อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ?

ในการชุมนุมครั้งก่อน หัวข้อสามัคคีธรรมหลักคือเรื่องเงื่อนไขพื้นฐานสี่ข้อในการทำให้คนคนหนึ่งเพียบพร้อมผ่านทางการยอมรับการพิพากษาและการตีสอน  เงื่อนไขพื้นฐานสี่ข้อนี้มีอะไรบ้าง?  (เงื่อนไขข้อแรกคือการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ  ข้อสองคือการมีความรู้สึกนึกคิดที่นบนอบพระเจ้า  ข้อสามคือการเป็นคนซื่อสัตย์โดยพื้นฐาน  และข้อสี่คือการมีหัวใจที่สำนึกกลับใจ)  เงื่อนไขสี่ข้อนี้ต่างก็มีรายละเอียดบางอย่าง รวมทั้งการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและหลักอ้างอิงจำเพาะ  อันที่จริงมีการเสวนาถึงสี่ข้อนี้มาหลายปีแล้ว  ถ้าพวกเราพูดเรื่องเหล่านี้อีกในวันนี้ นั่นจะถือเป็นการย่ำรอยเดิมหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่คิดเช่นนั้น?  เพราะเนื้อหาของเงื่อนไขสี่ข้อนี้ต่างก็เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงของความจริงและการเข้าสู่ชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันได้อย่างไม่รู้จบ  ผู้คนส่วนใหญ่ยังไปไม่ถึงขั้นของการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง พวกเขาเข้าใจแต่ความหมายที่ผิวเผินของความจริงเท่านั้น เข้าใจแต่คำสอนง่ายๆ บางอย่างเท่านั้น  แม้พวกเขาจะสามารถสามัคคีธรรมถึงความเป็นจริงบางอย่างได้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  ดังนั้น ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับแง่ใดของความจริง ก็ต้องมีการสามัคคีธรรมอยู่เนืองๆ และรับฟังกันบ่อยๆ  เช่นนี้ผู้คนจึงจะเข้าใจความจริงต่างๆ ลึกซึ้งขึ้นผ่านทางประสบการณ์จริงของตน และประสบการณ์ของพวกเขาก็จะกระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ

พวกเราเพิ่งสรุปเงื่อนไขพื้นฐานสี่ข้อเพื่อให้ได้รับการทำให้เพียบพร้อมผ่านทางการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนกันไป  ถัดจากนั้นพวกเราก็มาเริ่มเสวนาตั้งแต่เงื่อนไขข้อแรกคือ การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ กันเถิด  บางคนกล่าวว่า “การเสวนาในช่วงสองปีมานี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่ว่าควรปฏิบัติหน้าที่อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดี ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ควรยึดถือหลักธรรมข้อใด—ฉันรู้เรื่องเหล่านี้อยู่ในหัวใจเหมือนรู้จักหลังมือของตนเอง ไม่อาจชัดเจนไปกว่านี้ได้อีกแล้ว  และในช่วงสองสามปีมานี้ ชีวิตประจำวันของฉันก็เกี่ยวข้องกับความจริงที่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของฉันทั้งสิ้น  ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตนมา ฉันก็แสวงหา กินและดื่ม และฟังความจริงที่เชื่อมโยงกับการปฏิบัติหน้าที่ และแม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังคงมีการเสวนาเรื่องนี้กันอยู่  ฉันเข้าใจอยู่ในหัวใจของฉันมานานแล้ว แท้จริงแล้วนี่เป็นเพียงการทำหน้าที่ของตนให้ดีไม่ใช่หรือ?  การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอก็คือการทำตามหลักธรรมที่เคยกล่าวถึงไปก่อนหน้านี้เท่านั้นไม่ใช่หรือ?  จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า ด้วยหัวใจทั้งดวง ด้วยดวงจิตทั้งดวง ด้วยความรู้สึกนึกคิดและเรี่ยวแรงทั้งปวงที่มี แสวงหาหลักธรรม อย่าพึ่งพาความรู้สึกของตนเอง และประสานงานอย่างสมานฉันท์ขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน จงปฏิบัติหน้าที่พร้อมกับที่เข้าสู่ชีวิตไปด้วย—เรื่องก็มีอยู่เท่านั้น”  สิ่งที่พวกเจ้าเผชิญและมีประสบการณ์ในชีวิตประจำวันก็มีแต่เรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าจึงเข้าใจแต่เพียงเท่านั้น  ไม่ว่าพวกเจ้าจะเข้าใจมากเท่าใด พวกเราก็ยังคงจำเป็นต้องเสวนาความจริงข้อนี้ในวันนี้  ถ้ามีการพูดเรื่องใดซ้ำ นั่นย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าด้วย และพวกเจ้าก็จะสามารถตรึกตรองเรื่องนั้นอีกครั้ง ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเสวนากันมาก่อน เช่นนั้นแล้วก็จงทำความเข้าใจ  ไม่ว่าจะเป็นการพูดซ้ำหรือไม่ เจ้าก็ควรตั้งใจฟัง  พิจารณาว่านี่เกี่ยวข้องกับความจริงเรื่องใด ความจริงเหล่านี้มีประโยชน์อันใดกับการเข้าสู่ชีวิตของพวกเจ้าบ้าง และสามารถช่วยให้พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีพอหรือไม่  ดังนั้นจึงมีความจำเป็นโดยแท้ที่จะต้องพูดเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอกันอีกครั้ง

ในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอนี้ พวกเรามาวางความหมายของคำว่า “ดีพอ” เอาไว้ก่อนและคุยกันแทนว่าหน้าที่คืออะไร  ถึงตอนจบ พวกเจ้าก็จะรู้ว่าหน้าที่คืออะไร อะไรคือสิ่งที่ถือว่าดีพอ และหน้าที่ควรมีการปฏิบัติอย่างไร เจ้าจะมีเส้นทางของการลงมือปฏิบัติหน้าที่ให้ได้มาตรฐาน  แล้วหน้าที่คืออะไร?  (หน้าที่คือสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้มนุษย์ทำ เป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ)  ถ้อยแถลงนี้ถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น  ในทางทฤษฎี นี่ไม่มีอะไรผิด แต่เมื่อดูให้ละเอียดขึ้น คำอธิบายนี้กลับไม่ครบถ้วน ควรมีเงื่อนไขเบื้องต้นอยู่ด้วย  พวกเรามาลงลึกในเรื่องนี้กันเถิด  สำหรับผู้เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อทุกคน การที่พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไร ทำสิ่งใดในโลกมนุษย์นี้ และมีชะตาชีวิตเช่นใด—ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตัวอย่างเช่น ในโลกนี้บางคนทำดนตรี  การทำดนตรีคือภารกิจในชีวิตของพวกเขา แล้วภารกิจนี้สามารถพิจารณาว่าเป็นหน้าที่ของพวกเขาได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  บางคนทำสิ่งที่ไม่ธรรมดาในโลก ส่งผลต่อมนุษยชาติทั้งมวล สร้างคุณงามความดี และถึงกับเปลี่ยนแปลงยุคสมัย นี่คือภารกิจในชีวิตของพวกเขา  แล้วสามารถเรียกภารกิจในชีวิตว่าเป็นหน้าที่ของพวกเขาได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แต่ภารกิจในชีวิตนี้และสิ่งที่พวกเขาทำมาตลอดชีวิตก็คือสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาทำมิใช่หรือ?  นี่เป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถูกต้องแล้ว  พระเจ้าประทานภารกิจแก่พวกเขา ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาทำงานตามพระบัญชานี้ และในหมู่มวลมนุษย์ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของมวลมนุษย์ พวกเขาก็มีสิ่งที่พวกเขาควรทำ มีสิ่งที่พวกเขาควรรับผิดชอบ  ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับวงการใด—จะเป็นศิลปะ ธุรกิจ การเมือง เศรษฐศาสตร์ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และอื่นๆ—พระเจ้าก็ทรงลิขิตทั้งหมดนั้นเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว  อย่างไรก็ดี มีข้อแตกต่างอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงลิขิตไว้เช่นไร ผู้คนเหล่านี้ก็อยู่นอกพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า  พวกเขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ และสิ่งที่พวกเขาทำก็อยู่นอกพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า  ดังนั้น ความรับผิดชอบ พระบัญชาที่พวกเขารับมาทำ และภารกิจในชีวิตของพวกเขาสามารถเรียกว่าหน้าที่ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ เพราะสิ่งที่พวกเขาทำไม่เชื่อมโยงกับพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า  มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ต่างก็น้อมรับพระบัญชาจากพระผู้สร้างและภารกิจที่พระองค์ประทานไว้แต่โดยดี แต่ภารกิจที่ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าพากันยอมรับ และความรับผิดชอบที่พวกเขาลุล่วง ไม่ใช่หน้าที่ เพราะไม่สัมพันธ์และไม่มีส่วนในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  พวกเขาไม่ยอมรับพระเจ้า และพระเจ้าก็ไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะลงมือรับผิดชอบเรื่องอันใด และไม่ว่าพวกเขาจะรับพระบัญชาในเรื่องใดหรือทำภารกิจใดให้สำเร็จลุล่วงในชีวิตนี้ ก็ไม่สามารถกล่าวว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน  ดังนั้น หน้าที่คืออะไรกันแน่?  ควรเพิ่มเงื่อนไขเบื้องต้นเช่นใดเข้าไปเพื่ออธิบายแนวคิดนี้และความจริงด้านนี้ให้ชัดเจน ถูกต้อง และครอบคลุม?  คราวนี้จากสามัคคีธรรมของพวกเรา พวกเจ้าก็เข้าใจแนวคิดเรื่องหนึ่งแล้วใช่หรือไม่?  เป็นแนวคิดอันใด?  เป็นแนวคิดที่ว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามในหมู่มวลมนุษย์ ไม่ว่าพวกเขาจะรับภารกิจที่ยิ่งใหญ่เพียงใดมา หรือก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระดับใด หรือคุณงามความดีที่พวกเขามีต่อมวลมนุษย์จะมากมายเพียงใด ก็ไม่สามารถเรียกภารกิจและพระบัญชาดังกล่าวว่าหน้าที่  นี่เป็นเพราะสิ่งเหล่านั้นไม่เชื่อมโยงกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เป็นเพียงภารกิจเท่านั้น  ไม่ว่าพวกเขาจะลงมืออย่างแข็งขันหรือเฉื่อยชา สิ่งที่พวกเขาทำอยู่ก็คือการทำภารกิจหนึ่งๆ ให้เสร็จสิ้นเท่านั้น นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตราบใดที่การกระทำของพวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และไม่เกี่ยวอะไรกับพระราชกิจช่วยมนุษยชาติให้รอดของพระเจ้า ตราบนั้นการลุล่วงภารกิจดังกล่าวก็ไม่อาจเรียกว่าการปฏิบัติหน้าที่ได้  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอย่างไม่มีข้อสงสัย  ดังนั้น หน้าที่คืออะไร?  ควรทำความเข้าใจหน้าที่ดังนี้ หน้าที่คือพระบัญชาและภารกิจที่พระเจ้าประทานมาภายในขอบเขตแห่งพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์ที่ช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  การกล่าวเช่นนี้ครบถ้วนและเที่ยงตรงมิใช่หรือ?  มีแต่สิ่งที่เที่ยงตรงเท่านั้นที่เป็นความจริง สิ่งที่ไม่เที่ยงตรงและมีด้านเดียวย่อมไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงคำสอนเท่านั้น  หากไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้และตระหนักรู้ให้รอบด้านว่าหน้าที่คืออะไร เจ้าก็จะไม่รู้ว่าความจริงที่สัมพันธ์กับหน้าที่มีอะไรบ้าง  ก่อนหน้านี้ผู้คนอาจมีแนวคิดที่ผิดอยู่มากมายในความเข้าใจที่พวกเขามีต่อหน้าที่  นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง ซึ่งพาให้เกิดมโนคติอันหลงผิดและคำพูดกำกวมสารพัดชนิด  และแล้วผู้คนก็ใช้มโนคติอันหลงผิดและคำพูดกำกวมเหล่านี้มาอธิบายหน้าที่ และต่อจากนั้นก็ปฏิบัติต่อหน้าที่ตามแนวคิดเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น บางคนคิดว่าในเมื่อชีวิตของตนถูกพระเจ้าลิขิตไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว—คือพระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าหมดแล้วว่าคนเราจะเกิดในครอบครัวแบบใด จะรวยหรือจนในชีวิต และจะไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานแบบใด—เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งที่คนเราทำในชีวิตและสิ่งที่พวกเขาสำเร็จลุล่วงก็ล้วนเป็นพระบัญชาที่พระเจ้าประทานมาทั้งสิ้นและเป็นภารกิจของคนเรา  เพียงเพราะนี่เกี่ยวข้องกับภารกิจ ดังนั้นพวกเขาจึงนึกว่าเป็นหน้าที่  พวกเขาสะดุดเจอแนวคิดเรื่องหน้าที่อย่างไร้แบบแผนเช่นนี้เอง  นี่คือความเข้าใจผิดมิใช่หรือ?  คนที่แต่งงานและมีลูกบางคนกล่าวว่า “การมีลูกคือพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเราทำ เป็นภารกิจของพวกเรา  การเลี้ยงดูลูกๆ ให้เติบใหญ่จึงเป็นหน้าที่ของพวกเรา”  นี่คือความเข้าใจผิดมิใช่หรือ?  และมีผู้อื่นที่กล่าวว่า “พวกเราถูกส่งมาทำไร่ไถนาที่โลกนี้  ในเมื่อนั่นเป็นชะตากรรมของพวกเรา พวกเราก็ควรทำให้ดี เพราะนั่นคือพระบัญชาและภารกิจที่พระเจ้าประทานมา  ไม่ว่าพวกเราจะยากจนขนาดไหนหรือจะทุกข์ยากปานใด พวกเราก็จะบ่นไม่ได้  การเพาะปลูกให้ดีในชีวิตนี้คือหน้าที่ของพวกเรา”  พวกเขานึกว่าชะตากรรมของคนเราคือภารกิจและหน้าที่ของตน  นี่คือความเข้าใจผิดมิใช่หรือ?  (ใช่)  เป็นความเข้าใจผิดโดยแท้  นอกจากนี้ยังมีคนทำธุรกิจในโลกบางคนที่กล่าวว่า “ฉันไม่เคยประสบความสำเร็จในเรื่องไหนมาก่อน แต่พอมาทำธุรกิจ ชีวิตกลับดีและมั่นคงมาก  ดูเหมือนพระเจ้าได้ทรงลิขิตชะตาให้ฉันทำธุรกิจในชีวิตนี้ ให้ฉันหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการทำธุรกิจ  ดังนั้น ถ้าในชีวิตนี้ฉันทำธุรกิจได้ดีและขยายกิจการออกไป หาเลี้ยงสมาชิกทุกคนในครอบครัว เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คือภารกิจของฉัน และบางทีภารกิจนี้ก็อาจจะเป็นหน้าที่ของฉัน”  นี่คือความเข้าใจผิดมิใช่หรือ?  ผู้คนมองว่ากิจธุระประจำวันของตน วิธีหาเลี้ยงชีวิต รูปแบบการใช้ชีวิตที่พวกเขามี และคุณภาพชีวิตที่พวกเขามี—ทุกสิ่งที่เชื่อมโยงกับภารกิจของพวกเขา—คือหน้าที่ของตน  นี่ไม่ถูกต้อง เป็นความเข้าใจที่บิดเบี้ยวในเรื่องที่ว่าหน้าที่คืออะไร

เมื่อเป็นดังนั้น หน้าที่คืออะไรกันแน่?  ผู้คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนและบิดเบี้ยวในเรื่องนี้  ถ้าพระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมให้เจ้าไปปลูกผักและธัญพืช เจ้าจะปฏิบัติต่อการจัดเตรียมนี้อย่างไร?  บางคนอาจจะทำความเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ และกล่าวว่า “การทำไร่ทำนาคือการหาเลี้ยงครอบครัวของคนเรา ไม่ใช่หน้าที่  แนวคิดเรื่องหน้าที่ไม่ได้รวมด้านนี้เอาไว้ด้วย”  เหตุใดพวกเขาจึงเข้าใจสิ่งต่างๆ เช่นนี้?  เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงที่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ และไม่เข้าใจว่าหน้าที่คืออะไร  ถ้าคนเราเข้าใจความจริงในแง่นี้ พวกเขาก็จะเต็มใจไปเพาะปลูก  พวกเขาจะรู้ว่าในพระนิเวศของพระเจ้า การเพาะปลูกไม่ได้ทำเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ตามปกติ  อันที่จริง นี่ก็เป็นพระบัญชาจากพระเจ้าเช่นกัน ตัวงานเองอาจจะไม่มีนัยสำคัญมากไปกว่าเมล็ดงาเมล็ดหนึ่ง หรือบางทีอาจจะไม่สำคัญกว่าทรายเม็ดหนึ่งด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าจะมีความสำคัญเท่าใด ก็เป็นงานที่เกิดขึ้นภายในขอบเขตแห่งพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า  เวลานี้พระเจ้าตรัสว่าเจ้าต้องทำงานนี้ให้เสร็จสมบูรณ์—เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  เจ้าควรรับมาเป็นหน้าที่ของเจ้า และควรยอมรับโดยไม่มีข้ออ้างใดๆ  ถ้าเจ้าเพียงแต่นบนอบโดยดีและไปทำงานเพาะปลูกเพราะว่านั่นคือสิ่งที่มีการจัดเตรียมให้เจ้าไปทำ นั่นย่อมจะใช้ไม่ได้  ในที่นี้มีหลักธรรมที่เจ้าต้องเข้าใจคือ การที่คริสตจักรจัดแจงให้เจ้าทำไร่ไถนาและปลูกผักไม่ใช่เพื่อให้เจ้าสามารถกลายเป็นคนที่มั่งคั่ง ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าประคองตัวให้รอดและหาเลี้ยงครอบครัวได้ แต่เป็นไปเพื่อตอบสนองความจำเป็นเรื่องงานในพระนิเวศของพระเจ้าในห้วงเวลาที่เกิดความวิบัติ  นี่เป็นไปเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาในพระนิเวศของพระเจ้าจะมีเสบียงประจำวัน พวกเขาจะได้สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามปกติโดยไม่ทำให้งานในพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้า  ดังนั้นจึงถือว่าผู้คนบางส่วนที่เพาะปลูกอยู่ที่คริสตจักรการเกษตรกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่ นี่มีธรรมชาติแตกต่างจากการเพาะปลูกของเกษตรกรทั่วไป  การเพาะปลูกของเกษตรกรทั่วไปมีธรรมชาติเป็นเช่นไร?  เกษตรกรทั่วไปเพาะปลูกเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวของตนและอยู่รอด นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้ให้พวกเขา  นี่คือชะตาชีวิตของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเพาะปลูกกันรุ่นแล้วรุ่นเล่า ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของพวกเขาเลย  ทีนี้เจ้าเองก็มาที่พระนิเวศของพระเจ้าและเพาะปลูกเช่นกัน แต่นี่คือข้อกำหนดเกี่ยวกับงานในพระนิเวศของพระเจ้า เป็นรูปแบบหนึ่งของการสละเพื่อพระเจ้า  นี่จึงมีธรรมชาติที่แตกต่างจากการเพาะปลูกในที่ดินของเจ้าเอง  นี่เป็นเรื่องของการลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า  เป็นหน้าที่ที่คนคนหนึ่งควรปฏิบัติ เป็นพระบัญชาและความรับผิดชอบที่พระผู้สร้างไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ  สำหรับเจ้าแล้ว นี่จึงเป็นหน้าที่ของเจ้า  ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบหน้าที่นี้กับภารกิจทางโลกของเจ้า อย่างไหนสำคัญกว่ากัน?  (หน้าที่ของข้าพระองค์)  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  หน้าที่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เจ้าทำ นี่คือสิ่งที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ—นี่คือสาเหตุประการหนึ่ง  สาเหตุเบื้องต้นอีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อเจ้ารับหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าไปทำและน้อมรับพระบัญชาจากพระเจ้า เจ้าย่อมมีความสำคัญในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า  เมื่อใดก็ตามที่มีการจัดเตรียมบางสิ่งให้เจ้าทำในพระนิเวศของพระเจ้า แม้จะยากลำบากหรือเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย และไม่ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ก็ตาม นั่นก็คือหน้าที่ของเจ้า  ถ้าเจ้ามองได้ว่านั่นคือพระบัญชาและความรับผิดชอบที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีความสำคัญต่อพระราชกิจช่วยมนุษย์ให้รอดของพระองค์  และถ้าสิ่งที่เจ้าทำและหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติมีความสำคัญต่อพระราชกิจช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า และเจ้าสามารถน้อมรับพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าได้อย่างจริงจังและจริงใจ พระองค์จะทรงมองเจ้าว่าอย่างไร?  พระองค์จะทรงมองว่าเจ้าคือสมาชิกครอบครัวของพระองค์  นั่นเป็นพรหรือคำสาปแช่ง?  (พร)  นั่นคือพรอันยิ่งใหญ่  บางคนพร่ำบ่นเวลาเผชิญความยากลำบากเล็กน้อยขณะปฏิบัติหน้าที่ ไม่สนใจและไม่ตระหนักรู้พรอันมหาศาลที่ตนได้รับ  การบ่นพระเจ้าหลังจากที่มีข้อได้เปรียบมากมายเช่นนั้นจึงเป็นความเบาปัญญาโดยแท้มิใช่หรือ?  ถึงจุดนี้การเข้าใจความจริง การตระหนักรู้ว่านี่คือหน้าที่ของเจ้าและต้องมีการน้อมรับหน้าที่จากพระเจ้า จึงมีความสำคัญมาก  คราวนี้พวกเจ้าก็มีความเข้าใจใหม่ๆ หรือความตระหนักรู้เชิงลึกใหม่ๆ ว่าหน้าที่คืออะไรแล้วใช่หรือไม่?  พวกเจ้าเข้าใจหน้าที่ในเชิงลึกกันแล้วใช่หรือไม่?  หน้าที่มีความสำคัญต่อการได้รับความรอดหรือไม่?  (มี)  สำคัญเพียงใด?  กล่าวได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการได้รับความรอด  ไม่ว่าเจ้าจะทำภารกิจใดเสร็จสิ้นในชีวิตนี้ ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการได้รับความรอด  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าผลสำเร็จที่เจ้าบรรลุในชีวิตนี้จะยิ่งใหญ่เพียงใดในหมู่มนุษย์ เจ้าก็เพียงแต่เสร็จสิ้นภารกิจอย่างหนึ่งเท่านั้น เจ้าไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการได้รับความรอดหรือพระราชกิจบริหารจัดการมวลมนุษย์ของพระเจ้า

ในพระนิเวศของพระเจ้า มีการเอ่ยอยู่เสมอถึงการน้อมรับพระบัญชาจากพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกควร  หน้าที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?  หากจะพูดกว้างๆ แล้ว มันเกิดขึ้นโดยเป็นผลมาจากพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษยชาติ พูดอย่างเฉพาะเจาะจงก็คือ ขณะที่พระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าดำเนินไปท่ามกลางมวลมนุษย์ งานต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นซึ่งกำหนดให้ผู้คนร่วมมือและทำงานเหล่านั้นให้เสร็จสิ้น  การนี้ทำให้เกิดความรับผิดชอบและภารกิจที่ผู้คนจะต้องทำให้ลุล่วง และความรับผิดชอบกับภารกิจเหล่านี้ก็คือหน้าที่ทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์  ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น ภารกิจต่างๆ ที่ต้องการความร่วมมือจากผู้คนคือหน้าที่ที่พวกเขาควรปฏิบัติ  ดังนั้น มีความแตกต่างระหว่างหน้าที่ทั้งหลายในแง่ที่ว่าดีกว่ากับแย่กว่า สูงส่งกว่ากับต่ำต้อยกว่า หรือยิ่งใหญ่กับเล็กน้อยหรือไม่?  ความแตกต่างเช่นนั้นไม่มีอยู่จริง ตราบใดที่มีบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวข้องกับพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับงานในพระนิเวศของพระองค์ และเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ตราบนั้นนั่นก็คือหน้าที่ของบุคคลหนึ่ง  นี่คือที่มาและเป็นคำจำกัดความของหน้าที่  หากปราศจากพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า ผู้คนบนแผ่นดินโลก—โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาดำรงชีวิตอย่างไร—จะมีหน้าที่หรือไม่?  ไม่  คราวนี้พวกเจ้าก็มองเห็นกันอย่างชัดเจนแล้ว  หน้าที่ของคนเราสัมพันธ์กับสิ่งใด?  (สัมพันธ์กับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงบริหารจัดการความรอดของมวลมนุษย์)  ถูกต้อง  มีสัมพันธภาพโดยตรงระหว่างหน้าที่ของมวลมนุษย์ หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง กับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงบริหารจัดการความรอดของมวลมนุษย์  สามารถพูดได้ว่า หากพระเจ้าไม่ประทานความรอดแก่มวลมนุษย์ และหากปราศจากพระราชกิจบริหารจัดการซึ่งพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงเริ่มดำเนินการเอาไว้ในหมู่มนุษย์ ผู้คนย่อมจะไม่มีหน้าที่ให้พูดถึง  หน้าที่เกิดจากพระราชกิจของพระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนทำ  เมื่อมองจากมุมมองนี้ หน้าที่นั้นสำคัญสำหรับทุกบุคคลที่ติดตามพระเจ้า ใช่หรือไม่?  หน้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง  พูดอย่างกว้างๆ ก็คือ เจ้ากำลังมีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า พูดให้เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นก็คือ เจ้ากำลังให้ความร่วมมือกับการงานนานาสารพันชนิดของพระเจ้าที่พึงต้องมีในเวลาที่ต่างกันและท่ามกลางผู้คนกลุ่มที่ต่างกัน  นั่นคือพระบัญชาอย่างหนึ่งซึ่งพระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้า โดยไม่คำนึงถึงว่าหน้าที่ของเจ้าคืออะไร  บางครั้งเจ้าอาจพึงต้องดูแลหรือคุ้มภัยเป้าหมายสำคัญ  นี่อาจเป็นเรื่องที่เมื่อเทียบไปแล้วก็ค่อนข้างเล็กน้อยไม่สลักสำคัญอะไร ซึ่งพูดได้เพียงแค่ว่าเป็นความรับผิดชอบของเจ้า แต่นั่นเป็นกิจซึ่งพระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้า เจ้าน้อมรับกิจนั้นจากพระองค์  เจ้ารับกิจนั้นมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า และนั่นก็คือหน้าที่ของเจ้า  เมื่อพูดถึงมูลเหตุของเรื่องนี้ หน้าที่ของเจ้าจึงเป็นสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ  ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ การเป็นคำพยาน การทำวีดิทัศน์ การเป็นผู้นำหรือคนทำงานในคริสตจักร หรืออาจจะเป็นงานที่มีอันตรายและมีความสำคัญยิ่งกว่านั้นอีก  ไม่ว่าจะอย่างไร ตราบใดที่การนั้นเกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระเจ้าและความจำเป็นในเรื่องของงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผู้คนควรยอมรับการนั้นเป็นหน้าที่จากพระเจ้า  หากจะพูดในคำศัพท์ที่ยิ่งมีความหมายกว้างขึ้นไปอีกก็คือ หน้าที่เป็นภารกิจหนึ่งของบุคคล พระบัญชาหนึ่งซึ่งพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ทำ กล่าวโดยเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นก็คือ นั่นเป็นความรับผิดชอบของเจ้า ภาระผูกพันของเจ้า  ในเมื่อเป็นภารกิจของเจ้า พระบัญชาหนึ่งซึ่งพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ และเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าย่อมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกิจธุระส่วนตัวของเจ้า  หน้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกิจธุระส่วนตัว—เหตุใดจึงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา?  เพราะผู้คนต้องเข้าใจว่าควรปฏิบัติต่อหน้าที่และทำความเข้าใจหน้าที่ของตนอย่างไร  หน้าที่คือพระบัญชาที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างน้อมรับเอาไว้และเป็นพระบัญชาที่พวกเขาต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์ภายในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า  ผู้คนรู้หลักการโดยรวม แต่ในส่วนของรายละเอียดปลีกย่อยนั้นเป็นเช่นไร?  คนเราควรมีท่าทีต่อหน้าที่ของตนอย่างไรจึงจะถือว่ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง?  บางคนปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนเหมือนเป็นกิจธุระส่วนตัว นี่ใช่หลักธรรมที่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เหตุใดจึงผิด?  การทำสิ่งต่างๆ เพื่อตัวเองไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับการทำสิ่งต่างๆ เพื่อตัวเจ้าเอง แต่เป็นการทำงานที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่เจ้า—มีความแตกต่างระหว่างสองเรื่องนี้  ในเรื่องของการทำสิ่งต่างๆ เพื่อตัวเองมีหลักการว่าอย่างไร?  นั่นคือการทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้ารู้สึกอยากทำโดยไม่มีการปรึกษาผู้อื่น และไม่อธิษฐานหรือแสวงหาพระเจ้า นี่คือการกระทำตามใจนึกและไม่ใส่ใจผลที่จะตามมาตราบเท่าที่การทำเช่นนั้นมีประโยชน์ต่อเจ้า  หลักการนี้เป็นที่ยอมรับในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่จริงจังหรือทุ่มเทพยายามกับกิจธุระของตนเองมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ  ฉันปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนเหมือนเป็นเรื่องของฉันเอง และหลักการนี้ย่อมเหมาะสมแน่นอน”  นี่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการน้อมรับหน้าที่หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่  เช่นนั้นแล้วคนเราควรมีท่าทีอย่างไรต่อหน้าที่?  (น้อมรับหน้าที่จากพระเจ้า)  “น้อมรับหน้าที่จากพระเจ้า”  สี่คำนี้พูดง่าย แต่แท้จริงแล้วการจะนำความจริงในสี่คำนี้ไปปฏิบัติย่อมขึ้นอยู่กับว่าเจ้าปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนอย่างไร  เมื่อครู่นี้พวกเราเพิ่งนิยามว่าหน้าที่คืออะไร  หน้าที่มาจากพระเจ้า เป็นพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ทำ สัมพันธ์กับพระราชกิจในแผนการบริหารจัดการของพระองค์และความรอดของมนุษย์  ตามมุมมองนี้ หน้าที่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหลักการประพฤติปฏิบัติตนของเจ้าหรือไม่?  มีอะไรเกี่ยวข้องกับความชอบส่วนตัว นิสัยการใช้ชีวิต หรือกิจวัตรในชีวิตของเจ้าหรือไม่?  ไม่มีแม้แต่น้อย  แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น หน้าที่สัมพันธ์กับสิ่งใด?  สัมพันธ์กับความจริง  บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อมอบหมายหน้าที่นี้ให้ฉัน นี่ย่อมเป็นธุระของฉัน  และฉันก็มีหลักธรรมสูงส่งที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งพวกคุณไม่มีใครมี  พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยหัวใจ ดวงจิต ความรู้สึกนึกคิด และเรี่ยวแรงทั้งปวงที่มี  แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว ฉันยังมีหลักธรรมที่สูงส่งขึ้นไปอีก ซึ่งก็คือการปฏิบัติต่อหน้าที่ของฉันเหมือนเป็นเรื่องสำคัญของตนเอง ทำหน้าที่ด้วยความขยันขันแข็ง และพากเพียรให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”  หลักการนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงผิด?  ถ้าเจ้าน้อมรับหน้าที่จากพระเจ้า และเจ้าก็ชัดเจนอยู่ในหัวใจว่าพระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายหน้าที่นั้นให้เจ้าทำ เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรต่อพระบัญชานี้?  นี่สัมพันธ์กับหลักธรรมของการปฏิบัติหน้าที่  การปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนในฐานะพระบัญชาจากพระเจ้าย่อมสูงส่งกว่าการทำเหมือนว่านั่นเป็นเรื่องของตนมากนักมิใช่หรือ?  สองอย่างนี้ไม่เหมือนกันใช่หรือไม่?  ถ้าเจ้าปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าในฐานะพระบัญชาจากพระเจ้า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเบื้องหน้าพระเจ้า และทำให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยการปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นแล้วหลักธรรมที่เจ้าใช้ปฏิบัติหน้าที่ย่อมจะไม่ใช่การทำเหมือนว่านั่นเป็นเรื่องของเจ้าเท่านั้น  อะไรคือท่าทีที่เจ้าควรมีต่อหน้าที่ของเจ้า ท่าทีที่สามารถเรียกได้ว่าถูกต้องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า?  ประการแรก เจ้าไม่อาจวิเคราะห์ได้ว่าหน้าที่นั้นจัดการเตรียมการโดยใคร หน้าที่นั้นมอบหมายโดยผู้นำระดับใด—เจ้าควรยอมรับหน้าที่นั้นจากพระเจ้า  เจ้าไม่สามารถวิเคราะห์สิ่งนี้ เจ้าควรยอมรับหน้าที่จากพระเจ้า  นี่คือเงื่อนไข  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะเป็นสิ่งใด จงอย่าเลือกปฏิบัติระหว่างสูงและต่ำ  สมมุติว่าเจ้าพูดว่า “แม้ว่ากิจนี้จะเป็นพระบัญชาจากพระเจ้าและงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่หากฉันทำกิจนี้ ผู้คนอาจจะดูแคลนฉัน  คนอื่นได้ทำงานที่ปล่อยให้พวกเขาโดดเด่น  ฉันได้รับมอบกิจนี้ ซึ่งไม่ได้เปิดโอกาสให้ฉันโดดเด่น แต่กลับทำให้ฉันต้องทุ่มเทอยู่หลังฉาก นี่ไม่เป็นธรรม!  ฉันจะไม่ทำหน้าที่นี้  หน้าที่ของฉันต้องเป็นหน้าที่ที่ทำให้ฉันโดดเด่นต่อหน้าคนอื่น และเปิดโอกาสให้ฉันได้สร้างชื่อให้ตัวฉันเอง—และต่อให้ฉันไม่ได้สร้างชื่อให้ตัวฉันเองหรือโดดเด่น ฉันก็ยังคงจำเป็นที่จะต้องได้รับประโยชน์จากหน้าที่นั้นและรู้สึกสุขสบายทางกาย”  นี่เป็นท่าทีที่ยอมรับได้อยู่หรือ?  การเลือกมากคือการไม่ยอมรับสิ่งต่างๆ จากพระเจ้า เป็นการตัดสินใจเลือกตามความชอบของเจ้าเอง  นี่ไม่ใช่การยอมรับหน้าที่ของเจ้า นี่คือการปฏิเสธหน้าที่ของเจ้า  เป็นการสำแดงความเป็นกบฏที่เจ้ามีต่อพระเจ้า  การเลือกมากเช่นนั้นเจือปนไปด้วยการเลือกชอบและความอยากได้อยากมีแบบปัจเจกบุคคลของเจ้า  เมื่อเจ้าคำนึงถึงผลประโยชน์ของเจ้าเอง ความมีหน้ามีตาของเจ้า และอื่นๆ ท่าทีของเจ้าต่อหน้าที่ของเจ้าจึงไม่นบนอบ  เจ้าควรมีท่าทีเช่นใดต่อหน้าที่ของเจ้า?  ประการแรก เจ้าต้องไม่วิเคราะห์หน้าที่ของเจ้า พยายามค้นหาว่าใครมอบหมายหน้าที่นี้แก่เจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเจ้าควรยอมรับหน้าที่นี้จากพระเจ้าในฐานะหน้าที่ที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ และเจ้าควรเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า และยอมรับหน้าที่ของเจ้าจากพระเจ้า  ประการที่สอง จงอย่าแยกแยะสูงต่ำ และจงอย่ากังวลสนใจในธรรมชาติของหน้าที่ ไม่ว่าหน้าที่จะส่งให้เจ้าโดดเด่นหรือไม่ ไม่ว่าจะทำต่อหน้าธารกำนัลหรืออยู่เบื้องหลัง  จงอย่าคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้  ยังมีอีกท่าทีหนึ่งด้วยคือการนบนอบและให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน  ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่บางอย่างได้ แต่ก็กลัวเช่นกันว่าจะทำความผิดพลาดและถูกกำจัดออกไป และด้วยเหตุนั้นเจ้าจึงขลาดกลัว หยุดนิ่ง และไม่อาจก้าวหน้าได้ นั่นใช่ท่าทีที่นบนอบหรือไม่?  ตัวอย่างเช่น หากเหล่าพี่น้องชายหญิงของเจ้าเลือกเจ้าเป็นผู้นำของพวกเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อาจรู้สึกมีภาระผูกพันที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่นี้เพราะเจ้าถูกเลือกแล้ว แต่เจ้าไม่คำนึงถึงหน้าที่นี้ด้วยท่าทีเชิงรุก  เหตุใดเจ้าจึงไม่มีท่าทีเชิงรุก?  เพราะเจ้าคิดเรื่องนี้และรู้สึกว่า “การเป็นผู้นำไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย  เหมือนเดินอยู่บนคมมีดหรือย่ำไปบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ  ถ้าฉันทำงานดี ก็จะไม่มีรางวัล แต่ถ้าฉันทำงานไม่ดี ฉันก็จะถูกตัดแต่ง  และการถูกตัดแต่งก็ไม่ได้เลวร้ายที่สุดด้วยซ้ำ  จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันถูกแทนที่หรือถูกกำจัดออกไป?  ถ้าเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ทุกสิ่งก็จะจบสิ้นสำหรับฉันไม่ใช่หรือ?”  ณ จุดนั้น เจ้าเริ่มที่จะรู้สึกขัดแย้งอยู่ภายใน  ท่าทีนี้คืออะไร?  นี่คือการระวังตัวและการเข้าใจผิด  นี่ไม่ใช่ท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อหน้าที่ของพวกเขา  เป็นท่าทีที่ไม่มีกำลังใจและคิดลบ  ดังนั้น ท่าทีที่เป็นบวกควรเป็นอย่างไร?  (พวกเราควรเปิดใจ ตรงไปตรงมา และมีความกล้าที่จะรับภาระ)  ควรเป็นท่าทีที่นบนอบและให้ความร่วมมือในเชิงรุก  สิ่งที่พวกเจ้ากล่าวมานั้นค่อนข้างกลวงเปล่า  ในยามที่เจ้ากลัวมากขนาดนี้ เจ้าจะเปิดใจและตรงไปตรงมาได้อย่างไร?  แล้วการมีความกล้าที่จะรับภาระหมายความว่าอย่างไร?  ความรู้สึกนึกคิดแบบใดที่จะทำให้เจ้ามีความกล้าที่จะรับภาระ?  ถ้าเจ้ากลัวอยู่เสมอว่าจะมีบางสิ่งผิดพลาดและเจ้าจะไม่สามารถจัดการได้ เจ้ามีเหตุขัดข้องมากมายอยู่ในตัว เช่นนั้นโดยทั่วไปแล้ว เจ้าย่อมจะไม่มีความกล้าที่จะรับภาระ  “การเปิดใจและตรงไปตรงมา” “การมีความกล้าที่จะรับภาระ” หรือ “การไม่ล่าถอยแม้เผชิญความตาย” ที่พวกเจ้าพูดถึง ฟังดูค่อนข้างเหมือนถ้อยคำชวนเชื่อที่พวกคนหนุ่มสาวร้องตะโกนกันอย่างโกรธแค้น  ถ้อยคำชวนเชื่อเหล่านี้แก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้หรือไม่?  สิ่งที่จำเป็นในเวลานี้คือท่าทีที่ถูกต้อง  การที่จะมีท่าทีที่ถูกต้อง เจ้าต้องเข้าใจความจริงในแง่นี้  นี่เป็นทางเดียวที่จะแก้ไขความยุ่งยากในตัวของเจ้า และเปิดโอกาสให้เจ้าน้อมรับพระบัญชานี้ หน้าที่นี้ ได้อย่างราบรื่น  นี่คือเส้นทางปฏิบัติ และนี่เท่านั้นที่เป็นความจริง  หากเจ้าใช้ถ้อยคำดังเช่น “การเปิดใจและตรงไปตรงมา” และ “การมีความกล้าที่จะรับภาระ” มาจัดการแก้ไขความกลัวที่เจ้ารู้สึก นี่จะให้ประสิทธิผลหรือไม่?  (ไม่)  นี่บ่งชี้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง ทั้งสิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่เส้นทางปฏิบัติ  เจ้าอาจพูดว่า “ฉันเปิดใจและตรงไปตรงมา ฉันมีวุฒิภาวะที่ไม่มีใครพิชิตได้ ไม่มีความคิดอื่นๆ หรือสิ่งปนเปื้อนอันใดในหัวใจของฉัน และฉันก็มีความกล้าที่จะเข้ารับภาระ”  ภายนอกนั้นเจ้ารับทำหน้าที่ของเจ้า แต่ต่อมา หลังจากไตร่ตรองเรื่องการรับทำหน้าที่นั้นสักพัก เจ้าก็ยังคงรู้สึกว่าไม่สามารถรับไปทำได้  เจ้าอาจยังคงรู้สึกกลัว  นอกจากนี้ เจ้าอาจเห็นผู้อื่นถูกตัดแต่ง และถึงกับกลัวมากขึ้น ประหนึ่งสุนัขที่ถูกเฆี่ยนหวาดกลัวแส้หนัง  เจ้าจะรู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าเจ้ามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป และว่าหน้าที่นี้ก็เป็นเหมือนนรกขุมลึกที่กว้างใหญ่และมิอาจข้ามได้ และในท้ายที่สุดแล้วเจ้าย่อมจะยังคงไร้ความสามารถที่จะเข้ารับภาระนี้ได้อยู่ดี  นี่คือสาเหตุที่การท่องวลีชวนเชื่อต่างๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้  ดังนั้น แท้จริงแล้วเจ้าจะแก้ปัญหานี้ ได้อย่างไร?  เจ้าควรแสวงหาความจริงอย่างแข็งขัน ใช้ท่าทีที่นบนอบและให้ความร่วมมือ  นั่นจึงจะสามารถแก้ปัญหาได้หมด  ความไม่กล้า ความกลัว และความวิตกกังวลย่อมไร้ประโยชน์  การที่เจ้าจะถูกเปิดเผยและกำจัดออกไปมีความสัมพันธ์อันใดกับการเป็นผู้นำหรือไม่?  หากเจ้าไม่ได้เป็นผู้นำ อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าจะหายไปหรือไม่?  ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าต้องแก้ปัญหาเรื่องอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า  นอกจากนี้ ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นผู้นำ เจ้าก็จะไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติให้มากขึ้น ก้าวหน้าช้าในชีวิต และมีโอกาสน้อยที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม  แม้การเป็นผู้นำหรือคนทำงานจะมีความทุกข์มากขึ้นบ้าง แต่ก็นำประโยชน์มาให้มากมาย และถ้าเจ้าสามารถเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็จะสามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อม  นี่ช่างเป็นพรอันยิ่งใหญ่!  ดังนั้น เจ้าจึงควรนบนอบและให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน  นี่คือหน้าที่ของเจ้าและความรับผิดชอบของเจ้า  ไม่ว่าถนนข้างหน้าจะเป็นเช่นไร เจ้าควรมีหัวใจที่นบนอบ  นี่คือท่าทีที่เจ้าควรใช้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า

การปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่ใช่หัวข้อที่ไม่เคยคุ้นกัน นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่  อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้า หัวข้อนี้สำคัญมาก เป็นความจริงที่ต้องเข้าใจและเข้าถึง  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีก่อนจึงจะได้รับความเห็นชอบจากพระผู้สร้าง  เพราะฉะนั้น การที่ผู้คนเข้าใจความหมายของการปฏิบัติหน้าที่จึงสำคัญมาก  การปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่ทฤษฎีอย่างหนึ่ง และไม่ใช่คำขวัญ แต่เป็นความจริงแง่หนึ่ง  แล้วการปฏิบัติหน้าที่หมายความว่าอย่างไร?  การเข้าใจความจริงในแง่นี้สามารถแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?  อย่างน้อยที่สุดก็สามารถแก้ไขเรื่องที่ว่าตัวเจ้าควรยอมรับและปฏิบัติต่อพระบัญชาของพระเจ้าอย่างไร และเจ้าควรมีท่าทีและปณิธานเช่นใดเวลาทำพระบัญชาที่ได้รับความไว้วางพระทัยมอบหมายจากพระเจ้าให้เสร็จสมบูรณ์  เจ้าอาจกล่าวได้อีกด้วยว่านี่ย่อมจะแก้ไขสัมพันธภาพที่ไม่ปกติบางอย่างระหว่างผู้คนกับพระเจ้าไปพร้อมกัน  ผู้คนบางคนมองการปฏิบัติหน้าที่ของตนว่าเป็นทุน บางคนมองการปฏิบัติหน้าที่ของตนว่าเป็นภารกิจส่วนตัวของพวกเขาเอง และบางคนมองว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นงานและการประกอบการของพวกเขาเอง หรือมองหน้าที่ว่าเป็นการละเล่นชนิดหนึ่ง สิ่งบันเทิงใจ หรืองานอดิเรกเพื่อฆ่าเวลา  กล่าวสั้นๆ คือ ไม่สำคัญว่าเจ้ามีท่าทีแบบใดต่อหน้าที่ของเจ้า หากเจ้าไม่ยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้า และหากเจ้าไม่ปฏิบัติกับสิ่งนั้นในฐานะภารกิจหนึ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายในพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้าควรจะทำ หรือที่ควรจะให้ความร่วมมือ เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ก็ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  ถูกต้องหรือไม่ที่เจ้าทำเหมือนว่าหน้าที่ของเจ้าเป็นธุรกิจของครอบครัว?  ถูกต้องหรือไม่ที่เจ้าทำเหมือนว่าหน้าที่ของเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของอาชีพหรืองานอดิเรกของเจ้า?  ถูกต้องหรือไม่ที่ทำเหมือนว่าหน้าที่เป็นเรื่องส่วนตัว?  ทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดถูกต้อง  เหตุใดจึงต้องเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้?  การสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้จะแก้ปัญหาอันใด?  ย่อมจะแก้ปัญหาเรื่องที่ผู้คนมีท่าทีที่ไม่ถูกต้องต่อหน้าที่ของตน รวมทั้งวิธีนานาประการที่พวกเขาใช้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน  ด้วยการเข้าใจความจริงในแง่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรานี้เท่านั้น ท่าทีที่ผู้คนมีต่อหน้าที่ของตนจึงจะเปลี่ยนแปลง  ท่าทีของพวกเขาจะค่อยๆ เข้ากันได้กับความจริง เป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้า และตรงตามเจตนารมณ์ของพระองค์  ถ้าผู้คนไม่เข้าใจความจริงในแง่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนนี้ ท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่และหลักธรรมที่พวกเขาใช้เบื้องหลังหน้าที่ย่อมจะมีปัญหา และพวกเขาก็จะไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลในการปฏิบัติหน้าที่  หน้าที่ทั้งหลายคือกิจที่พระเจ้าทรงวางใจมอบหมายให้แก่ผู้คน หน้าที่ก็คือภารกิจสำหรับผู้คนที่จะทำให้ครบบริบูรณ์  อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าหน้าที่ไม่ใช่การบริหารจัดการส่วนตนของเจ้า อีกทั้งหน้าที่ก็ไม่ใช่ขั้นให้เจ้าก้าวไปเพื่อที่จะโดดเด่นออกมาจากฝูงชน  ผู้คนบางคนใช้หน้าที่ของพวกเขาเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการของตัวพวกเขาเอง บางคนใช้เพื่อสนองความอยากได้อยากมีของพวกเขาเอง บางคนใช้เพื่อเติมความว่างที่พวกเขารู้สึกภายใน และบางคนใช้เพื่อตอบสนองวิธีการคิดของตนว่าทุกอย่างจะดีเอง คิดไปว่าตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาย่อมจะมีส่วนแบ่งในพระนิเวศของพระเจ้าและในบั้นปลายอันอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมไว้ให้แก่มนุษย์  ท่าทีที่มีต่อหน้าที่เช่นนั้นย่อมไม่ถูกต้อง เป็นที่เกลียดชังของพระเจ้าและต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ในเรื่องที่ว่าหน้าที่คืออะไร ผู้คนควรทำอย่างไรกับหน้าที่ของตน และควรมีท่าทีและทัศนะเช่นไรต่อหน้าที่ เรื่องเหล่านี้มีการสามัคคีธรรมไปมากแล้ว  พวกเจ้าทุกคนควรตั้งใจใคร่ครวญเรื่องเหล่านี้ การเข้าใจความจริงในแง่เหล่านี้มีความสำคัญมากที่สุดและเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด  ความจริงที่พวกเจ้าจำเป็นต้องทำความเข้าใจมากที่สุดในตอนนี้คือเรื่องใด?  ในด้านหนึ่ง เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความจริงที่สัมพันธ์กับนิมิตในแง่นี้ อีกด้านหนึ่งเจ้าจำเป็นต้องเข้าใจว่าตัวเจ้ามีความเข้าใจผิดและความเข้าใจที่บิดเบี้ยวเกี่ยวกับความจริงเหล่านี้ในการปฏิบัติและในชีวิตจริงตรงที่ใดบ้าง  เมื่อเจ้าเผชิญปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความจริงเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าวจนะและความจริงเหล่านี้สามารถแก้ไขสภาวะภายในของเจ้าได้ นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเข้าใจเนื้อหาที่สามัคคีธรรมกันมานี้อย่างแท้จริงและรอบด้านแล้ว ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขความยุ่งยากที่เจ้าเผชิญอยู่ทุกวันในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ ก็แสดงว่าเจ้ายังเข้าไม่ถึงความจริงเหล่านี้  หลังจากฟังความจริงเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าเคยสรุปและทบทวนความจริงเหล่านี้กันบ้างหรือไม่?  ใช่หรือไม่ที่เวลาพวกเจ้าจดบันทึกแต่ละครั้ง พวกเจ้าก็เข้าใจในชั่วขณะนั้น แต่พอเวลาผ่านไป พวกเจ้าก็ลืม ราวกับว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน?  (ใช่)  นี่เป็นเพราะพวกเจ้าเข้าไม่ถึงแม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่พวกเจ้าปฏิบัติไม่มีพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับความจริงเหล่านี้และไม่สัมพันธ์กับความจริงอย่างสิ้นเชิง  อันที่จริง ความจริงทั้งหลายเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่นี้เป็นความจริงพื้นฐานที่สุดที่คนเราควรเข้าใจและเข้าถึงระหว่างที่เชื่อในพระเจ้า  หลังจากที่ฟังวจนะเกี่ยวกับความจริงแล้ว ถ้าพวกเจ้ายังคงสับสนและเลอะเลือน เช่นนั้นแล้วขีดความสามารถของพวกเจ้าก็อ่อนด้อยเกินไปโดยแท้ และพวกเจ้าก็ไร้วุฒิภาวะโดยสิ้นเชิง  เจ้าได้แต่อ่านพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐานและร่วมชุมนุมเท่านั้น เจ้าทำทุกสิ่งที่มีการขอให้เจ้าทำ เหมือนคนที่มีความเชื่อทางศาสนาไม่มีผิด  นี่หมายความว่าเจ้าไม่มีการเข้าสู่ชีวิตและไม่มีวุฒิภาวะแต่อย่างใด  การไม่มีวุฒิภาวะหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าระหว่างที่เชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ทันทีที่มีคนชักพาให้เจ้าหลงผิด เจ้าก็ตามพวกเขาไปและเลิกเชื่อในพระเจ้า ถ้าเจ้าทำสิ่งผิดและมีคนตัดแต่งเจ้าบ้าง พูดจากับเจ้าด้วยท่าทางค่อนข้างเข้มงวด เจ้าก็อาจจะเลิกเชื่อ ถ้าเจ้าพบเจอเรื่องติดขัดหรือความลำบากยากเย็นต่างๆ ในชีวิตของเจ้า เจ้าก็อาจจะบ่นพระเจ้า และเมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ประทานพระคุณแก่เจ้าหรือแก้ไขความลำบากยากเย็นให้แก่เจ้า เจ้าก็อาจหันหนี ผละจากพระนิเวศของพระเจ้า และเลิกเชื่อก็เป็นได้  ถ้าเจ้าเข้าถึงความจริงบางแง่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่—ซึ่งเป็นความจริงในระดับพื้นฐานที่สุดนี้—แล้ว นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเชื่อมโยงกับความจริงแล้ว เจ้าเชื่อมโยงกับความเป็นจริงความจริง และมีการเข้าสู่บ้างแล้ว  ถ้าเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริงนี้แต่อย่างใด ไม่มีแม้แต่น้อย นี่ย่อมพิสูจน์ว่าความจริงยังไม่ได้หยั่งรากลงไปในหัวใจของเจ้า

เราเพิ่งสามัคคีธรรมไปว่าหน้าที่คืออะไร รวมทั้งที่มาและการก่อเกิดของหน้าที่ เพื่อให้ผู้คนเข้าใจว่าแท้จริงแล้วหน้าที่คืออะไร  การรู้เรื่องนี้มีประโยชน์อันใด?  เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงว่าหน้าที่คืออะไร พวกเขาก็จะรู้ความสำคัญของหน้าที่  อย่างน้อยที่สุด ลึกลงไปข้างใน พวกเขาก็จะรู้สึกว่าพวกเขาควรมีท่าทีที่ถูกต้องต่อหน้าที่และไม่สามารถกระทำการตามอำเภอใจได้  อย่างน้อยพวกเขาก็จะมีแนวคิดนี้อยู่ในใจ  แม้หน้าที่จะเป็นสิ่งที่เจ้าควรปฏิบัติ เป็นพระบัญชาและภารกิจที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า แต่หน้าที่ก็ไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้า และไม่ใช่งานของเจ้าเอง  นี่อาจฟังดูเหมือนขัดแย้งกัน แต่ก็เป็นความจริงโดยแท้  สิ่งใดก็ตามที่เป็นความจริงย่อมมีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง สัมพันธ์กับการปฏิบัติและการเข้าสู่ของผู้คน รวมทั้งพระประสงค์ของพระเจ้า  ไม่ใช่สิ่งที่ว่างเปล่า  ความจริงเป็นเช่นนี้ ด้วยการเข้าสู่และมีประสบการณ์กับความเป็นจริงของความจริงนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถเข้าใจความจริงในแง่นี้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ  ถ้าเจ้าตั้งคำถามกับความจริงอยู่เสมอ มีข้อสงสัยอยู่เรื่อย พินิจพิจารณาและวิเคราะห์อยู่ร่ำไป เช่นนั้นแล้วสำหรับเจ้า ความจริงก็จะไม่มีวันเป็นความจริง  จะไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้า และจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดเกี่ยวกับตัวเจ้า  ถ้าคนเรายอมรับความจริงจากส่วนลึกของหัวใจและใช้ความจริงเป็นเครื่องชี้นำการดำเนินชีวิตและการกระทำ เป็นเครื่องชี้นำการประพฤติปฏิบัติตนและการเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วความจริงก็จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา  เปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตของพวกเขา ทิศทางชีวิต และวิธีที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับโลก  นี่คือผลของความจริง  แน่นอนว่าการเข้าใจว่าหน้าที่คืออะไรย่อมจะเป็นการช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างยิ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  อย่างน้อยที่สุด คนเราก็จะรู้ว่าหน้าที่สำคัญยิ่งต่อทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า และยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นต่อผู้ที่มีความสนใจหรือมีความประสงค์หรือความมุ่งมาดเป็นพิเศษที่จะได้รับการช่วยให้รอดและถูกทำให้เพียบพร้อม  นี่คือความจริงพื้นฐานที่สุดที่ทุกคนควรเข้าใจเพื่อที่จะได้รับการช่วยให้รอด และยังเป็นความจริงประการสำคัญที่สุดที่คนเราควรเข้าสู่  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจว่าหน้าที่คืออะไร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะลุล่วงหน้าที่ของเจ้าอย่างถูกควร และเจ้าก็จะไม่รู้จักท่าทีที่ถูกต้องในการยอมรับและมองหน้าที่ของตน  เช่นนี้ย่อมอันตราย—ในด้านหนึ่งก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนได้ดี เจ้าจะกระทำการตามอำเภอใจและอย่างสุกเอาเผากิน อีกด้านหนึ่งเจ้าอาจจะทำสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร หรือแม้กระทั่งทำความชั่วที่ละเมิดกฎการปกครองของพระเจ้า  กล่าวอย่างค่อนข้างตามแบบแผนก็คือ เจ้าอาจจะถูกแยกเดี่ยวให้ทบทวนตัวเอง และในกรณีที่ร้ายแรง เจ้าอาจถูกกำจัดออกไปก็เป็นได้  เพราะฉะนั้น การเข้าใจว่าหน้าที่คืออะไร แม้จะเป็นความจริงในแง่ที่พื้นฐานมาก แต่ก็สัมพันธ์กับความรอดของคนเรา ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญ—นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก  หลังจากที่เข้าใจแล้วว่าหน้าที่คืออะไร ก็ไม่ใช่แค่ทำความคุ้นเคยกับคำสอนเท่านั้น ผลลัพธ์ตามที่เจตนาไว้ก็คือเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนด้วยท่าทีที่ถูกต้อง  ในการปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ก็ตาม การเอาแต่มานะพยายามเท่านั้นย่อมไม่อาจสัมฤทธิ์ผลอันใดได้ การคิดเสมอว่าสามารถลุล่วงหน้าที่อย่างถูกควรได้ด้วยการมานะพยายามเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ที่จริงแล้วการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดมากมาย รวมถึงการมีวิธีคิดที่ถูกต้อง มีหลักธรรมของการปฏิบัติและการนบนอบที่แท้จริง ตลอดจนมีปัญญาฝ่ายวิญญาณ  เฉพาะเมื่อบางคนมีความจริงในแง่เหล่านี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนได้ดีและแก้ปัญหาเรื่องการปฏิบัติหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินได้หมด  คนที่ไม่มีท่าทีที่ถูกต้องต่อหน้าที่ของตนคือผู้คนที่ไม่มีความเป็นจริงความจริง พวกเขาเป็นผู้คนที่ไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ไร้มโนธรรมและเหตุผล  ดังนั้น การที่จะติดตามพระเจ้า คนเราต้องเข้าใจนัยสำคัญของการปฏิบัติหน้าที่ เรื่องนี้สำคัญยิ่งต่อการติดตามพระเจ้า

เมื่อเข้าใจว่าหน้าที่คืออะไรและมีที่มาอย่างไรแล้ว เจ้าก็จะบอกความแตกต่างระหว่างธรรมชาติของหน้าที่กับธรรมชาติของงานในสังคมได้  อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างการทำเหมือนว่างานที่พระนิเวศของพระเจ้าไว้วางใจมอบหมายให้เจ้าทำนั้นคือหน้าที่ กับการทำเหมือนว่านั่นคืองานทางโลก?  ถ้าเจ้าทำเหมือนว่านั่นคือหน้าที่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จำเป็นต้องแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าและความจริง  เจ้าจะกล่าวว่า “นี่คือหน้าที่ของฉัน ดังนั้นฉันควรทำหน้าที่อย่างไร?  พระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใด?  คริสตจักรมีข้อบังคับอันใดบ้าง?  ฉันจำเป็นต้องชัดเจนในหลักธรรมเบื้องหลังหน้าที่”  การปฏิบัติเช่นนี้เท่านั้นคือท่าทีที่ถูกต้องที่เจ้าพึงมีต่อหน้าที่ของเจ้า นี่เท่านั้นคือท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อหน้าที่ของตน  แต่ผู้คนควรมีท่าทีเช่นใดเวลารับมืองานหรือเรื่องราวทางโลกในชีวิตส่วนตัวของพวกเขา?  ถึงตอนนั้นมีความจำเป็นอันใดหรือไม่ที่จะต้องแสวงหาความจริงหรือหลักธรรม?  เจ้าอาจจะแสวงหาหลักธรรมเช่นกัน แต่หลักธรรมเหล่านั้นย่อมจะเป็นเรื่องของการทำเงินให้มากขึ้น การมีชีวิตที่ดี สะสมความมั่งคั่ง ประสบความสำเร็จ ได้ทั้งชื่อเสียงและผลตอบแทน—มีแต่หลักคิดเช่นนี้เท่านั้น  หลักคิดเหล่านี้เป็นเรื่องทางโลกทั้งสิ้น เป็นเรื่องของกระแสนิยมในปัจจุบัน เป็นหลักคิดของซาตานและมวลมนุษย์ที่เลว  แล้วหลักธรรมของการปฏิบัติหน้าที่เป็นเช่นไร?  แน่นอนว่าต้องเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า สัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับความจริงและพระประสงค์ของพระเจ้าและมิอาจแยกออกจากกันได้  ในทางกลับกัน อาชีพหรือการงานที่ผู้คนทำในโลกไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงหรือพระประสงค์ของพระเจ้า  ตราบใดที่เจ้ามีความสามารถ เต็มใจที่จะสู้ทนความทุกข์ยาก ขยัน ชั่วร้าย และเห่อเหิมพอ เจ้าก็จะโดดเด่นขึ้นมาในสังคมได้และอาจถึงขั้นสร้างอาชีพการงานให้ใหญ่โตได้  อย่างไรก็ดี หลักคิดและปรัชญาเหล่านี้ไม่เป็นที่ต้องการในพระนิเวศของพระเจ้า  ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่จำพวกใด ไม่ว่าธรรมชาติของหน้าที่นั้นจะเป็นเช่นใด ถูกมองว่าสูงส่งหรือต่ำต้อย ประเสริฐหรือธรรมดา เป็นจุดสนใจหรือไม่สะดุดตา ไม่ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำหรือว่าเจ้าได้รับมอบหมายจากผู้นำคริสตจักร—ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะมอบหมายงานอะไรให้เจ้าทำ หลักธรรมที่เจ้ายึดปฏิบัติในการทำงานของเจ้าก็ไม่ควรอยู่นอกเหนือหลักธรรมของความจริง  ควรเชื่อมโยงกับความจริง เชื่อมโยงกับพระประสงค์ของพระเจ้า และเชื่อมโยงกับข้อบังคับและการจัดแจงเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  สรุปแล้ว ควรแยกหน้าที่และงานที่คนเราทำในโลกออกจากกัน

เหตุใดพวกเราจึงสามัคคีธรรมกันเรื่องความแตกต่างระหว่างการปฏิบัติหน้าที่กับการทำงานทางโลก?  เรื่องนี้สำคัญหรือไม่?  (สำคัญ)  สำคัญตรงไหน?  ตรงที่สัมพันธ์กับท่าทีที่ผู้คนมีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน  จงอย่านำท่าทีและหลักคิดที่เจ้ามีในงานทางโลกมาใช้กับการปฏิบัติหน้าที่  ถ้าเจ้าทำดังนั้น ผลที่ตามมาย่อมเป็นเช่นไร?  (เป็นการทำตามความต้องการของตน)  การทำตามความต้องการของตนคือปัญหาที่พบได้ทั่วไป นี่หมายถึงการไม่อยากหารือผู้อื่นเวลาทำงาน อยากมีสิทธิ์ขาด และทำทุกสิ่งตามใจชอบ รู้สึกว่าการทำเช่นนี้นำความชูใจและความพอใจมาให้ ปลอดความรู้สึกของการถูกกดขี่หรือว่าไร้สุข  นอกจากนี้ยังมักจะนำไปสู่แผนร้าย ความอิจฉา ข้อพิพาท การแบ่งฝ่าย ตลอดจนการแสวงหารางวัลและการยอมรับ อวดตัว กระทำการอย่างสุกเอาเผากิน ไร้ความรับผิดชอบ หลอกลวงคนที่อยู่เหนือกว่าและต่ำกว่าตน และสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นมา  สรุปว่าการปฏิบัติหน้าที่ต่างจากการทำงานทางโลก การปฏิบัติหน้าที่คือพระประสงค์ของพระเจ้าและเป็นการจัดเตรียมของพระเจ้า—นี่คือสิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างการปฏิบัติหน้าที่กับการทำงานทางโลก  การปฏิบัติหน้าที่ต้องทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าและตามหลักธรรมความจริง  นี่ไม่ใช่การบริหารจัดการส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของคนเรา และแน่นอนว่าไม่ใช่ธุระส่วนตัวของใคร  หน้าที่ไม่มีความสัมพันธ์กับผลประโยชน์ ความภาคภูมิใจ สถานะ อิทธิพล หรือความสำเร็จในอนาคตของใคร หน้าที่สัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของผู้คนเท่านั้น และสัมพันธ์กับพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า  ในทางตรงข้าม เมื่อเจ้าทำงานทางโลก เจ้าก็มุ่งเน้นแต่การบริหารจัดการของตนเองเท่านั้น  ไม่ว่าเจ้าจะทำงานหรือทำธุรกิจ ไม่ว่าเจ้าจะจ่ายราคามากเท่าใด สามารถทิ้งไปได้มากเพียงใด หรือสู้ทนความทุกข์มากเท่าใด—จะทางอารมณ์หรือทางกายก็ตาม—ไม่ว่าเจ้าจะถูกรังแกและดูหมิ่น หรือถูกเข้าใจผิด หรือแม้กระทั่งเผชิญแรงกดดันอันมหาศาลจากคนส่วนใหญ่ ทุกสิ่งที่เจ้าทำย่อมวนเวียนอยู่รอบๆ เจตจำนงส่วนตัว ความมุ่งมาดปรารถนา ความทะเยอทะยาน และความอยากได้อยากมีของเจ้า  เป็นเรื่องของธรรมชาติเช่นนี้เท่านั้น  ธรรมชาติเช่นนี้จะลงมือทำการบริหารจัดการของตนและดำเนินกิจการของตนเท่านั้น  ในหมู่มวลมนุษย์ไม่มีสักคนเดียวที่ก้าวออกมากล่าวว่า “ฉันกำลังทำงานรับใช้ส่วนรวมเพื่อมวลมนุษย์ ฉันอยากกระทำการตามหลักความเชื่อของพระเจ้าและหลักธรรมที่ฟ้าสวรรค์ประทาน”  ไม่มีคนแบบนั้น  ต่อให้ใครสักคนก้าวออกมากล่าวว่า “ฉันอยากดำเนินความพยายามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเห็นแก่ผู้อื่นมากที่สุดเพื่อมวลมนุษย์ อยากสร้างความอยู่ดีกินดีและทำความดีเพื่อผู้คน” เป้าหมายของพวกเขาก็ไม่บริสุทธิ์ขนาดนั้น พวกเขาทำเพื่อชื่อเสียง  นี่คือการดำเนินการบริหารจัดการของตนมิใช่หรือ?  ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการบริหารจัดการส่วนบุคคล  ไม่ว่าถ้อยคำของพวกเขาจะฟังดูดีเพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะสู้ทนความทุกข์มากเท่าใด จ่ายราคาไปมากเท่าใด สร้างคุณูปการมากเพียงใด หรือเปลี่ยนแปลงมวลมนุษย์ เปลี่ยนแปลงยุคสมัย หรือเปิดตัวยุคใหม่ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด จุดประสงค์ของพวกเขาก็ไม่ใช่เพื่อผู้อื่น แต่เพื่อตนเอง  มนุษย์ที่เสื่อมทรามทุกคนทำสิ่งทั้งหลายกันเช่นนี้  ไม่ว่าใครจะทำเรื่องใดใหญ่หรือเล็ก เจตนาของพวกเขาถ้าไม่เพื่อชื่อเสียงก็เพื่อผลตอบแทน  การกระทำของพวกเขามีธรรมชาติเป็นเช่นใด?  เป็นการดำเนินการบริหารจัดการของตน  การบริหารจัดการของตนมีอะไรเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระเจ้าหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้สัมพันธ์กันเลย  บางคนกล่าวว่า “ไม่จริง  บางคนมายังโลกนี้และเปลี่ยนแปลงยุคสมัย นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วไม่ใช่หรือ?  นั่นก็เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์ด้วยไม่ใช่หรือ?”  สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่?  (ไม่เกี่ยว)  เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้องกัน?  (เพราะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระราชกิจบริหารจัดการเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า)  พูดได้ดี ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระเจ้า  อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงนี้จริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ในที่นี้ยังมีเงื่อนไขเบื้องต้นอีกข้อหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับแก่นแท้  ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วทั้งหมดก็เป็นเพียงการบริหารจัดการของมนุษย์เท่านั้น  นั่นคือแง่หนึ่ง แต่ให้เราเสริมบางอย่างให้พวกเจ้าฟังเถิด นั่นคือ ธรรมชาติของสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่เป็นไปเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ส่วนตน คนที่ได้ประโยชน์ในท้ายที่สุดก็คือพวกเขา  ธรรมชาติ หลักธรรม และผลสุดท้ายของทุกสิ่งที่พวกเขาทำล้วนเป็นไปเพื่อใคร?  (ตัวพวกเขาเอง)  เพื่อตัวพวกเขาเอง—และในทางลับย่อมเป็นไปเพื่อใคร?  (ซาตาน)  ถูกต้อง เป็นไปเพื่อซาตาน  การทำสิ่งต่างๆ เพื่อซาตานมีธรรมชาติเป็นเช่นไร?  (เป็นศัตรูของพระเจ้า)  และแก่นแท้ที่แฝงอยู่เบื้องหลังการเป็นศัตรูของพระเจ้าคือสิ่งใด?  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่านี่คือการเป็นศัตรูของพระเจ้า?  (จุดเริ่มต้น ที่มา และหลักการกระทำของพวกเขาล้วนขัดกับพระวจนะของพระเจ้า)  นี่คือแง่หนึ่ง และเป็นประเด็นสำคัญ  จุดเริ่มต้น ที่มา และหลักการของสิ่งที่พวกเขาทำล้วนเป็นของซาตานและเลวทั้งสิ้น ดังนั้นผลสุดท้ายย่อมเป็นเช่นใด?  พวกเขากำลังเป็นพยานให้ใคร?  (ซาตาน)  ถูกต้อง พวกเขากำลังเป็นพยานให้ซาตาน  ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เคยมีนักประวัติศาสตร์หรือนักเขียนคนใดระบุว่าความสำเร็จของสิ่งที่มนุษย์ทำไว้ในแต่ละยุคเป็นเพราะพระผู้สร้างหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาจะพูดแต่ว่าสิ่งเหล่านี้คือมรดกหรือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่โครงการอันใหญ่โตของมวลมนุษย์หลงเหลือไว้ข้างหลัง  ในสายตาของมวลมนุษย์ ผู้คนที่ยิ่งใหญ่และบุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งหลงเหลือสิ่งเหล่านี้ไว้ข้างหลังเป็นตัวแทนของใคร?  ไม่ว่าจะเป็นผู้มีชื่อเสียงหรือผู้ยิ่งใหญ่คนใด หรือคนที่มีคุณูปการสำคัญต่อมวลมนุษย์ ก็ล้วนเป็นที่เคารพบูชาของมนุษย์ที่เสื่อมทราม  พื้นที่ที่พวกเขามีในหัวใจของผู้คนก็คือพื้นที่ที่ผู้คนมองว่าเป็นที่ทางของพระเจ้า  นี่คือแก่นแท้ของเรื่องมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเราเพิ่งเสวนากันไปว่าที่มา แรงจูงใจ จุดเริ่มต้น และหลักคิดเบื้องหลังการกระทำของผู้คนล้วนหยั่งรากอยู่ในตรรกะของซาตานและไม่สอดคล้องกับความจริง  ผู้คนทำบางสิ่งสำเร็จลุล่วงก็ด้วยวิธีการของมนุษย์หรือด้วยพรสวรรค์ของพวกเขา และมีชื่อเสียงขึ้นมาท่ามกลางผู้อื่น และผลสุดท้ายก็คือมวลมนุษย์ระบุว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะซาตาน ลักษณะเดียวกับที่ผู้คนมากมายในเวลานี้บูชาผู้มีชื่อเสียงและผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์อย่างขงจื๊อและกวนอู  ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ปานใด กล่าวตามพื้นฐานแล้ว ผู้ที่จัดเตรียมให้บุคคลต่างๆ เหล่านี้มายังโลกนี้และกระทำการจำเพาะในยุคต่างๆ แท้จริงแล้วก็คือพระเจ้า  อย่างไรก็ดี ในประวัติศาสตร์ทั้งปวงของมนุษย์ที่มีการบันทึกเอาไว้ ไม่ว่าจะโบราณหรือสมัยใหม่ ก็ไม่มีสักครั้งที่เป็นพยานให้แก่กิจการของพระผู้สร้าง  มีเพียงพระคัมภีร์เท่านั้นที่บันทึกพระราชกิจสองระยะของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณเอาไว้บางส่วน แต่แม้กระทั่งพระวจนะของพระเจ้าที่บันทึกเอาไว้ก็มีจำกัดมาก  อันที่จริง พระเจ้าตรัสพระวจนะเอาไว้มากมายและทรงทำกิจการต่างๆ เอาไว้มากมาย แต่สิ่งที่มนุษย์บันทึกเอาไว้มีจำกัดอย่างยิ่ง  ในทางตรงกันข้าม กลับมีหนังสือนับไม่ถ้วนที่บันทึก เป็นพยาน หรือสรรเสริญผู้คนที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง  นี่อธิบายแก่นแท้ของเรื่องที่พวกเราเพิ่งเสวนากันไปได้อย่างกระจ่างชัดมิใช่หรือ?  พวกเราเพิ่งเอ่ยไปว่าผู้คนที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์นั้นกระทำการเพื่อตัวเอง ตามแก่นแท้แล้วก็คือการกระทำเพื่อซาตาน  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่กลับดำเนินการบริหารจัดการของตนหรือประกอบกิจการของตนเอง  งานใดก็ตามที่ผู้คนลงมือทำในโลกย่อมมีธรรมชาติ มีแก่นแท้เป็นสิ่งใด?  (เป็นการบริหารจัดการของตน)  เหตุใดจึงมองว่าเป็นการบริหารจัดการของตน?  มูลเหตุคืออะไร?  เพราะพวกเขาเป็นพยานให้ซาตาน หลักคิดและแรงจูงใจในการกระทำของพวกเขาล้วนมาจากซาตาน และไม่มีความเกี่ยวข้องกับความจริงหรือพระประสงค์ของพระเจ้า  แต่ธรรมชาติของหน้าที่เป็นเช่นใด?  ก็คืองานที่ดำเนินการตามพระประสงค์ของพระเจ้า หมายความว่างานต้องมีความจริงเป็นพื้นฐาน มีการปฏิบัติงานตามหลักธรรมความจริง และทำตามข้อกำหนดของพระเจ้า  ผลก็คือผู้คนสามารถเป็นพยานให้พระเจ้า มีความนบนอบให้พระเจ้า และรู้จักพระองค์ พวกเขามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นและมีความนบนอบที่จริงแท้มากขึ้นให้แก่พระผู้สร้าง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็สามารถทำเรื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ  นี่คือสิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างสองสิ่งนี้  เมื่อผู้คนรับทำหน้าที่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า สัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้าย่อมเป็นปกติขึ้นเรื่อยๆ  แล้วงานที่ผู้คนทำในโลกจะสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้ ผลย่อมเป็นไปในทางตรงกันข้ามโดยแท้  ยิ่งคนเราใช้เวลาทำงานทางโลกหลายปี พวกเขาก็ยิ่งกบฏต่อพระเจ้าและออกห่างจากพระองค์  ยิ่งการบริหารจัดการของคนเราดำเนินไปด้วยดี พวกเขาก็ยิ่งออกห่างจากพระเจ้า ยิ่งการบริหารจัดการของคนเราประสบความสำเร็จ พวกเขาก็ยิ่งออกห่างจากพระประสงค์ของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น การปฏิบัติหน้าที่และการทำงานทางโลกจึงมีธรรมชาติสองอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

เมื่อครู่เพิ่งมีการเสวนาถึงความแตกต่างระหว่างหน้าที่ของคนคนหนึ่งกับการที่คนคนหนึ่งเข้าไปเกี่ยวพันกับการทำงานทางโลก  การเสวนานี้หมายจะช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงในแง่ใด?  ไม่ว่าเจ้าได้รับหน้าที่ใด เจ้าควรปฏิบัติหน้าที่นั้นดังที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอ  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำของคริสตจักรหนึ่ง หน้าที่ของเจ้าก็คือการปฏิบัติงานของผู้นำคริสตจักร  แล้วสิ่งใดเล่าที่เจ้าควรทำในทันทีที่เจ้าได้รับเอางานนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว?  ประการแรก จงรู้ไว้ว่ามีเพียงการสำเร็จลุล่วงงานของเจ้าในฐานะผู้นำเท่านั้นที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  เจ้าไม่ใช่กำลังทำหน้าที่เป็นข้าราชการบางคนในโลกภายนอก ทั้งนี้ หากเจ้ากลายเป็นผู้นำ แล้วคิดว่าตัวเจ้าเองเป็นข้าราชการ เจ้าย่อได้หลงผิดไปแล้ว  แต่หากเจ้าพูดว่า “ด้วยตอนนี้ฉันได้กลายเป็นผู้นำคริสตจักรแล้ว ฉันต้องไม่ยกตนข่มท่าน ฉันต้องวางตัวฉันเองต่ำกว่าคนอื่นทุกคน ฉันต้องทำให้พวกเขาสูงส่งกว่าและสำคัญกว่าฉัน” เช่นนั้นแล้ว ความรู้สึกนึกคิดนี้ก็ผิดเช่นกัน ทั้งนี้ การเสแสร้งแกล้งทำอันใดย่อมไร้ประโยชน์หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง  ไม่มีสิ่งใดนอกจากความเข้าใจอันถูกต้องถึงหน้าที่ของเจ้าที่จะเป็นประโยชน์  ก่อนอื่นเลย เจ้าต้องซาบซึ้งกับความสำคัญของงานของผู้นำคริสตจักร กล่าวคือ คริสตจักรอาจมีสมาชิกได้หลายสิบคน และเจ้าต้องคิดถึงวิธีนำทางผู้คนเหล่านี้ให้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า วิธีเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เจ้ายังต้องใช้เวลามากขึ้นด้วยเช่นกันในการให้น้ำและเกื้อหนุนพวกที่คิดลบและอ่อนแอ เพื่อหยุดพวกเขาไม่ให้คิดลบและอ่อนแอ และทำให้พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้  เจ้ายังต้องนำทุกคนที่มีความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาด้วยเช่นกันในการเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง ปฏิบัติตนตามหลักธรรม และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสมและให้ได้ผลพวงที่มากขึ้นไปตามนี้  มีผู้คนเฉพาะบางคนที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้วแต่ก็มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ชั่วมาก ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอยู่เสมอ—ผู้คนเหล่านี้ควรถูกตัดแต่งดังที่กำหนดไว้ บรรดาผู้ที่ปฏิเสธอย่างดื้อรั้นที่จะกลับใจย่อมควรถูกเอาตัวออกไป  พวกเขาควรถูกจัดการรับมือตามหลักธรรมและได้รับการจัดแจงอย่างถูกควร  ยังมีสิ่งสำคัญที่สุดในบรรดาทั้งปวงอีกเช่นกัน กล่าวคือ บางคนในคริสตจักรมีความเป็นมนุษย์ค่อนข้างดีและมีขีดความสามารถเล็กน้อย และมีความสามารถในการเข้ารับภาระหน้าที่ตามแง่มุมเฉพาะบางอย่างของงาน ทั้งนี้ ผู้คนดังกล่าวทุกคนต้องได้รับการเลี้ยงดูโดยปราศจากความล่าช้า ยิ่งเร็วยิ่งดี พวกเขาต้องได้รับการฝึกฝนเพื่อให้มีความสามารถ และพวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะทำสิ่งใดให้ดีได้เลยหากพวกเขาไม่รับการฝึกฝนอันใด  เหล่านี้คืองานที่ผู้นำหรือคนทำงานจำเป็นต้องเร่งมือทำให้ดีมิใช่หรือ?  หากเจ้าได้เป็นผู้นำและไม่คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ และไม่ปฏิบัติงานในหนทางนี้ เจ้าจะสามารถลุล่วงหน้าที่ของเจ้าได้ดีหรือไม่?  (ไม่)  ในฐานะผู้นำ การสะสางงานแต่ละด้านของคริสตจักรเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง  ประการแรก เรื่องสำคัญที่สุดก็คือการบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ  จงยกชูคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีและมีขีดความสามารถ บ่มเพาะและฝึกฝนพวกเขา  ประการที่สอง จงนำพี่น้องชายหญิงเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และทำให้พวกเขาสามารถลงมือทบทวนตัวเอง รู้จักตัวเอง มีวิจารณญาณแยกแยะในเรื่องความคิดนอกรีตและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หยั่งรู้ผู้คน และลุล่วงหน้าที่ของตนได้ดี—นี่คือส่วนหนึ่งของการเข้าสู่ชีวิต  ประการที่สาม จงทำให้คนส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ สามารถทำเช่นนั้นได้จริง (ไม่รวมคนที่ด้อยความเป็นมนุษย์)  และดูให้แน่ใจว่าพวกเขาสัมฤทธิ์ผลในการปฏิบัติหน้าที่ของตนแทนที่จะลงมือทำอย่างสุกเอาเผากินเท่านั้น  ประการที่สี่ จงจัดการคนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรทันที  หากพวกเขาปฏิเสธความจริงเวลาสามัคคีธรรม พวกเขาก็ต้องถูกตัดแต่ง  และหากตลอดเวลาดังกล่าวพวกเขายังคงไม่กลับใจ ก็ควรถูกแยกเดี่ยวให้ทบทวนตัวเอง และถึงขั้นถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่  ประการที่ห้า จงทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถแยกแยะผู้ไม่เชื่อ ผู้นำเทียมเท็จ และศัตรูของพระคริสต์ได้ ดูให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้ถูกชักพาให้หลงผิดและสามารถเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้  ห้าประการข้างต้นนี้มีความสำคัญทั้งสิ้น และเป็นกิจตามปกติของผู้นำ  การลุล่วงงานห้าด้านนี้คือสิ่งที่ทำให้คนเรามีคุณสมบัติของผู้นำคริสตจักร  นอกจากนี้ยังต้องรับมือรูปการณ์พิเศษได้อย่างถูกควรด้วย  ตัวอย่างเช่น การคิดลบและความอ่อนแอของบางคนอาจเกิดขึ้นชั่วคราวและเจ้าก็ควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเหมาะสม  เจ้าไม่สามารถตัดสินแบบเหมารวมได้ หากใครบางคนคิดลบขึ้นมาชั่วคราวและเจ้าตีตราว่าพวกเขาเป็น “คนที่มีมองทุกอย่างในแง่ร้าย” หรือ “คิดลบเป็นประจำ” และกล่าวว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องการพวกเขาอีกต่อไป นั่นย่อมไม่เหมาะสม  อย่างไรก็ดี ทุกคนควรลุล่วงบทบาทของตนและทำคุณูปการตามความสามารถของตน  การจัดแจงให้ปฏิบัติหน้าที่ควรทำอย่างเหมาะสมตามพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ ขีดความสามารถ อายุ และระยะเวลาของการเชื่อในพระเจ้าของแต่ละคน  แนวทางนี้ต้องมีการปรับแต่งให้เหมาะกับประเภทต่างๆ ของผู้คน เปิดโอกาสให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าและมีบทบาทให้มากที่สุด  หากเจ้าคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้เอาไว้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเริ่มแบกรับภาระ และเจ้าก็จะต้องมุ่งสังเกตการณ์อยู่เสมอ  สังเกตสิ่งใด?  ไม่ใช่ใครดูดี เจ้าจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาได้มากขึ้น ไม่ใช่เจ้าคิดว่าใครน่าเกลียด เจ้าจะได้กีดกันพวกเขา ไม่ใช่ใครดูมีความสามารถและสถานะ เจ้าจะได้ทำตัวให้พวกเขาชื่นชอบ และแน่นอนว่าไม่ใช่ใครไม่ยอมก้มหัวให้เจ้า เจ้าจะได้พยายามลงโทษพวกเขา  ไม่ใช่เรื่องเหล่านี้  แล้วเจ้าควรเฝ้าสังเกตสิ่งใด?  เจ้าควรใช้วิจารณญาณดูผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้า ตามท่าทีและพระประสงค์ที่พระองค์มีต่อผู้คนประเภทต่างๆ และปฏิบัติต่อพวกเขาตามหลักธรรม นี่จึงสอดคล้องกับความจริง  ก่อนอื่นจงจัดกลุ่มผู้คนสารพัดประเภทในคริสตจักรออกเป็นคนที่มีขีดความสามารถดีและยอมรับความจริงได้กลุ่มหนึ่ง คนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยและยอมรับความจริงไม่ได้เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง คนที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้กลุ่มหนึ่ง และคนที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ก็อีกกลุ่มหนึ่ง  ท้ายที่สุด ผู้ไม่เชื่อที่พร่ำบ่น แพร่มโนคติอันหลงผิด ตกอยู่ในการคิดลบ และก่อให้เกิดการรบกวนอยู่เสมอก็ควรถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันอีกด้วย  เมื่อเจ้าจัดกลุ่มทุกคนเรียบร้อยแล้ว และรับรู้สภาวะที่แท้จริงของแต่ละกลุ่มอย่างถ่องแท้ตามพระวจนะของพระเจ้าแล้ว มองเห็นชัดเจนว่าใครสามารถได้รับการช่วยให้รอดและใครไม่สามารถ เมื่อนั้นเจ้าก็จะสามารถมองเห็นผู้คนสารพัดประเภทได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และรู้ว่าพระเจ้าทรงต้องการช่วยใครให้รอดและทรงต้องการกำจัดใครออกไป  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะภาระของเจ้ามิใช่หรือ?  นี่คือท่าทีที่ถูกต้องที่พึงมีต่อหน้าที่มิใช่หรือ?  หากเจ้ามีท่าทีที่ถูกต้องเช่นนี้และมีใจแบกรับภาระเกิดขึ้นในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถทำงานของตนได้ดี  หากเจ้าไม่ปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าเช่นนี้ กลับมองการปฏิบัติหน้าที่ของตนเหมือนเป็นการดำรงตำแหน่งสักอย่างของทางการ คิดอยู่เสมอว่า “การเป็นผู้นำก็เหมือนการดำรงตำแหน่ง นี่คือพรจากพระเจ้า!  ในเมื่อตอนนี้ฉันมีสถานะแล้ว ผู้คนก็ต้องฟังฉัน และนั่นคือเรื่องดี!”—หากเจ้าคิดว่าการเป็นผู้นำก็เหมือนกับการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเดือดร้อน  เจ้าจะเป็นผู้นำด้วยการวางตัวแบบเจ้าหน้าที่รัฐและตามวิธีที่เจ้าหน้าที่ทำกันเป็นแน่ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถปฏิบัติงานของคริสตจักรได้อย่างถูกควรหรือไม่?  ด้วยทัศนะเช่นนั้น เจ้าจะถูกเผยและกำจัดออกไปอย่างไม่ต้องสงสัย  เจ้านึกภาพตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เสมอ มีผู้คนห้อมล้อมไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด และผู้คนก็จะทำตามทุกสิ่งที่เจ้าบอก  นอกจากนี้เจ้าก็จะมีสิทธิ์เลือกผลประโยชน์ในคริสตจักรก่อน  ไม่ว่าคริสตจักรจะมีงานอะไร เจ้าก็แค่ต้องออกคำสั่งเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรด้วยตนเอง  นี่เป็นวิธีคิดแบบใด?  นี่คือการหลงระเริงไปกับผลประโยชน์จากสถานะมิใช่หรือ?  นี่คืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามมิใช่หรือ?  ทุกคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงล้วนปฏิบัติหน้าที่ของตนตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  ผู้นำและคนทำงานมากมายถูกเผยและกำจัดออกไปเพราะพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอยู่เสมอ โดยไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย  ในตอนนี้ผู้นำบางคนก็ยังคงประพฤติตนเช่นนี้  หลังจากเป็นผู้นำแล้ว พวกเขาก็รู้สึกค่อนข้างอิ่มเอมอยู่ในใจ และนึกกระหยิ่มใจอยู่บ้าง  เป็นการยากที่จะอธิบายความรู้สึกนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็คิดว่าตนทำได้ดีมาก  อย่างไรก็ดี ต่อจากนั้นพวกเขาก็ตรองว่า “ฉันจะทำตัวอวดดีไม่ได้  ความอวดดีคือเครื่องหมายของความโอหัง และความโอหังก็คือสัญญาณล่วงหน้าของความล้มเหลว  ฉันควรทำตัวสงบเสงี่ยม”  ดูภายนอกพวกเขาก็ทำตัวนิ่งๆ และบอกทุกคนว่านี่คือพระบัญชาและเป็นการยกชูจากพระเจ้า พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามนั้น  อย่างไรก็ดี พวกเขาแอบเบิกบานอยู่ในใจว่า “ในที่สุดฉันก็ได้รับเลือกแล้ว  ใครบอกว่าขีดความสามารถของฉันไม่ดี?  หากขีดความสามารถของฉันไม่ดี แล้วฉันได้รับเลือกได้อย่างไร?  ทำไมคนอื่นถึงไม่ได้รับเลือก?  ดูเหมือนว่าฉันเองก็มีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่น”  เมื่อหน้าที่นี้มาถึงตัวพวกเขา เหล่านี้คือสิ่งที่พวกเขาคิดขึ้นมาในใจเป็นอันดับแรก  พวกเขาไม่ตรึกตรองว่า “ในเมื่อฉันได้หน้าที่นี้มาแล้ว ฉันควรปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างไร?  ที่ผ่านมาใครบ้างที่เคยทำงานไว้ดีและฉันควรเรียนรู้จากพวกเขา?  พระประสงค์ของพระเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่นี้คืออะไร?  มีข้อกำหนดเช่นนั้นในการจัดแจงเตรียมงานของคริสตจักรบ้างหรือไม่?  ฉันไม่เคยนึกกังวลเกี่ยวกับงานของคริสตจักรในแง่เหล่านี้มาก่อน แต่ตอนนี้ในเมื่อได้รับเลือกเป็นผู้นำแล้ว ฉันควรทำสิ่งใดบ้าง?”  แท้จริงแล้ว ตราบใดที่เจ้ามีปณิธานและสามารถแสวงหาความจริง ก็ย่อมมีเส้นทาง  หากเจ้าคำนึงว่างานนี้คือหน้าที่ของเจ้า การทำงานให้ดีก็ย่อมจะง่าย  บางคนพอได้เป็นผู้นำก็พูดว่า “ตอนนี้ฉันได้รับความไว้วางใจมอบหมายให้ดูแลผู้คนเหล่านี้แล้วใช่ไหม?  พวกเขาจะชุมนุมอย่างไรและจะจัดเตรียมงานอะไรให้พวกเขาทำบ้างย่อมจะขึ้นอยู่กับฉันใช่ไหม?  โอ้โฮ ฉันรู้สึกหนักใจเลยทีนี้”  ถ้อยคำเหล่านี้แฝงนัยว่าอย่างไร?  นี่ราวกับว่าพวกเขาสามารถสัมฤทธิ์สิ่งอันยิ่งใหญ่ได้ ทว่านี่ล้วนเป็นคำพูดและคำสอนที่ว่างเปล่า  คนแบบนี้หน้าซื่อใจคดอยู่บ้างมิใช่หรือ?  พวกเจ้ามีใครเคยพูดเช่นนี้บ้างหรือไม่?  (เคย)  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าทุกคนก็ออกจะหน้าซื่อใจคดเช่นกัน  อย่างไรก็ดี พฤติกรรมเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของผู้คน  แม้แต่คนที่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างก็ยังต้องอวดตัวอยู่บ้าง  พวกเขารู้สึกโดยพลันว่าตนมีคุณค่าสูงขึ้น และทันทีที่พวกเขาได้ลิ้มรสของสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์บางอย่าง หัวใจของพวกเขาก็ม้วนตลบเหมือนทะเลคลั่ง และพวกเขาก็กลับกลายเป็นคนละคน  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามและความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อของพวกเขาพากันโผล่ออกมาหมด  ทุกคนมีพฤติกรรมที่เป็นลบและสงบนิ่งอยู่เหล่านี้  นี่เป็นลักษณะที่เหมือนกันในหมู่มนุษย์ที่เสื่อมทราม  ใครก็ตามที่เป็นมนุษย์ที่เสื่อมทรามย่อมมีสิ่งนี้  บางคนพอได้เป็นผู้นำก็ไม่แน่ใจอีกต่อไปว่าตนเองควรเดินอย่างไร บางคนไม่แน่ใจว่าตนควรพูดคุยกับผู้คนอย่างไร  แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นเพราะว่าขี้อาย พวกเขาจึงไม่แน่ใจว่าควรพูดจาอย่างไร แต่เป็นเพราะความไม่แน่ใจว่าผู้นำควรประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรมากกว่า  ผู้อื่นพอได้เป็นผู้นำแล้วก็ไม่แน่ใจว่าควรกินอะไรหรือแต่งตัวอย่างไร  มีพฤติกรรมสารพัดชนิด  พวกเจ้ามีใครแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ออกมาบ้างหรือไม่?  แน่นอนว่าพวกเจ้าทุกคนย่อมทำบ้างไม่มากก็น้อย  แล้วใช้เวลานานเท่าใดจึงจะผ่านพ้นสภาวะและพฤติกรรมเหล่านี้ไป?  หนึ่งหรือสองปี สามหรือห้าปี หรือว่าสิบปี?  นั่นขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นและความเอาจริงเอาจังของคนเราในการไล่ตามเสาะหาความจริง

การปฏิบัติหน้าที่ของคนเราคือแง่มุมที่สำคัญที่สุดในการเชื่อในพระเจ้า  ก่อนอื่นคนเราต้องเข้าใจว่าหน้าที่คืออะไร จากนั้นจึงค่อยๆ มีประสบการณ์และความเข้าใจที่แท้จริงในเรื่องดังกล่าว  อย่างน้อยที่สุดคนคนหนึ่งควรมีท่าทีเช่นใดต่อหน้าที่ของตน?  หากเจ้ากล่าวว่า “พระนิเวศของพระเจ้ามอบหน้าที่นี้ให้ฉัน ดังนั้น นี่จึงเป็นของฉัน  ฉันสามารถทำอะไรตามใจชอบเพราะนี่คือเรื่องของฉันและไม่มีใครสามารถก้าวก่ายได้” ท่าทีนี้เป็นที่ยอมรับหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่  หากท่าทีที่เจ้ามีในยามทำหน้าที่ของตนเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมมีปัญหา เพราะท่าทีของเจ้าไม่เป็นไปตามหลักธรรมความจริง  ท่าทีของเจ้าเป็นท่าทีของการทำทุกอย่างตามใจอยากมากกว่าที่จะเป็นการแสวงหาความจริง นับประสาอะไรกับการมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  หากคนคนหนึ่งเอาแต่ใจมากเกินไป ขณะปฏิบัติหน้าที่พวกเขาก็จะค่อนข้างละเลยงานอันถูกควรของตน  เวลาปฏิบัติหน้าที่คนคนหนึ่งควรมีท่าทีเช่นไร?  พวกเขาต้องมีความประสงค์ที่จะนบนอบพระเจ้าและทำให้พระองค์พอพระทัย  หากพวกเขาไม่ทำพระบัญชาที่ได้รับความไว้วางพระทัยมอบหมายจากพระเจ้าให้เสร็จสมบูรณ์ พวกเขาย่อมรู้สึกว่าตนทำให้พระเจ้าผิดหวังเสียแล้ว และหากพวกเขาไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถูกควร พวกเขาย่อมรู้สึกว่าตนไม่คู่ควรกับการได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์  การมีท่าทีเช่นนี้ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าย่อมทำให้เจ้าจงรักภักดี  การที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีนั้น ก่อนอื่นเจ้าต้องรู้ว่าพระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใด ต้องแสวงหาความจริง และแสวงหาหลักธรรม  เมื่อเจ้าแน่ใจแล้วว่าพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าคือหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็ควรแสวงหาด้วยการคิดว่า “ฉันจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ดีได้อย่างไร?  ฉันควรปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงข้อใด?  พระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใดจากผู้คน?  ฉันควรทำงานอะไร?  ฉันควรทำอย่างไรจึงจะทำหน้าที่รับผิดชอบของตนให้สำเร็จและเป็นคนที่จงรักภักดี?”  เจ้าจงรักภักดีต่อใคร?  ต่อพระเจ้า  เจ้าต้องจงรักภักดีต่อพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบที่เจ้ามีต่อผู้คน  เจ้าควรปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง และยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้า  การยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าได้รับมอบหน้าที่หนึ่งมาเป็นเวลาหนึ่งหรือสองปีแล้ว แต่จนถึงบัดนี้ ยังไม่มีผู้ใดตรวจสอบเจ้าเลย  เจ้าควรทำอย่างไร?  หากไม่มีผู้ใดตรวจสอบเจ้า นั่นหมายความว่าหน้าที่นั้นผ่านพ้นไปแล้วหรือไม่?  ไม่  จงอย่าใส่ใจว่าใครสักคนจะตรวจสอบเจ้าหรือตรวจสอบว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ภารกิจนี้ถูกมอบความไว้วางใจให้แก่เจ้า ดังนั้นนั่นเป็นความรับผิดชอบของเจ้า  เจ้าควรพิจารณาว่าการงานนี้ควรจะถูกทำไปอย่างไร และนั่นสามารถถูกทำให้ดีได้เพียงใด และนั่นก็คือวิธีที่เจ้าควรจะทำสิ่งนั้น  หากเจ้ากำลังรอให้ผู้อื่นมาตรวจสอบเจ้าอยู่เสมอ รอให้พวกเขามากำกับดูแลเจ้าและรบเร้าเจ้า นี่คือท่าทีที่เจ้าควรมีในหน้าที่ของเจ้างั้นหรือ?  นี่คือท่าทีประเภทใดหรือ?  นี่คือท่าทีที่เป็นลบ ซึ่งไม่ใช่ท่าทีที่เจ้าควรจะนำมาใช้กับหน้าที่ของเจ้า  หากเจ้าใช้ท่าทีเช่นนี้ ก็แน่นอนว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าย่อมจะไม่ดีพอ  การที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอนั้น ก่อนอื่นเจ้าต้องมีท่าทีที่ถูกควรและท่าทีของเจ้าก็ต้องเป็นไปตามหลักธรรมความจริง  นี่เป็นทางเดียวที่จะรับรองได้ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดี

ในเรื่องที่ว่าหน้าที่คืออะไร ท่าทีที่คนเรามีต่อหน้าที่ควรเป็นเช่นใด รวมทั้งความแตกต่างระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรากับการลงมือทำงานทางโลกไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม สามัคคีธรรมของพวกเราในเรื่องเหล่านี้จะสรุปจบกันตรงนี้ในคราวนี้  พวกเจ้าทุกคนควรใคร่ครวญเนื้อหาที่สามัคคีธรรมกันไป  ตัวอย่างเช่น เหตุใดจึงเสวนาถึงสัมพันธภาพระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรากับการบริหารจัดการส่วนบุคคล?  ผลลัพธ์ที่ต้องการจากการเสวนาเรื่องเหล่านี้คืออะไร?  ในด้านบวก การเสวนาเรื่องเหล่านี้สามารถให้เส้นทางที่ถูกต้อง ทิศทางที่ถูกต้อง และหลักธรรมที่ถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ของตนแก่ผู้คนได้  ในด้านที่เกี่ยวกับส่วนที่เป็นลบ นี่สามารถช่วยให้ผู้คนตระหนักรู้ได้ด้วยว่าพฤติกรรมใดบ้างที่นับเป็นการบริหารจัดการส่วนบุคคล  สองด้านนี้ทั้งเชื่อมโยงกันและแยกกันชัดเจน  การทำความเข้าใจสองแง่นี้ไม่ใช่การทำความเข้าใจวจนะเกี่ยวกับความจริง เจ้าต้องทำความเข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับสภาวะและการสำแดงอันใดบ้าง  เมื่อเจ้ามีความเข้าใจในสภาวะและการสำแดงเหล่านี้อย่างถ่องแท้ และสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ ครั้งต่อไปที่เจ้าแสดงสภาวะและมีการสำแดงที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็จะแสวงหาความจริงเพื่อหาทางออกจากจุดนี้  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริงในแง่นี้ เจ้าก็อาจดำเนินการบริหารจัดการของตน คิดไปว่าเจ้ากำลังสละตนเพื่อพระเจ้า และถึงกับเชื่อว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนและจงรักภักดีอย่างมาก  ผลสืบเนื่องดังกล่าวย่อมจะเกิดจากการไม่เข้าใจความจริง  ตัวอย่างเช่น ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เมื่อมีการเผยความคิดและวิธีการบางอย่างของเจ้าออกมา รวมทั้งเจตนาและแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของเจ้า เจ้าย่อมตระหนักว่าเจ้าไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าเบี่ยงเบนออกจากหลักธรรมและขอบข่ายของการปฏิบัติหน้าที่ของตนไปเรียบร้อยแล้ว ธรรมชาติของการปฏิบัติหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และแท้จริงแล้วเจ้ากำลังดำเนินการบริหารจัดการของตนเอง  เฉพาะเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงเหล่านี้เท่านั้น เจ้าจึงจะหาทางออกจากจุดนี้และยุติความคิด การกระทำ และการสำแดงดังกล่าวได้  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริงและดำเนินการบริหารจัดการของตนพลางปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไปด้วย เจ้าก็จะไม่รับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้านั้นละเมิดหลักธรรมไปแล้ว  ยกตัวอย่างทำนองเดียวกันคือเปาโล หลังจากทำงานและวิ่งวุ่นไปทั่วอยู่นานหลายปี เขากลับลงเอยด้วยการร้องบอกพระเจ้าว่า “ถ้าพระองค์ไม่ประทานมงกุฎให้ข้าพระองค์ เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้า!”  เจ้าดูเถิด เขายังสามารถเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมาได้  ถ้าหลังจากที่เข้าใจความจริงแล้ว ผู้คนสมัยนี้ยังคงเดินตามเส้นทางของเปาโล พวกเขาก็ไม่ใช่คนที่รักความจริง  ถ้าเจ้าเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง การเข้าใจความจริงก็สำคัญต่อเจ้าอย่างยิ่ง  หากไม่เข้าใจความจริง ก็แน่นอนว่าเจ้ากำลังดำเนินชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  อย่างมากเจ้าก็ยึดปฏิบัติตามข้อบังคับบางประการและหลีกเลี่ยงการทำความผิดที่เห็นได้ชัดเจนเท่านั้น ยังคงคิดไปว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง  นั่นย่อมจะน่าเวทนายิ่ง  ดังนั้นถ้าคนเราประสงค์ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและมุ่งหมายที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง พวกเขาก็ต้องเข้าใจความจริงเสียก่อน  จุดประสงค์ของการเข้าใจความจริงก็เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้ทันผู้อื่นและเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง มีวิจารณญาณแยกแยะ มีหลักธรรมในการกระทำ มีเส้นทางปฏิบัติ และสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง เจ้าก็จะสามารถแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายได้ทุกชนิด เลือกเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง พูดและทำตามหลักธรรม ทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน และสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าได้  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วก็แน่นอนว่าเส้นทางที่เจ้าเดินย่อมจะผิด เจ้าจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิตแต่อย่างใด และจะไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  บางคนอำพรางตนเก่งเป็นพิเศษ จึงดูเหมือนว่าพวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขาไม่มีหลักธรรมในการกระทำของตน และทุกสิ่งที่พวกเขาทำก็ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน สร้างปัญหามากมายให้กับงานของคริสตจักร ผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการฟังคำเทศนาอยู่เนืองๆ กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอยู่เนืองๆ จึงไม่ใช่เพื่อที่จะทำเรื่องฉาบฉวยหรือเติมเต็มหัวใจของตน และไม่ใช่เพื่อเตรียมตนให้พร้อมรับคำสอนหรือฝึกคารม นี่เป็นไปเพื่อเตรียมตนให้พร้อมรับความจริงและสัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง  สิ่งที่เพิ่งเสวนากันไปแท้จริงแล้วไม่ได้ลึกซึ้งเป็นพิเศษในแง่ของความจริงเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้า นี่คือความจริงขั้นพื้นฐานที่สุด  ความเข้าใจที่ผู้คนมีต่อความจริงนั้นมีจำกัด ลงลึกต่างกัน และขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของแต่ละคน  บางคนเข้าใจได้ลึกกว่า กล่าวคือ พวกเขามีความสามารถในการทำความเข้าใจ  ส่วนผู้อื่นนั้นเข้าใจในระดับที่ตื้นเขินมาก  ไม่ว่าความเข้าใจของคนเราจะลงลึกได้มากเท่าใด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการปฏิบัติความจริง  อย่างไรก็ดี ความจริงไม่อาจแบ่งออกเป็นใหญ่หรือเล็ก สูงส่งหรือต่ำต้อย และไม่อาจแยกออกเป็นลึกหรือตื้น  นั่นหมายความว่าความจริงสามารถจำแนกออกเป็นระดับพื้นฐานที่สุดหรือง่ายที่สุด แต่ไม่อาจจำแนกให้ลงลึกเป็นระดับต่างๆ ได้ เพียงแต่ผู้คนเข้าใจและมีประสบการณ์กับความจริงในระดับต่างกันเท่านั้น  สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของความจริงย่อมลุ่มลึกเท่ากัน และไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะสามารถมีประสบการณ์ได้อย่างรอบด้านหรือว่ามีได้อย่างครบถ้วน  ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับความจริงในแง่ใด ผู้คนก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจและปฏิบัติตั้งแต่ระดับที่ตื้นที่สุด ต่อจากนั้นจึงค่อยๆ เลื่อนจากตื้นไปลึก เข้าถึงความเข้าใจที่แท้จริงในความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริง  ส่วนที่ตื้นเขินที่สุดของความจริงก็คือส่วนที่สามารถทำความเข้าใจได้ตามตัวอักษร  ถ้าผู้คนไม่สามารถปฏิบัติหรือเข้าสู่ความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เข้าใจแต่วาจาและคำสอนบางอย่างเท่านั้น  การเข้าใจแต่วาจาและคำสอนย่อมห่างไกลจากแก่นแท้ของความจริงมากนัก  ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมมองอยู่เสมอว่าการสามารถอธิบายความหมายตามตัวอักษรได้ก็คือการเข้าใจความจริง นี่เป็นเพียงความไม่รู้ของมนุษย์เท่านั้น  ถ้าการปฏิบัติความจริงของเจ้าเป็นเพียงการทำตามข้อบังคับ และการนำข้อบังคับไปใช้อย่างแข็งทื่อโดยไม่มีหลักธรรม ก็จงอย่าคิดว่านี่คือการปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง เจ้ายังคงห่างไกลจากเรื่องนั้น  ถ้าเจ้าปฏิบัติและมีประสบการณ์ต่อไปอีกหลายปี และค้นพบความสว่างมากขึ้นอีกมาก ซึ่งย่อมจะมากพอให้เจ้าปฏิบัติและมีประสบการณ์ไปอีกหลายเดือนหรือหลายปี เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นอีกในภายหลัง เจ้าก็จะสามารถค้นพบความสว่างที่ใหม่ขึ้น ก้าวหน้าเช่นนี้ไปทีละก้าวจากตื้นไปลึก เมื่อนั้นเจ้าย่อมเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้วโดยแท้  มีแต่คนที่เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงโดยบริบูรณ์แล้วเท่านั้นที่ได้รับความจริงแล้ว  ต่อให้วันหนึ่งเจ้าใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของความจริง และกล่าวได้ว่าเจ้าได้รับความจริงแล้ว แต่อันที่จริง สิ่งที่เจ้ามีประสบการณ์และล่วงรู้ยังคงมีจำกัด  เจ้าก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเจ้าคือความจริง และไม่อาจกล่าวอ้างเหมือนที่เปาโลทำว่า “สำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่คือพระคริสต์” (ฟิลิปปี 1:21) เพราะความจริงลุ่มลึกเกินไป และสิ่งที่คนเราสามารถมีประสบการณ์และเข้าใจได้ในช่วงเวลาหลายทศวรรษของชั่วชีวิตหนึ่งๆ ก็จำกัดอย่างยิ่ง  เห็นได้ชัดว่าเมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนก็พอจะสัมฤทธิ์การเข้าใจความจริงได้บ้าง แต่การได้รับความจริงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  ถ้าคนเราไม่สามารถเข้าใจหรือปฏิบัติแม้แต่ความจริงที่ตื้นเขินที่สุด เช่นนั้นแล้วย่อมเป็นคนที่ไม่รักความจริง และแน่นอนว่าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ผู้คนที่ไม่ได้เข้าใกล้ความจริงแต่อย่างใดย่อมจะไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  คนที่ไม่เคยเข้าใจความจริงจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี พวกเขาคือขยะของชีวิต เป็นสัตว์ป่าในคราบมนุษย์  บางคนนึกว่าตนเข้าใจความจริงเพียงเพราะพวกเขาเข้าใจคำสอนบางอย่าง  ถ้าพวกเขาเข้าใจความจริงบางประการโดยแท้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีหลักธรรมในการกระทำของตน?  นี่แสดงให้เห็นว่าการเข้าใจคำสอนไม่มีประโยชน์ การเข้าใจคำสอนมากขึ้นไม่ได้หมายถึงการเข้าใจความจริง

หลังจากสามัคคีธรรมหัวข้อเกี่ยวกับหน้าที่ไปแล้ว คราวนี้พวกเราก็จะพูดต่อไปถึงเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ  ในส่วนของ “การปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ” การเน้นความสำคัญอยู่ที่คำว่า “เพียงพอ”  ดังนั้น ควรจะกำหนดนิยามคำว่า “เพียงพอ” อย่างไร?  ในการนี้ก็มีความจริงทั้งหลายให้แสวงหาเช่นกัน  เป็นการเพียงพอหรือไม่ที่จะทำการงานที่พอผ่านได้?  สำหรับรายละเอียดเฉพาะว่าจะเข้าใจและมองคำว่า “เพียงพอ” อย่างไรนั้น เจ้าต้องเข้าใจความจริงมากมายและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงให้มากขึ้น  ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้น เจ้าต้องเข้าใจความจริงและหลักธรรมทั้งหลาย เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเข้าถึงการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอได้  เหตุใดผู้คนจึงควรปฏิบัติหน้าที่ของตน?  ทันทีที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและได้ยอมรับพระบัญชาของพระองค์แล้ว ผู้คนก็จะมีส่วนแบ่งในภาระหน้าที่ของพวกเขาและภาระผูกพันในพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและในสถานที่ของพระราชกิจของพระเจ้า และในทางกลับกัน เนื่องจากภาระหน้าที่และภาระผูกพันนี้ พวกเขาได้กลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้า—เป็นผู้รับพระราชกิจของพระองค์ และเป็นผู้รับความรอดของพระองค์  มีสัมพันธภาพที่เป็นสาระสำคัญอย่างยิ่งระหว่างความรอดของผู้คนกับวิธีที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ว่าพวกเขาสามารถทำหน้าที่เหล่านั้นได้ดีหรือไม่ และว่าพวกเขาสามารถทำหน้าที่เหล่านั้นได้อย่างเพียงพอหรือไม่  ในเมื่อเจ้าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในพระนิเวศของพระเจ้าและได้ยอมรับพระบัญชาของพระองค์แล้ว บัดนี้เจ้าก็มีหน้าที่หนึ่ง  นั่นไม่ใช่การให้เจ้าพูดว่าหน้าที่นี้ควรได้รับการปฏิบัติอย่างไร แต่เป็นการให้พระเจ้าตรัส เป็นการให้ความจริงกล่าว และได้รับการบอกบทโดยมาตรฐานแห่งความจริง  เพราะฉะนั้น ผู้คนควรรู้จัก เข้าใจและชัดเจนเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงวัดหน้าที่ของผู้คน พระองค์ทรงวัดหน้าที่เหล่านั้นตามสิ่งใด—นี่คือสิ่งที่คุ้มค่าที่จะแสวงหา  ในพระราชกิจของพระเจ้านั้น ผู้คนที่แตกต่างกันรับหน้าที่แตกต่างกัน  นั่นคือ ผู้คนที่มีพรสวรรค์ ขีดความสามารถ วัย และภาวะแตกต่างกัน ย่อมได้รับหน้าที่ต่างกันในเวลาที่ต่างกัน  ไม่ว่าเจ้าจะได้รับหน้าที่อันใด และไม่ว่าห้วงเวลาหรือรูปการณ์ที่เจ้ารับหน้าที่ไปทำนั้นจะเป็นเช่นใด หน้าที่ของเจ้าก็เป็นเพียงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าพึงทำ ไม่ใช่การบริหารจัดการของเจ้า และยิ่งไม่ใช่ธุรกิจของเจ้า  มาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าคือ “ดีพอ”  ที่ว่า “ดีพอ” นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้าและทำให้พระองค์พอพระทัย  พระเจ้าต้องตรัสว่านี่ดีพอและต้องได้รับความเห็นชอบจากพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้นที่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าดีพอแล้ว  ถ้าพระเจ้าตรัสว่าไม่ดีพอ ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ามานานเท่าใด หรือจ่ายราคาไปมากเพียงใด ก็ย่อมไม่ดีพอ  เช่นนั้นแล้ว ผลลัพธ์ย่อมจะเป็นอย่างไร?  ทั้งหมดนั้นย่อมจะถูกจำแนกว่าเป็นการออกแรงทำงาน  มีคนออกแรงทำงานด้วยหัวใจที่จงรักภักดีที่ได้รับการละเว้นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น  ถ้าพวกเขาไม่จงรักภักดีในการลงแรงของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่มีหวังที่จะได้รับการละเว้น  กล่าวง่ายๆ ก็คือ พวกเขาจะถูกทำลายล้างในความวิบัติ  ถ้าคนเราไม่เคยประสบผลสำเร็จเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาก็จะถูกริบสิทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่  หลังจากที่สิทธิ์นี้ถูกริบไปแล้ว บางคนก็จะถูกทิ้งไว้อย่างนั้น  พอถูกทิ้งไว้อย่างนั้น พวกเขาจะได้รับการดูแลด้วยวิธีอื่น  ที่ว่า “ได้รับการดูแลด้วยวิธีอื่น” หมายถึงการถูกกำจัดออกไปใช่หรือไม่?  ไม่จำเป็น  หลักสำคัญคือพระเจ้าทรงมองว่าคนคนหนึ่งกลับใจหรือไม่  เพราะฉะนั้น วิธีปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจึงสำคัญมาก และผู้คนก็ควรจริงจังและละเอียดรอบคอบในการปฏิบัติหน้าที่  เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเชื่อมโยงโดยตรงกับการเข้าสู่ชีวิตและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง รวมทั้งเรื่องใหญ่ๆ อย่างความรอดและการได้รับการทำให้เพียบพร้อมของเจ้า ระหว่างที่เชื่อในพระเจ้า เจ้าจึงต้องทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเป็นดังกิจที่มีความสำคัญที่สุด  เจ้าไม่อาจเลอะเลือนในเรื่องนี้ได้  ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนนั้น ผู้คนที่หลากหลายย่อมจะแสดงพฤติกรรมต่างๆ นานาออกมา  พฤติกรรมที่แตกต่างเหล่านี้ไม่เพียงผู้คนเท่านั้นที่มองเห็น พระเจ้าก็ทรงมองเห็นเช่นกัน  ไม่ได้มีแต่คริสตจักรเท่านั้นที่ประเมินและให้คะแนน ท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าก็จะทรงประเมินและให้คะแนนทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วย  บางคนโดยพื้นฐานแล้วทำได้ถึงมาตรฐาน ขณะที่บางคนไม่ดีพอแต่อย่างใด  คนที่ไม่ดีพอบางคนจะยังถูกสังเกตการณ์อยู่ ขณะที่บางคนย่อมจะถูกพระเจ้าทรงจำแนกประเภทเป็นที่แน่นอนแล้ว  ใครคือผู้คนที่พระเจ้าทรงมองว่าไม่ดีพอ?  พวกเขาคือคนที่ด้อยความเป็นมนุษย์ ไม่มีมโนธรรมและเหตุผล และปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินอยู่เสมอ  ไม่ว่าพวกเขาจะได้ชื่นชมพระคุณจากพระเจ้ามากเท่าใด พวกเขาก็ไม่สนใจที่จะทำสิ่งใดตอบแทนและไม่สำนึกรู้คุณ  แน่นอนว่านี่ย่อมรวมพวกคนชั่วเอาไว้ด้วยเป็นธรรมดา  กล่าวได้ว่าใครก็ตามที่ด้อยความเป็นมนุษย์อีกทั้งไม่มีมโนธรรมและเหตุผล ย่อมปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่ดีพอ  คนที่ชั่วอย่างเห็นได้ชัดก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำเรื่องชั่วนับไม่ถ้วนขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน  ตราบใดที่พวกเขาไม่ถูกเอาตัวออกไป พวกเขาก็จะทำความชั่วร่ำไป  ผู้คนเยี่ยงนี้ต้องถูกเอาตัวออกไปทันที  แน่นอนว่ามีบางคนเช่นกันที่ดูมีสภาพเสมือนมนุษย์อยู่บ้างและดูไม่เหมือนคนไม่ดี แต่การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขากลับสุกเอาเผากินและไม่มีผลอันใด  หลังจากถูกตัดแต่งและได้รับการสามัคคีธรรมความจริงไปแล้ว ก็จะขึ้นอยู่กับว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาปฏิบัติเช่นไรและกลับใจด้วยใจจริงหรือไม่  พระเจ้ายังทรงรอคอยและเฝ้ามองผู้คนดังกล่าว  ส่วนคนที่ด้อยความเป็นมนุษย์ ไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผล รวมทั้งคนที่ชั่วอย่างชัดเจน พระเจ้าทรงมีคำพิพากษาที่แน่ชัดไว้ให้พวกเขาแล้ว—พวกเขาจะถูกกำจัดออกไปโดยสิ้นเชิง

ถัดไปก็มาสามัคคีธรรมกันเถิดว่าการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ดีพอนั้นมีการสำแดงลักษณะเช่นใดออกมา  เราจะสามัคคีธรรมถึงตัวอย่างเรื่องหนึ่งก่อน พวกเจ้าทุกคนจะได้แยกแยะดูว่าคนคนนี้ปฏิบัติหน้าที่ของตนดีพอหรือไม่ และเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่  มีอยู่คนหนึ่งได้รับเลือกให้เป็นผู้นำในคริสตจักร และเจ้าภาพรับรองเขาก็คือครอบครัวที่เชื่อกันเพียงกึ่งหนึ่ง กล่าวคือสมาชิกครอบครัวบางคนเป็นผู้เชื่อและบ้างก็ไม่ใช่  อย่างไรก็ดี ทุกคนล้วนมีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งคือพวกเขาต่างก็สันทัดเป็นพิเศษในการป้อยอและอ่านอารมณ์ของคนที่มีอำนาจตัดสินใจ  ลักษณะเช่นนี้ย่อมจะก่อให้เกิดสิ่งใดแก่ผู้นำโดยไม่ได้ตั้งใจ?  (ย่อมจะก่อให้เกิดการทดลอง)  ก่อให้เกิดการทดลอง  นี่เป็นพรหรือโชคร้ายสำหรับเขา?  ยังต้องรอดูกันต่อไปว่าจะเป็นพรหรือโชคร้าย พวกเรามาว่ากันต่อเถิด  หลังจากที่ครอบครัวนี้เป็นเจ้าภาพรับรองผู้นำแล้ว พวกเขาก็ยกเนื้อสัตว์และอาหารดีๆ มาให้เขากินทุกมื้อ  เหตุใดพวกเขาจึงรับรองผู้นำกันเช่นนี้?  ใช่เพราะความรักหรือไม่?  พวกเขาจะต้อนรับพี่น้องชายหญิงกันเช่นนี้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่  เวลาผู้นำอยู่ที่นั่น พวกเขาก็ปรุงเนื้อสัตว์ให้ทุกวัน  ในที่สุดผู้นำที่ปีติยินดีไปกับมื้ออาหารเหล่านั้นก็บอกครอบครัวดังกล่าวว่า “พวกคุณรักพระเจ้ากันทั้งครอบครัวเลย  แม่ของคุณย่อมจะเข้าราชอาณาจักรได้ ลูกชายของคุณย่อมจะเข้าราชอาณาจักรได้ ตัวคุณและภรรยาก็ย่อมจะเข้าราชอาณาจักรได้เช่นกัน  ในอนาคต พวกคุณทั้งครอบครัวย่อมจะเข้าราชอาณาจักรได้”  เมื่อได้ฟังดังนี้ ครอบครัวนั้นก็สุขใจมาก คิดไปว่า “พวกเราทั้งครอบครัวจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักร ขนาดผู้ไม่มีความเชื่อในหมู่พวกเราก็ยังเข้าได้  ดูเหมือนเนื้อที่พวกเราให้เขาไปนั้นไม่ได้สูญเปล่า พวกเราควรทำเนื้อให้เขากินต่อไป”  ในความเป็นจริง ครอบครัวนี้มีความเข้าใจน้อยนิดว่าการเข้าสู่ราชอาณาจักรมีสิ่งใดพ่วงมาด้วย แต่พวกเขารู้ว่านั่นเป็นเรื่องดี  ในหมู่คนที่เชื่อในพระเจ้า มีใครไม่อยากเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์และได้รับพรบ้าง?  พวกเขาคิดไปว่า “ตราบใดที่ผู้นำบอกว่าพวกเราเข้าราชอาณาจักรได้ เช่นนั้นแล้วพวกเราก็เข้าได้ จริงไหม?  วาจาของผู้นำคือคำขาด ถึงอย่างไรผู้นำก็เป็นตัวแทนของพระเจ้า!”  ภายหลัง ยิ่งผู้นำบอกว่าพวกเขาเข้าราชอาณาจักรได้ อาหารที่พวกเขายกมาให้ผู้นำก็ยิ่งหรูและแพง  ผ่านไประยะหนึ่ง ผู้นำคนนี้ก็ไม่อยากเยี่ยมเยียนครอบครัวอื่นอีกต่อไป เพราะพวกเขาไม่ได้มอบสิ่งดีๆ หรือป้อยอเขาแบบนี้  ไม่นานหลังจากนั้น น้ำหนักตัวของผู้นำก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หัวของเขาก็อ้วนกลมขึ้นด้วย เปลี่ยนจาก “หัวคน” เป็น “หัวหมู”  ระหว่างชุมนุมผู้ร่วมงานครั้งหนึ่ง เขากลายเป็นที่สังเกตเห็นได้ทันที  หลังจากที่ไม่ได้พบเจอเขามาเพียงเดือนเดียวเท่านั้น เขากลับมีน้ำหนักมากขึ้นเสียจนผู้ร่วมงานเร่งไถ่ถามเรื่องงานของเขากันใหญ่  พวกเขาค้นพบปัญหาร้ายแรงและตัดแต่งเขาอย่างเข้มงวด ชำแหละแก่นแท้ในปัญหาของเขาก่อนที่จะหาคนมาแทนที่ผู้นำเทียมเท็จคนนี้ในที่สุด  การตรวจสอบเพิ่มเติมเผยให้เห็นปัญหามากขึ้นว่าผู้นำเทียมเท็จคนนี้ไม่ได้ทำงานจริงแต่อย่างใด และหลงใหลได้ปลื้มกับผลประโยชน์จากสถานะของตนทุกวัน  เขาเอื้อประโยชน์ให้แก่คนที่ป้อยอเขา ส่งเสริมคนเหล่านั้น พลางกดคนที่ไม่ได้มอบของกำนัลแก่เขา  เขาถึงกับสั่งให้ภรรยาของตนเอาไก่มาให้กินมากขึ้น  แล้วพวกเจ้าคิดอย่างไรกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำเทียมเท็จคนนี้?  เขามีท่าทีอย่างไรต่อหน้าที่ของตน?  แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ทำงาน เหมือนเขาไปสถานที่บางแห่งเพียงเพื่อที่จะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐมากกว่า  หาไม่แล้วน้ำหนักของเขาจะขึ้นมามากขนาดนั้นได้อย่างไร?  เรื่องนี้มีสาเหตุอยู่สองประการ ด้านหนึ่งเขาจงใจเลือกครอบครัวเจ้าภาพที่เขาจะได้กินเนื้อสัตว์ พักอยู่ที่นั่น และปรนเปรอตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง อีกด้านหนึ่งก็แน่ชัดว่าขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน เขาไม่มีสำนึกในภาระ และไม่สู้ทนความยากลำบากอันใด  ถ้าผู้นำหรือคนทำงานมีสำนึกในภาระ เมื่อมองเห็นปริมาณงานอันมากล้นในคริสตจักรและปัญหามากมายที่จำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน พวกเขาย่อมจะเครียดและกระวนกระวายมิใช่หรือ?  ความกระวนกระวายนี้ย่อมจะเฆี่ยนตีให้พวกเขาลงมือ พวกเขาจะเริ่มจัดการแก้ปัญหาเหล่านี้ทันที ทุ่มเทพละกำลังและสู้ทนความยากลำบากบางประการ  ในทางกายภาพ น้ำหนักของพวกเขามีแต่จะลดลงเท่านั้น นี่เป็นกฎธรรมชาติ  คนเราจะกินมากขึ้นและมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ภายใต้ภาวะเช่นใด?  จะเป็นเช่นนั้นได้ก็ด้วยการกินตามใจอยากตลอดวันและไม่สนใจสิ่งอื่นใด ปลอดภาระ นั่งทำตัวสูงส่งและวางอำนาจ ตัดขาดจากชุมชนและที่ทำงาน หลงระเริงไปกับความสุขสบายทางเนื้อหนังเท่านั้น  เช่นนั้นเท่านั้นที่น้ำหนักของคนเราจะเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนจาก “หัวคน” เป็น “หัวหมู” ในเวลาเพียงเดือนเดียว  แล้วผู้นำคนนี้ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีเพียงใด?  ธรรมชาติของบทบาทผู้นำที่เขามีได้เปลี่ยนไปแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ของเขาอีกต่อไป แต่เป็นการหลงระเริงอยู่กับความสุขสบายและผลประโยชน์จากสถานะ  เขาทำตัวเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐ  ไม่เพียงบ่ายเบี่ยงงานที่แท้จริงเท่านั้น แต่ยังลงมือทำความผิดอีกด้วย  ถ้าใครไม่ป้อยอเขาหรือจัดหาอาหารอันโอชะมาให้เขา เขาก็จะกดคนเหล่านั้นเอาไว้  ยิ่งไปกว่านั้น เขายังยุยงพี่น้องชายหญิงให้ร่วมตัดแต่งคนเหล่านั้นพร้อมกับเขา ปลุกปั่นให้คนส่วนใหญ่โกรธเคืองในที่สุด  ผู้คนก็เริ่มรู้สึกรังเกียจและตีตัวออกห่างจากเขา  พวกเราพักเหตุผลที่มีการปลดเขาเอาไว้ก่อน แล้วมาเสวนาเฉพาะเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอของเขากันเถิด  การที่เขาหลงระเริงในผลประโยชน์จากสถานะและไม่มีการทำงานจริงคือปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด  เขาไม่ได้รับใช้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร กลับทำตัวเหนือคนเหล่านั้นเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ และไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนแต่อย่างใด  ในงานผู้นำของเขานั้น เขาไม่ได้แสดงให้เห็นความจงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่ของตนแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการอุทิศพละกำลังและหัวใจของตน  เขามอบหัวใจและพละกำลังให้กับการกิน ดื่ม และทำให้ตนเองสุขสำราญเท่านั้น  เขาเค้นสมองคิดว่าจะสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะของตนอย่างไร และไม่สามัคคีธรรมความจริงแก่ครอบครัวเจ้าภาพเพื่อหยุดยั้งพฤติกรรมประจบประแจงเช่นที่พวกเขาทำนี้  ยิ่งไปกว่านั้น เขายังหลอกลวงคนเหล่านั้น โดยบอกว่ามีแต่การรับรองเช่นนั้นเท่านั้นที่จะเปิดโอกาสให้เข้าสู่ราชอาณาจักรและทำให้ได้รับรางวัล  นี่คือการทำชั่วมิใช่หรือ?  ถ้าเขาปฏิบัติต่อครอบครัวเจ้าภาพเช่นนี้ เขาย่อมจะทำเช่นไรในงานของคริสตจักร?  เขาจะปฏิบัติอย่างไรต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร?  แน่นอนว่าย่อมจะเต็มไปด้วยการหลอกลวงและความสุกเอาเผากิน  คนคนนี้รู้จริงหรือไม่ว่าหน้าที่คืออะไร?  เขารู้หรือไม่ว่างานที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาทำคืออะไร?  เขาคิดไปว่าพระบัญชานี้คือสิ่งใด?  เขามองว่าเป็นต้นทุนและเป็นเหตุผลที่จะสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะของตน และด้วยเหตุนั้นเขาจึงทำความชั่วมากมาย รบกวนชีวิตคริสตจักร และก่อความสูญเสียให้แก่การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง  การปฏิบัติหน้าที่แบบนี้ไม่เพียงไม่ดีพอเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นการประพฤติชั่วอีกด้วย  เมื่อไม่มีองค์ประกอบที่ดีพอในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาจะเป็นที่จดจำของพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ชัดเจนว่าไม่ได้ ซึ่งน่าเวทนามาก  น่าเวทนาที่ไม่เข้าใจความจริง—แล้วการเข้าใจความจริง แต่ไม่ปฏิบัติความจริง ยิ่งน่าเวทนากว่าใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือกรณีแรก กรณี “หัวคนกลายเป็นหัวหมู”  กรณีนี้ค่อนข้างง่าย กล่าวคือ เกี่ยวข้องกับการหลงระเริงในผลประโยชน์จากสถานะ ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยไม่มีความจงรักภักดีแม้แต่น้อย และไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแม้แต่นิดเดียว  ผู้นำคนนี้ทำเหมือนว่าหน้าที่ที่ได้รับจากพระเจ้าคือต้นทุนให้หลงระเริงอยู่ในผลประโยชน์จากสถานะของตน  นี่แยกแยะได้ง่าย  จงจำชื่อของกรณีแรกนี้เอาไว้ เพื่อที่ว่าในอนาคต พวกเจ้าจะได้นำมาเปรียบเทียบ ใช้แยกแยะผู้อื่น และเป็นแรงจูงใจให้ตนเองได้  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับกรณีที่เราเล่ามานี้?  พวกเจ้านึกชังผู้คนเช่นนี้และการกระทำเช่นนี้หรือไม่?  (นึก)  ถ้าพวกเจ้ายอมรับพระบัญชาจากพระเจ้า พวกเจ้าจะทำเรื่องอย่างนี้ได้ลงคอหรือไม่?  ถ้าพวกเจ้าสามารถมีเหตุผลได้มากกว่าผู้นำเทียมเท็จคนนี้ รู้จักยับยั้งชั่งใจได้บ้าง และพากเพียรเพื่อความจริงได้ เช่นนั้นแล้วก็ยังพอมีหวังอยู่บ้าง  แต่ถ้าพวกเจ้าสามารถหลงระเริงในการกิน ดื่ม และสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะได้อย่างเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไป เจ้าจะเป็นผู้นำเทียมเท็จโดยแท้และเป็นคนที่พระเจ้าทรงชัง  ทีนี้พวกเจ้าก็มีวิจารณญาณบ้างแล้วและเข้าใจความจริงบางอย่าง  ระดับการยับยั้งและควบคุมตัวเองที่เจ้าสามารถทำได้คือเครื่องกำหนดว่าเจ้ามีหวังมากเพียงใดที่จะได้รับความรอด สองอย่างนี้มีสัดส่วนเชื่อมโยงกันโดยตรง  ถ้าเจ้าไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้ และยังคงกระทำการตามความชอบส่วนตัว ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และหลงระเริงในผลประโยชน์จากสถานะ ยินดีและมัวเมาเวลามีคนป้อยอเจ้า ไร้ซึ่งการทบทวนตัวเองหรือกลับใจอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วความหวังที่เจ้ามีในการได้รับความรอดย่อมเป็นศูนย์

ถัดไป พวกเรามาพูดถึงอีกกรณีหนึ่งกันเถิด  ระหว่างการแผ่ขยายข่าวประเสริฐ ผู้คนมากมายในคริสตจักรก็ไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ของทุกคน  ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไรกับหน้าที่นี้ จะคิดว่าหน้าที่นี้ดีหรือไม่ก็ตาม โดยทั่วไปแล้วนี่คือพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คน  เมื่อพูดถึงพระบัญชาที่พระเจ้ามีต่อผู้คน นี่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของผู้คน และยังเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของผู้คนอีกด้วย  ในเมื่อเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของผู้คน นี่จึงเกี่ยวข้องกับว่าคนเราปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไร  ระหว่างที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐอยู่นั้น บางคนเจาะจงมองหาพื้นที่อันมั่งคั่งและครอบครัวที่ร่ำรวย  เวลาที่พวกเขาเห็นใครขับรถสวยหรืออาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ พวกเขาก็รู้สึกอิจฉาและริษยา  ถ้าพวกเขาพบเจอครอบครัวที่รับรองพวกเขาอย่างดี พวกเขาก็จะร่ำไรและมีหัวใจที่อยากได้ใคร่มี  คิดไปว่าในเมื่อตนสร้างคุณูปการด้วยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ตนก็ควรได้ชื่นชมพระคุณบ้าง  ดังนั้น การเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพวกเขาจึงกลายเป็นสิ่งใด?  สิ่งที่พวกเขาทำมีแต่การหลงระเริงในความหรรษาทางเนื้อหนัง เอาการลงแรงของตนไปแลกเป็นความสุขสำราญทางกาย กลายเป็นการขายน้ำพักน้ำแรงของตนเอง  ผ่านไปสองหรือสามปี พวกเขาก็ได้ผู้คนจากการเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่นั่นมาบ้าง และถึงกับก่อตั้งคริสตจักรเอาไว้ ดังนั้นจึงพอจะสะสมต้นทุนอยู่บ้าง  จากนั้นพวกเขาก็เริ่มหน้ามืดตามัว และเมื่อถึงเวลาที่พวกเขากลับมาบ้านเกิดของตน “อย่างเกรียงไกร” พวกเขาก็เปล่งรัศมี กลายเป็นคนที่ได้รับความนิยมในชีวิตจริง  พวกเขานำเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นดีกลับมาด้วย ทั้งยังแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชั้นเลิศตั้งแต่หัวจรดเท้า  ผู้คนท้องถิ่นจดจำพวกเขาไม่ได้อีกต่อไป นึกอยู่ว่าพวกเขาต้องตกถังข้าวสารที่ไหนมาเป็นแน่  ตรงนี้มีปัญหามิใช่หรือ?  พวกเขาเป็นผู้เชื่อมานานหลายปี ปฏิบัติหน้าที่ของตนไกลบ้านเสมอ  แรกเริ่มเดิมทีที่บ้านของพวกเขาไม่มีของมีค่าใดๆ มากนัก แต่ตอนนี้พวกเขานำเสื้อผ้าชั้นเลิศและเครื่องใช้ไฟฟ้าดีๆ ที่ผู้คนมอบให้กลับมาหมด พวกเขาทั้งแต่งตัวดีและมีอุปกรณ์พร้อม  พวกเขามองว่านี่คือพระคุณจากพระเจ้า  แต่แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้มาจากไหน?  กล่าวได้ว่าพวกเขาใช้ความอุตสาหะในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแลกมา  ผู้อื่นบางคนมองเห็นว่าพวกเขามีความเชื่อมานานหลายปีและทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างหนัก ดังนั้นจึงนำสิ่งของดีๆ บางอย่างมามอบให้คนเหล่านี้  “การให้” เช่นนี้ใช่การบริจาคหรือไม่?  นี่ใช่ความเมตตาสงสารหรือไม่?  ถ้าสิ่งของดีๆ เหล่านี้ได้มาเพราะการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ มีการมอบให้พร้อมคำป้อยอจากผู้อื่น เช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือที่คนคนนี้จะมองว่าสิ่งเหล่านี้คือความโปรดปรานจากพระเจ้าหรือเป็นพระคุณจากพระเจ้า?  กล่าวตามตรงก็คือ พวกเขากำลังใช้โอกาสที่ได้เผยแผ่ข่าวประเสริฐมาฉวยเอาสิ่งเหล่านี้  ถ้าพวกเขาโอดครวญว่าตนยากจนต่อหน้าผู้อื่นอยู่เสมอ พลางเอ่ยด้วยว่าตนชอบของชิ้นนี้หรือชิ้นนั้น แล้วจากนั้นผู้คนก็มอบสิ่งนั้นแก่พวกเขาอย่างเสียมิได้ นั่นก็เหมือนการรีดไถหรือขู่กรรโชกมิใช่หรือ?  คนที่ประกาศข่าวประเสริฐบางคนชอบบอกผู้อื่นว่า “พวกเราที่เป็นผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐก็คือทูตสื่อสารของพระเจ้า พระเจ้าทรงส่งพวกเรามา  พวกคุณรับข่าวประเสริฐของพระเจ้าไปจากพวกเรา—พวกคุณได้รับพรและมีความได้เปรียบอย่างมหาศาลทีเดียว!  เมื่อได้เห็นว่าตัวคุณเองมั่งคั่งเพียงใดและได้ชื่นชมพระคุณจากพระเจ้ามากขนาดไหน พวกคุณก็ควรแสดงความซาบซึ้งบ้างไม่ใช่หรือ?  พวกคุณควรแบ่งปันของส่วนเกินหรือเหลือใช้ให้พวกเราบ้างไม่ใช่หรือ?”  หลังจากการชักจูงเช่นนั้น บางคนก็ลงเอยด้วยการยอมให้เพราะละอายแก่ใจ แล้วผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐก็นึกว่าตนนั้นชอบด้วยเหตุผลโดยแท้  คนที่ให้นั้นแท้จริงแล้วเต็มใจให้หรือไม่?  ไม่ว่าคนให้จะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐควรรับสิ่งของเหล่านี้กันหรือไม่?  (ไม่)  บางคนให้เหตุผลว่า “ทำไมฉันถึงไม่ควรรับของเหล่านี้?  ฉันทำงานหนักเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ การรับของไม่กี่ชิ้นนี้เป็นเพียงพระคุณจากพระเจ้าไม่ใช่หรือ?”  เวลาที่เจ้าประกาศข่าวประเสริฐ เจ้าทำอะไรอยู่?  นี่ใช่งานที่เจ้าใช้หาเลี้ยงชีวิตหรือไม่?  การประกาศข่าวประเสริฐไม่ใช่ธุรกรรมซื้อขาย นี่คือหน้าที่ของเจ้า  เวลาที่เจ้าเรียกร้องสิ่งของจากผู้คน ตามแก่นแท้แล้ว เจ้ากำลังเรียกร้องสิ่งของจากพระเจ้า  แต่เพราะเจ้าเข้าไม่ถึงพระเจ้า และเจ้าก็ไม่กล้าขอพระองค์ เจ้าจึงพยายามบอกผู้คนแทน แล้วก็ชักพาให้พวกเขาหลงผิดด้วยการพูดถึงทฤษฎีฝ่ายวิญญาณเสียมากมาย  เจ้ารู้สึกว่าเจ้าสมควรมีคุณความดีที่ได้ผู้คนมาบางส่วนผ่านทางการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้ามีสิทธิ์ที่จะได้รับการชดเชยบางอย่างสำหรับความอุตสาหะของเจ้า  เจ้าไม่คิดว่าการขอเงินโดยตรงเป็นสิ่งดี ดังนั้นเจ้าจึงขอสิ่งของแทน เชื่อไปว่าแบบนี้ความอุตสาหะของเจ้าก็ไม่สูญเปล่า  นี่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ธรรมชาติในการกระทำของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปแล้ว  เจ้าเปลี่ยนการเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้กลายเป็นสิ่งใด?  เจ้าทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้ากลายเป็นเรื่องเชิงพาณิชย์ เอาไปแลกเป็นวัตถุสิ่งของเหล่านี้  นี่เป็นพฤติกรรมชนิดใด?  (ฉวยโอกาส)  นี่ใช่การฉวยโอกาสหรือ?  การเรียกว่าฉวยโอกาสลดทอนความร้ายแรงของเรื่องนี้หรือไม่?  แท้จริงแล้วนี่คือการทำชั่วมิใช่หรือ เป็นการประพฤติชั่วมิใช่หรือ?  (ใช่)  เหตุใดจึงถือว่าเป็นการประพฤติชั่ว?  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐคือการปฏิบัติหน้าที่และเป็นพยานให้พระเจ้า ขณะที่เจ้าเป็นพยานให้พระเจ้า พร้อมกันนั้นเจ้าก็นำข่าวประเสริฐไปมอบให้คนคนหนึ่งและพระเจ้าก็ทรงได้คนคนนั้นไว้ ด้วยเหตุนั้นเจ้าจึงทำภารกิจของตนเสร็จสมบูรณ์แล้ว  สิ่งใดก็ตามที่เจ้าควรได้รับจากการทำภารกิจของตนเสร็จสมบูรณ์ พระเจ้าย่อมจะประทานสิ่งนั้นแก่เจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากขอใคร และไม่มีใครมีเหตุผลที่จะบริจาคแลกกับข่าวประเสริฐนี้  ข่าวประเสริฐของพระเจ้าหาค่ามิได้ ไม่ว่าเงินจำนวนเท่าใดก็ซื้อข่าวประเสริฐไม่ได้ และไม่อาจนำไปแลกกับสิ่งใด  เมื่อเจ้าใช้การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นโอกาสที่จะได้ผลประโยชน์ทางวัตถุ เจ้าย่อมสูญเสียคำพยานของตน แนวทางนี้คือการหมิ่นประมาทและเป็นเครื่องหมายของการทำให้พระเจ้าเสื่อมเสีย  ยิ่งไปกว่านั้น การทำให้ผู้คนขอบคุณเจ้าหลังจากที่เจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขาย่อมมีธรรมชาติเป็นเช่นใด?  นี่คือการขโมยพระสิริของพระเจ้า!  ข่าวประเสริฐของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้าไม่ใช่ของซื้อของขาย  พระเจ้าประทานข่าวประเสริฐของพระองค์แก่มนุษย์โดยไม่คิดค่าตอบแทน เป็นสิ่งที่ไม่มีค่าใช้จ่ายและไม่มีธุรกรรมแลกเปลี่ยนเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด  กระนั้นผู้คนก็ยังทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้ากลายเป็นสินค้าไว้ขายให้แก่ผู้อื่น เรียกเงินและวัตถุสิ่งของจากพวกเขา  นี่ไร้ซึ่งคำพยานและทำให้พระนามของพระเจ้าเสื่อมเสีย  นี่คือการทำชั่วมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือการทำชั่วโดยแท้  นี่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่มีธรรมชาติที่ร้ายแรงกว่ากรณี “หัวคนกลายเป็นหัวหมู” ที่พวกเราเพิ่งพูดถึงไปใช่หรือไม่?  (ใช่)  ความร้ายแรงอยู่ตรงไหน?  (ตรงที่ทำให้พระเจ้าเสื่อมเสีย)  นี่คือการทำให้พระเจ้าเสื่อมเสีย เป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า และขโมยพระสิริของพระเจ้า  การเอาข่าวประเสริฐของพระเจ้าไปขายให้แก่ผู้คน เร่ขายให้แก่พวกเขาเหมือนเป็นสินค้าให้ซื้อหา แล้วจากนั้นก็ทำกำไรสูงลิ่ว พลางแสวงหาผลตอบแทนส่วนตัวจากข่าวประเสริฐ—สิ่งทรงสร้างชนิดไหนที่จะทำเช่นนี้?  นี่คือโจรผู้ร้ายและคนชั่ว ประพฤติตัวเยี่ยงเดียวกับซาตาน!  เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก และสรรพสิ่ง รวมทั้งมวลมนุษย์ กระนั้นซาตานและพวกวิญญาณชั่วก็ยังชักพาให้ผู้คนหลงผิดด้วยการบอกว่าพวกมันนั่นเองที่สร้างมนุษย์ ฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลกขึ้นมา ทำให้ผู้คนเคารพบูชาพวกมันเป็นพระเจ้าและพระผู้สร้าง  นี่คือการขโมยพระสิริของพระเจ้ามิใช่หรือ?  นี่คือบาป เป็นการกระทำที่ชั่ว นี่คือการต่อต้านพระเจ้า  การที่มนุษย์ขายข่าวประเสริฐนี้เหมือนพฤติกรรมของซาตานหรือไม่?  (เหมือน)  พวกเขามีจุดประสงค์อันใดจึงขายข่าวประเสริฐ?  เพื่อที่จะทำให้ผู้คนมองพวกเขาเป็นทูตแจ้งข่าวประเสริฐ ราวกับว่าข่าวประเสริฐก่อกำเนิดมาจากพวกเขาและพวกเขามีอำนาจตัดสินใจ  นี่คือการขโมยพระสิริของพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  การขโมยพระสิริของพระเจ้าคือการทำบาปชนิดใด?  นี่มีธรรมชาติเป็นเช่นใด?  นี่คือการทำชั่วโดยต่อต้านพระเจ้า เป็นพฤติกรรมที่หมิ่นประมาทพระเจ้า  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแบบนี้ยังคงนับเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราหรือไม่?  นี่คือการทำชั่วทั้งสิ้น เป็นการต่อต้านพระเจ้า  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแบบนี้ไม่ใช่การเป็นพยานให้พระเจ้าแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของตน เป็นการทำชั่วโดยแท้  บางคนกล่าวว่า “การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นงานหนักขนาดนั้น การได้ของดีๆ ไว้บ้างย่อมยุติธรรมแล้ว  เป็นเรื่องใหญ่โตตรงไหน?  ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ นี่ไม่นับเป็นเรื่องผิดอะไร”  ถ้อยแถลงนี้ถูกต้องหรือไม่?  ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีเจตนาเช่นใด เจ้าละโมบอยากได้สิ่งใด และธรรมชาติของสิ่งนั้นเป็นอย่างไร  ถ้าเจ้ากำลังทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน สิ่งที่เจ้ากำลังขายคือข่าวประเสริฐของพระเจ้า สิ่งที่เจ้ากำลังขายคือความจริง และสิ่งที่เจ้าจะได้ไว้ในที่สุดคือผลประโยชน์ของเจ้าเอง—เช่นนั้นก็เป็นการทำชั่วโดยแท้  เกินเหตุหรือไม่ที่ระบุว่านี่คือการประพฤติชั่ว?  (ไม่)  ไม่ได้เกินเหตุแม้แต่น้อย  เมื่อใครบางคนรับหน้าที่และนำไปดำเนินการ แต่แล้วกลับเกิดผลดังกล่าวขึ้นมา จะโทษใคร?  (ตัวเอง)  พวกเขาได้แต่โทษตัวเองเท่านั้น  แล้วผลเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  นี่สัมพันธ์โดยตรงกับธรรมชาติอันเลวของผู้คน  บางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ก็มีสำนึกละอายแก่ใจ มีลักษณะนิสัยเฉพาะตน และมีมโนธรรม ดังนั้นพวกเขาย่อมจะไม่ทำเรื่องดังกล่าว  ถ้าใครลงมือทำเรื่องดังกล่าว ก็แสดงให้เห็นว่าคนคนนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์ พวกเขาละโมบและมีอุปนิสัยที่ชั่วช้า  นี่ไม่เพียงทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีพอเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วยังทำให้การปฏิบัติหน้าที่กลายเป็นการทำชั่วอีกด้วย  บางคนกล่าวว่า “จะระบุว่านี่เป็นการทำชั่วได้อย่างไร?  พวกเขาสามารถได้ผู้คนมาบ้างผ่านทางการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เพียงข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามีผลลัพธ์ที่ชัดเจนนี้ ก็ควรลบล้างแนวคิดที่ว่าพวกเขาทำชั่วแล้ว จริงไหม?”  ถ้อยแถลงนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐคือหน้าที่ของพวกเขา เป็นความรับผิดชอบของพวกเขา  เจตนาและจุดประสงค์ที่พวกเขามีเบื้องหลังหน้าที่ของตนคืออะไร?  หลักธรรมที่พวกเขาใช้ชี้นำหน้าที่ของตนคืออะไร?  พวกเขารับผิดชอบการกระทำของตนหรือไม่?  เมื่อดูปัจจัยเหล่านี้แล้ว คนเราก็สามารถพิจารณาได้ว่าคนคนนี้ปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือว่าทำความชั่วอยู่  แม้พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนมาตลอด แต่จุดตั้งต้นในการลงมือปฏิบัติของพวกเขานั้นผิด พวกเขาไม่ได้กระทำการตามหลักธรรมและลงมือทำความชั่วไปมากมาย  ไม่มีการสำแดงให้เห็นว่าปฏิบัติความจริงแม้แต่น้อย  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแบบนี้มีแก่นแท้เป็นเช่นใด?  (เป็นการขายข่าวประเสริฐ)  ควรเรียกกรณีนี้ว่าอย่างไร?  กรณี “ขายข่าวประเสริฐ”  เพียงได้ยินชื่อนี้ พวกเจ้าก็รู้ว่าธรรมชาติของเรื่องนี้ร้ายแรงมาก  คนบางคนขายข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้อย่างไร?  ธรรมชาติของการขายข่าวประเสริฐนี้ร้ายแรงมาก  ดังนั้น ทุกครั้งที่เอ่ยถึงการขายข่าวประเสริฐ ผู้คนจึงควรรู้มิใช่หรือว่านี่เป็นเรื่องใด มีสภาวะ พฤติกรรม และวิธีการเช่นไร?  นี่คือกรณีที่สอง และธรรมชาติของกรณีนี้ก็ร้ายแรงกว่ากรณีก่อนหน้านี้

ต่อไปนี้ก็เป็นกรณีที่เกิดขึ้นระหว่างที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยเช่นกัน  ในอดีต พระนิเวศของพระเจ้าเคยวางหลักธรรมและวิธีการบางอย่างสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ซึ่งรวมวิธีการที่เกี่ยวข้องกับความเมตตาสงสารและการผูกมิตรเอาไว้ด้วย  นี่เปิดโอกาสให้บางคนหาช่องโหว่ไปใช้ประโยชน์  ผู้คนแบบใดที่เอาช่องโหว่เหล่านี้ไปใช้ประโยชน์?  ผู้คนที่มีธรรมชาติอันเลวและไม่รักความจริง  ระหว่างที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ แท้จริงแล้วมีคนเลวบางคนฉวยโอกาสนี้หาคู่รักและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเชิงชู้สาว  เมื่อเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น พวกเขาก็นึกว่ามีเหตุผลในการทำเช่นนั้น แต่ที่จริงแล้วนี่คือการที่คนเลวของซาตานหาประโยชน์จากช่องโหว่  เมื่อใช้โอกาสเผยแผ่ข่าวประเสริฐมาติดต่อเพศตรงข้าม พอคนเหล่านี้พบเจอคนที่เหมาะสมหรือน่าเลือก พวกเขาก็ทำทุกสิ่งที่ตนสามารถเพื่อหาโอกาสมีปฏิสัมพันธ์และล่อลวงคนเหล่านั้น  ดูภายนอกก็เหมือนเป็นไปเพื่อให้ได้ผู้คนผ่านทางการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แต่อันที่จริงกลับเป็นไปเพื่อสนองความกำหนัดส่วนตน  พวกเขาทำทั้งหมดนี้โดยอ้างการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ อ้างการแผ่ขยายพระราชกิจของพระเจ้า ชูธงว่ากำลังเป็นพยานให้พระเจ้าและอุทิศตนเพื่อพระเจ้า และชูธงอีกด้วยว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน  ไม่มีใครทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่เจตนา แท้จริงแล้วพวกเขารู้ตัวทุกอย่าง แต่ก็ยังดื้อรั้นแสร้งทำเป็นสับสน  แต่ละคนรู้อยู่แก่ใจเวลาทำสิ่งเหล่านี้ลงไปว่านี่เป็นบาป เป็นที่ชิงชังของพระเจ้า และพระเจ้าก็ไม่ทรงอนุญาตให้ทำ แต่พวกเขาก็ควบคุมความกำหนัดทางเนื้อหนังของตนไม่ได้ พยายามอย่างยิ่งที่จะแก้ตัวและสร้างความชอบธรรมให้กับบาปที่ตนก่อ  นี่ปกปิดปัญหาของพวกเขาได้หรือไม่?  ถ้าเจ้าทำบาปเช่นนั้นสักครั้งหรือสองครั้งแล้วกลับใจ พระเจ้าก็อาจจะยังทรงอภัยให้เจ้า แต่ถ้าเจ้ายืนกรานไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เจ้าย่อมมีภัย  บางคนอาจรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างทุกครั้งที่พวกเขาทำบาปเยี่ยงนั้น นึกสงสัยว่า “ถ้าฉันทำแบบนี้ ฉันจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?”  แต่แล้วพวกเขาก็คิดไปว่า “นี่ไม่ใช่ความชั่วร้ายแรงอะไร อย่างมากก็เป็นการเผยความเสื่อมทรามออกมาเท่านั้นเอง  ฉันจะไม่ทำอีก นี่จะไม่ส่งผลต่อจุดจบและบั้นปลายของฉัน”  ท่าทีต่อการกระทำผิดเช่นนี้ใช่ท่าทีของการกลับใจที่แท้จริงหรือไม่?  ถ้าหัวใจของพวกเขาไม่สำนึกเสียใจด้วยซ้ำ พวกเขาย่อมจะกลับมาทำผิดต่อไปมิใช่หรือ?  เราคิดว่านี่เสี่ยงมาก  คนแบบนี้จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีพอหรือไม่?  ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขายังคงมี “ปฏิบัติการส่วนตัว” เป็นองค์ประกอบ พวกเขาผสม “ส่วนรวมกับส่วนตัว” เข้าด้วยกันซึ่งเป็นการปลอมปนที่ร้ายแรงยิ่ง!  นี่ย่อมล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน  ไม่สามารถถือได้ว่าผู้คนเหล่านี้ “ดีพอ” ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน นี่ร้ายแรงกว่าการเอ่ยปากขอสิ่งของหรือขายข่าวประเสริฐ  ร้ายแรงกว่าอย่างไร?  มันน่าขยะแขยง เป็นการเอาเนื้อหนังและความกำหนัดมาแลก  ดังนั้น เรื่องนี้มีธรรมชาติเป็นเช่นไร?  เป็นการจงใจทำบาปทั้งที่รู้จักหนทางที่แท้จริง  คำว่า “จงใจ” นี้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติของเรื่อง  ที่จริงแล้ว พวกเขารู้ว่าข้อบังคับและหลักธรรมในการจัดแจงเตรียมงานมีการออกแบบมาเพื่อให้ผู้คนปฏิบัติด้วยปัญญาและเพื่อป้องกันไม่ให้ซาตานมีเครื่องต่อรองกับพวกเขา  จุดมุ่งหมายคือการนำผู้คนมาเบื้องหน้าพระเจ้า แต่พวกเขาก็หาประโยชน์จากช่องโหว่และฉวยโอกาสปลดปล่อยความกำหนัดอันเลวของตนกันอย่างเสรี นี่เรียกว่าทำบาปทั้งที่รู้  พระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไรในเรื่องนี้?  “เพราะถ้าเรายังจงใจทำบาปอยู่เรื่อยๆ หลังจากได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปเหลืออยู่เลย” (ฮีบรู 10:26)  ถ้าไม่มีแม้กระทั่งเครื่องบูชาลบล้างบาปที่เป็นกางเขนอีกต่อไป ผู้คนเหล่านี้จะยังคงมีความเชื่อมโยงอันใดกับความรอดอยู่หรือไม่?  นั่นขึ้นอยู่กับสถานการณ์  บางคนทำไปเพราะความจำเป็น หรือประณามตัวเองอยู่ในใจ แต่พวกเขาก็ถูกบีบให้ทำเช่นนั้นเพราะรูปการณ์ในเวลานั้น  ถ้ามีจำนวนครั้งไม่มากเกินไป ไม่เกินสามครั้ง ก็สามารถยกโทษให้พวกเขาได้  ที่ว่าสามารถยกโทษให้พวกเขาได้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเวลาทำความผิดครั้งแรก ถ้าพวกเขาสำนึกได้ สามารถแสวงหาความจริง แสดงสัญญาณของการสำนึกเสียใจให้เห็น และกลับตัวโดยไม่ทำความผิดอีก ถ้าทำทั้งหมดนี้พลางขอปฏิบัติหน้าที่ของตนไปด้วย ก็สามารถให้โอกาสพวกเขาชดใช้บาปได้  ในกรณีดังกล่าวยังคงมีหวังที่จะได้รับความรอด แต่จะมีหวังมากเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของแต่ละคน  ไม่มีใครสามารถตัดสินให้เจ้าได้อย่างแน่ชัด ไม่มีใครสามารถให้การรับรองอะไรแก่เจ้าได้ ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของตัวเจ้าเองเป็นสำคัญ  เราจะไม่ให้คำสัญญาแก่เจ้าด้วยการกล่าวว่าตราบใดที่เจ้าไม่ทำบาปนี้อีก เจ้าก็จะได้รับการช่วยให้รอดเป็นแน่ เราจะไม่สัญญาเช่นนั้นเพราะเราไม่รู้ว่าการปฏิบัติของเจ้าจะเป็นเช่นไรในอนาคต  ถ้าเจ้าทำเกินจำนวนครั้งที่สามารถยกโทษให้ได้ เจ้าไม่ยอมเปลี่ยนแปลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า และระหว่างที่ประกาศข่าวประเสริฐก็ไม่มีความประพฤติอันดีงามที่สามารถชดเชยการทำชั่วของเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็จบสิ้นทุกอย่าง  เจ้าทำความชั่วมากมายจนไม่เหลือความประพฤติอันดีงามแม้แต่น้อย เจ้าประกาศข่าวประเสริฐเพียงเพื่อที่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดโดยไม่ยั้งคิด ไม่ใช่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี—นี่ไม่เชื่อมโยงกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องของการมีหรือไม่มีเครื่องบูชาลบล้างบาปอีกต่อไปแล้ว  ควรจำแนกผู้คนเยี่ยงนี้ว่าเป็นสิ่งใด?  พวกเขาควรถูกจำแนกเป็นปีศาจสกปรกและวิญญาณชั่ว  ไม่ใช่มนุษย์ปกติ  พวกเขาไม่เพียงทำบาปเท่านั้น แต่ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกด้วย  พวกเขายังคงมีหวังที่จะได้รับความรอดหรือไม่?  ไม่มี  ผู้คนเยี่ยงนี้ถูกไล่ออกจากพระนิเวศของพระเจ้ามาโดยตลอด พวกเขาถูกตัดทิ้ง และพระเจ้าก็จะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  สิ่งที่พวกเขาทำและการประพฤติตัวของพวกเขาไม่เพียงไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถพิจารณาได้ด้วยซ้ำไปว่าเป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ  ผลสุดท้ายและจุดจบของผู้คนเยี่ยงนี้ย่อมจะกำหนดตามการจำแนกประเภทของพวกเขา  กรณีนี้น่าขยะแขยงมากมิใช่หรือ?  ธรรมชาติของกรณีนี้ร้ายแรงกว่ากรณีที่สองที่พวกเราเพิ่งเสวนากันไปด้วยซ้ำ  ในหมู่คนเยี่ยงนี้มีบ้างที่กรณีของพวกเขามีธรรมชาติร้ายแรงกว่านี้  พวกเขาสามารถกลับตัวได้หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถมีหัวใจที่สำนึกกลับใจ เลิกทำเรื่องดังกล่าว และยังคงลงแรงเผยแผ่ข่าวประเสริฐในพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือไม่?  มีผู้คนเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาจะสามารถออกแรงทำงานด้วยความเต็มใจหรือไม่?  (ไม่)  ที่จริงแล้ว คนเหล่านี้บางคนก็ได้ผู้คนมาบ้างระหว่างที่พวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  แต่ตอนนี้งานทั้งหมดที่พวกเขาทำมานี้นับเป็นอะไรได้?  นับเป็นการลงแรง ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของตน  แท้จริงแล้วผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ไร้ความพยายาม แต่เส้นทางที่พวกเขาเดินนั้นกำหนดชะตากรรมและจุดจบของพวกเขาเอาไว้แล้ว  นอกจากนี้ ในหมู่คนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ แต่ละคนย่อมจะเผชิญการทดลองดังกล่าวใช่หรือไม่?  กล่าวได้ว่าทุกคนย่อมจะเผชิญการทดลองจำพวกนี้ไม่มากก็น้อยในสถานการณ์ต่างๆ กัน แต่นั่นหมายความหรือไม่ว่าแต่ละคนจะยอมจำนนให้กับการทดลองและลงมือทำบาป?  (ไม่)  ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำบาปได้ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถลงมือทำเรื่องดังกล่าวได้—นี่กล่าวโทษคนที่ลงมือทำเรื่องจำพวกนี้ได้ และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงถูกเปิดเผย  นี่แสดงให้เห็นว่ามีสิ่งผิดปกติในอุปนิสัยและความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  พวกเขาจะโทษใครได้ที่มีจุดจบเช่นนั้น?  (ตัวเอง)  พวกเขาโทษได้แต่ตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ใครอื่น

บางคนไม่ว่าพวกเขาจะกระทำความผิดอันใดระหว่างที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ ก็ไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องเหล่านั้น ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้า และไม่เคยลงมือทบทวนตนเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาดื้อรั้นไม่ยอมกลับใจ  ในที่สุดผู้คนเหล่านี้จึงถูกกำจัดออกไป  เราเคยได้ยินเรื่องของคนที่ทำตัวเป็นเจ้าของผู้หญิงคนหนึ่งระหว่างเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และถึงกับไม่ยอมให้เธอมีคู่ครองและแต่งงาน ธรรมชาติของเรื่องนี้ร้ายแรงมาก  นี่เป็นคนจำพวกใด?  (คนชั่ว)  คนชั่วเยี่ยงนี้จะคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พระนิเวศของพระเจ้าไม่มีที่ว่างให้แก่เผด็จการเช่นนี้ พวกเขาทำให้พระเจ้าเสื่อมเสีย!  ด้วยการทำเรื่องดังกล่าว พวกเขาส่งผลต่อการรับรู้ที่ผู้คนนับไม่ถ้วนมีต่อพระเจ้าและเป็นเหตุให้ผู้คนมากมายเข้าใจพระองค์ผิด!  ผู้คนจะพูดกันว่า “คนที่เชื่อในพระเจ้าทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?”  นี่นำความเสื่อมเสียมาให้พระเจ้าแล้ว  ถ้าคริสตจักรไม่ขับไล่และจัดการคนพวกนี้ แต่กลับปล่อยให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อไปและมอบโอกาสให้พวกเขากลับใจ เช่นนั้นก็ผิดโดยสิ้นเชิง  คนคนนี้ไม่ได้ทำความผิดครั้งแรก พฤติกรรมของพวกเขามีธรรมชาติที่ร้ายแรงและพวกเขาก็ควรถูกขับไล่โดยตรง  มิฉะนั้นก็จะทำให้พระเจ้าเสื่อมเสียและทำให้ซาตานมีไพ่ในมือมาใช้ตัดสินและกล่าวโทษพระนิเวศของพระเจ้า  ดังนั้นจึงไม่อาจหยิบยื่นโอกาสให้ซาตานมีอำนาจต่อรองได้  คนที่ทำตัวเสเพลเป็นนิสัยต้องถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร  คนแบบนั้นเป็นพวกวิญญาณเสเพลที่ทำให้พระเจ้าเสื่อมเสียไปแล้ว และแน่นอนว่าพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  ไม่ว่าการประกาศข่าวประเสริฐของพวกเขาจะมีประสิทธิผลเพียงใดหรือพวกเขาจะได้ผู้คนมากี่คนแล้วก็ตาม ถ้าพวกเขาไม่เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาย่อมทำลายและทอดทิ้งตัวเองไปแล้ว  ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้คงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาคือเป้าหมายที่จะถูกตัดทิ้ง  แล้วการกระทำของพวกเขานับเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่?  ไม่ ในสายพระเนตรของพระเจ้า คุณความดีทั้งหมดที่พวกเขาทำไว้ย่อมถูกลบออกไปอย่างสิ้นเชิง และจะไม่เป็นที่จดจำของพระองค์  พวกเขาไม่เพียงไม่ดีพอเท่านั้น แต่ธรรมชาติในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขายังเปลี่ยนไปอีกด้วย และกลายเป็นการทำชั่วไปแล้ว  พระเจ้าทรงจัดการคนทำชั่วอย่างไร?  พระองค์ทรงตัดพวกเขาทิ้งไป  การถูกตัดทิ้งหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพวกเขาถูกตัดออกจากกลุ่มประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและเตรียมที่จะช่วยให้รอด—พวกเขาไม่อยู่ในกลุ่มนี้  พวกเขาถูกจัดให้เป็นพวกวิญญาณชั่วแทน เป็นปีศาจสกปรก และเป็นคนที่จะไม่ถูกช่วยให้รอด  โอกาสที่พวกเขาจะได้รับความรอดย่อมเป็นเช่นใด?  (เป็นศูนย์)  แม้พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้าเหมือนกันไม่มีผิด แต่ในท้ายที่สุดคนแบบนี้ย่อมมาถึงจุดนี้และถูกกำจัดออกไป  ดังนั้นเจ้าจงดูไว้เถิด นี่คือคนอีกแบบหนึ่งนั่นเอง  ธรรมชาติของกรณีนี้ร้ายแรงกว่ากรณีก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่ยิ่งร้ายแรงกว่า เพราะมีการเล็งเป้าหมาย  กรณีนี้ควรนำไปรวมไว้เป็นกรณีที่สาม จัดอยู่ในกลุ่มที่เป็นกรณีพิเศษในแบบฉบับของตัวอย่างที่สาม และมีการเล็งเป้าหมาย  ควรเรียกกรณีนี้ว่าอย่างไร?  “คนเลวย่อมจะถูกตัดทิ้ง” เอาตามนั้นก็แล้วกัน  สำหรับผู้คนสามแบบในสามกรณีนี้ โดยพื้นฐานแล้วการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานับเป็นการลงแรงที่ไร้ผล  การลงแรงที่ไร้ผลหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพวกเขาทำให้หน้าที่ของตนกลายเป็นเพียงการลงแรงเท่านั้น—และแม้จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ลงแรงให้ดีหรือปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกควร  พวกเขาไม่ได้ทำให้หน้าที่ของตนเป็นหน้าที่ ถึงกับทำความผิดและเรื่องชั่วต่างๆ และในที่สุดก็ถูกกำจัดออกไป ไม่ได้พบจุดจบที่ดี  ธรรมชาติของกรณีทั้งสามนี้ร้ายแรงมากทั้งสิ้น

มีอีกกรณีหนึ่ง และธรรมชาติของกรณีนี้ก็ร้ายแรงมากเช่นกัน  มีคนที่ปฏิบัติงานมานานหลายปี และดูภายนอกก็เหมือนไล่ตามเสาะหาความจริงและสละตนอย่างแท้จริง  เขาละทิ้งชีวิตสมรสและครอบครัว ทิ้งอาชีพการงานและโอกาสที่ตนจะประสบความสำเร็จไปปฏิบัติหน้าที่ของเขาตามสถานที่หลายแห่ง ทั้งยังรับงานบางอย่างไปทำซึ่งไม่ค่อยสำคัญอีกด้วย  แต่ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของเขาอยู่นั้น เขากลับเข้าใจความจริงไม่กี่อย่างเพราะแท้จริงแล้วเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง เขานึกว่าตนทำได้ดีแล้วเพียงเพราะเขากล่าววาจาและคำสอนได้บ้างเท่านั้น  สิ่งที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือคนคนนี้ไม่ปฏิบัติความจริงแต่อย่างใด  ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของเขาจึงเป็นเพียงการประกาศคำสอนบางอย่างและปฏิบัติตามข้อบังคับบ้างเท่านั้น มักจะประพฤติตนอย่างมีเมตตาต่อผู้อื่นและไม่ล่วงเกินใคร  ส่วนเรื่องที่ว่าจะปฏิบัติงานของคริสตจักรอย่างไรและยังคงมีปัญหาอะไรบ้าง เขาไม่ได้สนใจ ไม่ได้ใช้ความพยายาม และไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น  สรุปแล้ว ท่าทีที่เขามีต่องานจึงฉาบฉวยและดูดาย ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้อู้งาน แต่ก็ไม่ได้ทำสิ่งที่น่าเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน  ดูไม่เหมือนว่าเขากระทำการอย่างสุกเอาเผากิน แต่ผลงานของเขาก็ไม่ได้ดีเป็นพิเศษ  มีเหตุการณ์จำเพาะอยู่ครั้งหนึ่ง เนื่องจากเขาละเลยและมีท่าทีที่สุกเอาเผากิน เขาจึงทำให้ของที่ถวายพระเจ้าสูญหายถึง 10 กว่าล้านหยวน  10 กว่าล้านหยวนเป็นตัวเลขชนิดใด?  คนธรรมดาทั่วไปพอได้ยินจำนวนเงินนี้ย่อมจะมองว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก  พวกเขาจะอ้าปากค้างอย่างเหลือเชื่อและแทบไม่กล้าคิด ด้วยว่าไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนั้นในชีวิตของตน  แต่ “สุภาพบุรุษสูงวัย” คนนี้พอทำให้ของถวายสูญไป 10 กว่าล้านหยวน ก็ไม่ได้สำนึกเสียใจ ไม่มีวี่แววของการกลับใจ และไม่ทุกข์โศก  เมื่อคริสตจักรขับไล่เขาออกไป เขาก็ยังพร่ำบ่น  สิ่งทรงสร้างจำพวกใดที่จะทำเช่นนั้น?  พวกเรามาเสวนากันสักสองประเด็นเถิด  ประการแรก เงินก้อนนี้สูญหายขณะที่เจ้าทำงานอยู่ และไม่ว่าจะเป็นความผิดของใคร เจ้าก็คือผู้รับผิดชอบ  เจ้ารับผิดชอบปกป้องเงินนี้ แต่เจ้าก็ล้มเหลวที่จะทำเช่นนั้น  นี่คือการละทิ้งหน้าที่ เพราะนี่ไม่ใช่เงินของมนุษย์ นี่คือของถวาย และผู้คนก็ควรปฏิบัติต่อของถวายด้วยความจงรักภักดีสูงสุด  ถ้าของถวายเกิดการสูญหาย คนเราควรคิดอย่างไร?  แม้กระทั่งความตายก็ยังไม่พอให้ชดใช้!  ชีวิตคนมีค่าเป็นเงินเท่าใด?  ถ้ามีการสูญหายมากเกินไป แม้จะยอมชดใช้ด้วยชีวิตของตนก็ย่อมจะไม่เพียงพอ!  กุญแจสำคัญคือธรรมชาติของเรื่องนี้ร้ายแรงเกินไป  “สุภาพบุรุษสูงวัย” รายนี้ไม่ได้จริงจังกับการสูญของถวายมากมายขนาดนี้ คนคนนี้น่าชังเหลือเกิน!  สำหรับเขาแล้ว การสูญของถวายไป 10 กว่าล้านหยวนก็เหมือนการสูญเงินสัก 100 หยวน เขาไม่ได้รายงานให้เบื้องบนรู้แต่อย่างใด ไม่ได้สำนึกเสียใจในเรื่องนี้เลย และไม่ได้บอกคนรอบตัวว่า “พวกเรามาวิเคราะห์กันเถิดว่าเงินนี้สูญหายไปได้อย่างไรและควรทำอย่างไร  พวกเราควรชดใช้หรือควรหาหนทางแก้ไขอีกแบบ?  หรือบางทีพวกเราควรแจ้งเบื้องบน ยอมรับผิดชอบ ลาออก และอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อสารภาพบาปของตนกันไหม?”  เขาไม่มีท่าทีเช่นนี้ด้วยซ้ำ นี่น่าชังใช่หรือไม่?  (ใช่)  ทั้งหมดนี้น่าชังเหลือเกิน!  การที่เขาสามารถทำความชั่วร้ายแรงเยี่ยงนี้ได้ เผยให้เห็นท่าทีที่เขามีต่อหน้าที่ของตนและต่อพระเจ้า  ประการที่สอง หลังจากที่ถูกขับไล่ เขาไม่เพียงไม่ยอมรับ ไม่สารภาพบาปของตน และไม่กลับใจเท่านั้น แต่เขาถึงกับพร่ำบ่นอีกด้วย  คนเยี่ยงนี้เกินจะใช้เหตุผลด้วยแล้ว  จงนึกดูก็แล้วกันว่าเขาจะมีสิ่งใดให้บ่นได้บ้าง  เขาบ่นว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามา 20 กว่าปีแล้ว ไม่เคยแต่งงาน ยอมทิ้งไปมากมาย สู้ทนความทุกข์มากนัก และตอนนี้พวกเขากลับขับไล่ฉัน ปฏิเสธฉัน  ฉันจะไปหาสถานที่ของตัวเอง!”  ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็แต่งงาน  จงบอกเราเถิดว่าคนทั่วไป—คนที่มีมโนธรรมและความเป็นมนุษย์—ถ้าพวกเขามีสำนึกในมโนธรรมของตนสักนิด พวกเขาจะแต่งงานเร็วเช่นนั้นหรือไม่?  พวกเขาจะอยู่ในอารมณ์ที่จะทำเช่นนั้นหรือไม่?  โดยทั่วไปแล้ว คนที่มีมโนธรรมและความเป็นมนุษย์แม้เพียงเล็กน้อย เมื่อเผชิญปัญหาร้ายแรงเช่นนั้นย่อมคิดจะตายด้วยซ้ำ นึกไปว่า “ชีวิตของฉันจบสิ้นแล้ว หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามานาน 20 กว่าปี ฉันทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้อย่างไร?  ฉันได้แต่โทษตัวเองเท่านั้นและสมควรถูกขับไล่!  ลืมเงิน 10 ล้านไปได้เลย แม้แต่หนึ่งล้านฉันก็ชดใช้ไม่ไหว  ต่อให้เอาตัวฉันไปขาย ก็ยังชดใช้ไม่ไหว ชีวิตของฉันไม่ได้มีค่าเท่าใดเลย!”  ในเมื่อรู้ว่าจ่ายไม่ไหว เหตุใดเจ้าจึงทำอยู่ดี?  เจ้าไม่รู้หรือว่าเงินนั้นเป็นของถวายที่อุทิศให้พระเจ้า?  เงินนั้นไม่ใช่ของเจ้า ความรับผิดชอบของเจ้าคือการพิทักษ์รักษาเงินนั้น  นั่นไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้า นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องดูแลรักษาให้ปลอดภัย  เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และความไม่เอาใจใส่ของเจ้าก็คือการละทิ้งหน้าที่  เมื่อทำหายไปแล้ว ก็แน่นอนว่าเจ้าไม่อาจบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบได้  ในฐานะคนที่เชื่อในพระเจ้า เจ้าย่อมมีภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่จะรักษาของถวายเหล่านี้ให้ปลอดภัยและป้องกันเหตุร้ายใดๆ มิใช่หรือ?  เจ้าควรลดความเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องผิดพลาดให้น้อยที่สุดมิใช่หรือ?  ถ้าแค่นั้นเจ้ายังทำไม่ได้ เจ้าย่อมเป็นอะไร?  เป็นปีศาจที่มีลมหายใจมิใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นน่าขยะแขยงเป็นที่สุดและไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์!  ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ถูกขับไล่ไปแล้ว เขาไม่เพียงเลิกเชื่อในพระเจ้าและแต่งงานเท่านั้น แต่เขายังก่อกวนผู้เชื่อในครอบครัวของตนอีกด้วย—ธรรมชาติของเรื่องนี้ยิ่งร้ายแรงเข้าไปอีก  เขาปฏิบัติหน้าที่ของตนมาหลายปี ละทิ้งไปมากมาย พลีอุทิศไปมาก ทำงานไปหลายอย่าง เสี่ยงอันตราย และถูกจำคุก  แต่ปัจจัยภายนอกเหล่านี้ไม่ได้กำหนดชะตากรรมของคนเรา  สิ่งใดกำหนด?  เส้นทางที่คนเราเลือก  ถ้าเขาใช้เส้นทางที่เป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง เขาจะไม่ลงเอยเช่นนี้และจะไม่ทำให้พระนิเวศของพระเจ้าสูญของมากมายเช่นนี้  แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เกิดเหตุร้ายครั้งใหญ่เช่นนี้ขึ้น นี่สัมพันธ์โดยตรงกับคุณภาพความเป็นมนุษย์ของเขาและเส้นทางที่เขาเลือกเดิน  พวกเจ้าว่าพระเจ้าทรงตระหนักรู้เส้นทางที่เขาใช้หรือไม่?  (ทรงรู้)  พระเจ้าทรงรู้  ดังนั้น เหตุการณ์นี้หมายที่จะเผยตัวเขาหรือว่ากำจัดเขาออกไป?  ทั้งเผยตัวเขาและกำจัดเขาออกไป  ตามมุมมองของมนุษย์ ดูเหมือนเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี มีความจงรักภักดี มีการสละตน มีความเต็มใจที่จะยอมลำบาก และสามารถสู้ทนความทุกข์ยาก  แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงทำกับเขาเช่นนี้?  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเปิดเผยตัวเขา?  นี่หมายจะเผยสิ่งใด?  เป็นเพียงการเผยจุดจบของเขาใช่หรือไม่?  ไม่ใช่ นี่หมายที่จะเผยความเชื่อของเขา เผยความเป็นมนุษย์ของเขา เผยแก่นแท้และธรรมชาติของเขา—ทั้งหมดนี้ถูกตีแผ่ออกมาแล้วในคราวนี้  พระเจ้าจะยังทรงช่วยคนเช่นนี้ไหวหรือไม่?  พระเจ้าทรงมีความหวังในตัวเขาแม้สักน้อยหรือไม่?  แน่นอนว่าพระเจ้าไม่ทรงมีความหวังในตัวคนเยี่ยงนี้  พระเจ้ามีความรักหรือความกรุณาหลงเหลือให้แก่เขาหรือไม่?  ไม่เลย  บางคนอาจจะกล่าวว่า “ถ้าพระเจ้าไม่มีความรักหรือความกรุณาให้แก่เขา เช่นนั้นแล้วก็เหลืออยู่แต่ความชอบธรรม บารมี และพระพิโรธใช่หรือไม่?”  ถูกต้อง  คนชั่วแบบนั้นไม่ต้องการความรักหรือความกรุณาอีกต่อไป และนั่นก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะเขาล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างร้ายแรงไปแล้ว  สิ่งที่พระเจ้าทรงมีเหลือให้แก่เขามีแต่ความชอบธรรม บารมี และพระพิโรธ  จุดจบของเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า และแน่นอนว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า เขาจึงถูกกำจัดและถูกนำตัวออกไป  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าตอนนี้คนคนนี้จะอยู่ที่ใด ในสายพระเนตรของพระเจ้า เขาก็เป็นเพียงคนตายที่มีลมหายใจเท่านั้น เป็นซากศพเดินได้ที่อาศัยอยู่กับพวกปีศาจสกปรกและวิญญาณชั่ว ท่ามกลางพวกที่ใช้ใบหน้าของมนุษย์ แต่มีหัวใจของสัตว์เดรัจฉาน และเป็นสัตว์เดรัจฉานในคราบมนุษย์  เหล่านี้คือลักษณะของเขา และเขาก็ถูกตัดขาดจากสายพระเนตรของพระผู้สร้างไปแล้ว  เมื่อคำนึงถึงจุดจบของเขาและท่าทีท้ายสุดที่เขามีต่อเหตุการณ์ใหญ่โตที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขานี้ การปฏิบัติหน้าที่ของเขาตลอดเวลามานี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับคำว่า “ดีพอ” หรือไม่?  (ไม่มี)  เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าแม้กระทั่งก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น การปฏิบัติหน้าที่ของเขาก็ไม่ดีพอ?  นี่เกิดจากการตัดสินและคาดเดาเอาเอง หรือว่าเจ้าประเมินเช่นนี้ตามการสังเกตดูแก่นแท้ของเขา?  (ตามการสังเกตดูแก่นแท้ของเขา)  ถูกต้อง  จงดูเปาโลเป็นตัวอย่าง—ถ้าเขาไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้าเขาสามารถเสาะแสวงที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมได้เหมือนเปโตร เขาก็คงไม่กล่าวคำหมิ่นประมาทเยี่ยงนั้น  ทุกผลลัพธ์ย่อมมีเหตุ จุดจบที่คนคนนี้พบเจอจึงมีสาเหตุอยู่เบื้องหลัง  จากข้อเท็จจริงที่ว่าคนคนนี้สามารถมาถึงจุดนี้ได้ในวันนี้ และจากท่าทีที่เขามีต่อพระเจ้า ท่าทีที่เขามีต่อของถวาย และท่าทีที่เขามีต่อการทำชั่วของตนเอง นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาเดินอยู่บนเส้นทางแบบใดและความเชื่อที่เขามีในพระเจ้าแท้จริงแล้วเป็นเช่นใด  นี่เผยให้เห็นแก่นแท้ของเขาและเส้นทางที่เขาเดินอยู่อย่างหมดเปลือก  ถ้าเขาอยู่บนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง เส้นทางที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และถ้าเขาสามารถทำให้หน้าที่เป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเขาอย่างแท้จริง เขาย่อมจะรับมือสถานการณ์นี้อย่างไรตอนที่เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้?  เขาย่อมจะไม่มีท่าทีที่เขามีอยู่ในตอนนี้เป็นแน่—ท่าทีที่แข็งขืนและพร่ำบ่น  ด้านที่เป็นปีศาจของเขาถูกตีแผ่ออกมาแล้ว แก่นแท้ธรรมชาติที่อยู่ลึกภายในดวงจิตของเขาถูกเปิดโปงหมดสิ้นแล้ว  เขาไม่ใช่มนุษย์ เขาคือมารตนหนึ่ง  ถ้าเขาเป็นมนุษย์ หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามานาน 20 กว่าปี เขาย่อมจะไม่ลงเอยเช่นนี้  ถ้าเขาเป็นมนุษย์ เขาจะรู้สึกเสียใจมากขนาดไหนกับการที่ของถวายสูญหายไปมากขนาดนั้น?  เขาจะเสียน้ำตาไปมากมายเพียงใด?  เขาจะตัวสั่นขนาดไหน?  เขาย่อมจะรู้สึกรับผิดชอบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้และรู้สึกผิดที่ทำบาปร้ายแรง เชื่อไปว่าตนไม่อาจได้รับการอภัย และจะรู้สึกว่าเขาควรกลับใจและสารภาพบาปของตนต่อพระเจ้า  อย่างน้อยที่สุด ต่อให้คริสตจักรขับไล่เขาออกไป เขาก็จะไม่เลิกเชื่อ และไม่ทรยศพระเจ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการก่อกวนความเชื่อที่ครอบครัวของเขามีในพระเจ้า  พวกเรามองเห็นสิ่งใดจากพฤติกรรมสืบเนื่องต่างๆ ของคนคนนี้?  มองเห็นว่าเขาคือผู้ไม่เชื่อที่ไม่รักความจริง และความเป็นมนุษย์ของเขาก็มีเจตนาร้ายอยู่ด้วย  นี่คือกรณีที่สี่  พวกเราควรตั้งชื่อกรณีนี้ว่าอย่างไร?  (“กรณีสูญของถวายสิบล้าน”)  พวกเราควรเติมปฏิกิริยาของเขาเข้าไปด้วยและเรียกว่า “สูญของถวายสิบล้านโดยไร้วี่แววกลับใจ”  ชื่อนี้ไม่ดีกว่าหรือ?  ชื่อนี้ย่อมทำหน้าที่เตือนใจผู้อื่น อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ผู้คนตระหนักรู้ว่าการกระทำของเขาร้ายแรงตรงไหน

การเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ขึ้น พฤติกรรมต่างๆ ที่ผู้คนเหล่านี้แสดงออกมา รวมทั้งท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าหลังจากที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น ทั้งหมดเกิดขึ้นและถูกเปิดโปงระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน  เพราะฉะนั้น ในระดับหนึ่ง เส้นทางที่คนเราใช้ในการเชื่อในพระเจ้าและจุดจบของคนเราในท้ายที่สุดจึงสัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างมาก กล่าวได้ด้วยซ้ำไปว่าสัมพันธ์กันโดยตรง  หัวข้อเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ควรเป็นเรื่องที่พูดกันไม่รู้จบ และความจริงในแง่นี้ก็ควรเป็นเรื่องที่พูดกันไม่รู้จบเช่นกัน  นี่คือความจริงที่ผู้คนควรทำความเข้าใจในระดับพื้นฐานที่สุด และเป็นหัวข้อที่ควรเสวนากันอย่างต่อเนื่องระหว่างที่ผู้คนมีการเติบโตในชีวิตและเชื่อในพระเจ้า  เพราะนี่เชื่อมโยงกับความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของผู้คน การเข้าสู่ชีวิต ชนิดของเส้นทางที่พวกเขาเดิน และชนิดของจุดจบที่พวกเขามีในที่สุดอย่างแยกจากกันไม่ออก  วันนี้พวกเราสามัคคีธรรมกันอย่างกว้างขวางถึงการปฏิบัติหน้าที่ และสามัคคีธรรมถึงหลายๆ กรณีอีกด้วย  จุดประสงค์หลักที่ทำเช่นนี้ก็คือเพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจว่าควรปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไรจึงจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ถ้าเจ้าทำความชั่ว ผลที่ตามมาย่อมเป็นเช่นใด และเข้าใจความสำคัญของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้มาตรฐาน  เหตุการณ์ในกรณีเหล่านี้ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ และน่ากลัวยิ่งขึ้นทุกที แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราแต่งขึ้น  เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในหมู่คนที่เชื่อในพระเจ้าและในบรรดาคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่  นี่มีนัยสำคัญอันใด?  บางคนกล่าวว่า “ก็ถ้าพวกเราไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนย่อมไม่มีเรื่อง แต่พอพวกเราปฏิบัติหน้าที่ก็เกิดปัญหาอยู่เสมอ  ดังนั้น แค่พวกเราไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ไม่เป็นไรใช่ไหม?”  วิธีคิดแบบนี้เป็นเช่นไร?  นี่คือการเลิกกินเพราะกลัวสำลักมิใช่หรือ?  นี่โง่เขลาหรือไม่?  เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหาเหล่านี้ นี่คือท่าทีเชิงรุกและเป็นท่าทีชนิดที่คนปกติควรมี  ถ้าเจ้ากลัวว่าปัญหาจะเกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตน ซึ่งจะพาให้ถูกกล่าวโทษ ถูกขับไล่ ถูกกำจัด หรือถูกตัดออกไป แล้วในที่สุดก็สูญสิ้นความหวังที่จะได้รับความรอด และเจ้าก็เลิกปฏิบัติหน้าที่ของตนเสียเฉยๆ หรือใช้แนวทางที่เป็นลบและเป็นอริกับหน้าที่ นั่นย่อมเป็นท่าทีเช่นใด?  (ท่าทีที่ไม่ดี)  คนอื่นก็มีบ้างที่กล่าวว่า “พวกเราด้อยความเป็นมนุษย์เกินจะปฏิบัติหน้าที่ได้ ดังนั้นทำไมพวกเราถึงไม่ออกแรงทำงานอย่างเป็นสุขก็พอ?  พระเจ้าไม่ทรงมีข้อกำหนดสูงส่งต่อคนออกแรงทำงาน และไม่มีมาตรฐานหรือหลักธรรมใดๆ—เพียงมานะพยายามก็พอ  ทำทุกสิ่งที่ขอให้ทำ เชื่อฟัง ไม่รับผิดชอบสิ่งใดที่สำคัญ และไม่มีความทะเยอทะยานอันใดที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน  แค่สามารถคงอยู่ไปจนถึงปลายทางก็ย่อมจะเป็นพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว”  แรงจูงใจเหล่านี้เป็นเช่นใด?  ออกจะต่ำช้าและเลวทรามมิใช่หรือ?  คนที่ไม่ทะเยอทะยานเยี่ยงนั้นสามารถได้รับความรอดจากพระเจ้าหรือไม่?  คนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์จะสามารถออกแรงทำงานได้ดีพอหรือไม่?  คนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ย่อมไม่สามารถออกแรงทำงานได้ดีพอ พวกเขาจะไม่กลายเป็นคนออกแรงทำงานที่จงรักภักดีและได้อยู่ต่อ

ตัวอย่างที่เอ่ยถึงในสามัคคีธรรมสองสามครั้งที่ผ่านมานี้มีจำนวนค่อนข้างสูง  เหตุการณ์เหล่านี้จดจำได้ง่าย แต่ความจริงที่เราสามัคคีธรรมไปนั้นเข้าใจยาก  อย่างไรก็ดี นี่ก็มีประโยชน์อยู่อย่างหนึ่งคือ ด้วยการเสวนาถึงเหตุการณ์เหล่านี้ พวกเจ้าก็อาจหวนนึกถึงหรือมาเข้าใจความจริงที่เกี่ยวข้องได้บ้าง  ถ้าพวกเราไม่พูดถึงกรณีเหล่านี้ การสัมฤทธิ์ผลแบบนี้ก็น่าจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้น  การเสวนาถึงกรณีเหล่านี้จึงทำหน้าที่เป็นทั้งแรงกระตุ้นและการเตือนใจ ช่วยให้ผู้คนค้นพบเส้นทางที่ถูกต้องภายในตัวพวกเขาเอง  นี่ชี้นำให้เจ้ารู้ว่าควรเดินไปบนทางเส้นใดในความเชื่อของเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดกฎการปกครองของพระเจ้า ทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ หรือเลือกทางผิด  จุดหมายสำคัญก็คือช่วยให้ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีพอ  หลังจากที่ได้ฟังสี่กรณีนี้แล้ว พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?  เกิดความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอหรือไม่?  ง่ายหรือไม่ที่ผู้คนจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ?  (ไม่ง่าย)  ตรงไหนที่ยาก?  เพราะผู้คนไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถค้นพบหลักธรรม ดังนั้นจึงผิดพลาดอยู่ร่ำไปใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วความยากอยู่ตรงไหน?  อยู่ตรงนี้คือผู้คนไม่รักความจริง และไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ถ้าผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ปฏิบัติความจริง เมื่อผนวกกับอุปนิสัยที่โหดเหี้ยม เลว และโอหังของตน ก็สามารถนำไปสู่ผลสืบเนื่องบางอย่างได้ง่ายและก่อให้เกิดจุดจบที่ผู้คนคาดไม่ถึงหรือไม่อยากเห็น  มีหรือไม่คนที่คาดหวังให้ตนเองมีจุดจบที่ไม่ดี?  (ไม่มี)  มีหรือไม่คนที่หวังแต่จุดจบอันต่ำต้อย คิดไปว่าตราบใดที่ตนพออยู่ได้ไปจนถึงปลายทางโดยไม่ตายเสียก่อนก็ดีแล้ว?  (มี)  นี่เป็นคนประเภทใด?  เป็นผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เอาแต่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปจนตาย  สำหรับผู้คนเยี่ยงนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาย่อมไม่แคล้วที่จะสุกเอาเผากินทั้งสิ้น พวกเขาจึงผิดพลาดหรือทำบาปโดยง่าย และยากมากที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐาน  ผู้คนประเภทใดที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามมาตรฐาน?  (คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง)  มีใครอีก?  (ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์)  ความเป็นมนุษย์ประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง?  (มโนธรรมและเหตุผล)  คนที่มีมโนธรรมและเหตุผล มีความเป็นมนุษย์ ถ้าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงก็จะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามมาตรฐานโดยง่าย  บางคนกล่าวว่า “พระองค์ตรัสเล่าอยู่เรื่อยถึงตัวอย่างร้ายแรงที่เป็นลบของผู้คนที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีพอ ซึ่งทำให้พวกเราเสียความมั่นใจ  เมื่อใดพวกเราถึงจะมีวันทำได้ตามมาตรฐานของการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ?  มีตัวอย่างที่เป็นบวกในเรื่องนี้หรือไม่?”  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็มาเสวนาถึงสิ่งที่จรรโลงใจและเป็นบวกมากขึ้นกันเถิด  ปัจจุบันนี้ผู้คนมากมายเริ่มมุ่งเน้นการไล่ตามเสาะหาความจริง และเริ่มขยันมากขึ้นเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกด้วย  ตัวอย่างเช่น บางคนเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตนก็สามารถร่วมมือกับผู้อื่นได้อย่างกลมเกลียว  การร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวหมายความว่าอย่างไร?  ลักษณะอย่างหนึ่งที่สำแดงให้เห็นก็คือ ไม่เพียงทุกคนไปกันได้ดีเมื่อดูจากภายนอก ไร้ซึ่งความขัดแย้งหรือกลอุบายเท่านั้น  การร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวหมายความว่าเวลาเผชิญปัญหาต่างๆ ในงาน—ไม่ว่าเจ้าจะมีความเข้าใจเชิงลึกในปัญหาเหล่านั้นหรือไม่ ไม่ว่ามุมมองของเจ้าจะถูกต้องหรือไม่—เจ้าก็ยังสามารถหารือและสามัคคีธรรมกับผู้อื่นได้ แสวงหาหลักธรรมความจริง แล้วจากนั้นก็ลงมติร่วมกันได้  นั่นคือการร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว  การลงมติมีจุดประสงค์อันใด?  เพื่อที่จะลุล่วงหน้าที่ของตนให้ดียิ่งขึ้น ทำงานของคริสตจักรให้ดีขึ้น และสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าได้  ถ้าเจ้าอยากให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าบรรลุเป้าหมาย เช่นนั้นแล้วระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็ต้องสัมฤทธิ์การให้ความร่วมมืออย่างกลมเกลียวเสียก่อน  ปัจจุบันนี้มีบางคนที่มีแนวปฏิบัติเป็นการให้ความร่วมมืออย่างกลมเกลียวอยู่แล้ว  หลังจากเข้าใจความจริง แม้พวกเขาจะไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ครบถ้วน และแม้จะมีความล้มเหลว ความอ่อนแอ และความเบี่ยงเบนในระหว่างนั้น พวกเขาก็ยังคงพากเพียรไปสู่หลักธรรมความจริง  ดังนั้น พวกเขาจึงมีหวังที่จะสัมฤทธิ์การร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว  ตัวอย่างเช่น บางครั้งเจ้าอาจคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำอยู่นั้นถูกต้อง แต่เจ้าก็สามารถที่จะคิดว่าตนเองไม่ได้ถูกเสมอไป  เจ้าจึงสามารถหารือกับผู้อื่นและสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริงด้วยกันจนหลักธรรมความจริงเหล่านั้นชัดเจนและเป็นที่ประจักษ์ได้ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจ และเห็นพ้องต้องกันว่าการทำเช่นนี้ย่อมจะสัมฤทธิ์ผลที่ดีที่สุด  นอกจากนี้ก็เห็นพ้องกันว่าการทำเช่นนี้ไม่ได้ก้าวออกนอกหลักธรรม เป็นการคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และจะปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมเป็นไปตามหลักธรรมความจริง  แม้ผลสุดท้ายจะไม่เป็นอย่างที่เจ้านึกภาพเอาไว้เสมอไป แต่เส้นทาง ทิศทาง และจุดหมายในการปฏิบัติของเจ้าย่อมถูกต้อง  แล้วพระเจ้าทอดพระเนตรมองว่าอย่างไร?  พระเจ้าย่อมตรัสถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  พระเจ้าย่อมจะตรัสว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้นดีพอ  การทำได้ดีพอหมายความหรือไม่ว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า?  ไม่ได้หมายความเช่นนั้น  การทำได้ดีพอยังคงห่างไกลจากการสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า ได้รับการยืนยันจากพระเจ้า และปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าทุกประการ  การทำได้ดีพอเพียงแต่หมายความว่าเจ้าอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง เจตนาของเจ้านั้นถูกต้อง และทิศทางของเจ้าก็ถูกต้อง แต่เจ้ายังไปไม่ถึงมาตรฐานอันสูงส่งของการกระทำตามหลักธรรมความจริงดังที่พระเจ้าทรงประสงค์  ยกตัวอย่างเรื่องการนบนอบ สมมุติว่าพระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมให้เจ้าทำบางสิ่งระหว่างที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่  เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า?  ตอนที่เจ้าได้ฟังเรื่องงานเป็นครั้งแรก เจ้าอาจมีความคิดเห็นบางอย่าง  แต่หลังจากพิจารณาไปบ้างแล้ว เจ้าย่อมคิดว่า “พระเจ้าตรัสไว้ว่าพวกเราควรเรียนรู้ที่จะแสวงหาและนบนอบในเรื่องที่พวกเราไม่เข้าใจ  ดังนั้นฉันก็ต้องแสวงหา  แม้ฉันจะไม่เข้าใจความจริงหรือรู้ว่าตนเองควรปฏิบัติอย่างไร แต่งานก็ตกมาถึงฉันแล้ว ดังนั้นฉันก็ต้องทำตามและนบนอบ  ต่อให้เป็นเพียงการปฏิบัติตามข้อบังคับ ฉันก็ควรทำตามไปก่อน”  ถ้าเจ้าสามารถปฏิบัติดังนี้ เช่นนั้นเจ้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว  แต่มีระยะห่างระหว่างการบรรลุเป้าหมายนี้กับการได้รับการยืนยันจากพระเจ้าหรือไม่?  (มี)  ระยะห่างนี้มีระดับการเข้าใจความจริงของเจ้าเป็นเครื่องกำหนด  แม้เจ้าจะสามารถนบนอบ แต่เจ้าก็ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและไม่ได้ระบุหลักธรรมความจริงออกมาหรือนำไปปฏิบัติให้ครบถ้วน เจ้าเพียงแต่ยึดปฏิบัติตามข้อบังคับเท่านั้น  เจ้ายึดปฏิบัติตามเรื่องพื้นฐานที่คนเราควรทำ ตามมาตรฐานที่เป็นมโนธรรมและข้อบังคับ ดังนั้นในแง่ของการลงมือทำจึงไม่มีปัญหา และในแง่ธรรมชาติของการกระทำของเจ้าก็ไม่มีสิ่งใดผิด  อย่างไรก็ดี นี่ไม่ได้มาตรฐานของการปฏิบัติความจริง เจ้ายังคงไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เจ้าเพียงทำตามปฏิกิริยาที่จะค้ำชูหน้าที่ของตนโดยดีเท่านั้น ไม่ได้ลุล่วงหน้าที่อย่างถูกควรตามหลักธรรมความจริง  เจ้ายังไปไม่ถึงระดับที่จะสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าหรือสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้  เจ้ายังไปไม่ถึงมาตรฐานของการเป็นพยาน  เพราะฉะนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในลักษณะนี้จึงดีพอเท่านั้น และยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า

มาตรฐานที่ใช้พิจารณาว่าคนเราปฏิบัติหน้าที่ของตนดีพอหรือไม่คืออะไร?  ถ้าเส้นทางในการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรานั้นถูกต้อง ทิศทางย่อมถูกต้อง และเจตนาก็ย่อมถูกต้อง ถ้าที่มาถูกต้องและหลักธรรมก็ถูกต้อง—ถ้าแง่มุมเหล่านี้ถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว หน้าที่ที่คนเราปฏิบัติมาโดยตลอดย่อมดีพอ  ผู้คนมากมายเข้าใจเรื่องนี้ในทางทฤษฎี แต่กลับสับสนเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับตนเข้าจริงๆ  สรุปแล้ว เราจะบอกหลักธรรมข้อหนึ่งแก่พวกเจ้าว่า เวลาเผชิญสถานการณ์ต่างๆ จงอย่ากระทำการตามอำเภอใจอยู่ฝ่ายเดียว  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถกระทำตามอำเภอใจอยู่ฝ่ายเดียว?  สาเหตุหนึ่งคือการกระทำในลักษณะดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักธรรมของการปฏิบัติหน้าที่  อีกสาเหตุหนึ่ง หน้าที่ไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้าเอง เจ้าไม่ได้กำลังทำหน้าที่นั้นเพื่อตัวเจ้าเอง เจ้าไม่ได้กำลังประกอบการบริหารจัดการของเจ้าเอง นั่นไม่ใช่ธุรกิจส่วนตัวของเจ้าเอง  ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าทำสิ่งใด เจ้าไม่ได้กำลังทำงานอยู่ในการประกอบการของเจ้าเอง นั่นเป็นงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า นั่นเป็นพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าต้องจดจำความรู้และการตระหนักรู้นี้ไว้ในจิตใจเป็นนิตย์และพูดว่า “นี่ไม่ใช่กิจการของฉันเอง ฉันกำลังทำหน้าที่ของฉันและทำให้ความรับผิดชอบของฉันลุล่วง  ฉันกำลังทำงานของคริสตจักร  นี่คือกิจที่พระเจ้าวางพระทัยมอบหมายให้ฉันและฉันกำลังทำภารกิจนั้นเพื่อพระองค์  นี่คือหน้าที่ของฉัน ไม่ใช่กิจส่วนตัวของฉันเอง”  นี่คือสิ่งแรกที่ผู้คนควรเข้าใจ  หากเจ้าทำเหมือนหน้าที่คือกิจธุระส่วนตัวของเจ้า และไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงเมื่อเจ้าลงมือกระทำการ และทำหน้าที่ตามสิ่งจูงใจ ทรรศนะ และเจตนาซ่อนเร้นของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่แคล้วที่จะทำความผิดพลาด  แล้วเจ้าควรกระทำการอย่างไรหากเจ้าจำแนกความต่างระหว่างหน้าที่ของเจ้าและกิจธุระส่วนตัวของเจ้าได้อย่างชัดเจน และตระหนักว่านี่คือหน้าที่?  (แสวงหาสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ และแสวงหาหลักธรรม)  ถูกต้อง  หากมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าและเจ้าไม่เข้าใจความจริง และเจ้ามีแนวคิดบางอย่างแต่สิ่งทั้งหลายยังคงไม่ชัดเจนสำหรับเจ้า เช่นนั้นเจ้าต้องค้นหาพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริงเพื่อสามัคคีธรรมด้วย นี่คือการแสวงหาความจริง และเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือท่าทีที่เจ้าควรมีต่อหน้าที่ของตน  เจ้าไม่ควรตัดสินสิ่งต่างๆ บนพื้นฐานของสิ่งที่เจ้าคิดว่าถูกต้องเหมาะสม จากนั้นก็ทุบโต๊ะและพูดว่าเอาตามนั้น—นี่ย่อมนำไปสู่ปัญหาได้โดยง่าย  หน้าที่ไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก เรื่องทั้งหลายในพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของใคร  ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ เช่นนั้นนั่นย่อมไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของเจ้า ไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้า—นั่นเกี่ยวข้องกับความจริง และเกี่ยวข้องกับหลักธรรม  แล้วอะไรคือสิ่งแรกที่พวกเจ้าควรทำ?  เจ้าควรแสวงหาความจริง และแสวงหาหลักธรรม  และหากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าต้องแสวงหาหลักธรรมเป็นอันดับแรก หากเจ้าเข้าใจความจริงแล้ว การระบุหลักธรรมย่อมจะเป็นเรื่องง่าย  เจ้าควรทำอย่างไรหากเจ้าไม่เข้าใจหลักธรรม?  มีหนทางหนึ่ง กล่าวคือ เจ้าสามารถสามัคคีธรรมกับบรรดาผู้ที่มีความเข้าใจ  จงอย่าทึกทักเอาว่าเจ้าเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างเสมอและเจ้าถูกต้องตลอดเวลา นี่เป็นหนทางที่จะทำผิดพลาดได้ง่าย  เวลาที่เจ้าต้องการเป็นคนฟันธงเสมอนั้นเป็นอุปนิสัยแบบใด?  นี่คือความโอหังและความคิดว่าตนถูก เป็นการกระทำตามอำเภอใจและโดยฝ่ายเดียว  บางคนคิดว่า “ฉันได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ฉันได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีกว่าพวกคุณ ฉันมีความสามารถในการทำความเข้าใจ พวกคุณล้วนมีวุฒิภาวะน้อยและไม่เข้าใจความจริง ดังนั้นคุณควรรับฟังอะไรก็ตามที่ฉันพูด  ฉันสามารถตัดสินใจได้เพียงคนเดียว!”  ทรรศนะเช่นนี้เป็นอย่างไร?  หากเจ้ามีทรรศนะแบบนี้ เจ้าจะประสบปัญหา เจ้าจะไม่มีวันปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้เลย  เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไรในเมื่อเจ้าต้องการเป็นคนตัดสินชี้ขาดโดยปราศจากความร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวอยู่ตลอดเวลา?  การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีในหนทางนี้จะไม่เป็นไปตามมาตรฐานอย่างแน่นอน  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เจ้าต้องการตีกรอบผู้อื่นและทำให้พวกเขารับฟังเจ้าเสมอ เจ้าไม่คำนึงถึงสิ่งใดก็ตามที่คนอื่นพูด  นี่เป็นเรื่องของความลำเอียงและความดื้อดึง และยังเป็นความโอหังและความคิดว่าตนถูกด้วย  ในหนทางนี้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีเท่านั้น แต่เจ้ายังจะขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีอีกด้วย  นี่คือผลสืบเนื่องของอุปนิสัยอันโอหัง  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงกำหนดให้ผู้คนร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว?  ในแง่มุมหนึ่ง นั่นเป็นประโยชน์ต่อการเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเอื้ออำนวยให้พวกเขารู้จักตัวเองและทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน—นี่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  ในอีกแง่มุมหนึ่ง ความร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวยังเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรอีกด้วย  เนื่องจากทุกคนขาดพร่องความเข้าใจความจริงและมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หากไม่สามารถมีความร่วมมืออย่างกลมเกลียวได้ เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร  ผลที่ตามมาจากเรื่องนี้รุนแรงนัก  สรุปก็คือ เพื่อสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ คนเราต้องเรียนรู้ที่จะร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวและสามัคคีธรรมความจริงเพื่อค้นหาวิธีแก้ปัญหาเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย  เรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่ง—นี่เป็นประโยชน์ไม่เพียงต่องานของคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรด้วย  บางคนไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้จริงๆ พวกเขาคิดเสมอว่าความร่วมมืออย่างกลมเกลียวเป็นปัญหามากเกินไป และบางครั้งการสามัคคีธรรมความจริงก็ไม่เกิดผลลัพธ์ได้โดยง่าย  จากนั้นคนเหล่านี้ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาโดยกล่าวว่า “จำเป็นจริงๆ หรือที่จะต้องร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวเพื่อสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ?  เมื่อเผชิญกับสถานการณ์บางอย่าง การสามัคคีธรรมร่วมกันของทุกคนจะทำให้เกิดผลลัพธ์อย่างแน่นอนหรือไม่?  ฉันคิดว่านี่เป็นแค่การทำอย่างขอไปทีทั้งสิ้น การปฏิบัติตามข้อบังคับเหล่านี้ไร้ประโยชน์”  ทรรศนะนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ทรรศนะนี้เปิดโปงปัญหาใด?  (ท่าทีที่พวกเขามีต่อการปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นปัญหา)  บางคนมีอุปนิสัยอันโอหังและคิดว่าตนถูก พวกเขาไม่เต็มใจที่จะสามัคคีธรรมความจริงและต้องการเป็นคนตัดสินชี้ขาดเสมอ  ใครบางคนที่โอหังและคิดว่าตนถูกเช่นนั้นสามารถร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียวได้หรือไม่?  พระเจ้าประสงค์ให้ผู้คนร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ช่วยให้พวกเขาเรียนรู้การนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตน และทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ  การปฏิเสธที่จะร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียวและต้องการปฏิบัติตนตามอำเภอใจและโดยฝ่ายเดียว ทำให้ทุกคนรับฟังเจ้า—นี่ใช่ท่าทีที่เจ้าควรมีต่อหน้าที่ของตนหรือไม่?  ท่าทีที่เจ้ามีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า  พระเจ้าไม่สนพระทัยว่าในแต่ละวันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า หรือเจ้าทำงานมากเพียงใด เจ้าทุ่มเทพยายามมากแค่ไหน—สิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรคือท่าทีของเจ้าต่อสิ่งเหล่านี้เป็นเช่นไร  แล้วท่าทีที่เจ้ามีในการทำสิ่งเหล่านี้ กับหนทางที่เจ้าทำสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใด?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ อีกทั้งเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าด้วย  พระเจ้าทอดพระเนตรการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรเส้นทางที่เจ้าเดิน  หากเจ้าเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้ามีการเข้าสู่ชีวิต เจ้าจะสามารถร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวกับผู้อื่นในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน และเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่ดีพออย่างง่ายดาย  แต่หากขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนเจ้าเน้นย้ำตลอดเวลาว่าเจ้ามีทุน ว่าเจ้าเข้าใจสายงานของตนเอง ว่าเจ้ามีประสบการณ์ คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่าใคร จากนั้นหากเจ้าคิดว่าเพราะสิ่งเหล่านี้ เจ้าจึงมีคุณสมบัติที่จะตัดสินชี้ขาด และเจ้าไม่พูดคุยหารือเรื่องใดกับใครทั้งสิ้น ทั้งยังทำตามอำเภอใจตนเองอยู่เสมอ มีส่วนในการบริหารจัดการของตนเอง และต้องการเป็น “ดอกไม้ดอกเดียวที่เบ่งบาน” อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าเดินอยู่บนเส้นทางของการเข้าสู่ชีวิตใช่หรือไม่?  ไม่ใช่—นี่คือการไล่ตามไขว่คว้าสถานะ เป็นการเดินบนเส้นทางของเปาโล นี่ไม่ใช่เส้นทางของการเข้าสู่ชีวิต  หนทางที่พระเจ้าทรงใช้ทำให้ผู้คนเดินไปตามเส้นทางของการเข้าสู่ชีวิตและเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมดังกล่าวหรือสำแดงสิ่งเหล่านี้ให้เห็น  มาตรฐานของการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอเป็นเช่นใด?  (แสวงหาความจริงในทุกสิ่ง สามารถกระทำการตามหลักธรรม)  ถูกต้อง  การที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างเพียงพอนั้น ไม่สำคัญว่าเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ไปมากเพียงใดแล้ว อีกทั้งเจ้าได้ทำคุณูปการต่อพระนิเวศของพระเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว นับประสาอะไรที่จะสำคัญหรือไม่ว่าเจ้าได้รับประสบการณ์ในหน้าที่ของเจ้าอย่างไร  สิ่งหลักที่พระเจ้าทอดพระเนตรก็คือเส้นทางที่บุคคลหนึ่งใช้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ทอดพระเนตรท่าทีของคนเราที่มีต่อความจริงและหลักการ ทิศทาง ต้นกำเนิด และจุดเริ่มต้นเบื้องหลังการกระทำของคนเรา  พระเจ้าทรงมุ่งเน้นที่สิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่กำหนดพิจารณาเส้นทางที่เจ้าเดิน  หากในกระบวนการที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ในตัวเจ้าเลย และหลักธรรม  เส้นทาง และหลักพื้นฐานแห่งการกระทำของเจ้าคือความคิด จุดมุ่งหมาย และกลอุบายของเจ้าเอง จุดเริ่มต้นของเจ้าคือเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าเองและพิทักษ์ชื่อเสียงและตำแหน่งของเจ้า วิธีการทำงานของเจ้าคือการตัดสินใจและกระทำการตามลำพังและมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย ไม่เคยหารือสิ่งทั้งหลายกับผู้อื่นหรือให้ความร่วมมืออย่างปรองดอง และไม่เคยรับฟังคำแนะนำเมื่อเจ้าทำผิดพลาด นับประสาอะไรกับการแสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะทรงมองดูเจ้าอย่างไร?  เจ้ายังไม่ได้มาตรฐานหากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเช่นนั้น และเจ้าไม่ได้ก้าวเท้าไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง เพราะในขณะที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้านั้น เจ้าไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงและกระทำการตามที่เจ้าปรารถนาอยู่เสมอ ทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าชอบ  นี่คือเหตุผลที่ผู้คนส่วนใหญ่มิได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างพอเพียง  แล้วควรแก้ปัญหานี้อย่างไร?  เจ้าจะกล่าวหรือไม่ว่าเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเพียงพอ?  โดยแท้จริงแล้ว ไม่ยากเลย ผู้คนเพียงแค่ต้องมีความสามารถที่จะแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ครองสำนึกรับรู้นิดหน่อย และนำตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมมาใช้  ไม่สำคัญว่าเจ้ามีการศึกษาขนาดไหน เจ้าได้ชนะรางวัลอะไรมา หรือเจ้าได้สัมฤทธิผลอะไรบ้างแล้ว และไม่สำคัญว่าสถานะและอันดับยศของเจ้าอาจจะสูงเพียงใด เจ้าต้องปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไป เจ้าต้องลงจากหลังม้า—ทั้งหมดนี้ไม่มีความหมาย  ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าความรุ่งโรจน์เหล่านั้นจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านั้นไม่อาจสูงกว่าความจริงได้ เพราะสิ่งฉาบฉวยเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง และไม่อาจแทนที่ความจริงได้  เจ้าต้องมีความกระจ่างในประเด็นปัญหานี้  หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันมีพรสวรรค์อย่างยิ่ง ฉันมีความคิดที่หลักแหลมมาก ฉันมีการโต้ตอบรวดเร็ว ฉันเป็นคนเรียนรู้ไว และฉันมีความจำดีเหลือเกิน ดังนั้นฉันจึงมีคุณสมบัติที่จะตัดสินชี้ขาด” ถ้าเจ้าใช้สิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนอยู่เสมอ มองว่าเป็นสิ่งล้ำค่าถึงเพียงนั้น และเป็นบวกปานนั้น เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นปัญหา  ถ้าหัวใจของเจ้าถูกสิ่งเหล่านี้ยึดครอง ถ้าสิ่งเหล่านี้หยั่งรากอยู่ในหัวใจของเจ้า ก็ยากที่เจ้าจะยอมรับความจริง—และผลที่ตามมานั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่านึกถึง  ด้วยเหตุนั้นเจ้าจึงต้องวางและปฏิเสธสิ่งทั้งหลายที่เจ้ารักนี้เสียก่อน สิ่งที่ดูเหมือนดี และเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสำหรับเจ้า  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง แต่กลับปิดกั้นไม่ให้เจ้าเข้าถึงความจริงได้  สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือเจ้าต้องแสวงหาความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และปฏิบัติตามความจริงนั้น จนถึงขั้นที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีพอ เพราะการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอเป็นเพียงก้าวแรกบนเส้นทางของการเข้าสู่ชีวิตเท่านั้น  ในที่นี้ “ก้าวแรก” หมายถึงสิ่งใด?  หมายถึงการออกเดินทาง  ในทุกสิ่งย่อมมีบางอย่างที่ใช้เริ่มต้นการเดินทาง เป็นสิ่งที่พื้นฐานที่สุด สำคัญที่สุด และการสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอก็คือเส้นทางของการเข้าสู่ชีวิต  ถ้าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแค่มีวิธีทำที่ดูเหมาะสมเท่านั้น แต่ไม่เป็นไปตามหลักธรรมความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ  เมื่อเป็นเช่นนั้น คนเราต้องพยายามในเรื่องนี้อย่างไร?  คนเราต้องแสวงหาและพยายามในเรื่องของหลักธรรมความจริง การเตรียมตนให้พร้อมรับหลักธรรมความจริงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง  ถ้าเจ้าเพียงแต่ปรับปรุงพฤติกรรมและอารมณ์ของตน แต่ไม่ได้เตรียมตนให้พร้อมรับความเป็นจริงความจริง ก็ย่อมไร้ประโยชน์  เจ้าอาจมีพรสวรรค์หรือความเชี่ยวชาญบางอย่าง  นั่นเป็นเรื่องดี—แต่เฉพาะเมื่อนำสิ่งนั้นมาใช้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะใช้มันอย่างถูกควร  การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีไม่ต้องมีการปรับปรุงความเป็นมนุษย์หรือบุคลิกของเจ้าให้ดีขึ้น และเจ้าก็ไม่ต้องละมือจากพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษของตน  นั่นไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำ  สิ่งที่สำคัญยิ่งคือการที่เจ้าเข้าใจความจริงและเรียนรู้ที่จะนบนอบพระเจ้า  ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่เจ้าจะเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมาขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน  ในเวลาเช่นนั้นเจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าต้องแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหาและกระทำการตามหลักธรรมความจริง  จงทำตามนี้เถิด แล้วการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์หรือความเชี่ยวชาญในด้านใด หรือมีความรู้ในสาขาอาชีพใด การใช้สิ่งเหล่านี้ในการปฏิบัติหน้าที่ย่อมถูกควรที่สุด—เป็นหนทางเดียวที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดี  ด้านหนึ่งก็พึ่งพามโนธรรมและเหตุผลเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า อีกด้านหนึ่งนั้นเจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน  คนเราย่อมมีการเข้าสู่ชีวิตเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนี้ และพวกเขาก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีพอ

ตามที่เห็นอยู่ในเวลานี้ การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอไม่อาจแยกออกจากการแสวงหาความจริงและการลงมือตามหลักธรรมความจริงได้  ถ้าคนเราไม่สามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาและไปไม่ถึงระดับที่กระทำการตามหลักธรรม เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่อาจสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอได้  นิยามของการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอก็เป็นดังที่อธิบายไปแล้ว  พระประสงค์ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นี้สูงส่งหรือไม่?  แท้จริงแล้วไม่ได้สูงส่ง  พระองค์ทรงขอให้เจ้ามีท่าที เจตนา และทัศนะที่ถูกต้องในการกระทำของตนเท่านั้น  ด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมสามารถได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และรู้จักตนเองมากขึ้น  และแล้วเจ้าก็จะสามารถก้าวผ่านบททดสอบและการถลุงได้ ทำให้เจ้าสามารถเข้าสู่ความจริงที่ยิ่งลงลึกและก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย  ก่อนที่เจ้าจะก้าวผ่านบททดสอบและการถลุงนั้น พระเจ้าจะประทานการพิพากษาและการตีสอนแก่เจ้าบ้างตามความเข้าใจที่เจ้ามีต่อความจริง  แต่รากฐานของการพิพากษาและการตีสอน รวมทั้งบททดสอบและการถลุงคือสิ่งใด?  คือการที่เจ้าทำได้ถึงขั้นที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนดีพอแล้ว—กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเจ้าสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตแล้ว  การเข้าสู่ชีวิตของเจ้าไม่ได้แยกต่างหากจากงานและความรับผิดชอบที่เจ้ามีในคริสตจักร  ถ้าเจ้าใช้เวลาทั้งวันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่บ้านและพูดจาเลื่อนลอยถึงการปฏิบัติหน้าที่และการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า นี่คือการไม่อยู่กับความเป็นจริงและไม่ก่อให้เกิดผล  เหมือนพวกดีแต่พูด เจ้าพูดทั้งวันเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ เรื่องการได้รับพระบัญชาจากพระเจ้า แต่ไร้ซึ่งการอุทิศหรือสละตน และแน่นอนว่าไร้ซึ่งการทนทุกข์หรือมีประสบการณ์กับความยากลำบาก  ต่อให้บางครั้งเจ้าตื้นตันจนมีน้ำตาไปกับการร้องเพลงนมัสการหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า นี่ก็จะไม่ก่อให้เกิดผลอันใด  ตามมุมมองนี้ การไปถึงระดับที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีพอ สัมพันธ์กับการได้รับความรอดหรือไม่?  หรือว่าสัมพันธ์กับการได้รับการพิพากษาและตีสอนจากพระเจ้าหรือไม่?  ย่อมสัมพันธ์กัน  การที่จะได้รับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้านั้น คนเราต้องสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงวางมาตรฐานเช่นนี้ กำหนดให้ผู้คนสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ?  เพราะพระเจ้าทรงใช้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ามาวัดระดับการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า  ถ้าเจ้าสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ นั่นก็หมายความว่าการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าได้มาตรฐานที่ทำให้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะน้อมรับการพิพากษาและตีสอนแล้ว ซึ่งก็หมายความด้วยว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะน้อมรับพระราชกิจของพระเจ้าที่จะทำให้เจ้าเพียบพร้อมแล้ว  แล้วพระเจ้าทรงวางเงื่อนไขอันใดแก่มนุษย์ในการสัมฤทธิ์เรื่องนี้?  การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าต้องดูดีพอในสายพระเนตรของพระเจ้า หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่หมายความว่าการเข้าสู่ชีวิตของเจ้ามีเส้นทางและทิศทางพื้นฐานที่พระเจ้าทรงยอมรับและเห็นว่ามีคุณสมบัติเหมาะสม  พระเจ้าทรงทดสอบเรื่องนี้อย่างไร?  ทรงดูการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเป็นหลัก  เมื่อเจ้าได้รับการยืนยันจากพระเจ้าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนดีพอแล้ว ขั้นต่อไปย่อมเริ่มขึ้นทันที กล่าวคือ พระเจ้าจะทรงเริ่มพิพากษาและตีสอนเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะผิดพลาดในเรื่องใด เจ้าก็จะถูกบ่มวินัย ราวกับว่าพระเจ้าทรงเริ่มจับตาดูเจ้าอย่างใกล้ชิด  นี่เป็นเรื่องดี—หมายความว่าเจ้าได้รับการรับรองจากพระเจ้าแล้ว เจ้าไม่ตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไป และเป็นคนในแบบที่ถูกต้องซึ่งจะไม่ทำเรื่องที่เห็นชัดเจนว่าชั่วเป็นแน่  ทางหนึ่ง พระเจ้าจะทรงคุ้มครองเจ้า อีกทางหนึ่ง กล่าวในส่วนของเจ้าเองแล้ว เส้นทางที่เจ้าเดิน จุดหมายและทิศทางชีวิตของเจ้า ได้หยั่งรากอยู่ในหนทางที่แท้จริงแล้ว  เจ้าจะไม่ผละจากพระเจ้า และจะไม่เบี่ยงเบน  ถัดไปก็แน่นอนว่าพระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าเพียบพร้อม พรนี้มาถึงตัวเจ้าแล้ว  ดังนั้น หากคนเราปรารถนาที่จะได้รับพรข้อนี้และเดินไปบนเส้นทางของการถูกทำให้เพียบพร้อม สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ  พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตดูการปฏิบัติต่างๆ ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า รวมทั้งงาน พระบัญชา และภารกิจที่พระองค์ประทานแก่เจ้า เพื่อที่จะเข้าใจท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้าและความจริง  พระเจ้าทรงใช้ท่าทีเหล่านี้มาประเมินว่าแท้จริงแล้วเจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางใด  ถ้าเจ้าอยู่บนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะบรรลุเป้าหมาย และแน่นอนว่าเจ้าจะมีการเข้าสู่ชีวิตและมีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยไม่มากก็น้อยอีกด้วย  ทั้งหมดนี้ย่อมสัมฤทธิ์ระหว่างที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่  ก่อนที่พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าเพียบพร้อมอย่างเป็นทางการ ด้วยการพึ่งพาความพยายามของมนุษย์ เจ้าย่อมมาได้ไกลเพียงจุดนี้เท่านั้น  ถ้าไม่มีพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าก็มาได้เพียงขั้นนี้เท่านั้น การพากเพียรให้ไกลกว่านี้ย่อมจะเป็นเรื่องยาก  เจ้าพึ่งพาได้แต่ตัวเองเท่านั้นในการสำเร็จลุล่วงสิ่งที่เจ้ามีลู่ทางที่จะทำได้และไม่เกินความสามารถของมนุษย์ เช่น การใช้พลังใจมาควบคุมตนเอง การสู้ทนความทุกข์ การยอมลำบาก การละทิ้ง การตัดแต่งความรู้สึก การละทิ้งทางโลก ตระหนักรู้กระแสนิยมอันชั่ว ขัดขืนเนื้อหนัง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี ใช้วิจารณญาณ และไม่ติดตามมนุษย์  เมื่อเจ้าสัมฤทธิ์ทั้งหมดนี้แล้ว เจ้าก็มีคุณสมบัติที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า  โดยทั่วไปแล้วพระเจ้าไม่ทรงแทรกแซงเรื่องที่มนุษย์สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้  พระองค์ทรงจัดหาความจริงให้แก่เจ้าอย่างต่อเนื่อง ให้น้ำเจ้าอย่างสม่ำเสมอ คอยเกื้อหนุนให้เจ้าเข้าใจความจริง ตรัสบอกเจ้าว่าทำอย่างไรจึงจะเข้าใจความจริงในแง่ต่างๆ และทำอย่างไรจึงจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เมื่อเจ้าเข้าใจและเข้าถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว พระเจ้าก็จะประทานใบรับรองคุณสมบัติแก่เจ้า แล้วโอกาสที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดก็จะเป็นร้อยละ 80  อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะไปถึงร้อยละ 80 เจ้าต้องทุ่มเทพลังงานและความพยายามทั้งหมดของเจ้า เจ้าไม่อาจใช้ชีวิตนี้อย่างสูญเปล่าได้  บางคนกล่าวว่า “ตอนนี้ฉันเชื่อในพระเจ้ามายี่สิบปีแล้ว ฉันทุ่มเทพลังงานทั้งหมดของฉันแล้วใช่ไหม?”  นี่ไม่ได้วัดตามจำนวนปี  บ้างก็กล่าวว่า “ตอนนี้ฉันเชื่อในพระเจ้ามาห้าปีแล้ว และเกิดความเข้าใจความจริงบ้าง  ฉันรู้วิธีทำหน้าที่ของตนให้ดีพอและกำลังพากเพียรไปในทิศทางนี้ ตอนนี้ฉันรู้วิธีบ้างแล้ว และดูเหมือนจะรู้สึกชูใจและมีสันติสุขอยู่ในหัวใจของตนอยู่บ้าง”  ความรู้สึกนี้ถูกต้องโดยพื้นฐาน แต่นี่หมายความหรือไม่ว่าเจ้ามีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดถึงร้อยละ 80 แล้ว?  ไม่ แท้จริงแล้วเจ้ามีอยู่เท่าใด?  ระหว่างร้อยละ 10 ถึง 15  เพราะขณะที่ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าให้ดีพอนั้น เจ้ายังต้องผ่านประสบการณ์เป็นการถูกตัดแต่งหลายครั้ง เจ้าต้องมีประสบการณ์เป็นรูปการณ์มากมาย  ภายในรูปการณ์เหล่านี้ ในด้านที่เป็นบวก พระเจ้าจะทรงเสริมสร้างประสบการณ์ให้แก่เจ้าเป็นอันมาก  แล้วระหว่างที่มีการพบเจอผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งเหล่านี้—กล่าวคือ ในรูปการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้—พระเจ้าก็ทรงทำให้เจ้าเข้าใจความจริงบางอย่าง  เหตุใดพระองค์จึงทรงทำให้เจ้าเข้าใจความจริงผ่านทางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งเหล่านี้?  ถ้าเจ้าไม่ได้ก้าวผ่านประสบการณ์เหล่านี้ ความเข้าใจที่เจ้ามีในความจริงก็จะคงที่อยู่ในระดับของวาจา คำสอน และคำขวัญตลอดไป  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับรูปการณ์ต่างๆ ในชีวิตแล้ว คำสอนที่เจ้าเคยเข้าใจก่อนหน้านี้ หรือสามารถทำความเข้าใจและรู้ซึ้งอยู่ในความทรงจำของเจ้า ย่อมจะกลายเป็นความเป็นจริงอย่างหนึ่ง  ความเป็นจริงนี้คือความจริงในด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และเป็นสิ่งที่เจ้าควรเข้าใจและเข้าถึง

เวลาที่ใครสักคนยังทำไม่ถึงมาตรฐานของการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ โอกาสที่พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดย่อมมีอยู่เท่าใด?  อย่างมากก็ระหว่างร้อยละ 10 ถึง 15 เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและแน่นอนว่าไม่สามารถมีความนบนอบที่แท้จริง  คนที่ไม่เข้าใจความจริงจะสามารถกระทำการตามหลักธรรมได้หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถจริงจังกับหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่  แน่นอนว่าคนที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมกระทำการตามเจตจำนงของตนกันทั้งสิ้น ทำสิ่งต่างๆ อย่างสุกเอาเผากิน ผสมแรงจูงใจมากมายที่เห็นแก่ตัว และกระทำการตามความชอบส่วนตัว  ต่อให้เจ้าสามารถกล่าวคำสอนได้มาก และสามารถพูดทฤษฎีและวลีชวนเชื่อได้ยืดยาว นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริง ดังนั้นโอกาสที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดย่อมมีไม่มาก  การที่จะได้รับความรอดที่แท้จริง หลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตาน และใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้านั้น ก้าวต่อไปก็คือการทุ่มเทพยายามกับความจริงนานาประการ  ความพยายามนี้มีจุดประสงค์เป็นสิ่งใด?  เป็นการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอย่างถูกต้องและมั่นคงมากขึ้น  เฉพาะเมื่อเจ้าเข้าสู่ความจริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องสำหรับชีวิตของเจ้า  ถ้าเจ้ารู้จักแต่การพ่นคำสอนและคำขวัญ แต่ไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงของการปฏิบัติหน้าที่ของตน และถึงขั้นสามารถผลีผลามกระทำการตามใจนึก เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีความเป็นจริงความจริง และยังคงห่างไกลนัก  หลังจากที่ใครบางคนมีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากมายระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่ และตระหนักว่าตนเองไม่เข้าใจความจริง และขาดพร่องมากเพียงใด พวกเขาย่อมเริ่มทุ่มเทพยายามกับความจริง  ค่อยๆ เปลี่ยนจากการพ่นคำสอนและคำขวัญมาเป็นการมีความเข้าใจที่แท้จริง ปฏิบัติความจริงอย่างถูกต้อง และนบนอบพระเจ้าโดยแท้  เช่นนี้ความหวังที่พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดย่อมมีมากขึ้น และความเป็นไปได้ก็เพิ่มสูงขึ้น  ที่ว่าเพิ่มมากขึ้นนี้เป็นไปตามสิ่งใด?  (ตามระดับการเข้าใจความจริง)  ระดับการเข้าใจความจริงของคนเราไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดคือการปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง  ด้วยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น เจ้าจึงจะเข้าใจความจริงได้ เจ้าจะไม่มีวันเข้าใจความจริงถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติความจริง  การเข้าใจแต่วาจาและคำสอนไม่เหมือนการเข้าใจความจริง  ยิ่งเจ้าปฏิบัติความจริง เจ้าก็จะยิ่งมีความเป็นจริงมากขึ้นในภายหลัง เจ้าจะยิ่งเปลี่ยนแปลง และเข้าใจความจริงมากขึ้น  ดังนั้น ความหวังที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย  ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอยู่นั้น ในแง่บวก ถ้าเจ้าสามารถปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนในลักษณะที่ถูกต้องได้ ไม่ว่าจะเผชิญรูปการณ์อันใดก็ไม่เคยละทิ้งหน้าที่ และแม้ในยามที่ผู้อื่นสูญสิ้นความเชื่อและเลิกปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าก็ยังคงยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้า ไม่เคยละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่ต้นจนจบ ยังคงแน่วแน่และจงรักภักดีต่อหน้าที่ของตนไปจนสุดทาง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ทำให้หน้าที่ของตนเป็นหน้าที่แล้วโดยแท้และแสดงให้เห็นความจงรักภักดีอันเต็มเปี่ยม  ถ้าเจ้าทำได้ตามมาตรฐานนี้ โดยแก่นแท้ เจ้าก็บรรลุเป้าหมายของการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอแล้ว นี่คือแง่บวก  อย่างไรก็ดี ก่อนจะไปถึงมาตรฐานนี้ ในแง่ลบ คนเราต้องสามารถต้านทานการทดลองต่างๆ ได้  เวลาที่ใครบางคนไม่สามารถต้านทานการทดลองได้ขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่ ดังนั้นจึงละทิ้งหน้าที่และหนีไป ทรยศหน้าที่ของตน นี่เป็นปัญหาชนิดใด?  นี่นับเป็นการทรยศพระเจ้า  การทรยศพระบัญชาของพระเจ้าก็คือการทรยศพระเจ้า  คนที่ทรยศพระเจ้าจะยังคงช่วยให้รอดได้หรือไม่?  คนคนนี้จบสิ้นแล้ว สูญสิ้นความหวังทั้งหมด และหน้าที่ที่เคยปฏิบัติก่อนหน้านั้นก็เป็นเพียงการลงแรงเท่านั้น ซึ่งก็สลายกลายเป็นความว่างเปล่าพร้อมกับการทรยศของพวกเขา  ดังนั้นการยึดมั่นในหน้าที่ของตนจึงสำคัญมาก เมื่อทำเช่นนั้นจึงมีความหวัง  เมื่อลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี คนเราจึงจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  สิ่งที่ทุกคนพบว่าเป็นส่วนที่ยากที่สุดของการยึดมั่นในหน้าที่ของตนคืออะไร?  คือการที่พวกเขาสามารถตั้งมั่นในยามที่เผชิญการทดลอง  การทดลองเหล่านี้ได้แก่อะไรบ้าง?  เงิน สถานะ ความสัมพันธ์ใกล้ชิด ความรู้สึก  มีอะไรอีก?  ถ้าหน้าที่บางอย่างมีความเสี่ยง ถึงขั้นเสี่ยงชีวิตของตน และการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวก็อาจจะส่งผลให้ถูกจับกุมและคุมขัง หรือถึงขั้นถูกข่มเหงจนตาย เจ้าจะยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้หรือไม่?  เจ้าจะบากบั่นต่อไปได้หรือไม่?  จะเอาชนะการทดลองเหล่านี้ได้ง่ายเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับว่าคนเราไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  นี่ขึ้นอยู่กับความสามารถของคนเราที่จะค่อยๆ แยกแยะและตระหนักรู้การทดลองเหล่านี้ระหว่างที่ไล่ตามเสาะหาความจริงไปด้วย ตระหนักรู้แก่นแท้ของการทดลองและเล่ห์กลของซาตานที่อยู่เบื้องหลังการทดลองเหล่านี้  ทั้งยังต้องตระหนักรู้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน แก่นแท้ธรรมชาติ และความอ่อนแอของตนอีกด้วย  นอกจากนี้คนเรายังต้องร้องขอให้พระเจ้าคุ้มครองตนอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถต้านทานการทดลองเหล่านี้ได้  ถ้าคนเราสามารถต้านทานการทดลองได้ และยึดมั่นในหน้าที่ของตนโดยไม่ทรยศหรือหนีไปไม่ว่าจะอยู่ภายใต้รูปการณ์ใด เช่นนั้นแล้วแนวโน้มที่จะได้รับการช่วยให้รอดก็จะเพิ่มเป็นร้อยละ 50  ร้อยละ 50 นี้สัมฤทธิ์ได้ง่ายหรือไม่?  แต่ละขั้นตอนคือความท้าทาย เต็มไปด้วยโพยภัย ไม่ง่ายที่จะไปถึง!  มีหรือไม่ผู้คนที่พบว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นยากเย็นจนพวกเขารู้สึกว่าชีวิตเหนื่อยล้าเกินไปและยอมตายเสียดีกว่า?  ผู้คนประเภทใดที่รู้สึกแบบนี้?  ผู้ไม่เชื่อย่อมรู้สึกแบบนี้  เพียงเพื่อการอยู่รอด ผู้คนก็สามารถเค้นสมองคิด สู้ทนความทุกข์ยาก และในความวิบัติก็ยังคงสามารถยึดเหนี่ยวชีวิตเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ไม่ยอมแพ้จนกระทั่งลมหายใจเฮือกสุดท้าย—ถ้าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยความเข้มแข็งเช่นนี้ พวกเขาย่อมจะสัมฤทธิ์ผลเป็นแน่  ถ้าผู้คนไม่รักความจริงและไม่เต็มใจที่จะพากเพียรเพื่อความจริง พวกเขาก็เอาดีไม่ได้!  การไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่สิ่งที่จะสัมฤทธิ์ได้ด้วยความพยายามของมนุษย์เพียงอย่างเดียว ต้องใช้ความพยายามของมนุษย์บวกกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ต้องมีพระเจ้าคอยจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อทดสอบและถลุงผู้คน และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยทรงพระราชกิจเพื่อประทานความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และนำพวกเขา  ความทุกข์ที่คนเราก้าวผ่านเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริงเป็นเรื่องสมควรทั้งสิ้น  เหมือนนักปีนเขาที่เสี่ยงชีวิตเพื่อไปให้ถึงยอดเขานั่นเอง พวกเขาไม่กลัวความยากลำบากที่จะออกไปแสวงหาการท้าทายขีดจำกัดต่างๆ แม้จะถึงขั้นเอาชีวิตไปเสี่ยงก็ตาม  การเชื่อในพระเจ้าและได้รับความจริงยากลำบากกว่าการปีนเขาหรือไม่?  คนที่อยากได้พร แต่ไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์ คือคนประเภทใด?  คนที่เอาดีไม่ได้  หากไม่มีพลังใจ เจ้าก็ไม่สามารถไล่ตามเสาะหาและได้รับความจริง เจ้าจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้หากไม่สามารถทนทุกข์  เจ้าต้องยอมลำบากจึงจะได้รับความจริง

ผู้คนก็มาเข้าใจนิยามของการทำให้ดีพอ มาตรฐานของการทำให้ดีพอ สาเหตุที่พระเจ้าทรงวางมาตรฐานของการทำให้ดีพอ สัมพันธภาพระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอกับการเข้าสู่ชีวิต และปัจจัยอื่นๆ ในทำนองเดียวกันที่สัมพันธ์กับความจริงเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอกันแล้ว  ต่อจากนี้ถ้าพวกเขาทำได้ถึงขั้นที่สามารถยึดมั่นในหน้าที่ของตนไม่ว่าเมื่อใดหรือที่ไหน ไม่ยอมทิ้งหน้าที่ และสามารถต้านทานการทดลองได้ทุกรูปแบบ จากนั้นก็ทำความเข้าใจ มีความรู้ และเข้าสู่ความจริงอันหลากหลายทั้งปวงตามพระประสงค์ของพระเจ้าในสถานการณ์ต่างๆ นานาที่พระองค์ทรงวางไว้ให้พวกเขา เช่นนั้นแล้ว ในทัศนะของพระเจ้า พวกเขาก็สัมฤทธิ์การทำให้ดีพอโดยพื้นฐานแล้ว  การที่จะสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอนั้นมีองค์ประกอบสำคัญอยู่สามอย่าง ได้แก่ หนึ่ง มีท่าทีที่ถูกต้องต่อหน้าที่ของตน และไม่ทิ้งหน้าที่ไม่ว่าเมื่อใด สอง สามารถต้านทานการทดลองได้ทุกชนิดระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน และไม่สะดุดล้ม สาม สามารถเข้าใจความจริงได้ทุกแง่มุมขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน และเข้าสู่ความเป็นจริง  เมื่อผู้คนทำสามสิ่งนี้ได้สำเร็จและบรรลุเป้าหมายแล้ว เมื่อนั้นเงื่อนไขเบื้องต้นข้อแรกสำหรับการน้อมรับการพิพากษา การตีสอน และได้รับการทำให้เพียบพร้อม—ซึ่งก็คือการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ—ย่อมจะสำเร็จสมบูรณ์แล้ว

ในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอนั้น มีการเสวนาถึงเนื้อหาบางอย่างเกี่ยวกับคำว่า “ดีพอ” กันไปก่อนแล้ว  ในการเสวนาครั้งก่อนๆ มีการนิยามคำว่า “ดีพอ” ไว้เป็นพื้นฐานว่าอย่างไร?  (ว่าเป็นการกระทำตามหลักธรรม)  ส่วนคำว่า “ทำให้ดีพอ” ที่จะเสวนากันในวันนี้ย่อมสูงขึ้นมาถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงกำหนดให้ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตนให้มีมาตรฐานที่ดีพอ?  นี่สัมพันธ์กับเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยผู้คนให้รอด รวมทั้งมาตรฐานของพระองค์ในการช่วยผู้คนให้รอดและทำให้พวกเขาเพียบพร้อม  ถ้าเจ้าไม่สัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ พระเจ้าก็จะไม่ทำให้เจ้าเพียบพร้อม นี่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดในการที่พระเจ้าจะทำให้ผู้คนเพียบพร้อม  เพราะฉะนั้น การที่คนเราจะได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้าหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับว่าการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาดีพอหรือไม่เป็นสำคัญ  ถ้าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไม่ดีพอ เช่นนั้นแล้วพระราชกิจที่พระเจ้าจะทำให้ผู้คนเพียบพร้อมก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า  ในเวลานี้บางคนอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องของการปฏิบัติหน้าที่ของตน และทิศทางของพวกเขาก็ถูกต้องเช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถมองว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนดีพออยู่ดี  เพราะเหตุใด?  เพราะผู้คนเข้าใจความจริงกันน้อยเกินไป  เหมือนเด็กบางคนที่อยากมีส่วนรับผิดชอบเรื่องบางอย่างในบ้านร่วมกับพ่อแม่ของตน แต่พวกเขาอาจไม่มีวุฒิภาวะที่จะทำเช่นนั้น  แล้วถึงจุดไหนพวกเขาจึงจะมีวุฒิภาวะที่จะแบ่งเบาความรับผิดชอบบางอย่างในบ้านได้อย่างแท้จริง?  เมื่อพวกเขาสามารถทำเรื่องบางอย่างได้โดยไม่ทำให้ผู้ใหญ่วิตกกังวล เมื่อนั้นพวกเขาจึงจะสามารถมีส่วนช่วยทำหน้าที่ในบ้านได้—เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาจึงจะสามารถทำได้  แม้ตอนนี้เจ้าจะสามารถทำบางสิ่งได้ แต่เจ้าก็ยังอยู่ในขั้นมุมานะและออกแรงทำงานเพราะความจริงที่เจ้าเข้าใจนั้นตื้นเขินเกินไป ความจริงที่เจ้านำไปปฏิบัติได้มีน้อยเกินไป และหลักธรรมที่เจ้าเข้าใจได้ก็มีน้อยเกินไป  เจ้ามักจะคลำสะเปะสะปะ มักจะลงมือในสภาวะที่ไม่ชัดเจน ดังนั้นจึงยากมากที่เจ้าจะยืนยันได้ว่าสิ่งที่เจ้าทำอยู่นั้นตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่ ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้านั้น เจ้าไม่แน่ใจอยู่เสมอ  เมื่อเป็นเช่นนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจะถือว่าดีพอได้หรือไม่?  ยังไม่ได้ เพราะเจ้าเข้าใจความจริงน้อยเกินไป และการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าก็ยังไม่ถึงระดับที่พระเจ้ากำหนดไว้ เจ้ายังด้อยวุฒิภาวะเกินไป  ที่ว่าคนเราด้อยวุฒิภาวะเกินไปหมายถึงสิ่งใด?  บ้างก็ว่านี่คือความเข้าใจที่ตื้นเขินเกี่ยวกับความจริง แต่แท้จริงแล้วนี่ไม่ได้เป็นเพียงความเข้าใจที่ตื้นเขินเกี่ยวกับความจริงเท่านั้น  ยังสัมพันธ์โดยตรงกับความเป็นมนุษย์ที่ไม่รู้จักโตของคน หรือขีดความสามารถที่อ่อนด้อยและการมีสิ่งที่เป็นลบอยู่มากเกินไปในตัวพวกเขาอีกด้วย  ตัวอย่างเช่น ถ้าหน้าที่มาถึงตัวเจ้าในตอนนี้และเจ้าไม่รู้ว่าจะทำหน้าที่นั้นอย่างไร เจ้าก็อาจรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ ไม่สามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  นี่ทำให้เจ้ากลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอ รู้สึกว่าการจัดเตรียมของพระเจ้านั้นไม่ดี และตัวเจ้าเองก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เจ้าจะถูกกำจัดออกไปเป็นแน่  จากนั้นเจ้าก็ไม่อยากปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกต่อไป  นี่คือการสำแดงให้เห็นว่าด้อยวุฒิภาวะมิใช่หรือ?  ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้ก็มีพี่น้องชายหญิงวัยหนุ่มสาวมากมายที่ยังไม่แต่งงาน  ถ้าพวกเขาพบเจอชายหรือหญิงหน้าตาดี พวกเขาก็อาจหลงรัก และการส่งสายตาให้กันไม่กี่ครั้งก็อาจก่อให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ขึ้นมาได้ เมื่อความรู้สึกรักใคร่รุนแรงเช่นนั้นก่อตัวขึ้นมา พอเริ่มคบหากัน พวกเขาจะยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีหรือไม่?  นี่คือการตกอยู่ในการทดลอง  นี่บ่งชี้ว่าด้อยวุฒิภาวะมิใช่หรือ?  เป็นเช่นนั้นโดยแท้  นอกจากนี้ บางคนยังมีพรสวรรค์พิเศษบางอย่าง และพวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่พิเศษบางอย่างในพระนิเวศของพระเจ้า  เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนพอจะมีต้นทุนอยู่บ้าง ดังนั้นจึงอยากวางท่า อยากอวดตนอยู่เสมอ  ทันทีที่พวกเขาอวดตัว พวกเขาก็สูญเสียหลักธรรมในการทำสิ่งต่างๆ  และถ้าผู้อื่นสรรเสริญพวกเขาแม้เพียงเล็กน้อย ก็แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะสูญเสียหลักธรรมของตนในการทำสิ่งทั้งหลาย กลายเป็นคนที่ลำพองใจและลืมหน้าที่ของตน  นี่ก็ตกอยู่ในการทดลองเช่นกัน  นี่บ่งชี้ว่าด้อยวุฒิภาวะมิใช่หรือ?  แม้แต่เรื่องเล็กๆ ก็สามารถทำให้คนที่ด้อยวุฒิภาวะเดินสะดุดได้  ตัวอย่างเช่น บางคนทำงานเป็นนักแสดงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ด้วยรูปร่างหน้าตาและแรงดึงดูดของพวกเขา พวกเขาจึงได้แสดงภาพยนตร์สองสามเรื่อง จากนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง  คิดไปว่า “ตอนนี้ฉันสร้างชื่อให้ตัวเองได้บ้างแล้ว ถ้านี่เป็นทางโลก ผู้คนคงจะขอลายเซ็นของฉันกันแล้วไม่ใช่หรือ?  ทำไมไม่มีใครในพระนิเวศของพระเจ้าอยากได้ลายเซ็นของฉันเลย?  ดูเหมือนว่าฉันควรจะแสดงหนังดีๆ อีกสักเรื่อง”  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาไม่ได้บทนำในภาพยนตร์เรื่องใหม่ พวกเขาก็รู้สึกอยากทิ้งหน้าที่ของตน มองว่าหน้าที่เหล่านั้นไร้ประโยชน์  พวกเขาอยากแสดงบทนำอยู่เสมอ อยากเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง และเมื่อไม่สัมฤทธิ์ดังนั้น พวกเขาก็หมดกำลังใจ อารมณ์เสีย และถึงกับคิดจะเลิก  นี่คือการด้อยวุฒิภาวะ  การด้อยวุฒิภาวะหมายความว่าเจ้าไม่เหมาะที่จะรับผิดชอบเรื่องสำคัญ  ต่อให้เจ้าได้รับมอบหน้าที่จากพระเจ้า เจ้าก็ไม่อาจได้รับความไว้วางพระทัยจากพระองค์อยู่ดี  ถ้าคิดผิดสักครั้งหรือมีอะไรสักอย่างไม่เป็นไปตามที่เจ้าต้องการ เจ้าก็สามารถละทิ้งหน้าที่และต่อต้านพระเจ้า  นี่ก็บ่งบอกเช่นกันว่าด้อยวุฒิภาวะมิใช่หรือ?  (ใช่)  เป็นการด้อยวุฒิภาวะอย่างยิ่ง  เมื่อด้อยวุฒิภาวะเช่นนี้และมีพฤติกรรมเหล่านี้ คนเราย่อมอยู่ห่างจากการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอขนาดไหน?  ระยะห่างนี้อยู่ตรงไหน?  อยู่ตรงที่คนเรารักความจริงมากเพียงใด  มีบางคนเช่นกันที่ขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน ก็พบว่าสมาชิกครอบครัวที่ใกล้ชิดตนที่สุดล้มป่วย  เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงหยุดเข้าชุมนุมและละเลยหน้าที่ของตน คิดไปว่าการไม่ทำหน้าที่สักสองวันย่อมไม่ส่งผลอันใด—ถึงอย่างไร ถ้าสมาชิกครอบครัวของตนเกิดเสียชีวิต ก็ย่อมจะจากไปตลอดกาล  แต่พวกเขาก็ไม่ได้คำนึงว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่สัมพันธ์กับการได้รับชีวิต และเป็นโอกาสเดียวที่คนเราจะได้รับความรอด  พวกเขาวางความรู้สึกและครอบครัวไว้เหนือหน้าที่และการได้รับความรอดของตน  นี่บ่งชี้ว่าด้อยวุฒิภาวะมิใช่หรือ?  พวกเขาด้อยวุฒิภาวะเกินไปแล้ว!  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เข้าใจกิจธุระอันถูกควรของชีวิต และไม่รู้จักลงมือทำกิจที่ถูกควร  วุฒิภาวะของคนเราจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอายุหรือไม่?  ไม่  มนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง และไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด เกิดที่ไหน หรือมีสัญชาติอะไร ทุกคนล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเหมือนกัน  พวกเขาล้วนมีธรรมชาติของซาตานและสามารถกบฏต่อพระเจ้าและแข็งขืนต่อพระเจ้า ทำความชั่วได้ทุกชนิด  ถ้าคนเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะกลับใจได้โดยแท้หรือไม่?  ไม่มีวัน พวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง  บางคนล้มป่วยและป่าวร้องเรื่องการพึ่งพาพระเจ้าและการไม่กลัวเกรงความตาย กระนั้นพวกเขาก็รู้สึกด้วยว่าไม่อาจเอาแต่นั่งเฉยและไม่ทำสิ่งใดได้  พวกเขาคิดไปว่าถ้าพวกเขาไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาจะตายเป็นแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงไปปฏิบัติหน้าที่ของตนทันที  ดูว่าหน้าที่ใดพ่วงเอากิจที่ยุ่งที่สุดมาด้วยและเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุด หน้าที่ใดที่พระเจ้าทรงมองว่ามีคุณค่า แล้วก็รีบลงชื่อทำหน้าที่นั้น  ตลอดเวลาที่ปฏิบัตหน้าที่ของตนอยู่นั้น พวกเขาก็นึกสงสัยไม่หยุดว่า “โรคนี้จะหายขาดได้หรือไม่?  ฉันย่อมหวังให้หายได้แน่อยู่แล้ว  ฉันอุทิศชีวิตของตนมาโดยตลอด ฉันก็ควรจะหายขาดไม่ใช่หรือ?”  อันที่จริงโรคที่พวกเขาเป็นนี้อยู่ในระยะสุดท้าย ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่ พวกเขาก็จะตาย  แม้พวกเขาจะมาปฏิบัติหน้าที่ของตนในตอนนี้ แต่พระเจ้าก็ทรงเฝ้าสังเกตหัวใจของมนุษย์—เมื่อด้อยวุฒิภาวะและมีแรงจูงใจเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่  ผู้คนประเภทนี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ไม่ดี  พวกเขามีกลอุบายเล็กๆ ของตนอยู่ในใจเสมอ  เมื่อโรคกำเริบหรือพวกเขารู้สึกไม่ค่อยดีแม้เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มคิดว่า “พระเจ้าทรงอวยพรฉันแล้วจริงหรือ?  พระองค์ทรงดูแลและคุ้มครองฉันแล้วจริงหรือ?  ดูเหมือนพระองค์ยังไม่ได้ทำเช่นนั้น ดังนั้นฉันก็จะไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกต่อไป”  ทันทีที่พวกเขารู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาบ้าง พวกเขาก็นึกอยากทิ้งหน้าที่ของตน  พวกเขามีวุฒิภาวะบ้างหรือไม่?  (ไม่)  เพราะฉะนั้น จงอย่าคิดว่าเพียงเพราะผู้คนอันหลากหลายสามารถนั่งอยู่ตรงนี้และฟังคำเทศนาได้ หรือสามารถทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานมาปฏิบัติหน้าที่ของตนในบางตำแหน่งที่พระนิเวศของพระเจ้าได้—ทำงานที่เชื่อมโยงกับทักษะที่พวกเขาเชี่ยวชาญหรือในเรื่องที่ชำนาญ—พวกเขาย่อมต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เป็นแน่  และนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่นั้นเต็มใจทำ และยิ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนมีวุฒิภาวะอยู่บ้าง  ดูภายนอกก็เหมือนผู้คนต่างก็ยุ่งและดูจะเต็มใจทำสิ่งต่างๆ และสละตนเพื่อพระเจ้าบนรากฐานของการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  ในความเป็นจริงแล้ว ลึกลงไปในหัวใจ ทุกคนมักจะอ่อนแอ  พวกเขามักจะมีความคิดที่จะทิ้งหน้าที่ของตน มักจะมีแผนการส่วนตัว และที่บ่อยยิ่งกว่านั้นก็คือหวังให้พระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้นในเร็ววัน เพื่อให้ตนสามารถได้รับพรโดยเร็ว  จุดหมายของพวกเขามีอยู่เท่านั้น  สิ่งที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายที่จะแก้ไขก็คือความอ่อนแอเหล่านี้ ความเป็นกบฏ การด้อยวุฒิภาวะของมนุษย์ ตลอดจนความคิดและการกระทำที่ไม่รู้ความของผู้คน  เมื่อปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไขหมดแล้วและไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถส่งผลต่อความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เมื่อนั้นก็ย่อมเพียงพอแล้ว และวุฒิภาวะของเจ้าย่อมเติบโตแล้ว  สิ่งที่กำหนดว่าคนคนหนึ่งจะเดินไปบนเส้นทางใดในท้ายที่สุด และจะเดินไปไกลเพียงใดบนเส้นทางนั้น ไม่ใช่การป่าวร้องคำขวัญของพวกเขาว่าดังเพียงใด และไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบหรือความอยากได้อยากมีของพวกเขา  แต่ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาและระดับของความรักที่พวกเขามีต่อความจริง

มีสถานการณ์ใดบ้างที่พวกเจ้าจะทิ้งหน้าที่ของตน?  เมื่อพวกเจ้ากำลังเผชิญหน้าความตายใช่หรือไม่?  หรือเมื่อพวกเจ้าพบเจอความผิดหวังเล็กน้อยบางอย่างในชีวิต?  บางคนมีข้อเรียกร้องมากมายเมื่อเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตน  ด้านหนึ่ง พวกเขาต้องไม่กรำแดดหรือลม และสภาพแวดล้อมในการทำงานก็ต้องสะดวกสบาย  พวกเขาทนรับความอึดอัดคับข้องไม่ได้แม้แต่น้อย  นอกจากนี้พวกเขาก็ต้องได้อยู่กับสามี (หรือภรรยา)  ของตนบ่อยๆ ได้ใช้ชีวิตในโลกของสองเรา และมีชีวิตส่วนตัวของพวกเขาเองอีกด้วย เช่น การออกไปหาความบันเทิง ไปพักร้อน และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องเป็นที่พอใจของพวกเขา  ถ้าพวกเขาไม่พอใจแม้เพียงน้อยนิด พวกเขาก็จะอึดอัดและขุ่นเคืองอยู่ในหัวใจไม่เว้นวาย และจะถึงกับรบกวนผู้อื่นด้วยการแพร่มโนคติอันหลงผิด  คนที่เข้าใจความจริงบางคนก็สามารถดูออกว่าผู้คนเหล่านี้ไม่ดี เป็นผู้ไม่เชื่อ และพวกเขาก็จะอยู่ห่างจากคนเหล่านี้  แต่ก็มีบางคนที่ไม่เข้าใจความจริง ด้อยวุฒิภาวะ และขาดวิจารณญาณ พวกเขาย่อมจะได้รับผลจากการก่อกวนของผู้คนเหล่านี้  จงบอกเราเถิดว่าควรเอาตัวคนทำชั่วเยี่ยงนี้ออกไปจากคริสตจักรหรือไม่?  (ควร)  คนจำพวกที่ก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักรอย่างต่อเนื่องนี้ ต้องถูกเอาตัวออกไปเพื่อปกป้องคนที่ด้อยวุฒิภาวะและไม่รู้ความ  แล้วมีรูปการณ์ใดบ้างที่ตัวพวกเจ้าเองอาจจะทิ้งหน้าที่ของตนและผละจากไปโดยไม่แจ้งล่วงหน้า?  ยกตัวอย่างระหว่างการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าเห็นใครบางคนมีหน้าตาดีเป็นพิเศษและพูดจาดึงดูดใจ ยิ่งมอง ความชื่นชูที่เจ้ามีให้พวกเขาก็ยิ่งเพิ่มพูน เจ้าคิดไปว่า “ถ้าไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนและเจอคู่ครองแบบนี้ก็คงเยี่ยมไปเลย!”  เมื่อเจ้าคิดแบบนี้ เจ้าย่อมมีภัย และย่อมง่ายที่จะยอมจำนนให้กับการทดลอง  และเมื่อเจ้าครุ่นคิดเรื่องนี้มากเกินไป เจ้าย่อมหมายมั่นที่จะไล่ตามไขว่คว้าความสัมพันธ์นี้มา  แต่เมื่อเจ้าชนะใจพวกเขาในที่สุด เจ้าย่อมตระหนักว่าพวกเขาก็คือมนุษย์ที่เสื่อมทรามเช่นกันและไม่ได้ยอดเยี่ยมขนาดนั้นแต่อย่างใด แต่ถึงตอนนั้นก็สายเกินไปแล้วที่จะเสียใจ  เมื่อใครสักคนติดอยู่ในการทดลองที่เป็นความเกี่ยวพันเชิงชู้สาว ก็ไม่ง่ายที่จะพาตัวออกมา  และไม่ง่ายที่จะหันหลังให้โดยไม่ใช้เวลาสักหนึ่งหรือสองปี หรือสามถึงห้าปี  ในช่วงสามถึงห้าปีที่เจ้าเสียไปนี้ เจ้าจะพลาดความจริงไปมากมายเพียงใด?  ชีวิตของเจ้าจะพบกับความสูญเสียมากมายเท่าใด?  การเติบโตในชีวิตของเจ้าจะล่าช้าไปมากเท่าใด?  บางคนเห็นผู้อื่นทำเงินได้มากในทางโลก สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม กินดีดื่มดี หัวใจของพวกเขาก็หวั่นไหว พวกเขาอยากออกไปหาเงินเช่นกัน  การทดลองเกิดขึ้นในลักษณะนั้น  ใครก็ตามที่ความรู้สึกนึกคิดเริ่มวิ่งไม่หยุดเวลาเผชิญสถานการณ์ต่างๆ พลางคิดที่จะทิ้งหน้าที่ของตน ย่อมไม่สามารถต้านทานการทดลองได้ พวกเขาย่อมมีภัย  นี่คือเครื่องหมายของการด้อยวุฒิภาวะ  เจ้ารู้สึกเสียใจและไม่พอใจเวลาเห็นคนอื่นกินอาหารดีๆ  เจ้ารู้สึกไม่พอใจอีกด้วยเวลาเห็นคนอื่นมีคู่ครองที่ดี  และเจ้าก็ไม่มีความสุขเมื่อเห็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจ้าที่มีความน่ามองคล้ายกัน กลับแต่งตัวดีกว่าเจ้าและมีชื่อเสียงอีกด้วย  เจ้าเริ่มคิดว่าถ้าเจ้าไม่ทิ้งการศึกษาและเรียนจบ มีอาชีพการงาน เจ้าย่อมจะทำได้ดีกว่าพวกเขาเป็นแน่  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญสถานการณ์เหล่านี้ เจ้าย่อมกลุ้มใจไปหลายวัน  การทดลองเหล่านี้คือความบีบคั้นอย่างหนึ่ง เป็นความเดือดเนื้อร้อนใจอย่างหนึ่งสำหรับเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าด้อยวุฒิภาวะ  เมื่อพวกเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐและพบเจอเพศตรงข้ามที่เหมาะสม เป็นคนที่ “สูง รวย หล่อ” หรือหญิงที่ขาว รวย และสวย ก็ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องสามารถหลีกเลี่ยงการทดลองได้  ที่ว่าเจ้าอาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าวุฒิภาวะของเจ้ายังไม่ถึงระดับที่เจ้าจะสามารถเอาชนะการทดลองต่างๆ ได้ เจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงการทดลองเหล่านี้ได้ ดังนั้นหัวใจของเจ้าจึงถูกยึดครองและลวงล่อให้ตีจาก  สิ่งที่เจ้าคิด สิ่งที่เจ้าใคร่ครวญอยู่ในหัวของเจ้า และแม้กระทั่งสิ่งที่เจ้าฝันถึงและนำไปหารือกับผู้อื่น ล้วนเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้  นี่จึงส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ผู้อื่นมีเรื่องพูดมากมายระหว่างที่สามัคคีธรรมความจริง แต่เจ้ากลับมีส่วนร่วมน้อยลงทุกที และหมดความสนใจที่จะเชื่อในพระเจ้า  นี่ก็คือการถูกล่อใจให้จากไปมิใช่หรือ?  เป็นการตกอยู่ในการทดลองและมีอันตราย  บางคนนึกว่าเจ้าตกอยู่ในการทดลองเฉพาะเมื่อเจ้าเริ่มคบหาใครสักคนหรือผละจากไปกับพวกเขาเท่านั้น แต่เมื่อเจ้าไปถึงจุดนั้น เจ้าก็จบสิ้นแล้ว  ถ้าพวกเจ้าพบเจอเรื่องดังกล่าว จะเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นได้หรือไม่?  (ข้าพระองค์ไม่ทราบ)  ถ้าพวกเจ้าไม่รู้ นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเจ้าด้อยวุฒิภาวะ  เหตุใดนี่จึงพิสูจน์ว่าพวกเจ้าด้อยวุฒิภาวะ?  ในด้านหนึ่ง เจ้าไม่เคยเผชิญเรื่องแบบนี้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่รู้ว่าตัวเองจะมีปฏิกิริยาเช่นใด เจ้าไม่เข้าใจตัวเอง  อีกด้านหนึ่ง เวลาเผชิญหน้าสถานการณ์แบบนี้ เจ้าก็ไม่มีท่าทีและแนวทางที่ถูกต้องไว้รับมือปัญหาประเภทนี้  ถ้าเจ้าไม่สามารถแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหา นั่นก็หมายความว่าเจ้าดูดาย  การดูดายพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าด้อยวุฒิภาวะและไม่รู้ความ  แม้เจ้าจะไม่ได้กระตือรือร้นที่จะยั่วยวนผู้อื่น แต่แน่นอนว่าผู้อื่นสามารถยั่วยวนเจ้าได้ ซึ่งพาการทดลองมาหาเจ้า  ถ้าเจ้าเอาชนะการทดลองไม่ได้ นั่นย่อมเป็นปัญหา  ตัวอย่างเช่น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าใครสักคนเสนอเงินและสถานะให้แก่เจ้า หรือมีคนที่ดีกว่านั้นอีกผ่านเข้ามาและพยายามที่จะล่อใจเจ้า?  การเอาชนะเรื่องนั้นจะง่ายหรือไม่?  มีความเป็นไปได้สักเท่าใดที่เจ้าจะสามารถเอาชนะได้?  กล่าวกันว่าบางคนเพียงได้รับช็อกโกแลตสองชิ้นจากคนที่มาชอบตน ก็เกิดความลุ่มหลงและคิดจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนคนนั้น—พวกเขาด้อยวุฒิภาวะกันขนาดนั้น  นี่ใช่เรื่องของการเชื่อในพระเจ้าไม่นานพอหรือไม่?  ไม่จำเป็น  บางคนเป็นผู้เชื่อมาสิบกว่าปีแล้วและยังคงตกอยู่ในการทดลองได้เวลาเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว  ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรก ครั้งที่สอง หรือครั้งที่สามที่พวกเขาพบเจอเรื่องนี้ พวกเขาก็ยังคงถูกล่อใจได้  นี่เป็นเพราะเหตุใด?  พวกเขาด้อยวุฒิภาวะ และไม่มีความเข้าใจในความจริงบางอย่างโดยแท้  เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีความเข้าใจ?  เพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาเลอะเลือนอยู่เสมอ  ในทัศนะของพวกเขา เรื่องดังกล่าวไม่มีนัยสำคัญ  พวกเขาคิดไปว่า “ถ้ามีคู่ที่เหมาะสมผ่านเข้ามาจริง ทำไมฉันจะแต่งงานไม่ได้?  เพียงแต่ฉันยังไม่เจอคนที่เหมาะสมเท่านั้นเอง ไม่ได้ประทับใจในตัวใคร เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยเอาแต่ทอดเวลาไปเรื่อยๆ”  การปล่อยเวลาไปแบบนี้ไม่ใช่ท่าทีของการไล่ตามเสาะหาความจริง นี่ไม่ใช่การเดินอยู่บนเส้นทางของการได้รับความรอดและถูกทำให้เพียบพร้อม—ไม่ใช่วิธีคิดแบบนี้  พวกเขาอยากประคองตัวให้อยู่ได้เท่านั้น ใช้ชีวิตแต่ละวันตามที่เป็นไป ชีวิตพาไปทางไหนก็ไปทางนั้น  และถ้าสักวันหนึ่งพวกเขาเกิดไปต่อไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ ก็ให้เป็นไปเช่นนั้น  พวกเขาไม่สนใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยผู้คนให้รอดหรือพระราชกิจที่พระเจ้าทำเพื่อความรอดนี้  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจแสวงหาความจริงต่างๆ ที่สัมพันธ์กับการที่พระเจ้าจะทรงช่วยมนุษย์ให้รอด และไม่ใส่ใจในเรื่องนี้  บางคนอาจจะกล่าวว่า “แต่พวกเขาก็มาฟังคำเทศนาเสมอ พระองค์ตรัสได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ใส่ใจ?”  แต่การเข้าร่วมพิธีการโดยการชุมนุมและฟังคำเทศนาเท่านั้นย่อมต่างจากการยอมรับความจริง  มีผู้คนมากมายที่ฟังคำเทศนา แต่มีกี่คนที่ปฏิบัติความจริงอย่างแท้จริง?  ส่วนคนที่ออกเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงก็ยิ่งน้อยลงไปอีก  มีผู้คนมากมายที่มุ่งเน้นแต่การเข้าใจคำสอนและเสริมสร้างมโนคติที่หลงผิดและความคิดเพ้อฝันของตนเท่านั้นเวลาพวกเขาฟังคำเทศนา  คนที่รักความจริงย่อมฟังโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะแสวงหาและยอมรับความจริง  พวกเขาสามารถฟังคำเทศนาและทบทวนตนเอง นำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาเทียบดูสภาวะของตน และมุ่งแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน  พวกเขายึดถือความจริงในแง่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงไว้มั่น เน้นย้ำการปฏิบัติตามแง่มุมเหล่านี้และมีประสบการณ์ตามนั้น รวมทั้งการได้รับความจริง  เพราะฉะนั้น คนที่รักความจริงจึงฟังคำเทศนาเพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิต เข้าใจความจริง และเปลี่ยนแปลงตนเอง  พวกเขายอมรับความจริงอยู่ในหัวใจของตน และเมื่อปฏิบัติความจริง ความจริงที่พวกเขาเข้าใจก็ให้ประโยชน์แก่พวกเขา การเข้าใจความจริงย่อมให้เส้นทาง  ส่วนคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น พวกเขาฟังคำเทศนากันอย่างเลอะเลือน  พวกเขาจะฟังคำเทศนาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ และพอเจ้าถามพวกเขาว่าหลังจากนั้นพวกเขาเข้าใจอะไรบ้าง พวกเขาก็จะตอบว่า “ฉันเข้าใจหมดเลย  ฉันจดทุกอย่างเอาไว้อย่างชัดเจน”  แต่ถ้าเจ้าถามพวกเขาว่านี่ช่วยพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะเอาแต่ตอบอย่างคลุมเครือว่าก็มีประโยชน์อยู่บ้าง  แท้จริงแล้วนี่มีประโยชน์หรือไม่?  ไม่ เพราะพวกเขาไม่ได้ความจริงที่อยู่ในคำเทศนาเอาไว้  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้ไว้?  เพราะพวกเขาไม่ได้ยอมรับความจริง แล้วจะได้มาซึ่งความจริงได้อย่างไร?  บางคนกล่าวว่า “พวกเขาจะไม่ได้มาซึ่งความจริงได้อย่างไร?  เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขายังไม่ยอมรับความจริง?  พวกเขาตั้งใจฟังมากและจดบันทึกเอาไว้ด้วยซ้ำ”  บางคนจดบันทึกไปตามพิธีเท่านั้น ไม่ใช่เพราะใฝ่หาความจริง  บางคนที่สามัคคีธรรมความจริงอาจไม่จำเป็นต้องยอมรับความจริงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าหัวใจของพวกเขาโหยหาความจริงโดยแท้หรือไม่  แล้วการยอมรับความจริงโดยแท้นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าหลังจากที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว คนเราสามารถปรับสภาวะ การประพฤติปฏิบัติ และการกระทำของตน หลักธรรมของการเชื่อในพระเจ้า พระบัญชาและความรับผิดชอบที่ได้รับจากพระเจ้า ตลอดจนเส้นทางที่ตนเดินอยู่ ให้ตรงตามพระวจนะได้  พวกเขาสามารถทบทวนตนเองในแง่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งปวงนี้ ใช้วิจารณญาณแยกแยะได้อย่างชัดเจน สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง และแล้วก็ปฏิบัติและเข้าถึงความจริง  เช่นนี้เท่านั้นคือคนที่ยอมรับความจริง เช่นนี้เท่านั้นคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง

เมื่อครู่นี้พวกเราเพิ่งเสวนากันถึงสิ่งที่ผู้คนที่ด้อยวุฒิภาวะสำแดงออกมา  ในกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปของการทำความเข้าใจความจริงนั้น ผู้คนจะค่อยๆ แก้ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการด้อยวุฒิภาวะของตน เช่น ความเบาปัญญา ความไม่รู้ ความขลาดกลัว และความอ่อนแอ  ความอ่อนแอหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าส่วนที่เป็นการเชื่อในพระเจ้าในตัวเจ้านั้นมีน้อยเป็นพิเศษ การเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้านั้นน้อยมาก  เจ้าเชื่อตามคำสอนว่าพระเจ้าสามารถสำเร็จลุล่วงทุกสิ่งและพระองค์ก็ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง แต่พอเผชิญสถานการณ์จริง เจ้ากลับไม่กล้าเชื่อใจพระเจ้า เจ้าไม่กล้าฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับพระองค์พร้อมหัวใจทั้งดวง และเจ้าก็ไม่สามารถนบนอบ—นี่คือความอ่อนแอ  ความเบาปัญญา ความไม่รู้ ความขลาดกลัว และความเป็นกบฏของผู้คน สิ่งที่เป็นลบเหล่านี้สามารถแก้ไขได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือทำให้ดีขึ้นได้ในระดับต่างๆ กันด้วยการแสวงหาความจริงในการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น  ที่ว่าทำให้ดีขึ้นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้จะค่อยๆ ได้รับการแก้ไข ผลของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าย่อมดีขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเผชิญสถานการณ์ต่างๆ เจ้าก็สามารถสู้ทนได้มากกว่าที่เคยทำได้มาก่อน  ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมา เวลาเผชิญหน้าสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยความที่เจ้าด้อยวุฒิภาวะ เจ้าจึงอ่อนแอ กลายเป็นคนนิ่งดูดาย ซึ่งย่อมจะถึงกับส่งผลต่อท่าทีที่เจ้ามีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน  เจ้าจะอาละวาด ทิ้งหน้าที่ ทำตัวสุกเอาเผากิน และไม่แสดงให้เห็นความจงรักภักดี  ตอนนี้เวลาเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว ระดับความจงรักภักดีที่เจ้ามีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนกลับไม่ลดน้อยลง ถ้าเจ้ามีเรื่องยุ่งยากหรือความอ่อนแอในหัวใจ เจ้าก็สามารถแสวงหาความจริงมาแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้  นั่นหมายความว่าปัญหาเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตจะไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอีกต่อไป  อารมณ์ สภาวะ และความอ่อนแอของเจ้าจะไม่ส่งผลต่องานที่เจ้าได้รับมอบหมายอีกต่อไป และจะไม่ส่งผลต่อความรับผิดชอบ หน้าที่ และภาระผูกพันของเจ้า  นี่ก็คือการเพิ่มความสามารถให้เจ้าในการจัดการเรื่องต่างๆ และรับมือเหตุการณ์ภายนอกมิใช่หรือ?  นี่คือการเติบโตทางวุฒิภาวะ  บางคนถ้ามีการขอให้เล่นบทนำ ก็จะมีความสุขมากและถึงกับเดินเหมือนลอยไปในอากาศ แต่ถ้าขอให้เล่นเป็นตัวประกอบ พวกเขาก็จะลังเล อารมณ์เสีย และเดินคอตก  บางคนอยากเด่นอยู่เสมอเวลาเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แต่ไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงได้  พวกเขาไม่ยอมฝึกฝน แต่ก็ยังอยากยืนสูงๆ ให้เห็นหน้าตลอดเวลา  นี่ใช่การนบนอบโดยแท้หรือไม่?  นี่ใช่ท่าทีที่ถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่?  เมื่อคนเรามีวิธีคิดที่ไม่ถูกต้องและสภาวะของพวกเขาก็ผิด พวกเขาควรแสวงหาความจริงมาแก้ไข และในที่สุดก็สามารถแสวงหาและปฏิบัติความจริงได้ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นใดขึ้นมาก็ตาม นี่คือการมีประสบการณ์ชีวิต  เมื่อเจ้าสามารถแยกแยะเรื่องราวได้ทุกชนิด เมื่อนั้นเจ้าย่อมมีภูมิคุ้มกันแล้ว  ไม่ว่าเจ้าจะพบเจอสิ่งใดหรือว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้นเมื่อใด ก็จะไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และการปฏิบัติของเจ้าก็จะไม่ได้รับผลกระทบเพราะมีปัญหาเล็กน้อย มีอารมณ์นิดหน่อย หรือเพราะความเปลี่ยนแปลงในตัวผู้คน เหตุการณ์ สิ่งทั้งหลาย และรูปการณ์แวดล้อม ความสามารถของเจ้าที่จะเอาชนะบาป เอาชนะรูปการณ์และอารมณ์ต่างๆ ก็จะแข็งแกร่งขึ้น—นี่หมายความว่าวุฒิภาวะของเจ้าเติบโตขึ้นแล้ว  วุฒิภาวะเติบโตอย่างไร?  นี่เป็นผลที่สัมฤทธิ์เมื่อผู้คนค่อยๆ เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงด้วยการแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหา  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงบางอย่าง และความจริงเหล่านี้กลายมาเป็นชีวิตของเจ้า กลายมาเป็นรากฐานการประพฤติปฏิบัติของเจ้า กลายมาเป็นทัศนะที่เจ้าใช้จับสังเกตเรื่องต่างๆ และกลายมาเป็นความสว่างที่ชี้นำเจ้า เมื่อนั้นเจ้าย่อมเข้มแข็งแล้ว เจ้าจะไม่อ่อนแอบ่อยนัก  ยกตัวอย่าง เมื่อก่อนนี้เจ้าจะมีความสุขมากถ้าได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ถ้าถูกใครแทนที่ เจ้าก็จะคิดลบสักเดือนหรือสองเดือน ไม่เต็มใจทำสิ่งที่ขอให้เจ้าทำ ปฏิบัติงานด้วยท่าทีที่เป็นลบ กระทำการอย่างสุกเอาเผากิน จนถึงขั้นทิ้งหมดทุกสิ่ง  คราวนี้ถ้าเจ้าจะถูกแทนที่ เจ้าก็จะกล่าวว่า “ต่อให้ฉันถูกแทนที่ ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อฉัน  ฉันจะไม่คิดลบแม้แต่วันเดียว  ถ้าฉันถูกแทนที่ในวันนี้ วันรุ่งขึ้นฉันก็จะทำสิ่งที่ควรทำต่อไป  ฉันยอมรับและนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า”  นี่คือความเข้มแข็ง  ความเข้มแข็งนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และเวลาพบเจอเรื่องราว เจ้าก็ไม่แสวงหาความจริงมาแก้ไข ไม่มุ่งเน้นที่จะกระทำการตามหลักธรรม เจ้าจะมีวุฒิภาวะเช่นนี้หรือไม่?  เจ้าจะไม่มีวันเข้มแข็งถ้าเจ้าใช้ชีวิตตามปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของผู้ไม่มีความเชื่อ  ต่อเมื่อเจ้าใช้ชีวิตตามความจริงเท่านั้น เจ้าจึงจะค่อยๆ สามารถปล่อยมือจากความภาคภูมิใจ สถานะ และความทะนงตนได้ เพื่อที่ว่าในท้ายที่สุดก็จะไม่มีสิ่งใดโค่นเจ้าได้ และไม่มีสิ่งใดสามารถส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี  นี่คือการมีวุฒิภาวะ นี่คือความเข้มแข็ง  เมื่อเจ้าเข้มแข็งและวุฒิภาวะของเจ้าก็เติบโตขึ้นมาแล้ว เจ้าย่อมปฏิบัติหน้าที่ของตนได้มาตรฐานมากขึ้นทุกทีมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนดีพอ นั่นก็หมายความว่าเจ้ามีวุฒิภาวะบ้างแล้วมิใช่หรือ?  แล้ววุฒิภาวะนี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง?  ความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า การนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง และความจงรักภักดีต่อพระเจ้า รวมทั้งความสามารถที่จะปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้อง ยอมรับทุกสิ่งจากพระเจ้า สามารถนบนอบพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้า และหลบเลี่ยงความชั่ว  เหล่านี้คือสิ่งที่สำแดงถึงการเติบโตทางวุฒิภาวะ

ทั้งนี้ พวกเจ้าเคยรู้สึกอยู่ในจิตสำนึกของตนบ้างหรือไม่ว่าจำเป็นต้องตั้งเป้าหมายที่จะได้รับการช่วยให้รอดด้วย และพวกเจ้าจะทำตัวเลอะเลือนในเรื่องนี้ไม่ได้อีกต่อไป?  การทำความเข้าใจความจริงแต่ละข้อมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการได้รับการช่วยให้รอด เจ้าไม่อาจทำตัวเลอะเลือนในเรื่องของความจริงได้แม้แต่ข้อเดียว  การเชื่อในพระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงการมุมานะบ้าง วิ่งวุ่น สู้ทนความทุกข์บ้าง และสามารถบากบั่นผ่านบททดสอบไปได้โดยไม่สะดุดล้มเท่านั้น  ถ้าผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ามองเห็นอย่างแท้จริงว่าการได้รับการช่วยให้รอดเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตและทำให้การได้มาซึ่งความจริงเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะสามารถปล่อยมือจากสิ่งใดก็ได้  การปล่อยมือย่อมจะง่ายสำหรับพวกเขา  ถ้าคนเรายังไม่รู้สึกว่าการได้รับการช่วยให้รอดสำคัญเพียงใด เช่นนั้นก็เบาปัญญาและไม่รู้ความ พวกเขามีความเชื่อน้อยเกินไป และยังคงใช้ชีวิตอย่างยากเย็น  ถ้าใครบางคนไม่รักความจริง ก็ยากที่พวกเขาจะสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ  นี่เป็นเพราะการที่จะสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอนั้น คนเราจำต้องเข้าใจความจริงหลายประการและเข้าถึงความจริงหลายข้ออีกด้วย  ระหว่างที่ทำความเข้าใจและเข้าสู่ความจริงอยู่นั้น หน้าที่ที่คนเราปฏิบัติก็จะค่อยๆ ดีพอ ความอ่อนแอและอารมณ์ต่างๆ นานาของพวกเขาจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง และสภาวะต่างๆ ของพวกเขาก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเช่นกัน  ระหว่างที่ทำความเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอยู่นั้น คนเราย่อมจะมีความชัดเจนในตนเองมากขึ้นเกี่ยวกับนิมิตในเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าและการได้รับการช่วยให้รอด พร้อมกันนั้นความประสงค์และการเรียกร้องให้ตนได้รับการช่วยให้รอดก็จะมีความเร่งด่วนมากขึ้นทุกที  ที่ว่าเร่งด่วนนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าสามารถรู้สึกได้ว่าการได้รับการช่วยให้รอดเป็นเรื่องเร่งด่วน เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง และถ้าเจ้าไม่แก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน ก็อาจเป็นอันตรายได้มาก และเจ้าก็จะไม่สามารถได้รับความรอด  นี่คือวิธีคิดที่สำนึกถึงความเร่งด่วน  ในตอนแรกเจ้าไม่มีแนวคิดเรื่องการได้รับการช่วยให้รอดหรือถูกทำให้เพียบพร้อม  เจ้าค่อยๆ มาเข้าใจว่ามนุษย์มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและจำเป็นต้องมีพระเจ้ามาช่วยให้ตนรอด  เจ้าค้นพบว่าผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในบาป ติดอยู่ในกับดักที่เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ไร้อิสรภาพ มีชีวิตที่ทุกข์ยิ่ง และไม่ช้าก็เร็วพวกเขาย่อมจะถูกกระแสนิยมอันชั่วของซาตานพัดพาไป  เจ้าตระหนักว่ามนุษย์ไม่อาจตั้งมั่นได้ด้วยตนเอง—ไม่ว่าเจ้าจะเข้มแข็งหรือมุ่งมั่นเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าเจ้าจะติดตามพระเจ้าไปจนสุดทาง—และตระหนักว่าเจ้าต้องไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าต้องมีประสบการณ์กับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงเพื่อที่จะเข้าใจความจริงและรู้จักตนเอง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะติดตามพระเจ้าไปจนสุดทาง  ตรงจุดนี้เองที่เจ้าเริ่มรู้สึกถึงความเร่งด่วนบางอย่างเกี่ยวกับการได้รับการช่วยให้รอด  การเข้าใจความจริงมีความสำคัญยิ่งต่อการได้รับการช่วยให้รอด  การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องสำคัญที่คนเราต้องไม่มีวันละทิ้งหรือมองข้าม  การที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่นั้นสัมพันธ์โดยตรงกับการได้รับการช่วยให้รอด และเชื่อมโยงอย่างสนิทแน่นว่าเจ้าจะสามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้าหรือไม่  ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอยู่นั้น ปัญหาและเรื่องยุ่งยากทั้งหมดที่เจ้าพบเจอต้องได้รับการแก้ไขด้วยการแสวงหาความจริง แล้วความอ่อนแอ ความไม่รู้ และความเบาปัญญาของเจ้าก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน  ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าความสามารถของเจ้าในการเอาชนะบาปย่อมแข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว และเจ้าก็ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ กับอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนและเรื่องเลวทั้งหลาย  เจ้ามีวิจารณญาณและมีความรู้สึกมากขึ้นในหัวใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้  ในเวลานี้บางคนยังขาดความตระหนักรู้เช่นนี้ และไม่รู้สึกอันใดเมื่อพวกเขามองเห็นบาป ความเลว หรือสิ่งที่เป็นของซาตาน—นี่ยอมรับไม่ได้และแสดงให้เห็นว่าวุฒิภาวะของพวกเขายังคงห่างไกลนัก  ส่วนคนอื่นบ้างก็ไม่มีความรู้สึก ไม่มีวิจารณญาณ และไม่มีแม้กระทั่งวี่แววของความเกลียดชังที่แท้จริงต่อพฤติกรรมที่เป็นบาปและแง่มุมต่างๆ ที่อัปลักษณ์ของซาตาน  พวกเขาไม่มีความตระหนักรู้หรือวิจารณญาณ และยิ่งไม่มีความเกลียดชังใดๆ ให้กับการกระทำของตนและความเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมา รวมทั้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและเรื่องอัปลักษณ์ในหัวใจส่วนลึกของพวกเขา—ผู้คนเหล่านี้ยังคงห่างไกลจากการมีวุฒิภาวะ  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะมีช่องว่างห่างกันเพียงใด ไม่ว่าคนเราจะอ่อนแอหรือด้อยวุฒิภาวะเพียงใดในตอนนี้ นี่ไม่ใช่ปัญหา เพราะพระเจ้าได้ประทานเส้นทางและทิศทางไว้ให้ผู้คนใช้แก้ปัญหาเหล่านี้แล้ว  ขณะที่เจ้าค่อยๆ ทำได้ตามมาตรฐานของการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ เจ้าก็ไล่ตามเสาะหาการเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงไปด้วย  ขณะที่เจ้าไล่ตามเสาะหาการเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ความสามารถของเจ้าที่จะเอาชนะบาปย่อมแข็งแกร่งขึ้น และความสามารถของเจ้าในการมีวิจารณญาณแยกแยะเรื่องเลวๆ ก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน อันเป็นการแก้ไขความอ่อนแอและความเป็นกบฏของเจ้าไม่มากก็น้อย  ยกตัวอย่างเวลาที่เจ้าด้อยวุฒิภาวะและพบเจอสถานการณ์สักอย่าง ต่อให้เจ้ารู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี เจ้าก็อาจจะถูกมันตีกรอบและพันธนาการเอาไว้อยู่ดี และอาจถึงกับเข้าร่วมด้วย  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและสามารถปฏิบัติความจริงบางอย่างได้ นอกจากจะชิงชังเรื่องดังกล่าวอยู่ในหัวใจของตนแล้ว เจ้าย่อมจะปฏิเสธและไม่ยอมมีส่วนร่วมในเรื่องเหล่านั้นอีกด้วย พร้อมกันนั้นเจ้าก็จะช่วยให้ผู้อื่นเป็นอิสระจากสถานการณ์ดังกล่าว  นี่คือความก้าวหน้า นี่คือการเติบโตทางวุฒิภาวะ  อะไรคือเครื่องชี้วัดการเติบโตทางวุฒิภาวะ?  ก่อนอื่นคนเราย่อมมีความจงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีพฤติกรรมที่สุกเอาเผากินอีกต่อไป  นอกจากนี้ความเชื่อที่คนเรามีในพระเจ้าก็จริงแท้ยิ่งขึ้นและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น และมีการนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง  ยิ่งไปกว่านั้น คนเราย่อมจะสามารถแยกแยะและเอาชนะการทดลองและการก่อกวนของซาตานได้ ซาตานไม่อาจควบคุมหรือชักพาให้พวกเขาหลงผิดได้อีกต่อไป และพวกเขาก็สามารถหลุดเป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตาน  เมื่อเป็นดังนี้ คนเราย่อมได้มาตรฐานแล้วโดยแท้ที่จะได้รับการช่วยให้รอด

หลังการสามัคคีธรรมในวันนี้แล้ว พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าจะประเมินอย่างไรว่าหน้าที่ที่พวกเจ้าปฏิบัติได้มาตรฐานหรือยัง?  ถ้าเจ้ารู้ ก็พิสูจน์ว่าเจ้าเข้าใจความจริงเหล่านี้บ้างแล้วและมีความก้าวหน้า  ถ้าเจ้าไม่รู้ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ายังไม่เข้าใจสิ่งที่กล่าวมา และยังเข้าไม่ถึง  เจ้าจำเป็นต้องมีความกระจ่างชัดสองด้าน ด้านหนึ่งคือความสามารถที่จะประเมินตัวเอง อีกด้านหนึ่งคือการรู้ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไรจึงจะได้มาตรฐาน และรู้เส้นทาง  ที่ผ่านมา การเสวนาของพวกเราโดยมากมุ่งเน้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ค่อยเอ่ยถึงการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ  วันนี้เรื่องเสวนาหลักจึงเกี่ยวข้องกับมาตรฐานของการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ  โดยพื้นฐานแล้ว พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงมาตรฐานของการทำให้ดีพอ รวมถึงความจริงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในด้านนี้จนมีความชัดเจนมากแล้ว  นอกจากนี้ก็มีเรื่องที่ว่าควรหลีกเลี่ยงเรื่องใดและควรค้ำชูหลักธรรมใดบ้างขณะปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งไม่ควรผิดพลาดในเรื่องใด—ทั้งหมดนี้สำคัญมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้ามลักขโมยของถวาย ห้ามผลีผลามมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว และห้ามท้าทายการจัดแจงเตรียมงานต่างๆ  ถ้าเจ้าทำความผิดเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จบสิ้นหมดทุกอย่าง ไม่มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ดังนั้น จงอย่าเลือกเส้นทางที่ผิด อย่าเดินบนเส้นทางของคนชั่ว  ทันทีที่เจ้าก้าวเท้าไปบนทางเส้นนั้น ก็ไม่มีหวังแล้วโดยแท้ ไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าให้รอดได้  ถ้าพระเจ้าไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด เช่นนั้นแล้วก็แน่นอนว่าตัวเจ้าเองก็ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้เช่นกัน  ถ้ามีใครเดินไปถึงจุดนั้น นั่นย่อมเป็นปัญหาร้ายแรง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับตัว  ตามแก่นแท้แล้ว นั่นคือทางที่ไปไม่ถึงไหนเลย

28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018

ก่อนหน้า: โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (3)

ถัดไป: การแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger