พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

ในระหว่างการชุมนุมครั้งล่าสุดของพวกเรานั้น พวกเราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อที่สำคัญยิ่งหัวข้อหนึ่ง  พวกเจ้าจำได้หรือไม่ว่ามันคือหัวข้อใด?  ขอให้เราได้ทวนมันอีกครั้ง  หัวข้อของการสามัคคีธรรมครั้งล่าสุดของพวกเราก็คือ  พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง  นี่คือหัวข้อสำคัญต่อพวกเจ้าหรือไม่?  ส่วนใดของหัวข้อนี้ที่สำคัญต่อพวกเจ้ามากที่สุด?  พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือพระเจ้าพระองค์เอง?  ส่วนใดที่ทำให้พวกเจ้าสนใจมากที่สุด?  ส่วนใดที่พวกเจ้าต้องการรับฟังมากที่สุด?  เรารู้ว่ามันยากสำหรับพวกเจ้าที่จะตอบคำถามนั้น เพราะพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสามารถมองเห็นได้ในพระราชกิจของพระองค์ทุกแง่มุม และพระอุปนิสัยของพระองค์ถูกเปิดเผยอยู่ในพระราชกิจของพระองค์ตลอดเวลาและในทุกๆ ที่ และส่งผลให้เป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เอง ในแผนการบริหารจัดการโดยรวมของพระเจ้านั้น พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เองล้วนไม่อาจแยกจากกันและกันได้

เนื้อหาของการสามัคคีธรรมครั้งล่าสุดของพวกเราที่เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้านั้นประกอบด้วยบันทึกเรื่องราวต่างๆ จากพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว  เหตุการณ์เหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์และพระเจ้า และเหตุการณ์เหล่านั้นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นกับมนุษย์ ในขณะเดียวกันก็เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมและการแสดงออกของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ดังนั้น เรื่องราวเหล่านี้จึงมีคุณค่าและนัยสำคัญโดยเฉพาะสำหรับการรู้จักพระเจ้า  เพียงหลังจากที่พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์แล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงเริ่มมีส่วนร่วมกับมนุษย์และทรงสนทนากับมนุษย์ และพระอุปนิสัยของพระองค์ก็ได้เริ่มถูกแสดงออกต่อมนุษย์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระเจ้าได้ทรงมีส่วนร่วมกับมวลมนุษย์เป็นครั้งแรกนั้นพระองค์ก็ได้ทรงเริ่มทำการเปิดเผยเนื้อแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นต่อมนุษย์โดยไม่มีการหยุดชะงัก  ไม่ว่าผู้คนยุครุ่นก่อนๆ หรือผู้คนในปัจจุบันจะสามารถมองเห็นหรือเข้าใจมันหรือไม่ก็ตาม พระเจ้าตรัสกับมนุษย์และทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ ทรงเผยพระอุปนิสัยของพระองค์และทรงแสดงออกถึงเนื้อแท้ของพระองค์—นี่คือข้อเท็จจริง และไม่มีบุคคลใดสามารถปฏิเสธได้  นี่ยังหมายความอีกด้วยว่า พระอุปนิสัยของพระเจ้า เนื้อแท้ของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้นได้ถูกส่งออกไปและเปิดเผยอย่างสม่ำเสมอในขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจและมีส่วนร่วมกับมนุษย์  พระองค์ไม่เคยทรงปกปิดหรือซ่อนเร้นสิ่งใดจากมนุษย์ แต่กลับทรงทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์เองเป็นที่เปิดเผยและทรงปลดปล่อยพระอุปนิสัยของพระองค์เองออกไปโดยไม่ทรงระงับสิ่งใดไว้  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าทรงหวังว่ามนุษย์จะสามารถรู้จักพระองค์และเข้าใจพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ได้  พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้มนุษย์ปฏิบัติต่อพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ว่าเป็นความล้ำลึกนิรันดร์ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้มวลมนุษย์ถือว่าพระเจ้าทรงเป็นปริศนาที่ไม่มีวันสามารถไขได้  มีเพียงเมื่อมวลมนุษย์รู้จักพระเจ้าเท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถรู้จักหนทางไปข้างหน้าและยอมรับการทรงนำของพระเจ้าได้ และมีเพียงมวลมนุษย์เช่นนี้เท่านั้นที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า และดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง ท่ามกลางพรจากพระเจ้าได้อย่างแท้จริง

พระวจนะและพระอุปนิสัยที่พระเจ้าได้ทรงแสดงและเปิดเผยไปนั้นแสดงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ และแสดงถึงแก่นแท้ของพระองค์อีกด้วย  เมื่อพระเจ้าทรงคลุกคลีกับมนุษย์ ไม่ว่าพระองค์จะตรัสหรือทรงทำสิ่งใด หรือเปิดเผยพระอุปนิสัยใดก็ตาม และไม่ว่ามนุษย์จะมองเห็นสิ่งใดในแก่นแท้ของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นก็ตาม ทั้งหมดนั้นแสดงถึงเจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  ไม่ว่ามนุษย์จะสามารถตระหนัก จับใจความ หรือเข้าใจได้มากเพียงใดก็ตาม ทั้งหมดนั้นแสดงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า—เป็นเจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย!  เจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ได้แก่ สิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดให้ผู้คนเป็น สิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดให้พวกเขาทำ วิธีดำรงชีวิตตามที่พระองค์ทรงกำหนดให้แก่พวกเขา และวิธีที่พระองค์ทรงกำหนดให้แก่พวกเขาว่าจะสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร  สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกจากแก่นแท้ของพระเจ้าได้ใช่หรือไม่?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์และทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และพระองค์ก็ประทานข้อกำหนดแก่มนุษย์ไปพร้อมกัน  ไม่มีความเท็จ ไม่มีการเสแสร้ง ไม่มีการปกปิด และไม่มีการแต่งเติมใดๆ  แต่เหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถทำความรู้จักและไม่เคยสามารถเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างชัดเจน?  เหตุใดมนุษย์จึงไม่เคยตระหนักถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า?  สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยและแสดงให้เห็นนั้นคือสิ่งที่พระเจ้าพระองค์เองทรงมีและทรงเป็น คือทุกเศษเสี้ยวและทุกเหลี่ยมมุมของพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระองค์—แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถมองเห็นได้?  เหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถทำความรู้จักได้อย่างถ่องแท้?  มีเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งสำหรับการนี้  แล้วเหตุผลนั้นคืออะไร?  นับตั้งแต่ยุคแห่งการทรงสร้าง มนุษย์ไม่เคยปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้า  ในยุคแรกเริ่มนั้น ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใดเกี่ยวกับมนุษย์—ซึ่งก็คือมนุษย์ที่เพิ่งจะถูกสร้างขึ้นมาเท่านั้น—มนุษย์ก็ปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนเป็นเพียงสหายผู้หนึ่ง เป็นใครบางคนที่มีไว้ให้พึ่งพา และมนุษย์ไม่ได้รู้จักหรือเข้าใจพระเจ้าเลย  กล่าวคือ มนุษย์ไม่รู้ว่าสิ่งที่องค์ผู้ทรงเป็นนี้ทรงแสดงออกมา—องค์ผู้ทรงเป็นซึ่งเขาพึ่งพาและมองว่าเป็นสหายของเขาองค์นี้—คือแก่นแท้ของพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่รู้ว่าองค์ผู้ทรงเป็นนี้คือองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงปกครองสรรพสิ่ง  กล่าวง่ายๆ ก็คือ ผู้คนในเวลานั้นจำพระเจ้าไม่ได้เลย  พวกเขาไม่รู้ว่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์ และพวกเขาไม่รู้ว่าพระองค์ทรงมาจากที่ใด และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่าพระองค์คือสิ่งใด  แน่นอนว่าในตอนนั้นพระเจ้าไม่ได้ทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์รู้จักหรือทำความเข้าใจพระองค์ หรือให้เข้าใจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำลงไป หรือรู้เจตนารมณ์ของพระองค์ เพราะเหล่านี้คือห้วงเวลาแรกเริ่มหลังการทรงสร้างมวลมนุษย์  เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มตระเตรียมพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งบางอย่างต่อมนุษย์ และยังได้ทรงเริ่มวางข้อกำหนดบางอย่างแก่มนุษย์ โดยตรัสบอกมนุษย์ถึงวิธีที่จะถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าและวิธีนมัสการพระเจ้า  เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงเกิดแนวคิดง่ายๆ บางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า และเมื่อนั้นเท่านั้นเขาจึงได้รู้จักความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และได้รู้ว่าพระเจ้าคือองค์หนึ่งเดียวผู้สร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา  เมื่อมนุษย์ได้รู้ว่าพระเจ้าคือพระเจ้าและมนุษย์คือมนุษย์ ก็เกิดระยะห่างประมาณหนึ่งระหว่างเขากับพระเจ้า ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงขอให้มนุษย์รู้จักพระองค์ให้มากหรือเข้าใจพระองค์อย่างลึกซึ้งอยู่ดี  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงวางข้อกำหนดที่แตกต่างกันแก่มนุษย์ตามช่วงระยะและรูปการณ์แวดล้อมของพระราชกิจของพระองค์  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในการนี้?  พวกเจ้าเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าในแง่มุมใดบ้าง?  พระเจ้าทรงเป็นจริงหรือไม่?  ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์เหมาะสมหรือไม่?  ในห้วงเวลาแรกเริ่มหลังการทรงสร้างมวลมนุษย์ของพระเจ้านี้ เมื่อพระเจ้ายังไม่ได้ดำเนินพระราชกิจแห่งการพิชิตมนุษย์และทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  และยังไม่ได้ตรัสพระวจนะแก่มนุษย์มากนัก พระองค์ได้ทรงขอจากมนุษย์เพียงเล็กน้อย  ไม่ว่ามนุษย์จะทำสิ่งใดหรือประพฤติตนอย่างไร—ต่อให้เขาทำบางสิ่งบางอย่างที่ล่วงเกินพระเจ้า—พระเจ้าก็ประทานอภัยและมองข้ามไปสิ้น  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงรู้ว่าพระองค์ได้ประทานอะไรแก่มนุษย์และมีอะไรอยู่ในตัวมนุษย์บ้าง และด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงรู้ว่าพระองค์ควรวางข้อกำหนดที่มีมาตรฐานเช่นไรแก่มนุษย์  ถึงแม้ว่าข้อกำหนดของพระองค์จะมีมาตรฐานต่ำมากในเวลานั้น แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระอุปนิสัยของพระองค์จะไม่ยิ่งใหญ่ หรือว่าพระปรีชาญาณและมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์จะเป็นเพียงถ้อยคำที่ว่างเปล่า  สำหรับมนุษย์แล้ว มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เองได้ นั่นก็คือ โดยการติดตามขั้นตอนต่างๆ ในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า และยอมรับพระวจนะที่พระเจ้าตรัสแก่มวลมนุษย์  ทันทีที่มนุษย์รู้จักสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า เขาจะยังคงขอให้พระเจ้าแสดงตัวตนที่แท้จริงของพระองค์ให้เขาเห็นอยู่หรือไม่?  ไม่ มนุษย์ย่อมจะไม่ขอ และจะไม่กล้าขอด้วยซ้ำ เพราะเมื่อเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นแล้ว มนุษย์ก็ย่อมจะมองเห็นพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เองและตัวตนที่แท้จริงของพระองค์แล้ว  นี่คือผลลัพธ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ขณะที่พระราชกิจและแผนของพระเจ้าดำเนินไปอย่างไม่หยุด และหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงตั้งพันธสัญญารุ้งกับมนุษย์ ให้เป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะไม่มีวันทรงทำลายโลกโดยใช้น้ำท่วมอีกแล้วนั้น พระเจ้าก็ได้ทรงมีพระประสงค์ที่เร่งด่วนเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งบรรดาผู้ที่สามารถมีจิตใจเดียวกันกับพระองค์  ดังนั้น พระองค์จึงได้ทรงมีความพึงปรารถนาที่จำเป็นเร่งด่วนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วยเช่นกันที่จะได้มาซึ่งผู้ที่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้ และยิ่งไปกว่านั้น ทรงปรารถนามากยิ่งขึ้นที่จะได้มาซึ่งกลุ่มผู้คนที่สามารถเป็นอิสระจากกำลังบังคับของความมืดมิดและไม่ถูกซาตานผูกมัด ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะสามารถเป็นคำพยานต่อพระองค์บนแผ่นดินโลกได้  การได้รับกลุ่มผู้คนเช่นนี้เป็นความปรารถนาที่ทรงมีมานานของพระเจ้า มันคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงรอคอยมาตลอดนับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้าง  ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเป็นการที่พระเจ้าทรงใช้น้ำท่วมเพื่อทำลายโลก หรือว่าเป็นพันธสัญญาที่พระองค์ทรงมีกับมนุษย์นั้น เจตนารมณ์ กรอบความคิด แผนการ และความหวังทั้งหมดของพระเจ้ายังคงเป็นเหมือนเดิม  สิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำ สิ่งที่พระองค์ทรงโหยหามานานก่อนยุคแห่งการทรงสร้าง ก็คือการได้รับผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้มาเอาไว้จากหมู่มวลมนุษย์—ได้มาซึ่งกลุ่มคนที่สามารถทำความเข้าใจและรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ได้ กลุ่มที่จะสามารถนมัสการพระองค์ได้  กลุ่มคนเช่นนั้นย่อมจะสามารถเป็นคำพยานให้พระองค์ได้อย่างแท้จริง และย่อมจะสามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นคนสนิทของพระองค์

วันนี้ พวกเรามาย้อนรอยย่างพระบาทของพระเจ้าและติดตามขั้นตอนต่างๆ แห่งพระราชกิจของพระเจ้ากันต่อเถิด เพื่อที่พวกเราอาจจะเปิดเผยพระดำริและแนวคิดของพระเจ้า และรายละเอียดต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับพระเจ้าออกมา ทั้งหมดที่ได้ “ถูกปิดผนึก” ไว้เป็นเวลานานมากแล้ว  โดยผ่านทางสิ่งต่างๆ เหล่านี้นั้น พวกเราจะได้มารู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า เข้าใจเนื้อแท้ของพระเจ้า พวกเราจะให้พระเจ้าเสด็จเข้ามาสู่หัวใจของพวกเรา และพวกเราทุกคนจะได้ค่อยๆ เข้าใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และลดระยะห่างของพวกเราจากพระเจ้า

ส่วนที่พวกเราได้สนทนากันเมื่อครั้งที่แล้วนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงตั้งพันธสัญญากับมนุษย์  ครั้งนี้ พวกเราจะสามัคคีธรรมกันเกี่ยวกับบทตอนต่างๆ ข้างล่างนี้จากข้อพระคัมภีร์  พวกเรามาเริ่มด้วยการอ่านข้อพระคัมภีร์กันเถิด

ก. อับราฮัม

1. พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่อับราฮัม

ปฐมกาล 17:15-17  พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ส่วนซารายภรรยาของเจ้านั้น เจ้าอย่าเรียกชื่อนางว่า ซาราย แต่จงเรียกชื่อนางว่า ซาราห์ เราจะอวยพรนาง และยิ่งกว่านั้นอีก โดยนางนี่แหละ เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้า เราจะอวยพรนาง และนางจะให้กำเนิดชนหลายชาติ กษัตริย์ของชนหลายชาติจะมาจากนาง” อับราฮัมจึงซบหน้าลงหัวเราะและคิดในใจว่า “ชายผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีแล้วจะมีบุตรได้หรือ?  ซาราห์ผู้มีอายุเก้าสิบปีแล้วจะคลอดบุตรหรือ?”

ปฐมกาล 17:21-22  “ฝ่ายพันธสัญญาของเรา เราจะตั้งไว้กับอิสอัคผู้ซึ่งซาราห์จะคลอดให้แก่เจ้าปีหน้าในฤดูนี้” เมื่อพระองค์ตรัสกับท่านเสร็จแล้ว พระเจ้าก็เสด็จจากอับราฮัมขึ้นไป

ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางพระราชกิจที่พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำได้

ดังนั้น พวกเจ้าทุกคนก็เพิ่งได้รับฟังเรื่องราวของอับราฮัมไปหรือมิใช่?  พระเจ้าได้ทรงเลือกเขาหลังจากที่น้ำท่วมได้ทำลายโลก ชื่อของเขาคืออับราฮัม และเมื่อเขามีอายุหนึ่งร้อยปี และซาราห์ภรรยาของเขาอายุเก้าสิบปี พระสัญญาของพระเจ้าก็ได้มาถึงเขา  พระเจ้าได้ทรงทำพระสัญญาอะไรกับเขา?  พระองค์ได้ทรงสัญญาในสิ่งที่ได้ถูกอ้างอิงถึงในข้อพระคัมภีร์ว่า “เราจะอวยพรนาง และยิ่งกว่านั้นอีก โดยนางนี่แหละ เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้า”  อะไรคือภูมิหลังที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่เขา?  ข้อพระคัมภีร์จัดเตรียมเรื่องราวต่อไปนี้ ความว่า “อับราฮัมจึงซบหน้าลงหัวเราะและคิดในใจว่า ‘ชายผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีแล้วจะมีบุตรได้หรือ?  ซาราห์ผู้มีอายุเก้าสิบปีแล้วจะคลอดบุตรหรือ?’”  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คู่สามีภรรยาสูงวัยนี้แก่เกินไปที่จะให้กำเนิดลูกๆ  และอับราฮัมทำสิ่งใดหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงทำพระสัญญาของพระองค์กับเขา?  เขาซบหน้าลงหัวเราะและกล่าวกับตัวเองว่า “ชายผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีแล้วจะมีบุตรได้หรือ?”  อับราฮัมเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้—ซึ่งหมายความว่าเขาเชื่อว่าพระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อเขานั้นไม่ใช่สิ่งใดที่มากไปกว่าเรื่องตลก  จากมุมมองของมนุษย์แล้วนั้น นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์ไม่อาจสัมฤทธิ์ได้ และในทำนองเดียวกันนั้นก็ไม่อาจสัมฤทธิ์ได้โดยพระเจ้าและเป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า  บางทีสำหรับอับราฮัม นี่อาจเป็นเรื่องน่าหัวเราะว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ แต่ทว่าดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ทรงตระหนักแต่อย่างใดว่าใครบางคนที่แก่ถึงเพียงนั้นจะไม่สามารถให้กำเนิดลูกๆ ได้ พระเจ้าทรงดำริว่าพระองค์ทรงสามารถทำให้ข้าพระองค์ให้กำเนิดลูกได้ พระองค์ตรัสว่าพระองค์จะประทานลูกให้ข้าพระองค์—นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”  ดังนั้น อับราฮัมจึงซบหน้าลงและหัวเราะ พลางคิดกับตัวเองว่า “เป็นไปไม่ได้—พระเจ้ากำลังทรงล้อฉันเล่น เรื่องนี้ไม่สามารถเป็นจริงได้!”  เขาไม่ได้จริงจังกับพระวจนะของพระเจ้า  ดังนั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วอับราฮัมเป็นมนุษย์ประเภทใด?  (ชอบธรรม)  มีระบุไว้ตรงไหนว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ชอบธรรม?  พวกเจ้าคิดว่าทุกคนที่พระเจ้าทรงเรียกใช้นั้นชอบธรรมและมีความเพียบพร้อม ว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้คนที่เดินกับพระเจ้า  เจ้ายึดตามข้อบังคับ!  พวกเจ้าต้องมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อพระเจ้าทรงกำหนดนิยามใครบางคนนั้น พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้นโดยพลการ  ณ ที่นี้ พระเจ้าไม่ได้ตรัสว่าอับราฮัมชอบธรรม  ในพระทัยของพระองค์นั้น พระเจ้าทรงมีมาตรฐานต่างๆ เพื่อวัดทุกบุคคล  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะไม่ได้ตรัสว่าอับราฮัมเป็นบุคคลประเภทใด แต่ในแง่ของการประพฤติของเขาแล้วนั้น อับราฮัมมีความเชื่อในพระเจ้าแบบใด?  มันเป็นนามธรรมเล็กน้อยหรือไม่?  หรือเขามีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่?  ไม่ เขาไม่ใช่เลย!  การหัวเราะและความคิดของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นอย่างไร ดังนั้น การที่พวกเจ้าเชื่อว่าเขาชอบธรรมนั้นเป็นเพียงแต่การคิดไปเองจากจินตนาการของพวกเจ้า นี่เป็นการนำข้อบังคับไปใช้อย่างมืดบอด และมันเป็นการประเมินที่ขาดความรับผิดชอบ  พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการหัวเราะของอับราฮัมและการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ของเขาหรือไม่?  พระองค์ได้ทรงรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่?  พระเจ้าได้ทรงรู้  แต่พระเจ้าจะทรงปรับเปลี่ยนสิ่งที่พระองค์ได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำหรือไม่?  ไม่!  เมื่อพระเจ้าได้ทรงวางแผนและได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าพระองค์จะเลือกมนุษย์คนนี้ มันก็สำเร็จลุล่วง  ไม่ว่าความคิดของมนุษย์หรือการประพฤติของเขาก็จะไม่มีอิทธิพลหรือแทรกแซงพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย พระเจ้าจะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงแผนของพระองค์โดยสุดแต่พระทัย อีกทั้งพระองค์ก็จะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงหรือล้มแผนของพระองค์อย่างหุนหันพลันแล่นเนื่องจากการประพฤติของมนุษย์ แม้กระทั่งการประพฤติที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์  เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดเล่าที่ได้เขียนไว้ในปฐมบท 17-21-22?  “‘ฝ่ายพันธสัญญาของเรา เราจะตั้งไว้กับอิสอัคผู้ซึ่งซาราห์จะคลอดให้แก่เจ้าปีหน้าในฤดูนี้’ เมื่อพระองค์ตรัสกับท่านเสร็จแล้ว พระเจ้าก็เสด็จจากอับราฮัมขึ้นไป” พระเจ้าไม่ได้ทรงให้ความสนพระทัยต่อสิ่งที่อับราฮัมคิดหรือกล่าวแม้แต่น้อย  อะไรคือเหตุผลสำหรับความไม่สนพระทัยของพระองค์?  มันเป็นเพราะ ณ เวลานั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้มนุษย์มีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ หรือให้เขาสามารถมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับพระเจ้า หรือยิ่งไปกว่านั้น ให้เขาสามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำและตรัส  ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงไม่ได้ทรงขอให้มนุษย์เข้าใจอย่างเต็มที่ในสิ่งที่พระองค์ได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำ หรือผู้คนที่พระองค์ได้ทรงมุ่งมั่นที่จะเลือก หรือหลักการทั้งหลายในการกระทำของพระองค์ เพราะวุฒิภาวะของมนุษย์นั้นแค่ไม่เพียงพอ  ณ เวลานั้น พระเจ้าทรงถือว่าสิ่งใดก็ตามที่อับราฮัมทำและการประพฤติตนของเขาอย่างไรก็ตามเป็นสิ่งที่ปกติ  พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวโทษหรือตำหนิ แต่แค่ได้ตรัสว่า “ซาราห์จะคลอดอิสอัคให้แก่เจ้าปีหน้าในฤดูนี้”  สำหรับพระเจ้าแล้ว หลังจากที่พระองค์ได้ทรงประกาศพระวจนะเหล่านี้ เรื่องนี้จะได้เป็นจริงทีละขั้นตอน ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น สิ่งที่จะถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยแผนของพระองค์ได้สัมฤทธิ์ผลไปแล้ว  หลังจากที่การจัดการเตรียมการสำหรับการนี้ได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว พระเจ้าก็ได้เสด็จจากไป  สิ่งที่มนุษย์ทำหรือคิด สิ่งที่มนุษย์เข้าใจ แผนต่างๆ ของมนุษย์—ไม่มีสิ่งใดในการนี้ที่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับพระเจ้า  ทุกสิ่งทุกอย่างก้าวหน้าไปตามแผนของพระเจ้า โดยสอดคล้องกับเวลาและช่วงระยะที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้  เช่นนี้เองคือหลักการแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงแทรกแซงในสิ่งใดก็ตามที่มนุษย์คิดหรือรู้ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ทรงละเลยแผนของพระองค์หรือละทิ้งพระราชกิจของพระองค์เพียงเพราะมนุษย์ไม่เชื่อหรือไม่เข้าใจ  ด้วยเหตุนี้ข้อเท็จจริงทั้งหลายสำเร็จลุล่วงไปตามแผนและพระดำริของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พวกเรามองเห็นอย่างแม่นยำในพระคัมภีร์ กล่าวคือ พระเจ้าได้ทรงทำให้อิสอัคคลอดในเวลาที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้  ข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์ว่าพฤติกรรมและการประพฤติของมนุษย์ได้ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า!  ความเชื่อในพระเจ้าอันน้อยนิดของมนุษย์ และมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าส่งผลกระทบต่อพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบเลย!  ไม่แม้แต่นิดเดียว!  แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าไม่ได้รับผลกระทบจากมนุษย์ เรื่องราว หรือสิ่งแวดล้อมใดเลย  ทั้งหมดที่พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำก็จะครบบริบูรณ์และสำเร็จลุล่วงไปตรงเวลาและตามแผนของพระองค์ และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถแทรกแซงพระราชกิจของพระองค์ได้  พระเจ้าทรงเพิกเฉยต่อบางแง่มุมจากความโง่เขลาและไม่รู้เท่าทันของมนุษย์ และแม้กระทั่งบางแง่มุมจากการต้านทานและมโนคติที่หลงผิดต่อพระองค์ของมนุษย์ และพระองค์ทรงพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า และมันคือภาพสะท้อนแห่งฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์

2. อับราฮัมถวายอิสอัค

ปฐมกาล 22:2-3  พระองค์ตรัสว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังดินแดนโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า” อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคนกับอิสอัคบุตรของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องบูชา แล้วเดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่ท่าน

ปฐมกาล 22:9-10  เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย

พระราชกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการของพระเจ้าและความรอดของมวลมนุษย์เริ่มต้นด้วยการที่อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค

พระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสกับอับราฮัมได้ถูกทำให้ลุล่วงไปด้วยการทรงมอบบุตรชายคนหนึ่งให้อับราฮัม  นี่ไม่ได้หมายความว่าแผนของพระเจ้าได้หยุด ณ ที่นี้ ในทางตรงกันข้าม แผนที่งดงามของพระเจ้าในการบริหารจัดการและความรอดของมวลมนุษย์เพิ่งจะได้เริ่มต้นขึ้นเท่านั้น และการอวยพรของพระองค์ให้อับราฮัมมีบุตรชายคนหนึ่งก็เป็นแค่อารัมภบทของแผนการบริหารจัดการโดยรวมของพระองค์  ณ ชั่วขณะนั้น ใครเล่าที่รู้ว่าการสู้รบของพระเจ้ากับซาตานได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเงียบๆ ในชั่วขณะที่อับราฮัมได้มอบถวายอิสอัค?

พระเจ้าไม่ใส่พระทัยว่ามนุษย์โง่เขลาหรือไม่—พระองค์เพียงทรงขอให้มนุษย์ซื่อตรงเท่านั้น

ต่อไป เรามาดูสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำกับอับราฮัมกัน  ในปฐมกาล 22:2 พระเจ้าได้ทรงให้พระบัญชาต่อไปนี้แก่อับราฮัม ความว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังดินแดนโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า”  ความหมายของพระเจ้านั้นชัดเจน กล่าวคือ พระองค์กำลังตรัสบอกกับอับราฮัมให้มอบบุตรชายคนเดียวของเขา คืออิสอัค ผู้ที่เขารัก ให้เป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว  เมื่อมองการนั้นในวันนี้ พระบัญชาของพระเจ้ายังคงขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์อยู่หรือไม่?  ใช่แล้ว!  ทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำในเวลานั้นตรงกันข้ามกันทีเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจจับใจความได้  ในมโนคติที่หลงผิดของพวกเขานั้น ผู้คนเชื่อดังต่อไปนี้: เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อ และคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าได้ทรงมอบบุตรคนหนึ่งแก่เขา และหลังจากที่เขาได้รับบุตรชายคนหนึ่งแล้ว พระเจ้าได้ทรงขอให้เขาพลีอุทิศบุตรชายของเขา  นี่ไม่น่าเชื่อโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ!  ที่จริงแล้วพระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทำสิ่งใด?  เจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าคือสิ่งใด?  พระองค์ได้ประทานบุตรชายคนหนึ่งให้อับราฮัมโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ทว่าพระองค์ก็ได้ทรงขอให้อับราฮัมทำเครื่องบูชาที่ไม่มีเงื่อนไขด้วยเช่นกัน  นี่ไม่มากเกินไปหรอกหรือ?  จากจุดยืนของบุคคลภายนอก นี่ไม่เพียงแค่มากเกินไปเท่านั้น แต่ยังเป็นกรณีบางอย่างที่เป็น “การสร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผลใดๆ” ด้วยเช่นกัน  แต่อับราฮัมเองไม่ได้เชื่อว่าพระเจ้ากำลังทรงขอมากเกินไป  ถึงแม้เขาจะมีความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างของเขาเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ และถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยพระเจ้าเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงตระเตรียมที่จะทำเครื่องบูชา  ณ จุดนี้ เจ้าเห็นสิ่งใดที่พิสูจน์ว่าอับราฮัมเต็มใจที่จะถวายบุตรชายของเขา?  ในประโยคเหล่านี้กำลังกล่าวสิ่งใด?  ข้อความเดิมบอกเล่าเรื่องราวดังต่อไปนี้: “อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคนกับอิสอัคบุตรของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องบูชา แล้วเดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่ท่าน” (ปฐมกาล 22:3) “เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย” (ปฐมกาล 22:9-10)  เมื่ออับราฮัมยื่นมือออกไปจับมีดเพื่อฆ่าบุตรชายของเขา พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการกระทำของเขาหรือไม่?  พระองค์ทรงเห็น  ทุกขั้นตอน—ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อพระเจ้าได้ทรงขอให้อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค จนถึงตอนที่อับราฮัมยกมีดขึ้นเพื่อฆ่าบุตรชายของเขาจริงๆ—ได้แสดงให้พระเจ้าทรงเห็นหัวใจของอับราฮัม และไม่ว่าความโง่เขลา ความไม่รู้เท่าทัน และความไม่เข้าใจพระเจ้าก่อนหน้านี้ของเขาจะเป็นอย่างไร ณ เวลานั้น หัวใจของอับราฮัมที่มีต่อพระเจ้านั้นซื่อตรงและซื่อสัตย์ และเขากำลังจะมอบอิสอัค บุตรชายที่พระเจ้าได้ประทานแก่เขา คืนสู่พระเจ้าอย่างแท้จริงและจริงใจ  พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นการนบนอบในตัวเขา เป็นการนบนอบที่พระองค์ทรงปรารถนานั่นเอง

สำหรับมนุษย์นั้น พระเจ้าทรงทำหลายสิ่งที่ไม่อาจจับใจความได้และแม้กระทั่งไม่อาจเชื่อได้  เมื่อพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะจัดวางเรียบเรียงใครบางคน การจัดวางเรียบเรียงนี้มักจะไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์และไม่อาจจับใจความได้สำหรับเขา ทว่าก็แน่นอนว่าเป็นเพราะความไม่ตรงกันและความไม่อาจจับใจความได้นี้นั่นเองที่เป็นบททดสอบและการทดสอบมนุษย์ของพระเจ้า  ในขณะเดียวกัน อับราฮัมก็สามารถแสดงให้เห็นถึงการนบนอบพระเจ้า ซึ่งเป็นภาวะพื้นฐานที่สุดของการที่เขาสามารถสนองข้อกำหนดของพระเจ้า  เมื่ออับราฮัมสามารถนบนอบข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เมื่อเขามอบถวายอิสอัคแล้วเท่านั้น พระเจ้าจึงได้รู้สึกวางพระทัยและเห็นชอบในตัวมวลมนุษย์อย่างแท้จริง—ในตัวอับราฮัม ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรร  เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงมั่นพระทัยว่าบุคคลผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรรคนนี้เป็นผู้นำที่ขาดเสียไม่ได้ ผู้ซึ่งสามารถรับสัญญาของพระองค์และแผนการบริหารจัดการในภายหลังของพระองค์ได้  ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงการทดสอบและการทดลอง แต่พระเจ้าก็รู้สึกอิ่มเอิบพระทัย พระองค์ทรงรู้สึกถึงความรักที่มนุษย์มีต่อพระองค์ และพระองค์รู้สึกสบายพระทัยโดยมนุษย์อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน  ณ ชั่วขณะนั้นที่อับราฮัมยกมีดขึ้นเพื่อฆ่าอิสอัค พระเจ้าได้ทรงหยุดเขาหรือไม่?  พระเจ้าไม่ได้ทรงปล่อยให้อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงมีเจตนารมณ์ที่จะเอาชีวิตของอิสอัคอย่างแท้จริง  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงหยุดอับราฮัมไว้ทันเวลาพอดี  สำหรับพระเจ้า การนบนอบของอับราฮัมผ่านการทดสอบแล้ว สิ่งที่เขาได้ทำไปนั้นเพียงพอแล้ว และพระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นผลลัพธ์ของสิ่งที่พระองค์ได้ตั้งพระทัยที่จะทำแล้ว  ผลลัพธ์นี้เป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?  สามารถกล่าวได้ว่าผลลัพธ์นี้เป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงถวิลหารอคอยที่จะเห็น  เรื่องนี้จริงหรือไม่?  ถึงแม้ว่าในบริบทที่แตกต่างกันไป พระเจ้าจะทรงใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อทดสอบแต่ละบุคคล แต่พระเจ้าก็ทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ในตัวอับราฮัม พระองค์ทอดพระเนตรเห็นว่าหัวใจของอับราฮัมนั้นซื่อตรง และการนบนอบของเขาก็ไม่มีเงื่อนไข  แน่นอนว่า “การไม่มีเงื่อนไข” นี้นั่นเองที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนา  บ่อยครั้งที่คนบางคนพูดว่า “ฉันได้ถวายสิ่งนี้ไปแล้ว ฉันได้ยอมสละสิ่งนั้นไปแล้ว—เหตุใดพระเจ้าจึงยังคงไม่พึงพอพระทัยในตัวฉัน?  เหตุใดพระองค์ยังคงทรงคอยนำฉันไปสู่บททดสอบอยู่เรื่อยๆ?  เหตุใดพระองค์ยังคงทรงคอยทดสอบฉันอยู่เรื่อย?”  การนี้แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงหนึ่ง นั่นคือ  พระเจ้ายังไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นหัวใจของเจ้า และยังไม่ได้ทรงได้มาซึ่งหัวใจของเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นหัวใจอันเที่ยงแท้แบบนี้ซึ่งอับราฮัมมีในยามที่เขาสามารถเงื้อมีดเพื่อฆ่าบุตรชายด้วยมือของตัวเองและถวายเขาให้กับพระเจ้า  พระองค์ยังไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นการที่เจ้านบนอบพระองค์อย่างไร้เงื่อนไข และยังไม่ได้รับความชูใจจากเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พระเจ้าทรงคอยทดสอบเจ้าอยู่เรื่อยๆ  ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  ในส่วนของหัวข้อนี้ พวกเราจะจบเรื่องนี้ไว้ตรงนี้  ต่อไป พวกเราจะอ่าน “พระสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่อับราฮัม”

3. พระสัญญาของพระเจ้าต่ออับราฮัม

ปฐมกาล 22:16-18  พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราเองปฏิญาณว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองแห่งศัตรูทั้งหลายของเขาเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา

นี่คือเรื่องราวที่ครบสมบูรณ์เกี่ยวกับการอวยพรของพระเจ้าต่ออับราฮัม  ถึงแม้ว่าจะรวบรัดแต่เนื้อหาของมันนั้นมั่งคั่ง กล่าวคือ มันประกอบด้วยเหตุผลและภูมิหลังของของขวัญที่พระเจ้าทรงให้ต่ออับราฮัม และสิ่งที่เป็นสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้อับราฮัม  มันยังเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมยินดีและความตื่นเต้นที่พระเจ้าได้ดำรัสพระวจนะเหล่านี้ด้วยเช่นกัน ตลอดจนความเร่งด่วนของการที่พระองค์ทรงถวิลหารอคอยที่จะได้รับบรรดาผู้ซึ่งสามารถรับฟังพระวจนะของพระองค์ได้  ในการนี้ พวกเรามองเห็นการทะนุถนอมและความอ่อนโยนที่พระเจ้าทรงมีต่อบรรดาผู้ที่เชื่อฟังพระวจนะของพระองค์และนบนอบพระบัญชาของพระองค์  ดังนั้น พวกเรามองเห็นราคาที่พระองค์ทรงจ่ายเพื่อที่จะได้รับผู้คน และความเอาพระทัยใส่และพระดำริที่พระองค์ทรงใช้ในการได้รับพวกเขาด้วยเช่นกัน  ยิ่งไปกว่านั้น บทตอนนี้ ซึ่งบรรจุพระวจนะที่ว่า “เราเองปฏิญาณว่า” ให้สำนึกรับรู้ที่ทรงพลังแก่เราเกี่ยวกับความขมขื่นและความเจ็บปวดที่พระเจ้าทรงแบกรับและพระเจ้าพระองค์เดียวที่อยู่เบื้องหลังฉากของพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระองค์นี้  มันเป็นบทตอนที่ปลุกความคิด และเป็นบทตอนที่มีนัยสำคัญพิเศษสำหรับบรรดาผู้ที่ตามมา และมีผลกระทบกว้างขวางต่อพวกเขา

มนุษย์ได้รับพรจากพระเจ้าเพราะเขาจริงใจและนบนอบ

พรที่พระเจ้าทรงมอบให้กับอับราฮัมที่พวกเราได้อ่านกัน ณ ที่นี้ยิ่งใหญ่หรือไม่?  แล้วยิ่งใหญ่เพียงใด?  มีประโยคสำคัญอยู่ประโยคหนึ่ง ณ ที่นี้ นั่นคือ “ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า”  ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าอับราฮัมได้รับพรที่ไม่เคยได้ถูกมอบแก่ผู้ใดที่มาก่อนหรือภายหลังจากนั้น  เมื่อพระเจ้าทรงขอ อับราฮัมก็ได้คืนบุตรชายเพียงคนเดียวของเขา—บุตรชายคนเดียวผู้เป็นที่รักของเขา—ให้แก่พระเจ้า (ในที่นี้เราไม่สามารถใช้คำว่า “ถวาย” ได้ พวกเราควรกล่าวว่าเขาได้คืนบุตรชายของเขาแก่พระเจ้า)  พระเจ้าไม่เพียงแต่ไม่ทรงอนุญาตให้อับราฮัมถวายอิสอัคเท่านั้น แต่พระองค์ยังได้ทรงอวยพรเขาด้วย  พระองค์ได้ทรงอวยพรแก่อับราฮัมด้วยพระสัญญาใด?  พระองค์ได้ทรงอวยพรเขาด้วยพระสัญญาที่จะเพิ่มทวีเชื้อสายของเขา  และพวกเขาจะได้เพิ่มทวีขึ้นมากเท่าใด?  ข้อพระคัมภีร์จัดเตรียมการบันทึกดังต่อไปนี้  “ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองแห่งศัตรูทั้งหลายของเขาเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา”  พระเจ้าได้ดำรัสเนื้อหาใดในพระวจนะเหล่านี้?  กล่าวคือ อับราฮัมได้รับพรจากพระเจ้าอย่างไร?  เขาได้รับพรเหล่านั้นดังเช่นที่พระเจ้าตรัสไว้ในข้อพระคัมภีร์ว่า “เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา”  กล่าวคือ เพราะอับราฮัมได้ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า เพราะเขาได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ตรัส ได้ขอ และได้บัญชา โดยไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้ทรงทำพระสัญญาเช่นนั้นกับเขา  มีประโยคสำคัญประโยคหนึ่งในพระสัญญานี้ที่พูดถึงพระดำริของพระเจ้า ณ เวลานั้น  พวกเจ้ามองเห็นมันแล้วหรือยัง?  พวกเจ้าอาจจะไม่ได้ให้ความสนใจมากนักกับพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เราเองปฏิญาณว่า”  ความหมายของประโยคนี้ก็คือว่า เมื่อพระเจ้าได้ดำรัสพระวจนะเหล่านี้นั้น พระองค์กำลังทรงปฏิญาณด้วยพระองค์เอง  ผู้คนปฏิญาณด้วยสิ่งใดเมื่อพวกเขาทำการสาบาน?  พวกเขาปฏิญาณด้วยสวรรค์ ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาทำการสาบานต่อพระเจ้าและปฏิญาณด้วยพระเจ้า  ผู้คนอาจจะไม่มีความเข้าใจมากนักเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่พระเจ้าทรงปฏิญาณด้วยพระองค์เอง แต่พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจได้เมื่อเราจัดเตรียมคำอธิบายที่ถูกต้องแก่พวกเจ้า  เมื่อทรงเผชิญหน้ากับมนุษย์ผู้ซึ่งสามารถเพียงได้ยินพระวจนะของพระองค์เท่านั้นแต่ไม่เข้าใจพระทัยของพระองค์ พระเจ้าจึงทรงรู้สึกโดดเดี่ยวและสูญเสียอีกครั้ง  พระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นธรรมชาติอย่างมากด้วยความสิ้นหวัง—และอาจกล่าวได้ว่าโดยไม่รู้พระองค์—นั่นคือ พระองค์วางพระหัตถ์ลงบนพระทัยของพระองค์และตรัสกับพระองค์เองเมื่อประทานพระสัญญานี้แก่อับราฮัม และจากชายคนนี้ที่ได้ยินพระเจ้าตรัสว่า “เราเองปฏิญาณว่า”  เจ้าอาจคิดถึงตัวเจ้าเองโดยผ่านทางการกระทำของพระเจ้า  เมื่อเจ้าวางมือของเจ้าไว้บนหัวใจของเจ้าแล้วพูดกับตัวเจ้าเอง เจ้ามีแนวคิดชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้ากำลังพูดหรือไม่?  ท่าทีของเจ้าจริงใจหรือไม่?  เจ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาด้วยหัวใจของเจ้าหรือไม่?  ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงมองเห็น ณ ที่นี้ว่า เมื่อพระเจ้าได้ตรัสกับอับราฮัมนั้น พระองค์ทรงจริงจังและจริงใจ  ในขณะเดียวกันกับที่กำลังตรัสและทรงอวยพรอับราฮัมนั้น พระเจ้าก็กำลังตรัสกับพระองค์เองด้วย  พระองค์กำลังตรัสบอกพระองค์เองว่า  เราจะอวยพรอับราฮัม และทำให้ลูกหลานของเขามีจำนวนมากมายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าและมากมายเหมือนเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เพราะเขาเชื่อฟังคำพูดของเราและเขาคือคนที่เราเลือก  เมื่อพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราเองปฏิญาณว่า” พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าพระองค์จะทรงผลิตประชากรที่ได้รับเลือกสรรแห่งอิสราเอลในตัวอับราฮัม ซึ่งหลังจากนั้นพระองค์จะทรงนำทางผู้คนเหล่านี้ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยพระราชกิจของพระองค์  กล่าวคือ พระเจ้าจะทรงทำให้พงศ์พันธุ์ของอับราฮัมแบกรับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงแสดงออกไว้ก็จะเริ่มต้นด้วยอับราฮัมและจะดำเนินต่อเนื่องไปในพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความปรารถนาของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดเป็นจริงขึ้นมา  พวกเจ้าจะว่าอย่างไร นี่ไม่ใช่สิ่งที่ได้รับพรหรอกหรือ?  สำหรับมนุษย์แล้วนั้น ไม่มีพรใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ อาจกล่าวได้ว่านี่คือสิ่งที่ได้รับพรมากที่สุด  พรที่อับราฮัมได้รับไม่ใช่การเพิ่มทวีเชื้อสายของเขา แต่เป็นการสัมฤทธิ์ผลของพระเจ้าในการบริหารจัดการของพระองค์ พระบัญชาของพระองค์ และพระราชกิจของพระองค์ในพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม  นี่หมายความว่าพรต่างๆ ที่อับราฮัมได้รับนั้นไม่ใช่ชั่วคราว แต่ดำเนินต่อเนื่องไปในขณะที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าก้าวหน้าไป  เมื่อพระเจ้าได้ตรัส เมื่อพระเจ้าได้ปฏิญาณด้วยพระองค์เอง พระเจ้าได้ทรงตั้งปณิธานไว้แล้ว  กระบวนการแห่งปณิธานนี้เที่ยงแท้หรือไม่?  มันจริงหรือไม่?  พระเจ้าได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า จากเวลานั้นเป็นต้นไป ความเพียรพยายามของพระองค์ ราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไป สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์ และแม้กระทั่งพระชนม์ชีพของพระองค์ จะถูกประทานให้แก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม  และพระเจ้าได้ตั้งพระทัยแน่วแน่อีกด้วยว่า พระองค์จะทรงทำการสำแดงกิจการทั้งหลายของพระองค์ และทรงอนุญาตให้มนุษย์มองเห็นพระปรีชาญาณ สิทธิอำนาจ และฤทธานุภาพของพระองค์โดยเริ่มต้นจากผู้คนกลุ่มนี้

การได้รับผู้ที่รู้จักพระเจ้าและสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระองค์ได้คือเจตนารมณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้า

ในขณะเดียวกันกับที่ตรัสกับพระองค์เอง พระเจ้าก็ได้ตรัสกับอับราฮัมด้วย แต่นอกเหนือจากการได้ยินพรที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่เขาแล้วนั้น อับราฮัมสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าในพระวจนะทั้งหมดของพระองค์ ณ ชั่วขณะนั้นหรือไม่?  เขาไม่สามารถ!  ดังนั้น ณ ชั่วขณะนั้น เมื่อพระเจ้าได้ทรงปฏิญาณด้วยพระองค์เอง พระทัยของพระองค์ยังคงโดดเดี่ยวและโทมนัส  ยังคงไม่มีสักบุคคลหนึ่งที่สามารถเข้าใจหรือจับใจความสิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยและทรงวางแผนไว้ได้  ณ ชั่วขณะนั้น ไม่มีใคร แม้กระทั่งอับราฮัม ที่สามารถพูดกับพระองค์ด้วยความมั่นใจ นับประสาอะไรที่จะมีใครสักคนที่สามารถร่วมมือกับพระองค์ในการทรงพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำ  โดยผิวเผินแล้วนั้น พระเจ้าได้ทรงรับอับราฮัมไว้แล้ว ซึ่งเป็นใครบางคนที่สามารถเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ได้  แต่ในความเป็นจริง ความรู้ของบุคคลนี้เกี่ยวกับพระเจ้านั้นแทบจะไม่มีอะไรมากไปกว่าความว่างเปล่า  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะได้ทรงอวยพรอับราฮัมแล้ว แต่พระทัยของพระเจ้าก็ยังคงไม่พึงพอพระทัย  การที่พระเจ้าไม่พึงพอพระทัยหมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่าการบริหารจัดการของพระองค์เพิ่งจะได้เริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่าผู้คนที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับ ผู้คนที่พระองค์ทรงถวิลหารอคอยที่จะได้เห็น ผู้คนที่พระองค์ทรงรัก ยังคงอยู่ห่างไกลจากพระองค์ พระองค์ทรงจำเป็นต้องใช้เวลา พระองค์ทรงจำเป็นต้องรอคอย พระองค์ทรงจำเป็นต้องอดทน  เพราะ ณ ชั่วขณะนั้น นอกเหนือจากพระเจ้าพระองค์เองแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่รู้ว่าพระองค์ทรงจำเป็นต้องมีสิ่งใด หรือพระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้รับสิ่งใด หรือพระองค์ทรงถวิลหารอคอยสิ่งใด  ดังนั้น ในขณะเดียวกันกับที่พระเจ้ากำลังทรงรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง พระเจ้าก็ทรงรู้สึกหนักพระทัยด้วยเช่นกัน  กระนั้นพระองค์ก็ยังไม่ทรงหยุดขั้นตอนของพระองค์ และพระองค์ยังทรงวางแผนขั้นตอนต่อไปของสิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำอย่างต่อเนื่อง

พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในพระสัญญาของพระเจ้าต่ออับราฮัม?  พระเจ้าได้ประทานพรอันยิ่งใหญ่ให้แก่อับราฮัมเพียงเพราะเขาได้เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า  แม้ว่าโดยผิวเผินแล้วนี่จะดูเหมือนปกติและเป็นเรื่องตามครรลอง แต่พวกเรามองเห็นพระทัยของพระเจ้าในการนั้น กล่าวคือ พระเจ้าทรงเห็นว่าการที่มนุษย์นบนอบพระองค์นั้นคือสิ่งที่ล้ำค่าเป็นพิเศษ และทรงชื่นชูความเข้าใจและความจริงใจที่มนุษย์มีต่อพระองค์  พระเจ้าทรงชื่นชูความจริงใจนี้มากเพียงใด?  พวกเจ้าอาจไม่เข้าใจว่าพระองค์ทรงชื่นชูมันมากเพียงใด และอาจจะไม่มีผู้ใดที่ตระหนักถึงมันด้วยซ้ำ  พระเจ้าได้ประทานบุตรชายคนหนึ่งให้อับราฮัม และเมื่อบุตรชายคนนี้เติบโตขึ้นแล้ว พระเจ้าได้ทรงขอให้อับราฮัมถวายบุตรชายของเขาแก่พระเจ้า  อับราฮัมปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้าตามตัวอักษร เขาเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ และความจริงใจของเขาทำให้พระเจ้าทรงตื้นตันและพระเจ้าก็ทรงมองว่าล้ำค่า  พระเจ้าทรงมองว่าล้ำค่ามากเพียงใด?  และเหตุใดพระองค์จึงทรงมองว่าล้ำค่า?  ในเวลาที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหรือเข้าใจพระทัยของพระองค์ อับราฮัมได้ทำในสิ่งที่สั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และทำให้แผ่นดินโลกสั่นไหว และนั่นทำให้พระเจ้าทรงรู้สึกพอพระทัยอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และนำความชื่นชมยินดีจากการได้รับใครบางคนที่สามารถนบนอบพระวจนะของพระองค์ได้มาให้พระเจ้า  ความพึงพอพระทัยและความชื่นชมยินดีนี้เกิดจากสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่พระหัตถ์ของพระเจ้าสร้างขึ้นมาเอง นี่เป็น “การพลีอุทิศ” อย่างแรกที่มนุษย์ได้ถวายแด่พระเจ้าซึ่งพระองค์ทรงทะนุถนอมว่าล้ำค่าที่สุดนับตั้งแต่ที่มนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นมา  พระเจ้าได้เคยทรงมีเวลาที่ยากลำบากในการรอคอยการพลีอุทิศนี้ และพระองค์ได้ทรงปฏิบัติกับมันเสมือนของขวัญชิ้นแรกที่สำคัญมากที่สุดจากมนุษย์ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา  มันแสดงให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นดอกผลแรกแห่งความเพียรพยายามของพระองค์และจากราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไป และมันทำให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นความหวังในมวลมนุษย์  หลังจากนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าได้ทรงมีความโหยหายิ่งใหญ่ขึ้นกว่านั้นในการที่จะให้กลุ่มผู้คนเช่นนั้นรักษาพระองค์ไว้เป็นสหาย ปฏิบัติต่อพระองค์ด้วยความจริงใจ และเอาใจใส่พระองค์ด้วยความจริงใจ  พระเจ้าทรงถึงขั้นหวังที่จะให้อับราฮัมดำรงชีวิตอยู่ต่อไป เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้มีหัวใจเช่นหัวใจของอับราฮัมได้ไปพร้อมกับพระองค์และอยู่กับพระองค์ในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการต่อไปในการบริหารจัดการของพระองค์  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์สิ่งใด มันเป็นเพียงความปรารถนา เป็นเพียงแนวคิด—เพราะอับราฮัมเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถนบนอบพระองค์ และไม่มีความเข้าใจหรือความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  อับราฮัมคือใครบางคนที่ขาดมาตรฐานแห่งข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก ซึ่งก็คือ การรู้จักพระเจ้า การสามารถเป็นพยานต่อพระเจ้า และการมีจิตใจเดียวกันกับพระเจ้า  ดังนั้น อับราฮัมจึงไม่สามารถเดินไปกับพระเจ้าได้  ในการที่อับราฮัมถวายอิสอัคนั้น พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความจริงใจและการนบนอบของอับราฮัม และทอดพระเนตรเห็นว่าเขาทนต่อการที่พระเจ้าทรงทดสอบเขาได้  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงยอมรับความจริงใจและการนบนอบของเขาแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่คู่ควรที่จะเป็นคนสนิทของพระเจ้า เป็นใครบางคนที่รู้จักและเข้าใจพระเจ้า และมีความรอบรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า เขายังห่างไกลจากการมีจิตใจเดียวกันกับพระเจ้าและการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ดังนั้น ในพระทัยของพระองค์ พระเจ้าจึงยังคงทรงโดดเดี่ยวและร้อนพระทัย  ยิ่งพระเจ้าทรงโดดเดี่ยวและร้อนพระทัยมากขึ้นเท่าใด พระองค์ก็ยิ่งจำเป็นต้องทรงดำเนินการบริหารจัดการของพระองค์ต่อไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และสามารถคัดเลือกและได้รับกลุ่มคนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อสัมฤทธิ์แผนการบริหารจัดการของพระองค์และลุล่วงน้ำพระทัยของพระองค์  นี่คือเจตนารมณ์อันแรงกล้าของพระเจ้า และยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากจุดเริ่มต้นจนกระทั่งถึงวันนี้  นับตั้งแต่ที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ในปฐมกาล พระเจ้าทรงถวิลหากลุ่มผู้ชนะอย่างมากล้น กลุ่มคนที่สามารถเข้าใจ รู้จัก และหยั่งรู้พระอุปนิสัยของพระองค์ เพื่อเดินไปพร้อมกับพระองค์  เจตนารมณ์นี้ของพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าพระองค์ยังคงต้องทรงรอคอยนานเพียงใด ไม่ว่าถนนข้างหน้าอาจจะยากลำบากเพียงใด และไม่ว่าวัตถุประสงค์ที่พระองค์ทรงโหยหานั้นอาจจะอยู่ไกลออกไปเพียงใด พระเจ้าก็ไม่เคยทรงปรับเปลี่ยนหรือล้มเลิกความคาดหวังในตัวมนุษย์ของพระองค์  บัดนี้ที่เราได้กล่าวเรื่องนี้ไปแล้ว พวกเจ้าตระหนักถึงสิ่งที่เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้าบ้างหรือไม่?  บางทีสิ่งที่พวกเจ้าตระหนักอาจจะไม่ลุ่มลึกมากนัก—แต่ก็ย่อมจะเกิดขึ้นทีละน้อย!

ในระหว่างช่วงเวลาเดียวกันกับเวลาที่อับราฮัมมีชีวิตอยู่นั้น พระเจ้าได้ทรงทำลายเมืองหนึ่งลงด้วยเช่นกัน  เมืองนี้มีชื่อเรียกว่าโสโดม  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้คนมากมายคุ้นเคยกับเรื่องราวของเมืองโสโดม แต่ไม่มีผู้ใดคุ้นเคยกับพระดำริของพระเจ้าที่ก่อรูปเป็นภูมิหลังของการที่พระองค์ทรงทำลายเมืองนี้

ดังนั้นวันนี้ พวกเราจะเรียนรู้เกี่ยวกับพระดำริของพระองค์ในเวลานั้น ในขณะที่เรียนรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระองค์ด้วย โดยผ่านทางการโต้ตอบของพระเจ้ากับอับราฮัมข้างล่างนี้  ต่อไปพวกเรามาอ่านบทตอนต่อไปนี้จากข้อพระคัมภีร์กันเถิด

ข. พระเจ้าต้องทำลายเมืองโสโดม

ปฐมกาล 18:26  พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ที่โสโดมถ้าเราพบคนชอบธรรมในเมืองห้าสิบคน เราจะละเว้นเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะเห็นแก่พวกเขา”

ปฐมกาล 18:29  ท่านก็ทูลพระองค์อีกว่า “สมมุติว่าพระองค์ทรงพบสี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ”

ปฐมกาล 18:30  ท่านจึงทูลว่า… “สมมุติพระองค์ทรงพบเพียงสามสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ”

ปฐมกาล 18:31  ท่านทูลว่า… “สมมุติว่าทรงพบยี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย”

ปฐมกาล 18:32  ท่านทูลว่า… “สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย”

นี่คือบทตัดตอนที่เราได้เลือกมาจากพระคัมภีร์  บทตัดตอนเหล่านี้ไม่ใช่ตัวบทเดิมที่ครบบริบูรณ์  หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะเห็นตัวบทเหล่านี้ พวกเจ้าสามารถดูบทตอนเหล่านี้ได้ในพระคัมภีร์ด้วยตัวพวกเจ้าเอง เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เราได้ละเว้นบางส่วนของเนื้อหาเดิมไป  ในที่นี้เราได้คัดเลือกเพียงบทตอนและประโยคที่สำคัญหลายบทเท่านั้น โดยละอีกหลายประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสามัคคีธรรมของพวกเราวันนี้ไว้  ในบทตอนและเนื้อหาทั้งหมดที่พวกเราสามัคคีธรรมกันนั้น จุดมุ่งเน้นของพวกเราข้ามรายละเอียดของเรื่องราวต่างๆ และการประพฤติของมนุษย์ในเรื่องราวเหล่านั้น แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเราเพียงพูดถึงว่าพระดำริและแนวคิดของพระเจ้าเป็นอย่างไรในเวลานั้นเท่านั้น  ในพระดำริและแนวคิดของพระเจ้านั้น พวกเราจะมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้า และจากทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำนั้น พวกเราจะมองเห็นพระเจ้าพระองค์เองที่แท้จริง—ในการนี้ พวกเราจะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของพวกเรา

พระเจ้าเพียงใส่พระทัยต่อบรรดาผู้ที่สามารถเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์และปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์เท่านั้น

บทตอนข้างต้นเหล่านี้บรรจุด้วยพระวจนะสำคัญหลายคำ นั่นก็คือ จำนวน  ครั้งแรก พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่าหากพระองค์ได้ทรงพบคนชอบธรรมห้าสิบคนภายในเมืองนั้น เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะละเว้นทุกคนในที่นั้น กล่าวคือ พระองค์จะไม่ทรงทำลายเมืองนั้น  ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้วมีคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองโสโดมหรือไม่?  ไม่มี หลังจากนั้นไม่นาน อับราฮัมได้กล่าวสิ่งใดต่อพระเจ้า?  เขาได้กล่าวว่า สมมติว่าทรงพบสี่สิบคนที่นั่นเล่า?  และพระเจ้าได้ตรัสว่า เราจะไม่ทำลายมัน  ต่อมา อับราฮัมได้กล่าวว่า สมมติว่าทรงพบสามสิบคนที่นั่นเล่า?  และพระเจ้าได้ตรัสว่า เราจะไม่ทำลายมัน  และสมมติว่ายี่สิบคนเล่า?  เราก็จะไม่ทำลายมัน  สิบคนเล่า?  เราก็จะไม่ทำลายมัน  ในความเป็นจริงแล้ว มีคนชอบธรรมภายในเมืองนั้นหรือไม่?  ไม่มีสิบคน—แต่มีหนึ่งคน  และหนึ่งคนนั้นคือใคร?  คนนั้นก็คือโลท  ณ เวลานั้น มีคนชอบธรรมเพียงหนึ่งคนในโสโดม แต่พระเจ้าทรงเข้มงวดหรือทรงพิถีพิถันอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึงจำนวนนี้หรือไม่?  ไม่ พระองค์ไม่ทรงเป็นเช่นนั้นเลย!  และดังนั้น เมื่อมนุษย์ถามต่อไปว่า “แล้วสี่สิบคนเล่า?”  “แล้วสามสิบคนเล่า?”  จนกระทั่งเขาถามไปจนถึง “แล้วสิบคนเล่า?”  พระเจ้าตรัสว่า “ถึงแม้ว่าจะมีเพียงสิบคน เราก็จะไม่ทำลายเมืองนั้น เราจะละเว้นมัน และให้อภัยผู้คนอื่นๆ นอกเหนือจากสิบคนนี้”  หากมีเพียงสิบคน นั่นก็คงจะน่าเวทนาพออยู่แล้ว แต่มันกลายเป็นว่าในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนชอบธรรมในโสโดมมีไม่ถึงแม้กระทั่งจำนวนนั้น  เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจึงมองเห็นว่าในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น บาปและความชั่วของผู้คนในเมืองนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากต้องทรงทำลายพวกเขา  พระเจ้าทรงหมายความว่าอย่างไรเมื่อพระองค์ได้ตรัสว่าพระองค์จะไม่ทรงทำลายเมืองนี้หากมีคนชอบธรรมห้าสิบคน?  จำนวนเหล่านี้ไม่สำคัญต่อพระเจ้า  สิ่งที่สำคัญคือเมืองนี้มีคนชอบธรรมที่พระองค์ทรงต้องประสงค์หรือไม่  หากเมืองนี้มีคนชอบธรรมหนึ่งคน พระเจ้าก็คงจะไม่ทรงปล่อยให้พวกเขามาพบกับอันตรายเนื่องจากการทำลายล้างเมืองนี้ของพระองค์  ความหมายของสิ่งนี้ก็คือว่า ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำลายเมืองนี้หรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าจะมีคนชอบธรรมมากเท่าใดภายในเมืองนี้ก็ตาม สำหรับพระเจ้าแล้วเมืองที่เต็มไปด้วยบาปนี้ถูกสาปและเลวทรามมาก และควรจะถูกทำลาย ควรจะหายไปจากสายพระเนตรของพระเจ้า ในขณะที่คนชอบธรรมควรคงเหลืออยู่  ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็ตาม ไม่ว่าการพัฒนาของมวลมนุษย์จะอยู่ช่วงระยะใดก็ตาม ท่าทีของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง  กล่าวคือ พระองค์ทรงเกลียดชังความชั่ว และใส่พระทัยต่อบรรดาผู้ซึ่งชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์  ท่าทีที่ชัดเจนของพระเจ้านี้ยังเป็นการเปิดเผยที่แท้จริงถึงแก่นแท้ของพระเจ้าอีกด้วย  เนื่องจากมีคนชอบธรรมเพียงแค่หนึ่งคนภายในเมืองนี้ พระเจ้าจึงไม่ทรงลังเลอีกต่อไป  ผลลัพธ์ในตอนจบก็คือว่าโสโดมจะถูกทำลายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในการนี้?  ในยุคนั้น พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายเมืองหนึ่งหากมีคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองนั้น หรือหากมีสิบคน ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าจะตัดสินพระทัยอภัยโทษและทนยอมรับมวลมนุษย์ หรือทรงพระราชกิจแห่งการทรงนำ เพราะผู้คนไม่กี่คนที่สามารถยำเกรงและนมัสการพระองค์ได้  พระเจ้าทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความประพฤติอันชอบธรรมของมนุษย์ ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้ที่สามารถนมัสการพระองค์ได้ และทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้ที่สามารถทำความดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์

จากยุคแรกเริ่มสุดจนกระทั่งถึงวันนี้ พวกเจ้าเคยอ่านในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงสื่อสารความจริง หรือตรัสเกี่ยวกับหนทางของพระเจ้า กับบุคคลใดหรือไม่?  ไม่เคยเลย  พระวจนะของพระเจ้าต่อมนุษย์ที่พวกเราได้อ่านมีเพียงได้บอกผู้คนว่าให้ทำสิ่งใดเท่านั้น  บางคนได้ทำตามนั้น บางคนไม่ได้ทำตาม บางคนเชื่อ และบางคนไม่เชื่อ  ทั้งหมดมีแค่นั้น  ด้วยเหตุนี้ คนชอบธรรมในยุคนั้น—บรรดาผู้ที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า—จึงเป็นเพียงบรรดาผู้ที่สามารถรับฟังพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า  พวกเขาคือผู้รับใช้ทั้งหลายที่ดำเนินการตามพระวจนะของพระเจ้าท่ามกลางมนุษย์  ผู้คนเช่นนั้นสามารถเรียกว่าเป็นบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าได้หรือไม่?  สามารถเรียกพวกเขาว่าเป็นผู้คนที่พระเจ้าได้ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วได้หรือไม่?  ไม่ ไม่สามารถเรียกพวกเขาเช่นนั้นได้  ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะมีจำนวนเท่าใด ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้คนชอบธรรมเหล่านี้มีค่าคู่ควรจะถูกเรียกว่าคนสนิทของพระเจ้าหรือไม่?  สามารถเรียกพวกเขาว่าประจักษ์พยานของพระเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน!  พวกเขาไม่มีค่าคู่ควรแก่การถูกเรียกว่าคนสนิทหรือประจักษ์พยานของพระเจ้าอย่างแน่นอน  ดังนั้น พระเจ้าทรงเรียกผู้คนเช่นนั้นว่าอย่างไร?  ในภาคพันธสัญญาเดิมของพระคัมภีร์มีตัวอย่างมากมายที่พระเจ้าทรงเรียกพวกเขาว่า “คนรับใช้ของเรา”  กล่าวคือ ณ เวลานั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วผู้คนชอบธรรมเหล่านี้คือผู้รับใช้ของพระเจ้า พวกเขาคือผู้คนที่รับใช้พระองค์บนแผ่นดินโลก  และพระเจ้าทรงมีพระดำริอย่างไรกับตำแหน่งนี้?  เหตุใดพระองค์จึงทรงเรียกพวกเขาเช่นนั้น?  พระเจ้าทรงมีมาตรฐานในพระทัยของพระองค์สำหรับตำแหน่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงเรียกผู้คนหรือไม่?  พระองค์ทรงมีอย่างแน่นอน  พระเจ้าทรงมีมาตรฐาน ไม่ว่าพระองค์จะทรงเรียกผู้คนว่าผู้ที่ชอบธรรม ผู้มีความเพียบพร้อม ผู้ที่ซื่อตรง หรือผู้รับใช้ก็ตาม  เมื่อพระองค์ทรงเรียกใครบางคนว่าผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ทรงมีความเชื่อที่มั่นคงว่าบุคคลนั้นสามารถรับผู้สื่อสารของพระองค์ได้ สามารถปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ได้ และสามารถดำเนินการตามสิ่งที่บรรดาผู้สื่อสารของพระองค์สั่งการได้  บุคคลนี้ดำเนินการอะไร?  พวกเขาดำเนินการในสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาให้มนุษย์ทำและดำเนินการบนแผ่นดินโลก  ณ เวลานั้น สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงขอให้มนุษย์ทำและดำเนินการบนแผ่นดินโลกสามารถเรียกว่าเป็นหนทางของพระเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ ไม่สามารถเรียกได้  เพราะ ณ เวลานั้น พระเจ้าได้ทรงขอเพียงให้มนุษย์ทำสิ่งง่ายๆ ไม่กี่อย่างเท่านั้น พระองค์ได้ดำรัสพระบัญชาง่ายๆ ไม่กี่อย่าง โดยตรัสบอกให้มนุษย์เพียงแค่ทำการนี้หรือการนั้นเท่านั้น และไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านั้น  พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจตามแผนของพระองค์  เพราะ ณ เวลานั้น สภาพเงื่อนไขต่างๆ มากมายยังไม่ปรากฏขึ้น ยังไม่ถึงเวลาอันสุกงอม และมันยากสำหรับมวลมนุษย์ที่จะแบกรับหนทางของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ หนทางของพระเจ้าจึงยังไม่ได้เริ่มถูกส่งออกไปจากพระทัยของพระเจ้า  พระเจ้าทรงมองผู้คนชอบธรรมที่พระองค์ตรัสถึง ผู้ที่พวกเรามองเห็น ณ ที่นี้—ไม่ว่าจะเป็นสามสิบหรือยี่สิบคน—ว่าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์  เมื่อบรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้าได้มาหาผู้รับใช้เหล่านี้ พวกเขาจะสามารถต้อนรับพวกท่าน และปฏิบัติตามคำสั่งของพวกท่าน และกระทำการตามคำพูดของพวกท่าน  แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ควรจะทำ และควรจะบรรลุถึงโดยบรรดาผู้ที่เป็นผู้รับใช้ในสายพระเนตรของพระเจ้า  พระเจ้าทรงสุขุมรอบคอบในการแต่งตั้งผู้คนของพระองค์  พระองค์ทรงเรียกพวกเขาว่าผู้รับใช้ของพระองค์มิใช่เพราะพวกเขาเป็นเหมือนอย่างที่พวกเจ้าเป็นตอนนี้—เพราะพวกเขาได้รับฟังการเทศนามากมาย ได้รู้ว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใด ได้เข้าใจ เจตนารมณ์ของพระเจ้าเป็นอันมาก และตระหนักรู้แผนการบริหารจัดการของพระองค์—แต่เพราะพวกเขาซื่อสัตย์ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และพวกเขาสามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าได้ เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาพวกเขา พวกเขาก็สามารถปล่อยวางสิ่งที่พวกเขากำลังทำไว้ก่อนและดำเนินการสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงบัญชา  ดังนั้นสำหรับพระเจ้าแล้ว ความหมายอีกชั้นหนึ่งในตำแหน่งของผู้รับใช้ก็คือว่าพวกเขาได้ร่วมมือกับพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่บรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้า แต่พวกเขาก็เป็นผู้บริหารงานและผู้ปฏิบัติการตามพระวจนะของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก  เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้ามองเห็นว่าบรรดาผู้รับใช้หรือผู้คนที่ชอบธรรมเหล่านี้มีน้ำหนักอย่างยิ่งในพระทัยของพระเจ้า  พระราชกิจที่พระเจ้าจะทรงเริ่มต้นบนแผ่นดินโลกไม่สามารถเป็นได้โดยปราศจากผู้คนที่จะร่วมมือกับพระองค์ และบทบาทที่บรรดาผู้รับใช้พระเจ้าได้เข้ารับนั้นไม่สามารถแทนที่ได้โดยบรรดาผู้สื่อสารของพระองค์  แต่ละภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาแก่ผู้รับใช้เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพระองค์ และดังนั้นพระองค์จึงไม่สามารถสูญเสียพวกเขาไปได้  หากไม่มีความร่วมมือกับพระเจ้าของผู้รับใช้เหล่านี้ พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ก็คงจะได้มาถึงภาวะชะงักงันแล้ว ซึ่งผลจากการนั้น แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและความหวังของพระเจ้าคงจะได้มาถึงความล้มเหลวแล้ว

พระเจ้าทรงเปี่ยมปรานีอย่างยิ่งต่อผู้ที่พระองค์ใส่พระทัย และมีความพิโรธอย่างยิ่งต่อผู้ที่พระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์

ในเรื่องราวต่างๆ จากพระคัมภีร์นั้น มีผู้รับใช้ของพระเจ้าสิบคนหรือไม่ในโสโดม?  ไม่ ไม่มี!  เมืองนั้นมีค่าคู่ควรแก่การที่พระเจ้าจะทรงละเว้นหรือไม่?  มีเพียงหนึ่งบุคคลเท่านั้นในเมืองนี้—คือโลท—ที่ได้ต้อนรับบรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้า  ความนัยของการนี้ก็คือว่า มีผู้รับใช้พระเจ้าเพียงหนึ่งคนเท่านั้นในเมืองนี้ และด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากช่วยโลทให้รอดและทำลายเมืองโสโดม  การโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้าที่ได้นำมาอ้างถึงข้างต้นนั้นอาจดูเหมือนเรียบง่าย แต่การโต้ตอบเหล่านั้นแสดงให้เห็นบางอย่างที่ล้ำลึกอย่างยิ่ง กล่าวคือ มีหลักการในการกระทำของพระเจ้า และก่อนที่จะทรงทำการตัดสินพระทัยพระองค์จะทรงใช้เวลายาวนานในการเฝ้าสังเกตและพิจารณา พระองค์จะไม่ทรงทำการตัดสินพระทัยใดๆ หรือรีบด่วนกับบทสรุปใดๆ ก่อนจะถึงเวลาที่เหมาะสมเป็นอันขาด  การโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้าแสดงให้เราเห็นว่า การตัดสินพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงทำลายเมืองโสโดมนั้นไม่มีการผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย เพราะพระเจ้าทรงรู้อยู่แล้วว่าในเมืองนี้ไม่ได้มีคนชอบธรรมสี่สิบคน หรือคนชอบธรรมสามสิบคน หรือยี่สิบคน  ไม่มีแม้กระทั่งสิบคน  บุคคลที่ชอบธรรมเพียงคนเดียวในเมืองนี้ก็คือโลท  พระเจ้าได้ทรงเฝ้าสังเกตทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นในเมืองโสโดมและรูปการณ์แวดล้อมของเมือง และมันเป็นที่คุ้นเคยสำหรับพระเจ้าเช่นเดียวกับหลังพระหัตถ์ของพระองค์เอง  ด้วยเหตุนี้ การตัดสินพระทัยของพระองค์จึงไม่อาจผิดพลาดได้  ในทางตรงกันข้าม เมื่อเปรียบเทียบกับมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าแล้วนั้น มนุษย์ช่างมึนงงยิ่งนัก ช่างโง่เขลาและไม่รู้เท่าทันยิ่งนัก ช่างสายตาสั้นยิ่งนัก  นี่คือสิ่งที่พวกเรามองเห็นในการโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้า  พระเจ้าทรงส่งพระอุปนิสัยของพระองค์ออกมาตลอดเวลาตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งถึงวันนี้  ในทำนองเดียวกันนั้น ณ ที่นี้ก็มีพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่เราควรจะมองเห็นด้วยเช่นกัน  จำนวนนั้นเป็นสิ่งธรรมดา—จำนวนไม่ได้แสดงถึงสิ่งใด—แต่ในที่นี้มีการแสดงออกที่สำคัญมากจากพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่  พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายเมืองนั้นเพราะคนชอบธรรมห้าสิบคน  การนี้เป็นเพราะความกรุณาของพระเจ้าใช่หรือไม่?  มันเป็นเพราะความรักและความยอมผ่อนปรนของพระองค์ใช่หรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นพระอุปนิสัยด้านนี้ของพระเจ้าแล้วหรือไม่?  ถึงแม้ว่าจะมีผู้ชอบธรรมเพียงสิบคนเท่านั้น พระเจ้าก็คงจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้ เนื่องจากผู้คนที่ชอบธรรมสิบคนเหล่านี้  นี่ใช่หรือไม่ใช่ความยอมผ่อนปรนและความรักของพระเจ้า?  เพราะความกรุณา ความยอมผ่อนปรน และความห่วงใยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนที่ชอบธรรมเหล่านั้น พระองค์คงจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้ลง  นี่คือความยอมผ่อนปรนของพระเจ้า และในที่สุด พวกเรามองเห็นบทอวสานใด?  เมื่ออับราฮัมได้กล่าวว่า  “สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่ทำลาย”  หลังจากนั้น อับราฮัมก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก—เพราะภายในเมืองโสโดมไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคนที่เขาอ้างถึง และเขาก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก และในเวลานั้น เขาได้เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึง ได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำลายเมืองโสโดม  ในการนี้ เจ้าเห็นพระอุปนิสัยใดของพระเจ้า?  พระเจ้าได้ทรงตั้งปณิธานประเภทใด?  พระเจ้าได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า หากเมืองนี้ไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคน พระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้มันมีอยู่ และจะทรงทำลายมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  นี่ไม่ใช่พระพิโรธของพระเจ้าหรอกหรือ?  พระพิโรธนี้เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าใช่หรือไม่?  พระอุปนิสัยนี้เป็นการเปิดเผยถึงเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าใช่หรือไม่  มันเป็นการเปิดเผยถึงเนื้อแท้ที่ชอบธรรมของพระเจ้า ที่มนุษย์ต้องไม่ทำให้ขุ่นเคืองใช่หรือไม่?  เมื่อได้มีการยืนยันแล้วว่าไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคนในเมืองโสโดม พระเจ้าจึงแน่พระทัยที่จะทำลายเมืองนี้ และจะลงโทษผู้คนภายในเมืองนั้นอย่างรุนแรง เพราะพวกเขาได้ต่อต้านพระเจ้า และเพราะพวกเขาโสมมและเสื่อมทรามยิ่งนัก

เหตุใดพวกเราจึงได้วิเคราะห์บทตอนเหล่านี้ในหนทางนี้?  เป็นเพราะประโยคที่เรียบง่ายไม่กี่ประโยคเหล่านี้ให้การแสดงออกอย่างเต็มที่ถึงพระอุปนิสัยที่มีความกรุณาล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึกของพระเจ้า  ในเวลาเดียวกันกับที่ทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของคนชอบธรรม และทรงมีความกรุณา ความยอมผ่อนปรน และการใส่พระทัยต่อพวกเขา ในพระทัยของพระเจ้าก็มีความเกลียดชังลึกซึ้งต่อพวกเขาทั้งหมดในเมืองโสโดมที่ได้เสื่อมทรามไปแล้ว  นี่ใช่หรือไม่ใช่ความกรุณาอันล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึก?  พระเจ้าได้ทรงทำลายเมืองนี้ด้วยวิธีใด?  ด้วยไฟ  และเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงทำลายมันโดยใช้ไฟ?  เมื่อเจ้ามองเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังถูกเผาไหม้ด้วยไฟ หรือเมื่อเจ้ากำลังจะเผาบางสิ่งบางอย่าง เจ้ารู้สึกอย่างไรกับมัน?  เหตุใดเจ้าจึงต้องการที่จะเผามัน?  เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องมีมันอีกต่อไปแล้ว ว่าเจ้าไม่ปรารถนาที่จะมองดูมันอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่?  เจ้าต้องการละทิ้งมันใช่หรือไม่?  การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟหมายถึงการละทิ้ง และการเกลียดชัง และหมายความว่าพระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะทอดพระเนตรเห็นเมืองโสโดมอีกต่อไป  นี่คืออารมณ์ที่ทำให้พระเจ้าทรงเผาผลาญเมืองโสโดมด้วยไฟ  การใช้ไฟเป็นสิ่งแทนแค่ว่าพระเจ้ากริ้วเพียงใด  ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ออกมาก็แสดงให้มนุษย์เห็นด้านที่พระเจ้าไม่ทรงยอมทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองด้วยเช่นกัน  เมื่อมนุษย์มีความสามารถเต็มที่ในการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าและกระทำการสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยความกรุณาของพระองค์ต่อมนุษย์ เมื่อมนุษย์เต็มไปด้วยความเสื่อมทราม ความเกลียดชังและความเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ พระเจ้าก็กริ้วอย่างล้ำลึก  พระองค์กริ้วอย่างล้ำลึกถึงระดับใด?  พระพิโรธของพระองค์จะมีอยู่จนกระทั่งพระเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นการต้านทานและความประพฤติต่างๆ ที่ชั่วร้ายของมนุษย์อีกต่อไป จนกระทั่งพวกเขาไม่อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์อีกต่อไป  เมื่อนั้นเท่านั้นที่ความกริ้วของพระเจ้าจะหายไป  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร หากหัวใจของพวกเขาออกห่างจากพระเจ้าและหันเหไปจากพระเจ้า ไม่เคยหวนกลับมา เช่นนั้นแล้ว เมื่อมองตามสิ่งที่เห็นภายนอกหรือในแง่ของความปรารถนาที่อยู่ในใจของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะอยากนมัสการ ติดตาม และนบนอบพระเจ้าอยู่ในกายหรือในการนึกคิดของตนเช่นไรก็ตาม ทันทีที่หัวใจของพวกเขาหันเหออกจากพระเจ้า พระเจ้าก็จะปลดปล่อยพระพิโรธออกมาไม่หยุด  จนถึงขั้นที่ว่าเมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยความกริ้วของพระองค์ออกมาอย่างรุนแรงหลังจากที่ได้ให้โอกาสอย่างล้นเหลือกับมนุษย์แล้ว ทันทีที่ความกริ้วถูกปลดปล่อยออกมาก็จะไม่มีทางดึงกลับไปได้ และพระองค์จะไม่มีวันทรงกรุณาและยอมผ่อนปรนให้กับมวลมนุษย์เช่นนั้นอีกครั้ง  นี่คือด้านหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ยอมผ่อนปรนต่อการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ  ณ ที่นี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนที่พระเจ้าจะทรงทำลายเมืองหนึ่ง เพราะในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว เมืองหนึ่งที่เต็มไปด้วยบาปจะไม่สามารถดำรงอยู่และคงอยู่ต่อไปได้ และมันสมเหตุสมผลที่มันจะต้องถูกพระเจ้าทรงทำลาย  แต่กระนั้นในสิ่งที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้าและหลังจากการทำลายล้างเมืองโสโดมของพระองค์ พวกเราก็มองเห็นความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระอุปนิสัยของพระเจ้า  พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนและทรงกรุณาต่อสิ่งต่างๆ ที่ใจดีและสวยงามและดี สำหรับสิ่งทั้งหลายที่ชั่วร้าย เต็มไปด้วยบาป และเลวทรามนั้น พระเจ้าทรงพิโรธอย่างล้ำลึก จนถึงขั้นที่พระองค์จะไม่ทรงหยุดพระพิโรธของพระองค์  เหล่านี้คือสองแง่มุมที่เป็นหลักการและเด่นชัดมากที่สุดจากพระอุปนิสัยของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบ นั่นคือ ความกรุณาอันล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึก  พวกเจ้าส่วนใหญ่ได้รับประสบการณ์กับบางสิ่งบางอย่างจากความกรุณาของพระเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้าน้อยคนนักที่ได้ซึ้งคุณค่ากับพระพิโรธของพระเจ้า  ความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในทุกบุคคล กล่าวคือ พระเจ้าทรงกรุณาอย่างล้นเหลือต่อทุกบุคคล แต่กระนั้นก็สามารถกล่าวได้ว่า พระเจ้าแทบจะไม่หรือไม่เคยที่จะกริ้วอย่างล้ำลึกต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือผู้คนส่วนใดๆ ท่ามกลางพวกเจ้า  จงผ่อนคลายเถิด!  ไม่ช้าก็เร็ว ทุกบุคคลจะได้เห็นและได้รับประสบการณ์กับพระพิโรธของพระเจ้า แต่บัดนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  นี่เป็นเพราะเมื่อพระเจ้ากริ้วใครบางคนอยู่เป็นนิตย์ กล่าวคือ เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยพระพิโรธอันล้ำลึกของพระองค์ต่อพวกเขา นี่หมายความว่าพระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์บุคคลผู้นี้มานานแล้ว ว่าพระองค์ทรงชิงชังการดำรงอยู่ของพวกเขา และว่าพระองค์ไม่ทรงสามารถทนต่อการดำรงอยู่ของพวกเขาได้ ทันทีที่ความกริ้วของพระองค์เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาจะหายไป  วันนี้ พระราชกิจของพระเจ้ายังไม่มาถึงจุดนั้น  ไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้าจะสามารถแบกรับมันเมื่อพระเจ้าทรงกลับกลายเป็นกริ้วอย่างล้ำลึก  เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจึงเห็นว่า ณ เวลานี้ พระเจ้าทรงเพียงแต่กรุณาอย่างล้นเหลือต่อพวกเจ้าทุกคน และพวกเจ้ายังไม่ได้เห็นความกริ้วที่ล้ำลึกของพระองค์  หากยังมีผู้คนที่ยังคงไม่เชื่อ พวกเจ้าสามารถขอให้พระพิโรธของพระเจ้าเกิดขึ้นแก่พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะได้รับประสบการณ์ว่าความกริ้วของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระองค์ที่ไม่ยอมทนให้มนุษย์ทำให้ขุ่นเคืองนั้นมีอยู่จริงๆ หรือไม่  พวกเจ้ากล้าหรือไม่?

ผู้คนในยุคสุดท้ายมองเห็นเพียงพระพิโรธของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ และไม่ได้รับประสบการณ์กับพระพิโรธของพระเจ้าอย่างแท้จริง

พระอุปนิสัยสองด้านของพระเจ้าที่มองเห็นในบทตอนเหล่านี้ของข้อพระคัมภีร์มีค่าควรแก่การสามัคคีธรรมหรือไม่?  เมื่อได้ยินเรื่องราวนี้แล้ว พวกเจ้ามีความเข้าใจที่เกิดขึ้นใหม่เกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่?  เจ้ามีความเข้าใจประเภทใด?  สามารถกล่าวได้ว่าจากเวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งถึงวันนี้ ไม่มีกลุ่มใดได้ชื่นชมกับพระคุณหรือความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้ามากเท่ากับกลุ่มสุดท้ายนี้  ถึงแม้ว่าในช่วงระยะสุดท้ายพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน และได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ด้วยพระบารมีและพระพิโรธ แต่ส่วนใหญ่แล้วพระเจ้าทรงใช้เพียงพระวจนะเท่านั้นในการทำให้พระราชกิจของพระองค์สำเร็จลุล่วง พระองค์ทรงใช้พระวจนะเพื่อสอนและรดน้ำ เพื่อจัดเตรียมและให้อาหาร  ในขณะเดียวกัน พระพิโรธของพระเจ้าได้ถูกเก็บซ่อนไว้อยู่เสมอ และนอกจากการรับประสบการณ์กับพระอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยพระพิโรธของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์แล้ว มีผู้คนน้อยมากที่ได้รับประสบการณ์กับความกริ้วของพระองค์แบบต่อหน้าต่อตา  กล่าวคือ ในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ถึงแม้ว่าพระพิโรธที่เปิดเผยอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าจะเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับประสบการณ์กับพระบารมีของพระเจ้าและความไม่ยอมผ่อนปรนกับการทำให้ขุ่นเคืองของพระองค์ พระพิโรธนี้ไม่ได้เกินไปกว่าพระวจนะของพระองค์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อตำหนิมนุษย์ เปิดโปงมนุษย์ พิพากษามนุษย์ ตีสอนมนุษย์ และแม้กระทั่งประณามมนุษย์—แต่พระเจ้ายังไม่ได้กริ้วมนุษย์อย่างล้ำลึก และแทบจะไม่ถึงขั้นได้ทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ต่อมนุษย์เว้นแต่ด้วยพระวจนะของพระองค์  ด้วยเหตุนี้ ความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้าที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์ในยุคนี้จึงเป็นการเปิดเผยพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า ในขณะที่พระพิโรธของพระเจ้าที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์นั้นก็เป็นแค่ผลของพระกระแสเสียงและความรู้สึกจากพระดำรัสของพระองค์  ผู้คนจำนวนมากถือเอาอย่างผิดๆ ว่าผลนี้คือการได้รับประสบการณ์ที่แท้จริงและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระพิโรธของพระเจ้า  ดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงเชื่อว่าพวกเขาได้เห็นความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ ว่าพวกเขาได้เห็นความยอมผ่อนปรนของพระองค์ต่อการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์ด้วยเช่นกัน และพวกเขาส่วนใหญ่ถึงขั้นได้มาซึ้งคุณค่าต่อความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  แต่ไม่สำคัญว่าพฤติกรรมของมนุษย์จะไม่ดีเพียงใด หรืออุปนิสัยของเขาจะเสื่อมทรามเพียงใด พระเจ้าก็ทรงทนฝ่าเสมอ  ในการทนฝ่านั้น จุดมุ่งหมายของพระองค์คือการรอคอยให้พระวจนะที่พระองค์ได้ตรัสไป ความพากเพียรที่พระองค์ได้ทรงทำไป และราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไปสัมฤทธิ์ผลในบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้รับ  การรอคอยบทอวสานเช่นนี้ต้องใช้เวลา และพึงประสงค์การทรงสร้างสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันเพื่อมนุษย์ ในวิธีเดียวกันกับที่ผู้คนไม่กลายเป็นผู้ใหญ่ทันทีที่พวกเขาเกิด ต้องใช้เวลาสิบแปดหรือสิบเก้าปี และบางคนถึงขั้นจำเป็นต้องใช้เวลายี่สิบหรือสามสิบปีก่อนที่พวกเขาจะเติบโตเต็มที่เป็นผู้ใหญ่จริงๆ  พระเจ้าทรงรอการครบบริบูรณ์ของกระบวนการนี้ พระองค์ทรงรอการมาถึงของเวลาเช่นนั้น และพระองค์ทรงรอการมาถึงของบทอวสานนี้  ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงรอนั้น พระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาอย่างล้นเหลือ  อย่างไรก็ตาม ในระหว่างช่วงเวลานั้นของพระราชกิจของพระองค์ ผู้คนจำนวนน้อยอย่างยิ่งที่ถูกบดขยี้ลง และบางคนถูกลงโทษเนื่องจากการต่อต้านพระเจ้าอย่างร้ายแรงของพวกเขา  ตัวอย่างเช่นนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ยอมทนการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์ และยืนยันอย่างเต็มที่ถึงการมีอยู่จริงของความยอมผ่อนปรนและความทรหดอดทนของพระเจ้าที่มีต่อบรรดาผู้ที่ได้รับเลือกสรร  แน่นอนว่าในตัวอย่างตามแบบฉบับเหล่านี้ การเปิดเผยพระอุปนิสัยบางส่วนของพระเจ้าในผู้คนเหล่านี้ไม่ได้กระทบกับแผนการบริหารจัดการโดยรวมของพระเจ้า  ในข้อเท็จจริงนั้น ช่วงระยะสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้านี้ พระเจ้าทรงทนฝ่าตลอดช่วงเวลาที่พระองค์กำลังทรงรอคอย และพระองค์ได้ทรงแลกเปลี่ยนความทรหดอดทนของพระองค์กับพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อความรอดของบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งนี้หรือไม่?  พระเจ้าไม่ทรงล้มเลิกแผนของพระองค์โดยไม่มีเหตุผล  พระองค์ทรงสามารถปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ และพระองค์ทรงสามารถเปี่ยมกรุณาด้วยเช่นกัน นี่คือการเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระเจ้าสองส่วนหลักๆ สิ่งนี้ชัดเจนอย่างยิ่งหรือไม่ใช่?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อกล่าวถึงพระเจ้า ถูกและผิด ยุติธรรมและอยุติธรรม เป็นเชิงบวกและเป็นเชิงลบ—ทั้งหมดนี้แสดงให้มนุษย์เห็นอย่างชัดเจน  สิ่งที่พระองค์จะทรงทำ สิ่งที่พระองค์ถูกพระทัย สิ่งที่พระองค์ทรงเกลียดชัง—ทั้งหมดนี้สามารถสะท้อนให้เห็นได้โดยตรงในพระอุปนิสัยของพระองค์  สิ่งต่างๆ เช่นนี้ยังสามารถมองเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งและอย่างชัดเจนอย่างยิ่งในพระราชกิจของพระเจ้าด้วยเช่นกัน และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้คลุมเครือหรือธรรมดาสามัญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้คนทั้งหมดมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นในลักษณะที่เป็นรูปธรรม เที่ยงแท้ และสัมพันธ์กับชีวิตจริง  นี่คือพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง

พระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่เคยถูกซ่อนเร้นจากมนุษย์—หัวใจของมนุษย์ได้ไถลห่างไปจากพระเจ้าแล้ว

หากเราไม่ได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พวกเจ้าก็คงจะไม่มีใครสักคนที่สามารถมองเห็นพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้าในเรื่องราวจากพระคัมภีร์  นี่คือข้อเท็จจริง  นั่นก็เป็นเพราะว่า ถึงแม้เรื่องราวจากพระคัมภีร์เหล่านี้จะได้บันทึกบางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ แต่พระเจ้าก็ได้ตรัสพระวจนะเพียงแค่ไม่กี่คำ และไม่ได้แนะนำพระอุปนิสัยของพระองค์โดยตรงหรือแสดงเจตนารมณ์ของพระองค์แก่มนุษย์อย่างเปิดเผย  คนรุ่นหลังถือว่าบันทึกเหล่านี้ไม่ใช่อื่นใดนอกจากเรื่องเล่า และดังนั้น สำหรับผู้คนแล้วจึงดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงซ่อนเร้นพระองค์เองจากมนุษย์ ว่าสิ่งที่ถูกซ่อนเร้นจากมนุษย์นั้นไม่ใช่สภาวะบุคคลของพระเจ้า แต่เป็นพระอุปนิสัยและเจตนารมณ์ของพระองค์  หลังจากสามัคคีธรรมของเราในวันนี้ พวกเจ้ายังคงรู้สึกว่าพระเจ้าทรงซ่อนองค์จากมนุษย์โดยสิ้นเชิงหรือไม่?  พวกเจ้ายังคงเชื่อหรือไม่ว่ามีการซ่อนเร้นพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากมนุษย์?

นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้าง พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นเข้ากันได้กับพระราชกิจของพระองค์  มันไม่เคยถูกซ่อนเร้นไปจากมนุษย์ แต่ได้เป็นที่เปิดเผยและถูกทำให้ชัดเจนต่อมนุษย์อย่างเต็มที่  แต่ทว่าด้วยเวลาที่ผ่านไป หัวใจของมนุษย์ก็เริ่มห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และขณะที่ความเสื่อมทรามของมนุษย์กลายเป็นลุ่มลึกยิ่งขึ้น มนุษย์กับพระเจ้าก็ได้กลายเป็นแยกห่างจากกันไกลยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  มนุษย์ได้หายไปจากสายพระเนตรของพระเจ้าอย่างช้าๆ แต่แน่นอน  มนุษย์ได้กลายเป็นไร้ความสามารถที่จะ “มองเห็น” พระเจ้า ซึ่งได้ทรงทิ้งเขาไปโดยไม่มี “ข่าวคราว” ใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่ และแม้กระทั่งไปไกลจนถึงขั้นปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  ดังนั้น การที่มนุษย์ไม่มีการจับใจความพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้น ไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงซ่อนเร้นจากมนุษย์ แต่เพราะหัวใจของเขาได้หันไปจากพระเจ้าแล้ว  ถึงแม้ว่ามนุษย์จะเชื่อในพระเจ้า แต่หัวใจของมนุษย์ก็ปราศจากพระเจ้า และเขาไม่รู้เท่าทันว่าจะรักพระเจ้าอย่างไร อีกทั้งเขาไม่ต้องการที่จะรักพระเจ้า เพราะหัวใจของเขานั้นไม่เคยมาใกล้ชิดกับพระเจ้าและเขาหลีกเลี่ยงพระเจ้าอยู่เสมอ  ผลก็คือ หัวใจของมนุษย์อยู่ห่างไกลจากพระเจ้า  ดังนั้น หัวใจของเขาอยู่ที่ใด?  แท้ที่จริงแล้ว หัวใจของมนุษย์ไม่ได้ไปที่ใด กล่าวคือ แทนที่จะมอบมันให้แก่พระเจ้าหรือเปิดเผยมันเพื่อให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็น เขากลับเก็บมันไว้เพื่อตัวเขาเอง  นั่นคือ ถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนบางคนมักจะอธิษฐานต่อพระเจ้าและกล่าวบ่อยครั้งว่า “โอ้พระเจ้า โปรดทอดพระเนตรหัวใจของข้าพระองค์—พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งที่ข้าพระองค์คิด” และบางคนถึงขั้นปฏิญาณที่จะให้พระเจ้าทอดพระเนตรพวกเขา ว่าพวกเขาอาจจะถูกลงโทษหากพวกเขาผิดคำสาบาน  ถึงแม้ว่ามนุษย์จะยอมให้พระเจ้ามองเข้าไปในหัวใจของเขา แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์สามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้ อีกทั้งไม่ได้หมายความว่าเขาได้ปล่อยให้ชะตากรรมและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเขาและทั้งหมดของเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเจ้าจะทำการสาบานกับพระเจ้าอย่างไรหรือเจ้าจะประกาศกับพระองค์อย่างไร ในสายพระเนตรของพระเจ้าหัวใจของเจ้าก็ยังคงปิดต่อพระองค์ เพราะเจ้าเพียงยอมให้พระเจ้าทอดพระเนตรหัวใจของเจ้าเท่านั้นแต่ไม่ได้อนุญาตให้พระองค์ทรงควบคุมมัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เจ้าไม่เคยมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้าเลย และเพียงแค่พูดคำพูดที่ฟังดูดีให้พระเจ้าทรงได้ยิน ในขณะเดียวกัน เจ้าก็ซ่อนเร้นเจตนาที่หลอกลวงต่างๆ จากพระเจ้า รวมทั้งเล่ห์เพทุบาย การวางแผนร้าย และแผนของเจ้า และเจ้าจับยึดความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และชะตากรรมของเจ้าไว้ในมือเจ้า กลัวอยู่ลึกๆ ว่าพระเจ้าจะทรงเอาสิ่งเหล่านั้นไป  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงไม่เคยทรงมองเห็นความจริงใจต่อพระองค์ของมนุษย์  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงเฝ้าสังเกตส่วนลึกในหัวใจของมนุษย์ และสามารถมองเห็นสิ่งที่มนุษย์กำลังคิดและความปรารถนาที่จะทำในหัวใจของเขา และสามารถมองเห็นว่าสิ่งใดที่ถูกเก็บอยู่ภายในหัวใจของเขา แต่หัวใจของมนุษย์ก็ไม่ได้เป็นของพระเจ้า และเขาไม่เคยมอบมันให้อยู่ในการควบคุมของพระเจ้า  กล่าวคือ พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ที่จะเฝ้าสังเกต แต่พระองค์ไม่ทรงมีสิทธิ์ที่จะควบคุม  ในจิตสำนึกภายในตัวมนุษย์นั้น มนุษย์ไม่ต้องการหรือมีเจตนาที่จะยอมให้พระเจ้าจัดวางเรียบเรียงตัวเขา  มนุษย์ไม่เพียงปิดกั้นตนเองจากพระเจ้าเท่านั้น แต่มีแม้กระทั่งผู้คนที่คิดถึงวิธีที่จะห่อหุ้มหัวใจของพวกเขา โดยใช้คำพูดที่ระรื่นหูและการประจบสอพลอเพื่อสร้างความประทับใจเท็จขึ้นมาแล้วได้รับความไว้วางพระทัยจากพระเจ้า และปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาไม่ให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็น  จุดมุ่งหมายของพวกเขาที่จะไม่ยอมให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นก็คือเพื่อที่จะไม่ยอมให้พระเจ้าทรงล่วงรู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นอย่างไร  พวกเขาไม่ต้องการที่จะมอบหัวใจของพวกเขาแด่พระเจ้า แต่ต้องการที่จะเก็บมันไว้เพื่อตัวพวกเขาเอง  เนื้อหาย่อยของการนี้ก็คือว่า สิ่งที่มนุษย์ทำและสิ่งที่เขาต้องการทั้งหมดนั้นได้ถูกวางแผน คิดคำนวณ และตัดสินใจโดยมนุษย์ด้วยตัวเขาเอง เขาไม่พึงประสงค์การมีส่วนร่วมหรือการแทรกแซงของพระเจ้า นับประสาอะไรที่เขาจะต้องการการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของพระบัญญัติของพระเจ้า พระบัญชาของพระองค์ หรือข้อพึงประสงค์ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงกำหนดจากมนุษย์ การตัดสินใจของมนุษย์ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเจตนาและความสนใจของเขาเอง บนพื้นฐานของสภาวะและรูปการณ์แวดล้อม ณ เวลานั้นของเขาเอง  มนุษย์มักใช้ความรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่เขาคุ้นเคย และสติปัญญาของเขาเอง เพื่อตัดสินและเลือกเส้นทางที่เขาควรจะเดินอยู่เสมอ และไม่ยอมให้มีการแทรกแซงหรือการควบคุมจากพระเจ้า  นี่คือหัวใจของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงมองเห็น

จากปฐมกาลจนกระทั่งถึงวันนี้ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถสนทนากับพระเจ้าได้  กล่าวคือ ท่ามกลางสรรพสิ่งที่มีชีวิตและสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากมนุษย์ที่สามารถสนทนากับพระเจ้าได้  มนุษย์มีหูที่ทำให้เขาสามารถรับฟังได้ และตาที่ทำให้เขามองเห็น เขามีภาษา และมีแนวคิดของเขาเอง และมีเจตจำนงเสรี  เขามีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องมีในการฟังพระเจ้าตรัส ทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และยอมรับพระบัญชาจากพระเจ้า และดังนั้นพระเจ้าจึงทรงประสาทความปรารถนาทั้งหมดของพระเจ้าให้กับมนุษย์ โดยทรงต้องประสงค์ที่จะทำให้มนุษย์เป็นสหายผู้มีจิตใจเดียวกันกับพระองค์และผู้ที่สามารถเดินไปกับพระองค์ได้  นับตั้งแต่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นบริหารจัดการ พระเจ้ากำลังทรงรอคอยอยู่ตลอดเวลาที่จะให้มนุษย์มอบหัวใจของเขาแก่พระองค์ ยอมให้พระองค์ชำระมันให้บริสุทธิ์และสวมใส่มัน เพื่อทำให้เขาเป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้าและเป็นที่รักของพระเจ้า เพื่อทำให้เขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  พระเจ้าทอดพระเนตรไปข้างหน้าและรอคอยบทอวสานนี้มาตลอด  มีผู้คนเช่นนี้อยู่บ้างหรือไม่ท่ามกลางบันทึกทั้งหลายในพระคัมภีร์?  กล่าวคือ มีบ้างหรือไม่ในพระคัมภีร์ที่สามารถมอบหัวใจของพวกเขาแด่พระเจ้าได้?  มีแบบอย่างก่อนหน้ายุคนี้บ้างหรือไม่?  วันนี้ พวกเรามาอ่านเรื่องราวจากพระคัมภีร์กันต่อเถิด และดูว่าสิ่งที่บุคคลสำคัญผู้นี้—นั่นก็คือโยบ—ได้ทำไปนั้นมีความเชื่อมโยงใดกับหัวข้อเรื่อง “การมอบหัวใจของเจ้าแด่พระเจ้า” ที่พวกเรากำลังสนทนากันอยู่วันนี้หรือไม่  พวกเรามาดูกันว่าโยบเป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้าและเป็นที่รักของพระเจ้าหรือไม่

พวกเจ้ามีความประทับใจอะไรเกี่ยวกับโยบ?  บางคนกล่าวโดยอ้างพระวจนะในข้อพระคัมภีร์เดิมว่าโยบนั้นเป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่ว  “เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่ว” เช่นนั้นคือผลการประเมินที่พระเจ้าทรงมีต่อโยบ  หากพวกเจ้าใช้คำพูดของพวกเจ้าเอง พวกเจ้าจะตัดสินโยบว่าอย่างไร?  บางคนกล่าวว่าโยบเป็นคนดีและมีเหตุผล บางคนกล่าวว่าเขามีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า บางคนกล่าวว่าโยบเป็นคนชอบธรรมและมีมนุษยธรรม  พวกเจ้าได้เห็นความเชื่อของโยบแล้ว กล่าวคือ ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าให้ความสำคัญอย่างยิ่งแก่ความเชื่อของโยบและอิจฉาความเชื่อของโยบ  เช่นนั้นแล้ว วันนี้ พวกเรามาดูกันว่าโยบครอบครองสิ่งใดที่พระเจ้าพึงพอพระทัยกับเขายิ่งนัก  ต่อไป พวกเรามาอ่านข้อพระคัมภีร์ด้านล่างกันเถิด

ค. โยบ

1. การประเมินโยบโดยพระเจ้าและในพระคัมภีร์

โยบ 1:1  มีชายคนหนึ่งในแผ่นดินอูส ชื่อโยบ ชายคนนั้นเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย

โยบ 1:5  และเมื่องานเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวตามจำนวนของเขาทั้งหมด เพราะโยบกล่าวว่า “บางทีลูกๆ ของข้าได้ทำบาปและแช่งพระเจ้าในใจ” โยบทำอย่างนี้เรื่อยมา

โยบ 1:8  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?”

ประเด็นหลักสำหรับที่พวกเจ้ามองเห็นในบทตอนเหล่านี้คืออะไร?  บทตอนสั้นๆ สามบทเหล่านี้จากข้อพระคัมภีร์ล้วนเกี่ยวพันกับโยบ  ถึงแม้ว่าจะสั้น แต่บทตอนเหล่านี้ก็ระบุอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นคนประเภทใด  บทตอนเหล่านี้บอกให้ทุกคนรู้โดยผ่านทางการพรรณนาถึงพฤติกรรมทุกๆ วันของโยบและการประพฤติของเขาว่า การประเมินโยบของพระเจ้านั้นมีรากฐานอย่างดีแทนที่จะเป็นไปโดยไร้เหตุผล  บทตอนเหล่านี้บอกพวกเราว่า ไม่ว่าจะเป็นการประเมินค่าโยบของมนุษย์ (โยบ 1:1) หรือเป็นการประเมินค่าเขาของพระเจ้า (โยบ 1:8)  การประเมินค่าทั้งสองนั้นก็เป็นผลลัพธ์จากความประพฤติของโยบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์ (โยบ 1:5)

ก่อนอื่น พวกเรามาอ่านบทตอนแรกกันเถิด ความว่า “มีชายคนหนึ่งในแผ่นดินอูส ชื่อโยบ ชายคนนั้นเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย” นี่คือการประเมินโยบครั้งแรกในพระคัมภีร์ และประโยคนี้เป็นการประเมินค่าโยบของผู้ประพันธ์  มันยังเป็นตัวแทนของการประเมินโยบของมนุษย์ด้วยโดยธรรมชาติ ซึ่งก็คือ “ชายคนนั้นเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย”  ถัดไป เรามาอ่านการประเมินโยบของพระเจ้ากันเถิด ความว่า  “ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย”  ในการประเมินทั้งสองนี้ ครั้งหนึ่งมาจากมนุษย์ และครั้งหนึ่งมีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า บทตอนเหล่านี้คือการประเมินสองครั้งนี้มีเนื้อหาแบบเดียวกัน  เช่นนั้นแล้ว สามารถเห็นได้ว่ามนุษย์รู้เกี่ยวกับพฤติกรรมและการประพฤติของโยบ และพระเจ้าก็สรรเสริญพฤติกรรมและการประพฤติของเขาด้วยเช่นกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การประพฤติของโยบต่อหน้ามนุษย์และการประพฤติของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นเป็นแบบเดียวกัน เขาได้กำหนดพฤติกรรมและแรงจูงใจของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่พระเจ้าอาจจะได้ทรงสังเกตเห็นสิ่งเหล่านั้น และเขาคือผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ด้วยเหตุนี้ ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วนั้น ในบรรดาผู้คนบนแผ่นดินโลกมีเพียงโยบเท่านั้นที่ดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

การสำแดงออกที่เจาะจงถึงความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบในชีวิตประจำวันของเขา

ต่อไป พวกเรามาดูที่การสำแดงออกที่เจาะจงถึงความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบกันเถิด  นอกเหนือจากบทตอนต่างๆ ที่มาก่อนและตามหลังบทนี้แล้ว พวกเรามาอ่านโยบ 1:5 กันเถิด ซึ่งเป็นบทตอนเกี่ยวกับการสำแดงออกที่เจาะจงถึงความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบ  มันเกี่ยวกับว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างไรในชีวิตประจำวันของเขา ที่โดดเด่นมากที่สุดก็คือ เขาไม่เพียงแค่ได้ทำอย่างที่เขาควรจะทำเพื่อประโยชน์ของตัวเขาเองในการมีความยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้น แต่ยังได้พลีอุทิศเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแทนบุตรชายทั้งหลายของเขาอย่างสม่ำเสมอด้วย  เขากลัวว่าพวกเขามักจะ “ได้ทำบาปและแช่งพระเจ้าในใจ” ในขณะที่มีงานเลี้ยง  ความยำเกรงนี้สำแดงอยู่ในตัวโยบอย่างไร?  ตัวบทเดิมบอกเรื่องราวดังต่อไปนี้ “และเมื่องานเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวตามจำนวนของเขาทั้งหมด”  การประพฤติของโยบแสดงให้พวกเราเห็นว่า ความยำเกรงพระเจ้าของเขาออกมาจากภายในหัวใจของเขาแทนที่จะถูกสำแดงอยู่ในพฤติกรรมภายนอกของเขา และว่าความยำเกรงพระเจ้าของเขาสามารถพบได้ในทุกแง่มุมจากชีวิตประจำวันของเขาตลอดเวลานั้น ก็เพราะเขาไม่เพียงแต่หลบเลี่ยงความชั่วให้ตัวเขาเองเท่านั้น แต่ยังได้พลีอุทิศเครื่องบูชาเผาทั้งตัวในนามบุตรชายทั้งหลายของเขาบ่อยๆ ด้วย  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ โยบไม่เพียงแต่กลัวอย่างลึกซึ้งที่จะทำบาปต่อพระเจ้าและประกาศตัดขาดกับพระเจ้าในใจของเขาเองเท่านั้น แต่ยังกังวลว่าบุตรชายทั้งหลายของเขาอาจจะทำบาปต่อพระเจ้าและประกาศตัดขาดกับพระองค์ในใจของพวกเขาด้วย  จากการนี้สามารถมองเห็นได้ว่า ความจริงเกี่ยวกับความยำเกรงพระเจ้าของโยบนั้นยืนหยัดต่อการตรวจสอบ และอยู่เหนือข้อสงสัยของมนุษย์คนใด  เขาทำดังนั้นเป็นบางโอกาสหรือทำเป็นประจำ?  ประโยคสุดท้ายของตัวบทคือ “โยบทำอย่างนี้เรื่อยมา”  ความหมายของพระวจนะเหล่านี้ก็คือว่า โยบไม่ได้ไปตรวจดูบุตรชายทั้งหลายของเขาเป็นบางโอกาส หรือเมื่อเขาพอใจที่จะทำ อีกทั้งเขาไม่ได้สารภาพกับพระเจ้าโดยผ่านทางการอธิษฐาน  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับทำพิธีชำระตัวบุตรชายทั้งหลายของเขาให้บริสุทธิ์เป็นประจำ และได้พลีอุทิศเครื่องบูชาเผาทั้งเป็นเพื่อพวกเขา  คำว่า “เรื่อยมา” ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเขาทำเช่นนั้นเป็นเวลาหนึ่งหรือสองวัน หรือชั่วขณะหนึ่ง  นี่กำลังกล่าวว่าการสำแดงออกถึงความยำเกรงพระเจ้าของโยบนั้นไม่ใช่ชั่วคราว และไม่ได้หยุดที่ความรู้หรือพระวจนะที่ตรัสไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น หนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้นำทางหัวใจของเขา มันได้บอกบทพฤติกรรมของเขา และในหัวใจของเขานั้นมันเป็นรากเหง้าแห่งการดำรงอยู่ของเขา  การที่เขาได้ทำเช่นนั้นอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่า เขามักจะยำเกรงอยู่ในหัวใจของเขาว่าเขาจะทำบาปต่อพระเจ้าด้วยตัวเขาเอง และยังเกรงกลัวด้วยว่าบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาจะทำบาปต่อพระเจ้า  มันแสดงให้เห็นว่าหนทางแห่งความยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วมีน้ำหนักมากเพียงใดภายในหัวใจของเขา เขาได้ทำดังนั้นเรื่อยมาก็เพราะภายในหัวใจของเขานั้น เขาหวาดผวาและกลัว—กลัวว่าเขาได้ก่อความชั่วและทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว และกลัวว่าเขาได้เบี่ยงเบนไปจากหนทางของพระเจ้าแล้ว และดังนั้นก็จะไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้  ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็กังวลเกี่ยวกับบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาด้วย โดยเกรงว่าพวกเขาได้ทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง  เช่นนั้นเองคือการประพฤติปกติของโยบในชีวิตประจำวันของเขา  แน่นอนว่าการประพฤติปกตินี้นั่นเองที่พิสูจน์ว่าการที่โยบมีความยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วนั้นไม่ใช่ถ้อยคำที่ว่างเปล่า ว่าโยบดำรงชีวิตตามความเป็นจริงเช่นนั้นอย่างแท้จริง  “โยบทำอย่างนี้เรื่อยมา”  พระวจนะเหล่านี้บอกให้พวกเรารู้ถึงความประพฤติประจำวันของโยบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เมื่อเขาได้ทำดังนั้นอย่างต่อเนื่อง พฤติกรรมของเขาและหัวใจของเขาได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้ามักจะพึงพอพระทัยกับหัวใจของเขาและพฤติกรรมของเขาหรือไม่?  เช่นนั้นแล้ว โยบทำอย่างนั้นเรื่อยมาในสภาวะใดและในบริบทใด?  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงปรากฏองค์แก่โยบเป็นประจำเขาจึงกระทำดังนั้น”  บางคนกล่าวว่า “เขาทำอย่างนั้นเรื่อยมาก็เพราะเขามีเจตจำนงที่จะหลบเลี่ยงความชั่ว”  และบางคนก็กล่าวว่า “บางทีเขาอาจจะคิดว่าโชคของเขาไม่ได้มาอย่างง่ายดาย และเขารู้ว่าพระเจ้าได้ประทานมันให้แก่เขา และดังนั้นเขาจึงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าจะสูญเสียทรัพย์สินของเขาไปอันเป็นผลจากการทำบาปต่อพระเจ้าหรือล่วงเกินพระเจ้า”  คำกล่าวอ้างเหล่านี้เป็นจริงบ้างหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่  เพราะในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงยอมรับและทรงเชิดชูมากที่สุดเกี่ยวกับโยบไม่ใช่เพียงแค่ว่าเขาทำอย่างนั้นเรื่อยมา ที่มากไปกว่านั้น นั่นก็คือการประพฤติของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มนุษย์ และซาตาน เมื่อเขาถูกส่งมอบให้กับซาตานและถูกทดลอง  หลายตอนด้านล่างนี้ให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือมากที่สุด หลักฐานที่แสดงให้พวกเราเห็นความจริงเกี่ยวกับการประเมินโยบของพระเจ้า  ต่อไป พวกเรามาอ่านบทตอนต่อไปนี้จากข้อพระคัมภีร์กันเถิด

2. ซาตานทดลองโยบเป็นครั้งแรก (ฝูงสัตว์ของเขาถูกขโมยและหายนะตกมาถึงลูกๆ ของเขา)

2.1 พระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสไว้

โยบ 1:8  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?”

โยบ 1:12  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “ดูเถิด ทุกสิ่งที่เขามีก็อยู่ในมือของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขา” ซาตานจึงออกไปจากเบื้องพระพักตร์พระยาห์เวห์

2.2 การตอบของซาตาน

โยบ 1:9-11  แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา ครอบครัวของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ?  พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน แต่ขอยื่นพระหัตถ์แตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์”

พระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบเพื่อที่ความเชื่อของโยบจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม

โยบ 1:8 เป็นบันทึกแรกที่พวกเราเห็นการโต้ตอบกันระหว่างพระยาห์เวห์พระเจ้ากับซาตานในพระคัมภีร์  ดังนั้น พระเจ้าได้ตรัสสิ่งใด?  ตัวบทเดิมจัดเตรียมเรื่องราวดังต่อไปนี้ “และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า ‘เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?’”  นี่คือการประเมินโยบของพระเจ้าต่อหน้าซาตาน พระเจ้าได้ตรัสว่าเขาเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ก่อนที่จะมีพระวจนะเหล่านี้ระหว่างพระเจ้ากับซาตานนั้น พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าพระองค์จะทรงใช้ซาตานทดลองโยบ—ว่าพระองค์จะทรงส่งมอบโยบให้แก่ซาตาน  ในด้านหนึ่งนั้น นี่จะพิสูจน์ว่าการเฝ้าสังเกตและประเมินค่าโยบของพระเจ้านั้นถูกต้องแม่นยำและไม่มีข้อผิดพลาด และจะทำให้ซาตานอับอายโดยผ่านทางคำพยานของโยบ ในอีกด้านหนึ่ง มันจะเป็นการทำให้ความเชื่อในพระเจ้าและความยำเกรงพระเจ้าของโยบมีความเพียบพร้อม ด้วยเหตุนี้ เมื่อซาตานได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงเล่นสำนวน  พระองค์ทรงตัดตรงเข้าสู่ประเด็นและตรัสถามซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?”  ในคำถามของพระเจ้ามีความหมายดังต่อไปนี้ นั่นคือ พระเจ้าทรงรู้ว่าซาตานได้ตระเวนไปทุกที่และมักจะได้สอดแนมโยบผู้ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง  มันได้ทดลองและโจมตีโยบอยู่บ่อยครั้ง โดยพยายามหาหนทางที่จะนำพาความล่มจมมาประสบแก่เขาเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าความเชื่อในพระเจ้าและความยำเกรงพระเจ้าของเขานั้นไม่สามารถมั่นคงได้  ซาตานยังพร้อมที่จะหาโอกาสทำให้โยบย่อยยับ โดยที่โยบอาจจะประกาศตัดขาดกับพระเจ้า และโดยที่มันอาจจะฉวยเขามาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า  ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ได้ทอดพระเนตรภายในหัวใจของโยบและทรงมองเห็นว่าเขานั้นดีพร้อมและเที่ยงธรรม และว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  พระเจ้าได้ทรงใช้คำถามหนึ่งเพื่อบอกกับซาตานว่าโยบเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม ผู้ซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ว่าโยบจะไม่มีวันประกาศตัดขาดกับพระเจ้าและติดตามซาตาน  เมื่อได้ยินพระเจ้าทรงประเมินค่าโยบแล้วนั้น ความเดือดดาลจากการเหยียดหยามก็ได้เกิดขึ้นในตัวซาตาน และซาตานได้กลับกลายเป็นโกรธมากยิ่งขึ้นและร้อนรนมากยิ่งขึ้นที่จะฉกโยบไป เพราะซาตานไม่เคยเชื่อว่าใครบางคนจะสามารถเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงตรงได้ หรือว่าพวกเขาจะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  ในเวลาเดียวกันนั้น ซาตานก็เกลียดชังความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมในตัวมนุษย์ และเกลียดผู้คนที่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  ดังนั้นจึงมีบันทึกไว้ในโยบ 1:9-11 ว่า “แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า ‘โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา ครอบครัวของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ?  พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน แต่ขอยื่นพระหัตถ์แตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์’”  พระเจ้าทรงคุ้นเคยใกล้ชิดกับธรรมชาติมุ่งร้ายของซาตาน และทรงรู้ดีอย่างเต็มที่ว่าซาตานได้วางแผนที่จะนำความล่มจมมาสู่โยบนานแล้ว และดังนั้น พระเจ้าจึงทรงปรารถนาในการนี้โดยผ่านทางการบอกกับซาตานอีกครั้งหนึ่งว่า โยบนั้นดีพร้อมและเที่ยงตรง และว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เพื่อนำซาตานมาสู่แนว เพื่อทำให้ซาตานเผยโฉมหน้าแท้จริงของมัน และโจมตีและทดลองโยบ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงเจตนาเน้นย้ำว่าโยบนั้นดีพร้อมและเที่ยงธรรม และว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และด้วยวิธีการนี้เองพระเจ้าได้ทรงทำให้ซาตานโจมตีโยบเนื่องจากความเกลียดและโกรธแค้นที่ซาตานมีต่อลักษณะที่โยบเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม ผู้ซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ผลก็คือ พระเจ้าจะนำพาความอับอายมาให้ซาตานโดยผ่านทางข้อเท็จจริงที่ว่าโยบเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม ผู้ซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และซาตานคงจะจากไปด้วยความละอายใจและพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง  หลังจากนั้น ซาตานคงจะไม่สงสัยหรือตั้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการที่โยบมีความดีพร้อม ความเที่ยงธรรม ความยำเกรงพระเจ้า หรือการหลบเลี่ยงความชั่วอีกต่อไป  ในหนทางนี้ การทดสอบของพระเจ้าและการทดลองของซาตานแทบจะไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถทนทานการทดสอบของพระเจ้าและการทดลองของซาตานได้ก็คือโยบ  หลังจากการโต้ตอบนี้ ซาตานก็ได้รับอนุญาตให้ทดลองโยบ  ด้วยเหตุนี้ การโจมตีรอบแรกของซาตานจึงได้เริ่มต้นขึ้น  เป้าหมายของการโจมตีเหล่านี้คือทรัพย์สินของโยบ เพราะซาตานได้ตั้งข้อกล่าวหาดังต่อไปนี้กับโยบ “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ?… พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน”  ผลก็คือ พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้ซาตานเอาทุกอย่างที่โยบมี—นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงว่าเหตุใดพระเจ้าจึงได้ตรัสกับซาตาน  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าได้ทำข้อเรียกร้องหนึ่งจากซาตาน นั่นคือ “ทุกสิ่งที่เขามีก็อยู่ในมือของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขา” (โยบ 1:12)  นี่คือสภาพเงื่อนไขที่พระเจ้าทรงตั้งไว้หลังจากที่พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบและได้ทรงวางโยบไว้ในมือของซาตานแล้ว และนี่คือขีดจำกัดที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้สำหรับซาตาน กล่าวคือ พระองค์ได้ทรงสั่งซาตานไม่ให้ทำอันตรายโยบ  เพราะพระเจ้าทรงระลึกได้ว่าโยบนั้นดีพร้อมและชอบธรรม และเพราะพระองค์ทรงมีความเชื่อว่าความดีพร้อมและความเที่ยงธรรมของโยบเฉพาะพระพักตร์พระองค์นั้นอยู่เหนือข้อสงสัยและสามารถทนทานต่อการถูกนำไปทดสอบได้ ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบ แต่ได้ทรงกำหนดข้อจำกัดหนึ่งกับซาตาน นั่นคือ  ซาตานได้รับอนุญาตให้เอาทรัพย์สินทั้งหมดของโยบไป แต่มันไม่สามารถแตะต้องเขาได้  นี่หมายความว่าอย่างไร?  มันหมายความว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงมอบโยบให้กับซาตานโดยสิ้นเชิงในขณะนั้น  ซาตานสามารถทดลองโยบด้วยวิธีการใดก็ตามที่มันต้องการ แต่มันไม่สามารถทำอันตรายตัวของโยบเองได้—ไม่แม้แต่เส้นผมหนึ่งเส้นบนศีรษะของเขา—เพราะทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์นั้นถูกควบคุมโดยพระเจ้า และเพราะการที่มนุษย์จะมีชีวิตหรือตายนั้นพระเจ้าคือผู้ทรงกำหนด  ซาตานไม่มีใบอนุญาตนี้  หลังจากพระเจ้าได้ตรัสพระวจนะเหล่านี้กับซาตาน ซาตานก็ไม่สามารถรอที่จะเริ่มต้นได้  มันได้ใช้ทุกวิถีทางที่จะทดลองโยบ และไม่ช้าไม่นานโยบได้สูญเสียแกะและวัวที่มีค่าเท่าภูเขาและทรัพย์สินทั้งหมดที่พระเจ้าประทานให้เขาไป… ด้วยเหตุนี้ การทดสอบของพระเจ้าจึงได้ประสบกับเขา

ถึงแม้พระคัมภีร์จะบอกพวกเราถึงต้นกำเนิดของการทดลองโยบ ตัวโยบเองนั้น ผู้ซึ่งตกอยู่ภายใต้การทดลองเหล่านี้ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่หรือไม่?  โยบเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชน แน่นอนว่าเขาไม่รู้สิ่งใดเลยเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังคลี่คลายขึ้นรอบตัวเขา  แต่ถึงอย่างไร ความยำเกรงพระเจ้าของเขาและความเพียบพร้อมกับความเที่ยงธรรมของเขาก็ทำให้เขาตระหนักว่าการทดสอบของพระเจ้าได้มาประสบกับเขาแล้ว  เขาไม่รู้ว่าได้เกิดอะไรขึ้นในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ อีกทั้งไม่รู้ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่อยู่เบื้องหลังการทดสอบนี้คืออะไร  แต่เขารู้ว่าไม่ว่าอะไรได้เกิดขึ้นกับเขาก็ตาม เขาควรจะยึดมั่นกับความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขา และควรปฏิบัติตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นท่าทีและปฏิกิริยาของโยบต่อเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน  พระเจ้าทรงมองเห็นสิ่งใด?  พระองค์ทรงมองเห็นความยำเกรงพระเจ้าของโยบ เพราะจากจุดเริ่มต้นตลอดมาจนกระทั่งถึงเวลาที่โยบถูกทดสอบนั้น หัวใจของโยบยังคงเปิดให้แก่พระเจ้า มันถูกวางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และโยบไม่ได้ประกาศตัดขาดกับความเพียบพร้อมหรือความเที่ยงธรรมของเขา อีกทั้งเขาไม่ได้ทิ้งขว้างหรือหันไปจากหนทางแห่งความยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว—ไม่มีสิ่งใดน่าอิ่มเอิบพระทัยสำหรับพระเจ้ามากไปกว่าการนี้  ต่อไป พวกเราจะดูว่าโยบได้ก้าวผ่านการทดลองใด และเขาจัดการกับการทดสอบเหล่านี้อย่างไร  เรามาอ่านจากข้อพระคัมภีร์กันเถิด

2.3 ปฏิกิริยาของโยบ

โยบ 1:20-21  แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ ท่านว่า “ข้ามาจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าจะกลับไปตัวเปล่า พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”

การที่โยบตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะคืนทั้งหมดที่เขาครอบครองกลับไปนั้นเกิดจากการที่เขามีความยำเกรงพระเจ้า

หลังจากพระเจ้าได้ตรัสกับซาตานว่า “ทุกสิ่งที่เขามีก็อยู่ในมือของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขา” ซาตานก็ได้จากไป ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นโยบก็ตกอยู่ภายใต้การโจมตีอย่างฉับพลันและรุนแรง กล่าวคือ ตอนแรก วัวและลาของเขาถูกปล้นและผู้รับใช้บางคนของเขาถูกฆ่า ต่อมา แกะของเขาและผู้รับใช้ของเขาจำนวนมากกว่านั้นก็ถูกไฟคลอก หลังจากนั้น อูฐของเขาถูกยึดและผู้รับใช้ของเขาก็ถูกสังหารเป็นจำนวนมากขึ้นไปอีก ในที่สุด ชีวิตบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาก็ถูกพรากไป  การโจมตีที่ต่อเนื่องนี้คือความทรมานที่โยบได้ทนทุกข์ในช่วงระหว่างการทดลองครั้งแรก  ในช่วงระหว่างการโจมตีเหล่านี้ซาตานเพียงแค่มุ่งเป้าหมายที่ทรัพย์สินของโยบและลูกๆ ของเขาเท่านั้น และไม่ได้ทำอันตรายตัวของโยบเองตามที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาไว้  แต่ถึงอย่างไร โยบก็ถูกเปลี่ยนสภาพจากคนมั่งคั่งที่ครอบครองทรัพย์สมบัติยิ่งใหญ่ไปเป็นใครบางคนที่ไม่มีสิ่งใดเลยในทันที  ไม่มีผู้ใดสามารถทนทานการโจมตีที่น่าตะลึงและน่าประหลาดใจนี้หรือมีปฏิกิริยากับมันอย่างเหมาะสมได้ แต่ทว่าโยบได้แสดงให้เห็นด้านที่เหนือธรรมดาของเขา  ข้อพระคัมภีร์จัดเตรียมเรื่องราวดังต่อไปนี้ ความว่า “แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ”  นี่คือปฏิกิริยาแรกของโยบหลังจากที่ได้ยินว่าเขาได้สูญเสียลูกๆ และทรัพย์สินทั้งหมดของเขาไปแล้ว  เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่ได้ปรากฏว่าประหลาดใจ หรือตื่นตระหนก นับประสาอะไรที่เขาจะแสดงความโกรธหรือเกลียด  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะเห็นว่าในหัวใจของเขานั้นเขาระลึกได้แล้วว่าความวิบัติเหล่านี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ หรือเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ นับประสาอะไรที่สิ่งเหล่านั้นจะเป็นการมาถึงของการตอบแทนอันสาสมหรือการลงโทษ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การทดสอบของพระยาห์เวห์ได้เกิดขึ้นกับเขา พระยาห์เวห์นั่นเองที่เป็นผู้ทรงปรารถนาที่จะเอาทรัพย์สินและลูกๆ ของเขาไป  โยบสงบใจและคิดได้ชัดเจนอย่างยิ่งในตอนนั้น  สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีพร้อมและเที่ยงธรรมของเขาทำให้เขาสามารถทำการตัดสินและการตัดสินใจที่ถูกต้องแม่นยำอย่างมีเหตุผลและเป็นธรรมชาติเกี่ยวกับความวิบัติทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นกับเขา และด้วยเหตุนี้ เขาจึงประพฤติตนด้วยความสงบผิดปกติ นั่นคือ “แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ”  “ฉีกเสื้อคลุมของตน” หมายความว่า เขาถอดเสื้อผ้าออก และไม่ครอบครองสิ่งใดเลย  “โกนศีรษะ” หมายความว่าเขาได้กลับคืนไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเหมือนดังเช่นทารกแรกเกิด  “กราบลงถึงดินนมัสการ”  หมายความว่าเขาได้มาสู่โลกนี้ตัวเปล่า และยังคงไม่มีสิ่งใดในวันนี้ เขาถูกส่งคืนกลับไปให้แก่พระเจ้าราวกับเป็นเด็กแรกเกิด  ท่าทีที่โยบมีต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดสามารถสัมฤทธิ์ได้  ความเชื่อที่เขามีในพระยาห์เวห์อยู่พ้นขอบเขตของการเชื่อไปแล้ว นี่คือความยำเกรงพระเจ้าของเขา เป็นการนบนอบพระเจ้าของเขา เขาไม่เพียงสามารถขอบคุณพระเจ้าสำหรับการประทานให้เขาเท่านั้น แต่ยังขอบคุณสำหรับการเอาไปจากเขาด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น เขาสามารถตัดสินใจด้วยตนเองที่จะคืนทั้งหมดที่เขาเป็นเจ้าของให้แก่พระเจ้า รวมทั้งชีวิตของเขา

ความยำเกรงและการนบนอบที่โยบมีต่อพระเจ้าเป็นตัวอย่างแก่มวลมนุษย์ และความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาก็คือสุดยอดแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่มนุษย์ควรมี  ถึงแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นพระเจ้า แต่เขาก็ตระหนักว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง และเพราะตระหนักเช่นนี้ เขาจึงยำเกรงพระเจ้า และเพราะเขายำเกรงพระเจ้า เขาจึงสามารถนบนอบพระเจ้า  เขายอมให้พระเจ้าทรงเอาสิ่งใดก็ตามที่เขามีไปโดยอิสระ กระนั้นเขาก็ไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญ และได้ทรุดลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทูลบอกกับพระองค์ว่า ณ ชั่วขณะนี้ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงเอาเนื้อหนังของเขาไป เขาก็จะยินดียอมให้พระองค์ทำเช่นนั้น โดยไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญ  การประพฤติทั้งหมดทั้งมวลของเขานั้นเป็นไปเนื่องจากสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีและเที่ยงธรรมของเขา  กล่าวคือ ด้วยผลแห่งความไร้มลทิน ความซื่อสัตย์ และความใจดีของเขา โยบจึงไม่หวั่นไหวในประสบการณ์ที่เขามีและการตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า  บนรากฐานนี้เองที่เขาทำข้อเรียกร้องกับตัวเองและตั้งมาตรฐานการคิด พฤติกรรม การประพฤติ และหลักการในการกระทำของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้สอดคล้องกับการทรงนำของพระเจ้าที่มีต่อเขาและกิจการทั้งหลายของพระเจ้าที่เขาได้มองเห็นท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง  ตลอดเวลานั้น ประสบการณ์ของเขาได้ทำให้ในตัวเขานั้นเกิดความยำเกรงที่จริงและแท้ต่อพระเจ้าและทำให้เขาหลบเลี่ยงความชั่ว  นี่คือแหล่งกำเนิดของความซื่อสัตย์ที่โยบยึดมั่น  โยบครอบครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ ไร้มลทิน และใจดี เขามีประสบการณ์จริงในการยำเกรงพระเจ้า นบนอบพระเจ้า หลบเลี่ยงความชั่ว รวมทั้งการรู้ว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย”  เพราะสิ่งเหล่านี้เท่านั้นเขาจึงสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเขาได้ท่ามกลางการโจมตีที่โหดร้ายของซาตาน และเพราะการโจมตีเหล่านี้เท่านั้นเขาจึงสามารถไม่ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังได้และสามารถจัดเตรียมคำตอบที่น่าพึงพอพระทัยแก่พระเจ้าได้เมื่อการทดสอบของพระเจ้าเกิดขึ้นกับเขา  ถึงแม้ว่าการประพฤติของโยบในช่วงระหว่างการทดลองครั้งนี้จะซื่อตรงอย่างยิ่ง แต่ชนหลายรุ่นต่อมาก็ไม่มั่นใจในการสัมฤทธิ์ความซื่อตรงเช่นนั้นแม้ภายหลังจากความเพียรพยายามชั่วชีวิต อีกทั้งพวกเขาคงจะไม่จำเป็นต้องครอบครองการประพฤติของโยบดังที่พรรณนาไปข้างต้น  วันนี้ เมื่อได้เผชิญหน้าการประพฤติตนที่ซื่อตรงของโยบ และเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเสียงร้องและความมุ่งมั่นที่จะ “นบนอบและจงรักภักดีทุกประการจนตาย” ที่บรรดาผู้กล่าวอ้างว่าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้าได้แสดงต่อพระเจ้า พวกเจ้ารู้สึกละอายอย่างลึกซึ้งหรือไม่รู้สึกกันแน่?

เมื่อเจ้าอ่านในข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับทั้งหมดที่โยบและครอบครัวของเขาได้ทนทุกข์ เจ้ามีปฏิกิริยาอย่างไร?  เจ้ากลายเป็นตกอยู่ในภวังค์ความคิดหรือไม่?  เจ้าประหลาดใจหรือไม่?  การทดสอบที่ตกมาถึงโยบสามารถพรรณนาว่า “น่ากลัว” ได้หรือไม่?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มันน่าตกใจพอแล้วกับการอ่านเกี่ยวกับการทดสอบโยบดังที่พรรณนาไว้ในข้อพระคัมภีร์ ไม่ต้องพูดถึงว่าการทดสอบเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรในชีวิตจริง  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับโยบนั้นไม่ใช่ “การฝึกซ้อม” แต่เป็น “การสู้รบ” จริง ที่มี “ปืน” และ “กระสุน” จริง  แต่เขาตกอยู่ภายใต้การทดสอบเหล่านี้ด้วยน้ำมือของผู้ใดเล่า?  แน่นอนว่าการทดสอบเหล่านี้เป็นงานของซาตาน และซาตานทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วยมือของมันเอง  ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า  พระเจ้าได้ตรัสบอกกับซาตานหรือไม่ว่าให้ทดลองโยบด้วยวิธีการใด?  พระองค์ไม่ได้ตรัสบอก  พระเจ้าเพียงแค่ทรงตั้งสภาพเงื่อนไขหนึ่งที่ซาตานต้องปฏิบัติตาม และแล้วการทดลองจึงได้เกิดขึ้นกับโยบ  เมื่อการทดลองได้เกิดขึ้นกับโยบ มันให้ผู้คนได้มีสำนึกรับรู้ถึงความชั่วร้ายและความน่าเกลียดของซาตาน ถึงความมุ่งร้ายและความเกลียดชังที่มันมีต่อมนุษย์ และถึงความเป็นศัตรูต่อพระเจ้าของมัน  ในการนี้พวกเรามองเห็นว่าพระวจนะต่างๆ ไม่สามารถพรรณนาได้ว่าการทดลองนี้โหดร้ายเพียงใด  สามารถกล่าวได้ว่าธรรมชาติอันมุ่งร้ายที่ซาตานใช้ล่วงเกินมนุษย์ และใบหน้าที่น่าเกลียดของมันนั้น ถูกเปิดเผยอย่างเต็มที่ ณ ชั่วขณะนี้  ซาตานได้ใช้โอกาสนี้ โอกาสที่จัดเตรียมให้โดยการทรงอนุญาตของพระเจ้า เพื่อทำให้โยบตกอยู่ภายใต้การล่วงเกินที่รุ่มร้อนและไร้ความปรานี ซึ่งเป็นวิธีการและความโหดร้ายระดับที่ผู้คนวันนี้ทั้งไม่อาจจินตนาการได้และไม่อาจทนยอมรับได้โดยสิ้นเชิง  แทนที่จะกล่าวว่าโยบถูกซาตานทดลอง และว่าเขาตั้งมั่นอยู่ในคำพยานของเขาในช่วงระยะการทดลองนี้ มันดีกว่าที่จะกล่าวว่าในการทดสอบที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขานั้น โยบได้เริ่มต้นการแข่งขันกับซาตานเพื่อปกป้องความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขา และเพื่อป้องกันหนทางในการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ในการแข่งขันครั้งนี้ โยบได้สูญเสียแกะและฝูงปศุสัตว์ที่มีค่าเท่าภูเขา เขาได้สูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดของเขา และเขาได้สูญเสียบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาไป  อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ละทิ้งความเพียบพร้อม ความเที่ยงธรรม หรือความยำเกรงพระเจ้าของเขา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในการแข่งขันกับซาตานครั้งนี้ โยบเลือกที่จะลิดรอนทรัพย์สินและลูกๆ ของเขามากกว่าที่จะสูญเสียความเพียบพร้อม ความเที่ยงธรรม และความยำเกรงพระเจ้าของเขา  เขาเลือกที่จะยึดมั่นกับรากเหง้าของสิ่งที่เป็นความหมายของการเป็นมนุษย์  ข้อพระคัมภีร์จัดเตรียมเรื่องราวที่รัดกุมเกี่ยวกับกระบวนการทั้งหมดทั้งมวลที่โยบได้สูญเสียสินทรัพย์ของเขา และยังบันทึกข้อมูลการประพฤติและท่าทีของโยบด้วย  เรื่องราวที่สั้นและกระชับเหล่านี้ให้สำนึกรับรู้ว่าโยบเกือบจะผ่อนคลายในการเผชิญหน้ากับการทดลองนี้ แต่หากสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริงๆ จะถูกสร้างขึ้นใหม่—โดยพิจารณาถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติมุ่งร้ายของซาตานด้วย—เช่นนั้นแล้ว สิ่งต่างๆ ก็คงจะไม่เรียบง่ายหรือง่ายดายดังเช่นที่พรรณนาไว้ในประโยคเหล่านี้  ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายมากกว่าอย่างมาก  เช่นนั้นคือระดับของความร้างเปล่าและความเกลียดที่ซาตานใช้ปฏิบัติกับมวลมนุษย์และพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่พระเจ้าทรงอนุญาต  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงขอไว้ว่าไม่ให้ซาตานทำอันตรายโยบ ซาตานก็คงจะฆ่าเขาโดยไม่มีความเวทนาใดๆ อย่างไม่ต้องสงสัยไปแล้ว  ซาตานไม่ต้องการให้ผู้ใดนมัสการพระเจ้า และมันไม่ปรารถนาที่จะให้บรรดาผู้ที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าและบรรดาผู้ที่มีความเพียบพร้อมและเที่ยงธรรมสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วต่อไปได้  เพราะการที่ผู้คนยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วหมายความว่าพวกเขาหลบเลี่ยงและขัดขืนซาตาน และดังนั้นซาตานจึงฉวยโอกาสจากการอนุญาตของพระเจ้าเพื่อสุมความโกรธและเกลียดของมันทั้งหมดที่มีต่อโยบโดยไม่มีความกรุณา  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะมองเห็นว่าความทรมานที่โยบได้ทนทุกข์ จากจิตใจถึงเนื้อหนัง จากภายนอกถึงภายในนั้นใหญ่หลวงเพียงใด  วันนี้ พวกเรามองไม่เห็นว่ามันเป็นอย่างไร ณ เวลานั้น และได้รับเพียงความเข้าใจชั่วขณะสั้นๆ จากเรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับอารมณ์ของโยบเมื่อเขาได้ตกอยู่ภายใต้การทรมาน ณ เวลานั้น

ความซื่อสัตย์ที่ไม่สั่นคลอนของโยบนำความอับอายมาให้แก่ซาตานและทำให้มันหนีเตลิดไป

ดังนั้น พระเจ้าทรงทำสิ่งใดเมื่อโยบตกอยู่ภายใต้ความทรมานนี้?  พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกต และทรงเฝ้ามอง และทรงรอคอยบทอวสาน  ขณะที่พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตและทรงเฝ้ามองแล้ว พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร?  แน่นอนว่าพระองค์ทรงรู้สึกถูกครอบงำด้วยความโทมนัส  แต่มันเป็นไปได้หรือไม่ว่าพระเจ้าสามารถเสียพระทัยที่พระองค์ทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบเพียงเพราะพระองค์ทรงรู้สึกถึงความโทมนัส?  คำตอบคือ ไม่ พระองค์ไม่ทรงสามารถรู้สึกเสียพระทัยเช่นนั้นได้  เพราะพระองค์ทรงเชื่ออย่างมั่นคงว่าโยบนั้นดีพร้อมและเที่ยงธรรม ว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  พระเจ้าเพียงแค่ทรงได้ให้โอกาสแก่ซาตานในการตรวจสอบยืนยันความชอบธรรมของโยบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และในการเปิดเผยความชั่วร้ายและความน่าเหยียดหยามของมันเอง  ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นโอกาสสำหรับโยบในการเป็นพยานต่อความชอบธรรมของเขาและต่อการที่เขามีความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วต่อหน้าผู้คนบนโลกนี้ ซาตาน และแม้กระทั่งบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามพระเจ้า  บทอวสานสุดท้ายได้พิสูจน์หรือไม่ว่าการประเมินผลโยบของพระเจ้านั้นถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด?  โยบได้ชนะซาตานจริงๆ หรือไม่?  ในที่นี้พวกเราได้อ่านคำพูดที่เป็นแบบฉบับที่โยบพูด คำพูดที่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาได้ชนะซาตานแล้ว  เขาได้กล่าวว่า “ข้ามาจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าจะกลับไปตัวเปล่า”  นี่คือท่าทีอันนบนอบที่โยบมีต่อพระเจ้า  ต่อไป เขาได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” คำพูดที่โยบได้พูดไปเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตส่วนลึกของหัวใจมนุษย์ ว่าพระองค์ทรงสามารถมองเข้าไปถึงจิตใจของมนุษย์ และคำพูดเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าการที่พระองค์ทรงรับรองโยบนั้นไม่มีข้อผิดพลาด ว่ามนุษย์ที่พระเจ้าทรงรับรองผู้นี้ชอบธรรม “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  คำพูดเหล่านี้คือคำพยานของโยบต่อพระเจ้า  คำพูดธรรมดาเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ซาตานขลาดกลัว ที่ได้นำความอับอายมาสู่มันและทำให้มันหนีเตลิดไป และยิ่งไปกว่านั้น ที่ได้พันธนาการซาตานและทิ้งให้มันไม่มีหนทาง  ดังนั้น คำพูดเหล่านี้ด้วยเช่นกันที่ทำให้ซาตานรู้สึกถึงความน่าพิศวงและอิทธิฤทธิ์แห่งกิจการทั้งหลายของพระยาห์เวห์พระเจ้า และทำให้มันล่วงรู้ถึงพรสวรรค์เหนือธรรมดาของผู้ที่หัวใจของเขาถูกปกครองด้วยหนทางแห่งพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดเหล่านี้ได้แสดงให้ซาตานเห็นถึงพลังที่ทรงอำนาจในการยึดมั่นกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วที่แสดงให้เห็นโดยมนุษย์ตัวเล็กๆ และไม่สำคัญคนหนึ่ง  ด้วยเหตุนี้ซาตานจึงได้พ่ายแพ้ในการแข่งขันครั้งแรก  ถึงแม้ว่าจะได้ “เรียนรู้จากการนี้” แล้ว แต่ซาตานก็ไม่มีเจตนาที่จะปล่อยโยบไป และไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในธรรมชาติที่มุ่งร้ายของมัน  ซาตานพยายามที่จะดำเนินการโจมตีโยบต่อไป และจึงได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกครั้ง…

ต่อไป พวกเรามาอ่านเรื่องที่โยบถูกทดลองเป็นครั้งที่สองจากข้อพระคัมภีร์กันเถิด

3. ซาตานทดลองโยบอีกครั้ง (ฝีร้ายผุดขึ้นมาทั่วร่างของโยบ)

3.1 พระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสไว้

โยบ 2:3  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?  เขายังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าชวนเราให้ต่อสู้กับเขา เพื่อทำลายเขาโดยไม่มีเหตุ”

โยบ 2:6  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในมือเจ้า จงไว้ชีวิตเขาเท่านั้น”

3.2 คำพูดที่ซาตานได้พูดไว้

โยบ 2:4-5  แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “หนังแทนหนัง คนย่อมให้ทุกอย่างที่เขามีอยู่แทนชีวิตของเขา แต่บัดนี้ขอเหยียดพระหัตถ์แตะต้องกระดูกและเนื้อของเขา แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์”

3.3 วิธีที่โยบจัดการกับการทดสอบ

โยบ 2:9-10  แล้วภรรยาท่านกล่าวกับท่านว่า “เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ?  จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” แต่ท่านตอบนางว่า “เธอพูดอย่างหญิงโง่เขลาจะพึงพูด เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบไม่ได้ทำบาปด้วยริมฝีปากของตน

โยบ 3:3-4  ขอให้วันที่ข้าเกิดมานั้นพินาศ อีกทั้งคืนที่พูดว่า “ตั้งครรภ์เด็กชายคนหนึ่งแล้ว” นั้นด้วย  ขอให้วันนั้นเป็นความมืด ขอพระเจ้าจากเบื้องบนอย่าเอาพระทัยใส่วันนั้น หรืออย่าให้แสงสว่างส่องในวันนั้น

ความรักของโยบที่มีต่อหนทางแห่งพระเจ้าเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด

ข้อพระคัมภีร์บันทึกพระวจนะที่ตรัสและพูดระหว่างพระเจ้าและซาตาน ดังต่อไปนี้: “และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า ‘เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?  เขายังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าชวนเราให้ต่อสู้กับเขา เพื่อทำลายเขาโดยไม่มีเหตุ’” (โยบ 2:3)  ในการโต้ตอบนี้ พระเจ้าตรัสซ้ำคำถามเดิมกับซาตาน  มันเป็นคำถามที่แสดงให้พวกเราเห็นการประเมินยืนยันของพระยาห์เวห์พระเจ้าถึงสิ่งที่โยบได้แสดงออกและได้ดำรงชีวิตตามในช่วงระหว่างการทดสอบครั้งแรก และเป็นการประเมินที่ไม่แตกต่างกันกับการประเมินโยบครั้งแรกของพระเจ้าก่อนที่เขาจะได้ก้าวผ่านการทดลองของซาตาน  กล่าวคือ ก่อนที่การทดลองจะเกิดขึ้นกับเขา โยบเป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า และด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้ทรงคุ้มครองปกป้องเขาและครอบครัวของเขา และได้ทรงอวยพรเขา  เขามีค่าคู่ควรแก่การได้รับพรในสายพระเนตรของพระเจ้า  หลังจากการทดลอง โยบไม่ได้ทำบาปด้วยริมฝีปากของเขาเพราะได้สูญเสียทรัพย์สินและลูกๆ ของเขาไปแล้ว แต่ยังคงสรรเสริญพระนามของพระยาห์เวห์ต่อไป  การประพฤติจริงของเขาทำให้พระเจ้าทรงชมเชยเขา และด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้ประทานเครื่องหมายเต็มให้กับเขา  สำหรับในสายตาของโยบนั้น ลูกหลานหรือสินทรัพย์ของเขาไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาประกาศตัดขาดกับพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ที่ของพระเจ้าในหัวใจของเขานั้นไม่สามารถถูกแทนที่ได้ด้วยลูกๆ หรือทรัพย์สินชิ้นใดของเขา  ในระหว่างการทดลองครั้งแรกของโยบนั้น เขาได้แสดงให้พระเจ้าทรงเห็นว่าความรักที่เขามีต่อพระองค์และความรักที่เขามีต่อหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วนั้นมีเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด  มันเป็นแค่ว่าการทดสอบนี้ได้ให้ประสบการณ์แก่โยบในการรับรางวัลตอบแทนจากพระยาห์เวห์พระเจ้าและการที่พระองค์ได้ทรงเอาทรัพย์สินและลูกๆ ของเขาไป

สำหรับโยบแล้ว นี่คือประสบการณ์แท้จริงที่ชำระล้างดวงจิตของเขาให้สะอาด เป็นบัพติศมาแห่งชีวิตที่ได้เติมเต็มการดำรงอยู่ของเขา และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นงานเลี้ยงอันเลิศหรูที่ได้ทดสอบการนบนอบและการยำเกรงพระเจ้าของเขา  การทดลองนี้ได้เปลี่ยนฐานะของโยบจากคนมั่งคั่งไปเป็นใครบางคนที่ไม่มีอะไรเลย และยังเปิดโอกาสให้เขามีประสบการณ์กับการทารุณมวลมนุษย์ของซาตานด้วยเช่นกัน  ความยากแค้นของเขาไม่ได้ทำให้เขาเกลียดชังซาตาน ตรงกันข้าม ในการกระทำที่เลวทรามของซาตานนั้นเขาได้มองเห็นความน่าเกลียดและความน่าเหยียดหยามของซาตาน ตลอดจนความเป็นศัตรูและการทรยศพระเจ้าของซาตาน และนี่ก็กระตุ้นให้เขายึดมั่นในหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วตลอดไปได้ดียิ่งขึ้น  เขาได้ปฏิญาณว่าเขาจะไม่มีวันละทิ้งพระเจ้าและหันหลังให้กับหนทางแห่งพระเจ้าเพราะปัจจัยภายนอกอย่างเช่นทรัพย์สิน ลูกหลาน หรือญาติมิตร อีกทั้งเขาจะไม่เป็นทาสของซาตาน ทรัพย์สิน หรือบุคคลใดเป็นอันขาด นอกเหนือจากพระยาห์เวห์พระเจ้าแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาหรือพระเจ้าของเขาได้  เช่นนั้นคือความมุ่งมาดปรารถนาของโยบ  ในทางกลับกัน โยบยังได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่างจากการทดลองครั้งนี้ด้วย นั่นคือ เขาได้รับความมั่งคั่งอันยิ่งใหญ่ท่ามกลางการทดสอบที่พระเจ้าได้ประทานแก่เขา

ในชีวิตของโยบตลอดหลายทศวรรษก่อนหน้านั้น เขาได้เห็นกิจการทั้งหลายของพระยาห์เวห์และได้รับพรที่พระยาห์เวห์พระเจ้าประทานแก่เขา  เหล่านั้นเป็นพรที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอย่างใหญ่หลวง เพราะเขาเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อพระเจ้าเลย แต่ยังได้รับการประทานพรมากมายเช่นนั้นและได้ชื่นชมพระคุณมากมายถึงเพียงนั้น  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมักจะอธิษฐานอยู่ในหัวใจ โดยหวังว่าตนจะสามารถตอบแทนพระเจ้าได้ หวังว่าเขาจะมีโอกาสเป็นคำพยานให้กิจการทั้งหลายและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และหวังว่าพระเจ้าจะทรงทดสอบการนบนอบของเขา และยิ่งไปกว่านั้น เขาหวังว่าความเชื่อของเขาจะสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ จนกระทั่งการนบนอบและความเชื่อของเขาได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า  และแล้ว เมื่อการทดสอบได้เกิดขึ้นกับโยบ เขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของเขาแล้ว  โยบเชิดชูโอกาสนี้มากกว่าสิ่งอื่นใด และด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่กล้าดูเบาโอกาสดังกล่าว เพราะความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดชีวิตของเขานั้นสามารถเป็นจริงได้แล้ว  การมาถึงของโอกาสนี้หมายความว่าการนบนอบและความยำเกรงพระเจ้าของเขานั้นสามารถได้รับการทดสอบ และสามารถได้รับการทำให้บริสุทธิ์ได้  ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังหมายความว่าโยบมีโอกาสที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า อันเป็นการทำให้เขาใกล้ชิดพระเจ้ามากยิ่งขึ้น  ในระหว่างการทดสอบ ความเชื่อและการไล่ตามเสาะหาเช่นนั้นได้เปิดโอกาสให้เขามีความเพียบพร้อมมากยิ่งขึ้น และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากขึ้น  โยบยังสำนึกขอบคุณพรและพระคุณของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นด้วย ในหัวใจของเขามีการสรรเสริญกิจการทั้งหลายของพระเจ้ามากขึ้น และเขายำเกรงและเคารพพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และถวิลหาความดีงาม ความยิ่งใหญ่ และความบริสุทธิ์ของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น  ณ เวลานั้น ถึงแม้ว่าโยบจะยังคงเป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่ความเชื่อและความรู้ของโยบในแง่ของประสบการณ์ทั้งหลายของเขานั้นได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด กล่าวคือ เขามีความเชื่อมากขึ้น การนบนอบของเขามีหลักยึด และความยำเกรงพระเจ้าของเขาก็ลึกล้ำมากยิ่งขึ้น  ถึงแม้ว่าการทดสอบนี้จะเปลี่ยนจิตวิญญาณและชีวิตของโยบไป แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้โยบพึงพอใจ และไม่ได้ถ่วงความก้าวหน้าของเขา  ในเวลาเดียวกับที่กำลังคิดคำนวณสิ่งที่เขาได้รับจากการทดสอบครั้งนี้ และพิจารณาความบกพร่องของเขาเอง เขาก็ได้อธิษฐานอย่างเงียบๆ รอคอยให้การทดสอบครั้งต่อไปเกิดขึ้นกับเขา เพราะเขาโหยหาที่จะให้ความเชื่อ การนบนอบ และความยำเกรงพระเจ้าของเขาได้รับการยกระดับในระหว่างการทดสอบครั้งต่อไปของพระเจ้า

พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตความคิดข้างในสุดของมนุษย์และทุกสิ่งที่มนุษย์พูดและทำ  ความคิดของโยบไปถึงพระกรรณของพระยาห์เวห์พระเจ้า และพระเจ้าได้ทรงรับฟังคำอธิษฐานของเขา และในหนทางนี้การทดสอบโยบครั้งต่อไปของพระเจ้าก็ได้มาถึงตามที่คาดไว้

ท่ามกลางความทุกข์สุดขีด โยบตระหนักอย่างแท้จริงถึงความใส่พระทัยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมวลมนุษย์

หลังจากพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงมีคำถามกับซาตาน ซาตานก็มีความสุขอย่างลับๆ  นี่เป็นเพราะซาตานรู้ว่ามันจะได้รับอนุญาตให้โจมตีมนุษย์ผู้ซึ่งดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้าอีกครั้ง—สำหรับซาตานแล้ว นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก  ซาตานต้องการที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของโยบโดยสิ้นเชิง เพื่อทำให้เขาสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า และด้วยเหตุนี้จึงไม่ยำเกรงพระเจ้าหรือสาธุการพระนามพระยาห์เวห์อีกต่อไป  นี่จะให้โอกาสหนึ่งแก่ซาตาน นั่นคือ  ไม่ว่าที่ใดหรือเวลาใดก็ตาม มันจะสามารถทำให้โยบเป็นของเล่นที่ทำตามคำสั่งของมัน  ซาตานซ่อนเจตนาชั่วร้ายของมันไว้อย่างไร้ร่องรอย แต่มันไม่สามารถควบคุมธรรมชาติที่มุ่งร้ายของมันได้  ความจริงนี้แสดงนัยอยู่ในคำตอบของมันต่อพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้า ดังที่ได้บันทึกไว้ในข้อพระคัมภีร์ว่า “แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า ‘หนังแทนหนัง คนย่อมให้ทุกอย่างที่เขามีอยู่แทนชีวิตของเขา แต่บัดนี้ขอเหยียดพระหัตถ์แตะต้องกระดูกและเนื้อของเขา แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์’” (โยบ 2:4-5)  เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ความรู้และสำนึกรับรู้ที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับความมุ่งร้ายของซาตานจากการโต้ตอบระหว่างพระเจ้ากับซาตานนี้  เมื่อได้ยินเหตุผลวิบัติเหล่านี้ของซาตาน ทุกคนที่รักความจริงและรังเกียจความชั่วจะมีความเกลียดชังความไม่รู้เท่าทันและความไร้ยางอายของซาตานมากยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย จะรู้สึกตกใจและชิงชังเหตุผลวิบัติของซาตาน และในเวลาเดียวกันนั้นก็จะมอบคำอธิษฐานที่ลึกซึ้งและความปรารถนาที่จริงจังจริงใจแก่โยบ โดยอธิษฐานให้ชายที่มีความเที่ยงธรรมผู้นี้สามารถสัมฤทธิ์ความเพียบพร้อม โดยปรารถนาให้ชายผู้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วผู้นี้จะชนะการทดลองของซาตานตลอดไป และดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง ท่ามกลางการทรงนำและพรจากพระเจ้า ดังนั้น ผู้คนเช่นนี้ก็จะปรารถนาให้ความประพฤติชอบธรรมของโยบสามารถกระตุ้นและส่งเสริมให้ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ตลอดไปด้วยเช่นกัน  ถึงแม้ว่าเจตนาที่มุ่งร้ายของซาตานจะสามารถมองเห็นได้ในคำประกาศนี้ แต่พระเจ้าก็ได้ทรงยินยอมต่อ “คำร้องขอ” ของซาตานอย่างเย็นพระทัย—แต่พระองค์ก็ได้ทรงตั้งสภาพเงื่อนไขหนึ่งด้วยเช่นกัน ว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในมือเจ้า จงไว้ชีวิตเขาเท่านั้น” (โยบ 2:6)  เพราะครั้งนี้ซาตานได้ขอยื่นมือของมันไปทำร้ายเนื้อหนังและกระดูกของโยบ พระเจ้าจึงได้ตรัสว่า “จงไว้ชีวิตเขาเท่านั้น”  ความหมายของพระวจนะเหล่านี้ก็คือว่า พระองค์ได้ทรงมอบเนื้อหนังของโยบให้ซาตาน แต่ชีวิตของโยบนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเก็บรักษาไว้  ซาตานไม่สามารถเอาชีวิตของโยบได้ แต่นอกเหนือจากนี้แล้วซาตานสามารถใช้วิถีทางหรือวิธีการใดก็ได้กับโยบ

เมื่อได้รับการอนุญาตจากพระเจ้าแล้ว ซาตานก็ได้รีบรุดไปหาโยบและยื่นมือของมันออกไปเพื่อทำให้ผิวหนังของเขาเจ็บปวด ทำให้เกิดฝีร้ายทั่วทั้งร่างกายของเขา และโยบรู้สึกเจ็บปวดผิวหนังของเขา  โยบสรรเสริญความมหัศจรรย์และความบริสุทธิ์ของพระยาห์เวห์พระเจ้า ซึ่งทำให้ซาตานจัดจ้านในความมุทะลุของมันมากยิ่งขึ้นไปอีก  เนื่องจากซาตานรู้สึกปีติยินดีที่ได้ทำอันตรายมนุษย์ มันจึงได้ยื่นมือของมันออกไปและครูดเนื้อหนังของโยบ ทำให้ฝีร้ายของเขาคั่งหนอง  โยบพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความทรมานบนเนื้อหนังของเขาจนไม่มีอะไรเทียบเท่า และเขาอดไม่ได้ที่จะนวดตัวเขาเองตั้งแต่ศีรษะจนถึงเท้าด้วยมือของเขา ราวกับว่านี่จะบรรเทาการโจมตีที่ได้จัดการกับจิตวิญญาณของเขาด้วยความเจ็บปวดแห่งเนื้อหนังของเขานี้  เขาได้ตระหนักว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างโดยทรงเฝ้ามองเขาอยู่ และเขาพยายามสุดความสามารถเพื่อทำให้ตัวเขาเองเข้มแข็ง  เขาได้คุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง และกล่าวว่า  “พระองค์ทรงมองเห็นภายในหัวใจของมนุษย์ พระองค์ทรงเฝ้าสังเกตความระทมทุกข์ของเขา เหตุใดพระองค์จึงทรงสนพระทัยกับจุดอ่อนของเขา?  สรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้า”  ซาตานมองเห็นความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนทานได้ของโยบ แต่มันไม่เห็นโยบละทิ้งพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ มันจึงรีบยื่นมือของมันออกไปเพื่อทำความเจ็บปวดให้กระดูกของโยบ มุ่งหมายอย่างยิ่งที่จะฉีกทึ้งแขนขาของเขา  ทันใดนั้น โยบรู้สึกถึงความทรมานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับว่าเนื้อหนังของเขาถูกทึ้งออกจากกระดูก และราวกับว่ากระดูกของเขาถูกทุบแตกออกไปทีละชิ้น  ความทรมานแสนสาหัสนี้ทำให้เขาคิดว่าตายเสียคงจะดีกว่า… ความสามารถของเขาในการทนความเจ็บปวดนี้ได้มาถึงขีดจำกัดของมันแล้ว… เขาต้องการร้องออกไป เขาต้องการฉีกหนังบนร่างกายของเขาเพื่อพยายามจะลดความเจ็บปวดลง—แต่ถึงกระนั้นเขาก็ได้กลั้นเสียงกรีดร้องของเขาไว้ และไม่ได้ฉีกหนังบนร่างกายของเขา เพราะเขาไม่ต้องการยอมให้ซาตานเห็นจุดอ่อนของเขา  ดังนั้น โยบจึงได้คุกเข่าลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่รู้สึกถึงการสถิตของพระยาห์เวห์พระเจ้า  เขารู้ว่าบ่อยครั้งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าสถิตอยู่เบื้องหน้าเขา และเบื้องหลังเขา และข้างใดข้างหนึ่งของเขา  แต่กระนั้นในระหว่างความเจ็บปวดของเขานี้ พระเจ้าไม่เคยทรงเฝ้ามองเลยสักครั้ง พระองค์ปิดบังพระพักตร์ของพระองค์และทรงซ่อนเร้น เพราะความหมายแห่งการทรงสร้างมนุษย์ของพระองค์ไม่ใช่เพื่อนำความทุกข์มาให้มนุษย์ ณ เวลานี้ โยบกำลังร่ำไห้และพยายามสุดความสามารถที่จะทนฝ่าความเจ็บปวดรวดร้าวทางกายนี้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถรั้งตัวเขาเองจากการขอบพระคุณพระเจ้าได้อีกต่อไป: “มนุษย์ล้มลงในการโจมตีครั้งแรก เขาอ่อนแอและไร้พลัง เขาอ่อนเยาว์และไม่รู้เท่าทัน—เหตุใดพระองค์จึงจะทรงปรารถนาที่จะเอาพระทัยใส่และอ่อนโยนกับเขาถึงเพียงนั้น?  พระองค์ทรงฟาดฟันข้าพระองค์ กระนั้นการทำเช่นนั้นก็ทำให้พระองค์ทรงเจ็บปวด  มนุษย์มีอะไรที่มีค่าคู่ควรต่อการใส่พระทัยและกังวลพระทัยของพระองค์หรือ?”  คำอธิษฐานของโยบไปถึงพระกรรณของพระเจ้า และพระเจ้าทรงนิ่งเงียบ ทรงเพียงแต่เฝ้ามองโดยไม่ส่งเสียงใดๆ เท่านั้น… เมื่อได้พยายามทุกกลเม็ดในหนังสือโดยไร้ประโยชน์แล้ว ซาตานก็ได้จากไปอย่างเงียบๆ แต่กระนั้นนี่ก็ไม่ได้นำให้การทดสอบโยบของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน  เพราะฤทธานุภาพของพระเจ้าที่ได้เปิดเผยในโยบนั้นไม่ได้ทำให้เปิดเผยสู่สาธารณะ เรื่องราวของโยบไม่ได้จบลงด้วยการล่าถอยของซาตาน  ขณะที่มีตัวละครอื่นๆ ได้ทำการเข้าสู่ของพวกเขา ฉากที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่ายังไม่มาถึง

การสำแดงถึงความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบอีกอย่างหนึ่งคือการที่เขาเทิดทูนพระนามของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง

โยบได้ทนทุกข์กับความเสียหายต่างๆ อันเกิดจากซาตาน แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้ละทิ้งพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้า  ภรรยาของเขาคือคนแรกที่ก้าวออกมาและโจมตีโยบ โดยการเล่นบทของซาตานในรูปแบบที่สายตาของมนุษย์สามารถมองเห็นได้  ตัวบทดั้งเดิมพรรณนาเรื่องนี้ไว้ดังนี้ว่า “แล้วภรรยาท่านกล่าวกับท่านว่า ‘เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ?  จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ’” (โยบ 2:9)  เหล่านี้คือคำพูดที่ซาตานพูดในคราบมนุษย์  คำพูดเหล่านั้นเป็นการโจมตี เป็นคำกล่าวหา ตลอดจนเป็นเสียงยั่วยุ การทดลอง และการให้ร้าย  เมื่อล้มเหลวในการโจมตีเนื้อหนังของโยบแล้ว  ซาตานจึงได้โจมตีความซื่อสัตย์ของโยบโดยตรง โดยปรารถนาที่จะใช้การนี้เพื่อทำให้โยบล้มเลิกความซื่อสัตย์ของเขา ประกาศตัดขาดกับพระเจ้า และไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก  ดังนั้น ซาตานจึงอยากใช้ถ้อยคำดังกล่าวมาชักจูงโยบอีกด้วยว่า  หากโยบละทิ้งพระนามของพระยาห์เวห์ เช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องทนฝ่าความทรมานเช่นนั้น เขาสามารถปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการทรมานของเนื้อหนังได้  เมื่อเผชิญหน้ากับคำแนะนำจากภรรยาของเขาแล้ว โยบได้ตำหนินางโดยกล่าวว่า “เธอพูดอย่างหญิงโง่เขลาจะพึงพูด เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” (โยบ 2:10)  โยบรู้ถึงคำพูดเหล่านี้มานานแล้ว แต่ ณ เวลานี้ ความจริงเกี่ยวกับการที่โยบมีความรู้ในคำพูดเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์

เมื่อภรรยาของเขาได้แนะนำเขาให้สาปแช่งพระเจ้าและตายเสียนั้น นางหมายความว่า “พระเจ้าของท่านปฏิบัติกับท่านดังนี้ ดังนั้นเหตุใดจึงไม่สาปแช่งพระองค์?  ท่านจะยังคงมีชีวิตอยู่เพื่อทำสิ่งใด?  พระเจ้าของท่านทรงอยุติธรรมกับท่านยิ่งนัก แต่ท่านก็ยังกล่าวว่า ‘สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์’  พระองค์จะสามารถนำความวิบัติมาให้ท่านได้อย่างไรเมื่อท่านสาธุการพระนามของพระองค์?  จงรีบเร่งและละทิ้งพระนามของพระเจ้าเสีย และอย่าติดตามพระองค์อีกเลย  เช่นนั้นแล้ว ปัญหาต่างๆ ของท่านก็จะจบลง”  ณ เวลานั้น ได้มีคำพยานที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเห็นเกิดขึ้นในตัวโยบ  ไม่มีบุคคลธรรมดาคนใดสามารถเป็นคำพยานเช่นนั้นได้ อีกทั้งพวกเราไม่ได้อ่านพบคำพยานเช่นนั้นในเรื่องราวใดๆ ในจากพระคัมภีร์—แต่พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นมันมานานก่อนที่โยบจะกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา  พระเจ้าแค่ทรงปรารถนาที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อเปิดโอกาสให้โยบพิสูจน์แก่ทั้งหมดนั้นว่าพระเจ้าทรงถูกต้อง  เมื่อเผชิญหน้ากับคำแนะนำจากภรรยาของเขา โยบไม่เพียงแต่ไม่ล้มเลิกความซื่อสัตย์ของเขาหรือประกาศตัดขาดกับพระเจ้า แต่เขายังได้กล่าวแก่ภรรยาของเขาด้วยว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  คำพูดเหล่านี้มีน้ำหนักยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่?  ในที่นี้ มีข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวที่สามารถพิสูจน์น้ำหนักของคำพูดเหล่านี้  น้ำหนักของคำพูดเหล่านี้ก็คือว่าพวกมันได้รับการพิสูจน์โดยพระเจ้าในพระทัยของพระองค์ พวกมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ พวกมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะสดับฟัง และพวกมันเป็นบทอวสานที่พระเจ้าทรงโหยหาที่จะเห็น คำพูดเหล่านี้ยังเป็นส่วนในสุดแห่งคำพยานของโยบด้วยเช่นกัน  ในการนี้ ได้พิสูจน์ถึงความเพียบพร้อม ความเที่ยงธรรม การยำเกรงพระเจ้า และการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบ  ความล้ำค่าของโยบตั้งอยู่ในการที่เขาถูกทดลองอย่างไรและเมื่อใด และแม้กระทั่งเมื่อทั้งร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยฝีร้าย เมื่อเขาได้ทนฝ่ากับความทรมานอย่างที่สุด และเมื่อภรรยาและญาติมิตรของเขาแนะนำเขา เขาก็ยังคงเปล่งถ้อยคำเช่นนั้นออกมา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในหัวใจของเขานั้นเขาเชื่อว่า ไม่สำคัญว่าการทดลองจะเป็นอย่างไร หรือไม่ว่าความทุกข์ลำบากและความทรมานจะสาหัสเท่าใด แม้ว่าความตายจะมาประสบกับเขา เขาก็จะไม่ประกาศตัดขาดกับพระเจ้าหรือปัดทิ้งหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะเห็นว่าพระเจ้าทรงยึดครองที่ที่สำคัญมากที่สุดในหัวใจของเขา และว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นในหัวใจของเขา  เป็นเพราะการนี้นั่นเองพวกเราจึงอ่านการพรรณนาถึงเขาในข้อพระคัมภีร์ว่า ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบไม่ได้ทำบาปด้วยริมฝีปากของตน  เขาไม่เพียงแค่ไม่ทำบาปด้วยริมฝีปากของเขาเท่านั้น แต่เขาไม่ได้ร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของเขา  เขาไม่ได้กล่าวคำพูดอันตรายเกี่ยวกับพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่ได้ทำบาปต่อพระเจ้า  ไม่เพียงแค่ปากของเขาสาธุการพระนามของพระเจ้าเท่านั้น แต่เขายังได้สาธุการพระนามของพระเจ้าในหัวใจของเขาด้วย ปากและหัวใจของเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน  นี่คือโยบที่แท้จริงที่พระเจ้าทอดพระเนตรเห็น และนี่คือเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของโยบ

การเข้าใจผิดมากมายของผู้คนเกี่ยวกับโยบ

ความยากลำบากที่โยบได้ทนทุกข์นั้นไม่ใช่งานของผู้สื่อสารที่พระเจ้าทรงส่งมา อีกทั้งไม่ใช่เกิดขึ้นโดยพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันเกิดขึ้นโดยซาตาน ศัตรูของพระเจ้า ด้วยตัวมันเอง  ดังนั้น ระดับความยากลำบากที่โยบได้ทนทุกข์จึงล้ำลึก  แต่ถึงกระนั้น ณ ชั่วขณะนี้โยบได้แสดงให้เห็นถึงความรู้ประจำวันของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของเขาหลักการแห่งการกระทำประจำวันของเขา และท่าทีของเขาต่อพระเจ้า โดยไม่สงวนไว้—นั่นคือความจริง  หากโยบไม่ถูกทดลอง หากพระเจ้าไม่ทรงนำการทดสอบมาสู่โยบ เมื่อโยบได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  เจ้าคงจะกล่าวว่าโยบเป็นคนหน้าซื่อใจคด พระเจ้าได้ประทานสินทรัพย์มากมายยิ่งนักให้กับเขา ดังนั้นเขาจึงสาธุการพระนามของพระยาห์เวห์อย่างแน่นอน  หากก่อนหน้าที่เขาจะถูกทดสอบ โยบได้กล่าวว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  เจ้าก็คงจะกล่าวว่าโยบกำลังพูดเกินจริง และว่าเขาคงจะไม่ละทิ้งพระนามของพระเจ้าเนื่องจากเขามักจะได้รับพรจากพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง  เจ้าคงจะพูดว่าหากพระเจ้าได้ทรงนำความวิบัติมาสู่เขา เช่นนั้นแล้วเขาก็คงจะได้ละทิ้งพระนามของพระเจ้าไปแล้วอย่างแน่นอน  แต่ทว่าเมื่อโยบพบว่าตัวเขาเองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีผู้ใดจะปรารถนาถึงหรือปรารถนาที่จะเห็น รูปการณ์แวดล้อมที่ไม่มีผู้ใดจะปรารถนาที่จะให้เกิดขึ้นกับพวกเขา ที่พวกเขากลัวว่าจะเกิดขึ้นกับพวกเขา รูปการณ์แวดล้อมที่แม้กระทั่งพระเจ้าก็ไม่ทรงสามารถทนเฝ้ามองได้ โยบยังคงสามารถยึดมั่นกับความซื่อสัตย์ของเขา “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  และ “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  เมื่อเผชิญหน้ากับความประพฤติของโยบ ณ เวลานี้ บรรดาผู้ที่รักการพูดคุยด้วยคำพูดเสียงสูงและผู้ที่รักการกล่าวคำพูดและคำสอนทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่พูดไม่ออก  บรรดาผู้ที่สดุดีพระนามของพระเจ้าในวาทะเท่านั้น แต่ทว่าไม่เคยยอมรับการทดสอบของพระเจ้า ถูกกล่าวโทษด้วยความซื่อสัตย์ที่โยบยึดมั่น และพวกที่ไม่เคยเชื่อว่ามนุษย์สามารถยึดมั่นกับหนทางแห่งพระเจ้าได้ก็จะได้รับการพิพากษาด้วยคำพยานของโยบ  เมื่อเผชิญหน้ากับการประพฤติของโยบในระหว่างการทดสอบเหล่านี้และคำพูดที่เขาได้กล่าวไป ผู้คนบางคนจะรู้สึกสับสน บางคนจะรู้สึกอิจฉา บางคนจะรู้สึกฉงน และบางคนจะถึงขั้นปรากฏว่าไม่สนใจ กลับเชิดจมูกของพวกเขาเข้าใส่คำพยานของโยบเพราะพวกเขาไม่เพียงแต่มองเห็นความทรมานที่ประสบกับโยบในระหว่างการทดสอบ และอ่านถึงคำพูดที่โยบได้พูดไปเท่านั้น แต่ยังมองเห็น “จุดอ่อน” ของมนุษย์ที่โยบแสดงให้เห็นเมื่อการทดสอบได้มาถึงตัวเขา  พวกเขาเชื่อว่า “จุดอ่อน” นี้เป็นความไม่เพียบพร้อมที่ควรจะเป็นในความเพียบพร้อมของโยบ เป็นความด่างพร้อยในมนุษย์ผู้ที่ดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า  กล่าวคือ เชื่อกันว่าบรรดาผู้ที่ดีพร้อมนั้นคือไม่มีตำหนิ ไม่มีมลทินหรือแปดเปื้อน ว่าพวกเขาไม่มีจุดอ่อน ไม่รู้จักความเจ็บปวด ว่าพวกเขาไม่เคยรู้สึกไม่มีความสุขหรือเศร้าสลด และไม่มีความเกลียดหรือพฤติกรรมสุดขีดทางภายนอกใดๆ  ผลก็คือ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าโยบมีความเพียบพร้อมอย่างแท้จริง  ผู้คนไม่เห็นชอบกับพฤติกรรมหลายอย่างของเขาในระหว่างการทดสอบของเขา  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อโยบได้สูญเสียทรัพย์สินและลูกๆ ของเขาไปแล้ว เขาไม่ได้หลั่งน้ำตาออกมาเหมือนที่ผู้คนจินตนาการ  “การขาดมารยาท” ของเขาทำให้ผู้คนคิดว่าเขาเย็นชา เพราะเขาไม่มีน้ำตาหรือความรักใคร่ต่อครอบครัวของเขา  นี่เป็นความประทับใจไม่ดีแรกเริ่มที่ผู้คนมีต่อโยบ  พวกเขาพบว่าพฤติกรรมของเขาหลังจากนั้นน่างวยงงมากยิ่งขึ้นไปอีก กล่าวคือ  ผู้คนได้ตีความคำว่า “ฉีกเสื้อคลุมของตน”  ว่าเป็นการที่เขาไม่เคารพพระเจ้า และเชื่ออย่างผิดๆ ว่า “โกนศีรษะ” หมายถึงการที่โยบหมิ่นประมาทและการต่อต้านพระเจ้า  นอกเหนือจากคำพูดของโยบที่ว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  แล้ว ผู้คนก็ไม่หยั่งรู้ถึงความชอบธรรมใดๆ ในตัวโยบที่พระเจ้าได้ทรงสรรเสริญเลย และด้วยเหตุนี้การประเมินโยบโดยพวกเขาส่วนใหญ่จำนวนมากจึงไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าการไม่จับใจความ การเข้าใจผิด ความสงสัย การกล่าวโทษ และการเห็นชอบทางทฤษฎีเท่านั้น  ไม่มีพวกเขาคนใดสามารถเข้าใจและซึ้งคุณค่าอย่างแท้จริงต่อพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าที่ว่า โยบคือคนดีงามและเที่ยงธรรม ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

บนพื้นฐานความประทับใจในตัวโยบของพวกเขาข้างต้น ผู้คนมีความสงสัยต่อไปเกี่ยวกับความชอบธรรมของเขา เพราะการกระทำต่างๆ ของโยบและการประพฤติของเขาที่บันทึกในข้อพระคัมภีร์ไม่ได้เร้าอารมณ์สะท้านโลกเหมือนอย่างผู้คนจะได้จินตนาการ  เขาไม่เพียงแค่ไม่ได้ดำเนินการความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ใดๆ เท่านั้น แต่เขายังเอาชิ้นหม้อแตกมาขูดตัวเขาเองขณะที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองขี้เถ้าอีกด้วย  การกระทำนี้ยังทำให้ผู้คนประหลาดใจและทำให้พวกเขาสงสัย—และถึงขั้นปฏิเสธ—ความชอบธรรมของโยบอีกด้วย เพราะในขณะที่ขูดตัวเองโยบก็ไม่ได้อธิษฐานหรือทำสัญญากับพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่เห็นว่าเขาจะร่ำไห้หลั่งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด  ณ เวลานั้น ผู้คนเพียงแต่มองเห็นความอ่อนแอของโยบและไม่มองเห็นสิ่งอื่นใด และด้วยเหตุนี้ แม้เมื่อพวกเขาได้ยินโยบกล่าวว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  พวกเขาก็ไม่รู้สึกสะเทือนใจโดยสิ้นเชิง หรือไม่ก็ลังเล และยังคงไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความชอบธรรมของโยบจากคำพูดของเขา  ความประทับใจเบื้องต้นที่โยบให้แก่ผู้คนในระหว่างการทรมานจากการทดสอบของเขาก็คือว่า เขาไม่ประจบประแจงและไม่โอหัง  ผู้คนไม่เห็นเรื่องราวเบื้องหลังพฤติกรรมของเขาที่แสดงออกอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเขา อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เห็นความยำเกรงพระเจ้าภายในหัวใจของเขาหรือการที่เขายึดมั่นต่อหลักการแห่งหนทางของการหลบเลี่ยงความชั่ว  ความใจเย็นของเขาทำให้ผู้คนคิดว่าความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาเป็นแค่คำพูดที่ว่างเปล่า ว่าความยำเกรงพระเจ้าของเขาเป็นแค่คำเล่าขาน ในขณะเดียวกัน “ความอ่อนแอ” ที่เขาได้เปิดเผยออกมาภายนอกได้ทิ้งความประทับใจที่ล้ำลึกไว้กับพวกเขา ให้พวกเขามี “มุมมองใหม่” และแม้กระทั่ง “ความเข้าใจใหม่” ต่อมนุษย์ผู้นี้ที่พระเจ้าทรงกำหนดนิยามว่าดีพร้อมและเที่ยงธรรม  “มุมมองใหม่” และ “ความเข้าใจใหม่” เช่นนั้นได้รับการพิสูจน์เมื่อโยบได้เปิดปากของเขาและสาปแช่งวันที่เขาเกิด

ถึงแม้ว่าระดับความทรมานที่เขาทนทุกข์จะไม่มีมนุษย์คนใดสามารถจินตนาการและจับความเข้าใจได้ แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวคำพูดใดที่นอกรีต แต่มีเพียงได้ลดความเจ็บปวดในร่างกายของเขาด้วยวิธีการของเขาเอง  ดังที่บันทึกไว้ในข้อพระคัมภีร์ เขาได้กล่าวว่า “ขอให้วันที่ข้าเกิดมานั้นพินาศ อีกทั้งคืนที่พูดว่า ‘ตั้งครรภ์เด็กชายคนหนึ่งแล้ว’ นั้นด้วย” (โยบ 3:3)  บางที อาจไม่มีผู้ใดเคยพิจารณาว่าคำพูดเหล่านี้สำคัญ และบางทีอาจจะมีผู้คนที่ให้ความสนใจกับคำพูดเหล่านี้  ในทรรศนะของพวกเจ้า คำพูดเหล่านี้หมายความว่าโยบต่อต้านพระเจ้าหรือไม่?  คำพูดเหล่านี้เป็นการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้าหรือไม่?  เรารู้ว่าพวกเจ้าหลายคนมีแนวคิดที่แน่นอนเกี่ยวกับคำพูดที่โยบได้พูดไปเหล่านี้ และเชื่อว่าหากโยบเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เขาไม่ควรจะได้แสดงให้เห็นจุดอ่อนหรือความเศร้าโศกใดๆ และควรจะได้เผชิญหน้ากับการโจมตีจากซาตานในเชิงบวกแทน และแม้กระทั่งยิ้มในขณะที่เผชิญหน้ากับการทดลองของซาตาน  เขาไม่ควรมีปฏิกิริยาแม้แต่น้อยต่อความทรมานใดๆ ที่ซาตานได้นำมาสู่เนื้อหนังของเขา อีกทั้งเขาไม่ควรจะได้เผยให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ภายในหัวใจของเขา  เขาควรจะถึงขั้นขอให้พระเจ้าทำการทดสอบเหล่านี้ให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก  นี่คือสิ่งที่ใครบางคนที่ไม่หวั่นไหวและที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริงควรจะแสดงออกหรือครอบครอง  ท่ามกลางความทรมานสุดขีดนี้ โยบได้ทำแค่สาปแช่งวันที่เขาเกิด  เขาไม่ได้ร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้า นับประสาอะไรที่เขาจะได้มีเจตนาใดๆ ในการต่อต้านพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พูดง่ายกว่าทำมาก เพราะนับตั้งแต่โบราณกาลจนกระทั่งถึงวันนี้ ยังไม่มีผู้ใดเคยได้รับประสบการณ์กับการทดลองเช่นนั้นหรือทนทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโยบ  ดังนั้น เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดเคยตกอยู่ใต้การทดลองประเภทเดียวกันกับโยบ?  มันเป็นเพราะดังที่พระเจ้าทรงเห็นนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถแบกรับหน้าที่รับผิดชอบหรือพระบัญชาเช่นนั้นได้ ไม่มีผู้ใดสามารถทำอย่างที่โยบทำได้ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีผู้ใดที่นอกเหนือจากสาปแช่งวันที่เขาเกิดแล้วนั้นก็ยังคงสามารถไม่ละทิ้งพระนามของพระเจ้าและสาธุการพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าต่อเนื่องได้ดังเช่นที่โยบทำเมื่อความทรมานเช่นนั้นประสบกับเขา  ผู้ใดบ้างที่สามารถทำเยี่ยงนี้ได้?  เมื่อพวกเรากล่าวเยี่ยงนี้เกี่ยวกับโยบ พวกเรากำลังชมเชยพฤติกรรมของเขาหรือไม่?  เขาเป็นคนชอบธรรม และสามารถเป็นคำพยานเช่นนั้นต่อพระเจ้าได้ และสามารถทำให้ซาตานหนีไปโดยเอามือปิดหน้า จนมันไม่มีวันมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อกล่าวหาเขาอีก—ดังนั้นการชมเชยเขาจะผิดอย่างไร?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเจ้ามีมาตรฐานสูงกว่าพระเจ้า?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าจะกระทำได้ดีกว่าโยบเมื่อการทดสอบมาเกิดกับพวกเจ้า?  โยบได้รับการยกย่องจากพระเจ้า—พวกเจ้าสามารถมีข้อขัดข้องใดได้หรือ?

โยบสาปแช่งวันที่เขาเกิดเพราะเขาไม่ต้องการให้พระเจ้าทรงเจ็บปวดเพราะเขา

เราพูดบ่อยครั้งว่าพระเจ้าทรงมองภายในหัวใจของผู้คน ในขณะที่ผู้คนมองที่ภายนอกของผู้คน  เนื่องจากพระเจ้าทอดพระเนตรภายในหัวใจของผู้คน พระองค์จึงเข้าพระทัยเนื้อแท้ของพวกเขา ในขณะที่ผู้คนกำหนดนิยามเนื้อแท้ของผู้คนอื่นๆ บนพื้นฐานภายนอกของพวกเขา  เมื่อโยบเปิดปากของเขาและสาปแช่งวันที่เขาเกิด การกระทำนี้ได้ทำให้บุคคลสำคัญฝ่ายวิญญาณทั้งหมดประหลาดใจ รวมทั้งเพื่อนสามคนของโยบ  มนุษย์มาจากพระเจ้า และควรจะขอบคุณสำหรับชีวิตและเนื้อหนัง ตลอดจนวันที่เขาเกิด ซึ่งพระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา และเขาไม่ควรสาปแช่งสิ่งเหล่านั้น  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนธรรมดาสามารถเข้าใจและคิดฝันได้  สำหรับใครก็ตามที่ติดตามพระเจ้า การเข้าใจนี้ศักดิ์สิทธิ์และไม่อาจฝ่าฝืนได้ และมันเป็นความจริงที่ไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้  ในทางกลับกันนั้น โยบได้แหกกฎเหล่านี้ กล่าวคือ เขาได้สาปแช่งวันที่เขาเกิด  นี่คือการกระทำที่ผู้คนธรรมดาพิจารณาว่าเป็นการข้ามไปสู่ดินแดนต้องห้าม  โยบไม่เพียงแค่ไม่ได้รับความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจของผู้คนเท่านั้น เขายังไม่มีสิทธิได้รับการอภัยโทษของพระเจ้าด้วย  ในขณะเดียวกัน ผู้คนมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำที่กลายมาสงสัยต่อความชอบธรรมของโยบ เพราะดูเหมือนว่าความโปรดปรานที่พระเจ้าทรงมีต่อโยบนั้นได้ทำให้โยบเป็นคนเห็นแก่ตัว มันทำให้เขาเหิมเกริมและไม่ยั้งคิดจนกระทั่งเขาไม่เพียงไม่ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงอวยพรเขาและใส่พระทัยเขาในระหว่างชั่วชีวิตของเขาเท่านั้น แต่เขายังประณามสาปแช่งวันที่เขาเกิดให้พบกับความย่อยยับ  นี่คืออะไร หากว่าไม่ใช่การต่อต้านพระเจ้า?  ความฉาบฉวยเช่นนั้นจัดเตรียมหลักฐานให้ผู้คนกล่าวโทษการกระทำนี้ของโยบ แต่ผู้ใดเล่าสามารถรู้สิ่งที่โยบกำลังคิดอย่างแท้จริง ณ เวลานั้นได้?  ผู้ใดเล่าสามารถรู้เหตุผลว่าทำไมโยบจึงได้กระทำในลักษณะนั้น?  มีเพียงพระเจ้าและตัวโยบเองเท่านั้นที่รู้เรื่องราวภายในและเหตุผลทั้งหลายในที่นี้

เมื่อซาตานได้ยื่นมือของมันออกไปเพื่อทำความเจ็บปวดให้กระดูกของโยบ โยบก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของมัน โดยไม่มีวิธีที่จะหนีรอดหรือเรี่ยวแรงที่จะต้านทาน  ร่างกายและวิญญาณของเขาทนทุกข์กับความเจ็บปวดแสนสาหัส และความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งถึงความไม่สำคัญ ความอ่อนแอ และความไร้พลังอำนาจของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง  ในเวลาเดียวกันนั้น เขายังได้รับความซึ้งคุณค่าและความเข้าใจที่ล้ำลึกว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงมีพระทัยที่ห่วงใยและดูแลมวลมนุษย์อีกด้วย  ในเงื้อมมือของซาตาน โยบได้ตระหนักว่ามนุษย์ที่มีเลือดเนื้อนั้นแท้ที่จริงแล้วช่างไร้พลังอำนาจและอ่อนแอยิ่งนัก  เมื่อเขาคุกเข่าลงและอธิษฐานต่อพระเจ้า เขารู้สึกราวกับว่าพระเจ้ากำลังปิดบังพระพักตร์ของพระองค์และกำลังทรงซ่อนเร้น เพราะพระเจ้าได้ทรงวางเขาไว้ในมือของซาตานโดยสิ้นเชิง  ในเวลาเดียวกันนั้น พระเจ้าก็ทรงกรรแสงเพราะเขา และยิ่งไปกว่านั้น  ทรงโทมนัสเพราะเขา พระเจ้าทรงปวดร้าวด้วยความปวดร้าวของเขา และทรงเจ็บด้วยความเจ็บของเขา… โยบรู้สึกถึงความเจ็บปวดของพระเจ้า รวมทั้งมันไม่อาจทนได้เพียงใดสำหรับพระเจ้า… โยบไม่ต้องการที่จะนำความเศร้าโศกมาให้พระเจ้ามากขึ้นไปอีก และเขาไม่ต้องการให้พระเจ้าทรงกรรแสงเพราะเขา นับประสาอะไรที่เขาจะต้องการเห็นพระเจ้าทรงเจ็บปวดเพราะเขา  ณ ชั่วขณะนั้น โยบเพียงต้องการที่จะพรากตัวเขาเองไปจากเนื้อหนังของเขา ที่จะไม่ทนฝ่าความเจ็บปวดที่เนื้อหนังนี้นำมาให้เขาอีกต่อไป เพราะนี่คงจะหยุดพระเจ้าจากการทรงทรมานด้วยความเจ็บปวดของเขา—ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถทำได้ และเขาต้องทนยอมรับไม่เพียงแค่ความเจ็บปวดของเนื้อหนังเท่านั้น แต่เป็นความทรมานของการที่ไม่ปรารถนาจะทำให้พระเจ้ากังวลพระทัยด้วย  ความเจ็บปวดสองอย่างนี้—หนึ่งจากเนื้อหนัง และหนึ่งจากจิตวิญญาณ—ได้นำความเจ็บปวดจากหัวใจและบีบเค้นข้างในมาสู่โยบ และทำให้เขารู้สึกว่าขีดจำกัดของมนุษย์ผู้ซึ่งมีเลือดเนื้อสามารถทำให้คนเรารู้สึกผิดหวังและหมดหนทางเพียงใด  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ ความโหยหาพระเจ้าของเขาเริ่มแรงกล้าขึ้น และความเกลียดชังซาตานของเขาก็ได้กลายมาเป็นหนักแน่นยิ่งขึ้น  ในเวลานั้น โยบคงจะเลือกที่จะไม่เกิดมาในโลกมนุษย์มากกว่า ยอมให้ตนเองไม่มีอยู่มากกว่าที่จะยอมเห็นพระเจ้าหลั่งน้ำพระเนตรหรือรู้สึกเจ็บปวดเพื่อเขา  เขาเริ่มเกลียดชังเนื้อหนังของตนเป็นอย่างยิ่ง รังเกียจตนเอง รังเกียจวันที่ตนเกิดมา และถึงกับรังเกียจทุกสิ่งที่เชื่อมโยงกับเขา  เขาไม่ปรารถนาให้มีการกล่าวถึงวันที่เขาเกิดหรือสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวกับมันอีก และดังนั้นเขาจึงได้เปิดปากของเขาและสาปแช่งวันที่เขาเกิดว่า “ขอให้วันที่ข้าเกิดมานั้นพินาศ อีกทั้งคืนที่พูดว่า ‘ตั้งครรภ์เด็กชายคนหนึ่งแล้ว’ นั้นด้วย ขอให้วันนั้นเป็นความมืด ขอพระเจ้าจากเบื้องบนอย่าเอาพระทัยใส่วันนั้น หรืออย่าให้แสงสว่างส่องในวันนั้น” (โยบ 3:3-4)  คำพูดของโยบมีความเกลียดชังตัวเองของเขา “ขอให้วันที่ข้าเกิดมานั้นพินาศ อีกทั้งคืนที่พูดว่า ‘ตั้งครรภ์เด็กชายคนหนึ่งแล้ว’ นั้นด้วย”  รวมทั้งคำตำหนิที่เขารู้สึกต่อตัวเขาเองและสำนึกรับรู้ของเขาเกี่ยวกับการเป็นหนี้ที่ได้ทำให้เกิดความเจ็บปวดแก่พระเจ้า “ขอให้วันนั้นเป็นความมืด ขอพระเจ้าจากเบื้องบนอย่าเอาพระทัยใส่วันนั้น หรืออย่าให้แสงสว่างส่องในวันนั้น”  สองบทตอนนี้คือคำกล่าวที่สำคัญที่สุดว่าโยบรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น และแสดงให้ทุกคนเห็นความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาอย่างเต็มที่  ในเวลาเดียวกันนั้น ความเชื่อและการนบนอบพระเจ้าของเขา ตลอดจนความยำเกรงพระเจ้าของเขาก็ได้รับการยกระดับขึ้นอย่างแท้จริง เหมือนที่โยบตั้งความปรารถนาเอาไว้ไม่มีผิด  แน่นอนว่าการยกระดับนี้คือผลที่พระเจ้าได้ทรงคาดหวังเอาไว้โดยแท้

โยบเอาชนะซาตานและกลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริงในสายพระเนตรของพระเจ้า

เมื่อโยบประสบกับบททดสอบของเขาครั้งแรก เขาได้ถูกเพิกถอนทรัพย์สินของเขาทั้งหมดและลูกๆ ของเขาทั้งหมดไป แต่เขาไม่ได้ล้มลงหรือกล่าวสิ่งใดที่ล่วงเกินพระเจ้าอันเป็นผลที่ตามมา  เขาได้ชนะการทดลองของซาตาน และได้ชนะสินทรัพย์ทางวัตถุของเขา ลูกหลานของเขา และบททดสอบแห่งการสูญเสียสิ่งภายนอกของเขาทั้งหมด กล่าวคือ เขาสามารถนบนอบการที่พระเจ้าทรงเอาคืนไป และเขายังสามารถที่จะถวายการขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าเนื่องจากสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำได้อีกด้วย  เช่นนั้นคือพฤติกรรมของโยบในระหว่างการทดลองครั้งแรกของซาตาน และเช่นนั้นคือคำพยานของโยบในระหว่างบททดสอบครั้งแรกของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ในบททดสอบครั้งที่สอง ซาตานได้ยื่นมือของมันออกไปเพื่อทำความเจ็บปวดให้กับโยบ และถึงแม้ว่าโยบจะได้รับประสบการณ์กับความเจ็บปวดใหญ่หลวงกว่าที่เขาได้เคยรู้สึกมาก่อน แต่คำพยานของเขาก็ยังคงเพียงพอที่จะทิ้งให้ผู้คนประหลาดใจ  เขาได้ใช้ความเข้มแข็ง ความเชื่อ การนบนอบพระเจ้า ตลอดจนความยำเกรงที่เขามีต่อพระเจ้ามาทำให้ซาตานพ่ายแพ้อีกครั้ง และพฤติกรรมของเขาและคำพยานของเขาได้รับความเห็นชอบและการยอมรับจากพระเจ้าอีกครั้ง  ในระหว่างการทดลองนี้ โยบได้ใช้พฤติกรรมที่แท้จริงของเขาเพื่อประกาศแก่ซาตานว่าความเจ็บปวดของเนื้อหนังไม่อาจเปลี่ยนความเชื่อและการนบนอบพระเจ้าของเขาได้ หรือเอาความผูกพันที่เขามีต่อพระเจ้าและหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าไปจากเขาได้ เขาจะไม่ละทิ้งพระเจ้าหรือทิ้งความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของตนเพราะเผชิญหน้าความตาย  ความมุ่งมั่นอย่างไม่สั่นคลอนของโยบทำให้ซาตานขลาดกลัว ความเชื่อของเขาทำให้ซาตานขยาดและหวาดกลัว  การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างเขากับซาตานนั้นหนักหน่วงเสียจนก่อความเกลียดแค้นในใจมันอย่างลึกล้ำ ความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาทำให้ซาตานไม่เหลือสิ่งใดที่จะทำกับเขาได้มากไปกว่านั้น และด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงเลิกโจมตีเขา และล้มเลิกข้อกล่าวหาที่มันมีต่อโยบที่มันได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้า  นี่หมายความว่าโยบได้ชนะโลกแล้ว เขาได้ชนะเนื้อหนังแล้ว เขาได้ชนะซาตานแล้ว และเขาได้ชนะความตายแล้ว  เขาเป็นมนุษย์ที่เป็นของพระเจ้าโดยครบบริบูรณ์และโดยสิ้นเชิง  ในช่วงระหว่างการทดสอบทั้งสองครั้งนี้ โยบได้ตั้งมั่นในคำพยานของเขา ได้ใช้ชีวิตด้วยความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาอย่างแท้จริง และได้ขยายวงเขตแห่งหลักการดำรงชีวิตของเขาในด้านความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  เมื่อได้ก้าวผ่านการทดสอบสองครั้งเหล่านี้แล้ว ประสบการณ์ที่มั่งคั่งยิ่งกว่าก็ได้เกิดขึ้นในตัวโยบ และประสบการณ์นี้ได้ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่และช่ำชองมากยิ่งขึ้น มันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และมีความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และมันทำให้เขามั่นใจมากยิ่งขึ้นในความชอบธรรมและความมีคุณค่าของความซื่อสัตย์ที่เขาได้ยึดมั่น  การที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทดสอบโยบได้มอบความเข้าใจและสำนึกรับรู้ที่ลึกซึ้งแก่เขาเกี่ยวกับความห่วงใยมนุษย์ของพระเจ้า และเปิดโอกาสให้เขาได้สำนึกรับรู้ถึงความมีค่าของความรักจากพระเจ้า ซึ่งจากจุดนี้การคิดคำนึงและความรักที่มีต่อพระเจ้าได้ถูกเพิ่มเข้าไปในความยำเกรงพระเจ้าของเขา  การทดสอบของพระยาห์เวห์พระเจ้าไม่เพียงแค่ไม่ได้แปลกแยกโยบออกจากพระองค์ แต่ยังได้นำพาหัวใจเขาให้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น  เมื่อความเจ็บปวดทางเนื้อหนังที่โยบทนฝ่าได้ไปถึงจุดสูงสุดของมัน ความห่วงใยที่เขาได้รู้สึกจากพระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทำให้เขาไม่มีทางเลือกใดนอกจากต้องสาปแช่งวันที่เขาเกิด  การประพฤติเช่นนั้นไม่ได้เกิดจากการวางแผนระยะยาว แต่เป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงการคิดคำนึงและความรักต่อพระเจ้าจากภายในหัวใจของเขา เป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติที่มาจากความรักและการที่เขาคำนึงถึงพระเจ้า  กล่าวคือ เนื่องจากเขาเกลียดชังตัวเขาเอง และเขาไม่เต็มใจและทนไม่ได้ที่จะทรมานพระเจ้า ด้วยเหตุนี้การคิดคำนึงและความรักของเขาจึงได้มาถึงจุดที่ไม่คำนึงถึงตนเอง  ณ เวลานี้ โยบได้ยกระดับการรักใคร่บูชาที่ยืนหยัดมายาวนานและการโหยหาพระเจ้าและการอุทิศตนเพื่อพระเจ้าของเขาให้กลายเป็นการคำนึงถึงพระองค์และการรัก  ในเวลาเดียวกัน เขายังได้ยกระดับความเชื่อ การนบนอบพระเจ้า และการยำเกรงพระเจ้าของเขาให้เป็นการรักและคำนึงถึงพระเจ้าเช่นกัน  เขาไม่ยอมให้ตัวเขาเองทำสิ่งใดที่อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายกับพระเจ้า เขาไม่อนุญาตให้ตัวเองมีการประพฤติใดๆ ที่จะทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวด และไม่ยอมให้ตัวเขาเองนำความโทมนัส ความคับข้องพระทัย หรือแม้กระทั่งความไม่มีสุขมาสู่พระเจ้าเพราะเหตุผลของเขาเอง  ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น  ถึงแม้ว่าโยบจะยังคงเป็นโยบคนเดิมเหมือนเมื่อก่อน แต่ความเชื่อ การนบนอบ และความยำเกรงพระเจ้าของโยบนั้นได้นำพาความพึงพอพระทัยและความชื่นชมยินดีอันครบบริบูรณ์มาให้พระเจ้า  ในเวลานั้น โยบได้บรรลุถึงความเพียบพร้อมที่พระเจ้าได้ทรงคาดหวังให้เขาบรรลุแล้ว เขาได้กลายเป็นใครบางคนที่มีค่าคู่ควรอย่างแท้จริงแก่การเรียกว่า “ดีพร้อมและเที่ยงธรรม” ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว  ความประพฤติที่ชอบธรรมของเขาเปิดโอกาสให้เขาชนะซาตานและตั้งมั่นในคำพยานของเขาต่อพระเจ้า  ความประพฤติอันชอบธรรมของเขาเองก็ทำให้เขาเพียบพร้อม และอำนวยให้คุณค่าแห่งชีวิตของเขายกระดับขึ้นไปอยู่เหนือโลก และความประพฤติที่ชอบธรรมเหล่านั้นยังได้ทำให้เขาเป็นบุคคลแรกที่ไม่ถูกซาตานโจมตีและทดลองอีกต่อไป  เนื่องจากโยบนั้นชอบธรรม เขาจึงถูกซาตานกล่าวหาและทดลอง และเนื่องจากโยบนั้นชอบธรรม เขาจึงถูกส่งมอบให้แก่ซาตาน และเนื่องจากโยบนั้นชอบธรรม เขาจึงชนะซาตานและทำให้ซาตานพ่ายแพ้ และตั้งมั่นในคำพยานของเขา  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โยบได้กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่จะไม่มีวันถูกส่งมอบให้แก่ซาตานอีก เขาได้มาอยู่หน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง และดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง ภายใต้พรของพระเจ้าโดยไม่มีการสอดแนมหรือการเบียดเบียนของซาตาน… เขาได้กลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริงในสายพระเนตรของพระเจ้า และได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว…

เกี่ยวกับโยบ

เมื่อได้เรียนรู้ว่าโยบได้ก้าวผ่านการทดสอบอย่างไรแล้ว พวกเจ้าส่วนใหญ่น่าจะต้องการรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวโยบเองให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับความลับในการที่เขาได้รับการยกย่องจากพระเจ้า  ดังนั้นวันนี้ พวกเรามาสนทนาเกี่ยวกับโยบกันเถิด!

ในชีวิตประจำวันของโยบพวกเรามองเห็นความเพียบพร้อม ความเที่ยงธรรม ความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วของเขา

หากพวกเราจะสนทนากันถึงโยบ เช่นนั้นแล้วพวกเราต้องเริ่มด้วยการประเมินเขาที่ถูกดำรัสมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า นั่นคือ “ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย”

พวกเรามาเรียนรู้เกี่ยวกับความดีพร้อมและความเที่ยงธรรมของโยบกันก่อนเถิด

ความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับคำว่า “ดีพร้อม” และ “เที่ยงธรรม” คือสิ่งใด?  พวกเจ้าเชื่อว่าโยบไม่มีที่ติ ว่าเขามีเกียรติใช่หรือไม่?  แน่นอนว่านี่คงจะเป็นการตีความตามตัวอักษรและการเข้าใจคำว่า “ดีพร้อม” และ “เที่ยงธรรม”  แต่บริบทแห่งชีวิตจริงเป็นส่วนสำคัญต่อการเข้าใจโยบที่แท้จริง—คำพูด หนังสือ และทฤษฎีอย่างเดียวจะไม่ให้คำตอบใด  พวกเราจะเริ่มด้วยการดูที่ชีวิตในบ้านของโยบ ว่าการประพฤติปกติของเขาเป็นอย่างไรในช่วงระหว่างชีวิตของเขา  นี่จะบอกให้พวกเรารู้เกี่ยวกับหลักการและวัตถุประสงค์ในชีวิตของเขา ตลอดจนเกี่ยวกับบุคลิกภาพและการไล่ตามเสาะหาของเขา  ตอนนี้ พวกเรามาอ่านพระวจนะสุดท้ายของโยบ 1:3 กันเถิด ความว่า “ดังนั้นชายผู้นี้จึงมั่งคั่งที่สุดในบรรดาชาวตะวันออก” สิ่งที่พระวจนะเหล่านี้กำลังกล่าวถึงก็คือว่า สถานะและตำแหน่งของโยบนั้นสูงส่งมาก และถึงแม้ว่าจะไม่มีการบอกให้พวกเรารู้ว่าเหตุผลที่ทำไมเขาจึงมั่งคั่งมากที่สุดในบรรดาชาวตะวันออกเป็นเพราะสินทรัพย์อันอุดมสมบูรณ์ของเขา หรือเพราะเขาเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม และยำเกรงพระเจ้าในขณะที่หลบเลี่ยงความชั่วก็ตาม แต่โดยรวมแล้วพวกเรารู้ว่าสถานะและตำแหน่งของโยบมีค่ามาก  ดังที่มีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์นั้น ความประทับใจแรกที่ผู้คนมีต่อโยบก็คือว่าโยบเป็นคนดีพร้อม ว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และว่าเขามีทรัพย์สมบัติที่มั่งคั่งและสถานะที่น่าเคารพนับถือ  สำหรับการที่บุคคลธรรมคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นและภายใต้ภาวะทั้งหลายดังกล่าว อาหารของโยบ คุณภาพชีวิต และแง่มุมต่างๆ ในชีวิตส่วนตัวของเขาคงจะเป็นจุดมุ่งความสนใจของผู้คนส่วนมาก ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องอ่านข้อพระคัมภีร์ต่อไป ความว่า “บุตรของท่านเคยจัดงานเลี้ยงในบ้านของแต่ละคนตามวันกำหนดของตน พวกเขาจะเชิญน้องสาวทั้งสามคนมารับประทานและดื่มกับพวกเขาด้วย และเมื่องานเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวตามจำนวนของเขาทั้งหมด เพราะโยบกล่าวว่า ‘บางทีลูกๆ ของข้าได้ทำบาปและแช่งพระเจ้าในใจ’ โยบทำอย่างนี้เรื่อยมา” (โยบ 1:4-5)  บทตอนนี้บอกให้พวกเรารู้สองสิ่ง นั่นคือ  สิ่งแรกคือบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของโยบจัดงานเลี้ยงเป็นประจำ มีการรับประทานและการดื่มมากมาย สิ่งที่สองคือโยบได้ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวบ่อยครั้ง เพราะเขามักเป็นห่วงบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขา โดยเกรงว่าพวกเขาจะทำบาป ว่าหัวใจของพวกเขาจะได้ประกาศตัดขาดกับพระเจ้าไปแล้ว  ในเรื่องนี้ได้พรรณนาถึงชีวิตของผู้คนสองชนิดที่แตกต่างกัน  ชนิดแรก บุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของโยบ ที่มักจะจัดงานเลี้ยงเนื่องจากความมั่งคั่งของพวกเขา ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ดื่มและรับประทานอาหารจนจุใจพวกเขา และสุขสำราญกับคุณภาพชีวิตชั้นสูงที่ทรัพย์สมบัติทางวัตถุได้นำพามาให้  ด้วยการดำรงชีวิตเช่นนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่พวกเขาคงจะทำบาปและก้าวล่วงพระเจ้าบ่อยครั้ง—แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ชำระตัวพวกเขาให้บริสุทธิ์หรือถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะเห็นว่าพระเจ้าไม่ทรงมีที่ในหัวใจของพวกเขา ว่าพวกเขาไม่ได้คิดใคร่ครวญถึงพระคุณของพระเจ้าเลย อีกทั้งไม่ยำเกรงว่าจะล่วงเกินพระเจ้า นับประสาอะไรที่พวกเขาจะยำเกรงการประกาศตัดขาดกับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา  แน่นอนว่าจุดมุ่งเน้นของเราไม่ใช่อยู่ที่ลูกๆ ของโยบ แต่อยู่ที่สิ่งที่โยบได้ทำเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ เช่นนั้น นี่คืออีกเรื่องหนึ่งที่ได้พรรณนาไว้ในบทตอนนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของโยบและแก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขา  ในที่ซึ่งพระคัมภีร์พรรณนาถึงงานเลี้ยงของบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของโยบ ไม่มีการกล่าวถึงโยบ ในนั้นกล่าวแต่เพียงว่าบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขามักจะรับประทานและดื่มด้วยกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาไม่ได้จัดงานเลี้ยง อีกทั้งเขาไม่ได้ร่วมกับบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาในการรับประทานอย่างฟุ่มเฟือย  ถึงแม้จะมั่งคั่งและมีสินทรัพย์และผู้รับใช้มากมาย แต่ชีวิตของโยบก็ไม่ใช่ชีวิตที่หรูหรา  ความมั่งคั่งของเขาไม่ได้ทำให้เขาหลงระเริงในสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตที่เหนือกว่าของเขา หรือทำให้ตัวเองมูมมามกับความชื่นชมยินดีของเนื้อหนังหรือลืมที่จะถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว นับประสาอะไรที่มันจะเป็นสาเหตุให้เขาค่อยๆ หลบเลี่ยงพระเจ้าในหัวใจของเขา  เช่นนั้นแล้ว จึงเห็นเด่นชัดว่าโยบได้รับการบ่มวินัยในวิถีชีวิตของเขา ไม่โลภหรือสุรุ่ยสุร่ายอันเป็นผลจากพรที่พระเจ้าทรงให้แก่เขา และเขาไม่ได้ยึดติดกับคุณภาพของชีวิต  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาเป็นคนถ่อมใจและถ่อมตัว เขาไม่ได้รับมอบมาเพื่อการโอ้อวด และเขาระมัดระวังและเอาใจใส่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เขามักจะคิดใคร่ครวญถึงพระคุณและพรของพระเจ้าบ่อยๆ และเก็บงำหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าไว้อย่างต่อเนื่อง  ในชีวิตประจำวันของเขานั้น โยบมักจะลุกขึ้นแต่เช้าเพื่อถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวสำหรับบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ โยบไม่เพียงแต่ยำเกรงพระเจ้าด้วยตัวเขาเองเท่านั้น แต่เขายังหวังด้วยว่าลูกๆ ของเขาก็คงจะยำเกรงพระเจ้าในทำนองเดียวกันและไม่ทำบาปต่อพระเจ้า ทรัพย์สมบัติทางวัตถุของโยบไม่มีที่ภายในหัวใจของเขา อีกทั้งมันไม่ได้แทนที่ตำแหน่งที่พระเจ้าทรงครอง การกระทำประจำวันของโยบล้วนเชื่อมโยงกับความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว ไม่ว่าเพื่อประโยชน์ของเขาเองหรือเพื่อลูกๆ ของเขา  ความยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่ปากของเขา แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เขานำมาสู่การกระทำและได้สะท้อนอยู่ในทุกๆ ส่วนในชีวิตประจำวันของเขา  การประพฤติจริงนี้ของโยบแสดงให้พวกเราเห็นว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ และมีแก่นแท้ที่รักความยุติธรรมและสิ่งทั้งหลายที่เป็นเชิงบวก  การที่โยบมักจะได้ส่งและได้ชำระบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาให้บริสุทธิ์นั้นหมายความว่าเขาไม่ได้อนุญาตหรือเห็นชอบกับพฤติกรรมของลูกๆ ของเขา ในทางกลับกัน ในหัวใจของเขานั้น เขารู้สึกรังเกียจพฤติกรรมของลูกๆ และกล่าวโทษพวกลูกๆ  เขาได้สรุปว่าพฤติกรรมของบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขานั้นไม่เป็นที่พอพระทัยของพระยาห์เวห์พระเจ้า และดังนั้นเขาจึงมักเรียกให้พวกลูกๆ มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าและสารภาพบาปของพวกเขาบ่อยๆ  การกระทำของโยบแสดงให้พวกเราเห็นสภาวะความเป็นมนุษย์อีกด้านหนึ่งของเขา ด้านที่เขาไม่มีวันเดินไปกับพวกที่มักทำบาปและล่วงเกินพระเจ้าบ่อยครั้ง แต่กลับหลบเลี่ยงและหลีกเลี่ยงพวกเขาแทน  ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะเป็นบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ละทิ้งหลักการแห่งการประพฤติของเขาเองเพราะพวกนั้นเป็นลูกหลานของเขาเอง อีกทั้งเขาไม่ได้ดื่มด่ำกับบาปของพวกลูกๆ เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเขาเอง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากระตุ้นให้พวกลูกๆ สารภาพและได้รับความอดกลั้นของพระยาห์เวห์พระเจ้า และเขาได้เตือนพวกลูกๆ ไม่ให้ละทิ้งพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ความสุขสำราญอันละโมบของพวกเขาเอง  หลักการแห่งวิธีที่โยบปฏิบัติต่อผู้อื่นนั้นไม่อาจแยกกันได้จากหลักการแห่งความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วของเขา  เขารักสิ่งที่พระเจ้าทรงยอมรับ และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงขยะแขยง เขารักบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา และเกลียดชังบรรดาผู้ที่กระทำชั่วหรือทำบาปต่อพระเจ้า  ความรักและความเกลียดชังเช่นนั้นถูกแสดงให้เห็นในชีวิตประจำวันของเขา และเป็นความเที่ยงธรรมยิ่งของโยบที่สายพระเนตรของพระเจ้ามองเห็น  โดยธรรมชาติแล้วนั้น นี่ยังเป็นการแสดงออกและการดำรงชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของโยบในความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราต้องเรียนรู้

การสำแดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบในช่วงระหว่างการทดสอบของเขา (การทำความเข้าใจความดีพร้อม ความเที่ยงธรรม ความยำเกรงพระเจ้า และการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบในช่วงระหว่างการทดสอบของเขา)

สิ่งที่พวกเราได้แบ่งปันข้างต้นคือแง่มุมต่างๆ ของสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบที่แสดงออกมาในชีวิตประจำวันของเขาก่อนที่จะเขาจะทนฝ่าการทดลอง  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การสำแดงออกเหล่านี้จัดเตรียมความคุ้นเคยแรกเริ่มและการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการที่โยบมีความเที่ยงธรรม ความยำเกรงพระเจ้า และการหลบเลี่ยงความชั่ว และจัดเตรียมการยืนยันแรกเริ่มโดยธรรมชาติ  เหตุผลที่เรากล่าวว่า “แรกเริ่ม” ก็เพราะผู้คนส่วนใหญ่ยังคงไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับบุคลิกภาพของโยบและขีดขั้นที่เขาใช้ไล่ตามเสาะหาหนทางที่จะนบนอบและยำเกรงพระเจ้า  กล่าวคือ ความเข้าใจของผู้คนส่วนใหญ่เกี่ยวกับโยบไม่ได้ขยายลึกยิ่งไปกว่าบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความประทับใจที่น่าพอใจเกี่ยวกับเขาตามที่สองบทตอนในพระคัมภีร์ซึ่งบันทึกคำพูดของเขาได้ว่าไว้  “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  และ “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพวกเราที่จะเข้าใจว่าโยบดำรงชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาอย่างไรในขณะที่เขาได้รับการทดสอบของพระเจ้า ในหนทางนี้ สภาวะความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของโยบจะแสดงให้ทุกคนเห็นโดยความครบถ้วนบริบูรณ์ของมัน

เมื่อโยบได้ยินว่าทรัพย์สินของเขาได้ถูกขโมยไป ว่าบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาได้เสียชีวิตไป และว่าผู้รับใช้ของเขาได้ถูกสังหารไปแล้ว เขามีปฏิกิริยาดังนี้ “แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ” (โยบ 1:20)  พระวจนะเหล่านี้บอกให้เรารู้ข้อเท็จจริงหนึ่ง นั่นคือ  หลังจากได้ยินข่าวนี้แล้ว โยบไม่ได้ตื่นตระหนก เขาไม่ได้ร้องไห้หรือตำหนิผู้รับใช้ทั้งหลายที่ได้บอกข่าวนี้กับเขา นับประสาอะไรที่เขาจะได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อเจาะลึกและยืนยันความถูกต้องของรายละเอียดและหาว่าที่จริงแล้วได้เกิดอะไรขึ้น  เขาไม่ได้แสดงความเจ็บปวดหรือความเสียใจใดๆ ที่สูญเสียสิ่งครอบครองของเขา อีกทั้งเขาไม่ได้หลั่งน้ำตาเนื่องจากสูญเสียลูกๆ ของเขาและบรรดาผู้เป็นที่รักของเขา  ในทางตรงกันข้าม เขาได้ฉีกเสื้อคลุมของเขา และโกนศีรษะ กราบลงถึงดินและนมัสการ  การกระทำของโยบไม่เหมือนกับการกระทำของมนุษย์ธรรมดาคนใด  การกระทำเหล่านั้นทำให้ผู้คนมากมายสับสน และทำให้พวกเขาตำหนิโยบในหัวใจของพวกเขาสำหรับ “ความเลือดเย็น” ของเขา  การที่จู่ๆ ก็สูญเสียสิ่งครอบครองทั้งหลายของตนไป ผู้คนปกติคงจะปรากฏว่าใจสลายหรือหมดอาลัยตายอยาก—หรือในกรณีของผู้คนบางคน พวกเขาอาจถึงขั้นตกอยู่ในความซึมเศร้าที่ลึกซึ้ง  นี่เป็นเพราะว่าในหัวใจของผู้คนนั้น ทรัพย์สินของพวกเขาเป็นตัวแทนของความพยายามชั่วชีวิตของพวกเขา—มันคือสิ่งที่ความอยู่รอดของพวกเขาพึ่งพาอยู่ มันเป็นความหวังที่ทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่  การสูญเสียทรัพย์สินของพวกเขาไปหมายถึงความพยายามของพวกเขาได้สูญเปล่า ว่าพวกเขาอยู่โดยไม่มีความหวัง และแม้กระทั่งว่าพวกเขาไม่มีอนาคต  นี่คือท่าทีของบุคคลปกติทุกคนที่มีต่อทรัพย์สินของพวกเขาและเป็นสัมพันธภาพอันใกล้ชิดที่พวกเขามีกับมัน และนี่ยังเป็นความสำคัญของทรัพย์สินในสายตาของผู้คนอีกด้วย  เช่นนั้นเอง ผู้คนส่วนใหญ่จำนวนมากจึงรู้สึกสับสนกับท่าทีที่ไม่แยแสของโยบที่มีต่อความสูญเสียทรัพย์สินของเขา  วันนี้ พวกเรากำลังจะขจัดความสับสนที่ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดรู้สึกโดยการอธิบายถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในหัวใจของโยบ

สามัญสำนึกบอกบทว่า เมื่อได้รับมอบสินทรัพย์อันอุดมสมบูรณ์เช่นนั้นจากพระเจ้าแล้ว โยบควรจะที่รู้สึกละอายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเนื่องจากการสูญเสียสินทรัพย์เหล่านั้น เพราะเขาไม่ได้ดูแล หรือเอาใจใส่สิ่งเหล่านั้น เขาไม่ได้ยึดติดกับสินทรัพย์ที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา  ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาได้ยินว่าทรัพย์สินของเขาได้ถูกขโมยไป ปฏิกิริยาแรกของเขาควรจะเป็นการไปยังที่เกิดเหตุและตรวจสอบสิ่งของที่คงเหลือจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้สูญหายไป แล้วจากนั้นก็ควรจะสารภาพต่อพระเจ้าเพื่อที่เขาอาจจะได้รับพรจากพระเจ้าอีกครั้ง  อย่างไรก็ตาม โยบไม่ได้ทำการนี้ และเขามีเหตุผลของเขาเองโดยธรรมชาติสำหรับการไม่ทำเช่นนั้น  ในหัวใจของเขา โยบเชื่ออย่างล้ำลึกว่าทั้งหมดที่เขาครอบครองนั้นได้ถูกพระเจ้าประทานมาให้แก่เขา และไม่ใช่ผลผลิตจากการลงแรงของเขาเอง  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่มองว่าพรเหล่านี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เป็นต้นทุน แต่กลับผูกติดหลักการแห่งความอยู่รอดเขาไว้ในการยึดมั่นกับหนทางที่ควรจะยกชูด้วยพละกำลังทั้งหมดของเขาแทน  เขาเชิดชูพรของพระเจ้าและขอบคุณสำหรับสิ่งเหล่านั้น แต่เขาไม่ได้ติดใจกับพร อีกทั้งเขาไม่ได้แสวงหาสิ่งเหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้น  เช่นนั้นเองคือท่าทีของเขาที่มีต่อทรัพย์สิน  เขาไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์ของการได้มาซึ่งพร อีกทั้งไม่ได้กังวลหรือเป็นทุกข์ด้วยการขาดหรือสูญเสียพรต่างๆ ของพระเจ้า เขาไม่ได้กลายเป็นมีความสุขอย่างลำพองและพร่ำเพ้อเนื่องจากพรของพระเจ้า อีกทั้งไม่ได้เพิกเฉยต่อทางแห่งพระเจ้าหรือลืมพระคุณของพระเจ้าเนื่องจากพรต่างๆ ที่เขาได้ชื่นชมอยู่เป็นนิตย์  ท่าทีของโยบที่มีต่อทรัพย์สินของเขาเปิดเผยให้ผู้คนเห็นสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของเขา กล่าวคือ  ประการแรก โยบไม่ใช่คนโลภ และไม่ต้องการมากมายในชีวิตทางวัตถุของเขา  ประการที่สอง โยบไม่เคยเป็นห่วงหรือเกรงว่าพระเจ้าจะเอาทั้งหมดที่เขามีไป ซึ่งเป็นท่าทีของการนบนอบพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเขา กล่าวคือ เขาไม่มีข้อเรียกร้องหรือการพร่ำบ่นเรื่องที่พระเจ้าจะทรงเอาไปจากเขาเมื่อไร หรือจะเอาไปหรือไม่ และไม่ได้ถามเหตุผลว่าทำไม เพียงแต่พยายามที่จะนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเท่านั้น  ประการที่สาม เขาไม่เคยเชื่อว่าสินทรัพย์ของเขานั้นมาจากการลงแรงของเขาเอง แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา  นี่คือความเชื่อในพระเจ้าของโยบ และคือเครื่องบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของเขา  สภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบและการไล่ตามเสาะหาประจำวันที่แท้จริงของเขาได้เป็นที่ชัดเจนในข้อสรุปสามประเด็นเกี่ยวกับเขานี้หรือไม่?  สภาวะความเป็นมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาของโยบเป็นส่วนสำคัญในการประพฤติที่ดีเยี่ยมของเขาเมื่อเผชิญหน้ากับความสูญเสียในทรัพย์สินของเขา  มันเป็นเพราะการไล่ตามเสาะหาประจำวันของเขาอย่างแน่นอนที่โยบได้มีวุฒิภาวะและความเชื่อมั่นที่จะกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” ในช่วงระหว่างการทดสอบของพระเจ้า  คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่ได้มาชั่วข้ามคืน อีกทั้งไม่ใช่ถ้อยคำที่โยบกล่าวลอยๆ ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ  คำพูดเหล่านี้คือสิ่งที่เขาได้เห็นและเรียนรู้ในช่วงเวลาหลายปีแห่งการได้รับประสบการณ์กับชีวิต  เมื่อเปรียบเทียบกับคนทั้งปวงที่เพียงแค่แสวงหาพรจากพระเจ้า เกรงว่าพระเจ้าจะทรงเอาไปจากพวกเขา ทุกคนที่เกลียดและพร่ำบ่นเรื่องนี้แล้ว การนบนอบของโยบย่อมจริงแท้มากมิใช่หรือ?  เมื่อเปรียบเทียบกับทุกคนที่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่กลับไม่เคยเชื่อว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งแล้วนั้น โยบมีความซื่อสัตย์และความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่หรือ?

ความมีเหตุผลของโยบ

ประสบการณ์จริงของโยบและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เที่ยงธรรมและซื่อสัตย์หมายความว่าเขาได้ทำการตัดสินและเลือกอย่างมีเหตุผลมากที่สุดเมื่อเขาได้สูญเสียสินทรัพย์และลูกๆ ของเขาไป  ทางเลือกที่มีเหตุผลเช่นนั้นไม่อาจแยกกันได้จากการไล่ตามเสาะหาประจำวันของเขาและกิจการทั้งหลายของพระเจ้าที่เขาได้มารู้จักในช่วงระหว่างชีวิตแต่ละวันของเขา  ความซื่อสัตย์ของโยบทำให้เขาสามารถเชื่อได้ว่าพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง การเชื่อของเขาเปิดโอกาสให้เขารู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระยาห์เวห์พระเจ้า ความรู้ของเขาทำให้เขาเต็มใจและสามารถที่จะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระยาห์เวห์พระเจ้า การนบนอบของเขาทำให้เขาสามารถยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าได้อย่างจริงใจมากขึ้นเรื่อยๆ ความยำเกรงของเขาทำให้เขาเป็นจริงในการหลบเลี่ยงความชั่วของเขามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในท้ายที่สุดโยบก็ได้กลายเป็นดีพร้อมเพราะเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ความดีพร้อมของเขาได้ทำให้เขามีปัญญา และได้ให้ความมีเหตุผลสูงสุดแก่เขา

พวกเราควรเข้าใจคำว่า “มีเหตุผล” นี้อย่างไร?  การตีความตามตัวอักษรก็คือมันหมายถึงการมีสำนึกรับรู้ที่ดี การมีตรรกะและสามัญสำนึกในความคิดของคนเรา การมีวาทะ การกระทำ และการตัดสินที่ถูกต้อง และการครอบครองมาตรฐานทางศีลธรรมที่ดีงามและเป็นปกติ  กระนั้น ความมีเหตุผลของโยบก็ไม่ใช่จะอธิบายได้อย่างง่ายดาย  เมื่อมีการกล่าวในที่นี้ว่าโยบครอบครองความมีเหตุผลสูงสุด การนี้กล่าวในความเชื่อมโยงกับสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาและการประพฤติของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เพราะโยบเป็นคนซื่อสัตย์ เขาจึงสามารถนบนอบและเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า ซึ่งได้มอบความรู้อย่างหนึ่งที่คนอื่นๆ ไม่สามารถหามาได้ให้แก่เขา และความรู้นี้ได้ทำให้เขาสามารถวินิจฉัย ตัดสิน และกำหนดนิยามสิ่งที่ได้ประสบแก่เขาได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้เขาสามารถเลือกสิ่งที่จะทำและสิ่งที่จะยึดมั่นได้อย่างถูกต้องแม่นยำและอย่างเฉียบแหลมมากยิ่งขึ้น  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คำพูด พฤติกรรมของเขา หลักการเบื้องหลังการกระทำของเขา และจรรยาบรรณในการที่เขาได้กระทำนั้นเป็นปกติ ชัดเจน และเฉพาะเจาะจง และไม่ได้มืดบอด หุนหันพลันแล่น หรือตามอารมณ์  เขารู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรกับสิ่งใดก็ตามที่ประสบกับเขา เขารู้ว่าจะจัดสมดุลและรับมืออย่างไรกับสัมพันธภาพระหว่างเหตุการณ์ที่ซับซ้อน เขารู้วิธีที่จะยึดมั่นกับหนทางที่ควรจะยึดมั่น และยิ่งไปกว่านั้น เขารู้วิธีที่จะปฏิบัติกับการประทานและการทรงเอาไปของพระยาห์เวห์พระเจ้า  นี่คือความมีเหตุผลอย่างยิ่งของโยบ  มันเป็นเพราะโยบมีพร้อมด้วยความมีเหตุผลเช่นนั้นอย่างแน่นอนที่เขาได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  เมื่อเขาได้สูญเสียสินทรัพย์ของเขาและบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขา

เมื่อโยบได้เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดทางร่างกายที่แสนสาหัส และกับการท้วงติงของญาติพี่น้องและมิตรสหายทั้งหลายของเขา และเมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับความตาย การประพฤติจริงของเขาก็ได้แสดงโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาแก่ผู้คนทั้งปวงอีกครั้ง

โฉมหน้าจริงของโยบ: ซื่อตรง บริสุทธิ์ และปราศจากความเท็จ

พวกเรามาอ่านโยบ 2:7-8 กันเถิด ความว่า “ซาตานจึงออกไปจากเบื้องพระพักตร์พระยาห์เวห์ และทำให้โยบเป็นฝีร้าย ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อม และท่านก็เอาชิ้นหม้อแตกมาขูดตัว และนั่งอยู่ในกองขี้เถ้า”  นี่คือการพรรณนาถึงการประพฤติของโยบเมื่อฝีร้ายได้ผุดขึ้นบนร่างกายของเขา  ในเวลานี้ โยบนั่งอยู่ในกองขี้เถ้าขณะที่เขาทนฝ่าความเจ็บปวด  ไม่มีผู้ใดดูแลรักษาเขา และไม่มีผู้ใดช่วยเขาให้บรรเทาความเจ็บปวดของร่างกายเขา ในทางกลับกัน เขาได้ใช้ชิ้นหม้อแตกมาขูดผิวของฝีร้ายนั้น  ดูเผินๆ แล้วนั้น นี่เป็นแค่ช่วงระยะหนึ่งในความทรมานของโยบ และไม่มีความสัมพันธ์ใดกับสภาวะความเป็นมนุษย์และความยำเกรงพระเจ้าของเขา เพราะโยบไม่ได้กล่าวคำพูดใดเพื่อแสดงออกถึงอารมณ์และทรรศนะของเขาในเวลานั้น  กระนั้น การกระทำของโยบและการประพฤติของเขายังคงเป็นการแสดงออกที่แท้จริงของสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขา  ในบันทึกจากตอนก่อนหน้านี้พวกเราได้อ่านว่าโยบเป็นคนที่มั่งคั่งที่สุดในบรรดาชาวตะวันออก  ในขณะเดียวกัน บทตอนนี้จากตอนที่สองแสดงให้เราเห็นว่าชายที่มั่งคั่งจากตะวันออกผู้นี้แท้ที่จริงแล้วได้เอาชิ้นหม้อแตกมาขูดตัวในขณะที่นั่งอยู่ในกองขี้เถ้า  มีความขัดแย้งกันอย่างชัดเจนระหว่างการพรรณนาสองข้อนี้ไม่ใช่หรือ?  มันคือความขัดแย้งที่แสดงให้พวกเราเห็นตัวตนที่แท้จริงของโยบ นั่นคือ ถึงแม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งและสถานะที่มีเกียรติ เขาไม่เคยได้รักหรือให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้เลย เขาไม่ได้ใส่ใจว่าคนอื่นๆ มองตำแหน่งของเขาอย่างไร อีกทั้งเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับว่าการกระทำหรือการประพฤติของเขาจะมีผลกระทบเชิงลบกับตำแหน่งของเขาหรือไม่ เขาไม่ได้ดื่มด่ำกับประโยชน์แห่งตำแหน่ง อีกทั้งเขาไม่ได้ชื่นชมสง่าราศีที่มากับตำแหน่งและสถานะ  เขาเพียงแต่ใส่ใจกับคุณค่าของเขาและนัยสำคัญแห่งการดำรงชีวิตของเขาในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าเท่านั้น  ตัวตนที่แท้จริงของโยบคือเนื้อแท้จริงๆ ของเขา นั่นคือ  เขาไม่ได้รักชื่อเสียงและโชควาสนา และไม่ได้ดำรงชีวิตเพื่อชื่อเสียงและโชควาสนา เขาซื่อตรง และบริสุทธิ์ และปราศจากความเท็จ

การแยกความรักและความเกลียดชังของโยบ

อีกด้านหนึ่งของสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบถูกแสดงอยู่ในการโต้ตอบระหว่างเขากับภรรยาของเขานี้ ความว่า “แล้วภรรยาท่านกล่าวกับท่านว่า ‘เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ?  จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ’ แต่ท่านตอบนางว่า ‘เธอพูดอย่างหญิงโง่เขลาจะพึงพูด เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?’” (โยบ 2:9-10)  เมื่อได้เห็นความทรมานที่เขากำลังทนทุกข์อยู่นั้น ภรรยาของโยบพยายามให้คำแนะนำแก่โยบเพื่อช่วยเขาให้รอดพ้นจากความทรมาน แต่ทว่า “เจตนาดี” ของนางไม่ได้รับความเห็นชอบจากโยบ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจตนาเหล่านั้นยังได้กระตุ้นความโกรธของเขา เพราะนางได้ปฏิเสธความเชื่อและการนบนอบที่เขามีต่อพระยาห์เวห์พระเจ้า และยังได้ปฏิเสธการมีอยู่ของพระยาห์เวห์พระเจ้าอีกด้วย  นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจทนยอมรับได้สำหรับโยบ เพราะเขาไม่เคยยอมให้ตัวเองทำสิ่งใดที่ต่อต้านหรือเป็นอันตรายต่อพระเจ้า ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ  เขาสามารถไม่แยแสอยู่ได้อย่างไรเมื่อเขามองเห็นคนอื่นๆ กล่าวคำพูดที่หมิ่นประมาทและดูแคลนพระเจ้า?  ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เรียกภรรยาของเขาว่า “หญิงโง่เขลา”  ท่าทีของโยบที่มีต่อภรรยาของเขาเป็นท่าทีของความโกรธและเกลียดชัง ตลอดจนการตำหนิและการติเตียน  นี่คือการแสดงออกที่เป็นธรรมชาติจากสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบ—โดยแยกแยะความแตกต่างระหว่างความรักและความเกลียดชัง—และมันเป็นตัวแทนที่แท้จริงของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เที่ยงธรรมของเขา  โยบครอบครองสำนึกแห่งความยุติธรรม—เป็นสำนึกที่ทำให้เขาเกลียดชังทิศทางและกระแสของความชั่ว และเกลียด ประณาม และปฏิเสธความนอกรีตที่ไร้สาระ การโต้แย้งที่ไร้สาระน่าขัน และการยืนยันที่น่าหัวเราะ และเปิดโอกาสให้เขามีความซื่อตรงต่อหลักการและท่าทีที่ถูกต้องของตัวเขาเองเมื่อเขาถูกฝูงชนปฏิเสธและถูกบรรดาผู้ที่ใกล้ชิดกับเขาทอดทิ้งไป

ความใจดีและความจริงใจของโยบ

ในเมื่อพวกเราสามารถมองเห็นการแสดงออกของแง่มุมต่างๆ แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบจากการประพฤติของเขา พวกเรามองเห็นสิ่งใดจากสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบเมื่อเขาได้เปิดปากของเขาเพื่อสาปแช่งวันที่เขาเกิด?  นี่คือหัวข้อที่พวกเราจะแบ่งปันกันด้านล่างนี้

ข้างต้นนั้น เราได้พูดถึงที่มาของการที่โยบสาปแช่งวันที่เขาเกิดไปแล้ว  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในการนี้?  หากโยบเป็นคนใจแข็งและปราศจากความรัก หากเขาเป็นคนเย็นชาและไร้อารมณ์และสูญสิ้นสภาวะความเป็นมนุษย์ เขาจะสามารถแสดงให้เห็นการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้หรือ?  เขาจะสามารถชิงชังรังเกียจวันที่ตัวเขาเองเกิดเพราะเขาเอาใจใส่พระทัยของพระเจ้าได้หรือ?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากโยบเป็นคนใจแข็งและสูญสิ้นสภาวะความเป็นมนุษย์ เขาจะสามารถทุกข์ใจด้วยความเจ็บปวดของพระเจ้าได้หรือ?  เขาจะสามารถได้สาปแช่งวันที่เขาเกิดเพราะพระเจ้าทรงโทมนัสเพราะเขาได้หรือ?  คำตอบคือ ไม่ได้อย่างแน่นอน!  เพราะเขาใจดี โยบจึงได้เอาใจใส่พระทัยของพระเจ้า เพราะเขาเอาใจใส่พระทัยของพระเจ้า โยบจึงสำนึกรับรู้ความเจ็บปวดของพระเจ้า เพราะเขาใจดี เขาจึงทนทุกข์กับความทรมานที่ใหญ่หลวงยิ่งขึ้นอันเป็นผลมาจากการสำนึกรับรู้ถึงความเจ็บปวดของพระเจ้า เพราะเขาสำนึกรับรู้ถึงความเจ็บปวดของพระเจ้า เขาจึงได้เริ่มเกลียดชังวันที่เขาเกิด และด้วยเหตุนี้จึงได้สาปแช่งวันที่เขาเกิด  สำหรับคนนอกแล้ว การประพฤติทั้งหมดทั้งมวลของโยบในช่วงระหว่างการทดสอบของเขานั้นน่าเป็นแบบอย่าง  มีเพียงการสาปแช่งวันที่เขาเกิดเท่านั้นที่ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามเหนือความดีพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขา หรือเป็นนัยบ่งบอกถึงการประเมินที่แตกต่างออกไป  ในความเป็นจริง นี่เป็นการแสดงออกที่แท้จริงที่สุดถึงแก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบ  แก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาไม่ได้ถูกปกปิดหรือห่อหุ้มไว้ หรือได้ถูกปรุงแต่งโดยคนอื่นบางคน  เมื่อเขาได้สาปแช่งวันที่เขาเกิด เขาได้แสดงให้เห็นความใจดีและความจริงใจส่วนลึกภายในหัวใจของเขา เขาเป็นเหมือนน้ำพุที่น้ำนั้นใสมากและโปร่งใสจนเผยให้เห็นก้นบึ้งของมัน

เมื่อได้เรียนรู้ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับโยบแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้คนส่วนใหญ่จะมีการประเมินแก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อเท็จจริงพอสมควร  พวกเขาควรมีการเข้าใจและความซึ้งคุณค่าที่ล้ำลึก สัมพันธ์กับชีวิตจริง และก้าวหน้ายิ่งขึ้นเกี่ยวกับความดีพร้อมและความเที่ยงธรรมของโยบตามที่พระเจ้าได้ตรัสถึง  หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเข้าใจและความซึ้งคุณค่านี้จะช่วยให้ผู้คนเริ่มดำเนินการกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว

สัมพันธภาพระหว่างการที่พระเจ้าทรงมอบหมายโยบให้ซาตานและจุดมุ่งหมายแห่งพระราชกิจของพระเจ้า

ถึงแม้ว่าตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่จะตระหนักว่าโยบนั้นดีงามและเที่ยงธรรม ว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว แต่การตระหนักนี้ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากขึ้น  ในเวลาเดียวกันกับที่อิจฉาสภาวะความเป็นมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาของโยบ พวกเขาก็ถามคำถามต่อไปนี้กับพระเจ้าว่า โยบนั้นดีงามและเที่ยงธรรมยิ่งนัก ผู้คนรักใคร่บูชาเขามากเหลือเกิน แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงส่งมอบเขาให้แก่ซาตานและให้เขาตกอยู่ในความทรมานมากมายนัก?  คำถามต่างๆ เช่นนั้นต้องมีอยู่ในหัวใจของผู้คนมากมายอย่างแน่นอน—หรือน่าจะเป็นว่า ความสงสัยนี้ก็คือคำถามในหัวใจของผู้คนจำนวนมาก  ในเมื่อมันได้สร้างความสับสนให้ผู้คนมากมายเหลือเกิน พวกเราต้องเปิดคำถามนี้และอธิบายมันอย่างถูกต้องเหมาะสม

ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำมีความจำเป็นและมีความสำคัญเหนือธรรมดา เพราะทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในตัวมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์และความรอดของมวลมนุษย์  โดยธรรมชาติแล้ว พระราชกิจที่พระเจ้าทำในตัวโยบก็ไม่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าโยบจะเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงตรงในสายพระเนตรของพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดหรือพระองค์ทรงทำสิ่งนั้นด้วยวิธีการใด ไม่ว่าในราคาใด ไม่ว่าวัตถุประสงค์ของพระองค์คืออะไร จุดประสงค์แห่งการกระทำของพระองค์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง  จุดประสงค์ของพระองค์คือการสอดแทรกพระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในตัวมนุษย์ รวมทั้งข้อพึงประสงค์และเจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เพื่อทำให้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงเชื่อว่าสอดคล้องในเชิงบวกกับขั้นตอนต่างๆ ของพระองค์แทรกซึมเข้าไปในตัวมนุษย์ ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าและจับใจความเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้าได้ ทั้งยังเปิดโอกาสให้มนุษย์นบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์บรรลุความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว—ทั้งหมดนี้คือแง่มุมหนึ่งของจุดประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือว่า เนื่องจากซาตานคือวัตถุปรนนิบัติที่เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นในพระราชกิจของพระเจ้า มนุษย์จึงมักจะถูกส่งมอบให้แก่ซาตาน นี่คือวิถีทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มองเห็นความชั่วร้าย ความน่าเกลียด และความน่าเหยียดหยามของซาตานในการทดลองและการโจมตีของซาตาน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้ผู้คนเกลียดชังซาตานและสามารถรู้จักและระลึกรู้สิ่งที่เป็นลบ  กระบวนการนี้เปิดโอกาสให้พวกเขาค่อยๆ ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการควบคุมและการกล่าวหา การก่อกวน และการโจมตีของซาตาน—จนกระทั่งพวกเขามีชัยชนะเหนือการโจมตีและการกล่าวหาของซาตาน ด้วยพระวจนะของพระเจ้า ความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า การนบนอบพระเจ้า ความเชื่อในพระเจ้า และความยำเกรงที่พวกเขามีต่อพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับการช่วยให้พ้นจากอำนาจของซาตานโดยครบบริบูรณ์  การช่วยผู้คนให้รอดพ้นหมายความว่าซาตานได้พ่ายแพ้แล้ว หมายความว่าพวกเขาไม่ใช่อาหารในปากของซาตานอีกต่อไป—แทนที่จะกลืนพวกเขา ซาตานก็ได้ปล่อยพวกเขาไป  นี่เป็นเพราะผู้คนเช่นนั้นเป็นคนเที่ยงธรรม เพราะพวกเขามีความเชื่อ มีการนบนอบ และมีความยำเกรงพระเจ้า และเพราะพวกเขาแตกหักกับซาตานโดยสิ้นเชิง  พวกเขานำความอับอายมาให้ซาตาน พวกเขาทำให้ซาตานขลาดกลัว และพวกเขาทำให้ซาตานปราชัยอย่างเด็ดขาด  ความเชื่อมั่นในการติดตามพระเจ้า การนบนอบและความยำเกรงที่พวกเขามีต่อพระเจ้าทำให้ซาตานปราชัย และทำให้ซาตานยอมปล่อยมือจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง  มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงรับไว้อย่างแท้จริง และนี่เองคือวัตถุประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอด  หากพวกเขาปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอด และปรารถนาที่จะให้พระเจ้าทรงรับไว้โดยบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้ว ผู้ที่ติดตามพระเจ้าทั้งหมดต้องเผชิญหน้ากับการทดลองและการโจมตีทั้งใหญ่และเล็กจากซาตาน  บรรดาผู้ที่รอดพ้นจากการทดลองและการโจมตีเหล่านี้และสามารถทำให้ซาตานปราชัยได้อย่างหมดรูปคือบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงช่วยให้รอด  นี่หมายความว่าบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดคือผู้ที่ก้าวผ่านบททดสอบของพระเจ้า และเป็นผู้ที่ถูกซาตานทดลองและโจมตีมานับครั้งไม่ถ้วน  บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดนั้นเข้าใจเจตนารมณ์และข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และสามารถนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกเขาไม่ละทิ้งหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเมื่ออยู่ท่ามกลางการทดลองของซาตาน  บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดนั้นครองความซื่อสัตย์ พวกเขาใจดี พวกเขาจำแนกความแตกต่างระหว่างความรักและความเกลียด พวกเขามีสำนึกของความยุติธรรมและมีเหตุผล และพวกเขาสามารถที่จะเอาใจใส่พระเจ้าและทะนุถนอมความล้ำค่าของทั้งหมดที่เป็นของพระเจ้า  ผู้คนเช่นนั้นไม่ถูกซาตานพันธนาการ สอดแนม กล่าวหา หรือทารุณ พวกเขาเป็นอิสระโดยบริบูรณ์ พวกเขามีเสรีภาพและได้รับการปลดปล่อยโดยสมบูรณ์  โยบก็เป็นมนุษย์ที่มีอิสรภาพเช่นนั้น และแน่นอนว่านี่คือความสำคัญของการที่พระเจ้าทรงส่งมอบเขาให้แก่ซาตาน

โยบถูกซาตานทารุณ แต่เขาก็ได้รับอิสรภาพและเสรีภาพอันเป็นนิรันดร์ด้วยเช่นกัน และเขาได้รับสิทธิ์ที่จะไม่มีวันตกอยู่ภายใต้ความเสื่อมทราม การทารุณ และการกล่าวหาของซาตานอีก แต่กลับจะได้ดำรงชีวิตอยู่ในความสว่างแห่งโฉมพระพักตร์ของพระเจ้าที่อิสระและไร้ภาระผูกพันแทน และดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางพรที่พระเจ้าประทานให้เขา  ไม่มีผู้ใดสามารถพราก หรือทำลาย หรือยึด หรือเอาสิทธิ์นี้ไป  เป็นสิทธิ์ที่ประทานแก่โยบสำหรับความเชื่อ ความมุ่งมั่น การนบนอบและความยำเกรงที่เขามีต่อพระเจ้า โยบได้จ่ายราคาด้วยชีวิตของเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งความชื่นบานและความสุขบนแผ่นดินโลกและเพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องและสิทธิ์ที่จะนมัสการพระผู้สร้างในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก โดยไม่มีการแทรกแซง ซึ่งเป็นสิทธิ์ตามธรรมชาติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้  และนั่นยังเป็นผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมที่สุดจากการทดลองที่โยบได้ทนฝ่าอีกด้วย

เมื่อผู้คนยังไม่ได้รับการช่วยให้รอด บ่อยครั้งที่ชีวิตของพวกเขาถูกรบกวน และถึงขนาดถูกควบคุมโดยซาตาน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนที่ยังไม่ได้รับการช่วยให้รอดนั้นเป็นนักโทษของซาตาน พวกเขาไม่มีเสรีภาพ พวกเขายังไม่ถูกซาตานปล่อยตัว พวกเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอหรือมีสิทธิ์ที่จะนมัสการพระเจ้า และพวกเขาถูกซาตานไล่ตามอย่างกระชั้นชิดและเล่นงานอย่างโหดร้าย  ผู้คนเหล่านั้นไม่มีความสุขให้พูดถึง พวกเขาไม่มีสิทธิ์ในการดำรงอยู่อย่างเป็นปกติให้พูดถึง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีศักดิ์ศรีให้พูดถึง  หากเจ้าลุกขึ้นสู้รบกับซาตาน โดยใช้ความเชื่อในพระเจ้า การนบนอบ และการยำเกรงพระเจ้าของเจ้าเป็นอาวุธต่อสู้กับซาตานอย่างเอาเป็นเอาตาย จนกระทั่งเจ้าทำให้ซาตานพ่ายแพ้อย่างราบคาบและทำให้มันหันหลังวิ่งหนีและขี้ขลาดทุกครั้งที่มองเห็นเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นมันจึงจะละทิ้งการโจมตีและการกล่าวหาเจ้าโดยสิ้นเชิง และเมื่อถึงจุดนั้น เจ้าจึงจะได้รับการช่วยให้รอดและเป็นอิสระ  หากเจ้าเพียงมุ่งมั่นที่จะตัดขาดจากซาตานอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่พร้อมด้วยอาวุธที่มีประสิทธิภาพในการเอาชนะซาตาน เช่นนั้นเจ้าจะยังคงอยู่ในอันตราย  เมื่อเวลาผ่านไป หากเจ้าถูกซาตานทรมานอย่างหนักจนไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือในตัวเจ้าแม้แต่น้อย แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถเป็นคำพยานได้ ยังไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากการกล่าวหาและการโจมตีของซาตานที่มีต่อเจ้าโดยสมบูรณ์ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะมีความหวังน้อยนิดในความรอด  สุดท้ายแล้ว นั่นก็คือ เมื่อมีการประกาศถึงการสิ้นสุดพระราชกิจของพระเจ้า หากเจ้ายังคงอยู่ในกำมือของซาตาน ไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ เมื่อนั้นเจ้าจะไม่มีทางมีโอกาสหรือความหวังเลย  นั่นหมายความว่า ผู้คนเหล่านั้นจะตกเป็นเชลยของซาตานโดยสมบูรณ์

จงยอมรับการทดสอบของพระเจ้า จงเอาชนะการทดลองของซาตาน และจงยอมให้พระเจ้าได้รับการเป็นอยู่ทั้งหมดของเจ้า

ในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งการจัดเตรียมและการสนับสนุนอันยืนยงที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ พระองค์ตรัสบอกมนุษย์เกี่ยวกับเจตนารมณ์และข้อพึงประสงค์ทั้งปวงของพระองค์ และทรงแสดงกิจการต่างๆ และพระอุปนิสัยของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นให้มนุษย์เห็น  วัตถุประสงค์ก็คือเพื่อให้มนุษย์มีวุฒิภาวะ และเพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้รับความจริงต่างๆ จากพระเจ้าในขณะที่ติดตามพระองค์—ความจริงซึ่งเป็นอาวุธที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ใช้ต่อสู้กับซาตาน  เมื่อมีพร้อมดังนั้นแล้ว มนุษย์ต้องเผชิญกับบททดสอบของพระเจ้า  พระเจ้าทรงมีวิธีการและลู่ทางมากมายที่จะทดสอบมนุษย์ แต่พวกเขาทุกคนพึงต้องได้รับ “ความร่วมมือ” จากศัตรูของพระเจ้า ซึ่งก็คือ ซาตาน  นี่หมายความว่าเมื่อมนุษย์ได้รับมอบอาวุธที่จะใช้สู้รบกับซาตานแล้ว พระเจ้าก็ทรงส่งมอบมนุษย์ให้แก่ซาตานและทรงอนุญาตให้ซาตาน “ทดสอบ” วุฒิภาวะของมนุษย์  หากมนุษย์สามารถฝ่ากระบวนรบของซาตานออกมาได้ หากเขาสามารถหนีรอดจากวงล้อมของซาตานและยังคงมีชีวิตอยู่ได้ เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ย่อมจะผ่านการทดสอบ  แต่หากมนุษย์ล้มเหลวในการฝ่าออกจากกระบวนรบของซาตาน และกลับยอมจำนนต่อซาตาน เช่นนั้นแล้ว เขาย่อมจะไม่ผ่านการทดสอบ  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงตรวจดูแง่มุมใดของมนุษย์ก็ตาม เกณฑ์การตรวจสอบของพระองค์คือการดูว่ามนุษย์ตั้งมั่นในคำพยานของเขาเมื่อถูกซาตานโจมตีหรือไม่ และเขาละทิ้งพระเจ้า ยอมแพ้และยอมจำนนต่อซาตานยามที่ติดอยู่ในบ่วงของซาตานหรือไม่  อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์จะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเขาสามารถเอาชนะและทำให้ซาตานปราชัยได้หรือไม่ และการที่เขาจะสามารถได้รับอิสรภาพหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาสามารถหยิบอาวุธที่พระเจ้าประทานแก่เขาขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง เพื่อเอาชนะพันธนาการของซาตาน ทำให้ซาตานละทิ้งความหวังอย่างสิ้นเชิงและปล่อยเขาไปได้หรือไม่  หากซาตานละทิ้งความหวังและปล่อยใครบางคนไป นี่ย่อมหมายความว่าซาตานจะไม่มีวันพยายามเอาตัวบุคคลผู้นี้ไปจากพระเจ้าอีก จะไม่มีวันกล่าวหาและรบกวนบุคคลผู้นี้อีก จะไม่มีวันทรมานหรือโจมตีพวกเขาตามใจชอบอีก มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงรับไว้อย่างแท้จริง  นี่คือกระบวนการทั้งหมดทั้งมวลที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อรับผู้คนมา

คำตักเตือนและความรู้แจ้งที่คำพยานของโยบได้จัดเตรียมไว้ให้ชนรุ่นหลัง

ในเวลาเดียวกันกับการทำความเข้าใจกระบวนการที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อให้ได้รับใครบางคนมาโดยบริบูรณ์นั้น ผู้คนจะยังเข้าใจจุดมุ่งหมายและนัยสำคัญแห่งการที่พระเจ้าทรงมอบหมายโยบให้แก่ซาตานด้วยเช่นกัน  ผู้คนจะไม่ถูกรบกวนจิตใจด้วยความทรมานของโยบอีกต่อไป และมีความซึ้งคุณค่าใหม่เกี่ยวกับนัยสำคัญของการนี้  พวกเขาไม่กังวลอีกต่อไปว่าตนเองจะตกอยู่ภายใต้การทดลองแบบเดียวกันกับโยบหรือไม่ และไม่ต่อต้านหรือปฏิเสธการทดสอบของพระเจ้าที่จะมาถึงอีกต่อไป  ความเชื่อและการนบนอบของโยบ และคำพยานของเขาเรื่องการเอาชนะซาตานได้ช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้ผู้คนอย่างมากมาย  พวกเขามองเห็นความหวังที่ตนจะได้รับความรอดในตัวโยบ และมองเห็นว่าด้วยความเชื่อ การนบนอบ และการยำเกรงพระเจ้า ก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ซาตานพ่ายแพ้และเอาชนะซาตานอย่างสิ้นเชิง  พวกเขามองเห็นว่าตราบใดที่พวกเขานบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และตราบใดที่พวกเขามีความตั้งใจแน่วแน่และความเชื่อที่จะไม่ละทิ้งพระเจ้าหลังจากที่ได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป ตราบนั้นพวกเขาก็สามารถนำความอับอายและความพ่ายแพ้มาให้แก่ซาตานได้ และพวกเขามองเห็นว่าพวกเขาจำเป็นเพียงแค่ต้องมีความตั้งใจแน่วแน่และความเพียรพยายามที่จะตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาเท่านั้น—แม้ว่ามันจะหมายถึงการสูญเสียชีวิตของพวกเขาไป—เพื่อทำให้ซาตานขลาดกลัวและตีให้ถอยร่นอย่างรวดเร็ว  คำพยานของโยบเป็นคำเตือนแก่ชนรุ่นหลัง และคำเตือนนี้บอกพวกเขาว่าหากพวกเขาไม่ทำให้ซาตานพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีวันสามารถทำให้ตัวเองพ้นการกล่าวหาและการก่อกวนของซาตานได้ อีกทั้งพวกเขาจะไม่สามารถหนีรอดจากการล่วงละเมิดและการโจมตีของซาตานตลอดไป  คำพยานของโยบได้ให้ความรู้แจ้งแก่ชนรุ่นหลัง  ความรู้แจ้งนี้สอนผู้คนว่ามีเพียงเมื่อพวกเขาดีพร้อมและเที่ยงธรรมเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ มันสอนพวกเขาว่ามีเพียงเมื่อพวกเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถเป็นคำพยานที่แข็งแกร่งและดังกึกก้องต่อพระเจ้าได้ มีเพียงเมื่อพวกเขาเป็นคำพยานที่แข็งแกร่งและดังกึกก้องต่อพระเจ้าเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถไม่มีวันถูกซาตานควบคุมและใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การทรงนำและการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าได้—เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริง  ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความรอดควรจะเอาอย่างบุคลิกภาพของโยบและการไล่ตามเสาะหาแห่งชีวิตของเขา  สิ่งที่โยบใช้ในการดำรงชีวิตในช่วงระหว่างทั้งชีวิตของเขาและการประพฤติของเขาในช่วงระหว่างการทดสอบของเขานั้นเป็นสมบัติอันล้ำค่าสำหรับบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไล่ตามเสาะหาหนทางแห่งความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว

คำพยานของโยบนำความสบายพระทัยมาสู่พระเจ้า

หากเราบอกพวกเจ้าในตอนนี้ว่าโยบเป็นคนดีงาม พวกเจ้าอาจไม่สามารถซึ้งคุณค่าความหมายที่อยู่ภายในคำพูดเหล่านี้ และอาจไม่สามารถจับความเข้าใจความรู้สึกเบื้องหลังเหตุผลที่เราได้พูดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไป แต่จงรอจนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อพวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับการทดสอบแบบเดียวกันหรือคล้ายกันกับการทดสอบทั้งหลายของโยบ เมื่อพวกเจ้าได้ก้าวผ่านความทุกข์ยาก เมื่อพวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับการทดสอบต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้พวกเจ้าโดยพระองค์เอง เมื่อเจ้ามอบทุกอย่างของเจ้า และทนฝ่าการเหยียดหยามและความยากลำบากเพื่อที่จะเหนือกว่าซาตานและเป็นคำพยานต่อพระเจ้าท่ามกลางการทดลองทั้งหลาย—เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถซึ้งคุณค่าความหมายของคำพูดที่เราพูดเหล่านี้  ในเวลานั้น เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้านั้นด้อยกว่าโยบอยู่มาก เจ้าจะรู้สึกว่าโยบนั้นดีงามเพียงใด และว่าเขานั้นคู่ควรแก่การเอาอย่าง  เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะตระหนักว่าคำพูดชั้นเยี่ยมที่โยบได้พูดไปเหล่านี้มีความสำคัญเพียงใดสำหรับผู้ที่เสื่อมทรามและผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในเวลาเหล่านี้ และเจ้าจะตระหนักว่ามันยากเพียงใดสำหรับผู้คนในปัจจุบันที่จะสัมฤทธิ์สิ่งที่โยบได้สัมฤทธิ์ผล  เมื่อเจ้ารู้สึกว่ามันยาก เจ้าจะซึ้งคุณค่าว่าพระทัยของพระเจ้าทรงกังวลและทรงห่วงใยเพียงใด เจ้าจะซึ้งคุณค่าว่าพระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาสูงเพียงใดเพื่อที่จะได้รับผู้คนเช่นนั้นมา และสิ่งที่พระเจ้าทรงทำและทรงสละให้เพื่อมวลมนุษย์นั้นมีค่าเพียงใด  บัดนี้ที่พวกเจ้าได้ยินคำพูดเหล่านี้ พวกเจ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำและการประเมินที่ถูกต้องเกี่ยวกับโยบหรือไม่?  ในสายตาของพวกเจ้า โยบเป็นคนที่ดีพร้อมและเที่ยงธรรมที่แท้จริงผู้ซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่?  เราเชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่จะพูดอย่างแน่นอนที่สุดว่าใช่  เพราะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งที่โยบได้กระทำและได้เปิดเผยไปนั้นไม่อาจปฏิเสธได้โดยมนุษย์คนใดหรือซาตาน  สิ่งเหล่านั้นเป็นข้อพิสูจน์ที่ทรงพลังมากที่สุดถึงชัยชนะของโยบที่มีเหนือซาตาน  ข้อพิสูจน์นี้ถูกสร้างขึ้นในตัวโยบ และเป็นคำพยานแรกที่พระเจ้าทรงได้รับ  ด้วยเหตุนี้ เมื่อโยบได้ชนะในการทดลองของซาตานและได้เป็นคำพยานต่อพระเจ้า พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความหวังในตัวโยบ และพระทัยของพระองค์ก็ได้รับการทำให้สบายโดยโยบ  นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งถึงเวลาของโยบ นี่คือครั้งแรกที่พระเจ้าทรงได้รับประสบการณ์ว่าความสบายพระทัยเป็นอย่างไร และอะไรคือความหมายของการสบายพระทัยโดยมนุษย์  มันเป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น และทรงได้รับคำพยานที่แท้จริงที่มีขึ้นเพื่อพระองค์

เราเชื่อมั่นว่า เมื่อได้ยินคำพยานของโยบและเรื่องราวเกี่ยวกับแง่มุมต่างๆ ของโยบแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่จะมีแผนสำหรับเส้นทางข้างหน้าพวกเขา  ดังนั้น เราจึงเชื่อมั่นเช่นกันว่า ผู้คนส่วนใหญ่ที่เต็มไปด้วยความกังวลใจและความเกรงกลัวจะเริ่มผ่อนคลายทั้งในร่างกายและจิตใจอย่างช้าๆ และจะเริ่มรู้สึกโล่งใจทีละเล็กทีละน้อย…

บทตอนต่างๆ ด้านล่างนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโยบด้วยเช่นกัน  พวกเรามาอ่านกันต่อเถิด

4. โยบรับฟังพระเจ้าด้วยการเงี่ยหูฟัง

โยบ 9:11  ดูเถิด พระองค์ทรงผ่านข้าไป และข้าหาเห็นพระองค์ไม่ พระองค์ทรงเลยไป และข้าหาได้สังเกตไม่

โยบ 23:8-9  ดูเถิด ข้าเดินไปข้างหน้า แต่พระองค์มิได้สถิตที่นั่น และไปข้างหลัง แต่ก็ไม่สังเกตเห็นพระองค์ ข้างซ้ายที่พระองค์ทรงทำกิจ ข้าก็ไม่เห็นพระองค์ ข้างขวาที่พระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าก็ไม่พบพระองค์

โยบ 42:2-6  ข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงทำทุกสิ่งได้ และพระประสงค์ของพระองค์จะสำเร็จ พระองค์ตรัสว่า “นี่ผู้ใดหนอได้ซ่อนคำปรึกษาโดยปราศจากความรู้?”  เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงกล่าวถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ สิ่งที่ประหลาดเกินกว่าข้าพระองค์จะทราบ พระองค์ตรัสว่า “ฟังสิ เราจะพูด เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา” ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู แต่บัดนี้ดวงตาข้าพระองค์เห็นพระองค์ ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง และกลับใจอยู่ในผงคลีดินและขี้เถ้า

ถึงแม้พระเจ้าไม่ได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองต่อโยบ โยบก็เชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า

สาระหลักๆ ของพระวจนะเหล่านี้คืออะไร?  พวกเจ้าคนใดบ้างที่ตระหนักว่ามีข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งในที่นี้?  ก่อนอื่น โยบรู้ได้อย่างไรว่ามีพระเจ้า?  ต่อมา เขารู้ได้อย่างไรว่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งถูกปกครองโดยพระเจ้า?  มีบทตอนหนึ่งที่ตอบสองคำถามนี้ นั่นคือ “ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู แต่บัดนี้ดวงตาข้าพระองค์เห็นพระองค์ ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง และกลับใจอยู่ในผงคลีดินและขี้เถ้า”  จากคำพูดเหล่านี้เราเรียนรู้ว่า แทนที่จะได้มองเห็นพระเจ้าด้วยตาของเขาเอง โยบได้เรียนรู้ถึงพระเจ้าจากตำนาน  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้นี่เองที่เขาเริ่มเดินบนเส้นทางแห่งการติดตามพระเจ้า ซึ่งหลังจากนั้นเขายืนยันถึงการมีอยู่ของพระเจ้าในชีวิตของเขา และท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง  มีข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้อย่างหนึ่งในที่นี้—ข้อเท็จจริงนั้นคือสิ่งใด?  ถึงแม้ว่าจะสามารถติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วได้แล้ว โยบก็ไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า  ในการนี้ เขาไม่เป็นแบบเดียวกับผู้คนในปัจจุบันหรอกหรือ?  โยบไม่เคยเห็นพระเจ้า ความนัยของการนี้ก็คือว่า ถึงแม้เขาเคยได้ยินพระเจ้า เขาก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าสถิตที่ใด หรือพระเจ้าทรงเป็นเหมือนสิ่งใด หรือพระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งใด  เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่อยู่ในใจ พูดอย่างไม่มีอคติได้ว่า ถึงแม้เขาได้ติดตามพระเจ้ามา พระเจ้าก็ไม่เคยได้ทรงปรากฏแก่เขาหรือตรัสกับเขา  นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  ถึงแม้พระเจ้าไม่ตรัสกับโยบหรือประทานพระบัญชาใดๆ แก่เขา โยบก็ได้มองเห็นการดำรงอยู่ของพระเจ้าและได้เห็นอธิปไตยของพระองค์ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง  และในตำนานต่างๆ ที่โยบได้รับฟังเกี่ยวกับพระเจ้าโดยการได้ยินด้วยหู ซึ่งหลังจากนั้นเขาได้เริ่มต้นชีวิตแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  เช่นนั้นคือต้นกำเนิดและกระบวนการที่โยบได้ติดตามพระเจ้า  แต่ไม่สำคัญว่าเขาได้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างไร ไม่สำคัญว่าเขายึดมั่นกับความซื่อสัตย์เพียงใด พระเจ้าก็ยังคงไม่เคยทรงปรากฏแก่เขา  พวกเรามาอ่านบทตอนนี้กันเถิด  พระองค์ตรัสไว้ว่า “ดูเถิด พระองค์ทรงผ่านข้าไป และข้าหาเห็นพระองค์ไม่ พระองค์ทรงเลยไป และข้าหาได้สังเกตไม่” (โยบ 9:11)  สิ่งที่พระวจนะเหล่านี้กำลังกล่าวก็คือว่า โยบอาจได้รู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่รอบตัวเขาหรือเขาอาจจะไม่รู้สึก—แต่เขาไม่เคยสามารถมองเห็นพระเจ้า  มีหลายครั้งที่เขาได้จินตนาการว่าพระเจ้าทรงผ่านไปต่อหน้าเขา หรือทรงกระทำการ หรือทรงนำทางมนุษย์ แต่เขาไม่เคยได้รู้  พระเจ้าเสด็จมาหามนุษย์เมื่อเขาไม่ได้กำลังคาดหวังว่าจะเสด็จมา มนุษย์ไม่รู้ว่าพระเจ้าเสด็จมาหาเขาเมื่อใด หรือพระองค์เสด็จมาหาเขาที่ใด เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้า และด้วยเหตุนี้ สำหรับมนุษย์แล้วพระเจ้าทรงซ่อนเร้นจากเขา

ความเชื่อในพระเจ้าของโยบไม่ถูกสั่นคลอนด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงซ่อนเร้นจากเขา

ในบทตอนต่อมาจากข้อพระคัมภีร์ โยบกล่าวเมื่อนั้นว่า “ดูเถิด ข้าเดินไปข้างหน้า แต่พระองค์มิได้สถิตที่นั่น และไปข้างหลัง แต่ก็ไม่สังเกตเห็นพระองค์ ข้างซ้ายที่พระองค์ทรงทำกิจ ข้าก็ไม่เห็นพระองค์ ข้างขวาที่พระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าก็ไม่พบพระองค์” (โยบ 23:8-9)  ในเรื่องราวนี้ พวกเราเรียนรู้ว่า ในประสบการณ์ของโยบนั้นพระเจ้าได้ทรงซ่อนเร้นต่อเขามาโดยตลอด พระเจ้าไม่ได้ทรงปรากฏต่อเขาอย่างเปิดเผย อีกทั้งพระองค์ไม่ตรัสพระวจนะใดๆ กับเขาอย่างเปิดเผย กระนั้น โยบก็มั่นใจในหัวใจของเขาถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้า  เขาเชื่ออยู่เสมอว่าพระเจ้าอาจจะกำลังทรงดำเนินต่อหน้าเขา หรืออาจจะกำลังทรงกระทำการเคียงข้างเขา และว่าถึงแม้เขาไม่สามารถมองเห็นพระเจ้า แต่พระเจ้าสถิตอยู่ชิดใกล้กับเขา ทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขา  โยบไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า แต่เขาก็สามารถยึดมั่นกับความเชื่อของเขาได้ ซึ่งไม่มีบุคคลอื่นใดสามารถทำได้  เหตุใดผู้คนอื่นๆ จึงไม่สามารถทำการนั้นได้?  มันเป็นเพราะพระเจ้าไม่ได้ตรัสกับโยบหรือทรงปรากฏแก่เขานั่นเอง และหากเขาไม่ได้เชื่ออย่างแท้จริง เขาก็คงไม่สามารถไปต่อได้ อีกทั้งเขาคงไม่สามารถยึดมั่นกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วได้  นี่ไม่จริงหรอกหรือ?  เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าอ่านถึงการที่โยบกล่าวคำพูดเหล่านี้?  เจ้ารู้สึกว่าความดีพร้อมและความเที่ยงธรรมของโยบ และความชอบธรรมของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นเที่ยงแท้ และไม่เป็นการกล่าวเกินไปในส่วนของพระเจ้าใช่หรือไม่?  ถึงแม้ว่าพระเจ้าได้ทรงปฏิบัติต่อโยบแบบเดียวกันกับผู้คนอื่นๆ และไม่ทรงปรากฏหรือตรัสกับเขา โยบก็ยังคงยึดมั่นกับความซื่อสัตย์ของเขา ยังคงเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ซึ่งเป็นผลจากการที่เขาเกรงกลัวกับการทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง  ในความสามารถของโยบที่ยำเกรงพระเจ้าโดยไม่มีการมองเห็นพระเจ้า พวกเรามองเห็นว่าเขารักสิ่งต่างๆ ที่เป็นเชิงบวกมากเพียงใด และความเชื่อของเขามั่นคงและเป็นจริงเพียงใด  เขาไม่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าเพราะพระเจ้าทรงซ่อนเร้นจากเขา อีกทั้งเขาไม่สูญเสียความเชื่อและละทิ้งพระเจ้าเพราะเขาไม่เคยได้มองเห็นพระองค์  ในทางกลับกัน ท่ามกลางพระราชกิจที่ซ่อนเร้นแห่งการปกครองทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า เขาตระหนักถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้า และรู้สึกถึงอธิปไตยและฤทธานุภาพของพระเจ้า  เขาไม่ได้ล้มเลิกการเป็นคนเที่ยงธรรมเพราะพระเจ้าทรงซ่อนเร้น อีกทั้งเขาไม่ได้ละทิ้งหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วเพราะพระเจ้าไม่เคยได้ทรงปรากฏแก่เขา  โยบไม่เคยได้ขอให้พระเจ้าทรงปรากฏอย่างเปิดเผยแก่เขาเพื่อพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ เพราะเขาได้มองเห็นอธิปไตยของพระเจ้าอยู่แล้วท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และเขาเชื่อว่าเขาได้รับพรและพระคุณทั้งหลายที่คนอื่นๆ ไม่ได้รับ  ถึงแม้พระเจ้าจะยังคงทรงซ่อนเร้นต่อเขา ความเชื่อในพระเจ้าของโยบก็ไม่เคยสั่นคลอน  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่เคยมีผู้ใดได้มี นั่นก็คือ  การเห็นชอบของพระเจ้าและพรของพระเจ้า

โยบสาธุการพระนามของพระเจ้าและไม่คิดถึงพรหรือความวิบัติ

มีข้อเท็จจริงหนึ่งที่ไม่เคยอ้างอิงถึงในเรื่องราวเกี่ยวกับโยบจากข้อพระคัมภีร์ และข้อเท็จจริงนี้จะเป็นจุดมุ่งเน้นของพวกเราในวันนี้  ถึงแม้ว่าโยบไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้าหรือได้ยินพระวจนะของพระเจ้าด้วยหูของเขาเอง พระเจ้าก็ทรงมีที่อยู่ในหัวใจของเขา  ท่าทีของโยบที่มีต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร?  ท่าทีนั้นเป็นดังที่ได้ถูกอ้างอิงถึงก่อนหน้านี้ว่า “สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”  การที่เขาสาธุการต่อพระนามของพระเจ้านั้นไม่มีเงื่อนไข ไม่คำนึงถึงบริบท และไม่ผูกติดกับเหตุผลใด  พวกเรามองเห็นว่าโยบได้มอบหัวใจของเขาแด่พระเจ้า โดยยอมให้พระเจ้าทรงควบคุมมัน ทุกอย่างที่เขาคิด ทุกอย่างที่เขาตัดสินใจ และทุกอย่างที่เขาวางแผนไว้ในหัวใจของเขานั้นถูกวางแผ่ต่อพระเจ้าและไม่ปิดบังจากพระเจ้า  หัวใจของเขาไม่ได้ยืนในทางที่ต่อต้านพระเจ้า และเขาไม่เคยขอให้พระเจ้าทรงทำสิ่งใดเพื่อเขาหรือทรงมอบสิ่งใดให้เขา และเขาไม่ได้เก็บงำความอยากได้อยากมีที่ฟุ่มเฟือยว่าเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดจากการนมัสการพระเจ้า  โยบไม่ได้สนทนาเรื่องการค้ากับพระเจ้า และไม่ได้ทำการเรียกร้องหรือการร้องขอใดๆ จากพระเจ้า  การที่เขาสรรเสริญพระนามของพระเจ้านั้นเป็นเพราะฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เขาได้รับพรหรือประสบกับความวิบัติหรือไม่  เขาเชื่อว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงอวยพรผู้คนหรือทรงนำความวิบัติมาสู่พวกเขาก็ตาม ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง และด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมของบุคคลจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ  การที่มนุษย์ได้รับพรจากพระเจ้าเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า และเมื่อความวิบัติเกิดขึ้นกับมนุษย์ ดังนั้น มันก็เป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจัดการเตรียมการและปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโชควาสนาของมนุษย์เป็นการสำแดงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่ว่าเจ้ามองมองจากมุมมองใด พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ  นี่คือสิ่งที่โยบได้รับประสบการณ์และได้มารู้ในช่วงระหว่างหลายปีแห่งชีวิตของเขา  ความคิดและการกระทำทั้งหมดของโยบได้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าและได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าสำคัญ  พระเจ้าทรงเชิดชูความรู้ของโยบนี้ และทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของโยบเนื่องจากการมีหัวใจเช่นนี้  หัวใจนี้รอคอยพระบัญชาของพระเจ้าอยู่เสมอ และในทุกที่ และไม่สำคัญว่าเป็นเวลาหรือสถานที่ใด มันยินดีต้อนรับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ตาม  โยบไม่ทำการเรียกร้องใดๆ ต่อพระเจ้า  สิ่งที่เขาเรียกร้องจากตัวเขาเองคือให้รอคอย ยอมรับ เผชิญหน้า และนบนอบการจัดการเตรียมการทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า โยบเชื่อว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา และมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์อย่างแน่นอน  โยบไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า อีกทั้งไม่เคยได้ยินพระองค์ตรัสพระวจนะใด ทรงออกพระบัญชาใด ทรงมอบการสอนใด หรือทรงแนะนำเขาให้ทำสิ่งใด  กล่าวเป็นคำพูดในปัจจุบันนี้ได้ว่า การที่เขาสามารถครอบครองความรู้และท่าทีเช่นนั้นต่อพระเจ้าเมื่อพระเจ้าไม่ได้ทรงมอบความรู้แจ้ง การชี้นำ หรือการจัดเตรียมที่เกี่ยวกับความจริงใดๆ แก่เขา—นี่เป็นสิ่งที่มีค่า และการที่เขาแสดงสิ่งต่างๆ เช่นนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับพระเจ้า และคำพยานของเขาได้รับการชมเชยและเชิดชูจากพระเจ้า  โยบไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้าหรือได้ยินพระองค์ดำรัสคำสอนใดๆ แก่เขาด้วยพระองค์เอง แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว หัวใจของเขาและตัวเขาเองนั้นมีค่ามากกว่าผู้คนที่เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าก็เพียงแค่สามารถพูดคุยในแง่ของทฤษฎีที่ลึกซึ้ง ผู้ที่เพียงแต่สามารถอวดตัวและพูดถึงการถวายเครื่องบูชา แต่ไม่เคยได้มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และไม่เคยยำเกรงพระเจ้าอย่างแท้จริงเหล่านั้นมากมายนัก  เพราะหัวใจของโยบบริสุทธิ์ และไม่ซ่อนเร้นจากพระเจ้า และสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขานั้นซื่อสัตย์และใจดี และเขารักความยุติธรรมและสิ่งที่เป็นเชิงบวก  มีเพียงมนุษย์อย่างนี้ผู้ซึ่งครอบครองหัวใจและสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นเท่านั้นที่สามารถติดตามหนทางแห่งพระเจ้าได้ และสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  มนุษย์เช่นนั้นสามารถมองเห็นอธิปไตยของพระเจ้า สามารถมองเห็นสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ และสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์  มีเพียงมนุษย์เช่นนี้เท่านั้นที่สามารถสรรเสริญพระนามของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  นั่นเป็นเพราะเขาไม่ดูว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรเขาหรือทรงนำความวิบัติมาสู่เขาหรือไม่ เพราะเขารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกควบคุมด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า และรู้ว่าการที่มนุษย์วิตกกังวลนั้นคือเครื่องหมายที่แสดงถึงความโง่เขลา ความไม่รู้เท่าทัน และการไร้ซึ่งเหตุผล ทั้งยังเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงการสงสัยข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง และแสดงถึงการไม่ยำเกรงพระเจ้าอีกด้วย  ความรู้ของโยบคือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์อย่างแน่นอน  ดังนั้น โยบมีความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าพวกเจ้ากระนั้นหรือ?  เนื่องจากพระราชกิจและถ้อยดำรัสของพระเจ้า ณ เวลานั้นมีน้อย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ความสำเร็จลุล่วงเช่นนั้นโดยโยบไม่ใช่ฝีมือแต่อย่างใด  เขาไม่เคยได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งไม่เคยได้ยินพระเจ้าตรัส อีกทั้งไม่เคยได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้า  การที่เขาสามารถมีท่าทีเช่นนั้นต่อพระเจ้าได้เป็นผลมาจากสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาและการไล่ตามเสาะหาส่วนตัวของเขาโดยทั้งสิ้น สภาวะความเป็นมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาที่ไม่มีผู้คนในวันนี้ครอบครอง  ด้วยเหตุนี้ ในยุคนั้นพระเจ้าจึงได้ตรัสว่า “ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม”  ในยุคนั้น พระเจ้าได้ทรงทำการประเมินเช่นนั้นต่อเขาแล้ว และได้มาถึงบทสรุปเช่นนั้น  มันจะเที่ยงแท้กว่ามากเพียงใดในวันนี้?

ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงซ่อนเร้นจากมนุษย์ แต่กิจการทั้งหลายของพระองค์ท่ามกลางสรรพสิ่งก็เพียงพอสำหรับมนุษย์ที่จะรู้จักพระองค์

โยบไม่ได้มองเห็นพระพักตร์ของพระเจ้าหรือได้ยินพระวจนะที่พระเจ้าตรัส และนับประสาอะไรที่เขาจะเคยได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเป็นการส่วนตัว กระนั้น ความยำเกรงพระเจ้าและคำพยานของเขาในช่วงระหว่างการทดสอบของเขานั้นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน และสิ่งเหล่านั้นเป็นที่รัก ที่ยินดี และที่ชื่นชมของพระเจ้า และผู้คนอิจฉา และยกย่องสิ่งเหล่านั้น และที่มากยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญสิ่งเหล่านั้น  ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่และเหนือธรรมดาเกี่ยวกับชีวิตของเขา กล่าวคือ  เขาใช้ชีวิตที่ไม่มีความโดดเด่นเหมือนกับบุคคลธรรมดาทุกคน ออกไปทำงานเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นและกลับบ้านเพื่อหยุดพักเมื่อดวงอาทิตย์ตก  ความแตกต่างก็คือว่า ในช่วงระหว่างหลายทศวรรษในชีวิตของเขาที่ไม่มีความโดดเด่นนั้น เขาได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในทางแห่งพระเจ้า และได้ตระหนักและเข้าใจฤทธานุภาพและอธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอย่างที่บุคคลอื่นไม่เคยได้รับ  เขาไม่ได้ฉลาดกว่าบุคคลธรรมดาคนใด ชีวิตของเขาไม่น่าหวงแหนเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้มีทักษะพิเศษที่ไม่ปรากฏแก่ตา อย่างไรก็ดี สิ่งที่เขาครอบครองคือบุคลิกภาพที่ซื่อสัตย์ ใจดี และเที่ยงธรรม บุคลิกภาพที่รักความยุติธรรม ความชอบธรรม และสิ่งต่างๆ ที่เป็นเชิงบวก—ผู้คนธรรมดาส่วนใหญ่ไม่ได้ครอบครองสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย  เขาแยกแยะความแตกต่างระหว่างความรักและความเกลียดชัง มีสำนึกรับรู้ถึงความยุติธรรม มีใจเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นพากเพียร และได้ให้ความสนใจพิถีพิถันต่อรายละเอียดในการคิดของเขา  ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างเวลาที่ไม่มีความโดดเด่นของเขาบนแผ่นดินโลกเขาได้มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เหนือธรรมดาทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำไว้ และเขาได้มองเห็นความยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์ และความชอบธรรมของพระเจ้า เขาได้มองเห็นความห่วงใย ความมีพระคุณ และการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และเขาได้มองเห็นความทรงพระเกียรติ และสิทธิอำนาจของพระเจ้าผู้สูงสุด  เหตุผลแรกที่ว่าทำไมโยบจึงสามารถได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เกินบุคคลธรรมดาก็คือ เพราะเขามีหัวใจที่บริสุทธิ์ และหัวใจของเขาเป็นของพระเจ้า และได้รับการทรงนำทางโดยพระผู้สร้าง  เหตุผลที่สองคือการไล่ตามเสาะหาของเขา กล่าวคือ การที่เขาไล่ตามเสาะหาการเป็นคนไม่มีมลทินและดีพร้อม และการเป็นใครบางคนที่ทำตามน้ำพระทัยแห่งสวรรค์ ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า และผู้ที่หลบเลี่ยงความชั่ว  โยบครอบครองและไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านี้ในขณะที่ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าหรือได้ยินพระวจนะของพระเจ้าได้ ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า เขาก็ได้มารู้จักวิธีการที่พระเจ้าทรงใช้ปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และเขาเข้าใจพระปรีชาญาณที่พระเจ้าทรงมีในการทำเช่นนั้น  ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยได้ยินพระวจนะที่พระเจ้าตรัส แต่โยบก็รู้ว่ากิจการแห่งการให้รางวัลมนุษย์และเอาไปจากมนุษย์นั้นล้วนมาจากพระเจ้า  ถึงแม้ว่าหลายปีแห่งชีวิตของเขาจะไม่แตกต่างไปจากหลายปีของบุคคลธรรมดาคนใด เขาก็ไม่ยอมให้ความไม่โดดเด่นแห่งชีวิตของเขาส่งผลกระทบต่อความรู้ของเขาเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า หรือส่งผลกระทบต่อการติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  ในสายตาของเขานั้น ธรรมบัญญัติทั้งหลายของทุกสรรพสิ่งเต็มไปด้วยกิจการต่างๆ ของพระเจ้า และอธิปไตยของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในทุกส่วนของชีวิตของบุคคลหนึ่ง  เขาไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า แต่เขาสามารถตระหนักว่ากิจการของพระเจ้าอยู่ทุกหนแห่ง และในช่วงระหว่างเวลาที่ไม่มีความโดดเด่นของเขาบนแผ่นดินโลก ในทุกมุมแห่งชีวิตของเขานั้นเขาสามารถมองเห็นและตระหนักถึงกิจการต่างๆ ที่เหนือธรรมดาและน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า และเขาสามารถมองเห็นการจัดการเตรียมการที่น่าอัศจรรย์ของพระเจ้า  ความซ่อนเร้นและความนิ่งเงียบของพระเจ้าไม่ได้ขัดขวางความตระหนักที่โยบมีต่อกิจการทั้งหลายของพระเจ้า อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้ของเขาเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า ชีวิตของเขาคือความตระหนักถึงอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ผู้ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งในช่วงระหว่างชีวิตประจำวันของเขา  ในชีวิตประจำวันของเขานั้นเขายังได้ยินและเข้าใจพระสุรเสียงแห่งพระทัยของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า ผู้ซึ่งนิ่งเงียบท่ามกลางทุกสรรพสิ่งแต่กระนั้นก็ทรงแสดงพระสุรเสียงจากพระทัยของพระองค์และพระวจนะของพระองค์ด้วยการควบคุมธรรมบัญญัติแห่งทุกสรรพสิ่งด้วยเช่นกัน  เช่นนั้นแล้ว เจ้ามองเห็นว่าหากผู้คนมีสภาวะความเป็นมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาแบบเดียวกันกับโยบ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็สามารถได้รับความตระหนักและความรู้แบบเดียวกันกับโยบ และสามารถได้มาซึ่งความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าแบบเดียวกันกับโยบ  พระเจ้าไม่ได้ทรงปรากฏต่อโยบหรือตรัสกับเขา แต่โยบก็สามารถเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม และสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กิจการทั้งหลายของพระเจ้าท่ามกลางทุกสรรพสิ่งและอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระองค์ก็เพียงพอสำหรับมนุษย์ที่จะกลายมาตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ ฤทธานุภาพ และสิทธิอำนาจของพระเจ้า และฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าก็พอแล้วที่จะทำให้มนุษย์ติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วโดยไม่ต้องมีการที่พระเจ้าได้ทรงปรากฏหรือตรัสกับมนุษย์  ในเมื่อมนุษย์ธรรมดาอย่างเช่นโยบสามารถที่จะสัมฤทธิ์ความยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ เช่นนั้นแล้ว บุคคลธรรมดาทุกคนที่ติดตามพระเจ้าก็ควรจะสามารถทำได้เช่นกัน  ถึงแม้ว่าพระวจนะเหล่านี้อาจฟังดูเหมือนการอนุมานเชิงตรรกะ นี่ก็ไม่ขัดกับธรรมบัญญัติของสิ่งทั้งหลาย  แต่ถึงกระนั้นข้อเท็จจริงทั้งหลายก็ไม่สอดคล้องต้องกันกับความคาดหวัง กล่าวคือ  มันคงจะปรากฏว่า การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วเป็นสิ่งสงวนของโยบและโยบคนเดียว  ในการกล่าวถึง “การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว” นั้น ผู้คนคิดว่าการนี้ควรจะทำโดยโยบเท่านั้น ราวกับว่าหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วได้ถูกตีตราไว้ด้วยชื่อของโยบและไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับผู้คนอื่นๆ  เหตุผลสำหรับการนี้เห็นได้ชัด กล่าวคือ  เพราะโยบเท่านั้นที่ครอบครองบุคลิกภาพที่ซื่อสัตย์ ใจดี และเที่ยงธรรม และบุคลิกภาพที่รักความยุติธรรมและความชอบธรรม และสิ่งต่างๆ ที่เป็นเชิงบวก ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงโยบเท่านั้นที่สามารถติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  พวกเจ้าทั้งหมดต้องมีความเข้าใจความหมายโดยนัยในที่นี้—เพราะไม่มีผู้ใดที่ครอบครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ ใจดี และเที่ยงธรรม และที่รักความยุติธรรมและความชอบธรรม และสิ่งที่เป็นเชิงบวก จึงไม่มีผู้ใดสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ และด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงไม่เคยสามารถได้รับความชื่นบานยินดีของพระเจ้าหรือตั้งมั่นท่ามกลางการทดสอบต่างๆ ได้  การนี้ยังหมายความด้วยว่า ผู้คนทั้งปวงยังคงถูกซาตานพันธนาการและดักจับเอาไว้ พวกเขาทั้งหมดถูกมันกล่าวหา โจมตี และทารุณ โดยยกเว้นโยบ  พวกเขาเป็นบรรดาผู้ซึ่งซาตานพยายามที่จะกลืนกิน และพวกเขาล้วนปราศจากอิสรภาพ เป็นนักโทษที่ถูกซาตานจองจำ

หากหัวใจของมนุษย์อยู่ในความเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า มนุษย์จะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้อย่างไร?

ในเมื่อผู้คนในปัจจุบันไม่ได้ครอบครองสภาวะความเป็นมนุษย์แบบเดียวกันกับโยบ แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา และท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร?  พวกเขายำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่?  บรรดาผู้ที่ไม่ยำเกรงพระเจ้าหรือหลบเลี่ยงความชั่วสามารถสรุปได้ด้วยสามคำเท่านั้น นั่นก็คือ “ศัตรูของพระเจ้า”  พวกเจ้ามักจะกล่าวสามคำเหล่านี้บ่อยๆ แต่พวกเจ้าไม่เคยรู้ความหมายจริงของคำเหล่านี้  คำว่า “ศัตรูของพระเจ้า” มีสาระสำคัญ กล่าวคือ  คำพูดเหล่านี้ไม่ได้กำลังกล่าวว่าพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นมนุษย์เป็นศัตรู แต่กล่าวว่ามนุษย์มองเห็นพระเจ้าเป็นศัตรู  ประการแรก เมื่อผู้คนเริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้า พวกเขาคนใดบ้างที่ไม่มีจุดมุ่งหมาย สิ่งจูงใจ และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง?  ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งของพวกเขาจะเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าและได้มองเห็นการดำรงอยู่ของพระเจ้า แต่การเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าก็ยังคงบรรจุไปด้วยสิ่งจูงใจ และจุดมุ่งหมายสูงสุดของพวกเขาในการเชื่อในพระเจ้าก็คือเพื่อได้รับพรจากพระองค์และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องการ  ในประสบการณ์ชีวิตของผู้คนนั้น พวกเขามักคิดในใจว่า “ฉันได้ยอมทิ้งครอบครัวและงานของฉันเพื่อพระเจ้าแล้ว และพระองค์ได้ประทานสิ่งใดให้ฉัน?  ฉันต้องเพิ่มมันขึ้นและยืนยันมัน—ฉันได้รับพรใดๆ หรือยังในช่วงนี้?  ฉันได้ให้ไปมากมายในช่วงระหว่างเวลานี้  ฉันได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และได้ทนทุกข์มากมาย—พระเจ้าได้ทรงมอบพระสัญญาใดๆ เป็นการตอบแทนแก่ฉันหรือยัง?  พระองค์ได้ทรงจดจำความประพฤติดีๆ ของฉันหรือยัง?  บทอวสานของฉันจะเป็นอย่างไร?  ฉันจะสามารถได้รับพรจากพระเจ้าหรือไม่?…”  ทุกบุคคลทำการคิดคำนวณเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอภายในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาทำการร้องขอจากพระเจ้าซึ่งเป็นแรงจูงใจ ความทะเยอทะยาน และความคิดแบบแลกเปลี่ยนของพวกเขา  กล่าวคือ ในหัวใจของเขานั้น มนุษย์กำลังทดสอบพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ คิดวางแผนเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ โต้แย้งเรื่องราวเพื่อจุดจบแต่ละอย่างของพวกเขาเองกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ และพยายามที่จะคัดรายงานแถลงจากพระเจ้า โดยดูว่าพระเจ้าสามารถประทานสิ่งที่เขาต้องการให้แก่เขาหรือไม่  ในเวลาเดียวกันกับที่ไล่ตามเสาะหาพระเจ้านั้น มนุษย์ก็ไม่ปฏิบัติกับพระเจ้าดังเช่นพระเจ้า มนุษย์พยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่เสมอ ทำข้อเรียกร้องจากพระองค์อย่างไม่หยุดหย่อน และแม้กระทั่งกดดันพระองค์ในทุกขั้นตอน โดยหลังจากได้คืบแล้วก็พยายามที่จะเอาศอก  ในเวลาเดียวกันกับที่พยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า มนุษย์ก็ยังโต้แย้งกับพระองค์ด้วย และมีแม้กระทั่งผู้คนที่มักจะกลายเป็นอ่อนแอ คิดลบ และหย่อนยานในงานของพวกเขา และเต็มไปด้วยถ้อยคำที่พร่ำบ่นพระเจ้าเมื่อการทดสอบมาถึงตัวพวกเขาหรือพบว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์บางอย่าง  จากเวลาที่มนุษย์ได้เริ่มเชื่อในพระเจ้านั้น เขาได้พิจารณาว่าพระเจ้าทรงเป็นความอุดมสมบูรณ์ เป็นมีดพับสวิส และเขาได้พิจารณาตัวเขาเองว่าเป็นเจ้าหนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ราวกับว่าการพยายามได้รับพรและสัญญาจากพระเจ้านั้นเป็นสิทธิ์และภาระผูกพันประจำตัวของเขา  ในขณะที่หน้าที่รับผิดชอบของพระเจ้าคือการคุ้มครองปกป้องและดูแลมนุษย์ และการจัดเตรียมให้กับเขา  เช่นนั้นเองคือความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ “การเชื่อในพระเจ้า” ของพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เชื่อในพระเจ้า และเช่นนั้นคือความเข้าใจส่วนลึกที่สุดของพวกเขาเกี่ยวกับมโนทัศน์แห่งการเชื่อในพระเจ้า  จากแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ไปจนถึงการไล่ตามเสาะหาในใจของเขา ไม่มีสิ่งใดที่สัมพันธ์กับความยำเกรงพระเจ้าเลย  จุดมุ่งหมายของมนุษย์ในการเชื่อในพระเจ้าไม่สามารถเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์ไม่เคยได้พิจารณาหรือเข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าจำเป็นต้องมีการยำเกรงและการนมัสการพระเจ้า  เนื่องจากสภาพเงื่อนไขเช่นนั้น เนื้อแท้ของมนุษย์ก็ชัดแจ้ง  เนื้อแท้นี้คือสิ่งใด?  มันก็คือหัวใจของมนุษย์นั้นมุ่งร้าย เก็บงำการทรยศหักหลังและการหลอกลวง ไม่รักความยุติธรรมและความชอบธรรมและสิ่งที่เป็นเชิงบวก และมันน่าเหยียดหยามและโลภ  หัวใจของมนุษย์ไม่สามารถใกล้ชิดกับพระเจ้าได้มากขึ้น เขาไม่ได้มอบมันให้แก่พระเจ้าเลย  พระเจ้าไม่เคยทรงมองเห็นหัวใจที่แท้จริงของมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่เคยได้รับการนมัสการโดยมนุษย์  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงจ่ายราคาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด หรือพระองค์ทรงพระราชกิจมากเพียงใด หรือพระองค์ทรงจัดเตรียมให้มนุษย์มากเพียงใด มนุษย์ยังคงมืดบอดและไม่แยแสอย่างสิ้นเชิงต่อการนั้นทั้งหมด  มนุษย์ไม่เคยได้มอบหัวใจของเขาแด่พระเจ้า เขาเพียงต้องการที่จะเอาใจใส่หัวใจของเขาด้วยตัวเอง ที่จะทำการตัดสินใจของเขาเองเท่านั้น—ซึ่งความนัยก็คือว่ามนุษย์ไม่ต้องการที่จะติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว หรือนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่ต้องการนมัสการพระเจ้าในฐานะพระเจ้า  เช่นนั้นคือสภาวะของมนุษย์ในปัจจุบัน  บัดนี้พวกเรามาดูที่โยบกันอีกครั้งเถิด  ก่อนอื่น เขาเคยทำข้อตกลงกับพระเจ้าหรือไม่?  เขามีแรงจูงใจแฝงในการยึดมั่นกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่?  ในเวลานั้น พระเจ้าเคยตรัสถึงบทอวสานที่จะมาถึงหรือไม่?  ในเวลานั้นพระเจ้าไม่ได้ทรงทำพระสัญญาต่อผู้ใดเกี่ยวกับบทอวสาน และมันขัดแย้งกับภูมิหลังที่โยบสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ผู้คนของวันนี้ได้ยืนขึ้นเพื่อการเปรียบเทียบกับโยบหรือไม่?  มีความต่างมากเกินไป พวกเขาอยู่ในกลุ่มที่แตกต่างกัน  ถึงแม้ว่าโยบไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้ามากนัก เขาได้มอบหัวใจของเขาแด่พระเจ้าและมันเป็นของพระเจ้า  เขาไม่เคยทำข้อตกลงกับพระเจ้า และไม่มีความอยากได้อยากมีหรือข้อเรียกร้องที่ฟุ่มเฟือยต่อพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาเชื่อว่า  “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย”  นี่เป็นสิ่งที่เขาได้มองเห็นและได้รับจากการยึดมั่นกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วในช่วงระหว่างหลายปีของชีวิต  ในทำนองเดียวกันนั้น เขายังได้รับบทอวสานที่ได้ถูกแสดงแทนไว้ในพระวจนะเหล่านี้ด้วย นั่นคือ “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?”  สองประโยคนี้เป็นสิ่งที่เขาได้เห็นและได้มารู้ว่าเป็นผลจากท่าทีที่เขานบนอบพระเจ้าระหว่างที่เขามีประสบการณ์ชีวิต  และสองประโยคนี้ยังเป็นอาวุธที่ทรงพลังมากที่สุดของเขาที่เขาใช้เพื่อมีชัยชนะในช่วงระหว่างการทดลองของซาตานด้วยเช่นกัน และสองประโยคนั้นยังเป็นรากฐานแห่งการตั้งมั่นของเขาในคำพยานต่อพระเจ้า  ณ จุดนี้ พวกเจ้าพิจารณาว่าโยบเป็นบุคคลที่ดีงามหรือไม่?  พวกเจ้าหวังที่จะเป็นบุคคลเช่นนั้นหรือไม่?  พวกเจ้าเกรงว่าต้องก้าวผ่านการทดลองของซาตานหรือไม่?  พวกเจ้าตกลงใจแน่วแน่ที่จะอธิษฐานเพื่อให้พระเจ้าทรงให้พวกเจ้าตกอยู่ภายใต้การทดสอบแบบเดียวกันกับโยบหรือไม่?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้คนส่วนใหญ่คงจะไม่กล้าที่จะอธิษฐานเพื่อสิ่งต่างๆ เช่นนั้น  เช่นนั้นแล้วมันจึงแน่ชัดว่าความเชื่อของพวกเจ้านั้นเล็กน้อยอย่างน่าเวทนา เมื่อเทียบกับโยบแล้ว ความเชื่อของเจ้าก็แค่ไม่มีค่าคู่ควรแก่การกล่าวถึง  พวกเจ้าเป็นศัตรูของพระเจ้า พวกเจ้าไม่ยำเกรงพระเจ้า พวกเจ้าไม่สามารถตั้งมั่นในคำพยานของพวกเจ้าต่อพระเจ้าได้ และพวกเจ้าไร้ความสามารถที่จะมีชัยเหนือการโจมตี การกล่าวหา และการทดลองของซาตาน  สิ่งใดทำให้พวกเจ้ามีคุณสมบัติที่จะได้รับพระสัญญาของพระเจ้า?  เมื่อได้ยินเรื่องของโยบและได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอดและความหมายของความรอดของมนุษย์แล้ว บัดนี้พวกเจ้ามีความเชื่อที่จะยอมรับการทดสอบแบบเดียวกันกับโยบหรือไม่?  พวกเจ้าไม่ควรมีความตั้งใจแน่วแน่สักเล็กน้อยเพื่อยอมให้ตัวพวกเจ้าเองติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วหรอกหรือ?

จงอย่ากังวลถึงบททดสอบของพระเจ้า

เมื่อได้รับคำพยานจากโยบหลังจากที่การทดสอบของเขาสิ้นสุดลง พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าพระองค์จะทรงได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่ง—หรือมากกว่ากลุ่มหนึ่ง—ที่เหมือนกับโยบ แต่ทว่าพระองค์ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะไม่มีวันเปิดโอกาสให้ซาตานโจมตีหรือล่วงละเมิดบุคคลอื่นใดโดยใช้วิธีการที่มันเคยใช้ทดลอง โจมตี และล่วงละเมิดโยบโดยการเดิมพันกับพระเจ้าอีก  พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นกับมนุษย์ ผู้ซึ่งอ่อนแอ โง่เขลา และไม่รู้เท่าทันอีกเลย—มันพอแล้วที่ซาตานได้ทดลองโยบ!  การไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานล่วงละเมิดผู้คนอย่างไรก็ตามที่มันปรารถนาคือความกรุณาของพระเจ้า  สำหรับพระเจ้า มันพอแล้วที่โยบได้ทนทุกข์กับการทดลองและล่วงละเมิดของซาตาน  พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นอีกเลย เพราะชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างของผู้คนที่ติดตามพระเจ้านั้นได้รับการปกครองและจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า และซาตานไม่มีสิทธิ์ที่จะจัดการผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกตามใจชอบ—พวกเจ้าควรจะชัดเจนเกี่ยวกับจุดนี้!  พระเจ้าใส่พระทัยเกี่ยวกับจุดอ่อนของมนุษย์ และเข้าพระทัยความโง่เขลาและความไม่รู้เท่าทันของเขา  ถึงแม้ว่าพระเจ้าต้องทรงส่งมอบมนุษย์ให้แก่ซาตานเพื่อที่เขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างบริบูรณ์ พระเจ้าก็ไม่เต็มพระทัยที่จะเห็นมนุษย์ถูกซาตานล้อเล่นเป็นคนโง่และล่วงละเมิดอีก และพระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นมนุษย์ทรมานอยู่เสมอ  มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และการที่พระเจ้าทรงปกครองและทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมนุษย์นั้นเป็นไปตามธรรมชาติและสมเหตุสมผลโดยสมบูรณ์แบบ นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของพระเจ้า และมันคือสิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงใช้ปกครองทุกสรรพสิ่ง!  พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานล่วงละเมิดหรือกระทำทารุณมนุษย์ตามใจชอบ พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานใช้วิธีการต่างๆ เพื่อนำทางมนุษย์ให้หลงผิด และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานแทรกแซงในอธิปไตยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงยอมให้ซาตานเหยียบย่ำและทำลายธรรมบัญญัติที่พระองค์ทรงใช้ปกครองทุกสรรพสิ่ง ไม่ต้องพูดถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเกี่ยวกับการบริหารจัดการและการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด!  บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอด และบรรดาผู้ที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้ เป็นแกนหลักและการตกผลึกแห่งพระราชกิจในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า ตลอดจนราคาแห่งความพยายามของพระองค์ในหกพันปีแห่งการทรงพระราชกิจของพระองค์  พระองค์จะทรงสามารถมอบผู้คนเหล่านี้ให้แก่ซาตานโดยง่ายดายได้อย่างไร?

ผู้คนมักจะกังวลถึงและเกรงกลัวการทดสอบของพระเจ้า แต่พวกเขาก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ในบ่วงของซาตานตลอดเวลา ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยอันตรายที่ซึ่งพวกเขาถูกซาตานโจมตีและทารุณ—กระนั้นพวกเขาก็ไม่รู้จักกลัว และไม่ร้อนใจ  กำลังเกิดอะไรขึ้น?  ความเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์ถูกจำกัดอยู่กับสิ่งที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้เท่านั้น  เขาไม่มีความซึ้งคุณค่าแม้แต่น้อยกับความรักและความห่วงใยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ หรือกับความอ่อนโยนและการคิดคำนึงของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์  แต่เนื่องจากความกังวลใจและความเกรงกลัวเล็กน้อยเกี่ยวกับการทดสอบ การพิพากษากับการตีสอน และพระบารมีกับพระพิโรธของพระเจ้า มนุษย์จึงไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเจตนารมณ์อันอุตสาหะของพระเจ้าแม้แต่น้อย  เมื่อกล่าวถึงการทดสอบ ผู้คนรู้สึกราวกับว่าพระเจ้าทรงมีแรงจูงใจแฝง และบางคนถึงขั้นเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีแผนชั่ว พวกเขาไม่ตระหนักรู้ว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าจะทรงทำอะไรกับตน ด้วยเหตุนี้ ในเวลาเดียวกันกับที่ร้องบอกว่าจะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พวกเขาก็ทำทุกอย่างที่พวกเขาทำได้เพื่อต้านทานและต่อต้านอธิปไตยเหนือมนุษย์ของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการเพื่อมนุษย์ เพราะพวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขาไม่เอาใจใส่พวกเขาจะถูกพระเจ้าทรงนำไปในทางที่ผิด เชื่อว่าหากพวกเขาไม่รักษาชะตากรรมของพวกเขาเองไว้ในกำมือ เช่นนั้นแล้วทั้งหมดที่พวกเขามีก็คงจะถูกพระเจ้าทรงเอาไปได้ และชีวิตของพวกเขาคงจะถึงขั้นจวนเจียนจะเป็นอันตรายได้  มนุษย์อยู่ในค่ายของซาตาน แต่เขาไม่เคยกังวลเกี่ยวกับการถูกซาตานล่วงละเมิด และเขาถูกซาตานล่วงละเมิดแต่ไม่เคยเกรงกลัวการถูกซาตานจองจำ  เขาเอาแต่พูดว่าเขายอมรับความรอดของพระเจ้า แต่ไม่เคยไว้วางใจในพระเจ้าหรือเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากกรงเล็บของซาตานอย่างแท้จริง  หากมนุษย์สามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และสามารถให้การเป็นอยู่ทั้งหมดของเขาแก่พระหัตถ์ของพระเจ้าได้เหมือนกับโยบ เช่นนั้นแล้วจุดจบของมนุษย์จะไม่เป็นแบบเดียวกันกับของโยบ—คือการได้รับพรของพระเจ้าหรอกหรือ?  หากมนุษย์สามารถยอมรับและนบนอบอธิปไตยของพระเจ้า มีสิ่งใดที่จะสูญเสียกระนั้นหรือ?  ด้วยเหตุนี้ เราขอแนะนำให้พวกเจ้าเอาใจใส่ในการกระทำของพวกเจ้า และระมัดระวังต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเจ้า  จงอย่าใจร้อนหรือหุนหันพลันแล่น และจงอย่าปฏิบัติต่อพระเจ้าและผู้คน เรื่องราว และสิ่งของต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้พวกเจ้าไปตามความเลือดร้อนของพวกเจ้าหรือความเป็นธรรมชาติของพวกเจ้า หรือตามจินตนาการและมโนคติที่หลงผิดของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องระมัดระวังในการกระทำของพวกเจ้า และต้องอธิษฐานและแสวงหาให้มากยิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้า  จงจำการนี้ไว้!

ต่อไป พวกเราจะดูกันว่าโยบเป็นอย่างไรหลังจากการทดสอบของเขา

5. โยบหลังจากการทดสอบของเขา

โยบ 42:7-9  หลังจากพระยาห์เวห์ตรัสพระวจนะเหล่านี้แก่โยบแล้ว พระยาห์เวห์ตรัสกับเอลีฟัสชาวเทมานว่า “เราโกรธเจ้าและสหายทั้งสองของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด เพราะฉะนั้นจงเอาวัวผู้ 7 ตัว และแกะผู้ 7 ตัว ไปหาโยบผู้รับใช้ของเรา และถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวสำหรับพวกเจ้า แล้วโยบผู้รับใช้ของเราจะอธิษฐานเพื่อพวกเจ้า เพราะเราจะรับคำอธิษฐานของเขา เราจะไม่ทำแก่เจ้าตามความโง่ของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด” ฝ่ายเอลีฟัสชาวเทมาน และบิลดัดชาวชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอาเมห์ ได้ไปทำตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่ง และพระยาห์เวห์ทรงรับคำอธิษฐานของโยบ

โยบ 42:10  และพระยาห์เวห์ทรงให้โยบกลับสู่สภาพดี เมื่อท่านอธิษฐานเผื่อสหายของท่าน และพระยาห์เวห์ประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าของที่มีอยู่ก่อน

โยบ 42:12  และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรชีวิตตอนปลายของโยบมากยิ่งกว่าตอนต้นของท่าน และท่านมีแกะ 14,000 ตัว อูฐ 6,000 ตัว วัวผู้ 1,000 คู่ และลาตัวเมีย 1,000 ตัว

โยบ 42:17  และโยบก็สิ้นชีวิตเป็นคนแก่หง่อมทีเดียว

พระเจ้าทอดพระเนตรมองผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วด้วยความรักและทะนุถนอม ในขณะที่พวกโง่เขลาถูกพระเจ้าทรงมองว่าต่ำต้อย

ในโยบ 42:7-9 นั้น พระเจ้าตรัสว่าโยบคือผู้รับใช้ของพระองค์  การที่พระองค์ทรงใช้คำว่า “ผู้รับใช้” เพื่ออ้างถึงโยบนั้นแสดงให้เห็นความสำคัญของโยบในพระทัยของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกโยบด้วยบางอย่างที่น่านับถือมากกว่า แต่การแต่งตั้งนี้ก็ไม่ได้มีผลต่อความสำคัญของโยบภายในพระทัยของพระเจ้า  “ผู้รับใช้” ในที่นี้คือชื่อเล่นที่พระเจ้าทรงมีต่อโยบ  การที่พระเจ้าทรงอ้างอิงถึง “โยบผู้รับใช้ของเรา” หลายครั้ง แสดงให้เห็นว่าพระองค์พอพระทัยในตัวโยบเพียงใด  แม้ว่าพระเจ้าไม่ได้ตรัสถึงความหมายเบื้องหลังคำว่า “ผู้รับใช้” แต่การที่พระเจ้าทรงกำหนดนิยามคำว่า “ผู้รับใช้” ก็สามารถมองเห็นได้จากพระวจนะของพระองค์ในบทตอนจากข้อพระคัมภีร์นี้  พระเจ้าได้ตรัสกับเอลีฟัสชาวเทมานในตอนแรกว่า “เราโกรธเจ้าและสหายทั้งสองของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด”  พระวจนะเหล่านี้เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าได้ตรัสบอกกับผู้คนอย่างเปิดเผยว่าพระองค์ได้ทรงยอมรับทั้งหมดที่โยบได้พูดและทำลงไปหลังจากการทดสอบของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเขา และเป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้ทรงยืนยันอย่างเปิดเผยถึงความถูกต้องแม่นยำและความถูกต้องของทั้งหมดที่โยบได้ทำและได้พูดไป  พระเจ้ากริ้วเอลีฟัสและคนอื่นๆ เนื่องจากการสนทนาที่ไม่ถูกต้องและไร้สาระของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่สามารถมองเห็นการทรงปรากฏของพระเจ้าหรือได้ยินพระวจนะที่พระองค์ตรัสในชีวิตของพวกเขาเหมือนกับโยบ กระนั้นโยบก็มีความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำเช่นนั้นเกี่ยวกับพระเจ้า ในขณะที่พวกเขาทำได้เพียงแค่เดาอย่างมืดบอดเกี่ยวกับพระเจ้า ต่อต้านเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ และทำให้พระองค์รู้สึกรังเกียจพวกเขา  ดังนั้น ในเวลาเดียวกันกับที่ทรงยอมรับทั้งหมดที่โยบได้ทำและได้พูดไปนั้น พระเจ้าก็พิโรธต่อคนอื่นๆ มากยิ่งขึ้น เพราะพระองค์ไม่เพียงแค่ไม่ทรงสามารถมองเห็นความเป็นจริงใดๆ เกี่ยวกับความยำเกรงพระเจ้าในตัวพวกเขาเท่านั้น แต่ยังไม่ทรงได้ยินสิ่งใดเกี่ยวกับความยำเกรงพระเจ้าในสิ่งที่พวกเขาพูดด้วย  และดังนั้นต่อมาพระเจ้าจึงได้ทรงทำข้อเรียกร้องกับพวกเขาดังต่อไปนี้ “เพราะฉะนั้นจงเอาวัวผู้ 7 ตัว และแกะผู้ 7 ตัว ไปหาโยบผู้รับใช้ของเรา และถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวสำหรับพวกเจ้า แล้วโยบผู้รับใช้ของเราจะอธิษฐานเพื่อพวกเจ้า เพราะเราจะรับคำอธิษฐานของเขา เราจะไม่ทำแก่เจ้าตามความโง่ของเจ้า”  ในบทตอนนี้พระเจ้ากำลังตรัสบอกเอลีฟัสและคนอื่นๆ ให้ทำบางสิ่งบางอย่างที่จะไถ่บาปของพวกเขา เพราะความโง่ของพวกเขาเป็นบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้า และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้ทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเพื่อแก้ไขความผิดของพวกเขา  เครื่องบูชาเผาทั้งตัวมักจะถูกถวายแด่พระเจ้า แต่สิ่งที่ผิดปกติเกี่ยวกับเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเหล่านี้ก็คือว่าพวกมันได้ถูกถวายให้แก่โยบ  โยบเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าเพราะเขาเป็นคำพยานต่อพระเจ้าในระหว่างการทดสอบของเขา  ในขณะเดียวกัน เพื่อนเหล่านี้ของโยบได้ถูกเปิดโปงในช่วงระหว่างเวลาแห่งการทดสอบของเขา เนื่องจากความโง่ของพวกเขา พวกเขาจึงถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ และพวกเขาได้ยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้า และควรจะถูกพระเจ้าลงโทษ—เป็นการลงโทษด้วยการทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวต่อหน้าโยบ—ซึ่งหลังจากนั้นโยบได้อธิษฐานให้พวกเขาพ้นจากการลงโทษและพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา  เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือเพื่อนำความอับอายมาให้พวกเขา เพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และพวกเขาได้เคยกล่าวโทษความซื่อสัตย์ของโยบ  ในแง่หนึ่ง พระเจ้ากำลังตรัสบอกพวกเขาว่าพระองค์ไม่ทรงยอมรับการกระทำของพวกเขา แต่ทรงยอมรับและทรงปีติยินดีอย่างยิ่งในตัวโยบ ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้ากำลังตรัสบอกพวกเขาว่าการที่พระเจ้าทรงยอมรับนั้นเป็นการยกระดับมนุษย์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ว่ามนุษย์นั้นถูกพระเจ้าเกลียดชังเพราะความโง่ของเขา และทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคืองก็เพราะการนั้น และต่ำต้อยและชั่วช้าในสายพระเนตรของพระเจ้า  เหล่านี้คือการกำหนดนิยามที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่ผู้คนสองชนิด การกำหนดนิยามเหล่านั้นคือท่าทีของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนสองชนิดเหล่านี้ และเป็นการคิดคำนวณคุณค่าและตำแหน่งของผู้คนสองชนิดนี้ของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงเรียกโยบว่าผู้รับใช้ของพระองค์ ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้นผู้รับใช้คนนี้เป็นที่รัก และได้รับมอบสิทธิอำนาจที่จะอธิษฐานเพื่อคนอื่นๆ และให้อภัยพวกเขาในความผิดพลาดของพวกเขา  ผู้รับใช้คนนี้สามารถพูดคุยกับพระเจ้าโดยตรงและมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยตรงได้ และสถานะของเขาสูงกว่าและมีเกียรติมากกว่าของคนอื่นๆ  นี่คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ผู้รับใช้” ที่พระเจ้าได้ตรัสไป  โยบได้รับเกียรติพิเศษนี้เนื่องจากการที่เขามีความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว และเหตุผลที่ทำให้คนอื่นๆ ไม่ถูกพระเจ้าทรงเรียกว่าผู้รับใช้ก็เพราะพวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  สองท่าทีเหล่านี้ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดของพระเจ้าคือท่าทีของพระองค์ที่ทรงมีต่อผู้คนสองชนิด กล่าวคือ บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วนั้นได้รับการยอมรับจากพระเจ้าและถูกมองว่าเป็นคนมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์ ในขณะที่พวกที่โง่เขลาไม่ยำเกรงพระเจ้า ไม่สามารถหลบเลี่ยงความชั่วได้ และไร้ความสามารถที่จะรับความโปรดปรานของพระเจ้าได้ พวกเขามักจะถูกพระเจ้าเกลียดชังและกล่าวโทษ และเป็นคนต่ำต้อยในสายพระเนตรของพระเจ้า

พระเจ้าประทานสิทธิอำนาจแก่โยบ

โยบได้อธิษฐานให้เพื่อนๆ ของเขา และหลังจากนั้น พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงจัดการกับพวกเขาให้สาสมกับความโง่ของพวกเขาเนื่องจากคำอธิษฐานของโยบ—พระองค์ไม่ทรงลงโทษพวกเขาหรือใช้การลงทัณฑ์อันสาสมใดๆ กับพวกเขา  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  มันเป็นเพราะคำอธิษฐานที่โยบผู้รับใช้ของพระเจ้าได้ขอให้พวกเขานั้นได้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทรงให้อภัยพวกเขาเพราะพระองค์ได้ทรงรับคำอธิษฐานของโยบ  ดังนั้น พวกเรามองเห็นสิ่งใดในการนี้?  เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรใครบางคน พระองค์ทรงมอบรางวัลมากมายแก่พวกเขา และไม่ใช่แค่รางวัลทางวัตถุ กล่าวคือ  พระเจ้ายังทรงมอบสิทธิอำนาจให้พวกเขา ให้สิทธิ์แก่พวกเขาในการอธิษฐานเพื่อคนอื่น และพระเจ้าทรงลืมและมองข้ามการล่วงละเมิดของผู้คนเหล่านั้นเพราะพระองค์ทรงได้ยินคำอธิษฐานเหล่านี้  นี่คือสิทธิอำนาจที่แท้จริงที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่โยบ  พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงนำความอับอายมาสู่ผู้คนที่โง่เขลาเหล่านี้โดยผ่านทางคำอธิษฐานของโยบที่ให้ระงับการกล่าวโทษพวกเขา—ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการลงโทษพิเศษของพระองค์สำหรับเอลีฟัสและคนอื่นๆ

โยบได้รับพรจากพระเจ้าอีกครั้ง และไม่ถูกซาตานกล่าวหาอีกเลย

ท่ามกลางถ้อยดำรัสของพระยาห์เวห์พระเจ้าคือพระวจนะที่ว่า “เจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด”  สิ่งที่โยบได้พูดไปคือสิ่งใด?  มันคือสิ่งที่พวกเราได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ ตลอดจนพระวจนะหลายหน้าในหนังสือโยบที่ได้มีการบันทึกไว้ว่าโยบได้พูดไป  ในพระวจนะหลายหน้าทั้งหมดเหล่านี้ โยบไม่เคยมีคำพร่ำบ่นหรือความเคลือบแคลงใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้าสักครั้ง  เขาเพียงแค่รอคอยผลที่จะออกมาเท่านั้น  การรอคอยนี้นี่เองคือท่าทีที่นบนอบของเขา ซึ่งด้วยผลของมัน และผลของคำพูดที่เขาได้พูดกับพระเจ้า โยบจึงเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า  เมื่อเขาได้ทนฝ่าการทดสอบและทนทุกข์กับความยากลำบาก พระเจ้าสถิตเคียงข้างเขา และถึงแม้ว่าความยากลำบากของเขาไม่ได้ลดน้อยลงด้วยการสถิตของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงมองเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเห็น และทรงได้ยินสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้ยิน  การกระทำและคำพูดทุกอย่างของโยบได้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของพระเจ้า  พระเจ้าทรงได้ยิน และพระองค์ทรงมองเห็น—นี่คือข้อเท็จจริง  ความรู้ของโยบเกี่ยวกับพระเจ้า และความคิดของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของเขาในเวลานั้น ในช่วงระหว่างระยะเวลานั้นไม่ได้เฉพาะจงเหมือนกับความรู้และความคิดของผู้คนในวันนี้อย่างแท้จริง แต่ในบริบทของเวลานั้น พระเจ้ายังคงทรงระลึกได้ถึงทั้งหมดที่เขาได้พูดไป เพราะพฤติกรรมของเขาและความคิดในหัวใจของเขา ตลอดจนสิ่งที่เขาได้แสดงออกและเปิดเผยออกมานั้นเพียงพอสำหรับข้อพึงประสงค์ของพระองค์  ในช่วงระหว่างเวลาที่โยบตกอยู่ภายใต้การทดสอบ สิ่งที่เขาคิดในหัวใจของเขาและตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำได้แสดงให้พระเจ้าทรงเห็นบทอวสานหนึ่ง ซึ่งเป็นบทอวสานที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และหลังจากนี้พระเจ้าได้ทรงเอาการทดสอบของโยบไป โยบได้ผุดขึ้นจากปัญหาต่างๆ ของเขา และการทดสอบของเขาได้หมดไปและไม่เคยประสบกับเขาอีกเลย  เนื่องจากโยบได้เคยตกอยู่ภายใต้การทดสอบแล้ว และได้ตั้งมั่นในช่วงระหว่างการทดสอบเหล่านี้ และได้มีชัยชนะเหนือซาตานโดยสิ้นเชิง พระเจ้าจึงได้ประทานพรให้เขาที่เขาสมควรได้รับอย่างชอบธรรมยิ่งนัก  ดังที่มีการบันทึกไว้ในหนังสือโยบ บทที่ 42 ข้อที่ 10 ข้อที่ 12 นั้น โยบได้รับพรอีกครั้งหนึ่งและได้รับพรมากกว่าที่เขาเคยได้รับในครั้งแรก  ในเวลานี้ซาตานได้ถอนตัวไปแล้ว และไม่ได้พูดหรือทำสิ่งใดอีกต่อไป และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โยบก็ไม่ถูกซาตานรบกวนหรือโจมตีอีกต่อไป และซาตานก็ไม่ทำการกล่าวหาพระพรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่โยบอีกต่อไป

โยบใช้เวลาครึ่งหลังของชีวิตเขาท่ามกลางพรจากพระเจ้า

ถึงแม้ว่าพรจากพระองค์ในเวลานั้นจะถูกจำกัดอยู่แต่เพียงกับแกะ ฝูงปศุสัตว์ อูฐ ทรัพย์สินทางวัตถุ และอื่นๆ แต่พรที่พระเจ้าปรารถนาที่จะประทานแก่โยบในพระทัยของพระองค์นั้นมากมายกว่านี้มากนัก  ในเวลานั้น ได้มีการบันทึกว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะมอบพระสัญญาชั่วนิรันดร์ประเภทใดให้แก่โยบหรือไม่?  ในพรที่พระองค์ประทานแก่โยบนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงกล่าวถึงหรือข้องเกี่ยวกับบทอวสานของเขา และไม่ว่าความสำคัญหรือตำแหน่งของโยบที่อยู่ภายในพระทัยของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร โดยรวมแล้วพระเจ้าทรงไตร่ตรองอย่างยิ่งในพรของพระองค์  พระเจ้าไม่ได้ทรงประกาศบทอวสานของโยบ  การนี้หมายความว่าอย่างไร?  ในเวลานั้น เมื่อแผนของพระเจ้ายังไม่บรรลุถึงจุดของการประกาศบทอวสานของมนุษย์ แผนนั้นยังไม่ได้เข้าสู่ช่วงระยะสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงกล่าวถึงบทอวสาน โดยแค่ประทานพรทางวัตถุให้แก่มนุษย์  ความหมายของการนี้ก็คือว่าครึ่งหลังในชีวิตของโยบนั้นได้ผ่านไปท่ามกลางพรจากพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างกับผู้คนอื่นๆ—แต่เขาก็แก่ชราลงเหมือนกับคนเหล่านั้น และวันที่เขาลาโลกก็มาถึงเหมือนกับบุคคลธรรมดาทุกคน  ด้วยเหตุนี้จึงมีการบันทึกไว้ว่า “และโยบก็สิ้นชีวิตเป็นคนแก่หง่อมทีเดียว” (โยบ 42:17)  ความหมายของคำว่า “สิ้นชีวิตแก่หง่อมทีเดียว” ในที่นี้คืออะไร?  ในยุคสมัยนั้นก่อนที่พระเจ้าจะทรงประกาศบทอวสานของผู้คน พระเจ้าทรงกำหนดอายุขัยสำหรับโยบ และเมื่อได้บรรลุถึงอายุนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงอนุญาตให้โยบจากโลกนี้ไปโดยธรรมชาติ  ตั้งแต่การอวยพรโยบครั้งที่สองจนกระทั่งเขาตาย พระเจ้าไม่ได้ทรงเพิ่มความยากลำบากใดอีกเลย  สำหรับพระเจ้าแล้ว ความตายของโยบเป็นไปตามธรรมชาติ และจำเป็นด้วย มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ปกติมาก และไม่ใช่ทั้งการพิพากษาและการตัดสินโทษ  ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น โยบได้นมัสการและยำเกรงพระเจ้า ส่วนเรื่องที่ว่าเขามีบทอวสานแบบใดภายหลังจากเขาตายไปแล้วนั้น พระเจ้าไม่ได้ตรัสสิ่งใด และไม่ได้ทรงแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับการนั้น  พระเจ้าทรงมีสำนึกรับรู้อันแรงกล้าเกี่ยวกับความสมควรในสิ่งที่พระองค์ตรัสและทรงกระทำ และเนื้อหาและหลักการแห่งพระวจนะและการกระทำของพระองค์นั้นสอดคล้องกับช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระองค์ และระยะเวลาที่พระองค์กำลังทรงพระราชกิจ  ใครบางคนดังเช่นโยบมีบทอวสานชนิดใดในพระทัยของพระเจ้า?  พระเจ้าได้ทรงบรรลุถึงการตัดสินประเภทใดในพระทัยของพระองค์แล้วหรือไม่?  แน่นอนว่าพระองค์ทรงบรรลุแล้ว!  เพียงแต่ว่ามนุษย์ไม่รู้ถึงการนี้เท่านั้นเอง พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะตรัสบอกมนุษย์ และพระองค์ก็ไม่ทรงมีเจตนารมณ์ใดๆ ที่จะตรัสบอกมนุษย์  ด้วยเหตุนี้ เมื่อกล่าวอย่างคร่าวๆ โยบจึงตายในวัยที่ชรามากทีเดียว และเช่นนั้นเองคือชีวิตของโยบ

ราคาที่โยบได้ใช้ชีวิตไปในระหว่างชั่วชีวิตของเขา

โยบได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าหรือไม่?  คุณค่านั้นอยู่ที่ใด?  เหตุใดจึงกล่าวว่าเขาใช้ชีวิตอย่างมีค่า?  สำหรับมนุษย์แล้วคุณค่าของเขาคือสิ่งใด?  จากทัศนคติของมนุษย์ เขาเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอด ในการเป็นคำพยานที่ดังกึกก้องต่อพระเจ้าต่อหน้าซาตานและผู้คนบนโลกนี้  เขาได้ลุล่วงหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงลุล่วง วางต้นแบบ และกระทำการเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งปวงที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอด โดยเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มองเห็นว่าเป็นไปได้โดยสมบูรณ์ที่จะมีชัยชนะเหนือซาตานด้วยการพึ่งพาพระเจ้า  คุณค่าของเขาที่มีต่อพระเจ้าคือสิ่งใด?  สำหรับพระเจ้าแล้ว คุณค่าของชีวิตโยบอยู่ในความสามารถของเขาที่จะยำเกรงพระเจ้า นมัสการพระเจ้า เป็นพยานต่อกิจการต่างๆ ของพระเจ้า และสรรเสริญกิจการต่างๆ ของพระเจ้า และนำความสบายพระทัยและบางสิ่งบางอย่างที่จะชื่นชมมาสู่พระเจ้า สำหรับพระเจ้าแล้ว คุณค่าของชีวิตโยบยังอยู่ในวิธีที่โยบได้รับประสบการณ์กับการทดสอบและมีชัยเหนือซาตานก่อนที่เขาจะตาย และได้เป็นคำพยานที่ดังกึกก้องต่อพระเจ้าต่อหน้าซาตานและผู้คนบนโลก เพื่อให้พระเจ้าทรงได้รับพระสิริท่ามกลางมวลมนุษย์ ชูใจพระหทัยของพระเจ้า และเปิดโอกาสให้พระหทัยที่กระตือรือร้นของพระองค์ได้มองเห็นบทอวสานและได้เห็นความหวังด้วยเช่นกัน  คำพยานของเขาได้กำหนดแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับความสามารถที่จะตั้งมั่นในคำพยานของคนเราต่อพระเจ้า และสำหรับการสามารถทำให้ซาตานอับอายแทนพระเจ้าได้ ในพระราชกิจของพระเจ้าเกี่ยวกับการบริหารจัดการมวลมนุษย์  นี่ไม่ใช่คุณค่าแห่งชีวิตของโยบหรอกหรือ?  โยบได้นำความสบายพระทัยมาให้พระเจ้า เขาได้มอบการลิ้มรสความปีติยินดีแห่งการได้รับพระสิริแด่พระเจ้า และได้จัดเตรียมจุดเริ่มต้นที่น่าอัศจรรย์ให้แก่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  ตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไป ชื่อของโยบได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการได้รับพระสิริของพระเจ้า และเป็นหมายสำคัญแห่งการมีชัยเหนือซาตานของมวลมนุษย์  วิธีใช้ชีวิตของโยบระหว่างที่เขายังมีชีวิตอยู่ ตลอดจนชัยชนะอันโดดเด่นที่เขามีเหนือซาตานนั้น จะมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าตลอดไป และความเพียบพร้อม ความเที่ยงธรรม ความยำเกรงพระเจ้าของเขาจะเป็นที่เคารพและเอาอย่างของชนรุ่นหลัง  เขาจะมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าเหมือนไข่มุกเรืองแสงอันไร้ที่ติตลอดไป และเช่นเดียวกันเขายังคู่ควรที่มนุษย์จะมองว่าล้ำค่าอีกด้วย!

ต่อไป พวกเรามาดูที่พระราชกิจของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติกันเถิด

ง. บัญญัติแห่งยุคธรรมบัญญัติ

พระบัญญัติสิบประการ

หลักการสำหรับการสร้างแท่นบูชา

บัญญัติสำหรับการปฏิบัติของคนปรนนิบัติ

บัญญัติสำหรับขโมยและการชดเชย

การรักษาปีสะบาโตและงานเลี้ยงทั้งสาม

บัญญัติสำหรับวันสะบาโต

บัญญัติสำหรับเครื่องบูชา

เครื่องบูชาเผาทั้งตัว

เครื่องธัญบูชา

เครื่องศานติบูชา

เครื่องบูชาลบล้างบาป

เครื่องบูชาชดใช้บาป

บัญญัติสำหรับการถวายเครื่องบูชาโดยเหล่าปุโรหิต (อาโรนและบุตรชายทั้งหลายของเขาถูกสั่งให้ปฏิบัติตาม)

เครื่องบูชาเผาทั้งตัวโดยเหล่าปุโรหิต

เครื่องธัญบูชาโดยเหล่าปุโรหิต

เครื่องบูชาลบล้างบาปโดยเหล่าปุโรหิต

เครื่องบูชาชดใช้บาปโดยเหล่าปุโรหิต

เครื่องศานติบูชาโดยเหล่าปุโรหิต

บัญญัติสำหรับการรับประทานเครื่องบูชาโดยเหล่าปุโรหิต

สัตว์สะอาดและไม่สะอาด (สัตว์ที่กินได้และกินไม่ได้)

บัญญัติสำหรับการชำระสตรีหลังคลอดบุตรให้บริสุทธิ์

มาตรฐานสำหรับการตรวจโรคเรื้อน

บัญญัติสำหรับบรรดาผู้ที่ได้รับการรักษาหายจากโรคเรื้อน

บัญญัติสำหรับการชำระบ้านที่ติดเชื้อให้สะอาด

บัญญัติสำหรับบรรดาผู้ที่ทนทุกข์จากการปลดปล่อยที่ผิดปกติ

วันแห่งการลบมลทินที่ต้องปฏิบัติปีละครั้ง

กฎสำหรับการเชือดฝูงปศุสัตว์และแกะ

ข้อห้ามในการปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่น่ารังเกียจของคนต่างชาติ (ไม่กระทำการล่วงประเวณีกับญาติพี่น้อง และอื่นๆ)

บัญญัติที่ผู้คนต้องปฏิบัติตาม {“เจ้าทั้งหลายต้องบริสุทธิ์ เพราะเรายาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์” (เลวีนิติ 19:2)}

การประหารผู้ที่พลีอุทิศลูกหลานของตนให้พระโมเลค

บัญญัติสำหรับการลงโทษความผิดประเวณี

กฎที่เหล่าปุโรหิตควรถือปฏิบัติ (กฎสำหรับความประพฤติประจำวันของพวกเขา กฎสำหรับการบริโภคสิ่งที่บริสุทธิ์ กฎสำหรับการทำเครื่องบูชา และอื่นๆ)

งานเลี้ยงที่ควรถือปฏิบัติ (วันสะบาโต พิธีปัสกา เทศกาลเพ็นเทคอสต์ วันลบมลทิน และอื่นๆ)

บัญญัติอื่นๆ (การจุดตะเกียง ปีอิสรภาพ การไถ่แผ่นดิน การกล่าวปฏิญาณ การถวายทศางค์ และอื่นๆ)

บัญญัติแห่งยุคธรรมบัญญัติเป็นข้อพิสูจน์จริงแห่งการชี้นำมวลมนุษย์ทั้งปวงของพระเจ้า

ดังนั้น พวกเจ้าได้อ่านบัญญัติและหลักการทั้งหลายแห่งยุคธรรมบัญญัติแล้วใช่หรือไม่?  บัญญัติเหล่านี้ครอบคลุมแนวเขตที่กว้างขวางใช่หรือไม่?  ประการแรก พวกมันครอบคลุมถึงพระบัญญัติสิบประการ ซึ่งหลังจากนั้นเป็นบัญญัติสำหรับวิธีการสร้างแท่นบูชา และอื่นๆ  เหล่านี้ตามมาด้วยข้อความเกี่ยวกับการรักษาวันสะบาโตและการถือปฏิบัติงานเลี้ยงทั้งสาม ซึ่งหลังจากนั้นเป็นบัญญัติสำหรับเครื่องบูชา  พวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่ามีเครื่องบูชากี่ชนิด?  มีเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เครื่องธัญบูชา เครื่องศานติบูชา เครื่องบูชาลบล้างบาป และอื่นๆ  ทั้งหมดเหล่านี้ตามมาด้วยบัญญัติสำหรับเครื่องบูชาของเหล่าปุโรหิต ซึ่งประกอบด้วย เครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องธัญบูชาโดยเหล่าปุโรหิต และเครื่องบูชาประเภทอื่นๆ  บัญญัติชุดที่แปดนี้คือกฎระเบียบสำหรับการรับประทานเครื่องบูชาโดยเหล่าปุโรหิต  จากนั้นก็มีบัญญัติสำหรับสิ่งที่ควรถือปฏิบัติในระหว่างชีวิตของผู้คน  มีข้อกำหนดต่างๆ สำหรับหลายแง่มุมของชีวิตผู้คน เช่น บัญญัติสำหรับสิ่งที่พวกเขาอาจรับประทานได้หรือไม่ได้ สำหรับการชำระสตรีหลังคลอดบุตรให้บริสุทธิ์ และสำหรับพวกที่ได้รับการรักษาหายจากโรคเรื้อน  ในบัญญัติเหล่านี้ พระเจ้าตรัสไกลไปถึงโรค และมีแม้กระทั่งกฎสำหรับการเชือดแกะและฝูงปศุสัตว์ และอื่นๆ  แกะและฝูงปศุสัตว์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และเจ้าควรเชือดพวกมันด้วยวิธีใดก็ตามที่พระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าทำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีเหตุผลสำหรับพระวจนะของพระเจ้า มันถูกต้องโดยไม่มีข้อสงสัยเลยที่จะกระทำตามข้อกำหนดของพระเจ้า และแน่นอนว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้คน!  ยังมีงานเลี้ยงและกฎต่างๆ ที่ให้ถือปฏิบัติด้วย เช่น วันสะบาโต พิธีปัสกา และอื่นๆ—พระเจ้าตรัสถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  พวกเรามาดูที่ข้อท้ายๆ กันเถิด นั่นคือ บัญญัติอื่นๆ—การเผาตะเกียง ปีเสียงเขาสัตว์ การไถ่แผ่นดิน การกล่าวปฏิญาณ การถวายทศางค์ และอื่นๆ  เหล่านี้ครอบคลุมแนวเขตที่กว้างขวางหรือไม่?  สิ่งแรกที่จะกล่าวถึงคือเรื่องเกี่ยวกับเครื่องบูชาของผู้คน  ต่อมาก็มีบัญญัติเกี่ยวกับการขโมยและการชดเชย และการถือปฏิบัติในวันสะบาโต… มันเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของชีวิต  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพระเจ้าได้ทรงเริ่มพระราชกิจที่เป็นทางการในแผนการบริหารจัดการของพระองค์ พระองค์ได้ทรงกำหนดบัญญัติมากมายที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติตาม  บัญญัติเหล่านี้เป็นไปเพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิตปกติของมนุษย์บนแผ่นดินโลก ชีวิตปกติของมนุษย์ที่ไม่อาจแยกได้จากพระเจ้าและการทรงนำของพระองค์  ก่อนอื่นพระเจ้าได้ตรัสบอกมนุษย์ว่าให้ทำแท่นบูชาอย่างไร ให้ตั้งแท่นบูชาอย่างไร  หลังจากนั้นพระองค์ได้ตรัสบอกมนุษย์ว่าให้ทำเครื่องบูชาอย่างไร และได้ทรงกำหนดว่ามนุษย์จะต้องดำรงชีวิตอย่างไร—สิ่งใดที่เขาจะต้องให้ความสนใจในชีวิต สิ่งใดที่เขาต้องปฏิบัติตาม และสิ่งใดที่เขาควรและไม่ควรทำ  สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดสำหรับมนุษย์นั้นครอบคลุมทั้งหมด และด้วย ข้อบังคับ บัญญัติ และหลักการเหล่านี้นี่เองที่พระองค์ได้ทรงกำหนดมาตรฐานพฤติกรรมของมนุษย์ ทรงนำทางชีวิตมนุษย์ ทรงนำทางการเริ่มต้นของพวกเขาสู่ธรรมบัญญัติของพระเจ้า ทรงนำทางพวกเขาสู่การมาอยู่หน้าแท่นบูชาของพระเจ้า ทรงนำทางพวกเขาในการมีชีวิตท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าได้ทรงทำขึ้นสำหรับมนุษย์ที่อยู่ภายใต้ระเบียบ ความสม่ำเสมอ และความพอประมาณ  ก่อนอื่นพระเจ้าได้ทรงใช้บัญญัติและหลักการที่เรียบง่ายเหล่านี้เพื่อกำหนดขีดจำกัดสำหรับมนุษย์ เพื่อที่มนุษย์บนแผ่นดินโลกจะได้มีชีวิตปกติแห่งการนมัสการพระเจ้า จะได้มีชีวิตปกติของมนุษย์ เช่นนั้นเองคือเนื้อหาเฉพาะของการเริ่มต้นแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์  บัญญัติและข้อกำหนดเหล่านี้ครอบคลุมเนื้อหาที่กว้างอย่างยิ่ง พวกมันเป็นข้อเฉพาะเจาะจงแห่งการทรงนำมวลมนุษย์ของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนที่มาก่อนหน้ายุคธรรมบัญญัติต้องยอมรับและเชื่อฟังกฎระเบียบและกฎเหล่านี้ กฎระเบียบและกฎเหล่านี้เป็นบันทึกเกี่ยวกับพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ และเป็นข้อพิสูจน์จริงแห่งการเป็นผู้ทรงนำและการทรงนำมวลมนุษย์ทั้งปวงของพระเจ้า

มวลมนุษย์ไม่อาจแยกจากคำสอนและการจัดเตรียมของพระเจ้าได้ตลอดไป

ในบัญญัติเหล่านี้พวกเรามองเห็นว่าท่าทีของพระเจ้าที่ทรงมีต่อพระราชกิจของพระองค์ ต่อการบริหารจัดการของพระองค์ และต่อมวลมนุษย์นั้นจริงจัง มีมโนธรรม เข้มงวด และมีความรับผิดชอบ  พระองค์ทรงทำพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำท่ามกลางมวลมนุษย์โดยสอดคล้องกับขั้นตอนของพระองค์ โดยไม่มีความคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย ตรัสพระวจนะที่พระองค์ต้องตรัสต่อมวลมนุษย์โดยไม่มีความผิดพลาดหรือการละเว้นแม้แต่น้อย ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นว่าเขาไม่สามารถแยกจากการเป็นผู้ทรงนำของพระเจ้าได้ และทรงแสดงให้เขาเห็นว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำและตรัสนั้นสำคัญต่อมวลมนุษย์เพียงใด  ไม่ว่ามนุษย์จะเป็นอย่างไรในยุคถัดไป ในตอนเริ่มต้น—ในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัตินั้น—พระเจ้าได้ทรงทำสิ่งที่เรียบง่ายเหล่านี้  สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น มโนทัศน์ของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้า โลก และมวลมนุษย์ในยุคนั้นเป็นนามธรรมและอับแสง และถึงแม้ว่ามโนทัศน์เหล่านั้นจะมีแนวคิดและเจตนาที่มีจิตสำนึกอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ชัดเจนและไม่ถูกต้อง และด้วยเหตุนี้มวลมนุษย์จึงไม่สามารถแยกจากคำสอนและการจัดเตรียมของพระเจ้าที่ทรงมีต่อพวกเขาได้  มวลมนุษย์รุ่นแรกสุดนั้นไม่รู้สิ่งใดเลย และดังนั้นพระเจ้าจึงต้องทรงเริ่มสอนมนุษย์ตั้งแต่หลักการเพื่อการอยู่รอดและบัญญัติที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานและผิวเผินที่สุดโดยประสาทสิ่งเหล่านี้ไว้ในหัวใจของมนุษย์ทีละนิด  ผ่านทางข้อกำหนดเหล่านี้ซึ่งก็คือพระวจนะ และผ่านทางบัญญัติเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานความเข้าใจเกี่ยวกับพระองค์เองทีละน้อย ประทานความซึ้งคุณค่าและความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของพระองค์เองทีละน้อย รวมทั้งแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับสัมพันธภาพระหว่างพระองค์กับมนุษย์  หลังจากที่สัมฤทธิ์ผลนี้แล้ว เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงทรงสามารถทำพระราชกิจที่พระองค์จะทรงทำในภายหลังได้ทีละเล็กทีละน้อย  ด้วยเหตุนี้ บัญญัติเหล่านี้และพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติจึงเป็นฐานรากของพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระองค์ และเป็นช่วงระยะแรกของพระราชกิจในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าก่อนหน้าพระราชกิจของยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าได้ตรัสกับอาดัม เอวา และลูกหลานของพวกเขาไปแล้ว แต่พระบัญชาและคำสอนเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นระบบหรือเฉพาะเจาะจงพอที่จะกำหนดออกมาแก่มนุษย์ทีละข้อ และพระบัญชาและคำสอนเหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้กลายเป็นบัญญัติ  นั่นเป็นเพราะว่าแผนการของพระเจ้าในเวลานั้นไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น มีเพียงเมื่อพระเจ้าได้ทรงนำทางมนุษย์มาสู่ขั้นตอนนี้แล้วเท่านั้นพระเจ้าจึงทรงสามารถเริ่มตรัสบัญญัติแห่งยุคธรรมบัญญัติเหล่านี้ และเริ่มทำให้มนุษย์ดำเนินการตามบัญญัติเหล่านั้นได้  มันเป็นกระบวนการที่จำเป็น และจุดจบเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ข้อบังคับและบัญญัติง่ายๆ เหล่านี้แสดงให้มนุษย์เห็นขั้นตอนต่างๆ ในพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้า และพระปรีชาญาณของพระเจ้าได้เปิดเผยอยู่ในแผนการบริหารจัดการของพระองค์  พระเจ้าทรงรู้ว่าจะทรงใช้เนื้อหาและวิธีการใดเพื่อเริ่มต้น จะทรงใช้วิธีการใดเพื่อสานต่อ และจะทรงใช้วิธีการใดเพื่อสิ้นสุด เพื่อให้พระองค์ทรงสามารถได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งที่เป็นคำพยานต่อพระองค์ และเพื่อให้พระองค์ทรงสามารถได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งที่มีจิตใจเดียวกันกับพระองค์  พระองค์ทรงรู้ว่าสิ่งใดอยู่ภายในตัวมนุษย์ และทรงรู้ว่าสิ่งใดที่ขาดแคลนในตัวมนุษย์  พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ต้องทรงจัดเตรียมสิ่งใด และพระองค์ควรจะทรงนำทางมนุษย์อย่างไร และดังนั้น พระองค์ทรงรู้เช่นกันว่ามนุษย์ควรและไม่ควรจะทำสิ่งใด  มนุษย์เป็นเหมือนหุ่นเชิด กล่าวคือ แม้เขาจะไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่เขาก็มีพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าคอยชี้นำไปทีละก้าวมาจนถึงทุกวันนี้อยู่ดี  ไม่มีความพร่ามัวในพระทัยของพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์จะทรงทำ ในพระทัยของพระองค์นั้นมีแผนที่ชัดเจนและสดใสอย่างมาก และพระองค์ได้ทรงดำเนินพระราชกิจที่พระองค์ด้วยพระองค์เองทรงปรารถนาที่จะทำตามขั้นตอนต่างๆ ของพระองค์และแผนการของพระองค์ โดยก้าวหน้าจากความผิวเผินไปสู่ความลึกซึ้ง  ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ได้ทรงบ่งชี้ถึงพระราชกิจที่พระองค์จะทรงกระทำในภายหลัง พระราชกิจที่ตามมาของพระองค์ก็ยังคงได้รับการดำเนินการต่อเนื่องไปและก้าวหน้าไปด้วยความสอดคล้องอย่างเข้มงวดกับแผนของพระองค์ ซึ่งเป็นการสำแดงถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และยังเป็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าและอีกด้วย  ไม่ว่าพระองค์กำลังทรงพระราชกิจในแผนการบริหารจัดการของพระองค์ช่วงระยะใดก็ตาม พระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ก็เป็นตัวแทนของพระองค์เอง  การนี้เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน  ไม่ว่ายุคใด หรือจะเป็นพระราชกิจช่วงระยะใด มีสิ่งต่างๆ ที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นั่นคือ ประเภทของผู้คนที่พระเจ้าทรงรัก ประเภทของผู้คนที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง พระอุปนิสัยของพระองค์ และทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น  ถึงแม้ว่าบัญญัติและหลักการที่พระเจ้าทรงกำหนดขึ้นในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติเหล่านี้ดูเหมือนจะเรียบง่ายและผิวเผินอย่างมากสำหรับมนุษย์ในวันนี้ และถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะง่ายที่จะเข้าใจและสัมฤทธิ์ผล ในสิ่งเหล่านั้นก็ยังคงมีพระปรีชาญาณของพระเจ้า และยังคงมีพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  เนื่องจากภายในบัญญัติที่เห็นได้ชัดว่าเรียบง่ายเหล่านี้ได้แสดงถึงหน้าที่รับผิดชอบและการเอาใจใส่ต่อมวลมนุษย์ของพระเจ้า ตลอดจนเนื้อแท้ที่ประณีตแห่งพระดำริของพระองค์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ตระหนักอย่างแท้จริงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และทุกสรรพสิ่งถูกควบคุมด้วยพระหัตถ์ของพระองค์  ไม่สำคัญว่ามนุษย์เข้าใจถ่องแท้ในความรู้มากเพียงใด หรือเขาเข้าใจทฤษฏีและความล้ำลึกมากมายเพียงใด สำหรับพระเจ้าแล้วนั้นไม่มีสิ่งใดที่สามารถแทนที่การจัดเตรียมให้มวลมนุษย์และการเป็นผู้ทรงนำมวลมนุษย์ของพระองค์ได้ มวลมนุษย์จะไม่สามารถแยกจากการทรงนำของพระเจ้าและพระราชกิจส่วนพระองค์ของพระเจ้าได้ตลอดไป  เช่นนั้นคือสัมพันธภาพที่ไม่อาจแยกกันได้ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงมอบพระบัญญัติหรือบัญญัติข้อหนึ่งแก่เจ้า หรือประทานความจริงเพื่อให้เจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ก็ตาม ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด จุดมุ่งหมายของพระเจ้าก็คือเพื่อทรงนำมนุษย์ไปสู่วันพรุ่งนี้ที่สวยงาม  พระวจนะที่พระเจ้าทรงดำรัสและพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำนั้นเป็นทั้งการเปิดเผยถึงแง่มุมหนึ่งแห่งเนื้อแท้ของพระองค์ และการเปิดเผยถึงแง่มุมหนึ่งแห่งพระอุปนิสัยของพระองค์และพระปรีชาญาณของพระองค์ การเปิดเผยเหล่านั้นเป็นขั้นตอนที่ขาดเสียไม่ได้ในแผนการบริหารจัดการของพระองค์  เรื่องนี้ต้องไม่ถูกมองข้าม!  เจตนารมณ์ของพระเจ้าอยู่ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ พระเจ้าไม่ทรงเกรงคำพูดที่ผิดที่ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงกลัวมโนคติที่หลงผิดหรือความคิดใดๆ ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับพระองค์  พระองค์แค่ทรงพระราชกิจของพระองค์และทรงสานต่อการบริหารจัดการของพระองค์ตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ โดยไม่ถูกจำกัดโดยบุคคล เรื่องราว หรือสิ่งของใดๆ

ดี  สำหรับวันนี้ก็มีทั้งหมดเท่านี้  พบกันครั้งต่อไป!

9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013

ก่อนหน้า: พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

ถัดไป: พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger