มนุษย์ผู้ที่ได้จำกัดเขตพระเจ้าไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเขาสามารถได้รับวิวรณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร?
พระราชกิจของพระเจ้ากำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเสมอ และแม้ว่าเป้าประสงค์ของพระราชกิจของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง วิธีการซึ่งพระองค์ทรงใช้ในการปฏิบัติพระราชกิจนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหมายความว่าบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าก็กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ยิ่งพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจมากขึ้นเท่าใด ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าก็ยิ่งละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายซึ่งสอดคล้องกันก็เกิดขึ้นในอุปนิสัยของมนุษย์โดยเป็นผลตามมาจากพระราชกิจของพระเจ้าเช่นกัน อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเพราะว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และบรรดาผู้คนสิ้นคิดซึ่งไม่รู้จักความจริงกลายเป็นผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าไม่เคยสอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์เลย ด้วยเหตุที่พระราชกิจของพระองค์นั้นใหม่เสมอและไม่เคยเก่า และพระองค์ไม่เคยทรงปฏิบัติพระราชกิจเดิมซ้ำเลย แต่กลับทรงทะยานไปข้างหน้าด้วยพระราชกิจใหม่ซึ่งไม่เคยถูกทำมาก่อน เนื่องจากพระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ซ้ำ และมนุษย์ตัดสินพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้าอยู่เป็นนิจศีลจากพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติไปในอดีต มันได้กลายเป็นยากเหลือเกินสำหรับพระเจ้าที่จะทรงดำเนินการแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของยุคใหม่ มนุษย์มีความลำบากยากเย็นมากมายเกินไป! เขามีความคิดเชิงอนุรักษ์นิยมมากเกินไป! ไม่มีใครรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า แต่กระนั้นทุกคนกลับจำกัดเขตพระราชกิจนั้น เมื่อเขาละทิ้งพระเจ้า มนุษย์สูญเสียชีวิต ความจริง และพระพรของพระเจ้า แต่กระนั้นเขาก็ไม่ยอมรับชีวิตและความจริง นับประสาอะไรที่เขาจะยอมรับพระพรที่ยิ่งใหญ่กว่าซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่มวลมนุษย์ พวกมนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาที่จะได้รับพระเจ้า แต่กระนั้นกลับไม่สามารถยอมผ่อนปรนต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในพระราชกิจของพระเจ้าได้ พวกที่ไม่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเชื่อว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เชื่อว่ามันจะยังคงหยุดนิ่งตลอดกาล ในการเชื่อของพวกเขา ทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อที่จะได้รับความรอดชั่วนิรันดร์จากพระเจ้าคือการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ และตราบเท่าที่พวกเขากลับใจและสารภาพบาปของพวกเขา น้ำพระทัยของพระเจ้าจะเป็นที่พึงพอใจเสมอ พวกเขามีความคิดเห็นว่าพระเจ้าสามารถเป็นได้เพียงพระเจ้าภายใต้ธรรมบัญญัติและพระเจ้าผู้ทรงถูกตรึงบนกางเขนเพื่อมนุษย์เท่านั้น มันเป็นความคิดเห็นของพวกเขาอีกเช่นกันว่าพระเจ้าไม่ควรทรงและไม่สามารถกระทำเกินกว่าพระคัมภีร์ได้ ความคิดเห็นเหล่านี้นี่เองที่ได้ตีตรวนจองจำพวกเขาอย่างแน่นหนาเข้ากับธรรมบัญญัติยุคเก่า และตอกตรึงพวกเขาเข้ากับกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ตายไปแล้ว มีผู้คนมากกว่านี้ด้วยซ้ำที่เชื่อว่า ไม่ว่าพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าจะเป็นอะไรก็ตาม มันต้องได้รับการยืนยันโดยการเผยพระวจนะ และเชื่อว่าในแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจดังกล่าว บรรดาทุกคนที่ติดตามพระองค์ด้วยหัวใจ “ที่แท้จริง” ก็จะต้องได้รับการเผยให้เห็นวิวรณ์เช่นกัน หากไม่เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจดังกล่าวก็คงไม่สามารถเป็นพระราชกิจของพระเจ้าไปได้ มันไม่ใช่งานง่ายอยู่แล้วสำหรับมนุษย์ที่จะได้มารู้จักพระเจ้า เมื่อรวมเข้ากับหัวใจที่ไร้สาระของมนุษย์และธรรมชาติอันเป็นกบฏของเขาในความคิดว่าตนเองสำคัญเหนือผู้อื่นและความทะนงตนแล้ว ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกที่เขาจะยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า มนุษย์นั้นทั้งไม่พินิจพิเคราะห์พระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอย่างถี่ถ้วนและทั้งไม่ยอมรับพระราชกิจด้วยความถ่อมใจ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับใช้ท่าทีที่เหยียดหยามขณะที่ตัวเขารอคอยการเปิดเผยและการทรงนำจากพระเจ้า นี่เป็นพฤติกรรมของพวกที่ต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้ามิใช่หรือ? ผู้คนดังกล่าวสามารถได้รับการรับรองจากพระเจ้าได้อย่างไร?
พระเยซูได้ตรัสว่าพระราชกิจของพระยาห์เวห์ได้หมดสมัยไปในยุคพระคุณ เหมือนดั่งเราที่พูดวันนี้ ว่าพระราชกิจของพระเยซูก็หมดสมัยไปแล้วเช่นกัน หากมีเพียงยุคธรรมบัญญัติเท่านั้นและไม่มียุคพระคุณ เช่นนั้นแล้วพระเยซูก็คงจะไม่ได้ทรงถูกตอกตรึงบนกางเขนและคงจะมิได้ทรงไถ่มวลมนุษย์ทั้งมวล หากมีเพียงยุคธรรมบัญญัติเท่านั้น มวลมนุษย์จะสามารถมาไกลได้ถึงทุกวันนี้หรือ? ประวัติศาสตร์เคลื่อนไปข้างหน้า และกฎธรรมชาติแห่งพระราชกิจของพระเจ้านั้น หาใช่ประวัติศาสตร์หรอกหรือ? นี่ไม่ใช่เป็นการบรรยายภาพของการบริหารจัดการมนุษย์ของพระองค์ทั่วทั้งจักรวาลหรอกหรือ? ประวัติศาสตร์เคลื่อนไปข้างหน้า และพระราชกิจของพระเจ้าก็เคลื่อนไปข้างหน้าเช่นกัน น้ำพระทัยของพระเจ้ากำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พระองค์ไม่อาจทรงคงไว้ที่พระราชกิจเพียงระยะเดียวได้เป็นเวลาถึงหกพันปี ด้วยเหตุดังที่ทุกคนรู้ พระเจ้าทรงใหม่เสมอและไม่เคยทรงเก่าเลย และคงเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจเช่นการถูกตรึงบนกางเขนต่อไป ถูกตอกตรึงบนกางเขนหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ต่อไปเรื่อยๆ… มันคงจะไร้สาระน่าขันที่จะคิดดังนั้น พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจเดิมต่อไปเรื่อยๆ พระราชกิจของพระองค์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและใหม่เสมอ มากมายเท่ากับที่เรากล่าวถ้อยคำใหม่ๆ กับพวกเจ้าและทำงานใหม่ทุกวัน นี่คืองานที่เราทำ และกุญแจสำคัญก็คือคำว่า “ใหม่” และ “มหัศจรรย์” “พระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลง และพระเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าเสมอ”: คำกล่าวนี้ เป็นจริงโดยแท้ แก่นแท้ของพระเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเสมอ และพระองค์ไม่มีวันที่จะทรงกลายเป็นซาตานไปได้ แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าพระราชกิจของพระองค์นั้นเกิดขึ้นตลอดเวลาและไม่มีวันปรวนแปรเช่นเดียวกับแก่นแท้ของพระองค์ เจ้าประกาศแถลงว่าพระเจ้าไม่มีวันทรงเปลี่ยนแปลง ว่าแต่ว่าเช่นนั้นแล้ว เจ้าสามารถอธิบายได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงใหม่เสมอและไม่เคยทรงเก่าเลยอย่างไร? พระราชกิจของพระเจ้าเผยแพร่ไปอย่างต่อเนื่องและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และน้ำพระทัยของพระองค์จะทรงถูกสำแดงและถูกทำให้เป็นที่รู้จักต่อมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า อุปนิสัยของเขาเปลี่ยนแปลงโดยไม่หยุดหย่อน เช่นเดียวกับความรู้ของเขา เช่นนั้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นมาจากทางไหนกัน? มันไม่ได้มาจากพระราชกิจของพระเจ้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาหรอกหรือ? หากอุปนิสัยของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถยอมให้งานของเราและถ้อยคำของเราเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องด้วยเล่า? เราจะต้องตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทั้งหลายของมนุษย์ด้วยหรือ? ในการนี้ เจ้าไม่ได้กำลังใช้ข้อโต้แย้งแกมบังคับและตรรกะที่ผิดประหลาดอยู่หรอกหรือ?
ภายหลังการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ พระเยซูได้ทรงปรากฏต่อบรรดาสาวกและได้ตรัสว่า “เราจะส่งสิ่งที่พระบิดาของเราทรงสัญญานั้นลงมาเหนือท่าน แต่ท่านทั้งหลายจงคอยอยู่ในกรุง จนกว่าท่านจะสวมด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน” เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะสามารถอธิบายถ้อยคำเหล่านี้ได้อย่างไร? ตอนนี้เจ้าสวมด้วยฤทธานุภาพของพระองค์หรือไม่? เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่า “ฤทธานุภาพ” อ้างอิงถึงอะไร พระเยซูได้ทรงกล่าวประกาศว่าพระวิญญาณแห่งความจริงจะถูกประทานแก่มนุษย์ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย ยุคสุดท้ายอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าพระวิญญาณแห่งความจริงทรงแสดงพระวจนะทั้งหลายอย่างไร? พระวิญญาณแห่งความจริงทรงปรากฏและทรงปฏิบัติพระราชกิจ ณ ที่ใด? ในหนังสือเผยพระวจนะของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ ไม่เคยมีการเอ่ยถึงใดๆ ว่า เด็กคนหนึ่งผู้มีนามว่าพระเยซู จะถือกำเนิดในยุคภาคพันธสัญญาใหม่ มีเพียงการเขียนไว้ว่า เด็กทารกเพศชายคนหนึ่งผู้มีนามว่าเอมมานูเอล จะถือกำเนิดขึ้น ทำไมพระนาม “พระเยซู” จึงไม่ได้ถูกเอ่ยถึง? พระนามนี้ไม่ทรงปรากฏในที่ใดเลยในภาคพันธสัญญาเดิม ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมเจ้าจึงยังคงเชื่อในพระเยซู? แน่นอนว่าเจ้าไม่ได้เพียงแค่เริ่มเชื่อในพระเยซูหลังจากที่ได้เห็นพระองค์ด้วยตาทั้งสองข้างของเจ้าเองแล้วเท่านั้น ใช่หรือไม่? หรือว่าเจ้าได้เริ่มที่จะเชื่อก็เมื่อตอนที่ได้รับวิวรณ์แล้ว? พระเจ้าจะทรงแสดงให้เจ้าเห็นพระคุณเช่นนั้นจริงๆ หรือ? พระองค์จะประทานพระพรอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นแก่เจ้าหรือ? อะไรคือพื้นฐานของความเชื่อของเจ้าในพระเยซู? ทำไมเจ้าจึงไม่เชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในวันนี้? ทำไมเจ้าจึงพูดว่า การที่วิวรณ์จากพระเจ้าไม่ปรากฏต่อเจ้านั้น พิสูจน์ว่าพระองค์ไม่ได้ทรงจุติเป็นมนุษย์? พระเจ้าจำต้องทรงแจ้งแก่ผู้คนก่อนที่จะทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์อย่างนั้นหรือ? พระองค์จำต้องทรงได้รับการเห็นชอบจากพวกเขาก่อนหรือ? อิสยาห์เพียงแค่กล่าวประกาศว่าทารกเพศชายคนหนึ่งจะถือกำเนิดในรางหญ้า เขาไม่เคยได้พยากรณ์ว่ามารีย์จะให้กำเนิดพระเยซู การเชื่อของเจ้าในเรื่องที่พระเยซูถือกำเนิดจากมารีย์มีพื้นฐานมาจากตรงไหนกันแน่? แน่นอนหรือว่าการเชื่อของเจ้าไม่สับสนปนเป? บางคนพูดว่าพระนามของพระเจ้านั้นไม่เปลี่ยน ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมพระนามของพระยาห์เวห์จึงได้กลายเป็นพระเยซูเล่า? ได้มีการพยากรณ์ไว้ว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา แล้วเหตุใดชายคนที่มาจึงชื่อพระเยซู? เหตุใดพระนามของพระเจ้าจึงเปลี่ยนพระราชกิจดังกล่าวไม่ได้ถูกดำเนินการนานมาแล้วหรอกหรือ? ขอพระเจ้าทรงโปรดไม่ปฏิบัติพระราชกิจซึ่งใหม่กว่าในวันนี้เลย? พระราชกิจแห่งวันวานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และพระราชกิจของพระเยซูสามารถเกิดขึ้นตามหลังพระราชกิจของพระยาห์เวห์ได้ เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจอื่นๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นต่อจากพระราชกิจของพระเยซูเชียวหรือ? หากพระนามของพระยาห์เวห์สามารถเปลี่ยนเป็นพระเยซู แล้วพระนามของพระเยซูจะไม่สามารถเปลี่ยนได้เช่นกันหรือ? ไม่มีอะไรในเรื่องนี้ที่แปลกประหลาดเลย เป็นเพียงแค่ว่าผู้คนนั้นด้อยปัญญาเกินไป พระเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าเสมอ ไม่สำคัญว่าพระราชกิจของพระองค์จะเปลี่ยนไปเช่นใด และไม่คำนึงถึงว่าพระนามของพระองค์อาจเปลี่ยนไปเช่นใด พระอุปนิสัยและพระปรีชาญาณของพระองค์จะไม่มีวันเปลี่ยน หากเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงได้รับการเรียกขานได้ว่าพระเยซูเท่านั้น เช่นนั้นแล้วความรู้ของเจ้าก็ย่อมถูกจำกัดมากเกินไปแล้ว เจ้ากล้ายืนยันหรือไม่ว่า พระเยซูจะทรงเป็นพระนามของพระเจ้าตลอดกาล ว่าพระเจ้าจะทรงใช้พระนามของพระเยซูตลอดกาลและเสมอไป และว่านี่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง? เจ้ากล้ายืนยันด้วยความแน่ใจหรือไม่ว่า พระนามของพระเยซูนั่นเองที่ได้ทำการยุติยุคธรรมบัญญัติและจะทำการยุติยุคสุดท้ายเช่นกัน? ใครจะสามารถพูดได้ว่าพระคุณของพระเยซูสามารถนำพายุคนี้ไปสู่จุดจบได้? หากเจ้าขาดความเข้าใจที่ชัดเจนในความจริงทั้งหลายเหล่านี้ เจ้าก็ย่อมจะไม่เพียงแค่ไม่สามารถประกาศข่าวประเสริฐได้เท่านั้น แต่เจ้าเองยังจะไม่สามารถตั้งมั่นได้เช่นกัน เมื่อวันนั้นมาถึงซึ่งเป็นวันที่เจ้าทำให้ความลำบากยากเย็นทั้งหมดของผู้คนที่เคร่งศาสนาเหล่านั้นหมดไปและหักล้างความเข้าใจผิดทั้งหมดของพวกเขา นั่นจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าเจ้ามั่นใจในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจอย่างแน่นอนที่สุด และไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยแม้แต่น้อยนิด หากเจ้าไม่สามารถหักล้างความเข้าใจผิดของพวกเขาได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมจะใส่ความเจ้าและใส่ร้ายป้ายสีเจ้า นั่นจะไม่เป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูหรอกหรือ?
พวกยิวทุกคนอ่านภาคพันธสัญญาเดิมและรู้เรื่องการเผยพระวจนะของอิสยาห์ว่าทารกเพศชายคนหนึ่งจะถือกำเนิดในรางหญ้า เช่นนั้นแล้ว ทั้งๆ ที่ตระหนักรู้ถึงการเผยพระวจนะนี้อยู่แก่ใจ เหตุใดพวกเขาจึงยังคงข่มเหงพระเยซู? ไม่ใช่เพราะธรรมชาติอันเป็นกบฏและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกเขาในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ? ในเวลานั้น พวกฟาริสีเชื่อว่าพระราชกิจของพระเยซูแตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาได้รู้มาเกี่ยวกับทารกเพศชายซึ่งได้ถูกกล่าวคำเผยพระวจนะไว้ และผู้คนในวันนี้ก็ปฏิเสธพระเจ้าเพราะพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ ธาตุแท้ในความเป็นกบฏของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าไม่ได้เป็นเหมือนกันหรอกหรือ? เจ้าสามารถยอมรับพระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยที่ปราศจากคำถามได้หรือไม่? หากเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ย่อมเป็นกระแสที่ถูกต้อง และเจ้าควรยอมรับมันโดยปราศจากความหวาดหวั่นเคลือบแคลงใดๆ เจ้าไม่ควรเลือกเฟ้นว่าจะยอมรับสิ่งใด หากเจ้าได้รับ “ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก” เกี่ยวกับพระเจ้ามากขึ้น และใช้ความระมัดระวังต่อพระองค์ให้มากขึ้น เช่นนั้นแล้ว การนี้จะไม่มีเหตุผลกระนั้นหรือ? เจ้าไม่จำเป็นต้องมองหาการพิสูจน์ยืนยันเพิ่มเติมจากพระคัมภีร์ หากนั่นคือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าก็ย่อมต้องยอมรับสิ่งนั้น ด้วยเหตุที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าเพื่อติดตามพระเจ้า และเจ้าไม่ควรเจาะลึกพระองค์ เจ้าไม่ควรแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเราเพื่อพิสูจน์ว่าเราคือพระเจ้าของเจ้า แต่เจ้าควรสามารถหยั่งรู้ได้ว่าเราเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหรือไม่—นี่คือสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุด ต่อให้เจ้าพบข้อพิสูจน์ซึ่งไม่อาจหักล้างได้อย่างมากภายในพระคัมภีร์ มันก็ไม่สามารถนำพาเจ้ามาอยู่ต่อหน้าเราได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เจ้าเพียงแค่ใช้ชีวิตภายในขอบเขตของพระคัมภีร์ และไม่ใช่ต่อหน้าเรา พระคัมภีร์ไม่สามารถช่วยให้เจ้ารู้จักเรา ทั้งยังไม่สามารถทำให้ความรักของเจ้าที่มีให้เราลึกซึ้งยิ่งขึ้น แม้พระคัมภีร์ได้กล่าวคำเผยพระวจนะไว้ว่าทารกเพศชายคนหนึ่งจะถือกำเนิดขึ้น ไม่มีใครสามารถหยั่งลึกได้ว่าคำเผยพระวจนะนั้นจะเกิดขึ้นกับใคร ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่ได้รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่ได้ทำให้พวกฟาริสียืนต้านพระเยซู บางคนรู้ว่างานของเราเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ แต่กระนั้นพวกเขากลับยังคงเชื่ออยู่ต่อไปว่าพระเยซูและเราเป็นสองสิ่งที่แยกจากกันอย่างสิ้นเชิง เป็นสิ่งดำรงอยู่ซึ่งไม่อาจลงรอยในกันและกัน ในเวลานั้น พระเยซูเพียงแค่ทรงให้คำเทศนาชุดหนึ่งในยุคพระคุณแก่บรรดาสาวกของพระองค์ในหัวข้อทั้งหลาย อาทิ จะฝึกฝนปฏิบัติอย่างไร จะชุมนุมกันอย่างไร จะวิงวอนในการอธิษฐานอย่างไร จะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร เป็นต้น พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงดำเนินการเป็นพระราชกิจของยุคพระคุณ และพระองค์ได้ทรงชี้แจงไว้เพียงแค่ว่า บรรดาสาวกและบรรดาผู้ที่ได้ติดตามพระองค์ควรจะฝึกฝนปฏิบัติอย่างไร พระองค์เพียงแค่ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณเท่านั้น และไม่ใช่พระราชกิจใดของยุคสุดท้ายเลย เมื่อพระยาห์เวห์ได้ทรงกำหนดธรรมบัญญัติของภาคพันธสัญญาเดิมในยุคธรรมบัญญัติ เช่นนั้นแล้วเหตุใดพระองค์จึงไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณเล่า? เหตุใดพระองค์จึงไม่ได้ทรงทำให้พระราชกิจของยุคพระคุณเป็นที่เข้าใจชัดเจนล่วงหน้าเล่า? นี่จะไม่ได้ช่วยมนุษย์ให้ยอมรับมันแล้วหรอกหรือ? พระองค์เพียงแค่ได้ตรัสคำเผยพระวจนะว่าทารกเพศชายคนหนึ่งจะถือกำเนิดและมามีฤทธานุภาพ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงดำเนินพระราชกิจของยุคพระคุณล่วงหน้า พระราชกิจของพระเจ้าในแต่ละยุคมีเขตคั่นที่ชัดเจน พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคปัจจุบันเท่านั้น และไม่เคยทรงดำเนินช่วงระยะถัดไปของพระราชกิจล่วงหน้า ด้วยเหตุนี้เท่านั้นพระราชกิจซึ่งเป็นตัวแทนของพระองค์ในแต่ละยุคจึงจะสามารถถูกเน้นให้เห็นชัดได้ พระเยซูได้ตรัสถึงเพียงหมายสำคัญทั้งหลายของยุคสุดท้าย ถึงวิธีที่จะอดทนและวิธีที่จะได้รับการช่วยให้รอด ถึงวิธีที่จะกลับใจและสารภาพ และถึงวิธีที่จะแบกรับกางเขนและสู้ทนความทุกข์เท่านั้น พระองค์ไม่เคยได้ตรัสถึงวิธีที่มนุษย์ในยุคสุดท้ายควรสัมฤทธิ์การเข้าสู่ อีกทั้งไม่เคยได้ตรัสถึงวิธีที่เขาควรพยายามทำเพื่อให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น มันไม่ไร้สาระน่าขันหรอกหรือที่จะค้นคว้าพระคัมภีร์เพื่อหาพระราชกิจของพระเจ้าของยุคสุดท้าย? อะไรหรือที่เจ้าสามารถมองเห็นได้โดยแค่เพียงยึดกุมพระคัมภีร์เอาไว้? ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้อรรถาธิบายพระคัมภีร์หรือนักบวช ใครเล่าที่จะสามารถได้เห็นพระราชกิจของวันนี้ได้ล่วงหน้า?
“ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” ตอนนี้พวกเจ้าได้ยินพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วหรือยัง? พระวจนะของพระเจ้าได้มาถึงพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าได้ยินพระวจนะเหล่านั้นหรือไม่? พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งพระวจนะในยุคสุดท้าย และพระวจนะดังกล่าวก็คือพระวจนะทั้งหลายของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยเหตุที่พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์และยังสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น พระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตามที่พูดถึงกันในอดีต จึงเป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในวันนี้ มีผู้คนโง่ทึ่มไร้สาระจำนวนมากที่เชื่อว่าเนื่องจากเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่กำลังตรัส พระสุรเสียงของพระองค์จึงควรตรัสจากฟ้าสวรรค์ชั้นทั้งหลายเพื่อที่ผู้คนจะได้ยิน ใครก็ตามที่คิดแบบนี้ไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า ในความเป็นจริงแล้ว ถ้อยดำรัสที่ตรัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือถ้อยคำที่กล่าวโดยพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถตรัสกับมนุษย์ได้โดยตรง แม้ในยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ตรัสกับผู้คนโดยตรง มันจะไม่ยิ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากหรอกหรือที่พระองค์จะทรงทำเช่นนั้นในยุคนี้ ณ วันนี้? เพื่อที่พระเจ้าจะได้ตรัสถ้อยดำรัสทั้งหลายในอันที่จะดำเนินการพระราชกิจ พระองค์จะต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ มิฉะนั้น พระราชกิจของพระองค์ก็คงจะไม่สามารถสำเร็จลุล่วงในเป้าหมายของพระราชกิจนั้นได้ พวกที่ปฏิเสธพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์คือพวกที่ไม่รู้จักพระวิญญาณหรือหลักการทั้งหลายซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการปฏิบัติพระราชกิจ พวกที่เชื่อว่าบัดนี้คือยุคของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่กระนั้นกลับไม่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระองค์ คือพวกที่ใช้ชีวิตท่ามกลางความเชื่อที่คลุมเครือและเป็นนามธรรม ผู้คนเช่นนั้นจะไม่มีวันรับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้ พวกที่ขอเพียงแค่ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสและดำเนินพระราชกิจของพระองค์โดยตรง และไม่ยอมรับพระวจนะหรือพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ จะไม่มีวันสามารถก้าวเข้าสู่ยุคใหม่หรือได้รับการนำมาซึ่งความรอดอันบริบูรณ์โดยพระเจ้าเลย!