พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

การสามัคคีธรรมไม่กี่ครั้งที่ผ่านมาของพวกเรามีผลต่อพวกเจ้าทุกคนอย่างมาก  ในตอนนี้ ท้ายที่สุดแล้วผู้คนก็สามารถรู้สึกได้จริงๆ ถึงการมีอยู่จริงของพระเจ้า และว่าที่จริงแล้วพระเจ้าทรงอยู่ใกล้มนุษย์มาก  ถึงแม้ว่าผู้คนอาจเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยเข้าใจพระดำริและแนวความคิดของพระองค์อย่างแท้จริงเหมือนกับที่พวกเขาเข้าใจในตอนนี้ อีกทั้งพวกเขาไม่เคยได้รับประสบการณ์กับกิจการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์เหมือนกับที่พวกเขาได้รับในตอนนี้  ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือการปฏิบัติจริง ผู้คนส่วนใหญ่ก็ได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่ใหม่และสัมฤทธิ์ผลในความเข้าใจที่สูงขึ้น พวกเขาได้ตระหนักถึงความผิดพลาดในการไล่ตามเสาะหาในอดีตของพวกเขาเอง ตระหนักถึงความผิวเผินในประสบการณ์ของพวกเขา และตระหนักว่ามีประสบการณ์ของพวกเขามากมายเกินไปที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และตระหนักว่าสิ่งที่มนุษย์ขาดมากที่สุดก็คือความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ในส่วนของมนุษย์นั้น ความรู้นี้เป็นแค่ความรู้ประเภทหนึ่งซึ่งอ้างอิงตามการรับรู้ การที่จะขึ้นสู่ระดับความรู้ที่รู้จักเหตุผลได้นั้นจำเป็นต้องมีการทำให้ความรู้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อยโดยผ่านทางประสบการณ์ของคนเรา  ก่อนที่มนุษย์จะเข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง สามารถพูดตามความรู้สึกของแต่ละคนได้ว่าพวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีความเข้าใจจริงๆ เกี่ยวกับคำถามที่เฉพาะเจาะจงต่างๆ เช่น จริงๆ แล้วพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแบบใด เจตนารมณ์ของพระองค์เป็นเช่นใด พระอุปนิสัยของพระองค์เป็นเช่นใด และท่าทีจริงๆ ที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์เป็นอย่างไร  นี่ส่งผลร้ายต่อความเชื่อที่ผู้คนมีในพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และขัดขวางความเชื่อของพวกเขาไม่ให้มีวันสัมฤทธิ์ผลในความบริสุทธิ์หรือความเพียบพร้อม  ถึงแม้ว่าเจ้าจะเผชิญกับพระวจนะของพระเจ้าซึ่งๆ หน้า หรือรู้สึกว่าเจ้าได้พบปะกับพระเจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ของเจ้า ก็ยังคงไม่สามารถกล่าวได้ว่าเจ้าเข้าใจพระองค์อย่างบริบูรณ์แล้วอยู่ดี  เพราะเจ้าไม่รู้พระดำริของพระเจ้า หรือสิ่งที่พระองค์ทรงรักและสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด สิ่งที่ทำให้พระองค์กริ้วและสิ่งที่นำความปีติยินดีมาสู่พระองค์ ดังนั้น เจ้าจึงไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระองค์  ความเชื่อของเจ้าสร้างขึ้นบนรากฐานของความคลุมเครือและจินตนาการ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากความอยากส่วนตัวของเจ้า  ความเชื่อของเจ้ายังคงไกลจากความเชื่อที่จริงแท้ และเจ้ายังคงไกลจากการเป็นผู้ติดตามที่แท้จริง  คำอธิบายของตัวอย่างจากเรื่องราวในพระคัมภีร์เหล่านี้ทำให้มนุษย์สามารถรู้พระทัยของพระเจ้า พระองค์กำลังทรงดำริสิ่งใดในทุกๆ ขั้นตอนในพระราชกิจของพระองค์และเหตุใดพระองค์จึงทรงพระราชกิจนี้ เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระองค์คืออะไรและแผนของพระองค์คืออะไรเมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจ พระองค์ทรงสัมฤทธิ์ผลในความคิดเห็นของพระองค์อย่างไร และพระองค์ทรงตระเตรียมและพัฒนาแผนของพระองค์อย่างไร  โดยผ่านทางเรื่องราวเหล่านี้ เราสามารถได้รับความเข้าใจที่ละเอียดและเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับทุกเจตนารมณ์ที่เฉพาะเจาะจงและทุกพระดำริจริงๆ ของพระเจ้าในช่วงระหว่างพระราชกิจการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ และท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกมนุษย์ในเวลาที่แตกต่างกันและในยุคที่แตกต่างกันได้  หากผู้คนสามารถเข้าใจว่าพระองค์ทรงพระดำริสิ่งใด ท่าทีของพระองค์ทรงเป็นอย่างไร และพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงเผยขณะที่พระองค์ทรงเผชิญกับทุกสถานการณ์ สิ่งนี้สามารถช่วยให้ทุกบุคคลตระหนักถึงการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้าได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และรู้สึกถึงความสัมพันธ์กับชีวิตจริงและความจริงแท้ของพระองค์ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น  เป้าหมายของเราในการเล่าเรื่องราวเหล่านี้นั้นไม่ใช่เพื่อให้ผู้คนเข้าใจประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ หรือไม่ใช่เพื่อช่วยให้พวกเขาคุ้นเคยกับวรรคต่างๆ ในพระคัมภีร์หรือผู้คนในนั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจภูมิหลังของสิ่งที่พระเจ้าทรงภาคชีวิตจริงในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ  แต่เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระองค์ และทุกส่วนเล็กๆ น้อยๆ ของพระองค์ และได้รับความเข้าใจและความรู้ที่จริงแท้มากขึ้นและถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า  ด้วยวิธีนี้ หัวใจของผู้คนสามารถเปิดรับพระเจ้าได้ทีละเล็กทีละน้อย กลายมาอยู่ใกล้กับพระเจ้า และพวกเขาสามารถเข้าใจพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์ แก่นแท้ของพระองค์ได้ดีขึ้น และรู้จักพระเจ้าที่แท้จริงพระองค์เองได้ดีขึ้น

ความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นสามารถมีผลกระทบในแง่บวกต่อผู้คน  ความรู้นี้สามารถช่วยพวกเขาให้มีความมั่นใจในพระเจ้ามากขึ้น และช่วยให้พวกเขาสัมฤทธิ์การนบนอบและการยำเกรงพระองค์  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะไม่ติดตามหรือนมัสการพระองค์อย่างหูหนวกตาบอดอีกต่อไป  พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์คนโง่หรือผู้ที่ติดตามฝูงชนอย่างหูหนวกตาบอด แต่ทรงต้องประสงค์กลุ่มผู้คนที่มีความเข้าใจและความรู้ที่ชัดเจนในหัวใจของพวกเขาเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสามารถกเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้ ผู้คนที่จะไม่มีวันทิ้งขว้างพระเจ้า เพราะความดีงามของพระองค์ เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และเพราะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  ในฐานะผู้ติดตามพระเจ้า หากในหัวใจของเจ้ายังคงขาดความชัดเจน หรือมีความกำกวม หรือความสับสนเกี่ยวกับการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และแผนของพระองค์ที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เช่นนั้นแล้วความเชื่อของเจ้าก็ไม่สามารถได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ให้บุคคลประเภทนี้ติดตามพระองค์ และพระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้บุคคลประเภทนี้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์  เพราะบุคคลประเภทนี้ไม่เข้าใจพระเจ้า พวกเขาจึงไม่สามารถมอบหัวใจของพวกเขาให้แก่พระเจ้าได้—หัวใจของพวกเขาปิดรับพระองค์ ดังนั้นความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความไม่บริสุทธิ์  การติดตามพระเจ้าของพวกเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นการติดตามอย่างหูหนวกตาบอดเท่านั้น  ผู้คนสามารถเพียงได้รับความเชื่อที่แท้จริงและเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงได้หากพวกเขามีความเข้าใจและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งทำให้ภายในตัวพวกเขาเกิดการนบนอบและความยำเกรงพระเจ้าอย่างแท้จริง  พวกเขาสามารถมอบหัวใจของพวกเขาให้กับพระเจ้าและเปิดหัวใจรับพระองค์ได้ด้วยวิธีนี้เท่านั้น  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ เพราะทุกสิ่งที่พวกเขาทำและคิดสามารถทานทนต่อการทดสอบของพระเจ้า และสามารถเป็นพยานต่อพระเจ้าได้  ทุกสิ่งที่เราสื่อสารกับพวกเจ้าเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น หรือเจตนารมณ์และพระดำริของพระองค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ และไม่ว่าเราจะกล่าวถึงสิ่งนั้นจากมุมมองใดๆ ก็ตามหรือจากมุมใดๆ ก็ตาม ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อช่วยให้เจ้ามั่นใจมากขึ้นว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เข้าใจและซาบซึ้งมากขึ้นอย่างแท้จริงในความรักที่พระองค์ทรงมีให้แก่มวลมนุษย์ เข้าใจและซาบซึ้งมากขึ้นโดยแท้ในความกังวลที่พระองค์ทรงมีในตัวผู้คน รวมทั้งเจตนารมณ์อันแท้จริงของพระองค์ที่จะบริหารจัดการและช่วยมวลมนุษย์ให้รอด

ย้อนมองพระดำริ แนวพระดำริ และกิจการของพระเจ้านับตั้งแต่การสร้างโลกของพระองค์

วันนี้ ในอันดับแรกพวกเราจะสรุปเกี่ยวกับพระดำริและแนวความคิดของพระเจ้า และการเคลื่อนไหวทุกๆ ประการของพระองค์นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์  พวกเราจะดูว่าพระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจใด นับตั้งแต่การสร้างโลกไปจนถึงการเริ่มยุคพระคุณอย่างเป็นทางการ  จากนั้น พวกเราจึงสามารถค้นพบได้ว่าพระดำริและแนวความคิดใดของพระองค์ที่มนุษย์ไม่รู้ และจากจุดนั้น พวกเราสามารถชี้แจงลำดับของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และเข้าใจบริบทที่พระเจ้าได้ทรงสร้างพระราชกิจการบริหารจัดการของพระองค์ แหล่งที่มา และกระบวนการพัฒนาของแผนนั้นได้อย่างถ้วนทั่ว และยังเข้าใจผลลัพธ์ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์จากแผนการบริหารจัดการของพระองค์—นั่นคือ แกนหลักและจุดประสงค์ของแผนการบริหารจัดการของพระองค์ได้อย่างถ้วนทั่วด้วย  เพื่อให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ พวกเราจำเป็นต้องกลับไปยังช่วงเวลาอันไกลโพ้นที่นิ่งเงียบเมื่อครั้งที่ยังไม่มีพวกมนุษย์…

พระเจ้าทรงสร้างบุคคลที่มีชีวิตคนแรกด้วยพระองค์เอง

เมื่อพระเจ้าทรงลุกจากพระแท่นบรรทมของพระองค์ พระดำริแรกที่พระองค์ทรงมีคือสิ่งนี้: การสร้างบุคคลที่มีชีวิต—มนุษย์ที่มีชีวิตที่แท้จริง—ใครสักคนที่ใช้ชีวิตและเป็นสหายของพระองค์เสมอ บุคคลนี้สามารถรับฟังพระองค์ และพระองค์สามารถปรับทุกข์และตรัสกับบุคคลผู้นั้นได้  จากนั้น พระองค์ทรงช้อนฝุ่นมาหนึ่งกำพระหัตถ์และใช้มันสร้างบุคคลที่มีชีวิตคนแรกเป็นครั้งแรกตามพระฉายาที่พระองค์ได้ทรงจินตนาการไว้ในจิตใจของพระองค์ และจากนั้นพระองค์ได้ประทานชื่อให้กับสิ่งทรงสร้างซึ่งมีชีวิตนี้—อาดัม  ทันทีที่พระเจ้าทรงมีบุคคลที่มีชีวิตและหายใจนี้แล้ว พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร?  พระองค์ทรงรู้สึกเป็นครั้งแรกถึงความชื่นบานของการมีผู้ที่เป็นที่รัก มีสหาย  พระองค์ยังทรงรู้สึกเป็นครั้งแรกถึงความรับผิดชอบในการเป็นบิดา และความกังวลที่มาพร้อมความรับผิดชอบนั้น  บุคคลที่มีชีวิตและหายใจนี้นำความสุขและความชื่นบานมาสู่พระเจ้า พระองค์รู้สึกสบายพระทัยเป็นครั้งแรก  นี่คือสิ่งแรกที่พระเจ้าทรงทำ ซึ่งไม่ได้สำเร็จลุล่วงด้วยพระดำริหรือแม้กระทั่งพระวจนะของพระองค์ แต่ทรงกระทำด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง  เมื่อสิ่งประเภทนี้—บุคคลที่มีชีวิตและหายใจ—ที่ทำจากเลือดเนื้อ พร้อมด้วยร่างกายและรูปร่าง และสามารถพูดคุยกับพระเจ้ามายืนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับความชื่นบานแบบที่พระองค์ไม่เคยทรงรู้สึกมาก่อน  พระองค์ทรงรู้สึกถึงความรับผิดชอบของพระองค์อย่างแท้จริง และสิ่งมีชีวิตนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พระองค์ทรงเกิดความเห็นพระทัยเท่านั้น แต่ยังทำให้พระทัยของพระองค์อบอุ่นและเร้าพระทัยของพระองค์ในทุกๆ การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำ  เมื่อสิ่งมีชีวิตนี้ยืนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นั่นเป็นครั้งแรกที่พระองค์มีพระดำริที่จะได้มาซึ่งผู้คนเช่นนั้นเพิ่มขึ้น  นี่คือลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เริ่มต้นขึ้นด้วยพระดำริแรกที่พระเจ้าทรงมีนี้  สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ในเหตุการณ์แรกๆ เหล่านี้ ไม่ว่าพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น—ความชื่นบาน ความรับผิดชอบ ความกังวล—พระองค์ทรงไม่มีผู้ใดให้แบ่งปันความรู้สึกนั้นด้วย  นับตั้งแต่ชั่วขณะนั้น พระเจ้าทรงรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาและความเสียพระทัยที่พระองค์ไม่เคยทรงได้ประสบการณ์มาก่อนอย่างแท้จริง  พระองค์ทรงรู้สึกว่ามนุษย์ไม่สามารถยอมรับหรือจับใจความความรักและความกังวลของพระองค์ หรือเจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษย์ได้ ดังนั้นพระองค์จึงยังทรงรู้สึกโทมนัสและเจ็บปวดในพระทัยของพระองค์  ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้เพื่อมนุษย์ มนุษย์ก็ไม่ตระหนักรู้ถึงสิ่งนั้นและไม่เข้าใจ  นอกเหนือจากความสุขแล้ว ความชื่นบานและความสบายพระทัยที่มนุษย์นำมาให้พระองค์ยังทำให้พระองค์รู้สึกถึงความโทมนัสและความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเป็นครั้งแรกอย่างรวดเร็วด้วย  เหล่านี้คือพระดำริและความรู้สึกของพระเจ้าในเวลานั้น  ในขณะที่พระเจ้ากำลังทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนั้น ในพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงเปลี่ยนจากความชื่นบานเป็นความโทมนัส และจากความโทมนัสเป็นความเจ็บปวด และความรู้สึกเหล่านี้ผสมผสานกับความวิตกกังวล  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำคือการเร่งรีบทำให้บุคคลนี้ มนุษย์ผู้นี้ รู้สิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระองค์ และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์เร็วขึ้น  เมื่อนั้นพวกเขาจึงจะสามารถกลายเป็นผู้ติดตามของพระองค์ และมีความคิดเหมือนกับพระดำริของพระองค์ และเห็นพ้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์  พวกเขาจะไม่แค่รับฟังพระเจ้าตรัสและนิ่งเงียบอีกต่อไป พวกเขาจะตระหนักรู้วิธีการเข้าร่วมกับพระเจ้าในพระราชกิจของพระองค์  เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาจะไม่เป็นผู้คนที่ไม่แยแสต่อข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าอีกต่อไป  สิ่งแรกๆ เหล่านี้ที่พระเจ้าทรงทำมีความหมายอย่างยิ่ง และมีคุณค่ายิ่งใหญ่สำหรับแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และสำหรับมนุษย์ในวันนี้

หลังจากที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและมวลมนุษย์แล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงหยุดพัก  พระองค์ทรงกระวนกระวายและกระตือรือร้นที่จะดำเนินการบริหารจัดการของพระองค์ และทรงกระวนกระวายและกระตือรือร้นที่จะได้รับผู้คนที่พระองค์ทรงรักอย่างยิ่งในหมู่มวลมนุษย์

พระเจ้าทรงพระราชกิจที่ไม่เคยมีมาก่อนติดต่อกันอย่างต่อเนื่องในช่วงประมาณยุคธรรมบัญญัติ

จากนั้น ไม่นานหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้ว พวกเราเห็นจากพระคัมภีร์ว่าได้มีน้ำท่วมครั้งใหญ่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก  ในบันทึกเกี่ยวกับน้ำท่วมนั้นมีการกล่าวถึงโนอาห์ และสามารถกล่าวได้ว่าโนอาห์คือบุคคลแรกที่ได้รับการทรงเรียกของพระเจ้า ให้ทำงานร่วมกับพระองค์เพื่อทำให้พระราชกิจของพระเจ้าครบบริบูรณ์  แน่นอนว่านี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่พระเจ้าได้ทรงเรียกบุคคลบนแผ่นดินโลกให้ทำบางสิ่งบางอย่างตามพระบัญชาของพระองค์ ทันทีที่โนอาห์สร้างเรือเสร็จแล้ว พระเจ้าทรงทำให้น้ำท่วมแผ่นดินโลกเป็นครั้งแรก  เมื่อพระเจ้าทรงทำลายแผ่นดินโลกด้วยน้ำท่วม นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การทรงสร้างมนุษย์ที่พระองค์ทรงมีความรู้สึกรังเกียจพวกเขาอย่างยิ่ง นี่คือสิ่งที่ผลักดันให้พระเจ้าตัดสินพระทัยด้วยความเจ็บปวดที่จะทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้โดยผ่านทางน้ำท่วม  หลังจากที่น้ำท่วมได้ทำลายแผ่นดินโลกแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำพันธสัญญาแรกของพระองค์กับมนุษย์ พันธสัญญาที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์จะไม่มีวันทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วมอีก  เครื่องหมายแห่งพันธสัญญานี้คือรุ้ง  นี่คือพันธสัญญาแรกของพระเจ้าที่ทรงมีกับมนุษย์ ดังนั้นรุ้งจึงเป็นเครื่องหมายแรกแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าประทานให้ รุ้งเป็นสิ่งทางกายภาพที่เป็นจริงที่มีอยู่ การมีอยู่จริงของรุ้งนี่เองที่ทำให้พระเจ้ารู้สึกเสียพระทัยอยู่บ่อยครั้งเพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนหน้านี้ซึ่งพระองค์ได้สูญเสียไป และทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนให้พระองค์ทรงระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาอยู่เสมอ… พระเจ้าไม่ทรงชะลอย่างพระบาทของพระองค์ลง—พระองค์ทรงกระวนกระวายและกระตือรือร้นที่จะดำเนินขั้นตอนต่อไปในการบริหารจัดการของพระองค์  หลังจากนั้น พระเจ้าได้ทรงเลือกอับราฮัมเป็นตัวเลือกแรกของพระองค์สำหรับพระราชกิจของพระองค์ทั่วทั้งอิสราเอล  นี่เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกันที่พระเจ้าทรงเลือกผู้ที่อาจเหมาะสมเช่นนั้น  พระเจ้าตัดสินพระทัยแน่วแน่ที่จะปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดโดยผ่านทางบุคคลนี้ และจะปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ต่อไปท่ามกลางพงศ์พันธุ์ของบุคคลนี้  พวกเราสามารถเห็นได้จากพระคัมภีร์ว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำกับอับราฮัม  พระเจ้าจึงได้ทรงทำให้อิสราเอลเป็นแผ่นดินแรกที่ได้รับเลือก และทรงเริ่มต้นพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติของพระองค์โดยผ่านทางผู้คนที่ได้รับเลือกนี้ นั่นคือ คนอิสราเอล อีกครั้งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมกฎและบทบัญญัติที่ชัดแจ้งทั้งหลายที่มวลมนุษย์ควรปฏิบัติตามให้แก่คนอิสราเอลเป็นครั้งแรก และพระองค์ทรงอธิบายสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียด  นี่เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมกฎที่เป็นมาตรฐานที่เฉพาะเจาะจงเช่นนั้นว่าพวกเขาควรพลีอุทิศอย่างไร พวกเขาควรใช้ชีวิตอย่างไร พวกเขาควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร เทศกาลและวันใดที่พวกเขาควรทำตาม และหลักการที่ควรปฏิบัติตามในทุกสิ่งที่พวกเขาได้ทำให้แก่พวกมนุษย์  นี่เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าประทานกฎระเบียบและหลักการที่ละเอียดและเป็นมาตรฐานเช่นนั้นเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิตของตนให้แก่มวลมนุษย์

ในแต่ละครั้งที่เราพูดว่า “เป็นครั้งแรก” วลีนั้นหมายถึงประเภทของพระราชกิจที่พระเจ้าไม่เคยทรงทำมาก่อน  วลีนั้นหมายถึงพระราชกิจที่ไม่มีอยู่ก่อนหน้านั้น และถึงแม้ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างมวลมนุษย์และสรรพสิ่งทรงสร้างและสิ่งมีชีวิตทุกลักษณะขึ้นมาแล้ว นี่ก็เป็นพระราชกิจประเภทหนึ่งที่พระองค์ไม่เคยทรงทำมาก่อน  พระราชกิจทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการมวลมนุษย์ของพระเจ้า ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนและความรอดของพระองค์ และการบริหารจัดการพวกเขา  หลังจากอับราฮัม พระเจ้าทรงทำอะไรบางอย่างเป็นครั้งแรกอีกครั้ง—พระองค์ทรงเลือกโยบให้เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติ และผู้ที่สามารถทานทนต่อการทดลองของซาตาน ในขณะที่ยังคงยำเกรงพระเจ้า หลบเลี่ยงความชั่ว และยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า  นี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองบุคคล และเป็นครั้งแรกที่พระองค์ทรงวางเดิมพันกับซาตาน  ท้ายที่สุดแล้ว เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าทรงได้รับคนบางคนที่สามารถยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์และเป็นพยานต่อพระองค์ในขณะที่เผชิญหน้ากับซาตาน และบางคนที่สามารถทำให้ซาตานอับอายอย่างถ้วนทั่ว  นับตั้งแต่ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา นี่คือบุคคลแรกที่พระองค์ทรงได้รับมาซึ่งสามารถเป็นพยานเพื่อพระองค์ได้  ทันทีที่พระองค์ทรงได้รับมนุษย์ผู้นี้มาแล้ว พระเจ้าทรงมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้นไปอีกที่จะดำเนินการบริหารจัดการของพระองค์ต่อไปและดำเนินช่วงระยะต่อไปในพระราชกิจของพระองค์ โดยทรงตระเตรียมสถานที่และผู้คนที่พระองค์จะทรงเลือกสำหรับขั้นตอนต่อไปในพระราชกิจของพระองค์

หลังจากที่ได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว พวกเจ้ามีความเข้าใจอันถ่องแท้ในเจตนารมณ์ของพระเจ้ากันบ้างหรือไม่?  พระเจ้าทรงคำนึงถึงกรณีการบริหารจัดการมวลมนุษย์นี้ของพระองค์ กรณีการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระองค์ว่ามีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด  พระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงด้วยพระดำริของพระองค์ และไม่เพียงด้วยพระวจนะของพระองค์ และแน่นอนว่าพระองค์ไม่ได้ทรงทำสิ่งเหล่านั้นในลักษณะที่ไม่ใส่พระทัย—แต่พระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ด้วยเจตนารมณ์ของพระองค์ พร้อมกับการมีแผนการ เป้าหมาย และมาตรฐาน  สามารถเห็นได้ว่ากรณีของพระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งพระเจ้าและมนุษย์  ไม่ว่าพระราชกิจนี้จะยากลำบากเพียงใด ไม่ว่าอุปสรรคขวากหนามที่มีต่อพระราชกิจนี้จะใหญ่หลวงเพียงใด ไม่ว่ามนุษย์จะอ่อนแอเพียงใด หรือความเป็นกบฏของมนุษย์จะดิ่งลึกเพียงใด ไม่มีสิ่งใดในนี้ที่ลำบากยากเย็นสำหรับพระเจ้า  พระเจ้าพระองค์เองทรงยุ่งอยู่กับกิจธุระตลอดเวลา พระองค์กำลังทรงสละทุกหยาดหยดจากพระหทัยของพระองค์ และพระองค์กำลังทรงบริหารจัดการพระราชกิจที่พระองค์ทรงประสงค์จะดำเนินการ  พระองค์ยังกำลังทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่ง และพระองค์กำลังทรงครองอธิปไตยเหนือผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดที่พระองค์ทรงประสงค์จะทรงพระราชกิจ และเหนือพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงประสงค์จะทำ—ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน  นี่เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าได้ทรงใช้วิธีการเหล่านี้และทรงจ่ายราคามากมายเช่นนั้นเพื่อดำเนินโครงการอันสำคัญยิ่งนี้เพื่อบริหารจัดการและช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  ในขณะที่พระเจ้ากำลังทรงดำเนินพระราชกิจทั้งหมดนี้ พระองค์กำลังทรงแสดงออกและทรงหลั่งทุกหยาดหยดจากพระหทัยของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พระปัญญาและมหิทธานุภาพของพระองค์ รวมทั้งอุปนิสัยทุกแง่มุมของพระองค์ออกสู่มวลมนุษย์ทีละน้อยโดยไม่สงวนไว้เลย  การแสดงออกและการปลดปล่อยวิธีการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน  ดังนั้น นอกเหนือจากผู้คนที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายที่จะบริหารจัดการและช่วยให้รอดแล้ว ในทั้งจักรวาลก็ไม่เคยมีสิ่งทรงสร้างใดที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าถึงเพียงนั้น ได้มีสัมพันธภาพอันสนิทสนมกับพระองค์ถึงปานนั้น  ในพระหทัยของพระเจ้านั้น มวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงต้องการบริหารจัดการและช่วยให้รอดนั้นสำคัญที่สุด และพระองค์ทรงให้คุณค่ากับมวลมนุษย์นี้เหนือสิ่งอื่นใด  แม้ว่าพระองค์ได้ทรงจ่ายราคาอันใหญ่หลวงเพื่อพวกเขา และแม้ว่าพระองค์ทรงถูกทำร้ายและถูกพวกเขากบฏอย่างต่อเนื่อง แต่พระองค์ก็ไม่มีการพร่ำบ่นหรือมีความเสียพระทัยเลย  พระองค์ยังคงไม่ทรงไปจากพวกเขาหรือทรงถอดใจจากพวกเขา และพระองค์ยังคงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์อย่างไม่ว่างเว้น  นี่เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงรู้ว่าในไม่ช้าก็เร็ว จะถึงวันที่ผู้คนซึ่งตื่นรับการเรียกจากพระวจนะของพระองค์จะได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวจนะของพระองค์ ตระหนักว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และหวนคืนเคียงข้างพระองค์…

หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ทั้งหมดในวันนี้ พวกเจ้าอาจรู้สึกว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นช่างปกติยิ่ง  ดูเหมือนว่าพวกมนุษย์จะได้รู้สึกถึงเจตนารมณ์บางส่วนที่พระเจ้าทรงมีให้กับพวกเขามาตลอด จากพระวจนะของพระองค์และจากพระราชกิจของพระองค์ แต่ระหว่างความรู้สึกของพวกเขาหรือความรู้ของพวกเขากับสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงดำรินั้นมีระยะห่างที่แน่นอนอยู่  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องสื่อสารกับผู้คนทั้งหมดว่าเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้น และภูมิหลังที่อยู่เบื้องหลังความปรารถนาของพระองค์ที่จะได้รับมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงหวังไว้  การแบ่งปันสิ่งนี้กับทุกคนเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ทุกคนมีความชัดเจนและเข้าใจการนี้ในหัวใจของตน  เพราะทุกพระดำริและแนวความคิดของพระเจ้า และทุกระยะและทุกช่วงเวลาของพระราชกิจของพระองค์เกี่ยวพันและเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับพระราชกิจบริหารจัดการทั้งหมดของพระองค์ ดังนั้น เมื่อเจ้าเข้าใจพระดำริของพระเจ้า แนวความคิด และเจตนารมณ์ของพระองค์ในพระราชกิจทุกๆ ขั้นตอนของพระองค์แล้ว ก็เหมือนกับการเข้าใจว่าพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระองค์เกิดขึ้นอย่างไร  ความเข้าใจพระเจ้าของเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้นบนรากฐานนี้นี่เอง  ถึงแม้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำเมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกเป็นครั้งแรก ซึ่งเราได้กล่าวถึงไปแล้วก่อนหน้านี้ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าเป็นแค่ “ข้อมูล” นั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงเวลาที่เจ้าได้รับประสบการณ์ จะมีวันที่เจ้าไม่คิดว่าสิ่งนี้เป็นบางอย่างที่เรียบง่ายเหมือนกับข้อมูลสองสามชิ้น อีกทั้งสิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงความล้ำลึกบางประเภทเท่านั้น  ในขณะที่ชีวิตของเจ้าเดินหน้าไปนั้น ทันทีที่พระเจ้าทรงมีที่บางแห่งในหัวใจของเจ้าแล้ว หรือทันทีที่เจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์อย่างถี่ถ้วนและลึกซึ้งยิ่งขึ้นแล้ว เมื่อนั้นเจ้าจะเข้าใจความสำคัญและความจำเป็นของสิ่งที่เรากำลังกล่าวถึงในวันนี้อย่างแท้จริง  ไม่ว่าในตอนนี้พวกเจ้าจะเข้าใจเรื่องนี้เท่าใดก็ตาม ก็ยังคงมีความจำเป็นที่พวกเจ้าต้องเข้าใจและรู้จักสิ่งเหล่านี้  เมื่อพระเจ้าทรงทำบางสิ่งบางอย่าง เมื่อพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำด้วยแนวความคิดของพระองค์หรือด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกหรือครั้งสุดท้ายที่พระองค์ทรงทำมัน ที่สุดแล้วพระเจ้าทรงมีแผนการ และจุดประสงค์ของพระองค์และพระดำริของพระองค์อยู่ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  จุดประสงค์และพระดำริเหล่านี้เป็นสิ่งแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้า และแสดงถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  สองสิ่งนี้—พระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น—ต้องเป็นที่เข้าใจโดยทุกๆ บุคคล  ทันทีที่บุคคลหนึ่งเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นแล้ว พวกเขาจะสามารถค่อยๆ เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงทำสิ่งที่พระองค์ทรงทำ และเพราะเหตุใดพระองค์จึงตรัสสิ่งที่พระองค์ตรัส  แล้วจากจุดนั้น พวกเขาจะสามารถมีความเชื่อที่มากขึ้นที่จะติดตามพระเจ้า ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา  นั่นจึงกล่าวได้ว่าความเข้าใจที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้าและความเชื่อที่เขามีในพระเจ้านั้นแยกจากกันไม่ได้

หากสิ่งที่ผู้คนได้รับความรู้และได้มาเข้าใจคือพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น เช่นนั้นแล้วสิ่งที่พวกเขาได้รับก็จะเป็นชีวิตที่มาจากพระเจ้า  ทันทีที่ชีวิตนี้ได้รับการสร้างขึ้นภายในตัวเจ้าแล้ว ความยำเกรงพระเจ้าของเจ้าจะกลายเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ  นี่คือสิ่งที่ได้รับซึ่งได้มาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง  หากเจ้าไม่ต้องการเข้าใจหรือรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือแก่นแท้ของพระองค์ หากเจ้าไม่ต้องการแม้ที่จะครุ่นคิดหรือจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้ เราก็สามารถบอกเจ้าได้ด้วยความมั่นใจว่า วิธีที่เจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้าในปัจจุบันนั้นไม่มีวันสามารถทำให้เจ้าสนองเจตนารมณ์ของพระองค์หรือได้รับการสรรเสริญจากพระองค์ได้  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่มีวันสามารถบรรลุถึงความรอดอย่างแท้จริง—สิ่งเหล่านี้คือผลพวงสุดท้าย  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจพระเจ้าและไม่รู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ หัวใจของพวกเขาก็ไม่มีวันสามารถเปิดรับพระองค์อย่างแท้จริงได้  ทันทีที่พวกเขาเข้าใจพระเจ้าแล้ว พวกเขาจะเริ่มต้นซึ้งคุณค่าและดื่มด่ำกับสิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระองค์ด้วยความสนใจและความเชื่อ  เมื่อเจ้าซึ้งคุณค่าและดื่มด่ำกับสิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระเจ้าแล้ว หัวใจของเจ้าจะค่อยๆ เปิดรับพระองค์ทีละเล็กละน้อย  เมื่อหัวใจของพวกเจ้าเปิดรับพระองค์แล้ว เจ้าจะรู้สึกว่าการโต้ตอบแลกเปลี่ยนกับพระเจ้าของเจ้า สิ่งที่เจ้าร้องขอจากพระเจ้า และความอยากอันฟุ้งเฟ้อของพวกเจ้าเองช่างน่าอับอายและน่าเหยียดหยามเพียงใด  เมื่อหัวใจของเจ้าเปิดรับพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าจะมองเห็นว่าพระทัยของพระองค์ช่างเป็นโลกที่ไม่สิ้นสุด และเจ้าจะเข้าสู่อาณาจักรที่เจ้าไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยมาก่อน  ในอาณาจักรนี้ไม่มีการคดโกง ไม่มีการหลอกลวง ไม่มีความมืด และไม่มีความชั่ว  มีเพียงความจริงใจและความสัตย์ซื่อ มีเพียงความสว่างและความเที่ยงธรรม มีเพียงความชอบธรรมและความใจดี  อาณาจักรนี้เต็มไปด้วยความรักและความใส่ใจ เต็มไปด้วยความสงสารและการทนยอมรับ และเจ้าจะรู้สึกถึงความสุขและความชื่นบานของการมีชีวิตโดยผ่านทางอาณาจักรนี้  สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้าจะทรงเผยต่อเจ้าเมื่อเจ้าเปิดหัวใจของพวกเจ้าเพื่อรับพระองค์  โลกที่ไม่สิ้นสุดนี้เต็มไปด้วยพระปัญญาและมหิทธานุภาพของพระเจ้า และเต็มไปด้วยความรักของพระองค์และสิทธิอำนาจของพระองค์ด้วยเช่นกัน  ที่นี่เจ้าสามารถมองเห็นทุกแง่มุมของสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น สิ่งที่นำความชื่นบานมาให้พระองค์ เหตุผลที่พระองค์ทรงกังวล และเหตุผลที่พระองค์ทรงกลายมาเสียพระทัย เหตุผลที่พระองค์ทรงกลายมากริ้ว… นี่คือสิ่งที่สามารถมองเห็นได้โดยทุกๆ บุคคลที่เปิดหัวใจของพวกเขาและยอมให้พระเจ้าเสด็จเข้ามา  พระเจ้าสามารถเสด็จเข้ามาในหัวใจของเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเจ้าเปิดหัวใจของเจ้าเพื่อรับพระองค์เท่านั้น  หากพระองค์เสด็จเข้ามาในหัวใจของเจ้าแล้ว เจ้าสามารถมองเห็นได้เพียงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และเจ้าสามารถมองเห็นได้เพียงเจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงมีให้แก่เจ้า  ณ ขณะนั้น เจ้าจะค้นพบว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้านั้นช่างล้ำค่า ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้นช่างควรค่าแก่การทะนุถนอมความล้ำค่า  เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้คนเหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ รอบตัวเจ้า และกระทั่งคนที่เจ้ารัก คู่ครองของเจ้า และสิ่งที่เจ้ารัก ก็แทบจะไม่ควรค่าที่จะกล่าวถึง  สิ่งเหล่านั้นช่างเล็กน้อยและช่างต่ำต้อย เจ้าจะรู้สึกว่าไม่มีวันที่วัตถุทางกายใดๆ จะสามารถดึงดูดเจ้าเข้าไปได้อีก หรือว่าวัตถุทางกายใดๆ จะสามารถยั่วยุเจ้าให้จ่ายราคาใดๆ เพื่อมันได้อีก  ในความถ่อมพระทัยของพระเจ้า เจ้าจะมองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์และอำนาจสูงสุดของพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะมองเห็นพระปัญญาอันไม่สิ้นสุดของพระเจ้าและการทนยอมรับของพระองค์ในบางกิจการของพระเจ้าซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าเชื่อว่ามีค่อนข้างเล็กน้อย และเจ้าจะมองเห็นความอดทนของพระองค์ ความอดกลั้นของพระองค์ และความเข้าใจในตัวเจ้าของพระองค์  สิ่งนี้จะก่อให้เกิดการรักใคร่บูชาพระองค์ขึ้นในตัวเจ้า  ในวันนั้น เจ้าจะรู้สึกว่ามวลมนุษย์กำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่โสมมเช่นนั้น และรู้สึกว่าผู้คนข้างๆ เจ้าและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเจ้า หรือแม้กระทั่งผู้คนที่เป็นที่รักของเจ้า ความรักที่พวกเขามีให้เจ้า และสิ่งที่เรียกว่าการคุ้มครองปกป้องของพวกเขา หรือความกังวลเกี่ยวกับเจ้าของพวกเขา ก็ไม่แม้แต่จะควรค่าแก่การกล่าวถึง—มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นที่รักของเจ้า และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่เจ้าทะนุถนอมความล้ำค่ามากที่สุด  เมื่อวันนั้นมาถึง เราเชื่อว่าจะมีบางคนพูดว่า  ความรักของพระเจ้าช่างยิ่งใหญ่ และแก่นแท้ของพระองค์ช่างบริสุทธิ์ยิ่ง—ในพระเจ้าไม่มีการหลอกลวง ไม่มีความชั่ว ไม่มีความอิจฉา และไม่มีความขัดแย้ง แต่มีเพียงความชอบธรรมและความเป็นของแท้เท่านั้น และทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นควรเป็นที่ถวิลหาของมนุษย์  มนุษย์ควรเพียรพยายามและอยากมีสิ่งนั้น  ความสามารถของมวลมนุษย์ในการสัมฤทธิ์ผลในสิ่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานใด?  สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า และความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้า  ดังนั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นจึงเป็นบทเรียนชั่วชีวิตของทุกบุคคล นี่คือเป้าหมายชั่วชีวิตที่ถูกไล่ตามเสาะหาโดยทุกบุคคลที่เพียรพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนและเพียรพยายามที่จะรู้จักพระเจ้า

การบังเกิดเป็นมนุษย์ครั้งแรกของพระเจ้าเพื่อทรงพระราชกิจ

เราเพิ่งพูดถึงพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำและลำดับพระราชกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่พระองค์ได้ทรงดำเนินการไปแล้ว  ทุกๆ สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและเจตนารมณ์ของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ยังเกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าพระองค์เองและแก่นแท้ของพระองค์ด้วยเช่นกัน  หากพวกเราต้องการเข้าใจให้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น พวกเราไม่สามารถหยุดอยู่ที่ภาคพันธสัญญาเดิมหรือที่ยุคธรรมบัญญัติ—เราจำเป็นต้องดำเนินต่อไป โดยเดินตามขั้นตอนที่พระเจ้าทรงปฏิบัติในพระราชกิจของพระองค์  ดังนั้น ในขณะที่พระเจ้าทรงสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติและเริ่มต้นยุคพระคุณ พระองค์ทรงปล่อยให้ฝีเท้าของพวกเราเองตามติดอยู่เบื้องหลังเข้าสู่ยุคพระคุณ—ซึ่งเป็นยุคที่เต็มไปด้วยพระคุณและการไถ่  ในยุคนี้ พระเจ้าทรงทำบางสิ่งบางอย่างที่มีความสำคัญมากและไม่เคยมีการทำมาก่อนอีกครั้ง  สำหรับทั้งพระเจ้าและมวลมนุษย์แล้ว พระราชกิจในยุคนี้เป็นจุดเริ่มต้นใหม่—จุดเริ่มต้นที่ประกอบด้วยพระราชกิจใหม่อีกประการหนึ่งของพระเจ้าที่ไม่เคยมีการทำมาก่อน  พระราชกิจใหม่นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือพลังการจินตนาการของพวกมนุษย์และสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวง  พระราชกิจนี้คือบางสิ่งบางอย่างที่ตอนนี้ทุกผู้คนรู้เป็นอย่างดี—พระเจ้าได้ทรงกลายเป็นมนุษย์เป็นครั้งแรก และพระองค์ได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ในรูปร่างของมนุษย์ ด้วยอัตลักษณ์ของมนุษย์เป็นครั้งแรก  พระราชกิจใหม่นี้มีนัยสำคัญว่าพระเจ้าได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติให้ครบบริบูรณ์แล้ว และว่าพระองค์จะไม่ทรงทำหรือตรัสสิ่งใดภายใต้ธรรมบัญญัตินี้อีกต่อไป  พระองค์ไม่ตรัสหรือไม่ทรงทำสิ่งใดในรูปของธรรมบัญญัติหรือตามหลักการหรือกฎของธรรมบัญญัติ  นั่นคือ พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ที่มีพื้นฐานจากธรรมบัญญัติได้ถูกหยุดลงตลอดไปและจะไม่ดำเนินต่อไป เพราะพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะเริ่มต้นพระราชกิจใหม่และทำสิ่งใหม่  แผนของพระองค์มีจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และดังนั้น พระเจ้าจึงต้องทรงนำมวลมนุษย์ไปสู่ยุคต่อไป

ข่าวนี้เป็นข่าวอันน่าชื่นบานหรือเป็นลางร้ายสำหรับมนุษย์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแก่นแท้ของบุคคลแต่ละคน  สามารถกล่าวได้ว่าสำหรับบางคนแล้ว นี่ไม่ใช่ข่าวอันน่าชื่นบานแต่เป็นลางร้าย เพราะเมื่อพระเจ้าทรงเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ของพระองค์ ผู้คนที่เพิ่งทำตามธรรมบัญญัติและกฎต่างๆ ผู้ที่เพิ่งทำตามคำสอนแต่ไม่ยำเกรงพระเจ้า มีแนวโน้มจะใช้พระราชกิจเก่าของพระเจ้ามากล่าวโทษพระราชกิจใหม่ของพระองค์  สำหรับผู้คนเหล่านี้ นี่คือข่าวที่เป็นลางร้าย  แต่สำหรับทุกบุคคลที่ไร้เดียงสาและเปิดกว้าง ผู้ที่จริงใจต่อพระเจ้าและเต็มใจที่จะได้รับการไถ่ของพระองค์ การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของพระเจ้านั้นเป็นข่าวอันน่าชื่นบานอย่างยิ่ง  เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกมนุษย์ถูกทำให้เกิดขึ้นนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าได้ทรงปรากฏและดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์ในรูปร่างที่ไม่ใช่พระวิญญาณ ในครั้งนี้ พระเจ้าประสูติจากมนุษย์ และดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางผู้คนในฐานะบุตรมนุษย์ และปฏิบัติพระราชกิจท่ามกลางพวกเขา  “ครั้งแรก” นี้ได้ทำลายมโนคติที่หลงผิดของผู้คน สิ่งนี้อยู่เหนือเกินกว่าจินตนาการทั้งหมด  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ติดตามทุกคนของพระเจ้ายังได้รับผลประโยชน์ที่จับต้องได้  พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงสิ้นสุดยุคเก่าเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงสิ้นสุดวิธีการทรงพระราชกิจและลักษณะแนวการทรงพระราชกิจแบบเก่าของพระองค์ด้วย  พระองค์ไม่ทรงขอให้ทูตสวรรค์ของพระองค์มาถ่ายทอดเจตนารมณ์ของพระองค์อีกต่อไป พระองค์ไม่ทรงซ่อนอยู่ในเมฆอีกต่อไป และไม่ทรงปรากฏต่อมนุษย์หรือตรัสกับมนุษย์อย่างสูงใหญ่โดยผ่านทางฟ้าร้องอีกต่อไป  พระองค์ทรงกลายเป็นบุตรมนุษย์เพื่อเริ่มต้นพระราชกิจของยุคนั้น โดยผ่านทางวิธีการที่มนุษย์ไม่อาจจินตนาการได้และที่มนุษย์เข้าใจหรือยอมรับได้ยาก—การบังเกิดเป็นมนุษย์—ซึ่งไม่เหมือนสิ่งใดๆ ที่มีมาก่อน  กิจการนี้ของพระเจ้าเป็นสิ่งที่มวลมนุษย์นึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิง  มันทำให้พวกเขาอับอาย เพราะพระเจ้าทรงเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ที่พระองค์ไม่เคยทรงทำมาก่อนอีกครั้ง  วันนี้ พวกเราจะมาดูว่าพระเจ้าทรงสำเร็จลุล่วงพระราชกิจใหม่ใดในยุคใหม่ และพวกเราจะพิจารณาว่าพระราชกิจใหม่นี้มีอะไรให้พวกเราเรียนรู้ในแง่ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น

ต่อไปนี้เป็นข้อความที่บันทึกในภาคพันธสัญญาใหม่ของพระคัมภีร์:

1. พระเยซูทรงเด็ดรวงข้าวเพื่อเสวยในวันสะบาโต

มัทธิว 12:1  ในเวลานั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และบรรดาสาวกของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว

2. บุตรมนุษย์ทรงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต

มัทธิว 12:6-8  แต่เราบอกท่านว่าที่เป็นใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่ ถ้าพวกท่านเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ ที่ว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา” พวกท่านก็คงจะไม่ตัดสินลงโทษพวกที่ไม่มีความผิด เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต

อันดับแรกพวกเรามาดูที่บทตอนนี้กัน: “ในเวลานั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และบรรดาสาวกของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว”

เหตุใดเราจึงเลือกบทตอนนี้?  บทตอนนี้เชื่อมโยงกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างไร?  ในบทตอนนี้ สิ่งแรกที่เรารู้คือวันนั้นเป็นวันสะบาโต แต่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จไปข้างนอกและทรงนำสาวกของพระองค์ผ่านไปทางทุ่งนา  สิ่งที่ “เป็นการทรยศ” ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกท่านถึงขั้น “จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว” ในยุคธรรมบัญญัติ ธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้ากำหนดว่าผู้คนไม่อาจออกไปข้างนอกหรือเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ได้ตามใจในวันสะบาโต—มีหลายสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในวันสะบาโต  การกระทำนี้ในส่วนขององค์พระเยซูเจ้าเป็นสิ่งที่น่าฉงนสำหรับบรรดาผู้ที่เคยได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติมาเป็นเวลานาน และกระทั่งกระตุ้นให้เกิดการติเตียน  ในเรื่องความสับสนของพวกเขาและวิธีการที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูทรงทำนั้น พวกเราจะพักเรื่องนั้นไว้ก่อนในตอนนี้ และอันดับแรกพวกเราจะมาอภิปรายว่าเหตุใดองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงเลือกทำเช่นนี้ในวันสะบาโต ไม่ใช่วันอื่นๆ และสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะสื่อสารกับผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติโดยผ่านทางการกระทำนี้  นี่คือการเชื่อมโยงระหว่างบทตอนนี้กับพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่เราต้องการกล่าวถึง

เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา พระองค์ทรงใช้การกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์เพื่อบอกผู้คนว่าพระเจ้าทรงออกจากยุคธรรมบัญญัติและทรงได้เริ่มต้นพระราชกิจใหม่แล้ว และว่าพระราชกิจใหม่นี้ไม่กำหนดให้มีการทำตามกฎวันสะบาโต  การที่พระเจ้าเสด็จออกจากเขตจำกัดของวันสะบาโตเป็นเพียงการทดลองล่วงหน้าของพระราชกิจใหม่ของพระองค์ ส่วนพระราชกิจจริงที่ยิ่งใหญ่ยังมาไม่ถึง  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงทิ้ง “เครื่องพันธนาการ” ของยุคธรรมบัญญัติไว้เบื้องหลังแล้ว และได้ทรงฝ่ากฎระเบียบและหลักการของยุคนั้นแล้ว  ในพระองค์ไม่มีร่องรอยของสิ่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับธรรมบัญญัติ พระองค์ได้ทรงสละมันทิ้งไปทั้งหมดและไม่ทำตามธรรมบัญญัติอีกต่อไป และพระองค์ไม่ทรงพึงประสงค์ให้มวลมนุษย์ทำตามธรรมบัญญัติอีกต่อไป  ดังนั้น ในที่นี้เจ้าจึงมองเห็นองค์พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปในนาในวันสะบาโต และว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงหยุดพัก พระองค์ทรงพระราชกิจอยู่ข้างนอกและไม่ได้ทรงหยุดพัก  การกระทำนี้ของพระองค์ตรงข้ามกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน และการกระทำนี้สื่อสารกับพวกเขาว่าพระองค์ไม่ดำรงพระชนม์ภายใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป และว่าพระองค์ทรงทิ้งเขตจำกัดของวันสะบาโตไว้เบื้องหลัง และทรงปรากฏต่อหน้ามวลมนุษย์และอยู่ท่ามกลางพวกเขาในพระฉายาใหม่ พร้อมทั้งวิธีใหม่ๆ ในการทรงพระราชกิจ  การกระทำนี้ของพระองค์บอกผู้คนว่าพระองค์ทรงได้นำพระราชกิจใหม่มากับพระองค์ พระราชกิจที่เริ่มต้นด้วยการผุดขึ้นจากการอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ และการแยกจากวันสะบาโต  เมื่อพระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจใหม่ของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงยึดติดกับอดีตอีกต่อไป และพระองค์ไม่ทรงกังวลเกี่ยวกับกฎระเบียบของยุคธรรมบัญญัติอีกต่อไป  พระองค์ไม่ทรงได้รับผลกระทบจากพระราชกิจของพระองค์ในยุคก่อน แต่พระองค์ทรงพระราชกิจในวันสะบาโตเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงทำวันเว้นวันแทน และเมื่อสาวกของพระองค์หิวโหยในวันสะบาโต พวกเขาก็สามารถเด็ดรวงข้าวมากินได้  ทั้งหมดนี้เป็นปกติอย่างยิ่งในพระเนตรของพระเจ้า  สำหรับพระเจ้า การมีจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับส่วนใหญ่ของพระราชกิจใหม่ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์จะทำและพระวจนะใหม่ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์จะตรัสนั้นเป็นสิ่งที่อนุญาตให้ทำได้  เมื่อพระองค์ทรงเริ่มต้นบางสิ่งบางอย่างที่ใหม่ พระองค์ไม่ทรงกล่าวถึงพระราชกิจก่อนหน้าของพระองค์ อีกทั้งไม่ทรงดำเนินพระราชกิจนั้นต่อไป  เพราะพระเจ้าทรงมีหลักการของพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงต้องประสงค์จะเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ นั่นคือเวลาที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะนำมวลมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่ของพระราชกิจของพระองค์ และคือเวลาที่พระราชกิจของพระองค์จะเข้าสู่ระยะที่สูงกว่า  หากผู้คนยังคงปฏิบัติตามคำกล่าวหรือกฎระเบียบเก่าๆ ต่อไป หรือยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นต่อไป พระองค์จะไม่ทรงจดจำหรือรับรองสิ่งนั้น  นี่เป็นเพราะว่าพระองค์ได้ทรงนำพระราชกิจใหม่มาแล้ว และได้ทรงเข้าสู่ระยะใหม่ของพระราชกิจของพระองค์แล้ว  เมื่อพระองค์ทรงริเริ่มพระราชกิจใหม่ พระองค์ทรงปรากฏต่อมวลมนุษย์ด้วยพระฉายาใหม่โดยสิ้นเชิง จากมุมใหม่โดยสิ้นเชิง และในวิธีใหม่โดยสิ้นเชิง เพื่อให้ผู้คนสามารถมองเห็นแง่มุมที่แตกต่างของพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  นี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของพระองค์ในพระราชกิจใหม่ของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงยึดติดกับสิ่งเก่าๆ หรือทรงดำเนินบนเส้นทางที่คร่ำครึ เมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจและตรัส พระองค์ไม่ทรงช่างห้ามปรามอย่างที่ผู้คนจินตนาการไว้  ในพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นอิสระและมีเสรีภาพ และไม่มีข้อห้าม ไม่มีการจำกัดใดๆ—สิ่งที่พระองค์ทรงนำมาสู่มวลมนุษย์คืออิสรภาพและเสรีภาพ  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่อย่างจริงแท้และแท้จริง  พระองค์มิใช่หุ่นกระบอกหรือรูปปั้น และพระองค์ทรงแตกต่างจากรูปเคารพที่ผู้คนวางไว้บนหิ้งบูชาและนมัสการโดยสิ้นเชิง  พระองค์ทรงพระชนม์และสว่างไสว และสิ่งที่พระวจนะและพระราชกิจของพระองค์นำมาสู่มวลมนุษย์คือชีวิตและความสว่างทั้งหมด อิสรภาพและเสรีภาพทั้งหมด เพราะพระองค์ทรงยึดถือความจริง ชีวิต และหนทาง—พระองค์ไม่ทรงถูกจำกัดด้วยสิ่งใดๆ ในพระราชกิจใดๆ ของพระองค์  ไม่ว่าผู้คนจะพูดสิ่งใดและไม่ว่าพวกเขาจะมองเห็นหรือประเมินพระราชกิจใหม่ของพระองค์อย่างไรก็ตาม พระองค์จะทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์โดยปราศจากความหวาดหวั่น  พระองค์จะไม่ทรงกังวลเกี่ยวกับมโนคติที่หลงผิดหรือการชี้นิ้วของผู้ใดก็ตามเกี่ยวกับพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ หรือแม้กระทั่งการต่อต้านและการต้านทานอย่างรุนแรงที่พวกเขามีต่อพระราชกิจใหม่ของพระองค์  ไม่มีผู้ใดในหมู่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างจะสามารถใช้เหตุผลของมนุษย์ จินตนาการของมนุษย์ ความรู้ หรือหลักศีลธรรมของมนุษย์มาวัดหรือนิยามสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ มารบกวน ทำให้เสื่อมความเชื่อถือ หรือบ่อนทำลายพระราชกิจของพระองค์ได้  ไม่มีข้อห้ามใดๆ ในพระราชกิจของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงทำ พระราชกิจของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงทำจะไม่ถูกจำกัดด้วยมนุษย์ เหตุการณ์ หรือสิ่งใด และจะไม่ถูกรบกวนโดยกำลังบังคับที่เป็นปรปักษ์ใดๆ เท่าที่เกี่ยวกับพระราชกิจใหม่ของพระองค์แล้ว พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้มีชัยเสมอ และพลังที่เป็นปรปักษ์ใดๆ และความนอกรีตและความคิดที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดของมวลมนุษย์ถูกเหยียบย่ำภายใต้ที่รองพระบาทของพระองค์  ไม่ว่าพระองค์กำลังทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในระยะใหม่ใด พระราชกิจนั้นจะได้รับการพัฒนาและขยายไปท่ามกลางมวลมนุษย์อย่างแน่นอน และจะได้รับการดำเนินการโดยไม่มีการขัดขวางทั่วทั้งจักรวาลจนกระทั่งพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์จะครบสมบูรณ์แล้วอย่างแน่นอน  นี่คือความทรงมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาของพระองค์ สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์  ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าสามารถเสด็จออกไปทรงพระราชกิจในวันสะบาโตได้อย่างเปิดเผยเพราะในพระทัยของพระองค์ไม่มีกฎ ไม่มีความรู้หรือคำสอนใดที่กำเนิดขึ้นจากมวลมนุษย์  สิ่งที่พระองค์ทรงมีคือพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าและหนทางแห่งพระเจ้า  พระราชกิจของพระองค์คือวิธีทำให้มวลมนุษย์เป็นอิสระ ปลดปล่อยผู้คน ทำให้พวกเขาอยู่ในความสว่างและใช้ชีวิต  ในขณะเดียวกัน พวกที่นมัสการรูปเคารพหรือเทพเจ้าเทียมเท็จใช้ชีวิตทุกๆ วันโดยที่ถูกผูกมัดด้วยซาตาน และถูกหน่วงเหนี่ยวด้วยกฎและข้อห้ามทุกประเภท—วันนี้สิ่งหนึ่งถูกห้าม พรุ่งนี้อีกสิ่งหนึ่งจะถูกห้าม—ในชีวิตของพวกเขาไม่มีอิสรภาพ  พวกเขาเป็นเหมือนนักโทษในโซ่ตรวนที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีความชื่นบานให้กล่าวถึง  “ข้อห้าม” เป็นตัวแทนของสิ่งใด?  มันเป็นตัวแทนของข้อจำกัด พันธนาการ และความชั่ว  ทันทีที่บุคคลหนึ่งนมัสการรูปเคารพ พวกเขาก็กำลังนมัสการเทพเจ้าเทียมเท็จ วิญญาณชั่ว  ข้อห้ามเกิดขึ้นเมื่อมีการทำกิจกรรมเช่นนั้น เจ้าไม่สามารถกินสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น  วันนี้เจ้าไม่สามารถออกไปข้างนอก พรุ่งนี้เจ้าไม่สามารถทำอาหาร วันต่อไปเจ้าไม่สามารถย้ายไปบ้านใหม่ ต้องเลือกวันที่แน่นอนเพื่อการแต่งงานและงานศพ และแม้กระทั่งเพื่อการคลอดบุตร  สิ่งนี้เรียกว่าอะไร?  สิ่งนี้เรียกว่าข้อห้าม มันเป็นเครื่องพันธนาการของมวลมนุษย์ และมันคือโซ่ตรวนของซาตานและบรรดาวิญญาณชั่วที่ควบคุมผู้คนและหน่วงเหนี่ยวหัวใจและร่างกายของพวกเขา  ข้อห้ามเหล่านี้มีอยู่กับพระเจ้าหรือไม่?  เมื่อพูดถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า อันดับแรกเจ้าควรนึกถึงสิ่งนี้: ไม่มีข้อห้ามกับพระเจ้า  พระเจ้าทรงมีหลักการในพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ แต่ไม่มีข้อห้ามใดๆ เพราะพระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นความจริง ทรงเป็นหนทาง และทรงเป็นชีวิต

ตอนนี้พวกเรามาดูบทตอนถัดไปจากข้อพระคัมภีร์กันเถิด: “แต่เราบอกท่านว่าที่เป็นใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่ ถ้าพวกท่านเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ พวกท่านก็คงจะไม่ตัดสินลงโทษพวกที่ไม่มีความผิด เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” (มัทธิว 12:6-8) คำว่า “พระวิหาร” อ้างอิงถึงสิ่งใดในที่นี้?  กล่าวอย่างง่ายๆ คือ คำนี้หมายถึงอาคารที่สูงส่งสง่างาม และในยุคธรรมบัญญัติ พระวิหารคือสถานที่ที่นักบวชมานมัสการพระเจ้า  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ที่เป็นใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่” คำว่า “ที่” อ้างอิงถึงผู้ใด?  คำว่า “ที่” นี้หมายถึงองค์พระเยซูเจ้าในเนื้อหนังอย่างชัดเจน เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ยิ่งใหญ่กว่าพระวิหาร  พระวจนะเหล่านั้นบอกผู้คนว่าอย่างไร?  พระวจนะเหล่านั้นบอกผู้คนให้ออกมาจากพระวิหาร—พระเจ้าทรงออกมาจากพระวิหารแล้วและไม่ได้ทรงพระราชกิจในนั้นอีกต่อไป ดังนั้น ผู้คนจึงควรแสวงหาย่างพระบาทของพระเจ้านอกพระวิหาร และติดตามย่างก้าวของพระองค์ในพระราชกิจใหม่ของพระองค์  มีข้อสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ นั่นคือ ภายใต้ธรรมบัญญัติ ผู้คนได้มามองเห็นพระวิหารว่าเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าพระองค์เอง  นั่นคือ ผู้คนนมัสการพระวิหารแทนที่จะนมัสการพระเจ้า ดังนั้นองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงเตือนพวกเขาให้อย่านมัสการรูปเคารพ แต่นมัสการพระเจ้าแทน เพราะพระองค์ทรงอำนาจสูงสุด  ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงตรัสว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา” เห็นได้ชัดเจนว่าในสายพระเนตรขององค์พระเยซูเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติไม่ได้นมัสการพระยาห์เวห์อีกต่อไป แต่เพียงแค่พลีอุทิศไปอย่างพอเป็นพิธี และองค์พระเยซูเจ้าตกลงพระทัยว่านี่ถือเป็นการนมัสการรูปเคารพ  ผู้นมัสการรูปเคารพเหล่านี้เห็นว่าพระวิหารเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งกว่าพระเจ้า  ในหัวใจของพวกเขามีเพียงพระวิหาร ไม่ใช่พระเจ้า และหากพวกเขาสูญเสียพระวิหารไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะสูญเสียที่อาศัยของพวกเขา  หากปราศจากพระวิหาร พวกเขาก็ไม่มีที่ใดให้นมัสการ และไม่สามารถทำการพลีอุทิศของพวกเขาได้  สิ่งที่เรียกว่า “ที่อาศัย” ของพวกเขานั้นคือสถานที่ที่พวกเขาใช้การกล่าวอ้างเท็จถึงการนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าเพื่อให้อยู่ในพระวิหารต่อไปและทำกิจการงานต่างๆ ของพวกเขาเอง  สิ่งที่เรียกว่า “การพลีอุทิศ” ของพวกเขานั้นเป็นแค่การที่พวกเขากระทำการอันน่าอับอายส่วนตัวของตนเองภายใต้การแสร้งทำเป็นปรนนิบัติในพระวิหาร  นี่คือเหตุผลที่ผู้คน ณ ขณะนั้นมองเห็นว่าพระวิหารยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า  องค์พระเยซูเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้เพื่อเป็นคำเตือนให้กับผู้คน เพราะพวกเขากำลังใช้พระวิหารเป็นฉากหน้า และใช้การพลีอุทิศเป็นฉากบังการคดโกงผู้คนและการคดโกงพระเจ้า  หากเจ้านำพระวจนะเหล่านี้มาปฏิบัติกับปัจจุบัน พระวจนะเหล่านี้ยังคงใช้ได้เท่าเดิมและตรงประเด็นเท่าเดิม  ถึงแม้ว่าผู้คนในวันนี้จะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าที่แตกต่างจากที่ผู้คนในยุคธรรมบัญญัติได้รับประสบการณ์ แต่แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้นเหมือนกัน  ในบริบทของพระราชกิจในวันนี้นั้น ผู้คนยังคงทำสิ่งต่างๆ ในประเภทเดียวกับที่ถูกแสดงแทนด้วยคำว่า “พระวิหารยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า”  ตัวอย่างเช่น ผู้คนมองการทำหน้าที่ของตนว่าเป็นอาชีพของตน พวกเขามองเห็นว่าการเป็นพยานให้พระเจ้าและการต่อสู้กับพญานาคใหญ่สีแดงคือการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อปกป้องสิทธิ์ของมนุษย์ เพื่อประชาธิปไตยและอิสรภาพ พวกเขาเปลี่ยนหน้าที่ของพวกเขาเป็นการใช้ทักษะของพวกเขาในอาชีพการงาน แต่พวกเขาปฏิบัติต่อการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วเสมือนไม่ใช่สิ่งใดนอกจากคำสอนอย่างหนึ่งทางศาสนาที่ควรทำตาม เป็นต้น  โดยพื้นฐานแล้วพฤติกรรมเหล่านี้ไม่เหมือนกับคำว่า “พระวิหารยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า” หรอกหรือ?  ความแตกต่างคือ เมื่อสองพันปีก่อน ผู้คนทำกิจธุระส่วนตัวของตนในพระวิหารทางกายภาพ แต่วันนี้ ผู้คนทำกิจธุระส่วนตัวของตนในพระวิหารที่ไม่อาจจับต้องได้  ผู้คนที่ให้คุณค่ากับกฎเหล่านั้นมองเห็นว่ากฎยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า ผู้คนที่รักสถานะเหล่านั้นมองเห็นว่าสถานะยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า ผู้คนที่รักอาชีพการงานของตนเหล่านั้นมองเห็นว่าอาชีพการงานยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า และอื่นๆ อีกมากมาย—การแสดงออกของพวกเขาทั้งหมดทำให้เรากล่าวว่า  “ผู้คนสรรเสริญพระเจ้าว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยผ่านทางคำพูดของพวกเขา แต่ในสายตาของพวกเขา ทุกสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า”  นี่เป็นเพราะว่าทันทีที่ผู้คนพบโอกาสที่จะแสดงพรสวรรค์ของตนเอง หรือทำกิจธุระของตนเองหรือประกอบอาชีพการงานของตนเองตามเส้นทางในการติดตามพระเจ้าของตน พวกเขาเว้นระยะห่างของตัวพวกเขาเองจากพระเจ้า และทุ่มเทตนเองในอาชีพการงานที่ตนรัก  ส่วนสิ่งที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาทำและเจตนารมณ์ของพระองค์นั้น สิ่งเหล่านั้นได้ถูกละทิ้งไปนานแล้ว  สภาวะของผู้คนเหล่านี้กับบรรดาผู้ที่ทำกิจธุระของตนในพระวิหารเมื่อสองพันปีก่อนมีความแตกต่างกันอย่างไร?

อันดับต่อไป เรามาดูที่ประโยคสุดท้ายในบทตอนนี้กัน: “เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” มีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในประโยคนี้หรือไม่?  พวกเจ้าสามารถมองเห็นด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้หรือไม่?  ทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าตรัสนั้นมาจากพระทัยของพระองค์ ดังนั้นแล้ว เหตุใดพระองค์จึงตรัสเช่นนี้?  พวกเจ้าเข้าใจประโยคนี้ว่าอย่างไร?  พวกเจ้าอาจเข้าใจความหมายของประโยคนี้ในตอนนี้ แต่ ณ เวลาที่พระองค์ตรัสประโยคนี้ มีคนเข้าใจประโยคนี้ไม่มากนัก เพราะมวลมนุษย์เพิ่งออกมาจากยุคธรรมบัญญัติ  สำหรับพวกเขา การแยกจากวันสะบาโตเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความเข้าใจว่าวันสะบาโตที่แท้จริงคืออะไร

ประโยคที่ว่า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” บอกผู้คนว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้าไม่ได้มีธรรมชาติเป็นวัตถุ และถึงแม้ว่าพระเจ้าจะสามารถจัดหาวัตถุทุกอย่างที่เจ้าต้องการได้ แต่ทันทีที่ตอบสนองความต้องการทั้งปวงที่เจ้ามีในทางวัตถุแล้ว ความพึงพอใจจากสิ่งเหล่านี้จะสามารถแทนที่การไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าได้หรือไม่?  นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!  ทั้งพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นที่เราได้สามัคคีธรรมกันคือความจริง  คุณค่าของความจริงนี้ไม่สามารถวัดเทียบกับวัตถุที่เป็นสสารได้ ไม่ว่าจะมีค่าเพียงใดก็ตาม อีกทั้งคุณค่าของความจริงนี้ไม่สามารถระบุจำนวนเป็นตัวเงินได้ เพราะความจริงนี้ไม่ใช่วัตถุทางกายที่เป็นสสาร และความจริงนี้เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของหัวใจของทุกๆ คน  สำหรับทุกคนแล้ว คุณค่าของความจริงที่ไม่อาจจับต้องได้เหล่านี้ควรยิ่งใหญ่กว่าคุณค่าของสิ่งของที่เป็นสสารใดๆ ที่เจ้าอาจให้คุณค่า ไม่ใช่หรือ?  คำกล่าวนี้คือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้าต้องคำนึงถึง  ประเด็นสำคัญของสิ่งที่เราได้กล่าวไปคือสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกบุคคล และไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยวัตถุที่เป็นสสารใดๆ  เราจะยกตัวอย่างให้เจ้าดู: เมื่อเจ้าหิว เจ้าจำเป็นต้องมีอาหาร  อาหารนี้สามารถเป็นอาหารที่ดีไม่มากก็น้อย หรือเป็นอาหารที่ไม่น่าพึงพอใจไม่มากก็น้อย แต่ตราบเท่าที่เจ้ากินอิ่ม ความรู้สึกหิวที่ไม่น่าพึงใจก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป—มันจะหายไป  เจ้าสามารถนั่งอย่างสงบ และร่างกายของเจ้าจะหยุดพัก  ความหิวของผู้คนสามารถแก้ได้ด้วยอาหาร แต่เมื่อเจ้ากำลังติดตามพระเจ้าและรู้สึกว่าเจ้าไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระองค์ เจ้าจะสามารถแก้ไขความว่างเปล่าในหัวใจของเจ้าได้อย่างไร?  ความว่างเปล่านี้สามารถแก้ได้ด้วยอาหารหรือไม่?  หรือเมื่อเจ้ากำลังติดตามพระเจ้าและไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ เจ้าสามารถนำสิ่งใดมาใช้ชดเชยความหิวนั้นในหัวใจของเจ้าได้?  ในกระบวนการของการได้รับประสบการณ์ความรอดของเจ้าโดยผ่านทางพระเจ้า ในขณะที่ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า หากเจ้าไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ หรือไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร หากเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่รู้สึกกระสับกระส่ายอย่างยิ่งหรือ?  เจ้าจะไม่รู้สึกถึงความหิวโหยและความกระหายอย่างรุนแรงในหัวใจของเจ้าหรือ?  ความรู้สึกเหล่านี้จะไม่ขัดขวางเจ้าไม่ให้รู้สึกสบายใจในหัวใจของเจ้าหรือ?  แล้วเจ้าจะสามารถชดเชยความหิวโหยในหัวใจของเจ้าได้อย่างไร—มีวิธีที่จะแก้ไขมันหรือไม่?  บางคนออกไปซื้อของ บางคนหาเพื่อนของตนเพื่อปรับทุกข์ บางคนปล่อยตัวปล่อยใจไปกับการนอนหลับเป็นเวลานาน คนอื่นๆ อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น หรือพวกเขาทำงานให้หนักขึ้น และใช้ความมานะพยายามมากขึ้นเพื่อทำหน้าที่ของตน  สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นจริงๆ ของเจ้าได้หรือ?  พวกเจ้าทุกคนเข้าใจการปฏิบัติประเภทเหล่านี้อย่างเต็มที่  เมื่อเจ้ารู้สึกไร้พลัง เมื่อเจ้ารู้สึกถึงความอยากที่จะได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้าเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้เจ้าสามารถรู้ความเป็นจริงของความจริงและเจตนารมณ์ของพระองค์ เจ้าจำเป็นต้องมีสิ่งใดมากที่สุด?  สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องมีไม่ใช่อาหารเต็มจาน และไม่ใช่พระวจนะที่ใจดีไม่กี่คำ อย่าว่าแต่ความสุขสบายชั่วประเดี๋ยวและความพึงพอใจของเนื้อหนังเลย—สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องมีคือการที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้าโดยตรงอย่างชัดเจนว่าเจ้าควรทำอะไรและเจ้าควรทำมันอย่างไร การที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้าอย่างชัดเจนว่าความจริงคืออะไร  หลังจากที่เจ้าเข้าใจสิ่งนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้รับความเข้าใจเพียงเล็กน้อย เจ้าจะไม่รู้สึกพึงพอใจในหัวใจของเจ้ามากกว่าเมื่อเทียบกับการที่เจ้าได้กินอาหารดีๆ หรือ?  เมื่อหัวใจของเจ้าพึงพอใจแล้ว หัวใจของเจ้าและการเป็นอยู่ทั้งหมดของเจ้าจะไม่ได้รับการหยุดพักที่แท้จริงหรือ?  ตอนนี้ พวกเจ้าเข้าใจโดยผ่านทางการอุปมาและการวิเคราะห์นี้หรือไม่ว่าเหตุใดเราจึงต้องการแบ่งปันประโยคนี้กับพวกเจ้า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต”?  ความหมายของประโยคนี้ก็คือว่า สิ่งที่มาจากพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และทุกสิ่งเกี่ยวกับพระองค์นั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใด ซึ่งรวมถึงสิ่งของหรือบุคคลที่ครั้งหนึ่งเจ้าเชื่อว่าเจ้าทะนุถนอมความล้ำค่ามากที่สุดด้วย  นั่นหมายความว่าหากบุคคลหนึ่งไม่สามารถได้รับพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าหรือหากพวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์แล้ว พวกเขาจะไม่สามารถได้รับการหยุดพักได้  ในประสบการณ์ในอนาคตของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าจะเข้าใจว่าเหตุใดเราจึงต้องการให้พวกเจ้าดูบทตอนนี้ในวันนี้—บทตอนนี้มีความสำคัญยิ่ง  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำคือความจริงและชีวิต  ความจริงคือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถขาดได้ในชีวิตของพวกเขา และคือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาไม่มีวันสามารถใช้ชีวิตโดยไม่มีมันได้ เจ้ายังสามารถกล่าวได้ว่าความจริงคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  ถึงแม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นความจริงหรือสัมผัสความจริงได้ แต่ความสำคัญที่ความจริงมีต่อเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ ความจริงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถนำการหยุดพักมาสู่หัวใจของเจ้าได้

ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงของพวกเจ้าผสานรวมอยู่กับสภาวะต่างๆ ของเจ้าเองหรือไม่?  ในชีวิตจริง อันดับแรกเจ้าต้องคิดว่าความจริงใดที่เกี่ยวข้องกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เจ้าได้พบ เจ้าจะสามารถพบเจตนารมณ์ของพระเจ้าท่ามกลางความจริงเหล่านี้ และสามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เจ้าได้พบเข้ากับเจตนารมณ์ของพระองค์ได้  หากเจ้าไม่รู้ว่าแง่มุมใดของความจริงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ที่เจ้าได้พบ แต่ไปแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยตรงแทน การทำเช่นนี้คือวิธีที่มืดบอดซึ่งไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดๆ  หากเจ้าต้องการแสวงหาความจริงและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า อันดับแรกเจ้าต้องดูว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นประเภทใด สิ่งเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับความจริงในแง่มุมใด และมองหาความจริงที่เฉพาะเจาะจงในพระวจนะของพระเจ้าที่สัมพันธ์กับสิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์  จากนั้น เจ้าจึงมองหาเส้นทางการปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับเจ้าในความจริงนั้น  ด้วยวิธีนี้ เจ้าจะสามารถได้รับความเข้าใจโดยอ้อมเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  การค้นหาและการปฏิบัติตามความจริงไม่ใช่การประยุกต์ใช้คำสอนและการทำตามสูตรราวกับเป็นเครื่องจักร  ความจริงไม่มีสูตรตายตัว อีกทั้งไม่ได้เป็นกฎ  ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย—ความจริงคือชีวิตด้วยตัวของมันเอง ความจริงคือสิ่งที่มีชีวิต และความจริงคือกฎที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างต้องปฏิบัติตามในชีวิต และกฎที่มนุษย์ต้องมีในชีวิต  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าต้องเข้าใจโดยผ่านทางประสบการณ์ให้ได้มากเท่าที่เป็นไปได้  เจ้าไม่อาจแยกจากพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริงได้ไม่ว่าเจ้าได้มาถึงช่วงระยะใดในประสบการณ์ของเจ้าก็ตาม และสิ่งที่เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่เจ้ารู้เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นทั้งหมดต่างได้รับการแสดงออกในพระวจนะของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับความจริงอย่างแยกจากกันไม่ได้  พระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นคือความจริงโดยตัวมันเอง ความจริงคือการสำแดงที่เป็นของแท้ถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  ความจริงทำให้สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้นเป็นรูปธรรม และความจริงกล่าวอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  ความจริงบอกเจ้าอย่างตรงไปตรงมามากยิ่งขึ้นว่าพระเจ้าโปรดสิ่งใด พระองค์ไม่โปรดสิ่งใด พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้เจ้าทำสิ่งใด และพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้เจ้าทำสิ่งใด พระองค์ทรงรังเกียจชิงชังผู้คนใด และพระองค์ทรงปีติยินดีในผู้คนใด  เบื้องหลังความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงออกนั้น ผู้คนสามารถมองเห็นความหรรษายินดี ความกริ้ว ความโทมนัส และความสุขของพระองค์ เช่นเดียวกับแก่นแท้ของพระองค์—นี่คือการเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์  นอกจากการรู้สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นและการเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์จากพระวจนะของพระองค์แล้ว สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดคือความจำเป็นที่จะต้องบรรลุความเข้าใจนี้โดยผ่านทางประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หากบุคคลหนึ่งนำตัวเองออกจากชีวิตจริงเพื่อให้รู้จักพระเจ้า พวกเขาจะไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลในสิ่งนั้นได้  ถึงแม้ว่ามีผู้คนที่สามารถได้รับความเข้าใจบางอย่างจากพระวจนะของพระเจ้า แต่ความเข้าใจของพวกเขาก็จำกัดอยู่กับทฤษฎีและพระวจนะ และมีความต่างเกิดขึ้นกับเรื่องที่ว่าพระเจ้าพระองค์เองจริงๆ แล้วทรงเหมือนสิ่งใด

สิ่งที่เรากำลังสื่อสารถึงในตอนนี้ทั้งหมดอยู่ภายในขอบเขตของเรื่องราวทั้งหลายที่ได้รับการบันทึกในพระคัมภีร์  ผู้คนสามารถเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นที่พระองค์ได้ทรงแสดงออกโดยผ่านทางเรื่องราวเหล่านี้และผ่านทางการชำแหละสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถรู้ทุกแง่มุมของพระเจ้าได้อย่างกว้างขวางขึ้น ลึกซึ้งขึ้น ครอบคลุมขึ้น และถ้วนทั่วขึ้น  แล้วการรู้จักทุกแง่มุมของพระเจ้ามีวิธีเดียวคือโดยผ่านทางเรื่องราวเหล่านี้หรือ?  ไม่ใช่ เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่แค่วิธีเดียว!  เนื่องจากสิ่งที่พระเจ้าตรัสและพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำในยุคแห่งราชอาณาจักรสามารถช่วยผู้คนให้รู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ดียิ่งขึ้น และรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ได้อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้น  อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าจะเป็นการง่ายกว่าที่จะรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและเข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นโดยผ่านทางตัวอย่างหรือเรื่องราวบางอย่างที่ได้รับการบันทึกในพระคัมภีร์ที่ผู้คนคุ้นเคย  หากเรานำพระวจนะแห่งการพิพากษาและการตีสอนและความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงออกในวันนี้มาทำให้เจ้ารู้จักพระองค์ด้วยวิธีนี้คำต่อคำ เจ้าจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อและไม่น่าสนใจจนเกินไป และบางคนยังอาจรู้สึกกระทั่งว่าพระวจนะของพระเจ้าดูเหมือนเป็นสูตรตายตัว  แต่หากเรานำเรื่องราวในพระคัมภีร์มาเป็นตัวอย่างเพื่อช่วยให้ผู้คนรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเขาจะไม่พบว่ามันน่าเบื่อ  เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าในระหว่างการอธิบายตัวอย่างเหล่านี้ รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระเจ้า ณ ขณะนั้น—พระอารมณ์หรือความรู้สึกของพระองค์ หรือพระดำริและแนวความคิดของพระองค์—ได้มีการบอกต่อผู้คนในภาษาของมนุษย์ และเป้าหมายของทั้งหมดนี้คือการทำให้พวกเขาสามารถซึ้งคุณค่า สามารถรู้สึกว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นไม่ได้เป็นสูตรตายตัว  มันไม่ได้เป็นตำนานหรือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้  มันคือบางสิ่งบางอย่างที่ดำรงอยู่อย่างแท้จริง ที่ผู้คนสามารถรู้สึกและซึ้งคุณค่าได้  นี่คือเป้าหมายสูงสุด  เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคนี้นั้นได้รับพร  พวกเขาสามารถใช้เรื่องราวต่างๆ เพื่อให้ได้รับความเข้าใจที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจก่อนหน้าของพระเจ้า พวกเขาสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยของพระองค์ผ่านพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงกระทำไปแล้ว พวกเขาสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ผ่านทางพระอุปนิสัยเหล่านี้ที่พระองค์ได้ทรงแสดงออก และเข้าใจการสำแดงอย่างเป็นรูปธรรมถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ และการดูแลเอาใจใส่พวกมนุษย์ของพระองค์ และด้วยวิธีนี้ พวกเขาสามารถบรรลุไปถึงซึ่งความรู้ที่ละเอียดขึ้นและลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า  เราเชื่อว่าตอนนี้พวกเจ้าทุกคนสามารถรู้สึกถึงสิ่งนี้ได้!

เจ้าสามารถมองเห็นอีกแง่มุมหนึ่งของสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นได้ในขอบเขตของพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ในยุคพระคุณ  แง่มุมนี้ได้รับการแสดงออกโดยผ่านทางเนื้อหนังของพระองค์ และผู้คนสามารถมองเห็นและซึ้งคุณค่าในแง่มุมนี้เพราะสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์  ผู้คนมองเห็นในบุตรมนุษย์ว่าพระเจ้าในเนื้อหนังดำรงพระชนม์ชีพตามสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์อย่างไร และพวกเขามองเห็นเทวสภาพของพระองค์ซึ่งแสดงออกโดยผ่านทางเนื้อหนังนั้น  การแสดงออกสองประเภทนี้ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงยิ่งนักได้ และทำให้ผู้คนสามารถสร้างมโนคติที่แตกต่างเกี่ยวกับพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม ในระหว่างช่วงเวลาระหว่างการทรงสร้างโลกและการสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ นั่นคือ ก่อนยุคพระคุณ แง่มุมเดียวเกี่ยวกับพระเจ้าที่ผู้คนมองเห็น ได้ยิน และได้รับประสบการณ์นั้นมีเพียงเทวสภาพของพระเจ้า สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงทำและตรัสในอาณาจักรที่ไม่ใช่ทางวัตถุ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงแสดงออกจากตัวตนจริงของพระองค์ที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้  สิ่งเหล่านี้มักทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพระเจ้าทรงสูงส่งในความยิ่งใหญ่ของพระองค์จนพวกเขาไม่อาจเข้าใกล้พระองค์ได้  โดยปกติแล้ว ความประทับใจที่พระเจ้าทรงทำให้เกิดกับผู้คนคือ การที่พระเจ้าทรงปรากฏวาบเข้ามาแล้วก็ออกไปจากความสามารถในการล่วงรู้ของพวกเขา และผู้คนรู้สึกกระทั่งว่าทุกๆ พระดำริและแนวความคิดของพระองค์ช่างลึกลับและยากจะอธิบายจนไม่มีวิธีที่จะเอื้อมถึงสิ่งเหล่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับการพยายามที่จะเข้าใจและซึ้งคุณค่าสิ่งเหล่านั้น  สำหรับผู้คนแล้ว ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้าช่างไกลห่างอย่างยิ่ง ช่างไกลห่างจนผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้ ไม่สามารถสัมผัสได้  ดูเหมือนว่าพระองค์ประทับอยู่สูงขึ้นไปบนฟ้า และดูเหมือนว่าไม่ทรงดำรงอยู่เลย  ดังนั้นสำหรับผู้คนแล้ว การเข้าใจพระทัยและจิตใจของพระเจ้า หรือพระดำริใดๆ ของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้ และอาจถึงขั้นอยู่ไกลเกินที่พวกเขาจะเอื้อมถึง  ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจที่เป็นรูปธรรมอยู่บ้างในยุคธรรมบัญญัติ และพระองค์ยังได้ทรงออกพระวจนะที่เฉพาะเจาะจงอยู่บ้างและได้ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยที่เฉพาะเจาะจงอยู่บ้างเพื่อให้ผู้คนสามารถซึ้งคุณค่าและล่วงรู้ถึงความรู้อันแท้จริงเกี่ยวกับพระองค์ แต่ในท้ายที่สุด การแสดงออกถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นเหล่านี้มาจากอาณาจักรที่ไม่ใช่ทางวัตถุ และสิ่งที่ผู้คนเข้าใจ สิ่งที่ผู้คนรู้ยังคงเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นในแง่มุมที่เป็นเทวสภาพ  มวลมนุษย์ไม่สามารถได้รับมโนคติที่เป็นรูปธรรมจากการแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนี้ และความประทับใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงติดอยู่ภายในขอบเขตของ “กายฝ่ายวิญญาณที่ยากจะเข้าใกล้ ที่ปรากฏวาบเข้ามาแล้วก็ออกไปจากการล่วงรู้” เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงใช้วัตถุที่เฉพาะเจาะจงหรือพระฉายาที่เป็นของอาณาจักรทางวัตถุในการทรงปรากฏต่อหน้าผู้คน พวกเขาจึงยังคงไม่สามารถที่จะนิยามพระองค์โดยใช้ภาษาของมนุษย์ได้  ในหัวใจและจิตใจของผู้คนนั้น พวกเขามักต้องการที่จะใช้ภาษาของพวกเขาเองในการกำหนดมาตรฐานของพระเจ้า ที่จะทำให้พระองค์ทรงเป็นที่จับต้องได้ และที่จะทำให้พระองค์ทรงเป็นมนุษย์เสมอ เช่น พระองค์ทรงสูงเท่าใด พระองค์ทรงมีพระกายใหญ่เพียงใด พระองค์ทรงดูเป็นอย่างไร พระองค์ทรงชอบสิ่งใด และบุคลิกของพระองค์เป็นอย่างไรกันแน่  อันที่จริง ในพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงรู้ว่าผู้คนกำลังคิดในลักษณะนี้  พระองค์เข้าพระทัยอย่างชัดเจนยิ่งเกี่ยวกับความต้องการของผู้คน และแน่นอนว่าพระองค์ทรงรู้เช่นกันว่าพระองค์ควรทรงทำสิ่งใด ดังนั้น พระองค์จึงทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในวิธีที่แตกต่างออกไปในยุคพระคุณ  วิธีใหม่นี้เป็นทั้งเทวสภาพและเป็นมนุษย์  ในช่วงเวลาที่องค์พระเยซูเจ้ากำลังทรงพระราชกิจอยู่นั้น ผู้คนสามารถมองเห็นว่าพระเจ้าทรงมีการแสดงออกแบบมนุษย์มากมาย  ตัวอย่างเช่น พระองค์สามารถเต้นรำ สามารถเข้าร่วมงานแต่งงาน สามารถสื่อสารกับผู้คน ตรัสกับพวกเขา และหารือสิ่งต่างๆ กับพวกเขา  นอกเหนือจากนั้น องค์พระเยซูเจ้ายังได้ทรงทำให้พระราชกิจมากมายที่เป็นสิ่งแทนเทวสภาพของพระองค์ครบบริบูรณ์ด้วย และแน่นอนว่าทั้งหมดของพระราชกิจนี้เป็นการแสดงออกและการเปิดเผยถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ในช่วงระหว่างเวลานี้ เมื่อเทวสภาพของพระเจ้าได้รับการทำให้เป็นจริงขึ้นในเนื้อหนังธรรมดาในแบบที่ผู้คนสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ พวกเขาก็ไม่รู้สึกอีกต่อไปว่าพระองค์ทรงปรากฏวาบเข้ามาแล้วก็ออกไปจากการล่วงรู้ หรือว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้พระองค์ได้  ในทางตรงกันข้าม พวกเขาสามารถพยายามทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือทำความเข้าใจเทวสภาพของพระองค์โดยผ่านทางทุกการเคลื่อนไหว โดยผ่านทางพระวจนะ และโดยผ่านทางพระราชกิจของบุตรมนุษย์  บุตรมนุษย์ที่เป็นพระเจ้าประสูติมานี้แสดงเทวสภาพของพระเจ้าออกมาทางสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ และถ่ายทอดเจตนารมณ์ของพระเจ้าแก่มวลมนุษย์  และพระองค์ยังทรงเผยให้ผู้คนเห็นพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ที่ประทับอยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณโดยผ่านทางการแสดงออกของพระองค์ถึงเจตนารมณ์และพระอุปนิสัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  สิ่งที่ผู้คนมองเห็นคือพระเจ้าพระองค์เองในรูปแบบที่จับต้องได้และมาจากเลือดเนื้อ  ดังนั้น บุตรมนุษย์ที่พระเจ้าประสูติมาทรงทำให้สิ่งต่างๆ ได้เป็นรูปธรรมและเป็นมนุษย์ขึ้น เช่น อัตลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง สถานะของพระเจ้า พระฉายา พระอุปนิสัย และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  ถึงแม้ว่าการทรงปรากฏภายนอกของบุตรมนุษย์จะมีขีดจำกัดบางอย่างเกี่ยวกับพระฉายาของพระเจ้า แต่แก่นแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นทั้งหมดสามารถเป็นสิ่งแทนอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าพระองค์เองได้—มีความแตกต่างอยู่บ้างในรูปของการแสดงออกเท่านั้น  พวกเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าบุตรมนุษย์ได้ทรงเป็นตัวแทนอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าพระองค์เองทั้งในรูปของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์และเทวสภาพของพระองค์  อย่างไรก็ตาม ในช่วงระหว่างเวลานี้ พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจโดยผ่านทางเนื้อหนัง ตรัสจากมุมมองของเนื้อหนัง และทรงยืนต่อหน้ามวลมนุษย์ด้วยอัตลักษณ์และสถานะของบุตรมนุษย์ และนี่ทำให้ผู้คนมีโอกาสได้พบเจอและมีประสบการณ์กับพระวจนะและพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าท่ามกลางมวลมนุษย์  นอกจากนี้ยังให้ผู้คนมีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับเทวสภาพของพระองค์และความยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่ามกลางความถ่อมพระทัย อีกทั้งได้รับความเข้าใจและคำจำกัดความเบื้องต้นเกี่ยวกับความจริงแท้และความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำให้ครบบริบูรณ์ วิธีการทรงพระราชกิจของพระองค์ และมุมมองที่พระองค์ตรัสจะแตกต่างจากตัวตนจริงของพระเจ้าในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ แต่ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระองค์ก็ได้เป็นสิ่งแทนพระเจ้าพระองค์เองอย่างแท้จริง ผู้ซึ่งมวลมนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อน—นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้!  นั่นจึงกล่าวได้ว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงปรากฏในรูปร่างใดก็ตาม ไม่ว่าพระองค์ตรัสจากมุมมองใดก็ตาม หรือไม่ว่าพระองค์ทรงเผชิญกับมวลมนุษย์ในพระฉายาใดก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงเป็นตัวแทนสิ่งใดเว้นแต่พระองค์เองเท่านั้น  พระองค์ไม่สามารถเป็นตัวแทนมนุษย์คนหนึ่งคนใด หรือมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามคนใด  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง และนี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้

อันดับต่อไป พวกเราจะดูนิทานอุปมาที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสเล่าในยุคพระคุณ

3. อุปมาเรื่องแกะหลง

มัทธิว 18:12-14  พวกท่านคิดอย่างไร?  ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว และตัวหนึ่งหลงไปจากฝูง คนนั้นจะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา แล้วไปเที่ยวหาตัวที่หลงไปนั้นหรือ?  เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นพบมัน เขาจะมีความเปรมปรีดิ์มากยิ่งกว่าที่มีแกะเก้าสิบเก้าตัวที่ไม่ได้หลงไปนั้น พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย

บทตอนนี้เป็นนิทานอุปมา—บทตอนนี้ให้ความรู้สึกประเภทใดแก่ผู้คน?  วิธีการแสดงออก—นิทานอุปมา—ที่ใช้ในที่นี้คือการอุปมาอุปมัยในภาษาของมนุษย์ และดังนั้นจึงอยู่ภายในขอบเขตความรู้ของมนุษย์  หากพระเจ้าตรัสบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันนี้ในยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนจะรู้สึกว่าพระวจนะดังกล่าวไม่ได้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่เมื่อบุตรมนุษย์ทรงแสดงพระวจนะเหล่านี้ในยุคพระคุณ กลับทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ อบอุ่น และสนิทสนม  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อพระองค์ทรงปรากฏในรูปของมนุษย์ พระองค์ทรงใช้นิทานอุปมาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง  ที่มาจากสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์เอง เพื่อแสดงออกถึงพระสุรเสียงจากพระทัยของพระองค์  พระสุรเสียงนี้เป็นสิ่งแทนพระสุรเสียงของพระเจ้าเองและพระราชกิจที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำในยุคนั้น  และยังเป็นสิ่งแทนท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนในยุคพระคุณด้วย  พระองค์ทรงเปรียบเทียบแต่ละบุคคลเป็นแกะ โดยทอดพระเนตรจากมุมมองของท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน  หากแกะตัวหนึ่งหายไป พระองค์จะทรงทำไม่ว่าอะไรก็ตามที่จำเป็นเพื่อค้นหามัน  นี่เป็นสิ่งแทนหลักการของพระราชกิจของพระเจ้า ณ ขณะนั้นท่ามกลางมวลมนุษย์เมื่อพระองค์ประทับอยู่ในเนื้อหนัง  พระเจ้าทรงใช้นิทานอุปมานี้เพื่ออธิบายการตัดสินพระทัยแน่วแน่และท่าทีของพระองค์ในพระราชกิจนั้น  นี่คือความได้เปรียบของการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์: พระองค์ทรงใช้ความได้เปรียบของความรู้ของมวลมนุษย์และใช้ภาษาของมนุษย์เพื่อพูดคุยกับผู้คนและแสดงออกถึงความปรารถนาของพระองค์  พระองค์ทรงอธิบายหรือ “แปล” ภาษาแบบพระเจ้าที่ลุ่มลึกของพระองค์ซึ่งผู้คนดิ้นรนที่จะทำความเข้าใจในภาษามนุษย์ให้กับมนุษย์ในวิธีของมนุษย์  นี่ช่วยให้ผู้คนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์และรู้สิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำ  พระองค์ยังสามารถมีการสนทนากับผู้คนจากมุมมองของมนุษย์โดยใช้ภาษาของมนุษย์ และทรงสื่อสารกับผู้คนในวิธีที่พวกเขาเข้าใจได้  พระองค์ยังถึงขั้นสามารถตรัสและทรงพระราชกิจโดยใช้ภาษาและความรู้ของมนุษย์เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้สึกถึงความใจดีและความใกล้ชิดของพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาสามารถมองเห็นพระทัยของพระองค์ได้  พวกเจ้ามองเห็นอะไรในการนี้?  มีข้อห้ามใดๆ ในพระวจนะและการกระทำของพระเจ้าหรือไม่?  ในความคิดของผู้คนแล้ว ไม่มีวิธีใดที่พระเจ้าจะสามารถใช้ความรู้ ภาษา หรือวิธีการพูดของมนุษย์เพื่อตรัสเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าพระองค์เองทรงต้องประสงค์ที่จะตรัส พระราชกิจที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำ หรือเพื่อแสดงออกถึงเจตนารมณ์ของพระองค์เอง  แต่นี่คือการคิดที่ผิดพลาด  พระเจ้าทรงใช้นิทานอุปมาประเภทนี้เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้สึกได้ถึงความเป็นจริงและความจริงใจของพระเจ้า และมองเห็นท่าทีของพระองค์ต่อผู้คนในระหว่างช่วงเวลานั้น  นิทานอุปมานี้ปลุกผู้คนที่ได้ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติมาเป็นเวลานานให้ตื่นขึ้นจากฝัน และยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนที่ใช้ชีวิตในยุคพระคุณรุ่นแล้วรุ่นเล่า  ด้วยการอ่านบทตอนของนิทานอุปมานี้ ผู้คนรู้จักความจริงใจในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า และเข้าใจน้ำหนักและความสำคัญที่มีให้กับมวลมนุษย์ในพระทัยของพระเจ้า

เรามาดูที่ประโยคสุดท้ายในบทตอนนี้กันคือ “พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงมีเจตนารมณ์ให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย”  นี่คือพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเอง หรือพระวจนะของพระบิดาในสวรรค์?  จากภายนอกแล้ว ดูเหมือนว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้ตรัส แต่เจตนารมณ์ของพระองค์เป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงตรัสว่า “พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงมีเจตนารมณ์ให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย” ผู้คน ณ ขณะนั้นยอมรับพระบิดาในสวรรค์เป็นพระเจ้าเท่านั้น และเชื่อว่าบุคคลผู้ที่พวกเขามองเห็นต่อหน้าต่อตาของเขานี้เป็นเพียงผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา และไม่สามารถเป็นตัวแทนพระบิดาในสวรรค์ได้  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมองค์พระเยซูเจ้าจึงได้ทรงเพิ่มประโยคนี้ลงในตอนท้ายของนิทานอุปมานี้ เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้สึกถึงเจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์จริงๆ และรู้สึกถึงความจริงแท้และความถูกต้องแม่นยำในสิ่งที่พระองค์ตรัส  ถึงแม้ว่าประโยคนี้จะเป็นสิ่งที่พูดง่าย แต่พระองค์ก็ตรัสด้วยความใส่พระทัยและความรัก และเผยให้เห็นถึงความถ่อมพระทัยและความซ่อนเร้นขององค์พระเยซูเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์หรือไม่ หรือไม่ว่าพระองค์ทรงพระราชกิจในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณหรือไม่ พระองค์ก็ทรงรู้จักหัวใจของมนุษย์ดีที่สุด และทรงเข้าใจสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีดีที่สุด ทรงรู้สิ่งที่ผู้คนกังวลและสิ่งที่ทำให้พวกเขาสับสน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงทรงเพิ่มประโยคนี้ลงไป  ประโยคนี้เน้นให้เห็นถึงปัญหาที่ซ่อนเร้นอยู่ในมวลมนุษย์: ผู้คนกังขาในสิ่งที่บุตรมนุษย์ตรัส กล่าวคือ เมื่อองค์พระเยซูเจ้ากำลังตรัส พระองค์ต้องตรัสเพิ่มว่า “พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงมีเจตนารมณ์ให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย” และพระวจนะของพระองค์เกิดผลได้ด้วยข้อสนับสนุนนี้เท่านั้น เพื่อทำให้ผู้คนเชื่อในความถูกต้องแม่นยำของพระวจนะของพระองค์ และเพิ่มความน่าเชื่อถือของพระวจนะของพระองค์  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นบุตรมนุษย์ปกติธรรมดา พระเจ้าและมวลมนุษย์ก็มีสัมพันธภาพที่น่าอึดอัดอย่างมาก และสถานการณ์ของบุตรมนุษย์ก็น่าอับอายอย่างมาก  นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าสถานะขององค์พระเยซูเจ้าท่ามกลางมนุษย์มีนัยสำคัญเพียงใดในขณะนั้น  เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ ที่จริงแล้วเป็นการตรัสเพื่อบอกผู้คนว่า พวกเจ้าสามารถวางใจได้—พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งแทนสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเราเอง แต่เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้าผู้สถิตอยู่ในหัวใจของพวกเจ้า  สำหรับมวลมนุษย์ นี่ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าขันหรือ?  ถึงแม้ว่าพระเจ้าผู้ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังจะมีข้อได้เปรียบมากมายที่พระองค์ไม่ทรงมีในตัวตนของพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงทานทนต่อความสงสัยและการปฏิเสธของพวกเขา  ตลอดจนความด้านชาและความไร้ความรู้สึกของพวกเขา  สามารถกล่าวได้ว่ากระบวนการของพระราชกิจของบุตรมนุษย์คือกระบวนการในการได้รับประสบการณ์กับการปฏิเสธของมวลมนุษย์ และการได้รับประสบการณ์กับการที่พวกเขาแข่งขันกับพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นกระบวนการในการทำงานเพื่อให้ได้รับความไว้ใจของมวลมนุษย์อย่างต่อเนื่อง และเพื่อพิชิตมวลมนุษย์โดยผ่านทางสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น โดยผ่านทางแก่นแท้ของพระองค์เอง  นั่นไม่เชิงว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์จะทรงทำสงครามบนพื้นดินกับซาตาน แต่เป็นการที่พระเจ้าทรงกลายเป็นมนุษย์ธรรมดา และเริ่มการต่อสู้ดิ้นรนกับผู้ที่ติดตามพระองค์มากกว่า และในการต่อสู้ดิ้นรนนี้ บุตรมนุษย์ ด้วยความถ่อมพระทัยของพระองค์ ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และด้วยความรักและพระปัญญาของพระองค์ ทรงได้ทำพระราชกิจของพระองค์ให้ครบบริบูรณ์ ทรงได้รับผู้คนที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ ได้รับอัตลักษณ์และสถานะที่พระองค์สมควรจะได้รับ และ “เสด็จกลับ” สู่บัลลังก์ของพระองค์

อันดับต่อไป พวกเรามาดูสองบทตอนของข้อพระคัมภีร์ ดังต่อไปนี้

4. ยกโทษเจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด

มัทธิว 18:21-22  ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง?  ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ?”  พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด”

5. ความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า

มัทธิว 22:37-39  พระเยซูทรงตอบเขาว่า “‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’”

ในสองบทตอนนี้ บทหนึ่งพูดถึงการให้อภัยและอีกบทหนึ่งพูดถึงความรัก  สองหัวข้อนี้เน้นถึงพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะดำเนินการในยุคพระคุณ

เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงนำพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งมาพร้อมกับพระองค์ด้วย ซึ่งคือพระราชกิจเฉพาะและพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะแสดงออกในยุคนี้  ในช่วงเวลานั้น ทุกสิ่งที่บุตรมนุษย์ทรงทำนั้นวนเวียนอยู่กับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะปฏิบัติในยุคนั้น  พระองค์ไม่ทรงทำมากกว่านั้นและไม่ทรงทำน้อยกว่านั้น  ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ตรัสและพระราชกิจทุกประเภทที่พระองค์ทรงดำเนินการล้วนเกี่ยวข้องกับยุคนี้  ไม่ว่าพระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งนี้ในวิธีของมนุษย์ด้วยภาษาของมนุษย์หรือโดยผ่านทางภาษาของพระเจ้า และไม่ว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติเช่นนั้นในวิธีใดหรือจากมุมมองใดก็ตาม เป้าหมายของพระองค์คือการช่วยให้ผู้คนเข้าใจว่าพระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำอะไร เจตนารมณ์ของพระองค์คืออะไร และข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนคืออะไร  พระองค์อาจจะทรงใช้วิถีทางที่หลากหลายและมุมมองที่แตกต่างเพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและรู้เจตนารมณ์ของพระองค์ และเพื่อทำความเข้าใจพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  ดังนั้น ในยุคพระคุณ เราจึงมองเห็นว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาษาของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่เพื่อแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะสื่อสารกับมวลมนุษย์  ยิ่งไปกว่านั้น เรามองเห็นพระองค์จากมุมมองของผู้ชี้ทางธรรมดาที่พูดคุยกับผู้คน ที่จัดเตรียมเพื่อความต้องการของพวกเขา และที่ช่วยพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้ร้องขอ  ในยุคธรรมบัญญัติที่มาก่อนยุคพระคุณนั้นไม่เห็นว่ามีการทรงพระราชกิจในวิธีนี้  พระองค์ทรงกลับกลายเป็นสนิทสนมมากขึ้นและสงสารเห็นใจมากขึ้นกับมวลมนุษย์ อีกทั้งสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากยิ่งขึ้นทั้งในรูปแบบและลักษณะ  การอุปมาเกี่ยวกับการให้อภัยผู้คนเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้งทำให้ประเด็นนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง  เป้าหมายที่ตัวเลขในการอุปมานี้มุ่งสัมฤทธิ์ก็คือการทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ขององค์พระเยซูเจ้า ณ เวลาที่พระองค์ตรัสสิ่งนี้  เป้าหมายของพระองค์ก็คือว่าผู้คนควรให้อภัยผู้อื่น—ไม่ใช่หนึ่งครั้งหรือสองครั้ง และไม่แม้กระทั่งเจ็ดครั้ง แต่เป็นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง  ภายในแนวคิดของคำว่า “เจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง” มีแนวคิดแบบใดอยู่?  แนวคิดนี้คือการทำให้ผู้คนทำให้การให้อภัยเป็นความรับผิดชอบของพวกเขาเอง เป็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาต้องเรียนรู้ และเป็น “วิธี” ที่พวกเขาต้องปฏิบัติตาม  ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่การอุปมา แต่การอุปมานี้ก็ทำหน้าที่เน้นถึงประเด็นที่สำคัญยิ่ง  การอุปมานี้ช่วยให้ผู้คนซึ้งคุณค่าอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่พระองค์ทรงหมายถึง และพบวิธีที่ถูกต้องเหมาะสมในการปฏิบัติ และหลักการและมาตรฐานของการปฏิบัติ  การอุปมานี้ช่วยผู้คนให้เข้าใจอย่างชัดเจน และให้พวกเขาได้มีมโนคติที่ถูกต้อง—ว่าพวกเขาควรเรียนรู้การให้อภัยและให้อภัยไม่ว่าจะกี่ครั้งโดยไม่มีเงื่อนไข แต่โดยมีท่าทีของการทนยอมรับและความเข้าใจผู้อื่น  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้ มีสิ่งใดอยู่ในพระทัยของพระองค์?  พระองค์มีพระดำริถึงจำนวน “เจ็ดสิบคูณเจ็ด” จริงๆ หรือ?  ไม่ใช่ พระองค์ไม่มีพระดำริเช่นนั้น  มีจำนวนครั้งที่พระเจ้าจะทรงให้อภัยมนุษย์หรือไม่?  มีผู้คนมากมายที่มีความสนใจเป็นอย่างยิ่งใน “จำนวนครั้ง” ที่กล่าวถึงในที่นี้ ผู้ที่ต้องการจะเข้าใจจุดกำเนิดและความหมายของตัวเลขนี้จริงๆ  พวกเขาต้องการเข้าใจว่าเหตุใดจำนวนนี้จึงออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์พระเยซูเจ้า พวกเขาเชื่อว่าตัวเลขนี้มีความหมายโดยนัยที่ลึกซึ้งลงไปอีก  แต่อันที่จริงแล้ว นี่เป็นเพียงการอุปมาอุปมัยของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้  ความหมายโดยนัยหรือความหมายใดๆ นั้นต้องทำความเข้าใจพร้อมกับข้อพึงพระสงค์ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์  เมื่อพระเจ้ายังไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ผู้คนไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสมากนัก เพราะพระวจนะของพระองค์มาจากเทวสภาพอย่างสมบูรณ์  มุมมองและบริบทของสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นไม่ปรากฏแก่ตาและไม่อาจเอื้อมถึงสำหรับมวลมนุษย์ สิ่งนี้ได้รับการแสดงออกจากอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้  สำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตในเนื้อหนัง พวกเขาไม่สามารถก้าวผ่านอาณาจักรฝ่ายวิญญาณได้  แต่หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ตรัสต่อมวลมนุษย์จากมุมมองของสภาวะความเป็นมนุษย์ และพระองค์เสด็จออกจากและผ่านขอบเขตของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ  พระองค์สามารถแสดงออกถึงพระอุปนิสัย เจตนารมณ์ และท่าทีที่แบบพระเจ้าของพระองค์โดยผ่านทางสิ่งต่างๆ ที่พวกมนุษย์สามารถจินตนาการได้ สิ่งต่างๆ ที่พวกเขามองเห็นและประสบพบเจอในชีวิตของพวกเขา และโดยใช้วิธีการที่พวกมนุษย์สามารถยอมรับได้ ในภาษาที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้ และด้วยความรู้ที่พวกเขาสามารถจับความเข้าใจได้ เพื่อให้มวลมนุษย์สามารถเข้าใจและรู้จักพระเจ้า ทำความเข้าใจความปรารถนาของพระองค์และมาตรฐานที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ภายในขอบเขตของขีดความสามารถของพวกเขา และจนถึงระดับที่พวกเขาสามารถทำได้  นี่คือวิธีการและหลักการของพระราชกิจของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์  ถึงแม้ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วหนทางของพระเจ้าและหลักการของพระองค์ในการทรงพระราชกิจในเนื้อหนังสัมฤทธิ์ผลด้วยการใช้หรือโดยผ่านทางสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่ก็สัมฤทธิ์ผลอย่างแท้จริงในผลลัพธ์ที่ไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้โดยการทรงพระราชกิจในเทวสภาพโดยตรง  พระราชกิจของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์นั้นเป็นรูปธรรม เป็นของแท้ และมุ่งเป้าหมายมากกว่า วิธีการต่างๆ มีความยืดหยุ่นมากกว่ามาก และในรูปร่างนั้นเกินหน้าจากพระราชกิจที่ทรงดำเนินการในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ

อันดับต่อไป พวกเรามาพูดถึงการรักองค์พระผู้เป็นเจ้าและการรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเจ้าเองกันเถิด  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่มีการแสดงออกโดยตรงในเทวสภาพหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่!  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่บุตรมนุษย์ได้ตรัสถึงในสภาวะความเป็นมนุษย์ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่จะพูดบางสิ่งบางอย่างเช่น “จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเจ้าเอง” และ “จงรักผู้อื่นเหมือนกับที่เจ้าทะนุถนอมชีวิตของเจ้าเอง”  การพูดลักษณะเช่นนี้เป็นของมนุษย์แต่เพียงเท่านั้น  พระเจ้าไม่เคยตรัสในลักษณะเช่นนี้  อย่างน้อยที่สุด พระเจ้าไม่ทรงมีภาษาประเภทนี้ในเทวสภาพของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นต้องมีหลักความเชื่อประเภทนี้ที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเจ้าเอง” เพื่อวางระเบียบความรักที่พระองค์ทรงมีให้กับมวลมนุษย์ เพราะความรักที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์นั้นเป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  พวกเจ้าเคยได้ยินพระเจ้าตรัสอะไรเช่นว่า  “เรารักมวลมนุษย์เหมือนที่เรารักตัวเราเอง” เมื่อใดกัน?  พวกเจ้าไม่เคยได้ยิน เพราะความรักอยู่ในแก่นแท้ของพระเจ้าและในสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  ความรักที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ และท่าทีของพระองค์ และวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนคือการแสดงออกและการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงพระอุปนิสัยของพระองค์  พระองค์ไม่จำเป็นต้องจงพระทัยทำสิ่งนี้ในลักษณะเฉพาะใดๆ หรือจงพระทัยทำตามวิธีการเฉพาะใดๆ หรือหลักศีลธรรมเพื่อสัมฤทธิ์ผลในการรักเพื่อนบ้านของพระองค์เหมือนรักพระองค์เอง—พระองค์ได้ทรงครอบครองแก่นแท้ประเภทนี้อยู่แล้ว  เจ้ามองเห็นอะไรในสิ่งนี้?  เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจในสภาวะความเป็นมนุษย์ วิธีการ พระวจนะ และความจริงมากมายของพระองค์ได้รับการแสดงออกด้วยวิธีของมนุษย์  แต่ในขณะเดียวกัน พระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และเจตนารมณ์ของพระองค์ได้รับการแสดงออกเพื่อให้ผู้คนรู้จักและทำความเข้าใจ  สิ่งที่พวกเขาได้มารู้จักและเข้าใจคือแก่นแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งแทนอัตลักษณ์และสถานะโดยธรรมชาติของพระเจ้าพระองค์เอง  นั่นจึงกล่าวได้ว่า บุตรมนุษย์ในเนื้อหนังแสดงออกถึงพระอุปนิสัยและแก่นแท้โดยธรรมชาติของพระเจ้าพระองค์เองจนถึงขอบเขตสูงสุดที่เป็นไปได้ และอย่างถูกต้องแม่นยำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้  ไม่เพียงสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุตรมนุษย์จะไม่เป็นเครื่องกีดขวางหรืออุปสรรคต่อการสื่อสารและการโต้ตอบกับพระเจ้าในสวรรค์ของมนุษย์เท่านั้น แต่อันที่จริงแล้วยังเป็นช่องทางเดียวและสะพานเชื่อมเดียวที่มวลมนุษย์สามารถเชื่อมต่อกับองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้  บัดนี้ ในจุดนี้พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่ามีความคล้ายคลึงกันมากมายระหว่างธรรมชาติและวิธีการของพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติในยุคพระคุณกับพระราชกิจช่วงระยะปัจจุบัน?  พระราชกิจในช่วงระยะปัจจุบันนี้ก็ใช้ภาษาของมนุษย์มากมายเพื่อแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และภาษาและวิธีมากมายจากชีวิตประจำวันของมวลมนุษย์และความรู้ของมนุษย์ในการแสดงออกถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าพระองค์เองเช่นเดียวกัน  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ว่าพระองค์ตรัสจากมุมมองของมนุษย์หรือมุมมองของพระเจ้า ภาษาและวิธีการแสดงออกมากมายของพระองค์ออกมาโดยผ่านทางสื่อกลางคือภาษาและวิธีการของมนุษย์  นั่นคือ เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เจ้าจะมองเห็นมหิทธานุภาพของพระเจ้าและพระปัญญาของพระองค์ และรู้จักแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าทุกแง่มุม  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ขณะที่พระองค์ทรงเจริญเติบโตขึ้น พระองค์ได้ทรงมาเข้าใจ เรียนรู้ และจับความเข้าใจกับความรู้ สามัญสำนึก ภาษา และวิธีการแสดงออกบางอย่างของมวลมนุษย์ในสภาวะความเป็นมนุษย์  และเมื่อพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงครอบครองสิ่งเหล่านี้ซึ่งมาจากมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในเนื้อหนังเพื่อแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์และเทวสภาพของพระองค์ และทำให้พระองค์สามารถทำให้พระราชกิจของพระองค์เข้าเรื่องยิ่งขึ้น เป็นของแท้ยิ่งขึ้น และถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นเมื่อพระองค์กำลังทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ จากมุมมองของมนุษย์ และโดยใช้ภาษาของมนุษย์  นี่ทำให้พระราชกิจของพระองค์เข้าถึงได้มากขึ้นและเข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้คน ด้วยเหตุนี้จึงสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์  หากพระเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังในวิธีนี้จะไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่าหรือ?  นี่ไม่ใช่พระปัญญาของพระเจ้าหรือ?  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อเนื้อหนังของพระเจ้าสามารถรับพระราชกิจที่พระองค์มีพระประสงค์จะดำเนินการ นั่นคือเวลาที่พระองค์ทรงแสดงออกอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงถึงพระอุปนิสัยของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ และนั่นก็เป็นเวลาที่พระองค์สามารถเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์อย่างเป็นทางการในฐานะบุตรมนุษย์เช่นเดียวกัน  นี่หมายความว่าไม่มี “ช่องว่างของยุคสมัย” ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์อีกต่อไป ว่าพระเจ้าจะทรงหยุดพระราชกิจของพระองค์ในการสื่อสารโดยผ่านทางผู้ส่งสารในอีกไม่นาน และว่าพระเจ้าพระองค์เองสามารถแสดงออกถึงพระวจนะและพระราชกิจในเนื้อหนังทั้งหมดที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ได้ด้วยพระองค์เอง  อีกทั้งยังหมายความด้วยว่าผู้คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดนั้นใกล้ชิดกับพระองค์ยิ่งขึ้น ว่าพระราชกิจการบริหารจัดการของพระองค์ได้เข้าสู่ดินแดนใหม่แล้ว และว่ามวลมนุษย์ทั้งหมดกำลังจะได้เผชิญกับยุคใหม่

ทุกคนที่ได้อ่านพระคัมภีร์ต่างรู้ว่ามีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นเมื่อองค์พระเยซูเจ้าประสูติ  เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นก็คือการที่พระองค์ทรงถูกล่าโดยกษัตริย์แห่งมาร ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สุดขั้วจนเด็กทุกคนในเมืองที่มีอายุตั้งแต่สองปีลงไปถูกสังหาร  เห็นได้ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงได้รับความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่จากการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ท่ามกลางหมู่มนุษย์  ราคาที่ยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงจ่ายเพื่อทำการบริหารจัดการของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดให้ครบบริบูรณ์ก็เห็นได้ชัดเจนเช่นเดียวกัน  ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมีให้กับพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ในเนื้อหนังก็เห็นได้ชัดเจนเช่นเดียวกัน  เมื่อเนื้อหนังของพระเจ้าสามารถรับพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ได้ พระองค์ทรงรู้สึกเช่นไร?  ผู้คนควรจะสามารถเข้าใจเรื่องนั้นได้ถึงระดับหนึ่ง ไม่ใช่หรือ?  อย่างน้อยที่สุด พระเจ้าทรงพระเกษมสำราญเพราะพระองค์สามารถเริ่มดำเนินพระราชกิจใหม่ของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงได้รับบัพติศมาและได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ในการทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วงอย่างเป็นทางการ พระทัยของพระเจ้าเปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นบาน เพราะหลังจากช่วงเวลาหลายปีแห่งการรอคอยและการตระเตรียม ในที่สุดพระองค์ก็สามารถสวมเนื้อหนังของมนุษย์ปกติและเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ของพระองค์ในรูปร่างของมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ผู้ซึ่งผู้คนสามารถมองเห็นและสัมผัสได้  ในที่สุดพระองค์ก็สามารถตรัสกับผู้คนได้อย่างซึ่งหน้าและอย่างเปิดพระทัยโดยผ่านทางอัตลักษณ์ของมนุษย์  ในที่สุดพระเจ้าก็สามารถมาเผชิญกับมวลมนุษย์โดยผ่านทางสื่อกลางคือวิธีของมนุษย์และภาษาของมนุษย์  พระองค์สามารถจัดเตรียมเพื่อมวลมนุษย์ ประทานความรู้แจ้งแก่พวกเขา และช่วยพวกเขาให้รอดโดยใช้ภาษาของมนุษย์  พระองค์สามารถเสวยร่วมโต๊ะและดำรงพระชนม์ในพื้นที่เดียวกับพวกเขาได้  พระองค์ยังสามารถทอดพระเนตรมนุษย์ ทอดพระเนตรสิ่งต่างๆ และทอดพระเนตรทุกสิ่งในวิธีที่มนุษย์มองเห็น และแม้กระทั่งโดยผ่านทางดวงตาของพวกเขาเอง  สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น นี่เป็นชัยชนะแรกของพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนัง  นอกจากนี้ยังสามารถกล่าวได้ว่าเป็นความสำเร็จลุล่วงอย่างหนึ่งของพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่—แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงพระเกษมสำราญที่สุด  นับตั้งแต่นั้น พระเจ้าทรงรู้สึกเป็นครั้งแรกถึงความสบายแบบหนึ่งในพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์  เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงและช่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก และความสบายที่พระเจ้าทรงรู้สึกช่างจริงแท้ยิ่งนัก  สำหรับมวลมนุษย์แล้วนั้น แต่ละครั้งที่พระราชกิจในช่วงระยะใหม่ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง และแต่ละครั้งที่พระเจ้ารู้สึกพอพระทัย นั่นคือเวลาที่มวลมนุษย์สามารถเข้าใกล้พระเจ้าและความรอดได้มากขึ้น  สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น นี่ยังเป็นการเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ของพระองค์อีกด้วย ซึ่งก้าวไปข้างหน้าในแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น เวลาเหล่านี้ยังเป็นเวลาที่เจตนารมณ์ของพระองค์เข้าใกล้ความลุล่วงที่ครบบริบูรณ์ด้วย  สำหรับมวลมนุษย์ การมาถึงของโอกาสดังกล่าวช่างเป็นโชคดีและเป็นสิ่งที่ดีมาก  สำหรับทุกคนที่รอความรอดของพระเจ้า นี่คือข่าวที่น่าชื่นบานยินดีและมีความสำคัญอย่างยิ่ง  เมื่อพระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจในช่วงระยะใหม่ เมื่อนั้นพระองค์ทรงมีจุดเริ่มต้นใหม่ และเมื่อพระราชกิจใหม่และจุดเริ่มต้นใหม่นี้ได้รับการเปิดตัวและแนะนำให้รู้จักท่ามกลางมวลมนุษย์ นั่นคือเวลาที่บทอวสานของพระราชกิจในช่วงระยะนี้ได้รับการกำหนดและสำเร็จลุล่วงแล้ว และพระเจ้าทรงเห็นผลกระทบและดอกผลสุดท้ายแล้ว  นี่ยังเป็นเวลาที่ผลกระทบเหล่านี้ทำให้พระเจ้ารู้สึกพึงพอพระทัย และแน่นอนว่าคือเวลาที่พระทัยของพระองค์ก็เกษมสำราญ  พระเจ้ารู้สึกวางพระทัย เพราะในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นและได้ทรงกำหนดผู้คนที่พระองค์กำลังทรงมองหาแล้ว และทรงได้รับผู้คนกลุ่มนี้ไว้แล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สามารถทำให้พระราชกิจของพระองค์สำเร็จและนำความพึงพอพระทัยมาให้กับพระองค์  ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงละวางความกังวลของพระองค์ลงได้ และพระองค์ทรงรู้สึกเกษมสำราญ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อเนื้อหนังของพระเจ้าสามารถเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ท่ามกลางมนุษย์และพระองค์ทรงเริ่มต้นพระราชกิจที่พระองค์ทรงต้องทำโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง และเมื่อพระองค์ทรงรู้สึกว่าทั้งหมดได้สำเร็จลุล่วงแล้ว เมื่อนั้นแล้ว สำหรับพระองค์ จุดสิ้นสุดก็อยู่ในสายพระเนตรแล้ว  เพราะสิ่งนี้ พระองค์พึงพอพระทัย และพระทัยของพระองค์ก็เกษมสำราญ  พระเกษมสำราญของพระเจ้าได้รับการแสดงออกอย่างไร?  พวกเจ้าสามารถจินตนาการได้หรือไม่ว่าคำตอบอาจเป็นอะไร?  พระเจ้าอาจทรงกันแสงหรือไม่?  พระเจ้าสามารถกันแสงได้หรือไม่?  พระเจ้าสามารถปรบพระหัตถ์ของพระองค์ได้หรือไม่?  พระเจ้าสามารถลีลาศได้หรือไม่?  พระเจ้าสามารถร้องเพลงได้หรือไม่?  ถ้าได้ พระองค์จะทรงร้องสิ่งใด?  แน่นอนว่าพระเจ้าอาจทรงร้องเพลงที่ไพเราะและดลใจ เพลงที่สามารถแสดงออกถึงความชื่นบานและพระเกษมสำราญในพระทัยของพระองค์  พระองค์สามารถร้องเพลงนั้นเพื่อมวลมนุษย์ เพื่อพระองค์เอง และเพื่อทุกสรรพสิ่ง  พระเกษมสำราญของพระเจ้าสามารถแสดงออกในวิธีใดก็ได้—ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะพระเจ้าทรงมีความชื่นบานและความโทมนัส และความรู้สึกต่างๆ ของพระองค์สามารถแสดงออกได้ในวิธีที่หลากหลาย  นี่คือสิทธิ์ของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดที่สามารถเป็นปกติและถูกต้องเหมาะสมไปมากกว่า  ผู้คนไม่ควรคิดถึงสิ่งอื่นใดก็ตามเกี่ยวกับเรื่องนี้  พวกเจ้าไม่ควรพยายามใช้ “คาถารัดเกล้า”[ก] กับพระเจ้าโดยบอกพระองค์ว่าพระองค์ไม่ควรทรงทำสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ พระองค์ไม่ควรทรงกระทำการในวิธีนี้หรือวิธีนั้น และจำกัดความเกษมสำราญของพระองค์หรือความรู้สึกใดๆ ที่พระองค์อาจมีด้วยวิธีนี้  ในหัวใจของผู้คน พระเจ้าไม่สามารถมีพระเกษมสำราญ ไม่สามารถหลั่งน้ำพระเนตร ไม่สามารถกันแสง—พระองค์ไม่สามารถแสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ  โดยผ่านทางสิ่งที่เราได้สื่อสารในระหว่างการสามัคคีธรรมสองหัวข้อนี้ เราเชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่มองเห็นพระเจ้าในลักษณะเช่นนี้อีกต่อไป แต่จะให้พระเจ้าสามารถมีอิสรภาพและการปลดปล่อยบ้าง  นี่คือสิ่งที่ดีมาก  ในอนาคต หากพวกเจ้าสามารถรู้สึกถึงความโทมนัสของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงเมื่อพวกเจ้าได้ยินว่าพระองค์ทรงโทมนัส และพวกเจ้าสามารถรู้สึกถึงพระเกษมสำราญของพระองค์ได้อย่างแท้จริงเมื่อพวกเจ้าได้ยินว่าพระองค์ทรงพระเกษมสำราญ เมื่อนั้นอย่างน้อยเจ้าจะสามารถรู้และเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งใดทำให้พระเจ้าทรงพระเกษมสำราญ และสิ่งใดทำให้พระองค์ทรงโทมนัส  เมื่อเจ้าสามารถรู้สึกเสียใจเพราะพระเจ้าทรงโทมนัสและรู้สึกมีความสุขเพราะพระเจ้าทรงพระเกษมสำราญ พระองค์จะได้รับหัวใจของเจ้าอย่างเต็มที่แล้ว และจะไม่มีอุปสรรคใดๆ ระหว่างตัวเจ้าเองและพระองค์อีก  เจ้าจะไม่พยายามที่จะจำกัดพระเจ้าด้วยการจินตนาการ มโนคติที่หลงผิด และความรู้ของมนุษย์อีกต่อไป  ณ เวลานั้น พระเจ้าจะทรงพระชนม์และแจ่มแจ้งในหัวใจของเจ้า  พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าแห่งชีวิตของเจ้า และเป็นองค์เจ้านายของทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเจ้า  พวกเจ้ามีความทะเยอทะยานประเภทนี้หรือไม่?  พวกเจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าพวกเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์สิ่งนี้ได้?

อันดับต่อไป พวกเรามาอ่านบทตอนจากข้อพระคัมภีร์ดังต่อไปนี้กันเถิด:

6. คำเทศนาบนภูเขา

ผู้เป็นสุข (มัทธิว 5:3-12)

เกลือและความสว่าง (มัทธิว 5:13-16)

ธรรมบัญญัติ (มัทธิว 5:17-20)

ความโกรธ (มัทธิว 5:21-26)

การล่วงประเวณี (มัทธิว 5:27-30)

การหย่าร้าง (มัทธิว 5:31-32)

การสาบาน (มัทธิว 5:33-37)

การตอบแทน (มัทธิว 5:38-42)

จงรักศัตรู (มัทธิว 5:43-48)

การทำทาน (มัทธิว 6:1-4)

การอธิษฐาน (มัทธิว 6:5-8)

7. นิทานอุปมาขององค์พระเยซูเจ้า

อุปมาเรื่องผู้หว่านพืช (มัทธิว 13:1-9)

อุปมาเรื่องข้าวละมาน (มัทธิว 13:24-30)

อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด (มัทธิว 13:31-32)

อุปมาเรื่องเชื้อขนม (มัทธิว 13:33)

การทรงอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมาน (มัทธิว 13:36-43)

อุปมาเรื่องขุมทรัพย์ (มัทธิว 13:44)

อุปมาเรื่องไข่มุก (มัทธิว 13:45-46)

อุปมาเรื่องอวน (มัทธิว 13:47-50)

8. พระบัญญัติ

มัทธิว 22:37-39  พระเยซูทรงตอบเขาว่า “‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’”

อันดับแรก พวกเรามาดูที่แต่ละส่วนของ “คำเทศนาบนภูเขา” กัน  ส่วนที่แตกต่างกันเหล่านี้กล่าวถึงเรื่องใด?  สามารถกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่าเนื้อหาของส่วนต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดยกระดับขึ้นมากกว่า เป็นรูปธรรมมากกว่า และใกล้ชิดกับชีวิตของผู้คนมากกว่ากฎระเบียบของยุคธรรมบัญญัติ  ถ้าพูดในภาษาสมัยใหม่ สิ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติจริงของผู้คนมากกว่า

พวกเรามาอ่านเนื้อหาเฉพาะดังต่อไปนี้กัน: เจ้าควรเข้าใจเกี่ยวกับผู้เป็นสุขว่าอย่างไร?  เจ้าควรรู้อะไรเกี่ยวกับธรรมบัญญัติ?  ความกริ้วควรได้รับการกำหนดนิยามอย่างไร?  ผู้ล่วงประเวณีควรได้รับการจัดการอย่างไร?  การหย่าควรได้รับการพูดถึงอย่างไร และมีกฎชนิดใดเกี่ยวกับเรื่องนี้?  ใครสามารถหย่าได้ และใครไม่สามารถหย่าได้?  แล้วการสาบาน การตอบแทน การรักศัตรู และการทำทานเล่าเป็นอย่างไร?  เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับทุกแง่มุมของการปฏิบัติในความเชื่อพระเจ้าของมวลมนุษย์ และการปฏิบัติในการติดตามพระเจ้าของพวกเขา  การปฏิบัติเหล่านี้มีบางส่วนยังคงสามารถใช้ได้ในวันนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ลึกซึ้งเท่ากับสิ่งที่พึงประสงค์จากผู้คนในปัจจุบันนี้ก็ตาม—สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงที่ค่อนข้างอยู่ในขั้นต้น ซึ่งผู้คนพบในความเชื่อพระเจ้าของพวกเขา  นับจากเวลาที่องค์พระเยซูเจ้าทรงเริ่มต้นปฏิบัติพระราชกิจ พระองค์ทรงเริ่มต้นดำเนินพระราชกิจเกี่ยวกับอุปนิสัยในชีวิตของพวกมนุษย์แล้ว แต่แง่มุมเหล่านี้ของพระราชกิจของพระองค์มีพื้นฐานมาจากรากฐานของธรรมบัญญัติ  กฎและวิธีการพูดเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับความจริงหรือไม่?  แน่นอนว่ามี!  กฎระเบียบและหลักการก่อนหน้าทั้งหมด อีกทั้งคำเทศนาในยุคพระคุณเหล่านี้ ต่างสัมพันธ์กับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และแน่นอนว่าสัมพันธ์กับความจริงด้วย  ไม่ว่าพระเจ้าทรงแสดงออกสิ่งใด และไม่ว่าวิธีการแสดงออกหรือภาษาที่พระองค์ใช้จะเป็นแบบใดก็ตาม สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงออกทั้งหมดต่างมีรากฐาน จุดกำเนิด และจุดเริ่มต้นของมันมาจากหลักการของพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  นี่เป็นความจริงอย่างแน่นอน  ดังนั้น ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่พระองค์ตรัสดูเหมือนจะตื้นเขินเล็กน้อยในตอนนี้ แต่เจ้าก็ยังคงไม่สามารถพูดได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้คนในยุคพระคุณในการที่จะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าและสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของการดำรงชีวิตของพวกเขา  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าในคำเทศนาเหล่านี้มีคำเทศนาหนึ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริง?  ไม่ เจ้าพูดไม่ได้!  ทุกๆ คำเทศนาเหล่านี้คือความจริง เพราะทั้งหมดเป็นข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ ทั้งหมดเป็นหลักการและขอบเขตที่พระเจ้าประทานให้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนเราควรปฏิบัติตัวเองอย่างไร และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถยอมรับและจับใจความได้ ตามระดับของการเติบโตในชีวิตของพวกเขา ณ ขณะนั้น  เพราะบาปของมวลมนุษย์ยังไม่ได้รับการแก้ไข พระวจนะเหล่านี้จึงเป็นพระวจนะเพียงอย่างเดียวที่องค์พระเยซูเจ้าสามารถตรัสได้ และพระองค์สามารถใช้ได้เพียงคำสอนที่เรียบง่ายที่อยู่ในขอบเขตประเภทนี้เพื่อบอกผู้คนในขณะนั้นว่าพวกเขาควรกระทำอย่างไร พวกเขาควรทำอะไร พวกเขาควรทำสิ่งต่างๆ ภายในหลักการและขอบเขตใด และพวกเขาควรเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์อย่างไร  ทั้งหมดนี้ได้รับการกำหนดโดยมีพื้นฐานมาจากวุฒิภาวะของมวลมนุษย์ ณ ขณะนั้น  ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติที่จะยอมรับคำสอนเหล่านี้ ดังนั้น สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงสอนจึงต้องอยู่ภายในขอบเขตนี้

อันดับต่อไป พวกเรามาดูเนื้อหาต่างๆ ของ “นิทานอุปมาขององค์พระเยซูเจ้า” กัน

เรื่องแรกคืออุปมาเรื่องผู้หว่านพืช  นิทานอุปมานี้มีความน่าสนใจอย่างมาก การหว่านพืชเป็นเหตุการณ์ที่พบได้ทั่วไปในชีวิตของผู้คน  เรื่องที่สองคืออุปมาเรื่องข้าวละมาน  ผู้ใดก็ตามที่ปลูกพืชผล และแน่นอนว่าผู้ใหญ่ทุกคนจะรู้ว่า “ข้าวละมาน” คืออะไร  เรื่องที่สามคืออุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด  พวกเจ้าทุกคนรู้ว่ามัสตาร์ดคืออะไร ใช่หรือไม่?  หากเจ้าไม่รู้ เจ้าสามารถดูในพระคัมภีร์ได้  นิทานอุปมาเรื่องที่สี่คืออุปมาเรื่องเชื้อขนม  ตอนนี้ คนส่วนใหญ่รู้ว่ามีการใช้เชื้อขนมเพื่อการหมัก และรู้ว่ามันคือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเขา  นิทานอุปมาต่อไป ซึ่งรวมถึงเรื่องที่หก อุปมาเรื่องขุมทรัพย์ เรื่องที่เจ็ด อุปมาเรื่องไข่มุก และเรื่องที่แปด อุปมาเรื่องอวน ทั้งหมดต่างนำมาจากและมีต้นกำเนิดมาจากชีวิตจริงของผู้คน  นิทานอุปมาเหล่านี้วาดรูปภาพแบบใด?  รูปภาพนี้เป็นรูปภาพของพระเจ้าที่ทรงกลายเป็นบุคคลปกติและดำรงพระชนม์ชีพอยู่เคียงข้างมวลมนุษย์ โดยใช้ภาษาของชีวิต ภาษาแบบมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับมนุษย์และเพื่อจัดหาสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมีให้กับพวกเขา  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์เป็นเวลานาน หลังจากที่พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์และเป็นประจักษ์พยานวิถีชีวิตที่หลากหลายของผู้คนแล้ว ประสบการณ์เหล่านี้ก็ได้กลายเป็นเนื้อหาการสอนที่พระองค์ทรงแปลงจากภาษาแบบพระเจ้าของพระองค์มาเป็นภาษาแบบมนุษย์  แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ที่พระองค์ทอดพระเนตรและทรงได้ยินในชีวิตยังได้ประเทืองประสบการณ์แบบมนุษย์ของบุตรมนุษย์ด้วยเช่นกัน  เมื่อพระองค์ทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนเข้าใจความจริงบางอย่าง ให้เข้าใจเจตนารมณ์บางอย่างของพระเจ้า เมื่อนั้นพระองค์ก็สามารถใช้นิทานอุปมาที่คล้ายคลึงกับนิทานอุปมาข้างต้นเพื่อบอกผู้คนเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์  นิทานอุปมาเหล่านี้ทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คน ไม่มีนิทานอุปมาสักเรื่องเดียวที่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าดำรงพระชนม์ชีพอยู่กับมวลมนุษย์ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นชาวนาดูแลไร่นาของตน และพระองค์ทรงรู้ว่าข้าวละมานคืออะไร และเชื้อขนมคืออะไร พระองค์เข้าพระทัยว่ามนุษย์รักขุมทรัพย์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงใช้การอุปมาเกี่ยวกับทั้งขุมทรัพย์และไข่มุก  ในชีวิต พระองค์ทรงเห็นชาวประมงลากอวนของตน องค์พระเยซูเจ้าทรงมองเห็นสิ่งนี้และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ และพระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับชีวิตประเภทนั้นด้วยเช่นกัน  พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับกิจวัตรประจำวันของมนุษย์และการรับประทานอาหารวันละสามมื้อของพวกเขาเช่นเดียวกับมนุษย์ปกติอื่นๆ ทุกคน  พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับชีวิตของคนทั่วไปด้วยพระองค์เอง และได้ทรงสังเกตชีวิตของผู้อื่น  เมื่อพระองค์ทรงสังเกตและได้รับประสบการณ์กับทั้งหมดนี้ด้วยพระองค์เองแล้ว สิ่งที่พระองค์มีพระดำริถึงไม่ใช่ว่าจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร หรือพระองค์จะสามารถดำรงพระชนม์ชีพอย่างเป็นอิสระและสะดวกสบายมากขึ้นได้อย่างไร  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น องค์พระเยซูเจ้ากลับทอดพระเนตรเห็นความยากเข็ญในชีวิตของผู้คนจากประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ที่เป็นของแท้ของพระองค์  พระองค์ทรงมองเห็นความยากเข็ญ เคราะห์ร้าย และความโศกเศร้าของผู้คนที่ใช้ชีวิตภายใต้อำนาจของซาตานและใช้ชีวิตแห่งบาปใต้ความเสื่อมทรามของซาตาน  ในขณะที่พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์ว่าผู้คนที่ไร้ที่พึ่งคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเสื่อมทรามอย่างไร พระองค์ทอดพระเนตรเห็นและผ่านประสบการณ์กับสภาพอันทุกข์ยากของมนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในบาป พวกเขาสูญเสียทิศทางทั้งปวงเมื่อตกอยู่ภายใต้การทรมานของซาตานและบาป  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นสิ่งเหล่านี้ พระองค์ทรงมองเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยเทวสภาพของพระองค์หรือสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์?  สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ปรากฏอยู่จริงๆ และมีชีวิตอยู่อย่างยิ่ง พระองค์สามารถรับประสบการณ์และทอดพระเนตรสิ่งทั้งหมดนี้  แต่แน่นอนว่าพระองค์ยังทรงมองเห็นสิ่งเหล่านี้ในแก่นแท้ของพระองค์ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือเทวสภาพของพระองค์  นั่นคือ พระคริสต์พระองค์เอง องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นมนุษย์ทรงมองเห็นสิ่งนี้ และทุกสิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรทำให้พระองค์ทรงรู้สึกถึงความสำคัญและความจำเป็นของพระราชกิจที่พระองค์ทรงได้ปฏิบัติในระหว่างช่วงเวลาที่พระองค์ทรงพระชนม์ชีพในเนื้อหนังนี้  ถึงแม้ว่าพระองค์เองทรงทราบว่าความรับผิดชอบที่พระองค์ทรงต้องรับในเนื้อหนังนั้นมหาศาลนัก และพระองค์ทรงทราบว่าความเจ็บปวดที่พระองค์จะทรงเผชิญจะโหดร้ายเพียงใด เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นมนุษย์ไร้ที่พึ่งในบาป เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเคราะห์ร้ายของชีวิตของพวกเขาและความดิ้นรนอย่างอ่อนแรงภายใต้ธรรมบัญญัติของพวกเขา พระองค์ทรงรู้สึกเศร้าโศกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และกลับกลายเป็นวิตกกังวลที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากบาป  ไม่ว่าพระองค์จะทรงเผชิญกับความลำบากยากเย็นแบบใด หรือพระองค์จะทรงทนทุกข์กับความเจ็บปวดแบบใด พระองค์ทรงกลับกลายเป็นตัดสินพระทัยแน่วแน่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่จะไถ่มวลมนุษย์ผู้กำลังใช้ชีวิตอยู่ในบาป  ในช่วงระหว่างกระบวนการนี้ เจ้าสามารถพูดได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าเริ่มเข้าพระทัยพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงปฏิบัติและสิ่งที่พระองค์ทรงได้รับมอบหมายมากขึ้นและชัดเจนขึ้น  นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงกระตือรือร้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่จะปฏิบัติพระราชกิจที่พระองค์จะต้องทรงปฏิบัติ—การรับบาปทั้งหมดของมวลมนุษย์ การไถ่โทษให้กับมวลมนุษย์เพื่อให้พวกเขาไม่ใช้ชีวิตอยู่ในบาปอีกต่อไป และในขณะเดียวกัน พระเจ้าจะไม่ทรงจดจำบาปของมนุษย์เพราะเครื่องบูชาลบล้างบาป ทำให้พระองค์ทรงพระราชกิจในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระองค์เพิ่มเติมได้ต่อไป  สามารถกล่าวได้ว่าในพระทัยขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์เต็มพระทัยที่จะสละพระองค์เองเพื่อมวลมนุษย์ ที่จะพลีอุทิศพระองค์เอง  พระองค์ยังเต็มพระทัยที่จะทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ที่จะถูกตรึงที่กางเขน และพระองค์ทรงกระตือรือร้นที่จะทำพระราชกิจนี้ให้ครบบริบูรณ์โดยแท้  เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นสภาวะที่ทุกข์ยากของชีวิตมนุษย์ พระองค์ทรงต้องประสงค์ยิ่งขึ้นไปอีกที่จะทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วงโดยเร็วที่สุด โดยไม่ให้ล่าช้าสักนาทีเดียวหรือแม้เพียงหนึ่งวินาที  เมื่อทรงรู้สึกถึงความเร่งด่วนเช่นนั้น พระองค์จึงไม่มีพระดำริว่าความเจ็บปวดของพระองค์เองจะมากเพียงใด อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงเก็บงำการจับความเพิ่มเติมใดๆ ว่าพระองค์จะทรงต้องทนฝ่าการเหยียดหยามเพียงใด  พระองค์ทรงมีความมั่นใจอย่างแรงกล้าเพียงอย่างเดียวในพระทัยของพระองค์: ตราบเท่าที่พระองค์ทรงมอบถวายพระองค์เอง ตราบเท่าที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขนในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป เช่นนั้นแล้วน้ำพระทัยของพระเจ้าก็จะได้รับการดำเนินการ และพระเจ้าก็จะสามารถเริ่มพระราชกิจใหม่ได้  ชีวิตของมวลมนุษย์และสภาวะการดำรงอยู่ในบาปของพวกเขาจะถูกแปลงรูปไปโดยสิ้นเชิง  ความมั่นใจอย่างแรงกล้าของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมุ่งมั่นจะทำนั้นสัมพันธ์กับการช่วยมนุษย์ให้รอด และพระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์เดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อให้พระเจ้าสามารถเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ในช่วงระยะถัดไปได้สำเร็จ  นี่คือสิ่งที่อยู่ในจิตใจขององค์พระเยซูเจ้า ณ ขณะนั้น

เมื่อดำรงพระชนม์ชีพในเนื้อหนัง พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พระองค์ทรงมีความรู้สึกและเหตุผลของบุคคลที่ปกติ  พระองค์ทรงรู้ว่าความสุขคือสิ่งใด ความเจ็บปวดคือสิ่งใด และเมื่อพระองค์ทรงมองเห็นมวลมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ในชีวิตประเภทนี้ พระองค์ทรงรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าแค่การให้คำสอนบางอย่างแก่ผู้คน การจัดเตรียมบางสิ่งบางอย่างแก่พวกเขา หรือการสอนบางสิ่งบางอย่างแก่พวกเขาคงจะไม่เพียงพอที่จะนำพวกเขาออกจากบาปได้  แค่การทำให้พวกเขาเชื่อฟังพระบัญญัติก็ไม่สามารถไถ่พวกเขาจากบาปเช่นกัน—มีเพียงเมื่อพระองค์ทรงรับบาปของมนุษยชาติและอยู่ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่เต็มไปด้วยบาปเท่านั้นที่พระองค์จะสามารถได้มาซึ่งอิสรภาพของมวลมนุษย์และการให้อภัยมวลมนุษย์ของพระเจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน  ดังนั้น หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าทรงได้รับประสบการณ์และเป็นประจักษ์พยานต่อชีวิตในบาปของผู้คนแล้ว พระประสงค์อันแรงกล้าอย่างหนึ่งจึงเกิดขึ้นในพระทัยของพระองค์—การทำให้พวกมนุษย์สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากชีวิตแห่งการดิ้นรนในบาปของพวกเขา  พระประสงค์นี้ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าพระองค์ทรงต้องไปที่กางเขนและรับบาปของมนุษย์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  สิ่งเหล่านี้คือพระดำริขององค์พระเยซูเจ้า ณ ขณะนั้น หลังจากที่พระองค์ได้ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับผู้คน และได้ทอดพระเนตร ได้ทรงสดับ และได้ทรงรู้สึกถึงความทุกข์เข็ญของชีวิตในบาปของพวกเขาแล้ว  การที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์สามารถมีเจตนารมณ์เช่นนี้ต่อมวลมนุษย์ สามารถแสดงออกและเผยพระอุปนิสัยแบบนี้—นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่คนทั่วไปสามารถมีได้หรือไม่?  คนทั่วไปที่ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมประเภทนี้จะเห็นเป็นอย่างไร?  พวกเขาจะคิดอะไร?  หากคนทั่วไปเผชิญกับเรื่องทั้งหมดนี้ พวกเขาจะมองดูปัญหาจากมุมมองที่อยู่สูงหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่!  ถึงแม้ว่าการทรงปรากฏภายนอกของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์จะเหมือนกับมนุษย์อย่างแน่ชัด และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงเรียนรู้ความรู้ของมนุษย์และพูดภาษาของมนุษย์ และแม้กระทั่งทรงแสดงออกถึงแนวความคิดของพระองค์โดยผ่านทางวิธีการหรือลักษณะการพูดของมวลมนุษย์เองในบางครั้ง กระนั้น วิธีการที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพวกมนุษย์และทอดพระเนตรเห็นแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ ก็ไม่เหมือนกับวิธีที่ผู้คนที่เสื่อมทรามมองเห็นมวลมนุษย์และแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ  มุมมองของพระองค์และจุดสูงที่พระองค์ประทับยืนคือบางสิ่งบางอย่างที่บุคคลที่เสื่อมทรามไม่สามารถบรรลุไปถึงได้  นี่เป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง เพราะเนื้อหนังที่พระองค์ทรงสวมใส่ก็ครอบครองแก่นแท้ของพระเจ้าเช่นเดียวกัน และพระดำริและสิ่งที่สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์แสดงออกก็เป็นความจริงเช่นเดียวกัน  สำหรับผู้คนที่เสื่อมทราม สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงออกในเนื้อหนังคือการจัดเตรียมความจริง และการจัดเตรียมชีวิต  การจัดเตรียมเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปเพียงเพื่อบุคคลหนึ่งคน แต่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหมด  ในหัวใจของบุคคลที่เสื่อมทรามคนใดก็ตาม มีผู้คนเพียงไม่กี่คนที่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา  พวกเขาใส่ใจและกังวลแค่กับผู้คนหยิบมือนี้เท่านั้น  เมื่อความวิบัติจะเกิดขึ้นในไม่ช้า พวกเขาคิดถึงบุตรหลาน คู่ครอง หรือบิดามารดาของพวกเขาเป็นอันดับแรก  อย่างมากที่สุด บุคคลที่มีความสงสารเห็นใจมากกว่าคงจะเผื่อความคิดไปถึงญาติหรือเพื่อนที่ดีบางคนอยู่บ้าง แต่ความคิดของบุคคลที่สงสารเห็นใจเช่นนั้นขยายไปเกินกว่านั้นหรือไม่?  ไม่มีวัน!  เพราะในท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์ และพวกเขาสามารถเพียงมองดูทุกสิ่งได้จากจุดสูงและมุมมองของมนุษย์เท่านั้น  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงแตกต่างจากมนุษย์ที่เสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง  ไม่ว่าเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์จะธรรมดาเพียงใด จะปกติเพียงใด จะต่ำต้อยเพียงใด หรือแม้ผู้คนจะดูถูกพระองค์ด้วยการดูหมิ่นใด พระดำริของพระองค์และท่าทีของพระองค์ต่อมวลมนุษย์คือสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถครอบครองได้ ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเอาอย่างได้  พระองค์จะทรงสังเกตมวลมนุษย์จากมุมมองของเทวสภาพเสมอ จากฐานะอันสูงส่งของพระองค์ที่เป็นพระผู้สร้าง  และพระองค์จะทอดพระเนตรมวลมนุษย์ผ่านทางแก่นแท้และวิธีคิดของพระเจ้าเสมอ  พระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรมวลมนุษย์จากจุดยืนของบุคคลทั่วไป หรือจากมุมมองของบุคคลที่เสื่อมทราม  เมื่อผู้คนมองดูมวลมนุษย์ พวกเขามองดูด้วยวิสัยทัศน์ของมนุษย์ และพวกเขาใช้สิ่งต่างๆ เช่น ความรู้ของมนุษย์และกฎและทฤษฎีของมนุษย์มาเป็นตัววัดของพวกเขา  สิ่งนี้อยู่ภายในขอบเขตของสิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นด้วยตาของพวกเขา และขอบเขตที่ผู้คนที่เสื่อมทรามสามารถสัมฤทธิ์ผลได้  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรมวลมนุษย์ พระองค์ทอดพระเนตรด้วยนิมิตของพระเจ้า และพระองค์ทรงใช้แก่นแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นมาเป็นตัววัด  ขอบเขตนี้รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้ และนี่คือจุดที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และมนุษย์ที่เสื่อมทรามแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  ความแตกต่างนี้กำหนดด้วยแก่นแท้ที่แตกต่างกันของมนุษย์และพระเจ้า—แก่นแท้ที่แตกต่างกันเหล่านี้นี่เองที่กำหนดอัตลักษณ์และฐานะของมนุษย์และพระเจ้า ตลอดจนมุมมองและจุดยืนที่มนุษย์และพระเจ้าใช้มองดูสิ่งต่างๆ  พวกเจ้ามองเห็นการแสดงออกและการเปิดเผยของพระเจ้าพระองค์เองในองค์พระเยซูเจ้าหรือไม่?  เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำและตรัสนั้นสัมพันธ์กับพันธกิจของพระองค์และพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้าพระองค์เอง ว่าทั้งหมดนั้นคือการแสดงออกและการเปิดเผยถึงแก่นแท้ของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงมีการสำแดงแบบมนุษย์ แต่แก่นแท้ที่เป็นเทวสภาพของพระองค์และการเปิดเผยถึงเทวสภาพของพระองค์เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้  การสำแดงแบบมนุษย์นี้เป็นการสำแดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์จริงๆ หรือไม่?  การสำแดงแบบมนุษย์ของพระองค์โดยแก่นแท้จริงๆ แล้วแตกต่างจากการสำแดงแบบมนุษย์ของผู้คนที่เสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง  องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  หากพระองค์ทรงเป็นหนึ่งในผู้คนเสื่อมทรามที่ปกติธรรมดา พระองค์จะสามารถทอดพระเนตรเห็นชีวิตในบาปของมวลมนุษย์จากมุมมองของพระเจ้าได้หรือ?  ไม่อย่างแน่นอน!  นี่คือความแตกต่างระหว่างบุตรมนุษย์และผู้คนปกติธรรมดา  ผู้คนที่เสื่อมทรามทั้งหมดล้วนใช้ชีวิตในบาป และเมื่อมีใครก็ตามมองเห็นบาป พวกเขาไม่มีความรู้สึกที่เฉพาะเจาะจงใดๆ เกี่ยวกับมัน พวกเขาทั้งหมดเป็นแบบเดียวกัน เหมือนกับหมูที่ใช้ชีวิตในโคลนและไม่รู้สึกว่าไม่สบายใจหรือสกปรกแต่อย่างใดเลย—ในทางตรงกันข้าม มันกลับกินได้ดีและนอนหลับได้สนิท  หากมีคนทำความสะอาดเล้าหมู อันที่จริงหมูจะรู้สึกกระสับกระส่าย และมันจะไม่อยู่อย่างสะอาดต่อไป  ไม่นานนัก มันจะกลิ้งเกลือกในโคลนไปทั่วอีกครั้ง รู้สึกสบายใจเต็มที่เพราะมันคือสิ่งทรงสร้างที่โสโครก  พวกมนุษย์มองว่าหมูโสโครก แต่หากเจ้าทำความสะอาดที่อยู่อาศัยของหมู มันจะไม่รู้สึกดีขึ้นเลย—นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีผู้ใดเลี้ยงหมูไว้ในบ้านของพวกเขา  วิธีที่มนุษย์มองหมูจะแตกต่างจากวิธีที่หมูมันรู้สึกเองเสมอ เพราะพวกมนุษย์และหมูไม่ได้เป็นชนิดเดียวกัน  และเพราะบุตรมนุษย์ที่พระเจ้าประสูติมาไม่ทรงเป็นชนิดเดียวกับมนุษย์ที่เสื่อมทราม จึงมีเพียงพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถประทับยืนที่มุมมองของพระเจ้า ที่จุดสูงของพระเจ้าที่พระองค์ทอดพระเนตรมวลมนุษย์และทุกสิ่งทุกอย่างจากจุดนั้น

ความทุกข์แบบใดที่พระเจ้าทรงได้รับประสบการณ์เมื่อพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์?  ความทุกข์นี้คืออะไร?  มีใครเข้าใจจริงๆ หรือไม่?  บางคนพูดว่าพระเจ้าทรงทนทุกข์อย่างใหญ่หลวง ว่าถึงแม้พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง ผู้คนก็ไม่เข้าใจแก่นแท้ของพระองค์ แต่มีแนวโน้มจะปฏิบัติต่อพระองค์ราวกับเป็นบุคคลหนึ่ง ซึ่งทำให้พระองค์ทรงรู้สึกเศร้าโศกและถูกกระทำผิด—พวกเขาพูดว่าเพราะเหตุผลเหล่านี้ ความทุกข์ของพระเจ้าจึงยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง อีกคนพูดว่าพระเจ้าทรงไร้เดียงสาและปราศจากบาป แต่ว่าพระองค์ทรงทนทุกข์ในแบบเดียวกับมวลมนุษย์ ว่าพระองค์ทรงทนทุกข์จากการข่มเหง การให้ร้าย และการดูหมิ่นศักดิ์ศรีเคียงข้างมวลมนุษย์ พวกเขาพูดว่าพระเจ้ายังทรงสู้ทนความเข้าใจผิดและการกบฏของบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์อีกด้วย—ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงพูดว่าความทุกข์ของพระเจ้านั้นไม่สามารถวัดได้อย่างแท้จริง  ตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่ได้เข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง  อันที่จริงแล้ว ความทุกข์ที่พวกเจ้าพูดถึงนี้ไม่ได้นับว่าเป็นความทุกข์ที่แท้จริงสำหรับพระเจ้า เพราะมีความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  เช่นนั้นแล้ว ความทุกข์ที่แท้จริงสำหรับพระเจ้าพระองค์เองคือสิ่งใด?  ความทุกข์ที่แท้จริงสำหรับเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์คือสิ่งใด?  สำหรับพระเจ้า การที่มวลมนุษย์ไม่เข้าใจพระองค์นั้นไม่นับเป็นความทุกข์ และผู้คนที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้างและไม่มองว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าก็ไม่นับเป็นความทุกข์เช่นเดียวกัน  อย่างไรก็ตาม ผู้คนมักรู้สึกว่าพระเจ้าทรงต้องเคยได้ทนทุกข์กับความอยุติธรรมที่ยิ่งใหญ่ ว่าในช่วงระหว่างเวลาที่พระเจ้าทรงอยู่ในเนื้อหนัง พระองค์ไม่สามารถแสดงตัวตนของพระองค์ต่อมวลมนุษย์และทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้ และว่าพระเจ้ากำลังทรงซ่อนเร้นอย่างถ่อมพระทัยในเนื้อหนังที่ไม่มีนัยสำคัญ และว่าสิ่งนี้ต้องเป็นความทรมานที่ยิ่งใหญ่สำหรับพระองค์  ผู้คนเชื่อในสิ่งที่พวกเขาสามารถเข้าใจและสิ่งที่พวกเขาสามารถมองเห็นเกี่ยวกับความทุกข์ของพระเจ้าอย่างสุดใจ และถวายความเห็นอกเห็นใจทุกชนิดให้กับพระเจ้า และกระทั่งจะถวายการสรรเสริญเล็กน้อยให้กับความทุกข์ของพระองค์อยู่บ่อยครั้ง  ในความเป็นจริงแล้วมีความแตกต่างกัน มีช่องว่างระหว่างสิ่งที่ผู้คนเข้าใจเกี่ยวกับความทุกข์ของพระเจ้ากับสิ่งที่พระองค์ทรงรู้สึกจริงๆ เรากำลังบอกความจริงกับพวกเจ้า—สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าหรือเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ ความทุกข์ที่พรรณนามาข้างต้นไม่ใช่ความทุกข์ที่แท้จริง  เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่พระเจ้าทรงทนทุกข์จริงๆ คือสิ่งใด?  พวกเรามาพูดถึงความทุกข์ของพระเจ้าจากมุมมองของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เท่านั้นกันเถิด

เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงเปลี่ยนเป็นบุคคลปกติทั่วไปและดำรงพระชนม์ชีพเคียงข้างผู้คนท่ามกลางมวลมนุษย์นั้น พระองค์ไม่สามารถมองเห็นและรู้สึกถึงวิธีการ กฎ และทฤษฎีในการใช้ชีวิตของผู้คนหรอกหรือ?  วิธีการและกฎในการใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร?  พระองค์ทรงรู้สึกเกลียดชังในพระทัยของพระองค์หรือไม่?  เหตุใดพระองค์จึงทรงรู้สึกเกลียดชัง?  วิธีการและกฎในการใช้ชีวิตของมวลมนุษย์มีอะไรบ้าง?  วิธีการและกฎในการใช้ชีวิตเหล่านี้มีรากเหง้าในหลักการใด?  วิธีการและกฎในการใช้ชีวิตเหล่านี้มีพื้นฐานบนสิ่งใด?  วิธีการ กฎ และสิ่งอื่นๆ ของมวลมนุษย์ตามที่สัมพันธ์กับวิธีการใช้ชีวิตนั้น—ทั้งหมดนี้ได้รับการสร้างขึ้นบนพื้นฐานแห่งตรรกะ ความรู้ และปรัชญาของซาตาน  พวกมนุษย์ที่ใช้ชีวิตภายใต้กฎประเภทเหล่านี้ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ ไม่มีความจริง—พวกเขาทั้งหมดต่างประณามความจริงและเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า  หากเราดูที่แก่นแท้ของพระเจ้า เราจะมองเห็นว่าแก่นแท้ของพระองค์ตรงกันข้ามกับตรรกะ ความรู้ และปรัชญาของซาตานโดยสิ้นเชิง  แก่นแท้ของพระองค์เต็มไปด้วยความชอบธรรม ความจริง และความบริสุทธิ์ และความเป็นจริงอื่นๆ ของทุกสรรพสิ่งที่เป็นบวก  พระเจ้าผู้ทรงครอบครองแก่นแท้นี้และดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์เช่นนั้นทรงรู้สึกอย่างไร?  พระองค์ทรงรู้สึกอะไรในพระทัยของพระองค์?  พระทัยของพระองค์ไม่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรอกหรือ?  พระทัยของพระองค์เจ็บปวด ความเจ็บปวดที่ไม่มีบุคคลใดสามารถเข้าใจหรือได้รับประสบการณ์ได้  นี่เป็นเพราะทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเผชิญ ทรงพบปะ ทรงสดับ ทอดพระเนตร และทรงได้รับประสบการณ์คือความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ทั้งหมด ความชั่ว และความกบฏต่อความจริงและการต้านทานความจริงของพวกเขา  ทั้งหมดที่มาจากมนุษย์คือแหล่งกำเนิดของความทุกข์ของพระองค์  นั่นจึงกล่าวได้ว่า เพราะแก่นแท้ของพระองค์ไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ที่เสื่อมทราม ความเสื่อมทรามของพวกมนุษย์จึงกลายมาเป็นแหล่งกำเนิดของความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์สามารถพบใครบางคนที่พูดภาษาเดียวกันกับพระองค์หรือไม่?  บุคคลเช่นนั้นไม่สามารถพบได้ท่ามกลางมวลมนุษย์  ไม่สามารถพบผู้ใดที่สามารถสื่อสารหรือสามารถมีการโต้ตอบแลกเปลี่ยนนี้กับพระเจ้าได้—เจ้าจะพูดว่าพระเจ้าทรงมีความรู้สึกแบบใดเกี่ยวกับเรื่องนี้?  สิ่งต่างๆ ที่ผู้คนหารือ รัก ไล่ตามเสาะหา และถวิลหาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับแนวโน้มของบาปและความชั่ว  เมื่อพระเจ้าทรงเผชิญกับสิ่งทั้งหมดนี้ นี่มันไม่เหมือนกับมีดที่ทิ่มแทงพระทัยของพระองค์หรือ?  เมื่อพระองค์ทรงเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ พระองค์จะสามารถมีความชื่นบานในพระทัยของพระองค์ได้หรือไม่?  พระองค์จะสามารถพบการปลอบโยนได้หรือไม่?  บรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตกับพระองค์คือพวกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความกบฏและความชั่ว—พระทัยของพระองค์จะไม่ทนทุกข์ได้อย่างไร?  ความทุกข์นี้จริงๆ แล้วยิ่งใหญ่เพียงใด และใครใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้?  ใครที่เอาใจใส่?  และใครที่สามารถซึ้งคุณค่าถึงเรื่องนี้?  ผู้คนไม่มีหนทางที่จะทำความเข้าใจพระทัยของพระเจ้า  ความทุกข์ของพระองค์คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถซึ้งคุณค่าอย่างเฉพาะเจาะจงได้ และความเย็นชาและความด้านชาของสภาวะความเป็นมนุษย์ทำให้ความทุกข์ของพระเจ้าดิ่งลึกยิ่งขึ้นไปอีก

มีบางคนที่มักเห็นอกเห็นใจกับสภาพเลวร้ายของพระคริสต์ เพราะมีวรรคหนึ่งในพระคัมภีร์ที่เขียนว่า: “หมาจิ้งจอกมีโพรง และนกก็มีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ”  เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาเก็บเอาไปคิดและเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงทนฝ่า และความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระคริสต์ทรงทนฝ่า  ตอนนี้ เมื่อดูจากมุมมองของข้อเท็จจริง มันเป็นเช่นนั้นหรือไม่?  ไม่ พระเจ้าไม่ทรงเชื่อว่าความลำบากยากเย็นเหล่านี้เป็นความทุกข์  พระองค์ไม่เคยทรงร่ำไห้จากความอยุติธรรมเพราะความลำบากยากเย็นของเนื้อหนังของพระองค์ และพระองค์ไม่เคยทรงทำให้พวกมนุษย์ต้องชดใช้หรือให้รางวัลใดก็ตามกับพระองค์  อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์ทรงเป็นประจักษ์พยานทุกสิ่งเกี่ยวกับมวลมนุษย์และชีวิตที่เสื่อมทรามและความชั่วของมนุษย์ที่เสื่อมทราม เมื่อพระองค์ทรงเป็นประจักษ์พยานว่ามวลมนุษย์อยู่ในเงื้อมมือของซาตานและถูกซาตานกักขังและไม่สามารถหนีรอดได้ ว่าผู้คนที่ใช้ชีวิตในบาปไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร พระองค์ไม่สามารถทนยอมรับบาปทั้งหมดเหล่านี้ได้  ความเกลียดชังพวกมนุษย์ของพระองค์เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน แต่พระองค์ต้องทรงทนฝ่าทั้งหมดนี้  นี่คือความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  พระเจ้าไม่สามารถแสดงออกแม้กระทั่งเสียงจากพระทัยของพระองค์หรืออารมณ์ของพระองค์ท่ามกลางผู้ติดตามของพระองค์ และไม่มีผู้ใดท่ามกลางผู้ติดตามของพระองค์ที่สามารถเข้าใจความทุกข์ของพระองค์อย่างแท้จริง  ไม่มีผู้ใดที่แม้กระทั่งพยายามที่จะทำความเข้าใจหรือทำให้พระองค์สบายพระทัยของพระองค์ ซึ่งทนฝ่าต่อความทุกข์นี้วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า และซ้ำแล้วซ้ำเล่า  พวกเจ้ามองเห็นอะไรในทั้งหมดนี้?  พระเจ้าไม่ทรงพึงประสงค์สิ่งใดก็ตามจากพวกมนุษย์เป็นการตอบแทนสำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้ แต่เพราะแก่นแท้ของพระเจ้า พระองค์ไม่สามารถทนยอมรับความชั่ว ความเสื่อมทราม และบาปของมวลมนุษย์ได้โดยสิ้นเชิง และกลับทรงรู้สึกถึงความเกลียดชังและความเกลียดอย่างสุดขีดแทน ซึ่งทำให้พระทัยของพระเจ้าและเนื้อหนังของพระองค์ทนฝ่าความทุกข์ไม่รู้จบ  พวกเจ้าเคยมองเห็นสิ่งนี้หรือไม่?  ที่มีแนวโน้มที่สุดคือ ไม่มีพวกเจ้าคนใดสามารถมองเห็นสิ่งนี้ได้ เพราะไม่มีพวกเจ้าคนใดสามารถเข้าใจพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าควรจะได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้ทีละน้อยๆ ด้วยตัวเจ้าเอง

อันดับต่อไป พวกเรามาดูบทตอนในพระคัมภีร์ดังต่อไปนี้กันเถิด:

9. พระเยซูทรงปฏิบัติการอัศจรรย์

9.1 พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน

ยอห์น 6:8-13  สาวกคนหนึ่งของพระองค์คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้?”  พระเยซูตรัสว่า “ให้ทุกคนนั่งลงเถิด” (ที่นั่นมีหญ้ามาก) คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน แล้วพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงแจกจ่ายให้บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาต้องการ เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้วพระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น” พวกเขาจึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือหลังจากทุกคนกินแล้วใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม

9.2 การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

ยอห์น 11:43-44  เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด” คนตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงแกะผ้าที่พันออกแล้วปล่อยเขาเถิด”

ในบรรดาการอัศจรรย์ต่างๆ ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติ เราได้เลือกมาเพียงสองเหตุการณ์นี้เพราะสองเหตุการณ์เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นสิ่งที่เราต้องการพูดถึงในที่นี้  การอัศจรรย์สองเหตุการณ์นี้เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริงและเป็นตัวแทนของการอัศจรรย์ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปฏิบัติในช่วงระหว่างยุคพระคุณ

อันดับแรก พวกเรามาดูที่บทตอนแรกกัน: พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน

แนวความคิดเกี่ยวกับ “ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” คืออะไร?  โดยธรรมดาสามัญทั่วไปแล้ว ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวสามารถเป็นอาหารให้กับผู้คนจำนวนเท่าใดได้เพียงพอ?  หากเจ้าใช้ความอยากอาหารของบุคคลทั่วไปเป็นพื้นฐานในการวัด นี่จะเพียงพอสำหรับคนสองคนเท่านั้น  นี่คือแนวความคิดเกี่ยวกับ “ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” ที่พื้นฐานที่สุด  อย่างไรก็ตาม ในบทตอนนี้ ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวให้อาหารกับผู้คนจำนวนเท่าใด?  ข้อความต่อไปนี้คือสิ่งที่ได้รับการบันทึกไว้ในองค์คัมภีร์ว่า “(ที่นั่นมีหญ้ามาก) คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน”  เมื่อเทียบกับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวแล้ว ห้าพันเป็นจำนวนที่มากมายหรือไม่?  จำนวนที่มากมายอย่างยิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด?  จากมุมมองของมนุษย์ การแบ่งขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวให้กับคนห้าพันคนจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะความแตกต่างระหว่างผู้คนและอาหารนั้นมีมากเกินไป  ถึงแม้ว่าทุกคนจะกินเพียงคำเล็กๆ หนึ่งคำ ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับคนห้าพันคนอยู่ดี  แต่ในที่นี้ องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปฏิบัติการอัศจรรย์—พระองค์ไม่เพียงแต่ทรงทำให้ผู้คนห้าพันคนสามารถได้กินจนอิ่มเท่านั้น แต่ยังมีอาหารเหลืออีกด้วย  องค์คัมภีร์เขียนไว้ว่า: “เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้วพระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า ‘จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น’ พวกเขาจึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือหลังจากทุกคนกินแล้วใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม”  การอัศจรรย์นี้ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นอัตลักษณ์และสถานะขององค์พระเยซูเจ้า และมองเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า—ในลักษณะนี้ พวกเขามองเห็นความจริงของฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้า  ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเพียงพอที่จะให้อาหารคนห้าพันคน แต่หากไม่มีอาหารใดๆ อยู่เลย พระเจ้าจะทรงให้อาหารแก่คนห้าพันคนได้หรือไม่?  แน่นอนว่าพระองค์ย่อมจะทรงทำได้!  นี่คือการอัศจรรย์ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนจะรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเกินจะเข้าใจได้ เหลือเชื่อ และลึกลับ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว การทำเช่นนั้นไม่ได้สำคัญอันใด ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่ธรรมดาสำหรับพระเจ้า เหตุใดจึงควรหยิบยกเรื่องนี้มาตีความในตอนนี้?  เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการอัศจรรย์นี้คือเจตนารมณ์ขององค์พระเยซูเจ้า ซึ่งมวลมนุษย์ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน

ประการแรก พวกเรามาพยายามทำความเข้าใจว่าคนห้าพันคนนี้เป็นคนประเภทใด  พวกเขาเป็นผู้ติดตามขององค์พระเยซูเจ้าหรือไม่?  จากองค์คัมภีร์ เรารู้ว่าพวกเขาไม่ใช่สาวกของพระองค์  พวกเขารู้หรือไม่ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้ใด?  ไม่อย่างแน่นอน!  อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ไม่รู้ว่าบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือพระคริสต์ หรือบางทีบางคนอาจรู้เพียงว่าพระองค์มีพระนามว่าอะไร และรู้หรือเคยได้ยินบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงเคยได้ทำมาแล้ว  พวกเขาเพียงแค่ถูกปลุกเร้าให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ แต่แน่นอนว่าเจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาติดตามพระองค์ นับประสาอะไรที่จะเข้าใจพระองค์  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนห้าพันคนนี้ พวกเขาหิวโหยและคิดถึงได้แค่เพียงการหาอาหารลงท้องของพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงตอบสนองความอยากของพวกเขาในบริบทนี้  เมื่อพระองค์ทรงตอบสนองความอยากของพวกเขา สิ่งใดอยู่ในพระทัยของพระองค์?  พระองค์ทรงมีท่าทีอย่างไรต่อผู้คนที่ต้องการเพียงกินจนอิ่มเหล่านี้?  ในขณะนี้ พระดำริขององค์พระเยซูเจ้าและท่าทีของพระองค์สัมพันธ์กับพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า  เมื่อทรงเผชิญกับผู้คนห้าพันคนที่ท้องว่างและต้องการเพียงกินอาหารเต็มมื้อ เมื่อทรงเผชิญกับผู้คนที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความหวังจากพระองค์ องค์พระเยซูเจ้าจึงมีพระดำริเพียงที่จะใช้การอัศจรรย์นี้เพื่อประทานพระคุณแก่พวกเขาเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ได้ยกความหวังของพระองค์ให้สูงขึ้นว่าพวกเขาจะกลายเป็นผู้ติดตามของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาเพียงต้องการเข้าร่วมความสนุกและกินจนอิ่ม ดังนั้นพระองค์จึงทรงใช้ประโยชน์จากสิ่งที่พระองค์ทรงมีในที่แห่งนั้นให้ดีที่สุด และทรงใช้ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเพื่อให้อาหารกับคนห้าพันคน  พระองค์ทรงเปิดตาของผู้คนที่สุขสำราญกับการมองเห็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นต่างๆ เหล่านี้ ผู้ที่ต้องการพบเห็นการอัศจรรย์ และพวกเขามองเห็นสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยตาของพวกเขาเอง  ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะทรงใช้บางสิ่งบางอย่างที่จับต้องได้เพื่อตอบสนองความสงสัยของพวกเขา แต่พระองค์ก็ทรงรู้อยู่แล้วในพระทัยของพระองค์ว่าผู้คนห้าพันคนนี้อยากกินขนมปังให้อิ่มท้องเท่านั้น ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงเทศนาพวกเขาหรือตรัสสิ่งใดเลย—พระองค์เพียงทรงปล่อยให้พวกเขามองเห็นการอัศจรรย์นี้ในขณะที่มันเกิดขึ้น  พระองค์ไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้ในลักษณะเดียวกันกับที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อบรรดาสาวกของพระองค์ผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างแท้จริงได้อย่างแน่นอน แต่ในพระทัยของพระเจ้า สิ่งทรงสร้างทั้งหมดอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ และพระองค์จะประทานพระอนุญาตให้สิ่งทรงสร้างทั้งหมดที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นได้สุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้าเมื่อมีความจำเป็น  ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะไม่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นใครและไม่เข้าใจพระองค์ หรือมีความประทับใจที่เฉพาะเจาะจงใดๆ เกี่ยวกับพระองค์ หรือมีความรู้สึกขอบคุณต่อพระองค์แม้หลังจากที่พวกเขาได้กินขนมปังและปลานั้น นี่ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าขัดพระทัย—พระองค์ประทานโอกาสที่ยอดเยี่ยมที่จะสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้าให้ผู้คนเหล่านี้  บางคนพูดว่าพระเจ้าทรงมีหลักการในสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ว่าพระองค์ทรงไม่คอยคุ้มกันหรือปกป้องบรรดาผู้ไม่เชื่อ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ว่าพระองค์ทรงไม่อนุญาตให้พวกเขาสุขสำราญกับพระคุณของพระองค์  เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือไม่?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ตราบเท่าที่พวกเขาเป็นสิ่งทรงสร้างซึ่งมีชีวิตที่พระองค์เองได้ทรงสร้างขึ้น พระองค์จะทรงบริหารจัดการและดูแลเอาใจใส่พวกเขา และพระองค์จะทรงปฏิบัติต่อพวกเขา วางแผนเพื่อพวกเขา และปกครองพวกเขาในหลากหลายวิธี  เหล่านี้คือพระดำริและท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อทุกสรรพสิ่ง

ถึงแม้ว่าคนห้าพันคนที่กินขนมปังกับปลาไม่ได้วางแผนที่จะติดตามองค์พระเยซูเจ้า แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงมีข้อเรียกร้องที่เข้มงวดมากจากพวกเขา ทันทีที่พวกเขากินจนอิ่มแล้ว พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงทำสิ่งใด?  พระองค์ทรงเทศนาพวกเขาบ้างหรือไม่?  พระองค์เสด็จไปที่ใดหลังจากที่ทรงทำเช่นนี้?  ข้อพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกว่าองค์พระเยซูเจ้าตรัสสิ่งใดกับพวกเขา แค่ว่าพระองค์เสด็จจากไปเงียบๆ เมื่อพระองค์ทรงแสดงการอัศจรรย์ของพระองค์แล้ว  เช่นนั้นแล้วพระองค์ได้ทรงมีข้อพึงประสงค์ใดๆ จากผู้คนเหล่านี้หรือไม่?  มีความเกลียดชังใดๆ หรือไม่?  ไม่ ไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยในที่นี้  พระองค์เพียงไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ความใส่พระทัยใดๆ อีกต่อไปกับผู้คนที่ไม่สามารถติดตามพระองค์ และในเวลานี้พระทัยของพระองค์เจ็บปวด  เพราะพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นความเสื่อมทรามลงของมวลมนุษย์แล้ว และพระองค์ได้ทรงรู้สึกถึงการปฏิเสธพระองค์จากมวลมนุษย์แล้ว เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรผู้คนเหล่านี้และเมื่อพระองค์ประทับอยู่กับพวกเขา พระองค์เกิดความรู้สึกเสียพระทัยจากความทึ่มและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์ และพระทัยของพระองค์เจ็บปวด พระประสงค์ทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีคือการจากผู้คนเหล่านี้ไปโดยเร็วที่สุด  องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงมีข้อพึงประสงค์ใดๆ จากพวกเขาในพระทัยของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ความใส่พระทัยใดๆ กับพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะสละพลังงานของพระองค์ไปกับพวกเขา  พระองค์ทรงรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถติดตามพระองค์ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะมีเหตุทั้งหมดนี้ ท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาก็ยังคงชัดเจนอย่างมาก  พระองค์เพียงทรงต้องประสงค์ที่จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างใจดี ประทานพระคุณให้กับพวกเขา และแท้จริงแล้ว นี่คือท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์—เป็นการปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงด้วยความเมตตา จัดหาให้พวกเขาและบำรุงเลี้ยงพวกเขา  ด้วยเหตุนี้เอง องค์พระเยซูเจ้าจึงทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเผยแก่นแท้ของพระเจ้าพระองค์เองอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง และทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างใจดี  พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยพระทัยแห่งความเมตตากรุณาและการทนยอมรับ และพระองค์ทรงแสดงความใจดีต่อพวกเขาด้วยพระทัยเช่นนั้น  ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะมององค์พระเยซูเจ้าอย่างไร และไม่ว่าบทอวสานจะเป็นแบบใดก็ตาม พระองค์ก็ทรงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงตามอัตลักษณ์ของพระองค์ ซึ่งก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้าง  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเผยคือพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นอย่างไม่มีข้อยกเว้น  องค์พระเยซูเจ้าทรงทำสิ่งนี้อย่างเงียบๆ และเสด็จจากไปอย่างเงียบๆ—นี่เป็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าในแง่มุมใด?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่านี่คือความรักเมตตาของพระเจ้า?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่านี่คือความไม่เห็นแก่พระองค์เองของพระเจ้า?  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่บุคคลทั่วไปสามารถทำได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่!  โดยแก่นแท้แล้ว ผู้คนห้าพันคนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงให้อาหารด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเป็นใคร?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาคือผู้คนที่มีความเข้ากันได้กับพระองค์?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์?  สามารถกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่าพวกเขาไม่มีความเข้ากันได้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน และแก่นแท้ของพวกเขาเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้าอย่างแน่นอน  แต่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  พระองค์ทรงใช้วิธีการหนึ่งในการขจัดความเป็นปรปักษ์ที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า—วิธีการนี้เรียกว่า “ความใจดี”  นั่นคือ ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นผู้คนเหล่านี้ว่าเป็นคนบาป แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์อยู่ดี ดังนั้นพระองค์จึงยังทรงปฏิบัติต่อคนบาปเหล่านี้อย่างใจดี  นี่คือการทนยอมรับของพระเจ้า และการทนยอมรับนี้ได้รับการกำหนดจากอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้าเอง  ดังนั้น นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีมนุษย์คนใดที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นจะสามารถทำได้—มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำสิ่งนี้ได้

เมื่อเจ้าสามารถซาบซึ้งในพระดำริและท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ได้อย่างแท้จริง เมื่อเจ้าสามารถเข้าใจความรักใคร่เอ็นดูและความห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีให้กับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง เจ้าจะสามารถเข้าใจการอุทิศพระองค์และความรักที่ทรงมีต่อผู้คนแต่ละคนที่พระผู้สร้างได้ทรงสร้างขึ้นมา  เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น เจ้าจะใช้คำสองคำเพื่อพรรณนาความรักของพระเจ้า คำสองคำนั้นคืออะไร?  บางคนพูดว่า “ไม่เห็นแก่พระองค์เอง” และบางคนพูดว่า “ใจบุญสุนทาน”  ในสองคำนี้ “ใจบุญสุนทาน” เป็นคำที่เหมาะสมน้อยที่สุดในการพรรณนาความรักของพระเจ้า  นี่คือคำที่ผู้คนใช้พรรณนาถึงคนบางคนที่เผื่อแผ่หรือใจกว้าง  เราเกลียดคำนี้ เพราะมันหมายถึงการแจกจ่ายให้ทานที่ไร้แบบแผน ไม่แยกแยะ และไม่คำนึงถึงหลักการ  นี่คือการพรั่งพรูอารมณ์ออกมา ซึ่งพบได้มากในตัวผู้คนที่โง่เขลาและเลอะเลือน  เมื่อใช้คำนี้พรรณนาถึงความรักของพระเจ้า มีความหมายแฝงที่เป็นการดูหมิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เรามีคำสองคำที่อธิบายความรักของพระเจ้าได้อย่างเหมาะสมมากกว่า  ได้แก่อะไรบ้าง?  คำแรกคือ “มหาศาล”  คำนี้ไม่ได้ทำให้เห็นภาพเป็นอย่างมากหรอกหรือ?  คำที่สองคือ “กว้างใหญ่ไพศาล” มีความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่เบื้องหลังคำเหล่านี้ ซึ่งเราใช้พรรณนาความรักของพระเจ้า  เมื่อตีความหมายตามตัวอักษร “มหาศาล” พรรณนาถึงปริมาตรหรือความสามารถของสิ่งหนึ่ง แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นจะใหญ่เพียงใด มันคือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนสามารถจับต้องและมองเห็นได้  นี่เป็นเพราะมันมีอยู่—มันไม่ใช่วัตถุที่เป็นนามธรรม แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่สามารถให้แนวความคิดแก่ผู้คนในลักษณะที่ค่อนข้างถูกต้องแม่นยำและสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ไม่ว่าเจ้าจะมองมันจากมุมมองสองมิติหรือสามมิติ เจ้าไม่จำเป็นต้องจินตนาการถึงการมีอยู่ของมัน เพราะมันคือสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ในลักษณะที่เป็นจริง  ถึงแม้ว่าการใช้คำว่า “มหาศาล” ในการอธิบายความรักของพระเจ้าจะสามารถทำให้รู้สึกเหมือนความพยายามที่จะระบุปริมาณความรักของพระองค์ แต่คำนี้ยังให้ความรู้สึกว่าความรักของพระองค์ไม่อาจระบุปริมาณได้เช่นเดียวกัน  เราพูดว่าความรักของพระเจ้าสามารถระบุปริมาณได้ เพราะความรักของพระองค์ไม่ว่างเปล่า อีกทั้งไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นตำนานเล่าขาน  แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ทุกสิ่งภายใต้การปกครองของพระองค์มีเหมือนกัน บางสิ่งบางอย่างที่สิ่งทรงสร้างทั้งปวงได้ชื่นชมจนถึงระดับที่หลากหลายและจากมุมมองที่แตกต่าง  ถึงแม้ว่าผู้คนไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสความรักของพระองค์ได้ แต่ความรักนี้นำการบำรุงเลี้ยงและชีวิตมายังทุกสรรพสิ่งในขณะที่ความรักนี้ได้รับการเผยทีละเล็กละน้อยในชีวิตของทุกสรรพสิ่ง และพวกเขาคำนึงถึงความรักของพระเจ้าและเป็นพยานต่อความรักของพระเจ้าที่พวกเขาได้ชื่นชมในแต่ละชั่วขณะที่ผ่านไป  เราพูดว่าความรักของพระเจ้าไม่สามารถระบุปริมาณได้เพราะความล้ำลึกของพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมและบำรุงเลี้ยงทุกสรรพสิ่งคือบางสิ่งบางอย่างที่พวกมนุษย์หยั่งลึกได้ยาก เช่นเดียวกับพระดำริที่พระเจ้าทรงมีให้กับทุกสรรพสิ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ให้กับมวลมนุษย์  นั่นจึงกล่าวได้ว่า ไม่มีผู้ใดรู้ถึงพระโลหิตและน้ำพระเนตรที่พระผู้สร้างได้ทรงหลั่งออกมาเพื่อมวลมนุษย์  ไม่มีผู้ใดสามารถจับใจความ ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจความลึกซึ้งหรือน้ำหนักของความรักที่พระผู้สร้างทรงมีให้กับมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง  การพรรณนาความรักของพระเจ้าว่ามหาศาลคือการช่วยให้ผู้คนซึ้งคุณค่าและเข้าใจวงเขตแห่งความรักของพระเจ้า และความจริงของการดำรงอยู่ของความรักของพระเจ้า  นอกจากนี้การพรรณนานี้ยังเป็นไปเพื่อให้ผู้คนสามารถตระหนักรู้ความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของคำว่า “พระผู้สร้าง” ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของสมญา “สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง” ได้ลึกซึ้งขึ้น  คำว่า “กว้างใหญ่ไพศาล” มักพรรณนาถึงสิ่งใด?  โดยทั่วไป คำนี้นำมาใช้พรรณนาถึงมหาสมุทรหรือจักรวาล ตัวอย่างเช่น  “จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล” หรือ “มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล”  ความไพศาลและความลึกที่เงียบสงัดของจักรวาลอยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ คือบางสิ่งบางอย่างที่จับจินตนาการของมนุษย์ บางสิ่งบางอย่างที่พวกเขารู้สึกมีความเลื่อมใสอย่างยิ่งใหญ่ให้  ความลึกลับและความลึกล้ำของมันมองเห็นได้ แต่เกินเอื้อมถึง  เมื่อเจ้านึกถึงมหาสมุทร เจ้านึกถึงความกว้างของมัน และเจ้าสามารถรู้สึกถึงความลึกลับและความสามารถในการเก็บสิ่งต่างๆ ได้ยอดเยี่ยมของมัน  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงได้ใช้คำว่า “กว้างใหญ่ไพศาล” ในการพรรณนาถึงความรักของพระเจ้า เพื่อช่วยให้ผู้คนรู้สึกว่าความรักของพระเจ้าล้ำค่าเพียงใด เพื่อให้รู้สึกว่าความงดงามอย่างลุ่มลึกของความรักของพระองค์นั้นไม่สิ้นสุดและครอบคลุมกว้างขวาง  เราใช้คำนี้เพื่อช่วยให้ผู้คนรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของความรักของพระองค์ และความทรงเกียรติและความมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ของพระเจ้าที่ได้รับการเผยโดยผ่านทางความรักของพระองค์  ตอนนี้พวกเจ้าคิดว่า “กว้างใหญ่ไพศาล” เป็นคำที่เหมาะสมในการพรรณนาถึงความรักของพระเจ้าหรือไม่?  ความรักของพระเจ้าสามารถเทียบเท่ากับสองคำที่ว่า “มหาศาล” และ “กว้างใหญ่ไพศาล” นี้หรือไม่?  แน่นอน!  ในภาษาของมนุษย์ คำสองคำนี้เพียงอย่างเดียวค่อนข้างเพียงพอแล้ว และค่อนข้างใกล้เคียงกับการพรรณนาถึงความรักของพระเจ้า  พวกเจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?  หากเราให้พวกเจ้าอธิบายความรักของพระเจ้า พวกเจ้าจะใช้คำสองคำนี้หรือไม่?  มีแนวโน้มอย่างมากที่สุดที่พวกเจ้าจะไม่ใช้คำสองคำนี้ เพราะความเข้าใจและความซึ้งคุณค่าที่พวกเจ้ามีเกี่ยวกับความรักของพระเจ้านั้นจำกัดอยู่ในขอบเขตของมุมมองแบบสองมิติ และไม่ได้ขึ้นไปถึงความสูงของพื้นที่สามมิติ  ดังนั้น หากเราให้พวกเจ้าพรรณนาถึงความรักของพระเจ้า พวกเจ้าจะรู้สึกว่าพวกเจ้าไม่มีคำพูดหรือแม้กระทั่งบางทีพวกเจ้าจะกลายเป็นพูดไม่ออกก็เป็นได้  พวกเจ้าอาจเข้าใจคำสองคำที่เราได้พูดถึงในวันนี้ได้ยาก หรือบางทีพวกเจ้าอาจแค่ไม่เห็นด้วย  นี่แสดงให้เห็นเพียงว่าความซึ้งคุณค่าและเข้าใจในความรักของพระเจ้าของพวกเจ้านั้นผิวเผินและจำกัดอยู่แค่ขอบเขตแคบๆ เท่านั้น  เราได้กล่าวแล้วก่อนหน้านี้ว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่พระองค์เอง พวกเจ้าจำคำว่า “ไม่เห็นแก่ตัวเอง” ได้  อาจเป็นได้หรือไม่ว่าความรักของพระเจ้าสามารถพรรณนาถึงได้ด้วยคำว่าไม่เห็นแก่พระองค์เองเท่านั้น?  นี่ไม่ได้เป็นขอบเขตที่แคบจนเกินไปหรอกหรือ?  เจ้าควรครุ่นคิดถึงประเด็นนี้ให้มากขึ้น เพื่อให้พวกเจ้าอาจได้รับบางสิ่งบางอย่างจากประเด็นนี้ได้

ที่กล่าวข้างต้นคือสิ่งที่เรามองเห็นเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระองค์จากการอัศจรรย์แรก  ถึงแม้ว่านี่คือเรื่องราวที่ผู้คนได้อ่านมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว แต่เรื่องราวนี้ก็มีโครงเรื่องที่เรียบง่าย และทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นปรากฏการณ์ที่เรียบง่าย แต่ในโครงเรื่องที่เรียบง่ายนี้ เราสามารถมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่มีค่ามากกว่า ซึ่งก็คือพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นเหล่านี้เป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เองและเป็นการแสดงออกถึงพระดำริของพระเจ้าเอง  เมื่อพระเจ้าแสดงพระดำริของพระองค์ นั่นคือการแสดงถึงเสียงจากพระทัยของพระองค์  พระองค์ทรงหวังว่าจะมีผู้คนที่สามารถเข้าใจพระองค์ รู้จักพระองค์ ตระหนักรู้เจตนารมณ์ของพระองค์ สามารถรับฟังเสียงจากพระทัยของพระองค์ และจะสามารถให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระองค์  สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำเหล่านี้คือการแสดงออกถึงพระเจ้าอย่างไร้สุ้มเสียง

อันดับต่อไป พวกเรามาดูบทตอนต่อไปนี้กันเถิด: การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

พวกเจ้ามีความประทับใจใดบ้างหลังจากที่ได้อ่านบทตอนนี้?  นัยสำคัญของการอัศจรรย์ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงนี้ยิ่งใหญ่กว่าการอัศจรรย์ก่อนหน้านี้มาก เพราะไม่มีการอัศจรรย์ใดจะน่าประหลาดใจมากไปกว่าการนำคนตายกลับขึ้นจากหลุมฝังศพ  ในสมัยนั้น การที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำบางสิ่งบางอย่างเช่นนี้เป็นสิ่งที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง  เพราะพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ผู้คนจึงสามารถมองเห็นได้เพียงการทรงปรากฏทางกายของพระองค์ ด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ และแง่มุมที่ไม่มีนัยสำคัญของพระองค์เท่านั้น  ถึงแม้ว่าบางคนจะมองเห็นและเข้าใจบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับคุณลักษณะของพระองค์ หรือความสามารถพิเศษบางอย่างที่ปรากฏว่าพระองค์ทรงครอบครอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาจากที่ใด จริงๆ แล้วพระองค์ทรงเป็นผู้ใดในแก่นแท้ของพระองค์ และจริงๆ แล้วพระองค์ทรงมีความสามารถในการทำสิ่งอื่นใดอีก  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มวลมนุษย์ไม่รู้  มีผู้คนมากมายเหลือเกินที่ต้องการพบหลักฐานเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าเหล่านี้ และเพื่อให้รู้ความจริง  พระเจ้าสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์ของพระองค์เองได้หรือไม่?  สำหรับพระเจ้าแล้ว นี่คือของเด็กเล่น—มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก  พระองค์สามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระองค์ได้ทุกที่ ทุกเวลา แต่พระเจ้าทรงมีวิธีการทำสิ่งต่างๆ—โดยมีแผนและอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  พระองค์ไม่ทรงทำสิ่งต่างๆ โดยไม่เลือกหน้า แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น พระองค์ทรงมองหาเวลาที่เหมาะสมและโอกาสที่เหมาะสมในการทำบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์จะทรงอนุญาตให้มนุษย์เห็นได้ บางสิ่งบางอย่างที่ชุ่มไปด้วยความหมายอย่างแท้จริง  พระองค์ทรงพิสูจน์สิทธิอำนาจและอัตลักษณ์ของพระองค์ในหนทางนี้  ดังนั้นแล้ว การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายเป็นการพิสูจน์อัตลักษณ์ขององค์พระเยซูเจ้าหรือไม่?  พวกเรามาดูบทตอนต่อไปนี้ของพระคัมภีร์กันเถิด: “เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า ‘ลาซารัส ออกมาเถิด’ คนตายนั้นก็ออกมา…”  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงทำเช่นนี้ พระองค์ตรัสเพียงอย่างเดียวว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด”  จากนั้นลาซารัสก็ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ—สิ่งนี้สำเร็จลุล่วงเพียงเพราะพระวจนะไม่กี่คำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดำรัสออกมา  ในช่วงระหว่างเวลานี้ องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงตั้งแท่นบูชา และพระองค์ไม่ได้ทรงกระทำการอื่นใด  พระองค์แค่ตรัสสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวนี้  นี่ควรเรียกว่าการอัศจรรย์หรือพระบัญชา?  หรือมันเป็นศาสตร์เวทมนตร์คาถาบางอย่าง?  จากภายนอกแล้ว ดูเหมือนว่าสามารถเรียกสิ่งนี้ได้ว่าเป็นการอัศจรรย์ และหากเจ้ามองสิ่งนี้จากมุมมองสมัยใหม่ แน่นอนว่าเจ้าก็จะยังคงเรียกสิ่งนี้ว่าการอัศจรรย์  อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นเวทมนตร์ประเภทที่ควรจะเรียกวิญญาณกลับจากความตาย และสิ่งนี้ไม่ใช่ศาสตร์เวทมนตร์คาถาประเภทใดๆ อย่างแน่นอน  หากพูดว่าการอัศจรรย์นี้เป็นการแสดงเล็กๆ ให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างอย่างเป็นปกติที่สุดก็ถูกต้องแล้ว  นี่คือสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า  พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจที่จะให้บุคคลคนหนึ่งตาย ที่จะให้วิญญาณของเขาออกจากร่างกายของเขาและกลับสู่แดนคนตายหรือที่ใดก็ตามที่มันควรไป  กรอบเวลาการตายของบุคคลและสถานที่ที่พวกเขาจะไปหลังจากที่ตาย—สิ่งเหล่านี้พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนด  พระองค์ตัดสินพระทัยเรื่องเหล่านี้ทุกที่และทุกเวลา โดยไม่ถูกจำกัดจากพวกมนุษย์ เหตุการณ์ วัตถุ พื้นที่ หรือภูมิศาสตร์  หากพระองค์ทรงต้องประสงค์จะทำมัน พระองค์สามารถทำมันได้ เพราะทุกสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ และทุกสรรพสิ่งถือกำเนิด ใช้ชีวิต และพินาศตามพระวจนะของพระองค์และสิทธิอำนาจของพระองค์  พระองค์สามารถทำให้ชายที่ตายแล้วเป็นขึ้นจากตาย และสิ่งนี้คือบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา  นี่คือสิทธิอำนาจที่มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ครอบครอง

เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ เช่น การนำลาซารัสกลับจากความตาย เป้าหมายของพระองค์คือการให้หลักฐานเพื่อให้มนุษย์และซาตานมองเห็น และเพื่อให้มนุษย์และซาตานรู้ว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับมวลมนุษย์ ชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ได้รับการกำหนดโดยพระเจ้า และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ยังคงบัญชาการโลกวัตถุที่สามารถมองเห็นได้ และโลกวิญญาณที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้  นี่เป็นไปเพื่อให้มวลมนุษย์และซาตานรู้ว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับมวลมนุษย์ไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของซาตาน  นี่คือการเผยและการแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และยังเป็นวิธีหนึ่งที่พระเจ้าทรงส่งสารถึงทุกสรรพสิ่ง ว่าชีวิตและความตายของมวลมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  การที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายเป็นหนึ่งในวิธีที่พระผู้สร้างทรงสอนและแนะนำมวลมนุษย์  นี่คือการกระทำที่เป็นรูปธรรมที่พระองค์ทรงใช้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจเพื่อแนะนำและจัดเตรียมมวลมนุษย์  นี่คือวิธีหนึ่งที่พระผู้สร้างทรงทำให้มวลมนุษย์สามารถมองเห็นความจริงโดยไม่ใช้พระวจนะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้บัญชาทุกสรรพสิ่ง  นี่คือวิธีหนึ่งที่พระองค์ทรงบอกมวลมนุษย์โดยผ่านทางการกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงว่าไม่มีความรอดอื่นใดนอกเหนือจากความรอดโดยผ่านทางพระองค์  วิถีทางที่ไร้พระสุรเสียงที่พระองค์ทรงใช้เพื่อแนะนำมวลมนุษย์นี้อยู่ชั่วนิรันดร์ ลบไม่ออก และนำความตกใจและความรู้แจ้งที่ไม่มีวันเลือนรางไปมาสู่หัวใจของมนุษย์  การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า—นี่มีผลกระทบที่ลึกซึ้งต่อผู้ติดตามทุกๆ คนของพระเจ้า  การนี้ทำให้ความเข้าใจ นิมิตว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถบัญชาชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ได้เกิดติดตรึงอยู่ในทุกผู้คนที่เข้าใจเหตุการณ์นี้อย่างลึกซึ้ง  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงมีสิทธิอำนาจประเภทนี้ และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงส่งสารเกี่ยวกับอธิปไตยที่พระองค์ทรงมีเหนือชีวิตและความตายของมวลมนุษย์โดยผ่านทางการทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตาย แต่นี่ก็ไม่ใช่พระราชกิจหลักของพระองค์  พระเจ้าไม่มีวันทรงทำบางสิ่งบางอย่างโดยไร้ความหมาย ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงทำมีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ และเป็นเครื่องอาภรณ์ที่เลิศล้ำในห้องเก็บขุมทรัพย์  พระองค์จะไม่ทรงทำให้ “การทำให้บุคคลหนึ่งออกมาจากอุโมงค์ฝังศพของพวกเขา” เป็นรายการหรือเป้าหมายหลักเพียงอย่างเดียวของพระราชกิจของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งใดก็ตามที่ปราศจากความหมาย  การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายในฐานะเหตุการณ์เดี่ยวๆ นั้นเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และพิสูจน์อัตลักษณ์ขององค์พระเยซูเจ้า  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมองค์พระเยซูเจ้าจึงไม่ทรงทำการอัศจรรย์ประเภทนี้ซ้ำ  พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ตามหลักการของพระองค์เอง  ในภาษาของมนุษย์ สามารถกล่าวได้ว่าพระเจ้าทรงให้จิตใจของพระองค์ติดพันอยู่กับเรื่องที่จริงจังเท่านั้น  นั่นคือ เมื่อพระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ พระองค์ไม่ทรงไถลห่างจากจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงต้องประสงค์จะปฏิบัติพระราชกิจใดในช่วงระยะนี้ พระองค์ทรงต้องประสงค์จะสำเร็จลุล่วงในสิ่งใด และพระองค์จะทรงพระราชกิจตามแผนของพระองค์อย่างเข้มงวด  หากบุคคลที่เสื่อมทรามมีความสามารถประเภทนั้น เขาจะคิดถึงเพียงวิธีที่จะเผยความสามารถของเขาเพื่อให้ผู้อื่นรู้ว่าเขาช่างน่าเกรงขามเพียงใด เพื่อให้พวกเขากราบไหว้เขา เพื่อให้เขาสามารถควบคุมพวกเขาและล้างผลาญพวกเขา  นี่คือความชั่วที่มาจากซาตาน—สิ่งนี้เรียกว่าความเสื่อมทราม  พระเจ้าไม่ทรงมีพระอุปนิสัยเช่นนั้น และพระองค์ไม่ทรงมีแก่นแท้เช่นนั้น  จุดประสงค์ของพระองค์ในการทำสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เพื่ออวดตัวพระองค์ แต่เพื่อจัดเตรียมการเปิดเผยและการทรงนำมากยิ่งขึ้นให้แก่มวลมนุษย์ และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงมองเห็นตัวอย่างอุบัติการณ์ประเภทนี้ในพระคัมภีร์น้อยมาก  นี่ไม่ใช่เพื่อจะพูดว่าฤทธานุภาพขององค์พระเยซูเจ้ามีจำกัด หรือว่าพระองค์ไม่สามารถทำสิ่งเช่นนั้น  เป็นเพียงว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะทำเช่นนั้น เพราะการที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายมีนัยสำคัญที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก และยังเป็นเพราะว่าพระราชกิจหลักของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่การแสดงการอัศจรรย์ ไม่ใช่การนำผู้คนกลับจากความตาย แต่เป็นพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์  ดังนั้น พระราชกิจส่วนใหญ่ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำให้ครบบริบูรณ์คือการสอนผู้คน การจัดเตรียมพวกเขา และการช่วยเหลือพวกเขา และเหตุการณ์ต่างๆ เช่นการทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของพันธกิจที่องค์พระเยซูเจ้าทรงดำเนินการ  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าสามารถกล่าวได้ว่า “การอวด” ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแก่นแท้ของพระเจ้า ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงไม่ทรงมีเจตนาที่จะหักห้ามพระทัยโดยการไม่แสดงการอัศจรรย์เพิ่มเติม อีกทั้งนี่ไม่ได้เป็นเพราะข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อม และแน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะการขาดฤทธานุภาพ

เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงนำลาซารัสกลับจากความตาย พระองค์ทรงใช้เพียงไม่กี่คำเหล่านี้ว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด”  พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดนอกเหนือไปจากนี้  ดังนั้นแล้วพระวจนะเหล่านี้แสดงถึงสิ่งใด?  พระวจนะเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าสามารถทำสิ่งใดก็ตามให้สำเร็จลุล่วงได้โดยการตรัส รวมถึงการทรงทำให้คนตายเป็นขึ้นจากตาย  เมื่อพระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง เมื่อพระองค์ทรงสร้างโลก พระองค์ทรงทำเช่นนั้นด้วยพระวจนะ—พระบัญชาที่ตรัสออกมา พระวจนะที่มีสิทธิอำนาจ และในหนทางนี้ ทุกสรรพสิ่งได้รับการสร้างขึ้น และด้วยเหตุนี้การทรงสร้างจึงสำเร็จลุล่วง  พระวจนะไม่กี่คำที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสเหล่านี้เป็นเหมือนกับพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเมื่อพระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก และสรรพสิ่ง ในลักษณะเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ก็ถือสิทธิอำนาจของพระเจ้าและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง  ทุกสรรพสิ่งได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นและยืนหยัดได้เพราะพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และในหนทางเดียวกัน ลาซารัสเดินออกจากอุโมงค์ฝังศพของเขาเพราะพระวจนะจากพระโอษฐ์ขององค์พระเยซูเจ้า  นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้า ซึ่งได้รับการแสดงให้เห็นและได้รับการทำให้เป็นจริงขึ้นในเนื้อหนังที่พระองค์ประสูติเป็นมนุษย์  สิทธิอำนาจและความสามารถประเภทนี้เป็นของพระผู้สร้างและบุตรมนุษย์ ซึ่งพระผู้สร้างได้ทรงเป็นจริงขึ้นในบุตรมนุษย์นี้  นี่คือความเข้าใจที่มวลมนุษย์ได้รับการสอนจากการที่พระเจ้าทรงนำลาซารัสกลับจากความตาย  ตอนนี้ พวกเราจะจบการสนทนาในหัวข้อนี้ของพวกเราไว้ ณ ที่นี่  อันดับต่อไป พวกเรามาอ่านเนื้อหาบางอย่างเพิ่มเติมจากข้อพระคัมภีร์กัน

10. การตัดสินพระเยซูของพวกฟาริสี

มาระโก 3:21-22  เมื่อญาติพี่น้องของพระองค์ได้ยินเหตุการณ์นี้ ก็ออกไปรั้งพระองค์ไว้ เพราะพวกเขาบอกว่าพระองค์เสียสติแล้ว ส่วนพวกธรรมาจารย์ที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มกล่าวว่า “คนนี้ถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิง ที่เขาขับผีได้ก็เพราะเขาใช้อำนาจของนายผีนั้น”

11. พระเยซูทรงประณามพวกฟาริสี

มัทธิว 12:31-32  เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่า บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้ ถ้าใครกล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นได้ แต่ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า

มัทธิว 23:13-15  วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม [วิบัติแก่พวกเจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าริบเอาบ้านของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น] วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า

เนื้อหาของสองบทตอนข้างต้นแตกต่างกัน  พวกเรามาดูที่บทตอนแรกกันก่อนคือ  การตัดสินพระเยซูของพวกฟาริสี

ในพระคัมภีร์ การตีราคาพระเยซูพระองค์เองของพวกฟาริสีและสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำนั้นได้แก่ “…พวกเขาบอกว่าพระองค์เสียสติแล้ว… ‘คนนี้ถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิง ที่เขาขับผีได้ก็เพราะเขาใช้อำนาจของนายผีนั้น’” (มาระโก 3:21-22)  การตัดสินองค์พระเยซูเจ้าของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีไม่ใช่การที่พวกเขาแค่เอาอย่างคำพูดของผู้คนอื่นๆ และไม่ใช่การอนุมานที่ไม่มีพื้นฐานที่มา—มันเป็นข้อสรุปที่พวกเขามีเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าจากสิ่งที่พวกเขามองเห็นและได้ยินเกี่ยวกับการกระทำของพระองค์  ถึงแม้ว่าข้อสรุปของพวกเขาจะมีขึ้นอย่างโอ้อวดในนามของความยุติธรรมและปรากฏต่อผู้คนเสมือนว่ามันมีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริง แต่ความโอหังที่พวกเขาใช้ตัดสินองค์พระเยซูเจ้านั้นก็ยากจะเก็บไว้แม้สำหรับพวกเขา  พลังงานที่คลุ้มคลั่งของความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อองค์พระเยซูเจ้าได้เปิดโปงความมักใหญ่ใฝ่สูงอันขาดการยับยั้งชั่งใจของพวกเขาเองและโฉมหน้าเยี่ยงซาตานชั่วของพวกเขา อีกทั้งธรรมชาติที่มุ่งร้ายของพวกเขาที่พวกเขาใช้ต้านทานพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาพูดในการตัดสินองค์พระเยซูเจ้าของพวกเขาได้รับการขับเคลื่อนจากความมักใหญ่ใฝ่สูงอันขาดการยับยั้งชั่งใจ ความอิจฉาริษยา และธรรมชาติที่น่าเกลียดและมุ่งร้ายของความเป็นปรปักษ์ที่มีต่อพระเจ้าและความจริงของพวกเขา  พวกเขาไม่ได้ตรวจสอบแหล่งที่มาของการกระทำขององค์พระเยซูเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่ได้ตรวจสอบแก่นแท้ของสิ่งที่พระองค์ตรัสหรือทำ  แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาที่อยู่ในสภาวะของการปลุกปั่นที่บ้าคลั่ง กลับโจมตีและทำให้สิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำนั้นเสื่อมเสียด้วยความมุ่งร้ายโดยตั้งใจและอย่างมืดบอด พวกเขายังถึงกับตั้งใจทำให้พระวิญญาณของพระเจ้า นั่นคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าเสื่อมเสียด้วย  นี่คือความหมายที่พวกเขาตั้งใจเมื่อพวกเขาพูดว่า  “พระองค์เสียสติแล้ว” “ผีเบเอลเซบูล” และ “นายผีนั้น”  กล่าวได้ว่าพวกเขาพูดว่าพระวิญญาณของพระเจ้าถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิงและเป็นนายผี  พวกเขาอธิบายลักษณะพระราชกิจของพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์และทรงสวมพระองค์เองในเนื้อหนังว่าเป็นความบ้า  พวกเขาไม่เพียงแต่หมิ่นประมาทพระวิญญาณของพระเจ้าว่าเป็นผีเบเอลเซบูลและเป็นนายผี แต่ยังกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้า และกล่าวโทษและหมิ่นประมาทองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกด้วย  แก่นแท้ของการต้านทานและการหมิ่นประมาทพระเจ้าของพวกเขาเหมือนกับแก่นแท้ของการต้านทานและการหมิ่นประมาทพระเจ้าที่ซาตานและปีศาจใชทั้งหมด  พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนมนุษย์ที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นรูปจำแลงของซาตาน  พวกเขาคือช่องทางของซาตานท่ามกลางมวลมนุษย์ และพวกเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและข้ารับใช้ของซาตาน  แก่นแท้ของการหมิ่นประมาทของพวกเขาและการทำให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสื่อมเสียคือการที่พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนกับพระเจ้าเพื่อให้ได้รับสถานะ การแข่งขันกับพระเจ้าของพวกเขา และการทดสอบพระเจ้าอย่างไม่รู้จบของพวกเขา  แก่นแท้ของการต้านทานพระเจ้าของพวกเขา และท่าทีการเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ของพวกเขา อีกทั้งคำพูดของพวกเขาและความคิดของพวกเขาต่างหมิ่นประมาทและทำให้พระวิญญาณของพระเจ้ากริ้วโดยตรง  ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงกำหนดการพิพากษาที่เหมาะสมโดยมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ และพระเจ้าทรงกำหนดว่าความประพฤติของพวกเขาเป็นบาปแห่งการหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์  บาปนี้ไม่อาจให้อภัยได้ทั้งในโลกนี้และโลกที่กำลังจะมาถึง ดังที่ได้รับการสนับสนุนในบทตอนดังต่อไปนี้ของพระคัมภีร์ ความว่า “คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้” และ “ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า” วันนี้ พวกเราจะมาพูดถึงความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า: “จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า”  นั่นคือ พวกเรามาขจัดความลึกลับกันว่าพระเจ้าทรงทำให้พระวจนะนี้ลุล่วงได้อย่างไร: “จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า”

ทุกสิ่งที่พวกเราได้กล่าวถึงนั้นสัมพันธ์กับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ  โดยธรรมชาติแล้ว สองบทตอนข้างต้นก็ไม่มีข้อยกเว้น  พวกเจ้าสังเกตเห็นสิ่งใดในสองบทตอนนี้ในข้อพระคัมภีร์?  บางคนพูดว่าพวกเขามองเห็นความกริ้วของพระเจ้าในบทตอนเหล่านี้  บางคนพูดว่าพวกเขามองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าในด้านที่ไม่ทนยอมรับการทำให้ขุ่นเคืองของมวลมนุษย์ และหากผู้คนทำบางสิ่งบางอย่างที่หมิ่นประมาทพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่ได้รับการให้อภัยจากพระองค์  ถึงแม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงที่ผู้คนมองเห็นและล่วงรู้ความกริ้วของพระเจ้าและความไม่ทนยอมรับต่อการทำให้ขุ่นเคืองของมวลมนุษย์ในสองบทตอนนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้าใจท่าทีของพระองค์อย่างแท้จริง  สิ่งที่บอกเป็นนัยในบทตอนสองบทนี้คือการอ้างอิงที่ซ่อนอยู่เกี่ยวกับท่าทีที่แท้จริงของพระเจ้าและวิธีเข้าหาที่พระองค์ทรงมีต่อผู้ที่หมิ่นประมาทและทำให้พระองค์กริ้ว  ท่าทีและวิธีเข้าหาของพระองค์แสดงให้เห็นความหมายที่แท้จริงของบทตอนต่อไปนี้: “ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า”  เมื่อผู้คนหมิ่นประมาทพระเจ้าและเมื่อพวกเขาทำให้พระองค์กริ้ว พระองค์ทรงออกคำพิพากษา และคำพิพากษานี้คือบทอวสานที่พระองค์ทรงกำหนด  ในพระคัมภีร์มีการพรรณนาในลักษณะนี้: “เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่า บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้” (มัทธิว 12:31) และ “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด” (มัทธิว 23:13)  อย่างไรก็ตาม มีการบันทึกในพระคัมภีร์หรือไม่ว่าบทอวสานสำหรับพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ตลอดจนสำหรับผู้คนที่พูดว่าองค์พระเยซูเจ้าเป็นบ้าหลังจากที่พระองค์ตรัสสิ่งเหล่านี้คืออะไร?  มีการบันทึกหรือไม่ว่าพวกเขาทนทุกข์จากการลงโทษใดๆ?  ไม่—สิ่งนี้สามารถพูดได้อย่างแน่นอน  การพูดว่า “ไม่” ในที่นี้ไม่ใช่การพูดว่าไม่มีการบันทึกเช่นนั้น แต่อันที่จริงแล้วเป็นเพียงว่าไม่มีบทอวสานที่ตามนุษย์สามารถมองเห็นได้เท่านั้น  การพูดว่า “ไม่มีการบันทึก” เป็นการจาระไนถึงประเด็นเกี่ยวกับท่าทีและหลักการของพระเจ้าในการควบคุมดูแลบางสิ่ง พระเจ้าไม่ได้ทรงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นผู้คนที่หมิ่นประมาทหรือต้านทานพระองค์ หรือแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่ให้ร้ายพระองค์—ผู้คนที่มีเจตนาโจมตี ให้ร้าย และสาปแช่งพระองค์—แต่พระองค์ทรงมีท่าทีที่ชัดเจนต่อพวกเขา  พระองค์ทรงเกลียดชังผู้คนเหล่านี้ และพระองค์ทรงกล่าวโทษพวกเขาในพระทัยของพระองค์  พระองค์ยังแม้กระทั่งประกาศอย่างเปิดเผยว่าบทอวสานของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เพื่อให้ผู้คนรู้ว่าพระองค์ทรงมีท่าทีที่ชัดเจนต่อผู้ที่หมิ่นประมาทพระองค์ และเพื่อให้พวกเขารู้ว่าพระองค์จะทรงกำหนดบทอวสานของพวกเขาอย่างไร  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พระเจ้าตรัสสิ่งเหล่านี้ ผู้คนแทบจะไม่สามารถมองเห็นความจริงว่าพระเจ้าจะทรงควบคุมดูแลผู้คนเหล่านั้นอย่างไร และพวกเขาไม่สามารถเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลังบทอวสานและคำพิพากษาที่พระเจ้าทรงออกให้กับพวกเขา  นั่นจึงกล่าวได้ว่า ผู้คนไม่สามารถมองเห็นแนวทางและวิธีการที่เฉพาะเจาะจงที่พระเจ้าทรงมีเพื่อควบคุมดูแลพวกเขา  นี่เกี่ยวข้องกับหลักการในการทำสิ่งต่างๆ ของพระเจ้า  พระเจ้าทรงใช้อุบัติการณ์ของข้อเท็จจริงในการจัดการกับความประพฤติชั่วของผู้คนบางคน  นั่นคือ พระองค์ไม่ได้ทรงประกาศบาปของพวกเขา และไม่ได้ทรงกำหนดบทอวสานของพวกเขา แต่ทรงใช้อุบัติการณ์ของข้อเท็จจริงในการให้การลงโทษและผลสนองที่ยุติธรรมของพวกเขา  เมื่อข้อเท็จจริงเหล่านี้เกิดขึ้น เนื้อหนังของผู้คนคือสิ่งที่ทนทุกข์กับการลงโทษ ซึ่งหมายความว่าการลงโทษคือบางสิ่งบางอย่างที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์  เมื่อทรงจัดการกับความประพฤติชั่วของผู้คนบางคน พระเจ้าเพียงแค่ทรงสาปแช่งพวกเขาด้วยพระวจนะ และความกริ้วของพระองค์ก็เกิดขึ้นกับพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่การลงโทษที่พวกเขาได้รับอาจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้  อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของบทอวสานประเภทนี้อาจร้ายแรงมากกว่าบทอวสานเหล่านั้นที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้เสียอีก เช่น การถูกลงโทษหรือถูกฆ่า  นี่เป็นเพราะภายใต้รูปการณ์แวดล้อมต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดแล้วว่าจะไม่ช่วยบุคคลประเภทนี้ให้รอด จะไม่แสดงความปรานีหรือมีการทนยอมรับให้พวกเขาอีกต่อไป และจะไม่จัดเตรียมโอกาสใดๆ แก่พวกเขาอีก เช่นนั้นแล้วท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาคือท่าทีแห่งการละวางพวกเขา  “ละวาง” หมายความว่าอย่างไรในที่นี้?  ความหมายโดยพื้นฐานของคำนี้คือ การวางบางสิ่งบางอย่างไว้ข้างหนึ่ง การเพิกเฉยและไม่ให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป  แต่ในที่นี้ เมื่อพระเจ้าทรงละวางใครบางคน ความหมายของวลีนี้มีคำอธิบายที่แตกต่างกันสองประการ ได้แก่  คำอธิบายแรกคือพระองค์ได้ประทานชีวิตของบุคคลผู้นั้นและทุกสิ่งเกี่ยวกับบุคคลผู้นั้นให้ซาตานจัดการไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่ทรงรับผิดชอบบุคคลผู้นั้นอีกต่อไป และจะไม่ทรงบริหารจัดการบุคคลผู้นั้นอีกต่อไป  ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะบ้าหรือโง่ หรือไม่ว่าพวกเขาจะตายหรือมีชีวิตอยู่ หรือไม่ว่าพวกเขาจะได้ลงนรกเพื่อเป็นการลงโทษของพวกเขาหรือไม่ ทั้งหมดนี้ย่อมจะไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพระเจ้า  นั่นย่อมจะหมายความว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแบบนั้นจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับพระผู้สร้าง  คำอธิบายที่สองคือพระเจ้าได้ทรงกำหนดว่าพระองค์เองทรงต้องประสงค์ที่จะทำบางสิ่งบางอย่างกับบุคคลผู้นี้ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง  ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่พระองค์จะทรงใช้ประโยชน์จากการปรนนิบัติของบุคคลผู้นี้ หรือพระองค์จะใช้พวกเขาเป็นสิ่งที่เน้นให้เห็นสิ่งอื่น  มีความเป็นไปได้ที่พระองค์จะทรงมีวิธีการพิเศษในการจัดการกับบุคคลประเภทนี้ ซึ่งเป็นวิธีการพิเศษในการปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นเดียวกับเปาโล เป็นต้น  นี่คือหลักการและท่าทีในพระทัยของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงใช้ในการกำหนดการจัดการกับบุคคลประเภทนี้  ดังนั้น เมื่อบุคคลหนึ่งต้านทานพระเจ้าและให้ร้ายและหมิ่นประมาทพระองค์ หากพวกเขายั่วยุพระอุปนิสัยของพระองค์ หรือหากพวกเขาเผชิญหน้ากับบรรทัดฐานของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วผลพวงจะเป็นสิ่งที่น่าตกใจเกินกว่าจะนึกถึง  ผลพวงที่รุนแรงที่สุดคือ พระเจ้าทรงยื่นชีวิตของพวกเขาและทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเขาให้แก่ซาตานแบบครั้งเดียวและตลอดไป  พวกเขาจะไม่ได้รับการประทานอภัยชั่วนิจนิรันดร์  นี่หมายความว่าบุคคลนี้ได้กลายเป็นอาหารในปากของซาตาน ของเล่นในมือของมันไปแล้ว และจากนั้นเป็นต้นไปพระเจ้าจะไม่ทรงมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีก  พวกเจ้าสามารถจินตนาการออกหรือไม่ว่ามันเป็นความทุกข์เข็ญใดเมื่อซาตานทดลองโยบ?  แม้อยู่ภายใต้สภาวะที่ซาตานไม่ได้รับอนุญาตให้ทำร้ายชีวิตของโยบ แต่โยบยังคงทนทุกข์เป็นอย่างยิ่ง  และมันไม่ได้ยากยิ่งไปกว่าอีกหรือที่จะจินตนาการถึงการทำลายล้างที่ซาตานจะทำให้เกิดขึ้นกับใครบางคนที่ได้ถูกยื่นให้กับซาตานอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่อยู่ภายในเงื้อมมือของซาตานอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ได้สูญเสียความใส่พระทัยและความปรานีของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของพระผู้สร้างอีกต่อไป และผู้ที่ถูกถอดสิทธิ์ที่จะนมัสการพระองค์และสิทธิ์ที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายใต้การปกครองของพระเจ้า และผู้ที่สัมพันธภาพของเขากับองค์พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งทรงสร้างถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์?  การข่มเหงโยบของซาตานคือบางสิ่งบางอย่างที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์ แต่หากพระเจ้าทรงยื่นชีวิตของบุคคลหนึ่งให้ซาตาน ผลพวงจะเกินกว่าจินตนาการของมนุษย์  ตัวอย่างเช่น บางคนอาจเกิดใหม่เป็นวัวหรือลา ในขณะที่บางคนอาจติดพันและถูกครอบครองด้วยบรรดาวิญญาณชั่วที่มีมลทิน เป็นต้น  เช่นนั้นคือบทอวสานของผู้คนบางคนที่พระเจ้าทรงยื่นให้กับซาตาน  จากภายนอกนั้นดูเหมือนว่าผู้คนเหล่านั้นผู้ซึ่งได้เยาะหยัน ให้ร้าย กล่าวโทษ และหมิ่นประมาทองค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทนทุกข์กับผลพวงใดๆ  อย่างไรก็ตาม ความจริงคือพระเจ้าทรงมีแนวทางในการจัดการกับทุกสิ่ง  พระองค์อาจไม่ทรงใช้ภาษาที่ชัดเจนในการตรัสบอกผู้คนถึงผลลัพธ์ว่าพระองค์ทรงจัดการบุคคลทุกประเภทอย่างไร  บางครั้งพระองค์อาจไม่ตรัสโดยตรง แต่ทรงกระทำการโดยตรงแทน  การที่พระองค์ไม่ตรัสถึงมันไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่มีบทอวสาน—อันที่จริง ในกรณีเช่นนั้น มีความเป็นไปได้ที่บทอวสานจะร้ายแรงมากกว่าอีก  จากภายนอกอาจดูเหมือนว่ามีบางคนที่พระเจ้าไม่ตรัสเกี่ยวกับท่าทีของพระองค์อย่างชัดเจน แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ความใส่พระทัยใดๆ กับพวกเขามาเป็นเวลานานแล้ว  พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะทอดพระเนตรเห็นพวกเขาอีกต่อไป  เพราะสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาได้ทำและพฤติกรรมของพวกเขา เพราะแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา พระเจ้าจึงทรงต้องประสงค์เพียงที่จะให้พวกเขาหายไปจากสายพระเนตรของพระองค์ ทรงต้องประสงค์ที่จะยื่นพวกเขาให้ซาตานโดยตรง ที่จะประทานวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของพวกเขาให้กับซาตาน และอนุญาตให้ซาตานทำสิ่งใดก็ตามที่มันต้องการกับพวกเขาได้  เป็นที่ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังพวกเขาถึงขอบเขตใด พระองค์ทรงรังเกียจพวกเขาถึงขอบเขตใด  หากบุคคลหนึ่งทำให้พระเจ้ากริ้วจนถึงจุดที่พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์แม้แต่จะทอดพระเนตรเห็นพวกเขาอีกและทรงหยุดคาดหวังในตัวพวกเขาอย่างสมบูรณ์ จนถึงจุดที่พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์แม้แต่จะจัดการกับพวกเขาด้วยพระองค์เอง—หากมันไปถึงจุดที่พระองค์จะทรงยื่นพวกเขาให้กับซาตานเพื่อให้มันทำตามที่มันต้องการ เพื่ออนุญาตให้ซาตานควบคุม กินผลาญ และปฏิบัติต่อพวกเขาในหนทางใดก็ตามที่มันพอใจ—เช่นนั้นแล้วบุคคลนี้ก็ถึงจุดจบโดยสิ้นเชิง  สิทธิ์ในการเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้ถูกเพิกถอนไปอย่างถาวรแล้ว และสิทธิ์ในการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพวกเขาก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว  นี่ไม่ได้เป็นการลงโทษชนิดที่รุนแรงที่สุดหรอกหรือ?

ทั้งหมดข้างต้นคือคำอธิบายที่ครบบริบูรณ์ของพระวจนะที่ว่า: “จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า” และมันยังทำหน้าที่เป็นคำบรรยายง่ายๆ เกี่ยวกับบทตอนเหล่านี้จากข้อพระคัมภีร์  บัดนี้เราเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว

ตอนนี้ พวกเรามาอ่านบทตอนจากองค์คัมภีร์ต่อไปนี้กันเถิด

12. พระวจนะของพระเยซูถึงบรรดาสาวกของพระองค์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์

ยอห์น 20:26-29  เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ” โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ?  คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”

ยอห์น 21:16-17  พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?”  เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?”  เปโตรเสียใจมากที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “ท่านรักเราหรือ?”  เขาจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงรู้ดีว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด”

สิ่งที่บทตอนเหล่านี้เล่าคือบางสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปฏิบัติและตรัสต่อบรรดาสาวกของพระองค์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์  อันดับแรก พวกเรามาดูที่ความแตกต่างใดๆ ที่อาจมีในองค์พระเยซูเจ้าก่อนและหลังการคืนพระชนม์  พระองค์ยังคงทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้เดียวกับในอดีตหรือไม่?  พระคัมภีร์ประกอบด้วยบรรทัดต่อไปนี้ ซึ่งพรรณนาเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าหลังจากการคืนพระชนม์: “ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า ‘สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย’”  เป็นที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่าองค์พระเยซูเจ้า ณ ขณะนั้นไม่ได้ประทับอยู่ในกายที่เป็นเนื้อหนังอีกต่อไป แต่ตอนนั้นพระองค์ประทับอยู่ในกายจิตวิญญาณ  นี่เป็นเพราะว่าพระองค์ได้ทรงก้าวเหนือข้อจำกัดของเนื้อหนังไปแล้ว ถึงแม้ว่าประตูจะปิด แต่พระองค์ยังคงสามารถเสด็จมาอยู่ท่ามกลางผู้คนและทรงทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นพระองค์ได้  นี่คือความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างองค์พระเยซูเจ้าหลังการคืนพระชนม์กับองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงพระชนม์ชีพในเนื้อหนังก่อนการคืนพระชนม์  ถึงแม้ว่าจะไม่มีความแตกต่างใดๆ ระหว่างการทรงปรากฏของกายจิตวิญญาณในชั่วขณะนั้นกับการทรงปรากฏขององค์พระเยซูเจ้าตามที่ทรงเป็นก่อนหน้านั้น แต่องค์พระเยซูเจ้าในชั่วขณะนั้นได้ทรงกลายเป็นผู้ที่ผู้คนรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เพราะพระองค์ได้ทรงกลายเป็นกายจิตวิญญาณหลังจากที่ได้คืนพระชนม์จากความตาย และเมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อหนังก่อนหน้าของพระองค์แล้ว กายจิตวิญญาณนี้เป็นปริศนาและน่าสับสนมากกว่าสำหรับผู้คน  นอกจากนี้ยังทำให้เกิดระยะห่างระหว่างองค์พระเยซูเจ้าและผู้คนมากยิ่งขึ้น และผู้คนรู้สึกในหัวใจของพวกเขาว่าองค์พระเยซูเจ้าในชั่วขณะนั้นทรงกลับกลายเป็นลึกลับยิ่งขึ้น  การรับรู้และความรู้สึกเหล่านี้ในส่วนของผู้คนได้นำพวกเขากลับไปสู่ในยุคแห่งการเชื่อในพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้โดยฉับพลัน  ดังนั้น สิ่งแรกที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์คือการทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นพระองค์ได้ เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ และเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการคืนพระชนม์ของพระองค์  นอกจากนี้ การกระทำนี้ยังฟื้นคืนสัมพันธภาพที่พระองค์ทรงมีกับผู้คนให้กลับไปเป็นอย่างที่เคยเป็นเมื่อครั้งที่พระองค์กำลังทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ผู้ที่พวกเขาสามารถมองเห็นและสัมผัสได้  บทอวสานหนึ่งของการนี้คือ ผู้คนไม่มีความสงสัยในสิ่งใดก็ตามที่องค์พระเยซูเจ้าได้คืนพระชนม์จากความตายหลังจากทรงถูกตรึงที่กางเขน และพวกเขายังไม่มีความสงสัยในพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ขององค์พระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน  อีกบทอวสานหนึ่งคือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏต่อผู้คนหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์และการที่ทรงทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นและสัมผัสพระองค์นั้นได้ให้ความปลอดภัยแก่มวลมนุษย์ในยุคพระคุณอย่างมั่นคง ซึ่งทำให้แน่ใจว่า นับจากเวลานี้เป็นต้นไป ผู้คนจะไม่กลับไปสู่ยุคธรรมบัญญัติที่เป็นยุคก่อนหน้านั้นด้วยเหตุผลที่พวกเขาทึกทักเอาว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรง “หายไป” หรือว่าพระองค์ได้ “เสด็จจากไปโดยไม่ตรัสพระวจนะใดๆ”  ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้ทรงทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะเดินหน้าต่อไปโดยปฏิบัติตามคำสอนขององค์พระเยซูเจ้าและพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไว้  ด้วยเหตุนี้ ระยะใหม่ในพระราชกิจในยุคพระคุณจึงได้เปิดขึ้นอย่างเป็นทางการ และจากชั่วขณะนั้นเป็นต้นไป ผู้คนที่เคยได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติก็ได้โผล่ขึ้นจากธรรมบัญญัติและเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นใหม่  เหล่านี้คือความหมายที่มีหลายแง่มุมของการที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏต่อมวลมนุษย์หลังจากการคืนพระชนม์

ในเมื่อขณะนี้องค์พระเยซูเจ้ากำลังประทับอยู่ในกายจิตวิญญาณ ผู้คนสามารถสัมผัสพระองค์และมองเห็นพระองค์ได้อย่างไร?  คำถามนี้กล่าวถึงนัยสำคัญของการทรงปรากฏต่อมวลมนุษย์ขององค์พระเยซูเจ้า  พวกเจ้าสังเกตเห็นสิ่งใดในบทตอนของข้อพระคัมภีร์ที่พวกเราเพิ่งได้อ่านไปหรือไม่?  โดยทั่วไปแล้ว กายจิตวิญญาณไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ และหลังจากการคืนพระชนม์ พระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปฏิบัติก็ได้ครบบริบูรณ์แล้ว  ดังนั้น ในทางทฤษฎี พระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นโดยสิ้นเชิงที่จะต้องเสด็จกลับมาท่ามกลางผู้คนในพระฉายาดั้งเดิมของพระองค์เพื่อพบกับพวกเขา แต่การทรงปรากฏของกายจิตวิญญาณขององค์พระเยซูเจ้าต่อผู้คนเช่นโธมัสได้ทำให้นัยสำคัญของการทรงปรากฏของพระองค์เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อที่ว่าการทรงปรากฏของพระองค์จะได้แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของผู้คนอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น  เมื่อพระองค์ได้เสด็จมาหาโธมัส พระองค์ได้ทรงให้โธมัสผู้สงสัยสัมผัสพระหัตถ์ของพระองค์ และได้ตรัสบอกเขาว่า: “ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ”  พระวจนะและการกระทำเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงต้องประสงค์จะตรัสและทำเพียงหลังจากที่พระองค์ได้คืนพระชนม์เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะตรัสและทำก่อนที่พระองค์จะทรงถูกตรึงกางเขน เพราะข้อสงสัยของโธมัสไม่ได้เริ่มต้นในตอนนั้นเท่านั้น แต่อยู่กับเขาตลอดเวลาที่เขาติดตามองค์พระเยซูเจ้า  เห็นได้ชัดว่าก่อนที่พระองค์จะทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงมีความเข้าใจเกี่ยวกับผู้คนเช่นโธมัสอยู่แล้ว  แล้วเราสามารถเห็นสิ่งใดจากการนี้?  พระองค์ยังคงทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าพระองค์เดิมหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์  แก่นแท้ของพระองค์ไม่ได้เปลี่ยนไป  อย่างไรก็ตาม นี่คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ได้คืนพระชนม์จากความตายและได้ทรงกลับจากโลกวิญญาณด้วยพระฉายาดั้งเดิมของพระองค์ ด้วยพระอุปนิสัยดั้งเดิมของพระองค์ และด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ของพระองค์จากเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ในเนื้อหนัง ดังนั้นพระองค์จึงได้เสด็จไปหาโธมัสก่อนเป็นอันดับแรก และทรงให้โธมัสสัมผัสพระปรัศว์ของพระองค์ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้โธมัสมองเห็นกายจิตวิญญาณของพระองค์หลังจากการคืนพระชนม์เท่านั้น แต่ยังให้โธมัสสัมผัสและรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของกายทางจิตวิญญาณของพระองค์และคลายความสงสัยของเขาไปโดยสิ้นเชิง  ก่อนที่องค์พระเยซูเจ้าจะทรงถูกตรึงที่กางเขน โธมัสสงสัยในเรื่องที่พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์มาโดยตลอด และไม่สามารถเชื่อได้  ความเชื่อที่เขามีในพระเจ้านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่เขาสามารถมองเห็นได้ด้วยตาของเขาเอง สิ่งที่เขาสามารถสัมผัสได้ด้วยมือของเขาเองเท่านั้น  องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงมีความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับความเชื่อของบุคคลชนิดนี้  พวกเขาเชื่อเพียงพระเจ้าในสวรรค์ และไม่เชื่อในองค์หนึ่งเดียวผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา หรือพระคริสต์ในเนื้อหนังเลย อีกทั้งพวกเขาก็จะไม่ยอมรับพระองค์  เพื่อให้โธมัสยอมรับและเชื่อในการดำรงอยู่ขององค์พระเยซูเจ้าและเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง พระองค์จึงได้ทรงอนุญาตให้โธมัสเอื้อมมือของเขาออกมาสัมผัสพระปรัศว์ของพระองค์  ความสงสัยของโธมัสก่อนและหลังจากการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้ามีความแตกต่างกันหรือไม่?  เขาสงสัยอยู่เสมอและไม่มีทางที่ผู้ใดจะสามารถแก้ไขความสงสัยและทำให้เขาคลายความสงสัยเหล่านั้นไปได้ ยกเว้นแต่กายจิตวิญญาณขององค์พระเยซูเจ้ามาปรากฏต่อเขาด้วยพระองค์เองและยอมให้เขาสัมผัสรอยตะปูบนพระกายของพระองค์  ดังนั้น นับตั้งแต่เวลาที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงอนุญาตให้โธมัสสัมผัสพระปรัศว์ของพระองค์ และปล่อยให้เขารู้สึกถึงการมีอยู่ของรอยตะปูจริงๆ ความสงสัยของโธมัสก็ได้หายไป และเขาได้รู้อย่างแท้จริงว่าองค์พระเยซูเจ้าได้คืนพระชนม์แล้ว และเขาได้ยอมรับและเชื่อว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสต์และพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ที่แท้จริง  ถึงแม้ว่าในเวลานี้โธมัสจะไม่มีความสงสัยอีกต่อไป แต่เขาก็ได้สูญเสียโอกาสที่จะพบกับพระคริสต์ตลอดไปแล้ว  เขาได้สูญเสียโอกาสที่จะอยู่ร่วมกับพระองค์ ติดตามพระองค์ และรู้จักพระองค์ตลอดไปแล้ว  เขาได้สูญเสียโอกาสที่พระคริสต์จะทรงทำให้เขาเพียบพร้อมไปแล้ว  การทรงปรากฏขององค์พระเยซูเจ้าและพระวจนะของพระองค์ได้ให้ข้อสรุปและคำพิพากษาเกี่ยวกับความเชื่อของพวกที่เต็มไปด้วยความสงสัย  พระองค์ได้ทรงใช้พระวจนะและการกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์เพื่อบอกบรรดาผู้สงสัย บอกพวกที่เชื่อเฉพาะในพระเจ้าในสวรรค์แต่ไม่เชื่อในพระคริสต์ว่า  พระเจ้าไม่ได้ทรงชมเชยความเชื่อของพวกเขา อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงชมเชยพวกเขาสำหรับการติดตามพระองค์ในขณะที่สงสัยพระองค์  วันที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและพระคริสต์อย่างเต็มเปี่ยมอาจเป็นวันที่พระเจ้าได้ทรงทำให้พระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ครบบริบูรณ์แล้วเท่านั้น  แน่นอนว่าวันนั้นก็จะเป็นวันที่ได้มีคำพิพากษาต่อความสงสัยของพวกเขาเช่นเดียวกัน  ท่าทีที่พวกเขามีต่อพระคริสต์ได้กำหนดชะตากรรมของพวกเขา และความสงสัยที่ดื้อรั้นของพวกเขาหมายความว่าความเชื่อของพวกเขาไม่ก่อให้เกิดผลใด และความแข็งกระด้างของพวกเขาหมายความว่าความหวังของพวกเขานั้นสูญเปล่า  เพราะการที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าในสวรรค์เพิ่มขึ้นเพราะภาพลวงตา และความสงสัยที่พวกเขามีต่อพระคริสต์นั้นอันที่จริงแล้วคือท่าทีที่แท้จริงที่พวกเขามีต่อพระเจ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาได้สัมผัสรอยตะปูบนพระกายขององค์พระเยซูเจ้า ความเชื่อของพวกเขาก็ยังคงไร้ประโยชน์และบทอวสานของพวกเขาก็สามารถอธิบายได้เพียงว่าเป็นการตักน้ำด้วยตะกร้าไม้ไผ่—ทั้งหมดนั้นสูญเปล่า  สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับโธมัสยังเป็นวิธีการของพระองค์ที่ชัดเจนอย่างยิ่งในการตรัสบอกทุกผู้คนเช่นกันว่า  องค์พระเยซูเจ้าผู้คืนพระชนม์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ได้ทรงใช้เวลาสามสิบสามปีครึ่งไปในการทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์  ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงถูกตรึงที่กางเขนและได้ทรงรับประสบการณ์กับหุบเขาแห่งเงาของความตาย และถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงรับประสบการณ์กับการคืนพระชนม์ พระองค์ก็ไม่ได้ทรงก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าในแง่มุมใดๆ  ถึงแม้ว่าขณะนี้พระองค์ได้ทรงมีรอยตะปูบนร่างกายของพระองค์แล้ว และถึงแม้ว่าพระองค์ได้คืนพระชนม์และได้ทรงพระดำเนินออกจากหลุมฝังศพแล้ว แต่พระอุปนิสัยของพระองค์ ความเข้าใจเกี่ยวกับมวลมนุษย์ของพระองค์ และเจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย  นอกจากนี้ พระองค์ยังกำลังตรัสบอกผู้คนว่าพระองค์ได้เสด็จลงจากกางเขน ได้ทรงฉลองชัยเหนือบาป ได้ทรงเอาชนะความยากลำบาก และได้ทรงฉลองชัยเหนือความตาย  รอยตะปูเป็นแค่หลักฐานแห่งชัยชนะเหนือซาตานของพระองค์ หลักฐานแห่งการเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมดได้สำเร็จ  พระองค์กำลังตรัสบอกผู้คนว่าพระองค์ได้ทรงรับบาปของมวลมนุษย์แล้ว และว่าพระองค์ได้ทรงทำให้พระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์ครบบริบูรณ์แล้ว  เมื่อพระองค์ได้เสด็จกลับมาพบกับบรรดาสาวกของพระองค์ พระองค์ได้ตรัสบอกข้อความนี้กับพวกเขาโดยการทรงปรากฏของพระองค์: “เรายังมีชีวิตอยู่ เรายังดำรงอยู่ วันนี้เรากำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเจ้าอย่างแท้จริง เพื่อที่ว่าพวกเจ้าสามารถมองเห็นและสัมผัสเราได้  เราจะอยู่กับพวกเจ้าเสมอ”  องค์พระเยซูเจ้ายังทรงต้องประสงค์ที่จะใช้กรณีของโธมัสเป็นการตักเตือนสำหรับผู้คนในอนาคตว่า  ถึงแม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสองค์พระเยซูเจ้าในความเชื่อในพระองค์ของเจ้า แต่เจ้าก็ได้รับพรเพราะความเชื่อที่แท้จริงของเจ้า และเจ้าสามารถมองเห็นองค์พระเยซูเจ้าเพราะความเชื่อที่แท้จริงของเจ้า และบุคคลประเภทนี้ได้รับพร

พระวจนะที่ได้รับการบันทึกในพระคัมภีร์เหล่านี้ซึ่งองค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้เมื่อพระองค์ได้ทรงปรากฏต่อโธมัสเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้คนทั้งหมดในยุคพระคุณ  การทรงปรากฏต่อโธมัสของพระองค์และพระวจนะที่พระองค์ได้ตรัสต่อเขามีผลกระทบที่ลุ่มลึกต่อหลายชั่วคนหลังจากนั้น สิ่งเหล่านี้มีนัยสำคัญชั่วนิรันดร์  โธมัสเป็นตัวแทนของบุคคลชนิดหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าแต่ยังสงสัยพระเจ้า  พวกเขามีธรรมชาติที่หวาดระแวง มีหัวใจที่มุ่งร้าย เป็นคนทรยศ และไม่เชื่อในสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าสามารถทำให้สำเร็จลุล่วง  พวกเขาไม่เชื่อในฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์ และพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน  อย่างไรก็ตาม การคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้าขัดแย้งกับคุณสมบัติเหล่านี้ที่พวกเขามี และยังให้โอกาสพวกเขาในการค้นพบความสงสัยของพวกเขาเอง ระลึกได้ถึงความสงสัยของพวกเขาเอง และยอมรับการทรยศของพวกเขาเอง ด้วยเหตุนี้จึงมาเชื่ออย่างแท้จริงในการดำรงอยู่และการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้า  สิ่งที่เกิดขึ้นกับโธมัสคือการตักเตือนและข้อควรระวังสำหรับคนยุคหลังจากนั้น เพื่อที่ว่าผู้คนจำนวนมากขึ้นสามารถตักเตือนตัวเองไม่ให้เป็นผู้สงสัยอย่างเช่นโธมัส และว่าหากพวกเขาได้ทำให้ตัวเองเต็มไปด้วยความสงสัย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะจมลงสู่ความมืด  หากเจ้าติดตามพระเจ้า แต่ต้องการสัมผัสพระปรัศว์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าและรู้สึกถึงรอยตะปูของพระองค์เพื่อยืนยัน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เพื่อคาดคะเนว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่อยู่เสมอเช่นเดียวกับโธมัส เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงละทิ้งเจ้า  ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนไม่เป็นเหมือนกับโธมัสที่เชื่อเพียงสิ่งที่พวกเขามองเห็นได้ด้วยตาของพวกเขาเอง แต่ให้เป็นผู้คนที่บริสุทธิ์และซื่อสัตย์ ไม่เก็บงำความสงสัยต่อพระเจ้าเอาไว้  แต่เพียงเชื่อและติดตามพระองค์  ผู้คนเช่นนี้ย่อมได้รับพร นี่คือพระประสงค์ที่เล็กน้อยมากที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมีต่อผู้คน และเป็นการตักเตือนบรรดาผู้ติดตามของพระองค์

ข้างต้นนี้คือท่าทีที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมีต่อพวกที่เต็มไปด้วยความสงสัย  แล้วองค์พระเยซูเจ้าตรัสและทรงทำสิ่งใดให้แก่บรรดาผู้ที่สามารถเชื่อและติดตามพระองค์ได้อย่างซื่อสัตย์?  นี่คือสิ่งที่เรากำลังจะมาดูเป็นอันดับต่อไปโดยผ่านทางบทสนทนาระหว่างองค์พระเยซูเจ้าและเปโตร

ในการสนทนานี้ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสถามสิ่งหนึ่งกับเปโตรซ้ำๆ ว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?”  นี่คือมาตรฐานที่สูงขึ้นซึ่งองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงพึงประสงค์จากผู้คนเช่นเปโตรหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ ผู้คนที่เชื่อในพระคริสต์อย่างแท้จริงและเพียรพยายามที่จะรักองค์พระผู้เป็นเจ้า  คำถามนี้เป็นการสืบสวนและการซักถามประเภทหนึ่ง แต่ยิ่งไปกว่านั้น คำถามนี้เป็นข้อพึงประสงค์และความคาดหวังจากผู้คนเช่นเปโตร  องค์พระเยซูเจ้าทรงใช้วิธีการตั้งคำถามนี้เพื่อให้ผู้คนไตร่ตรองเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง และมองเข้าไปในตัวพวกเขาเองและถามว่า: ข้อพึงประสงค์ขององค์พระเยซูเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนคือสิ่งใด?  เรารักองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่?  เราเป็นบุคคลที่รักพระเจ้าหรือไม่?  เราควรรักพระเจ้าอย่างไร?  ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงถามคำถามนี้กับเปโตรเท่านั้น แต่ความจริงก็คือ ในพระทัยของพระองค์ โดยการถามคำถามเหล่านี้กับเปโตร พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะใช้โอกาสนี้ถามคำถามประเภทเดียวกันนี้กับผู้คนมากกว่านี้ผู้ที่พยายามที่จะรักพระเจ้า  เป็นเพียงแค่ว่าเปโตรได้รับพรให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นตัวแทนของบุคคลประเภทนี้ เพื่อรับการตั้งคำถามจากพระโอษฐ์ขององค์พระเยซูเจ้าเอง

เมื่อเทียบกับพระวจนะต่อไปนี้ ซึ่งองค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับโธมัสหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ว่า “ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ” การที่พระองค์ได้ทรงตั้งคำถามซ้ำสามครั้งกับเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?”  ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ดีขึ้นถึงความเข้มงวดกวดขันในท่าทีขององค์พระเยซูเจ้า และความเร่งด่วนที่พระองค์ทรงรู้สึกในช่วงระหว่างการตั้งคำถามของพระองค์  สำหรับโธมัสผู้สงสัยนั้น ด้วยธรรมชาติที่หลอกลวงของเขา องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงอนุญาตให้เขาเอื้อมมือของเขามาสัมผัสรอยตะปูบนพระกายของพระองค์ ซึ่งได้นำให้เขาเชื่อว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นบุตรมนุษย์ที่ได้คืนพระชนม์ และยอมรับอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระคริสต์  และถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะไม่ได้ทรงประณามโธมัสอย่างเข้มงวดกวดขัน อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงการพิพากษาเขาที่ชัดเจนใดๆ โดยวาจา กระนั้นพระองค์ก็ได้ทรงใช้การกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อให้โธมัสรู้ว่าพระองค์ทรงเข้าใจเขา ในขณะเดียวกันก็ทรงแสดงท่าทีและความตั้งพระทัยแน่วแน่ของพระองค์ต่อบุคคลชนิดนั้น  ข้อพึงประสงค์และความคาดหวังขององค์พระเยซูเจ้าที่ทรงมีต่อบุคคลชนิดนั้นไม่สามารถมองเห็นได้จากสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ เพราะผู้คนเช่นโธมัสเพียงไม่มีความเชื่อที่แท้จริงแม้สักเสี้ยว  ข้อพึงประสงค์ขององค์พระเยซูเจ้าต่อพวกเขาไปถึงแค่จุดหนึ่งเท่านั้น แต่ท่าทีที่พระองค์ได้ทรงเผยต่อผู้คนเช่นเปโตรนั้นแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง  พระองค์ไม่ได้ทรงพึงประสงค์ให้เปโตรเอื้อมมือของเขามาสัมผัสรอยตะปูของพระองค์ อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ตรัสต่อเปโตรว่า “อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ”  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ได้ทรงถามคำถามเดิมกับเปโตรซ้ำๆ แทน  คำถามนี้กระตุ้นความคิดและเปี่ยมความหมาย คำถามที่มีแต่จะทำให้ผู้ติดตามทุกคนของพระคริสต์รู้สึกถึงความสำนึกผิดและความยำเกรง และยังรู้สึกถึงอารมณ์ที่วิตกกังวลและเต็มไปด้วยความโทมนัสขององค์พระเยซูเจ้า  และเมื่อพวกเขามีความเจ็บปวดและความทุกข์อันยิ่งใหญ่ พวกเขาจะมีความสามารถมากขึ้นที่จะเข้าใจความกังวลขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าและความใส่พระทัยของพระองค์ พวกเขาตระหนักถึงคำสอนที่จริงจังจริงใจของพระองค์และข้อพึงประสงค์ที่เคร่งครัดต่อผู้คนที่บริสุทธิ์และซื่อสัตย์  คำถามขององค์พระเยซูเจ้าทำให้ผู้คนสามารถรู้สึกว่าความคาดหวังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีจากผู้คนซึ่งได้รับการเผยในพระวจนะที่เรียบง่ายเหล่านี้ไม่ใช่แค่การเชื่อและติดตามพระองค์เท่านั้น แต่เป็นการสัมฤทธิ์ผลในการมีความรัก การรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าและพระเจ้าของเจ้า  ความรักประเภทนี้เป็นการเอาใจและการเชื่อฟัง  ความรักประเภทนี้คือการที่พวกมนุษย์ใช้ชีวิตเพื่อพระเจ้า ตายเพื่อพระเจ้า ทุ่มเทอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างให้กับพระเจ้า และสละและมอบทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้า  ความรักประเภทนี้ยังมอบความสบายพระทัยให้แก่พระเจ้าอีกด้วย ทำให้พระองค์ได้ทรงสุขสำราญกับคำพยานและได้ทรงหยุดพัก  ความรักประเภทนี้คือการตอบแทนพระเจ้าของมวลมนุษย์ ความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน และหน้าที่ของมนุษย์ และเป็นวิธีการที่ผู้คนต้องติดตามตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา  คำถามสามคำถามเหล่านี้คือข้อพึงประสงค์และการเตือนสติที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมีกับเปโตรและผู้คนทั้งหมดที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  คำถามสามคำถามนี้นี่เองที่ได้นำและจูงใจให้เปโตรเดินไปตามเส้นทางชีวิตของเขาจนถึงที่สุด และเป็นคำถามเหล่านี้ในเวลาที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จจากไปนี่เอง ที่ชักนำให้เปโตรเริ่มเดินไปบนเส้นทางที่ทำให้เขาเพียบพร้อม ชักนำให้เขาดูแลเอาใจใส่พระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะความรักที่เขามีให้องค์พระผู้เป็นเจ้า นบนอบองค์พระผู้เป็นเจ้า ถวายความสบายพระทัยให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า และมอบถวายชีวิตทั้งชีวิตและตัวตนทั้งหมดของเขาเพราะความรักนี้

ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ พระราชกิจของพระเจ้าเป็นไปเพื่อผู้คนสองประเภทเป็นหลัก  ผู้คนประเภทแรกคือผู้ที่เชื่อและติดตามพระองค์ ผู้ที่สามารถทำตามพระบัญญัติของพระองค์และแบกกางเขน และผู้ที่สามารถยึดมั่นตามวิธีของยุคพระคุณ  ผู้คนประเภทนี้จะได้รับพรจากพระเจ้าและสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้า  ผู้คนประเภทที่สองคือผู้คนเช่นเปโตร คนบางคนที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้น หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าได้คืนพระชนม์ อันดับแรกพระองค์ได้ทรงทำสิ่งที่เปี่ยมความหมายมากที่สุดสองสิ่งนี้  สิ่งแรกได้ทรงปฏิบัติกับโธมัส อีกสิ่งกับเปโตร  สองสิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนของอะไร?  สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนของเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนของความจริงใจที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์หรือไม่?  พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำกับโธมัสคือเพื่อเตือนผู้คนว่าอย่าเป็นผู้สงสัย แต่เพียงแค่เชื่อ  พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำกับเปโตรคือเพื่อเสริมกำลังความเชื่อของผู้คนเช่นเปโตร และทำให้พระประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อบุคคลประเภทนี้ชัดเจน เพื่อแสดงว่าพวกเขาควรไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใด

หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าได้คืนพระชนม์แล้ว พระองค์ได้ทรงปรากฏต่อผู้คนที่พระองค์มีพระดำริว่าจำเป็น ตรัสกับพวกเขา และกำหนดข้อพึงประสงค์จากพวกเขา โดยทรงปล่อยให้เจตนารมณ์และความคาดหวังที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนไว้เบื้องหลัง  นั่นจึงกล่าวได้ว่า ในฐานะพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ ความกังวลต่อมวลมนุษย์และข้อพึงประสงค์จากผู้คนของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้ยังคงเหมือนกับเมื่อครั้งที่พระองค์ได้ประทับอยู่ในเนื้อหนัง และเมื่อพระองค์ได้ประทับอยู่ในกายจิตวิญญาณของพระองค์หลังจากที่ได้ทรงถูกตรึงที่กางเขนและคืนพระชนม์  พระองค์ทรงกังวลเกี่ยวกับสาวกเหล่านี้ก่อนที่พระองค์ทรงอยู่บนกางเขน และในพระทัยของพระองค์นั้น พระองค์ทรงชัดเจนเกี่ยวกับสภาวะของทุกบุคคลและพระองค์เข้าพระทัยความบกพร่องของทุกคน และแน่นอนว่าความเข้าพระทัยที่พระองค์ทรงมีเกี่ยวกับทุกบุคคลหลังจากที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ คืนพระชนม์ และได้ทรงกลายเป็นกายจิตวิญญาณนั้นเหมือนกับที่เคยเป็นเมื่อพระองค์ประทับอยู่ในเนื้อหนัง  พระองค์ทรงรู้ว่าผู้คนไม่มั่นใจโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของพระองค์ในฐานะพระคริสต์ แต่ในช่วงระหว่างเวลาที่พระองค์ประทับอยู่ในเนื้อหนัง พระองค์ไม่ได้ทรงมีข้อเรียกร้องที่เคร่งครัดใดๆ กับผู้คน  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พระองค์ได้คืนพระชนม์แล้ว พระองค์ได้ทรงปรากฏต่อพวกเขา และพระองค์ได้ทรงทำให้พวกเขามั่นใจอย่างสมบูรณ์ว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาจากพระเจ้า และว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ และพระองค์ได้ทรงใช้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทรงปรากฏของพระองค์และการคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นนิมิตและแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับการไล่ตามเสาะหาตลอดชีวิตของมวลมนุษย์  การคืนพระชนม์จากความตายของพระองค์ไม่เพียงแต่เสริมกำลังทุกผู้คนที่ติดตามพระองค์เท่านั้น แต่ยังทำให้พระราชกิจแห่งยุคพระคุณของพระองค์มีผลอย่างครบถ้วนท่ามกลางมวลมนุษย์ และดังนั้นข่าวประเสริฐเกี่ยวกับความรอดขององค์พระเยซูเจ้าในยุคพระคุณจึงค่อยๆ แพร่ออกไปยังทุกมุมของมนุษยชาติ  เจ้าจะพูดหรือไม่ว่าการทรงปรากฏขององค์พระเยซูเจ้าหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์มีนัยสำคัญใดๆ?  หากเจ้าเป็นโธมัสหรือเปโตร ณ เวลานั้น และเจ้าได้พบกับสิ่งหนึ่งนี้ในชีวิตของเจ้าซึ่งเปี่ยมความหมายอย่างยิ่ง สิ่งนั้นจะมีผลกระทบแบบใดกับเจ้า?  เจ้าจะมองสิ่งนี้ว่าเป็นนิมิตที่ดีที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้าในการเชื่อพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าจะมองสิ่งนี้ว่าเป็นแรงขับเคลื่อนเจ้าในขณะที่เจ้าติดตามพระเจ้า เพียรพยายามที่จะทำให้พระองค์พึงพอพระทัย และพยายามที่จะรักพระเจ้าในทั้งชีวิตของเจ้าหรือไม่?  เจ้าจะสละให้ความมานะพยายามทั้งชีวิตเพื่อเผยแพร่นิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้หรือไม่?  เจ้าจะยอมรับว่าการเผยแพร่ความรอดขององค์พระเยซูเจ้าเป็นพระบัญชาจากพระเจ้าหรือไม่?  ถึงแม้ว่าพวกเจ้าไม่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้ ตัวอย่างสองตัวอย่างของโธมัสและเปโตรก็เพียงพอแล้วที่ผู้คนสมัยใหม่จะได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับพระเจ้าและเจตนารมณ์ของพระองค์  สามารถกล่าวได้ว่าหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ หลังจากที่พระองค์ได้ทรงรับประสบการณ์กับชีวิตท่ามกลางมวลมนุษย์ด้วยพระองค์เอง และได้รับประสบการณ์กับชีวิตมนุษย์ด้วยพระองค์เอง และหลังจากที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นความต่ำทรามของมวลมนุษย์ และสถานการณ์ของชีวิตมนุษย์ ณ เวลานั้น พระเจ้าในเนื้อหนังทรงรู้สึกอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่ามวลมนุษย์ช่างไร้ที่พึ่ง น่าโศกเศร้า และน่าเวทนาเพียงใด  พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ชีพในเนื้อหนังทรงได้รับความรู้สึกร่วมเกี่ยวกับสภาวะของมนุษย์มากขึ้นเพราะสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ที่พระองค์ เพราะสัญชาตญาณที่เป็นเนื้อหนังของพระองค์  สิ่งนี้ได้นำให้พระองค์ทรงรู้สึกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผู้ติดตามของพระองค์  สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสิ่งต่างๆ ที่พวกเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เราสามารถพรรณนาถึงความกังวลและความใส่พระทัยที่พระเจ้าทรงรู้สึกในเนื้อหนังต่อผู้ติดตามทุกๆ คนของพระองค์ได้โดยใช้คำแค่สองคำ: “ความกังวลอย่างรุนแรง”  ถึงแม้ว่าคำนี้จะมาจากภาษาของมนุษย์ และถึงแม้ว่าจะมีความเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง กระนั้นคำนี้ก็แสดงและอธิบายอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกที่พระเจ้าทรงมีให้กับบรรดาผู้ติดตามของพระองค์  สำหรับความกังวลอย่างรุนแรงที่พระเจ้าทรงมีให้กับมนุษย์นั้น ในระหว่างช่วงเวลาที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์ พวกเจ้าจะค่อยๆ รู้สึกถึงสิ่งนี้และได้ลิ้มรสสิ่งนี้  อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้สามารถสัมฤทธิ์ผลได้โดยการค่อยๆ ทำความเข้าใจกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าบนพื้นฐานของการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเองเท่านั้น  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้ทำการทรงปรากฏนี้ สิ่งนี้เป็นสาเหตุให้ความกังวลอย่างรุนแรงที่พระองค์ทรงมีให้กับผู้ติดตามของพระองค์ในสภาวะความเป็นมนุษย์ปรากฏเป็นรูปร่างขึ้น และได้รับการส่งต่อไปยังกายจิตวิญญาณของพระองค์ หรือเจ้าสามารถกล่าวได้ว่าไปยังเทวสภาพของพระองค์  การทรงปรากฏของพระองค์ทำให้ผู้คนสามารถได้รับประสบการณ์และรู้สึกถึงความกังวลและความใส่พระทัยของพระเจ้าอีกครั้ง และในขณะเดียวกันก็พิสูจน์อย่างทรงพลังว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงเริ่มต้นยุค ผู้ทรงคลี่เปิดยุค และผู้ที่สิ้นสุดยุคด้วยเช่นกัน  พระองค์ทรงเสริมกำลังความเชื่อของทุกผู้คน และทรงพิสูจน์กับโลกถึงข้อเท็จจริงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง โดยผ่านทางการทรงปรากฏของพระองค์  สิ่งนี้ให้การยืนยันชั่วนิรันดร์แก่บรรดาผู้ติดตามของพระองค์ และ พระองค์ยังได้ทรงเริ่มต้นระยะของพระราชกิจของพระองค์ในยุคใหม่โดยผ่านทางการทรงปรากฏของพระองค์ด้วยเช่นกัน

13. พระเยซูเสวยขนมปังและทรงอธิบายข้อพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์

ลูกา 24:30-32  เมื่อประทับที่โต๊ะอาหารกับพวกเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอพระพร แล้วทรงหักส่งให้เขา ตาของเขาทั้งสองก็เปิดออกและเขาก็จำพระองค์ได้ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา เขาจึงพูดกันว่า “ใจเรารุ่มร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสตามทาง และเมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังไม่ใช่หรือ?”

14. บรรดาสาวกนำปลาย่างมาให้พระเยซูเสวย

ลูกา 24:36-43  ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดเรื่องนี้อยู่ พระองค์เสด็จมาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา และตรัสกับเขาว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” พวกเขาต่างตื่นตกใจหวาดกลัวคิดว่าเห็นผี พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายวุ่นวายใจทำไม?  เพราะอะไรท่านถึงเกิดความคิดสงสัยขึ้นในใจ?  จงดูที่มือและเท้าของเราว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามี” เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระหัตถ์และพระบาทให้เขาเห็น เมื่อพวกเขายังไม่ค่อยเชื่อเพราะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างเหลือเชื่อ และกำลังประหลาดใจอยู่นั้น พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ที่นี่มีอะไรกินบ้างไหม?”  พวกเขาก็เอาปลาย่างชิ้นหนึ่งมาให้พระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าพวกเขา

อันดับต่อไป พวกเราจะมาดูบทตอนของข้อพระคัมภีร์ข้างต้น  บทตอนแรกคือการเล่าถึงการที่พระเยซูเสวยขนมปังและทรงอธิบายพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ และบทตอนที่สองคือการเล่าถึงการที่องค์พระเยซูเจ้าเสวยปลาย่าง  สองบทตอนนี้ช่วยให้เจ้ารู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างไร?  พวกเจ้าสามารถจินตนาการประเภทของรูปภาพที่พวกเจ้าได้รับจากคำพรรณนาถึงการที่องค์พระเยซูเจ้าเสวยขนมปังและจากนั้นก็ปลาย่างได้หรือไม่?  เจ้าสามารถจินตนาการได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าอาจรู้สึกอย่างไรหากองค์พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ต่อหน้าพวกเจ้าและเสวยขนมปัง?  หรือหากพระองค์เสวยพระกระยาหารร่วมโต๊ะเดียวกับพวกเจ้า และเสวยปลาและขนมปังร่วมกับผู้คน เจ้าจะมีความรู้สึกแบบใดในชั่วขณะนั้น?  หากเจ้าจะรู้สึกใกล้ชิดกับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างมาก ว่าพระองค์ทรงสนิทสนมกับเจ้าเป็นอย่างมาก เช่นนั้นแล้วความรู้สึกนี้ก็ถูกต้อง  นี่แหละคือผลลัพธ์ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงต้องประสงค์ให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอนจากการเสวยขนมปังและปลาต่อหน้าผู้คนที่รวมตัวกันหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์  หากองค์พระเยซูเจ้าเพียงตรัสกับผู้คนหลังจากการคืนพระชนม์ หากพวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงเนื้อหนังและพระอัฐิของพระองค์ แต่รู้สึกว่าพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณที่เอื้อมไม่ถึงแทน พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร?  พวกเขาจะไม่ผิดหวังหรอกหรือ?  ผู้คนที่รู้สึกผิดหวังจะไม่รู้สึกว่าถูกทิ้งขว้างหรอกหรือ?  พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงระยะห่างระหว่างพวกเขาเองและองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือ?  ระยะห่างนี้จะทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นลบใดกับสัมพันธภาพของผู้คนกับพระเจ้า?  แน่นอนว่าผู้คนจะรู้สึกกลัว ว่าพวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้พระองค์ และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจะมีท่าทีที่รักษาระยะห่างด้วยความเคารพกับพระองค์  จากนั้นเป็นต้นไป พวกเขาจะตัดขาดสัมพันธภาพที่สนิทสนมกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเขา และกลับไปยังสัมพันธภาพระหว่างมวลมนุษย์กับพระเจ้าที่สถิตในสวรรค์เหมือนกับที่เคยเป็นก่อนยุคพระคุณ  กายจิตวิญญาณที่ผู้คนไม่สามารถสัมผัสหรือรู้สึกได้จะทำให้เกิดการกำจัดความสนิทสนมกับพระเจ้าของพวกเขา และจะยังเป็นสาเหตุให้สัมพันธภาพที่สนิทสนมซึ่งได้รับการสร้างขึ้นในช่วงระหว่างเวลาที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงอยู่ในเนื้อหนังโดยไม่มีระยะห่างระหว่างพระองค์กับพวกมนุษย์นั้น ไม่มีอยู่อีกต่อไป  สิ่งเดียวที่กายจิตวิญญาณก่อขึ้นในผู้คนคือความรู้สึกกลัว การหลีกเลี่ยง และการเพ่งมองอย่างไร้คำพูด  อย่าว่าแต่กับการติดตาม เชื่อใจ หรือเคารพยำเกรงพระองค์เลย พวกเขาจะไม่กล้าเข้าใกล้หรือมีส่วนร่วมในการสนทนากับพระองค์ด้วยซ้ำ  พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะมองเห็นความรู้สึกประเภทนี้ที่พวกมนุษย์มีให้กับพระองค์  พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะมองเห็นผู้คนหลีกเลี่ยงพระองค์ หรือนำตัวพวกเขาเองออกจากพระองค์ พระองค์ทรงต้องประสงค์เพียงให้ผู้คนเข้าใจพระองค์ มาอยู่ใกล้ชิดพระองค์ และเป็นครอบครัวของพระองค์  หากครอบครัวของเจ้าเอง บุตรของเจ้าเอง มองเห็นเจ้าแต่ไม่รับรู้ถึงเจ้า และไม่กล้าที่จะมาเข้าใกล้เจ้าแต่หลีกเลี่ยงเจ้าอยู่เสมอ หากเจ้าไม่สามารถได้รับความเข้าใจจากพวกเขาเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เจ้าเคยได้ทำให้พวกเขา นั่นจะทำให้เจ้ารู้สึกอย่างไร?  นั่นจะไม่เจ็บปวดหรอกหรือ?  เจ้าจะไม่ใจสลายหรอกหรือ?  นั่นแหละคือสิ่งที่พระเจ้าทรงรู้สึกเมื่อผู้คนหลีกเลี่ยงพระองค์  ดังนั้น หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ องค์พระเยซูเจ้ายังได้ทรงปรากฏต่อผู้คนในรูปร่างที่มีเลือดเนื้อของพระองค์ และยังคงได้เสวยและทรงดื่มร่วมกับพวกเขา  พระเจ้าทรงมองผู้คนว่าเป็นครอบครัว และพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะให้มวลมนุษย์มองพระองค์เป็นองค์หนึ่งเดียวผู้เป็นยอดรักสำหรับพวกเขาเช่นกัน พระเจ้าสามารถได้รับผู้คนอย่างแท้จริงได้ในหนทางนี้เท่านั้น และผู้คนสามารถรักและนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ในหนทางนี้เท่านั้น  ตอนนี้ พวกเจ้าสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของเราในการคัดสองบทตอนนี้จากพระคัมภีร์ที่องค์พระเยซูเจ้าเสวยขนมปังและอธิบายข้อพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ และที่สาวกถวายปลาย่างแก่พระองค์เพื่อเสวยได้หรือไม่?

สามารถกล่าวได้ว่ามีการใช้พระดำริอย่างจริงจังจริงใจในลำดับสิ่งต่างๆ ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสและได้ทรงทำหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์  สิ่งเหล่านี้เต็มไปด้วยความรักใคร่อันลึกซึ้งที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษยชาติ และเต็มไปด้วยความทะนุถนอมและความใส่พระทัยอย่างพิถีพิถันที่พระองค์ได้ทรงมีให้กับสัมพันธภาพอันสนิทสนมที่พระองค์ทรงได้สร้างขึ้นกับมวลมนุษย์ในช่วงระหว่างเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ในเนื้อหนังด้วยเช่นกัน  ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยความอาวรณ์และการถวิลหาที่พระองค์ทรงรู้สึกกับชีวิตแห่งการเสวยและการดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับบรรดาสาวกของพระองค์ในช่วงระหว่างเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ในเนื้อหนัง  ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ผู้คนรู้สึกถึงระยะห่างระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้มวลมนุษย์ตีตัวออกห่างจากพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้มวลมนุษย์รู้สึกว่าหลังจากการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้สนิทสนมกับผู้คนยิ่งนักอีกต่อไป ว่าพระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ร่วมกับมวลมนุษย์อีกต่อไปเพราะพระองค์ได้เสด็จกลับไปสู่โลกวิญญาณ ได้เสด็จกลับไปหาพระบิดาผู้ซึ่งผู้คนไม่มีวันสามารถมองเห็นหรือเอื้อมถึงได้  พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนรู้สึกว่าเกิดความแตกต่างใดๆ ในสถานะระหว่างพระองค์และมวลมนุษย์  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นผู้คนที่ต้องการติดตามพระองค์แต่รักษาระยะห่างที่เต็มไปด้วยความเคารพกับพระองค์ พระทัยของพระองค์เจ็บปวด เพราะนั่นหมายความว่าหัวใจของพวกเขาอยู่ห่างไกลจากพระองค์มาก และพระองค์จะได้รับหัวใจของพวกเขาได้ยากยิ่ง  ดังนั้น หากพระองค์ทรงปรากฏต่อผู้คนในกายจิตวิญญาณที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ นี่จะทำให้มนุษย์มีระยะห่างจากพระเจ้าอีกครั้ง และจะนำให้มวลมนุษย์มองพระคริสต์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์อย่างเข้าใจผิดว่าทรงกลายเป็นสูงส่ง เป็นแบบที่แตกต่างไปจากมวลมนุษย์ และเป็นใครบางคนที่ไม่สามารถร่วมโต๊ะและเสวยกับมนุษย์ได้อีกต่อไปเพราะพวกมนุษย์เต็มไปด้วยบาป โสโครก และไม่มีวันสามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้  เพื่อที่จะขับไล่ความเข้าใจผิดเหล่านี้ของมวลมนุษย์นั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำหลายสิ่งที่พระองค์เคยทำในเนื้อหนัง ตามที่มีบันทึกในพระคัมภีร์ว่า: “พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอพระพร แล้วทรงหักส่งให้เขา” พระองค์ยังได้ทรงอธิบายข้อพระคัมภีร์กับพวกเขาเหมือนกับที่พระองค์ทรงเคยทำในอดีต  สิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำนั้นทำให้ทุกบุคคลที่มองเห็นพระองค์รู้สึกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเปลี่ยนแปลงไป ว่าพระองค์ยังทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าพระองค์เดิม  ถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ทรงถูกตรึงที่กางเขนและได้ทรงรับประสบการณ์กับความตายมาแล้ว พระองค์ก็ได้คืนพระชนม์ และไม่ได้เสด็จจากมวลมนุษย์ไป  พระองค์ได้เสด็จกลับมาอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์ และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับพระองค์ที่เปลี่ยนแปลงไป  บุตรมนุษย์ที่ทรงยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนยังคงเป็นองค์พระเยซูเจ้าพระองค์เดิม  อากัปกิริยาของพระองค์และวิธีของพระองค์ในการสนทนากับผู้คนก็ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งนัก  พระองค์ยังคงทรงเต็มไปด้วยความรักเมตตา พระคุณ และการทนยอมรับ—พระองค์ยังคงทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าพระองค์เดิมที่ทรงรักผู้อื่นเหมือนที่พระองค์รักพระองค์เอง ที่สามารถประทานอภัยให้กับมวลมนุษย์ได้เจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง  พระองค์ได้เสวยร่วมกับผู้คนเหมือนกับที่พระองค์ทรงเคยเป็นมาเสมอ ทรงหารือเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์กับพวกเขา และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงมาจากเลือดเนื้อและสามารถสัมผัสและมองเห็นได้เหมือนก่อนหน้า  บุตรมนุษย์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถรู้สึกถึงความสนิทสนมได้ รู้สึกสบายใจ และรู้สึกถึงความชื่นบานของการได้รับบางสิ่งบางอย่างที่ได้สูญเสียไปกลับคืนมา  ด้วยความสบายใจอย่างยิ่งยวด พวกเขาเริ่มต้นวางใจและมองดูอย่างกล้าหาญและมั่นใจในบุตรมนุษย์ผู้นี้ที่สามารถให้อภัยมวลมนุษย์สำหรับบาปของพวกเขา  พวกเขายังเริ่มต้นอธิษฐานด้วยพระนามขององค์พระเยซูเจ้าโดยไม่มีความลังเลอีกด้วย อธิษฐานเพื่อให้ได้รับพระคุณของพระองค์ พรจากพระองค์ และเพื่อให้ได้รับสันติสุขและความชื่นบานจากพระองค์ เพื่อให้ได้รับความใส่พระทัยและการคุ้มครองปกป้องจากพระองค์ และพวกเขาได้เริ่มต้นเยียวยารักษาผู้เจ็บป่วยและขับไล่ปีศาจด้วยพระนามขององค์พระเยซูเจ้า

ในช่วงระหว่างเวลาที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังนั้น บรรดาผู้ติดตามของพระองค์ส่วนใหญ่ไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันอัตลักษณ์ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ตรัสได้อย่างเต็มที่  เมื่อพระองค์กำลังทรงเข้าไปใกล้กางเขน ท่าทีของบรรดาผู้ติดตามของพระองค์คือท่าทีของการสังเกต  เช่นนั้นแล้ว นับตั้งแต่เวลาที่พระองค์ได้ทรงถูกตรึงที่กางเขนจนถึงเวลาที่พระองค์ทรงถูกฝังในอุโมงค์ฝังศพ ท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระองค์คือความผิดหวัง  ในช่วงระหว่างเวลานี้ ในหัวใจของพวกเขาผู้คนได้เริ่มเปลี่ยนจากการสงสัยในสิ่งต่างๆ ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ในช่วงระหว่างเวลาของพระองค์ในเนื้อหนัง ไปเป็นการปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด  จากนั้น เมื่อพระองค์ได้เสด็จพระดำเนินออกจากอุโมงค์ฝังศพและได้ทรงปรากฏต่อผู้คนทีละคน ผู้คนส่วนใหญ่ที่มองเห็นพระองค์ด้วยตาของพวกเขาเองหรือได้ยินข่าวการคืนพระชนม์ของพระองค์จึงได้ค่อยๆ เปลี่ยนท่าทีของพวกเขาจากการปฏิเสธเป็นความกังขา  พวกเขายอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสต์ในเนื้อหนังก็เฉพาะเมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงให้โธมัสวางมือของเขาลงบนพระปรัศว์ของพระองค์ และเมื่อพระองค์ทรงหักขนมปังและเสวยมันต่อหน้าฝูงชนหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ และจากนั้นจึงเสวยปลาย่างต่อหน้าพวกเขาเท่านั้น  เจ้าสามารถพูดได้ว่ามันเป็นเสมือนว่ากายจิตวิญญาณนี้ของเลือดเนื้อที่ยืนต่อหน้าผู้คนเหล่านั้นกำลังปลุกพวกเขาทุกๆ คนจากความฝัน: บุตรมนุษย์ที่ทรงยืนต่อหน้าพวกเขาคือองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งได้ทรงดำรงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ  พระองค์ทรงมีรูปร่างและเนื้อหนังและพระอัฐิ และพระองค์ได้ทรงพระชนม์ชีพและเสวยพระกระยาหารเคียงข้างมวลมนุษย์มาเป็นเวลานานแล้ว… ในเวลานี้ ผู้คนรู้สึกว่าการดำรงอยู่ของพระองค์เป็นจริงอย่างยิ่ง และช่างยอดเยี่ยมยิ่ง  ในขณะเดียวกัน พวกเขายังชื่นบานและมีความสุข และเต็มไปด้วยอารมณ์ด้วยเช่นกัน  การทรงปรากฏอีกครั้งของพระองค์ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นความถ่อมพระทัยของพระองค์ได้อย่างแท้จริง รู้สึกถึงความใกล้ชิดและความผูกพันกับมวลมนุษย์ของพระองค์ และรู้สึกว่าพระองค์มีพระดำริเกี่ยวกับพวกเขามากเพียงใด  การอยู่ร่วมกันเป็นเวลาสั้นๆ อีกครั้งนี้ทำให้ผู้คนที่มองเห็นองค์พระเยซูเจ้ารู้สึกเสมือนว่าชั่วชีวิตได้ผ่านไป  หัวใจที่สูญเสีย สับสน หวั่นเกรง วิตกกังวล โหยหา และด้านชาของพวกเขาได้พบความสบายใจ  พวกเขาไม่เคลือบแคลงหรือผิดหวังอีกต่อไป เพราะพวกเขารู้สึกว่าตอนนี้มีความหวังและมีบางสิ่งบางอย่างให้พึ่งพา  จากนั้น บุตรมนุษย์ที่ทรงยืนต่อหน้าพวกเขาจะระวังหลังให้พวกเขาอยู่เสมอ พระองค์จะทรงเป็นปราการที่แข็งแรงของพวกเขา เป็นที่หลบภัยของพวกเขานิจนิรันดร์

ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะได้คืนพระชนม์ แต่พระทัยของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่ได้จากมวลมนุษย์ไป  โดยการทรงปรากฏต่อผู้คน พระองค์ได้ตรัสบอกพวกเขาว่าไม่ว่าพระองค์จะทรงดำรงอยู่ในรูปร่างใดก็ตาม พระองค์จะทรงร่วมทางไปกับผู้คน เสด็จพระดำเนินกับพวกเขา และทรงอยู่กับพวกเขาในทุกที่และทุกเวลา  พระองค์ได้ตรัสบอกพวกเขาว่าพระองค์จะทรงจัดเตรียมมวลมนุษย์และเลี้ยงดูพวกเขา อนุญาตให้พวกเขามองเห็นและสัมผัสพระองค์ และทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่มีวันรู้สึกไร้ที่พึ่งอีกในทุกที่และทุกเวลา  องค์พระเยซูเจ้ายังทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามลำพังในโลกนี้  มวลมนุษย์มีความใส่พระทัยของพระเจ้า พระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขา  พวกเขาสามารถพึ่งพิงพระเจ้าได้เสมอ และพระองค์ทรงเป็นครอบครัวของผู้ติดตามของพระองค์ทุกๆ คน  เมื่อมีพระเจ้าให้พึ่งพิงแล้ว มวลมนุษย์จะไม่เปล่าเปลี่ยวหรือไร้ที่พึ่งอีกต่อไป และผู้ที่ยอมรับพระองค์ว่าเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของพวกเขาจะไม่ถูกผูกมัดในบาปอีกต่อไป  ในสายตาของมนุษย์ พระราชกิจส่วนเหล่านี้ของพระองค์ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงดำเนินการหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์นั้นเป็นสิ่งเล็กน้อยอย่างมาก แต่ตามที่เราเห็นนั้น ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำช่างเปี่ยมความหมาย ช่างล้ำค่า ช่างมีความสำคัญและเต็มไปด้วยนัยสำคัญอย่างหนักหน่วง

ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังนั้นจะเต็มไปด้วยความยากลำบากและความทุกข์ พระองค์ก็ได้ทรงพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนังเพื่อไถ่มวลมนุษย์ ณ เวลานั้นได้สำเร็จลุล่วงอย่างครบบริบูรณ์และเพียบพร้อม โดยผ่านทางการทรงปรากฏในกายจิตวิญญาณของเลือดเนื้อของพระองค์  พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์โดยการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และพระองค์ได้ทรงสรุปพันธกิจของพระองค์โดยการทรงปรากฏต่อมวลมนุษย์ในรูปร่างที่เป็นเนื้อหนังของพระองค์  พระองค์ได้ทรงป่าวประกาศยุคพระคุณ ทรงเริ่มต้นยุคใหม่โดยผ่านทางอัตลักษณ์ของพระองค์ในฐานะพระคริสต์  พระองค์ได้ทรงดำเนินพระราชกิจในยุคพระคุณ และพระองค์ได้ทรงเสริมกำลังและนำผู้ติดตามทั้งหมดของพระองค์ในยุคพระคุณโดยผ่านทางอัตลักษณ์ของพระองค์ในฐานะพระคริสต์  พระราชกิจของพระเจ้านั้นสามารถกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงปฏิบัติสิ่งที่พระองค์ทรงเริ่มต้นให้เสร็จสิ้นอย่างแท้จริง  มีขั้นตอนและแผนการ และพระราชกิจนั้นเต็มไปด้วยพระปัญญาของพระองค์ มหิทธานุภาพของพระองค์ กิจการที่น่าพิศวงของพระองค์ และความรักและความปรานีของพระองค์  แน่นอนว่าเรื่องสำคัญที่โยงใยพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าเข้าด้วยกันคือความใส่พระทัยที่พระองค์ทรงมีให้กับมวลมนุษย์ ซึ่งแผ่ซ่านไปด้วยความรู้สึกกังวลของพระองค์ ซึ่งพระองค์ไม่เคยสามารถวางลงได้  ในวรรคเหล่านี้ของพระคัมภีร์ ในทุกๆ สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ ความหวังที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้าและความกังวลที่ทรงมีให้กับมวลมนุษย์ได้รับการเผยออกมา เช่นเดียวกับความใส่พระทัยอย่างพิถีพิถันและการทะนุถนอมมวลมนุษย์ของพระองค์ด้วยเช่นกัน  ไม่มีสิ่งใดในนี้เคยเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลาจนถึงเวลาปัจจุบัน—พวกเจ้าสามารถมองเห็นได้หรือไม่?  เมื่อพวกเจ้ามองเห็นสิ่งนี้ หัวใจของพวกเจ้าไม่ได้เข้าใกล้พระเจ้าโดยไม่รู้ตัวหรอกหรือ?  หากพวกเจ้าใช้ชีวิตในยุคนั้น และองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏต่อพวกเจ้าหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ในรูปร่างที่จับต้องได้เพื่อให้พวกเจ้ามองเห็น และหากพระองค์ประทับต่อหน้าพวกเจ้า เสวยขนมปังและปลา และอธิบายข้อพระคัมภีร์ให้พวกเจ้าฟัง และตรัสกับพวกเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าจะรู้สึกมีความสุขหรือไม่?  หรือว่าเจ้าจะรู้สึกผิด?  ความเข้าใจผิดและการหลีกเลี่ยงพระเจ้าก่อนหน้านี้ ปัญหาความขัดแย้งและความสงสัยพระเจ้า—สิ่งเหล่านี้จะไม่แค่หายไปหรอกหรือ?  สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้าและมนุษย์จะไม่กลายเป็นปกติและถูกต้องเหมาะสมมากขึ้นหรอกหรือ?

โดยการตีความบทตอนที่จำกัดเหล่านี้ในพระคัมภีร์ พวกเจ้าพบข้อบกพร่องใดๆ ในพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าพบการมีสิ่งเจือปนใดๆ ในความรักของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นการหลอกลวงหรือความชั่วใดๆ ในฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดหรือพระปัญญาของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน!  ตอนนี้พวกเจ้าสามารถพูดด้วยความมั่นใจได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์?  พวกเจ้าสามารถพูดด้วยความมั่นใจได้หรือไม่ว่าอารมณ์แต่ละอย่างของพระเจ้าคือการเผยถึงแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์?  เราหวังว่าหลังจากที่พวกเจ้าได้อ่านพระวจนะเหล่านี้แล้ว ความเข้าใจที่พวกเจ้าได้รับจากพระวจนะเหล่านี้จะช่วยเจ้าและนำผลประโยชน์มาให้เจ้าในการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและความกลัวพระเจ้าของเจ้า และว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดผลในตัวพวกเจ้า ผลที่เติบโตขึ้นในแต่ละวัน เพื่อที่ว่าในขณะที่กำลังทำการไล่ตามเสาะหานี้ พวกเจ้าจะใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ เข้าใกล้มาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  เจ้าจะไม่รังเกียจการไล่ตามเสาะหาความจริงอีกต่อไป และจะไม่รู้สึกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงและการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเป็นเรื่องยุ่งยากหรือเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เมื่อได้รับแรงจูงใจจากการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้าและแก่นแท้ที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว พวกเจ้าจะถวิลหาความสว่าง ถวิลหาความยุติธรรม ตั้งใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ไล่ตามเสาะหาการสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเจ้าจะกลายเป็นบุคคลที่พระเจ้าทรงรับไว้ กลายเป็นบุคคลที่แท้จริง

วันนี้พวกเราได้พูดคุยถึงบางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำในยุคพระคุณเมื่อพระองค์ได้ประสูติเป็นมนุษย์เป็นครั้งแรก  จากสิ่งเหล่านี้ พวกเราได้มองเห็นพระอุปนิสัยที่พระองค์ได้ทรงแสดงออกและทรงเผยออกมาในเนื้อหนัง อีกทั้งทุกแง่มุมเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  แง่มุมเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นทั้งหมดเหล่านี้ดูเหมือนเป็นมนุษย์อย่างมาก แต่ความเป็นจริงก็คือว่าแก่นแท้ของทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเผยและได้ทรงแสดงออกนั้นไม่สามารถแยกจากพระอุปนิสัยของพระองค์เองได้  ทุกๆ วิธีการและทุกๆ แง่มุมของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ที่แสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ในสภาวะความเป็นมนุษย์มีความเชื่อมโยงกับแก่นแท้ของพระองค์เองอย่างแยกจากกันไม่ได้  ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่พระเจ้าได้เสด็จมาหามวลมนุษย์โดยใช้วิธีการประสูติเป็นมนุษย์  สิ่งที่สำคัญเช่นกันก็คือพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำในเนื้อหนัง แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นสำหรับทุกบุคคลที่ใช้ชีวิตในเนื้อหนัง สำหรับทุกบุคคลที่ใช้ชีวิตในความเสื่อมทราม ก็คือพระอุปนิสัยที่พระองค์ได้ทรงเผยและเจตนารมณ์ที่พระองค์ได้ทรงแสดงออก  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้าสามารถเข้าใจได้ใช่หรือไม่?  หลังจากที่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นแล้ว พวกเจ้าได้มีข้อสรุปใดๆ ว่าเจ้าควรปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไรหรือไม่?  ประการสุดท้าย เพื่อตอบคำถามนี้ เราต้องการให้ข้อเสนอแนะกับเจ้าสามข้อคือ  อันดับแรก จงอย่าทดสอบพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้ามากเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระองค์มากเพียงใดก็ตาม จงอย่าได้ทดสอบพระเจ้าโดยเด็ดขาด  อันดับที่สอง จงอย่าแก่งแย่งสถานะกับพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานสภาวะประเภทใดให้กับเจ้าก็ตาม หรือพระองค์จะไว้วางพระทัยให้เจ้าทำงานประเภทใดก็ตาม ไม่ว่าพระองค์จะทรงเลี้ยงดูเจ้าเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ประเภทใดก็ตาม และไม่ว่าเจ้าจะได้สละตัวเจ้าเองและพลีอุทิศเพื่อพระเจ้ามากเพียงใดก็ตาม จงอย่าได้แข่งขันสถานะกับพระเจ้าโดยเด็ดขาด  อันดับที่สาม จงอย่าแข่งขันกับพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม หรือไม่ว่าเจ้าจะสามารถนบนอบต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงทำกับเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการเพื่อเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงนำมาให้กับเจ้าหรือไม่ก็ตาม จงอย่าได้แข่งขันกับพระเจ้าโดยเด็ดขาด  หากเจ้าสามารถปฏิบัติตามข้อเสนอแนะสามข้อนี้ได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจึงจะปลอดภัยทีเดียว และเจ้าจะไม่มีแนวโน้มที่จะทำให้พระเจ้ากริ้ว  พวกเราจะจบการสามัคคีธรรมของวันนี้ไว้ ณ ที่นี้

23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013

เชิงอรรถ:

ก. “คาถารัดเกล้า” คือ คาถาที่พระถังซัมจั๋งใช้ในนิยายจีนเรื่องไซอิ๋ว  เขาใช้คาถานี้เพื่อควบคุมซุนหงอคง ด้วยการรัดห่วงโลหะรอบศีรษะของฝ่ายหลัง ซึ่งทำให้เขาปวดศีรษะอย่างรุนแรง และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาตกอยู่ภายใต้การควบคุม  นั่นได้กลายเป็นคำอุปมาเพื่อพรรณนาถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผูกมัดบุคคลหนึ่งไว้

ก่อนหน้า: พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

ถัดไป: พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger