ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์

หากเจ้าปรารถนาที่จะเหมาะต่อการให้พระเจ้าทรงใช้ เจ้าต้องรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าต้องรู้จักพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำก่อนหน้านี้ (ในพันธสัญญาใหม่และพันธสัญญาเดิม) และยิ่งกว่านั้น เจ้าต้องรู้จักพระราชกิจของพระองค์ในวันนี้ กล่าวคือ เจ้าต้องรู้จักพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าซึ่งได้ทรงปฏิบัติมาเป็นเวลายาวนานถึง 6,000 ปี  หากเจ้าถูกขอให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้โดยไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า  บางคนอาจถามเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าของพวกเจ้าได้ตรัสไว้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ พันธสัญญาเดิม และพระราชกิจและพระวจนะของพระเยซู ณ เวลานั้น  หากเจ้าไม่สามารถพูดถึงเรื่องราวเบื้องหลังของพระคัมภีร์ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่ถูกโน้มน้าวให้เชื่อ  ณ เวลานั้น พระเยซูได้ตรัสมากมายเกี่ยวกับพันธสัญญาเดิมกับบรรดาสาวกของพระองค์  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้อ่านนั้นมาจากพันธสัญญาเดิม ส่วนพันธสัญญาใหม่ได้ถูกเขียนขึ้นหลายทศวรรษหลังพระเยซูได้ทรงถูกตรึงกางเขนแล้วเท่านั้น  ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเจ้าควรจับความเข้าใจความจริงชั้นในของพระคัมภีร์เป็นหลัก และพระราชกิจของพระเจ้าในประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ได้ทรงทำ และเจ้าก็ต้องเข้าใจพระราชกิจที่พระเยซูได้ทรงทำด้วย  เหล่านี้คือประเด็นต่างๆ ที่ผู้คนทั้งหมดเป็นกังวลมากที่สุด และเรื่องราวเบื้องหลังของพระราชกิจสองช่วงระยะนั้นคือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ยิน  ขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แรกที่สุดจงวางการพูดถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้ไว้ก่อน  พระราชกิจช่วงระยะนี้อยู่ไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะเอื้อมถึง เพราะสิ่งที่พวกเจ้าไล่ตามเสาะหาคือสิ่งที่สูงส่งที่สุดจากทั้งหมด—คือความรู้เรื่องพระเจ้าและความรู้เรื่องพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์—และไม่มีสิ่งใดเป็นที่ยกย่องมากกว่าสองสิ่งนี้แล้ว  หากพวกเจ้าพูดถึงสิ่งที่สูงส่งเป็นอันดับแรกแล้ว มันก็จะมากเกินไปสำหรับพวกเขา เพราะไม่มีใครได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจเช่นนี้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่เคยมีสิ่งนี้เกิดขึ้นมาก่อน และไม่ใช่เรื่องง่ายที่มนุษย์จะยอมรับ  ประสบการณ์ต่างๆ ของพวกเขาเป็นสิ่งเก่าๆ จากอดีต โดยมีพระราชกิจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นครั้งคราวอยู่บ้าง  สิ่งที่พวกเขามีประสบการณ์ด้วยไม่ใช่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้ หรือเจตนารมณ์ของพระเจ้าในวันนี้  พวกเขายังคงปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับวิธีปฏิบัติเดิมๆ โดยไม่มีความสว่างใหม่ และไม่มีสิ่งใหม่ๆ

ในยุคพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงพระราชกิจของพระองค์ในพระเยซูเป็นหลัก ในขณะที่พวกที่ได้รับใช้พระยาห์เวห์ ผู้ซึ่งทรงสวมเสื้อคลุมแบบปุโรหิตในพระวิหาร ได้ทำเช่นนั้นด้วยความจงรักภักดีที่ไม่สั่นคลอน  พวกเขายังได้มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย แต่ไม่สามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์ปัจจุบันของพระเจ้าได้ และเพียงยังคงสัตย์ซื่อต่อพระยาห์เวห์โดยสอดคล้องกับวิธีปฏิบัติเดิมๆ เท่านั้น และไม่ได้มีการทรงนำครั้งใหม่  พระเยซูได้เสด็จมาและได้ทรงนำพระราชกิจใหม่มา กระนั้นพวกที่ได้รับใช้ในพระวิหารไม่ได้มีการทรงนำครั้งใหม่ อีกทั้งพวกเขาไม่ได้มีพระราชกิจใหม่ด้วย  โดยการรับใช้ในพระวิหาร พวกเขาเพียงสามารถค้ำจุนวิธีปฏิบัติเดิมๆ และโดยไม่ออกจากพระวิหาร พวกเขาก็ไม่สามารถมีการเข้าสู่ครั้งใหม่ใดๆ อย่างแน่นอน  พระราชกิจใหม่นั้นถูกพระเยซูทรงนำมา และพระเยซูไม่ได้เสด็จเข้าไปในพระวิหารเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์  พระองค์เพียงได้ทรงพระราชกิจของพระองค์นอกพระวิหาร เพราะขอบเขตแห่งพระราชกิจของพระเจ้าได้เปลี่ยนไปเมื่อนานมาแล้ว  พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจภายในพระวิหาร และเมื่อมนุษย์ได้รับใช้พระเจ้าที่นั่น การนั้นก็มีหน้าที่เพียงเพื่อรักษาสิ่งต่างๆ ให้เป็นเช่นเดิม และไม่สามารถก่อเกิดพระราชกิจใหม่ใดๆ  ในทำนองเดียวกัน ผู้คนที่เคร่งศาสนาในวันนี้ยังคงนมัสการพระคัมภีร์  หากเจ้าเผยแพร่ข่าวประเสริฐไปยังพวกเขา พวกเขาก็จะโยนรายละเอียดที่ไม่สลักสำคัญเกี่ยวกับพระวจนะจากพระคัมภีร์แก่เจ้า และพวกเขาจะค้นพบหลักฐานมากมาย ทำให้เจ้าตะลึงงันและพูดไม่ออก เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะตราหน้าเจ้าและคิดว่าพวกเจ้าโง่เขลาในความเชื่อของพวกเจ้า  พวกเขาจะพูดว่า “เจ้าไม่รู้จักแม้แต่พระคัมภีร์ พระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นเจ้าสามารถพูดได้อย่างไรว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า?”  จากนั้นพวกเขาจะดูถูกเจ้าและจะพูดว่า “ในเมื่อองค์หนึ่งเดียวที่พวกเจ้าเชื่อคือพระเจ้า ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงบอกพวกเจ้าทั้งหมดเกี่ยวกับพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่เล่า?  ในเมื่อพระองค์ได้ทรงนำพระสิริของพระองค์จากประเทศอิสราเอลสู่ภูมิภาคตะวันออกแล้ว ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงรู้จักพระราชกิจที่ทรงทำในประเทศอิสราเอลเล่า?  ทำไมพระองค์ไม่ทรงรู้จักพระราชกิจของพระเยซูเล่า?  หากพวกเจ้าไม่รู้ เช่นนั้นแล้วนั่นก็จะพิสูจน์ว่าพวกเจ้าไม่ได้รับการบอกกล่าว ในเมื่อพระองค์ทรงเป็นการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเยซู พระองค์จะไม่ทรงรู้จักสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรเล่า?  พระเยซูทรงรู้จักพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำ พระองค์จะไม่ทรงรู้จักได้อย่างไรเล่า?”  เมื่อถึงเวลา พวกเขาทั้งหมดจะถามเจ้าด้วยคำถามเช่นนี้  หัวของพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ แล้วพวกเขาจะไม่ถามได้อย่างไรเล่า?  พวกของเจ้าที่อยู่ในกระแสนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่พระคัมภีร์ เพราะพวกเจ้าได้ตามทันพระราชกิจทีละขั้นตอนที่พระเจ้าได้ทรงทำในวันนี้ พวกเจ้าได้รู้เห็นพระราชกิจทีละขั้นตอนนี้ด้วยตาของพวกเจ้าเอง และพวกเจ้าได้มองดูพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะอย่างชัดเจน และดังนั้นพวกเจ้าจึงจำต้องวางพระคัมภีร์ลงและเลิกศึกษาพระคัมภีร์  แต่พวกเขาไม่สามารถไม่ศึกษาพระคัมภีร์ได้ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจทีละขั้นตอนนี้  ผู้คนบางคนจะถามว่า “อะไรเล่าคือความแตกต่างระหว่างพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ทรงทำกับงานของบรรดาผู้เผยพระวจนะและอัครทูตแห่งอดีตกาล?  ดาวิดก็ถูกเรียกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกัน และพระเยซูก็ทรงถูกเรียกเช่นนั้นเช่นกัน แม้ว่างานที่พวกเขาได้ทำนั้นแตกต่าง แต่พวกเขาก็ถูกเรียกด้วยชื่อเดียวกัน  จงบอกเรา ทำไมอัตลักษณ์ของพวกเขาจึงไม่เหมือนกัน?  สิ่งที่ยอห์นได้รู้เห็นคือนิมิตหนึ่ง เป็นนิมิตที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกัน และเขาสามารถพูดพระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตั้งพระทัยจะตรัส ทำไมอัตลักษณ์ของยอห์นจึงแตกต่างจากพระอัตลักษณ์ของพระเยซูเล่า?”  พระวจนะที่พระเยซูตรัสสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ และพระวจนะเหล่านั้นเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าอย่างเต็มที่  สิ่งที่ยอห์นได้เห็นคือนิมิตหนึ่ง และเขาไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์  ทำไมในเมื่อยอห์น เปโตรและเปาโลได้พูดคำพูดมากมาย เหมือนที่พระเยซูได้ตรัส แต่พวกเขากลับไม่ได้มีอัตลักษณ์เดียวกันกับพระเยซูเล่า?  หลักๆ แล้วเป็นเพราะงานที่พวกเขาได้ทำนั้นแตกต่าง  พระเยซูทรงเป็นตัวแทนของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า และทรงเป็นพระวิญญาณแห่งพระเจ้าที่ทรงพระราชกิจโดยตรง  พระองค์ทรงพระราชกิจของยุคใหม่ เป็นพระราชกิจที่ไม่เคยมีใครได้ทำมาก่อน  พระองค์ทรงเปิดทางใหม่ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เอง แต่ในส่วนของเปโตร เปาโล และดาวิดนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะถูกเรียกว่าอะไรก็ตาม พวกเขาก็เป็นเพียงตัวแทนอัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น และถูกพระเยซูหรือพระยาห์เวห์ทรงส่งมา  ดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขาจะได้ทำงานมากเพียงใด ไม่สำคัญว่าการอัศจรรย์ที่พวกเขาได้ปฏิบัติจะยิ่งใหญ่เพียงใด พวกเขาก็ยังคงเป็นแค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าได้  พวกเขาได้ทำงานในพระนามของพระเจ้า หรือได้ทำงานหลังจากที่ได้ถูกพระเจ้าทรงส่งมา นอกจากนี้พวกเขาได้ทำงานในยุคที่พระเยซูหรือพระยาห์เวห์ได้ทรงเริ่มต้น และพวกเขาไม่ได้ทำงานอื่นเลย  จะว่าไปแล้ว พวกเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ในพันธสัญญาเดิม ผู้เผยพระวจนะหลายท่านได้กล่าวคำทำนายต่างๆ หรือได้เขียนหนังสือแห่งการเผยพระวจนะต่างๆ  ไม่มีใครได้พูดว่าพวกเขาเป็นพระเจ้า แต่ทันทีที่พระเยซูเริ่มทรงพระราชกิจ พระวิญญาณแห่งพระเจ้าก็ทรงเป็นคำพยานต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้า  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  ณ จุดนี้ เจ้าคงจะรู้แล้ว!  ก่อนหน้านั้น บรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะได้เขียนสารอันหลากหลาย และได้ทำการเผยพระวจนะมากมาย  ต่อมาผู้คนได้เลือกสารการเผยพระวจนะบางส่วนเพื่อใส่ไว้ในพระคัมภีร์ และบางส่วนก็ได้สูญหายไป  เนื่องจากมีผู้คนพูดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้พูดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำไมบางส่วนจึงได้รับการพิจารณาว่าดี และบางส่วนได้รับการพิจารณาว่าไม่ดี?  และทำไมบางส่วนจึงถูกเลือก และส่วนอื่นๆ จึงไม่ถูกเลือก?  หากคำพูดเหล่านั้นเป็นพระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสจริงๆ จะจำเป็นหรือไม่ที่ผู้คนต้องเลือกคำพูดเหล่านั้น?  ทำไมเรื่องราวของพระวจนะที่พระเยซูได้ตรัสและพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำจึงแตกต่างกันในแต่ละเล่มของข่าวประเสริฐทั้งสี่เล่ม?  นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของพวกที่บันทึกเรื่องราวเหล่านั้นหรอกหรือ?  ผู้คนบางคนจะถามว่า “ในเมื่อบรรดาสารที่เขียนขึ้นโดยเปาโลและผู้ประพันธ์ท่านอื่นๆ แห่งพันธสัญญาใหม่ และงานที่พวกเขาได้ทำ บางส่วนเป็นผลมาจากความตั้งใจของมนุษย์ และถูกปลอมปนโดยมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว ไม่มีมลทินของมนุษย์ดำรงอยู่ในพระวจนะที่พระองค์ (พระเจ้า) ตรัสในวันนี้หรอกหรือ?  พระวจนะเหล่านั้นไม่มีมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ปนอยู่ด้วยจริงๆ หรือ?”  พระราชกิจช่วงระยะนี้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงทำไปแล้วนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากงานที่เปาโลและอัครทูตและผู้เผยพระวจนะมากมายได้ทำ  ความแตกต่างไม่ได้มีเพียงในอัตลักษณ์เท่านั้น แต่โดยหลักแล้ว มีความแตกต่างในงานที่ดำเนินการ  หลังจากเปาโลถูกบดขยี้และล้มลงเฉพาะพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์นำให้ทำงาน และเขาได้กลายเป็นผู้หนึ่งที่ได้ถูกส่งไป  ดังนั้นเขาจึงได้เขียนสารไปที่คริสตจักรต่างๆ และสารเหล่านี้ทั้งหมดก็ได้ติดตามคำสอนต่างๆ ของพระเยซู  เปาโลถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งไปทำงานในพระนามขององค์พระเยซูเจ้า แต่เมื่อพระเจ้าพระองค์เองได้เสด็จมา พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจในพระนามใด และไม่ได้ทรงเป็นตัวแทนของผู้ใดนอกจากพระวิญญาณของพระเจ้าในพระราชกิจของพระองค์  พระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์โดยตรง นั่นคือ พระองค์ไม่ได้ทรงถูกมนุษย์ทำให้มีความเพียบพร้อม และพระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ถูกดำเนินการตามคำสอนของมนุษย์คนใด  ในพระราชกิจช่วงระยะนี้ พระเจ้าไม่ได้ทรงนำโดยการตรัสถึงประสบการณ์ส่วนพระองค์ของพระองค์ แต่กลับดำเนินการพระราชกิจของพระองค์โดยตรง โดยสอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์ทรงมีแทน  ยกตัวอย่างเช่น การทดสอบของบรรดาคนปรนนิบัติ เวลาแห่งการตีสอน การทดสอบแห่งความตาย เวลาแห่งการรักพระเจ้า… นี่คือพระราชกิจทั้งหมดที่ไม่เคยทรงทำมาก่อน และเป็นพระราชกิจที่เป็นของยุคปัจจุบัน แทนที่จะเป็นประสบการณ์ต่างๆ ของมนุษย์  ในคำพูดที่เราได้พูดไปแล้ว อันไหนเล่าที่เป็นประสบการณ์ต่างๆ ของมนุษย์?  พระวจนะเหล่านั้นทั้งหมดไม่ได้มาจากพระวิญญาณโดยตรงหรอกหรือ และพระวจนะเหล่านั้นไม่ได้ถูกพระวิญญาณทรงทำให้ปรากฏหรอกหรือ?  มันเป็นเพียงว่าขีดความสามารถของเจ้านั้นต่ำเสียจนเจ้าไร้ความสามารถที่จะมองทะลุเข้าไปถึงความจริงได้!  วิถีชีวิตซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่เราพูดถึงนั้นคือการนำทางเส้นทาง และไม่เคยถูกผู้ใดพูดถึงมาก่อน อีกทั้งไม่เคยมีผู้ใดได้เคยมีประสบการณ์กับเส้นทางนี้ หรือรู้จักความเป็นจริงนี้  ก่อนที่เราจะได้เปล่งคำพูดเหล่านี้ออกมา ไม่เคยมีใครได้พูดคำพูดเหล่านี้  ไม่เคยมีใครได้พูดถึงประสบการณ์เช่นนี้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เคยได้พูดรายละเอียดเช่นนี้ และนอกจากนั้น ไม่เคยมีผู้ใดได้ชี้ให้เห็นสภาวะเช่นนี้เพื่อเปิดเผยสิ่งเหล่านี้  ไม่เคยมีใครได้นำไปบนเส้นทางที่เรานำไปในวันนี้ และหากมันถูกนำโดยมนุษย์ เช่นนั้นแล้วมันก็คงจะไม่ใช่ทางใหม่ทางหนึ่ง  ดูเปาโลและเปโตรเป็นตัวอย่าง  พวกเขาไม่ได้มีประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเอง ก่อนที่พระเยซูทรงนำเส้นทาง  เป็นเพียงหลังจากพระเยซูทรงนำเส้นทางเท่านั้นพวกเขาจึงได้มีประสบการณ์กับพระวจนะที่พระเยซูตรัส และเส้นทางที่พระองค์ทรงนำ จากการนี้พวกเขาได้รับประสบการณ์มากมาย และพวกเขาก็เขียนสารต่างๆ  และดังนั้น ประสบการณ์ของมนุษย์จึงไม่เหมือนกับพระราชกิจของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้าก็ไม่เหมือนกับความรู้ที่มโนคติที่หลงผิดและประสบการณ์ของมนุษย์ได้บรรยายไว้  เราได้พูดครั้งแล้วครั้งเล่าว่า วันนี้เรากำลังนำเส้นทางใหม่ และกำลังทำงานใหม่ และงานและวาทะของเราแตกต่างจากงานและคำพูดของยอห์นและผู้เผยพระวจนะท่านอื่นๆ ทั้งหมด  ไม่เคยเลยที่เราได้รับประสบการณ์ก่อนแล้วจึงพูดถึงประสบการณ์เหล่านั้นกับพวกเจ้า—นั่นไม่จริงเลยแม้แต่น้อย  หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นจะไม่ได้หน่วงเหนี่ยวพวกเจ้านานมาแล้วหรอกหรือ?  ในอดีตความรู้ที่หลายคนพูดถึงก็ได้รับการยกย่องเช่นกัน แต่คำพูดทั้งหมดของพวกเขาถูกพูดออกมาบนพื้นฐานของคำพูดของเหล่าผู้ที่เรียกกันว่าบุคคลสำคัญฝ่ายจิตวิญญาณ  คำพูดเหล่านั้นไม่ได้นำทาง แต่มาจากประสบการณ์ของพวกเขา มาจากสิ่งที่พวกเขาได้เห็น และจากความรู้ของพวกเขา  บางคนได้มีมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา และบางคนประกอบด้วยประสบการณ์ที่พวกเขาได้สรุปรวมไว้  วันนี้ลักษณะงานของเราแตกต่างจากของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง  เราไม่ได้มีประสบการณ์กับการถูกผู้อื่นนำ อีกทั้งเราก็ไม่ได้ยอมรับการถูกผู้อื่นทำให้มีความเพียบพร้อม  นอกจากนั้น ทั้งหมดที่เราได้พูดและสามัคคีธรรมแล้วนั้นไม่เหมือนกับของผู้อื่นใด และไม่เคยมีผู้อื่นใดได้พูด  วันนี้โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเจ้าเป็นใคร งานของเจ้าก็ดำเนินการไปบนพื้นฐานของคำพูดที่เราพูด  หากปราศจากวาทะและงานเหล่านี้ ใครจะสามารถมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ (การทดสอบของบรรดาคนปรนนิบัติ เวลาแห่งการตีสอน…) ได้เล่า และใครจะสามารถพูดถึงความรู้เช่นนี้ได้เล่า?  เจ้าไม่สามารถเห็นการนี้จริงๆ หรือ?  โดยไม่คำนึงถึงขั้นตอนของงาน ทันทีที่คำพูดของเราถูกพูด พวกเจ้าก็จะเริ่มต้นการสามัคคีธรรมโดยสอดคล้องกับคำพูดของเรา และทำงานโดยสอดคล้องกับคำพูดของเรา และมันก็ไม่ใช่หนทางที่พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งได้นึกถึง  เมื่อได้มาไกลจนถึงตอนนี้เจ้าไม่สามารถเห็นคำถามที่ชัดเจนและเรียบง่ายเช่นนี้หรอกหรือ?  มันไม่ใช่หนทางที่บางคนได้คิดขึ้นมา อีกทั้งก็ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของทางของบุคคลสำคัญฝ่ายวิญญาณคนใด  มันเป็นเส้นทางใหม่เส้นทางหนึ่ง และแม้แต่พระวจนะที่พระเยซูได้เคยตรัสไว้มากมายก็ไม่ได้ใช้กับเส้นทางนั้นอีกต่อไป  สิ่งที่เราพูดคืองานเปิดยุคใหม่ยุคหนึ่ง และเป็นงานที่ยืนโดยลำพัง งานที่เราทำ และคำพูดที่เราพูด ล้วนใหม่ทั้งหมด  นี่ไม่ใช่งานใหม่ของวันนี้หรอกหรือ?  พระราชกิจของพระเยซูก็เป็นเช่นนี้ด้วยเช่นกัน  พระราชกิจของพระองค์ก็แตกต่างจากงานของผู้คนในพระวิหารเช่นกัน และก็เช่นเดียวกันที่พระราชกิจของพระองค์แตกต่างจากงานของพวกฟาริสี และไม่ได้มีความคล้ายคลึงใดๆ กับงานที่ผู้คนแห่งประเทศอิสราเอลทั้งหมดได้ทำ  หลังจากรู้เห็นพระราชกิจนั้นแล้ว ผู้คนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า “พระราชกิจนั้นถูกพระเจ้าทรงทำจริงๆ หรือ?”  พระเยซูไม่ได้ทรงยึดถือธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ เมื่อพระองค์ได้เสด็จมาเพื่อสอนมนุษย์ ทั้งหมดที่พระองค์ได้ตรัสนั้นใหม่และแตกต่างจากสิ่งที่เหล่าวิสุทธิชนและผู้เผยพระวจนะโบราณแห่งพันธสัญญาเดิมได้พูดไว้ และด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงยังคงไม่แน่ใจ  นี่คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ยากต่อการรับมือเหลือเกิน  ก่อนที่จะยอมรับพระราชกิจขั้นตอนใหม่นี้ เส้นทางที่พวกเจ้าส่วนใหญ่ได้เดินไป คือการฝึกฝนปฏิบัติและเข้าสู่รากฐานของเส้นทางของบุคคลสำคัญฝ่ายวิญญาณเหล่านั้น  แต่ในวันนี้ งานที่เราทำแตกต่างอย่างมาก และดังนั้นพวกเจ้าจึงไร้ความสามารถที่จะตัดสินใจได้ว่ามันถูกต้องหรือไม่  เราไม่ใส่ใจว่าเส้นทางอะไรที่เจ้าได้เดินไปก่อนหน้านี้ อีกทั้งเราไม่สนใจว่าเจ้าได้กิน “อาหาร” ของใคร หรือใครคือผู้ที่เจ้าได้ถือว่าเป็น “บิดา” ของเจ้า  ในเมื่อเราได้มาและได้นำงานใหม่มาเพื่อนำทางมนุษย์ ทั้งหมดที่ติดตามเราต้องปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับสิ่งที่เราพูด  ไม่สำคัญว่า “ครอบครัว” ที่เจ้ามาจากนั้นจะมีอำนาจมากเพียงใด เจ้าต้องติดตามเรา เจ้าต้องไม่ปฏิบัติตัวโดยสอดคล้องกับวิธีปฏิบัติแต่ก่อนของเจ้า “บิดาอุปถัมภ์” ของเจ้าควรลงจากตำแหน่ง และเจ้าควรมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าเพื่อแสวงหาส่วนแบ่งอันยุติธรรมของเจ้า  ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้าอยู่ในมือของเรา และเจ้าไม่ควรอุทิศการเชื่ออย่างมืดบอดมากเกินไปแก่บิดาอุปถัมภ์ของเจ้า เขาไม่สามารถควบคุมเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์  พระราชกิจของวันนี้ยืนอยู่โดยลำพัง  ทั้งหมดที่เราพูดในวันนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานจากอดีต มันเป็นการเริ่มต้นใหม่ และหากเจ้าพูดว่ามันถูกสร้างขึ้นด้วยมือของมนุษย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นผู้ที่ตาบอดจนเกินกว่าจะช่วยให้รอด!

อิสยาห์ เอเสเคียล โมเสส ดาวิด อับราฮัม และดาเนียลคือผู้นำหรือผู้เผยพระวจนะท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแห่งประเทศอิสราเอล  ทำไมพวกเขาจึงไม่ได้ถูกเรียกว่าพระเจ้า?  ทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่ได้ทรงเป็นคำพยานต่อพวกเขา?  ทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงเป็นคำพยานต่อพระเยซูทันทีที่พระองค์เริ่มพระราชกิจของพระองค์ และเริ่มตรัสพระวจนะของพระองค์?  และทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงเป็นคำพยานต่อคนอื่นๆ?  พวกเขาเหล่ามนุษย์ที่มีเนื้อหนังทั้งหมดได้ถูกเรียกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า”  โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาถูกเรียกว่าอะไร งานของพวกเขาเป็นตัวแทนของความเป็นอยู่และเนื้อแท้ของพวกเขา และความเป็นอยู่และเนื้อแท้ของพวกเขาเป็นตัวแทนของอัตลักษณ์ของพวกเขา  เนื้อแท้ของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับชื่อต่างๆ ของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาแสดงออกและวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเขาคือตัวแทนของเนื้อแท้ของพวกเขา  ในพันธสัญญาเดิมนั้น ไม่มีสิ่งใดผิดปกติในการถูกเรียกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า และบุคคลผู้หนึ่งอาจถูกเรียกด้วยชื่อใดก็ตาม แต่เนื้อแท้และอัตลักษณ์ที่มีมาแต่เกิดของเขานั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  ท่ามกลางพระคริสต์เทียมเท็จ ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ และนักชักพาให้หลงผิดเหล่านั้น ไม่มีพวกที่ถูกเรียกว่า “พระเจ้า” อยู่ด้วยหรอกหรือ?  และทำไมพวกเขาจึงไม่ใช่พระเจ้า?  เพราะพวกเขาไม่สามารถทำพระราชกิจของพระเจ้าได้  พวกเขามีรากเหง้าเป็นมนุษย์ เป็นจอมชักพาผู้คนให้หลงผิด ไม่ใช่พระเจ้า และดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า  ดาวิดไม่ได้ถูกเรียกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าท่ามกลางชนเผ่าทั้งสิบสองชนเผ่าด้วยหรอกหรือ?  พระเยซูก็ทรงถูกเรียกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นกัน ทำไมพระเยซูเพียงผู้เดียวจึงถูกเรียกว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์?  เยเรมีย์ไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะบุตรมนุษย์ด้วยหรอกหรือ?  และพระเยซูไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะบุตรมนุษย์หรอกหรือ?  ทำไมพระเยซูถูกตรึงกางเขนในพระนามของพระเจ้า?  ไม่ใช่เพราะเนื้อแท้ของพระองค์แตกต่างหรอกหรือ?  ไม่ใช่เพราะพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำแตกต่างหรอกหรือ?  ชื่อนั้นสำคัญหรือไม่?  แม้ว่าพระเยซูได้ทรงถูกเรียกว่าบุตรมนุษย์เช่นกัน แต่พระองค์ได้ทรงเป็นการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของพระเจ้า พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อรับฤทธานุภาพ และทำให้พระราชกิจแห่งการไถ่สำเร็จลุล่วง  นี่พิสูจน์ว่าพระอัตลักษณ์และเนื้อแท้ของพระเยซูแตกต่างจากผู้อื่นที่ถูกเรียกว่าบุตรมนุษย์เช่นกัน  ในวันนี้ ผู้ใดท่ามกลางพวกเจ้ากล้าพูดว่าคำพูดทั้งหมดที่ถูกพูดโดยพวกที่ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์?  ผู้ใดเล่ากล้าพูดสิ่งต่างๆ เช่นนี้?  หากเจ้าพูดสิ่งต่างๆ เช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วทำไมหนังสือแห่งการเผยพระวจนะของเอสราจึงถูกละทิ้ง และทำไมสิ่งเดียวกันจึงถูกกระทำกับบรรดาหนังสือของวิสุทธิชนและผู้เผยพระวจนะในยุคโบราณเหล่านั้น?  หากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วทำไมพวกเจ้าจึงกล้าทำการเลือกตามอำเภอใจเช่นนี้?  เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเลือกพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่?  หลายเรื่องราวจากประเทศอิสราเอลก็ถูกละทิ้งเช่นกัน  และหากเจ้าเชื่อว่าข้อเขียนแห่งอดีตเหล่านี้ทั้งหมดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วทำไมหนังสือบางเล่มจึงถูกละทิ้ง?  หากหนังสือทั้งหมดนั่นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ควรได้รับการเก็บรักษาไว้ และส่งไปให้พี่น้องชายหญิงของคริสตจักรได้อ่าน  หนังสือเหล่านั้นไม่ควรถูกเลือกหรือละทิ้งโดยความตั้งใจของมนุษย์ มันผิดที่จะทำเช่นนั้น  การพูดว่าประสบการณ์ของเปาโลและยอห์นถูกผสมกับความเข้าใจเชิงลึกส่วนตัวของพวกเขาไม่ได้หมายความว่าประสบการณ์และความรู้ของพวกเขามาจากซาตาน แต่เป็นเพียงว่าพวกเขามีสิ่งต่างๆ ที่มาจากประสบการณ์และความเข้าใจเชิงลึกส่วนตัวของพวกเขา  ความรู้ของพวกเขาสอดคล้องกับภูมิหลังของประสบการณ์จริงแท้ของพวกเขา ณ เวลานั้น และใครเล่าจะสามารถบอกได้อย่างมั่นใจว่าทั้งหมดนั่นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์?  หากข่าวประเสริฐทั้งสี่ล้วนมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วทำไมมัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์นแต่ละคนจึงพูดถึงบางสิ่งที่แตกต่างกันเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเยซู?  หากเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วจงดูที่เรื่องราวต่างๆ ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการที่เปโตรได้ปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้งอย่างไร กล่าวคือ การปฏิเสธทั้งหมดแตกต่างกัน และแต่ละครั้งก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง  หลายคนที่ไม่รู้เท่าทันพูดว่า “พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็ทรงเป็นมนุษย์เช่นกัน ดังนั้นพระวจนะที่พระองค์ตรัสนั้นสามารถมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยครบบริบูรณ์ได้หรือ?  หากคำพูดของเปาโลและยอห์นถูกผสมกับความตั้งใจของมนุษย์ เช่นนั้นแล้วพระวจนะที่พระองค์ตรัสนั้นก็ไม่ได้ถูกผสมกับความตั้งใจของมนุษย์จริงๆ หรือ?”  ผู้คนที่พูดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ตาบอดและไม่รู้เท่าทัน!  จงอ่านข่าวประเสริฐทั้งสี่อย่างละเอียดถี่ถ้วน จงอ่านสิ่งที่ข่าวประเสริฐทั้งสี่ได้บันทึกไว้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่พระเยซูได้ทรงทำ และพระวจนะที่พระองค์ได้ตรัสไว้  แต่ละเรื่องราวแตกต่างกันอย่างแน่นอนมาก และแต่ละเรื่องราวก็มีมุมมองของตัวเอง  หากสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นโดยผู้เขียนหนังสือเหล่านี้ทั้งหมดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วทั้งหมดก็ควรจะเหมือนกันและสอดคล้องกัน  เช่นนั้นแล้วทำไมจึงมีความแตกต่าง?  มนุษย์ไม่โง่อย่างที่สุดหรอกหรือ ที่ไร้ความสามารถที่จะมองเห็นเรื่องนี้?  หากเจ้าถูกขอให้เป็นคำพยานต่อพระเจ้า เจ้าจะสามารถให้คำพยานแบบใด?  วิธีรู้จักพระเจ้าเช่นนี้สามารถเป็นคำพยานต่อพระองค์ได้หรือไม่?  หากคนอื่นถามเจ้าว่า “หากบันทึกต่างๆ ของยอห์นและลูกาถูกผสมกับความตั้งใจของมนุษย์ เช่นนั้นแล้วพระวจนะที่พระเจ้าของพวกเจ้าได้ตรัสไม่ได้ถูกผสมกับความตั้งใจของมนุษย์หรอกหรือ?” เจ้าจะสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้หรือไม่?  หลังจากลูกาและมัทธิวได้ยินพระวจนะของพระเยซู และได้เห็นพระราชกิจของพระเยซู พวกเขาก็พูดถึงความรู้ของพวกเขาเอง ในลักษณะของการรำลึกถึงอดีตโดยให้รายละเอียดของข้อเท็จจริงบางข้อของพระราชกิจที่พระเยซูได้ทรงทำ  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าความรู้ของพวกเขาได้ถูกเปิดเผยอย่างครบบริบูรณ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์?  นอกพระคัมภีร์มีบุคคลสำคัญฝ่ายจิตวิญญาณมากมายที่มีความรู้สูงกว่าพวกเขา ดังนั้นทำไมคำพูดของพวกเขาจึงไม่ได้ถูกคนรุ่นต่อๆ มารับไว้เล่า?  คำพูดของพวกเขาไม่ได้ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้เช่นกันหรอกหรือ?  จงรู้ไว้ว่าในพระราชกิจแห่งวันนี้ เราไม่ได้พูดถึงความเข้าใจเชิงลึกของตัวเราเองโดยตั้งอยู่บนรากฐานของพระราชกิจของพระเยซู อีกทั้งเราไม่ได้กำลังพูดถึงความรู้ของเราเองกับภูมิหลังของพระราชกิจของพระเยซู  พระเยซูได้ทรงพระราชกิจอะไร ณ เวลานั้น?  และงานอะไรที่เรากำลังทำในวันนี้?  สิ่งที่เราทำและพูดไม่เคยมีมาก่อน  เส้นทางที่เราเดินในวันนี้ไม่เคยถูกก้าวย่างมาก่อน เส้นทางนี้ไม่เคยถูกผู้คนแห่งยุคต่างๆ และรุ่นต่างๆ แห่งอดีตกาลเดิน  วันนี้มันได้ถูกเปิดตัวแล้ว และนี่ไม่ใช่พระราชกิจของพระวิญญาณหรอกหรือ?  แม้ว่าจะเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้นำแห่งอดีตทั้งหมดก็ยังคงดำเนินการงานของพวกเขาบนรากฐานของพระราชกิจอื่นๆ อย่างไรก็ตามพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองนั้นแตกต่าง  ช่วงระยะของพระราชกิจของพระเยซูนั้นเหมือนกัน กล่าวคือ พระองค์ได้ทรงเปิดหนทางใหม่  เมื่อพระองค์ได้เสด็จมา พระองค์ได้ทรงประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินสวรรค์ และได้ตรัสว่ามนุษย์ควรกลับใจและสารภาพบาป  หลังจากที่พระเยซูได้ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์แล้ว เปโตรกับเปาโลและคนอื่นๆ ก็เริ่มดำเนินการพระราชกิจของพระเยซูต่อไป  หลังจากที่พระเยซูได้ทรงถูกตอกตรึงกางเขน และได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พวกเขาก็ถูกพระวิญญาณส่งไปเผยแพร่หนทางแห่งกางเขน  แม้ว่าคำพูดของเปาโลได้รับการยกย่อง แต่คำพูดเหล่านี้ก็ยังตั้งอยู่บนรากฐานที่ถูกจัดวางไว้โดยสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสไว้ อาทิ ความอดทน ความรัก ความทุกข์ การปกศีรษะ การรับบัพติศมา หรือคำสอนอื่นๆ ที่ต้องติดตาม  ทั้งหมดนี้ถูกพูดบนรากฐานของพระวจนะของพระเยซู  พวกเขาไม่สามารถเปิดทางใหม่ได้ เพราะพวกเขาคือมนุษย์ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงใช้

พระวาทะและพระราชกิจของพระเยซู ณ เวลานั้นไม่ได้ยึดถือตามคำสอน และพระองค์ไม่ได้ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์โดยสอดคล้องกับพระราชกิจแห่งธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิม  พระราชกิจนั้นถูกดำเนินการโดยสอดคล้องกับพระราชกิจที่ควรทรงทำในยุคพระคุณ  พระองค์ได้ทรงตรากตรำโดยสอดคล้องกับพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงก่อเกิด โดยสอดคล้องกับแผนการของพระองค์เอง และโดยสอดคล้องกับพันธกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจโดยสอดคล้องกับธรรมบัญญัติแห่งพันธสัญญาเดิม  ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ได้ทรงทำสอดคล้องกับธรรมบัญญัติแห่งพันธสัญญาเดิม และพระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจเพื่อทำให้คำพูดของบรรดาผู้เผยพระวจนะลุล่วง  พระราชกิจของพระเจ้าแต่ละช่วงระยะนั้นไม่ได้ถูกดำเนินการอย่างชัดแจ้งเพื่อที่จะทำให้คำทำนายต่างๆ ของบรรดาผู้เผยพระวจนะในยุคโบราณลุล่วง และพระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อปฏิบัติตามคำสอนหรือจงใจทำให้คำทำนายของผู้เผยพระวจนะโบราณเป็นจริง  กระนั้นการกระทำของพระองค์ก็ไม่ได้ทำให้คำทำนายของผู้เผยพระวจนะโบราณหยุดชะงัก และไม่ได้รบกวนพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไปแล้วก่อนหน้านี้  จุดที่โดดเด่นของพระราชกิจของพระองค์ไม่ใช่การปฏิบัติตามคำสอนใดๆ และเป็นการทรงพระราชกิจที่พระองค์เองควรทรงทำแทน  พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะหรือผู้ทำนาย แต่เป็นผู้กระทำที่จริงๆ แล้วเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจที่พระองค์ควรทรงที่จะทำ และพระองค์ได้เสด็จมาเพื่อเริ่มต้นยุคใหม่ของพระองค์และดำเนินพระราชกิจใหม่ของพระองค์  แน่นอนว่าเมื่อพระเยซูได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ก็ได้ทรงทำให้คำพูดมากมายที่ผู้เผยพระวจนะโบราณได้พูดไว้ในพันธสัญญาเดิมลุล่วงอีกด้วย  เช่นเดียวกันพระราชกิจของวันนี้ก็ได้ทำให้คำทำนายของผู้เผยพระวจนะโบราณในพันธสัญญาเดิมลุล่วง  มันเป็นเพียงว่าเราไม่ได้ชู “ปูมเก่า” เล่มนั้นก็เท่านั้นเอง  เพราะยังมีงานอีกมากที่เราต้องทำ มีคำพูดอีกมากที่เราต้องพูดกับพวกเจ้า และงานนี้และคำพูดเหล่านี้มีความสำคัญมากกว่าการอธิบายบทตอนต่างๆ จากพระคัมภีร์ยิ่งนัก เพราะงานเช่นนั้นไม่ได้มีนัยสำคัญหรือคุณค่ายิ่งใหญ่สำหรับพวกเจ้า และไม่สามารถช่วยพวกเจ้าได้ หรือเปลี่ยนแปลงพวกเจ้าได้  เราตั้งใจที่จะทำงานใหม่ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งการทำให้บทตอนใดจากพระคัมภีร์ลุล่วง  หากพระเจ้าได้เสด็จมาบนแผ่นดินโลกเพียงเพื่อทำให้คำพูดของผู้เผยพระวจนะโบราณแห่งพระคัมภีร์ลุล่วง เช่นนั้นแล้วใครเล่าจะยิ่งใหญ่กว่ากัน พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์หรือผู้เผยพระวจนะโบราณเหล่านั้น?  จะว่าไปแล้ว ผู้เผยพระวจนะดูแลรับผิดชอบพระเจ้า หรือว่าพระเจ้าทรงดูแลรับผิดชอบผู้เผยพระวจนะ?  เจ้าจะอธิบายคำพูดเหล่านี้อย่างไรเล่า?

ในตอนแรกเริ่ม เมื่อพระเยซูยังไม่ได้ทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์อย่างเป็นทางการ เหมือนบรรดาสาวกที่ได้ติดตามพระองค์ บางครั้งพระองค์ก็ได้ทรงเข้าร่วมการประชุม และได้ทรงร้องเพลงสรรเสริญ ได้ทรงกล่าวชม และได้ทรงอ่านพันธสัญญาเดิมในพระวิหารด้วย  หลังจากพระองค์ได้ทรงรับบัพติศมาและได้ทรงลุกขึ้น พระวิญญาณก็ได้เสด็จลงมาสถิตบนพระองค์อย่างเป็นทางการ และได้ทรงเริ่มพระราชกิจ เปิดเผยพระอัตลักษณ์ของพระองค์และพันธกิจที่พระองค์ต้องทรงกระทำ  ก่อนหน้านี้ไม่มีใครได้รู้จักพระอัตลักษณ์ของพระองค์ และนอกเหนือจากนางมารีย์แล้ว แม้แต่ยอห์นก็ไม่ได้รู้จัก  พระเยซูมีพระชันษา 29 ปีเมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมา  หลังจากบัพติศมาของพระองค์ครบบริบูรณ์ ฟ้าสวรรค์ก็ได้เปิดออก และพระสุรเสียงได้ตรัสว่า: “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”  ทันทีที่พระเยซูทรงได้รับบัพติศมาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้ทรงเริ่มเป็นคำพยานต่อพระองค์ด้วยวิธีนี้  ก่อนที่จะทรงรับบัพติศมาเมื่อทรงมีพระชันษา 29 ปี พระองค์ได้ทรงใช้ชีวิตของบุคคลปกติ ทรงกินเมื่อพระองค์ควรจะทรงกิน ทรงนอนและแต่งตัวตามปกติ และไม่มีอะไรเกี่ยวกับพระองค์ที่แตกต่างจากคนอื่นๆ แต่แน่นอนว่านี่เป็นเพียงในสายตาฝ่ายเนื้อหนังของมนุษย์เท่านั้น  บางครั้งพระองค์ก็อ่อนแอเช่นกัน และบางครั้งพระองค์ก็ไม่ทรงสามารถหยั่งรู้สิ่งต่างๆ ได้เช่นกัน ตรงกันกับที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ กล่าวคือ เชาวน์ปัญญาของพระองค์ได้เจริญเติบโตขึ้นพร้อมกับพระชันษาของพระองค์  คำพูดเหล่านี้เพียงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ได้ทรงมีความเป็นมนุษย์ธรรมดาและปกติ และว่าพระองค์ไม่ได้ทรงแตกต่างจากผู้คนปกติคนอื่นเป็นพิเศษ  พระองค์ได้ทรงเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นบุคคลปกติ และไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับพระองค์  ทว่าพระองค์ทรงอยู่ภายใต้การดูแลและการคุ้มครองของพระเจ้า  หลังจากได้รับบัพติศมาแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงเริ่มถูกทดลอง หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ทรงเริ่มปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ และได้ทรงเริ่มพระราชกิจ และได้ทรงกลายเป็นผู้ครองฤทธานุภาพ พระปัญญา และสิทธิอำนาจ  นี่ไม่ได้เป็นการพูดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงพระราชกิจในพระองค์ก่อนการรับบัพติศมาของพระองค์ หรือไม่ได้ทรงอยู่ในพระองค์ ก่อนการรับบัพติศมาของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตอยู่ในพระองค์เช่นกัน แต่ยังไม่ได้ทรงเริ่มพระราชกิจอย่างเป็นทางการ เพราะมีข้อจำกัดเกี่ยวกับว่าเมื่อใดที่พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ และยิ่งกว่านั้น ผู้คนปกติมีกระบวนการปกติในการเจริญเติบโต  พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงพระชนม์อยู่ในพระองค์เสมอมา  เมื่อพระเยซูประสูติ พระองค์ทรงแตกต่างจากคนอื่นๆ และมีดาวประจำรุ่งดวงหนึ่งได้ปรากฏขึ้น ก่อนการประสูติของพระองค์ ทูตสวรรค์ตนหนึ่งได้ปรากฏต่อโยเซฟในความฝัน และได้บอกเขาว่านางมารีย์จะให้กำเนิดทารกเพศชาย และเด็กคนนั้นได้รับการปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  หลังจากพระเยซูทรงได้รับบัพติศมาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เพิ่งได้เสด็จลงมาสถิตบนพระเยซู  คำกล่าวที่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จมาเหมือนนกพิราบลงสถิตบนพระองค์นั้นเป็นการอ้างอิงถึงการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของพันธกิจของพระองค์  พระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพระองค์มาก่อนแล้ว แต่พระองค์ยังไม่ได้ทรงเริ่มพระราชกิจ เพราะยังไม่ถึงเวลา และพระวิญญาณก็ไม่ได้ทรงเริ่มพระราชกิจอย่างหุนหันพลันแล่น  พระวิญญาณได้ทรงเป็นคำพยานต่อพระองค์ผ่านทางการรับบัพติศมา  เมื่อพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นจากน้ำ พระวิญญาณก็ได้ทรงเริ่มพระราชกิจในพระองค์อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีความหมายว่าเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าได้ทรงเริ่มทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วง และได้ทรงเริ่มพระราชกิจแห่งการไถ่แล้ว กล่าวคือ ยุคพระคุณได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว  และดังนั้นจึงมีเวลาสำหรับพระราชกิจของพระเจ้าโดยไม่สำคัญว่าอะไรคือพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำ  หลังจากการรับบัพติศมาของพระองค์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษใดๆ ในพระเยซู พระองค์ยังคงทรงอยู่ในเนื้อหนังเดิมของพระองค์  เพียงว่าพระองค์ได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ และได้ทรงเปิดเผยพระอัตลักษณ์ของพระองค์ และพระองค์ก็ทรงเปี่ยมด้วยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ  ในเรื่องนี้พระองค์ทรงแตกต่างจากเมื่อก่อน  พระอัตลักษณ์ของพระองค์นั้นแตกต่าง กล่าวคือ ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในสถานภาพของพระองค์ นี่คือคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่ใช่งานที่มนุษย์ทำ  ในตอนแรกนั้น ผู้คนไม่รู้ และพวกเขาก็เพียงมารู้เล็กน้อยทันทีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงเป็นคำพยานต่อพระเยซูด้วยวิธีเช่นนี้  หากพระเยซูได้ทรงพระราชกิจที่ยอดเยี่ยมก่อนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้ทรงเป็นคำพยานต่อพระองค์ แต่ปราศจากคำพยานของพระเจ้าพระองค์เอง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพระราชกิจของพระองค์จะยอดเยี่ยมเพียงใดก็ตาม ผู้คนก็คงจะไม่มีวันได้รู้เกี่ยวกับพระอัตลักษณ์ของพระองค์ เพราะตามนุษย์จะไม่สามารถมองเห็นพระอัตลักษณ์ได้  เมื่อปราศจากขั้นตอนของคำพยานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะไม่มีใครสามารถระลึกรู้ได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  หากว่าหลังจากที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงเป็นคำพยานต่อพระองค์แล้ว หากพระเยซูยังทรงพระราชกิจต่อไปในวิธีเดียวกันโดยไม่มีความแตกต่างใดๆ เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่มีผลกระทบนั้น และในการนี้คือการสาธิตให้เห็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นสำคัญด้วย  หลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงเป็นคำพยาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ต้องแสดงพระองค์เอง เพื่อที่เจ้าจะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ว่ามีพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ภายในพระองค์ คำพยานของพระเจ้าไม่ผิด และนี่อาจพิสูจน์ได้ว่าคำพยานของพระองค์ถูกต้อง  หากพระราชกิจของพระองค์ก่อนและหลังคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนกัน เช่นนั้นแล้วพันธกิจแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ของพระองค์และพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คงจะไม่ถูกเน้นย้ำ และดังนั้นมนุษย์ก็คงจะไม่สามารถระลึกรู้ถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ เพราะคงจะไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนเลย  หลังจากเป็นคำพยานแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ต้องทรงค้ำจุนคำพยานนี้ และดังนั้นพระองค์จึงต้องสำแดงพระปัญญาและสิทธิอำนาจของพระองค์ในพระเยซู ซึ่งแตกต่างจากในอดีตกาล  แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ผลกระทบของการรับบัพติศมา—การรับบัพติศมาเป็นเพียงพิธีอย่างหนึ่ง—เป็นเพียงว่าการรับบัพติศมาเป็นวิธีที่แสดงให้เห็นว่าถึงเวลาปฏิบัติพันธกิจของพระองค์แล้ว  พระราชกิจเช่นนี้ก็เพื่อที่จะทำให้ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าชัดเจน ทำให้คำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ชัดเจน และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงยินยอมรับผิดชอบต่อคำพยานนี้จนถึงวาระสุดท้าย  ก่อนที่จะปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ พระเยซูก็ได้ทรงฟังคำเทศนา ได้ทรงประกาศและได้ทรงเผยแพร่ข่าวประเสริฐในสถานที่ต่างๆ  พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจที่ยอดเยี่ยมใดๆ เพราะเวลายังมาไม่ถึงที่พระองค์จะทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ และเพราะพระเจ้าพระองค์เองทรงถ่อมตนซ่อนตัวอยู่ในเนื้อหนัง และไม่ได้ทรงพระราชกิจใดจนกระทั่งเวลาสุกได้ที่อีกด้วย  พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจก่อนการรับบัพติศมาด้วยเหตุผลสองประการ กล่าวคือ ประการแรก เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เสด็จลงมาสถิตบนพระองค์อย่างเป็นทางการเพื่อทรงพระราชกิจ (กล่าวคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ประทานฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจแก่พระเยซูเพื่อทรงพระราชกิจเช่นนี้) และแม้ว่าพระองค์ได้ทรงรู้จักพระอัตลักษณ์ของพระองค์เองแล้ว พระเยซูก็คงจะไม่ทรงสามารถทำพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยจะทำในภายหลัง และคงจะต้องรอจนกว่าจะถึงวันแห่งการรับบัพติศมาของพระองค์  นี่เป็นเวลาของพระเจ้า และไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้ แม้แต่พระเยซูพระองค์เอง พระเยซูพระองค์เองไม่ทรงสามารถทำให้พระราชกิจของพระองค์เองหยุดชะงักได้  แน่นอนนี่คือความถ่อมใจของพระเจ้า และธรรมบัญญัติแห่งพระราชกิจของพระเจ้าอีกด้วย หากพระวิญญาณของพระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจ ก็ไม่มีใครสามารถทำพระราชกิจของพระองค์ได้  ประการที่สอง ก่อนที่พระองค์ทรงได้รับบัพติศมา พระองค์ทรงเป็นเพียงคนธรรมดาและสามัญมาก และไม่ทรงแตกต่างจากผู้คนปกติและธรรมดาคนอื่นๆ  นี่คือแง่มุมหนึ่งของการที่ว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ไม่ได้ทรงเหนือธรรมชาติอย่างไร  พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ไม่ได้ทรงโต้แย้งการจัดการเตรียมการต่างๆ ของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า  พระองค์ได้ทรงพระราชกิจด้วยวิธีที่เป็นระเบียบ และพระองค์ได้ทรงพระราชกิจอย่างปกติมาก  เป็นหลังจากการรับบัพติศมาเท่านั้นนั่นเองที่พระราชกิจของพระองค์ได้มีสิทธิอํานาจและฤทธานุภาพ  กล่าวคือ แม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ไม่ได้ทรงดำเนินการกิจการเหนือธรรมชาติใดๆ และพระองค์ทรงเจริญเติบโตขึ้นในลักษณะเดียวกับผู้คนปกติคนอื่นๆ  หากพระเยซูทรงได้รู้จักพระอัตลักษณ์ของพระองค์เองแล้ว ได้ทรงพระราชกิจยอดเยี่ยมทั่วทั้งแผ่นดินก่อนการรับบัพื้ติศมาของพระองค์แล้ว และทรงแตกต่างจากผู้คนปกติ แสดงพระองค์เองว่าพิเศษ เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงเป็นไปไม่ได้ที่ยอห์นจะทำงานของเขาเท่านั้น แต่จะไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงเริ่มขั้นตอนต่อไปในพระราชกิจของพระองค์อีกด้วย  ดังนั้นนี่จะได้พิสูจน์ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำได้เกิดผิดพลาด และสำหรับมนุษย์แล้วจะดูเหมือนว่าพระวิญญาณแห่งพระเจ้า และเนื้อหนังแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไม่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน  ดังนั้นพระราชกิจของพระเยซูที่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์คือพระราชกิจที่ทรงทำหลังจากพระองค์ได้รับบัพติศมาแล้ว เป็นพระราชกิจที่ทรงทำในช่วงเวลานานสามปี  พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกสิ่งที่พระองค์ทรงทำก่อนที่พระองค์ทรงได้รับบัพติศมา เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจนี้ก่อนที่พระองค์ทรงได้รับบัพติศมา  พระองค์ทรงเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งและเป็นตัวแทนของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ก่อนที่พระเยซูจะทรงเริ่มปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงแตกต่างจากผู้คนปกติ และคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถเห็นความแตกต่างในพระองค์  เป็นหลังจากพระองค์มีพระชันษาครบ 29 ปีแล้วเท่านั้นนั่นเองที่พระเยซูได้ทรงรู้ว่าพระองค์ได้เสด็จมาเพื่อทำขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าให้ครบบริบูรณ์ ก่อนหน้านี้พระองค์เองไม่ทรงรู้เรื่องนี้ เพราะพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาติ  เมื่อพระองค์ได้ทรงเข้าร่วมการประชุมในธรรมศาลาเมื่อพระชันษาสิบสองปี นางมารีย์กำลังตามหาพระองค์ และพระองค์ได้ตรัสเพียงประโยคเดียว ในลักษณะเดียวกับเด็กคนอื่นๆ ว่า “ท่านแม่!  ท่านไม่รู้หรือว่าเราต้องวางน้ำพระทัยของพระบิดาของเราไว้เหนือสิ่งอื่นทั้งหมด?”  แน่นอนในเมื่อพระองค์ได้รับการปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูจะไม่สามารถมีความพิเศษอยู่บ้างเลยหรือ?  แต่ความพิเศษของพระองค์ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงเหนือธรรมชาติ เป็นแต่เพียงว่าพระองค์ทรงรักพระเจ้ามากกว่าเด็กอายุน้อยอื่นใด  แม้ว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ในพระรูปลักษณะ แต่แก่นแท้ของพระองค์ทรงยังคงพิเศษและแตกต่างจากคนอื่นๆ  อย่างไรก็ตาม เป็นหลังจากการรับบัพติศมาแล้วเท่านั้นนั่นเองที่พระองค์ได้ทรงสำนึกรับรู้จริงๆ ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจในพระองค์ ได้ทรงสำนึกรับรู้จริงๆ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  เป็นเมื่อพระองค์ทรงมีพระชันษาถึง 33 ปีแล้วเท่านั้นนั่นเองที่พระองค์ได้ทรงระลึกรู้อย่างแท้จริงว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งใจที่จะดำเนินการพระราชกิจแห่งการตรึงกางเขนโดยผ่านทางพระองค์  เมื่อพระชันษา 32 ปีพระองค์ได้ทรงมารู้ความจริงเบื้องหลังบางประการ เฉกเช่นที่ได้ถูกเขียนไว้ในข่าวประเสริฐแห่งมัทธิวว่า “ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า ‘พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่’” (มัทธิว 16:16) และ “ตั้งแต่เวลานั้นมา พระเยซูทรงเริ่มเผยแก่บรรดาสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทรงทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่ พวกหัวหน้าปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์ และทรงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่” (มัทธิว 16:21)  พระองค์ไม่ได้ทรงรู้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะต้องทรงพระราชกิจอะไร แต่ ณ เวลาที่เฉพาะเจาะจง  พระองค์ไม่ได้ทรงรู้อย่างครบถ้วนว่าทันทีที่พระองค์ประสูติ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงพระราชกิจในพระองค์ทีละน้อย และมีกระบวนการสำหรับพระราชกิจนี้  หากว่าในตอนเริ่มต้นนั้น พระองค์ได้ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และพระคริสต์ และบุตรมนุษย์ผู้ประสูติเป็นมนุษย์ ได้ทรงรู้ว่าพระองค์ต้องทรงพระราชกิจแห่งการตรึงกางเขนให้สำเร็จ เช่นนั้นแล้วทำไมพระองค์จึงไม่ได้ทรงพระราชกิจมาก่อน?  ทำไมหลังจากทรงบอกบรรดาสาวกของพระองค์เกี่ยวกับพันธกิจของพระองค์เท่านั้นนั่นเองพระเยซูทรงรู้สึกเศร้าโศก และทรงอธิษฐานอย่างจริงจังจริงใจเพื่อการนี้?  ทำไมยอห์นจึงได้เปิดทางให้พระองค์ และให้บัพติศมาแก่พระองค์ก่อนที่พระองค์จะได้มาเข้าพระทัยสิ่งต่างๆ มากมายที่พระองค์ไม่ได้เข้าพระทัย?  สิ่งที่การนี้พิสูจน์ก็คือว่าเป็นพระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ในเนื้อหนัง และดังนั้นเพื่อให้พระองค์เข้าพระทัยและสัมฤทธิ์ผล จึงมีกระบวนการหนึ่ง เนื่องเพราะพระองค์ทรงเป็นเนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ซึ่งพระราชกิจของพระองค์แตกต่างจากพระราชกิจที่พระวิญญาณทรงทำโดยตรง

พระราชกิจของพระเจ้าทุกขั้นตอนติดตามกระแสหนึ่งเดียวกัน และดังนั้นในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้านั้น แต่ละขั้นตอนจึงมีขั้นตอนต่อไปตามมาติดๆ ตั้งแต่การสร้างแผ่นดินโลกเรื่อยมาจนถึงวันนี้  หากไม่มีใครปูทางให้ เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่มีใครตามหลังมา ในเมื่อมีพวกที่ตามหลังมา จึงมีพวกที่ปูทางให้  ด้วยวิธีนี้พระราชกิจจึงได้รับการสืบทอดลงไปทีละขั้นตอน  ขั้นตอนหนึ่งติดตามขั้นตอนอื่น และหากไม่มีผู้ใดเปิดทางให้ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเริ่มต้นพระราชกิจ และพระเจ้าก็คงจะไม่ทรงมีวิถีทางที่จะนำพระราชกิจของพระองค์ไปข้างหน้า  ไม่มีขั้นตอนใดที่ทำให้ขั้นตอนอื่นหยุดชะงัก และแต่ละขั้นตอนตามหลังขั้นตอนอื่นตามลำดับเพื่อก่อเกิดเป็นกระแส นี่คือทั้งหมดที่พระวิญญาณองค์เดียวกันได้ทรงทำ  แต่โดยไม่คำนึงถึงว่าใครบางคนจะเปิดทางหรือดำเนินการงานของผู้อื่นต่อหรือไม่ นี่ไม่ได้กำหนดอัตลักษณ์ของพวกเขา  การนี้ไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  ยอห์นได้เปิดทาง และพระเยซูได้ทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ต่อไป ดังนั้นการนี้พิสูจน์ว่าพระอัตลักษณ์ของพระเยซูต่ำกว่าของยอห์นหรือไม่?  พระยาห์เวห์ได้ทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ก่อนพระเยซู ดังนั้นเจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระยาห์เวห์ทรงยิ่งใหญ่กว่าพระเยซู?  ไม่ว่าพวกเขาได้ปูทางหรือได้ดำเนินการงานของผู้อื่นต่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเนื้อแท้ของงานของพวกเขา และอัตลักษณ์ที่เนื้อแท้นั้นเป็นตัวแทน  การนี้ไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  ในเมื่อพระเจ้าได้ตั้งพระทัยที่จะทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ พระองค์จึงต้องทรงยกระดับพวกที่สามารถทำงานแห่งการปูทางได้  เมื่อยอห์นเพิ่งเริ่มเทศนา เขาได้พูดว่า “จงเตรียมมรรคา แห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำหนทาง ของพระองค์ให้ตรงไป” “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว”  เขาได้พูดเช่นนั้นตั้งแต่เริ่มแรก และทำไมเขาจึงสามารถพูดคำเหล่านี้ได้เล่า?  ในแง่ของลำดับที่คำเหล่านี้ถูกพูด เป็นยอห์นที่ได้พูดข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินสวรรค์ครั้งแรก และพระเยซูได้ทรงเป็นผู้ที่ตรัสหลังจากนั้น  ตามมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์นั้น เป็นยอห์นที่ได้เปิดเส้นทางใหม่ และดังนั้นจึงแน่นอนว่ายอห์นยิ่งใหญ่กว่าพระเยซู  แต่ยอห์นไม่ได้พูดว่าเขาเป็นพระคริสต์ และพระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นคำพยานต่อเขาในฐานะพระบุตรสุดรักของพระเจ้า แต่เพียงได้ทรงใช้ให้เขาเปิดทางและตระเตรียมทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า  เขาได้ปูทางให้พระเยซู แต่เขาไม่สามารถทำงานแทนพระเยซูได้  งานของมนุษย์ทั้งหมดได้รับการบำรุงรักษาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกด้วย

ในยุคแห่งพันธสัญญาเดิม พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้นำทาง และพระราชกิจของพระยาห์เวห์เป็นตัวแทนของยุคแห่งพันธสัญญาเดิมทั้งยุค และพระราชกิจทั้งหมดที่ทรงทำในประเทศอิสราเอล  โมเสสได้เชิดชูพระราชกิจนี้บนแผ่นดินโลกเท่านั้น และความอุตสาหะของเขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นความร่วมมือที่มนุษย์ได้จัดหาให้  ณ เวลานั้น เป็นพระยาห์เวห์ที่ได้ตรัสเรียกโมเสส และพระองค์ได้ทรงชูโมเสสขึ้นท่ามกลางประชากรแห่งประเทศอิสราเอล และได้ทรงทำให้เขานำพวกเขาเข้าไปในถิ่นทุรกันดารและต่อไปยังคานาอัน  นี่ไม่ใช่งานของโมเสสเอง แต่เป็นพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกำกับ และดังนั้นโมเสสจึงไม่สามารถถูกเรียกว่าพระเจ้าได้  โมเสสยังได้เขียนธรรมบัญญัติไว้ด้วย แต่พระยาห์เวห์ได้ทรงเป็นผู้ที่บัญญัติธรรมบัญญัตินี้ด้วยพระองค์เอง  เป็นเพียงว่าพระองค์ได้ทรงให้โมเสสเป็นผู้แสดงธรรมบัญญัตินั้น  พระเยซูก็ได้ทรงกำหนดพระบัญญัติเช่นกัน และพระองค์ได้ทรงยกเลิกธรรมบัญญัติแห่งพันธสัญญาเดิม และได้ทรงบัญญัติพระบัญญัติสำหรับยุคใหม่  ทำไมพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง?  เพราะมีความแตกต่างอยู่อย่างหนึ่ง  ณ เวลานั้น งานที่โมเสสได้ทำไม่ได้เป็นตัวแทนของยุค อีกทั้งไม่ได้เปิดทางใหม่ เขาได้รับการชี้นำไปข้างหน้าโดยพระยาห์เวห์ และเป็นเพียงผู้หนึ่งซึ่งพระเจ้าทรงใช้  เมื่อพระเยซูเสด็จมา ยอห์นได้ดำเนินการงานขั้นตอนหนึ่งของการปูทางและได้เริ่มเผยแพร่ข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินสวรรค์แล้ว (พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงเริ่มต้นการนี้)  เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ได้ทรงทำพระราชกิจของพระองค์เองโดยตรง แต่มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างพระราชกิจของพระองค์กับงานของโมเสส  อิสยาห์ก็ได้กล่าวคำเผยพระวจนะมากมายด้วย แต่ทำไมเขาจึงไม่ใช่พระเจ้าพระองค์เอง?  พระเยซูไม่ได้ตรัสคำเผยพระวจนะมากมาย กระนั้นทำไมพระองค์จึงทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง?  ไม่มีใครกล้าที่จะพูดว่าพระราชกิจของพระเยซู ณ เวลานั้นทั้งหมดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดว่าทั้งหมดนั่นมาจากความตั้งใจของมนุษย์ หรือว่าเป็นพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองทั้งสิ้น  มนุษย์ไม่ได้มีวิธีที่จะวิเคราะห์สิ่งต่างๆ เช่นนี้  อาจพูดได้ว่าอิสยาห์ได้ทำงานเช่นนี้ และได้พูดคำเผยพระวจนะเช่นนี้ และทั้งหมดนั่นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ งานและคำพูดเหล่านั้นไม่ได้มาจากอิสยาห์เองโดยตรง แต่เป็นวิวรณ์ต่างๆ จากพระยาห์เวห์  พระเยซูไม่ได้ทรงทำพระราชกิจจำนวนมากมาย และไม่ได้ตรัสคำพูดมากมาย อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ตรัสคำเผยพระวจนะมากมาย  สำหรับมนุษย์แล้ว การเทศนาของพระองค์ดูเหมือนจะไม่ได้รับการยกย่องเป็นพิเศษ แต่พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง และนี่เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจอธิบายได้  ไม่เคยมีใครเชื่อในยอห์น หรืออิสยาห์ หรือดาวิด อีกทั้งไม่เคยมีใครเรียกพวกเขาว่าพระเจ้า หรือดาวิดพระเจ้าหรือยอห์นพระเจ้า ไม่เคยมีใครพูดเช่นนี้ และมีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่ทรงเคยถูกเรียกว่าพระคริสต์  การจำแนกประเภทนี้ถูกทำขึ้นโดยสอดคล้องกับคำพยานของพระเจ้า พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงดำเนินการ และพันธกิจที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติ  ในส่วนของมหาบุรุษแห่งพระคัมภีร์—อับราฮัม ดาวิด โยชูวา ดาเนียล อิสยาห์ ยอห์น และพระเยซู—โดยผ่านทางงานที่พวกเขาได้ทำ เจ้าสามารถบอกได้ว่าใครทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง และผู้คนชนิดใดเป็นผู้เผยพระวจนะ และผู้คนชนิดใดเป็นอัครทูต  ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้ และผู้ที่ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง ได้รับการแยกแยะความแตกต่างและได้รับการกำหนดโดยเนื้อแท้และชนิดของงานที่พวกเขาได้ทำ  หากเจ้าไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็พิสูจน์ว่าเจ้าไม่รู้ว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงอะไร  พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเพราะพระองค์ได้ตรัสหลายคำเหลือเกิน และได้ทรงพระราชกิจมากเหลือเกิน โดยเฉพาะการที่พระองค์ทรงสาธิตการอัศจรรย์มากมาย  ในทำนองเดียวกัน ยอห์นก็ได้ทำงานมากมาย และได้พูดมากมายหลายคำเช่นกัน และโมเสสก็ได้ทำเช่นเดียวกัน ทำไมพวกเขาจึงไม่ถูกเรียกว่าพระเจ้าเล่า?  พระเจ้าทรงสร้างอาดัมโดยตรง ทำไมเขาจึงไม่ถูกเรียกว่าพระเจ้า แทนที่จะถูกเรียกว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น?  หากมีใครบางคนพูดกับเจ้าว่า “วันนี้พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจมากมายเหลือเกิน และได้ตรัสคำพูดมากมายเหลือเกิน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  เช่นนั้นแล้ว ในเมื่อโมเสสได้พูดคำพูดมากมายเหลือเกิน เขาก็ต้องเป็นพระเจ้าพระองค์เองเช่นกัน!” เจ้าก็ควรถามพวกเขากลับไปว่า “ณ เวลานั้น เหตุใดพระเจ้าทรงเป็นคำพยานต่อพระเยซู และไม่ใช่ยอห์น ในฐานะพระเจ้าพระองค์เอง?  ยอห์นไม่ได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเยซูหรอกหรือ?  สิ่งใดยิ่งใหญ่กว่ากัน งานของจอห์นหรือพระราชกิจของพระเยซู?  กับมนุษย์แล้ว งานของยอห์นดูเหมือนจะยิ่งใหญ่กว่าพระราชกิจของพระเยซู แต่ทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงทรงเป็นคำพยานต่อพระเยซู และไม่ใช่ยอห์นเล่า?”  สิ่งเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในวันนี้!  ณ เวลานั้น เมื่อโมเสสนำประชาชนแห่งประเทศอิสราเอล พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับเขาจากท่ามกลางหมู่เมฆ  โมเสสไม่ได้พูดโดยตรง แต่ได้รับการทรงนำโดยตรงโดยพระยาห์เวห์แทน  นี่คืองานของอิสราเอลแห่งพันธสัญญาเดิม  ภายในโมเสสไม่มีพระวิญญาณ หรือสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น  เขาไม่สามารถทำงานนั้นได้ และดังนั้นจึงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างงานที่เขาได้ทำกับพระราชกิจที่พระเยซูได้ทรงทำ  และนั่นเป็นเพราะงานที่พวกเขาได้ทำแตกต่างกัน!  การที่จะมีใครบางคนถูกใช้โดยพระเจ้า หรือเป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นอัครทูต หรือพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่นั้น สามารถหยั่งรู้ได้ด้วยธรรมชาติของงานของเขา และสิ่งนี้จะทำให้ความแคลงใจของเจ้าสิ้นสุดลง  ในพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่ามีเพียงพระเมษโปดกเท่านั้นที่สามารถเปิดตราทั้งเจ็ดดวงได้  ตลอดหลายยุคที่ผ่านมามีผู้อธิบายคัมภีร์มากมายท่ามกลางบรรดาบุคคลสำคัญยิ่งใหญ่เหล่านั้น และดังนั้นเจ้าจึงสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นพระเมษโปดก?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าคำอธิบายของพวกเขาทั้งหมดมาจากพระเจ้า?  พวกเขาเป็นเพียงผู้อธิบาย พวกเขาไม่มีอัตลักษณ์ของพระเมษโปดก  พวกเขาจะสามารถมีคุณค่าพอที่จะเปิดตราทั้งเจ็ดดวงได้อย่างไร?  เป็นความจริงที่ว่า “มีเพียงพระเมษโปดกเท่านั้นที่สามารถเปิดตราทั้งเจ็ดดวงได้” แต่พระองค์ไม่เพียงเสด็จมาเพื่อเปิดตราเจ็ดดวงเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต่อพระราชกิจนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องถูกดำเนินการอยู่แล้ว  พระองค์ทรงชัดเจนอย่างที่สุดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์เอง  จำเป็นหรือไม่ที่พระองค์จะใช้เวลามากมายในการตีความคัมภีร์?  “ยุคแห่งพระเมษโปดกตีความคัมภีร์” ต้องถูกเพิ่มเข้าไปในหกพันปีแห่งพระราชกิจหรือไม่?  พระองค์เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจใหม่ แต่พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมวิวรณ์เกี่ยวกับพระราชกิจแห่งอดีตกาลให้ด้วย ทำให้ผู้คนเข้าใจความจริงของหกพันปีแห่งพระราชกิจ  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายบทตอนมากมายเกินไปจากพระคัมภีร์ เป็นพระราชกิจของวันนี้นั่นเองที่เป็นกุญแจ นั่นเป็นสิ่งสำคัญ  เจ้าควรรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อแกะตราทั้งเจ็ดดวงโดยเฉพาะ แต่เพื่อทรงพระราชกิจแห่งความรอด

เจ้ารู้เพียงว่าพระเยซูจะเสด็จลงมาในระหว่างยุคสุดท้าย แต่พระองค์จะเสด็จลงมาอย่างไรกันแน่เล่า?  คนบาปเช่นพวกเจ้า ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับการไถ่บาป และยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เจ้าสามารถทำได้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้ากระนั้นหรือ?  สำหรับเจ้า เจ้าผู้ซึ่งยังคงเป็นตัวตนเก่าของเจ้า เป็นความจริงที่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซู และเจ้าไม่ได้เป็นคนบาปเนื่องจากความรอดของพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าปราศจากบาป หรือปราศจากความไม่บริสุทธิ์  หากเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง แล้วเจ้าจะได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างไร?  ภายในตัวเจ้าเต็มไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ เห็นแก่ตัว และต่ำช้า กระนั้นเจ้าก็ยังคงปรารถนาที่จะลงมาพร้อมกับพระเยซู—เจ้าคงจะโชคดีเช่นนั้นหรอก!  เจ้าได้พลาดไปขั้นตอนหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือ เจ้าเพียงได้รับการไถ่บาปเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง  การที่เจ้าจะทำได้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้านั้น พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจเพื่อเปลี่ยนแปลงและชำระเจ้าให้บริสุทธิ์ด้วยพระองค์เอง มิฉะนั้นก็ไม่มีทางที่เจ้าจะได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์เพราะเจ้าเพิ่งจะได้รับการไถ่เท่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมจะไม่มีคุณสมบัติที่จะชื่นชมพรอันดีงามร่วมกันกับพระเจ้า เพราะเจ้าได้พลาดขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงและการทำให้มีความเพียบพร้อม  ดังนั้นเจ้า คนบาปที่เพิ่งได้รับการไถ่ จึงไม่สามารถสืบทอดมรดกของพระเจ้าโดยตรงได้

เมื่อไม่มีการเริ่มต้นของพระราชกิจช่วงระยะใหม่นี้แล้ว ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าพวกเจ้า ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ผู้เทศนา ผู้อธิบาย และผู้ที่ถูกเรียกว่ามหาบุรุษฝ่ายจิตวิญญาณ จะไปไกลเพียงใด!  เมื่อไม่มีการเริ่มต้นของพระราชกิจช่วงระยะใหม่นี้แล้ว สิ่งที่พวกเจ้าพูดถึงก็คงจะล้าสมัย!  มันคือการขึ้นครองบัลลังก์ หรือไม่ก็การตระเตรียมวุฒิภาวะแห่งการกลายเป็นกษัตริย์ คือการปฏิเสธตัวตน หรือไม่ก็การทำให้ร่างกายตนเองอ่อนแอ คือการมีความอดทน หรือไม่ก็การเรียนรู้บทเรียนต่างๆ จากทุกสรรพสิ่ง คือความถ่อมใจ หรือไม่ก็ความรัก  นี่ไม่ใช่การทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอกหรือ?  มันเป็นเพียงกรณีของการเรียกสิ่งเดียวกันด้วยชื่อที่แตกต่าง!  ไม่ว่าจะเป็นการคลุมศีรษะตนเองและการบิขนมปัง หรือการวางมือและการอธิษฐาน และการรักษาคนป่วยและการขับไล่พวกมาร  จะสามารถมีงานใหม่ได้บ้างหรือไม่?  จะสามารถมีโอกาสแห่งการพัฒนาได้บ้างหรือไม่?  หากเจ้ายังนำทางด้วยวิธีนี้ต่อ เจ้าก็จะปฏิบัติตามคำสอนอย่างมืดบอด หรือทำตามแบบแผนต่อไป  พวกเจ้าเชื่อว่างานของพวกเจ้าสูงส่งเหลือเกิน แต่พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่ามันถูกส่งผ่านและสอนโดย “ผู้อาวุโส” แห่งยุคโบราณ?  ทั้งหมดที่พวกเจ้าพูดและทำไม่ใช่คำพูดสุดท้ายของผู้อาวุโสเหล่านั้นหรอกหรือ?  มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้เฒ่าเหล่านี้มอบหมายมาก่อนที่พวกเขาจะตายจากไปหรอกหรือ?  เจ้าคิดว่าการกระทำของพวกเจ้านั้นเหนือกว่าการกระทำของบรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะของรุ่นก่อนๆ และถึงกับเหนือกว่าทุกสรรพสิ่งหรือไม่?  การเริ่มต้นของพระราชกิจช่วงระยะนี้ได้นำบทอวสานมาสู่ความเลื่อมใสของพวกเจ้าต่องานของพยานลีในการพยายามที่จะกลายเป็นกษัตริย์และขึ้นครองบัลลังก์ และได้ยับยั้งความโอหังและการแผดเสียงของเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ไร้ความสามารถที่จะก้าวก่ายพระราชกิจช่วงระยะนี้ได้  เมื่อไม่มีพระราชกิจช่วงระยะนี้แล้ว พวกเจ้าคงจะจมลึกลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเจ้าไม่สามารถรับการไถ่บาปได้  ท่ามกลางพวกเจ้ามีสิ่งเก่าๆ มากเกินไป!  โชคดีที่พระราชกิจในวันนี้ได้นำพาพวกเจ้ากลับมา หาไม่แล้วผู้ใดจะรู้ว่าพวกเจ้าจะไปในทิศทางใด!  ในเมื่อพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งทรงใหม่อยู่เสมอและทรงไม่มีวันเก่า ทำไมเจ้าจึงไม่แสวงหาสิ่งใหม่ๆ เล่า?  ทำไมเจ้าจึงยึดติดกับสิ่งเก่าๆ อยู่เสมอเล่า?  และดังนั้นการรู้จักพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้จึงมีความสำคัญสูงสุด!

ก่อนหน้า: เจ้าควรรู้ว่ามนุษยชาติทั้งปวงได้พัฒนามาจนถึงปัจจุบันอย่างไร

ถัดไป: เจ้าควรละมือจากพรเกี่ยวกับสถานะและทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเรื่องการนำความรอดมาสู่มนุษย์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger