พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

วันนี้พวกเรากำลังสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อสำคัญหัวข้อหนึ่ง  นี่คือหัวข้อที่ได้มีการเสวนากันมานับตั้งแต่การเริ่มต้นพระราชกิจของพระเจ้า และซึ่งมีนัยสำคัญมากอย่างยิ่งต่อทุกๆ บุคคล  กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่เป็นประเด็นปัญหาที่ทุกคนจะเผชิญในครรลองแห่งการเชื่อในพระเจ้า เป็นประเด็นปัญหาที่ต้องเผชิญ  เป็นประเด็นปัญหาสำคัญยิ่งยวดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งมวลมนุษย์ไม่สามารถเดินจากไปได้  เมื่อพูดถึงความสำคัญ อะไรเล่าคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคน?  ผู้คนบางคนคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า บางคนเชื่อว่าการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นสำคัญที่สุด บางคนรู้สึกว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้จักตนเอง คนอื่นๆ มีข้อคิดเห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้วิธีค้นหาความรอดโดยผ่านทางพระเจ้า วิธีติดตามพระเจ้า และวิธีสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเราจะวางประเด็นปัญหาเหล่านี้ทั้งหมดไว้ก่อนสำหรับวันนี้  ถ้าเช่นนั้น พวกเรากำลังเสวนาเรื่องอะไรกันอยู่เล่า?  หัวข้อคือพระเจ้า  นี่เป็นหัวข้อสำคัญที่สุดสำหรับทุกคนหรือไม่?  หัวข้อนี้พ่วงพาสิ่งใดมาบ้าง?  แน่นอนว่ามันไม่สามารถแยกออกจากพระอุปนิสัยของพระเจ้า เนื้อแท้ของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้าได้  ดังนั้นวันนี้ พวกเรามาเสวนากันเรื่อง “พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง”

จากเวลาที่มนุษย์ได้เริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ได้เผชิญกับหัวข้อทั้งหลาย เช่น พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง  เมื่อกล่าวถึงพระราชกิจของพระเจ้า ผู้คนบางคนจะพูดว่า “พระราชกิจของพระเจ้านั้นทำต่อพวกเรา พวกเราได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจทุกวัน ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับพระราชกิจ”  เมื่อพูดถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า บางคนจะพูดว่า “พระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นหัวข้อที่พวกเราศึกษา สำรวจ และมุ่งเน้นตลอดทั้งชีวิตของพวกเรา ดังนั้นพวกเราก็น่าจะมีความคุ้นเคยกับหัวข้อนี้”  สำหรับพระเจ้าพระองค์เอง บางคนจะพูดว่า “พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นผู้ที่พวกเราติดตาม ผู้ที่พวกเรามีความเชื่อ และองค์หนึ่งเดียวที่พวกเราไล่ตามเสาะหา และพวกเราก็ไม่ใช่จะไม่รู้เกี่ยวกับพระองค์”  พระเจ้าไม่เคยได้ทรงหยุดพระราชกิจของพระองค์ตั้งแต่การทรงสร้าง ตลอดพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ได้ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ และใช้วิถีทางหลากหลายเพื่อแสดงออกถึงพระวจนะของพระองค์ต่อไป  ในเวลาเดียวกัน พระองค์ไม่เคยได้ทรงหยุดแสดงออกถึงพระองค์เองและเนื้อแท้ของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ แสดงออกถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ต่อมนุษย์ และสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์จากมนุษย์  ดังนั้น ในแง่ของความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นคนแปลกหน้ากับหัวข้อเหล่านี้  อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้คนที่ติดตามพระเจ้าในวันนี้ พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง ทั้งหมดล้วนแปลกใหม่อย่างมากจริงๆ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  ในขณะที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาก็ได้มาติดต่อกับพระเจ้า ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขาเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือมีความรู้อยู่บ้างว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นเหมือนอะไร  เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงไม่คิดว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าต่อพระราชกิจของพระเจ้าหรือพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ตรงกันข้าม มนุษย์คิดว่าเขาคุ้นเคยมากกับพระเจ้า และเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้ามาก  แต่เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ความเข้าใจเรื่องพระเจ้านี้ถูกจำกัดอยู่กับสิ่งที่พวกเขาได้อ่านในหนังสือ ถูกจำกัดอยู่กับประสบการณ์ส่วนตัว ถูกยับยั้งด้วยจินตนาการ และเหนืออื่นใด ถูกจำกัดขอบเขตอยู่กับข้อเท็จจริงที่พวกเขาสามารถเห็นได้ด้วยตาของพวกเขาเอง—ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ห่างไกลมากจากพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง  แล้วคำว่า “ไกล” ในที่นี้คือไกลเท่าใดกันแน่?  บางทีมนุษย์เองก็อาจไม่แน่ใจ หรือบางทีมนุษย์อาจมีสำนึกรับรู้เล็กน้อย การระแคะระคาย—แต่เมื่อมาถึงเรื่องของพระเจ้าพระองค์เอง ความเข้าใจของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์นั้นอยู่ห่างไกลเกินไปมากจากแก่นแท้ของพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง  นี่คือเหตุผลที่พวกเราจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีส่วนร่วมในการสามัคคีธรรมในหนทางที่เป็นระบบและเป็นรูปธรรมสำหรับหัวข้อเช่น “พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง”

โดยข้อเท็จจริงแล้ว พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นเปิดกว้างต่อทุกคนและไม่ถูกซ่อนเร้น เพราะพระเจ้าไม่เคยได้ทรงหลีกเลี่ยงบุคคลอันใดโดยจงใจเจตนา และไม่เคยได้ทรงพยายามปกปิดพระองค์เองอย่างจงใจเจตนาที่จะกีดกันไม่ให้ผู้คนรู้จักพระองค์หรือเข้าใจพระองค์  พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นได้ทรงหมายให้เปิดกว้างและเผชิญหน้ากับแต่ละบุคคลอย่างสุจริตใจเสมอ  ในการบริหารจัดการของพระเจ้านั้น พระเจ้าทรงทำพระราชกิจของพระองค์ โดยเผชิญหน้ากับทุกคน และพระราชกิจของพระองค์ทรงทำกับทุกๆ บุคคล  ในขณะที่พระองค์ทรงทำพระราชกิจนี้ พระองค์ก็กำลังทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์อย่างต่อเนื่อง และกำลังทรงใช้แก่นแท้ของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงมีและสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นอย่างต่อเนื่อง เพื่อทรงนำและทรงจัดเตรียมสำหรับทุกๆ บุคคล  ในทุกยุคและ ณ ทุกช่วงระยะ โดยไม่คำนึงถึงว่ารูปการณ์แวดล้อมจะดีหรือแย่ พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นก็เปิดกว้างต่อทุกปัจเจกบุคคลเสมอ และสิ่งทรงครองของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นเปิดกว้างต่อแต่ละปัจเจกบุคคลเสมอ เช่นเดียวกันกับที่พระชนม์ชีพของพระองค์กำลังทรงจัดเตรียมและสนับสนุนมวลมนุษย์อย่างสม่ำเสมอและอย่างไม่หยุดหย่อน  แม้จะมีทั้งหมดนี้ พระอุปนิสัยของพระเจ้ายังคงซ่อนเร้นอยู่สำหรับบางคน  เพราะเหตุใดหรือ?  เพราะถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะดำรงชีวิตอยู่ภายในพระราชกิจของพระเจ้าและติดตามพระเจ้า พวกเขาก็ไม่เคยพยายามเข้าใจพระเจ้าและไม่เคยต้องการทำความรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรกับการเข้าใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น  สำหรับผู้คนเหล่านี้ การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นลางบอกเหตุว่าบทอวสานของพวกเขาใกล้มาถึงแล้ว มันหมายความว่าพวกเขากำลังจะถูกพิพากษาและกล่าวโทษโดยพระอุปนิสัยของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น พวกเขาไม่เคยอยากที่จะเข้าใจพระเจ้าหรือพระอุปนิสัยของพระองค์ และไม่เคยละโมบต่อความเข้าใจหรือความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาไม่พยายามจับใจความเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยผ่านทางความร่วมมืออย่างมีสติ—พวกเขาก็แค่ชื่นชมไปตลอดกาลและไม่มีวันเบื่อในการทำสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องการทำ เชื่อในพระเจ้าที่พวกเขาต้องการเชื่อ เชื่อในพระเจ้าที่ทรงดำรงอยู่ในจินตนาการของพวกเขาเท่านั้น พระเจ้าที่ทรงดำรงอยู่ในมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเท่านั้น และเชื่อในพระเจ้าที่ไม่อาจแยกจากพวกเขาได้ในชีวิตประจำวันของพวกเขา  เมื่อพูดถึงพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง พวกเขาก็ไม่สนใจไยดีอย่างสิ้นเชิง และไม่มีความอยากที่จะเข้าใจพระองค์ หรือให้ความเอาใจใส่ต่อพระองค์ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงความปรารถนาที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์ยิ่งขึ้น  พวกเขาเพียงกำลังใช้พระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงออกเพื่อประดับตัวเอง เพื่อห่อหุ้มตัวเอง  สำหรับพวกเขานั้น การนี้ทำให้พวกเขาเป็นผู้เชื่อที่ประสบความสำเร็จ และเป็นผู้คนที่มีความเชื่อในพระเจ้าอยู่ภายในหัวใจของพวกเขาแล้ว  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาถูกนำโดยจินตนาการของพวกเขา มโนคติที่หลงผิดของพวกเขา และแม้แต่คำนิยามส่วนตัวของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้า  ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เองนั้นไม่ทรงมีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย  เพราะหากพวกเขาได้เข้าใจพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง เข้าใจพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า และเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ก็ย่อมจะหมายความว่าการกระทำของพวกเขา ความเชื่อของพวกเขา และการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาจะถูกกล่าวโทษ  นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาลังเลที่จะเข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้า และลังเลและไม่เต็มใจที่จะแสวงหาหรืออธิษฐานอย่างแข็งขันเพื่อให้เข้าใจพระเจ้าดีขึ้น รู้จักเจตนารมณ์ของพระเจ้าดีขึ้น และเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าดีขึ้น  พวกเขาอยากจะให้พระเจ้าทรงเป็นบางสิ่งที่ถูกทำขึ้นมา บางสิ่งที่กลวงเป็นโพรงและคลุมเครือเสียมากกว่า  พวกเขาอยากจะให้พระเจ้าทรงเป็นใครบางคนที่ตรงพอดีกับที่พวกเขาได้จินตนาการพระองค์ไว้ เป็นใครบางคนที่พวกเขาสามารถกวักมือเรียกใช้ได้ตลอดเวลา ที่ทรงมีเสบียงที่ไม่มีวันหมดและทรงพร้อมให้ใช้งานเสมอ  เมื่อพวกเขาต้องการชื่นชมพระคุณของพระเจ้า พวกเขาก็ทูลขอให้พระเจ้าทรงเป็นพระคุณนั้น  เมื่อพวกเขาต้องการพรจากพระเจ้า พวกเขาก็ทูลขอให้พระเจ้าทรงเป็นพรนั้น  เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยาก พวกเขาทูลขอให้พระเจ้าทรงทำให้พวกเขามีความกล้า ทรงเป็นโล่กำบังหลังของพวกเขา  ความรู้เรื่องพระเจ้าของผู้คนเหล่านี้ติดอยู่ภายในวงล้อมแห่งพระคุณและพร  ความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง ก็ถูกหวงห้ามให้อยู่เพียงแค่กับจินตนาการ และคำพูดและคำสอนทั้งหลายของพวกเขาเท่านั้น  แต่มีผู้คนบางคนที่กระตือรือร้นที่จะเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า ต้องการเห็นพระเจ้าพระองค์เองอย่างแท้จริง และเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นอย่างแท้จริง  ผู้คนเหล่านี้กำลังไล่ตามเสาะหาความเป็นจริงแห่งความจริงและความรอดโดยพระเจ้า และพยายามรับการพิชิตชัย ความรอด และการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  พวกเขาใช้หัวใจของพวกเขาเพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า ใช้หัวใจของพวกเขาเพื่อซาบซึ้งกับทุกสถานการณ์และทุกบุคคล เหตุการณ์สำคัญ และสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้กับพวกเขา และพวกเขาอธิษฐานและแสวงหาด้วยความจริงใจ  สิ่งที่พวกเขาต้องการรู้มากที่สุดคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า และต้องการเข้าใจมากที่สุดคือพระอุปนิสัยที่แท้จริงและแก่นแท้ของพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาจะไม่ล่วงเกินพระเจ้าอีกต่อไป และโดยผ่านทางประสบการณ์ของพวกเขา จะเห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าและด้านที่แท้จริงของพระองค์มากขึ้น  นอกจากนี้ยังเพื่อที่พระเจ้าผู้ทรงเป็นจริงอย่างถ่องแท้จริงจะทรงดำรงอยู่ข้างในหัวใจของพวกเขา และเพื่อที่พระเจ้าจะทรงมีที่สถิตในหัวใจของพวกเขาด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมจะไม่ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางจินตนาการ มโนคติที่หลงผิด หรือความคลุมเครืออีกต่อไป  สำหรับผู้คนเหล่านี้ เหตุผลที่พวกเขามีความอยากเร่งด่วนที่จะเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระองค์นั้นก็เป็นเพราะว่า มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าในทุกชั่วขณะในครรลองแห่งประสบการณ์ของพวกเขา เป็นพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์นั่นเองที่จัดหาให้กับชีวิตตลอดชั่วชีวิตของคนเรา  ทันทีที่พวกเขาเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเขาก็จะสามารถยำเกรงพระเจ้าได้ดีขึ้น ร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าได้ดีขึ้น และคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากขึ้น และทำหน้าที่ของพวกเขาได้ตามที่ถูกควร  เช่นนี้คือท่าทีต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ผู้คนสองชนิดยึดถือ  ประเภทแรกไม่ต้องการเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า  แม้พวกเขาจะพูดว่าพวกเขาต้องการเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า ทำความรู้จักพระเจ้าพระองค์เอง มองเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และซาบซึ้งในเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ แต่ลึกลงไปนั้น พวกเขาอยากให้พระเจ้าไม่ทรงดำรงอยู่เสียจะดีกว่า  เป็นเพราะผู้คนชนิดนี้ต้านทานและกบฏต่อพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง พวกเขาต่อสู้กับพระเจ้าเพื่อตำแหน่งในหัวใจของพวกเขาเอง และบ่อยครั้งที่กังขาหรือถึงขั้นปฏิเสธการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า  พวกเขาไม่ต้องการปล่อยให้พระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือพระเจ้าผู้ทรงเป็นจริงพระองค์เองยึดครองหัวใจของพวกเขา  พวกเขาเพียงต้องการสนองความอยาก จินตนาการ และความทะเยอทะยานของพวกเขาเองเท่านั้น  ดังนั้นผู้คนเหล่านี้อาจเชื่อในพระเจ้า ติดตามพระเจ้า และอาจยอมล้มเลิกครอบครัวและงานของพวกเขาเพื่อพระองค์อีกด้วย แต่พวกเขาไม่ระงับจากหนทางชั่วของพวกเขา  บางคนถึงกับขโมยหรือผลาญพวกของถวาย หรือแอบสาปแช่งพระเจ้าอยู่ลับๆ ในขณะที่คนอื่นอาจใช้ตำแหน่งของพวกเขาให้คำพยานซ้ำๆ เกี่ยวกับตัวเอง คุยโวโอ้อวดตัวเองเกินจริง และแข่งขันกับพระเจ้าเพื่อผู้คนและสถานภาพ  พวกเขาใช้วิธีการและมาตรการสารพัดเพื่อทำให้ผู้คนเคารพบูชาพวกเขา พยายามชนะใจผู้คนและควบคุมพวกเขาอยู่เป็นนิตย์  บางคนถึงกับเจตนาทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาเป็นพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นพระเจ้า  พวกเขาคงจะไม่มีวันบอกใครสักคนว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามแล้ว—บอกว่าพวกเขาก็เสื่อมทรามและโอหังเช่นกัน อย่าเคารพบูชาพวกเขาเลย และบอกว่าไม่สำคัญว่าพวกเขาทำดีเพียงใดก็ล้วนเป็นเพราะการยกย่องของพระเจ้าทั้งนั้น และบอกว่า ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็กำลังทำสิ่งที่พวกเขาควรจะทำอยู่แล้ว  เหตุใดพวกเขาจึงไม่พูดสิ่งเหล่านี้เล่า?  เพราะพวกเขากลัวอย่างลึกล้ำที่จะสูญเสียที่ทางของพวกเขาในหัวใจของผู้คน  นี่คือสาเหตุที่ผู้คนเช่นนี้ไม่มีวันยกย่องพระเจ้า และไม่มีวันเป็นพยานต่อพระเจ้า เพราะพวกเขาไม่เคยได้พยายามเข้าใจพระเจ้า  พวกเขาสามารถรู้จักพระเจ้าโดยไม่เข้าใจพระองค์ได้หรือ?  เป็นไปไม่ได้!  ดังนั้น ในขณะที่พระวจนะในหัวข้อ “พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง” อาจเรียบง่าย แต่พระวจนะเหล่านั้นมีความหมายแตกต่างกันสำหรับแต่ละบุคคล  สำหรับใครบางคนที่กบฏต่อพระเจ้า ต้านทานพระเจ้า และไม่เป็นมิตรต่อพระเจ้าบ่อยๆ พระวจนะเหล่านั้นเป็นลางบอกเหตุถึงการกล่าวโทษ ในขณะที่บางคนที่ไล่ตามเสาะหาความเป็นจริงความจริง และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยครั้ง เพื่อแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า จะชอบพระวจนะเช่นนี้เหมือนปลารักน้ำ  ดังนั้นจึงมีพวกที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้าที่เริ่มปวดหัว หัวใจของพวกเขาเกิดเต็มไปด้วยการต้านทาน และพวกเขากลายเป็นอึดอัดอย่างที่สุด เมื่อพวกเขาได้ยินการพูดถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า  แต่ก็มีคนอื่นๆ ในหมู่พวกเจ้าที่รู้สึกว่าหัวข้อนี้คือสิ่งที่พวกเขาต้องการโดยแท้ เพราะมีประโยชน์ต่อพวกเขามาก เป็นบางสิ่งที่ไม่อาจขาดหายไปจากประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาได้ เป็นประเด็นสำคัญของประเด็นสำคัญ เป็นรากฐานแห่งความเชื่อในพระเจ้า และเป็นบางสิ่งที่มวลมนุษย์ไม่สามารถทอดทิ้งได้  สำหรับพวกเจ้าทั้งหมด หัวข้อนี้อาจดูเหมือนทั้งใกล้และไกล ไม่รู้จัก แต่ทว่าคุ้นเคย  แต่ไม่สำคัญว่าจะเป็นอะไร นี่คือหัวข้อที่ทุกคนต้องฟัง ต้องรู้ และต้องเข้าใจ  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะจัดการกับหัวข้อนี้อย่างไร ไม่สำคัญว่าเจ้าจะมองหัวข้อนี้อย่างไร หรือเจ้าจะเข้าใจหัวข้อนี้อย่างไร แต่ความสำคัญของหัวข้อนี้ก็ไม่อาจเพิกเฉยได้เลย

พระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจของพระองค์นับตั้งแต่พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์  ในตอนเริ่มต้น มันเป็นพระราชกิจที่เรียบง่ายมาก แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีความเรียบง่าย แต่ก็ได้บรรจุการแสดงออกทั้งหลายเกี่ยวกับแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าเอาไว้  ในขณะที่พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการยกระดับขึ้นแล้วตอนนี้ และพระราชกิจนี้กับบุคคลทุกคนที่ติดตามพระองค์ได้กลายเป็นยิ่งใหญ่อลังการและเป็นรูปธรรมด้วยการแสดงออกอันยิ่งใหญ่แห่งพระวจนะของพระองค์ สภาวะบุคคลทั้งหมดทั้งสิ้นของพระเจ้าได้ถูกซ่อนเร้นไว้จากมวลมนุษย์  แม้ว่าพระองค์ได้ประสูติเป็นมนุษย์สองครั้ง นับจากกาลเวลาแห่งเรื่องราวทั้งหลายในพระคัมภีร์จนถึงวันเวลาปัจจุบัน แต่มีใครบ้างที่ได้เคยเห็นสภาวะบุคคลจริงของพระเจ้า?  บนพื้นฐานความเข้าใจของพวกเจ้า มีผู้ใดบ้างได้เคยเห็นสภาวะบุคคลจริงของพระเจ้า?  ไม่  ไม่มีใครเคยได้เห็นสภาวะบุคคลจริงของพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าไม่มีใครเคยได้เห็นพระองค์ที่แท้จริงของพระเจ้า  นี่คือบางสิ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน  กล่าวคือสภาวะบุคคลจริงของพระเจ้า หรือพระวิญญาณของพระเจ้าได้รับการปกปิดจากมนุษยชาติทั้งปวง รวมถึงอาดัมและเอวาผู้ที่พระองค์ได้ทรงสร้าง และรวมถึงโยบผู้ชอบธรรมผู้ที่พระองค์ได้ทรงยอมรับ  พวกเขาไม่มีสักคนได้เห็นสภาวะบุคคลจริงของพระเจ้า  ว่าแต่เหตุใดหรือพระเจ้าจึงทรงจงใจเจตนาสวมหน้ากากปิดบังสภาวะบุคคลจริงของพระองค์?  ผู้คนบางคนพูดว่า “พระเจ้าทรงกลัวที่จะทำให้ผู้คนตกใจกลัว”  คนอื่นๆ พูดว่า “พระเจ้าทรงซ่อนสภาวะบุคคลจริงของพระองค์ เพราะมนุษย์นั้นเล็กเกินไป และพระเจ้ายิ่งใหญ่เกินไป มนุษย์ไม่อาจเห็นพระองค์ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะตาย”  และยังมีพวกที่พูดว่า “พระเจ้ากำลังทรงยุ่งอยู่กับการบริหารจัดการพระราชกิจของพระองค์ทุกวัน และพระองค์อาจจะไม่ทรงมีเวลาปรากฏพระองค์เพื่อที่ผู้อื่นอาจมองเห็นพระองค์”  ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าเชื่ออะไร เรามีบทสรุปปิดตัวอยู่ตรงนี้  บทสรุปปิดตัวนั้นคืออะไร?  บทสรุปปิดตัวนั้นคือพระเจ้าเพียงไม่ทรงต้องการให้ผู้คนเห็นสภาวะบุคคลจริงของพระองค์  การที่ยังคงซ่อนตัวจากมนุษยชาติเป็นบางสิ่งที่พระเจ้าทรงทำโดยตั้งใจ  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นพระเจตนาของพระเจ้าที่ทรงไม่ให้ผู้คนเห็นสภาวะบุคคลจริงของพระองค์  ถึงตอนนี้ นี่ก็ควรชัดเจนแล้วสำหรับทุกคน  หากพระเจ้าไม่เคยได้ทรงเปิดเผยสภาวะบุคคลจริงของพระองค์แก่ผู้ใด เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าคิดหรือว่าสภาวะบุคคลของพระเจ้าทรงมีอยู่จริง?  (พระองค์ทรงมีอยู่จริง)  แน่นอนพระองค์ทรงมีอยู่จริง  การทรงดำรงอยู่ของสภาวะบุคคลของพระเจ้าอยู่เหนือความกังขาทั้งมวล  แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับว่าสภาวะบุคคลของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่เพียงใดหรือพระองค์ทรงดูเหมือนอะไร มวลมนุษย์ควรเจาะลึกคำถามเหล่านี้หรือไม่?  ไม่ควร  คำตอบเป็นลบ  หากสภาวะบุคคลของพระเจ้าไม่ใช่หัวข้อที่พวกเราควรท่องสำรวจ เช่นนั้นแล้วหัวข้อใดเล่าที่ใช่?  (พระอุปนิสัยของพระเจ้า)  (พระราชกิจของพระเจ้า)  อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะเริ่มต้นสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อที่เป็นทางการ พวกเรามาย้อนกลับไปยังสิ่งที่เรากำลังเสวนากันเมื่อครู่ก่อน นั่นคือ เหตุใดหรือพระเจ้าจึงไม่เคยทรงเปิดเผยสภาวะบุคคลของพระองค์ต่อมวลมนุษย์เลย?  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเจตนาซ่อนสภาวะบุคคลของพระองค์จากมวลมนุษย์?  มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น นั่นคือ แม้ว่ามนุษย์ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น ได้มีประสบการณ์กับหลายพันปีแห่งพระราชกิจของพระองค์ แต่ก็ไม่มีบุคคลใดสักคนที่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และแก่นแท้ของพระเจ้า  ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น ผู้คนเช่นนี้อยู่ตรงข้ามกับพระองค์ และพระเจ้าจะไม่ทรงแสดงพระองค์เองต่อผู้คนที่ไม่เป็นมิตรต่อพระองค์  นี่คือเหตุผลเดียวที่พระเจ้าไม่เคยได้ทรงเปิดเผยสภาวะบุคคลของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ และเหตุผลที่พระองค์ทรงจงใจกำบังสภาวะบุคคลของพระองค์เอาไว้จากมวลมนุษย์  บัดนี้ ความสำคัญของการรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชัดเจนสำหรับพวกเจ้าแล้วหรือไม่?

นับตั้งแต่การบริหารจัดการของพระเจ้าดำรงอยู่มา พระองค์ได้ทรงทุ่มเทอุทิศอย่างเต็มที่ในการดำเนินการพระราชกิจของพระองค์เสมอ  แม้จะทรงปิดคลุมสภาวะบุคคลของพระองค์จากมนุษย์ แต่พระองค์ก็ได้ทรงอยู่เคียงข้างมนุษย์เสมอ ทรงทำพระราชกิจกับมนุษย์ ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ ทรงนำมนุษยชาติทั้งมวลด้วยแก่นแท้ของพระองค์ และทรงทำพระราชกิจของพระองค์กับผู้คนทุกๆ คนโดยผ่านทางพระอิทธิฤทธิ์ของพระองค์ พระปัญญาของพระองค์ และสิทธิอำนาจของพระองค์ จึงนำมาสู่การเป็นยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักรของวันนี้  แม้ว่าพระเจ้าทรงปกปิดสภาวะบุคคลของพระองค์จากมนุษย์ แต่พระอุปนิสัยของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและสิ่งทรงครองทั้งหลายของพระองค์ และเจตนารมณ์ของพระองค์ต่อมวลมนุษย์นั้นถูกเปิดเผยต่อมนุษย์อย่างไม่มีการสงวนเพื่อให้มนุษย์ได้เห็นและได้รับประสบการณ์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้ว่ามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นหรือแตะต้องพระเจ้าได้ พระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าที่มนุษยชาติได้เผชิญก็คือการแสดงออกอย่างสมบูรณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง  นั่นไม่ใช่ความจริงหรอกหรือ?  โดยไม่คำนึงถึงหนทางหรือมุมของวิธีเข้าหาที่พระเจ้าทรงเลือกสำหรับพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนโดยผ่านทางพระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระองค์ ทรงทำพระราชกิจซึ่งเป็นหน้าที่ของพระองค์ และตรัสพระวจนะที่พระองค์ต้องตรัสอย่างแน่นอนเสมอ  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสจากตำแหน่งใด—พระองค์อาจกำลังประทับยืนอยู่ในสวรรค์ชั้นที่สาม หรือกำลังประทับยืนอยู่ในเนื้อหนัง หรือแม้แต่ในฐานะบุคคลธรรมดา—พระองค์ตรัสกับมนุษย์อย่างสุดหัวใจของพระองค์และสุดจิตใจของพระองค์เสมอ โดยปราศจากการหลอกลวงหรือการปกปิดอันใด  เมื่อพระองค์ทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระวจนะของพระองค์และพระอุปนิสัยของพระองค์ และทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น โดยปราศจากการหวงแหนอันใด  พระองค์ทรงนำทางมวลมนุษย์ด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและสิ่งทรงครองของพระองค์  นี่คือวิธีที่มนุษย์ได้ใช้ชีวิตโดยผ่านทางยุคธรรมบัญญัติ—ยุคกำเนิดของมนุษยชาติ—ภายใต้การทรงนำทางของพระเจ้า “ที่ไม่สามารถมองเห็นและไม่สามารถแตะต้องได้”

พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ครั้งแรกหลังยุคธรรมบัญญัติ—เป็นการประสูติเป็นมนุษย์ที่ยาวนานถึงสามสิบสามปีครึ่ง  สำหรับมนุษย์ สามสิบสามปีครึ่งเป็นเวลานานหรือไม่?  (ไม่นาน)  ในเมื่ออายุขัยของมนุษย์โดยปกติแล้วยาวนานกว่าสามสิบปีกว่าโดยประมาณมาก นี่จึงไม่ใช่เวลานานมากสำหรับมนุษย์  แต่สำหรับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ เวลาสามสิบสามปีครึ่งนี้ยาวนานจริงๆ  พระองค์ได้ทรงกลายเป็นบุคคลผู้หนึ่ง—บุคคลธรรมดาที่ต้องรับผิดชอบต่อพระราชกิจและพระบัญชาของพระเจ้า  นี่หมายความว่าพระองค์ได้ทรงต้องยอมรับพระราชกิจที่คนธรรมดาไม่สามารถรับมือได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องทรงทนฝ่าความทุกข์ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถทนทานได้อีกด้วย  ปริมาณความทุกข์ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทนฝ่าในระหว่างยุคพระคุณ จากการเริ่มต้นของพระราชกิจของพระองค์จนถึงเวลาที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน อาจไม่ใช่บางสิ่งที่ผู้คนในวันนี้จะสามารถรู้เห็นด้วยตัวเองได้ แต่อย่างน้อย พวกเจ้าไม่สามารถมีแนวคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลยโดยผ่านทางเรื่องราวทั้งหลายในพระคัมภีร์หรอกหรือ?  โดยไม่คำนึงถึงว่ามีรายละเอียดมากเพียงใดในข้อเท็จจริงที่บันทึกไว้เหล่านี้ รวมความแล้ว พระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความยากลำบากและความทุกข์  สำหรับมนุษย์ที่เสื่อมทราม สามสิบสามปีครึ่งไม่ใช่เวลานาน ความทุกข์เล็กน้อยก็เป็นเรื่องเล็ก  แต่สำหรับพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ไร้ความด่างพร้อย ผู้ซึ่งต้องแบกรับบาปทั้งหมดของมวลมนุษย์ และกิน นอน และมีชีวิตอยู่กับคนบาปทั้งหลาย ความเจ็บปวดนี้หนักหนาสาหัสอย่างไม่น่าเชื่อ  พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง องค์อธิปัตย์แห่งทุกสรรพสิ่ง และองค์อธิปัตย์แห่งทุกสิ่งทุกอย่าง กระนั้นเมื่อพระองค์ได้เสด็จมาในโลก พระองค์ต้องทรงทนฝ่าการบีบบังคับและความทารุณของมนุษย์ที่เสื่อมทราม  เพื่อที่จะทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์ และช่วยกู้มนุษยชาติจากทะเลแห่งความระทมทุกข์ พระองค์ต้องทรงถูกมนุษย์กล่าวโทษ และแบกรับความบาปของมวลมนุษย์ทั้งปวง  ขอบเขตแห่งความทุกข์ที่พระองค์ได้ทรงก้าวผ่านไม่สามารถหยั่งลึกและซาบซึ้งโดยผู้คนธรรมดาได้  ความทุกข์นี้เป็นตัวแทนของอะไร?  มันเป็นตัวแทนของการที่พระเจ้าทรงอุทิศต่อมวลมนุษย์  มันหมายถึงการเหยียดหยามที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์และราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไปเพื่อความรอดของมนุษย์ เพื่อไถ่บาปของพวกเขา และเพื่อทำให้พระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระองค์ครบบริบูรณ์  มันยังหมายความอีกด้วยว่ามนุษย์จะได้รับการไถ่บาปจากกางเขนโดยพระเจ้า  นี่คือราคาที่จ่ายไปด้วยโลหิต ด้วยชีวิต และเป็นราคาที่ไม่มีสิ่งทรงสร้างอันใดสามารถจ่ายไหว  เป็นเพราะพระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้า และทรงครองสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น พระองค์จึงทรงสามารถแบกรับความทุกข์แบบนี้และทรงทำพระราชกิจแบบนี้ได้  นี่คือบางสิ่งที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดเลยที่สามารถทำแทนพระองค์ได้  นี่คือพระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างยุคพระคุณ และวิวรณ์แห่งพระอุปนิสัยของพระองค์  เรื่องนี้เปิดเผยสิ่งใดเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นหรือไม่?  มันคุ้มค่าหรือไม่ที่มวลมนุษย์จะทำความรู้จัก?  ในยุคนั้น แม้ว่ามนุษย์ไม่ได้เห็นสภาวะบุคคลของพระเจ้า พวกเขาก็ได้รับเครื่องบูชาลบล้างบาปของพระเจ้า และได้รับการไถ่จากกางเขนโดยพระเจ้า  มวลมนุษย์อาจไม่คุ้นเคยกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในระหว่างยุคพระคุณ แต่มีผู้ใดบ้างที่คุ้นเคยกับพระอุปนิสัยและเจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงแสดงออกในระหว่างช่วงเวลานี้?  มนุษย์เพียงรู้เกี่ยวกับรายละเอียดของพระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างยุคทั้งหลาย และโดยผ่านทางช่องทางทั้งหลาย หรือรู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าที่ได้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กำลังทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์  รายละเอียดและเรื่องราวเหล่านี้อย่างมากก็เป็นเพียงข่าวสารหรือตำนานเกี่ยวกับพระเจ้า และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า  ดังนั้น ไม่สำคัญว่าผู้คนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้ากี่เรื่อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเข้าใจและความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือแก่นแท้ของพระองค์  เฉกเช่นในยุคธรรมบัญญัติ แม้ว่าผู้คนในยุคพระคุณได้มีประสบการณ์กับการเผชิญกับพระเจ้าในเนื้อหนังอย่างทันทีทันใดและใกล้ชิด  แต่ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่มีอยู่จริงโดยแท้

ในยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ด้วยวิธีเดียวกันกับที่พระองค์ได้ทรงทำในครั้งแรก  ในระหว่างช่วงเวลานี้ของพระราชกิจ พระเจ้ายังคงทรงแสดงออกถึงพระวจนะของพระองค์อย่างไม่หวงแหน ทรงทำพระราชกิจที่พระองค์ทรงรับผิดชอบ และแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  ในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงทนฝ่าและยอมผ่อนปรนต่อความเป็นกบฏและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์ต่อไป  พระเจ้าไม่ทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ และแสดงออกถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ในระหว่างช่วงเวลาแห่งพระราชกิจนี้อย่างต่อเนื่องเช่นกันหรอกหรือ?  เพราะฉะนั้น ตั้งแต่การทรงสร้างมนุษย์จนถึงบัดนี้ พระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และสิ่งทรงครองทั้งหลายของพระองค์ และเจตนารมณ์ของพระองค์ จะได้เปิดกว้างต่อบุคคลทุกคนเสมอมา  พระเจ้าไม่เคยได้ทรงจงใจซ่อนแก่นแท้ของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์ หรือน้ำพระทัยของพระองค์  เป็นเพียงว่ามวลมนุษย์ไม่ใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำ สิ่งที่เป็นเจตนารมณ์ของพระองค์—นั่นคือสาเหตุที่มนุษย์มีความเข้าใจที่น่าสมเพชเกี่ยวกับพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในขณะที่พระเจ้าทรงปกปิดสภาวะบุคคลของพระองค์ พระองค์ก็กำลังประทับยืนเคียงข้างมนุษย์ทุกชั่วขณะ กำลังทรงแสดงเจตนารมณ์ พระอุปนิสัย และแก่นแท้ของพระองค์ออกมาอย่างเปิดเผยตลอดเวลา  ในแง่มุมหนึ่ง สภาวะบุคคลของพระเจ้าก็เปิดกว้างแก่ผู้คนด้วยเช่นกัน แต่เพราะความมืดบอดและความเป็นกบฏของมนุษย์ พวกเขาจึงไม่มีวันสามารถมองเห็นการทรงปรากฏของพระเจ้าได้  ดังนั้นหากเป็นเช่นนั้นจริง การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เองไม่ควรเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคนหรอกหรือ?  นั่นเป็นคำถามที่ตอบยากมากมิใช่หรือ?  เจ้าสามารถพูดได้ว่ามันง่าย แต่ในขณะที่ผู้คนบางคนพยายามรู้จักพระเจ้า พวกเขาก็ไม่สามารถทำความรู้จักพระองค์ หรือทำความเข้าใจพระองค์ได้อย่างชัดเจนจริงๆ—มันพร่ามัวและคลุมเครือเสมอ  แต่หากเจ้าพูดว่ามันไม่ง่าย นั่นก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน  หลังจากได้เป็นประชากรแห่งพระราชกิจของพระเจ้ามานานเหลือเกิน ทุกคนควรได้มีการติดต่อที่แท้จริงกับพระเจ้า โดยผ่านทางประสบการณ์ของพวกเขา  อย่างน้อยพวกเขาควรได้มีสำนึกรับรู้ถึงพระเจ้าในบางระดับในหัวใจของพวกเขา หรือได้มีการสัมผัสทางจิตวิญญาณกับพระเจ้า และอย่างน้อยพวกเขาควรมีความตระหนักรู้เชิงลึกเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือได้รับความเข้าใจบ้างเกี่ยวกับพระองค์  ตั้งแต่เวลาที่มนุษย์เริ่มติดตามพระเจ้าจนถึงบัดนี้ มวลมนุษย์ได้รับมามากเกินไปแล้ว แต่ด้วยเหตุผลมากมายทุกชนิด—ขีดความสามารถที่ต่ำ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความเป็นกบฏ และเจตนาทั้งหลายของมนุษย์—มวลมนุษย์ก็ได้สูญเสียไปมากเกินไปเช่นกัน  พระเจ้าไม่ได้ทรงให้มวลมนุษย์อย่างเพียงพอแล้วหรอกหรือ?  แม้ว่าพระเจ้าจะทรงซ่อนสภาวะบุคคลของพระองค์จากมนุษยชาติ แต่พระองค์ก็ทรงหล่อเลี้ยงมนุษย์ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และพระชนม์ชีพของพระองค์ ความรู้เรื่องพระเจ้าของมนุษยชาติไม่ควรจะเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้เท่านั้น  นั่นคือเหตุผลที่เราคิดว่าจำเป็นต้องมีสามัคคีธรรมเพิ่มเติมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับหัวข้อ พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง  จุดประสงค์คือเพื่อให้หลายพันปีแห่งการดูแลและความคำนึงถึงที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้มนุษย์นั้นไม่อวสานลงอย่างไร้ประโยชน์ และเพื่อให้มวลมนุษย์สามารถเข้าใจและซาบซึ้งในเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาอย่างแท้จริง  มันเป็นเพื่อให้ผู้คนสามารถก้าวไปสู่ขั้นตอนใหม่ในความรู้เรื่องพระเจ้าของพวกเขา  มันยังจะคืนพระเจ้ากลับสู่ที่ที่แท้จริงของพระองค์ในหัวใจของผู้คนอีกด้วย นั่นคือ ทำความยุติธรรมให้พระองค์

เพื่อให้เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เอง เจ้าต้องเริ่มต้นเล็กๆ  แต่เริ่มต้นเล็กๆ จากที่ใดเล่า?  เพื่อเริ่มต้น เราได้คัดเลือกบางบทจากพระคัมภีร์ไว้ให้แล้ว  ข่าวสารด้านล่างประกอบด้วยข้อเขียนจากพระคัมภีร์ ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับหัวข้อ พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง  เราได้เจาะจงค้นหาข้อความที่ตัดตอนมาเหล่านี้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อช่วยให้พวกเจ้ารู้จัก พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง  ด้วยการแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ พวกเราก็จะสามารถเห็นว่าเป็นพระอุปนิสัยชนิดใดที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยโดยผ่านทางพระราชกิจที่ผ่านมาของพระองค์ และด้านใดของแก่นแท้ของพระองค์ที่มนุษย์ไม่รู้จัก  บทเหล่านี้อาจเก่า แต่หัวข้อที่เรากำลังสามัคคีธรรมกันนั้นเป็นสิ่งใหม่บางสิ่งที่ผู้คนไม่มีและไม่เคยได้ยิน  พวกเจ้าบางคนอาจพบว่ามันเหลือเชื่อ—การนำอาดัมกับเอวาขึ้นมาพูด และการกลับไปที่โนอาห์ ไม่ใช่การเดินย้อนรอยเท้าเดียวกันอีกครั้งหรอกหรือ?  ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าจะคิดอะไร บทเหล่านี้เป็นประโยชน์มากในการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ และสามารถทำหน้าที่เป็นตำราการสอนหรือข้อมูลมือแรกสำหรับการสามัคคีธรรมของวันนี้  เมื่อถึงเวลาที่เราเสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมนี้ พวกเจ้าก็จะเข้าใจเจตนารมณ์ของเราที่อยู่เบื้องหลังการเลือกบทเหล่านี้  พวกที่ได้อ่านพระคัมภีร์มาก่อนอาจได้อ่านข้อเขียนเหล่านี้มาบ้างแล้ว แต่อาจไม่เข้าใจข้อเขียนเหล่านี้อย่างแท้จริง  ก่อนอื่นพวกเรามาทบทวนข้อเขียนเหล่านี้คร่าวๆ แล้วจากนั้นก็ศึกษาแต่ละข้อเขียนโดยละเอียดในการสามัคคีธรรมของพวกเรา

อาดัมและเอวาเป็นบรรพบุรุษของมวลมนุษย์  หากพวกเราจะต้องพูดถึงตัวละครจากพระคัมภีร์ เช่นนั้นแล้วเราต้องเริ่มจากตัวละครทั้งสองนี้  ถัดไปคือโนอาห์ บรรพบุรุษที่สองของมวลมนุษย์  ตัวละครที่สามคือใคร?  (อับราฮัม)  พวกเจ้าทั้งหมดรู้เรื่องราวของอับราฮัมหรือไม่?  พวกเจ้าบางคนอาจรู้ แต่สำหรับคนอื่นๆ มันอาจไม่ชัดเจนมากนัก  ตัวละครที่สี่คือใคร?  ใครถูกพูดถึงในเรื่องราวเกี่ยวกับความย่อยยับของเมืองโสโดม?  (โลท)  แต่โลทไม่ได้ถูกอ้างอิงที่นี่  มันอ้างอิงถึงใคร?  (อับราฮัม)  สิ่งสำคัญที่พูดถึงในเรื่องราวของอับราฮัมคือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ตรัสไว้  เจ้าเห็นหรือไม่?  ตัวละครที่ห้าคือใคร?  (โยบ)  พระเจ้าไม่ตรัสถึงเรื่องราวของโยบมากมายในระหว่างพระราชกิจช่วงระยะปัจจุบันนี้ของพระองค์หรอกหรือ?  ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าใส่ใจเรื่องนี้อย่างมากหรือไม่?  หากพวกเจ้าใส่ใจเป็นอย่างมาก พวกเจ้าได้อ่านเรื่องราวของโยบในพระคัมภีร์อย่างถี่ถ้วนแล้วหรือยัง?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่โยบได้พูด และอะไรคือสิ่งที่เขาได้ทำ?  สำหรับพวกเจ้าที่ได้อ่านเรื่องนี้มากที่สุด พวกเจ้าได้อ่านไปแล้วกี่ครั้ง?  เจ้าอ่านเรื่องนี้บ่อยหรือไม่?  พี่น้องหญิงจากฮ่องกงทั้งหลาย โปรดบอกพวกเรา  (พวกเราได้อ่านไปแล้วสองสามครั้งก่อนที่พวกเราได้อยู่ในยุคพระคุณ)  เจ้ายังไม่ได้อ่านอีกครั้งตั้งแต่นั้นมาหรือ?  นั่นน่าเศร้า  เราขอบอกพวกเจ้าว่า ในระหว่างช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระเจ้า พระองค์ได้ตรัสถึงโยบหลายครั้ง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของพระองค์  การที่พระองค์ได้ตรัสถึงโยบหลายครั้ง แต่ไม่ได้ทรงกระตุ้นความสนใจของพวกเจ้า เป็นข้อพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเจ้าไม่มีความสนใจแต่อย่างใดที่จะเป็นผู้คนที่ดีและผู้คนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  นี่เป็นเพราะพวกเจ้าพึงพอใจกับการมีแนวคิดคร่าวๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของโยบที่พระเจ้าทรงอ้างถึง  เจ้าพอใจกับการเข้าใจเรื่องราวนั้นๆ เท่านั้น แต่เจ้าไม่ใส่ใจและไม่พยายามเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับว่าโยบคือใครและจุดประสงค์เบื้องหลังสาเหตุที่พระเจ้าทรงอ้างอิงถึงโยบในหลายโอกาสเหลือเกิน  หากบุคคลเช่นนี้ที่ได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้าไม่ได้ทำให้พวกเจ้าสนใจ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้ากำลังให้ความสนใจต่อสิ่งใดกันแน่?  หากพวกเจ้าไม่ใส่ใจหรือพยายามเข้าใจบุคคลสำคัญที่พระเจ้าได้ตรัสถึงเช่นนี้ สิ่งนั้นอาจพูดอะไรเกี่ยวกับท่าทีของพวกเจ้าต่อพระวจนะของพระเจ้า?  นั่นจะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ?  มันจะไม่พิสูจน์ให้เห็นหรือว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนร่วมในสิ่งซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไล่ตามเสาะหาความจริง?  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าจะให้ความสนใจที่จำเป็นกับผู้คนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบและเรื่องราวของตัวละครที่พระเจ้าได้ตรัสถึง  โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าสามารถทำได้ดีเทียบเท่าพวกเขาหรือเห็นว่าเรื่องราวของพวกเขาเข้าใจง่ายหรือไม่ เจ้าก็จะรีบไปอ่านเกี่ยวกับพวกเขา พยายามที่จะจับใจความพวกเขา ค้นหาวิธีที่จะทำตามตัวอย่างของพวกเขา และทำสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้อย่างเต็มความสามารถของเจ้า  นี่คือวิธีที่บางคนที่ถวิลหาความจริงควรจะปฏิบัติตัว  แต่ข้อเท็จจริงก็คือพวกเจ้าส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่เคยได้อ่านเรื่องราวของโยบ—และนั่นสื่อความหมายได้มากทีเดียว

พวกเรากลับไปที่หัวข้อที่เราเพิ่งเสวนาไป  ในส่วนนี้ของคัมภีร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิม เราได้เลือกที่จะมุ่งเน้นที่เรื่องราวบางเรื่องเกี่ยวกับตัวละครที่เป็นตัวอย่างอันดียิ่งซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ที่ได้อ่านพระคัมภีร์แล้วจะคุ้นเคย  ผู้ใดที่อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครเหล่านี้จะสามารถรู้สึกได้ว่าพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำกับพวกเขา และพระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสกับพวกเขานั้นแจ่มแจ้งและเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกันสำหรับผู้คนในวันนี้  เมื่อเจ้าอ่านเรื่องราวเหล่านี้ อันเป็นบันทึกจากพระคัมภีร์ เจ้าจะสามารถเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่าพระเจ้าได้ทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ และได้ทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไรในระหว่างเวลาเหล่านั้นในประวัติศาสตร์  แต่เหตุผลที่เราได้ตัดสินใจที่จะเสวนาบทเหล่านี้ในวันนี้ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าพยายามมุ่งเน้นที่เรื่องราวเหล่านั้นเองหรือตัวละครที่อยู่ในเรื่องราวเหล่านั้น  แต่เป็นเพื่อให้เจ้าสามารถมองเห็นกิจการของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ โดยผ่านทางเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้  นี่จะทำให้เจ้าสามารถทำความรู้จักและเข้าใจพระเจ้า เห็นด้านที่แท้จริงของพระองค์ได้ง่ายยิ่งขึ้น จะขับไล่การคาดเดาและมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเกี่ยวกับพระองค์ และช่วยนำทางเจ้าให้ห่างจากความเชื่อที่ถูกรุมเร้าด้วยความคลุมเครือ  เว้นเสียแต่ว่าเจ้ามีรากฐานที่แข็งแกร่ง การพยายามทำความเข้าใจกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและทำความรู้จักกับพระเจ้าพระองค์เองบ่อยครั้งสามารถนำไปสู่ความรู้สึกหมดสิ้นหนทาง ความไร้เรี่ยวแรง และความไม่แน่ใจว่าจะเริ่มจากตรงไหนด้วยซ้ำ  นี่คือสิ่งที่กระตุ้นให้เราพัฒนาวิธีการและวิธีเข้าหาที่จะสามารถช่วยให้เจ้าเข้าใจพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น ซาบซึ้งในเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริงยิ่งขึ้น ทำความรู้จักกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เอง และปล่อยให้เจ้ารู้สึกถึงการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า และซาบซึ้งในเจตนารมณ์ของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ได้อย่างแท้จริง  นี่จะไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าทั้งหมดหรอกหรือ?  บัดนี้เมื่อพวกเจ้ากลับไปเยือนเรื่องราวเหล่านี้และบางส่วนของคัมภีร์อีกครั้ง เจ้ารู้สึกอะไรบ้างภายในหัวใจของพวกเจ้า?  พวกเจ้าคิดว่าส่วนทั้งหลายของคัมภีร์ที่เราได้เลือกออกมานั้นเกินจำเป็นหรือไม่?  เราต้องเน้นย้ำอีกครั้งในสิ่งที่เราเพิ่งบอกพวกเจ้า นั่นคือ จุดมุ่งหมายของการให้พวกเจ้าอ่านเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้คือช่วยให้พวกเจ้าเห็นว่าพระเจ้าทรงทำพระราชกิจกับผู้คนอย่างไร และเข้าใจท่าทีของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ดีขึ้น  อะไรเล่าจะช่วยให้เจ้าไปถึงความเข้าใจนี้?  การเข้าใจพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำในอดีต และการเกี่ยวโยงพระราชกิจนั้นกับพระราชกิจที่พระเจ้ากำลังทรงทำในตอนนี้—นี่จะช่วยให้เจ้าเข้าใจแง่มุมมากมายมหาศาลของพระองค์  แง่มุมมากมายมหาศาลเหล่านี้เป็นจริง และต้องเป็นที่รู้จักและเข้าใจโดยทุกคนที่ปรารถนาที่จะรู้จักพระเจ้า

พวกเรามาเริ่มกันด้วยเรื่องราวของอาดัมและเอวา โดยตั้งต้นด้วยข้อความที่ยกมาจากองค์พระคัมภีร์

ก. อาดัมและเอวา

1. พระบัญชาของพระเจ้าต่ออาดัม

ปฐมกาล 2:15-17  พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอาศัยอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและดูแลสวน  พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงตรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า “ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่”

พวกเจ้าได้รับรู้อะไรบ้างจากข้อเขียนเหล่านี้?  ส่วนนี้ของพระคัมภีร์ทำให้พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?  ทำไมเราจึงได้ตัดสินใจพูดถึงพระบัญชาของพระเจ้าต่ออาดัม?  บัดนี้พวกเจ้าแต่ละคนมีพระฉายาของพระเจ้าและอาดัมในจิตใจของพวกเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าลองจินตนาการดูว่า หากพวกเจ้าได้เป็นคนที่อยู่ในฉากนั้น ลึกลงไปเจ้าคิดว่าพระเจ้าจะทรงเป็นเหมือนอะไร?  การขบคิดเกี่ยวกับการนี้ทำให้พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?  นี่เป็นภาพที่เร้าอารมณ์และอบอุ่นใจภาพหนึ่ง  แม้ว่าจะมีเพียงพระเจ้าและมนุษย์อยู่ในภาพ แต่ความสนิทสนมระหว่างพวกเขาเติมเต็มเจ้าด้วยสำนึกรับรู้แห่งความเลื่อมใส กล่าวคือ ความรักท่วมท้นของพระเจ้านั้นได้ถูกประทานแก่มนุษย์อย่างอิสระ และล้อมรอบมนุษย์ มนุษย์นั้นไร้มลทินและบริสุทธิ์ ปราศจากภาระผูกพันและไร้กังวล มีชีวิตบรมสุขภายใต้สายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าทรงแสดงความห่วงใยต่อมนุษย์ในขณะที่มนุษย์มีชีวิตภายใต้การคุ้มครองปกป้องและพรจากพระเจ้า ทุกๆ สิ่งที่มนุษย์ทำและพูดนั้นเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่นและแยกไม่ออกจากพระเจ้า

นี่อาจเรียกได้ว่าพระบัญชาแรกของพระเจ้าต่อมนุษย์หลังจากทรงสร้างเขา  พระบัญชานี้สื่อถึงอะไร?  พระบัญชานี้สื่อถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่ก็สื่อถึงความวิตกกังวลของพระองค์ต่อมวลมนุษย์อีกด้วย  นี่คือพระบัญชาแรกของพระเจ้า และเป็นครั้งแรกที่พระเจ้าทรงแสดงออกถึงความวิตกกังวลต่อมนุษย์อีกด้วย  กล่าวคือพระเจ้าได้ทรงรู้สึกถึงความรับผิดชอบต่อมนุษย์ตั้งแต่ชั่วขณะที่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์  อะไรคือความรับผิดชอบของพระองค์?  พระองค์ต้องทรงคุ้มครองปกป้องมนุษย์ ดูแลมนุษย์  พระองค์ทรงหวังว่ามนุษย์จะสามารถไว้ใจและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ได้  นี่คือความคาดหวังแรกของพระเจ้าต่อมนุษย์  ด้วยความคาดหวังนี้นี่เองพระเจ้าจึงตรัสดังต่อไปนี้ “ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่”  พระวจนะเรียบง่ายเหล่านี้เป็นตัวแทนของเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พระวจนะเหล่านี้ยังเปิดเผยอีกด้วยว่า ในพระทัยของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงเริ่มแสดงความห่วงใยต่อมนุษย์แล้ว  ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง มีเพียงอาดัมเท่านั้นที่ทรงสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า อาดัมเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่มีลมปราณแห่งชีวิตของพระเจ้า เขาสามารถเดินกับพระเจ้าได้ สนทนากับพระเจ้าได้  นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงให้พระบัญชานี้แก่เขา  พระเจ้าได้ทรงทำให้พระบัญชาของพระองค์ชัดเจนอย่างยิ่งในสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้และไม่สามารถทำได้

ในพระวจนะเรียบง่ายไม่กี่คำนี้ พวกเราย่อมมองเห็นพระทัยของพระเจ้า  แต่หัวใจแบบใดกันที่แสดงตัวให้เห็น?  ในพระทัยของพระเจ้ามีความรักหรือไม่?  มีความห่วงใยหรือไม่?  ในข้อเขียนเหล่านี้ ความรักและความห่วงใยของพระเจ้าไม่เพียงสามารถซาบซึ้งได้เท่านั้น แต่ยังรู้สึกสนิทสนมได้อีกด้วย  เจ้าจะไม่เห็นด้วยหรอกหรือ?  หลังจากได้ยินเราพูดเรื่องนี้ พวกเจ้ายังคงคิดว่าเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดเรียบง่ายไม่กี่คำอยู่อีกหรือ?  อย่างไรก็ตามคำพูดเหล่านั้นไม่ได้เรียบง่ายนักใช่หรือไม่?  พวกเจ้าได้ไหวตัวรับรู้เรื่องนี้มาก่อนหรือไม่?  หากพระเจ้าได้ตรัสพระวจนะไม่กี่คำเหล่านี้กับเจ้าด้วยพระองค์เอง เจ้าจะรู้สึกอย่างไรข้างในเล่า?  หากเจ้าไม่ได้เป็นบุคคลที่มีมนุษยธรรม หากหัวใจของเจ้าเย็นปานน้ำแข็ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย เจ้าจะไม่ซาบซึ้งในความรักของพระเจ้า และเจ้าจะไม่พยายามเข้าใจพระทัยของพระเจ้า  แต่ในฐานะบุคคลที่มีมโนธรรมและสำนึกรับรู้ของสภาวะความเป็นมนุษย์ เจ้าจะรู้สึกต่างออกไป  เจ้าจะรู้สึกถึงความอบอุ่น เจ้าจะรู้สึกได้รับการใส่ใจและความรัก และเจ้าจะรู้สึกถึงความสุข  นั่นไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  เมื่อเจ้ารู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไร?  เจ้าจะรู้สึกผูกพันกับพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าจะรักและเคารพพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจของเจ้าหรือไม่?  หัวใจของเจ้าจะเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้ายิ่งขึ้นหรือไม่?  เจ้าสามารถเห็นได้จากเรื่องนี้ว่าความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์นั้นสำคัญเพียงใด  แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดกว่านั้นอีกคือความซาบซึ้งและการจับใจความของมนุษย์ต่อความรักของพระเจ้า  อันที่จริงพระเจ้าไม่ได้ตรัสสิ่งที่คล้ายกันมากมายในระหว่างพระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระองค์หรอกหรือ?  วันนี้มีผู้คนที่ซาบซึ้งในพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถซาบซึ้งในเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่เราเพิ่งพูดถึงได้หรือไม่?  พวกเจ้าไม่สามารถซาบซึ้งในเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ทั้งๆ ที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้และเป็นจริงเช่นนี้  นั่นคือเหตุผลที่เราบอกว่าพวกเจ้าไม่มีความรู้และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า  นี่ไม่จริงหรอกหรือ?  แต่พวกเราปล่อยเรื่องนี้ไว้อย่างนั้นก่อนสำหรับตอนนี้

2. พระเจ้าทรงสร้างเอวา

ปฐมกาล 2:18-20  พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น”  พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงปั้นสัตว์ทุกชนิดในท้องทุ่ง และนกทุกชนิดในท้องฟ้าจากดิน แล้วทรงนำมายังชายนั้น เพื่อดูว่า เขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร ชายนั้นตั้งชื่อสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตว่าอย่างไร สัตว์นั้นก็มีชื่ออย่างนั้น  ชายนั้นจึงตั้งชื่อสัตว์ใช้งานทุกชนิด และนกในอากาศและสัตว์ป่าทุกชนิด แต่ชายนั้นยังไม่พบคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขา

ปฐมกาล 2:22-23  ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น  ชายนั้นจึงว่า “นี่แหละ กระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะเรียกคนนี้ว่าหญิง เพราะคนนี้ออกมาจากชาย”

มีหนึ่งบรรทัดสำคัญในส่วนนี้ของคัมภีร์  ความว่า “ชายนั้นตั้งชื่อสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตว่าอย่างไร สัตว์นั้นก็มีชื่ออย่างนั้น”  ดังนั้น ใครเล่าได้ให้ชื่อแก่สัตว์ทั้งหมดที่มีชีวิต?  คืออาดัมนั่นเอง ไม่ใช่พระเจ้า  บรรทัดนี้บอกข้อเท็จจริงข้อหนึ่งแก่มนุษยชาติ นั่นคือ พระเจ้าได้ทรงให้สติปัญญาแก่มนุษย์เมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างเขา  กล่าวคือสติปัญญาของมนุษย์มาจากพระเจ้า  นี่คือความแน่นอน  แต่เหตุใดเล่า?  หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสร้างอาดัม อาดัมได้ไปโรงเรียนหรือไม่?  เขาได้รู้วิธีอ่านหรือไม่?  หลังจากพระเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์ที่มีชีวิตมากมายหลากหลาย อาดัมได้จำสัตว์ทรงสร้างเหล่านี้ได้ทั้งหมดหรือไม่?  พระเจ้าได้ตรัสบอกเขาหรือไม่ว่าชื่อของสัตว์เหล่านั้นคืออะไรกันบ้าง?  แน่นอนว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้เขารู้วิธีคิดหาชื่อของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้  นั่นคือความจริง!  เช่นนั้นแล้วอาดัมได้รู้วิธีให้ชื่อกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ และชื่อประเภทใดที่ให้กับพวกมันหรือไม่?  นี่เกี่ยวโยงกับคำถามที่เกี่ยวกับว่าพระเจ้าได้ทรงเพิ่มอะไรให้แก่อาดัมเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างเขา  ข้อเท็จจริงทั้งหลายพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ได้ทรงเพิ่มเชาว์ปัญญาของพระองค์ให้แก่เขา  นี่เป็นประเด็นปัญหาสำคัญ ดังนั้นจงตั้งใจฟัง  ยังมีประเด็นปัญหาสำคัญอีกประเด็นปัญหาหนึ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจอีกด้วย นั่นคือ หลังจากอาดัมได้ให้ชื่อกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ชื่อเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นถูกบันทึกในประมวลคำศัพท์ของพระเจ้า  เหตุใดเราจึงพูดถึงการนี้?  เพราะการนี้เกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าเช่นกัน และนี่คือประเด็นปัญหาที่เราต้องขยายความเพิ่มเติม

พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ ได้ทรงให้ลมปราณแห่งชีวิตแก่เขา และยังได้ทรงให้เชาว์ปัญญาของพระองค์ พระปรีชาสามารถของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นบางส่วนแก่เขาอีกด้วย  หลังจากพระเจ้าได้ทรงให้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่มนุษย์ มนุษย์ก็สามารถทำบางสิ่งได้โดยอิสระ และคิดด้วยตัวเองได้  หากสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นและทำเป็นสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ทรงยอมรับและไม่ทรงก้าวก่าย  หากสิ่งที่มนุษย์ทำนั้นถูกต้อง พระเจ้าก็จะทรงปล่อยให้คงอยู่  ดังนั้นวลีที่ว่า “ชายนั้นตั้งชื่อสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตว่าอย่างไร สัตว์นั้นก็มีชื่ออย่างนั้น” บ่งบอกอะไร?  วลีนี้บ่งบอกว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นสมควรที่จะเปลี่ยนแปลงชื่ออันใดที่ให้กับสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตเหล่านั้น  ชื่อใดก็ตามที่อาดัมเรียกสิ่งมีชีวิต พระเจ้าจะตรัสว่า “เป็นตามนั้น” เพื่อยืนยันชื่อของสิ่งมีชีวิตนั้น  พระเจ้าได้ทรงแสดงข้อคิดเห็นใดในเรื่องนี้หรือไม่?  ไม่ พระองค์ไม่ได้ทรงทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน  ดังนั้นพวกเจ้าได้รับรู้อะไรบ้างจากการนี้?  พระเจ้าได้ทรงให้สติปัญญาแก่มนุษย์ และมนุษย์ได้ใช้สติปัญญาที่พระเจ้าได้ทรงให้เพื่อทำสิ่งทั้งหลาย  หากสิ่งที่มนุษย์ทำนั้นเป็นด้านบวกในสายพระเนตรของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงยืนยัน รับรอง และยอมรับโดยปราศจากการพิพากษาหรือการวิจารณ์อันใด  นี่คือบางสิ่งที่ไม่มีบุคคล หรือวิญญาณชั่วใด หรือซาตานสามารถทำได้  พวกเจ้าเห็นการเปิดเผยถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าในที่นี้หรือไม่?  มนุษย์ บุคคลที่เสื่อมทราม หรือซาตานจะอนุญาตให้ผู้อื่นใดทำบางสิ่งในนามของพวกเขา ใต้จมูกของพวกเขาเลยหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน!  พวกเขาจะสู้รบเพื่อแย่งชิงตำแหน่งนี้กับบุคคลอื่นหรือกองกำลังอื่นซึ่งแตกต่างจากพวกเขาหรือไม่?  แน่นอนพวกเขาจะสู้!  หากเป็นบุคคลที่เสื่อมทรามหรือซาตานซึ่งได้อยู่กับอาดัม ณ เวลานั้น พวกเขาคงจะได้ปฏิเสธสิ่งที่อาดัมกำลังทำไปแล้วอย่างแน่นอน  เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขามีความสามารถที่จะคิดได้โดยอิสระ และมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวพวกเขาเอง พวกเขาก็คงจะได้ปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่อาดัมได้ทำแล้วอย่างเบ็ดเสร็จว่า “เจ้าต้องการเรียกมันว่าเช่นนี้หรือ?  เอาละ ข้าจะไม่เรียกมันด้วยชื่อนี้ ข้าจะเรียกมันด้วยชื่อนั้น เจ้าได้เรียกมันว่าทอม แต่ข้าจะเรียกมันว่าแฮร์รี่  ข้าต้องแสดงให้เห็นว่าข้าฉลาดแค่ไหน”  นี่เป็นธรรมชาติแบบใดกัน?  ไม่โอหังอย่างดิบเถื่อนหรอกหรือ?  แล้วพระเจ้าเล่า?  พระองค์ทรงมีพระอุปนิสัยเช่นนี้หรือไม่?  พระเจ้าทรงมีข้อขัดข้องที่ไม่ธรรมดาอันใดกับสิ่งที่อาดัมกำลังทำอยู่หรือไม่?  คำตอบคือไม่อย่างไม่ต้องสงสัย!  ในพระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงเปิดเผย ไม่มีวี่แววแม้แต่น้อยของความชอบโต้เถียง ความโอหัง หรือความคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ  ถึงตรงนี้สิ่งเหล่านั้นชัดเจน  นี่อาจดูเหมือนเป็นประเด็นปัญหาย่อย แต่หากเจ้าไม่เข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้า หากหัวใจของเจ้าไม่พยายามคิดให้ออกว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติพระองค์อย่างไร และอะไรคือท่าทีของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่รู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือเห็นการแสดงออกและการเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่กับสิ่งที่เราเพิ่งอธิบายแก่เจ้า?  ในการตอบสนองต่อการกระทำของอาดัม พระเจ้าไม่ได้ทรงประกาศอย่างยิ่งใหญ่ว่า “เจ้าได้ทำดีแล้ว เจ้าได้ทำถูกต้องแล้ว และเราก็เห็นชอบ!”  อย่างไรก็ตาม ในพระทัยของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงอนุมัติ ซาบซึ้ง และปรบมือให้สิ่งที่อาดัมได้ทำ  นี่เป็นสิ่งแรกนับตั้งแต่การทรงสร้างที่มนุษย์ได้ทำเพื่อพระเจ้าตามคำสั่งของพระองค์  เป็นบางสิ่งที่มนุษย์ได้ทำแทนพระเจ้าและในพระนามของพระเจ้า  ในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งนี้ก่อเกิดจากเชาว์ปัญญาที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์  พระเจ้าได้ทรงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เป็นด้านบวก  สิ่งที่อาดัมได้ทำ ณ เวลานั้นเป็นการสำแดงถึงเชาว์ปัญญาของพระเจ้าในมนุษย์เป็นครั้งแรก  เป็นการสำแดงชั้นดีจากทัศนคติของพระเจ้า  สิ่งที่เราต้องการบอกพวกเจ้าตรงนี้คือว่าจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการทรงแบ่งบางส่วนของสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และเชาว์ปัญญาของพระองค์ให้กับมนุษย์ก็คือเพื่อให้มวลมนุษย์สามารถเป็นสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตที่สำแดงพระองค์  การที่สิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตเช่นนี้ปฏิบัติตนในพระนามของพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงถวิลหาที่จะเห็นมานานแล้วอย่างแน่นอน

3. พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและเอวา

ปฐมกาล 3:20-21  อาดัมเรียกภรรยาของเขาว่า “เอวา” เพราะนางเป็นมารดาของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย

พวกเรามาดูที่บทตอนที่สามนี้ ซึ่งระบุว่ามีความหมายเบื้องหลังชื่อที่อาดัมให้แก่เอวาจริงๆ  นี่แสดงว่าหลังจากถูกสร้างขึ้น อาดัมได้มีความคิดของตัวเองและเข้าใจสิ่งต่างๆ มากมาย  แต่สำหรับตอนนี้พวกเราจะไม่ศึกษาหรือสำรวจว่าเขาเข้าใจอะไรหรือเขาเข้าใจมากเพียงใด เพราะนั่นไม่ใช่เป้าหมายหลักของเราในการเสวนาบทตอนที่สาม  ดังนั้นประเด็นปัญหาหลักที่เราต้องการเน้นคืออะไร?  พวกเรามาดูที่ประโยคที่ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย” หากเราไม่เสวนาประโยคนี้ของคัมภีร์ในสามัคคีธรรมของเราวันนี้ พวกเจ้าอาจไม่มีวันตระหนักถึงความหมายโดยนัยที่ลึกกว่าของพระวจนะเหล่านี้  ก่อนอื่นเราขอให้เบาะแสบางอย่าง  หากพวกเจ้าจะทำ ลองจินตนาการถึงสวนเอเดน ที่มีอาดัมและเอวาอาศัยอยู่ในนั้น  พระเจ้าเสด็จไปเยี่ยมพวกเขา แต่พวกเขาซ่อนตัวเพราะพวกเขาเปลือยอยู่  พระเจ้าไม่ทรงสามารถมองเห็นพวกเขา และหลังจากพระองค์ทรงร้องเรียกพวกเขา พวกเขาก็พูดว่า “เราไม่กล้าพบพระองค์เพราะร่างกายของพวกเราเปลือยเปล่า”  พวกเขาไม่กล้าพบพระเจ้าเพราะพวกเขาเปลือยอยู่  ดังนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำอะไรเพื่อพวกเขา?  ข้อความเดิมพูดว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย”  จากข้อความนี้ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงใช้อะไรทำเสื้อผ้าของพวกเขา?  พระเจ้าได้ทรงใช้หนังสัตว์เพื่อทำเสื้อผ้าของพวกเขา  กล่าวคือพระเจ้าได้ทรงทำเสื้อขนสัตว์ให้มนุษย์สวมใส่เป็นเสื้อผ้า  เหล่านี้เป็นเสื้อผ้าชิ้นแรกๆ ที่พระเจ้าได้ทรงทำให้มนุษย์  เสื้อขนสัตว์เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยตามมาตรฐานของวันนี้ และไม่ใช่บางสิ่งที่ทุกคนสามารถมีเงินพอหาใส่ได้  หากใครบางคนถามเจ้าว่า “อะไรคือเครื่องนุ่งห่มชิ้นแรกที่บรรพบุรุษของพวกเราสวมใส่?”  เจ้าสามารถตอบได้ว่า “เป็นเสื้อขนสัตว์”  “ใครทำเสื้อขนสัตว์นี้?”  เจ้าก็สามารถตอบได้ว่า “พระเจ้าทรงทำขึ้น!”  นั่นคือประเด็นปัญหาหลักตรงนี้ กล่าวคือ เสื้อผ้านี้ทำขึ้นโดยพระเจ้า  นั่นไม่ใช่บางสิ่งที่มีค่าคู่ควรต่อการเสวนาหรอกหรือ?  หลังจากได้ฟังคำบรรยายของเรา มีภาพผุดขึ้นในจิตใจของเจ้าหรือไม่?  อย่างน้อยเจ้าควรมีเค้าโครงคร่าวๆ  ประเด็นปัญหาของการบอกเจ้าเรื่องนี้ในวันนี้ไม่ใช่เพื่อให้พวกเจ้ารู้ว่าเสื้อผ้าชิ้นแรกของมนุษย์คืออะไร  เช่นนั้นแล้วอะไรคือประเด็นปัญหา?  ประเด็นปัญหาไม่ใช่เสื้อขนสัตว์ แต่เป็นวิธีที่ผู้คนได้มารู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงมี และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ดังที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำตรงนี้

“พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย”  ในฉากนี้ เราเห็นพระเจ้าทรงสวมบทบาทประเภทใดเมื่อพระองค์ทรงอยู่กับอาดัมและเอวา?  พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองด้วยวิธีใดเล่า ในโลกนี้ที่มีมนุษย์เพียงสองคน?  พระองค์ทรงสำแดงพระองค์เองในบทบาทของพระเจ้าหรือไม่?  พี่น้องชายหญิงจากฮ่องกง โปรดตอบ  (ในบทบาทของผู้ปกครองคนหนึ่ง)  พี่น้องชายหญิงจากเกาหลีใต้ พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงปรากฏเป็นบทบาทประเภทใด?  (หัวหน้าครอบครัว)  พี่น้องชายหญิงจากไต้หวัน เจ้าคิดว่าอะไร?  (บทบาทของใครบางคนในครอบครัวของอาดัมและเอวา บทบาทของสมาชิกครอบครัว)  พวกเจ้าบางคนคิดว่าพระเจ้าทรงปรากฏในฐานะสมาชิกครอบครัวของอาดัมและเอวา ในขณะที่บางคนพูดว่าพระเจ้าทรงปรากฏในฐานะหัวหน้าครอบครัว และคนอื่นๆ พูดว่าผู้ปกครอง  ทั้งหมดนี้เหมาะสมอย่างยิ่ง  แต่เจ้าเห็นสิ่งที่เรากำลังจะหมายถึงหรือไม่?  พระเจ้าได้ทรงสร้างผู้คนสองคนนี้และปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะพระสหายของพระองค์  ในฐานะครอบครัวเดียวของพวกเขา พระเจ้าทรงดูแลชีวิตของพวกเขาและเอาใจใส่ความต้องการด้านอาหาร เสื้อผ้าและที่พักอาศัยของพวกเขา  ตรงนี้พระเจ้าทรงปรากฏเป็นผู้ปกครองของอาดัมและเอวา  ในขณะที่พระเจ้าทรงทำสิ่งนี้ มนุษย์ไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงสูงส่งเพียงใด เขาไม่เห็นพระอำนาจสูงสุดของพระเจ้า ความล้ำลึกของพระองค์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เห็นพระพิโรธหรือพระบารมีของพระองค์  ทั้งหมดที่เขาเห็นคือความถ่อมพระทัยของพระเจ้า ความเสน่หาของพระองค์ ความห่วงใยของพระองค์ต่อมนุษย์ และความรับผิดชอบและความใส่พระทัยของพระองค์ต่อเขา  ท่าทีและวิธีที่พระเจ้าได้ทรงใช้ปฏิบัติต่ออาดัมและเอวานั้นคล้ายกับวิธีที่บิดามารดาแสดงความห่วงใยต่อลูกๆ ของพวกเขา  ก็เหมือนกับวิธีที่บิดามารดารัก ดูแล และใส่ใจลูกชายและลูกสาวของตัวเองอีกด้วย—คือเป็นจริง มองเห็นได้ และจับต้องได้  แทนที่จะทรงยกพระองค์เองขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงและทรงมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าได้ทรงใช้หนังสัตว์เพื่อทำเสื้อผ้าให้กับมนุษย์ด้วยพระองค์เอง  มันไม่สำคัญว่าเสื้อขนสัตว์นี้ได้ถูกใช้เพื่อปกปิดความกระดากอายของพวกเขา หรือเพื่อป้องกันพวกเขาจากความหนาวเย็น  สิ่งที่สำคัญคือว่าเสื้อผ้าสำหรับปกปิดร่างกายของมนุษย์นี้ถูกทำขึ้นโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง  แทนที่จะเพียงแค่ทรงคิดให้เสื้อผ้าเกิดขึ้นมาเอง หรือทรงใช้วิธีการอัศจรรย์อื่นๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นที่ผู้คนอาจจินตนาการว่าพระเจ้าจะทรงทำ แต่พระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งอย่างถูกต้องตามเหตุผลที่มนุษย์คงจะคิดว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทำและไม่ควรทรงทำ  นี่อาจดูเหมือนเป็นเรื่องไม่สำคัญ—ผู้คนบางคนอาจไม่แม้แต่จะคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะพูดถึง—แต่มันให้โอกาสผู้ติดตามคนใดของพระเจ้าที่ได้ถูกรุมเร้าด้วยมโนคติที่คลุมเครือเกี่ยวกับพระองค์ได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกถึงความจริงแท้และความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ และเห็นความสัตย์ซื่อและความถ่อมพระทัยของพระองค์  มันทำให้ผู้คนที่โอหังจนแทบกลั้นไม่อยู่ซึ่งคิดว่าพวกเขาสูงส่งและทรงพลัง ก้มหัวที่อวดดีของพวกเขาด้วยความอับอาย ต่อหน้าความจริงแท้และความถ่อมพระทัยของพระเจ้า  ในที่นี้ ความจริงแท้และความถ่อมพระทัยของพระเจ้ายิ่งทำให้ผู้คนสามารถเห็นว่าพระองค์ทรงน่ารักน่าชื่นชอบเพียงใด  ในทางตรงกันข้าม พระเจ้า “ผู้ทรงใหญ่โต” พระเจ้า “ผู้ทรงน่ารักน่าชื่นชอบ” และ พระเจ้า “ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” ที่ผู้คนยึดถือไว้ในหัวใจของพวกเขา ได้กลายเป็นไม่สำคัญและน่าเกลียด และแตกละเอียดเมื่อถูกแตะเพียงเบาๆ  เมื่อเจ้าเห็นข้อเขียนนี้และได้ยินเรื่องราวนี้ เจ้าดูถูกพระเจ้าเพราะพระองค์ได้ทรงทำสิ่งเช่นนี้หรือไม่?  ผู้คนบางคนอาจทำเช่นนั้น แต่คนอื่นๆ จะมีปฏิกิริยาที่ตรงกันข้าม  พวกเขาจะคิดว่าพระเจ้านั้นทรงเที่ยงแท้และทรงน่ารักน่าชื่นชอบ และแน่นอนว่าเป็นความเที่ยงแท้และความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้านี่เองที่เร้าอารมณ์พวกเขา  ยิ่งพวกเขาเห็นด้านที่แท้จริงของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสามารถซาบซึ้งในการมีอยู่จริงของความรักของพระเจ้า ความสำคัญของพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา และวิธีที่พระองค์ทรงยืนเคียงข้างพวกเขาทุกชั่วขณะมากขึ้นเท่านั้น

บัดนี้ พวกเรามาเชื่อมโยงการเสวนาของพวกเรากลับมายังปัจจุบัน  หากพระเจ้าทรงสามารถทำสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้เพื่อผู้คนที่พระองค์ได้ทรงสร้างเมื่อปฐมกาล แม้กระทั่งสิ่งที่ผู้คนคงจะไม่กล้านึกถึงหรือคาดหวัง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงสามารถทำสิ่งเหล่านี้เพื่อผู้คนในวันนี้ได้หรือไม่?  บางคนพูดว่า “ได้!”  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะแก่นแท้ของพระเจ้าไม่ได้ทรงแสร้งทำ และความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ก็ไม่ได้แสร้งทำ  แก่นแท้ของพระเจ้าทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริงและไม่ได้เป็นบางสิ่งที่ผู้อื่นเพิ่มเติมเข้ามา และไม่ใช่บางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา สถานที่ และยุคสมัยที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน  ความเที่ยงแท้และความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าสามารถนำออกมาได้อย่างแท้จริงโดยการทำบางสิ่งที่ผู้คนคิดว่าไร้ความหมายและไม่มีนัยสำคัญเท่านั้น—บางสิ่งที่เล็กน้อยเสียจนผู้คนคงจะไม่คิดว่าพระองค์จะทรงทำ  พระเจ้าไม่ทรงตลบตะแลง  ไม่มีการพูดเกินจริง การปลอมแปลง ความเย่อหยิ่ง หรือความโอหังในพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์  พระองค์ไม่มีวันทรงอวดตัว แต่ทรงรัก แสดงความห่วงใย ดูแล และนำทางมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง ด้วยความสัตย์ซื่อและความจริงใจแทน  ไม่สำคัญว่าผู้คนจะซาบซึ้ง รู้สึก หรือเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำน้อยเพียงใด พระองค์ก็กำลังทรงทำอยู่อย่างแน่นอน  การรู้ว่าพระเจ้าทรงมีแก่นแท้เช่นนี้จะมีผลกระทบต่อความรักของผู้คนต่อพระองค์หรือไม่?  จะมีอิทธิพลต่อความยำเกรงพระเจ้าของพวกเขาหรือไม่?  เราหวังว่าเมื่อเจ้าเข้าใจด้านที่แท้จริงของพระเจ้า เจ้าจะเข้าใกล้ชิดกับพระองค์มากยิ่งขึ้น และสามารถซาบซึ้งอย่างแท้จริงมากขึ้นในความรักและความใส่พระทัยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ ตลอดจนสามารถมอบหัวใจของเจ้าให้กับพระเจ้าและได้รับการปลดปล่อยจากความคลางแคลงใจและความสงสัยเกี่ยวกับพระองค์  พระเจ้ากำลังทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเงียบๆ เพื่อมนุษย์ ทำอย่างเงียบๆ โดยผ่านทางความจริงใจ ความสัตย์ซื่อ และความรักของพระองค์  แต่พระองค์ไม่เคยได้ทรงมีความหวาดหวั่นหรือความเสียใจอันใดกับสิ่งอันใดที่พระองค์ทรงทำ และพระองค์ไม่เคยทรงต้องการให้ผู้ใดตอบแทนพระองค์ในทางใดทางหนึ่ง หรือทรงมีเจตนารมณ์ที่จะได้รับสิ่งใดจากมวลมนุษย์แต่อย่างใด  จุดประสงค์เดียวของทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงทำมาเสมอก็เพื่อที่พระองค์จะทรงสามารถรับความเชื่อและความรักที่แท้จริงของมวลมนุษย์  และด้วยประโยคนั้น เราจะจบหัวข้อแรกตรงนี้

การเสวนาเหล่านี้ได้ช่วยพวกเจ้าหรือไม่?  การเสวนาเหล่านี้เป็นประโยชน์มากเพียงใด?  (พวกเรามีความเข้าใจและความรู้เรื่องความรักของพระเจ้ามากขึ้น)  (วิธีการสามัคคีธรรมนี้สามารถช่วยพวกเราในอนาคตให้ซาบซึ้งกับพระวจนะของพระเจ้าได้ดีขึ้น เพื่อจับใจความพระอารมณ์ที่พระองค์ได้ทรงมี และความหมายเบื้องหลังสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ได้ตรัสเมื่อพระองค์ได้ตรัสพระวจนะเหล่านั้น และเพื่อสำนึกรับรู้สิ่งที่พระองค์ได้ทรงรู้สึก ณ เวลานั้น)  พวกเจ้าคนใดบ้างที่ตระหนักรู้อย่างกระตือรือร้นยิ่งขึ้นถึงการทรงดำรงอยู่จริงของพระเจ้าหลังจากได้อ่านพระวจนะเหล่านี้?  เจ้ารู้สึกว่าการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าไม่กลวงหรือคลุมเครืออีกต่อไปหรือไม่?  ทันทีที่เจ้ามีความรู้สึกนี้ เจ้าก็สามารถสำนึกรับรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเจ้านั่นเองหรือไม่?  บางทีความรู้สึกยังไม่ชัดเจนในขณะนี้ หรือเจ้าอาจยังไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้  แต่สักวันหนึ่งเมื่อเจ้ามีความซาบซึ้งที่ลึกล้ำและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าอย่างแท้จริงในหัวใจของพวกเจ้า เจ้าก็จะสำนึกรับรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ข้างเจ้านั่นเอง—เจ้าเพียงไม่เคยได้ยอมรับพระเจ้าเข้าสู่หัวใจของเจ้าอย่างแท้จริง  และนั่นคือความจริง!

พวกเจ้าคิดอะไรเกี่ยวกับวิธีเข้าหาสามัคคีธรรมวิธีนี้?  พวกเจ้าสามารถตามทันได้หรือไม่?  พวกเจ้าคิดว่าสามัคคีธรรมแบบนี้เกี่ยวกับหัวข้อแห่งพระราชกิจของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นหนักมากหรือไม่?  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?  (ดีมาก ตื่นเต้น)  อะไรได้ทำให้เจ้ารู้สึกดี?  ทำไมเจ้าจึงได้ตื่นเต้น?  (มันเหมือนกับการได้กลับไปที่สวนเอเดน กลับไปอยู่เคียงข้างพระเจ้า)  จริงๆ แล้ว “พระอุปนิสัยของพระเจ้า” เป็นหัวข้อที่ไม่ค่อยคุ้นเคยนักสำหรับผู้คนเพราะสิ่งที่พวกเจ้าจินตนาการตามปกติ และสิ่งที่พวกเจ้าอ่านในหนังสือหรือได้ยินในสามัคคีธรรม มีแนวโน้มที่จะทำให้เจ้ารู้สึกค่อนข้างเหมือนคนตาบอดที่กำลังสัมผัสตัวช้าง—เจ้าเพียงกำลังลูบคลำด้วยมือของเจ้า แต่จริงๆ แล้วเจ้าไม่สามารถนึกภาพสิ่งใดได้เลย  การคลำหาไปรอบๆ อย่างมืดบอดไม่สามารถทำให้เจ้ามีความเข้าใจแม้จะหยาบๆ เกี่ยวกับพระเจ้าได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงมโนทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับพระองค์ เป็นเพียงการกระตุ้นจินตนาการของเจ้าเพิ่มเติมเท่านั้น ป้องกันไม่ให้เจ้านิยามอย่างแม่นยำถึงสิ่งที่พระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าเป็น และความไม่แน่นอนทั้งหลายที่ก่อเกิดจากจินตนาการของเจ้าจะทำให้หัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยความสงสัยเสมอไป  เมื่อเจ้าไม่สามารถแน่ใจเกี่ยวกับบางสิ่ง แต่ยังคงพยายามเข้าใจสิ่งนั้น ก็จะมีความไม่ลงรอยกันและความขัดแย้งในหัวใจของเจ้าเสมอ และแม้กระทั่งสำนึกรับรู้แห่งการรบกวนใจ ทิ้งให้เจ้าเสียศูนย์และสับสน  การต้องการแสวงหาพระเจ้า รู้จักพระเจ้า และเห็นพระองค์อย่างชัดเจน แต่ไม่เคยดูเหมือนจะสามารถพบคำตอบได้ไม่ใช่สิ่งที่สร้างความเจ็บปวดใจหรอกหรือ?  แน่นอนพระวจนะเหล่านี้เพียงแค่มีเป้าหมายไปยังพวกที่อยากพยายามยำเกรงและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย  สำหรับผู้คนที่ไม่ให้ความสนใจอันใดกับสิ่งต่างๆ เช่นนี้ จริงๆ แล้ว นี่ไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่พวกเขาหวังจะได้มากที่สุดก็คือว่าความเป็นจริงและการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าเป็นเพียงตำนานหรือความเพ้อฝัน เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาอยากทำได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถประกอบการกระทำชั่วได้โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับการลงโทษหรือแบกรับความรับผิดชอบอันใด และเพื่อที่แม้แต่สิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับพวกคนชั่วก็ไม่ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับพวกเขา  ผู้คนเหล่านี้ไม่เต็มใจที่จะจับใจความพระอุปนิสัยของพระเจ้า  พวกเขารังเกียจการพยายามรู้จักพระเจ้า และทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระองค์  พวกเขาจะอยากให้พระเจ้าไม่ทรงมีอยู่จริงมากกว่า  ผู้คนเหล่านี้ต่อต้านพระเจ้า และพวกเขาอยู่ท่ามกลางพวกที่จะถูกกำจัดออกไป

ถัดไป พวกเราจะเสวนาเรื่องราวของโนอาห์และวิธีที่มันสัมพันธ์กับหัวข้อ พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง

พวกเจ้าเห็นว่าพระเจ้ากำลังทรงทำอะไรต่อโนอาห์ในส่วนนี้ของข้อพระคัมภีร์?  บางทีทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่รู้บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้จากการอ่านข้อพระคัมภีร์ นั่นคือ พระเจ้าได้ทรงทำให้โนอาห์สร้างเรือ จากนั้นพระเจ้าก็ทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วม  พระเจ้าได้ทรงให้โนอาห์สร้างเรือเพื่อช่วยครอบครัวแปดคนของเขาให้รอด ซึ่งได้ให้โอกาสพวกเขาอยู่รอด และกลายเป็นบรรพบุรุษสำหรับรุ่นต่อไปของมวลมนุษย์  พวกเราหันไปหาคัมภีร์กัน

ข. โนอาห์

1. พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทำลายโลกด้วยน้ำท่วม และทรงสั่งให้โนอาห์สร้างเรือ

ปฐมกาล 6:9-14  ต่อไปนี้คือลำดับพงศ์พันธุ์ของโนอาห์ โนอาห์เป็นคนชอบธรรมดีพร้อมในสมัยของเขา โนอาห์ดำเนินกับพระเจ้า  โนอาห์มีบุตรสามคน ชื่อเชม ฮาม และยาเฟท  คนทั้งโลกเสื่อมทรามไปเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และแผ่นดินก็เต็มไปด้วยความโหดร้าย  พระเจ้าทอดพระเนตรแผ่นดินก็ทรงเห็นว่าเสื่อมทราม เพราะมนุษย์ทั้งหมดประพฤติตนเสื่อมทรามบนแผ่นดิน  พระเจ้าจึงตรัสแก่โนอาห์ว่า “เราจะให้มนุษย์และสัตว์ทั้งปวงสิ้นสุดต่อหน้าเรา ด้วยเหตุว่า แผ่นดินโลกเต็มไปด้วยความโหดร้ายเพราะการกระทำของมนุษย์ ดูเถิด เราจะทำลายพวกเขาพร้อมกับแผ่นดินโลก  เจ้าจงต่อเรือด้วยไม้สนโกเฟอร์ แล้วทำเรือเป็นห้องๆ และยาชันทั้งข้างในข้างนอก”

ปฐมกาล 6:18-22  “แต่เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับเจ้า เจ้าจะเข้าอยู่ในเรือ ทั้งตัวเจ้า บรรดาบุตรของเจ้า ภรรยาของเจ้า และบรรดาบุตรสะใภ้ของเจ้า  จงนำสัตว์ตัวผู้และตัวเมียทุกชนิดอย่างละคู่จากสัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวงเข้าไปไว้ในเรือ เพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่กับเจ้า  นกตามชนิดของมัน สัตว์ตามชนิดของมัน สัตว์เลื้อยคลานบนแผ่นดินตามชนิดของมัน ทุกชนิดอย่างละคู่จากสัตว์ทั้งปวงต้องมาหาเจ้า เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้  เจ้าจงนำอาหารทุกอย่างที่กินได้ไปกับเจ้า และสะสมเพื่อเป็นอาหารของเจ้าและของบรรดาสิ่งมีชีวิต”  พระเจ้าทรงบัญชาให้โนอาห์ทำอย่างไร โนอาห์ก็ทำอย่างนั้นทุกประการ

บัดนี้พวกเจ้ามีความเข้าใจกว้างๆ แล้วหรือไม่ว่าโนอาห์คือใครหลังจากที่ได้อ่านสองบทตอนนี้?  โนอาห์เป็นบุคคลประเภทใด?  ข้อความเดิมมีว่า “โนอาห์เป็นคนชอบธรรมดีพร้อมในสมัยของเขา”  โดยสอดคล้องกับความเข้าใจของผู้คนสมัยใหม่ บุคคลประเภทใดเล่าที่เป็น “คนชอบธรรม” ในสมัยนั้น?  คนชอบธรรมควรเป็นคนที่มีความเพียบพร้อม  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่มีความเพียบพร้อมนี้มีความเพียบพร้อมในสายตาของมนุษย์ หรือมีความเพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่มีความเพียบพร้อมนี้เป็นคนที่มีความเพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ในสายตาของมนุษย์  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน!  นี่เป็นเพราะมนุษย์ตาบอดและมองไม่เห็น และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเฝ้ามองแผ่นดินโลกทั้งปวงและทุกๆ บุคคล และพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ว่าโนอาห์เป็นคนที่มีความเพียบพร้อม  เพราะฉะนั้นแผนการของพระเจ้าที่จะทำลายโลกด้วยน้ำท่วมจึงได้เริ่มต้นตั้งแต่วินาทีที่พระองค์ทรงเรียกหาโนอาห์

ในยุคนั้น พระเจ้าได้ตั้งพระทัยที่จะเรียกหาโนอาห์ให้ทำบางสิ่งซึ่งสำคัญมาก  เหตุใดภารกิจนี้จึงต้องทำให้สำเร็จ?  เพราะพระเจ้าได้ทรงมีแผนการในพระทัยของพระองค์ ณ ขณะนั้นแล้ว  แผนการของพระองค์คือการทำลายโลกด้วยน้ำท่วม  เหตุใดพระองค์จะทรงทำลายโลก?  ตามที่พูดไว้ตรงนี้ว่า “คนทั้งโลกเสื่อมทรามไปเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และแผ่นดินก็เต็มไปด้วยความโหดร้าย”  เจ้าได้รับรู้อะไรบ้างจากวลีที่ว่า “แผ่นดินก็เต็มด้วยความโหดร้าย”  มันเป็นปรากฏการณ์บนแผ่นดินโลกที่โลกและผู้คนในโลกได้กลายเป็นเสื่อมทรามสุดขีด ด้วยเหตุนี้ “แผ่นดินก็เต็มด้วยความโหดร้าย”  ในสำนวนของวันนี้ “เต็มด้วยความโหดร้าย” จะหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด  สำหรับมนุษย์นั่นหมายความว่าระเบียบทุกรูปแบบได้สูญหายไปจากทุกด้านของชีวิต และหมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้กลายเป็นวุ่นวายและไม่สามารถจัดการได้  ในสายพระเนตรของพระเจ้า นั่นหมายความว่าผู้คนในโลกได้กลายเป็นเสื่อมทรามเกินไปแล้ว  แต่เสื่อมทรามถึงระดับใดเล่า?  เสื่อมทรามถึงระดับที่พระเจ้าไม่ทรงสามารถทนเฝ้ามองหรืออดทนกับพวกเขาได้อีกต่อไป  เสื่อมทรามถึงระดับที่พระเจ้าได้ตั้งพระทัยที่จะทำลายพวกเขา  เมื่อพระเจ้าได้ตัดสินพระทัยแน่วแน่ที่จะทำลายโลก พระองค์ก็ได้ทรงวางแผนที่จะหาใครสักคนมาสร้างเรือ  พระเจ้าได้ทรงเลือกโนอาห์ให้ปฏิบัติภารกิจนี้ นั่นคือ พระองค์ได้ทรงให้โนอาห์สร้างเรือ  เหตุใดพระองค์จึงได้ทรงเลือกโนอาห์?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า โนอาห์เป็นคนชอบธรรม ไม่สำคัญว่าพระเจ้าได้ทรงสั่งให้เขาทำอะไร โนอาห์ก็ได้ทำตามนั้น  กล่าวคือโนอาห์เต็มใจทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าได้ตรัสบอกให้เขาทำ  พระเจ้าได้ทรงต้องการหาใครสักคนเหมือนแบบนี้มาทำงานกับพระองค์ เพื่อทำสิ่งที่พระองค์ได้ทรงไว้วางใจมอบหมายให้จนครบบริบูรณ์—เพื่อทำให้พระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกครบบริบูรณ์  ย้อนกลับไปตอนนั้น ได้มีบุคคลอื่นใดนอกจากโนอาห์ที่สามารถทำให้ภารกิจเช่นนี้ครบบริบูรณ์ได้อยู่หรือไม่?  ไม่มีแน่นอน!  โนอาห์เป็นผู้ท้าชิงเพียงคนเดียว เป็นบุคคลคนเดียวที่สามารถทำให้สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงไว้วางใจมอบหมายให้ครบบริบูรณ์ได้ และดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงเลือกเขา  แต่ข้อจำกัดและมาตรฐานต่างๆ ของพระเจ้าในการช่วยผู้คนให้รอดในตอนนี้เหมือนกับในตอนนั้นหรือไม่?  คำตอบคือมีความแตกต่างอย่างแน่นอน!  และเหตุใดเราจึงถามเช่นนี้?  โนอาห์ได้เป็นคนชอบธรรมคนเดียวในสายพระเนตรของพระเจ้าในระหว่างเวลานั้น ซึ่งหมายความโดยนัยว่าทั้งภรรยาของเขาและลูกชายหรือลูกสะใภ้ของเขาไม่ว่าคนใดไม่ได้เป็นคนชอบธรรม แต่พระเจ้ายังคงทรงละเว้นพวกเขาเพราะโนอาห์  พระเจ้าไม่ได้ทรงให้ข้อเรียกร้องกับพวกเขาด้วยวิธีที่พระองค์ทรงใช้ในตอนนี้ และได้ทรงปล่อยให้สมาชิกทั้งแปดของครอบครัวโนอาห์มีชีวิตต่อไปแทน  พวกเขาได้รับพรจากพระเจ้าเพราะความชอบธรรมของโนอาห์  หากไม่มีโนอาห์ ก็ไม่มีสักคนท่ามกลางพวกเขาสามารถทำให้สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงไว้วางใจมอบหมายให้ครบบริบูรณ์ได้  เพราะฉะนั้น โนอาห์จึงได้เป็นบุคคลคนเดียวที่ควรจะได้อยู่รอดจากการทำลายโลก และคนอื่นๆ ก็เป็นเพียงผู้รับประโยชน์สมทบ  นี่แสดงให้เห็นว่าในยุคก่อนที่พระเจ้าจะได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจการบริหารจัดการของพระองค์อย่างเป็นทางการ หลักการและมาตรฐานที่พระองค์ได้ทรงใช้ในการปฏิบัติต่อผู้คนและได้ทรงเรียกร้องให้พวกเขาทำตามนั้นค่อนข้างผ่อนคลาย  สำหรับผู้คนในวันนี้ วิธีที่พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติต่อครอบครัวแปดคนของโนอาห์ดูเหมือนจะขาด “ความเป็นธรรม”  แต่เมื่อเทียบกับปริมาณพระราชกิจมหาศาลที่พระองค์ทรงทำกับผู้คนในตอนนี้ และจำนวนมหาศาลของพระวจนะของพระองค์ที่พระองค์ทรงสื่อออกมาในตอนนี้ การปฏิบัติของพระเจ้าต่อครอบครัวแปดคนของโนอาห์นั้นได้เป็นเพียงหลักการพระราชกิจ เมื่อคำนึงถึงภูมิหลังของพระราชกิจของพระองค์ ณ เวลานั้น  เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ครอบครัวแปดคนของโนอาห์ หรือผู้คนในวันนี้ ได้รับจากพระเจ้ามากกว่ากัน?

การที่โนอาห์ถูกเรียกใช้นั้นเป็นข้อเท็จจริงที่เรียบง่าย แต่ประเด็นปัญหาหลักของสิ่งที่พวกเรากำลังพูดถึง—พระอุปนิสัยของพระเจ้า เจตนารมณ์ของพระองค์ และแก่นแท้ของพระองค์ในบันทึกนี้—ไม่เรียบง่ายอย่างนั้น  เพื่อให้เข้าใจแง่มุมต่างๆ เหล่านี้ของพระเจ้า ก่อนอื่นพวกเราต้องเข้าใจว่าบุคคลประเภทใดที่พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะเรียกใช้ และโดยผ่านทางการนี้ เข้าใจพระอุปนิสัย เจตนารมณ์และแก่นแท้ของพระองค์  เรื่องนี้สำคัญยิ่งยวด  ดังนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วนั้น มนุษย์ผู้นี้ที่พระองค์ทรงเรียกใช้คือบุคคลประเภทใดกันแน่?  นี่ต้องเป็นบุคคลที่สามารถฟังพระวจนะของพระองค์และที่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ได้  ในขณะเดียวกันนี่ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบอีกด้วย ใครสักคนที่จะดำเนินการตามพระวจนะของพระเจ้าด้วยการปฏิบัติต่อพระวจนะเสมือนความรับผิดชอบและหน้าที่ที่พวกเขาจะต้องทำให้ลุล่วง  เช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี้จำเป็นต้องเป็นใครสักคนที่รู้จักพระเจ้าหรือไม่?  ไม่จำเป็น  ย้อนกลับไปในเวลานั้น โนอาห์ไม่เคยได้ยินคำสอนของพระเจ้า หรือได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจอันใดของพระเจ้ามากนัก  เพราะฉะนั้นโนอาห์จึงมีความรู้เรื่องพระเจ้าน้อยมาก  แม้ว่าจะมีการบันทึกไว้ตรงนี้ว่าโนอาห์เคยเดินกับพระเจ้า แต่เขาเคยได้เห็นสภาวะบุคคลของพระเจ้าหรือไม่?  คำตอบคือไม่อย่างแน่นอน!  เพราะในสมัยนั้น มีเพียงผู้ส่งสารของพระเจ้าเท่านั้นที่มาท่ามกลางผู้คน  ในขณะที่พวกเขาสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าในการพูดและทำสิ่งต่างๆ พวกเขาก็เพียงกำลังสื่อถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเจตนารมณ์ของพระองค์  สภาวะบุคคลของพระเจ้าไม่ทรงเปิดเผยต่อมนุษย์แบบต่อหน้าต่อตา  ในส่วนนี้ของข้อพระคัมภีร์ ทั้งหมดที่เราเห็นโดยพื้นฐานแล้วคือสิ่งที่โนอาห์ต้องทำและสิ่งที่เป็นคำสั่งที่พระเจ้าได้ทรงมีต่อเขา  ดังนั้นอะไรคือแก่นแท้ที่พระเจ้าได้ทรงแสดงออกตรงนี้?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำได้รับการวางแผนอย่างแม่นยำ  เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่ามีสิ่งหรือสถานการณ์กำลังเกิดขึ้น ในสายพระเนตรของพระองค์มีมาตรฐานเพื่อใช้ประเมินอยู่แล้ว และมาตรฐานนี้กำหนดว่าพระองค์จะทรงเปิดตัวแผนการที่จะจัดการกับมันหรือไม่ หรือวิธีเข้าหาอะไรที่จะใช้ในการจัดการกับสิ่งหรือสถานการณ์นี้  พระองค์ไม่ทรงเมินเฉย หรือขาดแคลนความรู้สึกต่อทุกสิ่งทุกอย่าง  อันที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง  มีข้อเขียนหนึ่งตรงนี้ที่ระบุสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสแก่โนอาห์ว่า “เราจะให้มนุษย์และสัตว์ทั้งปวงสิ้นสุดต่อหน้าเรา ด้วยเหตุว่า แผ่นดินโลกเต็มไปด้วยความโหดร้ายเพราะการกระทำของมนุษย์ ดูเถิด เราจะทำลายพวกเขาพร้อมกับแผ่นดินโลก”  เมื่อพระเจ้าได้ตรัสการนี้ พระองค์ทรงหมายความว่าพระองค์กำลังทรงทำลายมนุษย์เท่านั้นหรือไม่?  ไม่!  พระเจ้าได้ตรัสว่าพระองค์กำลังจะทรงทำลายสิ่งมีชีวิตที่มีเนื้อหนังทั้งหมด  เหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงต้องการความย่อยยับ?  มีการเปิดเผยถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าอีกอย่างหนึ่งในที่นี้ ในสายพระเนตรของพระเจ้ามีขีดจำกัดในความอดทนของพระองค์ต่อความเสื่อมทรามของมนุษย์ ต่อความโสโครก ความโหดร้าย และความเป็นกบฏของมนุษย์ทั้งหมด  อะไรคือขีดจำกัดของพระองค์?  ดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “พระเจ้าทอดพระเนตรแผ่นดินก็ทรงเห็นว่าเสื่อมทราม เพราะมนุษย์ทั้งหมดประพฤติตนเสื่อมทรามบนแผ่นดิน”  วลีที่ว่า “เพราะมนุษย์ทั้งหมดประพฤติตนเสื่อมทรามบนแผ่นดิน” หมายความว่าอะไร?  มันหมายความว่าสิ่งมีชีวิตอันใด รวมถึงพวกที่ได้ติดตามพระเจ้า พวกที่ได้ร้องเรียกพระนามของพระเจ้า พวกที่ครั้งหนึ่งได้เคยทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระเจ้า พวกที่ได้ยอมรับรู้พระเจ้าด้วยวาจา และถึงกับสรรเสริญพระเจ้า—ทันทีที่พฤติกรรมของพวกเขาเต็มไปด้วยความเสื่อมทราม และไปถึงพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ก็จะต้องทำลายพวกเขา  นั่นคือขีดจำกัดของพระเจ้า  ดังนั้นพระเจ้าจะยังคงทรงอดทนต่อมนุษย์และความเสื่อมทรามของมนุษย์ทั้งหมดถึงระดับใด?  ถึงระดับที่ผู้คนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดตามของพระเจ้าหรือผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่ได้กำลังเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง  ถึงระดับที่มนุษย์ไม่ได้เพียงเสื่อมทรามทางศีลธรรม และเต็มไปด้วยความชั่ว แต่ในที่ที่ไม่มีใครสักคนได้เชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีผู้ใดที่ได้เชื่อว่าโลกถูกปกครองโดยพระเจ้า และเชื่อว่าพระเจ้าสามารถนำความสว่างและเส้นทางที่ถูกต้องมาให้มนุษย์ได้  ถึงระดับที่มนุษย์ได้ดูหมิ่นการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า และไม่อนุญาตให้พระเจ้าทรงดำรงอยู่  ทันทีที่ความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้ไปถึงจุดนี้ พระเจ้าก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป  อะไรจะมาแทนที่เล่า?  การมาถึงของพระพิโรธและการลงโทษของพระเจ้านั่นเอง  นั่นไม่ใช่การเปิดเผยบางส่วนของพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรอกหรือ?  ในยุคปัจจุบันนี้ ไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าเลยหรือ?  ไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่มีความเพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้าเลยหรือ?  ยุคนี้เป็นยุคที่พฤติกรรมของมนุษย์ทั้งหมดบนแผ่นดินโลกเสื่อมทรามในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่?  ในยุคสมัยนี้ผู้คนทั้งหมดที่มีเนื้อหนัง—นอกเหนือจากบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงต้องการทำให้ครบบริบูรณ์ และบรรดาผู้ที่สามารถติดตามพระเจ้าและยอมรับความรอดของพระองค์—ไม่ได้กำลังท้าทายขีดจำกัดของความอดทนของพระเจ้าหรอกหรือ?  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นข้างๆ พวกเจ้า—สิ่งที่พวกเจ้าเห็นด้วยตาของพวกเจ้าและได้ยินด้วยหูของพวกเจ้า และได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเองทุกวันในโลกนี้—ไม่เต็มไปด้วยความโหดร้ายหรอกหรือ?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า โลกเช่นนี้ ยุคเช่นนี้ ไม่ควรอวสานลงหรอกหรือ?  แม้ว่าภูมิหลังของยุคปัจจุบันจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภูมิหลังของเวลาของโนอาห์ แต่ความรู้สึกและพระพิโรธที่พระเจ้าทรงมีต่อความเสื่อมทรามของมนุษย์ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ  พระเจ้าทรงสามารถอดทนได้เพราะพระราชกิจของพระองค์ แต่เมื่อพิจารณารูปการณ์แวดล้อมและสภาพเงื่อนไข ในสายพระเนตรของพระเจ้า โลกนี้น่าจะได้ถูกทำลายไปนานแล้ว  รูปการณ์แวดล้อมแตกต่างจากที่เคยเป็นเมื่อตอนที่โลกถูกน้ำท่วมใหญ่ทำลายล้างเหลือเกิน  แต่อะไรคือความแตกต่าง?  นี่ก็คือสิ่งที่ทำให้พระเจ้าเศร้าพระทัยที่สุดอีกด้วย และบางทีอาจเป็นบางสิ่งที่พวกเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้

เมื่อพระองค์ได้ทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วม พระเจ้าได้ทรงสามารถเรียกใช้โนอาห์ให้สร้างเรือ และทำงานด้านการตระเตรียมบางส่วนได้  พระเจ้าทรงสามารถเรียกใช้ชายคนหนึ่ง—โนอาห์—ให้ทำสิ่งต่างๆ ตามลำดับเหล่านี้เพื่อพระองค์  แต่ในยุคปัจจุบันนี้พระเจ้าไม่ทรงมีผู้ใดให้เรียกใช้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ทุกๆ บุคคลที่นั่งอยู่ที่นี่น่าจะเข้าใจและรู้เหตุผลเป็นอย่างดีมาก  เจ้าต้องให้เราอธิบายโดยละเอียดหรือไม่?  การพูดออกมาดังๆ อาจทำให้เจ้าเสียหน้า และทำให้ทุกคนอารมณ์เสีย  ผู้คนบางคนอาจพูดว่า “แม้ว่าพวกเราจะไม่ใช่ผู้คนชอบธรรม และพวกเราไม่ได้เป็นผู้คนที่มีความเพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่หากพระเจ้าจะทรงสั่งพวกเราให้ทำอะไรสักอย่าง พวกเราก็ยังคงจะสามารถทำสิ่งนั้นได้  ก่อนหน้านี้เมื่อพระองค์ได้ตรัสว่าความวิบัติมหันต์กำลังมา พวกเราก็จะเริ่มตระเตรียมอาหารและสิ่งของต่างๆ ที่จะจำเป็นในความวิบัติ  ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกเราไม่ได้กำลังร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าจริงๆ หรอกหรือ?  สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่พวกเราได้ทำไปไม่สามารถเปรียบเทียบกับสิ่งที่โนอาห์ได้ทำหรอกหรือ?  การที่พวกเราทำสิ่งที่ได้ทำไปไม่ใช่การนบนอบที่แท้จริงหรอกหรือ?  พวกเราไม่ได้กำลังปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกเราไม่ได้ทำสิ่งที่พระเจ้าตรัสเพราะพวกเรามีความเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้วเหตุใดพระเจ้ายังทรงโศกเศร้าเล่า?  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสว่าพระองค์ไม่ทรงมีใครให้ทรงเรียกใช้เล่า?”  มีความแตกต่างใดหรือไม่ระหว่างการกระทำของเจ้ากับการกระทำของโนอาห์?  อะไรคือความแตกต่าง?  (การตระเตรียมอาหารในวันนี้สำหรับความวิบัตินั้นเป็นเจตนาของพวกเราเอง)  (การกระทำต่างๆ ของพวกเราไม่สามารถรวมกันกลายเป็น “ชอบธรรม” ได้ แต่โนอาห์ได้เป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า)  สิ่งที่เจ้าได้พูดก็ไม่ได้ไกลประเด็นปัญหาเกินไป  สิ่งที่โนอาห์ได้ทำนั้นแตกต่างอย่างมากกับสิ่งที่ผู้คนกำลังทำอยู่ในขณะนี้  เมื่อโนอาห์ได้ทำตามที่พระเจ้าได้ทรงชี้นำ เขาไม่รู้ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร  เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงต้องการที่จะทำอะไรให้สำเร็จลุล่วง  พระเจ้าเพียงได้ทรงให้พระบัญชาแก่เขา และสั่งให้เขาทำบางอย่าง และโดยไม่ต้องอธิบายมากความ โนอาห์ก็เดินหน้าและทำตามนั้น  เขาไม่ได้พยายามเข้าใจของพระเจ้าอย่างลับๆ และเขาไม่ได้ต้านทานพระเจ้าหรือแสดงความไม่จริงใจ  เขาเดินหน้าและทำตามนั้นเลยด้วยใจที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย  ไม่ว่าพระเจ้าทรงให้เขาทำสิ่งใด เขาก็ทำ และการนบนอบและฟังพระวจนะของพระเจ้าค้ำจุนความเชื่อของเขาในสิ่งที่เขาได้ทำ  นั่นเป็นวิธีที่เขาจัดการกับสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้อย่างตรงไปตรงมาและเรียบง่าย  แก่นแท้ของเขา—แก่นแท้ของการกระทำของเขาคือการนบนอบ ไม่ใช่การเดาสุ่ม ไม่ใช่การต้านทาน และยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่การนึกถึงผลประโยชน์ส่วนตัวของเขาเอง หรือผลกำไรและขาดทุนของเขา  ยิ่งกว่านั้น เมื่อพระเจ้าได้ตรัสว่าพระองค์จะทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วม โนอาห์ก็ไม่ได้ทูลถามว่าเมื่อใด หรือทูลถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งต่างๆ และแน่นอนเขาไม่ได้ทูลถามพระเจ้าว่าพระองค์จะทรงทำลายโลกอย่างไร  เขาเพียงทำตามที่พระเจ้าทรงชี้นำ  ไม่ว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้มันถูกทำอย่างไร และถูกทำด้วยอะไร เขาก็ได้ทำตามที่พระเจ้าได้ทรงขออย่างถูกต้อง และได้เริ่มดำเนินการโดยทันที  เขาปฏิบัติตัวโดยสอดคล้องกับคำชี้นำของพระเจ้าด้วยท่าทีแห่งความต้องการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เขากำลังทำเพื่อช่วยเหลือตัวเองให้หลีกเลี่ยงความวิบัติหรือไม่?  ไม่  เขาได้ถามพระเจ้าหรือไม่ว่าจะใช้เวลาอีกนานเท่าใดก่อนที่โลกจะถูกทำลาย?  เขาไม่ได้ถาม  เขาได้ถามพระเจ้าหรือไม่ หรือว่าเขารู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดในการสร้างเรือ?  เขาไม่ได้รู้เรื่องนั้นเช่นกัน  เขาเพียงนบนอบ ฟัง และปฏิบัติตาม ผู้คนในตอนนี้ไม่เหมือนกัน กล่าวคือ ทันทีที่มีข่าวสารรั่วไหลเล็กน้อยโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ทันทีที่ผู้คนสำนึกรับรู้เพียงแค่การสั่นไหวของใบไม้ในสายลม พวกเขาก็ลงมือปฏิบัติโดยทันที ไม่สำคัญว่าอะไรและโดยไม่คำนึงถึงราคา เพื่อตระเตรียมสิ่งที่พวกเขาจะกิน ดื่ม และใช้ในภายหลัง แม้กระทั่งวางแผนเส้นทางหลบหนีสำหรับเวลาที่ความวิบัติเข้าโจมตี  ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือว่า ณ ชั่วขณะที่สำคัญนี้ สมองมนุษย์นั้นดีมากในการ “ทำให้งานสำเร็จ”  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่พระเจ้าไม่ได้ทรงให้คำชี้นำอันใด มนุษย์สามารถวางแผนสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างเหมาะสมยิ่ง  เจ้าสามารถใช้คำว่า “มีความเพียบพร้อม” เพื่อบรรยายแผนการเช่นนี้ได้เลย  ในส่วนของสิ่งที่พระเจ้าตรัส สิ่งที่เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์นั้น ไม่มีใครใส่ใจและไม่มีใครพยายามที่จะเข้าใจ  นั่นไม่ใช่ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างผู้คนในวันนี้กับโนอาห์หรอกหรือ?

ในบันทึกเรื่องราวของโนอาห์นี้ พวกเจ้าเห็นส่วนหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่?  ความอดทนของพระเจ้าต่อความเสื่อมทราม ความโสโครก และความโหดร้ายของมนุษย์นั้นมีขีดจำกัด  เมื่อพระองค์ทรงไปถึงขีดจำกัดนั้น พระองค์จะไม่ทรงอดทนอีกต่อไป และจะทรงเริ่มการบริหารจัดการใหม่และแผนการใหม่ของพระองค์ เริ่มทำสิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำ เปิดเผยกิจการของพระองค์และอีกด้านหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระองค์แทน  การกระทำของพระองค์นี้ไม่ใช่เพื่อสาธิตให้เห็นว่าพระองค์ต้องไม่มีวันทรงถูกทำให้ขุ่นเคืองโดยมนุษย์ หรือว่าพระองค์ทรงเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจและพระพิโรธ และไม่ใช่เพื่อแสดงว่าพระองค์สามารถทำลายมนุษยชาติได้  มันเป็นว่าพระอุปนิสัยของพระองค์และแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ไม่สามารถให้โอกาสหรือมีความอดทนให้มนุษยชาติประเภทนี้มีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ มีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของพระองค์ได้อีกต่อไป  กล่าวคือเมื่อมวลมนุษย์ทั้งปวงต่อต้านพระองค์ เมื่อไม่มีใครสักคนที่พระองค์สามารถช่วยให้รอดได้ทั้งแผ่นดินโลก พระองค์ก็จะไม่ทรงมีความอดทนต่อมนุษยชาติเช่นนี้อีกต่อไป และโดยปราศจากความหวาดหวั่นอันใด จะทรงดำเนินการแผนการของพระองค์—เพื่อทำลายมนุษยชาติประเภทนี้  การกระทำเช่นนี้โดยพระเจ้าถูกกำหนดโดยพระอุปนิสัยของพระองค์  นี่คือผลสืบเนื่องที่จำเป็น และผลสืบเนื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกสิ่งภายใต้อำนาจปกครองของพระเจ้าต้องแบกรับ  สิ่งนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นหรือว่าในยุคปัจจุบันนี้ พระเจ้าไม่สามารถรอที่จะทำให้แผนการของพระองค์ครบบริบูรณ์ และช่วยผู้คนที่พระองค์ทรงต้องการช่วยให้รอดให้รอดได้?  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ พระเจ้าใส่พระทัยอะไรมากที่สุด?  ไม่ใช่วิธีซึ่งพวกที่ไม่ติดตามพระองค์เลยหรือพวกที่ต่อต้านพระองค์ปฏิบัติต่อพระองค์หรือต้านทานพระองค์ หรือวิธีที่มวลมนุษย์กำลังพูดให้ร้ายพระองค์  พระองค์เพียงใส่พระทัยเกี่ยวกับว่าพวกที่ติดตามพระองค์ ซึ่งเป็นเป้าหมายแห่งความรอดของพระองค์ในแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์แล้วหรือไม่ ว่าพวกเขาได้กลายเป็นคู่ควรกับความพึงพอพระทัยของพระองค์แล้วหรือไม่  สำหรับผู้คนนอกเหนือจากพวกที่ติดตามพระองค์ พระองค์ทรงจัดเตรียมการลงโทษเล็กน้อยเพื่อแสดงพระพิโรธของพระองค์เป็นบางครั้งเท่านั้น  ตัวอย่างเช่น สึนามิ แผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด  ในเวลาเดียวกัน พระองค์ก็ทรงคุ้มครองปกป้องและดูแลพวกที่ติดตามพระองค์และกำลังจะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์อย่างแข็งขัน  พระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นดังต่อไปนี้ ในด้านหนึ่งพระองค์สามารถมีความอดทนและความยอมผ่อนปรนสุดขีดต่อผู้คนที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำให้ครบบริบูรณ์ และพระองค์สามารถรอพวกเขานานเท่าที่พระองค์สามารถรอได้ ในอีกด้านหนึ่งพระเจ้าทรงรังเกียจและเกลียดผู้คนเยี่ยงซาตานที่ไม่ติดตามพระองค์และต่อต้านพระองค์อย่างรุนแรง แม้ว่าพระองค์จะไม่ใส่พระทัยว่าผู้คนเยี่ยงซาตานเหล่านี้ติดตามพระองค์หรือนมัสการพระองค์หรือไม่ แต่พระองค์ก็ยังคงรังเกียจพวกเขาในขณะที่มีความอดทนต่อพวกเขาในพระทัยของพระองค์ และในขณะที่พระองค์ทรงกำหนดบทอวสานของผู้คนชนิดซาตานเหล่านี้ พระองค์ก็กำลังทรงรอการมาถึงของขั้นตอนทั้งหลายของแผนการบริหารจัดการของพระองค์อีกด้วย

พวกเรามาดูบทตอนถัดไปกัน

2. พรที่พระเจ้าประทานแก่โนอาห์หลังน้ำท่วม

ปฐมกาล 9:1-6  พระเจ้าทรงอวยพรโนอาห์และบุตรทั้งหลายของเขา ตรัสแก่พวกเขาว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน  สัตว์ทั้งปวงบนแผ่นดิน นกทั้งปวงบนท้องฟ้า สัตว์ที่เลื้อยคลานทั้งสิ้นบนแผ่นดิน และปลาทั้งสิ้นในทะเลจะกลัวและหวาดหวั่นต่อพวกเจ้า เรามอบสัตว์ทั้งปวงไว้ในมือของพวกเจ้า  ทุกสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาจะเป็นอาหารของเจ้า เราจะยกของทุกอย่างให้แก่เจ้า ดังที่เรายกพืชเขียวสดให้แก่เจ้าแล้ว  แต่ห้ามกินเนื้อพร้อมกับชีวิตของมัน คือเลือดของมัน  และที่แน่ๆ คือโลหิตที่เป็นชีวิตของพวกเจ้านั้นเราจะทวง เราจะทวงจากมือของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง จากมือของมนุษย์ เราจะทวงชีวิตมนุษย์จากมือของพี่น้องของเขา  ใครทำให้มนุษย์โลหิตไหล มนุษย์จะทำให้โลหิตผู้นั้นไหลเหมือนกัน เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ตามพระฉายาของพระองค์”

พวกเจ้าเห็นอะไรจากบทตอนนี้?  เหตุใดเราจึงได้เลือกข้อเขียนเหล่านี้?  เหตุใดเราจึงไม่เลือกข้อความที่ตัดตอนมาเกี่ยวกับโนอาห์และชีวิตครอบครัวของเขาบนเรือ?  เพราะข่าวสารนั้นไม่ได้มีความเชื่อมต่อมากนักกับหัวข้อที่พวกเรากำลังสื่อสารกันในวันนี้  สิ่งที่พวกเรากำลังมุ่งเน้นคือพระอุปนิสัยของพระเจ้า  หากพวกเจ้าต้องการรู้เกี่ยวกับรายละเอียดเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็สามารถหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาเพื่ออ่านด้วยตัวเองได้  พวกเราจะไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องนั้นตรงนี้  สิ่งหลักที่เรากำลังพูดถึงในวันนี้คือเกี่ยวกับวิธีที่จะรู้จักการกระทำของพระเจ้า

หลังจากโนอาห์ได้ยอมรับคำสั่งของพระเจ้าและได้สร้างเรือและได้มีชีวิตผ่านวันเวลาที่พระเจ้าได้ทรงใช้น้ำท่วมเพื่อทำลายโลก ครอบครัวทั้งแปดคนของเขาก็ได้อยู่รอด  นอกจากครอบครัวแปดคนของโนอาห์แล้ว มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ถูกทำลาย และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนแผ่นดินโลกได้ถูกทำลาย  สำหรับโนอาห์ พระเจ้าได้ประทานพร และตรัสบางอย่างกับเขาและบุตรของเขา  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระเจ้ากำลังประทานให้เขา และเป็นพรที่พระเจ้าประทานแก่เขาอีกด้วย  นี่คือพรและสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่ใครบางคนที่สามารถฟังพระองค์และยอมรับคำสั่งของพระองค์ และเป็นวิธีที่พระเจ้าทรงบำเหน็จรางวัลผู้คนอีกด้วย  กล่าวคือไม่ว่าโนอาห์จะเป็นคนที่มีความเพียบพร้อมหรือคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่ และไม่ว่าเขาจะรู้เกี่ยวกับพระเจ้ามากเพียงใด กล่าวโดยสังเขปก็คือโนอาห์และบุตรทั้งสามของเขาทั้งหมดได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า ได้ร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้า และได้ทำสิ่งที่พวกเขาควรได้ทำโดยสอดคล้องกับคำชี้นำของพระเจ้า  ผลที่ตามมาคือพวกเขาได้อนุรักษ์มนุษย์และสิ่งมีชีวิตหลากหลายประเภทเพื่อพระเจ้าหลังจากความย่อยยับของโลกโดยน้ำท่วม ทำให้มีส่วนร่วมสนับสนุนอย่างมากต่อขั้นตอนถัดไปของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  เพราะทุกสิ่งที่เขาได้ทำ พระเจ้าได้ทรงอวยพรเขา  บางทีสำหรับผู้คนในวันนี้ สิ่งที่โนอาห์ได้ทำอาจไม่ได้มีค่าคู่ควรที่จะพูดถึงด้วยซ้ำ  บางคนอาจคิดด้วยซ้ำว่า “โนอาห์ไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้าได้ตัดสินพระทัยของพระองค์ที่จะละเว้นเขา ดังนั้นเขาก็จะได้รับการละเว้นอย่างแน่นอน  ความอยู่รอดของเขาไม่ได้เป็นเพราะความสำเร็จของเขาเอง  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการทำให้เกิดขึ้น เพราะมนุษย์เฉื่อยชา”  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงขบคิด  สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่สำคัญว่าบุคคลหนึ่งจะยิ่งใหญ่หรือไม่มีนัยสำคัญหรือไม่ ตราบใดที่พวกเขาสามารถฟังพระองค์ นบนอบต่อการอบรมแนะนำของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ไว้พระทัยมอบหมายให้ และสามารถร่วมมือกับพระราชกิจของพระองค์ น้ำพระทัยของพระองค์ และแผนการของพระองค์ เพื่อที่น้ำพระทัยของพระองค์และแผนการของพระองค์จะสามารถลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นแล้วความประพฤตินั้นก็มีค่าคู่ควรแก่การระลึกถึงของพระองค์และการได้รับพรจากพระองค์  พระเจ้าทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของผู้คนเช่นนี้ และพระองค์ทรงทะนุถนอมการกระทำของพวกเขาและความรักและความเสน่หาของพวกเขาต่อพระองค์  นี่คือท่าทีของพระเจ้า  ดังนั้นเหตุใดพระเจ้าได้ทรงอวยพรโนอาห์?  เพราะนี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อการกระทำเช่นนี้และการนบนอบของมนุษย์

ในเรื่องที่เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงอวยพรโนอาห์ ผู้คนบางคนจะพูดว่า “หากมนุษย์ฟังพระเจ้าและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ควรอวยพรมนุษย์  นั่นไม่ได้ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายหรอกหรือ?”  พวกเราสามารถพูดเช่นนั้นได้หรือไม่?  ผู้คนบางคนพูดว่า “ไม่ได้”  เหตุใดพวกเราจึงไม่สามารถพูดเช่นนั้นได้?  ผู้คนบางคนพูดว่า “มนุษย์ไม่มีค่าคู่ควรกับการได้สุขสำราญกับพรจากพระเจ้า”  นั่นไม่ถูกต้องทั้งหมด  เพราะเมื่อบุคคลผู้หนึ่งยอมรับสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับพวกเขา พระเจ้าก็ทรงมีมาตรฐานสำหรับตัดสินว่าการกระทำของพวกเขาดีหรือแย่ และบุคคลผู้นั้นได้นบนอบหรือไม่ และบุคคลผู้นั้นได้สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่ และสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเพียงพอเหมาะสมหรือไม่  สิ่งที่พระเจ้าใส่พระทัยคือหัวใจของบุคคล ไม่ใช่การกระทำของพวกเขาที่ผิวภายนอก  มันไม่ใช่กรณีที่พระเจ้าควรทรงอวยพรใครสักคนตราบเท่าที่พวกเขาทำบางสิ่ง โดยไม่คำนึงถึงวิธีที่พวกเขาทำสิ่งนั้น  นี่เป็นความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้า  พระเจ้าไม่เพียงทอดพระเนตรที่ผลลัพธ์ท้ายสุดของสิ่งทั้งหลาย แต่ทรงให้การเน้นย้ำมากขึ้นกับการที่ว่าหัวใจของบุคคลเป็นอย่างไรและท่าทีของบุคคลเป็นอย่างไรในระหว่างการพัฒนาของสิ่งทั้งหลาย และพระองค์ทอดพระเนตรว่ามีการนบนอบ ความคำนึงถึงและความพึงปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอยู่ในหัวใจของพวกเขาหรือไม่  โนอาห์รู้มากเพียงใดเกี่ยวกับพระเจ้า ณ เวลานั้น?  มากเท่ากับคำสอนที่พวกเจ้ารู้ในตอนนี้หรือไม่?  ในแง่ของด้านทั้งหลายของความจริง อาทิ มโนทัศน์และความรู้เรื่องพระเจ้า เขาได้รับการรดน้ำและเลี้ยงดูมากเท่ากับพวกเจ้าหรือไม่?  ไม่ เขาไม่ได้รับ!  แต่มีข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นคือ ในจิตสำนึก จิตใจ และแม้แต่ส่วนลึกของหัวใจของผู้คนในวันนี้ มโนทัศน์และท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้านั้นคลุมเครือและกำกวม  เจ้าสามารถถึงกับพูดได้ว่าผู้คนส่วนหนึ่งยึดถือท่าทีเชิงลบต่อการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า  แต่ในหัวใจของโนอาห์และจิตสำนึกของเขา การทรงดำรงอยู่ของพระเจ้านั้นเบ็ดเสร็จและอยู่นอกเหนือความสงสัยแม้เพียงเล็กน้อย และดังนั้นการนบนอบต่อพระเจ้าของเขาจึงปราศจากสิ่งเจือปน และสามารถทนทานต่อการทดสอบได้  หัวใจของเขาบริสุทธิ์และเปิดกว้างต่อพระเจ้า  เขาไม่ต้องการความรู้มากเกินไปเกี่ยวกับคำสอนเพื่อโน้มน้าวให้ตัวเองทำตามพระวจนะทุกคำของพระเจ้า และเขาไม่ต้องการข้อเท็จจริงมากมายเพื่อพิสูจน์การทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า เพื่อที่จะสามารถยอมรับสิ่งที่พระเจ้าได้ไว้พระทัยมอบหมายให้กับเขาได้ และสามารถทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าได้ทรงให้เขาทำได้  นี่คือความแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญระหว่างโนอาห์และผู้คนในวันนี้  นี่ยังเป็นคำจำกัดความที่แท้จริงของสิ่งที่มนุษย์ที่มีความเพียบพร้อมเป็นอย่างแน่นอนในสายพระเนตรของพระเจ้าอีกด้วย  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการคือผู้คนอย่างโนอาห์  เขาเป็นบุคคลชนิดที่พระเจ้าทรงสรรเสริญและเป็นบุคคลประเภทที่พระเจ้าทรงอวยพรอย่างแน่นอนอีกด้วย  พวกเจ้าได้รับความรู้แจ้งจากการนี้หรือไม่?  ผู้คนมองดูผู้คนจากภายนอก ในขณะที่สิ่งที่พระเจ้าทอดพระเนตรคือหัวใจของผู้คนและธาตุแท้ของพวกเขา  พระเจ้าไม่ทรงให้โอกาสผู้ใดมีความไม่เต็มใจหรือความแคลงใจอันใดต่อพระองค์ และพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้คนสงสัยหรือทดสอบพระองค์ในทางใดก็ตาม  ดังนั้นแม้ว่าผู้คนในวันนี้จะเผชิญหน้ากับพระวจนะของพระเจ้า—เจ้าสามารถพูดได้แม้กระทั่งว่าอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า—เนื่องจากมีบางสิ่งลึกลงไปภายในหัวใจของพวกเขา การมีอยู่ของธาตุแท้อันเสื่อมทรามของพวกเขา และท่าทีที่เป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ ผู้คนได้ถูกขัดขวางจากการมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และถูกปิดกั้นจากการนบนอบต่อพระองค์  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะได้รับพรแบบเดียวกับที่พระเจ้าได้ประทานแก่โนอาห์

ถัดไปพวกเรามาดูที่ข้อพระคัมภีร์ส่วนนี้เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าได้ทรงใช้สายรุ้งเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาของพระองค์กับมนุษย์

3. พระเจ้าทรงใช้สายรุ้งเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาของพระองค์กับมนุษย์

ปฐมกาล 9:11-13  “เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป”  พระเจ้าตรัสว่า “นี่แหละเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา ซึ่งเราให้ไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้า และกับสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่อยู่กับพวกเจ้าสืบไปทุกชั่วอายุ  คือเราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก”

ผู้คนส่วนใหญ่รู้ว่าสายรุ้งคืออะไรและได้ยินเรื่องราวบางเรื่องที่เกี่ยวโยงกับสายรุ้งมาบ้างแล้ว  สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับสายรุ้งในพระคัมภีร์นั้น ผู้คนบางคนเชื่อ และบางคนถือว่าเป็นตำนาน ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่เชื่อเลย  ไม่ว่าจะอย่างไร เหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวโยงกับสายรุ้งเป็นพระราชกิจของพระเจ้า และได้เกิดขึ้นในกระบวนการของการบริหารจัดการมนุษย์ของพระเจ้า  เหตุการณ์เหล่านี้ได้รับการบันทึกอย่างแม่นยำในพระคัมภีร์  บันทึกเหล่านี้ไม่ได้บอกพวกเราว่าพระเจ้าทรงอยู่ในพระอารมณ์ใด ณ เวลานั้น หรือเจตนารมณ์เบื้องหลังพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ตรัส  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถซาบซึ้งในสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงรู้สึกเมื่อพระองค์ได้ตรัสพระวจนะเหล่านั้น  อย่างไรก็ตาม สภาวะจิตใจของพระเจ้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งปวงนี้ถูกเปิดเผยในระหว่างบรรทัดของข้อความ  เป็นราวกับว่าพระดำริของพระองค์ ณ เวลานั้นกระโดดออกจากหน้าหนังสือโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้าแต่ละคำและแต่ละวลี

พระดำริของพระเจ้าคือสิ่งที่ผู้คนควรห่วงใย และเป็นสิ่งที่พวกเขาควรพยายามทำความรู้จักมากที่สุด  นี่เป็นเพราะพระดำริของพระเจ้าเกี่ยวโยงอย่างแยกไม่ออกกับการเข้าใจพระเจ้าของมนุษย์ และการเข้าใจพระเจ้าของมนุษย์เป็นข้อต่อที่ขาดไม่ได้ในการเข้าสู่ชีวิตของมนุษย์  ดังนั้นพระเจ้ากำลังทรงดำริอะไรในเวลาที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น?

แต่เดิมนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษยชาติซึ่งในสายพระเนตรของพระองค์นั้นดีและใกล้ชิดกับพระองค์มาก แต่พวกเขาได้ถูกทำลายด้วยน้ำท่วมหลังจากได้ทำการกบฏต่อพระองค์  การที่มนุษยชาติเช่นนี้หายวับไปในทันทีอย่างนั้นได้ทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวดหรือไม่?  แน่นอนพระองค์ทรงเจ็บปวด!  ดังนั้นอะไรคือการแสดงออกของพระองค์ถึงความเจ็บปวดนี้?  มันถูกบันทึกในพระคัมภีร์อย่างไร?  ได้มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ด้วยพระวจนะเหล่านี้ว่า “เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป”  ประโยคเรียบง่ายนี้เปิดเผยพระดำริของพระเจ้า  การทำลายล้างโลกครั้งนี้ได้ทำให้พระองค์เจ็บปวดอย่างมาก  ในคำพูดของมนุษย์ พระองค์ได้ทรงโศกเศร้ามาก  เราสามารถจินตนาการได้ว่า แผ่นดินโลกที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวาดูเป็นอย่างไรหลังจากถูกน้ำท่วมทำลาย?  แผ่นดินโลก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยมนุษย์ ดูเหมือนอะไร ณ เวลานั้น?  ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่เลย ไม่มีสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิต มีน้ำอยู่ทุกหนแห่ง และความย่อยยับถึงที่สุดบนผิวน้ำ  ฉากเช่นนี้เป็นเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างแผ่นดินโลกหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน!  เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าคือการได้เห็นชีวิตทั่วทั้งแผ่นดินโลก การได้เห็นมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างนมัสการพระองค์ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้โนอาห์เป็นผู้เดียวที่นมัสการพระองค์ หรือเป็นผู้เดียวที่สามารถตอบรับการทรงเรียกของพระองค์เพื่อทำให้สิ่งที่ได้วางพระทัยมอบหมายให้เขาครบบริบูรณ์ได้  เมื่อมนุษยชาติได้หายไป พระเจ้าก็ไม่ทรงได้เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงเจตนาไว้แต่เดิม แต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง  พระทัยของพระองค์จะสามารถไม่เจ็บปวดได้อย่างไร?  ดังนั้นเมื่อพระองค์กำลังทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ และแสดงพระอารมณ์ของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงทำการตัดสินพระทัยแล้ว  การตัดสินพระทัยแบบใดกันที่พระองค์ได้ทรงทำ?  ทรงทำรุ้งในเมฆ (นั่นคือสายรุ้งที่พวกเราเห็นกัน) เป็นพันธสัญญากับมนุษย์ เป็นพระสัญญาว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทำลายมวลมนุษย์ด้วยน้ำท่วมอีก  ในเวลาเดียวกันก็เป็นการบอกกับผู้คนอีกด้วยว่าพระเจ้าได้ทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วม เพื่อที่มวลมนุษย์จะได้จดจำตลอดไปว่าเหตุใดพระเจ้าจึงจะทำการเช่นนั้น

การทำลายโลก ณ เวลานั้นเป็นบางสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงต้องประสงค์หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงต้องประสงค์  พวกเราอาจสามารถจินตนาการส่วนเล็กๆ ของภาพที่น่าสังเวชของแผ่นดินโลกหลังจากการทำลายโลกได้ แต่พวกเราไม่สามารถจินตนาการได้แม้แต่น้อยว่าฉากนี้เป็นเหมือนอะไร ณ เวลานั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า  พวกเราสามารถพูดได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้คนในปัจจุบันหรือเวลานั้น ไม่มีผู้ใดสามารถจินตนาการหรือซาบซึ้งได้ในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงรู้สึกเมื่อพระองค์ได้ทรงเห็นฉากนั้น ภาพนั้นของโลกหลังการทำลายโดยน้ำท่วม  พระเจ้าทรงถูกบังคับให้ทำเช่นนี้โดยการเป็นกบฎของมนุษย์ แต่ความเจ็บปวดที่พระทัยของพระเจ้าได้ทนทุกข์จากการทำลายโลกด้วยน้ำท่วมครั้งนี้เป็นความเป็นจริงที่ไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งลึกหรือซาบซึ้งได้  นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับมวลมนุษย์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งเป้าที่จะใช้บอกผู้คนให้จดจำว่าครั้งหนึ่งพระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งเช่นนี้ และสาบานกับพวกเขาว่าพระเจ้าจะไม่มีวันทรงทำลายโลกด้วยวิธีเช่นนี้อีก  ในพันธสัญญานี้พวกเราเห็นพระทัยของพระเจ้า—เราเห็นว่าพระทัยของพระเจ้าได้อยู่ในความเจ็บปวดเมื่อพระองค์ได้ทรงทำลายมนุษยชาตินี้  ในภาษาของมนุษย์ เมื่อพระเจ้าได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ และได้ทรงเห็นมวลมนุษย์หายไป พระทัยของพระองค์ก็กำลังร่ำไห้และหลั่งพระโลหิต  นั่นไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะบรรยายเรื่องนั้นหรอกหรือ?  พระวจนะเหล่านี้ถูกใช้โดยพวกมนุษย์เพื่อแสดงให้เห็นอารมณ์มนุษย์ แต่ในเมื่อภาษาของมนุษย์บกพร่องเกินไป การใช้พระวจนะเหล่านั้นเพื่อบรรยายความรู้สึกและพระอารมณ์ของพระเจ้าดูเหมือนจะไม่แย่เกินไปสำหรับเรา และก็ไม่มากเกินไปด้วย  อย่างน้อยมันก็ให้พวกเจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนมากและฉลาดมากว่าพระอารมณ์ของพระเจ้าเป็นเหมือนอะไร ณ เวลานั้น  บัดนี้เจ้าจะนึกถึงอะไรเมื่อพวกเจ้าเห็นสายรุ้งอีกครั้ง?  อย่างน้อยเจ้าก็จะจดจำว่าพระเจ้าได้ทรงเคยอยู่ในความโศกเศร้าอย่างไรกับการทำลายโลกด้วยน้ำท่วม  เจ้าจะจดจำว่าพระทัยของพระองค์กำลังเจ็บปวด กำลังดิ้นรนเพื่อปล่อยวาง กำลังรู้สึกฝืนพระทัย และกำลังพบว่ามันยากที่จะทนอย่างไร แม้ว่าพระเจ้าได้ทรงเกลียดชังโลกนี้และดูหมิ่นมนุษยชาตินี้ เมื่อพระองค์ได้ทรงทำลายมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง  ความสบายพระทัยเพียงอย่างเดียวของพระองค์อยู่ในครอบครัวแปดคนของโนอาห์  เป็นความร่วมมือของโนอาห์นั่นเองที่ทำให้ความพยายามอย่างอุตสาหะของพระองค์ที่ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งไม่สูญเปล่า  ณ เวลานั้นเมื่อพระเจ้ากำลังทรงทนทุกข์ นี่เป็นสิ่งเดียวที่สามารถชดเชยความเจ็บปวดของพระองค์ได้  จากจุดนั้นพระเจ้าได้ทรงวางความคาดหมายทั้งหมดของพระองค์ต่อมนุษยชาติไว้ในครอบครัวของโนอาห์ โดยหวังว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตภายใต้พรจากพระองค์และไม่ใช่คำสาปแช่งของพระองค์ โดยหวังว่าพวกเขาจะไม่มีวันเห็นพระเจ้าทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วมอีก และโดยหวังเช่นกันว่าพวกเขาจะไม่ถูกทำลาย

พวกเราควรเรียนรู้เกี่ยวกับส่วนใดของพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากการนี้?  พระเจ้าได้ทรงดูหมิ่นมนุษย์เพราะมนุษย์เป็นปรปักษ์กับพระองค์ แต่ในพระทัยของพระองค์นั้น ความใส่ใจ ความห่วงใย และความกรุณาของพระองค์ต่อมนุษยชาติยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  แม้ในเวลาที่พระองค์ได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ พระทัยของพระองค์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  เมื่อมนุษยชาติเต็มไปด้วยความเสื่อมทรามและเป็นกบฏพระเจ้าในระดับที่มีเจตนาร้าย พระเจ้าก็ต้องทรงทำลายมนุษยชาตินี้ เพราะพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ และโดยสอดคล้องกับหลักการของพระองค์  แต่เพราะแก่นแท้ของพระเจ้า พระองค์ยังคงทรงสงสารมวลมนุษย์ และทรงถึงกับต้องการใช้วิธีสารพัดเพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถมีชีวิตต่อไปได้  อย่างไรก็ตามมนุษย์ได้ต่อต้านพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้าต่อไป และปฏิเสธที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้า นั่นคือ ปฏิเสธที่จะยอมรับเจตนารมณ์ดีของพระองค์  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกหาพวกเขา เตือนความจำพวกเขา หล่อเลี้ยงพวกเขา ช่วยเหลือพวกเขา หรือยอมผ่อนปรนต่อพวกเขาอย่างไร มนุษย์ก็ไม่ได้เข้าใจหรือซาบซึ้ง และพวกเขาก็ไม่ให้ความสนใจด้วย  ในความเจ็บปวดของพระองค์ พระเจ้ายังคงไม่ทรงลืมที่จะประทานความยอมผ่อนปรนสูงสุดของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อรอให้มนุษย์เลี้ยวกลับ  หลังจากพระองค์ได้ทรงไปถึงขีดจำกัดแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงทำในสิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำโดยไม่มีความลังเลอันใด  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีช่วงเวลาและกระบวนการเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ชั่วขณะที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนที่จะทำลายมวลมนุษย์จนถึงจุดเริ่มต้นของพระราชกิจของพระองค์ในการทำลายมวลมนุษย์  กระบวนการนี้ได้ดำรงอยู่เพื่อจุดประสงค์ในการทำให้มนุษย์สามารถเลี้ยวกลับได้ และนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่พระเจ้าได้ทรงให้แก่มนุษย์  ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงทำอะไรในช่วงเวลานี้ก่อนที่จะทำลายมวลมนุษย์?  พระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจแห่งการเตือนความจำและเตือนสติในปริมาณมาก  ไม่สำคัญว่าพระทัยของพระเจ้าได้อยู่ในความเจ็บปวดและความเศร้าโศกมากเพียงใด พระองค์ก็ยังทรงมอบความใส่พระทัย ความห่วงใย และความกรุณาอันอุดมของพระองค์ให้แก่มนุษยชาติต่อไป  พวกเราเห็นอะไรจากการนี้?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเราเห็นว่าความรักของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์นั้นเป็นจริงและไม่ใช่บางสิ่งที่พระองค์เพียงตรัสสนับสนุนอย่างไม่จริงใจ  ความรักของพระเจ้าเป็นจริง จับต้องได้ และซาบซึ้งได้ ไม่ถูกปลอมแปลง ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่หลอกลวงหรือเสแสร้ง  พระเจ้าไม่มีวันทรงใช้การหลอกลวงอันใด หรือสร้างภาพเท็จเพื่อทำให้ผู้คนเห็นว่าพระองค์ทรงน่ารักน่าชื่นชอบ  พระองค์ไม่มีวันทรงใช้คำพยานเท็จเพื่อให้ผู้คนเห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ หรือเพื่ออวดความน่ารักน่าชื่นชมและความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์  แง่มุมเหล่านี้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่มีค่าคู่ควรกับความรักของมนุษย์หรอกหรือ?  ไม่มีค่าคู่ควรต่อการนมัสการหรอกหรือ?  ไม่มีค่าคู่ควรต่อการทะนุถนอมหรอกหรือ?  ณ จุดนี้เราต้องการถามพวกเจ้าว่า หลังจากได้ยินพระวจนะเหล่านี้ พวกเจ้าคิดว่าความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นเพียงคำพูดไร้สาระบนกระดาษแผ่นหนึ่งหรือไม่?  ความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าเป็นเพียงคำพูดไร้สาระหรือไม่?  ไม่ใช่!  ไม่ใช่อย่างแน่นอน!  พระอำนาจสูงสุด ความยิ่งใหญ่ ความศักดิ์สิทธิ์ ความยอมผ่อนปรน ความรัก และอื่นๆ ของพระเจ้า—ทุกรายละเอียดของทุกๆ ด้านที่แตกต่างกันของพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าได้รับการแสดงออกในทางปฏิบัติทุกครั้งที่พระองค์ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ ถูกผนึกรวมอยู่ในเจตนารมณ์ของพระองค์ต่อมนุษย์ และได้ถูกทำให้ลุล่วงและสะท้อนอยู่ในทุกๆ ผู้คนอีกด้วย  โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าได้รู้สึกถึงมันมาก่อนหรือไม่ พระเจ้ากำลังใส่พระทัยในบุคคลทุกคนในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ โดยใช้พระทัยที่จริงใจ พระปัญญา และวิธีการทั้งหลาย ของพระองค์ เพื่อทำให้หัวใจของแต่ละบุคคลอบอุ่น และปลุกวิญญาณของแต่ละบุคคลให้ตื่น  นี่คือข้อเท็จจริงที่เถียงไม่ได้  ไม่สำคัญว่ามีผู้คนกำลังนั่งอยู่ที่นี่กี่คน แต่ละบุคคลก็ได้มีประสบการณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกันไปในเรื่องความผ่อนปรน ความอดทน และความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้า  ประสบการณ์เหล่านี้ของพระเจ้าและความรู้สึกเหล่านี้หรือการล่วงรู้เรื่องพระองค์—พูดสั้นๆ ก็คือสิ่งด้านบวกเหล่านี้ทั้งหมดมาจากพระเจ้า  ดังนั้นโดยการบูรณาการประสบการณ์และความรู้เรื่องพระเจ้าของทุกคน และผสานเข้ากับการอ่านบทตอนพระคัมภีร์เหล่านี้ของพวกเราในวันนี้ บัดนี้พวกเจ้ามีความเข้าใจพระเจ้าที่เป็นจริงและถูกต้องเหมาะสมมากขึ้นหรือไม่?

หลังจากได้อ่านเรื่องราวนี้และทำความเข้าใจกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่เปิดเผยโดยผ่านทางเหตุการณ์นี้แล้ว พวกเจ้ามีความรู้ใหม่ๆ แบบใดเกี่ยวกับพระเจ้า?  มันได้ทำให้พวกเจ้ามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้าและพระทัยของพระองค์หรือไม่?  บัดนี้เจ้ารู้สึกแตกต่างหรือไม่เมื่อเจ้าอ่านเรื่องราวของโนอาห์อีกครั้ง?  ในความเห็นของพวกเจ้า จำเป็นหรือไม่ที่จะสามัคคีธรรมข้อเขียนพระคัมภีร์เหล่านี้?  ในเมื่อเราได้สามัคคีธรรมถึงข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นแล้ว พวกเจ้าคิดว่าจำเป็นหรือไม่?  จำเป็นอย่างแน่นอน!  แม้ว่าสิ่งที่พวกเราได้อ่านคือเรื่องราว แต่เป็นบันทึกที่แท้จริงของพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำ  จุดมุ่งหมายของเราไม่ใช่ทำให้พวกเจ้าสามารถจับใจความรายละเอียดของเรื่องราวเหล่านี้ หรือตัวละครตัวนี้ได้ และไม่ใช่เพื่อให้พวกเจ้าสามารถไปศึกษาตัวละครนี้ได้ และแน่นอนไม่ใช่เพื่อให้พวกเจ้ากลับไปศึกษาพระคัมภีร์อีกครั้ง  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  ดังนั้นเรื่องราวเหล่านี้ได้มีส่วนช่วยในความรู้เรื่องพระเจ้าของพวกเจ้าหรือไม่?  เรื่องราวนี้ได้เพิ่มเติมอะไรให้กับความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า?  จงบอกพวกเรา พี่น้องชายหญิงจากฮ่องกง  (พวกเราได้เห็นว่าความรักของพระเจ้าเป็นบางสิ่งที่พวกเรามนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่มีสักคนมี)  จงบอกพวกเรา พี่น้องชายหญิงจากเกาหลีใต้  (ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์นั้นเป็นจริง ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์มีพระอุปนิสัยของพระองค์และมีความยิ่งใหญ่ ความศักดิ์สิทธิ์ ความสูงสุด และความยอมผ่อนปรนของพระองค์  มันมีค่าคู่ควรที่พวกเราจะพยายามได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น)  (ในด้านหนึ่ง โดยผ่านทางสามัคคีธรรม ณ เวลานั้น ข้าพเจ้าสามารถเห็นพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมและบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ และข้าพเจ้ายังสามารถเห็นความห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ ความกรุณาของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์ได้และเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำ และทุกความคิดและแนวคิดที่พระองค์ทรงมีนั้นเปิดเผยความรักและความห่วงใยของพระองค์ต่อมนุษยชาติ)  (ความเข้าใจของข้าพเจ้าในอดีตคือว่าพระเจ้าได้ทรงใช้น้ำท่วมเพื่อทำลายโลกเพราะมวลมนุษย์ได้กลายเป็นชั่วในระดับที่เป็นปรปักษ์ และเป็นราวกับว่าพระเจ้าได้ทรงทำลายมนุษยชาตินี้เพราะพระองค์ทรงเกลียดชังพวกเขา เป็นหลังจากที่พระเจ้าได้ตรัสถึงเรื่องราวของโนอาห์ในวันนี้ และได้ตรัสว่าพระทัยของพระเจ้ากำลังหลั่งพระโลหิตแล้วเท่านั้นนั่นเอง ข้าพเจ้าจึงตระหนักว่าจริงๆ แล้ว พระเจ้าไม่เต็มพระทัยที่จะปล่อยมือจากมนุษยชาตินี้ เป็นเพราะมวลมนุษย์เป็นกบฏมากเกินไปเท่านั้นเองพระเจ้าจึงไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากจะทำลายพวกเขา โดยข้อเท็จจริงแล้ว พระทัยของพระเจ้า ณ เวลานี้โศกเศร้ามาก จากการนี้ข้าพเจ้าสามารถเห็นความใส่พระทัยและความห่วงใยต่อมวลมนุษย์ของพระเจ้าในพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ นี่คือบางสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ได้รู้มาก่อน)  ดีมาก!  พวกเจ้าสามารถไปต่อได้ (ข้าพเจ้าได้รับผลกระทบอย่างมากหลังจากการฟัง ข้าพเจ้าได้อ่านพระคัมภีร์มาแล้วในอดีต แต่ข้าพเจ้าไม่เคยได้รับประสบการณ์เหมือนวันนี้ที่พระเจ้าทรงชำแหละสิ่งเหล่านี้โดยตรงเพื่อที่พวกเราจะได้สามารถทำความรู้จักพระองค์ ด้วยเหตุที่พระเจ้าจะทรงพาพวกเราไปด้วยเช่นนี้ เพื่อที่จะได้เห็นพระคัมภีร์ทำให้ข้าพเจ้าสามารถรู้ว่าแก่นแท้ของพระเจ้าก่อนการถูกทำให้เสื่อมทรามของมนุษย์คือความรักและความใส่พระทัยต่อมวลมนุษย์ ตั้งแต่เวลาที่มนุษย์ได้กลายเป็นเสื่อมทรามจนถึงยุคสุดท้ายปัจจุบันนี้ แม้ว่าพระเจ้าทรงมีพระอุปนิสัยอันชอบธรรม แต่ความรักและความใส่พระทัยของพระองค์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นี่แสดงว่าแก่นแท้ของความรักของพระเจ้าตั้งแต่การทรงสร้างจนถึงบัดนี้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง โดยไม่คำนึงถึงว่ามนุษย์จะเสื่อมทรามหรือไม่)  (วันนี้ข้าพเจ้าได้เห็นว่าแก่นแท้ของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในเวลาหรือสถานที่แห่งพระราชกิจของพระองค์ ข้าพเจ้ายังได้เห็นด้วยว่าไม่สำคัญว่าพระเจ้ากำลังทรงสร้างโลกหรือกำลังทรงทำลายโลกหลังจากมนุษย์ได้กลายเป็นเสื่อมทราม ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำมีความหมายและประกอบด้วยพระอุปนิสัยของพระองค์ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้เห็นว่าความรักของพระเจ้านั้นไม่มีที่สิ้นสุดและไม่สามารถวัดได้ และข้าพเจ้าก็ยังได้เห็นความใส่พระทัยและความกรุณาของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์เมื่อพระองค์ได้ทรงทำลายโลก ตามที่พี่น้องชายหญิงได้พูดถึง)  (สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ได้รู้มาก่อนเลยจริงๆ หลังจากได้ฟังในวันนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงน่าเชื่อถืออย่างแท้จริง เชื่อถือได้อย่างแท้จริง มีค่าคู่ควรที่จะเชื่อ และพระองค์ทรงดำรงอยู่จริงๆ ข้าพเจ้าสามารถซาบซึ้งอย่างแท้จริงในหัวใจของข้าพเจ้าว่าพระอุปนิสัยและความรักของพระเจ้านั้นเป็นรูปธรรมเช่นนี้จริงๆ นี่เป็นความรู้สึกที่ข้าพเจ้ามีหลังจากได้ฟังในวันนี้)  ยอดเยี่ยม!  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทั้งหมดได้จดจำสิ่งที่เจ้าได้ยินไว้ในหัวใจของเจ้าแล้ว

พวกเจ้าได้สังเกตเห็นบางสิ่งจากข้อเขียนในพระคัมภีร์ทั้งหมด รวมถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์ทั้งหมดที่เราได้สามัคคีธรรมในวันนี้แล้วหรือยัง?  พระเจ้าเคยทรงใช้ภาษาของพระองค์เองเพื่อแสดงพระดำริของพระองค์เองหรืออธิบายความรักและความใส่พระทัยต่อมนุษยชาติของพระองค์แล้วหรือยัง?  มีบันทึกเกี่ยวกับการที่พระองค์ทรงใช้ภาษาธรรมดาเพื่อระบุว่าพระองค์ทรงห่วงใยหรือรักมวลมนุษย์มากเพียงใดหรือไม่?  ไม่มี  นั่นไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  มีหลายคนเหลือเกินท่ามกลางพวกเจ้าที่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือหนังสืออื่นๆ นอกเหนือจากพระคัมภีร์  พวกเจ้าคนใดบ้างได้เคยเห็นพระวจนะเช่นนี้?  คำตอบคือไม่อย่างแน่นอน!  นั่นคือในบันทึกของพระคัมภีร์ รวมถึงพระวจนะของพระเจ้าหรือการบันทึกข้อมูลพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าไม่เคยทรงใช้วิธีการของพระองค์เองในการบรรยายความรู้สึกของพระองค์หรือแสดงความรักและความใส่ใจของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ และพระเจ้าไม่เคยทรงใช้พระดำรัสหรือการกระทำอันใดเพื่อสื่อถึงความรู้สึกและพระอารมณ์ของพระองค์ ไม่ว่าจะในยุคสมัยใดหรือช่วงเวลาใด—นั่นไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนั้น?  เหตุใดเราจึงพูดถึงการนี้?  เป็นเพราะการนี้ยังจำแลงรูปความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระองค์อีกด้วย

พระเจ้าได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่หรือว่าพวกเขาติดตามพระองค์หรือไม่ พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ในฐานะที่เป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักทรงทะนุถนอมที่สุด—หรืออย่างที่มนุษย์จะพูดว่าผู้คนที่เป็นที่รักที่สุดของพระองค์—และไม่ใช่ของเล่นของพระองค์  แม้ว่าพระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง และว่ามนุษย์คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ ซึ่งอาจฟังคล้ายกับว่ามีความแตกต่างเล็กน้อยในระดับตำแหน่ง แต่ความเป็นจริงก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำเพื่อมวลมนุษย์เหนือล้ำกว่าสัมพันธภาพในลักษณะนี้มากนัก  พระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์ ใส่พระทัยมวลมนุษย์ และทรงแสดงความห่วงใยต่อมวลมนุษย์ ตลอดจนการจัดเตรียมให้มนุษย์อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดหย่อน  พระองค์ไม่มีวันทรงรู้สึกในพระทัยของพระองค์ว่านี่เป็นพระราชกิจเพิ่มเติม หรือบางสิ่งที่สมควรได้รับความเชื่อถือมากมาย  พระองค์ไม่ทรงรู้สึกว่าการช่วยมนุษยชาติให้รอด การหล่อเลี้ยงพวกเขา และการประทานทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเขา เป็นการมีส่วนร่วมสนับสนุนมวลมนุษย์อย่างมหาศาล  พระองค์เพียงทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์อย่างเงียบๆ และสงบ ด้วยวิธีของพระองค์เองและโดยผ่านทางแก่นแท้ของพระองค์เอง และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  ไม่สำคัญว่ามวลมนุษย์ได้รับการจัดเตรียมมากเพียงใด และความช่วยเหลือมากเพียงใดจากพระองค์ พระเจ้าก็ไม่มีวันทรงนึกถึงหรือทรงพยายามที่จะได้รับความเชื่อถือ  การนี้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้ของพระเจ้า และยังเป็นการแสดงออกที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแม่นยำอีกด้วย  โดยไม่คำนึงถึงว่าเรื่องนี้อยู่ในพระคัมภีร์หรือหนังสือเล่มอื่นใด นี่คือสาเหตุที่พวกเราไม่มีวันได้พบว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงพระดำริของพระองค์ และพวกเราไม่มีวันได้พบว่าพระเจ้ากำลังทรงบรรยายหรือแถลงต่อพวกมนุษย์ โดยมีจุดมุ่งหมายแห่งการทำให้มวลมนุษย์สำนึกบุญคุณต่อพระองค์ หรือสรรเสริญพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงทำสิ่งเหล่านี้ หรือเหตุใดพระองค์จึงใส่พระทัยในมวลมนุษย์มากถึงเพียงนี้  แม้เมื่อพระองค์ทรงเจ็บปวด เมื่อพระทัยของพระองค์ทรงอยู่ในความเจ็บปวดสุดขีด พระองค์ก็ไม่มีวันทรงลืมความรับผิดชอบของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ หรือความห่วงใยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ ทั้งหมดในขณะที่พระองค์ทรงแบกรับความบาดเจ็บและความเจ็บปวดเพียงลำพังในความเงียบ  ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าทรงยังคงจัดเตรียมให้มนุษย์ต่อไปเฉกเช่นที่พระองค์ได้ทรงทำมาตลอด  แม้ว่ามวลมนุษย์จะสรรเสริญพระเจ้าหรือเป็นพยานต่อพระองค์บ่อยๆ แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงเรียกร้องพฤติกรรมอันใดเช่นนี้  นี่เป็นเพราะพระเจ้าไม่มีวันทรงเจตนาใช้สิ่งดีๆ สิ่งใดที่พระองค์ทรงทำเพื่อมวลมนุษย์แลกเปลี่ยนกับความกตัญญูรู้คุณหรือการได้รับการตอบแทน  ในทางกลับกัน บรรดาผู้ที่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ บรรดาผู้ที่สามารถติดตามพระเจ้า ฟังพระองค์ และจงรักภักดีต่อพระองค์ได้อย่างแท้จริง และบรรดาผู้ที่สามารถนบนอบพระองค์ได้—เหล่านี้คือผู้คนที่จะได้รับพรจากพระเจ้าบ่อยๆ และพระเจ้าจะประทานพรเช่นนี้โดยไม่มีข้อสงสัย  ยิ่งไปกว่านั้นพรที่ผู้คนได้รับจากพระเจ้านั้นมักจะเกินกว่าจินตนาการของพวกเขา และเกินกว่าสิ่งอันใดที่มนุษย์สามารถทำให้ชอบธรรมได้โดยผ่านทางสิ่งที่พวกเขาได้ทำ หรือราคาที่พวกเขาได้จ่ายไป  เมื่อมวลมนุษย์กำลังสุขสำราญกับพรจากพระเจ้า มีผู้ใดใส่ใจในสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำอยู่หรือไม่?  มีผู้ใดแสดงความห่วงใยบ้างหรือไม่ว่าพระเจ้ากำลังทรงรู้สึกอย่างไร?  มีผู้ใดพยายามซาบซึ้งในความเจ็บปวดของพระเจ้าหรือไม่?  คำตอบคือคำว่าไม่อย่างหนักแน่น!  มนุษย์ผู้ใดเล่า รวมถึงโนอาห์ด้วย สามารถซาบซึ้งในความเจ็บปวดที่พระเจ้ากำลังทรงรู้สึก ณ ชั่วขณะนั้นได้?  มีผู้ใดบ้างสามารถซาบซึ้งว่าเหตุใดพระเจ้าจึงจะทรงทำพันธสัญญาเช่นนี้?  พวกเขาไม่สามารถ!  มวลมนุษย์ไม่ซาบซึ้งในความเจ็บปวดของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าใจความเจ็บปวดของพระเจ้า และไม่ใช่เพราะช่องว่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ หรือความแตกต่างในสถานะของพวกเขา ตรงกันข้ามเป็นเพราะมวลมนุษย์ไม่ใส่ใจเลยเกี่ยวกับความรู้สึกอันใดของพระเจ้า  มวลมนุษย์คิดว่าพระเจ้าทรงเป็นอิสระ—ว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องการให้ผู้คนใส่ใจเกี่ยวกับพระองค์ เข้าใจพระองค์ หรือแสดงให้เห็นความคำนึงถึงต่อพระองค์  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงมีความเจ็บปวด ไม่ทรงมีพระอารมณ์ พระองค์จะไม่ทรงโศกเศร้า พระองค์จึงไม่รู้สึกเสียพระทัย พระองค์จึงไม่ทรงแม้แต่กรรแสง  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นพระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องมีการแสดงออกทางอารมณ์อันใด และพระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องมีการปลอบโยนทางอารมณ์อันใด  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมบางอย่าง หากพระองค์ทรงจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงสามารถรับมือได้โดยลำพัง และจะไม่ทรงพึงประสงค์ความช่วยเหลืออันใดจากมวลมนุษย์  ในทางกลับกัน เป็นมนุษย์ที่ อ่อนแอ ยังไม่มีวุฒิภาวะ นั่นเองที่จำเป็นต้องมีการปลอบใจ การจัดเตรียม การให้กำลังใจจากพระเจ้า และแม้กระทั่งให้พระองค์ทรงปลอบประโลมอารมณ์ของพวกเขาตลอดเวลาและในทุกสถานที่  สิ่งทั้งหลายเช่นนี้แฝงตัวลึกอยู่ภายในหัวใจของมวลมนุษย์ กล่าวคือ มนุษย์เป็นผู้อ่อนแอ พวกเขาต้องการให้พระเจ้าทรงดูแลพวกเขาในทุกวิถีทาง พวกเขาสมควรได้รับการดูแลทั้งหมดที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้า และพวกเขาควรเรียกร้องสิ่งใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกว่าควรเป็นของพวกเขาจากพระเจ้า  พระเจ้าทรงเป็นผู้เข้มแข็ง พระองค์ทรงมีทุกสิ่งทุกอย่าง และพระองค์ควรจะทรงเป็นผู้พิทักษ์และผู้ประทานพรแก่มวลมนุษย์  ในเมื่อพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว พระองค์ก็ทรงฤทธานุภาพสูงสุด และไม่มีวันทรงจำเป็นต้องการสิ่งใดจากมวลมนุษย์

เนื่องจากมนุษย์ไม่ให้ความสนใจในการเปิดเผยอันใดของพระเจ้า เขาจึงไม่เคยรู้สึกถึงความเสียพระทัย ความเจ็บปวด หรือความชื่นบานของพระเจ้า  แต่ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงรู้จักการกระทำ ทั้งหมดของมนุษย์เหมือนฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์เอง  พระเจ้าทรงหล่อเลี้ยงความต้องการของทุกคนตลอดเวลาและในทุกสถานที่ ทรงสังเกตการณ์ความคิดที่เปลี่ยนแปลงของแต่ละบุคคลและจึงปลอบประโลมและเตือนสติพวกเขา และนำทางและให้ความกระจ่างแก่พวกเขา  ในแง่ของทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำในตัวมวลมนุษย์ และราคาทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไปเพราะพวกเขา ผู้คนสามารถพบบทตอนในพระคัมภีร์ หรือจากสิ่งใดที่พระเจ้าได้ตรัสไว้จนถึงบัดนี้ที่ระบุอย่างชัดเจนว่าพระเจ้าจะทรงเรียกร้องบางสิ่งจากมนุษย์ได้หรือไม่?  ไม่!  ในทางตรงกันข้าม ไม่สำคัญว่าผู้คนเพิกเฉยต่อการขบคิดของพระเจ้าอย่างไร พระองค์ก็ยังคงทรงนำทางมวลมนุษย์ซ้ำๆ จัดเตรียมให้มวลมนุษย์และช่วยเหลือพวกเขาซ้ำๆ เพื่อทำให้พวกเขาสามารถทำตามวิถีทางของพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะสามารถบรรลุบั้นปลายอันสวยงามที่พระองค์ได้ทรงตระเตรียมไว้ให้พวกเขาได้  เมื่อพูดถึงพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พระคุณของพระองค์ ความกรุณาของพระองค์ และบำเหน็จของพระองค์ทั้งหมดจะได้รับการประทานให้โดยปราศจากข้อสงสัยแก่บรรดาผู้ที่รักและติดตามพระองค์  แต่พระองค์ไม่มีวันทรงเปิดเผยความเจ็บปวดที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์ หรือสภาพจิตใจของพระองค์ต่อบุคคลใด และพระองค์ไม่มีวันทรงร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับผู้ใดก็ตามที่ไม่คำนึงถึงพระองค์ หรือไม่รู้จักเจตนารมณ์ของพระองค์  พระองค์เพียงทรงแบกรับทั้งหมดนี้ในความเงียบ รอคอยวันที่มวลมนุษย์จะสามารถเข้าใจได้

เหตุใดเราจึงพูดถึงสิ่งเหล่านี้ที่นี่?  พวกเจ้าเห็นอะไรจากสิ่งต่างๆ ที่เราได้พูดไป?  มีบางสิ่งในแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าซึ่งง่ายอย่างเหลือเกินต่อการมองข้าม เป็นบางสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นทรงครอบครองและไม่มีบุคคลใดมี รวมถึงพวกที่คนอื่นๆ คิดว่าเป็นผู้คนที่ยิ่งใหญ่ ผู้คนที่ดี หรือพระเจ้าแห่งจินตนาการของพวกเขา  สิ่งนี้คืออะไร?  คือความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้า  เมื่อพูดถึงความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เจ้าก็อาจคิดว่าเจ้าก็ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากเช่นกัน เพราะเมื่อพูดถึงลูกหลานของเจ้า เจ้าไม่มีวันต่อรองราคาหรือต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขา หรือเจ้าคิดว่าเจ้าก็ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากเช่นกันเมื่อพูดถึงบิดามารดาของเจ้า  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะคิดอะไร อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็มีมโนทัศน์เกี่ยวกับคำว่า “ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน” และคิดว่ามันเป็นคำในเชิงบวก และคิดว่าการเป็นบุคคลที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนนั้นสูงศักดิ์มาก  เมื่อเจ้าไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เจ้าจะนับถือตัวเจ้าเองอย่างสูงส่ง  แต่ไม่มีใครสักคนที่สามารถเห็นความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ท่ามกลางผู้คน เหตุการณ์ และวัตถุต่างๆ และในพระราชกิจของพระองค์ได้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะมนุษย์เห็นแก่ตัวเกินไป!  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนั้น?  มวลมนุษย์อาศัยอยู่ในโลกแห่งวัตถุ  เจ้าอาจติดตามพระเจ้า แต่เจ้าไม่มีวันเห็นหรือซาบซึ้งในวิธีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เจ้า รักเจ้า และแสดงความห่วงใยต่อเจ้า  ดังนั้นเจ้าเห็นอะไร?  เจ้าเห็นญาติสายโลหิตที่รักเจ้าหรือหลงใหลในตัวเจ้า  เจ้าเห็นสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเนื้อหนังของเจ้า เจ้าใส่ใจเกี่ยวกับผู้คน และสิ่งต่างๆ ที่เจ้ารัก นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์  อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่ “ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน” เช่นนี้ไม่มีวันห่วงใยเกี่ยวกับพระเจ้าที่ทรงให้ชีวิตแก่พวกเขา  ตรงกันข้ามกับของพระเจ้า ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์กลายเป็นเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ  ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนที่มนุษย์เชื่อนั้นว่างเปล่าและไม่สมจริง ปลอมปน เข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า และไม่เกี่ยวโยงกับพระเจ้า  ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์มีไว้สำหรับตัวเอง ในขณะที่ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าเป็นการเปิดเผยแก่นแท้ของพระองค์ที่แท้จริง  เป็นเพราะความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้านั่นเอง มนุษย์จึงได้รับการจัดเตรียมให้โดยพระองค์ตลอดเวลา  พวกเจ้าอาจจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างลึกล้ำจากหัวข้อนี้ที่เรากำลังพูดถึงในวันนี้ และเพียงกำลังพยักหน้าด้วยความเห็นชอบ แต่เมื่อเจ้าพยายามซาบซึ้งในพระหทัยของพระเจ้าในหัวใจของเจ้า เจ้าจะค้นพบการนี้โดยไม่รู้ตัวว่า ท่ามกลางผู้คน เรื่องสำคัญและสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เจ้าสามารถสำนึกรับรู้ได้ในโลกนี้ มีเพียงความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นจริงและเป็นรูปธรรม เพราะมีเพียงความรักของพระเจ้าต่อเจ้าเท่านั้นที่ปราศจากเงื่อนไขและไร้ที่ติ  นอกเหนือจากพระเจ้าแล้ว ที่เรียกว่าความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของคนอื่นใดนั้นแสร้งทำ ผิวเผิน ไม่แท้จริง มันมีจุดประสงค์ เจตนาบางอย่าง มีการแลกเปลี่ยน และไม่สามารถทนทานต่อการทดสอบได้ เจ้าถึงกับสามารถพูดได้ว่ามันโสมมและน่ารังเกียจ  พวกเจ้ามีความเห็นด้วยกับพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?

เรารู้ว่าพวกเจ้าไม่คุ้นเคยอย่างมากกับหัวข้อเหล่านี้ และต้องการเวลาสักครู่เพื่อให้หัวข้อเหล่านี้ซึมลงไปก่อนที่พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริง  ยิ่งพวกเจ้าไม่คุ้นเคยกับประเด็นปัญหาและหัวข้อเหล่านี้มากเท่าใด ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าหัวข้อเหล่านี้หายไปจากในหัวใจของพวกเจ้ามากเท่านั้น  หากเราไม่เคยจะต้องพูดถึงหัวข้อเหล่านี้เลย จะมีผู้ใดท่ามกลางพวกเจ้าที่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านั้นหรือไม่?  เราเชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่มีวันทำความรู้จักหัวข้อเหล่านี้  นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน  ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าสามารถจับใจความหรือเข้าใจมากเพียงใด โดยสังเขปแล้วหัวข้อที่เราพูดถึงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนขาดมากที่สุด และเป็นสิ่งที่พวกเขาควรรู้มากที่สุด  หัวข้อเหล่านี้มีความสำคัญมากสำหรับทุกคน—หัวข้อเหล่านี้ล้ำค่าและเป็นชีวิต และเป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องมีเพื่อถนนข้างหน้า  หากไม่มีพระวจนะเหล่านี้เป็นแนวทาง หากไม่มีความเข้าใจในพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า เจ้าจะมีเครื่องหมายคำถามติดตัวเสมอเมื่อพูดถึงพระเจ้า  เจ้าสามารถเชื่อในพระเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสมได้อย่างไร หากเจ้าไม่แม้แต่จะเข้าใจพระองค์?  เจ้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับภาวะอารมณ์ของพระเจ้า เจตนารมณ์ของพระองค์ สภาวะแห่งพระหฤทัยของพระองค์ สิ่งที่พระองค์กำลังทรงขบคิด สิ่งที่ทำให้พระองค์เสียพระทัย และสิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงมีความสุข ดังนั้นเจ้าสามารถคำนึงถึงพระหทัยของพระเจ้าได้อย่างไร?

เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าไม่สบพระทัย พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับมวลมนุษย์ที่ไม่ให้ความสนใจแก่พระองค์เลย เป็นมวลมนุษย์ที่ติดตามพระองค์และอ้างว่ารักพระองค์ แต่ละเลยความรู้สึกของพระองค์อย่างสิ้นเชิง  พระหทัยของพระองค์ไม่สามารถเจ็บปวดได้อย่างไร?  ในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า พระองค์ทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์กับแต่ละบุคคล และตรัสกับแต่ละบุคคลอย่างจริงใจ และพระองค์ทรงเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยปราศจากเงื่อนไขหรือการปกปิด แต่ในทางกลับกัน ทุกคนที่ติดตามพระองค์ถูกปกปิดต่อพระองค์ และไม่มีผู้ใดเต็มใจเข้าใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น เข้าใจพระหทัยของพระองค์ หรือให้ความสนใจกับความรู้สึกของพระองค์อย่างแข็งขัน  แม้แต่บรรดาผู้ที่ต้องการกลายเป็นคนสนิทของพระเจ้าก็ไม่ต้องการที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์ คำนึงถึงพระหทัยของพระองค์ หรือพยายามเข้าใจพระองค์  เมื่อพระเจ้าทรงยินดีและมีความสุข ไม่มีใครสักคนแบ่งปันความสุขของพระองค์  เมื่อพระเจ้าทรงถูกผู้คนเข้าใจผิด ไม่มีใครสักคนคอยปลอบประโลมพระหทัยที่บาดเจ็บของพระองค์  เมื่อพระหทัยของพระองค์กำลังเจ็บปวด ไม่มีบุคคลใดสักคนเต็มใจให้พระองค์ไว้พระทัยปรับทุกข์กับพวกเขา  ตลอดเวลาหลายพันปีแห่งพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้านี้ ไม่ได้มีใครสักคนที่เข้าใจพระอารมณ์ของพระเจ้า ไม่ได้มีใครสักคนที่จับใจความหรือซาบซึ้งในพระอารมณ์ของพระเจ้า ไม่ต้องพูดถึงการที่จะมีใครสักคนที่สามารถยืนเคียงข้างพระเจ้าเพื่อแบ่งปันความยินดีและความเศร้าโศกของพระองค์  พระเจ้าทรงเหงา  พระองค์ทรงเหงา!  พระเจ้าทรงเหงาไม่ใช่เพียงเพราะมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามต่อต้านพระองค์ แต่เพราะบรรดาผู้ที่พยายามจะเป็นฝ่ายจิตวิญญาณ บรรดาผู้ที่พยายามรู้จักพระเจ้าและเข้าใจพระองค์ และแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่เต็มใจจะสละทั้งชีวิตของพวกเขาเพื่อพระองค์ ไม่รู้จักพระดำริของพระองค์ หรือเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์และพระอารมณ์ของพระองค์เช่นกันมากกว่า

ในตอนจบของเรื่องราวของโนอาห์ พวกเราเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงใช้วิธีการที่ไม่ธรรมดาเพื่อแสดงความรู้สึกของพระองค์ ณ เวลานั้น  เป็นวิธีการที่พิเศษมาก นั่นคือ การทำพันธสัญญากับมนุษย์ซึ่งได้ประกาศบทอวสานแห่งการทำลายโลกด้วยน้ำท่วมของพระเจ้า  โดยผิวเผินแล้วการทำพันธสัญญาอาจดูเหมือนเป็นสิ่งธรรมดามาก  ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้คำพูดเพื่อผูกมัดสองฝ่าย และป้องกันไม่ให้พวกเขาละเมิดข้อตกลงของพวกเขา เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาทั้งคู่  ในด้านรูปแบบมันเป็นสิ่งธรรมดามาก แต่จากสิ่งจูงใจเบื้องหลังและเจตนารมณ์ของพระเจ้าในการทำสิ่งนี้ มันเป็นการเปิดเผยที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยและสภาพจิตใจของพระเจ้า  หากเจ้าเพียงวางพระวจนะเหล่านี้ไว้ก่อนและเพิกเฉยต่อพระวจนะเหล่านี้ หากเราไม่มีวันบอกพวกเจ้าถึงความจริงของสิ่งต่างๆ เช่นนั้นแล้วมนุษยชาติก็จะไม่มีวันรู้จักการขบคิดของพระเจ้าจริงๆ  บางทีในจินตนาการของเจ้า พระเจ้ากำลังทรงแย้มพระโอษฐ์เมื่อพระองค์ได้ทรงทำพันธสัญญานี้ หรือบางทีการแสดงออกของพระองค์นั้นจริงจัง แต่ไม่ว่าผู้คนจะจินตนาการว่าพระเจ้าได้ทรงมีการแสดงออกใดที่ธรรมดามากที่สุด แต่คงจะไม่มีใครสามารถเห็นพระทัยของพระเจ้าหรือความเจ็บปวดของพระองค์ได้ นับประสาอะไรกับความเหงาของพระองค์  ไม่มีใครสามารถทำให้พระเจ้าไว้วางพระทัยพวกเขาหรือมีค่าคู่ควรต่อความไว้วางพระทัยของพระเจ้า หรือเป็นใครสักคนที่พระองค์ทรงสามารถแสดงความคิดของพระองค์ หรือไว้พระทัยปรับทุกข์ในความเจ็บปวดของพระองค์ได้  นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าไม่ทรงมีทางเลือกใดนอกจากทำสิ่งเช่นนี้  มองโดยผิวเผินแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำสิ่งง่ายๆ ในการกล่าวคำอำลาต่อมนุษยชาติอย่างที่เคยเป็น โดยแก้ไขประเด็นปัญหาแห่งอดีตและนำการทำลายล้างโลกด้วยน้ำท่วมของพระองค์ไปสู่บทอวสานที่มีความเพียบพร้อม  อย่างไรก็ตามพระเจ้าได้ทรงฝังความเจ็บปวดจากชั่วขณะนี้ลึกลงไปในพระทัยของพระองค์  ณ เวลาที่พระเจ้าไม่ได้ทรงมีใครให้ไว้พระทัยปรับทุกข์ด้วย พระองค์ได้ทรงทำพันธสัญญากับมวลมนุษย์ โดยตรัสบอกพวกเขาว่าพระองค์จะไม่ทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วมอีก  เมื่อสายรุ้งได้ปรากฏขึ้น ก็เพื่อเตือนความจำผู้คนว่าสิ่งเช่นนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว และเพื่อตักเตือนพวกเขาให้ละเว้นจากความชั่ว  แม้ในสภาวะที่เจ็บปวดเช่นนี้ พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงลืมเกี่ยวกับมวลมนุษย์ และยังคงได้ทรงแสดงความห่วงใยอย่างมากต่อพวกเขา  นี่ไม่ใช่ความรักและความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าหรอกหรือ?  แต่ผู้คนนึกถึงอะไรเล่าเมื่อพวกเขากำลังทนทุกข์?  นี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาต้องการพระเจ้ามากที่สุดหรอกหรือ?  ในเวลาเช่นนี้ผู้คนมักจะลากพระเจ้าเข้าหาเสมอเพื่อให้พระองค์ทรงสามารถปลอบประโลมพวกเขาได้  ไม่สำคัญว่าเมื่อใด พระเจ้าจะไม่มีวันทรงทำให้ผู้คนผิดหวัง และพระองค์จะทรงทำให้ผู้คนสามารถหลุดพ้นจากสภาวะลำบากใจและมีชีวิตในความสว่างได้เสมอ  แม้ว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์เช่นนี้ แต่ในหัวใจของมนุษย์พระเจ้าไม่ทรงเป็นอะไรมากไปกว่ายาเม็ดบรรเทาทุกข์ น้ำยาปลอบประโลม  เมื่อพระเจ้ากำลังทรงทนทุกข์ เมื่อพระหทัยของพระองค์ได้รับบาดเจ็บ การมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างหรือบุคคลใดก็ตามมาอยู่เป็นเพื่อนกับพระองค์หรือปลอบประโลมพระองค์ย่อมเป็นเพียงความปรารถนาฟุ้งเฟ้อสำหรับพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย  มนุษย์ไม่มีวันให้ความสนใจกับความรู้สึกของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่มีวันทรงถามหาหรือคาดหวังว่าจะมีใครสักคนที่สามารถปลอบประโลมพระองค์ได้  พระองค์เพียงทรงใช้วิธีการทั้งหลายของพระองค์เองเพื่อแสดงออกถึงพระอารมณ์ของพระองค์  ผู้คนไม่คิดว่าเป็นความยากลำบากอย่างยิ่งที่พระเจ้าจะต้องทรงฟันฝ่าความทุกข์ แต่เมื่อเจ้าพยายามเข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อเจ้าสามารถซาบซึ้งในเจตนารมณ์อันแรงกล้าของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระองค์ได้  แม้ว่าพระเจ้าได้ทรงทำพันธสัญญากับมวลมนุษย์โดยใช้สายรุ้ง แต่พระองค์ไม่เคยได้ทรงบอกผู้ใดว่าเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงทำเช่นนี้—เหตุใดพระองค์จึงได้ทรงตั้งพันธสัญญานี้—หมายความว่าพระองค์ไม่เคยได้ตรัสบอกพระดำริที่แท้จริงของพระองค์กับผู้ใด  นี่เป็นเพราะไม่มีใครที่สามารถจับใจความความลึกของความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองได้ และไม่มีใครที่สามารถซาบซึ้งว่าพระหทัยของพระองค์ได้ทนทุกข์มากเพียงใดเมื่อพระองค์ทรงทำลายมนุษยชาติได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น แม้ว่าพระองค์จะต้องตรัสบอกผู้คนว่าพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร พวกเขาก็คงจะไม่สามารถรับภาระความเชื่อใจนี้ไว้ได้  แม้จะทรงอยู่ในความเจ็บปวด แต่พระองค์ก็ยังคงทรงทำพระราชกิจของพระองค์ต่อไปในขั้นตอนถัดไป  พระเจ้าทรงให้ด้านที่ดีที่สุดของพระองค์และสิ่งที่ดีที่สุดแก่มวลมนุษย์เสมอ ในขณะที่ทรงแบกรับความทุกข์ทั้งหมดด้วยพระองค์เองอย่างเงียบๆ นั้น  พระเจ้าไม่มีวันทรงเปิดเผยความทุกข์เหล่านี้อย่างโจ่งแจ้ง  พระองค์ทรงทนฝ่าความทุกข์เหล่านี้และทรงรอคอยในความเงียบแทน  ความทนฝ่าของพระเจ้านั้นไม่เย็นชา มึนงง หรือหมดหนทาง และไม่ได้เป็นสัญญาณของความอ่อนแอ  ตรงกันข้าม ความรักและแก่นแท้ของพระเจ้าไม่เห็นแก่ตนเสมอมา  นี่คือการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ และเป็นร่างสถิตที่แท้จริงของพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้างที่แท้จริง

เมื่อได้พูดเช่นนั้นแล้ว บางคนอาจเข้าใจความหมายของเราผิดไปและคิดว่า “การบรรยายความรู้สึกของพระเจ้าอย่างละเอียดเช่นนี้ ด้วยวิธีการที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นมากมายเหลือเกิน มีเจตนาที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารพระเจ้าหรือไม่?”  นั่นคือเจตนารมณ์ ณ ตรงนี้หรือไม่?  (ไม่)  จุดประสงค์เพียงอย่างเดียวของเราที่พูดสิ่งเหล่านี้คือการทำให้พวกเจ้ารู้จักพระเจ้าดีขึ้น เข้าใจด้านต่างๆ มากมายมหาศาลของพระองค์ เข้าใจพระอารมณ์ของพระองค์ ซาบซึ้งว่าแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นได้รับการแสดงออกโดยผ่านทางพระราชกิจของพระองค์อย่างเป็นรูปธรรมและทีละเล็กทีละน้อย โดยตรงกันข้ามกับการถูกสร้างภาพพรรณนาโดยผ่านทางคำพูดที่ไร้แก่นสารของมนุษย์ คำพูดและคำสอนของพวกเขา หรือจินตนาการทั้งหลายของพวกเขา  กล่าวคือ พระเจ้าและแก่นแท้ของพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง—ทั้งสองสิ่งนี้ไม่ใช่ภาพวาด ไม่ใช่จินตนาการ ไม่ได้ถูกมนุษย์สร้างขึ้น และไม่ได้ถูกมนุษย์ประดิษฐ์อย่างแน่นอน  บัดนี้พวกเจ้าระลึกถึงการนี้ได้หรือไม่?  หากพวกเจ้าระลึกได้จริง เช่นนั้นแล้ววจนะของเราในวันนี้ก็ได้สัมฤทธิ์ผลเป้าหมายที่ต้องการแล้ว

พวกเราได้เสวนากันในสามหัวข้อในวันนี้  เราเชื่อว่าทุกคนได้รับมากมายจากสามัคคีธรรมของพวกเราในสามหัวข้อนี้  เราสามารถพูดได้อย่างแน่นอนว่าโดยผ่านทางสามหัวข้อนี้ พระดำริทั้งหลายของพระเจ้าที่เราได้บรรยาย หรือพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าที่เราได้พูดถึงได้แปลงสภาพจินตนาการและความเข้าใจของผู้คนเกี่ยวกับพระเจ้า แม้กระทั่งได้แปลงสภาพความเชื่อของทุกคนในพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น ได้แปลงสภาพพระฉายาของพระเจ้าที่ทุกคนเลื่อมใสในหัวใจของพวกเขา  ไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราหวังว่าสิ่งที่พวกเจ้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าในสองตอนนี้ของพระคัมภีร์จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้า และเราหวังว่าหลังจากพวกเจ้ากลับไปแล้ว พวกเจ้าจะพยายามไตร่ตรองมากขึ้น  การประชุมวันนี้สรุปปิดตัวตรงนี้  ลาก่อน!

4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013

ก่อนหน้า: วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์

ถัดไป: พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger