36. ปลดเปลื้องจากชื่อเสียงและโชคลาภ
เมื่อหนึ่งปีก่อน ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันรู้ว่านี่คือความใจดีมีเมตตาและการทรงยกระดับของพระเจ้า ฉันตั้งใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยความจริงจังตั้งใจ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี หลังจากนั้น ฉันก็วุ่นอยู่กับการงานของคริสตจักร และเมื่อเจอกับความยากลำบากฉันก็พึ่งพาพระเจ้าและมองไปที่พระองค์ ฉันยังพูดคุยเรื่องปัญหาต่างๆ กับเพื่อนร่วมงาน และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมันด้วย หลังจากนั้นไม่นาน การงานของคริสตจักรเริ่มก้าวหน้าในทุกด้าน และฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าด้วยใจจริง สำหรับการทรงนำของพระองค์ ในไม่ช้า ก็มีการเลือกตั้งผู้นำคริสตจักรอีกคนหนึ่งเกิดขึ้น และฉันก็ต้องประหลาดใจที่น้องสาวเซี่ย ผู้เคยทำหน้าที่ร่วมกับฉันเมื่อสองสามปีก่อนได้รับเลือก น้องสาวเซี่ยไม่ได้มีความเชื่อในพระเจ้าเป็นเวลานานมากสักเท่าไหร่ อีกทั้งประสบการณ์ชีวิตของเธอก็ยังผิวเผินอยู่เล็กน้อย ก่อนหน้านั้นตอนที่เราทำงานด้วยกัน ฉันจำเป็นต้องช่วยเธอแก้ไขความยากลำบากและปัญหาบางประการที่เธอเจอ ฉันรู้สึกว่า ในการทำงานร่วมกันของเราหนนี้ ฉันคงมีความสามารถมากกว่าเธอแน่นอน
ครั้งหนึ่ง ฉันกลับบ้านไปพบข้อความที่น้องสาวเซี่ยเคยทิ้งไว้ให้ฉัน เขียนว่า ผู้นำกลุ่มคนหนึ่งที่คริสตจักรเฉิงซีไม่สามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้และต้องเปลี่ยนคน และยังมีปัญหาอื่นๆ บางปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่ต้องได้รับการแก้ไขทันที เธออยากให้ฉันไปช่วย พอมาคิดเรื่องนี้ดีๆ ฉันก็รู้สึกว่า เธอต้องคิดว่าฉันมีความสามารถมากกว่าเธอแน่ และเพราะเธอเคารพฉันมาก ฉันก็ต้องทำงานให้ดีและไม่ทำให้ตัวเองขายหน้า! ยิ่งฉันคิดถึงมันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งมีความสุข พอฉันไปถึงการชุมนุม ฉันก็พบว่าน้องสาวเซี่ยมีความเข้าใจในรายละเอียดของงาน แถมการสามัคคีธรรมเรื่องความจริงของเธอก็เป็นลำดับขั้น และสัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันรู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าเธอก้าวหน้าค่อนข้างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ฉันเคยคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากกว่าเธอและจำเป็นต้องให้คำชี้แนะมากมายแก่เธอเรื่องงาน แต่กลับดูเหมือนว่าเธอไม่ด้อยความสามารถไปกว่าฉันเลย! ฉันรู้สึกไม่พอใจมาก และสำหรับฉันดูเหมือนว่าเธอกำลังจะได้เป็นผู้นำ ฉันเลยรู้สึกว่า ต้องทำให้พี่น้องชายหญิงทั้งหมดของเราเห็นให้ได้ว่าฉันมีดีอย่างไร! ฉันไม่กล้าอู้งานเลยแม้แต่นิดเดียว และครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำให้การสามัคคีธรรมของฉันดีกว่าเธอได้อย่างไร ผลที่ออกมากลายเป็นว่าการสามัคคีธรรมของฉันขุ่นเหมือนน้ำในคู ขนาดฉันเองยังไม่เพลิดเพลินกับมันเลย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเสียศักดิ์ศรี และรู้สึกแย่มากๆ
นับจากนั้น ฉันก็ไม่สามารถหยุดแข่งกับน้องสาวเซี่ยได้ ครั้งหนึ่งในการชุมนุม ตอนที่เธอได้รู้สภาพจิตใจของเหล่าพี่น้องชายหญิง เธอได้พบพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง จึงนำมาเรียงร้อยเข้ากับประสบการณ์ส่วนตัวของเธอในการสามัคคีธรรม และฉันเห็นทุกคนพยักหน้าตามระหว่างที่ฟัง บางคนก็นั่งจดบันทึก และบางคนก็พูดว่า “นับจากนี้เรามีเส้นทางเดินแล้ว” ฉันทั้งรู้สึกชื่นชมและอิจฉาในเรื่องนี้ แล้วฉันคิดอะไรน่ะหรือ? “ตอนนี้ฉันต้องเร่งแบ่งปันการสามัคคีธรรมของตัวเองบ้างแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันก็ดูจะไม่สามารถทัดเทียมกับเธอได้เลย” แต่ยิ่งฉันคิดถึงแบบนั้นมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งคิดไม่ออกว่าจะสามัคคีธรรมเรื่องอะไร ฉันเริ่มกลายเป็นคนที่มีอคติต่อน้องสาวเซี่ย คิดว่า “เธอต้องสามัคคีธรรมมากขนาดนั้นเลยหรือไง? เธอพูดสิ่งที่ต้องพูดไปหมดแล้ว ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งไร้ประโยชน์อยู่ตรงนี้—เป็นได้แค่ของตกแต่ง แบบนี้ใช้ไม่ได้ ฉันต้องแบ่งปันการสามัคคีธรรมเพื่อกู้คืนศักดิ์ศรีของตัวเองบ้าง” แค่เพียงเธอหยุดเพื่อดื่มน้ำเท่านั้น ฉันก็ย้ายเก้าอี้ไปนั่งข้างหน้า และเริ่มทำการสามัคคีธรรม ฉันอยากแบ่งปันบางสิ่งที่ดีจริงๆ แต่ดูเหมือนฉันจะไม่สามารถทำตามที่ตั้งใจได้ การสามัคคีธรรมของฉันปนเปกันมั่วไปหมด พอฉันเห็นว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงมองฉันแปลกๆ ฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันหลุดจากหัวข้อไปแล้วจริงๆ ฉันรู้สึกอึดอัดอย่างไม่น่าเชื่อ จนอยากหาโพรงแล้วมุดหนีเข้าไปอยู่ในนั้น ฉันทำให้ตัวเองดูโง่ ฉันแค่อยากทำให้ตัวเองดูดี แต่สุดท้ายฉันกลับดูน่าหัวเราะ ฉันพาตัวเองขึ้นไปอยู่บนเวที และทุกคนเห็นว่าฉันล้มเหลว ในหัวใจของฉัน ฉันเริ่มตำหนิพระเจ้าที่ทรงให้ความรู้แจ้งแก่น้องสาว ไม่ใช่ฉัน และฉันก็กังวลว่าต่อจากนั้นเหล่าพี่น้องชายหญิงของเราจะมองฉันอย่างไร ยิ่งจิตใจของฉันเป็นแบบนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอารมณ์เสียมากเท่านั้น ฉันอยากหนีไปให้พ้นจากสถานการณ์นี้และไม่อยากร่วมงานกับเธออีกแล้ว ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งในการชุมนุม พี่สาวคู่หนึ่งมีสภาพจิตใจที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และหลังจากการสามัคคีธรรมของน้องสาวเซี่ย ก็ไม่ได้มีการพัฒนาใดๆ เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ฉันไม่ช่วยเธอสามัคคีธรรมเท่านั้น แต่ฉันถึงขนาดคิดว่า “คราวนี้ทุกคนจะได้เห็นสักทีว่าเธอแก้ไขปัญหาไม่ได้ พวกเขาจะได้เลิกเคารพเธอในขณะที่ดูถูกฉันด้วย” ตลอดช่วงเวลานั้น ฉันพยายามแข่งกับน้องสาวเซี่ยอยู่ตลอด และสภาวะทางจิตวิญญาณของฉันก็ดำมืดลงเรื่อยๆ ฉันไม่มีความสว่างใดเลยตอนที่สามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้าระหว่างการชุมนุม และเมื่อฉันเห็นว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงเผชิญความยากลำบากหรือมีปัญหา ฉันก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ฉันเริ่มผล็อยหลับตั้งแต่หัวค่ำทุกคืน และฉันก็ต้องบังคับตัวเองให้ทำหน้าที่ของตัวเอง ความทุกข์ของฉันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากอธิษฐานต่อพระเจ้า และขอพระองค์ให้ทรงช่วยฉันให้รอด
ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ในการเฝ้าเดี่ยววันหนึ่ง “ทันทีที่พูดไพล่ไปถึงตำแหน่ง หน้าตา หรือความมีหน้ามีตา หัวใจของทุกคนโลดเต้นในความคาดหวัง และเจ้าแต่ละคนต้องการที่จะโดดเด่น มีชื่อเสียง และได้รับการระลึกถึงเสมอ ทุกคนไม่เต็มใจที่จะอ่อนข้อ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับปรารถนาอยู่ตลอดเวลาที่จะขับเคี่ยวกัน—แม้ว่า การขับเคี่ยวกันนั้นน่าอึดอัด และไม่ได้รับอนุญาตในพระนิเวศของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม โดยปราศจากการขับเคี่ยวกัน เจ้าก็ยังคงไม่พอใจ เมื่อเจ้าเห็นใครบางคนโดดเด่น เจ้ารู้สึกหวงแหน เกลียดชัง และรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม ‘ทำไมฉันถึงไม่สามารถโดดเด่นได้? ทำไมต้องเป็นบุคคลนั้นเสมอที่ได้โดดเด่น และไม่เคยถึงคราวของฉันเลย?’ จากนั้นเจ้าก็รู้สึกถึงความคับแค้นใจบางอย่าง เจ้าพยายามจะข่มปรามมันไว้ แต่เจ้าก็ทำไม่ได้ เจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าและรู้สึกดีขึ้นชั่วครู่หนึ่ง แต่จากนั้น ทันทีที่เจ้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์จำพวกนี้อีกครั้ง เจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้ นี่ไม่ได้เป็นการแสดงตัวของวุฒิภาวะที่ยังเติบโตไม่เต็มวัยหรอกหรือ? การที่บุคคลหนึ่งตกเข้าไปอยู่ในสภาวะเช่นนั้นไม่ใช่กับดักหรอกหรือ? เหล่านี้คือโซ่ตรวนแห่งธรรมชาติอันเสื่อมทรามของซาตานที่ผูกมัดพวกมนุษย์” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสภาวะของฉันอย่างหมดเปลือก และตรงเข้าสู่หัวใจของฉัน ฉันได้ทบทวนว่าทำไมฉันจึงใช้ชีวิตอยู่ในหนทางที่ยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ รากเหง้าของมันก็คือความปรารถนาของฉันต่อชื่อและสถานะที่แรงกล้าเกินไป และอุปนิสัยของฉันที่โอหังมากเกินไป ฉันคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่ฉันเพิ่งเริ่มทำหน้าที่นี้ ตอนที่ฉันประสบความสำเร็จบ้างแล้วในงานของฉัน และเหล่าพี่น้องชายหญิงให้ความเคารพฉัน ฉันก็รู้สึกชื่นชมตัวเองมากๆ และคิดว่าตัวเองมีความสามารถ พอทำงานกับน้องสาวเซี่ย และได้เห็นว่าเธอทำได้ดีกว่าฉัน ฉันก็กลายเป็นคนขี้อิจฉา ไม่พอใจ และแข่งขันกับเธออยู่ตลอดเวลา พอฉันไม่สามารถอยู่เหนือเธอได้ ฉันก็กลายเป็นคนคิดลบและพร่ำบ่นคร่ำครวญ ถึงขนาดระบายความรู้สึกของตัวเองลงไปในหน้าที่ พอฉันเห็นว่าเธอไม่สามารถแก้ไขสภาวะของพี่สาวเหล่านั้นได้ ไม่เพียงแต่ฉันไม่ช่วยเธอสามัคคีธรรมเท่านั้น ฉันยังปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ และรู้สึกบันเทิงกับความผิดพลาดของเธออีกด้วย ฉันตั้งใจที่จะเห็นเธออับอายขายหน้า แบบนั้นจะเรียกว่าการทำหน้าที่ของฉันได้อย่างไรกัน? ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันยังขาดความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง อีกทั้งฉันไม่ได้คิดถึงการงานของคริสตจักรเลย หรือคิดว่าปัญหาของเหล่าพี่น้องชายหญิงได้รับการแก้ไขหรือยัง ฉันมัวแต่คิดว่าจะทำตัวเองให้เหนือเธอได้อย่างไร ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ แถมยังเจ้าเล่ห์ ชื่อและสถานะทำให้สมองของฉันสับสนไปหมด ฉันยินดีที่จะเห็นว่าปัญหาของเหล่าพี่น้องชายหญิงไม่ได้รับการแก้ไข หรือเห็นว่าการงานของคริสตจักรย่อหย่อนลงไป ตราบใดที่ฉันยังสามารถปกป้องชื่อเสียงและสถานะของตัวเองไว้ได้ ฉันไม่ได้กำลังเนรคุณต่อผู้มีพระคุณอยู่งั้นหรือ? ฉันไม่คู่ควรกับหน้าที่ที่สำคัญขนาดนี้ มันช่างน่าขยะแขยงและน่าเกลียดชังสำหรับพระเจ้า! เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันจึงไม่รีรอที่จะไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและกลับใจ ขอให้พระองค์ทรงช่วยนำฉัน เพื่อสลัดพันธนาการแห่งชื่อและสถานะทิ้งไปเสีย
ต่อมา ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้: “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าพิจารณาสถานะ เกียรติยศ หรือความมีหน้ามีตาของตัวเจ้าเอง จงอย่าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน อันดับแรกเจ้าต้องพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง เจ้าควรมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่าเจ้าได้มีราคีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือไม่ ว่าเจ้าได้ทำจนถึงที่สุดของเจ้าที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทำดีที่สุดของเจ้าที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้ทั้งหมดของเจ้าไปแล้วหรือยัง ตลอดจนว่าเจ้าได้ให้ความคิดโดยหมดทั้งหัวใจต่อหน้าที่ของเจ้าและงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ จงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นอยู่เนืองนิจ และจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้ดี” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) การอ่านพระวจนะเหล่านี้ทำให้หัวใจฉันกระจ่างขึ้นทันที แล้วฉันก็ได้มีเส้นทาง ถ้าฉันอยากเป็นอิสระจากพันธนาการแห่งชื่อและสถานะ อย่างแรกคือฉันต้องตั้งหัวใจของตัวเองให้ถูกต้อง ฉันต้องระลึกถึงพระบัญชาของพระเจ้าเอาไว้ และคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และฉันต้องคิดว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้อย่างไร เมื่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก มาเติมเต็มหัวใจของฉันมากขึ้น ดังนั้นสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบอย่างชื่อ สถานะ ความทะนงตน และเกียรติยศ ก็จะถูกปล่อยวางไปได้ง่ายขึ้น ฉันตระหนักได้ว่า การที่คนอื่นคิดว่าฉันพิเศษไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบในตัวฉัน และการที่คนอื่นคิดว่าฉันไม่สำคัญอะไร ก็ไม่ได้แปลว่าพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยฉันให้รอดเช่นกัน สิ่งสำคัญก็คือทัศนคติที่ฉันมีต่อพระเจ้า และฉันสามารถปฏิบัติความจริง และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้หรือไม่ ฉันขอมอบความขอบคุณนี้แด่ความรู้แจ้งของพระเจ้า ที่ทรงดึงฉันกลับมาจากการไล่ตามเสาะหาในทางที่ผิด ฉันไม่ต้องการแข่งขันกับน้องสาวเซี่ยอีกต่อไป เพียงแต่ต้องการที่จะทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเพื่อทำให้พระเจ้าสมดังพระทัยเท่านั้น นับแต่นั้นมาฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างมีสติ และทุ่มหัวใจลงไปในหน้าที่ของตัวเอง และในการชุมนุมของทางคริสตจักร ฉันก็รับฟังการสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหญิงอย่างระมัดระวัง เมื่อฉันเจอปัญหาบางอย่าง ฉันก็จะครุ่นคิดถึงมันอย่างจริงจัง แล้วก็หาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง และรวมพระวจนะเหล่านั้นเข้ากับประสบการณ์ของตัวเองเพื่อสามัคคีธรรม อีกทั้ง ฉันยังได้เรียนรู้จากจุดแข็งของน้องสาวเซี่ยเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง การปฏิบัติในทางนี้ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจขึ้นมาก และสภาพจิตใจของฉันก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ความปรารถนาต่อชื่อและสถานะนั้นหยั่งรากลึกมากๆ ข้างในตัวฉัน เมื่อมีสถานการณ์ที่เหมาะสมเกิดขึ้น ธรรมชาติเยี่ยงซาตานเช่นนี้ของฉันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ฉันจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันต้องดูแลปัญหาบางอย่างในกลุ่ม และตอนที่ฉันกำลังจะออกเดินทาง น้องสาวเซี่ยพูดขึ้นมา ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในกลุ่มค่อนข้างซับซ้อน และเธออยากไปกับฉันด้วย พอได้ยินเธอพูดแบบนั้นมันก็เหมือนทำลายคลื่นแห่งความสุขที่ฉันกำลังโต้อยู่ ฉันคิดว่า “เธอเป็นคนเดียวที่สามารถแก้ไขอะไรได้หรือไง? เธอแค่ต้องแสดงให้เห็นว่าทำอะไรได้บ้างใช่ไหม? การพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสของเรา เธอหมายความว่าอย่างไร? เธอตั้งใจที่จะพยายามทำให้ฉันดูแย่ใช่ไหม?” ในเวลานั้นฉันอารมณ์เสียมาก สุดท้ายแล้วฉันก็ไปคนเดียว แต่ฉันก็ไม่สามารถลืมความรู้สึกหงุดหงิดนั้นได้ ฉันคร่ำครวญเรื่องของน้องสาวเซี่ยอย่างหนักไปตลอดทาง จนฉันถึงขั้นหาสถานที่ชุมนุมไม่เจอและต้องมุ่งหน้ากลับ ฉันรู้สึกแย่มากๆ พลางคิดว่า “ฉันมันไร้ประโยชน์จริงๆ หรือ? ฉันหาสถานที่ชุมนุมไม่เจอด้วยซ้ำ แล้วผู้อาวุโสของพวกเราจะคิดกับฉันอย่างไร? ฉันทำตัวเองขายหน้าจริงๆ เลยคราวนี้!” พอฉันกลับมาและเจอพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ ฉันก็ไม่อยากคุยกับพวกเธอเลย
วันต่อมา ฉันกับน้องสาวเซี่ยต่างคนต่างไปที่คริสตจักรเพื่อทำงานสองสามอย่าง แล้วฉันถูกจับโยนลงไปในความยุ่งเหยิงทางอารมณ์อีกครั้ง ฉันคิดว่า “ฉันไม่สนใจหรอกว่าเธอคิดว่าตัวเองมีดีอะไร คอยดูแล้วกันว่าใครจะทำได้ดีที่สุด!” ฉันไปถึงที่คริสตจักรด้วยความแข็งขัน และมุ่งตรงเข้าไปทำงาน สามัคคีธรรมและมอบหมายหน้าที่ต่างๆ ในคราวเดียว ฉันคิดว่า “คราวนี้ฉันทุ่มเทความพยายามแบบสุดตัว ผลจะต้องออกมาดีแน่นอน แล้วฉันจะได้แซงน้องสาวเซี่ยได้สักที” ในภายหลังที่การประชุมทีมงาน ฉันก็พบว่าตัวเองสัมฤทธิ์ทางการงานน้อยที่สุด ฉันไม่เคยแม้แต่นึกฝันว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น ฉันสูญสิ้นความหวังทั้งหมดไปในวินาทีนั้น และรู้สึกว่าไม่ว่าฉันจะทำงานหนักแค่ไหน ฉันก็จะไม่มีวันมีความสามารถที่จะเอาชนะน้องสาวเซี่ยได้ ตลอดช่วงเวลานั้น การได้เห็นผู้อาวุโสของเราใส่ใจน้องสาวเซี่ย เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอกลับมาช้า ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี ฉันอิจฉาเธอมาก เมื่อได้เห็นเธอทำทุกอย่างได้ดีกว่าฉัน และผู้อาวุโสของเราก็ให้คุณค่าเธออย่างมาก ฉันก็รู้สึกว่าฉันคงจะไม่มีวันของฉันอีกแล้ว ฉันคิดว่าการเป็นผู้นำกลุ่มคงจะดีกว่าการเป็นผู้นำคริสตจักร อย่างน้อยเหล่าพี่น้องชายหญิงก็คงจะเคารพและสนับสนุนฉัน ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นปลาตัวใหญ่ในบ่อเล็กๆ มากกว่าจะเป็นปลาเล็กในบ่อใหญ่ ความคับข้องใจของฉันเอ่อล้นออกมาเรื่อยๆ ฉันต่อต้านการอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นอย่างมาก และอยากออกจากที่นั่นจนเกินทน สภาพจิตใจของฉันทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ฉันทั้งอิจฉาและไม่พอใจในตัวน้องสาวเซี่ย และรู้สึกว่าฉันไม่สามารถโดดเด่นได้ก็เพราะเธอ ฉันยังคิดอีกด้วยว่า “ถ้าเธอแค่ทำพลาดในหน้าที่ของตัวเองและถูกย้ายไปเมื่อไหร่ก็คงเยี่ยมเลย”
ในขณะที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ต่อสู้เพื่อความมีหน้ามีตาและผลประโยชน์ของตัวเองตลอดเวลา โดยไม่ทบทวนตัวเองเลยแม้แต่น้อย การบ่มวินัยของพระเจ้าก็มาถึงฉันในไม่ช้า ครั้งหนึ่ง ฉันจัดการเตรียมการให้มีการชุมนุมกับผู้นำคนอื่นๆ สองสามคน ไม่เพียงแต่ไม่มีใครมาเลยเท่านั้น ในระหว่างทางกลับบ้านยางรถฉันดันแบนอีก และในไม่ช้า ฉันก็รู้สึกเจ็บที่หลังอย่างหนัก มันทั้งปวดและบวม ความเจ็บปวดนั้นมากเกินทน มันมาถึงจุดที่ฉันถึงขั้นทำหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้า: “ข้อพึงประสงค์ต่อพวกเจ้าในวันนี้—การทำงานร่วมกันอย่างปรองดอง—คล้ายกันกับการปรนนิบัติที่พระยาห์เวห์ทรงพึงประสงค์จากคนอิสราเอลคือ หากไม่เช่นนั้นแล้ว จงหยุดทำงานปรนนิบัติ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงรับใช้เหมือนที่คนอิสราเอลทำ) พระวจนะนี้ทำให้ฉันกลัว เป็นไปได้ไหมว่าพระเจ้าทรงต้องการปลดฉันจากโอกาสในการทำหน้าที่? หลังจากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง: “ยิ่งเจ้าดิ้นรนมากขึ้น ความมืดมิดก็จะรายล้อมรอบตัวเจ้ามากขึ้น และเจ้าก็จะรู้สึกหวงแหนและเกลียดชังมากขึ้น และความอยากของเจ้าในการที่จะได้มาก็จะรุนแรงมากขึ้นเท่านั้นเอง ยิ่งความอยากของเจ้าในการที่จะได้มารุนแรงมากขึ้น ความสามารถของเจ้าที่จะทำเช่นนั้นได้ก็จะน้อยลง และครั้นเจ้าได้มาน้อยลง ความเกลียดชังของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้น ครั้นความเกลียดชังของเจ้าเพิ่มขึ้น เจ้าก็จะมืดมนมากขึ้นภายใน ยิ่งเจ้ามืดมนภายในมากขึ้น เจ้าก็ยิ่งจะปฏิบัติหน้าที่ได้แย่ลง ยิ่งเจ้าปฏิบัติหน้าที่ได้แย่ลง เจ้าก็ยิ่งจะมีประโยชน์น้อยลง นี่คือวงจรอุบาทว์ที่เชื่อมต่อกัน หากเจ้าไม่มีวันสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดี เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะค่อยๆ ถูกกำจัดทิ้งไป” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะที่เข้มขรึมของพระเจ้าทิ้งให้ฉันหวาดกลัวและตัวสั่น ฉันรู้สึกได้ถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งไม่ยอมผ่อนปรนให้กับการล่วงเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ฉันได้อ่านวรรคนี้จากพระวจนะของพระเจ้า “หากเจ้าไม่มีวันสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดี เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะค่อยๆ ถูกกำจัดทิ้งไป” ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าอันตรายใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็ได้ยินน้องสาวเซี่ยพูดว่า “การงานของคริสตจักรตกต่ำลงในทุกด้านเลย…” เธอรู้สึกกังวลจนเริ่มร้องไห้ แล้วฉันก็นึกถึงที่ผู้อาวุโสของเราได้ชำแหละแก่นแท้ของความล้มเหลวในการทำงานร่วมกันให้ดีของเราขึ้นมา ที่บอกว่ามันบ่อนทำลายและทำให้การงานของพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก ฉันไม่กล้าคิดถึงเรื่องนั้นต่อ ฉันได้แต่รีบมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา ฉันได้รู้ทั้งหมดอย่างดีแล้วว่า การแสวงหาชื่อและสถานะ และการอิจฉาริษยาผู้อื่นนั้น ไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วทำไมฉันถึงไม่สามารถหยุดตัวเองจากการไล่ตามเสาะหาสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นได้?
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง “ซาตานใช้ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเพื่อควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้คือชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ทนทุกข์จากความยากลำบากต่างๆ เพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจใดๆ เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ด้วยวิธีนี้ ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น และพวกเขาก็ไม่มีทั้งกำลังและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัวและเดินไปข้างหน้าต่อไปด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัตินี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นชั่วร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในหนทางนี้ คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติของซาตาน ตอนนี้เมื่อดูการกระทำต่างๆ ของซาตาน แรงจูงใจอันมุ่งร้ายของมันไม่น่ารังเกียจอย่างยิ่งหรอกหรือ? บางทีวันนี้พวกเจ้ายังคงไม่สามารถมองทะลุถึงแรงจูงใจอันมุ่งร้ายของซาตาน เพราะพวกเจ้าคิดว่าคนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเจ้าคิดว่าหากผู้คนทิ้งชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหนทางข้างหน้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถเห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อีกต่อไป คิดว่าอนาคตของพวกเขาจะกลายเป็นมืดมิด คลุมเครือ และมืดมัว” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) ฉันมีความสามารถที่จะหารากเหง้าแห่งปัญหาในการเปิดเผยของพระวจนะของพระเจ้าจนเจอ ฉันไม่สามารถหยุดตัวเองจากการไล่ตามความมีหน้ามีตาและสถานะได้ เพราะว่าฉันได้รับการศึกษาจากในโรงเรียน และได้รับอิทธิพล จากสังคมตั้งแต่ยังเด็ก หลักปรัชญา แบบซาตานและความเชื่อผิดๆ ถูกปลูกฝังหยั่งลึกลงไปในหัวใจของฉัน อย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” “จ่าฝูงมีได้เพียงหนึ่ง” “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” และ “มนุษย์อยู่ที่ใดก็ทิ้งชื่อของเขาไว้ที่นั่นฉันใด ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องของมันที่นั่นฉันนั้น” ฉันรับเอาสิ่งเหล่านั้นเข้ามาเป็นคติในการดำเนินชีวิต และตั้งมันเป็นเป้าหมายในชีวิตเพื่อไล่ตามเสาะหา ไม่ว่าจะในโลกภายนอกหรือในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันก็แสวงหาการชื่นชมจากคนอื่น ฉันต้องการอยู่แถวหน้าและตรงกลางไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มใด ต้องการให้คนอื่นอยู่รายล้อมตัว ฉันรู้สึกว่า นั่นคือหนทางเดียวที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ขีดความสามารถของฉันไม่เคยยอดเยี่ยมขนาดนั้นหรอก แล้วฉันก็ไม่ได้เก่งเรื่องไหนเป็นพิเศษด้วย แต่ฉันแค่ทนไม่ได้ที่จะอยู่ต่ำกว่าใคร เมื่อมีใครบางคนดีกว่าฉัน ฉันก็จะอารมณ์เสียมาก และไม่สามารถหยุดตัวเองไม่ให้เอาชนะและแข่งขันกับพวกเขาได้ ฉันจะพยายามคิดหาอะไรก็ตามเพื่อจะขึ้นนำให้ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ฉันก็จะอิจฉาและเกลียดพวกเขา โทษทุกคนยกเว้นตัวเอง มันเป็นหนทางในการใช้ชีวิตที่น่ากลัว ในที่สุดฉันก็ได้เห็นว่า การไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องเลย และยิ่งทำแบบนั้นมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งโอหังและกลายเป็นใจแคบมากขึ้นเท่านั้น ฉันจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและชั่วช้ามากขึ้น ปราศจากความคล้ายมนุษย์ใดๆ ฉันเลยมองไปที่น้องสาวเซี่ย เธอทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตั้งใจและจริงจัง อีกทั้งการสามัคคีธรรมของเธอก็มีความสว่าง เธอยังมีความสามารถที่จะแก้ไขความยากลำบากที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเหล่าพี่น้องชายหญิงได้ด้วย สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น และต่องานของคริสตจักร เป็นสิ่งที่แสนวิเศษ และเป็นสิ่งที่สามารถนำพาความชูใจมาให้พระเจ้าได้ ในทางกลับกัน ฉันกลับใจแคบและขี้อิจฉา มักจะคิดว่าเธอขโมยความสนใจไปจากฉัน ฉันจึงเป็นคนที่มีอคติต่อเธอ ฉันอยากให้เธอทำหน้าที่ของตัวเองได้แย่ และถูกเปลี่ยนตัวแทบตาย ฉันได้เห็นว่าลึกๆ แล้วฉันเป็นคนที่คิดร้ายแค่ไหน! พระเจ้าทรงหวังที่จะเห็นว่ามีคนไล่ตามเสาะหาความจริงและคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น และมีความสามารถที่จะทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อทำให้พระองค์สมดังพระทัยได้ แต่ในความพยายามของฉันเพื่อปกป้องชื่อเสียงและตำแหน่งของตัวเอง ฉันกลับไม่สามารถยอมผ่อนปรนให้กับเหล่าพี่น้องชายหญิงที่ทำแบบนั้นได้ ฉันรู้สึกอิจฉาและไม่ยอมผ่อนปรนให้กับพวกเขา นั่นไม่ใช่การต่อต้านพระเจ้า และอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพระองค์หรือ? นั่นไม่ใช่การทำให้การงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงักหรือ? ฉันแตกต่างอะไรกับพวกมารและซาตานล่ะ? แถมยังมีพวกเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์พวกนั้น ผู้ที่รวมก๊กและเข้าไปมีส่วนในการต่อสู้ดิ้นรนเล็กๆ เพื่อความมีหน้ามีตาและตำแหน่ง และจะไม่ให้อะไรมาหยุดในการโจมตีฝ่ายตรงข้าม กำจัดศัตรูของพวกเขา และกดขี่ประชาชนได้ ไม่สามารถบอกได้เลยว่าพวกเขาได้ทำสิ่งชั่วร้ายไปมากแค่ไหน พวกเขาฆ่าคนไปเท่าไหร่แล้ว! และท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้นำความพินาศมาสู่ตัวเอง และเมื่อพวกเขาตายก็จะตกนรกและถูกลงโทษ แล้วทำไมพวกเขาถึงลงเอยแบบนั้นล่ะ? ไม่ใช่เพราะพวกเขาวางความมีหน้ามีตาและสถานะเอาไว้เหนือทุกสิ่งหรอกหรือ? แล้วพอกลับมามองที่พฤติกรรมของฉันเอง ถึงแม้มันจะไม่เลวร้ายเท่าของพวกเขา แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันก็เหมือนกัน ฉันใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาและกฎหมายแบบซาตาน และอุปนิสัยที่ฉันได้เปิดเผยไปก็ช่างโอหัง เจ้าเล่ห์ และชั่วช้า สิ่งที่ฉันใช้ดำเนินชีวิตนั้นผิดมนุษย์ ปราศจากสภาพเหมือนมนุษย์ใดๆ ทั้งสิ้น แล้วสิ่งนั้นจะไม่น่ารังเกียจและน่าเกลียดชังสำหรับพระเจ้าได้อย่างไร? การถูกบ่มวินัยในหนทางนั้น คือพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้าที่มาถึงฉัน และที่ยิ่งกว่านั้น มันคือความรอดของพระองค์สำหรับฉัน เมื่อตระหนักถึงทั้งหมดนี้ได้ ฉันก็รีบไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน ฉันพูดว่า “โอ้พระเจ้า ตลอดมาข้าพระองค์ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ข้าพระองค์ไล่ตามเสาะหาเพียงชื่อและสถานะ ข้าพระองค์ถูกหลอกลวงและถูกทำให้เสื่อมโทรมโดยซาตาน ไม่รู้สึกถึงความเป็นมนุษย์เลย เมื่อข้าพระองค์สูญเสียความมีหน้ามีตาและสถานะ ข้าพระองค์ก็ไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเองอีกต่อไป และเกือบจะทรยศพระองค์ พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจต่อพระองค์ ข้าพระองค์ยินดีที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ยินดีจะร่วมมือกับน้องสาว และปักหลักในหน้าที่ของตัวเองเพื่อทำให้พระองค์สมดังพระทัย”
หลังจากนั้น ฉันได้เปิดใจอย่างเต็มที่กับน้องสาวเซี่ย ฉันชำแหละถึงวิธีที่ฉันแข่งขันเพื่อชื่อและทรัพย์สมบัติ และพยายามที่จะแข่งขันกับเธอ ฉันยังขอให้เธอช่วยจับตาดูฉัน และช่วยเหลือฉันด้วย หลังจากนั้น เราก็สามารถทำงานร่วมกันในหน้าที่ของเราได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ถึงแม้ยังมีหลายครั้งที่ฉันแสดงความปรารถนาต่อชื่อและทรัพย์สมบัติออกมา ฉันกเห็นได้อย่างรวดเร็วว่า มันคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉันที่แสดงตัวเองออกมา ฉันคิดถึงธรรมชาติและผลที่ตามมาของการทำเช่นนั้นต่อไป และจากนั้นฉันก็รีบมาอธิษฐานต่อพระเจ้า และรวบรวมความคิดของตัวเองอย่างตั้งใจ ฉันไปและฟังการสามัคคีธรรมของน้องสาวด้วยความตั้งใจ และเรียนรู้จากจุดแข็งของเธอ เมื่อฉันเห็นว่าเธอพลาดอะไรไปในการสามัคคีธรรม ฉันก็พูดเสริมทันที ในช่วงเวลาเหล่านั้น ฉันก็คิดถึงว่าจะสามัคคีธรรมเรื่องความจริงให้กระจ่าง เพื่อให้ทุกคนได้ประโยชน์จากมันได้อย่างไร ทุกคนรู้สึกว่า การชุมนุมในลักษณะนั้นสอนใจได้ดีมาก และฉันก็ได้รับอะไรบางอย่างจากมันด้วยเช่นกัน ในหัวใจของฉันนั้นรู้สึกเป็นอิสระและผ่อนคลาย เหมือนที่ในพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า: “หากเจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า พักวางความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้าไว้ก่อน พักวางความตั้งใจและสิ่งจูงใจทั้งหลายของตัวเจ้าเองไว้ก่อน คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และวางผลประโยชน์ของพระเจ้าและพระนิเวศของพระองค์ไว้เป็นอันดับแรก แล้วหลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางที่ดีงามในการดำรงชีวิต มันเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ปราศจากการเป็นบุคคลต่ำช้า หรือไม่มีอะไรดีสักอย่าง และเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างยุติธรรมและมีเกียรติ มากกว่าการเป็นคนใจแคบหรือใจร้าย เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่บุคคลหนึ่งควรดำรงชีวิตและปฏิบัติตน ความพึงปรารถนาภายในหัวใจของเจ้าที่จะสนองผลประโยชน์ของเจ้าเองจะลดลงทีละน้อยๆ…รู้สึกว่ามีความหมายและการบำรุงเลี้ยงในการดำรงชีวิตด้วยเหตุนั้น จิตวิญญาณของเจ้าจะมีเหตุผล มีสันติสุข และพอใจ สภาวะเช่นนั้นจะเป็นของเจ้า อันเป็นผลจากการที่เจ้าได้ปล่อยสิ่งจูงใจ ผลประโยชน์ และความพึงปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเองไปแล้ว เจ้าจะได้มาซึ่งการนั้นแล้ว” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งว่าการใช้ชีวิตด้วยพระวจนะของพระเจ้านั้นวิเศษเพียงใด ขอบคุณพระเจ้า!