วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์

ก่อนอื่น พวกเราจงมาขับร้องเพลงสรรเสริญกันเถิด: เพลงเฉลิมราชอาณาจักร (1) ราชอาณาจักรเคลื่อนลงสถิตบนพิภพ

เสียงร้องคลอตาม: มหาชนแซ่ซ้องเรา มหาชนสรรเสริญเรา ทุกปากขนานพระนามพระเจ้าแท้จริงเพียงหนึ่งเดียว  ราชอาณาจักรเคลื่อนลงสถิตบนพิภพแห่งมวลมนุษย์

1  มหาชนแซ่ซ้องเรา มหาชนสรรเสริญเรา ทุกปากขนานพระนามพระเจ้าแท้จริงเพียงหนึ่งเดียว ผู้คนทั้งผองแหงนจ้องมองกิจการของเรา  ราชอาณาจักรเคลื่อนลงสถิตบนพิภพแห่งมวลมนุษย์  บุคคลของเรานั้นมั่งมีและเอื้ออารี  ใครเล่าจะไม่ปีติยินดีกับการนี้?  ใครเล่าจะไม่เริงระบำเพื่อความชื่นชมยินดี?  โอ้ ศิโยน!  ชูธงประจำชัยของเจ้าเพื่อสมโภชเรา!  ขับร้องเพลงฉลองชัยแห่งชัยชนะของเจ้าเพื่อเผยแผ่นามศักดิ์สิทธิ์ของเรา!

2  ทุกสิ่งสร้างกระทั่งสุดปลายพิภพ!  จงเร่งชำระตัวเจ้าให้สะอาดเพื่อเจ้าอาจได้เป็นเครื่องบูชาแด่เรา!  หมู่ดาราในท้องนภาแห่งฟ้าสวรรค์!  จงเร่งกลับไปยังตำแหน่งแห่งหนของพวกเจ้าเพื่อแสดงฤทธานุภาพอันทรงอิทธิฤทธิ์ของเราในพื้นฟ้า!  เราสดับซาบซึ้งในน้ำเสียงทั้งหลายของผู้คนบนแผ่นดินโลก ผู้หลั่งรินความรักและความเคารพตราบอสงไขยของพวกเขาให้แก่เรามาในบทเพลง!  ในวันนี้ เมื่อทุกสิ่งสร้างกลับคืนสู่ชีวิต เราจึงลงมายังพิภพแห่งมวลมนุษย์  ณ ช่วงเวลานี้ ณ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ มวลบุปผาระดมผลิดอกบานสะพรั่งอย่างโกลาหล มวลหมู่สกุณาขับขานพร้อมเพรียงประดุจเสียงเดียว สรรพสิ่งล้วนระริกรัวด้วยความชื่นชมยินดี!  ในเสียงประโคมคารวะแห่งราชอาณาจักร อาณาจักรซาตานพลันโค่นสลาย มีอันบรรลัยไปในเสียงก้องกัมปนาทของเพลงเฉลิมราชอาณาจักร ไม่มีวันผงาดขึ้นมาได้อีกเลย!

3  ใครเล่าบนแผ่นดินโลกกล้าลุกขึ้นมาต้านทาน?  ขณะที่เราลงมายังแผ่นดินโลก เรานำมาซึ่งการเผาผลาญ นำมาซึ่งความโกรธเคือง นำมาซึ่งทุกเภทแห่งมหันตภัย  อาณาจักรทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก ณ บัดนี้คืออาณาจักรของเรา!  สูงขึ้นไปในนภดล หมู่เมฆอวลระคนและวนป่วนเป็นมวนคลื่น เบื้องล่างนภดลนั้นเล่า ทะเลสาบและลำน้ำพากันถั่งโถมกระเพื่อมพล่านเป็นท่วงทำนองปลุกเร้าอย่างเริงร่ายินดี  เหล่าสัตว์ซึ่งกำลังพักผ่อนทะยานพรวดออกจากคูหาของพวกมัน และเราปลุกผู้คนทั้งผองให้ตื่นจากความหลับใหล  วันซึ่งผู้คนมหาศาลเฝ้ารอคอยได้มาถึงแล้วในที่สุด!  พวกเขามอบบทเพลงอันไพเราะที่สุดทั้งหลายให้กับเรา!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล เพลงเฉลิมราชอาณาจักร

พวกเจ้าคิดเรื่องอะไรทุกครั้งที่พวกเจ้าขับร้องเพลงนี้?  (พวกเรารู้สึกตื่นเต้นและเร้าใจมาก และพวกเราคิดเรื่องที่ว่าความงามของราชอาณาจักรนั้นรุ่งโรจน์เพียงใด มวลมนุษย์และพระเจ้าจะอยู่ร่วมกันตลอดกาลได้อย่างไร)  ผู้ใดบ้างได้คิดเรื่องรูปแบบที่มนุษย์ต้องนำมาใช้เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกับพระเจ้า?  ในการจินตนาการของพวกเจ้า ผู้คนต้องเป็นอย่างไรเพื่อเข้าร่วมกับพระเจ้าและชื่นชมชีวิตอันรุ่งโรจน์ที่จะตามมาในราชอาณาจักร?  (อุปนิสัยของพวกเขาควรถูกเปลี่ยนแปลง)  อุปนิสัยของพวกเขาควรถูกเปลี่ยนแปลง แต่ในขอบข่ายใดเล่า?  พวกเขาจะเป็นเหมือนอะไรหลังจากที่อุปนิสัยของพวกเขาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแล้ว?  (พวกเขาจะกลายเป็นบริสุทธิ์)  เกณฑ์สำหรับความบริสุทธิ์คืออะไร?  (ความคิดและการพิจารณาทั้งหมดของคนเราต้องเข้ากันได้กับพระคริสต์)  ความเข้ากันได้เช่นนี้สำแดงออกอย่างไร?  (คนเราไม่ต้านทานหรือทรยศพระเจ้า สามารถนบนอบต่อพระองค์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ และคนเรามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า)  บางคำตอบของเจ้านั้นมาถูกทางแล้ว  จงเปิดหัวใจของพวกเจ้า พวกเจ้าทั้งหมด และเปล่งเสียงในสิ่งที่เจ้าปรารถนาที่จะพูด  (ผู้คนที่อาศัยอยู่กับพระเจ้าในราชอาณาจักรควรจะสามารถทำหน้าที่ของพวกเขาได้—ด้วยความจงรักภักดี—โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ถูกจำกัดควบคุมโดยบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใด เช่นนั้นแล้วจึงกลายเป็นว่า เป็นไปได้สำหรับพวกเขาที่จะหลุดรอดจากอิทธิพลของความมืด ที่จะปรับหัวใจของพวกเขาให้เข้ากับพระเจ้า และยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว)  (มุมมองของพวกเราที่มีต่อสิ่งทั้งหลายสามารถปรับให้เข้ากับพระเจ้าได้ และพวกเราสามารถหลุดรอดจากอิทธิพลของความมืดได้  อย่างน้อยที่สุด พวกเราสามารถไปยังที่ที่เราไม่ถูกซาตานหาประโยชน์อีกต่อไป และที่ที่พวกเราปลดทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดๆ ไป  และนบนอบต่อพระเจ้า  พวกเราเชื่อว่ามันจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คนหลุดรอดจากอิทธิพลของความมืด  ผู้คนที่ไม่สามารถหลุดรอดจากอิทธิพลของความมืดและหนีพ้นข้อผูกมัดของซาตานนั้นยังไม่ได้บรรลุความรอดของพระเจ้า)  (เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสำหรับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า ผู้คนต้องมีหัวใจและจิตใจเดียวกันกับพระองค์ และไม่ต้านทานพระองค์อีกต่อไป  พวกเขาต้องมีความสามารถที่จะรู้จักตัวเอง นำความจริงไปปฏิบัติ บรรลุความเข้าใจในพระเจ้า รักพระเจ้า และกลายเป็นเข้ากับพระเจ้าได้  นั่นคือทั้งหมดที่ต้องมี)

จุดจบของผู้คนมีความหนักหน่วงเพียงใดในหัวใจของพวกเขา

ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับหนทางที่พวกเจ้าควรยึดปฏิบัติตาม และพวกเจ้าได้พัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับมันหรือความซาบซึ้งต่อมันบ้างแล้ว  อย่างไรก็ตาม การที่คำพูดทั้งหมดที่พวกเจ้าได้เปล่งออกมาจะกลับกลายว่าเป็นจริงหรือกลวงเป็นโพรงนั้นขึ้นอยู่กับการมุ่งเน้นของพวกเจ้าในการฝึกฝนปฏิบัติวันต่อวันของพวกเจ้า  หลายปีที่ผ่านมา พวกเจ้าทั้งหมดได้เก็บเกี่ยวดอกผลเฉพาะบางอย่างจากแต่ละแง่มุมของความจริง ทั้งในแง่ของคำสอนและในแง่ของเนื้อหาจริงแท้ของความจริง  นี่พิสูจน์ว่าทุกวันนี้ ผู้คนให้การเน้นย้ำมากมายกับการเพียรพยายามเพื่อความจริง และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ แต่ละแง่มุมและรายการของความจริงนั้นได้หยั่งรากลงในหัวใจของผู้คนบางคนแล้วอย่างแน่นอน  อย่างไรก็ตาม อะไรเล่าคือสิ่งที่เรากลัวที่สุด?  มันก็คือเรื่องที่ว่า แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าหัวเรื่องเหล่านี้ของความจริงและทฤษฎีเหล่านี้ได้หยั่งรากในหัวใจของพวกเจ้าแล้ว แต่เนื้อหาจริงแท้ของหัวเรื่องเหล่านี้มีสาระอยู่เพียงเล็กน้อยในหัวใจพวกเจ้า  เมื่อพวกเจ้าประสบปัญหาและเผชิญหน้ากับบททดสอบและตัวเลือกทั้งหลาย ความเป็นจริงของความจริงเหล่านี้จะมีประโยชน์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงต่อพวกเจ้ามากเพียงใดเล่า?  มันสามารถช่วยให้พวกเจ้าข้ามผ่านความลำบากยากเย็นและโผล่พ้นจากบททดสอบของพวกเจ้าได้ โดยได้สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้วหรือไม่?  เจ้าจะตั้งมั่นท่ามกลางบททดสอบของเจ้าและเป็นคำพยานอันกึกก้องต่อพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าได้เคยเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  เราถามพวกเจ้าว่า ในหัวใจของพวกเจ้า และในความคิดและการใคร่ครวญประจำวันของพวกเจ้า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเจ้า?  พวกเจ้าเคยได้มาถึงข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  เจ้าเชื่อว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับพวกเจ้า?  ผู้คนบางคนพูดว่า “คือการนำความจริงไปปฏิบัติอย่างแน่นอน”  ในขณะที่คนอื่นๆ พูดว่า “แน่นอนว่าคือการอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน”  ผู้คนบางคนพูดว่า “คือการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานต่อพระองค์ทุกวันอย่างแน่นอน” และนอกจากนี้ยังมีพวกที่พูดว่า “แน่นอนเลยว่าคือการทำหน้าที่ของข้าพระองค์อย่างถูกต้องเหมาะสมทุกวัน”  แล้วก็ยังมีแม้กระทั่งบางคนที่พูดว่าพวกเขาเคยคิดเพียงว่าจะทำอย่างไรให้พระเจ้าพึงพอพระทัย จะนบนอบต่อพระองค์ในทุกสรรพสิ่งอย่างไร และจะปฏิบัติตัวอย่างไรให้กลมกลืนกับเจตนารมณ์ของพระองค์  นั่นถูกต้องหรือไม่?  นี่คือทั้งหมดที่มีอยู่ใช่หรือไม่?  ตัวอย่างเช่นบางคนพูดว่า “ฉันต้องการเพียงนบนอบต่อพระเจ้า แต่เมื่อใดก็ตามที่ฉันประสบปัญหา ฉันก็ไม่มีความสามารถที่จะทำได้” คนอื่นๆ พูดว่า “ฉันต้องการเพียงทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเท่านั้น และต่อให้ฉันสามารถทำให้พระองค์พึงพอพระทัยเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มันก็คงจะดีแล้ว—แต่ฉันก็ไม่มีวันสามารถทำให้พระองค์พึงพอพระทัยได้เลย” บางคนพูดว่า “ฉันต้องการเพียงนบนอบต่อพระเจ้า ในเวลาของบททดสอบ ฉันต้องการเพียงวางตัวเองไว้ในความกรุณาแห่งการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ นบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ โดยปราศจากการร้องทุกข์หรือการร้องขออันใด แต่ถึงกระนั้นฉันก็ล้มเหลวในการนบนอบแทบทุกครั้ง” ยังมีคนอื่นๆ อีกที่พูดว่า “เมื่อฉันเผชิญหน้ากับการตัดสินใจ ฉันไม่มีวันสามารถเลือกที่จะนำความจริงไปปฏิบัติได้ฉันมักต้องการสร้างความพึงพอใจให้กับเนื้อหนังและต้องการลุล่วงความอยากได้อยากมีส่วนตัวแบบเห็นแก่ตัวของตัวเอง”  อะไรเล่าคือเหตุผลสำหรับการนี้?  ก่อนที่ข้อทดสอบของพระเจ้าจะมา พวกเจ้าย่อมได้ท้าทายตัวเองหลายครั้งแล้ว โดยการลองพยายามและทดสอบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าใช่หรือไม่?  จงดูว่าเจ้าสามารถนบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงและทำให้พระองค์พึงพอพระทัยอย่างแท้จริงหรือไม่ และเจ้าสามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าเจ้าจะไม่ทรยศพระองค์ จงดูว่าเจ้าสามารถเลี่ยงจากการทำให้ตนเองพึงพอใจและการทำให้ความอยากได้อยากมีแบบเห็นแก่ตัวของเจ้าลุล่วง และเพียงทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเท่านั้นแทน โดยปราศจากการสร้างตัวเลือกส่วนบุคคลอันใดได้หรือไม่  มีใครบ้างหรือไม่ที่ทำเช่นนี้?  อันที่จริง มีเพียงข้อเท็จจริงหนึ่งเดียวที่ได้ถูกวางไว้ต่อหน้าต่อตาพวกเจ้า และมันคือสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนสนใจมากที่สุดและสิ่งที่เจ้าปรารถนาที่จะรู้มากที่สุด—เรื่องของจุดจบและบั้นปลายของทุกคน  พวกเจ้าอาจไม่ตระหนัก แต่นี่เป็นบางสิ่งที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้  เมื่อพูดถึงความจริงของจุดจบของผู้คน พระสัญญาของพระเจ้าต่อมนุษยชาติ และบั้นปลายประเภทใดที่พระเจ้าตั้งพระทัยจะนำผู้คนเข้าไป เรารู้ว่ามีบางคนที่ได้ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าในหัวเรื่องเหล่านี้หลายครั้งแล้ว  แล้วยังมีพวกที่กำลังมองหาคำตอบและครุ่นคิดเรื่องนี้ในจิตใจของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ได้อะไรขึ้นมา หรือบางที ก็จบลงตรงบทสรุปที่กำกวมบทใดบทหนึ่ง  ในท้ายที่สุด พวกเขายังคงไม่แน่ใจว่าจุดจบประเภทใดที่รอพวกเขาอยู่  เมื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ผู้คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะต้องการรู้คำตอบที่เด็ดขาดของคำถามต่อไปนี้: “จุดจบของฉันจะเป็นอะไร?  ฉันสามารถเดินตามเส้นทางนี้ไปจนถึงปลายทางของมันได้หรือไม่?  พระเจ้าทรงมีท่าทีอะไรต่อมนุษยชาติ?”  บางคนถึงกับวิตกกังวลดังนี้ “ในอดีต ฉันได้ทำบางสิ่ง และฉันได้พูดบางสิ่ง ฉันได้เป็นกบฎต่อพระเจ้า ฉันได้ดำเนินการกระทำที่ได้ทรยศต่อพระเจ้า และในบางกรณีฉันได้ล้มเหลวในการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ฉันได้ทำร้ายความรู้สึกของพระองค์ และฉันทำให้พระองค์ทรงผิดหวังและทำให้พระองค์ทรงเกลียดชังฉันและทรงเกลียดฉัน เพราะฉะนั้น บางที อาจไม่มีใครรู้จุดจบของฉันเลย” คงจะสมเหตุสมผลที่จะพูดว่าผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับจุดจบของตัวเอง ไม่มีใครกล้าพูดว่า “ฉันรู้สึกด้วยความแน่ใจเต็มร้อยว่าฉันจะเป็นผู้อยู่รอด ฉันแน่ใจเต็มร้อยว่าฉันสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ ฉันเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันเป็นบุคคลหนึ่งที่พระเจ้าทรงสรรเสริญ”  ผู้คนบางคนคิดว่ามันลำบากยากเย็นเป็นพิเศษที่จะติดตามทางของพระเจ้า และคิดว่าการนำความจริงไปปฏิบัติเป็นสิ่งที่ยากลำบากที่สุดในบรรดาทั้งหมด  ผลที่ตามมาก็คือ ผู้คนเช่นนี้จึงถูกทำให้เชื่อว่าพวกเขาอยู่เกินเลยการช่วยเหลือแล้ว และไม่กล้าที่จะยกชูความหวังของพวกเขาเกี่ยวกับการบรรลุจุดจบที่ดี หรือบางที พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาไม่สามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ และดังนั้นจึงไม่สามารถกลายเป็นผู้อยู่รอดได้  เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงอ้างว่าพวกเขาไม่มีจุดจบและไม่สามารถบรรลุบั้นปลายที่ดีได้  ไม่ว่าผู้คนจะคิดอย่างไรแน่ก็ตาม พวกเขาทั้งหมดก็ได้ประหลาดใจเกี่ยวกับจุดจบของพวกเขาหลายครั้ง  สำหรับคำถามเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาและเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาจะได้ในทันทีที่พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้น พวกเขากำลังคำนวณและวางแผนอย่างต่อเนื่อง  บางคนจ่ายราคาเป็นสองเท่า บางคนทอดทิ้งครอบครัวของพวกเขาและอาชีพการงานของพวกเขา บางคนยอมเลิกล้มการสมรสของพวกเขา บางคนลาออกจากงานเพื่อสละตัวเองเพื่อประโยชน์ของพระเจ้า บางคนออกจากบ้านของพวกเขาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา บางคนเลือกความยากลำบาก และเริ่มรับทำกิจที่ขมขื่นและเหนื่อยล้าที่สุด บ้างก็เลือกที่จะทุ่มเทอุทิศความอุดมโภคทรัพย์ของพวกเขาและอุทิศทั้งหมดของพวกเขา และยังมีคนอื่นทั้งหลายที่เลือกไล่ตามเสาะหาความจริงและเพียรพยายามรู้จักพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าจะเลือกปฏิบัติอย่างไร ลักษณะที่พวกเจ้าใช้ปฏิบัตินั้นสำคัญหรือไม่?  (ไม่ มันไม่สำคัญ)  เช่นนั้นแล้วเราจะอธิบาย “ความไม่สำคัญ” นี้อย่างไร?  หากวิธีการปฏิบัติไม่สำคัญ เช่นนั้นแล้วอะไรเล่าที่สำคัญ?  (พฤติกรรมที่ดีภายนอกไม่ได้เป็นตัวแทนของการนำความจริงไปปฏิบัติ)  (ความคิดทั้งหลายของแต่ละปัจเจกบุคคลนั้นไม่สำคัญ กุญแจตรงนี้ก็คือพวกเราได้นำความจริงไปปฏิบัติหรือไม่ และพวกเรามีหัวใจที่รักพระเจ้าหรือไม่)  (ความล่มสลายของศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จช่วยให้พวกเราเข้าใจว่าพฤติกรรมภายนอกไม่ใช่สิ่งสำคัญยิ่งชีพที่สุด  โดยผิวเผินแล้ว พวกเขาดูเหมือนจะได้ละทิ้งไปมากมายและดูเหมือนจะเต็มใจจ่ายราคา แต่เมื่อทำการชำแหละ พวกเราสามารถเห็นได้ว่าพวกเขาก็แค่ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า แต่พวกเขากลับต่อต้านพระองค์ด้วยประการทั้งปวงแทน  ณ ชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวด พวกเขามักจะเข้าข้างซาตานและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าเสมอ  ดังนั้น ข้อพิจารณาหลักตรงนี้ก็คือพวกเรายืนอยู่ข้างไหนเมื่อถึงเวลา และทัศนคติของพวกเราต่อสิ่งทั้งหลายคืออะไร)  พวกเจ้าทั้งหมดพูดดี และพวกเจ้าดูเหมือนครองความเข้าใจพื้นฐานและมาตรฐานสำหรับดำเนินชีวิตตามอยู่แล้วเมื่อพูดถึงการนำความจริงไปปฏิบัติ เจตนารมณ์ของพระเจ้า และสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากมนุษยชาติ  การที่พวกเจ้าสามารถพูดเช่นนี้ได้นั้นดลใจมาก  แม้ว่าบางสิ่งที่พวกเจ้าพูดจะไม่ถูกต้องแม่นยำมากนัก แต่เจ้าก็ได้เข้าใกล้การมีคำอธิบายที่ถูกต้องเหมาะสมเกี่ยวกับความจริงแล้ว—และนี่ก็พิสูจน์ว่าพวกเจ้าได้พัฒนาความเข้าใจที่จริงแท้ของพวกเจ้าเองเกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์ และวัตถุทั้งหลายรอบตัวพวกเจ้า เกี่ยวกับสิ่งรอบตัวเจ้าทั้งหมดตามที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ และเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสามารถมองเห็นได้  นี่คือความเข้าใจอย่างหนึ่งซึ่งใกล้เคียงกับความจริง  แม้ว่าสิ่งที่พวกเจ้าได้พูดจะไม่ใช่เป็นการจับใจความได้ครอบคลุมทั้งหมด และคำพูดของเจ้าบางคำไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่การจับใจความของพวกเจ้าก็กำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงของความจริงแล้ว  การได้ยินพวกเจ้าพูดแบบนี้ทำให้เรารู้สึกดีมาก

ความเชื่อของผู้คนไม่สามารถแทนที่ความจริงได้

ผู้คนบางคนสามารถทนความยากลำบากได้ สามารถจ่ายราคาได้ ภายนอกมีความประพฤติดีมาก ค่อนข้างเป็นที่นับถือดี และชื่นชมกับการเลื่อมใสของผู้อื่น  พวกเจ้าจะพูดว่าพฤติกรรมภายนอกประเภทนี้สามารถถือได้ว่าเป็นการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหรือไม่?  คนเราจะสามารถกำหนดพิจารณาได้หรือไม่ว่าผู้คนเช่นนี้กำลังทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า?  เหตุใดจึงเป็นว่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผู้คนเห็นปัจเจกบุคคลเช่นนี้และคิดว่าพวกเขากำลังสนองเจตนารมณ์พระเจ้า กำลังเดินตามเส้นทางของการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ และกำลังเดินตามทางของพระเจ้า?  เหตุใดผู้คนบางคนจึงคิดเช่นนี้?  มีคำอธิบายเพียงคำเดียวเท่านั้น  คำอธิบายนั้นคืออะไรเล่า?  คำอธิบายก็คือว่า สำหรับผู้คนจำนวนมหาศาล คำถามบางคำถาม—อาทิ การนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหมายความว่าอะไร การทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยหมายความว่าอะไร และการครองความเป็นจริงความจริงอย่างแท้จริงหมายความว่าอะไร—ไม่ชัดเจนอย่างมาก  ดังนั้น จึงมีผู้คนบางคนที่มักถูกชักพาให้หลงผิดโดยพวกที่ภายนอกดูเหมือนจะเป็นฝ่ายวิญญาณ สูงศักดิ์ สูงส่ง และยิ่งใหญ่  ในส่วนของผู้คนที่สามารถพูดถึงคำพูดและคำสอนได้อย่างมีวาทศิลป์ และวาทะและการกระทำของพวกเขาดูเหมือนจะมีค่าคู่ควรกับการเลื่อมใส พวกที่ถูกพวกนั้นชักพาให้หลงเชื่อไม่เคยได้มองที่แก่นแท้ของการกระทำของพวกเขา หลักธรรมทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพวกเขา หรืออะไรคือเป้าหมายของพวกเขา  ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่เคยมองว่าผู้คนเหล่านี้นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ และไม่เคยพิจารณาว่าผู้คนเหล่านี้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริงหรือไม่  พวกเขาไม่เคยใช้วิจารณญาณดูแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ในตัวผู้คนเหล่านี้  ตรงกันข้าม เริ่มต้นด้วยขั้นตอนแรกของการทำความคุ้นเคยกับพวกเขา พวกเขาได้มาเลื่อมใสและเคารพผู้คนเหล่านี้ทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุด ผู้คนเหล่านี้ก็กลายเป็นรูปเคารพของพวกเขา  นอกจากนี้ ในจิตใจของผู้คนบางคน รูปเคารพที่พวกเขานมัสการ—และผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าสามารถทอดทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานของพวกเขาได้ และผู้ที่โดยผิวเผินแล้วดูเหมือนจะสามารถจ่ายราคาได้—เป็นพวกที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างแท้จริง และพวกที่สามารถมีจุดจบที่ดีและบั้นปลายที่ดีได้  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา รูปเคารพเหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสรรเสริญ  อะไรทำให้พวกเขาเชื่อเรื่องทำนองนี้?  อะไรคือแก่นแท้ของประเด็นปัญหานี้?  อะไรคือผลที่ตามมาที่มันจะนำไปสู่?  ก่อนอื่นพวกเรามาหารือเรื่องแก่นแท้ของมันกันเถิด

โดยแก่นแท้แล้ว ปัญหาที่เกี่ยวกับทัศนคติของผู้คนนี้ วิธีที่พวกเขาใช้ปฏิบัติ หลักธรรมของการปฏิบัติที่พวกเขาเลือกใช้ และสิ่งที่พวกเขาแต่ละคนมักจะมุ่งเน้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษยชาติเลย  ไม่ว่าผู้คนจะมุ่งเน้นเรื่องที่ตื้นเขินหรือลุ่มลึก หรือเน้นวาจาและคำสอนหรือว่าความเป็นจริง พวกเขาก็ไม่ยึดปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาควรยึดปฏิบัติมากที่สุด และพวกเขาก็ไม่รู้จักสิ่งที่พวกเขาควรรู้จักมากที่สุด  เหตุผลของเรื่องนี้คือผู้คนไม่ชอบความจริงเอาเสียเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงไม่เต็มใจที่จะใช้เวลาและความพยายามไปกับการแสวงหาและนำหลักธรรมของการปฏิบัติที่พบในถ้อยดำรัสของพระเจ้าไปปฏิบัติ  แต่พวกเขากลับเลือกที่จะใช้ทางลัดแทน โดยสรุปว่าสิ่งที่พวกเขาเข้าใจและรู้นั้นเป็นการฝึกฝนปฏิบัติที่ดีและพฤติกรรมที่ดี เช่นนั้นแล้วบทสรุปนี้จึงกลายเป็นเป้าหมายของพวกเขาเองในการไล่ตามเสาะหา ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นความจริงที่จะได้รับการปฏิบัติ  ผลพวงโดยตรงของเรื่องนี้คือผู้คนใช้พฤติกรรมที่ดีของมนุษย์เป็นสิ่งแทนที่สำหรับการนำความจริงไปปฏิบัติ ซึ่งก็สนองความอยากของพวกเขาที่จะประจบประแจงพระเจ้าอีกด้วย  นี่เป็นต้นทุนให้พวกเขาใช้ขับเคี่ยวกับความจริง ซึ่งพวกเขาก็ใช้เป็นเหตุผลมาแข่งขันกับพระเจ้าอีกด้วย  ในเวลาเดียวกัน ผู้คนก็กันพระเจ้าออกไปอย่างไม่มีหลักศีลธรรม แล้ววางรูปเคารพที่พวกเขาเลื่อมใสลงแทนที่พระองค์  มีเพียงสาเหตุที่แท้จริงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนมีการกระทำและทัศนคติที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้ หรือมีข้อคิดเห็นและการฝึกฝนปฏิบัติด้านเดียว—และวันนี้ เราจะบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ กล่าวคือ เหตุผลก็คือว่า แม้ว่าผู้คนอาจติดตามพระเจ้า อธิษฐานต่อพระองค์ทุกวัน และอ่านถ้อยดำรัสของพระองค์ทุกวัน แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์อย่างจริงแท้  มีรากเหง้าของปัญหาอยู่ในที่นี้  หากใครบางคนเข้าใจพระทัยของพระเจ้าและรู้ว่าพระองค์ทรงชอบสิ่งใด พระองค์ทรงเกลียดสิ่งใด พระองค์ทรงต้องประสงค์สิ่งใด พระองค์ทรงปฏิเสธสิ่งใด พระองค์ทรงรักบุคคลชนิดใด พระองค์ไม่ทรงชอบบุคคลชนิดใด พระองค์ทรงใช้มาตรฐานชนิดใดเมื่อทำการเรียกร้องต่อผู้คน และพระองค์ทรงใช้การเข้าหาประเภทใดเพื่อทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นยังคงสามารถมีข้อคิดเห็นส่วนตัวของพวกเขาเองได้หรือไม่?  ผู้คนเช่นนี้อาจสามารถไปนมัสการใครอื่นบางคนได้อย่างเรียบง่ายกระนั้นหรือ?  มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งอาจสามารถกลายเป็นรูปเคารพของพวกเขาได้หรือไม่?  ผู้คนที่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าจะครองทัศนคติที่สมเหตุสมผลมากกว่านั้นเล็กน้อย  พวกเขาจะไม่เทิดทูนบุคคลที่เสื่อมทรามผู้หนึ่งโดยพลการ และในขณะที่กำลังเดินไปบนเส้นทางของการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัตินั้น พวกเขาก็จะไม่เชื่อว่าการยึดติดกับกฎเกณฑ์หรือหลักการเรียบง่ายไม่กี่ข้ออย่างมืดบอดนั้นทัดเทียมกับการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ

มีข้อคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้กำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คน

พวกเรากลับมาที่หัวข้อนี้และหารือเรื่องของจุดจบต่อกันเถิด

ในเมื่อสิ่งที่ทุกคนกังวลสนใจคือจุดจบของพวกเขาเอง พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาจุดจบนั้นอย่างไร?  พระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของบางคนในลักษณะใด?  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงใช้มาตรฐานแบบใดในการกำหนดพิจารณา?  เมื่อจุดจบของบุคคลหนึ่งยังคงไม่ได้ถูกกำหนดพิจารณา พระเจ้าทรงทำอะไรเพื่อเปิดเผยจุดจบนั้น?  มีใครรู้บ้างหรือไม่?  ดังที่เราได้พูดไปเมื่อชั่วขณะที่แล้ว มีบางคนที่ได้ใช้เวลาวิจัยพระวจนะของพระเจ้านานมาก ในความพยายามที่จะค้นให้พบเบาะแสเกี่ยวกับจุดจบของผู้คน เกี่ยวกับหมวดหมู่ที่จุดจบเหล่านี้ถูกแบ่งออกไป และเกี่ยวกับจุดจบอันหลากหลายที่รอผู้คนต่างประเภทอยู่  พวกเขายังหวังอีกด้วยว่าจะค้นพบว่าพระวจนะของพระเจ้าทรงสั่งการจุดจบของผู้คนอย่างไร พระองค์ทรงใช้มาตรฐานแบบใด และพระองค์ทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของบุคคลหนึ่งอย่างไรกันแน่  อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด ผู้คนเหล่านี้ไม่มีวันบริหารจัดการจนได้พบคำตอบใดได้  โดยข้อเท็จจริงแล้ว มีการพูดถึงเรื่องนี้น้อยมากท่ามกลางถ้อยดำรัสของพระเจ้า  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  ตราบใดที่จุดจบของผู้คนยังไม่ได้รับการเปิดเผย พระเจ้าก็ไม่ทรงปรารถนาที่จะบอกผู้ใดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในท้ายที่สุด และพระองค์ก็ไม่ทรงต้องประสงค์แจ้งผู้ใดให้รู้บั้นปลายของพวกเขาก่อนเวลา—เพราะการทำเช่นนั้นจะไม่เกิดประโยชน์อันใดต่อมนุษยชาติ  ที่นี่และตอนนี้เราเพียงต้องการบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับลักษณะที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อกำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คน เกี่ยวกับหลักธรรมที่พระองค์ทรงใช้ในพระราชกิจของพระองค์เพื่อกำหนดพิจารณาและสำแดงจุดจบเหล่านี้ และเกี่ยวกับมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้เพื่อกำหนดพิจารณาว่าบางคนสามารถอยู่รอดได้หรือไม่  ไม่ใช่คำถามเหล่านี้หรอกหรือที่พวกเจ้ากังวลสนใจมากที่สุด?  ดังนั้น เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเชื่อว่าพระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คนอย่างไร?  พวกเจ้าเพิ่งได้พาดพิงถึงส่วนหนึ่งของเรื่องนั้นไปเมื่อประเดี๋ยวนี้เอง นั่นคือ พวกเจ้าบางคนพูดว่ามันเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของตนอย่างสัตย์ซื่อและการสละเพื่อพระเจ้า บางคนพูดว่ามันเกี่ยวข้องกับการนบนอบต่อพระเจ้าและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย บางคนพูดว่าปัจจัยหนึ่งคือการอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า และบางคนก็พูดว่ากุญแจสำคัญคือการไม่ทำตัวให้เป็นจุดสนใจ… เมื่อพวกเจ้านำความจริงเหล่านี้ไปฝึกฝนปฏิบัติ และเมื่อพวกเจ้าฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับหลักธรรมทั้งหลายที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้อง พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าดำริสิ่งใด?  พวกเจ้าเคยได้พิจารณาหรือไม่ว่าการไปต่อเช่นนี้คือการสนองเจตนารมณ์ของพระองค์หรือไม่?  มันเป็นไปตามมาตรฐานของพระองค์หรือไม่?  มันจัดสนองตามข้อเรียกร้องของพระองค์หรือไม่?  เราเชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ขบคิดคำถามเหล่านี้มากนัก  พวกเขาก็แค่นำส่วนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้า หรือส่วนหนึ่งของคำเทศนา หรือมาตรฐานของบุคคลสำคัญฝ่ายจิตวิญญาณเฉพาะบางคนที่พวกเขาเทิดทูนมาประยุกต์ใช้ไปโดยอัตโนมัติ โดยบังคับให้ตัวพวกเขาเองทำเช่นนี้และเช่นนั้น  พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นหนทางที่ถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาจึงยึดติดสิ่งนั้นและทำสิ่งนั้นต่อไปไม่สำคัญว่าอะไรจะเกิดขึ้นในที่สุด  ผู้คนบางคนคิดว่า “ฉันได้มีความเชื่อมาหลายปีเหลือเกินแล้ว ฉันได้ฝึกฝนปฏิบัติด้วยวิธีนี้มาตลอด ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยแล้วจริงๆ และฉันยังรู้สึกเหมือนว่าฉันได้รับมากมายจากการทำเช่นนั้นด้วย นี่เป็นเพราะฉันได้มาเข้าใจความจริงมากมายในระหว่างเวลานี้ รวมถึงสิ่งต่างๆ มากมายที่ฉันไม่ได้เข้าใจมาก่อน โดยเฉพาะเจาะจงแล้ว แนวคิดและทรรศนะมากมายของฉันได้เปลี่ยนไป คุณค่าชีวิตของฉันได้เปลี่ยนไปอย่างมโหฬาร และบัดนี้ฉันมีความเข้าใจดีทีเดียวเกี่ยวกับพิภพนี้”  ผู้คนเช่นนี้เชื่อว่านี่เป็นการเก็บเกี่ยวพืชผล และเชื่อว่าเป็นผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายของพระราชกิจของพระเจ้าสำหรับมนุษยชาติ  ในข้อคิดเห็นของพวกเจ้า ด้วยมาตรฐานเหล่านี้และการฝึกฝนปฏิบัติทั้งหมดของพวกเจ้าที่นำมารวมกัน พวกเจ้ากำลังสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าบางคนจะพูดด้วยความแน่นอนเต็มที่ว่า “แน่นอน!  พวกเรากำลังฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเรากำลังฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับสิ่งที่เบื้องบนได้ประกาศและสื่อสาร  พวกเรามักจะทำหน้าที่ของพวกเราเสมอและติดตามพระเจ้าตลอดเวลา และพวกเราไม่เคยไปจากพระองค์  ดังนั้นพวกเราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าพวกเรากำลังทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  ไม่สำคัญว่าพวกเราจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์มากเพียงใด และไม่สำคัญว่าเราจะจับใจความพระวจนะของพระองค์มากเพียงใด พวกเราก็ได้อยู่บนเส้นทางแห่งการพยายามเข้ากันได้กับพระเจ้าเสมอมา  ตราบใดที่เราปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง และฝึกฝนปฏิบัติอย่างถูกต้อง เช่นนั้นแล้วพวกเราก็จะต้องได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง”  เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับมุมมองนี้?  มันถูกต้องหรือไม่?  อาจมีบางคนอีกด้วยที่พูดว่า “ฉันไม่เคยคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มาก่อน ฉันแค่คิดว่าตราบที่ฉันยังคงปฏิบัติหน้าที่ของฉันและปฏิบัติตัวให้เป็นไปตามข้อพึงประสงค์แห่งถ้อยดำรัสของพระเจ้าเช่นนั้นแล้วฉันก็สามารถอยู่รอดได้ ฉันไม่เคยได้พิจารณาคำถามที่ว่าฉันสามารถทำให้สมดังพระทัยของพระเจ้าได้หรือไม่ และฉันไม่เคยได้พิจารณาว่าฉันกำลังตอบสนองมาตรฐานที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ให้หรือไม่ เนื่องจากพระเจ้าไม่เคยทรงบอกฉันหรือจัดเตรียมคำอบรมสั่งสอนที่ชัดเจนอันใดแก่ฉัน ฉันจึงเชื่อว่าตราบใดที่ฉันยังคงทำงานและไม่หยุดยั้ง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะพึงพอพระทัยและไม่น่าจะทรงทำการเรียกร้องอันใดเพิ่มเติมจากฉัน”  ความเชื่อเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  ในความคิดเห็นของเรา หนทางการฝึกฝนปฏิบัติเช่นนี้ หนทางการคิดเช่นนี้ และทัศนคติเหล่านี้ล้วนพ่วงมาด้วยความเพ้อฝันรวมทั้งความมืดบอดอีกเล็กน้อย  บางทีคำพูดของเรานี้ทำให้พวกเจ้าบางคนรู้สึกท้อแท้ใจเล็กน้อย โดยคิดว่า “ความมืดบอดหรือ?  หากนี่เป็นความมืดบอด เช่นนั้นแล้วความหวังในความรอดและการอยู่รอดของพวกเรานั้นมีน้อยและไม่แน่นอนอย่างมากใช่หรือไม่?  โดยการกล่าวแบบนั้น พระองค์ไม่กำลังทรงทำให้พวกเราท้อใจหรอกหรือ?”  ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าเชื่ออะไร แต่สิ่งทั้งหลายที่เราพูดและทำไม่ได้หมายที่จะทำให้พวกเจ้ารู้สึกว่าพวกเจ้ากำลังถูกทำให้หมดกำลังใจ  ตรงกันข้าม สิ่งเหล่านั้นหมายที่จะปรับปรุงความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าให้ดีขึ้น และเพิ่มการจับความเข้าใจของพวกเจ้าต่อสิ่งที่พระองค์กำลังทรงดำริ สิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ทำให้สำเร็จลุล่วง ผู้คนประเภทที่พระองค์ทรงชอบ สิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด สิ่งที่พระองค์ทรงดูหมิ่น บุคคลชนิดใดที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้รับ และบุคคลชนิดใดที่พระองค์ทรงปฏิเสธ  สิ่งเหล่านั้นหมายที่จะให้ความชัดเจนแก่จิตใจของพวกเจ้า และให้ความเข้าใจที่ชัดเจนแก่พวกเจ้าว่าการกระทำและความคิดของพวกเจ้าแต่ละคนและทุกคนได้ไถลห่างไปไกลเพียงใดจากมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  มันจำเป็นมากหรือไม่ที่จะหารือเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้?  เพราะเรารู้ว่าพวกเจ้าได้มีความเชื่อมานานแล้ว และได้ฟังการประกาศมามากมายแล้ว แต่เหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าขาดมากที่สุดอย่างแน่นอน  แม้ว่าพวกเจ้าได้บันทึกทุกความจริงไว้ในสมุดบันทึกของเจ้า และได้จดจำและจารึกบางสิ่งที่เจ้าเชื่อเป็นการส่วนตัวว่ามีความสำคัญไว้ในหัวใจของพวกเจ้า และแม้ว่าเจ้าวางแผนการที่จะใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในระหว่างการฝึกฝนปฏิบัติของพวกเจ้า เพื่อใช้สิ่งเหล่านั้นในยามที่พวกเจ้าพบว่าตัวเองกำลังต้องการ เพื่อใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อก้าวผ่านกาลเวลาอันลำบากยากเย็นที่อยู่ข้างหน้า หรือเพียงแค่ปล่อยให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ร่วมทางไปกับพวกเจ้า ในขณะที่พวกเจ้าใช้ชีวิตของพวกเจ้า ในความคิดเห็นของเรา ไม่ว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไรก็ตาม หากพวกเจ้าแค่กำลังทำอยู่แล้ว นี่ก็ย่อมไม่สำคัญนัก  เช่นนั้นแล้วอะไรเล่าที่สำคัญมาก?  นั่นก็คือ ในขณะที่เจ้ากำลังฝึกฝนปฏิบัติ เจ้าต้องรู้ลึกลงไปด้วยความแน่ใจอย่างสิ้นเชิงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากำลังทำอยู่—ทุกๆ การกระทำ—สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์หรือไม่ และการกระทำทั้งหมดของพวกเจ้า ความคิดทั้งหมดของพวกเจ้า และผลลัพธ์และเป้าหมายที่พวกเจ้าปรารถนาจะสัมฤทธิ์ผลนั้น จริงๆ แล้วสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าและจัดสนองต่อข้อเรียกร้องของพระองค์หรือไม่ ตลอดจนพระองค์ทรงเห็นชอบกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่  เหล่านี้คือบรรดาสิ่งที่สำคัญมาก

จงเดินตามทางของพระเจ้า นั่นคือ จงยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

มีคติพจน์หนึ่งที่พวกเจ้าควรจดบันทึกไว้  เราเชื่อว่าคติพจน์นี้สำคัญมาก เพราะสำหรับเราแล้ว มันเข้ามาในความคิดจิตใจนับครั้งไม่ถ้วนในทุกๆ วัน  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เป็นเพราะทุกครั้งที่เราต้องเผชิญหน้ากับใครบางคน ทุกครั้งที่เราได้ยินเรื่องราวของใครบางคน และทุกครั้งที่เราได้รับฟังประสบการณ์หรือคำพยานของบุคคลหนึ่งเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า เรามักจะใช้คติพจน์นี้เพื่อกำหนดพิจารณาในหัวใจของเราเสมอ ว่าบุคคลผู้นี้เป็นบุคคลชนิดที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์และเป็นบุคคลชนิดที่พระเจ้าทรงชอบหรือไม่  ดังนั้น เช่นนั้นแล้วคติพจน์นี้คืออะไรหรือ?  ตอนนี้เราได้ทำให้พวกเจ้าสนใจจนนั่งไม่ติดแล้ว  เมื่อเราเปิดเผยคติพจน์นั้น บางทีพวกเจ้าจะรู้สึกผิดหวัง เพราะมีบางคนได้พูดคติพจน์นั้นพล่อยๆ เพียงลมปากมานานหลายปีแล้ว  อย่างไรก็ตาม เราไม่เคยพูดคติพจน์นั้นพล่อยๆ เพียงลมปากเลยแม้สักครั้ง  คติพจน์นี้พักอาศัยอยู่ในหัวใจเรา  ดังนั้นคติพจน์นี้คืออะไรเล่า?  คติพจน์นี้ก็คือ “จงเดินตามทางของพระเจ้า นั่นคือ จงยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว”  นี่ไม่ใช่วลีที่เรียบง่ายเหลือเกินกระนั้นหรือ?  ถึงอย่างนั้นก็ตาม แม้จะมีความเรียบง่าย แต่ผู้คนที่มีความเข้าใจลึกซึ้งในคำพูดเหล่านี้อย่างแท้จริง จะรู้สึกว่าพวกมันมีความหนักแน่นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าคติพจน์นี้มีคุณค่ามากต่อการฝึกฝนปฏิบัติของคนเรา รู้สึกว่ามันเป็นบรรทัดหนึ่งจากภาษาแห่งชีวิตที่ประกอบด้วยความเป็นจริงความจริง รู้สึกว่ามันเป็นตัวแทนของวัตถุประสงค์ตลอดชีพสำหรับพวกที่กำลังพยายามทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และรู้สึกว่ามันเป็นหนทางตลอดชีพที่ใครก็ตามที่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าควรทำตาม  ดังนั้นเจ้าคิดอย่างไรว่า คติพจน์นี้มิใช่ความจริงหรอกหรือ?  คติพจน์นี้มีหรือไม่มีนัยสำคัญเช่นนั้น?  นอกจากนั้นแล้ว บางทีพวกเจ้าบางคนอาจกำลังนึกถึงคติพจน์นี้ และกำลังพยายามขบคิดความหมายอยู่ และบางทีอาจมีพวกเจ้าบางคนที่กระทั่งรู้สึกกังขาเกี่ยวกับคติพจน์นี้ว่า คติพจน์นี้สำคัญมากนักหรือ?  มันสำคัญมากหรือไม่?  จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องเน้นคติพจน์นี้มากขนาดนั้น?  อาจมีพวกเจ้าบางคนที่ไม่ชอบคติพจน์นี้มากนักเพราะพวกเจ้าคิดว่าการนำเอาทางของพระเจ้ามากลั่นให้เป็นคติพจน์หนึ่งคำนี้เป็นการอธิบายที่ง่ายเกินจริงมากเกินไป  การนำเอาทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสมาสรุปให้เป็นคติพจน์เดียว—นั่นจะไม่ทำให้พระเจ้าทรงกลายเป็นไร้นัยสำคัญมากเกินไปหรอกหรือ?  มันเป็นอย่างนั้นหรอกหรือ?  อาจเป็นไปได้ว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่เข้าใจนัยสำคัญอันลุ่มลึกซึ้งของคำพูดเหล่านี้อย่างเต็มที่  แม้ว่าพวกเจ้าจะได้จดบันทึกไว้ทั้งหมดแล้ว แต่พวกเจ้าก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะจัดเก็บคติพจน์นี้ไว้ในหัวใจของพวกเจ้า พวกเจ้าเพียงได้เขียนมันลงในสมุดบันทึกของพวกเจ้าเพื่อจะได้กลับไปอ่านและไตร่ตรองในเวลาว่างของพวกเจ้า  พวกเจ้าบางคนจะไม่แม้แต่วุ่นวายที่จะจดจำคติพจน์นี้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลองพยายามใช้คติพจน์นี้ให้เกิดประโยชน์ที่ดี  แม้กระนั้น เหตุใดหรือเราจึงปรารถนาที่จะพาดพิงถึงคติพจน์นี้?  โดยไม่คำนึงถึงมุมมองของพวกเจ้าและไม่สำคัญว่าพวกเจ้าจะคิดอะไร เราจำเป็นต้องพาดพิงถึงคติพจน์นี้ เนื่องจากว่าคติพจน์นี้มีความเกี่ยวเนื่องอย่างที่สุดกับวิธีที่พระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คน  ไม่สำคัญว่าความเข้าใจปัจจุบันของพวกเจ้าในคติพจน์นี้จะเป็นอะไร หรือเจ้าจะปฏิบัติต่อคติพจน์นี้อย่างไร เราจะยังคงบอกพวกเจ้าดังนี้ว่า หากผู้คนสามารถนำคำพูดของคติพจน์นี้ไปปฏิบัติ และรับประสบการณ์กับคำพูดเหล่านั้น และสัมฤทธิ์มาตรฐานแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมั่นใจว่าจะเป็นผู้อยู่รอดและแน่ใจว่าจะมีจุดจบที่ดี  อย่างไรก็ตาม หากพวกเจ้าไม่สามารถตอบสนองมาตรฐานที่คติพจน์นี้ได้กำหนดไว้ เช่นนั้นแล้วอาจกล่าวได้ว่าจะไม่มีใครรู้จุดจบของพวกเจ้าเลย  ดังนั้นเราจึงพูดกับพวกเจ้าเกี่ยวกับคติพจน์นี้ก็เพื่อการตระเตรียมด้านจิตใจของพวกเจ้าเอง และเพื่อให้พวกเจ้าจะได้รู้ว่าพระเจ้าทรงใช้มาตรฐานประเภทใดในการประเมินวัดพวกเจ้า  ดังที่เราเพิ่งได้บอกพวกเจ้า คติพจน์นี้มีความเกี่ยวเนื่องอย่างที่สุดกับการที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษยชาติให้รอด รวมไปถึงวิธีที่พระองค์ทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คนด้วย  คติพจน์นี้เกี่ยวเนื่องในทางใดเล่า?  พวกเจ้าคงอยากจะรู้จริงๆ ดังนั้นพวกเราจะพูดคุยเกี่ยวกับคติพจน์นี้ในวันนี้เลย

พระเจ้าทรงใช้ประโยชน์บททดสอบที่หลากหลายเพื่อทดสอบว่าผู้คนยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่

ในทุกยุคที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ พระองค์ประทานพระวจนะให้แก่ผู้คนไว้บ้างและตรัสบอกความจริงบางประการแก่พวกเขา  ความจริงเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นหนทางที่ผู้คนควรยึดติด เป็นหนทางที่พวกเขาควรเดินตาม เป็นหนทางที่ทำให้พวกเขาสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และเป็นหนทางที่ผู้คนควรนำไปฝึกฝนปฏิบัติและยึดติดในชีวิตของพวกเขาและตลอดครรลองแห่งการเดินทางแห่งชีวิตของพวกเขา  เป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้นั่นเองพระเจ้าจึงทรงแสดงถ้อยดำรัสเหล่านี้ต่อมนุษยชาติ  พระวจนะเหล่านี้ซึ่งมาจากพระเจ้าควรได้รับการยึดติดโดยผู้คน และการยึดติดในพระวจนะเหล่านี้คือการรับชีวิตเอาไว้  หากบุคคลผู้หนึ่งไม่ยึดติดในพระวจนะเหล่านี้ ไม่นำพระวจนะเหล่านี้ไปฝึกฝนปฏิบัติ และไม่ดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา เช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี้ก็จะไม่ได้กำลังนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ  ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้คนไม่ได้กำลังนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ได้กำลังยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว อีกทั้งไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้  ผู้คนที่ไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ไม่สามารถรับคำสรรเสริญของพระองค์ได้ และผู้คนเช่นนี้ก็จะไม่มีจุดจบ  ดังนั้นแล้ว ในครรลองแห่งการทรงพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของบุคคลผู้หนึ่งอย่างไรหรือ?  พระเจ้าทรงใช้วิธีการใดเล่าในการกำหนดพิจารณาจุดจบของบุคคลผู้หนึ่ง?  บางทีพวกเจ้าอาจยังคงเลือนรางในเรื่องนี้อยู่บ้างในชั่วขณะนี้ แต่เมื่อเราบอกเจ้าเกี่ยวกับกระบวนการ มันจะกลายเป็นค่อนข้างชัดเจน เพราะพวกเจ้ามากมายได้เคยมีประสบการณ์กับมันด้วยตัวเองมาแล้ว

ตลอดครรลองแห่งการทรงพระราชกิจของพระองค์ นับตั้งแต่ปฐมกาลเป็นต้นมา พระเจ้าได้ทรงกำหนดบททดสอบสำหรับทุกบุคคลไว้แล้ว—หรือเจ้าสามารถพูดได้ว่าทุกบุคคลที่ติดตามพระองค์—และบททดสอบเหล่านี้มาในขนาดอันหลากหลาย  มีพวกที่ได้รับประสบการณ์กับบททดสอบแห่งการถูกครอบครัวของพวกเขาปฏิเสธ พวกที่ได้รับประสบการณ์กับบททดสอบแห่งสิ่งแวดล้อมอันทุกข์ยาก พวกที่ได้รับประสบการณ์กับบททดสอบแห่งการถูกจับกุมและถูกทรมาน พวกที่ได้รับประสบการณ์กับบททดสอบแห่งการต้องเผชิญหน้ากับตัวเลือกทั้งหลาย และพวกที่ได้เผชิญหน้ากับบททดสอบแห่งเงินตราและสถานะ  กล่าวโดยทั่วไปแล้ว พวกเจ้าแต่ละคนได้เผชิญหน้ากับบททดสอบทุกลักษณะแล้ว  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงพระราชกิจเช่นนี้?  เหตุใดพระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกคนเยี่ยงนี้?  ผลลัพธ์จำพวกใดที่พระองค์ทรงแสวงหา?  นี่คือประเด็นที่เราปรารถนาที่จะสื่อสารกับพวกเจ้า นั่นคือ พระเจ้าทรงต้องประสงค์ดูว่าบุคคลผู้นี้เป็นชนิดที่ยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่  สิ่งนี้หมายความว่าเมื่อพระเจ้ากำลังทรงให้ทดสอบแก่เจ้า และให้เจ้าเผชิญหน้ากับรูปการณ์แวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง เจตนารมณ์ของพระองค์คือเพื่อทดสอบว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่  หากใครบางคนเผชิญหน้ากับหน้าที่เก็บรักษาของถวาย และหน้าที่นี้นำไปสู่การเข้ามาจับต้องของถวายของพระเจ้า เจ้าจะบอกว่านี่เป็นบางสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้แล้วกระนั้นหรือ?  เป็นเช่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย!  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเผชิญคือบางสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้  เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ พระเจ้าจะทรงสังเกตการณ์เจ้าอย่างลับๆ ทรงเฝ้าดูว่าเจ้าเลือกตัวเลือกใด วิธีที่เจ้าฝึกฝนปฏิบัติ และเจ้ามีความคิดอะไร  สิ่งที่พระเจ้าทรงห่วงใยมากที่สุดคือผลลัพธ์สุดท้าย เนื่องจากว่าเป็นผลลัพธ์นี้นี่เองที่จะช่วยให้พระองค์ทรงประเมินวัดว่าเจ้าได้ใช้ชีวิตขึ้นไปถึงมาตรฐานของพระองค์ในบททดสอบโดยเฉพาะครั้งนี้หรือไม่  อย่างไรก็ตาม เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนเผชิญปัญหา พวกเขามักจะไม่คิดเกี่ยวกับว่าเหตุใดพวกเขาจึงต้องเผชิญหน้ากับมัน มาตรฐานอะไรที่พระเจ้าทรงคาดหมายให้พวกเขาตอบสนอง อะไรที่พระองค์ทรงต้องประสงค์เห็นในพวกเขา หรืออะไรที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้รับจากพวกเขา  ในยามที่เผชิญหน้ากับปัญหานี้ ผู้คนเหล่านี้ก็เพียงคิดว่า “นี่คือบางสิ่งที่ฉันต้องเผชิญหน้า ฉันต้องระมัดระวัง ต้องไม่สะเพร่า!  ไม่ว่าอะไรก็ตาม นี่คือของถวายของพระเจ้าและฉันก็ไม่สามารถแตะต้องได้”  ด้วยความที่มีความคิดเรียบง่ายเกินไปเช่นนี้ ผู้คนจึงเชื่อว่าพวกเขาได้ทำให้ความรับผิดชอบทั้งหลายของพวกเขาลุล่วงแล้ว  ผลลัพธ์ของบททดสอบนี้จะนำความพึงพอพระทัยมาให้พระเจ้าหรือไม่?  จงเดินหน้าและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้  (หากผู้คนมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหน้าที่ซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้ามาสัมผัสกับของถวายของพระเจ้า พวกเขาก็จะพิจารณาว่ามันง่ายเพียงใดที่จะทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคือง และนั่นจะทำให้พวกเขาต้องดำเนินการต่อด้วยความระมัดระวังอย่างแน่นอน)  การตอบสนองของพวกเจ้าอยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้อง แต่ก็ยังไม่ถึงกับตรงจุดทีเดียวนัก  การเดินตามหนทางของพระเจ้านั้นไม่ได้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อบังคับอันผิวเผินทั้งหลายตรงกันข้ามกลับหมายความว่าเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับปัญหา เจ้ามีทรรศนะว่าเหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นสถานการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้แล้ว เป็นความรับผิดชอบที่พระองค์ประทานให้แก่เจ้า หรือภารกิจที่พระองค์วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า  เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหานี้ เจ้าควรถึงกับเห็นว่านั่นเป็นบททดสอบที่พระเจ้าทรงใส่ให้กับเจ้า  เมื่อเจ้าประสบกับปัญหานี้ เจ้าต้องมีมาตรฐานในหัวใจของเจ้า และเจ้าต้องคิดว่าเรื่องนี้ได้มาจากพระเจ้า  เจ้าต้องคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับมันในหนทางที่เจ้าสามารถทำให้ความรับผิดชอบของเจ้าลุล่วง ในขณะที่ยังคงจงรักภักดีต่อพระเจ้า ตลอดจนวิธีที่จะทำเช่นนั้นโดยไม่ทำให้พระองค์กริ้วหรือทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์ทรงขุ่นเคือง  เมื่อครู่นี้เราได้พูดเกี่ยวกับการเก็บรักษาของถวาย  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับของถวาย และยังแตะต้องไปถึงหน้าที่ของเจ้าและความรับผิดชอบของเจ้าอีกด้วย  เจ้ามีหน้าที่ผูกพันกับความรับผิดชอบนี้  อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหานี้ มีการทดลองอันใดหรือไม่?  ย่อมมี  การทดลองนี้มาจากไหน?  การทดลองนี้มาจากซาตาน และมาจากอุปนิสัยชั่วเสื่อมทรามของพวกมนุษย์อีกด้วย  ในเมื่อมีการทดลอง ประเด็นนี้จึงเกี่ยวข้องกับการยืนหยัดในคำพยานที่ผู้คนควรจะยืนหยัด อันเป็นความรับผิดชอบและหน้าที่ของเจ้าอีกด้วย  ผู้คนบางคนพูดว่า “นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยยิ่งนัก จำเป็นจริงหรือที่จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่?”  จำเป็นอย่างที่สุด!  นี่เป็นเพราะเพื่อที่จะเดินตามหนทางของพระเจ้า พวกเราไม่สามารถปล่อยสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับพวกเราหรือรอบตัวพวกเราไป แม้กระทั่งสิ่งเล็กน้อย ไม่ว่าพวกเราจะคิดว่าพวกเราควรให้ความสนใจกับมันหรือไม่ ตราบใดที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าเรื่องใดก็ตาม พวกเราจะต้องไม่ปล่อยมันไป  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นควรถูกมองว่าเป็นข้อทดสอบที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่พวกเรา  เจ้าคิดอะไรเกี่ยวกับวิธีมองสิ่งทั้งหลายวิธีนี้?  หากเจ้ามีท่าทีแบบนี้ เช่นนั้นแล้ว มันจะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงข้อหนึ่ง กล่าวคือ ลึกลงไปนั้น เจ้ายำเกรงพระเจ้าและเต็มใจหลบเลี่ยงความชั่ว  หากเจ้ามีความพึงปรารถนานี้ที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้านำไปฝึกฝนปฏิบัติจะไม่อยู่ไกลมากนักจากการตอบสนองต่อมาตรฐานแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว

บ่อยครั้งที่มีพวกที่เชื่อว่า เรื่องทั้งหลายที่ผู้คนไม่ค่อยให้ความสนใจมากนักและมักจะไม่พาดพิงถึงนั้น เป็นแต่เพียงเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ  เมื่อต้องเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาเช่นนี้ ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับมัน แล้วพวกเขาก็ปล่อยให้มันผ่านไป  โดยข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อเจ้าเผชิญประเด็นปัญหานี้ ก็แน่ทีเดียวว่าย่อมเป็นเวลาที่เจ้าควรเรียนรู้บทเรียนของวิธีที่จะยำเกรงพระเจ้าและวิธีที่จะหลบเลี่ยงความชั่ว  และเจ้าควรตระหนักยิ่งขึ้นไปอีกเกี่ยวกับว่าพระเจ้ากำลังทรงทำอะไรเมื่อเจ้าเผชิญกับเรื่องนี้  พระเจ้าทรงอยู่ข้างเจ้านั่นเอง กำลังทรงสังเกตการณ์ทุกคำพูดและการกระทำของเจ้า และกำลังทรงเฝ้าดูทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำและการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นในความคิดของเจ้า—นี่คือพระราชกิจของพระเจ้า  ผู้คนบางคนถามว่า “หากนั่นเป็นจริง เช่นนั้นแล้วเหตุใดฉันจึงไม่รู้สึก?”  เจ้าไม่รู้สึกเพราะเจ้ายังไม่ได้ยึดติดหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเป็นหนทางปฐมของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถสำนึกรับรู้ได้ถึงพระราชกิจอันแนบเนียนที่พระเจ้าทรงทำในผู้คน ซึ่งสำแดงตัวโดยสอดคล้องกับความคิดและการกระทำอันหลากหลายของผู้คน  เจ้าเป็นคนสติแตก!  อะไรเล่าที่เป็นเรื่องใหญ่?  อะไรเล่าที่เป็นเรื่องเล็ก?  เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเดินตามหนทางของพระเจ้าไม่ได้ถูกแยกออกเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก ทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องใหญ่—พวกเจ้าสามารถเข้าใจการนั้นได้หรือไม่?  (พวกเราสามารถเข้าใจได้)  ในด้านของเรื่องประจำวันทั้งหลาย มีบางเรื่องที่ผู้คนมองว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก และเรื่องอื่นๆ ที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็กไร้สาระ  บ่อยครั้งที่ผู้คนเห็นว่าเรื่องใหญ่เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญมาก และพวกเขาพิจารณาว่าเรื่องเหล่านั้นได้ถูกพระเจ้าทรงส่งมา  อย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องใหญ่เหล่านี้แสดงบทบาทออกมา บ่อยครั้งที่ผู้คนไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่สามารถได้มาซึ่งวิวรณ์ใด และไม่สามารถได้รับความรู้จริงแท้ใดที่มีคุณค่า ก็เพราะวุฒิภาวะที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ของผู้คนและเพราะขีดความสามารถที่ต่ำของพวกเขา  ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเล็กแล้ว เรื่องเหล่านี้เพียงแค่ถูกผู้คนมองข้ามและถูกทิ้งให้เลือนหายไปทีละนิดทีละน้อย  เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คนจึงได้สูญเสียโอกาสมากมายที่จะได้รับการตรวจดูและได้รับการทดสอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  มันหมายความว่ากระไรเล่า หากเจ้ามักมองข้ามผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ อีกทั้งสถานการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ให้เจ้าเสมอ?  มันหมายความว่าทุกวัน และแม้กระทั่งทุกชั่วขณะ เจ้ากำลังตัดขาดจากการที่พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม รวมทั้งภาวะผู้นำของพระองค์อยู่เป็นนิตย์  เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงสถานการณ์ให้กับเจ้า พระองค์กำลังทรงเฝ้าสังเกตอย่างลับๆ ทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของเจ้า และความคิดและแนวคิดของเจ้า ทรงเฝ้าดูว่าเจ้าคิดอย่างไร และเจ้าจะปฏิบัติตัวอย่างไร  หากเจ้าเป็นคนประมาท—คนที่ไม่เคยจริงจังกับทางของพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ หรือความจริง—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ใส่ใจหรือให้ความสนใจกับสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ หรือสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์จากเจ้าในสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการสำหรับเจ้า  และเจ้าก็จะไม่รู้ว่าผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เจ้าประสบเกี่ยวเนื่องกับความจริงหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างไร  หลังจากที่เจ้าเผชิญหน้ารูปการณ์แวดล้อมซ้ำๆ และบททดสอบซ้ำๆ เช่นนี้ โดยที่พระเจ้าไม่ทรงเห็นผลลัพธ์ใดๆ ในตัวเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงกระทำอย่างไรเล่า?  หลังจากได้เผชิญหน้าบททดสอบซ้ำๆ เจ้าก็ยังไม่เทิดทูนพระเจ้าว่าทรงยิ่งใหญ่ในหัวใจของเจ้า ทั้งยังไม่จริงจังกับรูปการณ์แวดล้อมที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ให้เจ้า ไม่มองว่าเป็นบททดสอบหรือการตรวจสอบจากพระเจ้า  แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้ากลับได้ปฏิเสธโอกาสที่พระเจ้าได้ประทานให้เจ้าแทน โดยปล่อยให้โอกาสผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า  นี่ไม่ใช่การเป็นกบฏแบบสุดขีดที่ผู้คนแสดงให้เห็นหรอกหรือ?  (ใช่)  พระเจ้าจะทรงรู้สึกเจ็บปวดเพราะเหตุนี้หรือไม่?  (พระองค์จะทรงรู้สึก)  ผิดแล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงรู้สึกเจ็บปวด!  การได้ยินเราพูดการนี้ทำให้พวกเจ้าตกใจอีกครั้ง พวกเจ้าอาจกำลังคิดว่า “ไม่ได้มีการพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วหรือว่าพระเจ้าทรงรู้สึกเจ็บปวดเสมอ?  ดังนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงรู้สึกเจ็บปวดหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้วเมื่อใดเล่าที่พระองค์ทรงรู้สึกเจ็บปวด?”  โดยสังเขปแล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงรู้สึกเจ็บปวดในสถานการณ์นี้  เช่นนั้นแล้ว ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อพฤติกรรมประเภทที่ระบุไว้คร่าวๆ ข้างต้นนั้นคืออะไรเล่า?  เมื่อผู้คนปฏิเสธบททดสอบและการตรวจสอบที่พระเจ้าทรงส่งให้พวกเขา และเมื่อพวกเขาหลบเลี่ยงทั้งสองอย่างนั้น มีเพียงท่าทีเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเช่นนี้  นี่คือท่าทีอะไรกันเล่า?  พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์บุคคลแบบนี้จากก้นบึ้งแห่งพระหทัย  คำว่า “รังเกียจเดียดฉันท์” มีความหมายสองชั้น  เราจะอธิบายเรื่องนี้ตามมุมมองของเราอย่างไร?  คำว่า “รังเกียจเดียดฉันท์” แฝงนัยว่าเกลียดและชังอยู่ลึกๆ  แล้วความหมายอีกชั้นหนึ่งเล่า?  นั่นก็คือส่วนที่แสดงนัยของการยอมแพ้ในบางสิ่ง พวกเจ้าทั้งหมดรู้ว่า “ยอมแพ้” หมายถึงอะไรใช่หรือไม่?  โดยสรุปแล้ว “รังเกียจเดียดฉันท์” คือคำแทนปฏิกิริยาและท่าทีท้ายสุดของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนเหล่านั้นที่กำลังประพฤติตัวเช่นนั้น เป็นความเกลียดและความเดียดฉันท์สุดขีดต่อพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้มีการตัดสินใจที่จะปล่อยมือจากพวกเขา  นี่คือการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของพระเจ้าต่อบุคคลที่ไม่เคยเดินตามหนทางของพระเจ้า และที่ไม่เคยยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว บัดนี้พวกเจ้าทั้งหมดสามารถเห็นความสำคัญของคติพจน์ที่เราได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ได้แล้วหรือไม่?

ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจวิธีการที่พระเจ้าทรงใช้ในการกำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คนหรือยัง?  (พระองค์ทรงจัดการเตรียมการรูปการณ์แวดล้อมที่แตกต่างกันทุกวัน)  พระองค์ทรงจัดการเตรียมการรูปการณ์แวดล้อมที่แตกต่างกัน—นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนสามารถรู้สึกและจับต้องได้  ดังนั้นอะไรคือสิ่งจูงใจของพระเจ้าในการทรงทำการนี้?  สิ่งจูงใจของพระองค์คือการให้บททดสอบหลากหลายลักษณะ ณ เวลาที่แตกต่างกันและในสถานที่ที่แตกต่างกันแก่บุคคลทุกคนไม่มีเว้น  แง่มุมใดเล่าของบุคคลถูกนำไปทดสอบในระหว่างบททดสอบ?  บททดสอบกำหนดพิจารณาว่าเจ้าเป็นบุคคลประเภทที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วในทุกประเด็นที่เจ้าเผชิญหน้า ได้ยิน ได้เห็น และได้รับประสบการณ์ด้วยตนเองหรือไม่  ทุกคนจะเผชิญหน้ากับบททดสอบประเภทนี้เพราะพระเจ้าทรงยุติธรรมต่อผู้คนทั้งหมด  พวกเจ้าบางคนพูดว่า “ฉันได้เชื่อในพระเจ้าหลายปีแล้ว ดังนั้นแล้วเหตุใดฉันจึงยังไม่ได้เผชิญหน้ากับบททดสอบใดๆ เล่า?”  เจ้ารู้สึกว่าเจ้ายังไม่ได้เผชิญหน้าบททดสอบใดๆ เพราะเมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการรูปการณ์แวดล้อมให้เจ้า เจ้าไม่ได้จริงจังกับรูปการณ์แวดล้อมเหล่านั้นและไม่ต้องการเดินตามทางของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ เจ้าก็แค่ไม่สำนึกรับรู้บททดสอบของพระเจ้าเลย  บางคนพูดว่า “ฉันได้เผชิญหน้ากับบททดสอบสองสามครั้งแล้ว แต่ฉันไม่รู้วิธีฝึกฝนปฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะสม แม้เมื่อฉันได้ฝึกฝนปฏิบัติแล้ว ฉันก็ยังคงไม่รู้ว่าฉันได้ตั้งมั่นในระหว่างบททดสอบของพระเจ้าหรือไม่”  ผู้คนในสภาวะแบบนี้ไม่ได้มีจำนวนน้อยอย่างแน่นอน  เช่นนั้นแล้วอะไรเล่าคือมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้ประเมินผู้คน?  เป็นดังเช่นที่เราได้พูดเมื่อครู่ก่อน นั่นคือ เป็นการที่ว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ คิด และแสดงออกหรือไม่  นี่คือวิธีที่จะกำหนดพิจารณาว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่  มโนทัศน์นี้เรียบง่ายหรือไม่?  มันเรียบง่ายพอที่จะพูด แต่ง่ายที่จะนำไปฝึกฝนปฏิบัติหรือไม่?  (มันก็ไม่ง่ายนัก)  เหตุใดจึงไม่ง่ายนัก?  (เพราะผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า และพวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมอย่างไร ดังนั้นเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับปัญหา พวกเขาจึงไม่รู้วิธีค้นพบความจริงเพื่อแก้ปัญหาของพวกเขา  พวกเขาต้องก้าวผ่านบททดสอบ การถลุง การตีสอน และการพิพากษาทั้งหลายก่อนที่พวกเขาจะสามารถครอบครองความเป็นจริงแห่งการยำเกรงพระเจ้า)  พวกเจ้าอาจจะพูดเช่นนั้น แต่ในความคิดเห็นของพวกเจ้า การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วดูเหมือนจะทำได้อย่างง่ายดายมากตอนนี้  เหตุใดเราถึงพูดเช่นนี้?  เป็นเพราะพวกเจ้าได้ฟังคำเทศนามากมายและได้รับการรดน้ำในปริมาณไม่น้อยจากความเป็นจริงความจริง การนี้ทำให้พวกเจ้าเข้าใจทั้งทางทฤษฎีและทางสติปัญญาว่าจะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างไร  ในส่วนของวิธีนำการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วนั้นไปฝึกฝนปฏิบัติจริงๆ นั้น ความรู้นี้ทั้งหมดเป็นประโยชน์มากและได้ทำให้พวกเจ้ารู้สึกราวกับว่าสิ่งนั้นสามารถสัมฤทธิ์ผลได้โดยง่าย  เช่นนั้นแล้วเหตุใดผู้คนจึงไม่มีวันสามารถสัมฤทธิ์ผลจริงๆ ได้เล่า?  นี่เป็นเพราะแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ยำเกรงพระเจ้าและมันชอบความชั่ว  นี่คือเหตุผลที่แท้จริง

การไม่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วคือการต่อต้านพระเจ้า

เราขอเริ่มต้นด้วยการถามเจ้าว่าคติพจน์นี้ “จงยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว” มาจากที่ใด  (พระธรรมโยบ)  เนื่องจากพวกเราได้พูดถึงโยบแล้ว เรามาสนทนาเรื่องของเขากัน  ในยุคของโยบ พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อความรอดและการพิชิตมนุษยชาติใช่หรือไม่?  ไม่ใช่  ไม่ใช่เช่นนั้นมิใช่หรือ?  นอกจากนั้น ในความคิดเห็นของโยบ เขามีความรู้เรื่องพระเจ้ามากเท่าใดในเวลานั้น?  (ไม่มาก)  โยบมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้ามากกว่าหรือน้อยกว่าพวกเจ้าในตอนนี้เล่า?  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่กล้าตอบ?  นี่เป็นคำถามที่ตอบง่ายมาก  น้อยกว่า!  นั่นแน่นอนอยู่แล้ว!  ทุกวันนี้พวกเจ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอยู่ต่อหน้าพระวจนะของพระเจ้า พวกเจ้ามีความรู้เรื่องพระเจ้ามากกว่าที่โยบเคยมี  เหตุใดเราจึงนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด?  อะไรคือจุดประสงค์ของเราในการพูดสิ่งเหล่านี้?  เราอยากจะอธิบายข้อเท็จจริงข้อหนึ่งแก่เจ้า แต่ก่อนที่เราจะทำเช่นนั้น เราต้องการถามพวกเจ้าหนึ่งคำถาม นั่นคือ โยบรู้น้อยมากเรื่องพระเจ้า แต่ก็ยังคงสามารถยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วได้  เหตุใดผู้คนในทุกวันนี้จึงล้มเหลวในการทำเช่นนั้น?  (พวกเขาเสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ)  การที่พวกเขาเสื่อมทรามอย่างลึกล้ำเป็นปรากฏการณ์ระดับผิวเผินที่ก่อให้เกิดปัญหา แต่เราจะไม่มีวันมองมันในแบบนั้น  บ่อยครั้งที่พวกเจ้านำคำสอนและคำพูดที่ใช้บ่อย อาทิ “ความเสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ” “การเป็นกบฏต่อพระเจ้า” “การไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า” “การขาดการนบนอบ” “การไม่ชอบความจริง” และอื่นๆ และใช้วลีติดหูเหล่านี้เพื่ออธิบายแก่นแท้ของทุกๆ ประเด็น  นี่เป็นวิธีฝึกฝนปฏิบัติที่มีข้อบกพร่อง  การใช้คำตอบเดียวกันเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหลายที่มีเนื้อหาแตกต่างกันนั้น ทำให้เกิดความสงสัยอย่างน่าหมิ่นประมาทเกี่ยวกับความจริงและพระเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราไม่ชอบฟังคำตอบแบบนี้  จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นานและหนัก!  พวกเจ้าไม่มีแม้สักคนได้ขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด แต่เราสามารถเห็นเรื่องนี้ทุกๆ วัน และทุกๆ วันเราก็สามารถรู้สึกเรื่องนี้ได้  ด้วยเหตุนี้ ในขณะที่พวกเจ้ากำลังแสดงอยู่ เราก็กำลังเฝ้าดูอยู่  เมื่อพวกเจ้ากำลังทำบางสิ่ง พวกเจ้าไม่สามารถรู้สึกถึงแก่นแท้ของมัน แต่เมื่อเราเฝ้าดู เราสามารถเห็นแก่นแท้ของมัน และเราสามารถรู้สึกถึงแก่นแท้ของมันอีกด้วย  ดังนั้นแล้วแก่นแท้นี้คืออะไร?  เหตุใดผู้คนทุกวันนี้จึงไม่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้เล่า?  คำตอบของพวกเจ้าอยู่ไกลจากความสามารถในการอธิบายแก่นแท้ของปัญหานี้ อีกทั้งคำตอบเหล่านั้นก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้  นั่นเป็นเพราะมันมีแหล่งกำเนิดที่พวกเจ้าไม่ตระหนักรู้  แหล่งกำเนิดนี้คืออะไรเล่า?  เรารู้ว่าพวกเจ้าต้องการได้ยินเรื่องแหล่งกำเนิดนั่น ดังนั้นเราจะบอกเรื่องแหล่งกำเนิดของปัญหานี้แก่พวกเจ้า

ตั้งแต่พระเจ้าเริ่มทรงพระราชกิจ พระองค์ได้ทรงคำนึงถึงพวกมนุษย์อย่างไร?  พระเจ้าทรงช่วยกู้พวกเขา พระองค์ทรงเห็นพวกมนุษย์เป็นสมาชิกครอบครัวของพระองค์ เป็นเป้าหมายในพระราชกิจของพระองค์ เป็นพวกที่พระองค์ทรงต้องประสงค์พิชิตและช่วยให้รอด และเป็นพวกที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะทำให้มีความเพียบพร้อม  นี่คือท่าทีของพระเจ้าต่อมนุษยชาติเมื่อพระราชกิจของพระองค์เริ่มต้นขึ้น  แต่ท่าทีของมนุษย์ต่อพระเจ้าในเวลานั้นคืออะไร?  พระเจ้าไม่ทรงคุ้นเคยกับพวกมนุษย์ และพวกเขาคำนึงถึงว่าพระเจ้าทรงเป็นคนแปลกหน้า  อาจกล่าวได้ว่าท่าทีของพวกเขาต่อพระเจ้านั้น ไม่ได้เก็บเกี่ยวผลลัพธ์ที่ถูกต้อง และว่าพวกเขาไม่ได้มีความเข้าใจที่ชัดเจนว่าพวกเขาควรปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไร  เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติต่อพระองค์ตามที่พวกเขาชอบและทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาชอบ  พวกเขามีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับพระเจ้าบ้างหรือไม่?  ตอนแรกพวกเขาไม่ได้มี ที่เรียกว่าข้อคิดเห็นของพวกเขาเพียงประกอบด้วยมโนคติที่หลงผิดและข้อสันนิษฐานบางอย่างเกี่ยวกับพระองค์  พวกเขายอมรับสิ่งที่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา และเมื่อมีบางสิ่งไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา พวกเขาก็เชื่อฟังสิ่งนั้นโดยผิวเผิน แต่ลึกลงไป พวกเขารู้สึกขัดแย้งอย่างรุนแรงและพวกเขาต่อต้านมัน  นี่คือสัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับพวกมนุษย์ในปฐมกาล นั่นคือ พระเจ้าทรงมองว่าพวกเขาเป็นสมาชิกครอบครัว แต่พวกเขาปฏิบัติต่อพระองค์เยี่ยงคนแปลกหน้า  อย่างไรก็ตาม หลังพระราชกิจของพระเจ้าผ่านไปสักพักหนึ่ง พวกมนุษย์ก็ได้มาทำความเข้าใจกับสิ่งที่พระองค์ทรงพยายามที่จะสัมฤทธิ์ผล และพวกเขาก็ได้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พวกเขาได้มารู้ด้วยว่าพวกเขาสามารถได้รับอะไรจากพระเจ้า  ผู้คนคำนึงถึงพระเจ้าอย่างไร ณ เวลานี้?  พวกเขาได้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นสายชูชีพ และหวังว่าจะได้รับประทานพระคุณ พระพร และพระสัญญาของพระองค์  ณ เวลานี้พระเจ้าทรงคำนึงถึงพวกมนุษย์อย่างไร?  พระองค์ทรงเห็นว่าพวกเขาเป็นเป้าหมายสำหรับการพิชิตชัยของพระองค์  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ใช้พระวจนะเพื่อพิพากษาพวกเขา เพื่อตรวจสอบพวกเขา และเพื่อให้พวกเขาก้าวผ่านบททดสอบ  อย่างไรก็ตาม ในความคิดเห็นของผู้คนในตอนนั้น พระเจ้าทรงเป็นเพียงวัตถุที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาเอง  ผู้คนได้เห็นว่าความจริงที่พระเจ้าทรงแจกจ่ายให้สามารถพิชิตและช่วยพวกเขาให้รอดได้ ได้เห็นว่าพวกเขามีโอกาสได้รับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องการจากพระองค์ ตลอดจนบรรลุบั้นปลายที่พวกเขาต้องการ  ด้วยเหตุนี้ ความจริงใจเล็กน้อยจึงได้ก่อเกิดในหัวใจพวกเขา และพวกเขาก็เต็มใจที่จะติดตามพระเจ้าองค์นี้  เวลาได้ผ่านไป และเนื่องจากพวกเขาได้รับความรู้ผิวเผินและเกี่ยวกับคำสอนบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า จึงอาจกล่าวได้ว่าพวกมนุษย์กำลังเริ่มกลายเป็น “คุ้นเคย” กับพระเจ้า และพระวจนะที่พระองค์ตรัส การเทศนาของพระองค์ ความจริงทั้งหลายที่พระองค์ทรงแจกจ่ายออกไป และพระราชกิจของพระองค์  ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ใต้การจับความที่ผิดว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงไม่คุ้นเคยอีกต่อไป และว่าพวกเขาได้ย่างเท้าบนเส้นทางของการกลายเป็นเข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว  ถึงตอนนี้ผู้คนได้ฟังการเทศนามากมายเกี่ยวกับความจริงและได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามากมายแล้ว  ถึงกระนั้นก็ตาม เพราะการแทรกแซงและการกีดขวางที่เกิดจากปัจจัยและรูปการณ์แวดล้อมที่แตกต่างกันมากมาย ผู้คนส่วนใหญ่จึงไม่สามารถประสบความสำเร็จในการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติได้ และพวกเขาไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้  ผู้คนได้กลายเป็นย่อหย่อนมากขึ้นเรื่อยๆ และขาดความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขามีสำนึกรับรู้ที่มากขึ้นว่าจุดจบของพวกเขาเองไม่เป็นที่รู้จัก  พวกเขาไม่กล้าคิดหาแนวคิดที่ฟุ้งเฟ้อ และพวกเขาไม่พยายามสร้างความก้าวหน้า พวกเขาเพียงติดตามไปด้วยอย่างไม่เต็มใจ ไปข้างหน้า ทีละก้าวๆ  ในส่วนของสถานะปัจจุบันของพวกมนุษย์ อะไรเล่าคือท่าทีของพระเจ้าต่อพวกเขา?  พระองค์ทรงปรารถนาที่จะประทานความจริงเหล่านี้ให้พวกเขาและปลูกฝังพวกเขาด้วยทางของพระองค์เท่านั้น และจากนั้นก็ทรงจัดการเตรียมการรูปการณ์แวดล้อมทั้งหลายเพื่อทดสอบพวกเขาในวิธีที่แตกต่างกัน  เป้าหมายของพระองค์คือใช้พระวจนะเหล่านี้ ความจริงเหล่านี้ และพระราชกิจของพระองค์ มาทำให้เกิดผลลัพธ์ที่พวกมนุษย์สามารถยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วได้  ผู้คนส่วนใหญ่ที่เราได้เห็นมาเพียงใช้พระวจนะของพระเจ้าและคำนึงถึงพระวจนะนั้นว่าเป็นคำสอน เพียงแค่คำพูด ข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม  ในการกระทำและวาทะของพวกเขา หรือในขณะเผชิญหน้ากับบททดสอบ พวกเขาไม่คำนึงถึงทางของพระเจ้าว่าเป็นแบบที่พวกเขาควรปฏิบัติตาม  นี่เป็นจริงเป็นพิเศษเมื่อผู้คนเผชิญหน้ากับการทดลองใหญ่ เราไม่เคยเห็นบุคคลเช่นนี้คนใดที่ฝึกฝนปฏิบัติในทิศทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ดังนั้นท่าทีของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความเกลียดและความรังเกียจสุดขีด!  แม้ว่าพระองค์ได้ทรงให้บททดสอบแก่พวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับหลายร้อยครั้งด้วยซ้ำ พวกเขาก็ยังคงไม่มีท่าทีที่ชัดเจนอันใดเพื่อใช้สาธิตแสดงความมุ่งมั่นของพวกเขาว่า “ฉันต้องการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว!”  เนื่องจากผู้คนไม่ได้มีความมุ่งมั่นนี้และไม่ทำการแสดงแบบนี้ ท่าทีในปัจจุบันของพระเจ้าต่อพวกเขาจึงไม่เหมือนกับที่เคยเป็นในอดีต เมื่อพระองค์ทรงยื่นความกรุณา ความยอมผ่อนปรน ความอดกลั้น และความอดทนให้พวกเขา  แต่พระองค์ทรงผิดหวังในมนุษยชาติอย่างที่สุดแทน  ใครเล่าที่ก่อเกิดความผิดหวังนี้?  ท่าทีของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์นั้นขึ้นอยู่กับใครเล่า?  ท่าทีนั้นขึ้นอยู่กับบุคคลทุกๆ คนที่ติดตามพระองค์  ตลอดครรลองแห่งการทรงพระราชกิจนานหลายปีของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงกำหนดข้อพึงประสงค์มากมายต่อผู้คนและได้ทรงจัดการเตรียมการรูปการณ์แวดล้อมมากมายสำหรับพวกเขา  อย่างไรก็ตาม โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาได้ฝึกฝนปฏิบัติอย่างไร และไม่สำคัญว่าท่าทีของพวกเขาต่อพระเจ้าจะเป็นอะไร ผู้คนก็ได้ล้มเหลวในการฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องอย่างชัดเจนกับเป้าหมายของการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ด้วยเหตุนี้ เราจะมอบวลีแห่งการสรุป และใช้วลีนี้เพื่ออธิบายทุกสิ่งที่เราเพิ่งพูดเกี่ยวกับเหตุผลที่ผู้คนจึงไม่สามารถเดินตามหนทางของพระเจ้าแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  วลีนี้คืออะไร?  วลีนี้ก็คือ พระเจ้าทรงคำนึงถึงพวกมนุษย์ว่าเป็นเป้าหมายแห่งความรอดของพระองค์และเป็นเป้าหมายแห่งพระราชกิจของพระองค์ พวกมนุษย์คำนึงถึงพระเจ้าว่าเป็นศัตรูของพวกเขาและผู้ที่อยู่ตรงกันข้ามกับพวกเขา  บัดนี้เจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  ชัดเจนมากว่าท่าทีของมนุษย์คืออะไร ท่าทีของพระเจ้าคืออะไร และสัมพันธภาพระหว่างพวกมนุษย์กับพระเจ้าคืออะไร  ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าได้ฟังการเทศนามากเพียงใด แต่สิ่งเหล่านั้นที่พวกเจ้าได้ทำข้อสรุปของพวกเจ้าเองแล้ว อาทิ การสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า การนบนอบต่อพระเจ้า การแสวงหาวิธีที่จะกลายเป็นเข้ากันได้กับพระเจ้า การต้องการสละชั่วชีวิตเพื่อพระเจ้า และการต้องการใช้ชีวิตเพื่อพระเจ้า—สำหรับเราแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ตัวอย่างของการเดินตามหนทางของพระเจ้าอย่างมีสติ ซึ่งก็คือการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว แต่สิ่งเหล่านั้นกลับเป็นเพียงช่องทางที่พวกเจ้าสามารถใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่างแทน  เพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น พวกเจ้าปฏิบัติตามกฎข้อบังคับบางข้ออย่างไม่เต็มใจ และเป็นกฎข้อบังคับเหล่านี้นี่เองที่นำผู้คนให้ห่างไกลจากวิธีแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วยิ่งขึ้น และนั่นทำให้พระเจ้าทรงอยู่ตรงกันข้ามกับมนุษยชาติอีกครั้ง

หัวข้อของวันนี้หนักสักหน่อย แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ยังคงหวังว่าเมื่อพวกเจ้าก้าวผ่านประสบการณ์ที่จะมา และเวลาที่จะมา พวกเจ้าจะสามารถทำสิ่งที่เราเพิ่งจะบอกพวกเจ้าได้  จงอย่าคำนึงถึงพระเจ้าว่าทรงเป็นเพียงอากาศว่างเปล่าก้อนหนึ่ง—ราวกับว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่เมื่อพระองค์ทรงมีประโยชน์ต่อพวกเจ้า แต่ไม่ทรงดำรงอยู่เมื่อพวกเจ้าไม่ได้ใช้ประโยชน์พระองค์แล้ว  ทันทีที่เจ้ามีความคิดเช่นนี้ในจิตใต้สำนึกของเจ้า เจ้าก็จะได้ทำให้พระเจ้าทรงพระพิโรธแล้ว  บางทีอาจมีผู้คนที่พูดว่า “ฉันไม่คำนึงถึงพระเจ้าว่าทรงเป็นเพียงอากาศว่างเปล่า ฉันมักอธิษฐานต่อพระองค์เสมอและฉันมักพยายามทำให้พระองค์พึงพอพระทัยเสมอ และทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำอยู่ภายในขอบเขต มาตรฐานและหลักธรรมที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ ฉันไม่ได้กำลังฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับแนวคิดของฉันเองอย่างแน่นอน”  ใช่แล้ว การที่เจ้าฝึกฝนปฏิบัติในลักษณะนี้นั้นถูกต้อง  แม้กระนั้นก็ตาม เจ้าคิดอะไรเมื่อเจ้ามาประจัญหน้ากับปัญหา?  เจ้าฝึกฝนปฏิบัติอย่างไรเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหา?  ผู้คนบางคนรู้สึกว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่เมื่อพวกเขาอธิษฐานต่อพระองค์และวิงวอนต่อพระองค์ แต่เช่นนั้นแล้ว เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญกับปัญหา พวกเขาก็คิดหาแนวคิดของพวกเขาเองและต้องการที่จะยึดปฏิบัติตามแนวคิดเหล่านั้น  นี่หมายความว่าพวกเขาคำนึงถึงพระเจ้าว่าเป็นเพียงอากาศว่างเปล่าก้อนหนึ่ง และสภาพการณ์เช่นนี้ทำให้พระเจ้าทรงไม่มีตัวตนในจิตใจของพวกเขา  ผู้คนเชื่อว่าพระเจ้าควรทรงดำรงอยู่เมื่อพวกเขาต้องการพระองค์ แต่ไม่ใช่เมื่อพวกเขาไม่ต้องการพระองค์  ผู้คนคิดว่าการฝึกฝนปฏิบัติบนพื้นฐานแนวคิดของพวกเขาเองนั้นเพียงพอแล้ว  พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งใดก็ได้ที่พวกเขาพอใจ พวกเขาแค่ไม่เชื่อว่าพวกเขาจำเป็นต้องแสวงหาทางของพระเจ้าจนพบ  สำหรับผู้คนที่อยู่ในสภาพการณ์แบบนี้และติดอยู่ในสภาพเช่นนี้ในปัจจุบันนี้ พวกเขาไม่ได้กำลังเข้าหาอันตรายหรอกหรือ?  ผู้คนบางคนพูดว่า “ไม่ว่าฉันกำลังเข้าหาอันตรายหรือไม่ ฉันก็ได้มีความเชื่อมาหลายปีแล้ว และฉันเชื่อว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งฉัน เพราะพระองค์ทรงทนไม่ได้ที่จะทรงทำเช่นนั้น” คนอื่นๆ พูดว่า “ฉันได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่เวลาที่ฉันอยู่ในครรภ์มารดาของฉัน เป็นเวลาสี่สิบหรือห้าสิบปีแล้ว ดังนั้นในแง่ของเวลา ฉันมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า และฉันมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะอยู่รอด ตลอดสี่หรือห้าทศวรรษนี้ ฉันได้ละทิ้งครอบครัวของฉันและงานของฉัน และฉันได้ละวางทั้งหมดที่ฉันมี—สิ่งทั้งหลาย เช่น เงินตรา สถานะ ความชื่นชมยินดีและเวลากับครอบครัวของฉัน ฉันยังไม่ได้กินอาหารอร่อยๆ มากมาย ฉันยังไม่ได้ชื่นชมความสนุกทั้งหลายมากมาย ฉันยังไม่ได้ไปเยือนสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย และฉันยังได้รับประสบการณ์กับความทุกข์ที่ผู้คนธรรมดาไม่สามารถสู้ทนได้เสียด้วยซ้ำ หากพระเจ้าไม่ทรงสามารถช่วยฉันให้รอดได้ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ เช่นนั้นแล้วฉันก็กำลังถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และฉันก็ไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าแบบนี้ได้” มีผู้คนมากมายที่มีทรรศนะแบบนี้หรือไม่?  (มี)  เช่นนั้นแล้ว วันนี้เราก็จะช่วยพวกเจ้าทำความเข้าใจข้อเท็จจริงข้อหนึ่ง นั่นคือ ผู้คนที่มีทรรศนะเช่นนี้ล้วนกำลังยิงที่เท้าตัวเอง นี่เป็นเพราะพวกเขากำลังปิดบังตาของพวกเขาด้วยจินตนาการของพวกเขาเอง เป็นจินตนาการเหล่านี้นี่เอง รวมถึงบทสรุปของพวกเขาเอง ที่เข้าไปแทนที่ของมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกมนุษย์ตอบสนองและหน่วงเหนี่ยวพวกเขาจากการยอมรับเจตนารมณ์จริงแท้ของพระเจ้า นั่นทำให้พวกเขาไร้ความสามารถที่จะสำนึกรับรู้การทรงดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระองค์ และนั่นยังเป็นเหตุให้พวกเขาสูญเสียโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า โดยละทิ้งส่วนใดส่วนหนึ่งหรือส่วนแบ่งใดส่วนแบ่งหนึ่งในพระสัญญาของพระเจ้า

พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนและมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้ในการทำเช่นนั้นอย่างไร

ก่อนที่เจ้าจะลงเอยในทรรศนะหรือบทสรุปใด เจ้าควรทำความเข้าใจว่าท่าทีของพระเจ้าต่อเจ้าคืออะไร และพระองค์กำลังทรงคิดอะไรเป็นอันดับแรก แล้วเจ้าก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่าการขบคิดของเจ้านั้นถูกต้องหรือไม่  พระเจ้าไม่ได้ทรงเคยใช้เวลาเป็นหน่วยวัดในการกำหนดพิจารณาจุดจบของบุคคล อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงเคยใช้การที่ว่าบุคคลผู้หนึ่งได้ทนทุกข์มากเพียงใดเป็นพื้นฐานในการกำหนดพิจารณาเช่นนี้  เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงใช้สิ่งใดเป็นมาตรฐานในการกำหนดพิจารณาจุดจบของบุคคล?  การกำหนดพิจารณาจุดจบบนพื้นฐานของเวลาจะเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คนมากที่สุด  ยิ่งไปกว่านั้น มีผู้คนเหล่านั้นที่พวกเจ้าเห็นบ่อยๆ ผู้ซึ่ง ณ จุดหนึ่งได้อุทิศไปมากมาย สละไปมากมาย จ่ายราคาไปมหาศาล และทนทุกข์อย่างใหญ่หลวง  เหล่านี้คือพวกที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า ในแบบที่พวกเจ้ามองเห็น  ทั้งหมดที่ผู้คนเหล่านี้สาธิตแสดงและดำเนินชีวิตนั้นอยู่ในแนวเดียวอย่างแม่นยำกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คนเกี่ยวกับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงวางไว้สำหรับการกำหนดพิจารณาจุดจบของบุคคล  สิ่งใดก็ตามที่พวกเจ้าเชื่อ เราจะไม่ทำรายการตัวอย่างเหล่านี้ทีละรายการ  กล่าวโดยสังเขปแล้ว สิ่งใดที่ไม่เป็นมาตรฐานภายในการขบคิดของพระเจ้าเองนั้นมาจากจินตนาการของมนุษย์แทน และสิ่งเช่นนี้ทั้งหมดเป็นมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์  หากเจ้ายืนยันในมโนคติที่หลงผิดและความเพ้อฝันของเจ้าเองอย่างหูหนวกตาบอด ผลลัพธ์จะเป็นอะไรเล่า?  เห็นได้ค่อนข้างชัดว่าผลที่ตามมาของการนี้สามารถเป็นได้เพียงการที่พระเจ้าทรงผลักไสเจ้า  นี่เป็นเพราะเจ้ามักจะโอ้อวดคุณสมบัติของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แข่งขันกับพระองค์ และโต้เถียงกับพระองค์ และเจ้าไม่ได้พยายามจับใจความการขบคิดของพระองค์อย่างแท้จริง อีกทั้งเจ้าไม่ได้พยายามจับใจความเจตนารมณ์ของพระองค์หรือท่าทีของพระองค์ต่อมนุษยชาติ  การดำเนินการไปในลักษณะนี้ให้เกียรติตัวเจ้าเองว่ายิ่งใหญ่ นั่นไม่ได้เทิดทูนพระเจ้าว่าทรงยิ่งใหญ่  เจ้าเชื่อในตัวเอง เจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ผู้คนเช่นนี้ อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงนำพาความรอดมาให้พวกเขา  หากเจ้าสามารถปล่อยทัศนคติแบบนี้ไป และยิ่งกว่านั้น สามารถแก้ไขทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้นซึ่งเจ้าเคยมีในอดีต หากเจ้าสามารถดำเนินการไปโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า หากเจ้าสามารถฝึกฝนปฏิบัติทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วจากจุดนี้เป็นต้นไป หากเจ้าสามารถบริหารจัดการที่จะเทิดทูนพระเจ้าว่าทรงยิ่งใหญ่ในสรรพสิ่งและละเว้นจากการใช้ความเพ้อฝัน ทัศนคติ หรือการเชื่อส่วนตัวของเจ้าเองเพื่อนิยามตัวเจ้าเองและพระเจ้า และหากเจ้าสามารถแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทุกด้านจนพบแทน มาตระหนักและเข้าใจท่าทีของพระองค์ต่อมนุษยชาติ และทำให้พระองค์พึงพอพระทัยโดยการตอบสนองมาตรฐานของพระองค์ นั่นจะน่าอัศจรรย์!  จะเป็นการแสดงความหมายว่าเจ้ากำลังจะเริ่มเข้าสู่ทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

หากพระเจ้าไม่ทรงใช้ความคิด แนวคิด และทัศนคติที่หลากหลายของผู้คนเป็นมาตรฐานในการกำหนดพิจารณาจุดจบของพวกเขา พระองค์ทรงใช้มาตรฐานแบบใดเล่าในการกำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คน?  พระองค์ทรงใช้บททดสอบทั้งหลายเพื่อกำหนดพิจารณาจุดจบของพวกเขา  มีสองมาตรฐานสำหรับการใช้บททดสอบของพระเจ้าเพื่อกำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คน กล่าวคือ มาตรฐานแรกคือจำนวนบททดสอบที่ผู้คนก้าวผ่าน และมาตรฐานที่สองคือผลลัพธ์ที่บททดสอบเหล่านี้มีต่อผู้คน  เป็นตัวบ่งชี้ทั้งสองนี้นั่นเองที่สร้างจุดจบของบุคคล  ทีนี้เรามาอธิบายมาตรฐานทั้งสองนี้โดยละเอียดกัน

เริ่มแรกเลย เมื่อบุคคลผู้หนึ่งเผชิญบททดสอบจากพระเจ้า (บททดสอบนี้อาจจะเป็นบททดสอบเล็กๆ สำหรับเจ้า ซึ่งไม่คู่ควรที่จะพูดถึง) พระองค์จะทรงทำให้เจ้าไหวตัวรับรู้อย่างเด่นชัดว่า นี่คือพระหัตถ์ของพระองค์บนตัวเจ้า และว่าเป็นพระองค์ที่ทรงจัดการเตรียมการรูปการณ์แวดล้อมนี้ให้เจ้า  ในขณะที่เจ้ายังคงมีวุฒิภาวะที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ พระเจ้าจะทรงจัดการเตรียมการบททดสอบเพื่อทดสอบเจ้า และบททดสอบเหล่านี้จะสอดคล้องกับวุฒิภาวะของเจ้า สิ่งที่เจ้าสามารถจับใจความได้ และสิ่งที่เจ้าสามารถต้านทานได้  ส่วนไหนของเจ้าเล่าที่จะถูกทดสอบ?  ท่าทีของเจ้าต่อพระเจ้า  ท่าทีนี้สำคัญมากหรือไม่?  แน่นอนว่ามันสำคัญ!  มันมีความสำคัญเป็นพิเศษ!  ท่าทีนี้ในพวกมนุษย์เป็นผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนา ดังนั้น ในความคิดเห็นของพระองค์  มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของทั้งหมด  มิฉะนั้นแล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงใช้ความพยายามของพระองค์กับผู้คนโดยมีส่วนร่วมในพระราชกิจเช่นนี้  โดยผ่านทางบททดสอบเหล่านี้ พระเจ้าทรงต้องประสงค์เห็นท่าทีของเจ้าต่อพระองค์ พระองค์ทรงต้องประสงค์ดูว่าเจ้าอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่  พระองค์ทรงต้องประสงค์ดูว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่อีกด้วย  ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงมากหรือน้อยในเวลาใดก็ตาม เจ้าจะยังคงเผชิญหน้ากับบททดสอบของพระเจ้า และหลังการเพิ่มใดๆ ในปริมาณของความจริงที่เจ้าเข้าใจ พระองค์จะทรงยังคงจัดการเตรียมการบททดสอบที่เกี่ยวข้องสำหรับเจ้าต่อไป  เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับบททดสอบอีกครั้ง พระเจ้าจะทรงต้องประสงค์ดูว่าทัศนคติของเจ้า แนวคิดของเจ้า และท่าทีของเจ้าต่อพระองค์ได้ประสบกับการเติบโตใดบ้างในช่วงเวลาใดระหว่างนั้นหรือไม่  ผู้คนบางคนสงสัยว่า “เหตุใดพระเจ้าทรงต้องประสงค์เห็นท่าทีของผู้คนเสมอ?  พระองค์ไม่ได้ทรงเห็นแล้วหรอกหรือว่าพวกเขานำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติอย่างไร?  เหตุใดพระองค์จะยังคงทรงต้องประสงค์เห็นท่าทีของพวกเขา?”  นี่เป็นคำพูดไร้สาระปราศจากเหตุผล!  ในเมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจในลักษณะนี้ เจตนารมณ์ของพระองค์ต้องอยู่ในนั้น  พระเจ้าทรงคอยสังเกตการณ์ผู้คนจากด้านข้าง ทรงคอยเฝ้าดูทุกคำพูดและการกระทำของพวกเขา ทุกความประพฤติและการเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่เป็นนิตย์ พระองค์ทรงถึงกับสังเกตการณ์ทุกความคิดและแนวคิดของพวกเขา  พระเจ้าทรงจดบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผู้คน—ความประพฤติดีของพวกเขา ความผิดของพวกเขา การล่วงละเมิดของพวกเขา แม้แต่การกบฏและการทรยศของพวกเขา—เป็นหลักฐานที่ใช้ในการกำหนดพิจารณาจุดจบของพวกเขา  ขณะที่พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการยกระดับขึ้น เจ้าจะได้ยินความจริงมากขึ้นและมายอมรับสิ่งทั้งหลายและข่าวสารเชิงบวกมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย และเจ้าจะได้รับความเป็นจริงของความจริงมากขึ้น  ตลอดกระบวนการนี้ ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อเจ้าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน และเมื่อเป็นเช่นนั้น พระองค์จะทรงจัดการเตรียมการบททดสอบที่จริงจังมากขึ้นสำหรับเจ้า  เป้าหมายของพระองค์คือเพื่อตรวจสอบว่าท่าทีของเจ้าต่อพระองค์ได้ก้าวหน้าไปในระหว่างนั้นแล้วหรือไม่  แน่นอน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ทัศนคติที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากเจ้าจะสอดคล้องกับความเข้าใจในความเป็นจริงความจริงของเจ้า

เมื่อวุฒิภาวะของเจ้าค่อยๆ เพิ่มขึ้น มาตรฐานที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน  ในขณะที่เจ้ายังคงไม่เป็นผู้ใหญ่ พระองค์จะทรงวางมาตรฐานที่ต่ำมากเพื่อให้เจ้าตอบสนอง เมื่อวุฒิภาวะของเจ้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย พระองค์จะทรงยกมาตรฐานของเจ้าให้สูงขึ้นอีกหน่อย  แต่พระเจ้าจะทรงทำอะไรหลังจากเจ้าได้รับความเข้าใจในความจริงทั้งหมดแล้ว?  พระองค์จะทรงให้เจ้าเผชิญหน้ากับบททดสอบที่ใหญ่ขึ้นไปอีก  ท่ามกลางบททดสอบเหล่านี้ สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาที่จะได้รับจากเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์เห็นจากเจ้านั้น คือความรู้เรื่องพระองค์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นความยำเกรงที่แท้จริงต่อพระองค์  ณ เวลานี้ ข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อเจ้าจะสูงขึ้นและ “รุนแรงขึ้น” กว่าตอนที่วุฒิภาวะของเจ้ายังเป็นเด็กกว่านี้ (ผู้คนอาจจะมองว่าข้อพึงประสงค์เหล่านั้นรุนแรง แต่จริงๆ แล้ว พระเจ้าทรงมองว่าข้อพึงประสงค์เหล่านั้นสมเหตุสมผลแล้ว)  เมื่อพระเจ้ากำลังทรงทดสอบผู้คนนั้น พระองค์ทรงปรารถนาที่จะสร้างความเป็นจริงแบบใดเล่า?  พระองค์ทรงขอให้ผู้คนมอบหัวใจของพวกเขาให้พระองค์อยู่เสมอ  ผู้คนบางคนจะพูดว่า “ฉันจะให้สิ่งนั้นได้อย่างไร?  ฉันได้ปฏิบัติหน้าที่ของฉันแล้ว ฉันได้ละทิ้งบ้านและการทำมาหากินของฉัน และฉันได้สละตัวเองแล้ว เหล่านี้ไม่ใช่กรณีทั้งหมดของการที่ฉันมอบหัวใจของฉันให้กับพระเจ้าหรอกหรือ?  มีวิธีอื่นอีกหรือที่ฉันจะสามารถมอบหัวใจของฉันแก่พระเจ้าได้?  เป็นไปได้ไหมว่าจริงๆ แล้ว เหล่านี้ไม่ใช่วิธีมอบหัวใจของฉันแก่พระองค์?  ข้อพึงประสงค์เฉพาะเจาะจงของพระเจ้าคืออะไรเล่า?”  ข้อพึงประสงค์นั้นเรียบง่ายมาก  อันที่จริง มีผู้คนบางคนที่ได้มอบหัวใจของพวกเขาแก่พระเจ้าแล้วในระดับที่แตกต่างกันในระหว่างช่วงระยะหลากหลายของบททดสอบของพวกเขา แต่ผู้คนส่วนใหญ่มากไม่เคยมอบหัวใจของพวกเขาให้กับพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบเจ้า พระองค์ทรงดูว่าหัวใจของเจ้าอยู่กับพระองค์ หรืออยู่กับเนื้อหนังและซาตาน  เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบเจ้า พระองค์ทรงเห็นว่าเจ้ายืนอยู่ตรงข้ามกับพระองค์หรืออยู่ในตำแหน่งที่เข้ากันได้กับพระองค์ และพระองค์ก็ทรงเห็นอีกด้วยว่าหัวใจของเจ้าอยู่ฝ่ายพระองค์หรือไม่  เมื่อเจ้ายังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่และกำลังเผชิญหน้ากับบททดสอบ เจ้ามีความเชื่อน้อย และเจ้าไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าอะไรคือสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำเพื่อตอบสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า เพราะความเข้าใจของเจ้าในความจริงนั้นมีจำกัด  อย่างไรก็ตาม หากเจ้ายังคงสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและจริงใจ และหากเจ้าสามารถเต็มใจที่จะมอบหัวใจของเจ้าให้กับพระองค์ และยอมให้พระองค์ทรงปกครองอยู่เหนือเจ้า และเต็มใจที่จะถวายสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดที่เจ้าเชื่อว่ามีค่ามากที่สุดให้กับพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้มอบหัวใจของเจ้าให้กับพระเจ้าแล้ว  ขณะที่เจ้าฟังการเทศนามากขึ้นและเข้าใจความจริงมากขึ้น วุฒิภาวะของเจ้าก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน  ณ เวลานี้มาตรฐานของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าจะไม่เป็นเหมือนที่เคยเป็นเมื่อเจ้ายังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ พระองค์จะทรงพึงประสงค์มาตรฐานที่สูงขึ้นจากเจ้า  เมื่อผู้คนค่อยๆ มอบหัวใจของพวกเขาให้กับพระเจ้า หัวใจของพวกเขาก็จะกลายเป็นใกล้ชิดพระองค์ยิ่งขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะที่ผู้คนสามารถกลายเป็นใกล้ชิดกับพระเจ้ายิ่งขึ้นอย่างแท้จริง พวกเขาก็เริ่มมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้ามากขึ้นทุกที  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือหัวใจเช่นนี้นั่นเอง

เมื่อพระเจ้าทรงต้องประสงค์ได้รับหัวใจของใครสักคน พระองค์จะทรงให้บุคคลผู้นั้นก้าวผ่านบททดสอบมากมาย  ในระหว่างบททดสอบเหล่านี้ หากพระเจ้าไม่ทรงได้รับหัวใจของบุคคลผู้นั้นหรือเห็นว่าบุคคลผู้นี้มีท่าทีใดๆ—กล่าวคือ หากพระเจ้าไม่ทรงเห็นบุคคลผู้นี้ฝึกฝนปฏิบัติหรือประพฤติตนในวิธีที่แสดงให้เห็นความยำเกรงต่อพระองค์ และหากพระองค์ไม่ทรงเห็นท่าทีและปณิธานที่หลบเลี่ยงความชั่วในบุคคลผู้นี้—เช่นนั้นแล้ว หลังบททดสอบมากมาย ความอดทนของพระเจ้าต่อพวกเขาก็จะถูกถอนออกไป และพระองค์จะไม่ทรงทนยอมรับพวกเขาอีกต่อไป  พระองค์จะไม่ทรงลองทดสอบบุคคลผู้นี้อีกต่อไป และพระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจกับพวกเขาอีกต่อไป  ดังนั้น การนี้แสดงความหมายอะไรเล่าต่อจุดจบของบุคคลผู้นี้?  มันหมายความว่าพวกเขาไม่มีจุดจบ  บางทีบุคคลผู้นี้อาจไม่ได้ทำชั่ว บางทีพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดที่สร้างความแตกหักและไม่ได้ก่อเกิดสิ่งใดที่เป็นการรบกวน  บางทีพวกเขาอาจไม่ได้ต้านทานพระเจ้าอย่างเปิดเผย  อย่างไรก็ตาม หัวใจของบุคคลผู้นี้ยังคงซ่อนเร้นจากพระเจ้า พวกเขาไม่เคยได้มีท่าทีและทัศนคติที่ชัดเจนต่อพระเจ้า และพระเจ้าไม่ทรงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของพวกเขาได้ถูกมอบให้กับพระองค์หรือว่าพวกเขากำลังพยายามที่จะยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว  พระเจ้าทรงสูญเสียความอดทนกับผู้คนเช่นนี้ และจะไม่ทรงยอมจ่ายราคาใดๆ สำหรับพวกเขา ยื่นความกรุณาใดๆ ให้พวกเขา หรือทรงพระราชกิจกับพวกเขาอีกต่อไป  ชีวิตแห่งความเชื่อในพระเจ้าของบุคคลเช่นนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว  นี่เป็นเพราะในบททดสอบมากมายทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงให้แก่พวกเขา พระเจ้าไม่ทรงได้รับผลลัพธ์ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์  ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้คนจำนวนหนึ่งที่เราไม่เคยเห็นความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวพวกเขา  การนี้จะสามารถเห็นได้อย่างไร?  ผู้คนเหล่านี้อาจได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี และโดยผิวเผินแล้ว พวกเขาได้ประพฤติตนด้วยความกร้าวแกร่ง พวกเขาได้อ่านหนังสือมากมาย ได้จัดการกับเรื่องทั้งหลายมากมาย ได้เขียนสมุดบันทึกจนเต็มราวสิบกว่าเล่ม และได้ศึกษาจนเชี่ยวชาญคำพูดและคำสอนมากมาย  อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีการเจริญเติบโตที่มองเห็นได้ใดๆ ในตัวพวกเขา ทรรศนะของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงมองไม่เห็น และท่าทีของพวกเขายังคงไม่ชัดเจน  กล่าวอีกนัยหนึ่ง หัวใจของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้ หัวใจของพวกเขาถูกห่อหุ้มและปิดผนึกไว้เสมอ—หัวใจของพวกเขาถูกปิดผนึกไว้จากพระเจ้า  ผลลัพธ์ก็คือ พระองค์ไม่เคยได้ทรงเห็นหัวใจที่แท้จริงของพวกเขา พระองค์ไม่เคยได้ทรงเห็นความยำเกรงที่แท้จริงต่อพระองค์ในผู้คนเหล่านี้ และยิ่งกว่านั้น พระองค์ไม่เคยได้ทรงเห็นวิธีที่ผู้คนเหล่านี้เดินตามหนทางของพระองค์  หากถึงตอนนี้พระเจ้ายังคงไม่เคยได้ทรงรับผู้คนเหล่านี้แล้ว พระองค์จะทรงสามารถได้รับพวกเขาในอนาคตหรือไม่?  พระองค์ไม่ทรงสามารถ!  พระองค์จะทรงพยายามให้ได้มาซึ่งสิ่งทั้งหลายที่ไม่สามารถได้มาต่อไปหรือไม่?  พระองค์จะทรงไม่  เช่นนั้นแล้ว อะไรเล่าคือท่าทีปัจจุบันของพระเจ้าต่อผู้คนเช่นนี้?  (พระองค์ทรงผลักไสพวกเขาและทรงเพิกเฉยต่อพวกเขา)  พระองค์ทรงเพิกเฉยต่อพวกเขา!  พระเจ้าไม่สนพระทัยผู้คนเช่นนี้ พระองค์ทรงผลักไสพวกเขา  พวกเจ้าได้จดจำคำพูดเหล่านี้อย่างรวดเร็วมากและแม่นยำมาก  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าได้เข้าใจสิ่งที่พวกเจ้าได้ยินแล้ว!

มีผู้คนบางคนที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่และไม่รู้เท่าทัน พวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ อีกทั้งพวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือการเชื่อในพระองค์เมื่อพวกเขาเริ่มติดตามพระเจ้า  พวกเขานำวิธีที่มนุษย์คิดฝันและเข้าใจผิดในการเชื่อและติดตามพระเจ้ามาใช้  เมื่อผู้คนเช่นนี้เผชิญหน้ากับบททดสอบ พวกเขาไม่ได้ไหวตัวรับรู้ พวกเขายังคงมึนชาต่อการทรงนำและการทรงรู้แจ้งของพระเจ้า  พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือความหมายของการมอบหัวใจของพวกเขาให้กับพระเจ้าหรืออะไรคือความหมายของการตั้งมั่นในระหว่างบททดสอบ  พระเจ้าจะทรงให้เวลาในปริมาณจำกัดให้กับผู้คนเช่นนี้ และในระหว่างเวลานี้ พระองค์จะทรงให้พวกเขาเข้าใจธรรมชาติของบททดสอบของพระองค์และเข้าใจว่าอะไรคือเจตนารมณ์ของพระองค์  หลังจากนั้นผู้คนเหล่านี้ต้องสาธิตแสดงทัศนคติของพวกเขา  สำหรับพวกที่อยู่ ณ ช่วงระยะนี้ พระเจ้ายังคงกำลังทรงรออยู่  สำหรับพวกที่มีทรรศนะบางอย่างแล้วแต่ยังคงลังเล ที่ต้องการมอบหัวใจของพวกเขาให้กับพระเจ้าแต่ยังไม่ได้ตกลงใจทำเช่นนั้น และที่พยายามซ่อนเร้นและยอมแพ้เมื่อเผชิญหน้ากับบททดสอบใหญ่ทั้งๆ ที่ได้นำความจริงพื้นฐานไปฝึกฝนปฏิบัติบ้างแล้ว—อะไรเล่าคือท่าทีของพระเจ้าต่อพวกเขา?  พระองค์ยังคงทรงคาดหมายจากพวกเขาเล็กน้อย และผลลัพธ์นั้นขึ้นอยู่กับท่าทีและผลงานของพวกเขา  หากผู้คนไม่แข็งขันในการก้าวหน้าแล้ว พระเจ้าทรงทำอะไร?  พระองค์ทรงละวางจากพวกเขา  นี่เป็นเพราะก่อนที่พระเจ้าทรงละวางจากเจ้า เจ้าได้ละวางจากตัวเจ้าเองไปแล้ว  ด้วยเหตุนี้ เจ้าไม่สามารถตำหนิพระเจ้าที่ทรงทำเช่นนั้นได้  เป็นการผิดที่เจ้าจะมีความคับข้องใจในพระเจ้า

ความลำบากใจหลากหลายที่คำถามเชิงปฏิบัติคำถามหนึ่งทำให้เกิดขึ้นในผู้คน

มีบุคคลอีกชนิดหนึ่งที่มีจุดจบอันน่าสลดใจที่สุดของทั้งหมด นี่คือบุคคลแบบที่เราชอบพูดถึงน้อยที่สุด  พวกเขาน่าสลดใจไม่ใช่เพราะพวกเขาได้รับการลงโทษของพระเจ้า หรือเพราะข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อพวกเขานั้นรุนแรง และดังนั้น พวกเขาจึงมีจุดจบที่น่าสลดใจ ตรงกันข้าม พวกเขาน่าสลดใจเพราะพวกเขาทำตัวเอง  ดังที่คติพจน์โดยทั่วไปกล่าวไว้ พวกเขาขุดหลุมฝังศพของตัวเอง  บุคคลแบบไหนเล่าที่ทำเช่นนี้?  ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง และจุดจบของพวกเขาถูกเปิดเผยไว้ล่วงหน้า  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความเกลียดของพระองค์  ในแง่ของมนุษย์ ผู้คนเยี่ยงนี้น่าสงสารที่สุด  เมื่อผู้คนเช่นนี้เริ่มติดตามพระเจ้า พวกเขากระตือรือร้นมาก พวกเขายอมจ่ายราคามากมาย มีข้อคิดเห็นที่ดีเกี่ยวกับความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของพระราชกิจของพระเจ้า และมีจินตนาการอันอุดมเมื่อพูดถึงอนาคตของพวกเขาเอง  พวกเขายังมีความมั่นใจในพระเจ้าเป็นพิเศษอีกด้วย โดยเชื่อว่าพระองค์ทรงสามารถทำให้พวกมนุษย์ครบบริบูรณ์และนำพาพวกเขาสู่บั้นปลายอันรุ่งโรจน์ได้  ถึงกระนั้นก็ตาม ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผู้คนเหล่านี้ก็จะหนีหายไปในระหว่างพระราชกิจของพระเจ้า  “หนีหาย” ในที่นี้หมายความว่าอะไร?  มันหมายความว่าพวกเขาหายไปโดยไม่ได้ร่ำลา ไม่มีแม้แต่เสียง พวกเขาจากไปโดยไม่พูดสักคำ  แม้ว่าผู้คนเช่นนี้อ้างว่าเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาไม่เคยลงรากในเส้นทางแห่งความเชื่อของพวกเขาจริงๆ  ด้วยเหตุนี้ ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้เชื่อในพระองค์มานานเท่าใด พวกเขาก็ยังคงสามารถหันไปจากพระเจ้าได้  ผู้คนบางคนจากไปเพื่อเข้าสู่ธุรกิจ บางคนจากไปเพื่อดำเนินชีวิตของพวกเขา บางคนจากไปเพื่อรวย และบางคนจากไปเพื่อแต่งงานและมีลูก… ในบรรดาผู้ที่จากไป มีบางคนที่ได้รับการโจมตีต่อมโนธรรมและต้องการที่จะกลับมาในภายหลัง และคนอื่นๆ ที่มีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากในการเอาตัวรอดและจบลงด้วยการเร่ร่อนในโลกเป็นเวลาหลายต่อหลายปี  ผู้เร่ร่อนเหล่านี้ได้รับประสบการณ์กับความทุกข์มากมาย และพวกเขาเชื่อว่าการอยู่ในโลกเจ็บปวดเกินไป และเชื่อว่าพวกเขาไม่สามารถถูกแยกจากพระเจ้าได้  พวกเขาต้องการกลับไปที่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อรับสิ่งชูใจ สันติสุข และความชื่นบานยินดี และพวกเขาต้องการเชื่อในพระเจ้าต่อไป เพื่อที่จะหลบหนีความวิบัติ หรือเพื่อที่จะบรรลุความรอดและบั้นปลายที่สวยงาม  นี่เป็นเพราะผู้คนเหล่านี้เชื่อว่าความรักของพระเจ้านั้นไร้เขตคั่น และเชื่อว่าพระคุณของพระองค์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด  พวกเขาคิดว่าไม่สำคัญว่าใครบางคนได้ทำอะไรไปแล้ว พระเจ้าก็น่าจะทรงให้อภัยพวกเขาและทรงยอมผ่อนปรนต่ออดีตของพวกเขา  ผู้คนเหล่านี้พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพวกเขาต้องการกลับมาและทำหน้าที่ของพวกเขา  มีแม้กระทั่งพวกที่มอบสิ่งของของพวกเขาบางส่วนให้กับคริสตจักร โดยหวังว่าการนี้จะปูทางกลับสู่พระนิเวศของพระเจ้า  อะไรคือท่าทีของพระเจ้าต่อผู้คนเช่นนี้?  พระองค์ควรทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของพวกเขาอย่างไร?  จงอย่าลังเลที่จะแสดงข้อคิดเห็น  (พวกเราคิดว่าพระเจ้าจะทรงยอมรับบุคคลชนิดนี้ แต่หลังจากที่ได้ยินการนั้นเมื่อครู่นี้ พวกเรารู้สึกว่าพระองค์อาจจะไม่ทรงยอมรับ)  จงพูดถึงการใช้เหตุผลของเจ้า  (ผู้คนเช่นนี้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อที่จุดจบของพวกเขาจะไม่ใช่ความตายเท่านั้น  พวกเขาไม่มาเชื่อในพระเจ้าเพราะความจริงใจที่แท้จริง พวกเขามาเพราะพวกเขารู้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสิ้นในไม่ช้า ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ใต้ความหลงผิด ว่าพวกเขาสามารถมาและรับพระพรได้)  เจ้ากำลังพูดว่าผู้คนเหล่านี้ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงสามารถยอมรับพวกเขาได้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  (ความเข้าใจของพวกเราคือว่า ผู้คนเช่นนี้เป็นเพียงนักฉวยโอกาส และไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  พวกเขาไม่ได้มาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาเป็นนักฉวยโอกาส  พูดได้ดี!  นักฉวยโอกาสเหล่านี้เป็นผู้คนแบบที่ทุกคนเกลียดชัง  พวกเขาแล่นไปในทิศทางใดก็ตามที่ลมพัด และพวกเขาไม่สามารถลำบากทำสิ่งใดได้เลย เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะได้บางสิ่งจากการนั้น ดังนั้นแน่นอนว่าพวกเขาน่ารังเกียจ!  มีพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ อีกหรือไม่ที่มีข้อคิดเห็นที่พวกเขาต้องการแบ่งปัน?  (พระเจ้าจะไม่ทรงยอมรับพวกเขาอีกต่อไป เพราะพระราชกิจของพระองค์กำลังจะครบบริบูรณ์ และบัดนี้คือเวลาที่จุดจบของผู้คนกำลังได้รับการกำหนด  เป็นเวลานี้เองที่ผู้คนเหล่านี้ต้องการกลับมา—ไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงแท้ แต่เพราะพวกเขาเห็นความวิบัติกำลังเคลื่อนลงมา หรือเพราะพวกเขากำลังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก  หากพวกเขามีเจตนาจริงๆ ในการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะไม่มีวันหนีหายไปในกลางพระราชกิจของพระเจ้า)  มีข้อคิดเห็นอื่นๆ อีกไหม?  (พวกเขาจะไม่ได้รับการยอมรับ  จริงๆ แล้ว พระเจ้าได้ทรงให้โอกาสพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาได้ยืนยันที่จะใช้ท่าทีที่ไม่เอาใจใส่ต่อพระองค์  ไม่สำคัญว่าเจตนาของผู้คนเหล่านี้จะเป็นอะไร และต่อให้พวกเขาจะกลับใจจริงๆ ก็ตาม พระเจ้าก็ยังคงไม่ทรงปล่อยให้พวกเขากลับมา นี่เป็นเพราะพระองค์ได้ทรงให้โอกาสพวกเขามากมาย แต่พวกเขาได้สาธิตแสดงท่าทีของพวกเขาแล้ว นั่นคือ พวกเขาต้องการจากพระเจ้าไป  ด้วยเหตุผลนี้ หากพวกเขาพยายามกลับมาตอนนี้ พระเจ้าจะไม่ทรงยอมรับพวกเขา)  (พวกเราเห็นด้วยว่า พระเจ้าจะไม่ทรงยอมรับบุคคลชนิดนี้ เพราะหากบุคคลผู้หนึ่งได้เห็นทางอันเที่ยงแท้แล้ว ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเป็นเวลายาวนานเช่นนี้แล้ว และยังคงสามารถกลับไปยังโลกและอ้อมกอดของซาตานได้ เช่นนั้นแล้วนี่คือการทรยศพระเจ้าครั้งใหญ่  แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าแก่นแท้ของพระเจ้าคือความกรุณาและความรัก แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าแก่นแท้นั้นถูกชี้ตรงไปยังบุคคลประเภทใด  หากบุคคลผู้นี้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อมองหาสิ่งชูใจหรือแสวงหาบางสิ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวความหวังของพวกเขา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่ชนิดที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจอย่างแน่แท้ และความกรุณาของพระเจ้าต่อผู้คนเช่นนี้ก็จะไปไกลแค่นั้นเท่านั้น)  หากแก่นแท้ของพระเจ้าคือความกรุณา เช่นนั้นแล้วเหตุใดพระองค์ไม่ทรงให้ความกรุณาแก่บุคคลประเภทนี้เพิ่มอีกสักหน่อย?  ด้วยความกรุณามากขึ้นอีกเล็กน้อย เช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี้จะไม่มีโอกาสกระนั้นหรือ?  ในอดีต ผู้คนพูดบ่อยๆ ว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ทุกคนได้รับการช่วยให้รอดและไม่ทรงต้องประสงค์ให้ผู้ใดทนทุกข์ต่อความพินาศ หากมีแกะหนึ่งในร้อยตัวหลงหายไป พระเจ้าจะทรงจากเก้าสิบเก้าตัวไปเพื่อตามหาหนึ่งตัวที่หลงหายไป  บัดนี้ เมื่อพูดถึงผู้คนเหล่านี้ พระเจ้าควรทรงยอมรับพวกเขาและให้โอกาสครั้งที่สองแก่พวกเขาเพราะความเชื่อที่จริงใจของพวกเขาหรือไม่?  จริงๆ แล้ว นี่ไม่ใช่คำถามที่ยาก มันเรียบง่ายมาก!  หากพวกเจ้าจับใจความพระเจ้าอย่างแท้จริงและมีความรู้จริงเกี่ยวกับพระองค์ เช่นนั้นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายมากมาย—และไม่จำเป็นต้องมีการคาดคะเนมากนักเช่นกัน ใช่หรือไม่?  คำตอบของพวกเจ้าอยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้อง แต่ก็ยังคงอยู่ห่างไกลจากท่าทีของพระเจ้า

เมื่อครู่นี้ พวกเจ้าบางคนได้แสดงความมั่นใจว่าพระเจ้าไม่อาจทรงสามารถยอมรับบุคคลชนิดนี้ได้  คนอื่นๆ ไม่ได้ชัดเจนเกินไป คิดว่าพระเจ้าอาจทรงหรืออาจไม่ทรงยอมรับพวกเขา—ท่าทีนี้เป็นท่าทีที่ปานกลางกว่า  นอกจากนี้ยังมีพวกของเจ้าที่มีทัศนคติว่าเจ้าหวังว่าพระเจ้าจะทรงยอมรับบุคคลประเภทนี้—ท่าทีนี้เป็นท่าทีที่กำกวมกว่า  พวกของเจ้าที่แน่ใจในสิ่งที่เจ้าคิดเชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจมานานยิ่งแล้ว และเชื่อว่าพระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์แล้ว ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงจำเป็นต้องยอมผ่อนปรนต่อผู้คนเหล่านี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจึงคิดว่าพระองค์จะไม่ทรงยอมรับพวกเขาอีกครั้ง  พวกของเจ้าที่มีความปานกลางกว่าเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้ควรได้รับการจัดการโดยสอดคล้องกับแต่ละรูปการณ์แวดล้อม หากหัวใจของผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถแยกจากพระเจ้าได้ และหากพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าควรทรงลืมจุดอ่อนและข้อผิดพลาดก่อนหน้านี้ของพวกเขา—พระองค์ควรทรงให้อภัยผู้คนเหล่านี้ ให้โอกาสครั้งที่สองแก่พวกเขา และยินยอมให้พวกเขากลับเข้ามาที่พระนิเวศของพระองค์และยอมรับความรอดของพระองค์  อย่างไรก็ตาม หากผู้คนเหล่านี้หนีหายไปอีกครั้งในภายหลัง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงต้องประสงค์พวกเขาอีกต่อไป และการละทิ้งผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถพิจารณาว่าเป็นความอยุติธรรมได้  มีอีกกลุ่มหนึ่งที่หวังว่าพระเจ้าทรงสามารถยอมรับบุคคลเช่นนี้ได้  กลุ่มนี้ค่อนข้างไม่แน่ใจว่าพระเจ้าจะทรงทำเช่นนั้นจริงๆ หรือไม่  หากพวกเขาเชื่อว่าพระองค์ควรทรงยอมรับบุคคลประเภทนี้ แต่พระองค์ไม่ทรงยอมรับ เช่นนั้นแล้วดูเหมือนว่าทรรศนะนี้จะไม่สอดคล้องกับมุมมองของพระเจ้าเล็กน้อย  หากพวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าไม่ควรทรงยอมรับบุคคลเช่นนี้ และพระเจ้าก็บังเอิญตรัสว่าความรักของพระองค์ต่อพวกมนุษย์นั้นไร้เขตคั่นและว่าพระองค์ก็ทรงเต็มใจที่จะให้โอกาสบุคคลประเภทนี้อีกครั้ง เช่นนั้นแล้วนี่ไม่ใช่ตัวอย่างหนึ่งของความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์ที่กำลังถูกแผ่วางหรอกหรือ?  ไม่ว่าในกรณีใด พวกเจ้าทั้งหมดมีทัศนคติของตัวเอง  ทัศนคติเหล่านี้เป็นตัวแทนของความรู้ชนิดหนึ่งภายในความคิดของพวกเจ้าเอง ทัศนคติเหล่านั้นยังเป็นการสะท้อนของความลึกของความเข้าใจของพวกเจ้าในความจริงและในเจตนารมณ์ของพระเจ้าอีกด้วย  การพูดเช่นนั้นถูกต้องแล้วใช่หรือไม่?  มันวิเศษมากที่พวกเจ้ามีข้อคิดเห็นในเรื่องนี้  อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคำถามอยู่ว่าข้อคิดเห็นของพวกเจ้านั้นถูกต้องหรือไม่  พวกเจ้าทั้งหมดวิตกกังวลเล็กน้อยใช่หรือไม่?  “เช่นนั้นแล้วอะไรเล่าที่ถูกต้อง?  ฉันไม่สามารถมองเห็นอย่างชัดเจน และฉันไม่รู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงคิดอะไรอยู่อย่างแน่ชัด และพระองค์ไม่ได้ตรัสบอกสิ่งใดกับฉัน ฉันจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์กำลังทรงคิดอะไรอยู่?  ท่าทีของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์คือความรัก พิจารณาจากท่าทีที่พระองค์ได้ทรงมีในอดีต พระองค์ควรทรงยอมรับบุคคลเช่นนี้ แต่ฉันไม่ชัดเจนเกินไปเกี่ยวกับท่าทีปัจจุบันของพระเจ้า ฉันเพียงสามารถพูดได้ว่าบางทีพระองค์อาจจะทรงยอมรับบุคคลผู้นี้ และบางทีพระองค์อาจจะไม่ทรงยอมรับ”  การนี้น่าหัวเราะใช่หรือไม่?  คำถามนี้ทำให้พวกเจ้างงงวยจริงๆ  หากพวกเจ้าไม่มีทัศนคติที่ถูกต้องเหมาะสมในเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะทำอะไร เมื่อคริสตจักรของพวกเจ้าเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนี้จริงๆ?  หากเจ้าไม่จัดการกับสถานการณ์อย่างถูกต้อง เช่นนั้นแล้วเจ้าอาจทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง  นี่ไม่ใช่เรื่องที่อันตรายหรอกหรือ?

เหตุใดเราจึงต้องการถามเกี่ยวกับทรรศนะของพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องที่เราเพิ่งนำขึ้นมาพูด?  เราปรารถนาที่จะทดสอบทัศนคติของพวกเจ้า ที่จะทดสอบว่าพวกเจ้ามีความรู้เรื่องพระเจ้ามากเท่าใด และพวกเจ้าเข้าใจเจตนารมณ์และท่าทีของพระองค์มากเท่าใด  คำตอบคืออะไร?  คำตอบก็คือทัศนคติของพวกเจ้านั่นเอง  พวกเจ้าบางคนอนุรักษ์นิยมมาก และพวกเจ้าบางคนกำลังใช้จินตนาการของพวกเจ้าเพื่อเดา  “การเดา” คืออะไร?  มันหมายถึงการไร้ความสามารถที่จะหยั่งรู้ว่าพระเจ้าทรงคิดอย่างไร และด้วยเหตุนั้นจึงคิดหาการคาดเดาที่ไม่มีมูลความจริงว่าพระเจ้าควรทรงคิดในทางใดทางหนึ่ง จริงๆ แล้ว ตัวเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าถูกหรือผิด ดังนั้นเจ้าจึงประกาศทัศนคติที่กำกวม  เมื่อเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงนี้ พวกเจ้าได้เห็นอะไรเล่า?  เมื่อติดตามพระเจ้า ผู้คนไม่ค่อยให้ความสนใจต่อเจตนารมณ์ของพระองค์ และพวกเขาไม่ค่อยเอาใจใส่ต่อความคิดและท่าทีของพระองค์ต่อพวกมนุษย์  ผู้คนไม่เข้าใจความคิดของพระเจ้า ดังนั้นเมื่อถูกถามคำถามเกี่ยวกับเจตนารมณ์และพระอุปนิสัยของพระองค์ พวกเจ้าก็จะสับสน พวกเจ้าตกอยู่ในความไม่แน่นอนที่ลึก แล้วเจ้าก็เดาหรือไม่ก็เดิมพัน  นี่คือกรอบความคิดแบบใดกัน?  มันพิสูจน์ข้อเท็จจริงข้อหนึ่ง นั่นคือ ผู้คนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้าคำนึงถึงพระองค์ว่าทรงเป็นอากาศที่ว่างเปล่าก้อนหนึ่งและทรงเป็นบางสิ่งที่ดูเหมือนดำรงอยู่ในนาทีหนึ่งและไม่ดำรงอยู่ในนาทีถัดไป  เหตุใดเราจึงพูดแบบนั้น?  เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกเจ้าเผชิญปัญหา พวกเจ้าไม่รู้จักเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่รู้จักเจตนารมณ์ของพระองค์เล่า?  ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนี้ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเจ้าไม่รู้จักท่าทีของพระเจ้าต่อปัญหานี้  เจ้าไม่สามารถหยั่งลึกสิ่งนั้นและไม่รู้ว่าท่าทีของพระเจ้าคืออะไร แต่เจ้าได้ขบคิดถึงสิ่งนั้นมากหรือไม่?  เจ้าได้พยายามที่จะรู้จักท่าทีของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าได้สามัคคีธรรมเรื่องนี้แล้วหรือไม่?  ไม่!  นี่ยืนยันข้อเท็จจริงข้อหนึ่ง นั่นคือ พระเจ้าแห่งการเชื่อของเจ้าไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแห่งความเป็นจริง  ในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้าใคร่ครวญเพียงเจตนาของเจ้าเองและเจตนาของผู้นำของเจ้าเท่านั้น เจ้าเพียงแค่ขบคิดถึงความหมายผิวเผินและตามคำสอนของพระวจนะของพระเจ้า โดยไม่พยายามรู้จักหรือแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริงเลย  นี่ไม่ใช่กรณีนั้นหรอกหรือ?  แก่นแท้ของเรื่องนี้ค่อนข้างร้ายแรง!  หลังจากที่ผ่านมาหลายปีเหลือเกิน เราได้เห็นผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้า  ความเชื่อของพวกเขาได้แปลงสภาพพระเจ้าไปเป็นอะไรในจิตใจของพวกเขา?  ผู้คนบางคนเชื่อในพระเจ้าราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นเพียงอากาศว่างเปล่าก้อนหนึ่ง  ผู้คนเหล่านี้ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามเกี่ยวกับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า เพราะพวกเขาไม่สามารถรู้สึกหรือสำนึกรับรู้ถึงการทรงอยู่ของพระองค์หรือการไม่ทรงอยู่ของพระองค์ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้เห็นสิ่งนั้นอย่างชัดเจนหรือการเข้าใจในสิ่งนั้น  ในจิตใต้สำนึก ผู้คนเหล่านี้คิดว่าพระเจ้าไม่ทรงดำรงอยู่  คนอื่นๆ เชื่อในพระเจ้าราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์  ผู้คนเหล่านี้คิดว่าพระองค์ไม่สามารถทำสิ่งทั้งหลายทั้งหมดที่พวกเขาไม่สามารถทำได้เช่นกัน และคิดว่าพระองค์ควรทรงคิดตามที่พวกเขาจะคิดไม่ว่าจะอย่างไร  คำจำกัดความพระเจ้าของพวกเขาคือ “บุคคลที่ไม่ปรากฏแก่ตาและไม่สามารถแตะต้องได้”  นอกจากนี้ยังมีผู้คนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง ผู้คนเหล่านี้เชื่อว่าพระเจ้าไม่ทรงมีอารมณ์  พวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงเป็นรูปปั้นดินเหนียว และคิดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหา พระเจ้าไม่ทรงมีท่าที ทัศนคติ หรือแนวคิด พวกเขาเชื่อว่าพระองค์ทรงอยู่ในอาณัติของมวลมนุษย์  ผู้คนเพียงแค่เชื่อตามที่พวกเขาต้องการที่จะเชื่อไม่ว่าจะอย่างไร  หากพวกเขาทำให้พระองค์ยิ่งใหญ่ เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงยิ่งใหญ่ หากพวกเขาทำให้พระองค์เล็ก เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงเล็ก  เมื่อผู้คนทำบาปและต้องการความกรุณา ความยอมผ่อนปรน และความรักของพระเจ้า พวกเขาก็ทึกทักว่าพระเจ้าควรทรงยื่นความกรุณาของพระองค์ให้  ผู้คนเหล่านี้ประดิษฐ์ “พระเจ้า” องค์หนึ่งในจิตใจของพวกเขาเอง แล้วก็ทำให้ “พระเจ้า” องค์นี้ทำให้ข้อเรียกร้องของพวกเขาลุล่วงและตอบสนองความอยากได้อยากมีทั้งหมดของพวกเขา  ไม่สำคัญว่าเมื่อใดหรือที่ใด และไม่สำคัญว่าผู้คนเช่นนี้ทำอะไร พวกเขาจะนำสิ่งเพ้อฝันนี้มาใช้ในการปฏิบัติต่อพระเจ้าของพวกเขาและในความเชื่อของพวกเขา  มีแม้กระทั่งพวกที่ได้ทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าทรงระคายเคือง แต่ก็ยังคงเชื่อว่าพระองค์สามารถช่วยพวกเขาให้รอดได้ เพราะพวกเขาทึกทักว่าความรักของพระเจ้านั้นไร้เขตคั่นและพระอุปนิสัยของพระองค์นั้นชอบธรรม และทึกทักว่าไม่สำคัญว่าบุคคลผู้หนึ่งทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคืองมากเท่าใด พระองค์จะไม่ทรงจดจำเรื่องอันใดเหล่านี้เลย  พวกเขาคิดว่าเนื่องจากความผิดของมนุษย์ การกระทำผิดของมนุษย์ และการเป็นกบฏของมนุษย์เป็นการแสดงออกชั่วขณะของอุปนิสัยของบุคคลผู้หนึ่ง พระเจ้าจึงจะทรงให้โอกาสแก่ผู้คน และทรงยอมผ่อนปรนและอดทนกับพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าจะยังคงทรงรักพวกเขาเหมือนเมื่อก่อน  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงยังคงไว้ซึ่งความหวังสูงในการบรรลุความรอด  อันที่จริง ไม่สำคัญว่าผู้คนจะเชื่อในพระเจ้าอย่างไร ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง พระองค์ก็จะทรงมีท่าทีเชิงลบต่อพวกเขา  นี่เป็นเพราะตลอดครรลองแห่งความเชื่อของเจ้าในพระเจ้านั้น แม้ว่าเจ้าได้รับหนังสือแห่งพระวจนะของพระเจ้าไว้และเห็นว่าเป็นขุมทรัพย์ และศึกษาและอ่านหนังสือนั้นทุกวัน แต่เจ้ากลับละวางพระเจ้าที่แท้จริง  เจ้าคำนึงถึงพระองค์ว่าเป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่า หรือเป็นเพียงบุคคลผู้หนึ่ง—และพวกเจ้าบางคนคำนึงถึงพระองค์ว่าไม่ได้ทรงเป็นอะไรมากไปกว่าหุ่นเชิดตัวหนึ่ง  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้เล่า?  เราทำเช่นนั้นเพราะในหนทางที่เราเห็นสิ่งนั้น ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับปัญหาหรือเผชิญกับรูปการณ์แวดล้อมบางอย่าง สิ่งเหล่านั้นที่ดำรงอยู่ในจิตใต้สำนึกของเจ้า สิ่งเหล่านั้นที่เจ้าก่อให้เกิดขึ้นภายใน ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดๆ กับพระวจนะของพระเจ้าหรือกับการไล่ตามเสาะหาความจริง  เจ้าเพียงรู้ว่าตัวเจ้าเองกำลังคิดอะไร ทัศนคติของตัวเจ้าเองคืออะไรเท่านั้น แล้วเจ้าก็ยัดเยียดแนวคิดและข้อคิดเห็นของเจ้าเองให้กับพระเจ้า  ในจิตใจของเจ้า สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นทัศนคติของพระเจ้า และเจ้าสร้างมาตรฐานที่เจ้าค้ำจุนไว้อย่างไม่สั่นคลอนจากทัศนคติเหล่านี้  เมื่อเวลาผ่านไป การดำเนินการเช่นนี้จะนำเจ้าออกห่างจากพระเจ้าไกลขึ้นและไกลขึ้น

จงเข้าใจท่าทีของพระเจ้าและวางความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับพระเจ้าทั้งหมดไว้ก่อน

พระเจ้าองค์นี้ที่พวกเจ้าเชื่ออยู่ในปัจจุบันนี้เป็นพระเจ้าแบบใดกันแน่?  พวกเจ้าเคยขบคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นบ้างไหม?  เมื่อพระองค์ทรงเห็นคนชั่วกระทำความชั่ว พระองค์ทรงรังเกียจหรือไม่?  (ใช่ พระองค์ทรงรังเกียจ)  ท่าทีของพระองค์คืออะไรเมื่อพระองค์ทรงเห็นผู้คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำความผิด?  (ความโศกเศร้า)  เมื่อพระองค์ทรงเห็นผู้คนขโมยของถวายของพระองค์ อะไรคือท่าทีของพระองค์?  (พระองค์ทรงรังเกียจพวกเขา)  ทั้งหมดนี้ชัดเจนมาก  เมื่อพระเจ้าทรงเห็นใครบางคนขอไปทีในการเชื่อในพระองค์ของพวกเขา ผู้ซึ่งไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใด อะไรคือท่าทีของพระเจ้า?  พวกเจ้าค่อนข้างไม่แน่ใจใช่หรือไม่?  ท่าทีของการ “ขอไปที” นั้นไม่ใช่บาป และไม่ทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง และผู้คนรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ความผิดพลาดครั้งใหญ่อย่างหนึ่ง  ดังนั้น จงบอกเรา—อะไรคือท่าทีของพระเจ้าในกรณีนี้?  (พระองค์ไม่ทรงเต็มใจที่จะให้ความสนใจใดๆ ต่อพวกเขา)  “ความไม่เต็มใจที่จะให้ความสนใจใดๆ ต่อคนคนนั้น”—นี่เป็นท่าทีแบบใดเล่า?  มันหมายความว่าพระเจ้าทรงดูแคลนผู้คนเช่นนี้และทรงสบประมาทพวกเขา!  วิธีที่พระองค์ทรงจัดการกับผู้คนเช่นนี้คือการเมินเฉยต่อพวกเขา  วิธีการของพระเจ้าคือทรงวางพวกเขาไว้ก่อน โดยไม่ทรงพระราชกิจอันใดกับพวกเขา และนี่รวมไปถึงพระราชกิจแห่งความรู้แจ้ง ความกระจ่าง การตีสอน และการบ่มวินัย  ผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ถูกนับรวมในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแน่นอน  อะไรคือท่าทีของพระเจ้าต่อพวกที่ทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์ทรงระคายเคือง และฝ่าฝืนประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระองค์?  ความเกลียดสุดขีด!  พระเจ้าทรงพระพิโรธเป็นอันมากกับผู้คนที่ไม่สำนึกผิดเกี่ยวกับการทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์ทรงระคายเคือง!  “ทรงพระพิโรธ” ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความรู้สึกอย่างหนึ่ง อารมณ์อย่างหนึ่ง มันไม่สอดคล้องกับท่าทีที่ชัดเจน  อย่างไรก็ตามความรู้สึกนี้—อารมณ์นี้—จะนำมาซึ่งจุดจบสำหรับผู้คนเช่นนี้ นั่นคือ มันจะเติมพระเจ้าด้วยความเกลียดสุดขีด!  อะไรคือผลที่ตามมาของความเกลียดสุดขีดนี้เล่า?  นั่นก็คือว่าพระเจ้าจะทรงวางผู้คนเหล่านี้ไว้ก่อน และไม่ทรงตอบสนองต่อพวกเขาในระหว่างนี้  จากนั้นพระองค์จะทรงรอเพื่อที่จะจัดระเบียบพวกเขา “หลังฤดูใบไม้ร่วง”  การนี้บอกเป็นนัยอะไร?  ผู้คนเหล่านี้จะยังคงมีจุดจบหรือไม่?  พระเจ้าไม่ได้เคยตั้งพระทัยที่จะประทานจุดจบใดๆ แก่ผู้คนเช่นนี้!  เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องปกติอย่างเต็มที่หรือไม่ที่ตอนนี้ พระเจ้าไม่ทรงตอบสนองต่อผู้คนเช่นนี้?  (ใช่ เป็นเรื่องปกติ)  ผู้คนเช่นนี้ควรกำลังเตรียมตัวทำอะไร?  พวกเขาควรเตรียมรับผลอันไม่พึงประสงค์ที่ตามมาของพฤติกรรมของพวกเขาและการกระทำชั่วที่พวกเขาได้กระทำ  นี่คือการทรงตอบโต้ของพระเจ้าต่อบุคคลเช่นนี้  ดังนั้น บัดนี้เราพูดกับผู้คนเหล่านี้อย่างชัดเจนว่า จงอย่ายึดมั่นในความหลงผิดของเจ้าอีกต่อไป และจงอย่ามีส่วนร่วมในความคิดเพ้อฝันมากไปกว่านี้  พระเจ้าจะไม่ทรงยอมผ่อนปรนให้ผู้คนอย่างไม่รู้จบ พระองค์จะไม่ทรงสู้ทนต่อการกระทำผิดหรือการเป็นกบฏของพวกเขาตลอดกาล  ผู้คนบางคนจะพูดว่า “ฉันได้เห็นผู้คนเช่นนี้สองสามคนด้วยเช่นกัน และเมื่อพวกเขาอธิษฐาน พวกเขารู้สึกเหมือนได้รับการสัมผัสโดยพระเจ้าเป็นพิเศษ แล้วพวกเขาก็ร่ำไห้อย่างขมขื่น  โดยปกติแล้ว พวกเขาก็มีความสุขมากเช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีการอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและการทรงนำทางของพระเจ้ากับพวกเขา”  จงอย่าเปล่งถ้อยคำไร้สาระเช่นนี้!  น้ำตาอันขมขื่นไม่จำเป็นต้องหมายความว่าคนๆ หนึ่งกำลังได้รับสัมผัสของพระเจ้า หรือชื่นชมการได้อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทรงนำทางของพระเจ้า  หากผู้คนทำให้พระเจ้าทรงพระพิโรธ พระองค์จะยังคงทรงนำทางพวกเขาหรือไม่?  กล่าวสั้นๆ  เมื่อพระเจ้าตัดสินพระทัยที่จะกำจัดใครบางคนออกไปและทอดทิ้งพวกเขา จุดจบของบุคคลนั้นก็ได้หายไปแล้ว  ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะมีความรู้สึกน่าพอใจเพียงใดยามที่พวกเขาอธิษฐาน หรือพวกเขามีความเชื่อในพระเจ้ามากเพียงใดในหัวใจของพวกเขา มันก็จะไม่มีผลอันใดอีกต่อไป  สิ่งสำคัญคือพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ความเชื่อแบบนี้ พระองค์ทรงได้ผลักไสผู้คนเหล่านี้ไปแล้ว  วิธีจัดการกับพวกเขาในอนาคตก็ไม่สำคัญเช่นกัน  สิ่งสำคัญคือทันทีที่ผู้คนเหล่านี้ทำให้พระเจ้าทรงพระพิโรธ จุดจบของพวกเขาก็ถูกกำหนดแล้ว  หากพระเจ้าทรงได้กำหนดพิจารณาที่จะไม่ช่วยผู้คนเช่นนี้ให้รอด เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเพื่อให้ถูกลงโทษ  นี่คือท่าทีของพระเจ้า

แม้ว่าแก่นแท้ของพระเจ้าจะมีองค์ประกอบของความรักอยู่ด้วย และพระองค์ก็ทรงกรุณาต่อทุกๆ คน แต่ผู้คนก็ได้มองข้ามและลืมข้อเท็จจริงที่ว่าแก่นแท้ของพระองค์นั้นเป็นแก่นแท้แห่งพระเกียรติภูมิเช่นกัน  การที่พระองค์ทรงมีความรักไม่ได้หมายความว่าผู้คนสามารถล่วงเกินพระองค์ได้อย่างอิสระโดยไม่ทำให้พระองค์ทรงเกิดความรู้สึกทั้งหลายหรือปฏิกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่ง อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงมีความกรุณาก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ทรงมีหลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้คน  พระเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริง  พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นหุ่นเชิดที่จินตนาการขึ้นหรือวัตถุอื่นใด  ในเมื่อพระองค์ทรงดำรงอยู่จริง พวกเราควรตั้งใจฟังเสียงของพระทัยของพระเจ้าตลอดเวลา ให้ความสนใจใกล้ชิดต่อท่าทีของพระองค์ และมาเข้าใจความรู้สึกทั้งหลายของพระองค์  พวกเราไม่ควรใช้จินตนาการของมนุษย์มาตีกรอบพระเจ้า อีกทั้งพวกเราไม่ควรบังคับใช้ความคิดหรือความปรารถนาของมนุษย์กับพระองค์ โดยทำให้พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนโดยใช้วิธีการของมนุษย์บนพื้นฐานของจินตนาการทั้งหลายของมนุษย์  หากเจ้าทำการนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทำให้พระเจ้ากริ้ว กระตุ้นพระพิโรธของพระองค์ และท้าทายพระเกียรติภูมิของพระองค์!  ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่พวกเจ้าได้มาเข้าใจความรุนแรงของเรื่องนี้แล้ว เราขอรบเร้าให้พวกเจ้าทุกๆ คนระมัดระวังและรอบคอบในการกระทำของพวกเจ้าและในวาทะของพวกเจ้า และแน่นอนที่สุดว่าจงระมัดระวังและรอบคอบเท่าที่พวกเจ้าสามารถทำได้เกี่ยวกับวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้า!  เมื่อเจ้าไม่เข้าใจว่าอะไรคือท่าทีของพระเจ้า จงงดเว้นการพูดอย่างประมาท จงอย่าประมาทในการกระทำของเจ้า และจงอย่าตีตราด้วยความฉาบฉวย  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น จงอย่ามาทำข้อสรุปตามอำเภอใจ  เจ้าควรรอและแสวงหาแทน การกระทำเหล่านี้ก็เป็นการแสดงออกถึงการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเช่นกัน  เหนือสิ่งอื่นใด หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้ และเหนือสิ่งอื่นใด หากเจ้ามีท่าทีเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงโทษเจ้าเพราะความโง่ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการขาดความเข้าใจในเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสิ่งทั้งหลายของเจ้า  ตรงกันข้าม เนื่องจากท่าทีของเจ้าเกี่ยวกับความกลัวต่อการทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง ความเคารพต่อเจตนารมณ์ของพระองค์ และความเต็มใจที่จะนบนอบต่อพระองค์ พระเจ้าก็จะทรงจดจำเจ้า ทรงนำทางและทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า หรือทรงยอมผ่อนปรนต่อความไม่เป็นผู้ใหญ่และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเจ้า  ในทางกลับกัน หากท่าทีของเจ้าต่อพระองค์นั้นไม่มีความเคารพ—ตัดสินพระองค์ตามที่เจ้าปรารถนา หรือเดาและนิยามแนวคิดของพระองค์ตามอำเภอใจ—พระเจ้าก็จะทรงกล่าวโทษเจ้า บ่มวินัยเจ้า และแม้กระทั่งลงโทษเจ้า หรือพระองค์อาจประทานความเห็นเกี่ยวกับเจ้า  บางที ความเห็นนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับจุดจบของเจ้า  เพราะฉะนั้นเราปรารถนาที่จะเน้นอีกครั้ง กล่าวคือ พวกเจ้าแต่ละคนควรระมัดระวังและรอบคอบเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้า  จงอย่าพูดอย่างประมาท และจงอย่าประมาทในการกระทำของพวกเจ้า  ก่อนที่เจ้าจะพูดสิ่งใด เจ้าควรหยุดและคิดว่า การกระทำครั้งนี้ของฉันจะทำให้พระเจ้ากริ้วหรือไม่?  ในการทำสิ่งนั้น ฉันกำลังยำเกรงพระเจ้าอยู่หรือไม่?  แม้ในเรื่องที่เรียบง่าย เจ้าควรพยายามขบคำถามเหล่านี้ให้แตก และใช้เวลามากขึ้นในการพิจารณาคำถามเหล่านี้  หากเจ้าสามารถฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับหลักธรรมเหล่านี้ได้อย่างแท้จริงในทุกๆ ด้าน ในทุกๆ สิ่ง ตลอดเวลา และนำท่าทีเช่นนี้ไปใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าไม่เข้าใจบางสิ่ง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงนำทางเจ้าและทรงให้เส้นทางให้เจ้าติดตาม  ไม่สำคัญว่าผู้คนจะเสนอการแสดงแบบใด พระเจ้าก็ทรงเห็นพวกเขาอย่างชัดเจนและชัดแจ้ง และพระองค์จะประทานการประเมินที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับการแสดงเหล่านี้ของเจ้า  หลังจากที่เจ้าได้ก้าวผ่านบททดสอบสุดท้ายแล้ว พระเจ้าก็จะทรงนำพฤติกรรมทั้งหมดของเจ้ามาสรุปรวมกันอย่างครบบริบูรณ์ เพื่อที่จะกำหนดพิจารณาจุดจบของเจ้า  ผลลัพธ์นี้จะโน้มน้าวให้ทุกๆ บุคคลเชื่ออย่างสิ้นสงสัย  สิ่งที่เราอยากจะบอกพวกเจ้าในที่นี้คือว่า ทุกความประพฤติของพวกเจ้า ทุกการกระทำของพวกเจ้า และทุกความคิดของพวกเจ้าตัดสินชะตากรรมของพวกเจ้า

ผู้ใดกำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คน?

มีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งสำคัญสุดขีดที่จะหารือ และนั่นก็คือท่าทีของเจ้าต่อพระเจ้า  ท่าทีนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด!  ท่าทีนี้กำหนดพิจารณาว่า ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเจ้าจะเดินเข้าหาความย่อยยับหรือลงไปในบั้นปลายที่สวยงามซึ่งพระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับพวกเจ้า  ในยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว และบางที ตลอดครรลองแห่งสองทศวรรษนี้ ลึกๆ แล้ว พวกเจ้าไม่แน่ใจเล็กน้อยเกี่ยวกับว่าพวกเจ้าได้มีผลงานอย่างไร  อย่างไรก็ตาม ในพระทัยของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงทำการบันทึกที่เป็นจริงและซื่อตรงของพวกเจ้าแต่ละคนไว้แล้ว  นับจากเวลาที่แต่ละบุคคลเริ่มติดตามพระเจ้าและฟังการเทศนาของพระองค์ ซึ่งพวกเขาเริ่มค่อยๆ เข้าใจความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และจนถึงเวลาที่แต่ละบุคคลทำหน้าที่ของตน พระเจ้าทรงเก็บบันทึกการสำแดงต่างๆ นานาของแต่ละบุคคลไว้แล้วในช่วงเวลานี้ พระเจ้าทรงเก็บบัญชี การบันทึกเกี่ยวกับว่าอะไรคือท่าทีทั้งหลายของผู้คน?  การสำแดงสารพัดของพวกเขาคืออะไรและพวกเขารู้สึกอย่างไรต่อพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา ท่ามกลางสิ่งต่างๆเหล่านี้ เมื่อพวกเขาเผชิญสภาพแวดล้อมและบททดสอบทุกลักษณะในขณะที่กำลังทำหน้าที่ของตน  บางที พวกเจ้าอาจเลอะเลือนเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเหล่านี้  อย่างไรก็ตาม สำหรับพระเจ้าแล้ว ประเด็นปัญหาเหล่านั้นทั้งหมดชัดเจนราวแก้วผลึก และไม่มีแม้แต่วี่แววของความยุ่งเหยิงแม้เพียงน้อยนิด  นี่เป็นประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจุดจบของแต่ละบุคคล และแตะต้องไปถึงชะตากรรมและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในภายภาคหน้าของแต่ละบุคคลอีกด้วย และยิ่งกว่านั้น นี่คือที่ซึ่งพระเจ้าทรงสละทุกหยาดหยดจากพระหทัยของพระองค์ ดังนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงกล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย อีกทั้งจะไม่ทรงยอมผ่อนปรนต่อความประมาทใดๆ  พระเจ้ากำลังทรงทำการบันทึกเรื่องราวนี้ของมวลมนุษย์ โดยทำการจดบันทึกครรลองทั้งหมดของพวกมนุษย์ในการติดตามพระเจ้าของพวกเขา ตั้งแต่ปฐมกาลไปจนถึงกาลอวสาน  ท่าทีของเจ้าต่อพระองค์ในระหว่างช่วงเวลานี้กำหนดพิจารณาชะตากรรมของเจ้า  นี่ไม่จริงหรอกหรือ?  บัดนี้ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม?  การกระทำของพระองค์เหมาะสมหรือไม่?  พวกเจ้ายังคงมีจินตนาการอื่นใดบ้างเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวของพวกเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะพูดว่าจุดจบของผู้คนมีไว้เพื่อให้พระเจ้าทรงกำหนดพิจารณา หรือมีไว้เพื่อให้ผู้คนกำหนดพิจารณาด้วยตัวเองกันเล่า?  (จุดจบเหล่านั้นมีไว้เพื่อให้พระเจ้าทรงกำหนดพิจารณา)  ใครเล่าที่กำหนดพิจารณาจุดจบเหล่านั้น?  (พระเจ้า)  เจ้าไม่แน่ใจใช่หรือไม่?  พี่น้องชายหญิงจากฮ่องกง จงพูดออกมา—ใครกำหนดพิจารณาจุดจบเหล่านั้น?  (ผู้คนนั่นเองที่กำหนดพิจารณาจุดจบเหล่านั้นด้วยตัวเอง)  ผู้คนกำหนดพิจารณาจุดจบเหล่านั้นด้วยตัวเองหรือไม่?  เช่นนั้นแล้วนั่นจะไม่ได้หมายความว่าจุดจบของผู้คนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระเจ้าเลยหรอกหรือ?  พี่น้องชายหญิงจากเกาหลีใต้ จงพูดออกมา  (พระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คนบนพื้นฐานของการกระทำและความประพฤติทั้งหมดของพวกเขา และโดยสอดคล้องกับเส้นทางที่พวกเขาอยู่)  นี่เป็นการตอบโต้ที่ไม่ลำเอียงอย่างมาก  มีข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่นี่ที่เราต้องแจ้งให้พวกเจ้าทั้งหมดรับรู้ กล่าวคือ ตลอดครรลองแห่งพระราชกิจการช่วยให้รอดของพระเจ้า พระองค์ทรงได้กำหนดมาตรฐานสำหรับพวกมนุษย์ไว้แล้ว  มาตรฐานนี้คือว่าพวกเขาต้องฟังพระวจนะของพระเจ้าและสัมฤทธิ์การเดินตามหนทางของพระเจ้า  เป็นมาตรฐานนี้เองที่ถูกใช้ในการชั่งน้ำหนักจุดจบของผู้คน  หากเจ้าฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับมาตรฐานนี้ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถได้รับจุดจบที่ดีได้ หากเจ้าไม่ทำเช่นนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถได้รับจุดจบที่ดีได้  เช่นนั้นแล้วใครเล่าที่เจ้าจะพูดว่าเป็นผู้กำหนดพิจารณาจุดจบนี้?  ไม่ใช่พระเจ้าที่ทรงกำหนดพิจารณาจุดจบโดยลำพัง หากแต่เป็นพระเจ้าและพวกมนุษย์ร่วมกัน  สิ่งนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?  เป็นเพราะเป็นพระเจ้านั่นเองที่ประสงค์อย่างแข็งขันที่จะทรงพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์และตระเตรียมบั้นปลายที่สวยงามสำหรับมนุษยชาติ พวกมนุษย์ก็คือเป้าหมายของพระราชกิจของพระเจ้า และจุดจบนี้ บั้นปลายนี้ คือสิ่งที่พระเจ้าทรงตระเตรียมไว้สำหรับพวกเขา  หากไม่ได้มีเป้าหมายให้พระองค์ทรงพระราชกิจด้วย เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็คงจะไม่จำเป็นต้องทรงพระราชกิจนี้ หากพระองค์ไม่ได้กำลังทรงพระราชกิจนี้ เช่นนั้นแล้วพวกมนุษย์ก็คงจะไม่มีโอกาสได้รับความรอด  พวกมนุษย์เป็นพวกที่จะได้รับการช่วยให้รอด และแม้ว่าบรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดนั้นจะมีแนวทางในเชิงรับ แต่ท่าทีของพวกที่อยู่ในแนวทางนี้นั่นเองที่กำหนดพิจารณาว่าพระเจ้าจะทรงสัมฤทธิ์พระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดหรือไม่  หากไม่ใช่เพราะการทรงนำที่พระเจ้าทรงให้แก่เจ้า เจ้าก็คงจะไม่รู้จักมาตรฐานของพระองค์ อีกทั้งเจ้าก็คงจะไม่มีวัตถุประสงค์  หากเจ้ามีมาตรฐานนี้ วัตถุประสงค์นี้ แต่เจ้าไม่ร่วมมือ นำไปฝึกฝนปฏิบัติ หรือยอมจ่ายราคา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับจุดจบนี้  ด้วยเหตุผลนี้เราจึงพูดว่าจุดจบของคนผู้หนึ่งไม่สามารถแยกจากพระเจ้าได้ และนั่นก็ไม่สามารถแยกจากบุคคลผู้นั้นได้เช่นกัน  เช่นนั้นแล้ว บัดนี้พวกเจ้าก็รู้แล้วว่าผู้ใดกำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คน

ผู้คนมีแนวโน้มที่จะนิยามพระเจ้าบนพื้นฐานของประสบการณ์

ขณะกำลังสื่อสารเกี่ยวกับหัวข้อของการรู้จักพระเจ้า พวกเจ้าได้สังเกตบางสิ่งหรือไม่?  พวกเจ้าได้สังเกตหรือไม่ว่าท่าทีของพระองค์ในทุกวันนี้ได้ก้าวผ่านการแปลงสภาพไปแล้ว?  ท่าทีของพระองค์ต่อพวกมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้กระนั้นหรือ?  พระองค์จะทรงสู้ทนไปเช่นนี้เสมอ ยื่นความรักและความกรุณาของพระองค์ทั้งหมดให้พวกมนุษย์อย่างไม่รู้จบหรือไม่?  เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของพระเจ้าด้วย  พวกเรากลับไปที่คำถามของผู้ที่ถูกขนานนามว่าบุตรน้อยผู้หลงหายที่ได้เอ่ยถึงก่อนหน้านี้  หลังจากคำถามนั้นถูกถาม คำตอบของพวกเจ้าไม่ชัดเจนมากนัก กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเจ้ายังคงไม่มีความเข้าใจแน่นหนาเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์ พวกเขาก็ตีกรอบพระองค์ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก นั่นคือ พวกเขาเชื่อว่าไม่สำคัญว่าผู้คนจะทำอะไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะประพฤติตนอย่างไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไร และไม่สำคัญว่าพวกเขาอาจจะเป็นกบฏเพียงใด เหล่านี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญจริงๆ เลย เพราะพระเจ้าทรงมีความรัก และความรักของพระองค์นั้นไร้ขีดจำกัดและไม่สามารถวัดได้ พระเจ้าทรงมีความรัก ดังนั้นพระองค์จึงทรงสามารถยอมผ่อนปรนต่อผู้คนได้ และพระเจ้าทรงมีความรัก ดังนั้นพระองค์จึงทรงเปี่ยมกรุณาต่อผู้คน ทรงเปี่ยมกรุณาต่อความไม่เป็นผู้ใหญ่ของพวกเขา ทรงเปี่ยมกรุณาต่อความไม่รู้เท่าทันของพวกเขา และทรงเปี่ยมกรุณาต่อการเป็นกบฏของพวกเขา  นี่เป็นหนทางที่มันเป็นจริงๆ หรือ?  สำหรับผู้คนบางคน เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์กับความอดทนของพระเจ้าเพียงครั้งเดียวหรือแม้แต่สองสามครั้ง พวกเขาจะปฏิบัติต่อประสบการณ์เหล่านี้ในฐานะทุนในความรู้ของพวกเขาเองเกี่ยวกับพระเจ้า โดยเชื่อว่าพระองค์จะทรงอดทนและเปี่ยมกรุณาต่อพวกเขาตลอดกาล และจากนั้น ตลอดครรลองแห่งชีวิตของพวกเขา พวกเขานำความอดทนนี้ของพระเจ้ามาถือว่าเป็นมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้ปฏิบัติต่อพวกเขา  นอกจากนี้ยังมีพวกที่หลังจากได้รับประสบการณ์กับความยอมผ่อนปรนของพระเจ้าเพียงครั้งเดียวจะตีกรอบพระเจ้าว่ายอมผ่อนปรนตลอดกาล—และในจิตใจของพวกเขา ความยอมผ่อนปรนนี้ไม่มีกำหนด ไม่มีเงื่อนไข และแม้แต่ไร้วินัยโดยสิ้นเชิง  การเชื่อเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  ทุกครั้งที่เรื่องของเนื้อแท้ของพระเจ้าหรือพระอุปนิสัยของพระเจ้าถูกนำมาหารือ พวกเจ้าดูเหมือนงุนงงที่สุด  การได้เห็นพวกเจ้าเยี่ยงนี้ทำให้เราร้อนใจมาก  พวกเจ้าได้ยินความจริงมากมายเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้า พวกเจ้าก็ได้ฟังการหารือมากมายที่เกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยของพระองค์ด้วยเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม ในจิตใจของพวกเจ้า ประเด็นปัญหาเหล่านี้และความจริงของแง่มุมเหล่านี้เป็นเพียงความทรงจำบนพื้นฐานของทฤษฎีและถ้อยคำที่เขียนไว้ ในชีวิตวันต่อวันของพวกเจ้า ไม่มีใครสักคนในพวกเจ้าสามารถได้รับประสบการณ์หรือเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าในสิ่งที่สิ่งนั้นเป็นจริงๆ  ด้วยเหตุนี้ พวกเจ้าล้วนสับสนมึนงงในการเชื่อของพวกเจ้า พวกเจ้าทั้งหมดเชื่ออย่างมืดบอด จนถึงจุดที่พวกเจ้ามีท่าทีที่ไม่เคารพต่อพระเจ้า และแม้กระทั่งปัดพระองค์ออกไป  การที่พวกเจ้ามีท่าทีแบบนี้ต่อพระเจ้านำไปสู่อะไรเล่า?  มันนำไปสู่การที่พวกเจ้าตีกรอบพระเจ้าเสมอ  ทันทีที่เจ้าได้รับความรู้เพียงเล็กน้อย เจ้าก็จะรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ราวกับว่าเจ้าได้รับพระเจ้ามาแล้วอย่างครบถ้วน  หลังจากนั้นเจ้าก็สรุปว่านี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงเป็น และเจ้าไม่ปล่อยให้พระองค์ทรงเคลื่อนไหวโดยอิสระ  นอกจากนั้น เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำบางสิ่งใหม่ๆ เจ้าก็ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอย่างแน่นอน  สักวันหนึ่งเมื่อพระเจ้าตรัสว่า “เราไม่รักมวลมนุษย์อีกต่อไป เราจะไม่ยื่นความกรุณาให้พวกมนุษย์อีกต่อไป เราไม่มีความยอมผ่อนปรนหรือความอดทนสำหรับพวกเขาอีกต่อไป เราเต็มปริ่มไปด้วยความเกลียดและความเป็นปรปักษ์อย่างสุดขีดต่อพวกเขา” พระดำรัสเช่นนี้จะก่อเกิดความขัดแย้งลึกลงไปในหัวใจของผู้คน  พวกเขาบางคนจะถึงกับพูดว่า “พระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าของฉันอีกต่อไป พระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าที่ฉันต้องการติดตามอีกต่อไป หากนี่คือสิ่งที่พระองค์ตรัส เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็จะไม่ทรงมีคุณสมบัติที่จะเป็นพระเจ้าของฉันอีกต่อไป และฉันไม่จำเป็นต้องติดตามพระองค์ต่อไป หากพระองค์จะไม่ทรงให้ความกรุณา ความรัก และความยอมผ่อนปรนแก่ฉันอีกต่อไป เช่นนั้นแล้วฉันก็จะหยุดติดตามพระองค์ หากพระองค์ทรงยอมผ่อนปรนต่อฉันโดยไม่มีกำหนด ทรงอดทนต่อฉันเสมอ และทรงยินยอมให้ฉันเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นความรัก เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นความอดทน และเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นความยอมผ่อนปรน เมื่อนั้นเท่านั้นฉันจึงจะสามารถติดตามพระองค์ได้ และเมื่อนั้นเท่านั้น ฉันจึงจะมีความมั่นใจที่จะติดตามพระองค์ไปจนถึงที่สุดได้ เนื่องจากฉันมีความอดทนและความกรุณาของพระองค์ การเป็นกบฏของฉันและการกระทำผิดของฉันสามารถได้รับการอภัยและละเว้นโทษอย่างไม่มีกำหนด และฉันสามารถทำบาปได้ทุกเวลาและทุกหนแห่ง สารภาพและได้รับการละเว้นโทษทุกเวลาและทุกหนแห่ง และทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธได้ทุกเวลาและทุกหนแห่ง พระองค์ไม่ควรทรงมีข้อคิดเห็นใดๆ หรือสร้างข้อสรุปใดๆ เกี่ยวกับฉัน” แม้ว่าไม่มีสักคนเดียวในพวกเจ้าที่อาจคิดเกี่ยวกับประเด็นปัญหาแบบนี้อย่างเป็นส่วนตัวหรืออย่างมีสำนึกรับรู้ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าพิจารณาว่าพระเจ้าทรงเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ใช้เพื่อให้อภัยเจ้าต่อบาปของเจ้า หรือวัตถุชิ้นหนึ่งที่จะใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งบั้นปลายที่สวยงาม เจ้าก็ได้วางพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ไว้ตรงข้ามกับเจ้าในฐานะศัตรูของเจ้าอย่างแยบยลแล้ว นี่คือสิ่งที่เราเห็น เจ้าอาจพูดสิ่งเหล่านี้ต่อไป อาทิ “ฉันเชื่อในพระเจ้า” “ฉันไล่ตามเสาะหาความจริง” “ฉันต้องการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของฉัน” “ฉันต้องการหลุดพ้นจากอิทธิพลของความมืด” “ฉันต้องการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย” “ฉันต้องการนบนอบต่อพระเจ้า” “ฉันต้องการสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า และทำหน้าที่ของฉันให้ดี” และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าคำพูดของเจ้าอาจจะไพเราะเสนาะหูเพียงใดไม่สำคัญว่าเจ้าอาจรู้ทฤษฎีมากเพียงใด และไม่สำคัญว่าทฤษฎีนั้นอาจจะภูมิฐานหรือทรงเกียรติเพียงใด แต่ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ก็คือว่า ตอนนี้มีพวกเจ้ามากมายที่ได้เรียนรู้วิธีใช้กฎระเบียบ คำสอน ทฤษฎีที่เจ้าเชี่ยวชาญเพื่อสร้างข้อสรุปเกี่ยวกับพระเจ้าแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงวางพระองค์ตรงข้ามกับตัวพวกเจ้าเองโดยธรรมชาติ แม้ว่าเจ้าอาจได้แตกฉานในคำพูดและคำสอนทั้งหลายแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่เจ้าจะเข้าใกล้พระเจ้า รู้จักพระองค์ และเข้าใจพระองค์ นี่ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก!

เราได้เห็นฉากต่อไปนี้ในวีดีทัศน์ นั่นคือ พี่สาวน้องสาวสองสามคนมีหนังสือ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ เล่มหนึ่ง และพวกนางชูหนังสือเล่มนั้นไว้สูงมาก พวกนางยกหนังสือขึ้นมาท่ามกลางพวกนาง สูงเหนือศีรษะของพวกนาง  แม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่ภาพ แต่สิ่งที่ถูกทำให้ปรากฏขึ้นในตัวเราไม่ใช่ภาพ ตรงกันข้ามมันทำให้เราคิดว่าสิ่งที่ทุกคนชูไว้สูงในหัวใจของพวกเขาไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า แต่เป็นหนังสือแห่งพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างสุดขีด  การกระทำเช่นนี้ไม่เหมือนกับการชูพระเจ้าให้อยู่สูงเลย เพราะการขาดความเข้าใจในพระเจ้าของพวกเจ้าได้มาถึงจุดที่แม้แต่คำถามที่ชัดเจนมาก ประเด็นปัญหาที่เล็กน้อยอย่างสุดขีด ทำให้เจ้าคิดหามโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง  เมื่อเราขอสิ่งทั้งหลายจากพวกเจ้า และกำลังจริงจังกับพวกเจ้า พวกเจ้าก็ตอบโต้ด้วยการคาดเดาและจินตนาการของเจ้าเอง พวกเจ้าบางคนถึงกับใช้น้ำเสียงแคลงใจและตอบคำถามของเราด้วยคำถาม  นี่บอกเราอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อนั้นไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้ามาหลายปีแล้ว พวกเจ้าก็ใช้พระวจนะ พระราชกิจของพระเจ้า และคำสอนมากขึ้น เพื่อตีกรอบพระองค์อีกครั้ง  ยิ่งกว่านั้น เจ้าไม่เคยแม้แต่จะพยายามเข้าใจพระเจ้า เจ้าไม่เคยพยายามเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ เข้าใจท่าทีของพระองค์ต่อมนุษย์ หรือจับใจความว่าพระเจ้าทรงคิดอย่างไร เหตุใดพระองค์ทรงเศร้า เหตุใดพระองค์ทรงพระพิโรธ เหตุใดพระองค์ทรงผลักไสผู้คน และคำถามอื่นๆ ที่คล้ายกัน  ยิ่งกว่านั้น ผู้คนจำนวนมากขึ้นไปอีกเชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงนิ่งเงียบอยู่เสมอเพราะพระองค์เพียงกำลังทรงเฝ้าดูการกระทำอันหลากหลายของมนุษยชาติ โดยไม่มีท่าทีหรือแนวคิดเกี่ยวกับการกระทำเหล่านั้น  แต่ยังมีผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงเปล่งพระสุรเสียงเลย เพราะพระองค์ได้ทรงยินยอม และทรงยังคงนิ่งเงียบเพราะพระองค์กำลังทรงรอคอยหรือเพราะพระองค์ไม่ทรงมีท่าที พวกเขาคิดว่าเพราะท่าทีของพระเจ้าได้รับการอธิบายอย่างละเอียดครบถ้วนในหนังสือเล่มนี้แล้ว และได้รับการแสดงออกอย่างครบถ้วนต่อมนุษยชาติแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบอกกับผู้คนครั้งแล้วครั้งเล่า  แม้ว่าพระเจ้าจะทรงเงียบ แต่พระองค์ก็ยังคงทรงมีท่าทีและทัศนคติ รวมทั้งมาตรฐานที่พระองค์ทรงเรียกร้องให้ผู้คนทำตามให้ได้  แม้ว่าผู้คนไม่พยายามเข้าใจพระองค์หรือแสวงหาพระองค์ ท่าทีของพระเจ้าก็ชัดเจนมาก  ลองพิจารณาใครบางคนที่ครั้งหนึ่งได้ติดตามพระเจ้าด้วยความหลงใหล แต่แล้ว ณ จุดหนึ่ง ก็ละทิ้งพระองค์และจากไป  หากบุคคลผู้นี้ต้องการกลับมาในตอนนี้ มันก็จะน่าประหลาดใจมากพอที่พวกเจ้าไม่รู้ว่าอะไรจะเป็นทัศนคติของพระเจ้า หรืออะไรจะเป็นท่าทีของพระองค์  นี่ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าอย่างสุดขีดหรอกหรือ?  ข้อเท็จจริงก็คือนี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิวเผิน  หากพวกเจ้าเข้าใจพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว พวกเจ้าก็คงจะรู้ท่าทีของพระองค์ต่อบุคคลแบบนี้ และเจ้าก็คงจะไม่ให้คำตอบที่กำกวม  ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้ อนุญาตให้เราบอกพวกเจ้าเถิด

ท่าทีของพระเจ้าต่อพวกที่หนีหายไปในระหว่างพระราชกิจของพระองค์

มีผู้คนเช่นนี้อยู่ทุกหนแห่ง นั่นคือ หลังจากพวกเขาได้แน่ใจเกี่ยวกับทางของพระเจ้าแล้ว ด้วยเหตุผลหลากหลาย พวกเขาก็จากไปในความเงียบ โดยไม่กล่าวคำอำลา เพื่อออกไปและทำในสิ่งใดก็ตามที่หัวใจของพวกเขาอยากทำ  สำหรับตอนนี้พวกเราจะไม่สนใจเหตุผลที่ผู้คนเหล่านี้จากไป ก่อนอื่นพวกเราจะมามองดูว่าอะไรคือท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อบุคคลประเภทนี้  ท่าทีของพระองค์ชัดเจนมาก  จากชั่วขณะที่ผู้คนเหล่านี้เดินจากไป ในสายพระเนตรของพระเจ้า ช่วงเวลาแห่งความเชื่อของพวกเขาก็ได้สิ้นสุดลง  ไม่ใช่ปัจเจกบุคคลที่ได้ยุติความเชื่อ แต่เป็นพระเจ้า  การที่บุคคลผู้นี้จากพระเจ้าไปหมายความว่าพวกเขาได้ปฏิเสธพระเจ้าแล้ว หมายความว่าพวกเขาไม่ต้องการพระองค์อีกต่อไป และหมายความว่าพวกเขาไม่ยอมรับความรอดของพระเจ้าอีกต่อไป  ในเมื่อผู้คนเช่นนี้ไม่ต้องการพระเจ้า พระเจ้าจะยังคงสามารถต้องการพวกเขาหรือไม่?  ยิ่งกว่านั้น เมื่อผู้คนเช่นนี้มีท่าทีแบบนี้ ทรรศนะนี้ และได้กลายเป็นมุ่งมั่นที่จะจากพระเจ้าไป พวกเขาก็ได้ทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าระคายเคืองแล้ว  นี่เป็นไปทั้งที่มีข้อเท็จจริงว่าพวกเขาอาจไม่ได้เกิดความโกรธขึ้นมาและด่าทอพระเจ้า ทั้งที่มีข้อเท็จจริงว่าพวกเขาอาจไม่ได้มีส่วนร่วมในพฤติกรรมชั่วช้าหรือเกินเลยใดๆ  และทั้งที่มีข้อเท็จจริงว่าผู้คนเหล่านี้กำลังคิดว่า “หากจะมีสักวันเมื่อฉันได้มีความสนุกสนานภายนอกจนจุใจแล้ว หรือเมื่อฉันยังคงจำเป็นต้องมีพระเจ้าเพื่ออะไรบางอย่าง ฉันก็จะกลับมา หรือหากพระเจ้าทรงเรียกหาฉัน ฉันก็จะกลับมา” หรือพวกเขาพูดว่า “เมื่อฉันได้รับบาดเจ็บที่ภายนอก หรือเมื่อฉันเห็นว่าโลกภายนอกนั้นมืดเกินไปและชั่วเกินไป และฉันไม่ต้องการไปตามกระแสอีกต่อไป ฉันก็จะกลับมาหาพระเจ้า”  แม้ว่าผู้คนเหล่านี้ได้คำนวณในจิตใจของพวกเขาถึงเวลาที่แน่นอนที่พวกเขาจะกลับมา และแม้ว่าพวกเขาได้พยายามทิ้งให้ประตูเปิดไว้เพื่อการกลับมาของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ไม่ตระหนักว่า ไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่ออะไร หรือพวกเขาวางแผนอย่างไร ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงความคิดเพ้อฝัน  ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับว่า ความอยากจากไปของพวกเขาทำให้พระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไร  จากชั่วขณะจริงที่พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะจากพระเจ้าไป พระองค์ก็ทรงละทิ้งพวกเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นพระองค์ก็ได้ทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของบุคคลเช่นนี้ในพระทัยของพระองค์แล้ว  นั่นคือจุดจบอะไร?  มันก็คือว่าบุคคลผู้นี้จะเป็นหนึ่งในพวกหนู และดังนั้น จะพินาศไปพร้อมกับพวกมัน  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนมักจะเห็นสถานการณ์แบบนี้บ่อยๆ นั่นคือ ใครบางคนละทิ้งพระเจ้า แต่แล้วก็ไม่ได้รับการลงโทษ  พระเจ้าทรงปฏิบัติการโดยสอดคล้องกับหลักธรรมของพระองค์เอง บางสิ่งสามารถมองเห็นได้ ในขณะที่สิ่งอื่นๆ ถูกสรุปในพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้นผู้คนจึงไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้  ส่วนที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นด้านที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลาย แต่ด้านอื่นนั้น—ด้านที่เจ้าไม่เห็น—จริงๆ แล้วประกอบด้วยความคิดและข้อสรุปที่จริงใจแท้จริงของพระเจ้า

ผู้คนที่หนีหายไปในระหว่างพระราชกิจของพระเจ้าคือพวกที่ละทิ้งทางอันเที่ยงแท้

เหตุใดพระเจ้าจึงประทานการลงโทษที่ร้ายแรงเช่นนี้แก่ผู้คนที่หนีหายไปในระหว่างที่พระองค์ทรงพระราชกิจ?  เหตุใดพระองค์จึงกริ้วพวกเขาขนาดนั้น?  แรกที่สุดพวกเรารู้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าคือพระบารมีและพระพิโรธ พระองค์ไม่ทรงเป็นแกะที่ถูกฆ่าโดยผู้ใด นับประสาอะไรที่จะเป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยผู้คนให้ทำอะไรก็ได้ที่พวกเขาอยากให้ทำ  พระองค์ไม่ทรงเป็นอากาศว่างเปล่าที่ถูกบงการอีกด้วย  หากเจ้าเชื่ออย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเจ้าควรรู้ว่าแก่นแท้ของพระองค์ไม่ควรถูกทำให้พิโรธ  พระพิโรธนี้อาจก่อเกิดจากคำพูด หรือบางทีความคิด หรือบางทีพฤติกรรมเลวทรามบางอย่าง หรือบางทีอาจเกิดจากพฤติกรรมเบาๆ อย่างหนึ่งด้วยซ้ำ หรือพฤติกรรมที่ให้ผ่านได้ในสายตาและจริยธรรมของมนุษย์ หรือบางทีพระพิโรธนั้นอาจจะถูกกระตุ้นโดยคำสอนหรือทฤษฎี  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เจ้าได้ทำให้พระเจ้าทรงพระพิโรธ โอกาสของเจ้าก็จะหายไป และวันสุดท้ายของเจ้าก็จะมาถึง  นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัว!  หากเจ้าไม่เข้าใจว่าพระเจ้าจะต้องไม่ทรงถูกล่วงเกิน เช่นนั้นแล้วบางทีเจ้าอาจไม่กลัวพระองค์ และบางทีเจ้าอาจกำลังล่วงเกินพระองค์เป็นกิจวัตร  หากเจ้าไม่รู้วิธียำเกรงพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไร้ความสามารถที่จะยำเกรงพระเจ้า และเจ้าจะไม่รู้วิธีที่จะนำตัวเจ้าเองมาอยู่บนเส้นทางแห่งการเดินตามหนทางของพระเจ้า—การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ทันทีที่เจ้ากลายเป็นไหวตัวรับรู้ และรู้สึกตัวว่าพระเจ้าต้องไม่ถูกล่วงเกิน เจ้าก็จะรู้ว่าควรทำเช่นไรจึงจะเป็นการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

การเดินตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วนั้น ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับว่า เจ้ารู้จักความจริงมากเท่าใด เจ้าได้รับประสบการณ์กับบททดสอบกี่ครั้ง หรือเจ้าได้ถูกบ่มวินัยมากเท่าใดแล้ว  แต่มันขึ้นอยู่กับท่าทีแบบใดที่เจ้ามีต่อพระเจ้าในหัวใจของเจ้า และแก่นแท้ใดที่เจ้าแสดงออก  แก่นแท้ของผู้คนและท่าทีเฉพาะตัวของพวกเขา—เหล่านี้สำคัญมาก สำคัญอย่างยิ่งยวดมาก  ในส่วนของพวกที่ได้ประกาศตัดขาดและไปจากพระเจ้า ท่าทีที่น่าเหยียดหยามของพวกเขาต่อพระองค์ และหัวใจของพวกเขาที่ดูหมิ่นความจริงนั้น ได้สร้างความระคายเคืองแก่พระอุปนิสัยของพระองค์แล้ว ดังนั้น ในความคิดเห็นของพระองค์ พวกเขาจะไม่มีวันได้รับการให้อภัย  พวกเขาได้รู้ถึงการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า ได้รับแจ้งข่าวที่ว่าพระองค์ได้ทรงมาถึงแล้ว และยังได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าด้วยซ้ำ  การจากไปของพวกเขาไม่ใช่กรณีของการถูกชักพาให้หลงผิดหรือเลอะเลือน นับประสาอะไรที่พวกเขาจะถูกบังคับให้จากไป  ตรงกันข้าม พวกเขาเลือกไปจากพระเจ้าอย่างรู้ตัวและด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่ง  การจากไปของพวกเขาไม่ได้เป็นเรื่องของการหลงทางของพวกเขา อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้ถูกทิ้งขว้างด้วย  ดังนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาไม่ใช่ลูกแกะที่ไถลห่างจากฝูง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาบุตรน้อยผู้หลงหายที่หลงทางไป  พวกเขาจากไปโดยได้รับการยกเว้นโทษ—และสภาพเงื่อนไขเช่นนี้ สถานการณ์เช่นนี้ สร้างความระคายเคืองแก่พระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นเพราะความระคายเคืองนี้ พระองค์จึงทรงให้จุดจบที่สิ้นหวังแก่พวกเขา  จุดจบแบบนี้ไม่น่าตกใจหรอกหรือ?  เพราะฉะนั้น หากผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า พวกเขาสามารถทำให้พระองค์ทรงขุ่นเคืองได้  นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก!  หากผู้คนไม่ถือจริงจังกับท่าทีของพระเจ้า และยังคงเชื่อว่าพระองค์กำลังทรงตั้งตารอคอยการกลับมาของพวกเขาเพราะพวกเขาเป็นลูกแกะที่หายไปบางส่วนของพระองค์ และพระองค์ยังคงทรงรอให้พวกเขามีการเปลี่ยนใจ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็อยู่ไม่ไกลจากวันแห่งการลงโทษของพวกเขา  พระเจ้าจะไม่เพียงทรงปฏิเสธที่จะยอมรับพวกเขา—ในเมื่อนี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเขาสร้างความระคายเคืองแก่พระอุปนิสัยนิสัยของพระองค์ เรื่องนี้จึงแย่มากยิ่งขึ้นไปอีก!  ท่าทีที่ไร้ความเคารพของผู้คนเหล่านี้ได้ละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าแล้ว  พระองค์จะยังคงทรงยอมรับพวกเขาหรือไม่?  ในพระทัยของพระองค์ หลักธรรมของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือว่า ใครบางคนได้บรรลุความแน่ใจเกี่ยวกับทางอันเที่ยงแท้แล้ว แต่ยังคงสามารถปฏิเสธพระเจ้าและไปจากพระเจ้าอย่างรู้ตัวและด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่ง จากนั้นพระองค์จะทรงปิดถนนสู่ความรอดของบุคคลเช่นนี้ และสำหรับบุคคลผู้นี้ ประตูสู่ราชอาณาจักรก็จะถูกปิดตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป  เมื่อบุคคลผู้นี้มาเคาะอีกครั้ง พระเจ้าก็จะไม่ทรงเปิดประตู บุคคลผู้นี้จะถูกทิ้งไว้ข้างนอกตลอดกาล  บางทีพวกเจ้าบางคนได้อ่านเรื่องราวของโมเสสในพระคัมภีร์แล้ว  หลังจากที่โมเสสได้รับการทรงเจิมจากพระเจ้า ผู้นำ 250 ท่านได้แสดงออกถึงความไม่เชื่อฟังต่อโมเสส เพราะการกระทำทั้งหลายของเขาและด้วยเหตุผลอื่นๆ อันหลากหลาย  พวกเขาได้ปฏิเสธที่จะนบนอบต่อผู้ใด?  ไม่ใช่โมเสส  พวกเขาได้ปฏิเสธที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พวกเขาได้ปฏิเสธที่จะนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าในประเด็นปัญหานี้  พวกเขาได้พูดดังนี้ “ท่านทำเกินเหตุ เพราะว่าชุมนุมชนทั้งหมดก็บริสุทธิ์ทุกๆ คน และพระยาห์เวห์สถิตท่ามกลางพวกเขา”  คำพูดและประโยคเหล่านี้จริงจังมาก จากทัศนคติของมนุษย์ใช่หรือไม่?  คำพูดและประโยคเหล่านี้ไม่จริงจัง  อย่างน้อยที่สุด ความหมายตามตัวอักษรของคำพูดเหล่านี้ไม่จริงจัง  ในแง่กฎหมาย พวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายใดๆ เพราะโดยผิวเผินจริงๆ แล้ว นี่ไม่ใช่ภาษาหรือคำศัพท์ที่เป็นปรปักษ์ นับประสาอะไรที่มันจะมีความหมายโดยนัยที่ดูเป็นการหมิ่นประมาทใดๆ  เหล่านี้เป็นเพียงประโยคธรรมดาสามัญ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงเป็นว่าคำพูดเหล่านี้สามารถกระตุ้นพระพิโรธเช่นนั้นจากพระเจ้า?  เป็นเพราะคำพูดเหล่านี้ไม่ได้ถูกพูดกับผู้คน แต่ถูกพูดกับพระเจ้า  ท่าทีและอุปนิสัยที่คำพูดเหล่านี้แสดงออกมานั้นคือสิ่งที่ทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าทรงระคายเคืองอย่างแน่นอน และพวกเขาทำความขุ่นเคืองให้กับพระอุปนิสัยของพระเจ้าซึ่งต้องไม่ถูกทำให้ขุ่นเคือง  พวกเราทั้งหมดรู้ว่าจุดจบของผู้นำเหล่านั้นคืออะไรในท้ายที่สุด  ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คนที่ได้ละทิ้งพระเจ้า ทัศนคติของพวกเขาคืออะไร?  อะไรเล่าคือท่าทีของพวกเขา?  และเหตุใดทัศนคติและท่าทีของพวกเขาทำให้พระเจ้าทรงจัดการกับพวกเขาในลักษณะเช่นนี้?  เหตุผลก็คือแม้ว่าพวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงเลือกที่จะทรยศพระองค์ และนี่คือเหตุผลที่พวกเขาถูกปลดเปลื้องโอกาสที่จะได้รับความรอดโดยสิ้นเชิง  ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เพราะถ้าเรายังจงใจทำบาปอยู่เรื่อยๆ หลังจากได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปเหลืออยู่เลย” (ฮีบรู 10:26)  บัดนี้พวกเจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?

ชะตากรรมของผู้คนถูกตัดสินใจโดยท่าทีของพวกเขาต่อพระเจ้า

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และเฉกเช่นเดียวกับที่ผู้คนประพฤติตนแตกต่างกันในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ท่าทีของพระองค์ต่อพฤติกรรมเหล่านี้ก็แตกต่างกันเพราะพระองค์ไม่ทรงเป็นทั้งหุ่นเชิดและอากาศว่างเปล่า  การทำความรู้จักกับท่าทีของพระเจ้าคือการไล่ตามเสาะหาที่คุ้มค่าสำหรับมวลมนุษย์  โดยการรู้จักท่าทีของพระเจ้า ผู้คนควรจะได้เรียนรู้วิธีที่พวกเขาสามารถบรรลุความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า และมาเข้าใจพระทัยของพระองค์ทีละเล็กทีละน้อย  เมื่อเจ้าค่อยๆ มาเข้าใจพระทัยของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่รู้สึกว่าการยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วเป็นสิ่งยากยิ่งที่จะทำให้สำเร็จลุล่วง  ยิ่งกว่านั้น เมื่อเจ้าเข้าใจพระเจ้าจริงๆ เจ้าก็จะไม่มีแนวโน้มที่จะตีกรอบพระองค์  ทันทีที่เจ้าหยุดตีกรอบพระเจ้า เจ้าก็จะมีแนวโน้มน้อยลงที่จะทำให้พระองค์ทรงขุ่นเคือง และโดยที่เจ้าไม่ตระหนักรู้ พระเจ้าจะทรงนำทางเจ้าให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับพระองค์ การนี้จะเติมเต็มหัวใจของเจ้าด้วยความยำเกรงพระองค์  เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะหยุดนิยามพระเจ้าด้วยคำพูดและคำสอน หรือทฤษฎีทั้งหลายที่เจ้าได้ศึกษาจนเชี่ยวชาญ  แต่โดยการแสวงหาจนพบความพึงปรารถนาทั้งหลายของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่งอย่างสม่ำเสมอ เจ้าก็จะกลายเป็นบุคคลที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยไม่รู้สึกตัว

พระราชกิจของพระเจ้านั้นพวกมนุษย์มองไม่เห็นและไม่สามารถแตะต้องได้ แต่ในความคิดเห็นของพระองค์ การกระทำของบุคคลทุกๆ คน—พร้อมกับท่าทีของพวกเขาต่อพระองค์—ไม่เพียงสามารถล่วงรู้ได้โดยพระเจ้า แต่ยังสามารถมองเห็นได้สำหรับพระองค์อีกด้วย  นี่คือบางสิ่งที่ทุกคนควรระลึกและชัดเจนอย่างมาก  เจ้าอาจกำลังถามตัวเองอยู่เสมอว่า “พระเจ้าทรงรู้หรือไม่ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่?  พระองค์ทรงรู้หรือไม่ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้?  บางทีพระองค์อาจทรงรู้ และบางทีพระองค์อาจไม่ทรงรู้”  หากเจ้ายอมรับทัศนคติแบบนี้ ติดตามและเชื่อในพระเจ้า แต่ยังแคลงใจในพระราชกิจของพระองค์และการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็ววันหนึ่งจะมาถึง เมื่อเจ้าจะปลุกเร้าพระพิโรธของพระองค์ เพราะเจ้ากำลังเดินโซเซอยู่บนขอบหน้าผาอันตราย  เราได้เห็นผู้คนที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่ยังคงไม่ได้รับความเป็นจริงความจริง นับประสาอะไรที่จะได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ไม่สร้างความก้าวหน้าในชีวิตและวุฒิภาวะของพวกเขา โดยยึดติดกับคำสอนที่ตื้นเขินที่สุดเท่านั้น  นี่เป็นเพราะผู้คนเช่นนี้ไม่เคยถือว่าพระวจนะของพระเจ้าคือชีวิตในตัวเอง และพวกเขาไม่เคยเผชิญหน้าและยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระองค์  เจ้าคิดหรือไม่ว่าเมื่อทรงเห็นผู้คนเช่นนี้ พระเจ้าจะทรงเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี?  พวกเขาปลอบพระทัยพระองค์หรือไม่?  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นวิธีที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้านั่นเองที่ตัดสินชะตากรรมของพวกเขา  ในส่วนของวิธีที่ผู้คนแสวงหา และวิธีที่ผู้คนเข้าหาพระเจ้า ท่าทีของผู้คนมีความสำคัญอันดับแรก  จงไม่เพิกเฉยต่อพระเจ้าเหมือนพระองค์ทรงเป็นเพียงอากาศว่างเปล่าก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่รอบๆ ที่ด้านหลังของหัวเจ้า จงคิดถึงพระเจ้าที่เจ้าเชื่อในฐานะพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าที่เป็นจริงเสมอ  พระองค์ไม่ได้กำลังประทับอยู่บนนั้นในสวรรค์ชั้นที่สามโดยไม่มีสิ่งใดให้ทรงทำ  ตรงกันข้ามพระองค์กำลังทรงเฝ้ามองหัวใจของทุกคน ทรงสังเกตการณ์สิ่งที่เจ้าคิดจะทำ ทรงเฝ้ามองทุกคำพูดและทุกความประพฤติของพวกเจ้า ทรงเฝ้าดูว่าเจ้าประพฤติตนอย่างไร และทรงเห็นว่าอะไรคือท่าทีของเจ้าต่อพระองค์ อย่างสม่ำเสมอ  ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจมอบตัวเองให้กับพระเจ้าหรือไม่ พฤติกรรมของเจ้าทั้งหมดและความคิดและแนวคิดข้างในสุดของเจ้าถูกแผ่วางเฉพาะพระพักตร์พระองค์และกำลังถูกพระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์  เนื่องจากพฤติกรรมของเจ้า เนื่องจากความประพฤติของเจ้า และเนื่องจากท่าทีของเจ้าต่อพระองค์ ข้อคิดเห็นของพระเจ้าเกี่ยวกับเจ้า และท่าทีของพระองค์ต่อเจ้าจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  เราอยากจะให้คำแนะนำบางอย่างแก่ผู้คนบางคนว่าจงอย่าวางตัวของเจ้าเองเหมือนเด็กทารกในพระหัตถ์ของพระเจ้า ราวกับว่าพระองค์ควรทรงหลงใหลเจ้า ราวกับว่าพระองค์ไม่มีวันสามารถจากเจ้าไป และราวกับว่าท่าทีของพระองค์ต่อเจ้าได้ถูกกำหนดตายตัวแล้วและไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเราขอแนะนำให้เจ้าเลิกฝัน!  พระเจ้าทรงชอบธรรมในการที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกๆ บุคคล และพระองค์ทรงจริงจังในวิธีการเข้าหาของพระองค์ในพระราชกิจแห่งการพิชิตและช่วยผู้คนให้รอด  นี่คือการบริหารจัดการของพระองค์  พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกๆ คนอย่างจริงจัง และไม่ใช่เหมือนสัตว์เลี้ยงที่จะเล่นด้วย  ความรักของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์นั้นไม่ใช่แบบที่เอาใจหรือตามใจ อีกทั้งความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ก็ไม่ตามใจและไม่เพิกเฉย  ในทางตรงกันข้าม ความรักของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการทะนุถนอม การสงสาร และการเคารพชีวิต ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระองค์สื่อถึงความคาดหวังของพระองค์ต่อพวกเขา และเป็นสิ่งที่มนุษยชาติต้องการเพื่อที่จะอยู่รอด  พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง ท่าทีของพระองค์ต่อมวลมนุษย์นั้นมีหลักธรรม ไม่ใช่ข้อบังคับประเภทหนึ่งแต่อย่างใด และสามารถเปลี่ยนแปลงได้  เจตนารมณ์ของพระองค์ต่อมนุษยชาติกำลังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและแปลงสภาพไปตามกาลเวลา ขึ้นอยู่กับรูปการณ์แวดล้อมขณะที่เกิดขึ้น และพร้อมกับท่าทีของทุกๆ บุคคล  เพราะฉะนั้น เจ้าควรรู้ในหัวใจของเจ้าด้วยความชัดเจนอย่างแท้จริงว่าแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และพระอุปนิสัยของพระองค์จะปรากฏออกมาในเวลาที่ต่างกันและในบริบทที่แตกต่างกัน  เจ้าอาจไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องจริงจัง และเจ้าอาจใช้มโนคติที่หลงผิดส่วนตัวของเจ้าเองเพื่อจินตนาการว่าพระเจ้าควรทรงทำสิ่งทั้งหลายอย่างไร  อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่ทัศนคติขั้วตรงข้ามของเจ้าเป็นจริง และด้วยการใช้มโนคติที่หลงผิดส่วนตัวของเจ้าเองเพื่อพยายามวัดพระเจ้า เจ้าก็ได้ทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธแล้ว  นี่เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงดำเนินการตามวิธีที่เจ้าคิดว่าพระองค์ทรงทำ อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงปฏิบัติต่อเรื่องนี้เหมือนที่เจ้าบอกว่าพระองค์จะทรงทำ  ด้วยเหตุนี้ เราเตือนความจำเจ้าให้ระมัดระวังและรอบคอบในการเข้าหาทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเจ้า และเรียนรู้ที่จะปฏิบัติไปตามหลักธรรมของ “การเดินตามทางของพระเจ้า—การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว” ในทุกสรรพสิ่ง  เจ้าต้องพัฒนาความเข้าใจที่แม่นยำโดยคำนึงถึงเรื่องทั้งหลายเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและท่าทีของพระเจ้า เจ้าต้องหาผู้คนที่รู้แจ้งเพื่อสื่อสารเรื่องเหล่านี้กับเจ้า และเจ้าต้องแสวงหาอย่างจริงจัง  จงไม่มองดูพระเจ้าแห่งการเชื่อของเจ้าในฐานะหุ่นเชิด—ตัดสินพระองค์ตามอำเภอใจ มาถึงข้อสรุปเกี่ยวกับพระองค์โดยพลการ และไม่ปฏิบัติต่อพระองค์ด้วยท่าทีเคารพที่พระองค์ทรงสมควรได้รับ  ในขณะที่พระเจ้ากำลังทรงนำพาความรอดมาให้เจ้าและกำหนดพิจารณาจุดจบของเจ้า พระองค์อาจประทานความกรุณา หรือความยอมผ่อนปรน หรือการพิพากษาและการตีสอนแก่เจ้า แต่ไม่ว่าในกรณีใด ท่าทีของพระองค์ต่อเจ้าจะไม่ตายตัว  มันขึ้นอยู่กับท่าทีของเจ้าเองต่อพระองค์ ตลอดจนความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระองค์  จงไม่ปล่อยให้แง่มุมชั่วคราวอย่างหนึ่งในความรู้และความเข้าใจเรื่องพระเจ้าของเจ้านิยามพระองค์อย่างถาวร  จงไม่เชื่อในพระเจ้าที่สิ้นพระชนม์แล้วองค์หนึ่ง จงเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียวผู้ทรงพระชนม์อยู่  จงจดจำเรื่องนี้ไว้!  แม้ว่าเราได้หารือเกี่ยวกับความจริงบางอย่างที่นี่—ความจริงที่พวกเจ้าจำเป็นต้องฟัง—ในแง่ของสถานะปัจจุบันและวุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้า เราจะไม่ทำการเรียกร้องใดๆ ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นจากพวกเจ้าในตอนนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการลดทอนความกระตือรือร้นของพวกเจ้า  การทำเช่นนั้นสามารถเติมเต็มหัวใจของพวกเจ้าด้วยความท้อแท้มากเกินไป และทำให้พวกเจ้ารู้สึกผิดหวังมากเกินไปต่อพระเจ้า  แต่เราหวังว่าพวกเจ้าสามารถใช้หัวใจที่รักพระเจ้าและใช้ท่าทีที่เปี่ยมความเคารพกับพระเจ้าแทน เมื่อเดินตามเส้นทางที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า  จงไม่สับสนมึนงงโดยผ่านทางเรื่องนี้เกี่ยวกับวิธีเชื่อในพระเจ้า จงปฏิบัติต่อมันว่าเป็นหนึ่งในประเด็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่มีอยู่  จงวางมันไว้ในหัวใจของเจ้า เชื่อมโยงมันกับความเป็นจริง และเชื่อมต่อมันเข้ากับชีวิตจริง จงไม่เพียงปรนนิบัติเรื่องนี้แต่ปาก—เพราะนี่เป็นเรื่องของความเป็นและความตาย และเป็นเรื่องที่จะกำหนดพิจารณาชะตากรรมของเจ้า  จงไม่ปฏิบัติต่อเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกหรือเรื่องเล่นของเด็ก!  หลังจากแบ่งปันคำพูดเหล่านี้กับพวกเจ้าในวันนี้ เรากังขาว่าจิตใจของพวกเจ้าได้เก็บเกี่ยวความเข้าใจไปมากเพียงใดแล้ว  มีคำถามอะไรอีกหรือไม่ที่พวกเจ้าปรารถนาที่จะถามเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้พูดไปในวันนี้?

แม้ว่าหัวข้อเหล่านี้ค่อนข้างใหม่ และอยู่ห่างเล็กน้อยจากทรรศนะของพวกเจ้า จากการไล่ตามเสาะหาตามปกติของพวกเจ้า และสิ่งที่เจ้ามีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจ เราคิดว่าทันทีที่สิ่งเหล่านั้นได้รับการสามัคคีธรรมจากพวกเจ้าช่วงระยะเวลาหนึ่ง พวกเจ้าก็จะพัฒนาความเข้าใจร่วมกันในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้พูดที่นี่  หัวข้อเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใหม่ และเป็นหัวข้อที่พวกเจ้าไม่เคยได้พิจารณามาก่อน ดังนั้นเราจึงหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่เพิ่มภาระให้กับพวกเจ้าไม่ว่าในทางใด  เราไม่ได้กำลังพูดคำพูดเหล่านี้วันนี้เพื่อเขย่าขวัญพวกเจ้า อีกทั้งเราไม่ได้กำลังใช้คำพูดเหล่านี้เป็นหนทางที่จะตัดแต่งพวกเจ้า ตรงกันข้าม จุดมุ่งหมายของเราคือการช่วยให้พวกเจ้าเข้าใจข้อเท็จจริงที่จริงแท้เกี่ยวกับความจริง  เพราะมีความแตกต่างดำรงอยู่ระหว่างมวลมนุษย์กับพระเจ้า แม้ว่าผู้คนจะเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาไม่เคยได้เข้าใจพระองค์หรือรู้จักท่าทีของพระองค์  พวกมนุษย์ไม่เคยกระตือรือร้นอย่างมากในความกังวลของพวกเขาต่อท่าทีของพระเจ้าอีกด้วย  ตรงกันข้าม พวกเขาได้เชื่อและดำเนินการไปอย่างหูหนวกตาบอด และได้สะเพร่าในความรู้และความเข้าใจเรื่องพระเจ้าของพวกเขา  เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ชำระประเด็นปัญหาเหล่านี้ให้พวกเจ้า และช่วยให้พวกเจ้าเข้าใจว่าพระเจ้าองค์นี้ที่เจ้าเชื่อทรงเป็นพระเจ้าแบบใด ตลอดจนสิ่งที่พระองค์กำลังทรงคิด อะไรคือท่าทีของพระองค์ในการปฏิบัติของพระองค์ต่อผู้คนหลากหลายแบบ พวกเจ้าอยู่ห่างเพียงใดจากการทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระองค์ลุล่วง และความแตกต่างระหว่างการกระทำของเจ้ากับมาตรฐานที่พระองค์ทรงประสงค์นั้นใหญ่เพียงใด  เป้าหมายในการแจ้งให้เจ้ารู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้คือการให้พวกเจ้ามีบรรทัดฐานเพื่อใช้วัดตัวเอง และเพื่อที่พวกเจ้าจะได้รู้ว่าถนนที่พวกเจ้ากำลังใช้เดินทางอยู่นั้นได้นำไปสู่การเก็บเกี่ยวชนิดใด สิ่งใดที่พวกเจ้าไม่ได้รับมาตามถนนสายนี้ และในพื้นที่ใดที่พวกเจ้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลย  ในขณะที่สื่อสารกันท่ามกลางพวกเจ้า พวกเจ้ามักจะพูดคุยในหัวข้อที่ถูกหารือทั่วไปสองสามเรื่องซึ่งมีขอบเขตที่แคบมากและมีเนื้อหาที่ตื้นเขิน  มีระยะห่าง ช่องว่าง ระหว่างสิ่งที่เจ้าหารือกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ตลอดจนช่องว่างระหว่างการหารือของเจ้าและขอบเขตและมาตรฐานของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  เมื่อเวลาผ่านไป การดำเนินการเช่นนี้จะส่งผลให้เจ้าเบี่ยงเบนไปจากทางของพระเจ้าไกลขึ้นตลอด  พวกเจ้าแค่กำลังนำถ้อยดำรัสปัจจุบันของพระเจ้ามาเปลี่ยนให้กลายเป็นวัตถุบูชา และเห็นว่าพระวาทะเหล่านั้นเป็นพิธีกรรมและข้อบังคับ  นั่นคือทั้งหมดที่พวกเจ้ากำลังทำ!  โดยข้อเท็จจริงแล้ว พระเจ้าไม่ทรงมีที่อยู่ในหัวใจของพวกเจ้าจริงๆ และพระองค์ไม่ทรงเคยได้รับหัวใจของพวกเจ้าอย่างแท้จริง  ผู้คนบางคนคิดว่าการรู้จักพระเจ้านั้นยากมาก และนี่คือความจริง  มันยาก  หากผู้คนได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ของพวกเขาและทำสิ่งทั้งหลายให้เสร็จสิ้นที่ภายนอก และทำงานหนัก เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะคิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นง่ายมาก เพราะสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดตั้งอยู่ภายในขอบเขตของความสามารถของมนุษย์  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่หัวข้อนี้ย้ายที่ไปยังเจตนารมณ์ของพระเจ้าและท่าทีของพระองค์ต่อมนุษยชาติ เช่นนั้นแล้ว จากทัศนคติของทุกคน สิ่งทั้งหลายก็จะยากขึ้นเล็กน้อยจริงๆ  นั่นเป็นเพราะการนี้เกี่ยวข้องกับความเข้าใจความจริงของผู้คนและการเข้าสู่ความเป็นจริงของพวกเขา ดังนั้นแน่นอนว่าจะมีความยากระดับหนึ่ง!  กระนั้นก็ตาม ทันทีที่เจ้าก้าวผ่านประตูแรกและเริ่มบรรลุการเข้าสู่ สิ่งทั้งหลายก็ค่อยๆ ง่ายขึ้น

จุดเริ่มต้นสำหรับการยำเกรงพระเจ้าคือการปฏิบัติต่อพระองค์เยี่ยงพระเจ้า

เมื่อสักครู่ ใครบางคนตั้งคำถามว่า เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเราจึงยังคงไม่สามารถยำเกรงพระองค์ได้ ทั้งๆ ที่พวกเรารู้จักพระเจ้ามากกว่าโยบ?  ก่อนหน้านี้พวกเราได้พูดถึงเรื่องนี้ไปบ้างแล้ว  พวกเราได้หารือถึงสาระสำคัญของคำถามนี้มาก่อนแล้วจริงๆ เช่นกัน ซึ่งก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าแม้ว่าโยบไม่ได้รู้จักพระเจ้าในเวลานั้น เขาก็ยังคงปฏิบัติต่อพระองค์เสมือนพระเจ้า และคำนึงถึงพระองค์ว่าทรงเป็นองค์อธิปัตย์แห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง  โยบไม่ได้พิจารณาว่าพระเจ้าทรงเป็นศัตรู ตรงกันข้ามเขานมัสการพระองค์ในฐานะพระผู้สร้างแห่งทุกสรรพสิ่ง  เหตุใดทุกวันนี้ผู้คนจึงต้านทานพระเจ้ามากเช่นนั้น?  เหตุใดพวกเขาไร้ความสามารถที่จะยำเกรงพระองค์?  เหตุผลหนึ่งคือพวกเขาได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ และด้วยธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่ฝังลึกอยู่ภายในเช่นนี้ พวกเขาจึงได้กลายเป็นศัตรูของพระเจ้าแล้ว  ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าและยอมรับรู้พระเจ้า พวกเขาก็ยังคงสามารถต้านทานพระองค์และวางตัวเองอยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับพระองค์  การนี้ถูกกำหนดพิจารณาโดยธรรมชาติของมนุษย์  เหตุผลอีกอย่างหนึ่งคือแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า ผู้คนก็ไม่ปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้าจริงๆ  แต่พวกเขากลับพิจารณาว่าพระองค์อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับมนุษยชาติ โดยคำนึงถึงว่าพระองค์ทรงเป็นศัตรูของพวกเขา และรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถจะปรองดองกับพระเจ้าได้  มันเรียบง่ายอย่างนั้นเอง  เรื่องนี้ไม่ได้ถูกนำขึ้นมาพูดคุยในการประชุมครั้งที่แล้วของพวกเราหรอกหรือ?  ลองคิดดูว่า นั่นไม่ใช่เหตุผลหรือ?  เจ้าอาจมีความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับพระเจ้า แต่ความรู้นี้ส่งผลอะไร?  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนกำลังพูดถึงกันหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสบอกเจ้าหรอกหรือ?  เจ้าเพียงคุ้นเคยกับแง่มุมทางทฤษฎีและคำสอนของสิ่งนั้น—แต่เจ้าเคยได้ซาบซึ้งกับพระพักตร์แท้จริงของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้ามีความรู้เชิงอัตวิสัยหรือไม่?  เจ้ามีความรู้และประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่?  หากพระเจ้าไม่ได้ตรัสบอกเจ้าแล้ว เจ้าจะสามารถรู้ได้หรือไม่?  ความรู้เชิงทฤษฎีของเจ้าไม่ได้เป็นตัวแทนของความรู้จริง  กล่าวโดยย่อ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะรู้มากเท่าใด หรือว่าเจ้าจะได้มารู้สิ่งนั้นอย่างไร จนกว่าเจ้าจะบรรลุความเข้าใจพระเจ้าจริงๆ พระองค์จะทรงเป็นศัตรูของเจ้า และจนกว่าเจ้าจะเริ่มปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนที่ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ก็จะต่อต้านเจ้า เพราะเจ้าเป็นรูปจำแลงของซาตาน

เมื่อเจ้าอยู่ด้วยกันกับพระคริสต์บางทีเจ้าสามารถรับใช้พระองค์ด้วยอาหารสามมื้อต่อวัน หรืออาจจะรับใช้พระองค์ด้วยน้ำชาและช่วยดูแลสิ่งจำเป็นต่อชีวิตของพระองค์ เจ้าจะดูเหมือนว่าได้ปฏิบัติต่อพระคริสต์ในฐานะพระเจ้าแล้ว  เมื่อใดก็ตามที่มีบางสิ่งเกิดขึ้น ทัศนคติของผู้คนจะวิ่งตรงกันข้ามกับทัศนคติของพระเจ้าเสมอ ผู้คนมักจะล้มเหลวในการเข้าใจและยอมรับทัศนคติของพระเจ้า  แม้ว่าผู้คนอาจไปกันได้กับพระเจ้าในภายนอก แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้ากันได้กับพระองค์  ทันทีที่มีบางสิ่งเกิดขึ้น ความจริงเรื่องการเป็นกบฏของมนุษยชาติก็โผล่ออกมา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการยืนยันความเป็นปรปักษ์ที่มีอยู่ระหว่างพวกมนุษย์กับพระเจ้า ความเป็นปรปักษ์นี้ไม่ได้เป็นความเป็นปรปักษ์ที่พระเจ้าทรงต่อต้านพวกมนุษย์หรือที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์เป็นปรปักษ์กับพวกเขา อีกทั้งไม่ใช่การที่พระองค์ทรงวางพวกเขาในฝ่ายตรงข้ามกับพระองค์เอง แล้วก็ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนั้น  ตรงกันข้าม มันเป็นกรณีของแก่นแท้ที่ตรงกันข้ามนี้ต่อพระเจ้าซึ่งแอบแฝงอยู่ในความตั้งใจส่วนตัวของพวกมนุษย์และในจิตใต้สำนึกของพวกเขา  เนื่องจากผู้คนคำนึงถึงทั้งหมดที่มาจากพระเจ้าว่าเป็นวัตถุสำหรับการวิจัยของพวกเขา การตอบโต้ของพวกเขาต่อสิ่งที่มาจากพระเจ้าและต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าจึงเป็นการเดา การแคลงใจ แล้วก็เป็นการนำท่าทีที่ขัดแย้งและต่อต้านพระเจ้าไปใช้อย่างรวดเร็ว เหนือสิ่งอื่นใด  หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็นำอารมณ์ด้านลบเข้าสู่ข้อพิพาทหรือการแข่งขันกับพระเจ้า โดยไปไกลถึงขนาดที่แคลงใจแม้แต่การที่พระเจ้าเช่นนี้ทรงมีคุณค่าต่อการติดตามหรือไม่  แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่าความมีเหตุผลของพวกเขาบอกพวกเขาว่าพวกเขาไม่ควรดำเนินการไปในลักษณะนี้ พวกเขาก็จะยังคงเลือกที่จะทำเช่นนั้นทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ต้องการจะทำ จนถึงระดับที่พวกเขาจะทำต่อไปจนถึงที่สุดโดยไม่ลังเล  ยกตัวอย่างเช่น อะไรคือปฏิกิริยาแรกที่ผู้คนบางคนมี เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวลือหรือคำพูดใส่ร้ายป้ายสีเกี่ยวกับพระเจ้า?  ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือการสงสัยว่าข่าวลือเหล่านี้จริงหรือไม่ และว่าข่าวลือเหล่านี้มีอยู่หรือไม่ แล้วก็นำท่าทีรอดูไปก่อนมาใช้  จากนั้นพวกเขาก็เริ่มคิดว่า “ไม่มีทางที่จะยืนยันความถูกต้องของการนี้  สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงหรือ?  ข่าวลือนี้จริงหรือไม่?”  ถึงแม้ว่าผู้คนเช่นนี้ไม่แสดงให้เห็นที่ภายนอก แต่ในหัวใจพวกเขา พวกเขาได้เริ่มแคลงใจแล้ว และได้เริ่มปฏิเสธพระเจ้าแล้ว  อะไรคือแก่นแท้ของท่าทีประเภทนี้และของทัศนคติเช่นนี้?  ไม่ไช่การทรยศหรอกหรือ?  จนกว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ เจ้าไม่สามารถมองเห็นได้ว่าอะไรคือทัศนคติของผู้คนเหล่านี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ขัดแย้งกับพระเจ้า และดูราวกับว่าพวกเขาไม่คำนึงถึงว่าพระองค์ทรงเป็นศัตรู  อย่างไรก็ตามทันทีที่พวกเขาเผชิญหน้ากับปัญหา พวกเขาก็ยืนอยู่กับซาตานและต่อต้านพระเจ้าโดยทันที  สิ่งนี้บ่งบอกอะไรเล่า?  มันบ่งบอกว่าพวกมนุษย์และพระเจ้าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน!  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าทรงคำนึงถึงมนุษยชาติในฐานะศัตรู แต่ว่าแก่นแท้จริงๆ ของมนุษยชาตินั้นเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าจะมีใครบางคนได้ติดตามพระองค์นานเพียงใด หรือพวกเขาได้จ่ายราคามากเพียงใด และโดยไม่คำนึงถึงวิธีที่พวกเขาสรรเสริญพระเจ้า วิธีที่พวกเขาอาจกันตัวเองจากการต้านทานพระองค์ และแม้แต่วิธีที่พวกเขารบเร้าตัวเองอย่างหนักหน่วงให้รักพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่มีวันสามารถปฏิบัติต่อพระเจ้าเสมือนพระเจ้าองค์หนึ่งได้สำเร็จ  การนี้ไม่ได้ถูกกำหนดพิจารณาโดยแก่นแท้ของผู้คนหรอกหรือ?  หากเจ้าปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้า และเชื่ออย่างแท้จริงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เจ้าจะยังคงสามารถมีข้อแคลงใจใดๆ ต่อพระองค์ได้หรือไม่?  หัวใจของเจ้าจะยังคงสามารถเก็บงำเครื่องหมายคำถามใดๆ เกี่ยวกับพระองค์ได้หรือไม่?  ไม่สามารถอีกต่อไปใช่หรือไม่?  แนวโน้มทั้งหลายของโลกนี้ช่างเลวร้ายนัก และเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ก็เป็นเช่นกัน ดังนั้นเจ้าจะไม่สามารถมีมโนคติที่หลงผิดใดๆ เกี่ยวกับแนวโน้มเหล่านั้นได้อย่างไร?  เจ้าเองก็ชั่วร้ายยิ่งนัก ดังนั้นจึงเป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าไม่มีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น?  และกระนั้นก็ตาม เพียงข่าวลือไม่กี่ข่าวและการใส่ร้ายป้ายสีบางอย่างก็สามารถก่อให้เกิดมโนคติที่หลงผิดมหาศาลเช่นนี้เกี่ยวกับพระเจ้า และนำไปสู่การที่เจ้าจินตนาการสิ่งทั้งหลายมากมายยิ่งนัก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวุฒิภาวะของเจ้ายังไม่เป็นผู้ใหญ่อยู่เพียงใด!  แค่ “เสียงหึ่งๆ” ของยุงไม่กี่ตัวและแมลงวันน่ารังเกียจไม่กี่ตัว—นั่นคือทั้งหมดที่ต้องใช้เพื่อชักพาเจ้าให้หลงผิดใช่หรือไม่?  นี่เป็นบุคคลประเภทไหนกันเล่า?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงคิดอะไรเกี่ยวกับผู้คนเหล่านี้?  ท่าทีของพระเจ้านั้นจริงๆ แล้วชัดเจนมากเกี่ยวกับวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเขา  นั่นเป็นเพียงว่าการทรงปฏิบัติของพระเจ้าต่อผู้คนเหล่านี้คือการทรงแสดงอาการเย็นชาต่อพวกเขา—ท่าทีของพระองค์คือการไม่ให้ความสนใจใดๆ ต่อพวกเขา และการไม่ถือจริงจังกับผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันเหล่านี้  เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น?  เป็นเพราะในพระทัยของพระเจ้า พระองค์ไม่เคยทรงวางแผนที่จะได้รับคนเหล่านั้นที่ได้ให้คำมั่นว่าจะเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์จนถึงที่สุดและที่ไม่เคยวางแผนที่จะหาจนพบวิธีที่จะเข้ากันได้กับพระองค์  บางทีคำพูดเหล่านี้ที่เราได้พูดไปแล้วนั้น อาจทำร้ายผู้คนไม่กี่คน  เอาละ พวกเจ้าเต็มใจที่จะให้เราทำร้ายพวกเจ้าเช่นนี้ตลอดเวลาหรือไม่?  ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดคือความจริง!  หากเราทำร้ายพวกเจ้าและตีแผ่แผลเป็นของพวกเจ้าเช่นนี้ตลอดเวลา มันจะส่งผลกระทบต่อพระฉายาอันสูงส่งของพระเจ้าที่เจ้าเก็บงำไว้ในหัวใจของพวกเจ้าหรือไม่?  (มันจะไม่ส่งผลกระทบ)  เราเห็นด้วยว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบ เพราะแท้จริงแล้วไม่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเจ้า  พระเจ้าผู้สูงส่งที่พำนักอยู่ในหัวใจของพวกเจ้า—พระเจ้าองค์ที่พวกเจ้าพิทักษ์และคุ้มครองปกป้องอย่างแข็งขัน—ไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ  ตรงกันข้ามเขาเป็นสิ่งที่กุขึ้นจากจินตนาการของมนุษย์ เขาไม่มีอยู่จริงอย่างแน่นอน  ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าอย่างแน่แท้ที่เราตีแผ่คำตอบต่อปริศนานี้ การนี้ไม่ได้แผ่วางความจริงทั้งหมดหรอกหรือ?  พระเจ้าที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จินตนาการว่าพระองค์ทรงเป็น  เราหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดสามารถเผชิญหน้ากับความเป็นจริงนี้ได้ และมันจะช่วยในความรู้เรื่องพระเจ้าของพวกเจ้า

ผู้คนเหล่านั้นที่ไม่ได้รับการยอมรับรู้โดยพระเจ้า

มีผู้คนบางคนที่ความเชื่อของพวกเขาไม่เคยเป็นที่รับรู้ในพระทัยของพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าไม่ทรงระลึกว่าพวกเขาเป็นผู้ติดตามของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ทรงสรรเสริญสิ่งที่พวกเขาเชื่อ  สำหรับผู้คนเหล่านี้ แนวคิดและทรรศนะของพวกเขาไม่เคยเปลี่ยน โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาได้ติดตามพระเจ้านานกี่ปีแล้ว พวกเขาเป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ โดยยึดติดอยู่กับหลักการและวิธีการทั้งหลายสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน และยึดติดอยู่กับกฎแห่งการอยู่รอดและความเชื่อของผู้ไม่มีความเชื่อ  พวกเขาไม่เคยยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นชีวิตของพวกเขา ไม่เคยเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ไม่เคยตั้งใจที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้า และไม่เคยระลึกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา  พวกเขาเห็นว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นงานอดิเรกสมัครเล่นบางอย่าง โดยปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนเป็นเพียงความค้ำจุนทางจิตวิญญาณ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาไม่คิดว่ามันคุ้มค่าที่จะพยายามเข้าใจพระอุปนิสัยหรือแก่นแท้ของพระเจ้า  อาจกล่าวได้ว่าทั้งหมดที่สอดคล้องกับพระเจ้าเที่ยงแท้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้คนเหล่านี้ พวกเขาไม่สนใจ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถถูกรบเร้าให้ใส่ใจได้  นี่เป็นเพราะลึกลงไปในหัวใจของพวกเขามีเสียงรุนแรงที่มักจะบอกพวกเขาเสมอว่า “พระเจ้าไม่ทรงปรากฏแก่ตาและไม่สามารถแตะต้องได้ และไม่ทรงดำรงอยู่”  พวกเขาเชื่อว่าการพยายามเข้าใจพระเจ้าแบบนี้คงจะไม่คุ้มค่ากับความพยายามของพวกเขา และเชื่อว่าในการทำเช่นนั้น พวกเขาคงจะกำลังหลอกตัวเอง  พวกเขาเชื่อว่าโดยเพียงแค่ยอมรับรู้พระวจนะของพระเจ้าโดยไม่ทำการยืนหยัดจริงๆ หรือลงทุนในการกระทำใดๆ จริงๆ ด้วยตัวเอง พวกเขาก็ค่อนข้างฉลาด  พระเจ้าทรงพิจารณาผู้คนเช่นนี้อย่างไร?  พระองค์ทรงมองว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ  ผู้คนบางคนถามว่า “ผู้ไม่มีความเชื่อสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถพูดคำว่า ‘ฉันจะมีชีวิตเพื่อพระเจ้า’ ได้หรือไม่?”  สิ่งที่พวกมนุษย์เห็นบ่อยๆ คือการแสดงที่ผู้คนจัดขึ้นที่ภายนอก พวกเขาไม่เห็นแก่นแท้ของผู้คน  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงมองที่การแสดงผิวเผินเหล่านี้ พระองค์ทรงเห็นแก่นแท้ภายในของพวกเขาเท่านั้น  ด้วยเหตุนี้ นี่จึงเป็นท่าทีและคำนิยามประเภทที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเหล่านี้  ผู้คนเหล่านี้พูดว่า “เหตุใดพระเจ้าทรงทำการนี้?  เหตุใดพระเจ้าทรงทำการนั้น?  ฉันไม่สามารถเข้าใจการนี้ ฉันไม่สามารถเข้าใจการนั้น การนี้ไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์พระองค์ต้องทรงอธิบายการนั้นให้ฉัน…”  ในการตอบคำถามนี้ เราถามว่า จำเป็นจริงๆ หรือไม่ที่จะอธิบายเรื่องเหล่านี้แก่เจ้า?  เรื่องเหล่านี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าจริงๆ บ้างหรือไม่?  เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?  เจ้ามาจากที่ใด?  เจ้ามีคุณสมบัติจริงๆ หรือที่จะให้คำแนะนำกับพระเจ้า?  เจ้าเชื่อในพระองค์หรือไม่?  พระองค์ทรงยอมรับรู้ความเชื่อของเจ้าหรือไม่?  ในเมื่อความเชื่อของเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงข้องเกี่ยวในเรื่องอันใดของเจ้า?  เจ้าไม่รู้ว่าเจ้ายืนอยู่ที่ใดในพระทัยของพระเจ้า ดังนั้นเจ้าจะสามารถมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในการสนทนากับพระองค์ได้อย่างไร?

พระวจนะแห่งการเตือนสอน

พวกเจ้าไม่รู้สึกอึดอัดหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้หรอกหรือ?  แม้ว่าพวกเจ้าอาจจะไม่เต็มใจที่จะฟังคำพูดเหล่านี้หรือไม่เต็มใจที่จะยอมรับคำพูดเหล่านี้ แต่ทั้งหมดนั้นคือข้อเท็จจริง  เพราะพระราชกิจช่วงระยะนี้มีไว้ให้พระเจ้าทรงกระทำ หากเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์ ไม่มีความใส่ใจเกี่ยวกับท่าทีของพระองค์ และไม่เข้าใจแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ เช่นนั้นแล้วในที่สุด เจ้าก็จะเป็นคนที่จะพ่ายแพ้  จงอย่าโทษวจนะของเราที่ฟังยาก และจงอย่าโทษวจนะเหล่านั้นที่ลดทอนความกระตือรือร้นของพวกเจ้า  เราพูดความจริง ไม่ได้เป็นความตั้งใจของเราที่จะทำให้พวกเจ้าท้อใจ  ไม่สำคัญว่าเราขอสิ่งใดจากพวกเจ้า และไม่สำคัญว่าพวกเจ้าพึงต้องทำสิ่งนั้นอย่างไร เราหวังว่าพวกเจ้าเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและไปตามทางของพระเจ้า และหวังว่าพวกเจ้าจะไม่มีวันเบี่ยงเบนจากเส้นทางที่ถูกต้อง  หากเจ้าไม่ดำเนินการโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า หรือไปตามทางของพระองค์ เช่นนั้นแล้วก็ไม่อาจมีความแคลงใจเลยว่าเจ้ากำลังกบฏต่อพระเจ้า และได้ไถลห่างจากเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว  ด้วยเหตุนี้ เรารู้สึกว่ามีบางเรื่องที่เราต้องทำให้ชัดเจนต่อพวกเจ้า และรู้สึกว่าเราต้องทำให้พวกเจ้าเชื่ออย่างสนิทใจ อย่างชัดเจน และปราศจากความไม่แน่ใจแม้แต่น้อย และช่วยให้พวกเจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับท่าทีของพระเจ้า เจตนารมณ์ของพระองค์ วิธีที่พระองค์ทรงทำให้พวกมนุษย์มีความเพียบพร้อม และในลักษณะใดที่พระองค์ทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คน  หากมีสักวันหนึ่งมาถึงเมื่อเจ้าไร้ความสามารถที่จะเริ่มก้าวไปบนเส้นทางนี้ได้ เช่นนั้นแล้วเราก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เพราะวจนะเหล่านี้ได้ถูกกล่าวกับเจ้าอย่างชัดเจนมากแล้ว  ในส่วนของวิธีที่เจ้าจัดการกับจุดจบของเจ้าเอง นี่เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเจ้าทั้งสิ้น  เกี่ยวกับจุดจบของผู้คนหลากหลายชนิดนั้น  พระเจ้าทรงมีท่าทีที่แตกต่างกันไป พระองค์ทรงมีวิธีของพระองค์เองในการชั่งน้ำหนักพวกเขา รวมถึงมาตรฐานของพระองค์เองเกี่ยวกับข้อพึงประสงค์ที่มีต่อพวกเขา  มาตรฐานของพระองค์ในการชั่งน้ำหนักจุดจบของผู้คนเป็นมาตรฐานที่เป็นธรรมต่อทุกคน—ไม่มีความแคลงใจเลยเกี่ยวกับการนั้น!  เพราะฉะนั้น ความกลัวของบางคนจึงไม่จำเป็น  บัดนี้เจ้าโล่งใจแล้วหรือยัง?  นั่นคือทั้งหมดสำหรับวันนี้  ลาก่อน!

17 ตุลาคม ค.ศ. 2013

ก่อนหน้า: คำนำ

ถัดไป: พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger