เจ้าควรละมือจากพรเกี่ยวกับสถานะและทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเรื่องการนำความรอดมาสู่มนุษย์
จากมุมมองของมนุษย์ การทำให้พงศ์พันธุ์ของโมอับได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย และพวกเขาไม่มีคุณสมบัติเหมาะที่จะได้รับการทำให้เป็นเช่นนั้น ในทางกลับกัน แน่นอนว่าลูกหลานของดาวิดมีความหวัง และสามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ได้โดยแท้จริง หากใครบางคนเป็นพงศ์พันธุ์หนึ่งของโมอับ พวกเขาย่อมไม่สามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ได้ แม้กระทั่งตอนนี้ พวกเจ้าก็ยังคงไม่รู้ถึงนัยสำคัญของพระราชกิจที่กำลังทรงทำอยู่ในหมู่พวกเจ้า กล่าวคือ ณ ช่วงระยะนี้ พวกเจ้ายังคงยึดถือความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตไว้ในหัวใจของพวกเจ้า และไม่เต็มใจที่จะปล่อยวางสิ่งเหล่านั้น ไม่มีใครสนใจว่าเหตุใดวันนี้พระเจ้าจึงแค่ได้ทรงเลือกสรรที่จะทรงพระราชกิจกับกลุ่มผู้คนที่ไร้ค่าที่สุดอย่างตัวพวกเจ้า อาจเป็นได้หรือว่าพระองค์ได้ทรงกระทำผิดพลาดในพระราชกิจนี้? พระราชกิจนี้คือความพลั้งเผลอไปชั่วขณะกระนั้นหรือ? เหตุใดพระเจ้า ผู้ทรงทราบเสมอมาว่าพวกเจ้าเป็นลูกหลานของโมอับ จึงเสด็จลงมาเพื่อทรงพระราชกิจท่ามกลางพวกเจ้าอย่างเฉพาะเจาะจง? การนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับพวกเจ้าเลยหรือ? พระเจ้าไม่เคยทรงพิจารณาการนี้เลยหรือเมื่อกำลังทรงพระราชกิจของพระองค์? พระองค์ทรงประพฤติในลักษณะอันหุนหันกระนั้นหรือ? พระองค์ไม่ได้ทรงทราบตั้งแต่เริ่มต้นหรอกหรือว่าพวกเจ้าคือพงศ์พันธุ์ของโมอับ? พวกเจ้าไม่รู้จักพิจารณาสิ่งเหล่านี้เลยหรือ? มโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของพวกเจ้าไปถึงไหนแล้ว? ความคิดที่ว่าปกติสมบูรณ์ดีเป็นหนักหนาของพวกเจ้าได้กลายเป็นปรับเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ไม่ดีไปแล้วหรือไร? ความฉลาดแยบยลและสติปัญญาของพวกเจ้าไปอยู่ที่ใดแล้ว? พวกเจ้ามีบุคลิกประจำตัวแบบใจกว้างเอื้อเฟื้อจนถึงขนาดที่เจ้าไม่ใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นอย่างนั้นหรือ? จิตใจของพวกเจ้าอ่อนไหวที่สุดต่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นดั่งเช่นความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของเจ้าและชะตากรรมของตัวเจ้าเอง แต่พอมาถึงเรื่องของสิ่งอื่นใดก็ตาม จิตใจของพวกเจ้าก็ด้านชา ปัญญาทึบและรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างถึงที่สุด อะไรบนแผ่นดินโลกหรือที่พวกเจ้าเชื่อ? ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของเจ้าอย่างนั้นหรือ? หรือว่าพระเจ้า? ทุกอย่างที่เจ้าเชื่อไม่ใช่บั้นปลายอันสวยงามของเจ้าหรอกหรือ? มันไม่ใช่ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของเจ้าหรอกหรือ? ตอนนี้เจ้าเข้าใจหนทางแห่งชีวิตมากเท่าใดกัน? เจ้าได้บรรลุไปมากเท่าใดแล้ว? เจ้าคิดว่าพระราชกิจซึ่งกำลังทำต่อพงศ์พันธุ์ของโมอับในตอนนี้นั้นทำเพื่อดูหมิ่นเหยียดหยามพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ? พระราชกิจนั้นกระทำโดยจงใจเปิดโปงความน่าเกลียดของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ? พระราชกิจนั้นกระทำโดยเจตนาที่จะทำให้พวกเจ้ายอมรับการตีสอน และแล้วก็โยนพวกเจ้าลงไปในบึงไฟอย่างนั้นหรือ? เราไม่เคยพูดว่าพวกเจ้าไม่มีความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคต นับประสาอะไรที่จะเคยพูดว่าพวกเจ้าต้องถูกทำลายหรือทนทุกข์กับความพินาศ เราเคยประกาศแสดงสิ่งทั้งหลายดังกล่าวต่อสาธารณะหรือ? เจ้ากล่าวว่าเจ้าปราศจากความหวัง แต่นี่ไม่ใช่บทสรุปที่เจ้าได้วาดขึ้นมาเองอย่างนั้นหรือ? นี่ไม่ใช่ผลของกรอบความคิดของเจ้าเองหรอกหรือ? บทสรุปของตัวเจ้าเองนั้นนับได้หรือ? หากเรากล่าวว่าเจ้าไม่ได้รับการอวยพร เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะเป็นวัตถุแห่งความล่มจมอย่างแน่นอน และหากเรากล่าวว่าเจ้าได้รับการอวยพร เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่ถูกทำลายอย่างเด็ดขาด เราเพียงกำลังกล่าวว่าเจ้าเป็นพงศ์พันธุ์ของโมอับเท่านั้น เราไม่ได้กล่าวว่าเจ้าคงจะถูกทำลาย มันก็เพียงแค่ว่าพงศ์พันธุ์ของโมอับนั้นได้ถูกสาปแช่ง และเป็นสายพันธุ์หนึ่งของพวกมนุษย์ซึ่งเสื่อมทราม ตามที่ได้มีการกล่าวถึงบาปไปแล้วก่อนหน้านี้นั้น พวกเจ้าทั้งหมดไม่บาปหนาหรอกหรือ? คนบาปทั้งหมดไม่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วหรอกหรือ? คนบาปทั้งหมดไม่เยาะเย้ยท้าทายและกบฏต่อพระเจ้าหรอกหรือ? พวกที่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าไม่ได้จะถูกสาปแช่งหรอกหรือ? คนบาปทั้งหมดไม่ต้องถูกทำลายกระนั้นหรือ? ในกรณีนั้น ผู้ใดกันเล่าในหมู่ผู้คนซึ่งมีเลือดเนื้อที่จะสามารถได้รับการช่วยให้รอด? พวกเจ้าสามารถเอาชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไรกัน? พวกเจ้ายิ่งเป็นลบลงทุกทีก็เพราะพวกเจ้าเป็นพงศ์พันธุ์ของโมอับ พวกเจ้าไม่นับเป็นพวกมนุษย์ซึ่งเป็นพวกคนบาปด้วยหรอกหรือ? พวกเจ้ายืนยาวมาจนถึงวันนี้ได้อย่างไร? พอมีการพาดพิงถึงการทำให้มีความเพียบพร้อม พวกเจ้าก็กลายเป็นมีความสุขขึ้นมา หลังจากที่ได้ยินว่าพวกเจ้าต้องผ่านประสบการณ์ความทุกข์ลำบากอันใหญ่หลวง เจ้ารู้สึกว่านี่ทำให้เจ้าได้รับการอวยพรยิ่งขึ้นไปอีก เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถกลายเป็นผู้ชนะหลังจากโผล่พ้นจากความทุกข์ลำบาก และที่มากกว่านั้นคือ รู้สึกว่านี่คือการอวยพรอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเป็นการยกย่องอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อเจ้า พอพาดพิงถึงโมอับ ความโกลาหลเกิดขึ้นในหมู่พวกเจ้า ผู้ใหญ่และเด็กรู้สึกเหมือนกันในความเศร้าใจที่ไม่อาจกล่าวเป็นคำพูดได้ และเจ้าไม่มีความชื่นบานยินดีในหัวใจของเจ้าโดยสิ้นเชิง และพวกเจ้าเสียใจที่ถือกำเนิดมา พวกเจ้าไม่เข้าใจนัยสำคัญของช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจที่กำลังกระทำต่อพงศ์พันธุ์ของโมอับ เจ้ารู้เพียงการแสวงหาตำแหน่งอันสูงส่ง และเมื่อใดก็ตามที่เจ้าล่วงรู้ว่าไม่มีความหวัง เจ้าก็ถอยกลับไปเข้าอีหรอบเดิม ทันทีที่พาดพิงถึงความเพียบพร้อมและบั้นปลายในอนาคต พวกเจ้ารู้สึกมีความสุข พวกเจ้าได้มอบความเชื่อของพวกเจ้าให้กับพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพระพร และเพื่อให้พวกเจ้าสามารถมีบั้นปลายที่ดีได้ ตอนนี้ ผู้คนบางคนรู้สึกถึงความประหวั่นใจเพราะสถานะของพวกเขา เพราะพวกเขามีคุณค่าต่ำต้อยและสถานะที่ต่ำต้อย พวกเขาจึงไม่ปรารถนาที่จะพยายามทำให้ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม การทำให้มีความเพียบพร้อมถูกพูดถึงก่อนเป็นอย่างแรก แล้วจึงมีการพาดพิงถึงพงศ์พันธุ์ของโมอับ ดังนั้น ผู้คนจึงคิดในทางลบกับเส้นทางของการทำให้มีความเพียบพร้อมที่ถูกพาดพิงถึงมาก่อนหน้านี้ นี่เป็นเพราะตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ พวกเจ้าไม่เคยรู้ถึงนัยสำคัญของพระราชกิจนี้ และพวกเจ้าไม่เคยเอาใจใส่เกี่ยวกับนัยสำคัญของพระราชกิจนี้ พวกเจ้ามีวุฒิภาวะที่น้อยเกินไป และไม่สามารถสู้ทนได้แม้กระทั่งการรบกวนที่แผ่วเบาที่สุด เมื่อเจ้ามองสถานะของตัวเจ้าเองต่ำต้อยเกินไป เจ้าก็กลายเป็นมองโลกในแง่ลบและสูญเสียความมั่นใจที่จะแสวงหาต่อไป ผู้คนก็แค่ถือว่าการได้บรรลุไปถึงพระคุณและการชื่นชมยินดีในสันติสุขเป็นสัญลักษณ์แห่งความเชื่อ และมองว่าการแสวงหาพระพรคือพื้นฐานของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา มีคนจำนวนน้อยนักที่พยายามทำความรู้จักพระเจ้า หรือแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา ในความเชื่อของพวกเขานั้น ผู้คนพยายามทำให้พระเจ้าประทานบั้นปลายที่เหมาะสมและพระคุณทั้งหมดที่พวกเขาจำเป็นต้องมีให้แก่พวกเขา ทำให้พระองค์เป็นผู้รับใช้ของพวกเขา ทำให้พระองค์ทรงธำรงรักษาสัมพันธภาพอันสงบสุขเป็นมิตรกับพวกเขา เพื่อให้ไม่มีวันมีความขัดแย้งอันใดเลยระหว่างพวกเขาไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม นั่นก็คือ การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเรียกร้องให้พระองค์ทรงสัญญาที่จะสนองตอบข้อพึงประสงค์ทั้งหมดของพวกเขา และประทานสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาอธิษฐานขอให้แก่พวกเขา โดยเป็นไปตามพระวจนะที่พวกเขาได้อ่านในพระคัมภีร์ว่า “เราจะรับฟังคำอธิษฐานทั้งหมดของพวกเจ้า” พวกเขาคาดหวังให้พระเจ้าไม่พิพากษาหรือตัดแต่งผู้ใด เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดผู้เปี่ยมปรานีเสมอมา ผู้ซึ่งรักษาสัมพันธภาพอันดีกับผู้คนในทุกเวลาและทุกสถานที่ วิธีที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้าอยู่ตรงนี้ กล่าวคือ พวกเขาเพียงสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าอย่างหน้าไม่อาย โดยเชื่อว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นกบฏหรือเชื่อฟังก็ตาม พระองค์คงจะทรงแค่ปิดพระเนตรพระกรรณประทานทุกสิ่งให้พวกเขา พวกเขาก็แค่ “เก็บหนี้” จากพระเจ้าเรื่อยไป โดยเชื่อว่าพระองค์ต้องทรง “ชดใช้คืน” ให้แก่พวกเขาโดยปราศจากการต้านทานอันใด—และที่มากกว่านั้นก็คือ จ่ายเป็นสองเท่า—พวกเขาคิดว่า ไม่ว่าพระเจ้าทรงได้รับสิ่งใดจากพวกเขาหรือไม่ก็ตาม พระองค์สามารถทำได้เพียงให้พวกเขาบงการเท่านั้น และพระองค์ไม่สามารถจัดวางเรียบเรียงผู้คนไปตามพระทัยได้ นับประสาอะไรที่จะสามารถเผยพระปัญญาและพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ซึ่งซ่อนเร้นอยู่นานปีต่อผู้คนยามใดก็ตามที่พระองค์ทรงต้องประสงค์และโดยปราศจากการอนุญาตของพวกเขา พวกเขาก็เพียงสารภาพบาปของพวกเขาต่อพระเจ้า โดยเชื่อว่าพระเจ้าก็คงจะแค่ทรงอภัยบาปให้พวกเขา และเชื่อว่าพระองค์คงจะไม่ทรงเบื่อหน่ายกับการทำเช่นนั้น และเชื่อว่าการนี้จะดำเนินต่อไปตลอดกาล พวกเขาก็แค่ออกคำสั่งกับพระเจ้า โดยเชื่อว่าพระองค์ก็คงจะแค่ทรงเชื่อฟังพวกเขา เพราะมีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อให้พวกมนุษย์รับใช้ แต่เพื่อรับใช้มนุษย์ และที่พระองค์ทรงอยู่ที่นี่ก็เพื่อเป็นผู้รับใช้ของพวกเขา พวกเจ้าไม่ได้เชื่อในหนทางนี้เสมอมาหรอกหรือ? เมื่อใดก็ตามที่พวกเจ้าไม่สามารถได้รับบางสิ่งจากพระเจ้า เจ้าก็ปรารถนาที่จะวิ่งหนี เมื่อเจ้าไม่เข้าใจบางสิ่ง เจ้าก็เกิดคับแค้นใจยิ่งนัก และไปไกลถึงขั้นทุ่มคำผรุสวาททุกชนิดใส่พระองค์ พวกเจ้าก็แค่จะไม่ยอมให้พระเจ้าพระองค์เองทรงแสดงพระปัญญาและการมหัศจรรย์ของพระองค์อย่างเต็มที่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเจ้ากลับแค่ต้องการชื่นชมความสบายและความชูใจชั่วครู่ชั่วยาม จนถึงตอนนี้ ท่าทีของพวกเจ้าในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าก็แค่ประกอบด้วยทรรศนะเก่าแก่แบบเดิมเท่านั้น หากพระเจ้าทรงแสดงให้พวกเจ้าเห็นแค่พระบารมีเพียงแผ่วบาง พวกเจ้าก็กลายเป็นไม่มีความสุข ตอนนี้พวกเจ้ามองเห็นหรือไม่ว่าวุฒิภาวะของพวกเจ้าอยู่ที่ระดับใดกันแน่? อย่าทึกทักว่าพวกเจ้าทั้งหมดจงรักภักดีต่อพระเจ้า เมื่อในข้อเท็จจริงนั้น ทรรศนะเก่าแก่ทั้งหลายของพวกเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อไม่มีสิ่งใดบังเกิดแก่เจ้า เจ้าก็เชื่อว่าทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น และความรักที่เจ้ามีแด่พระเจ้าก็ไปถึงจุดสูงส่งจุดหนึ่ง เมื่อมีบางสิ่งที่เล็กน้อยเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็ร่วงหล่นลงไปในแดนคนตาย นี่คือการจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?
หากช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยเริ่มขึ้นในประเทศอิสราเอล เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยดังกล่าวก็คงจะไม่มีความหมายเลย พระราชกิจมีนัยสำคัญที่สุดก็ต่อเมื่อกระทำในประเทศจีน และต่อเมื่อกระทำต่อผู้คนอย่างพวกเจ้า พวกเจ้าคือผู้คนซึ่งต่ำต้อยที่สุด ผู้คนซึ่งด้อยสถานะที่สุด พวกเจ้าคือผู้ซึ่งอยู่ที่ระดับต่ำต้อยที่สุดของสังคมนี้ และเจ้าคือพวกที่ยอมรับพระเจ้าน้อยที่สุดในตอนเริ่มต้น พวกเจ้าคือผู้คนที่ไถลห่างจากพระเจ้าไปไกลที่สุด และเป็นผู้ซึ่งได้ถูกทำร้ายรุนแรงที่สุด เนื่องเพราะพระราชกิจระยะนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการพิชิตชัยเท่านั้น จะไม่เป็นการเหมาะสมที่สุดหรอกหรือหากพวกเจ้าจะได้รับเลือกสรรให้เป็นพยานในอนาคต? หากขั้นตอนแรกของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยไม่ได้จะกระทำกับผู้คนอย่างพวกเจ้า เช่นนั้นแล้วย่อมจะกลายเป็นลำบากยากเย็นที่จะทำให้พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยที่จะมาถึงนั้นก้าวหน้าไปได้ เพราะพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยที่จะตามมานั้นจะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ทั้งหลายโดยมีพื้นฐานอยู่บนข้อเท็จจริงของพระราชกิจที่กระทำในวันนี้ พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยในปัจจุบันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยโดยรวม พวกเจ้าเป็นรุ่นแรกที่จะถูกพิชิต เจ้าเป็นตัวแทนของมนุษยชาติทั้งมวลซึ่งจะถูกพิชิต ผู้คนซึ่งครองความรู้อย่างถ่องแท้จะมองเห็นว่าพระราชกิจทั้งมวลที่พระเจ้าทรงปฏิบัติในวันนี้นั้นยิ่งใหญ่ และมองเห็นว่าพระองค์ไม่เพียงแต่ทรงเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถรู้จักความกบฏของตนเองเท่านั้น แต่ยังเปิดเผยสถานะของพวกเขาด้วย จุดประสงค์และความหมายแห่งพระวจนะของพระองค์นั้นไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนคิดลบ และไม่ใช่เพื่อโค่นล้มพวกเขา มันเป็นไปเพื่อให้พวกเขาบรรลุความรู้แจ้งและความรอดโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ มันเป็นไปเพื่อปลุกจิตวิญญาณของพวกเขาให้ตื่นขึ้นด้วยหนทางแห่งพระวจนะของพระองค์ นับตั้งแต่การสร้างโลก มนุษย์ได้ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน ทั้งไม่รู้และไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่พระองค์หนึ่ง การที่ผู้คนเหล่านี้สามารถรวมอยู่ในความรอดอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และสามารถได้รับการอุ้มชูอย่างใหญ่หลวงโดยพระเจ้านั้นแสดงให้เห็นถึงความรักของพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้คนทั้งหมดที่เข้าใจอย่างแท้จริงจะเชื่อในสิ่งนี้ แล้วพวกที่ไม่มีความรู้ดังกล่าวเล่า? พวกเขาจะกล่าวว่า “อา พระเจ้าตรัสว่าพวกเราเป็นพงศ์พันธุ์ของโมอับ พระองค์ได้ตรัสเช่นนี้ด้วยพระวจนะของพระองค์เอง เราจะยังคงสามารถได้มาซึ่งบทอวสานที่ดีหรือ? พวกเราคือพงศ์พันธุ์ของโมอับ และในอดีตพวกเราก็ต้านทานพระองค์ตลอดมา พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อกล่าวโทษเรา เจ้ามองไม่เห็นวิธีที่พระองค์ทรงตัดสินพวกเราอยู่เสมอนับตั้งแต่เริ่มต้นหรือไร? เพราะเราได้ต้านทานพระเจ้าไปแล้ว นี่จึงเป็นวิธีที่พวกเราควรถูกตีสอน” คำพูดเหล่านี้ถูกต้องอย่างนั้นหรือ? วันนี้ พระเจ้าทรงพิพากษาพวกเจ้า ตีสอนพวกเจ้า และกล่าวโทษพวกเจ้า แต่เจ้าต้องรู้ว่าประเด็นของการกล่าวโทษพวกเจ้าคือ เพื่อให้เจ้ารู้จักตัวเอง พระองค์ทรงกล่าวโทษ สาปแช่ง พิพากษา และตีสอน ก็เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้จักตัวเจ้าเอง เพื่อที่อุปนิสัยของเจ้าอาจจะเปลี่ยนแปลง และที่ยิ่งไปมากกว่านั้นก็คือ เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้คุณค่าของเจ้าเอง และมองเห็นว่าการกระทำทั้งหมดของพระเจ้านั้นชอบธรรมและเป็นไปโดยสอดคล้องกับพระอุปนิสัยของพระองค์และข้อพึงประสงค์ทั้งหลายแห่งพระราชกิจของพระองค์ มองเห็นว่าพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจโดยสอดคล้องกับแผนการของพระองค์เพื่อความรอดของมนุษย์ และมองเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรม ผู้ซึ่งทรงรัก ทรงช่วยให้รอด ทรงพิพากษา และทรงตีสอนมนุษย์ หากเจ้ารู้เพียงว่าเจ้ามีสถานะอันต่ำต้อย รู้เพียงว่าตัวเองเสื่อมทรามและเป็นกบฏ แต่ไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเผยชัดถึงความรอดของพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนที่พระองค์ทรงกระทำในตัวเจ้าในวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่มีหนทางใดเลยที่จะได้รับประสบการณ์ นับประสาอะไรที่เจ้าจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อประหัตประหารหรือทำลายล้าง แต่เพื่อพิพากษา สาปแช่ง ตีสอน และช่วยให้รอด จนกว่าแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์จะมาถึงจุดปิดตัว—ก่อนที่พระองค์จะทรงเปิดเผยบทอวสานของมนุษย์แต่ละหมวดหมู่—พระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของความรอด จุดประสงค์ทั้งมวลของพระราชกิจก็คือการทำให้ผู้ที่รักพระองค์มีความครบบริบูรณ์—อย่างถ้วนทั่วเช่นนั้น—และเพื่อให้พวกเขายอมสยบอยู่ใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นทรงกระทำโดยการทำให้พวกเขาหลุดรอดจากธรรมชาติเยี่ยงซาตานแบบเดิมของพวกเขา นั่นคือ พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดโดยการทำให้พวกเขาแสวงหาชีวิต หากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาจะไม่มีหนทางที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้าเลย ความรอดคือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง และการแสวงหาชีวิตคือสิ่งที่มนุษย์ต้องลงมือกระทำเพื่อที่จะยอมรับความรอด ในสายตาของมนุษย์ ความรอดคือความรักของพระเจ้า และความรักของพระเจ้าไม่อาจเป็นการตีสอน การพิพากษา และการสาปแช่งไปได้ ความรอดต้องบรรจุไปด้วยความรัก ความเมตตาสงสาร และที่มากกว่านั้นก็คือ คำปลอบใจทั้งหลาย รวมทั้งพรอันไร้ขอบเขตที่พระเจ้าประทานให้ ผู้คนเชื่อว่าตอนที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดนั้น พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นโดยการขับเคลื่อนพวกเขาด้วยพรทั้งหลายและพระคุณของพระองค์ เพื่อให้พวกเขาสามารถมอบหัวใจของพวกเขาให้กับพระเจ้าได้ ดังจะกล่าวได้ว่า การที่พระองค์ทรงสัมผัสมนุษย์คือการที่พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอด ความรอดชนิดนี้กระทำโดยการตั้งข้อตกลงประการหนึ่งขึ้นมา มนุษย์จะยอมสยบให้กับพระนามของพระเจ้าและเพียรพยายามที่จะทำให้ดีเพื่อพระองค์และนำพระสิริมาสู่พระองค์ ก็ต่อเมื่อพระเจ้าประทานให้พวกเขาเป็นร้อยเท่าเท่านั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์ต่อมวลมนุษย์ พระเจ้าได้เสด็จมาทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกก็เพื่อช่วยมวลมนุษย์ซึ่งเสื่อมทรามให้รอด ไม่มีการโป้ปดมดเท็จอยู่ในการนี้เลย หากมี พระองค์ก็คงไม่ได้เสด็จมาทรงพระราชกิจด้วยพระองค์เองอย่างแน่นอน ในอดีตนั้น วิถีทางแห่งความรอดของพระองค์เกี่ยวข้องกับการแสดงความรักและความเมตตาสงสารอย่างถึงที่สุด จนถึงขั้นที่พระองค์ประทานทั้งหมดของพระองค์ให้แก่ซาตานเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับมวลมนุษย์ทั้งหมดทั้งมวล ปัจจุบันนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นเหมือนอดีต กล่าวคือ ความรอดที่ประทานให้แก่พวกเจ้าในวันนี้เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาแห่งยุคสุดท้าย ในช่วงระหว่างที่มีการจำแนกชั้นแต่ละบุคคลไปตามประเภท วิถีทางแห่งความรอดของพวกเจ้าไม่ใช่ความรักหรือความเมตตาสงสาร แต่เป็นการตีสอนและการพิพากษา เพื่อที่มนุษย์อาจสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนั้น ทั้งหมดที่พวกเจ้าได้รับคือการตีสอน การพิพากษา และการเฆี่ยนตีอย่างไร้กรุณา แต่จงรู้สิ่งนี้ไว้ว่า ในการเฆี่ยนตีอันไร้หัวใจนี้ไม่มีการลงโทษเลยแม้แต่น้อย โดยไม่ต้องคำนึงว่าคำพูดของเราอาจจะกร้าวกระด้างเพียงใด สิ่งที่ตกมาถึงพวกเจ้าเป็นเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำที่อาจจะดูเหมือนไร้หัวใจอย่างถึงที่สุดสำหรับพวกเจ้า และไม่สำคัญว่าเราอาจจะมีความโมโหมากเพียงใด สิ่งที่พรั่งพรูลงมาบนพวกเจ้าก็ยังคงเป็นคำตำหนิ และเราไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำร้ายพวกเจ้าหรือทำให้พวกเจ้าถึงแก่ความตาย ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ? จงรู้ไว้ว่าทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพิพากษาอันชอบธรรม หรือการถลุงและการตีสอนอันไร้หัวใจ ทุกอย่างเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความรอด โดยไม่ต้องคำนึงว่า วันนี้ แต่ละคนได้รับการจำแนกชั้นไปตามประเภทหรือไม่ หรือหมวดหมู่ของมนุษย์ได้รับการตีแผ่หรือไม่ จุดประสงค์ของพระวจนะทั้งปวงและพระราชกิจของพระเจ้าคือเพื่อช่วยบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงให้รอด การพิพากษาอันชอบธรรมถูกนำมาใช้ชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ และการถลุงอันไร้หัวใจกระทำขึ้นเพื่อชำระพวกเขาให้สะอาด ทั้งพระวจนะหรือการสั่งสอนอันกร้าวกระด้างต่างกระทำเพื่อการชำระให้บริสุทธิ์และเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความรอด ด้วยเหตุนั้นวิธีการแห่งความรอดของวันนี้จึงไม่เหมือนกับของอดีต วันนี้ พวกเจ้าได้รับการนำพาความรอดมาให้โดยผ่านทางการพิพากษาอันชอบธรรม และนี่เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการจำแนกชั้นพวกเจ้าแต่ละคนไปตามประเภท ที่มากกว่านั้นก็คือ การตีสอนอันโหดเหี้ยมยังทำหน้าที่เสมือนความรอดอันสูงสุดของพวกเจ้า—และพวกเจ้ามีสิ่งใดจะพูดในขณะเผชิญหน้ากับการตีสอนและการพิพากษาดังกล่าวเล่า? พวกเจ้าไม่ได้ชื่นชมความรอดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบมาโดยตลอดหรอกหรือ? พวกเจ้าได้มองเห็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ และตระหนักถึงฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดและพระปัญญาของพระองค์ นอกจากนี้ พวกเจ้ายังได้รับประสบการณ์กับการเฆี่ยนตีและการบ่มวินัยซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาแล้ว อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าไม่ได้รับพระคุณอันสูงสุดด้วยหรอกหรือ? พรทั้งหลายของพวกเจ้าไม่มากกว่าของผู้คนอื่นใดกระนั้นหรือ? พระคุณทั้งหลายของพวกเจ้าโอบเอื้อยิ่งกว่าสง่าราศีและความมั่งคั่งที่โซโลมอนได้ชื่นชมเสียอีก! จงตรองดูเถิดว่า หากเจตนาของเราในการมาคือเพื่อที่จะกล่าวโทษและลงโทษพวกเจ้าแทนการช่วยเจ้าให้รอด วันเวลาของพวกเจ้าจะสามารถยืนยาวมาได้นานขนาดนั้นหรือ? สิ่งดำรงอยู่ซึ่งเป็นเลือดเนื้อที่เต็มไปด้วยบาปอย่างพวกเจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงวันนี้หรือ? หากเป้าหมายของเราเป็นเพียงการลงโทษพวกเจ้า แล้วเหตุใด เราจึงได้บังเกิดเป็นมนุษย์และเริ่มลงมือดำเนินการประกอบการอันยิ่งใหญ่เช่นนั้น? การลงโทษพวกเจ้าซึ่งเป็นแค่พวกมนุษย์ธรรมดานั้น มิใช่ว่ากระทำได้โดยง่ายดาย ด้วยการเปล่งวจนะคำเดียวหรอกหรือ? เรายังจำเป็นจะต้องทำลายพวกเจ้าหลังจากที่กล่าวโทษพวกเจ้าอย่างมีจุดประสงค์กระนั้นหรือ? พวกเจ้ายังคงไม่เชื่อวจนะเหล่านี้ของเราหรือ? เราจะสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้เพียงโดยผ่านทางความรักและความเมตตาสงสารหรือ? หรือเราจะสามารถใช้ได้เฉพาะการตรึงกางเขนเท่านั้นในการช่วยมนุษย์ให้รอด? อุปนิสัยอันชอบธรรมของเราไม่เอื้ออำนวยต่อการทำให้มนุษย์นบนอบทุกประการมากกว่าหรอกหรือ? อุปนิสัยอันชอบธรรมของเราไม่มีความสามารถในการช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างทั่วถึงได้มากกว่าหรอกหรือ?
แม้วจนะของเราอาจเข้มงวด แต่ทั้งหมดนั้นพูดไปเพื่อความรอดของมนุษย์ เพราะเราเพียงกำลังกล่าววจนะเท่านั้น และไม่ได้กำลังลงโทษเนื้อหนังของมนุษย์ วจนะเหล่านี้เป็นเหตุให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง รู้ว่าความสว่างนั้นมีอยู่ รู้ว่าความสว่างนั้นล้ำค่า และยิ่งไปกว่านั้น รู้ว่าวจนะเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับพวกเขาอย่างไร ตลอดจนรู้ว่าพระเจ้าคือความรอด แม้เราได้เปล่งวจนะไปแล้วมากมายเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา แต่สิ่งที่วจนะเหล่านั้นเป็นตัวแทนก็ยังไม่ได้ถูกปฏิบัติต่อพวกเจ้าเป็นการกระทำ เราได้มาเพื่อทำงานของเราและเพื่อกล่าววจนะของเรา และแม้ว่าวจนะของเราอาจเคร่งครัด แต่ก็พูดเพื่อการพิพากษาความเสื่อมทรามของพวกเจ้าและความกบฏของพวกเจ้า จุดประสงค์ของการที่เรากระทำการนี้ก็ยังคงเป็นไปเพื่อการช่วยมนุษย์ให้รอดจากอำนาจของซาตาน เรากำลังใช้วจนะของเราช่วยมนุษย์ให้รอด จุดประสงค์ของเราไม่ใช่เพื่อทำอันตรายมนุษย์ด้วยวจนะของเรา วจนะของเราเข้มงวดก็เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ทั้งหลายในงานของเรา มนุษย์สามารถมารู้จักตัวเองและหลุดรอดจากอุปนิสัยอันกบฏของพวกเขาได้ก็โดยผ่านทางงานดังกล่าวเท่านั้น นัยสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระราชกิจแห่งพระวจนะก็คือการเปิดโอกาสให้ผู้คนนำความจริงมาปฏิบัติหลังจากที่ได้เข้าใจแล้ว สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา และได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวพวกเขาเองและเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า การสื่อสารระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์สามารถทำให้เป็นไปได้ก็โดยการปฏิบัติพระราชกิจในหนทางของการกล่าวพระวจนะเท่านั้นและมีเพียงพระวจนะเท่านั้นที่สามารถอธิบายความจริงได้ การปฏิบัติพระราชกิจในหนทางนี้คือวิถีทางที่ดีที่สุดในการพิชิตมนุษย์ นอกเหนือจากถ้อยดำรัสของพระวจนะแล้ว ไม่มีวิธีการอื่นเลยที่สามารถให้ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงและเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าแก่ผู้คนได้ชัดเจนไปกว่านี้ ด้วยเหตุนั้น ในพระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายของพระองค์ พระเจ้าจึงตรัสต่อมนุษย์เพื่อไขความจริงและความล้ำลึกทั้งหมดที่พวกเขายังไม่เข้าใจให้แก่พวกเขา อันเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถได้รับหนทางที่แท้จริงและชีวิตจากพระเจ้า และด้วยการนั้นจึงสนองเจตนารมณ์ของพระองค์ จุดประสงค์ที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวมนุษย์ก็เพื่อทำให้พวกเขาสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ และพระราชกิจนั้นกระทำลงไปเพื่อนำความรอดมาให้พวกเขา เพราะฉะนั้น ในระหว่างช่วงเวลาแห่งความรอดของมนุษย์ของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจในการลงโทษพวกเขา ขณะที่กำลังทรงนำพาความรอดมาสู่มนุษย์ พระเจ้าไม่ทรงลงโทษความชั่วหรือปูนบำเหน็จความดี และพระองค์ไม่ทรงเปิดเผยบั้นปลายของผู้คนสารพัดประเภท แต่พระองค์กลับจะทรงพระราชกิจเพื่อการลงโทษความชั่วหรือปูนบำเหน็จความดีเฉพาะหลังจากที่พระราชกิจระยะสุดท้ายของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ และพระองค์จึงจะทรงเปิดเผยบทอวสานของผู้คนต่างชนิดทั้งหมดเฉพาะเมื่อถึงเวลานั้นเท่านั้น พวกที่ถูกลงโทษจะเป็นพวกที่ไม่สามารถช่วยให้รอดได้จริงๆ ในขณะที่บรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดจะเป็นผู้ที่ได้มาซึ่งความรอดของพระเจ้าในระหว่างช่วงเวลาแห่งความรอดของมนุษย์ของพระองค์ ในขณะที่กำลังมีการปฏิบัติพระราชกิจเพื่อความรอดของพระเจ้า บุคคลทุกคนซึ่งสามารถช่วยให้รอดได้จะได้รับการช่วยให้รอดมากเท่าที่จะมากได้และจะไม่มีใครถูกทิ้งขว้าง เพราะจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าก็คือการช่วยมนุษย์ให้รอด ผู้คนทั้งหมดที่ไม่สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเองในระหว่างช่วงเวลาแห่งความรอดของมนุษย์ของพระเจ้า—รวมทั้งผู้คนทั้งหมดที่ไม่สามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์—จะกลายเป็นวัตถุสำหรับการลงโทษ พระราชกิจในระยะนี้—พระราชกิจแห่งพระวจนะ—จะไขหนทางและความล้ำลึกทั้งปวงที่ผู้คนไม่เข้าใจให้กับพวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ทั้งหลายที่พระเจ้ามีต่อพวกเขา และเพื่อให้พวกเขาสามารถมีความพร้อมพื้นฐานในการที่จะนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา พระเจ้าทรงใช้เพียงพระวจนะในการทรงพระราชกิจของพระองค์ และมิทรงลงโทษผู้คนที่เป็นกบฏเล็กน้อย นี่เป็นเพราะว่าตอนนี้คือเวลาของพระราชกิจแห่งความรอด หากผู้ใดก็ตามซึ่งปฏิบัติอย่างเป็นกบฏได้ถูกลงโทษ เช่นนั้นก็จะไม่มีผู้ใดมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดเลย ทุกคนคงจะถูกลงโทษและตกลงไปสู่แดนคนตาย จุดประสงค์ของพระวจนะที่ทรงพิพากษามนุษย์คือเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขารู้จักตัวเองและนบนอบพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อลงโทษพวกเขาด้วยการพิพากษาดังกล่าว ในระหว่างช่วงเวลาของพระราชกิจของพระวจนะ ผู้คนมากมายจะเปิดโปงความเป็นกบฏและการท้าทายของพวกเขาออกมา รวมทั้งการไม่นบนอบพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ด้วย อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ก็คือ พระองค์จะไม่ลงโทษผู้คนเหล่านี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับจะทรงปัดทิ้งเฉพาะผู้ที่เสื่อมทรามจนถึงแก่นกลางและผู้ที่ไม่สามารถช่วยให้รอดได้เท่านั้น พระองค์จะประทานเนื้อหนังของพวกเขาให้แก่ซาตาน และในไม่กี่กรณี จะทรงสิ้นสุดเนื้อหนังของพวกเขา บรรดาผู้ที่เหลืออยู่จะยังคงติดตามและมีประสบการณ์กับการถูกตัดแต่งต่อไป หากขณะกำลังติดตาม ผู้คนเหล่านี้ยังคงไม่สามารถยอมรับการถูกตัดแต่งได้ และเสื่อมลงไปทุกที เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสูญเสียโอกาสสำหรับความรอดของพวกเขา แต่ละบุคคลที่ยอมรับการพิชิตจากพระวจนะของพระเจ้าย่อมจะมีโอกาสเกินพอที่จะได้รับความรอด ความรอดของพระเจ้าสำหรับผู้คนเหล่านี้แต่ละคนจะเป็นการให้ความกรุณาอันสูงสุดของพระองค์ กล่าวได้อีกนัยว่า พวกเขาจะมองเห็นการยอมผ่อนปรนอย่างถึงที่สุด ตราบเท่าที่ผู้คนหันหลังกลับจากเส้นทางที่ผิด และตราบเท่าที่พวกเขาสามารถกลับใจได้ พระเจ้าจะประทานโอกาสให้พวกเขาได้รับความรอดของพระองค์ เมื่อพวกมนุษย์กบฏต่อพระเจ้าในครั้งแรก พระองค์ไม่ทรงพึงปรารถนาที่จะทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย แต่พระองค์กลับทรงทำทั้งหมดที่พระองค์สามารถทำได้เพื่อช่วยพวกเขาให้รอด หากใครบางคนไม่มีพื้นที่ว่างให้กับความรอดเลยจริงๆ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะปัดพวกเขาทิ้งไป เหตุผลที่พระเจ้าทรงลงโทษผู้คนบางคนช้า ก็เป็นเพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะช่วยทุกคนที่สามารถช่วยให้รอดได้ พระองค์ทรงพิพากษา ทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงนำผู้คนด้วยพระวจนะเท่านั้น และไม่ใช้ไม้เรียวเพื่อทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย การนำพระวจนะมาใช้เพื่อนำพาความรอดมาสู่มนุษย์คือจุดประสงค์และนัยสำคัญของช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจ