนี้เป็นจอมหักหลัง  นี่คือความคิดและทรรศนะของยูดาส  นี่คือความคิดและตรรกะของซาตาน  แม้ว่าคนเหล่านี้สามารถเข้าใจความจริง แต่ความคิดและทรรศนะของพวกเขาย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง  สิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าคือความมีหน้ามีตา สถานะ และอำนาจ  เมื่อเจ้าอยู่รอบๆ ใครบางคนเช่นนี้ การแสดงออกที่พวกเขามีเวลาที่พูดคุยกับเจ้านั้นไม่เหมาะสม และนั่นทำให้เจ้ามีความรู้สึกบางอย่าง กล่าวคือ คนคนนี้ยากที่จะเข้าใกล้ และบุคคลปกติทั่วไปก็ไม่ปรากฏแก่ตาสำหรับพวกเขา  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าได้มากมายนัก  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงสามารถแสดงความจริงได้มากเพียงใด ในหัวใจของพวกเขาย่อมมีสิ่งกีดขวางระหว่างพวกเขากับพระเจ้าอยู่เสมอ  พวกเขาคิดว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์นั้นปกติธรรมดา และไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือทรงฤทธิ์แม้แต่น้อย  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถเคารพความรู้และพรสวรรค์ รวมทั้งชื่นชูบุคคลสำคัญได้  เมื่อคนที่โอหัง คิดว่าตนสำคัญ และทะนงตนเช่นนี้ที่เต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เห็นพระคริสต์ที่ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติและเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริง พวกเขาสามารถกราบไหว้และนมัสการพระองค์ได้อย่างไร?  พวกเขาคิดในใจว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  พระองค์ทรงมีเพียงความจริงเท่านั้น  พระองค์ไม่ทรงมีความรู้  ข้าพระองค์มีพรสวรรค์ ความรู้ของข้าพระองค์สูงกว่าของพระองค์ ความสามารถพิเศษของข้าพระองค์ก้าวหน้ากว่าของพระองค์ ความสามารถของข้าพระองค์ในการรับมือกับสิ่งทั้งหลายก็โดดเด่นกว่าของพระองค์ และข้าพระองค์ก็พูดกับโลกภายนอกเก่งกว่าพระองค์”  เมื่อพวกเขาทำงานบางอย่างในคริสตจักร มีต้นทุนอยู่บ้าง หรือมีส่วนร่วมแบ่งปันบางอย่าง พวกเขาก็คิดถึงพระเจ้าน้อยลงไปอีกเสียด้วยซ้ำ  นี่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแสดงพฤติกรรมที่น่าเกลียดนานัปการออกมาให้เห็น และไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อย  ดังนั้นคนเหล่านี้จึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ภายนอกของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ—ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงคิดถูก ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาคิดว่าพระองค์ทรงคิดผิด ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาคิดว่ามีพระเจ้า ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาคิดว่าไม่มีพระเจ้า ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่ทรงเป็นอธิปไตยเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง ชั่วขณะหนึ่งพวกเขากังขาที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง  หัวใจของพวกเขาเกิดความขัดแย้งและสู้รบอยู่เสมอ  แม้ว่าคนประเภทที่สองมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและเข้าใจความจริงในเชิงที่ตื้นเขินที่สุดของความหมายของความจริง—ซึ่งก็คือความหมายของคำพูดและคำสอนเท่านั้น ซึ่งยังคงนับว่าเป็นการมีความสามารถในการจับใจความอยู่บ้าง—ในขณะที่พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงบางประการ แต่พวกเขาก็ไม่เคยนำความจริงเหล่านั้นไปปฏิบัติเลย  การสำแดงของพวกเขาเป็นอย่างไร?  การไล่ตามไขว่คว้างาน การไล่ตามไขว่คว้าการได้รับพระพร การไล่ตามไขว่คว้าการตอบสนองความเชื่อที่คลุมเครือและเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณของตนเอง และการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ  นี่คือบุคคลประเภทที่สอง

ประเภทที่สามคือคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไล่ตามเสาะหาความจริง  คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสามารถเข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังกล่าวสิ่งใด รับสภาวะนานาสารพันที่เปิดโปงในพระวจนะของพระเจ้าและยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเอง และตระหนักรู้ว่าอะไรเป็นปัญหาเกี่ยวกับสภาวะของตน  อย่างไรก็ตาม การที่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาได้นั้นไม่ได้หมายความว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  หลังจากยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองแล้ว หากเจ้าปฏิบัติและเข้าสู่ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  หากผู้คนสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และใช้หลักธรรมแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาเข้าใจเป็นรากฐานซึ่งใช้ในการเข้าสู่อย่างแท้จริง ผู้คนเช่นนี้สำแดงตนออกมาอย่างไรในแง่ของการไล่ตามเสาะหาความจริง?  เหตุผลหนึ่งก็คือ พวกเขาสามารถยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้  อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ พวกเขาสามารถแสวงหาความจริงเมื่อเผชิญกับสภาพการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้และสัมฤทธิ์การนบนอบ  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือพวกเขาให้ความสำคัญกับการตรวจสอบสภาวะและการเผยในชีวิตประจำวันของตนทุกแง่มุม แล้วก็สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า แก้ไขปัญหา และสามารถไปถึงจุดที่พวกเขามีหลักธรรมในหนทางที่พวกเขาจัดการกับเรื่องทุกจำพวก และมีเส้นทางสู่การปฏิบัติในเรื่องทุกจำพวก  ตัวอย่างเช่น ครั้งสุดท้ายที่เราได้สามัคคีธรรมและชำแหละบาปหลักเจ็ดอย่างของเปาโล พวกเจ้าต้องสามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเอง เข้าใจการนั้นอย่างแท้จริง รวมทั้งปฏิบัติและเข้าสู่  การยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาและการเข้าสู่ชีวิตเชื่อมโยงถึงกันอย่างซับซ้อน  การที่สามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองได้คือทางผ่านสู่การเข้าสู่ชีวิต  วิธีที่เจ้าเข้าสู่หลังจากก้าวผ่านทางผ่านจะขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเข้าใจความจริงแง่มุมนี้หรือไม่?  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงแง่มุมหนึ่ง เจ้าย่อมสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงแง่มุมหนึ่งได้ และเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงสองแง่มุม เจ้าก็ย่อมสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงสองแง่มุมได้  หากเจ้าเพียงแค่เข้าใจคำสอนและไม่มีหลักธรรมแห่งการเข้าสู่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงได้  ดังนั้นการที่เจ้าเข้าใจความจริงที่มากมายเป็นลำดับแรกจึงมีความสำคัญ  เจ้าสามารถเข้าใจความจริงเหล่านั้นได้อย่างไร?  เจ้าต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มาก ไตร่ตรองพระวจนะของพระองค์ ยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างพระวจนะเหล่านั้นกับชีวิตจริงของเจ้าและหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ ค้นหาหลักธรรมแห่งการปฏิบัติและค้นหาเส้นทางสู่การปฏิบัติ  เมื่อนั้นการเข้าสู่ความเป็นจริงย่อมจะเป็นเรื่องง่าย  หากมีปัญหาที่แท้จริงบางอย่าง เจ้าต้องเปรียบเทียบปัญหาเหล่านั้นกับพระวจนะของพระเจ้าบทตอนที่สัมพันธ์กัน และแก้ไขปัญหาเหล่านั้น  หากเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมเป็นเรื่องจำเป็นยิ่งขึ้นไปอีกที่จะยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับพระวจนะของพระเจ้า สามารถแยกแยะได้ว่ามโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดเหล่านี้อันที่จริงแล้วผิดในหนทางใด และสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาลักษณะใด  เจ้าต้องสามารถชำแหละปัญหาเหล่านี้ จากนั้นจึงแสวงหาความจริงที่สอดคล้องกันเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้  นี่คือเส้นทางสู่การเข้าสู่ชีวิต  เปาโลทำงานมากมายยิ่งนัก แต่เขามีเส้นทางสู่การเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด  อะไรคือบาปประการแรกในบาปหลักเจ็ดประการของเปาโล?  เขาปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎและการไล่ตามไขว่คว้าพระพรดังเช่นวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องเหมาะสม  การปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้าพระพรดังเช่นวัตถุประสงค์นั้นผิดในหนทางใด?  การปฏิบัติดังกล่าวขัดแย้งกับความจริงอย่างสิ้นเชิง และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยผู้คนให้รอด  เนื่องจากการได้รับพระพรไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่ถูกต้องเหมาะสมที่ผู้คนจะไล่ตามเสาะหา อะไรคือวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องเหมาะสม?  การไล่ตามเสาะหาความจริง การไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย และการที่สามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้า เหล่านี้คือวัตถุประสงค์ที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหา  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าการถูกตัดแต่งทำให้เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิด และเจ้ากลายเป็นไร้ความสามารถที่จะนบนอบ  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถนบนอบได้?  เพราะเจ้ารู้สึกว่าบั้นปลายของเจ้าหรือความฝันที่จะได้รับพระพรของเจ้าถูกท้าทาย  เจ้ากลายเป็นคิดลบและหัวเสีย และพยายามที่จะออกจากการทำหน้าที่ของตน  อะไรคือเหตุผลสำหรับการนี้?  มีปัญหากับการไล่ตามเสาะหาของเจ้า  แล้วการนี้ควรแก้ไขอย่างไร?  การที่เจ้าละทิ้งแนวคิดที่เข้าใจกันผิดเหล่านี้ทันที และการที่เจ้าแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด  เจ้าควรพูดกับตัวเองว่า “ฉันต้องไม่ล้มเลิก ฉันยังคงต้องทำหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำให้ดี และละวางความพึงปรารถนาที่จะได้รับพระพรของฉัน”  เมื่อเจ้าละทิ้งความพึงปรารถนาที่จะได้รับพระพรและเจ้าเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็ย่อมโล่งอก  และเจ้าจะยังคงสามารถคิดลบได้อยู่หรือไม่?  แม้ว่ายังคงมีช่วงเวลาที่เจ้าคิดลบ แต่เจ้าก็ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จำกัดควบคุมเจ้า และในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าคอยอธิษฐานและต่อสู้เรื่อยไป โดยเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของการไล่ตามเสาะหาของตน จากการไล่ตามเสาะหาการได้รับพระพรและการมีบั้นปลายเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าก็พูดกับตัวเองในใจว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เพื่อเข้าใจความจริงบางอย่างในวันนี้—ไม่มีการเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่กว่า นี่คือพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาพระพรทั้งปวง  ต่อให้พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ฉัน และฉันไม่มีบั้นปลายที่ดี และความหวังที่จะได้รับพระพรของฉันถูกทำให้แตกกระจัดกระจาย ฉันก็จะยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ฉันมีภาระผูกพันที่จะต้องทำ  ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม นั่นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน นั่นจะไม่มีผลต่อการที่ฉันจะทำพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จลุล่วง นี่คือหลักธรรมที่ฉันใช้ในการปฏิบัติตน”  และในการนี้ เจ้ายังไม่ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดควบคุมแห่งเนื้อหนังหรอกหรือ?  บางคนอาจกล่าวว่า “เอ้อ ถ้าเกิดฉันยังคงคิดลบอยู่ล่ะ?”  เช่นนั้นแล้วก็จงแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขการนั้นอีกครั้ง  ไม่ว่าเจ้าตกอยู่ในความคิดลบกี่ครั้งก็ตาม หากเจ้าเพียงแค่คอยแสวงหาความจริงเรื่อยไปเพื่อแก้ไขการนั้น และคอยเพียรพยายามเพื่อให้ได้ความจริงเรื่อยไป เจ้าย่อมจะผุดขึ้นมาจากความคิดลบของตนอย่างช้าๆ  และอยู่มาวันหนึ่งเจ้าย่อมจะรู้สึกว่าเจ้าไม่มีความพึงปรารถนาที่จะได้รับพระพรและไม่ถูกบั้นปลายและผลลัพธ์ของตนจำกัดควบคุม และเจ้าย่อมใช้ชีวิตโดยปราศจากสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นและเป็นอิสระขึ้น  เจ้าจะรู้สึกว่าชีวิตที่เจ้าเคยมีก่อนหน้านั้นที่ในทุกๆ วันเจ้าใช้ชีวิตเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะได้รับพระพรและบั้นปลายของตนนั้นน่าเหนื่อยอ่อน  การพูด การทำงาน และการเค้นสมองในทุกๆ วันเพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพระพร—แล้วการนั้นจะทำให้เจ้าได้รับสิ่งใดในท้ายที่สุด?  อะไรคือคุณค่าของชีวิตเช่นนี้?  เจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับสูญวันที่ดีที่สุดทั้งหมดของตนไปเปล่าๆ กับสิ่งที่ไม่มีนัยสำคัญ  ในท้ายที่สุด เจ้าก็ไม่ได้รับความจริงใดๆ และเจ้าก็ไม่สามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ใดๆ ได้  เจ้าทำให้ตัวเองเป็นเหมือนคนโง่ เสื่อมเสียและล้มเหลวอย่างถึงที่สุด  และจริงๆ แล้วอะไรคือสาเหตุของการนี้?  นั่นก็คือว่าเจตนาที่จะได้รับพระพรของเจ้าแรงกล้าเกินไป ผลลัพธ์และบั้นปลายของเจ้ายึดครองหัวใจของเจ้าและพันธนาการเจ้าไว้แน่นเกินไป  แต่เมื่อมาถึงวันที่เจ้าผุดขึ้นมาจากพันธนาการแห่งความสำเร็จในอนาคตและบั้นปลายของตน เจ้าย่อมจะสามารถทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและติดตามพระเจ้าได้  เจ้าจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์เมื่อใด?  ขณะที่การเข้าสู่ชีวิตของเจ้าลึกซึ้งอย่างไม่หยุด เจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตน และนั่นก็คือเวลาที่เจ้าจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์  บางคนพูดว่า “ฉันสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นเมื่อใดก็ตามที่ฉันต้องการ”  การนี้สอดคล้องกับกฎธรรมชาติหรือไม่?  (ไม่)  ผู้อื่นพูดว่า “ฉันได้ขบคิดทั้งหมดนี้ออกในชั่วข้ามคืน  ฉันเป็นคนเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนหรือบอบบางเช่นพวกคุณที่เหลือ  ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของพวกคุณแรงกล้าเกินไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกคุณถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกมากกว่าที่ฉันเป็น”  สถานการณ์เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  ไม่ใช่  มวลมนุษย์ทั้งปวงมีธรรมชาติที่ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างเดียวกัน ในเชิงลึกแล้วไม่แตกต่างกัน  ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างพวกเขาอยู่ที่ว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์หรือไม่ และพวกเขาเป็นคนประเภทใด  บรรดาผู้ที่รักและยอมรับความจริงสามารถรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้อย่างค่อนข้างลึกซึ้งและชัดเจน และผู้อื่นก็คิดอย่างผิดๆ ว่าคนเช่นนั้นเสื่อมทรามอย่างดิ่งลึก  พวกที่ไม่รักหรือไม่ยอมรับความจริงคิดอยู่เสมอว่าพวกเขาไม่มีความเสื่อมทราม พวกเขาจะเป็นวิสุทธิชนด้วยพฤติกรรมที่ดีอีกสองสามอย่าง  ทัศนคตินี้ไม่ถูกต้องอย่างเห็นได้ชัด—ในข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าความเสื่อมทรามของพวกเขาตื้นเขิน แต่เป็นว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่มีความรู้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับแก่นแท้และความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตน  โดยสรุป เพื่อเชื่อในพระเจ้า คนเราต้องยอมรับความจริง ปฏิบัติความจริง เข้าสู่ความเป็นจริง และสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนก่อนที่พวกเขาจะสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางและเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาที่ไม่ถูกต้องของตนได้ และก่อนที่พวกเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการไล่ตามไขว่คว้าพระพรและการเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างสมบูรณ์  ในหนทางนี้ คนเราจึงจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดและการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า  ความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงแสดงเพื่อพิพากษาและชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ใช้ได้ผลในการบรรลุเป้าหมายนี้

ทีนี้มีใครบ้างไหมท่ามกลางพวกเจ้าที่ยังคงมีความพึงปรารถนาที่จะเป็นพระเจ้า?  (ไม่มี)  เหตุผลที่พวกเจ้าไม่มีความพึงปรารถนานี้เป็นเพราะพวกเจ้าไม่อาจหาญที่จะมี หรือเพราะพวกเจ้าไม่มีความหวังหรือภูมิหลังและสภาพแวดล้อมที่ถูกต้องเหมาะสม?  เป็นเรื่องยากที่จะพูด  อันดับแรกเลยก็คือ เป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีผู้ใดที่ปรารถนาที่จะไล่ตามไขว่คว้าการเป็นพระเจ้าอย่างแข็งขัน  อย่างไรก็ตาม ในสภาพการณ์พิเศษ หากมีคนที่เคารพเจ้า ยกย่องเจ้า กล่าวคำชมและกล่าวชมเชยเจ้าอยู่บ่อยครั้ง เจ้ามีสถานะในสายตาของพวกเขา และพวกเขาสถาปนาเจ้าเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบและทรงอานุภาพจำพวกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว—แม้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นพยานยืนยันว่าเจ้าเป็นพระเจ้า และพวกเขาก็รู้ว่าเจ้าเป็นมนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังคงเคารพเจ้า เชื่อฟังเจ้า และปฏิบัติต่อเจ้าราวกับว่าเจ้าเป็นพระเจ้า—ในใจเจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าจะไม่รู้สึกถึงความชื่นชมยินดีและความพึงพอใจเป็นพิเศษหรอกหรือ?  (รู้สึก)  นี่มากพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ายังคงมีความพึงปรารถนานี้  ทุกคนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมีความพึงปรารถนาที่จะเป็นพระเจ้า  เพียงแค่ว่าเมื่อไม่มีใครปฏิบัติต่อเจ้าอย่างพระเจ้า เจ้าย่อมรู้สึกว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติเหมาะสม  เมื่อเจ้ารู้สึกว่าเจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสม สภาพแวดล้อมเหมาะสม และเงื่อนไขทั้งหลายนั้นเพียงพอ เจ้าย่อมจะยกระดับตนเองไปสู่ตำแหน่งนั้น  หรือบางทีเจ้าอาจจะไม่ยกระดับตนเอง แต่เวลาที่คนอื่นยกระดับเจ้าอยู่ท่าเดียว เจ้าจะยังคงถ่อมตัวอยู่หรือไม่?  เจ้าก็คงจะยอมรับการยกระดับนั้น “อย่างไม่มีการสงวนท่าที”  เกิดอะไรขึ้นตรงนี้?  ธรรมชาติของซาตานได้ฝังรากลึกภายในตัวผู้คน และยังคงไม่ได้รับการแก้ไข—ผู้คนไม่ต้องการที่จะเป็นผู้คนเลย พวกเขาต้องการที่จะเป็นพระเจ้าอยู่เสมอ  คนคนหนึ่งจะสามารถเป็นพระเจ้าแค่ด้วยการปรารถนาเช่นนั้นได้หรือ?  ซาตานต้องการที่จะเป็นพระเจ้าอยู่เสมอ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับมัน?  มันถูกโยนจากสวรรค์ลงไปยังโลก  นั่นเป็นชะตากรรมของซาตานในการต้องการที่จะเป็นพระเจ้า  จงบอกเราที เรารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับอัตลักษณ์ สถานะ และแก่นแท้ของเราเอง?  แน่นอนว่าพวกเจ้าย่อมไม่รู้  เราไม่รู้สึกอะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปกติอย่างยิ่ง  พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นปกติเป็นพิเศษ  ไม่มีสิ่งใดที่เหนือธรรมชาติเกี่ยวกับพระองค์ พระองค์ไม่ทรงมีความรู้สึกใดเป็นพิเศษ  เจ้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร เจ้ารู้ว่าเจ้าชอบอะไร เจ้ารู้ว่าเจ้าเกิดมาในครอบครัวไหน เจ้าอายุเท่าไหร่ และเจ้าได้รับการศึกษามามากเพียงใด เจ้ารู้ว่าเจ้ามีหน้าตาอย่างไร  แต่การรู้ว่าแก่นแท้ภายในของเจ้าเป็นอย่างไรเป็นเรื่องปกติหรือไม่ หรือการไม่รู้เป็นเรื่องปกติ?  (การไม่รู้เป็นเรื่องปกติ)  การไม่มีความรู้สึกใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ  การมีความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ  นั่นคงจะไม่ใช่เรื่องของเนื้อหนัง และคงจะไม่ใช่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ความเหนือธรรมชาติเป็นเรื่องไม่ปกติ  บรรดาผู้ที่ประพฤติตนในหนทางที่ไม่ปกติและมีความรู้สึกที่ไม่ปกติอยู่เสมอคือจิตวิญญาณชั่ว ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ต้องตาย  บางคนถามเราว่าเรารู้หรือไม่ว่าเราเป็นใคร  จงบอกเราที เราจะรู้กระนั้นหรือ?  เราควรรู้กระนั้นหรือ?  เรามีตรรกะและวิธีการคิดของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เรามีความคิดที่ปกติและชีวิตแห่งเนื้อหนังอันเป็นกิจวัตรที่ปกติ  เรามีมโนธรรม ความมีเหตุผล และดุลพินิจของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเราก็มีหลักธรรมในการวางตัว การจัดการรับมือกับเรื่องต่างๆ และการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ชัดเจน  ในเรื่องของวิธีทำสิ่งทั้งหลาย วิธีปฏิบัติต่อคนที่แตกต่างกัน วิธีช่วยเหลือคน และจะช่วยเหลือคนไหน เรามีหลักธรรมทั้งหมดนี้  การใช้ชีวิตในความเป็นมนุษย์ที่ปกติและการทำสิ่งทั้งหลายที่เราควรทำคือความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ไม่มีอะไรที่เหนือธรรมชาติเกี่ยวกับเรื่องนี้  พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติ  การที่เราไม่รู้เป็นเรื่องปกติ  หากเรารู้ นั่นก็คงจะก่อให้เกิดเรื่องเดือดร้อน  เหตุใดการนั้นจึงจะก่อให้เกิดเรื่องเดือดร้อน?  หากเรารู้ เราก็คงจะมีภาระ มีเรื่องต่างๆ ที่จะพัวพันกันมากเกินไป และเรื่องเหล่านั้นก็คงจะไม่สอดคล้องกัน  ส่วนที่รู้ไม่ใช่เรื่องของเนื้อหนังหรือโลกทางวัตถุ แต่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติและไม่สอดคล้องกับเรื่องต่างๆ ของโลกนี้  เหมือนกันไม่มีผิดกับที่บางคนสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาใช้ชีวิตในเนื้อหนังและในโลกทางวัตถุ แต่กลับมองเห็นโลกที่ไม่ใช่มนุษย์และไม่ใช่ทางวัตถุ  พวกเขาสามารถมองเห็นสองโลก และสามารถพูดสิ่งแปลกๆ บางอย่างได้  นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ  การนี้จะมีอิทธิพลต่อความคิดและงานของคนอื่น  นอกจากการนี้แล้ว สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง การที่พวกเขารู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณยังคงเป็นเรื่องจำเป็น  มีสิ่งต่างๆ มากมายที่คนที่ไม่มีทางรู้เลย แต่การไม่รู้อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่การสูญเสีย การรู้หรือไม่รู้ก็น่าพอใจทั้งสองอย่าง  พระเจ้าได้ทรงจำกัดเขตแนวเขตของสิ่งต่างๆ ที่สิ่งมีชีวิตที่ต้องตายสามารถเข้าใจ รู้ และรู้สึกถึงได้ไว้แล้ว  พระเจ้าไม่ตรัสสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้น้อยไปแม้ประโยคเดียว—พระองค์ตรัสบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับเจ้า และไม่ทรงทิ้งความรู้ของเจ้าให้ขาดพร่อง  อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงปิดผนึกสิ่งที่เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้โดยสมบูรณ์  พระองค์จะไม่ตรัสบอกเจ้า และจะไม่ทรงทำให้ความคิดและความรู้สึกนึกคิดของเจ้าว้าวุ่น  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือ สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ต้องตายนั้น เรื่องต่างๆ ของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณเป็นความล้ำลึก ปรากฏการณ์ที่แปลก หรือเรื่องของโลกที่แตกต่างออกไปจำพวกหนึ่ง  ในหัวใจของพวกเขา ผู้คนต้องการรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เจ้าสามารถทำอะไรได้บ้างด้วยความรู้เช่นนั้น?  เจ้าสามารถตรวจสอบยืนยันการนั้นได้หรือไม่?  เจ้าสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการนั้นได้หรือไม่?  หลายๆ เรื่องของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณเป็นความลับและไม่สามารถเผยก่อนเวลาได้  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีใครสามารถมีส่วนร่วมได้—การรู้ในปริมาณจำกัดก็เพียงพอแล้ว  พระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยเหนือโลกนี้และเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ และก็มีข้อล้ำลึกมากมายเกินไป  สิ่งที่พวกเราควรเข้าใจคือพระวจนะและความจริงของพระเจ้า และเจตนารมณ์ของพระองค์ พวกเราควรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง สัมฤทธิ์การนบนอบอธิปไตยทั้งหมดของพระเจ้าที่คนสามารถเข้าถึงได้ เข้าใจและตระหนักรู้อธิปไตยดังกล่าว แล้วจึงกลายเป็นสามารถยำเกรงพระเจ้าได้ ยอมรับพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้างของเจ้า ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยเหนือทั้งหมด โดยในที่สุดแล้วก็กลายเป็นสามารถเปล่งถ้อยคำเหล่านั้นที่โยบกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  ผู้คนต้องได้รับประสบการณ์กับสิ่งใดเพื่อสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้?  พวกเขาต้องได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน การถูกตัดแต่ง ทดสอบ และถลุง และได้รับประสบการณ์กับสภาพการณ์ทุกรูปแบบที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการ และรู้จักกิจการทั้งหลายของพระเจ้า รู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ เข้าใจแก่นแท้ของพระผู้สร้าง และสามารถยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบระหว่างตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาได้อ่านมาหรือคำเทศนาที่พวกเขาได้ยินมาโดยผ่านทางสภาพการณ์ดังกล่าว  ในท้ายที่สุดแล้ว ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร พระองค์ทรงเอาไปเสียหรือประทาน พวกเขาย่อมสัมฤทธิ์ความเข้าใจที่เป็นธรรมและถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับกิจการทั้งหลายของพระเจ้า และนบนอบและยอมรับกิจการเหล่านั้นในลักษณะที่สมควรแก่ความมีเหตุผลของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายที่จะสำเร็จลุล่วง

พวกเรากลับมาที่หัวข้อของพวกเราเกี่ยวกับการสามัคคีธรรมสำหรับวันนี้กันเถิด  การสำแดงของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและการสำแดงของคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยพื้นฐานแล้วก็คือสามประเภทนี้  เราได้จำแนกความต่างระหว่างคนสามประเภทนี้ไว้อย่างละเอียดแล้ว กล่าวคือ ประเภทแรกคือคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ประเภทที่สองคือคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และประเภทที่สามคือคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไล่ตามเสาะหาความจริง  ในบรรดาคนสามประเภทนี้ ประเภทใดมีความหวังที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและสามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้?  (ประเภทที่สาม)  คนประเภทใดมีความหวังที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถพัฒนาและเปลี่ยนเป็นคนที่มีความเป็นจริงความจริงได้?  (ประเภทที่สอง)  ในกรณีนี้ คนประเภทแรกได้ถูกตัดสินประหารชีวิตแน่แล้วหรือยัง?  คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสามารถเปลี่ยนไปเป็นคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือมีความเข้าใจเพียงครึ่งเดียวได้หรือไม่?  มีความหวังอยู่บ้างสำหรับพวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณที่จะกลายเป็นบรรดาผู้ที่มีความเข้าใจเพียงครึ่งเดียว นี่ก็ยังดีกว่าการไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแม้แต่น้อย  ในบรรดาคนสามประเภทนี้ ประเภทใดมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดมากกว่ากัน?  (ประเภทที่สาม)  แล้วคนประเภทที่สองล่ะ?  (นั่นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนตัวของพวกเขา  หากพวกเขาสามารถพลิกฟื้นสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้น กลับใจ และไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมสามารถมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด)  เราจะบอกพวกเจ้าตรงๆ  พวกเจ้ายังไม่เข้าใจชัดเจนอย่างสมบูรณ์เกี่ยวกับคนประเภทที่สอง  แม้ว่าคนประเภทที่สองมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ แต่พวกเขาก็ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และนี่เป็นเรื่องวิกฤติ  ไม่ว่าพวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่ ตราบที่พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้อย่างแน่นอนที่สุด  สิ่งที่เราต้องการเน้นย้ำในที่นี้คือคนประเภทแรก พวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  สมมติว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณแต่พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดี และพวกเขาก็สละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างเต็มใจ ใส่ใจต่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส และมีหัวใจที่นบนอบ—เพียงแค่ว่าพวกเขาไม่มีความสามารถในการจับใจความเมื่อเป็นเรื่องของความจริง—แต่พวกเขาสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนและตรวจสอบตัวเองกับพระวจนะเหล่านั้น แล้วจึงปฏิบัติและเข้าสู่พระวจนะเหล่านั้น  คนเช่นนี้มีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  พวกเขาสามารถค่อยๆ พัฒนาความเข้าใจฝ่ายวิญญาณได้ด้วยการก้าวผ่านประสบการณ์ดังกล่าวสักพักหนึ่ง  ยิ่งพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างตั้งใจมากขึ้นเท่าใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยิ่งให้ความรู้แจ้งพวกเขามากขึ้นเท่านั้น พวกเขาสามารถเปรียบเทียบอะไรก็ตามที่พวกเขาเข้าใจเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้ากับสภาวะของตนเอง ยอมรับการตัดแต่ง การพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงของพระเจ้า ยอมลำบากสำหรับการนี้ และสุดท้ายแล้วก็สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงบางอย่างซึ่งสอดรับกันในอุปนิสัยของตน  คนเช่นนี้ยังนับว่าเป็นบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย  เนื่องจากพวกเขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขามีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  (มีความหวัง)  พวกเขามีความหวัง—ด้วยเหตุนี้ คนเช่นนี้จึงไม่สามารถถูกส่งไปตายได้  ในทางกลับกัน เป็นเรื่องยากที่จะกล่าวว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรสำหรับคนจำพวกที่สามารถเข้าใจความจริงและยกตัวเองมาเปรียบกับความจริงได้ แต่ไม่เคยเข้าสู่ความจริง  อะไรคือรากเหง้าของปัญหานี้?  (ท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง)  นั่นก็คือท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง ซึ่งเป็นท่าทีของความไม่เคารพและการดูถูก  “การดูถูก” หมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายถึงการไม่ยอมรับความจริง นั่นหมายถึงการดูแคลนความจริง  นั่นหมายถึงการไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นความจริง และการไม่คำนึงถึงพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจัง  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจสิ่งที่พวกเขาได้ยินมากเพียงใด พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง และไม่สำคัญว่าพวกเขายกตัวเองมาเปรียบกับความจริงในระดับใด ต่อให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาเป็นคนจำพวกใด พวกเขาก็ยังคงไม่กลับใจ  แม้ว่าพวกเขารู้ว่าแง่มุมที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุดของการเชื่อในพระเจ้าคือการปฏิบัติความจริง แต่คำว่า “ปฏิบัติ” ก็ไม่เกี่ยวข้องกับคนเช่นนี้  คนเช่นนี้ไม่ได้รับการช่วยให้รอดโดยง่าย

ทีนี้พวกเราควรให้นิยามการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร?  การไล่ตามเสาะหาความจริงคือสิ่งใดกันแน่?  ใครสามารถบอกเราได้?  (การที่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อทบทวนตัวเองและยกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเอง และการมีการเข้าสู่ชีวิตด้วย  มีเพียงการนี้เท่านั้นที่นับว่าเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง)  ถูกต้อง  ด้วยการที่สามารถยอมรับความจริงและปฏิบัติความจริงเท่านั้น ใครบางคนจึงจะเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  หากพวกเขาไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและไม่สามารถทบทวนตัวเองได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และย่อมไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ดังนั้นจึงมีสัมพันธภาพโดยตรงระหว่างการไล่ตามเสาะหาความจริงกับการเข้าสู่ชีวิต  หากคนคนหนึ่งสามารถกล่าวคำพูดและคำสอนได้มากมาย แต่ไม่เคยปฏิบัติความจริง ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และต่อให้พวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าบางสิ่งบางอย่างคืออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและมาจากพระเจ้า พวกเขาไม่นบนอบ และพวกเขาก็ขัดขืน ตัดสิน และคอยต่อต้านเรื่อยไป และพวกเขายังคงใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน และทำสิ่งทั้งหลายตามความเลือกชอบของตนเอง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  บางคนมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่รักความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปฏิบัติความจริง—คนเช่นนี้ไม่ใช่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  บางคนเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ขีดความสามารถของพวกเขาแย่เกินไป และพวกเขาไม่สามารถไปถึงความจริงได้  ผลก็คือ พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแต่ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้  คนเช่นนี้ใช่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  ไม่ใช่  คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีการสำแดงหลักแบบใด?  การสำแดงที่มาก่อนอื่นก็คือว่าพวกเขาไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า และไม่เต็มใจที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะสามัคคีธรรมความจริง และถึงขั้นไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมการชุมนุมหรือรับฟังคำเทศนา  เมื่อพวกเขารับฟังคำเทศนา พวกเขารู้สึกราวกับว่าคำพูดทุกคำมุ่งตรงไปยังพวกเขา และกำลังเปิดโปงพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกถูกตรึงไว้และไม่ชูใจ  ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ถึงเวลารับฟังคำเทศนา พวกเขาก็แค่ต้องการนอนหรือเข้าร่วมในการพูดคุยที่ไร้สาระ  มีคนเช่นนี้จำนวนมากพอประมาณ  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับพระพรเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อที่จะยอมรับความจริง ได้รับความจริง สลัดทิ้งความเสื่อมทรามของตน ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ หรือบรรลุความรอดจากพระเจ้า  รากเหง้าของปัญหาโดยหลักแล้วก็คือว่าพวกเขาไม่รักความจริงและไม่สนใจความจริง  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อได้รับพระพรเท่านั้น  นี่คือจุดสนใจในการโหยหาของพวกเขาแต่เพียงอย่างเดียว  เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพระพร พวกเขาสามารถตรากตรำและละทิ้งสิ่งทั้งหลายได้ แต่พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้ รวมทั้งไม่สนใจความจริง  พวกเขาคิดว่าการเข้าใจคำสอนก็เพียงพอแล้ว การประพฤติชั่วน้อยลงหมายความว่าพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และการลงแรง การละทิ้งสิ่งทั้งหลาย และหนำซ้ำการทนทุกข์ ทำให้พวกเขามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับพระพร  นี่คือทรรศนะของพวกเขาเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  ดังนั้น ไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อกี่ปี ไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจและสามารถประกาศคำสอนได้มากเพียงใด และไม่สำคัญว่าคำพูดที่ตรงกับความจริงออกมาจากปากของพวกเขามากเพียงใด พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้เลย อุปนิสัยที่พวกเขาเผยให้เห็นยังคงดื้อรั้น ปล่อยตามใจ และไม่ยับยั้งชั่งใจ พวกเขาปกป้องความภาคภูมิใจและผลประโยชน์ของตนเองในทุกโอกาส พวกเขาเห็นแก่ตัวและต่ำช้าเป็นพิเศษ และแม้ในเวลาที่พวกเขาถูกติติงและตัดแต่ง พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับการนั้นได้ และไม่มีการนบนอบแม่แต่น้อย  คนเช่นนี้ทำตามที่พวกเขาพอใจ พวกเขาไม่หารือกับผู้อื่นก่อนลงมือกระทำการ และต่อให้พวกเขาหารือกับผู้อื่นจริงๆ นั่นก็เป็นเพียงเมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเท่านั้นและก็แค่เพื่อประโยชน์แห่งพิธีรีตอง—พวกเขากล่าวโดยอ้อม วกไปวนมา และในท้ายที่สุดก็ยังคงทำให้ผู้อื่นทำตามที่พวกเขากล่าว  อุปนิสัยใดถูกเผยออกมาในการทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้?  (ความหลอกลวง)  นี่ไม่ใช่แค่ความหลอกลวง มีบางสิ่งบางอย่างที่รุนแรงยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ  ไม่สำคัญว่าคำพูดของพวกเขาฟังดูรื่นหูเพียงใดเวลาที่ให้คำแนะนำแก่ผู้อื่น อธิบายว่านี่คือการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้าและการทำให้คนอื่นนบนอบ เมื่อเป็นเรื่องของตัวพวกเขาเอง นี่ไม่ใช่วิธีที่พวกเขาปฏิบัติ  ตรงกันข้าม พวกเขากลับดื้อแพ่งและเป็นกบฏ ไม่นบนอบ และไร้ความสามารถที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  นอกเหนือจากนี้แล้ว พวกเขาสำแดงตนออกมาอย่างไรเวลาที่ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น?  พวกเขากระทำการโดยสอดคล้องกับปรัชญาสำหรับการจัดการทางโลก โดยมองหาข้อได้เปรียบในทุกโอกาสและปกป้องสัมพันธภาพส่วนบุคคลของตน  คนประเภทนี้มีอุปนิสัยซึ่งเคลือบแฝงและฉลาดแกมโกงเป็นพิเศษ  ความเคลือบแฝงและฉลาดแกมโกงนี้มีใจความสำคัญอยู่ที่สิ่งใด?  ความเคลือบแฝงและฉลาดแกมโกงนี้มีใจความสำคัญอยู่ที่ความเลวทราม  โดยปกติแล้วการที่ผู้คนตระหนึกถึงอุปนิสัยที่เลวไม่ใช่เรื่องง่าย  เมื่อคนที่มีอุปนิสัยที่เลวพูดกับผู้อื่น มีองค์ประกอบของการทดสอบและการสืบค้นหาข้อมูลอยู่เสมอ  พวกเขาไม่กล่าวสิ่งทั้งหลายออกมาตรงๆ และต่อให้พวกเขาเปิดใจตนเอง จุดมุ่งหมายของพวกเขาก็แค่ทำให้เจ้าพูดจากความรู้สึกในใจของเจ้า—พวกเขาไม่เปิดเผยสิ่งใดที่เป็นจริงเกี่ยวกับตัวเองเลย  บางคนพูดว่า “คุณพูดได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่เปิดเผยสิ่งใดที่เป็นจริงเกี่ยวกับตัวเองเลย?  พวกเขาสามัคคีธรรมกับผู้คนเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยให้เห็นอยู่เสมอ”  การสามัคคีธรรมเล็กน้อยนั้นมีนัยสำคัญอะไร?  พวกเขาไม่บอกสิ่งที่พวกเขาคิดในใจอย่างแท้จริงกับใครเลย  พวกเขายังใช้ชั้นเชิงและวิธีการทุกรูปแบบหรือการใช้คำทุกรูปแบบเพื่อปิดบังและอำพรางตนอย่างเอาจริงเอาจังด้วยเช่นกัน โดยนำเสนอภาพลักษณ์เทียมเท็จต่อผู้คน  หากบางคนเกิดไปรู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นอย่างไร และรู้สิ่งที่แย่ที่พวกเขาได้ทำไป พวกเขาก็แค่เสแสร้งกล่าวคำพูดสำนึกผิดไม่กี่คำ นำวิธีการที่ชักพาให้หลงผิดมาใช้เพื่อทำให้คนเชื่อว่าพวกเขาได้กลับใจและเปลี่ยนแปลงแล้ว  หากพวกเขาทำบางสิ่งที่แย่อีกและเปิดโปงความประพฤติที่แย่ของตน ยอมให้ผู้คนเห็นว่าอันที่จริงแล้วพวกเขาเป็นคนชั่ว พวกเขาย่อมจะเค้นสมองและคิดหาทุกทางที่พวกเขาทำได้เพื่อปิดบังข้อเท็จจริงนี้และทำให้ผู้คนยังคงปฏิบัติต่อพวกเขาดังเช่นพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง  นี่คืออุปนิสัยใด?  นี่คืออุปนิสัยที่เลวอย่างหนึ่ง  ไม่เพียงแต่คนที่มีอุปนิสัยที่เลวจำพวกนี้ไม่ยอมรับความจริงในหนทางใดๆ เท่านั้น แต่พวกเขายังมีทักษะในการเสแสร้งอีกด้วย และคิดหาการแก้ต่างหรือการให้เหตุผลอันฉลาดแยบยลสำหรับตัวเองอยู่เสมอ  พวกเขาเป็นพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด  สิ่งที่คนประเภทนี้กลัวมากที่สุดคือการที่ผู้คนสามัคคีธรรมความจริง การที่ผู้คนเปิดใจตนเองเพื่อรู้และชำแหละตัวเอง หรือการที่ผู้คนเปิดโปงข้อเท็จจริงที่แท้จริงเกี่ยวกับเรื่องเรื่องหนึ่งและด้วยการนั้นจึงเป็นการเปิดโปงข้อเท็จจริงดังกล่าว เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนกำลังสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็เกิดรำคาญเป็นพิเศษและไม่ต้องการรับฟัง หัวใจของพวกเขาขัดขืนการนี้และการนี้ทำให้หัวใจของพวกเขาสับสน  เรื่องนี้เปิดโปงแง่มุมอันน่าเกลียดของพวกเขาในการรังเกียจความจริงอย่างสมบูรณ์  นอกจากเข้าใจความจริงแต่ไม่ปฏิบัติความจริงแล้ว คนประเภทนี้มีปัญหาอีกอย่าง ซึ่งก็คือว่าพวกเขามีท่าทีของการขัดขืนและการดูถูกต่อสิ่งที่เป็นบวกและทรรศนะที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคำพูดที่ตรงกับความจริง  เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งใดๆ ที่เป็นบวกหรือคำพูดใดๆ ที่ตรงกับความจริง ตราบที่สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาพิจารณาว่าดีหรือพวกเขาไม่ได้กล่าวสิ่งนั้นแต่เป็นคนอื่นที่กล่าว พวกเขาย่อมจะไม่ยอมรับสิ่งนั้น  นี่คืออุปนิสัยใด?  ความโง่เขลา การดื้อแพ่ง และความโง่เง่า  เจ้าควรประเมินวัดอย่างไรว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  สิ่งแรกที่ต้องมองคือสิ่งที่พวกเขาเผยออกมาและสำแดงในการปฏิบัติหน้าที่ปกติธรรมดาของพวกเขาและในการกระทำของพวกเขา  จากสิ่งนี้เจ้าจะมองเห็นอุปนิสัยของบุคคลได้  จากอุปนิสัยของพวกเขา เจ้าจะสามารถเห็นว่าพวกเขาสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอันใดหรือมีการเข้าสู่ชีวิตบ้างหรือไม่  หากใครบางคนเผยแต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาเวลาที่พวกเขากระทำการ และไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย พวกเขาย่อมไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  ไม่ แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาไม่มี  สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำอยู่ทุกวัน การวิ่งวุ่นไปทั่ว การสละ การทนทุกข์ของพวกเขา ราคาที่พวกเขาจ่าย—ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำสิ่งใด ทั้งหมดล้วนเป็นแค่การลงแรง และพวกเขาคือคนลงแรง  ไม่สำคัญว่าคนคนหนึ่งได้เชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขารักความจริงหรือไม่  สิ่งที่คนคนหนึ่งรักและไล่ตามเสาะหาสามารถเห็นได้จากสิ่งที่พวกเขาชอบทำที่สุด  หากสิ่งที่คนคนหนึ่งทำส่วนใหญ่คล้อยตามหลักธรรมความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คือผู้ที่รักและไล่ตามเสาะหาความจริง  หากพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริง และสิ่งที่พวกเขาทำทุกวันก็อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีการเข้าสู่ชีวิตและมีความเป็นจริงความจริง  การกระทำของพวกเขาอาจไม่ถูกต้องเหมาะสมในบางเรื่อง หรือพวกเขาอาจไม่จับความเข้าใจหลักธรรมความจริงอย่างถูกต้องแม่นยำ หรือพวกเขาอาจมีอคติที่ดื้อด้านในแง่มุมนี้ หรือบางครั้งพวกเขาอาจโอหังและคิดว่าตนถูก ยืนกรานในหนทางของตนเอง และล้มเหลวที่จะยอมรับความจริง แต่หากต่อมาภายหลังพวกเขาสามารถกลับใจและปฏิบัติความจริง นี่ก็พิสูจน์อย่างไม่มีข้อสงสัยว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตและไล่ตามเสาะหาความจริง  หากสิ่งที่ใครบางคนเผยออกมาในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตนมิใช่อื่นใดนอกจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ปากที่เต็มไปด้วยคำโกหก ความเย่อหยิ่งจองหอง การตามใจตนเอง ความหยิ่งยโสที่เหลือล้น การที่พวกเขาคือกฎในตัวเอง และการที่พวกเขาทำทุกสิ่งที่ตนชอบ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน และหากไม่สำคัญว่าพวกเขาได้เชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปีหรือฟังคำเทศนามาแล้วกี่ครั้ง ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ในท้ายที่สุด เช่นนั้นแล้วนี่ก็ไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน  มีผู้คนมากมายที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาแล้วหลายปี ดูภายนอกก็ไม่ใช่คนชั่ว และมีพฤติกรรมที่ดีอยู่บ้างเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างแรงกล้า แต่อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลย และพวกเขาไม่มีคำพยานจากประสบการณ์ที่จะแบ่งปันแม้แต่น้อย  ผู้คนเช่นนั้นไม่น่าเวทนาหรอกหรือ?  หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกิน พวกเขากลับไม่สามารถกล่าวถึงคำพยานจากประสบการณ์แม้แต่นิดเดียว  นี่คือคนลงแรงโดยแท้  พวกเขาน่าเวทนาอย่างแท้จริง!  สรุปสั้นๆ ก็คือ เพื่อประเมินวัดว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงและมีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่ เจ้าต้องดูที่อุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขาตามที่พวกเขาเผยให้เห็นและแสดงออก และดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในอุปนิสัยของพวกเขาหรือไม่  การกล่าวคำพูดและคำสอนอยู่เสมอ รวมทั้งการทำการอำพรางตนและหลอกลวง ไม่สามารถรักษาไว้ได้นานนัก  พวกเขามีแต่ทำร้ายตัวเอง โดยไม่ได้หลอกลวงผู้อื่น  พวกที่ไม่ยอมรับความจริงและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมจะถูกเผยออกมาและกำจัดทิ้งในไม่ช้า  มีเพียงบรรดาผู้ที่ยอมรับและปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่สามารถได้รับการเข้าสู่ชีวิตและมีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

เราได้เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมเรื่องที่ว่าการเข้าสู่ชีวิตคืออะไร การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร และการสำแดงที่แตกต่างกันทั้งหมดของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนควรยกสิ่งเหล่านี้มาเปรียบกับตัวเอง และเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาจำเป็นต้องนำความจริงไปปฏิบัติ  อะไรคือความลำบากยากเย็นข้อใหญ่ที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้า?  นั่นก็คือว่าพวกเขาเข้าใจความจริง แต่ไม่ปฏิบัติความจริง  แม้ว่าหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วพวกเขาสามารถนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง และสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวเองอยู่บ้าง เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้?  คนส่วนใหญ่หาเหตุผลไม่เจอ  ตัวอย่างเช่น ทุกคนมีอุปนิสัยอันโอหัง—พวกเขาล้วนแต่โอหังและคิดว่าตนถูกเป็นพิเศษ  คนส่วนใหญ่สามารถตระหนักรู้การนี้ แต่พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการเผยความโอหังของตนออกมาได้หรือไม่?  นี่ไม่ง่ายที่จะสัมฤทธิผล  แม้ว่าเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาสามารถนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง พวกเขายอมรับว่าตนมีอุปนิสัยอันโอหัง และมีเส้นทางสู่การปฏิบัติ แต่สิ่งที่ยากก็คือว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำบางสิ่งบางอย่าง พวกเขามีความเลือกชอบ เจตนา และเป้าหมายของตนเองอยู่เนืองนิจ และพวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เชื่อมโยงกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  พวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ และต้องเข้าใจความจริง แก้ไขสิ่งที่ควรได้รับการแก้ไข และปล่อยมือจากสิ่งที่ควรถูกปล่อยไป  กล่าวคือ พวกเขาไม่ควรทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งเจตนา ความอยากได้อยากมี ความหยิ่งยโส สถานะ และผลประโยชน์ของตนอีกต่อไป  พวกเขาควรหยุดการทำชั่วของตน และหักห้ามใจตัวเองไม่ให้พูดอีกประโยคหนึ่งหรือทำอีกความประพฤติหนึ่งเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง  หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าย่อมจะได้รับหัวใจแห่งการกลับใจใหม่แล้ว และย่อมจะเริ่มเปลี่ยนแปลงในด้านที่เป็นลบของตนแล้ว  หากเจ้ามีความคิดริเริ่มมากขึ้นไปอีก และนอกจากการไม่พูดเพื่อประโยชน์ของตัวเองแล้ว เจ้ายังสามารถชำแหละตัวเอง โดยยอมให้พี่น้องชายหญิงมองเห็นการสำแดงถึงอุปนิสัยอันโอหังของเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะสามารถเรียนรู้จากการนี้ ได้รับบทเรียนบางอย่าง ได้รับประโยชน์จากการนี้ และพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ นั่นก็คงจะดียิ่งขึ้นไปอีก  สิ่งที่ยากคืออะไร?  สิ่งที่ยากคือการปล่อยมือจากเจตนา จุดมุ่งหมาย ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความอยากได้อยากมี และผลประโยชน์ทั้งหมดของเจ้า การไม่ทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง และการไม่ยุ่งวุ่นวายหรือสาละวนเร่งร้อนเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง  เปาโลพูดว่าเขาได้วิ่งแข่งจนครบถ้วนแล้ว  เขาวิ่งแข่งครั้งนี้เพื่อใคร?  (เขาวิ่งแข่งครั้งนี้เพื่อที่เขาจะสามารถได้รับพระพรและได้มาซึ่งมงกุฎ)  แต่เปาโลก็ขาดพร่องความเข้าใจนี้  เขายังคงมีแววที่จะคิดว่าเขาวิ่งแข่งครั้งนี้เพื่อพระเจ้าและเพื่อทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสิ้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเองเป็นแน่  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงอาจหาญที่จะโอ้อวดและเป็นพยานยืนยันให้ตัวเองในลักษณะที่อวดตัวและหน้าไม่อายเช่นนั้น  เห็นได้ชัดว่าเขากำลังอธิบายและแก้ต่างให้ตัวเอง  ในเวลาเดียวกันนี่ยังเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดอีกด้วยว่าเขากำลังเป็นพยานยืนยันว่าสำหรับเขาแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์  เขากำลังเป็นพยานยืนยันให้ตัวเองและต้านทานความจริงอย่างโจ่งแจ้ง เขากำลังหมิ่นประมาทความจริง  มีคนมากมายในขณะนี้ที่เคารพเปาโล ซึ่งหัวใจของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมี ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่ต้องการเป็นพยานยืนยันให้ตัวเองว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8)  ด้วยการทำเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้กำลังให้อิสระอย่างเต็มที่แก่ความอยากได้อยากมีและความมักใหญ่ใฝ่สูงของตน โดยปล่อยให้สิ่งเหล่านี้พองโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เผยสิ่งเหล่านี้ออกมาในทุกสถานการณ์เพื่อให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมาหรอกหรือ?  หากเจ้าไม่สามารถเอาชนะความอยากได้อยากมีของตนได้ เช่นนั้นแล้วเรื่องนี้ก็จบลงแล้วอย่างสมบูรณ์สำหรับเจ้า เจ้าจะไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  อะไรคือประเด็นสำคัญของปัญหานี้?  (พวกเราต้องขัดขืนเจตนาของพวกเรา)  การขัดขืนเจตนาของเจ้าเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติที่เป็นลบ  เจ้ายังต้องสามารถเปิดโปงเจตนาเหล่านั้นของเจ้าอย่างแข็งขันอีกด้วย เหมือนกันไม่มีผิดกับการเปิดโปงคนอื่น  หากเจ้ากล่าวบางสิ่งเช่น “ฉันจะบอกความจริงเกี่ยวกับตัวฉันเองกับพวกคุณว่า ฉันมีความมักใหญ่ใฝ่สูงที่เกินเลยมาก และฉันก็พึงปรารถนาที่จะเอาชนะใจพวกคุณ  ในขณะนี้ฉันกำลังเปิดใจของตัวเองกับพวกคุณทุกคน  ฉันเต็มใจที่จะขัดขืนเนื้อหนัง ฉันจะไม่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน  จุดมุ่งหมายของฉันในการเปิดโปงตัวเองในหนทางนี้คือยอมให้พวกคุณเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของฉันอย่างชัดเจน เพื่อที่คุณจะได้ไม่บูชาฉัน”—การปฏิบัติในหนทางนี้จะมีผลใด?  ทุกคนจะเลื่อมใสเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด  นี่จะไม่ดีกว่าการบูชาและการเคารพนับถืออย่างสูงส่งที่เจ้าจะได้รับเพื่อแลกกับการใช้ชั้นเชิงที่ต่ำช้าทุกรูปแบบมากหรอกหรือ?  (ดีกว่ามาก)  อย่างน้อยที่สุดนี่ก็เป็นเรื่องบวก  แม้ว่าทุกคนน่าจะมีความเลื่อมใสให้กับเจ้าอยู่บ้าง แต่พวกเขาจะยกย่องบูชาเจ้าหรือไม่?  บางทีบางคนอาจจะยกย่อง แต่เจ้าต้องหาหนทางที่จะทำให้พวกเขาละทิ้งพฤติกรรมนี้  จงเปิดโปงตัวเจ้าเองอยู่เสมอโดยกล่าวว่า “ฉันก็เป็นกบฏเช่นกัน และความเป็นกบฏของฉันก็รุนแรงกว่าของพวกคุณ  ฉันยังหลอกลวงและเลวอีกด้วย  เมื่อฉันกล่าวในตอนนั้น ฉันมีจุดมุ่งหมายในใจ ซึ่งก็คือการทำให้พวกคุณยกย่องบูชาฉันและไม่ดูแคลนฉัน”  หลังจากทุกคนได้ยินเช่นนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ดูแคลนเจ้าในหัวใจของพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขาจะนับถือเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก  นี่คือหนทางแห่งการปฏิบัติที่ตรงไปตรงมา  มีเพียงคนที่รักความจริงเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้ คนที่ไม่รักความจริงไร้ความสามารถที่จะทำเช่นนี้ไม่ว่าจะอย่างไร  หากในหัวใจของเจ้าคิดว่าการทำเช่นนี้ดีจริงๆ และเป็นเอกสิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ ทำให้พระเจ้าพอพระทัย และเจ้าก็มุ่งมาดปรารถนาที่จะกระทำการในหนทางนี้ หากเจ้ามีความพึงปรารถนาอันแรงกล้าในหัวใจของตน โดยเชื่อว่าเจ้าควรทำเช่นนี้และนี่คือคนจำพวกที่เจ้าควรเป็น—คนที่ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ ไม่สามารถพบคำโกหกในสิ่งที่พวกเขากล่าว เป็นคนที่ขัดขืนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและซาตานอย่างถ้วนทั่ว—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นคนจำพวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง  และหากเจ้าชอบและรักการเป็นคนจำพวกนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถรักความจริง เข้าสู่ความจริง และปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของซาตาน  แต่หากเจ้ายังคงสนใจเจตนา จุดมุ่งหมาย ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความอยากได้อยากมี และผลประโยชน์ของตน และยังคงมีความชื่นชอบให้กับการไล่ตามไขว่คว้าความรู้ ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะหลงเหลืออยู่ เช่นนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้ย่อมยังคงมีที่ในหัวใจของเจ้า  เจ้ากล่าวว่า “ให้ฉันค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปจนกระทั่งฉันมีวุฒิภาวะที่ถูกต้องเหมาะสม แล้วพวกเราก็จะได้เห็นกัน”  นี่เรียกว่าการตามใจตัวเจ้าเอง และการที่ไม่สามารถขัดขืนตัวเจ้าเองได้อย่างสมบูรณ์  ด้วยการตามใจตัวเองเช่นนี้ การเข้าสู่ชีวิตของเจ้าจึงเชื่องช้า และไม่เพียงแต่ประเด็นปัญหาของเจ้าเกี่ยวกับการกระหายความสำราญทางเนื้อหนังและการกระหายผลประโยชน์แห่งสถานะยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นดื้อด้านมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย  แล้วสิ่งทั้งหลายในหัวใจของเจ้าที่เป็นของซาตานสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์อย่างถ้วนทั่วได้หรือไม่?  ประสบการณ์ชีวิตของเจ้ายังคงสามารถลึกซึ้งและชีวิตของเจ้าสามารถเติบโตต่อไปได้หรือไม่?  เจ้ายังคงสามารถสัมฤทธิ์การได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้าได้หรือไม่?  เจ้าได้ตกอยู่ในความสำราญทางเนื้อหนังแล้ว และผลประโยชน์แห่งสถานะก็ได้พันธนาการเจ้าไว้แน่น—เจ้ายังคงสามารถหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  เจ้าไม่ต้องการที่จะหลุดพ้น เจ้ากลายเป็นใครบางคนที่ชักพาผู้คนให้หลงผิดอย่างช้าๆ  นั่นย่อมจะเป็นปัญหา และบาปของเจ้าก็ย่อมจะรุนแรง  เหตุใดสิ่งทั้งหลายจึงจบลงอย่างที่เกิดขึ้นกับเปาโล?  เป็นเพราะเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงแม้แต่น้อย  เขาไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและการโหยหาของตนอยู่เสมอ และต้องการที่จะควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อที่พวกเขาทุกคนจะได้ติดตามเขา และทำอย่างที่เขาทำ  เขายังต้องการที่จะใช้การทำงานหนักและการยอมลำบากเป็นอำนาจเพื่อทำข้อตกลงกับพระเจ้า และได้มาซึ่งบำเหน็จและมงกุฎ  ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถูกพระเจ้าลงโทษ  หากเส้นทางที่ใครบางคนเดินเป็นอย่างเดียวกับเส้นทางของเปาโลไม่มีผิด เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมเกินกว่าจะช่วยเหลือและจบสิ้นแล้วอย่างสมบูรณ์  ใครก็ตามที่เป็นคนจำพวกเดียวกับเปาโลเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะไม่กลับใจ  หากเจ้ามีเพียงแค่สภาวะบางอย่างที่เปาโลมี แต่เป้าหมายที่เจ้าไล่ตามเสาะหาแตกต่างไปจากของเปาโลเล็กน้อย เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องกลับใจทันที และบางทีเจ้าก็อาจจะทำได้ทันเวลา  หากเจ้าทำอย่างที่เปาโลได้ทำ บูชาเปาโล และเป็นอย่างเดียวกับเปาโลไม่มีผิด เช่นนั้นแล้วไม่เพียงแต่เจ้าเป็นผู้ไม่เชื่อเท่านั้น แต่เจ้ายังต้องการที่จะเป็นพระเจ้าและเป็นพระคริสต์ด้วย  นี่ไม่ใช่การต้องการที่จะอยู่ในระดับเดียวกับพระเจ้าหรอกหรือ?  ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้านมัสการพระเจ้าที่คลุมเครือในสวรรค์ เจ้าต้องการที่จะอยู่ในระดับเดียวกับพระคริสต์ และถึงขั้นปฏิบัติต่อพรสวรรค์และความรู้ของตนดังเช่นชีวิต และปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้าที่ไม่ถูกควรดังเช่นการไล่ตามไขว่คว้าที่ถูกควร  เป้าหมายที่เจ้าไล่ตามไขว่คว้าและลักษณะของการไล่ตามไขว่คว้าของเจ้ากำลังเข้าใกล้สิ่งที่การไล่ตามไขว่คว้าของเปาโลเคยเป็นเข้าไปทุกที และตรงกับการไล่ตามไขว่คว้าของเปาโลอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ  นี่ย่อมก่อให้เกิดเรื่องเดือดร้อนสำหรับเจ้า เจ้าย่อมสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง และเจ้าก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  เจ้าต้องทำอย่างที่เปโตรได้ทำและเดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ขัดขืนเนื้อหนังอย่างถ้วนทั่ว และขัดขืนสิ่งเหล่านั้นที่เป็นของซาตาน และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ตอนนี้พวกเจ้ามีเส้นทางสู่การได้รับความรอดหรือไม่?  (การเปิดโปงตัวพวกเราเองและการปล่อยมือจากตัวพวกเราเองอยู่เป็นนิตย์)  อันดับแรกเลยก็คือ เจ้าต้องปล่อยมือจากเจตนา จุดมุ่งหมาย ความมักใหญ่ใฝ่สูง และความอยากได้อยากมีส่วนบุคคลของตน  ไม่ว่าเจ้าไล่ตามเสาะหาอย่างแข็งขันหรือไม่ หรือเจ้าไล่ตามเสาะหาในหนทางที่เป็นลบและเอื่อยเฉื่อย เจ้าต้องปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้และเรียนรู้ที่จะนบนอบ  การนี้มีความสำคัญสูงสุด  หากเจ้าตัดสินใจที่จะกระทำการในหนทางบางอย่างเมื่อบางสิ่งบังเกิดขึ้นกับเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องประเมินวัดว่าเจ้ากำลังกระทำการในหนทางนี้เพื่อสิ่งใด  หากนั่นเป็นไปเพื่อความภาคภูมิใจและสถานะ เช่นนั้นแล้วก็จงหยุดตรงนั้น แล้วก้าวย่างสู่การลงมือทำของเจ้าให้ช้าลง  เจ้าต้องอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะทำการนี้  ข้าพระองค์ต้องการที่จะขัดขืนการนี้ แต่ข้าพระองค์ก็ขาดพร่องกำลัง  ได้โปรดประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ คุ้มครองข้าพระองค์ และหยุดการทำชั่วในร่องครรลองของข้าพระองค์ด้วยเถิด”  เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะมีกำลังโดยที่เจ้าไม่ตระหนักเลย  บางครั้งความสามารถของผู้คนในการเอาชนะบาป ขัดขืนเนื้อหนัง และขัดขืนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนก็มาจากความปรารถนาและเจตจำนงของตน รวมทั้งความมุ่งมาดปรารถนาที่จะรักความจริงของตน  บางเวลาความสามารถดังกล่าวก็พึงต้องมีพระราชกิจของพระเจ้า และพึงต้องพึ่งพาพระเจ้า—ผู้คนไม่สามารถผละจากพระเจ้าได้  บางครั้งเจ้าก็เข้าใจความจริง เจ้ามีเส้นทางให้เดินตาม และเจ้าก็คิดว่าเจ้าสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระได้ แต่เมื่อเจ้าเผชิญกับสภาพการณ์ใหม่ๆ เจ้าไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร—เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์  ชีวิตของผู้คนเต็มไปด้วยทุกข์และสุข  อาจพูดได้ว่าผู้คนไม่สามารถปราศจากพระเจ้าได้เลย  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเข้าใจความจริงมากเพียงใด พวกเขาไม่สามารถผละจากพระองค์ได้  ไม่สำคัญว่าพวกเขามีชั่วขณะความคิดลบมากเท่าไหร่หรือชั่วขณะแห่งความนิ่งเฉยมากเท่าไหร่ ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถผละจากการทรงนำและการทรงแนะแนวทางจากพระเจ้าได้  ยิ่งเจ้านบนอบพระเจ้ามากครั้งขึ้นเท่าใด ความเป็นจริงความจริงของเจ้าก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น  เมื่อความเป็นจริงความจริงของเจ้าเพิ่มขึ้น นี่ย่อมบอกเป็นนัยว่าการเข้าสู่ชีวิตของเจ้ากลายเป็นลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อการเข้าสู่ชีวิตของเจ้ากลายเป็นลึกซึ้งมากขึ้น นี่ย่อมหมายความว่าอุปนิสัยของเจ้ากำลังเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่ออุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าเจ้าได้รับวุฒิภาวะแล้ว  วุฒิภาวะของเจ้าคือตัวแทนของการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า  เมื่อเจ้ามีวุฒิภาวะ เจ้าย่อมสามารถเอาชนะการควบคุมและพันธนาการที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ามีเหนือตัวเจ้าได้ ความสามารถของเจ้าในการเอาชนะบาปย่อมจะแข็งแกร่งมากขึ้น และหัวใจของเจ้าย่อมจะมีกำลัง  เจ้าจะไม่เพียงแค่มีความปรารถนา ความหวัง และความทะเยอทะยานเกี่ยวกับอารมณ์ เจ้าจะไม่เอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่ระดับนี้  ตรงกันข้าม เจ้าจะสูงขึ้นไป และเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นใครบางคนที่มีความจริงและความเป็นมนุษย์  นี่คือเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง และยังเป็นผลลัพธ์จากการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย  พวกเจ้าสามารถมองเห็นทิศทางหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถมองเห็นความหวังหรือไม่?  (สามารถ)  นั่นเป็นสิ่งที่ดี

การเข้าสู่ชีวิตเป็นกระบวนการที่ไม่มีวันจบสิ้น  เจ้าต้องรับประสบการณ์ชั่วชีวิตเพื่อที่จะได้รับจากการนั้นและก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง  ต่อให้เจ้าเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง หากเจ้ายังคงกระหายความสำราญทางเนื้อหนังและผลประโยชน์แห่งสถานะ ไม่ว่าอย่างไรเสียเจ้าย่อมจะสะดุดและล้มเหลว  ตอนนี้เส้นทางของเจ้าถูกต้อง และเจ้าได้พบทิศทางของตนแล้ว  เจ้าได้แยกแยะสิ่งเหล่านั้นที่ไม่ถูกต้อง นิ่งเฉย ขัดแย้ง และเป็นลบอย่างชัดเจนแล้ว  มีอาณาเขตระหว่างเจ้ากับสิ่งเหล่านี้  ในเรื่องของสิ่งที่เป็นบวก เจ้ายังได้เข้าใจและได้รับจากสิ่งเหล่านั้นค่อนข้างมากเช่นกัน และสามารถจับใจความและยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้ค่อนข้างมากแล้ว  สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่หลังจากได้รับวิจารณญาณเหนือสิ่งทั้งหลายและการกระทำที่ผิด เลวทราม และเป็นลบเหล่านี้ ก็คือการเนรเทศสิ่งเหล่านี้จากหัวใจของเจ้าอย่างถ้วนทั่ว ละทิ้งสิ่งเหล่านี้และขัดขืนสิ่งเหล่านี้อย่างถ้วนทั่ว แล้วจึงปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งความจริง  ในหนทางนี้เจ้าจึงจะมีการเข้าสู่ชีวิต  การเข้าสู่ชีวิตอันที่จริงแล้วไม่ยาก นั่นก็แค่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ารักความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่  หากเจ้ารักความจริงอย่างแท้จริง สิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ย่อมจะไม่สามารถทำให้เจ้าพ่ายแพ้ได้  เจ้าอาจเฉื่อยชาและอ่อนแอเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่จะยังคงสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าต่อไปได้  หากเจ้าไม่รักความจริง หรือเจ้าไม่รักความจริงอย่างแรงกล้าขนาดนั้น โดยแค่มุ่งความสนใจไปที่พิธีรีตองภายนอก สละตนเองเล็กน้อยและมอบตัวเองเล็กน้อย สามารถตื่นเช้าและนอนดึกเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ หากเจ้าเพียงแค่อ้อยอิ่งอยู่ที่ช่วงระยะของการลงแรง ไม่ต้องการที่จะบรรลุการเข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริง แค่พอใจที่จะสละตนเองเพื่อพระเจ้าและไม่ทำการกระทำผิดหลักๆ เพิ่มเติม และเจ้าก็ค้างคาและไม่เคลื่อนไปข้างหน้า ผลที่ตามมาจากทั้งหมดนี้จะเป็นอย่างไร?  เจ้าจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าอย่างแน่นอน  หากเจ้าต้องการให้การไล่ตามเสาะหาความจริงของตนประสบความสำเร็จ และต้องการที่จะได้รับชีวิตอย่างแท้จริง นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย  เจ้าต้องปล่อยมือจากผลประโยชน์ของตนเองและละทิ้งการไล่ตามไขว่คว้าที่ไม่ถูกควรทั้งหมด เช่นการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ การไล่ตามไขว่คว้าพระพร หรือการไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎหรือบำเหน็จ  ต้องปล่อยมือจากทั้งหมดนี้  หากเจ้ารักความจริงอย่างแท้จริงและชื่นชมยินดีกับการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วการเข้าสู่ชีวิตก็ย่อมจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจ้า  ตราบที่เจ้าเข้าใจความจริง โดยธรรมชาติแล้วเจ้าย่อมจะมีเส้นทาง และจะไม่มีความลำบากยากเย็นมากนัก

21 มิถุนายน ค.ศ. 2018

ก่อนหน้า: วิธีระบุแก่นแท้ธรรมชาติของเปาโล

ถัดไป: การแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger