62. ตอนนี้ฉันปฏิบัติต่ออุปสรรคและความล้มเหลวอย่างถูกต้องได้แล้ว
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2024 ฉันฝึกฝนการเขียนคำเทศนาในคริสตจักร ตอนแรก ฉันก็พบความลำบากยากเย็นอยู่บ้าง รู้สึกว่าเพราะความเข้าใจในความจริงของฉันตื้นเขิน จึงเขียนได้ไม่ดี พี่น้องหญิงที่ฉันร่วมงานด้วยมาสามัคคีธรรมกับฉันและให้กำลังใจฉัน ทั้งยังแบ่งปันแนวทางดีๆ ให้กับฉันด้วย ต่อมา เมื่อเขียนคำเทศนา ฉันก็แสวงหาความจริงที่เกี่ยวข้อง พอเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้ ฉันก็ไตร่ตรองว่าจะเขียนคำเทศนาอย่างไร และฉันก็เขียนเสร็จอย่างรวดเร็ว ฉันมีความสุขและขอบคุณการชี้แนะของพระเจ้ามาก สองวันต่อมา ผู้ดูแลเขียนถึงฉัน บอกว่าคำเทศนาของฉันได้รับเลือก และบอกว่าฉันมีขีดความสามารถที่ดีและมีแนวคิดอยู่บ้าง ฉันทั้งประหลาดใจและดีใจ ฉันเพิ่งเริ่มฝึกฝน และคำเทศนาแรกที่ฉันเขียนก็ได้รับเลือก พี่น้องหญิงบางคนที่อยู่รอบตัวฉันเขียนคำเทศนามาหลายบทแล้ว แต่ก็ไม่มีบทไหนของพวกเธอได้รับเลือกเลย ฉันจึงรู้สึกว่าตัวเองคงพิเศษจริงๆ ไม่กี่วันต่อมา ฉันบังเอิญได้อ่านจดหมายที่ผู้ดูแลเขียนถึงเหล่าผู้นำ จดหมายกล่าวว่า “เฉียวซินค่อนข้างกระตือรือร้นในการเขียนคำเทศนา และเป็นคนที่มีแนวคิดและมีขีดความสามารถ และพวกเรากำลังเตรียมที่จะบ่มเพาะเธอ” แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน และรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ฉันนึกถึงเมื่อปีที่แล้ว ที่ฉันเขียนบทความหลายชิ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ และในไม่ช้าก็เป็นที่สังเกตของผู้ดูแล ผู้ดูแลบอกว่าฉันมีความสามารถในการเขียนและมอบหมายให้ฉันทำหน้าที่ด้านข้อเขียน ตอนนี้ หลังจากเพิ่งเริ่มฝึกเขียนคำเทศนา ฉันก็เป็นที่สังเกตอีกครั้งของผู้ดูแลอีกคน ฉันคิดในใจว่า “ไม่ว่าจะไปที่ไหน ฉันก็ได้รับความสนใจได้ ดูเหมือนว่าฉันจะมีขีดความสามารถและความสามารถด้านการเขียนจริงๆ!” หลังจากนี้ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่นๆ ฉันคิดว่า “ฉันต้องหมั่นฝึกฝน และทำให้คำเทศนาแต่ละบทดีกว่าบทที่แล้ว เพื่อที่ฉันจะสามารถเขียนคำเทศนาที่ได้มาตรฐานในเวลาอันสั้นที่สุด แบบนั้น ทุกคนจะต้องยิ่งยกย่องและชื่นชมฉันมากขึ้นแน่ๆ” ต่อมา ฉันกระตือรือร้นในการเขียนคำเทศนามาก และเขียนคำเทศนาสองบทติดต่อกัน ซึ่งฉันส่งให้ผู้ดูแล ผู้ดูแลก็มักจะเขียนจดหมายมาให้กำลังใจฉันบ่อยๆ และระหว่างบรรทัด ฉันสัมผัสได้ว่าผู้ดูแลใส่ใจและให้ความสำคัญกับฉัน ภายในฉันรู้สึกมีความสุขมาก และฉันใช้ชีวิตอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
ไม่นานหลังจากนั้น ฉันได้รับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับคำเทศนาที่ฉันเขียน ฉันเปิดไฟล์และเห็นว่ามีปัญหามากมายที่เหล่าผู้นำทำเครื่องหมายไว้ บางส่วนของการสามัคคีธรรมไม่ชัดเจน และส่วนอื่นๆ ก็ออกนอกประเด็น… ฉันรู้สึกหมดกำลังใจและท้อแท้อย่างมาก ฉันคิดว่า “ตามหลักเหตุผลแล้ว ในเมื่อฉันมีความสามารถด้านการเขียน คำเทศนาของฉันก็ควรจะดีขึ้นทุกครั้ง และฉันควรจะก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด แล้วทำไมฉันกลับถดถอยล่ะ? เหล่าผู้นำจะคิดกับฉันยังไง? พวกเขาจะคิดว่ามองฉันผิดไป ว่าจริงๆ แล้วฉันไม่มีขีดความสามารถแบบนี้หรือเปล่า?” ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งคิดลบ และไม่มีแก่ใจจะไตร่ตรองปัญหาที่เหล่าผู้นำหยิบยกขึ้นมาอีกต่อไป ฉันตระหนักว่าสภาวะของฉันไม่ถูกต้อง จึงมองหาพระวจนะของพระเจ้ามาอ่าน และฉันก็ได้เห็นบทตอนนี้ที่ว่า “ขออย่าให้บุคคลใดคิดว่าตัวพวกเขาเองนั้นสมบูรณ์แบบ โดดเด่น ประเสริฐ หรือแตกต่างจากผู้อื่นอย่างชัดแจ้ง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอุปนิสัยที่โอหังและความไม่รู้เท่าทันของมนุษย์ การคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ—นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง การไม่เคยสามารถยอมรับข้อบกพร่องของพวกเขา ไม่เคยสามารถเผชิญหน้าความผิดพลาดและความล้มเหลวของพวกเขา—นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง การไม่ยอมให้ข้อดีของผู้อื่นล้ำหน้าหรือเหนือกว่าของพวกเขาเอง—นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง การไม่ยอมให้ผู้อื่นเหนือกว่าหรือดีกว่าพวกเขา—นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง การไม่ยอมให้ผู้อื่นมีความคิด ข้อเสนอแนะ และทัศนะที่ดีกว่าพวกเขา และเมื่อพวกเขาค้นพบว่าผู้อื่นเก่งกว่าพวกเขา ก็กลายเป็นคิดลบ ไม่ปรารถนาที่จะพูดจา รู้สึกคับแค้นใจและหม่นหมอง และกลายเป็นอารมณ์ไม่ดี—ทั้งหมดนี้เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง อุปนิสัยอันโอหังสามารถทำให้เจ้าปกป้องความมีหน้ามีตาของเจ้า ไม่สามารถยอมรับการแก้ไขจากผู้อื่น ไม่สามารถเผชิญหน้าข้อบกพร่องของเจ้า และไม่สามารถยอมรับความล้มเหลวและความผิดพลาดของเจ้าเอง ที่มากกว่านั้นก็คือเมื่อใครบางคนดีกว่าเจ้า นั่นก็สามารถทำให้ความเกลียดและความอิจฉาริษยาผุดขึ้นมาในหัวใจของเจ้า และเจ้าสามารถรู้สึกว่าถูกจำกัดควบคุมจนถึงขั้นที่เจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำหน้าที่ของเจ้า และกลายเป็นสุกเอาเผากินในการปฏิบัติหน้าที่ อุปนิสัยที่โอหังสามารถทำให้พฤติกรรมและวิธีปฏิบัติเหล่านี้เกิดขึ้นในตัวเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักธรรมที่คนเราควรใช้นำทางการประพฤติตน) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่าการที่ฉันไล่ตามไขว่คว้าความสมบูรณ์แบบและการโดดเด่นเหนือผู้อื่น รวมถึงการที่ฉันปฏิเสธที่จะยอมรับการชี้แนะของเหล่าผู้นำเรื่องปัญหาของฉัน เป็นเพราะฉันถูกควบคุมโดยอุปนิสัยที่โอหัง เมื่อได้ยินว่าคำเทศนาที่ตัวเองเขียนได้รับเลือก และผู้ดูแลบอกว่าฉันมีขีดความสามารถ ฉันก็เริ่มทะนงตน และคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นคนที่มีขีดความสามารถและมีความสามารถด้านการเขียน ฉันเริ่มกำหนดให้ตัวเองจัดการให้คำเทศนาของฉันดีกว่าของคนอื่น และรู้สึกว่าไม่น่ามีปัญหามากนัก เพราะเมื่อนั้นเท่านั้นถึงจะสมชื่อผู้มีความสามารถด้านการเขียน ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ฉันเผชิญอุปสรรค ฉันจะคิดลบและไม่สามารถมองตัวเองอย่างถูกควร ในความเป็นจริง การมีปัญหาในคำเทศนาที่เขียนขึ้นเป็นเรื่องปกติมาก และเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้และทำได้ทุกอย่างเมื่อเริ่มทำหน้าที่นี้ และไม่ทำผิดพลาดเลย การเรียกร้องเช่นนั้นกับตัวเองไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าผู้นำชี้ให้เห็นปัญหาของฉันเพื่อช่วยให้ฉันค้นพบข้อบกพร่องของตัวเอง เรียนรู้ที่จะแก้ไขและเติบโต แต่เมื่อเผชิญอุปสรรค ฉันกลับคิดลบและไม่สามารถเผชิญหน้ากับข้อบกพร่องของตัวเองได้อย่างถูกต้อง ฉันยกตัวเองสูงเกินไป และฉันก็โอหังอย่างแท้จริง! หลังจากคิดเรื่องนี้ ฉันก็เต็มใจที่จะยอมรับการชี้แนะและความช่วยเหลือของเหล่าผู้นำ และมุ่งเน้นไปที่การแสวงหาและไตร่ตรองหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้องขณะเขียนคำเทศนา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเบี่ยงเบนและข้อผิดพลาดเช่นนี้อีก
หลังจากนั้น ฉันก็สงบใจและศึกษาหลักธรรมที่เกี่ยวข้อง และสามารถเข้าใจบางสิ่งได้ระหว่างการศึกษา แต่เมื่อเป็นเรื่องการเขียน ฉันยังพบความลำบากยากเย็นอยู่บ้าง และรู้สึกว่าการเขียนคำเทศนาที่ได้มาตรฐานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเวลาผ่านไป ฉันพบว่าตัวเองยังไม่มีแนวคิดอะไรเลย และเริ่มรู้สึกท้อแท้ โดยคิดในใจว่า “ถ้าฉันเขียนคำเทศนาดีๆ ไม่ได้ล่ะ? เหล่าผู้นำจะมองฉันยังไง? พวกเขาจะพูดว่า ‘ปรากฏว่าขีดความสามารถของเฉียวซินต่ำจริงๆ แถมเธอไม่เข้าใจความจริง’ หรือเปล่า?” พอคิดแบบนี้ ฉันก็กังวล และพอจะศึกษาต่อ ฉันก็ว่อกแว่กและเอาแต่ง่วงเหงาหาวนอน ตอนกลางคืน พอพยายามจะนอน ฉันก็อดถอนหายใจไม่ได้ พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ ฉันอยากจะเขียนคำเทศนาดีๆ ให้เสร็จเร็วๆ จริงๆ เพื่อที่จะได้เอาไปให้ทุกคนดู และจะได้กอบกู้ภาพลักษณ์ของตัวเอง แต่ยิ่งคิดว่าต้องเขียนให้ดี ฉันก็ยิ่งรู้สึกกดดัน เช้าวันต่อมา ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงและเริ่มปวดหัว ฉันไตร่ตรองทั้งวันแต่ก็ยังคิดอะไรไม่ออก และรู้สึกเหมือนมีหินก้อนหนักทับอยู่ ทำให้หายใจลำบาก พี่น้องหญิงที่ฉันร่วมงานด้วยอยากจะศึกษาหลักธรรมร่วมกับฉัน แต่ฉันไม่มีแก่ใจจะทำ
ต่อมา ฉันก็เปิดใจกับเธอเรื่องสภาวะที่ฉันเป็นมาในช่วงสองสามวันหลัง และเธอก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันฟัง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ซาตานจึงใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์มาควบคุมความคิดของมนุษย์ ทำให้ผู้คนนึกถึงแต่สองสิ่งนี้เท่านั้น พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ ทนทุกข์จากความยากลำบากเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ สู้ทนความอัปยศอดสูและยอมแบกรับภาระอันหนักอึ้งก็เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ และพวกเขาจะได้ข้อสรุปหรือการตัดสินใจอันใดก็เพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงและผลประโยชน์ ซาตานล่ามผู้คนไว้กับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็ด้วยวิธีนี้ และเมื่อใส่โซ่ตรวนเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ไม่มีทั้งความสามารถและความกล้าที่จะหลุดเป็นอิสระ พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยไม่รู้ตัว และลากเท้าต่อไปข้างหน้าด้วยความลำบากยากเย็นอย่างยิ่ง และเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์นี้ มวลมนุษย์จึงออกห่างจากพระเจ้าและทรยศพระองค์ ทั้งยังเลวลงเรื่อยๆ คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและผลประโยชน์ของซาตานด้วยวิธีนี้นี่เอง ทีนี้ พอมองดูการกระทำทั้งหลายของซาตาน สิ่งจูงใจส่อแววร้ายทั้งหลายของมันไม่น่ารังเกียจอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ? บางทีวันนี้พวกเจ้าอาจจะยังไม่สามารถมองทะลุถึงแรงจูงใจอันร้ายกาจของซาตาน เพราะพวกเจ้าคิดไปว่าชีวิตย่อมจะไร้ความหมายหากไม่มีชื่อเสียงและผลประโยชน์ และพวกเจ้าก็นึกว่าหากผู้คนทิ้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหนทางข้างหน้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถเห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อีกต่อไป และอนาคตของพวกเขาก็จะมืดมน คลุมเครือ และหม่นมัว แต่ทว่าวันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหมดจะตระหนักรู้อย่างช้าๆ ว่าชื่อเสียงและผลประโยชน์คือโซ่ตรวนอันมหึมาที่ซาตานใช้ล่ามมนุษย์เอาไว้ เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะต่อต้านการควบคุมของซาตานอย่างสิ้นเชิงและขัดขืนโซ่ตรวนที่ซาตานใช้ล่ามเจ้าเอาไว้โดยสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลาที่เจ้าอยากเป็นอิสระจากทุกสิ่งที่ซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า เมื่อนั้นเจ้าจึงจะแยกทางกันอย่างเด็ดขาดกับซาตาน และเจ้าจะเกลียดทุกสิ่งที่ซาตานนำมาให้เจ้าอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความรักและการโหยหาที่แท้จริงต่อพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) หลังจากได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกว่าหัวใจกระจ่างขึ้นมาทันที ฉันตระหนักว่าความรู้สึกอึดอัดใจในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้เป็นเพราะฉันถูกจำกัดและผูกมัดโดยชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ตอนแรก ผู้ดูแลบอกว่าฉันมีขีดความสามารถที่ดีและคำเทศนาที่ฉันเขียนค่อนข้างดี ฉันเริ่มอิ่มอกอิ่มใจ รู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษด้านการเขียน ฉันจึงทุ่มเทความพยายามมากขึ้นในการเขียนคำเทศนา โดยหวังว่าจะได้รับการยกย่องและชื่นชมจากผู้อื่น แต่ทว่า เมื่อมีคนชี้ให้เห็นปัญหามากมายในคำเทศนาสองบทที่ฉันเขียน ฉันก็กังวลว่าคนอื่นจะดูถูกฉัน และไม่คิดว่าฉันเป็นคนที่มีขีดความสามารถและความสามารถอีกต่อไป ฉันจึงไม่สามารถสงบใจเพื่อไตร่ตรองปัญหาที่เหล่าผู้นำชี้ให้เห็น ทั้งยังไม่ได้ศึกษาหลักธรรมหรือแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ฉันแค่อยากเขียนคำเทศนาดีๆ ให้เสร็จเร็วๆ เพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ของตัวเอง แต่ทว่า ยิ่งฉันวิตกกังวล ฉันก็ยิ่งคิดไม่ออก และความคิดของฉันก็ยิ่งขุ่นมัว และหลังจากทำงานมาทั้งวัน ฉันก็ยังไม่คืบหน้าเลย ฉันจำได้ว่าตอนที่เริ่มเขียนคำเทศนา แม้จะมีความลำบากยากเย็นมากมาย ฉันก็มีหัวใจบริสุทธิ์ที่พึ่งพาพระเจ้า ฉันศึกษาและแสวงหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องเพื่อไตร่ตรองอย่างแท้จริง และพระเจ้าก็ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงชี้แนะฉัน ดังนั้น ตอนที่ฉันเขียน ฉันจึงมีแนวคิดอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ ฉันคิดถึงแต่ความทะนงตนและสถานะของตัวเอง และความคิดที่จะพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาผู้อื่นก็ทำให้ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ รู้สึกวิงเวียนและมึนศีรษะ และทำให้ฉันไม่สามารถจดจ่อกับการเขียนคำเทศนาได้ หัวใจของฉันถูกชื่อเสียงและผลประโยชน์ควบคุมโดยสิ้นเชิง ถ้าฉันไม่พลิกสภาวะนี้ ฉันก็จะยังคงใช้ชีวิตอยู่ในความมืดและความเจ็บปวดที่เกินจะทนต่อไป และเมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็จะสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือแม้กระทั่งสูญเสียหน้าที่นี้ไป จากนั้นฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะ แต่ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงชี้แนะข้าพระองค์ด้วยเถิด เพื่อที่ข้าพระองค์จะสามารถก้าวออกจากสภาวะที่ผิดนี้และทำหน้าที่ของข้าพระองค์ได้ดี”
เช้าวันต่อมา พี่น้องหญิงของฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟังสองสามบทตอน และมีบทตอนหนึ่งที่ช่วยฉันได้มาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ทุกคนรู้ว่า การที่คนคนหนึ่งคิดยกย่องตนเองเพียงเพราะพวกเขาสัมฤทธิ์ผลบางอย่างในหน้าที่ได้นั้นเป็นเรื่องไม่ดี แล้วเหตุใดผู้คนจึงยังมีแนวโน้มในการคิดยกย่องตนเองอยู่? ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความโอหังและความตื้นเขินของผู้คน มีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่? (เพราะผู้คนไม่ตระหนักว่าพระเจ้าทรงนำพวกเขาให้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้ พวกเขาคิดว่าตนเองสมควรได้รับความดีความชอบทั้งหมด อีกทั้งคิดว่าตนมีต้นทุน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดยกย่องตนเอง อันที่จริงหากไร้ซึ่งพระราชกิจของพระเจ้า ผู้คนก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ แต่พวกเขาไม่อาจมองเห็นเรื่องนี้) คำกล่าวนี้ถูกต้อง และยังเป็นใจกลางของปัญหานี้ด้วย หากผู้คนไม่รู้จักพระเจ้าและไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเขา พวกเขาจะคิดเสมอว่าตนเองสามารถทำสิ่งใดก็ได้ ดังนั้น หากพวกเขามีต้นทุนในครอบครอง พวกเขาก็สามารถกลายเป็นคนโอหังและคิดยกย่องตนเองได้ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่นั้น พวกเจ้าสัมผัสถึงการทรงนำของพระเจ้าและการให้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือไม่? (สัมผัสได้) หากเจ้าสามารถสัมผัสได้ถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ยังคงคิดยกย่องตนเอง และคิดว่าเจ้ามีความเป็นจริง เช่นนั้นแล้ว เกิดอะไรขึ้นในจุดนี้หรือ? (เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราเกิดผลลัพธ์อยู่บ้าง พวกเราย่อมคิดว่าความดีความชอบครึ่งหนึ่งเป็นของพระเจ้า และอีกครึ่งหนึ่งเป็นของพวกเรา พวกเราเชิดชูการให้ความร่วมมือของตนเองอย่างไร้ขอบเขต คิดไปว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าความร่วมมือของพวกเรา และคิดว่าหากไร้ซึ่งสิ่งนี้ การให้ความรู้แจ้งของพระเจ้าก็ย่อมเป็นไปไม่ได้) แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า? พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่ผู้อื่นเช่นกันได้หรือไม่? (ได้) เมื่อพระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่ใครบางคน สิ่งนี้ย่อมเป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า แล้วความร่วมมืออันน้อยนิดในส่วนของเจ้าคือสิ่งใด? สิ่งนั้นเป็นความดีความชอบที่เจ้าสมควรได้ หรือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้า? (เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเรา) เมื่อเจ้าตระหนักว่านี่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมมีชุดความคิดที่ถูกต้อง และจะไม่คิดที่จะพยายามเอาความดีความชอบจากการนั้น หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่า ‘นี่คือการมีส่วนช่วยของฉัน หากฉันไม่ร่วมมือ การให้ความรู้แจ้งของพระเจ้าจะเป็นไปได้หรือไม่? งานนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากมนุษย์ ความร่วมมือของพวกเราย่อมทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากมาย’ เช่นนั้นเจ้าย่อมคิดผิด หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและหากไม่มีผู้ใดสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงกับเจ้า เจ้าจะร่วมมือกันได้อย่างไร? เจ้าย่อมจะไม่รู้ว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ในเรื่องใด และจะไม่รู้เส้นทางปฏิบัติ ต่อให้เจ้าอยากนบนอบพระเจ้าและให้ความร่วมมือ เจ้าก็จะไม่รู้วิธี ‘การร่วมมือกัน’ นี้ของเจ้าเป็นเพียงคำพูดอันว่างเปล่ามิใช่หรือ? หากไร้ซึ่งการให้ความร่วมมือโดยแท้จริง เจ้าก็รังแต่จะทำตามแนวคิดของเจ้าเอง—ซึ่งในกรณีนี้ เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ถึงตามมาตรฐานได้หรือ? แน่นอนว่าไม่ได้ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่มีอยู่ ปัญหาที่ว่านั้นคืออะไร? ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะปฏิบัติหน้าที่ใด ไม่ว่าพวกเขาจะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ตามมาตรฐานและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของพระเจ้า ต่อให้เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของเจ้า หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจ หากพระเจ้าไม่ประทานความรู้แจ้งและไม่ทรงนำเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่รู้เส้นทางของเจ้า ทิศทางของเจ้า หรือเป้าหมายของเจ้า ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งใดคือผลของการนั้น? หลังจากตรากตรำทำงานหนักมาตลอดเวลานั้น เจ้าย่อมจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมและย่อมจะไม่ได้รับความจริงและชีวิต—ทั้งหมดย่อมจะสูญเปล่า ดังนั้น การที่หน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติจะถึงมาตรฐานหรือไม่ ทำให้พี่น้องชายหญิงเจริญใจและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับพระเจ้าทั้งสิ้น! ผู้คนสามารถทำได้เพียงสิ่งเหล่านั้นซึ่งพวกเขาสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งพวกเขาควรที่จะทำ และซึ่งอยู่ภายในขีดความสามารถประจำตัวของพวกเขาเท่านั้น—ไม่สามารถทำได้มากไปกว่านั้น เช่นนั้นแล้วในท้ายที่สุด การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้อย่างมีประสิทธิผลจึงขึ้นอยู่กับการนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงการประทานความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงและทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้นได้ตามเส้นทางที่พระองค์ประทานแก่เจ้า และตามหลักธรรมที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ นี่คือพระคุณและพรจากพระเจ้า และหากผู้คนไม่สามารถมองเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็มืดบอด ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าทำงานลักษณะใด ผลของงานนั้นควรเป็นเช่นไร? ส่วนหนึ่งควรเป็นพยานให้แก่พระเจ้าและถ่ายทอดข่าวประเสริฐของพระเจ้า ขณะที่อีกส่วนหนึ่งควรสอนใจและนำประโยชน์มาสู่พี่น้องชายหญิง พระนิเวศของพระเจ้าควรสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ทั้งสองด้าน ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ใด เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ผลโดยไร้ซึ่งการทรงนำของพระเจ้าได้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ได้ กล่าวได้ว่าเมื่อไร้การทรงนำของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าทำย่อมไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักธรรมที่คนเราควรใช้นำทางการประพฤติตน) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่าฉันไม่สามารถสลัดป้าย “มีความสามารถพิเศษด้านการเขียน” ทิ้งไปได้ เพราะฉันยกประสิทธิผลทั้งหมดของการเขียนคำเทศนาให้ตัวเอง และคิดว่าเป็นเพราะขีดความสามารถที่ดี ความสามารถด้านการเขียน และความพยายามที่ฉันทุ่มเทในการไตร่ตรองและจ่ายราคาเท่านั้นที่นำมาซึ่งผลลัพธ์เหล่านี้ ในความเป็นจริง ฉันมักจะลำบากระหว่างที่เขียน และเพราะอธิษฐานถึงพระเจ้า ไตร่ตรองความจริงที่เกี่ยวข้อง และได้รับการให้ความรู้แจ้งและการชี้แนะของพระเจ้า ฉันถึงได้รับแรงบันดาลใจอยู่บ้าง แต่ทว่า หลังจากนั้น เมื่อคนอื่นกล่าวคำยกย่องและให้กำลังใจสองสามคำ ฉันก็ทะนงตน โดยคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นความสำเร็จของฉันเอง และฉันถึงกับติดป้าย “มีขีดความสามารถที่ดีและมีความสามารถด้านการเขียน” ให้กับตัวเอง และมองไม่เห็นตัวเองตามที่เป็นจริง ในความเป็นจริง การจะทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการเข้าใจหลักธรรมของหน้าที่และความจริงที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญที่สุดคือการได้รับการให้ความรู้แจ้งและการชี้แนะของพระเจ้า มีหลายครั้งที่เราไม่มีแนวคิด และเมื่ออธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาการชี้แนะของพระองค์ และพินิจพิจารณาพระวจนะของพระองค์ เราจะเข้าใจความจริงบางอย่างและได้รับความกระจ่างและแนวคิดบ้างโดยไม่รู้ตัว และเมื่อนั้นเท่านั้นที่คำเทศนาที่เราเขียนจะสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีได้ นี่ไม่ใช่เพราะความสามารถของเราเอง ฉันคิดถึงช่วงสองสามวันที่ผ่านมาที่ฉันใช้ชีวิตอยู่กับชื่อเสียงและสถานะ จนไม่สามารถได้รับการให้ความรู้แจ้งและการชี้แนะของพระเจ้า แม้ว่าฉันจะพยายามเขียน แต่สมองฉันก็สับสนไปหมด ไม่มีแนวคิดอะไรเลย และฉันก็เป็นคนโง่โดยสิ้นเชิง ฉันตระหนักอย่างแท้จริงว่าผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่มาจากความรู้แจ้งและการชี้แนะของพระเจ้า และฉันไม่มีอะไรให้โอ้อวดเลย แต่ฉันกลับยกความดีความชอบทั้งหมดให้ตัวเองอย่างไม่ละอาย ช่างน่าละอายจริงๆ! แม้ว่าฉันจะเขียนคำเทศนามาหลายบทแล้ว แต่ฉันก็จับความเข้าใจกระบวนการเขียนได้เพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ที่จริงแล้ว ฉันยังจับความเข้าใจหลักธรรมหลายอย่างไม่ได้ และไม่กระจ่างในความจริงหลายแง่มุม บางครั้งฉันถึงกับจับความเข้าใจประเด็นสำคัญไม่ได้ตอนเขียนคำเทศนา แม้ว่าฉันจะศึกษาหลักธรรมที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่เมื่อนำไปปฏิบัติจริง ฉันก็ยังขาดตกบกพร่องอยู่มาก และยังต้องให้คนอื่นแก้ไขและช่วยเหลือ แต่ฉันกลับคิดว่าตัวเองเก่งกาจ ราวกับว่าเหาะได้ และไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเอง ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งละอายใจ อยากจะหลบหน้า และมุดดินหนี
หลังจากนั้น ฉันคิดถึงว่าเหตุผลหลักที่ฉันเขียนคำเทศนาสองบทนั้นได้ไม่ดี คือฉันเพิ่งเริ่มฝึกฝนและยังจับความเข้าใจหลักธรรมบางอย่างไม่ได้ ฉันจึงศึกษาหลักธรรมกับพวกพี่น้องหญิง และใช้คำเทศนาสองบทนั้นเป็นตัวอย่างให้ทุกคนช่วยกันวิเคราะห์และพูดคุยกัน ทุกคนให้ข้อเสนอแนะ และหลังจากนั้น พอฉันแก้ไขคำเทศนาอีกครั้ง ฉันก็มีทิศทาง เมื่อใดก็ตามที่ฉันไม่เข้าใจอะไร ฉันก็จะอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริงและไตร่ตรอง และฉันส่งคำเทศนาบทหนึ่งไปหลังจากแก้ไขเสร็จ แต่ตอนที่แก้ไขอีกบทหนึ่ง ฉันก็ยังคงพบความลำบากยากเย็น ฉันไม่กระจ่างในความจริงและรู้สึกขัดข้องใจอยู่บ้าง ฉันยังกลัวด้วยว่างานเขียนของฉันจะจืดชืดไม่น่าสนใจ และสงสัยว่าเหล่าผู้นำจะคิดกับฉันอย่างไรหลังจากที่ฉันส่งไปแล้ว พวกเขาจะพูดว่าขีดความสามารถของฉันไม่ดีพอหรือเปล่า? ฉันไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิง แต่ก็ไม่มีทางไปต่อ และในใจฉันรู้สึกกดดันมาก ในตอนนั้นเอง ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “เมื่อพระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงเป็นอย่างดี พระองค์ไม่ได้ทรงขอให้พวกเขาทำกิจจำนวนหนึ่งให้เสร็จสิ้นหรือสำเร็จลุล่วงโครงการอันยิ่งใหญ่อันใด หรือทำภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่อันใด สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือให้ผู้คนสามารถทำทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ในหนทางแบบติดดิน และใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้เจ้ายิ่งใหญ่หรือสูงศักดิ์ หรือสร้างปาฏิหาริย์อันใด อีกทั้งพระองค์ยังไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นความประหลาดใจซึ่งน่ายินดีอันใดในตัวเจ้า พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์สิ่งทั้งหลายเช่นนั้น ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือให้เจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์อย่างแน่วแน่ ยามที่เจ้าฟังพระวจนะของพระเจ้า จงทำในสิ่งที่เจ้าเข้าใจ ลงมือทำในสิ่งที่เจ้าเข้าใจ จดจำสิ่งที่เจ้าได้ฟังให้ขึ้นใจ แล้วจากนั้นเมื่อถึงเวลาปฏิบัติ ก็จงปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า จงยอมให้พระวจนะกลายเป็นชีวิตของเจ้า ความเป็นจริงของเจ้า และแบบอย่างในการใช้ชีวิตของเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงจะพึงพอพระทัย เจ้าไล่ตามไขว่คว้าความยิ่งใหญ่ ความสูงศักดิ์ และสถานะอยู่เสมอ เจ้าไล่ตามไขว่คว้าที่จะอยู่เหนือผู้อื่นตลอดเวลา พระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นการนี้? พระองค์ทรงเกลียดการนี้ และพระองค์จะทรงออกห่างจากเจ้า ยิ่งเจ้าแสวงหาสิ่งทั้งหลายเช่นความยิ่งใหญ่ นั่นคือความสูงศักดิ์และการเหนือกว่าผู้อื่น ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง โดดเด่น และเป็นที่สังเกตจดจำมากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็ยิ่งทรงพบว่าเจ้าน่าขยะแขยงมากขึ้นเท่านั้น หากเจ้าไม่ทบทวนตนเองและกลับใจ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทรงชังและปฏิเสธเจ้า จงหลีกเลี่ยงการกลายเป็นคนที่น่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า จงเป็นบุคคลที่พระเจ้าทรงรัก ดังนั้นแล้ว คนเราจะสามารถได้รับความรักจากพระเจ้าได้อย่างไร? โดยการยอมรับความจริงอย่างเชื่อฟัง ยืนหยัดในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง กระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าโดยยืนอยู่บนความเป็นจริง ปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ นี่ก็เพียงพอแล้ว พระเจ้าย่อมจะพอพระทัย” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่าข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าสำหรับผู้คนนั้นไม่สูง และพระองค์ไม่ได้ทรงขอให้ผู้คนบรรลุผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ตราบใดที่ผู้คนสามารถเชื่อฟังและนบนอบ และทำหน้าที่ของตนได้ดีโดยอยู่กับความเป็นจริงตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงพอพระทัย แต่ฉันกลับอยากโดดเด่นและเขียนคำเทศนาดีๆ เพื่อให้ได้รับการยกย่องและเห็นชอบจากผู้อื่นอยู่เสมอ นี่ถูกควบคุมโดยความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของฉัน นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม ฉันนึกถึงกฎการปกครองข้อแรกที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องปฏิบัติตาม ซึ่งกล่าวว่า “มนุษย์ไม่ควรเชิดชูตัวเองและไม่ควรยกย่องตัวเอง เขาควรนมัสการและยกชูพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประกาศกฎการปกครองสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง) ฉันไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะอยู่เสมอ โดยอยากให้คนอื่นยกย่องและนับถือ และมีที่ทางในหัวใจของพวกเขา นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ การใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะนี้ทำให้ฉันไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี และอาจจะขัดขวางงานด้วยซ้ำ ฉันต้องรีบพลิกมุมมองที่อยู่เบื้องหลังการไล่ตามไขว่คว้าแบบผิดๆ ของฉัน แม้ว่าฉันจะยังขาดอะไรอีกมากในการเขียนคำเทศนา แต่ฉันก็เต็มใจที่จะสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริงและพยายามให้ความร่วมมือ ฉันจะเขียนเท่าที่ฉันเข้าใจ และจะถือว่าปัญหาแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นในการเขียนคำเทศนาเป็นโอกาสที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ฉันเชื่อว่าผ่านการฝึกฝนอย่างค่อยเป็นค่อยไปเช่นนี้ ฉันจะก้าวหน้าอย่างแน่นอน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
ครั้งต่อไปที่ฉันเขียนคำเทศนา ฉันจะเขียนเรื่องที่ฉันเข้าใจก่อน ส่วนเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันจะแสวงหาและไตร่ตรอง หรือสื่อสารกับพี่น้องชายหญิงของฉัน และเมื่อฉันกระจ่างในความจริงแล้ว ฉันก็จะเขียนต่อไป แบบนี้ ประสิทธิผลของคำเทศนาที่ฉันเขียนก็ดีขึ้นมาก ไม่นานหลังจากนั้น เหล่าผู้นำได้ส่งคำเทศนาดีๆ มาให้พวกเราศึกษาและนำไปใช้เป็นแบบอย่าง คำเทศนาเหล่านั้นไม่เพียงแต่แปลกใหม่และกระจ่างแจ้ง แต่การสามัคคีธรรมความจริงก็ยังสัมพันธ์กับชีวิตจริงและกระจ่างชัดมากอีกด้วย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ฉันก็ตระหนักว่าคำเทศนาของฉันมีแต่คำพูดและคำสอน และฉันไม่ได้สามัคคีธรรมความจริงอย่างชัดเจน ในตอนนั้นเอง ฉันก็ได้เห็นว่าตัวเองขาดอะไรไปมาก เมื่อเทียบกับพี่น้องชายหญิงของฉัน ฉันช่างห่างไกลนัก! เมื่อพวกเขาเขียนเกี่ยวกับความคิดและสิ่งที่พวกเขาได้รับ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่โอ้อวด แต่กลับบอกว่าพวกเขาขาดอะไรอีกมาก และการที่สามารถเขียนคำเทศนาที่ได้มาตรฐานนั้นไม่ใช่เพราะขีดความสามารถของพวกเขาเอง หรือเพราะพวกเขาเข้าใจความจริง แต่เป็นเพราะได้รับการให้ความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านการอธิษฐาน การแสวงหา และการไตร่ตรองความจริงที่เกี่ยวข้องต่างหาก เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกละอายใจอย่างสุดซึ้ง ฉันคิดถึงตอนที่ฉันเพิ่งเริ่มเขียนคำเทศนา และด้วยความเข้าใจเพียงผิวเผิน ฉันก็คิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนทั่วไป ฉันถึงกับติดป้ายให้ตัวเองว่ามีความสามารถพิเศษด้านการเขียนซึ่งฉันสลัดทิ้งไม่ได้ ฉันประเมินตัวเองสูงเกินไปจริงๆ และขาดความตระหนักรู้ในตนเองโดยสิ้นเชิง!
ตอนนี้ เวลาเขียนคำเทศนา ฉันสามารถปฏิบัติต่อคำแนะนำจากเหล่าผู้นำได้อย่างถูกต้อง และถ้ามีอะไรที่ฉันไม่เข้าใจหรือทำไม่ได้ ฉันก็สามารถริเริ่มที่จะแสวงหา และคุณภาพของคำเทศนาของฉันก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน ในหัวใจฉันรู้ว่าความก้าวหน้าของฉันมาจากการให้ความรู้แจ้งและการชี้แนะของพระเจ้า จากประสบการณ์นี้ ฉันได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน และฉันก็ได้รับบางอย่างในการเข้าสู่ชีวิตของฉัน ฉันยังได้เห็นด้วยว่าความเข้าใจในความจริงของฉันนั้นตื้นเขินอย่างแท้จริง และฉันควรจะมุ่งเน้นไปที่หลักธรรมความจริงและทำหน้าที่ของฉันอย่างแน่วแน่ หากไม่ใช่เพราะการเผยนี้ ฉันคงจะยังใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะอิ่มอกอิ่มใจต่อไป และคงไม่ก้าวหน้าเลยในหน้าที่ของฉัน ความล้มเหลวและอุปสรรคครั้งนี้นำผลประโยชน์ใหญ่หลวงมาให้ฉัน และฉันขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ!