36. ปลดเปลื้องจากชื่อเสียงและโชคลาภ

โดย เซี่ยวหมิ่น ประเทศจีน

เมื่อหนึ่งปีก่อน ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร  ฉันรู้ว่านี่คือความใจดีมีเมตตาและการทรงยกระดับของพระเจ้า  ฉันตั้งใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยความจริงจังตั้งใจ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี  หลังจากนั้น ฉันก็วุ่นอยู่กับการงานของคริสตจักร และเมื่อเจอกับความยากลำบากฉันก็พึ่งพาพระเจ้าและมองไปที่พระองค์  ฉันยังพูดคุยเรื่องปัญหาต่างๆ กับเพื่อนร่วมงาน และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมันด้วย  หลังจากนั้นไม่นาน การงานของคริสตจักรเริ่มก้าวหน้าในทุกด้าน และฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าด้วยใจจริง สำหรับการทรงนำของพระองค์  ในไม่ช้า ก็มีการเลือกตั้งผู้นำคริสตจักรอีกคนหนึ่งเกิดขึ้น และฉันก็ต้องประหลาดใจที่น้องสาวเซี่ย ผู้เคยทำหน้าที่ร่วมกับฉันเมื่อสองสามปีก่อนได้รับเลือก  น้องสาวเซี่ยไม่ได้มีความเชื่อในพระเจ้าเป็นเวลานานมากสักเท่าไหร่ อีกทั้งประสบการณ์ชีวิตของเธอก็ยังผิวเผินอยู่เล็กน้อย  ก่อนหน้านั้นตอนที่เราทำงานด้วยกัน ฉันจำเป็นต้องช่วยเธอแก้ไขความยากลำบากและปัญหาบางประการที่เธอเจอ  ฉันรู้สึกว่า ในการทำงานร่วมกันของเราหนนี้ ฉันคงมีความสามารถมากกว่าเธอแน่นอน

ครั้งหนึ่ง ฉันกลับบ้านไปพบข้อความที่น้องสาวเซี่ยเคยทิ้งไว้ให้ฉัน เขียนว่า ผู้นำกลุ่มคนหนึ่งที่คริสตจักรเฉิงซีไม่สามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้และต้องเปลี่ยนคน และยังมีปัญหาอื่นๆ บางปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่ต้องได้รับการแก้ไขทันที  เธออยากให้ฉันไปช่วย  พอมาคิดเรื่องนี้ดีๆ ฉันก็รู้สึกว่า เธอต้องคิดว่าฉันมีความสามารถมากกว่าเธอแน่ และเพราะเธอเคารพฉันมาก ฉันก็ต้องทำงานให้ดีและไม่ทำให้ตัวเองขายหน้า!  ยิ่งฉันคิดถึงมันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งมีความสุข  พอฉันไปถึงการชุมนุม ฉันก็พบว่าน้องสาวเซี่ยมีความเข้าใจในรายละเอียดของงาน แถมการสามัคคีธรรมเรื่องความจริงของเธอก็เป็นลำดับขั้น และสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ฉันรู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าเธอก้าวหน้าค่อนข้างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้  ฉันเคยคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากกว่าเธอและจำเป็นต้องให้คำชี้แนะมากมายแก่เธอเรื่องงาน แต่กลับดูเหมือนว่าเธอไม่ด้อยความสามารถไปกว่าฉันเลย!  ฉันรู้สึกไม่พอใจมาก และสำหรับฉันดูเหมือนว่าเธอกำลังจะได้เป็นผู้นำ ฉันเลยรู้สึกว่า ต้องทำให้พี่น้องชายหญิงทั้งหมดของเราเห็นให้ได้ว่าฉันมีดีอย่างไร!  ฉันไม่กล้าอู้งานเลยแม้แต่นิดเดียว และครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำให้การสามัคคีธรรมของฉันดีกว่าเธอได้อย่างไร  ผลที่ออกมากลายเป็นว่าการสามัคคีธรรมของฉันขุ่นเหมือนน้ำในคู ขนาดฉันเองยังไม่เพลิดเพลินกับมันเลย  ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเสียศักดิ์ศรี และรู้สึกแย่มากๆ

นับจากนั้น ฉันก็ไม่สามารถหยุดแข่งกับน้องสาวเซี่ยได้  ครั้งหนึ่งในการชุมนุม ตอนที่เธอได้รู้สภาพจิตใจของเหล่าพี่น้องชายหญิง เธอได้พบพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง จึงนำมาเรียงร้อยเข้ากับประสบการณ์ส่วนตัวของเธอในการสามัคคีธรรม และฉันเห็นทุกคนพยักหน้าตามระหว่างที่ฟัง  บางคนก็นั่งจดบันทึก และบางคนก็พูดว่า “นับจากนี้เรามีเส้นทางเดินแล้ว”  ฉันทั้งรู้สึกชื่นชมและอิจฉาในเรื่องนี้ แล้วฉันคิดอะไรน่ะหรือ?  “ตอนนี้ฉันต้องเร่งแบ่งปันการสามัคคีธรรมของตัวเองบ้างแล้ว  ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันก็ดูจะไม่สามารถทัดเทียมกับเธอได้เลย”  แต่ยิ่งฉันคิดถึงแบบนั้นมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งคิดไม่ออกว่าจะสามัคคีธรรมเรื่องอะไร  ฉันเริ่มกลายเป็นคนที่มีอคติต่อน้องสาวเซี่ย คิดว่า “เธอต้องสามัคคีธรรมมากขนาดนั้นเลยหรือไง?  เธอพูดสิ่งที่ต้องพูดไปหมดแล้ว  ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งไร้ประโยชน์อยู่ตรงนี้—เป็นได้แค่ของตกแต่ง  แบบนี้ใช้ไม่ได้ ฉันต้องแบ่งปันการสามัคคีธรรมเพื่อกู้คืนศักดิ์ศรีของตัวเองบ้าง”  แค่เพียงเธอหยุดเพื่อดื่มน้ำเท่านั้น ฉันก็ย้ายเก้าอี้ไปนั่งข้างหน้า และเริ่มทำการสามัคคีธรรม  ฉันอยากแบ่งปันบางสิ่งที่ดีจริงๆ แต่ดูเหมือนฉันจะไม่สามารถทำตามที่ตั้งใจได้  การสามัคคีธรรมของฉันปนเปกันมั่วไปหมด  พอฉันเห็นว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงมองฉันแปลกๆ ฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันหลุดจากหัวข้อไปแล้วจริงๆ  ฉันรู้สึกอึดอัดอย่างไม่น่าเชื่อ จนอยากหาโพรงแล้วมุดหนีเข้าไปอยู่ในนั้น  ฉันทำให้ตัวเองดูโง่  ฉันแค่อยากทำให้ตัวเองดูดี แต่สุดท้ายฉันกลับดูน่าหัวเราะ  ฉันพาตัวเองขึ้นไปอยู่บนเวที และทุกคนเห็นว่าฉันล้มเหลว  ในหัวใจของฉัน ฉันเริ่มตำหนิพระเจ้าที่ทรงให้ความรู้แจ้งแก่น้องสาว ไม่ใช่ฉัน และฉันก็กังวลว่าต่อจากนั้นเหล่าพี่น้องชายหญิงของเราจะมองฉันอย่างไร  ยิ่งจิตใจของฉันเป็นแบบนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอารมณ์เสียมากเท่านั้น  ฉันอยากหนีไปให้พ้นจากสถานการณ์นี้และไม่อยากร่วมงานกับเธออีกแล้ว  ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งในการชุมนุม พี่สาวคู่หนึ่งมีสภาพจิตใจที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และหลังจากการสามัคคีธรรมของน้องสาวเซี่ย ก็ไม่ได้มีการพัฒนาใดๆ เกิดขึ้น  ไม่เพียงแต่ฉันไม่ช่วยเธอสามัคคีธรรมเท่านั้น แต่ฉันถึงขนาดคิดว่า “คราวนี้ทุกคนจะได้เห็นสักทีว่าเธอแก้ไขปัญหาไม่ได้ พวกเขาจะได้เลิกเคารพเธอในขณะที่ดูถูกฉันด้วย”  ตลอดช่วงเวลานั้น ฉันพยายามแข่งกับน้องสาวเซี่ยอยู่ตลอด และสภาวะทางจิตวิญญาณของฉันก็ดำมืดลงเรื่อยๆ  ฉันไม่มีความสว่างใดเลยตอนที่สามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้าระหว่างการชุมนุม และเมื่อฉันเห็นว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงเผชิญความยากลำบากหรือมีปัญหา ฉันก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร  ฉันเริ่มผล็อยหลับตั้งแต่หัวค่ำทุกคืน และฉันก็ต้องบังคับตัวเองให้ทำหน้าที่ของตัวเอง  ความทุกข์ของฉันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  ฉันไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากอธิษฐานต่อพระเจ้า และขอพระองค์ให้ทรงช่วยฉันให้รอด

ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ในการเฝ้าเดี่ยววันหนึ่ง “ทันทีที่พูดไพล่ไปถึงตำแหน่ง หน้าตา หรือความมีหน้ามีตา หัวใจของทุกคนโลดเต้นในความคาดหวัง และเจ้าแต่ละคนต้องการที่จะโดดเด่น มีชื่อเสียง และได้รับการระลึกถึงเสมอ  ทุกคนไม่เต็มใจที่จะอ่อนข้อ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับปรารถนาอยู่ตลอดเวลาที่จะขับเคี่ยวกัน—แม้ว่า การขับเคี่ยวกันนั้นน่าอึดอัด และไม่ได้รับอนุญาตในพระนิเวศของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม โดยปราศจากการขับเคี่ยวกัน เจ้าก็ยังคงไม่พอใจ  เมื่อเจ้าเห็นใครบางคนโดดเด่น เจ้ารู้สึกหวงแหน เกลียดชัง และรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม  ‘ทำไมฉันถึงไม่สามารถโดดเด่นได้?  ทำไมต้องเป็นบุคคลนั้นเสมอที่ได้โดดเด่น และไม่เคยถึงคราวของฉันเลย?’  จากนั้นเจ้าก็รู้สึกถึงความคับแค้นใจบางอย่าง  เจ้าพยายามจะข่มปรามมันไว้ แต่เจ้าก็ทำไม่ได้  เจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าและรู้สึกดีขึ้นชั่วครู่หนึ่ง แต่จากนั้น ทันทีที่เจ้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์จำพวกนี้อีกครั้ง เจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้  นี่ไม่ได้เป็นการแสดงตัวของวุฒิภาวะที่ยังเติบโตไม่เต็มวัยหรอกหรือ?  การที่บุคคลหนึ่งตกเข้าไปอยู่ในสภาวะเช่นนั้นไม่ใช่กับดักหรอกหรือ?  เหล่านี้คือโซ่ตรวนแห่งธรรมชาติอันเสื่อมทรามของซาตานที่ผูกมัดพวกมนุษย์(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์)  พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสภาวะของฉันอย่างหมดเปลือก และตรงเข้าสู่หัวใจของฉัน  ฉันได้ทบทวนว่าทำไมฉันจึงใช้ชีวิตอยู่ในหนทางที่ยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้  รากเหง้าของมันก็คือความปรารถนาของฉันต่อชื่อและสถานะที่แรงกล้าเกินไป และอุปนิสัยของฉันที่โอหังมากเกินไป  ฉันคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่ฉันเพิ่งเริ่มทำหน้าที่นี้  ตอนที่ฉันประสบความสำเร็จบ้างแล้วในงานของฉัน และเหล่าพี่น้องชายหญิงให้ความเคารพฉัน ฉันก็รู้สึกชื่นชมตัวเองมากๆ และคิดว่าตัวเองมีความสามารถ  พอทำงานกับน้องสาวเซี่ย และได้เห็นว่าเธอทำได้ดีกว่าฉัน ฉันก็กลายเป็นคนขี้อิจฉา ไม่พอใจ และแข่งขันกับเธออยู่ตลอดเวลา  พอฉันไม่สามารถอยู่เหนือเธอได้ ฉันก็กลายเป็นคนคิดลบและพร่ำบ่นคร่ำครวญ ถึงขนาดระบายความรู้สึกของตัวเองลงไปในหน้าที่  พอฉันเห็นว่าเธอไม่สามารถแก้ไขสภาวะของพี่สาวเหล่านั้นได้ ไม่เพียงแต่ฉันไม่ช่วยเธอสามัคคีธรรมเท่านั้น ฉันยังปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ และรู้สึกบันเทิงกับความผิดพลาดของเธออีกด้วย  ฉันตั้งใจที่จะเห็นเธออับอายขายหน้า  แบบนั้นจะเรียกว่าการทำหน้าที่ของฉันได้อย่างไรกัน?  ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันยังขาดความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง อีกทั้งฉันไม่ได้คิดถึงการงานของคริสตจักรเลย หรือคิดว่าปัญหาของเหล่าพี่น้องชายหญิงได้รับการแก้ไขหรือยัง  ฉันมัวแต่คิดว่าจะทำตัวเองให้เหนือเธอได้อย่างไร  ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ แถมยังเจ้าเล่ห์  ชื่อและสถานะทำให้สมองของฉันสับสนไปหมด  ฉันยินดีที่จะเห็นว่าปัญหาของเหล่าพี่น้องชายหญิงไม่ได้รับการแก้ไข หรือเห็นว่าการงานของคริสตจักรย่อหย่อนลงไป ตราบใดที่ฉันยังสามารถปกป้องชื่อเสียงและสถานะของตัวเองไว้ได้ ฉันไม่ได้กำลังเนรคุณต่อผู้มีพระคุณอยู่งั้นหรือ?  ฉันไม่คู่ควรกับหน้าที่ที่สำคัญขนาดนี้  มันช่างน่าขยะแขยงและน่าเกลียดชังสำหรับพระเจ้า!  เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันจึงไม่รีรอที่จะไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและกลับใจ ขอให้พระองค์ทรงช่วยนำฉัน เพื่อสลัดพันธนาการแห่งชื่อและสถานะทิ้งไปเสีย

ต่อมา ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้:  “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าพิจารณาสถานะ เกียรติยศ หรือความมีหน้ามีตาของตัวเจ้าเอง  จงอย่าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน  อันดับแรกเจ้าต้องพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง  เจ้าควรมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่าเจ้าได้มีราคีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือไม่ ว่าเจ้าได้ทำจนถึงที่สุดของเจ้าที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทำดีที่สุดของเจ้าที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้ทั้งหมดของเจ้าไปแล้วหรือยัง  ตลอดจนว่าเจ้าได้ให้ความคิดโดยหมดทั้งหัวใจต่อหน้าที่ของเจ้าและงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่  เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้  จงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นอยู่เนืองนิจ และจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้ดี(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์)  การอ่านพระวจนะเหล่านี้ทำให้หัวใจฉันกระจ่างขึ้นทันที แล้วฉันก็ได้มีเส้นทาง  ถ้าฉันอยากเป็นอิสระจากพันธนาการแห่งชื่อและสถานะ อย่างแรกคือฉันต้องตั้งหัวใจของตัวเองให้ถูกต้อง  ฉันต้องระลึกถึงพระบัญชาของพระเจ้าเอาไว้ และคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และฉันต้องคิดว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้อย่างไร  เมื่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก มาเติมเต็มหัวใจของฉันมากขึ้น ดังนั้นสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบอย่างชื่อ สถานะ ความทะนงตน และเกียรติยศ ก็จะถูกปล่อยวางไปได้ง่ายขึ้น  ฉันตระหนักได้ว่า การที่คนอื่นคิดว่าฉันพิเศษไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบในตัวฉัน และการที่คนอื่นคิดว่าฉันไม่สำคัญอะไร ก็ไม่ได้แปลว่าพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยฉันให้รอดเช่นกัน  สิ่งสำคัญก็คือทัศนคติที่ฉันมีต่อพระเจ้า และฉันสามารถปฏิบัติความจริง และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้หรือไม่  ฉันขอมอบความขอบคุณนี้แด่ความรู้แจ้งของพระเจ้า ที่ทรงดึงฉันกลับมาจากการไล่ตามเสาะหาในทางที่ผิด  ฉันไม่ต้องการแข่งขันกับน้องสาวเซี่ยอีกต่อไป เพียงแต่ต้องการที่จะทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเพื่อทำให้พระเจ้าสมดังพระทัยเท่านั้น  นับแต่นั้นมาฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างมีสติ และทุ่มหัวใจลงไปในหน้าที่ของตัวเอง และในการชุมนุมของทางคริสตจักร ฉันก็รับฟังการสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหญิงอย่างระมัดระวัง  เมื่อฉันเจอปัญหาบางอย่าง ฉันก็จะครุ่นคิดถึงมันอย่างจริงจัง แล้วก็หาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง และรวมพระวจนะเหล่านั้นเข้ากับประสบการณ์ของตัวเองเพื่อสามัคคีธรรม  อีกทั้ง ฉันยังได้เรียนรู้จากจุดแข็งของน้องสาวเซี่ยเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง  การปฏิบัติในทางนี้ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจขึ้นมาก และสภาพจิตใจของฉันก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน  ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ  แต่ความปรารถนาต่อชื่อและสถานะนั้นหยั่งรากลึกมากๆ ข้างในตัวฉัน เมื่อมีสถานการณ์ที่เหมาะสมเกิดขึ้น ธรรมชาติเยี่ยงซาตานเช่นนี้ของฉันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ฉันจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันต้องดูแลปัญหาบางอย่างในกลุ่ม และตอนที่ฉันกำลังจะออกเดินทาง น้องสาวเซี่ยพูดขึ้นมา ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในกลุ่มค่อนข้างซับซ้อน และเธออยากไปกับฉันด้วย  พอได้ยินเธอพูดแบบนั้นมันก็เหมือนทำลายคลื่นแห่งความสุขที่ฉันกำลังโต้อยู่  ฉันคิดว่า “เธอเป็นคนเดียวที่สามารถแก้ไขอะไรได้หรือไง?  เธอแค่ต้องแสดงให้เห็นว่าทำอะไรได้บ้างใช่ไหม?  การพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสของเรา เธอหมายความว่าอย่างไร?  เธอตั้งใจที่จะพยายามทำให้ฉันดูแย่ใช่ไหม?”  ในเวลานั้นฉันอารมณ์เสียมาก  สุดท้ายแล้วฉันก็ไปคนเดียว แต่ฉันก็ไม่สามารถลืมความรู้สึกหงุดหงิดนั้นได้  ฉันคร่ำครวญเรื่องของน้องสาวเซี่ยอย่างหนักไปตลอดทาง จนฉันถึงขั้นหาสถานที่ชุมนุมไม่เจอและต้องมุ่งหน้ากลับ  ฉันรู้สึกแย่มากๆ  พลางคิดว่า “ฉันมันไร้ประโยชน์จริงๆ หรือ?  ฉันหาสถานที่ชุมนุมไม่เจอด้วยซ้ำ แล้วผู้อาวุโสของพวกเราจะคิดกับฉันอย่างไร?  ฉันทำตัวเองขายหน้าจริงๆ เลยคราวนี้!”  พอฉันกลับมาและเจอพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ ฉันก็ไม่อยากคุยกับพวกเธอเลย

วันต่อมา ฉันกับน้องสาวเซี่ยต่างคนต่างไปที่คริสตจักรเพื่อทำงานสองสามอย่าง แล้วฉันถูกจับโยนลงไปในความยุ่งเหยิงทางอารมณ์อีกครั้ง  ฉันคิดว่า “ฉันไม่สนใจหรอกว่าเธอคิดว่าตัวเองมีดีอะไร คอยดูแล้วกันว่าใครจะทำได้ดีที่สุด!”  ฉันไปถึงที่คริสตจักรด้วยความแข็งขัน และมุ่งตรงเข้าไปทำงาน สามัคคีธรรมและมอบหมายหน้าที่ต่างๆ ในคราวเดียว  ฉันคิดว่า “คราวนี้ฉันทุ่มเทความพยายามแบบสุดตัว  ผลจะต้องออกมาดีแน่นอน แล้วฉันจะได้แซงน้องสาวเซี่ยได้สักที”  ในภายหลังที่การประชุมทีมงาน ฉันก็พบว่าตัวเองสัมฤทธิ์ทางการงานน้อยที่สุด  ฉันไม่เคยแม้แต่นึกฝันว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น  ฉันสูญสิ้นความหวังทั้งหมดไปในวินาทีนั้น และรู้สึกว่าไม่ว่าฉันจะทำงานหนักแค่ไหน ฉันก็จะไม่มีวันมีความสามารถที่จะเอาชนะน้องสาวเซี่ยได้  ตลอดช่วงเวลานั้น การได้เห็นผู้อาวุโสของเราใส่ใจน้องสาวเซี่ย เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอกลับมาช้า ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี  ฉันอิจฉาเธอมาก  เมื่อได้เห็นเธอทำทุกอย่างได้ดีกว่าฉัน และผู้อาวุโสของเราก็ให้คุณค่าเธออย่างมาก ฉันก็รู้สึกว่าฉันคงจะไม่มีวันของฉันอีกแล้ว  ฉันคิดว่าการเป็นผู้นำกลุ่มคงจะดีกว่าการเป็นผู้นำคริสตจักร  อย่างน้อยเหล่าพี่น้องชายหญิงก็คงจะเคารพและสนับสนุนฉัน  ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นปลาตัวใหญ่ในบ่อเล็กๆ มากกว่าจะเป็นปลาเล็กในบ่อใหญ่  ความคับข้องใจของฉันเอ่อล้นออกมาเรื่อยๆ  ฉันต่อต้านการอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นอย่างมาก และอยากออกจากที่นั่นจนเกินทน  สภาพจิตใจของฉันทรุดโทรมลงเรื่อยๆ  ฉันทั้งอิจฉาและไม่พอใจในตัวน้องสาวเซี่ย และรู้สึกว่าฉันไม่สามารถโดดเด่นได้ก็เพราะเธอ  ฉันยังคิดอีกด้วยว่า “ถ้าเธอแค่ทำพลาดในหน้าที่ของตัวเองและถูกย้ายไปเมื่อไหร่ก็คงเยี่ยมเลย”

ในขณะที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ต่อสู้เพื่อความมีหน้ามีตาและผลประโยชน์ของตัวเองตลอดเวลา โดยไม่ทบทวนตัวเองเลยแม้แต่น้อย การบ่มวินัยของพระเจ้าก็มาถึงฉันในไม่ช้า  ครั้งหนึ่ง ฉันจัดการเตรียมการให้มีการชุมนุมกับผู้นำคนอื่นๆ สองสามคน  ไม่เพียงแต่ไม่มีใครมาเลยเท่านั้น ในระหว่างทางกลับบ้านยางรถฉันดันแบนอีก และในไม่ช้า ฉันก็รู้สึกเจ็บที่หลังอย่างหนัก  มันทั้งปวดและบวม ความเจ็บปวดนั้นมากเกินทน  มันมาถึงจุดที่ฉันถึงขั้นทำหน้าที่ของตัวเองไม่ได้  แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้า: “ข้อพึงประสงค์ต่อพวกเจ้าในวันนี้—การทำงานร่วมกันอย่างปรองดอง—คล้ายกันกับการปรนนิบัติที่พระยาห์เวห์ทรงพึงประสงค์จากคนอิสราเอลคือ  หากไม่เช่นนั้นแล้ว จงหยุดทำงานปรนนิบัติ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงรับใช้เหมือนที่คนอิสราเอลทำ)  พระวจนะนี้ทำให้ฉันกลัว  เป็นไปได้ไหมว่าพระเจ้าทรงต้องการปลดฉันจากโอกาสในการทำหน้าที่?  หลังจากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง: “ยิ่งเจ้าดิ้นรนมากขึ้น ความมืดมิดก็จะรายล้อมรอบตัวเจ้ามากขึ้น และเจ้าก็จะรู้สึกหวงแหนและเกลียดชังมากขึ้น และความอยากของเจ้าในการที่จะได้มาก็จะรุนแรงมากขึ้นเท่านั้นเอง  ยิ่งความอยากของเจ้าในการที่จะได้มารุนแรงมากขึ้น ความสามารถของเจ้าที่จะทำเช่นนั้นได้ก็จะน้อยลง และครั้นเจ้าได้มาน้อยลง ความเกลียดชังของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้น  ครั้นความเกลียดชังของเจ้าเพิ่มขึ้น เจ้าก็จะมืดมนมากขึ้นภายใน  ยิ่งเจ้ามืดมนภายในมากขึ้น เจ้าก็ยิ่งจะปฏิบัติหน้าที่ได้แย่ลง ยิ่งเจ้าปฏิบัติหน้าที่ได้แย่ลง เจ้าก็ยิ่งจะมีประโยชน์น้อยลง  นี่คือวงจรอุบาทว์ที่เชื่อมต่อกัน  หากเจ้าไม่มีวันสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดี เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะค่อยๆ ถูกกำจัดทิ้งไป(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะที่เข้มขรึมของพระเจ้าทิ้งให้ฉันหวาดกลัวและตัวสั่น  ฉันรู้สึกได้ถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งไม่ยอมผ่อนปรนให้กับการล่วงเกิน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ฉันได้อ่านวรรคนี้จากพระวจนะของพระเจ้า “หากเจ้าไม่มีวันสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดี เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะค่อยๆ ถูกกำจัดทิ้งไป”  ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าอันตรายใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว  ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็ได้ยินน้องสาวเซี่ยพูดว่า “การงานของคริสตจักรตกต่ำลงในทุกด้านเลย…”  เธอรู้สึกกังวลจนเริ่มร้องไห้  แล้วฉันก็นึกถึงที่ผู้อาวุโสของเราได้ชำแหละแก่นแท้ของความล้มเหลวในการทำงานร่วมกันให้ดีของเราขึ้นมา ที่บอกว่ามันบ่อนทำลายและทำให้การงานของพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก  ฉันไม่กล้าคิดถึงเรื่องนั้นต่อ ฉันได้แต่รีบมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา  ฉันได้รู้ทั้งหมดอย่างดีแล้วว่า การแสวงหาชื่อและสถานะ และการอิจฉาริษยาผู้อื่นนั้น ไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วทำไมฉันถึงไม่สามารถหยุดตัวเองจากการไล่ตามเสาะหาสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นได้?

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง  “ซาตานใช้ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเพื่อควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้คือชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ทนทุกข์จากความยากลำบากต่างๆ เพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจใดๆ เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ด้วยวิธีนี้ ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น และพวกเขาก็ไม่มีทั้งกำลังและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัวและเดินไปข้างหน้าต่อไปด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง  เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัตินี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นชั่วร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในหนทางนี้ คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติของซาตาน ตอนนี้เมื่อดูการกระทำต่างๆ ของซาตาน แรงจูงใจอันมุ่งร้ายของมันไม่น่ารังเกียจอย่างยิ่งหรอกหรือ?  บางทีวันนี้พวกเจ้ายังคงไม่สามารถมองทะลุถึงแรงจูงใจอันมุ่งร้ายของซาตาน เพราะพวกเจ้าคิดว่าคนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเจ้าคิดว่าหากผู้คนทิ้งชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหนทางข้างหน้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถเห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อีกต่อไป คิดว่าอนาคตของพวกเขาจะกลายเป็นมืดมิด คลุมเครือ และมืดมัว(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  ฉันมีความสามารถที่จะหารากเหง้าแห่งปัญหาในการเปิดเผยของพระวจนะของพระเจ้าจนเจอ  ฉันไม่สามารถหยุดตัวเองจากการไล่ตามความมีหน้ามีตาและสถานะได้ เพราะว่าฉันได้รับการศึกษาจากในโรงเรียน และได้รับอิทธิพล จากสังคมตั้งแต่ยังเด็ก  หลักปรัชญา แบบซาตานและความเชื่อผิดๆ ถูกปลูกฝังหยั่งลึกลงไปในหัวใจของฉัน อย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” “จ่าฝูงมีได้เพียงหนึ่ง” “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” และ “มนุษย์อยู่ที่ใดก็ทิ้งชื่อของเขาไว้ที่นั่นฉันใด ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องของมันที่นั่นฉันนั้น”  ฉันรับเอาสิ่งเหล่านั้นเข้ามาเป็นคติในการดำเนินชีวิต และตั้งมันเป็นเป้าหมายในชีวิตเพื่อไล่ตามเสาะหา  ไม่ว่าจะในโลกภายนอกหรือในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันก็แสวงหาการชื่นชมจากคนอื่น  ฉันต้องการอยู่แถวหน้าและตรงกลางไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มใด ต้องการให้คนอื่นอยู่รายล้อมตัว  ฉันรู้สึกว่า นั่นคือหนทางเดียวที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย  ขีดความสามารถของฉันไม่เคยยอดเยี่ยมขนาดนั้นหรอก แล้วฉันก็ไม่ได้เก่งเรื่องไหนเป็นพิเศษด้วย แต่ฉันแค่ทนไม่ได้ที่จะอยู่ต่ำกว่าใคร  เมื่อมีใครบางคนดีกว่าฉัน ฉันก็จะอารมณ์เสียมาก และไม่สามารถหยุดตัวเองไม่ให้เอาชนะและแข่งขันกับพวกเขาได้  ฉันจะพยายามคิดหาอะไรก็ตามเพื่อจะขึ้นนำให้ได้  แต่ถ้าทำไม่ได้ ฉันก็จะอิจฉาและเกลียดพวกเขา โทษทุกคนยกเว้นตัวเอง  มันเป็นหนทางในการใช้ชีวิตที่น่ากลัว  ในที่สุดฉันก็ได้เห็นว่า การไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องเลย และยิ่งทำแบบนั้นมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งโอหังและกลายเป็นใจแคบมากขึ้นเท่านั้น  ฉันจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและชั่วช้ามากขึ้น ปราศจากความคล้ายมนุษย์ใดๆ  ฉันเลยมองไปที่น้องสาวเซี่ย เธอทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตั้งใจและจริงจัง อีกทั้งการสามัคคีธรรมของเธอก็มีความสว่าง  เธอยังมีความสามารถที่จะแก้ไขความยากลำบากที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเหล่าพี่น้องชายหญิงได้ด้วย  สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น และต่องานของคริสตจักร  เป็นสิ่งที่แสนวิเศษ และเป็นสิ่งที่สามารถนำพาความชูใจมาให้พระเจ้าได้  ในทางกลับกัน ฉันกลับใจแคบและขี้อิจฉา มักจะคิดว่าเธอขโมยความสนใจไปจากฉัน ฉันจึงเป็นคนที่มีอคติต่อเธอ  ฉันอยากให้เธอทำหน้าที่ของตัวเองได้แย่ และถูกเปลี่ยนตัวแทบตาย ฉันได้เห็นว่าลึกๆ แล้วฉันเป็นคนที่คิดร้ายแค่ไหน!  พระเจ้าทรงหวังที่จะเห็นว่ามีคนไล่ตามเสาะหาความจริงและคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น และมีความสามารถที่จะทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อทำให้พระองค์สมดังพระทัยได้  แต่ในความพยายามของฉันเพื่อปกป้องชื่อเสียงและตำแหน่งของตัวเอง ฉันกลับไม่สามารถยอมผ่อนปรนให้กับเหล่าพี่น้องชายหญิงที่ทำแบบนั้นได้  ฉันรู้สึกอิจฉาและไม่ยอมผ่อนปรนให้กับพวกเขา  นั่นไม่ใช่การต่อต้านพระเจ้า และอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพระองค์หรือ?  นั่นไม่ใช่การทำให้การงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงักหรือ?  ฉันแตกต่างอะไรกับพวกมารและซาตานล่ะ?  แถมยังมีพวกเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์พวกนั้น ผู้ที่รวมก๊กและเข้าไปมีส่วนในการต่อสู้ดิ้นรนเล็กๆ เพื่อความมีหน้ามีตาและตำแหน่ง และจะไม่ให้อะไรมาหยุดในการโจมตีฝ่ายตรงข้าม กำจัดศัตรูของพวกเขา และกดขี่ประชาชนได้  ไม่สามารถบอกได้เลยว่าพวกเขาได้ทำสิ่งชั่วร้ายไปมากแค่ไหน พวกเขาฆ่าคนไปเท่าไหร่แล้ว!  และท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้นำความพินาศมาสู่ตัวเอง และเมื่อพวกเขาตายก็จะตกนรกและถูกลงโทษ  แล้วทำไมพวกเขาถึงลงเอยแบบนั้นล่ะ?  ไม่ใช่เพราะพวกเขาวางความมีหน้ามีตาและสถานะเอาไว้เหนือทุกสิ่งหรอกหรือ?  แล้วพอกลับมามองที่พฤติกรรมของฉันเอง ถึงแม้มันจะไม่เลวร้ายเท่าของพวกเขา แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันก็เหมือนกัน  ฉันใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาและกฎหมายแบบซาตาน และอุปนิสัยที่ฉันได้เปิดเผยไปก็ช่างโอหัง เจ้าเล่ห์ และชั่วช้า  สิ่งที่ฉันใช้ดำเนินชีวิตนั้นผิดมนุษย์ ปราศจากสภาพเหมือนมนุษย์ใดๆ ทั้งสิ้น  แล้วสิ่งนั้นจะไม่น่ารังเกียจและน่าเกลียดชังสำหรับพระเจ้าได้อย่างไร?  การถูกบ่มวินัยในหนทางนั้น คือพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้าที่มาถึงฉัน และที่ยิ่งกว่านั้น มันคือความรอดของพระองค์สำหรับฉัน  เมื่อตระหนักถึงทั้งหมดนี้ได้ ฉันก็รีบไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน  ฉันพูดว่า “โอ้พระเจ้า ตลอดมาข้าพระองค์ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง  ข้าพระองค์ไล่ตามเสาะหาเพียงชื่อและสถานะ  ข้าพระองค์ถูกหลอกลวงและถูกทำให้เสื่อมโทรมโดยซาตาน ไม่รู้สึกถึงความเป็นมนุษย์เลย  เมื่อข้าพระองค์สูญเสียความมีหน้ามีตาและสถานะ ข้าพระองค์ก็ไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเองอีกต่อไป และเกือบจะทรยศพระองค์  พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจต่อพระองค์  ข้าพระองค์ยินดีที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ยินดีจะร่วมมือกับน้องสาว และปักหลักในหน้าที่ของตัวเองเพื่อทำให้พระองค์สมดังพระทัย”

หลังจากนั้น ฉันได้เปิดใจอย่างเต็มที่กับน้องสาวเซี่ย  ฉันชำแหละถึงวิธีที่ฉันแข่งขันเพื่อชื่อและทรัพย์สมบัติ และพยายามที่จะแข่งขันกับเธอ  ฉันยังขอให้เธอช่วยจับตาดูฉัน และช่วยเหลือฉันด้วย  หลังจากนั้น เราก็สามารถทำงานร่วมกันในหน้าที่ของเราได้อย่างราบรื่นมากขึ้น  ถึงแม้ยังมีหลายครั้งที่ฉันแสดงความปรารถนาต่อชื่อและทรัพย์สมบัติออกมา ฉันกเห็นได้อย่างรวดเร็วว่า มันคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉันที่แสดงตัวเองออกมา ฉันคิดถึงธรรมชาติและผลที่ตามมาของการทำเช่นนั้นต่อไป และจากนั้นฉันก็รีบมาอธิษฐานต่อพระเจ้า และรวบรวมความคิดของตัวเองอย่างตั้งใจ  ฉันไปและฟังการสามัคคีธรรมของน้องสาวด้วยความตั้งใจ และเรียนรู้จากจุดแข็งของเธอ  เมื่อฉันเห็นว่าเธอพลาดอะไรไปในการสามัคคีธรรม ฉันก็พูดเสริมทันที  ในช่วงเวลาเหล่านั้น ฉันก็คิดถึงว่าจะสามัคคีธรรมเรื่องความจริงให้กระจ่าง เพื่อให้ทุกคนได้ประโยชน์จากมันได้อย่างไร  ทุกคนรู้สึกว่า การชุมนุมในลักษณะนั้นสอนใจได้ดีมาก และฉันก็ได้รับอะไรบางอย่างจากมันด้วยเช่นกัน  ในหัวใจของฉันนั้นรู้สึกเป็นอิสระและผ่อนคลาย เหมือนที่ในพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า: “หากเจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า พักวางความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้าไว้ก่อน พักวางความตั้งใจและสิ่งจูงใจทั้งหลายของตัวเจ้าเองไว้ก่อน คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และวางผลประโยชน์ของพระเจ้าและพระนิเวศของพระองค์ไว้เป็นอันดับแรก แล้วหลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางที่ดีงามในการดำรงชีวิต  มันเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ปราศจากการเป็นบุคคลต่ำช้า หรือไม่มีอะไรดีสักอย่าง และเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างยุติธรรมและมีเกียรติ มากกว่าการเป็นคนใจแคบหรือใจร้าย  เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่บุคคลหนึ่งควรดำรงชีวิตและปฏิบัติตน  ความพึงปรารถนาภายในหัวใจของเจ้าที่จะสนองผลประโยชน์ของเจ้าเองจะลดลงทีละน้อยๆ…รู้สึกว่ามีความหมายและการบำรุงเลี้ยงในการดำรงชีวิตด้วยเหตุนั้น  จิตวิญญาณของเจ้าจะมีเหตุผล มีสันติสุข และพอใจ  สภาวะเช่นนั้นจะเป็นของเจ้า อันเป็นผลจากการที่เจ้าได้ปล่อยสิ่งจูงใจ ผลประโยชน์ และความพึงปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเองไปแล้ว  เจ้าจะได้มาซึ่งการนั้นแล้ว(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ฉันรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งว่าการใช้ชีวิตด้วยพระวจนะของพระเจ้านั้นวิเศษเพียงใด  ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 35. วันเวลาแห่งการแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์

ถัดไป: 37. พระวจนะของพระเจ้าได้สั่นคลอนให้จิตวิญญาณของฉันตื่นขึ้น

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger