32. จิตวิญญาณของฉันได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ

โดย หมีปู่ ประเทศสเปน

ในชีวิตของเขา หากมนุษย์ปรารถนาจะได้รับการชำระให้สะอาดและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขา หากเขาปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมายและทำหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งทรงสร้างให้ลุล่วงแล้วไซร้ เขาต้องยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และต้องไม่ยอมให้การบ่มวินัยของพระเจ้าและการเฆี่ยนตีของพระเจ้าผละจากเขาไป ทั้งนี้ก็เพื่อที่เขาอาจปลดปล่อยตนเองจากการหลอกใช้และอิทธิพลของซาตาน และมีชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้าได้  จงรู้ไว้ว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่าง และแสงสว่างแห่งความรอดของมนุษย์ และรู้ว่าไม่มีการได้รับพรใด พระคุณใด หรือการคุ้มครองปกป้องใดที่ดีกว่านี้อีกแล้วสำหรับมนุษย์(“การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่างแห่งความรอดของมนุษย์” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ)  พระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้เตือนความทรงจำให้ฉันคิดถึงประสบการณ์ที่ฉันได้รับเมื่อสองสามปีก่อน

ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2016 มีการนำมิวสิกวิดีโอร้องเพลงและเต้นรำที่ฉันได้ช่วยออกแบบท่าเต้นไปโพสต์ทางอินเทอร์เน็ต  พี่น้องชายหญิงชอบกันมากๆ และพวกเขาแนะนำว่า ควรให้ฉันเป็นคนบริหารจัดการทีมเต้นของคริสตจักร  ฉันตื่นเต้นมากและอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ว่าฉันจะทำหน้าที่นี้ให้ดีอย่างแน่นอน และผลิตวิดีโอเพิ่มอีกเพื่อเป็นพยานให้พระองค์  ไม่นานนัก งานของทีมเต้นก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง  พี่น้องชายหญิงนิยมยกย่องฉันมากๆ และพวกเขาก็ได้มาขอความช่วยเหลือจากฉัน ไม่ว่าพวกเขาจะมีความยากเย็นอะไรเกี่ยวกับการเต้น  นี่เพิ่มความถือดีให้ฉันอย่างมาก และฉันรู้สึกเหมือนว่า ฉันเป็นความสามารถพิเศษที่ขาดไม่ได้ในคริสตจักร  ไม่นานนัก หัวหน้าคริสตจักรก็ได้จัดการเตรียมการให้น้องเยี่ยมาทำงานกับฉัน  ฉันมีความสุขเรื่องนี้มากๆ พลางคิดว่า “น้องเยี่ยเองก็มีประสบการณ์การเต้นอาชีพเหมือนกัน และเธอก็เป็นเลิศเรื่องการเต้นสไตล์ต่างๆ มากกว่าฉัน  พวกเราสามารถชดเชยส่วนที่อีกฝ่ายขาดพร่องได้  พวกเราจะต้องทำหน้าที่ของพวกเราได้ดีแน่นอน”  ผ่านมาได้สักพัก พวกเรากำลังเตรียมถ่ายทำมิวสิกวิดีโอชิ้นหนึ่ง และแนวคิดของน้องเยี่ยเรื่องการออกแบบท่าเต้นก็ก้าวหน้ากว่า มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกมากกว่าของฉัน  พี่น้องชายหญิงทั้งหมดพากันชื่นชอบแนวคิดของเธอ  ฉันก็ไม่ค่อยพอใจในเรื่องนี้นัก และสงสัยว่า “คนอื่นๆ จะคิดกับฉันอย่างไร?  พวกเขาจะคิดว่าฉันสู้น้องเยี่ยไม่ได้หรือเปล่า?  ถ้าเธอแซงหน้าฉันไป ฉันจะยังสามารถแสดงบทบาทใหญ่ๆ ในทีมได้ไหม?”  ฉันจะขัดใจเป็นพิเศษเวลาที่เห็นคนอื่นๆ เข้าไปคุยกับน้องเยี่ย เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีปัญหา  ฉันเป็นผู้รับผิดชอบ แต่พวกเขากลับเรียกหาเธอเมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีปัญหา  แบบนั้นหมายความว่าเธอเก่งกว่าฉันใช่ไหม?  ฉันรู้สึกว่าเธอจะมาเก่งกว่าฉันไม่ได้  ว่าในแผนงานหน้า ฉันต้องทำให้ดีมากๆ ให้ทุกคนได้เห็นว่าฉันก็เก่งพอกับเธอ

ภายหลังน้องเยี่ยกับฉันก็แบ่งภารกิจกันทำเพื่อให้เหมาะกับความต้องการของตัวงาน  ฉันเป็นคนรับผิดชอบมิวสิกวิดีโอ ส่วนเธอรับผิดชอบการผลิตงานแสดงบนเวที  ฉันแอบพอใจอยู่ข้างในค่ะ  ตอนที่เราทำงานด้วยกันก่อนหน้านั้น ฉันรู้สึกว่าถูกข่ม ฉันจึงรู้สึกว่าฉันต้องคว้าโอกาสนั้นเพื่อทำให้ทุกคนเห็นว่าฉันมีความสามารถมากกว่าเธอ  ฉันเพิ่มชั่วโมงค้นคว้าและออกแบบท่าเต้น เพื่อให้ฉันสามารถทำมิวสิกวิดีโอชิ้นนั้นออกมาได้อย่างดีเยี่ยม แต่พอฉันเห็นว่าน้องเยี่ยใกล้จะเสร็จการผลิตงานเต้นของเธอแล้ว ในขณะที่ฉันยังออกแบบท่าเต้นไม่เสร็จ ฉันจึงวิตกกังวลเป็นที่สุด  ด้วยความพยายามที่จะเร่งให้ทันและปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น ฉันเริ่มเรียกร้องกับพวกพี่น้องชายหญิงมากขึ้นในการซ้อมของเรา  มีครั้งหนึ่งที่ฉันตำหนิน้องชายคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงดุว่า ตอนที่ฉันเห็นเขาเต้นผิดสองสามท่า กลัวว่าถ้าเขาเต้นไม่ดี มันจะกระทบกับแผนงาน และฉันก็จะไม่ได้แซงหน้าน้องเยี่ย  ก่อนการถ่ายทำ น้องชายคนหนึ่งชี้ให้เห็นว่าช่วงเริ่มต้นเพลงมีการเต้นน้อยไป  ฉันคิดว่าเขาพูดถูก แต่ในจังหวะนั้นฉันคิดไม่ออกว่าจะเพิ่มอะไรดี เขาจึงแนะนำให้ฉันไปหารือกับน้องเยี่ย  ฉันไม่ชอบใจเลยที่ได้ยินแบบนี้  ถ้าไปคุยกับเธอในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญแบบนี้ มันจะไม่ทำให้ฉันดูด้อยความสามารถกว่าเธอหรอกหรือ?  ถ้าน้องเยี่ยเข้ามามีส่วนร่วม แล้วใครจะได้รับความดีความชอบในตอนท้าย?  ฉันลงเวลาลงแรงไปกับมันมากเหลือเกิน และฉันก็เกือบจะได้ผลงานขั้นสุดท้ายแล้ว  ไม่มีทางแน่นอนที่ฉันจะไปถามเธอ  ฉันก็เลยพูดไปว่า “อย่าเสียกระบวนเพราะรายละเอียดยิบย่อยตอนนี้เลยค่ะ พอถ่ายทำเสร็จแล้ว เราค่อยมาดูก็ได้ว่าภาพรวมออกมาเป็นอย่างไร”  ต่อมา หัวหน้าก็ได้ดูมิวสิกวิดีโอของเรา และบอกว่ามันยังไม่ถึงมาตรฐานของการเป็นพยานเพื่อพระเจ้า และจะต้องทำใหม่  ฉันเสียใจมากที่ได้ยินแบบนี้—มันเหมือนมีมีดมาแทงทะลุหัวใจ  ฉันคิดว่า “ตอนนี้ฉันถูกทำให้ขายหน้าจริงๆ แล้ว  คนอื่นๆ ทั้งหมดจะมองเห็นฉันอย่างที่ฉันเป็น  พวกเขาต้องคิดว่าฉันไม่เก่งเท่าน้องเยี่ยและคิดว่าฉันไม่มีความสามารถในงานของตัวเองแน่นอน  แล้วต่อจากนี้ไปฉันจะรักษาที่ยืนของตัวเองในทีมได้อย่างไร?”  ในช่วงสองสามวันนั้น ฉันไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้เลย ยกเว้นเรื่องหน้าตาและสถานะของฉัน  กลางคืนฉันนอนไม่หลับ สัปหงกในการชุมนุม และไม่ได้ทำหน้าที่ของฉันด้วยใจ

อยู่มาวันหนึ่ง หัวหน้าของฉันก็มาสามัคคีธรรมกับฉัน  ด้วยความที่เห็นว่า ฉันขาดความเข้าใจในตัวเองอย่างสิ้นเชิง เธอจึงตีแผ่และจัดการกับฉัน โดยบอกว่า ฉันกลายเป็นคนที่อิจฉาความสามารถพิเศษของคนอื่นเพื่อปกป้องชื่อเสียงและตำแหน่งของฉันเอง ว่าฉันไม่ได้คำนึงถึงงานของคริสตจักรเลยสักนิด และฉันเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่น  เธอบอกให้ฉันทบทวนตัวเองให้ดี และเธอได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ให้ฉันฟังค่ะ “ทันทีที่พูดไพล่ไปถึงตำแหน่ง หน้าตา หรือความมีหน้ามีตา หัวใจของทุกคนโลดเต้นในความคาดหวัง และเจ้าแต่ละคนต้องการที่จะโดดเด่น มีชื่อเสียง และได้รับการระลึกถึงเสมอ  ทุกคนไม่เต็มใจที่จะอ่อนข้อ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับปรารถนาอยู่ตลอดเวลาที่จะขับเคี่ยวกัน—แม้ว่า การขับเคี่ยวกันนั้นน่าอึดอัด และไม่ได้รับอนุญาตในพระนิเวศของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม โดยปราศจากการขับเคี่ยวกัน เจ้าก็ยังคงไม่พอใจ  เมื่อเจ้าเห็นใครบางคนโดดเด่น เจ้ารู้สึกหวงแหน เกลียดชัง และรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม  ‘ทำไมฉันถึงไม่สามารถโดดเด่นได้?  ทำไมต้องเป็นบุคคลนั้นเสมอที่ได้โดดเด่น และไม่เคยถึงคราวของฉันเลย?’  จากนั้นเจ้าก็รู้สึกถึงความคับแค้นใจบางอย่าง  เจ้าพยายามจะข่มปรามมันไว้ แต่เจ้าก็ทำไม่ได้  เจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าและรู้สึกดีขึ้นชั่วครู่หนึ่ง แต่จากนั้น ทันทีที่เจ้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์จำพวกนี้อีกครั้ง เจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้  นี่ไม่ได้เป็นการแสดงตัวของวุฒิภาวะที่ยังเติบโตไม่เต็มวัยหรอกหรือ?  การที่บุคคลหนึ่งตกเข้าไปอยู่ในสภาวะเช่นนั้นไม่ใช่กับดักหรอกหรือ?  เหล่านี้คือโซ่ตรวนแห่งธรรมชาติอันเสื่อมทรามของซาตานที่ผูกมัดพวกมนุษย์…ยิ่งเจ้าดิ้นรนมากขึ้น ความมืดมิดก็จะรายล้อมรอบตัวเจ้ามากขึ้น และเจ้าก็จะรู้สึกหวงแหนและเกลียดชังมากขึ้น และความอยากของเจ้าในการที่จะได้มาก็จะรุนแรงมากขึ้นเท่านั้นเอง  ยิ่งความอยากของเจ้าในการที่จะได้มารุนแรงมากขึ้น ความสามารถของเจ้าที่จะทำเช่นนั้นได้ก็จะน้อยลง และครั้นเจ้าได้มาน้อยลง ความเกลียดชังของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้น  ครั้นความเกลียดชังของเจ้าเพิ่มขึ้น เจ้าก็จะมืดมนมากขึ้นภายใน  ยิ่งเจ้ามืดมนภายในมากขึ้น เจ้าก็ยิ่งจะปฏิบัติหน้าที่ได้แย่ลง ยิ่งเจ้าปฏิบัติหน้าที่ได้แย่ลง เจ้าก็ยิ่งจะมีประโยชน์น้อยลง  นี่คือวงจรอุบาทว์ที่เชื่อมต่อกัน  หากเจ้าไม่มีวันสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดี เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะค่อยๆ ถูกกำจัดทิ้งไป(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าทำให้ฉันได้ฉุกคิดได้จริงๆ  สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงเผยนั้นคือสถานะของฉันเองอย่างเที่ยงตรงไม่มีผิด  ฉันอิจฉาความสามารถของน้องเยี่ยมาตลอด เพียงแค่ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์เท่านั้น  สำหรับพระเจ้าแล้ว มันน่าขยะแขยงอย่างมากจริงๆ  ฉันคิดย้อนกลับไปว่า ฉันได้ทำตัวขี้อิจฉาอย่างไรตั้งแต่น้องเยี่ยได้เข้าร่วมทีม และฉันได้เห็นว่าเธอมีทักษะมากแค่ไหน  ฉันกลัวว่าคนอื่นๆ จะนิยมยกย่องเธอและดูถูกฉัน และตำแหน่งของฉันจะถูกคุกคาม  ฉันเริ่มแอบแข่งขันกับเธอ พยายามคิดหาทางพิสูจน์ตัวเอง  พอฉันเห็นว่าการออกแบบท่าเต้นในแผนงานของเธอคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วกว่าของฉัน ฉันก็กลายเป็นคนเรียกร้องมากเกินเหตุกับพี่น้องชายหญิง เพื่อไม่ให้ฉันล้าหลังกว่าเธอ  มันชัดเจนมากว่ามีบางเรื่องที่น้องเยี่ยกับฉันควรได้หารือกัน แต่ฉันก็หาข้ออ้างมากันเธอออกไปจนได้ เพราะกลัวว่าเธอจะแย่งความดีความชอบไปหมด  ผลลัพธ์ก็คือ ปัญหาบางส่วนไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที และแม้หลังจากที่พี่น้องชายหญิงได้ลงเวลาลงแรงไปขนาดนั้น ก็กลับกลายเป็นว่ายังไม่ดีพอที่จะทำหน้าที่เป็นคำพยานเพื่อพระเจ้าได้  ตอนที่หัวหน้าคริสตจักรได้จัดการเตรียมการให้น้องเยี่ยทำงานกับฉันในหน้าที่ของฉันนั้น ก็เพื่อให้เรานำจุดแข็งที่แตกต่างกันมาใช้ร่วมกัน และออกแบบท่าเต้นต่างๆ ให้ดีเพื่อเป็นพยานให้พระเจ้า แต่ฉันไม่ได้คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเลยสักนิด  ฉันชิงดีชิงเด่นอยู่ตลอดเวลาเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ และได้ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก  ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากความชั่วและต่อต้านพระเจ้า  ความคิดนี้ทำให้ฉันหวาดหวั่นพอควร และฉันเต็มไปด้วยความเสียใจ  ฉันจึงได้อธิษฐานต่อพระเจ้า และไม่อยากอิจฉาความสำเร็จของผู้อื่นหรือชิงดีชิงเด่นเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์อีกต่อไป  ฉันอยากกลับใจต่อพระเจ้า ทำงานกับน้องเยี่ยให้ดี และทำหน้าที่ของเราอย่างเป็นหนึ่งเดียว

ในการออกแบบท่าเต้นที่เราทำงานด้วยกันหลังจากนั้น ทัศนคติของฉันก็ดีขึ้นบ้าง  มีบางครั้งที่ฉันยังคงรู้สึกอิจฉาเธออยู่ แต่ฉันรู้ว่าฉันควรค้ำจุนงานของคริสตจักร ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวของฉันเอง  ฉันตั้งใจละทิ้งเนื้อหนังและละวางความสนใจในเรื่องของตัวเอง มาคิดว่าจะทำงานกับน้องสาวอย่างไรเพื่อให้แผนงานดีขึ้น  พอพวกเราเจอกับปัญหาหรือความยากลำบาก พวกเรามักสามัคคีธรรมด้วยกัน และพวกเราจะเปิดใจถึงความเสื่อมทรามที่พวกเราได้แสดงออกมา ร่วมกันแสวงหาความจริงและแก้ไขมันเสีย  หลังจากนั้น ฉันก็ได้เห็นการทรงนำและพระพรของพระเจ้า พวกเราออกแบบท่าเต้นได้อย่างรวดเร็วจริงๆ  นอกจากนี้ฉันยังได้รับประสบการณ์กับความรู้สึกสบายใจและปลดปล่อยที่มาจากการปฏิบัติตามความจริง

สองสามเดือนต่อมา ฉันกับน้องเยี่ยได้ทำงานด้วยกันอีกครั้งเพื่อวางแผนการแสดงบนเวทีชิ้นหนึ่ง  อะไรๆ ก็ไปได้อย่างรวดเร็วมากในตอนแรก และ พวกพี่น้องชายหญิงก็ชอบวิธีที่พวกเราออกแบบท่าเต้นกัน  ฉันรู้สึกพอใจกับตัวเองมากๆ  อยู่มาวันหนึ่ง หัวหน้าก็ถามว่า การออกแบบท่าเต้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว และฉันก็ตอบอย่างมีความสุข “เราคืบหน้ามากเลยค่ะ”  แล้วน้องสาวคนหนึ่งก็แทรกขึ้นมาว่า “น้องเยี่ยมีแนวคิดยอดเยี่ยมเลยค่ะ และโครงงานโดยทั่วไปก็ค่อนข้างดีด้วย”  ฉันรู้สึกขัดใจ คิดว่า “ทำไมเธอพูดอย่างนั้นล่ะ ทีนี้ทุกคนก็รู้หมดสิว่าแนวคิดทั้งหลายเรื่องการเต้นมาจากน้องเยี่ย และพวกเข้าก็จะคิดว่าฉันไม่เก่งเท่าเธอ  ฉันต้องคิดหาวิธีทำอะไรสักอย่างให้ลุล่วงด้วยตัวฉันเอง ไม่อย่างนั้น หัวหน้ากับพี่น้องชายหญิงจะคิดอย่างไรกับฉันล่ะ?”  มีอยู่ครั้งหนึ่งในระหว่างที่ออกแบบท่าเต้น ฉันคิดท่าต่อตัวสุดแปลกใหม่ขึ้นมาได้  ด้วยความตื่นเต้น ฉันคิดว่า “เรื่องต่อตัวนี่ฉันเก่งมาก  ตราบใดที่เราซ้อมกันให้ดี ไม่เพียงแต่จะเพิ่มสีสันให้การเต้นเท่านั้น แต่ทุกคนจะได้เห็นจุดแข็งของฉันอีกด้วย  จากนั้นทุกคนก็จะนิยมยกย่องฉัน”  แต่วันถัดมา ตอนที่ฉันกำลังสอนท่านั้นให้พี่น้องชายหญิง พวกเขาให้คำติชมว่าจังหวะมันเร็วเกินไป ว่าท่าเต้นจะยากเกินไป  น้องสาวคนหนึ่งเตือนฉันในค่ำวันนั้นว่า “คนเขาจะบาดเจ็บกันได้ง่ายนะคะถ้าเต้นท่านั้น  ฉันคิดว่า พวกเราไม่ควรฝึกเลยค่ะ”  ฉันกังวลจริงๆ ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นท่าอื่นแทน แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ฉันจะไปเทียบกับน้องเยี่ยได้อย่างไรกัน?  ดังนั้น ฉันจึงคะยั้นคะยอให้ทุกคนฝึกท่านั้นอีกสองสามครั้ง และมายอมแพ้ก็ต่อเมื่อพี่สาวน้องสาวหลายคนต้องเจ็บตัวเพราะร่วงหล่นลงมาเท่านั้นเอง  ฉันผิดหวังและรู้สึกแย่ ฉันจึงขอโทษทีมและปรับเปลี่ยนท่าเต้น แต่ฉันก็ยังคงไม่ได้ทบทวนตัวเองในสิ่งที่เกิดขึ้น  การถ่ายทำก็จวนเจียนจะเริ่มต้นแล้ว  น้องเยี่ยกับฉันได้ร่วมแสดงด้วยกันทั้งคู่  ในระหว่างถ่ายทำ ฉันรู้สึกว่าฉันเต้นไม่ดีตอนที่ฉันอยู่หน้ากล้อง ฉันจึงขอให้ผู้กำกับถ่ายใหม่หลาย  ต่อมาฉันก็ได้เห็นว่า เกือบทุกช็อตที่กล้องจับภาพน้องเยี่ย จะเห็นเธอด้านหน้าเต็มๆ แต่ครั้งเดียวที่กล้องจับภาพระยะประชิดของฉัน เป็นจากด้านข้างเท่านั้นเอง  ฉันเศร้าจนคอตก  ในการถ่ายทำครั้งต่อๆ มา ฉันไม่สามารถเค้นรอยยิ้มออกมาได้เลย และการเต้นของฉันก็ไร้ชีวิตชีวา  ฉันเอาแต่ย้ำคิดว่าจะเต้นอย่างไรให้ดีกว่าน้องเยี่ย ฉันไม่มีกะจิตกะใจที่จะดูฉากเต้นที่ฉันควรเป็นคนตรวจสอบ และฉันไม่สนใจว่าการแสดงจะเป็นคำพยานให้พระเจ้าหรือไม่  และดังนั้น เมื่อวิดีโอออกมา ทุกคนก็บอกว่าการเต้นมันดูแข็งเกินไป ตึงเครียดเกินไป และไม่เพียงแค่ไม่ดีพอที่จะให้คำพยานเพื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังน่าละอายสำหรับพระเจ้าอีกด้วย  หลังจากนั้น หัวหน้าก็พูดว่า ฉันมัวติดอยู่ในสภาวะแห่งการชิงดีชิงเด่นเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ และไม่ได้ทำสิ่งใดในหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงเลย เธอจึงปลดฉันออกจากตำแหน่งที่มีหน้าที่รับผิดชอบ  ฉันผิดหวังมาก ตอนแรกฉันก็แค่อยากทำหน้าที่ของฉันให้ดีเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แต่เนื่องจากฉันทำงานเพื่อสนองความเห็นแก่ตัวของตัวเอง นอกจากแผนงานทั้งหลายที่ฉันทำไว้จะไม่สามารถให้คำพยานแด่พระเจ้าได้แล้ว ยังทำให้พระองค์ละอายพระทัยอีก  นี่คือการฝ่าฝืน  ฉันได้สูญเสียโอกาสที่จะทำหน้าที่ของฉันผ่านทางการเต้นไปแล้ว  ฉันร้องไห้อยู่นานมาก

ภายหลังต่อมา ฉันได้แต่คิดซ้ำไปซ้ำมาว่า “ฉันรู้ดีว่าการต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์นั้นไม่ถูกต้อง แล้วทำไมฉันถึงหยุดตัวเองไม่ได้ที่จะไม่ไล่ตามสิ่งเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า?  เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร?”  มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ฉันทำการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าที่ว่า “ซาตานใช้ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเพื่อควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้คือชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ทนทุกข์จากความยากลำบากต่างๆ เพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจใดๆ เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ด้วยวิธีนี้ ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น และพวกเขาก็ไม่มีทั้งกำลังและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัวและเดินไปข้างหน้าต่อไปด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง  เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัตินี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นชั่วร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในหนทางนี้ คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติของซาตาน ตอนนี้เมื่อดูการกระทำต่างๆ ของซาตาน แรงจูงใจอันมุ่งร้ายของมันไม่น่ารังเกียจอย่างยิ่งหรอกหรือ?  บางทีวันนี้พวกเจ้ายังคงไม่สามารถมองทะลุถึงแรงจูงใจอันมุ่งร้ายของซาตาน เพราะพวกเจ้าคิดว่าคนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเจ้าคิดว่าหากผู้คนทิ้งชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหนทางข้างหน้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถเห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อีกต่อไป คิดว่าอนาคตของพวกเขาจะกลายเป็นมืดมิด คลุมเครือ และมืดมัว  แต่วันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหมดจะระลึกรู้ได้อย่างช้าๆ ว่าชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเป็นโซ่ตรวนอันมหึมาที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดมนุษย์  เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะต้านทานการควบคุมของซาตานอย่างถ้วนทั่วและต้านทานโซ่ตรวนที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดเจ้าอย่างถ้วนทั่ว เมื่อเวลานั้นมาถึงเมื่อเจ้าปรารถนาจะขว้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าออกไป เมื่อนั้นเจ้าจึงจะแยกทางกันอย่างเด็ดขาดกับซาตาน และเจ้าจะเกลียดทั้งหมดที่ซาตานได้นำมาให้เจ้าอย่างแท้จริง  เมื่อนั้นเท่านั้นมวลมนุษย์จึงจะมีความรักและการโหยหาที่แท้จริงต่อพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดเผย กลลวงและเจตนาชั่วของซาตานในการทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม  มันใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์ควบคุมและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เพื่อให้พวกเขากลายเป็นต่ำช้าและเสื่อมทรามมากขึ้น จนถึงขั้นทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้า  ฉันได้รับการศึกษาและได้รับอิทธิพลจากซาตานตั้งแต่ฉันยังเด็ก “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” และ “มนุษย์อยู่ที่ใดก็ทิ้งชื่อของเขาไว้ที่นั่นฉันใด ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องของมันที่นั่นฉันนั้น”  ปรัชญาแบบซาตานพวกนี้หยั่งรากลึกภายในตัวฉัน  ไม่ว่าฉันจะอยู่ในกลุ่มใด ฉันต้องการที่จะพิเศษเหนือใคร ที่จะได้รับการชื่นชมและสรรเสริญ  การได้เห็นใครสักคนเป็นเลิศทำให้ฉันอิจฉา และฉันพยายามคิดหาทุกสิ่งที่จะทำให้ฉันแซงนำ พยายามดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์เสมอ และถูกเล่ห์เหลี่ยมของซาตานทำให้ทุกข์ระทม  อุปนิสัยของฉันกลายเป็นโอหังและชั่วร้ายมากขึ้นทุกที  เมื่อนึกย้อนกลับไปเรื่องการออกแบบท่าเต้น ฉันต้องการทำให้ดีกว่าน้องเยี่ยด้วยทักษะทางเทคนิคของฉัน แต่ฉันไม่ได้ใส่ใจเลยว่า ร่างกายของนักแสดงคนอื่นๆ จะรับไหวหรือไม่ ซึ่งในที่สุดก็จบลงตรงที่ทำให้พี่สาวน้องสาวหลายคนได้รับบาดเจ็บระหว่างการซ้อม  ขณะที่พวกเรากำลังถ่ายทำ ฉันต้องการใช้ภาพระยะประชิดภาพเดียวนั้นของฉันเพื่อเอาไว้แสดงว่าฉันเก่งกว่าน้องเยี่ย ดังนั้นเมื่อท่าเต้นของฉันที่กล้องจับภาพได้นั้น ดูไม่สมบูรณ์แบบพอสำหรับฉัน ฉันจึงให้ผู้กำกับถ่ายซ่อมมากมายหลายเทค ทำให้งานล่าช้า  และในที่สุด เมื่อฉันเห็นว่ามีแค่ใบหน้าด้านข้างของฉันเท่านั้นที่สุดท้ายได้ไปอยู่ในวิดีโอ ในขณะที่เกือบทุกช็อตของน้องเยี่ยนั้นถ่ายจากด้านหน้า ฉันก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ และมีชีวิตอยู่ในสภาวะคิดลบและต่อต้าน และไม่มีกะจิตกะใจที่จะเต้นให้ดีเพื่อเป็นพยานให้พระเจ้า  ผลลัพธ์ก็คือ การเต้นของฉันทำให้พระเจ้าทรงละอาย  การออกแบบท่าเต้นของฉันไม่ใช่เพื่อเป็นพยานให้พระเจ้า แต่เพื่ออวดโอ้เป็นการส่วนตัว  การต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ของฉันขัดขวางงานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง และทำร้ายพี่น้องชายหญิงของฉัน  พฤติกรรมของฉันน่าขยะแขยงเหลือเกิน น่าเกลียดน่าชังต่อพระเจ้าเหลือเกิน!  พระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าผุดขึ้นในใจ “‘การประพฤติชั่ว’  นี้ไม่ได้อ้างอิงถึงการกระทำชั่วหยิบมือหนึ่ง แต่อ้างอิงถึงแหล่งกำเนิดความชั่วที่ทำให้เกิดพฤติกรรมของผู้คน(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2)  พระวจนะของพระเจ้าได้ช่วยให้ฉันตระหนัก ว่า ฉันไม่ได้ถูกปลดออกจากหน้าที่เพราะว่าฉันได้ทำสิ่งไม่ดีไม่กี่อย่าง  มันเกิดขึ้นเพราะว่ารากเหง้า จุดเริ่มต้นแห่งการกระทำของฉัน และเส้นทางที่ฉันเดิน ล้วนชั่วทั้งสิ้น  ตั้งแต่ที่น้องเยี่ยได้เริ่มทำงานกับฉัน ฉันก็อิจฉาเธอมาตลอด ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของฉัน  ฉันมัวแต่ดำเนินการเพื่อการประกอบการส่วนตัวของฉันเอง  ฉันเอาแต่ทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้า  ด้วยความคิดนี้ ฉันจึงกลายเป็นเต็มไปด้วยด้วยความหวาดกลัว  ฉันได้มองเห็นว่าการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและสถานะเป็นเส้นทางที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า และถ้าฉันไม่กลับใจ ท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็จะถูกกำจัดทิ้งและถูกลงโทษ  ฉันรู้สึกเสียใจอย่างหนัก  ฉันร่ำไห้อย่างขมขื่นและอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “โอ้ พระเจ้า!  ข้าพระองค์ถูกปลดออกจากหน้าที่ของตัวเอง  นี่คือการเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ต่อข้าพระองค์ และคือการทรงอารักขาของพระองค์ที่มีต่อข้าพระองค์  ขอบคุณพระองค์ที่ทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์นี้เพื่อหยุดข้าพระองค์ในร่องครรลองที่ชั่วได้ทันเวลา  ข้าพระองค์ต้องการกลับใจต่อพระองค์”

ในหลายวันต่อมา ฉันได้ประกาศข่าวประเสริฐในคริสตจักร พร้อมทำการเฝ้าเดี่ยวและทบทวนตัวเองไปด้วยเช่นกัน  ทุกครั้งที่ฉันคิดเรื่องการเล่นโลดโผนในหน้าที่ของฉันเพียงเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ สิ่งเดียวที่ฉันรู้สึกคือสำนึกผิด  ฉันเกลียดตัวเองที่ไม่ถนอมความล้ำค่าของโอกาสเหมาะที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้ฉันในทีมเต้น  ตอนที่ฉันดูมิวสิกวิดีโอพวกนั้น ฉันอยากกลับไปเริ่มต้นทำใหม่ทั้งหมดแทบแย่ แต่ฉันรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้  ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือ ปฏิบัติหน้าที่ข่าวประเสริฐของฉันอย่างขยันขันแข็ง เพื่อชดเชยการฝ่าฝืนที่ผ่านมา  แล้วฉันก็ต้องแปลกใจ เมื่อหัวหน้าคริสตจักรให้ฉันเข้าร่วมทีมเต้นอีกครั้งเพียงแค่หนึ่งเดือนให้หลัง  ฉันตื้นตันใจกับข่าวนี้มากจนฉันกลั้นน้ำตาไม่อยู่ และฉันได้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะถนอมความล้ำค่าของโอกาสครั้งนี้ ที่จะหยุดไล่ตามชื่อเสียงและผลประโยชน์ ที่จะทำงานกับพี่น้องชายหญิงให้ดี และทำหน้าที่ของฉันให้ดีเพื่อชดใช้คืนความรักของพระเจ้า

หลังจากกลับเข้าร่วมทีม ในการซ้อมของเราครั้งหนึ่ง น้องเยี่ยเอ่ยขึ้นว่าท่าเต้นท่าหนึ่งที่ฉันสอนพี่น้องชายหญิงนั้นไม่ได้มาตรฐาน  ฉันรู้สึกอับอายมากในจังหวะนั้น พลางคิดว่า “เธอมาวิจารณ์ฉันต่อหน้าคนอื่นแบบนั้นได้อย่างไร ทีนี้พวกเขาก็จะคิดจริงๆ น่ะสิว่าฉันไม่เก่งเท่าเธอ ฉันยอมให้พวกเขาดูแคลนฉันไม่ได้ ฉันเองก็มืออาชีพเหมือนกันนะรู้ไหม และฉันก็สังเกตเห็นนะว่า ท่าเต้นของเธอก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนกัน”  ฉันอยากยกเลิกท่าเต้นต่างๆ ที่เธอเป็นคนออกแบบ  แล้วฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันคิดถึงชื่อเสียงกับผลประโยชน์ของตัวเองอีกแล้ว ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าในใจ  ฉันคิดถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าหลังการอธิษฐานของฉันค่ะ “หากมันเป็นชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวดกว่า ผู้คนก็จะยิ่งสามารถนบนอบและปล่อยมือจากผลประโยชน์ส่วนตัว ความทระนง และความภูมิใจของพวกเขา และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะทรงจดจำพวกเขา  เหล่านั้นเป็นความประพฤติดีทั้งหมด!  โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ผู้คนทำแล้ว สิ่งใดสำคัญกว่ากัน—ความทระนงและความภูมิใจของพวกเขา หรือพระสิริของพระเจ้า?  (พระสิริของพระเจ้า)  สิ่งใดสำคัญกว่ากัน—ความรับผิดชอบของเจ้า หรือผลประโยชน์ของเจ้าเอง?  การทำให้ความรับผิดชอบของเจ้าลุล่วงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเจ้ามีภาระหน้าที่ต่อความรับผิดชอบเหล่านั้น…เจ้าจงให้ลำดับความสำคัญแรกสุดกับหน้าที่ของเจ้าเอง กับน้ำพระทัยของพระเจ้า กับการเป็นคำพยานต่อพระองค์ และกับความรับผิดชอบของเจ้าเอง  นี่เป็นหนทางที่ดีเยี่ยมในเป็นคำพยาน และนั่นนำความละอายมาสู่ซาตาน!(“การได้รับพระเจ้าและความจริงไว้เป็นสิ่งซึ่งมีความสุขที่สุด” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ความสว่างเกิดขึ้นภายในตัวฉัน  พระเจ้ากำลังทรงทดสอบฉันด้วยสถานการณ์นี้หรือ?  เมื่อไรก็ตามที่มีความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวของฉันกับผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ฉันควรมุ่งเน้นที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและปฏิบัติความจริงเพื่อดูหมิ่นเหยียดหยามซาตาน  เมื่อฉันได้สงบใจลงและมาคิดดู ฉันก็มองเห็นว่าฉันไม่ได้สอนท่าเต้นให้พี่น้องชายหญิงอย่างถูกต้องจริงๆ  น้องเยี่ยแค่พูดตรงๆ กับฉันนิดหน่อย และมันก็เป็นเรื่องน่าอายสำหรับฉัน แต่เธอพูดถูก และฉันก็รู้ว่าฉันควรยอมรับข้อเสนอแนะของเธอ  หลังจากวางเรื่องของตัวเองลงและแก้ไขเหตุจูงใจของฉันแล้ว น้องเยี่ยกับฉันก็ออกแบบท่าเต้นด้วยกันจนเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ ฉันยังรู้สึกถึงความสบายใจและสันติสุขในการทำหน้าที่ของฉันในหนทางนั้น

ประสบการณ์นั้นได้แสดงให้ฉันเห็นอย่างแท้จริง ว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าคือความรักของพระองค์และความรอดสำหรับฉัน  การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้ปลุกให้ฉันตื่นขึ้น และทำให้ฉันมองเห็นแก่นแท้และผลพวงที่เป็นอันตรายของการไล่ตามชื่อเสียงและผลประโยชน์  นั่นแก้ไขมุมมองที่ผิดของฉันให้ถูกต้อง และฉันได้เริ่มไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของฉันด้วยความหนักแน่นมั่นคง โดยการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของมนุษย์  ขอขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

ถัดไป: 33. โซ่ตรวนแห่งชื่อเสียงและผลประโยชน์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger