9. การตื่นรู้หลังจากถูกขับไล่
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ดังนั้นเมื่อเจ้าทนทุกข์กับการยับยั้งชั่งใจหรือความยากลำบากเล็กน้อย มันย่อมเป็นการดีสำหรับพวกเจ้า หากพวกเจ้ามีแต่ช่วงเวลาที่สบายกว่านั้น พวกเจ้าคงจะมีอันล่มจม และเช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะสามารถได้รับการปกป้องได้อย่างไรเล่า? ในวันนี้ มันเป็นเพราะพวกเจ้าถูกตีสอน พิพากษา และสาปแช่ง เจ้าจึงได้รับการปกป้อง มันเป็นเพราะเจ้าได้ทนทุกข์มามากมาย เจ้าจึงได้รับการปกป้อง หาไม่แล้ว เจ้าคงจะตกอยู่ในสภาพของความต่ำทรามไปนานแล้ว นี่ไม่ใช่การทำให้สิ่งทั้งหลายนั้นลำบากยากเย็นสำหรับพวกเจ้าโดยเจตนา—ธรรมชาติของมนุษย์นั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลง และเหตุการณ์จึงต้องเป็นดังนั้นเพื่อให้อุปนิสัยของพวกเขาถูกเปลี่ยนแปลง ในวันนี้ พวกเจ้าไม่มีแม้กระทั่งมโนธรรมหรือสำนึกรับรู้ซึ่งเปาโลเคยมี และเจ้าไม่มีแม้กระทั่งการตระหนักรู้ในตนเองของเขา พวกเจ้าต้องถูกกดดันตลอดเวลา และพวกเจ้าต้องถูกตีสอนและพิพากษาตลอดเวลาเพื่อที่จะปลุกจิตวิญญาณของพวกเจ้าให้ตื่น การตีสอนและการพิพากษาคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของพวกเจ้า และเมื่อจำเป็น ยังจะต้องมีการตีสอนโดยข้อเท็จจริงทั้งหลายที่มาถึงเจ้าเช่นกัน เฉพาะเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเจ้าจึงจะนบนอบอย่างเต็มที่ ธรรมชาติทั้งหลายของพวกเจ้านั้นเป็นถึงขนาดที่ว่าหากปราศจากการตีสอนและการสาปแช่ง เจ้าคงไม่เต็มใจที่จะค้อมศีรษะของเจ้า ไม่เต็มใจที่จะนบนอบ หากปราศจากข้อเท็จจริงทั้งหลายต่อหน้าต่อตาเจ้า ก็ย่อมจะไม่เกิดผลอันใด พวกเจ้านั้นมีบุคลิกลักษณะที่ต่ำต้อยและไร้ค่าเกินไป! หากปราศจากการตีสอนและการพิพากษา ก็คงจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเจ้าที่จะถูกพิชิต และยากที่ความไม่ชอบธรรมและการไม่เชื่อฟังของพวกเจ้าจะถูกเอาชนะ ธรรมชาติเดิมของพวกเจ้านั้นหยั่งรากลึกยิ่งนัก หากวางพวกเจ้าไว้บนพระบัลลังก์ พวกเจ้าคงจะไม่รู้ว่าเจ้าอยู่แห่งหนใดในจักรวาล นับประสาอะไรที่จะรู้ว่าเจ้าได้มุ่งหน้าไปที่ใด พวกเจ้าไม่รู้กระทั่งว่าเจ้ามาจากไหน ดังนั้นแล้วเจ้าจะสามารถรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างได้อย่างไรเล่า? หากปราศจากการตีสอนและการสาปแช่งที่ทันต่อการณ์ของวันนี้ วันสุดท้ายของพวกเจ้าคงได้มาถึงนานแล้ว ยิ่งไม่พักต้องพูดถึงชะตากรรมของพวกเจ้าเลย—นั่นจะไม่ยิ่งตกอยู่ในภาวะอันตรายซึ่งจวนตัวเข้าไปใหญ่หรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (6)) เมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ฉันคิดทบทวนว่าตัวเองขาดการใคร่ครวญมายาวนานอย่างไร ใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันโอหังขณะกระทำชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักร จนถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร ในช่วงเวลานั้น แม้ว่าฉันจะอยู่ในความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน แต่ฉันก็ซาบซึ้งใจอย่างยิ่งที่การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อผู้คนเป็นความรักอย่างแท้จริง และยังเป็นการคุ้มครองที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย
ในปี 2007 ฉันเพิ่งเชื่อในพระเจ้าได้เพียงปีกว่า ก่อนที่จะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ในตอนนั้น ฉันไฟแรงมาก เข้าร่วมการประชุมอย่างกระตือรือร้น ให้น้ำผู้มาใหม่ และเผยแผ่ข่าวประเสริฐทุกวัน หลังจากทำสิ่งเหล่านี้มาได้สักระยะหนึ่ง งานข่าวประเสริฐ งานให้น้ำ และการฝึกฝนผู้คนล้วนเห็นผลบางประการ ต่อมา เมื่อใดก็ตามที่คริสตจักรใดประสบกับความย่ำแย่ในชีวิตคริสตจักรหรือผลลัพธ์การทำงานไม่ดี ผู้นำระดับสูงจะส่งฉันไปให้การเกื้อหนุน หลังจากฉันอยู่ที่นั่นได้สักระยะ งานทุกด้านของคริสตจักรนั้นก็จะกลับไปดำเนินการได้อย่างปกติ และผลก็คือพี่น้องชายหญิงต่างชื่นชมฉันเป็นพิเศษ ฉันก็จะรู้สึกภาคภูมิใจมากและเดินเชิดหน้าอย่างมั่นใจ ฉันคิดว่า “ฉันเก่งกว่าผู้นำคริสตจักรคนอื่นๆ ในการแก้ปัญหาและมีความสามารถมากกว่า คริสตจักรที่ฉันเข้าไปเกื้อหนุนสักพักล้วนแสดงผลลัพธ์ให้เห็น และนั่นดูเหมือนว่าฉันเป็นผู้นำที่มีความสามารถพิเศษในคริสตจักรจริงๆ” ในหนทางนี้ ฉันรับใช้ในฐานะผู้นำคริสตจักรติดต่อกันอยู่เจ็ดปี ฉันรู้สึกอยู่ในใจว่าฉันเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ ฉันก็เลยเริ่มโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ
ในฤดูหนาวปี 2015 ฉันถูกจับคู่กับพี่น้องหญิงชื่อซืออวี่ เพื่อรับผิดชอบงานของคริสตจักร เธอเชื่อในพระเจ้ามานานกว่าฉัน ทั้งยังทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจจริงและแบกรับภาระ แต่หลังจากได้ปฏิสัมพันธ์กับเธออยู่ระยะหนึ่ง ฉันก็พบว่าความสามารถในการแยกแยะและการสามัคคีธรรมความจริงของเธอไม่ดีเท่าของฉัน และประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ของเธอก็ไม่สูงเท่าของฉันด้วย ฉันดูถูกเธอจากก้นบึ้งของหัวใจ คิดว่าถึงเธอจะเคยปฏิบัติหน้าที่หลายอย่างมาก่อน แต่ฉันก็ยังดีกว่าเธอ ครั้งหนึ่ง ฉันได้ยินพี่น้องชายคนหนึ่งเล่าว่า ในช่วงที่เขาไม่สัมฤทธิ์ผลใดในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและใช้ชีวิตในความยากลำบาก ซืออวี่ไม่ได้มองเห็นปัญหาในขณะนั้น และสามัคคีธรรมของเธอก็ไม่มีประสิทธิผลในการแก้ปัญหา หลังจากล่วงรู้สถานการณ์นี้ ฉันเก็บงำความเหยียดหยามอย่างรุนแรงต่อซืออวี่ไว้ในหัวใจ และต่อว่าเธอเสียงดังต่อหน้าผู้ร่วมงานของเรา โดยพูดว่า “เธอสามัคคีธรรมแบบนี้จะไปแก้ปัญหาได้ยังไง? พี่น้องชายหญิงจะพบหนทางได้ยังไง?” ซืออวี่ก้มหน้าลงและพูดเบาๆ ว่า “เป็นเพราะสามัคคีธรรมของฉันไม่ดีเอง” ในเวลานั้น ฉันไม่เพียงแต่ไม่ตระหนักถึงปัญหาของตัวเอง แต่กลับไม่ให้อภัยและตำหนิเธอต่อไป ฉันคิดในใจว่า “เธอไม่มีอะไรให้อวดเลย! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอช่วยจัดการธุระทั่วไปบางอย่าง เราก็คงไม่ต้องการเธอ!”
ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 ในระหว่างการประชุมผู้ร่วมงานกับผู้ประกาศ เมื่อมีคำถามจากผู้ประกาศ ซืออวี่เป็นคนตอบก่อน ฉันรู้สึกไม่พอใจอยู่ในใจ คิดว่า “นี่พยายามจะชิงดีชิงเด่นกับฉันเหรอ? ฉันอยู่ตรงนี้และยังไม่ทันได้พูดเลย เธอแย่งพูดก่อนได้ยังไงกัน?” ฉันจึงขัดจังหวะเธอเพื่อให้ได้พูดก่อน ในตอนนั้น ซืออวี่พูดขึ้นว่า “ฉันรู้สึกเหมือนถูกคุณจำกัดไว้” ฉันโมโหขึ้นมาทันที คิดว่า “เธอกำลังพูดถึงฉันในทางไม่ดีต่อหน้าผู้ประกาศและมัคนายกหลายคน ทำให้ฉันเสียหน้า แล้วต่อไปฉันจะยืนหยัดอยู่ในคริสตจักรนี้ได้ยังไง? ทุกคนจะมองฉันยังไง?” ฉันพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ฉันจำกัดเธอตรงไหน?” ซืออวี่ไม่กล้าพูดอะไรอีกเลย ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็เริ่มมีอคติกับเธอ ในระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง เมื่อการสามัคคีธรรมของซืออวี่ใช้เวลานานขึ้นเล็กน้อย ฉันก็โกรธขึ้นมาทันที ขัดจังหวะเธอและพูดอย่างไม่พอใจว่า “เอาแค่สั้นๆ ก็พอ อย่าลงรายละเอียดเยอะ นี่มันเสียเวลานะ” แม้แต่ระหว่างการประชุมผู้ร่วมงาน ฉันก็จงใจตำหนิเธอต่อหน้าผู้ร่วมงานหลายคน ทำให้เธออับอาย เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันดีกว่าเธอ เมื่อฉันเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเธอเบี่ยงเบนไป ฉันก็ตำหนิเธออีก ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เธอรู้สึกถูกจำกัดมากยิ่งขึ้นไปอีก หลังจากนั้น ซืออวี่ก็สามัคคีธรรมในการชุมนุมน้อยลง และเวลาพูดเธอก็จะมองดูปฏิกิริยาของฉันเสมอ เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นในเวลาที่ฉันไม่อยู่ เธอก็ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลย มัคนายกหลายคนก็มาปรึกษาฉันโดยตรงเพื่อแก้ปัญหาใดๆ ของพวกเขาด้วย และทุกอย่างในคริสตจักรก็ต้องผ่านฉัน ฉันต้องเป็นคนตัดสินใจ ในตอนนั้น ฉันรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ฉันก็รู้สึกว่า สิ่งที่ฉันทำคือเพื่อรักษาการงานของคริสตจักร ด้วยการแบกรับภาระและสำนึกแห่งความรับผิดชอบ ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ที่ฉันมาคริสตจักรแห่งนี้ ชีวิตคริสตจักรก็ดีขึ้นจริงๆ และการงานหลายด้านก็ก้าวหน้า ฉันเชื่อว่าสิ่งที่ฉันทำไปนั้นเป็นบวก ฉันก็เลยไม่ได้คิดถึงอะไรมากไปกว่านั้น ต่อมา ฉันก็ทำเหมือนที่ผ่านมา และเมื่อใดก็ตามที่เห็นผู้ร่วมงานหรือพี่น้องชายหญิงทำผิดพลาดในหน้าที่ของพวกเขา ฉันก็จะยืนอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าและต่อว่าพวกเขา พี่น้องชายหญิงพากันกลัวว่าฉันจะตัดแต่งพวกเขา และไม่อยากมาร่วมชุมนุมอีกเลย พี่น้องหญิงที่ทำงานคู่กับฉันก็รู้สึกถูกกดข่มจากการถูกฉันจำกัดมาเป็นเวลานาน จนร้องไห้และอยากลาออก เมื่อเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ ฉันรู้สึกตำหนิตัวเองอยู่บ้าง ตระหนักได้ว่าการต่อว่าและตำหนิผู้อื่นอยู่เรื่อยไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ที่ฉันทำไปนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของเธอเอง ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายเลย” เมื่อคิดไปในหนทางนี้ ความรู้สึกตำหนิตัวเองที่เหลืออยู่ในใจฉันก็หายไปหมด
ในเดือนกันยายน ปี 2016 คริสตจักรอีกแห่งหนึ่งมารวมกับคริสตจักรของเรา และพี่น้องหญิงสองคนจากคริสตจักรนั้น คือ ฉางชิงและเจิ้งลู่กลายมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ในเวลานั้น เราจำเป็นต้องฝึกฝนหัวหน้ากลุ่มสำหรับงานให้น้ำ เราพิจารณาพี่น้องหญิงจ้าวรุ่ย แม้ว่าการสามัคคีธรรมความจริงของเธอจะยังบกพร่อง แต่เธอก็เป็นคนที่วางใจได้ แบกรับภาระและสามารถทำงานจริงได้ ดังนั้นเราจึงอยากจะฝึกฝนเธอ เมื่อเจิ้งลู่รู้เรื่องนี้ เธอก็มีข้อคัดค้านบางประการ เธอเชื่อว่าพี่น้องหญิงอีกคนหนึ่ง แม้ว่าจะเชื่อในพระเจ้าได้ไม่นานและอายุน้อยกว่า แต่ก็มีศักยภาพในการพัฒนามากกว่า และเหมาะสมกว่าจ้าวรุ่ย ซืออวี่ได้รายงานเรื่องนี้กลับมาหาฉันหลังจากกลับมา และทันใดนั้น ฉันก็รู้สึกถึงความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ คิดว่า “นี่คือคริสตจักรที่ฉันรับผิดชอบอยู่ และการตัดสินใจของฉันถือเป็นเด็ดขาด แต่เธอกลับมายุ่งเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องตัวเอง เธอมาจากคริสตจักรอีกแห่ง แต่กลับขัดขวางและก่อกวนในพื้นที่รับผิดชอบของฉันอย่างเปิดเผย ฉันจะไม่ให้เธอทำหน้าที่ และจะโดดเดี่ยวเธอ เธอจะได้ขัดขวางหรือก่อกวนไม่ได้อีกต่อไป” “นี่คืออาณาเขตของฉัน ถ้าเธอไม่ฟังฉัน เธอก็ออกไป เธอจะอยู่ในคริสตจักรของเราไม่ได้” ฉันบอกมัคนายกหลายคนด้วยความโกรธว่า “เจิ้งลู่กำลังก่อกวนการงาน ให้เธอหยุดทำหน้าที่และกันเธอออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้เธอมาขัดขวางและรบกวนที่นี่อีก!” ในเวลานั้น พี่น้องหญิงคนหนึ่งเตือนฉันโดยพูดว่า “สิ่งที่คุณทำนั้นไม่เหมาะสม ถ้าเธอทำอะไรผิด เราควรจะสามัคคีธรรมกับเธอและให้การชี้แนะ การจัดการแบบนี้ดูเหมือนการกีดกันนะคะ” ฉันคิดในใจว่า “เธอไม่ใช่คนในคริสตจักรเราด้วยซ้ำ ฉันจะไม่รู้ได้ยังไงว่าใครควรและใครไม่ควรได้รับการฝึกฝน? อีกอย่าง แม้ว่าจ้าวรุ่ยจะมีข้อบกพร่อง แต่เธอเป็นคนที่วางใจได้และสามารถทำงานจริงได้ ฉันทนเจิ้งลู่ไม่ได้ และไม่อยากสามัคคีธรรมกับเธอ” ต่อมา ฉันก็โดดเดี่ยวเจิ้งลู่โดยไม่ผ่านการปรึกษากับพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร
ในขณะที่อุปนิสัยอันโอหังของฉันพองโตขึ้นเรื่อยๆ พี่น้องชายหญิงบางคนก็รายงานเรื่องของฉัน หลังจากนั้น ผู้นำระดับสูงได้จัดแจงคนมาสอบสวนสถานการณ์ และพวกเขาอ่านจดหมายรายงานจากพี่น้องชายหญิงให้ฉันฟัง จากพฤติกรรมที่โอหัง การคิดว่าตัวเองถูก การต่อว่า และการจำกัดผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง ฉันจึงถูกตัดสินว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จด้วยความเป็นมนุษย์ที่ย่ำแย่ และถูกปลด แต่เมื่อได้ยินสิ่งเหล่านี้ ฉันไม่สามารถยอมรับได้เลย ฉันคิดในใจว่า “ฉันจะถูกปลดได้ยังไง? ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานกว่าสิบปี ใช้เวลาของฉันไปกับงานและการสละตน ฉันอยู่หัวแถวในทุกเรื่องของคริสตจักรมาโดยตลอด แล้วฉันจะถูกปลดได้ยังไง?” ฉันรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมอย่างมาก น้ำตาไหลอย่างหยุดไม่ได้ขณะที่เดินกลับบ้าน ในเวลานั้น ยังไม่มีใครได้รับมอบหมายให้รับช่วงงานต่อ ฉันจึงร่วมมือทำบางภาระหน้าที่เป็นการชั่วคราว ฉันไม่ได้คิดว่านี่เป็นโอกาสที่พระเจ้าประทานให้เพื่อให้ฉันกลับใจ กลับกัน ฉันคิดว่า แม้ว่าฉันจะถูกปลดไปแล้ว ฉันก็ยังสามารถทำงานต่อไปได้ ดูเหมือนว่าคริสตจักรจะขาดฉันไม่ได้ ไม่นาน ฉันก็จะกลับไปเป็นผู้นำคริสตจักรอีกครั้ง ในการชุมนุมกลุ่มย่อยครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งพูดกับฉันว่า “ช่วงนี้คุณดูผอมลงนะ” ฉันตอบว่า “ฉันกำลังทบทวนตัวเอง และเขียนบันทึกการเฝ้าเดี่ยวอยู่ที่บ้าน ตอนเขียนฉันเกลียดตัวเองไปร้องไห้ไป” พี่น้องหญิงพูดว่า “คุณไล่ตามเสาะความจริงจริงๆ แม้จะถูกปลดออกไปแล้ว คุณก็ยังเขียนบันทึกการเฝ้าเดี่ยว” อีกคู่หนึ่งพูดว่า “พี่สาว คุณสู้ทนและสละตนอย่างมาก เรายอมรับไม่ได้ที่คุณถูกปลด ผู้นำถึงกับมาชุมนุมและสามัคคีธรรมกับเราโดยเฉพาะ” ฉันพูดอย่างเสแสร้งว่า “ฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จ และสมควรถูกปลดแล้ว พวกคุณไม่ควรอยู่ข้างฉัน แต่ควรอยู่ข้างความจริง” แต่ภายใน ฉันรู้สึกยินดีมาก คิดว่า “ดูเหมือนว่าพี่น้องชายหญิงจะรู้เรื่องฉันแล้ว และรู้ว่าฉันถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม พวกเขารู้ว่าฉันได้ทำงานมากมายในคริสตจักร ผู้นำระดับสูงอาจปลดพี่น้องหญิงที่ทำงานคู่กับฉันได้ แต่พวกเขาไม่ควรปลดฉัน” ฉันยังคิดถึงเรื่องที่จดหมายรายงานส่วนใหญ่ที่ถูกอ่านให้ฉันฟังในวันนั้น มาจากผู้ร่วมงานของฉัน สิ่งนี้ทำให้ฉันยิ่งต่อต้านและไม่เต็มใจที่จะยอมรับมากขึ้นไปอีก ฉันตัดแต่งพวกเขาก็เพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง แต่พวกเขากลับบอกว่าฉันตำหนิพวกเขา และเปิดโปงฉัน จนทำให้ฉันถูกปลด ฉันทำสิ่งที่เป็นบวกชัดๆ แต่พวกเขากลับมองไม่เห็น ไม่มีใครเห็นค่าการทำงานหนักของฉันเลยจริงๆ! ต่อไปฉันจะไม่ชี้ให้เห็นปัญหาของพวกเขาอีก และจะดูว่าพอไม่มีฉันแล้วพวกเขาจะจัดการกันยังไง ในช่วงเวลานั้น ภายนอกฉันยังคงทำหน้าที่ต่อไป แต่ภายใน ฉันต่อต้านและดิ้นรน ฉันเก็บซ่อนความเกลียดชังต่อผู้ร่วมงานที่เปิดโปงฉันเอาไว้ เมื่อพวกเขาพูดกับฉัน ฉันก็เมินเฉย แทบไม่ได้พูดในระหว่างการชุมนุม พวกเขาถูกฉันจำกัด และคอยเฝ้าดูสีหน้าท่าทางฉัน การประชุมจึงไม่มีประสิทธิผล เมื่อเห็นภาพนี้ ฉันไม่เพียงแต่ไม่มีความสำนึกเสียใจแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกจริงๆ ว่าความเจ็บปวดที่ฉันต้องทนทุกข์เกิดจากการรายงานและการเปิดโปงของพวกเขา พวกเขาแค่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ฉันถึงกับระบายความไม่พอใจต่อหน้าพี่น้องชายหญิง โดยพูดว่า “ฉันถูกปลดไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังขอให้ฉันเข้าร่วมการประชุมผู้ร่วมงานอีก ฉันไม่ใช่ผู้นำอีกต่อไปแล้ว ทำไมฉันต้องไปด้วย?” ฉันถึงกับคิดในใจว่า “ฉันก็ถูกปลดไปแล้ว แต่พวกเขายังขอให้ฉันทำโน่นทำนี่ ทุกอย่างยังต้องพึ่งฉันอยู่เลย” หนึ่งเดือนต่อมา ผู้นำทราบว่าฉันไม่ได้ทบทวนตัวเองหลังจากถูกปลด และถึงขนาดแสดงความไม่พอใจกับพี่น้องชายหญิง พวกเขาจึงมาสามัคคีธรรมและเปิดโปงฉัน แต่ว่าฉันไม่ยอมรับ และยังผูกใจเจ็บต่อพี่น้องหญิงคนนั้นที่รายงานสถานการณ์ คิดว่า “ฉันไว้ใจเธอ แต่เธอกลับทรยศฉันด้วยการรายงานปัญหาของฉัน เจอเธออีกเมื่อไหร่ละก็ ฉันจะต่อว่าเธอแน่ๆ” ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันกล่าวหาพี่น้องหญิงคนนั้นด้วยความโกรธว่า “ฉันจะไม่มีวันเปิดใจเล่าอะไรให้เธอฟังอีก เธอรายงานฉันเพราะฉันพูดถึงความเสื่อมทรามบางอย่างของตัวเอง” พี่น้องหญิงนั่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น จากนั้น ฉันพูดด้วยความน้อยใจว่า “ฉันจะไม่มีวันเป็นผู้นำอีกแล้ว พวกเขาปลดฉันและไม่ยอมให้ฉันกลับบ้าน ทำให้ฉันต้องอับอายอยู่ที่นี่ มันเหมือนโดนมีดทื่อๆ แทง” ผู้ร่วมงานต่างมองฉันด้วยความตกใจหลังจากได้ยินแบบนี้ และการชุมนุมก็กลับวุ่นวายเพราะฉันอีกครั้ง ต่อมา พี่น้องหญิงที่ทำงานคู่กับฉันเตือนฉันว่า นี่เป็นการระบายความคิดในแง่ลบ แต่ฉันไม่รู้ตัวเลย
ในช่วงเวลานั้น ฉันต่อต้านและไม่เต็มใจที่จะยอมรับการปลด ฉันเผยแพร่ความไม่พอใจ ระบายความคิดในแง่ลบ ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร สองเดือนต่อมา พี่น้องชายหญิงเปิดโปงเรื่องที่ฉันไปขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรมากกว่ายี่สิบกรณี พอได้ฟังข้อกล่าวหาที่พี่น้องชายหญิงเขียนไว้ทีละข้อ ฉันก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างหนัก จนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ผู้นำพูดว่า “จากรายงานของพี่น้องชายหญิง เราพบว่าคุณมีพฤติกรรมจำกัด ต่อว่า และแม้กระทั่งลงโทษผู้อื่นในคริสตจักรไม่หยุดหย่อน คุณกระทำตามอำเภอใจและไร้ความยั้งคิด จนพี่น้องชายหญิงรู้สึกเหมือนถูกคุณจำกัด คุณกระทำอย่างไร้กฎเกณฑ์ในคริสตจักร หลังจากถูกปลดออก คุณยังคงต่อต้านและไม่พอใจ ก่อกวนชีวิตคริสตจักร เผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อชักพาผู้อื่นให้หลงเชื่อ และทำให้พี่น้องชายหญิงลุกขึ้นมาเข้าข้างคุณ จากการกระทำของคุณ คุณถูกขับไล่ออกจากคริสตจักรในฐานะศัตรูของพระคริสต์” ในตอนนั้นฉันรู้สึกตกตะลึงไปหมด นี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่กลับลงเอยในสภาพแบบนี้ ฉันเจ็บปวดหัวใจอย่างมาก และรู้สึกเหมือนท้องฟ้ากำลังถล่มลงมา นอกจากร้องไห้แล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีก หากไม่มีพระเจ้าแล้ว เส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร? ฉันไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนั้น รู้สึกเหมือนชีวิตของฉันกับพระเจ้าได้มาถึงปลายทางแล้ว ในวันเวลาหลังจากนั้น เมื่อฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า ฉันรู้สึกว่าพระองค์อยู่ไกลออกไป ไกลเหลือเกิน ฉันไม่รู้สึกถึงการทรงสถิตของพระองค์อีกเลย ฉันพลิกอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร้จุดหมาย รู้สึกถึงความมืดมนและความว่างเปล่าภายใน และการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ก็ไม่ได้นำความสว่างมาให้ ฉันต้องการค้นหาเส้นทางในพระวจนะของพระเจ้า แต่ฉันรู้สึกว่าวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน ฉันไม่ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว และพระองค์คงจะไม่ต้องการฉันอีก ดังนั้น ฉันจึงตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัวตลอดเวลาในแต่ละวันที่ผ่านไป จากนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็มาเยือนฉัน ในช่วงเวลานั้น ฉันได้แต่กินซุปใสวันละชาม ร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่บ่อยๆ ใช้ชีวิตอย่างมึนงงเหมือนซากศพเดินได้ ฉันรู้สึกว่าฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว จึงรีบอธิษฐานถึงพระเจ้า เช้าวันหนึ่ง พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งผุดขึ้นในใจฉัน “พระเจ้าทรงเข้าใจทุกคนแบบเดียวกับแม่ที่เข้าใจลูก พระองค์ทรงเข้าใจความยากลำบากของแต่ละคน จุดอ่อนของพวกเขา รวมถึงสิ่งที่จำเป็นต่อพวกเขา ยิ่งกว่านั้นคือพระเจ้าทรงเข้าใจว่าระหว่างเข้าสู่กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยนั้น มนุษย์จะเผชิญความยากลำบาก ความอ่อนแอ และความล้มเหลวใดบ้าง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเข้าใจดีที่สุด” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เส้นทางปฏิบัติไปสู่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา) ฉันตระหนักได้อย่างชัดเจนว่านี่คือความรู้แจ้งจากพระเจ้า ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงทอดทิ้งฉันเสียทีเดียว พระองค์ยังคงทรงอยู่เคียงข้างฉัน ทรงคอยเฝ้าดูแลฉัน ฉันร้องไห้และอธิษฐานถึงพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า! เช่นนั้นแล้ว พระองค์ยังไม่ได้ทรงเลิกสนใจข้าพระองค์ พระองค์ยังคงทรงอยู่ข้างข้าพระองค์ ทรงคอยอยู่เคียงข้างและทรงนำข้าพระองค์…” ฉันรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าชูใจเป็นพิเศษ ดึงฉันกลับมาจากขอบเหวแห่งความตาย และมอบความกล้าหาญให้ฉันที่จะเดินต่อ หัวใจของฉันไม่สิ้นหวังอีกต่อไปแล้ว หลังจากนั้น ฉันเริ่มอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาวะของตัวเอง
วันหนึ่ง ฉันได้ยินบทเพลงสรรเสริญจากประสบการณ์ที่มีชื่อว่า “พระวจนะของพระเจ้าชุบชีวิตฉันขึ้นมาใหม่” “พระวจนะของพระเจ้าได้พิพากษาฉันเหมือนคมมีดบาดหัวใจของฉัน และฉันมองเห็นว่าฉันถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกเพียงใด ฉันไม่มีสิ่งใดคล้ายมนุษย์เลย ฉันโอหังจนฉันขาดพร่องเศษเสี้ยวใดๆ ของเหตุผล หรือความยำเกรงและความเชื่อฟังใดๆ ต่อพระเจ้า อุปนิสัยของฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ฉันยังคงเป็นของซาตาน ฉันเป็นประเภทที่ต้านทานพระเจ้าอย่างแท้จริง มีเพียงหลังจากการพิพากษาซ้ำๆ เท่านั้นฉันจึงตื่นขึ้น เมื่อนั้นเท่านั้นจึงมีการกลับใจใหม่และการเกลียดตัวเองในหัวใจของฉัน ท่ามกลางความเจ็บปวด พระวจนะของพระเจ้าได้ชูใจและให้กำลังใจฉัน ทำให้ฉันสามารถยืนขึ้นได้อีกครั้งจากสภาวะที่ล่มจมของฉัน ฉันปรารถนาที่จะสัตย์ซื่อและเชื่อฟังเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า และปฏิบัติตามความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการพิพากษาและการชำระความเสื่อมทรามของฉันให้บริสุทธิ์ ฉันได้รับประสบการณ์แล้วว่าความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่เพียงใด—โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงให้ดี ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตตามภาพลักษณ์ใหม่และนำความชูใจมาสู่พระหทัยของพระองค์” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ฉันเอาแต่ฟังบทเพลงสรรเสริญนี้ซ้ำไปซ้ำมา น้ำตาไหลเป็นทางไม่หยุด เนื้อเพลงทุกบรรทัดจับใจฉัน แสดงถ้อยคำได้ตรงใจฉัน มโนธรรมของฉันถูกตัดสินว่าผิดอย่างรุนแรง เมื่อคิดทบทวนถึงข้อกล่าวหาและการปลดที่ฉันเผชิญ ทั้งหมดนี้คือสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ จุดประสงค์คือเพื่อปลุกฉันให้ตื่นขึ้น และหวนกลับไปหาพระเจ้าพร้อมการกลับใจ นี่คือความรักและความรอดของพระเจ้า แต่ฉันกลับผลักไสทั้งหมดนี้ออกไป ไม่เคยยอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้าและเรียนรู้บทเรียนที่พระองค์ทรงพยายามสอนฉันเลย ฉันพลาดโอกาสที่พระเจ้าประทานให้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนตอนนี้ไม่มีโอกาสเหลืออยู่อีกแล้ว ฉันเต็มไปด้วยสำนึกเสียใจและรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ น้ำตาฉันไหลอย่างหยุดไม่ได้ ต่อมา ฉันตระหนักว่าฉันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตสร้าง และลมหายใจที่ฉันมีอยู่ก็เป็นพระเจ้าที่ประทานให้ ต่อให้พระเจ้าไม่ทรงต้องการฉันอีกต่อไป แต่ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็ควรตอบแทนความรักของพระองค์ ฉันจะเลิกเชื่อในพระเจ้าเพียงเพราะถูกขับไล่ออกมาไม่ได้ ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายของฉันจะหมดลง ฉันต้องติดตามพระเจ้าต่อไป คิดทบทวนและรู้จักตัวเอง พอตระหนักได้ถึงสิ่งเหล่านี้ ฉันก็เริ่มไตร่ตรองว่า ทำไมหลังจากเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ฉันจึงลงเอยด้วยการถูกขับไล่ออกมา
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งว่า “หากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี แต่ไม่เคยนบนอบพระองค์ และไม่ยอมรับพระวจนะของพระองค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ แต่กลับขอให้พระเจ้าทรงนบนอบเจ้าและทรงกระทำตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เจ้าก็เป็นกบฏอย่างที่สุด เจ้าคือผู้ไม่เชื่อ ผู้คนเช่นนั้นจะนบนอบพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าซึ่งไม่ประจวบพ้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้อย่างไรกัน? ผู้ที่เป็นกบฏที่สุดก็คือพวกที่เจตนาขัดขืนท้าทายและต้านทานพระเจ้า พวกเขาเป็นศัตรูของพระเจ้า เป็นศัตรูของพระคริสต์ ท่าทีของพวกเขานั้นไม่เป็นมิตรต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเสมอ พวกเขาไม่มีความเอนเอียงแม้แต่น้อยนิดที่จะนบนอบ ทั้งยังไม่เคยนบนอบหรือถ่อมใจตนเองอย่างเปรมปรีดิ์ พวกเขายกย่องตนเองต่อหน้าผู้อื่นและไม่เคยยอมนบนอบผู้ใด เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาพิจารณาว่าตนเองนั้นเก่งที่สุดในเรื่องการประกาศพระวจนะ และมีทักษะสูงสุดในการทำงานให้เกิดผลในตัวผู้อื่น พวกเขาไม่เคยทิ้งขว้าง ‘ขุมทรัพย์’ ที่ตนครอง แต่ปฏิบัติต่อขุมทรัพย์เหล่านั้นเฉกเช่นมรดกตกทอดของครอบครัวสำหรับนมัสการ เพื่อประกาศต่อผู้อื่นไปทั่ว และใช้ขุมทรัพย์เหล่านั้นเพื่ออบรมสั่งสอนพวกคนโง่เขลาที่ชื่นชูพวกเขา ในคริสตจักรมีผู้คนแบบนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียวจริงๆ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็น ‘วีรบุรุษผู้มิอาจมีผู้ใดพิชิตได้’ รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ผ่านมาพักแรมในบ้านของพระเจ้า พวกเขาถือการประกาศพระวจนะ (คำสอน) เป็นหน้าที่อันสูงส่งที่สุดของพวกเขา ปีแล้วปีเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า พวกเขายุ่งอยู่กับการบังคับใช้หน้าที่ ‘อันศักดิ์สิทธิ์และมิอาจฝ่าฝืนได้’ ของตนอย่างกร้าวแกร่ง ไม่มีใครกล้าแตะพวกเขา ไม่แม้แต่คนเดียวที่กล้าตำหนิพวกเขาอย่างเปิดเผย พวกเขากลายเป็น ‘กษัตริย์’ ในพระนิเวศของพระเจ้า อาละวาดเพ่นพ่านขณะที่พวกเขาปฏิบัติอย่างเผด็จการกับผู้อื่นมายุคแล้วยุคเล่า ปีศาจฝูงนี้พยายามหาทางร่วมมือกันรื้อทำลายงานของเรา เราจะยอมให้มารมีชีวิตพวกนี้ดำรงอยู่ต่อหน้าต่อตาเราได้อย่างไร?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่นบนอบพระเจ้าด้วยหัวใจที่แท้จริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน) การพิพากษาในพระวจนะของพระเจ้าได้ปลุกหัวใจที่ด้านชาของฉัน โดยเฉพาะคำว่า “ผู้ไม่เชื่อ” “ศัตรูของพระคริสต์” และ “ปีศาจ” ซึ่งเสียดแทงหัวใจของฉัน และทำให้ฉันรู้สึกเป็นทุกข์ใจอย่างมาก ฉันเฝ้าคิดทบทวนและถามตัวเองอยู่ตลอดว่า “หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ยอมสละครอบครัวและหน้าที่การงาน สู้ทนต่อความทุกข์ และทำหน้าที่ด้วยความขยันขันแข็ง แล้วฉันถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ไม่เชื่อ ศัตรูของพระคริสต์ และแม้กระทั่งปีศาจได้ยังไงกัน?” เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันคิดว่าฉันเป็นผู้นำมาหลายปี ทำงานสำเร็จลุล่วงมากกว่าผู้ร่วมงานหลายคน แก้ไขปัญหามามากกว่า และได้รับการให้ค่าอย่างสูงจากผู้นำระดับสูง ฉันถือเอาสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของตัวเอง เชื่อว่าฉันมีขีดความสามารถดีกว่าผู้อื่น ครองความสามารถในการทำงาน และเป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ สิ่งนี้ทำให้ฉันโอหัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฉันถูกส่งไปเกื้อหนุนคริสตจักรที่อ่อนแอกว่า และเห็นความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจากการทำงานร่วมกันซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันยกความดีความชอบในความสำเร็จนี้ให้ตัวเอง รู้สึกว่าเก่งไปทุกเรื่อง และมองว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น ฉันเริ่มดูถูกทุกคน เมื่อผู้ประกาศมาถามถึงเรื่องงาน ฉันก็มองว่าตัวเองเป็นคนสำคัญในคริสตจักร เป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจในการพูดมากที่สุด พอเห็นพี่น้องหญิงที่ทำงานคู่กันพูดขึ้นมาก่อน ฉันก็คิดว่าเธอกำลังแย่งความโดดเด่นของฉันไป ในระหว่างที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ ฉันมองข้ามจุดแข็งของผู้ร่วมงาน และมักสั่งสอนหรือตำหนิพวกเขาอย่างโอหัง โดยอ้างความอาวุโสของตัวเอง ต่อหน้าพี่น้องหญิงที่ทำงานคู่กัน ฉันทำตัวเหมือนเป็นเจ้านาย ต่อว่าเธอทุกครั้งที่เธอทำอะไรให้ฉันไม่พอใจ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกฉันจำกัด และทำหน้าที่ของเธออย่างหวาดระแวง คอยเฝ้าดูสภาวะอารมณ์ของฉันอยู่ตลอด ฉันตัดสินใจงานของคริสตจักรทุกเรื่องเองทั้งหมด โดยไม่ให้ผู้ร่วมงานมายุ่งเกี่ยวเลย เมื่อหัวหน้ากลุ่มแสดงความสงสัยต่อการตัดสินใจของฉัน พอรู้สึกว่าเธอไม่ให้ความเคารพต่อการเป็นผู้นำของฉัน ฉันก็ทนไม่ได้ ฉันจึงโดดเดี่ยวเธอออกไปโดยไม่ได้ปรึกษาใคร และยุติหน้าที่ของเธอ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างอำนาจบารมีให้ตัวเอง เมื่อย้อนมองการกระทำทั้งหมดเหล่านี้ ฉันกำลังทำหน้าที่อยู่จริงๆ เหรอ? ฉันมีพฤติกรรมเผด็จการและใช้อำนาจโดยพลการในคริสตจักร ทำให้พี่น้องชายหญิงทุกคนต้องฟังฉันและทำตามความต้องการของฉัน ฉันผูกขาดอำนาจและเป็นผู้ตัดสินใจทุกเรื่องในคริสตจักรอยู่ไม่ใช่เหรอ? เพราะความด้านชาและความดื้อแพ่งของฉัน ฉันได้ลงมือทำความชั่วมากมายโดยไม่รู้ตัวเลย เมื่อพระเจ้าทรงใช้พี่น้องชายหญิงเพื่อรายงานฉัน และฉันถูกปลดจากตำแหน่ง ฉันก็ไม่ได้คำนึงว่านี่เป็นความรักและความชอบธรรมของพระเจ้าที่มาถึงตัวฉัน ฉันล้มเหลวในการทบทวนและรู้จักตัวเอง ตรงกันข้าม ฉันยังคงแข็งขืนและไม่พอใจ ใช้การพลีอุทิศและการสละตนในอดีตเป็นทุน เชื่อว่าตัวเองเป็นคนที่มีความดีความชอบและไม่ควรถูกปลด ฉันถึงขั้นคิดว่าที่ผู้ร่วมงานเปิดโปงฉันนั้น ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถเข้ากับฉันได้ ในระหว่างการชุมนุมผู้ร่วมงาน ฉันทำตัวเหมือนคนเจ้าอารมณ์ สร้างความวุ่นวายและทำตัวเป็นเหยื่อ ทำให้ชีวิตคริสตจักรถูกรบกวนอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ฉันยังสร้างภาพหลอกๆ ว่าฉันรู้จักตัวเอง เพื่อชักจูงพี่น้องชายหญิงให้หลงผิดมายืนอยู่ข้างฉันและปกป้องฉัน ฉันผูกขาดอำนาจในคริสตจักร ทำให้ผู้คนต้องฟังฉัน และถึงขั้นโจมตีและกีดกันผู้ที่ต่อต้านฉัน ฉันไม่ยอมนบนอบการถูกปลด โวยวายและต่อต้าน รวมถึงเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงเชื่อ ดูจากการกระทำของฉันแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ตรงกับที่พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดโปงไว้ว่า “ไม่แม้แต่คนเดียวที่กล้าตำหนิพวกเขาอย่างเปิดเผย พวกเขากลายเป็น ‘กษัตริย์’ ในพระนิเวศของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่นบนอบพระเจ้าด้วยหัวใจที่แท้จริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน) ไม่มีใครกล้าท้าทายหรือล่วงเกินกับฉัน และไม่มีใครทำใจเปิดโปงหรือกล่าวหาฉันได้ ธรรมชาติที่โอหังของฉันได้ทวีความรุนแรงถึงขั้นไร้สติ ฉันไม่ได้เผยแค่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามธรรมดา แต่เป็นการปะทุของธรรมชาติเยี่ยงซาตาน ดังนั้น การจัดประเภทฉันว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์จึงไม่ใช่การกล่าวเกินจริง หนทางที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดการกับฉันคือความชอบธรรมของพระองค์ และฉันยอมรับสิ่งนั้นอย่างเต็มใจ ฉันได้กระทำการต่อต้านพระเจ้ามากมายเหลือเกิน แม้แต่ความตายก็ยังไม่สามารถชดเชยความประพฤติชั่วของฉันได้ และฉันสมควรถูกสาปแช่ง! ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ซ้ำๆ “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ได้ทำความชั่วมากมายนัก หากไม่ใช่เพราะการถูกขับออกมาและการเปิดเผยอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะทำความชั่วเพิ่มขึ้นอีกมากมายแค่ไหน พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะสารภาพและกลับใจเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ต่อให้พระองค์จะให้ข้าพระองค์ตายในตอนนี้ ข้าพระองค์ก็ยินดีที่จะนบนอบด้วยความเต็มใจ”
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะรู้วิธีปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า และก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ผละจากเจ้าไป—ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ที่เจ้าจะทรยศพระเจ้า หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน เช่นนั้นแล้วการถูกบอกให้ไม่ต่อต้านพระเจ้าก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร เจ้าไม่อาจห้ามตัวเองได้มันอยู่เหนือการควบคุมของตัวเจ้า เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง นำเสนอตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าสบประมาทผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นจะไม่ปล่อยให้หัวใจของเจ้ามีผู้ใดนอกจากตัวเจ้าเอง ความโอหังและความทะนงตนจะปล้นที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าไป และในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหตุให้เจ้านั่งแทนที่พระเจ้าและเรียกร้องให้ผู้คนนบนอบเจ้า และทำให้เจ้าเทิดทูนความคิด แนวคิด และมโนคติอันหลงผิดของตนเองว่าเป็นความจริง ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและหยิ่งทะนงของตนนั้นทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน! เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาการทำชั่วของพวกเขา พวกเขาจะต้องแก้ไขธรรมชาติของตนเสียก่อน หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำพาการแก้ไขขั้นพื้นฐานมาสู่ปัญหานี้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่า ความสามารถของฉันในการผูกขาดคริสตจักร เข้าควบคุมงาน ต่อว่าและจำกัดผู้ร่วมงาน และกีดกันคนที่มีความเห็นต่างจากฉัน เกิดจากการถูกธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนบงการ ธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนนี้เอง ที่ทำให้ฉันคิดว่าตัวเองสูงส่งมาก เชื่อว่าสิ่งที่ฉันทำทั้งหมดนั้นถูกต้อง และพี่น้องชายหญิงต้องเชื่อฟังฉัน ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับฉันจะถูกกีดกันและถูกลงโทษ น้ำพิษของซาตานอย่างเช่น “ทั่วทั้งจักรวาลนี้ เราเท่านั้นที่ครองราชย์สูงสุด” และ “ให้เหล่าผู้ที่ทำตามเราจงเจริญรุ่งเรือง และพวกที่ต้านทานเราจงพินาศ” ทำให้ฉันยิ่งโอหังและทะนงตนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำอะไรตามอำเภอใจในคริสตจักร กลายเป็นคนจองหองที่อันธพาลไร้การควบคุม และสูญเสียมโนธรรมและเหตุผลไปหมด ไม่มีความเป็นมนุษย์ใดหลงเหลืออยู่เลย หากฉันไม่เปลี่ยนแปลง ในที่สุดฉันก็จะถูกพระเจ้ากำจัดและลงโทษเพราะความเป็นศัตรูกับพระองค์ ฉันคิดไปถึงเรื่องที่พระเจ้าทรงยกฉันขึ้นและทรงมอบโอกาสให้ฉันฝึกปฏิบัติเป็นผู้นำ เจตนารมณ์ของพระองค์คือให้ฉันไล่ตามเสาะหาความจริงผ่านโอกาสเช่นนี้ อีกทั้งสามัคคีธรรมความจริงเพื่อเกื้อหนุนและช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงด้วย แต่ฉันกลับทำตัวเหมือนเป็นกษัตริย์และผูกขาดอำนาจในคริสตจักร ต่อว่าและติติงพี่น้องชายหญิงทุกคนที่เผยความเสื่อมทราม ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นทาสให้ด่าว่าและลงโทษ ทุกครั้งที่ใครก็ตามตั้งคำถามต่อการตัดสินใจของฉัน ฉันก็จะกดข่มและลงโทษพวกเขา ฉันช่างเลวทรามเหลือเกิน! ไม่ว่าฉันจะทำให้พี่น้องชายหญิงเจ็บปวดแค่ไหน หรือทำการก่อกวนชีวิตคริสตจักรเพียงใด ฉันยังคงไร้ความรู้สึกและไม่สะทกสะท้าน แม้แต่หลังจากที่คริสตจักรปลดฉันออกเพราะการกระทำของฉัน ฉันก็ยังไม่กลับใจ คิดว่าฉันเป็นคนมีความสามารถพิเศษและเป็นคนที่พระนิเวศของพระเจ้าขาดไม่ได้ ฉันยังคงก่อกวน ขัดขวาง และเผยแพร่ความไม่พอใจภายในคริสตจักร ดึงพี่น้องชายหญิงให้มาอยู่ข้างฉันและปกป้องฉัน ธรรมชาติของการกระทำเหล่านี้คือการท้าทายต่อสิ่งที่คริสตจักรทำกับฉัน เป็นการต้านทานและเป็นศัตรูกับพระเจ้า การถูกขับออกจากคริสตจักรได้เผยความชอบธรรมของพระเจ้าออกมาอย่างเต็มที่ และนั่นเป็นความผิดของฉันล้วนๆ เมื่อนึกย้อนแต่ละภาพเหตุการณ์ในอดีต ฉันก็รู้สึกถูกกล่าวโทษอย่างหนัก ฉันเกลียดตัวเองอย่างมากจนถึงขั้นตบหน้าตัวเองหลายครั้ง แต่การกระทำผิดของฉันนั้นไม่อาจแก้ไขได้ เมื่อคิดถึงพี่น้องชายหญิงที่ฉันเคยทำร้าย ฉันไปบ้านพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ฉันสามารถติดต่อได้เป็นที่แรก ฉันร้องไห้และพูดกับเธอว่า “ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าฉันไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์เลย ตอนที่เราทำงานด้วยกัน ฉันหาเหตุผลทุกอย่างมาดูถูกคุณ และกล่าวคำพูดที่เจ็บแสบเพื่อต่อว่าและจำกัดคุณ ตอนนี้ฉันรู้ตัวแล้วว่าฉันไม่เป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ ฉันโอหังเกินไป ฉันต้องขอโทษด้วยนะ!” พี่น้องหญิงคนนี้ได้สามัคคีธรรมกับฉันและปลอบโยนฉัน พร้อมทั้งกระตุ้นให้ฉันเรียนรู้บทเรียนจากสถานการณ์นี้ เมื่อฉันนบนอบการขับไล่นี้ได้ในที่สุด ฉันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก ความรู้สึกกลัวและหมดหนทางที่ท่วมท้นอยู่เริ่มเบาบาง เมื่อทบทวนถึงสิ่งที่ฉันทำทั้งหมด มันเหมือนกับหนามที่ทิ่มแทงหัวใจ ทำให้ฉันทนไม่ได้ที่จะย้อนคิดถึง ต่อให้สุดท้ายฉันจะไม่มีจุดจบที่ดี แต่ฉันก็เต็มใจที่จะนบนอบและกลับใจ! เพื่อชดเชยหนี้ความผิดของฉัน ฉันพยายามเกื้อหนุนพี่น้องชายหญิงที่อ่อนแอและคิดลบอย่างสุดความสามารถ ฉันยังเปิดบ้านให้พี่น้องชายหญิงมาร่วมชุมนุมอีกด้วย ฉันดำดิ่งอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า เขียนคำพยานจากประสบการณ์ และฉันก็เริ่มรู้สึกถึงการทรงสถิตของพระเจ้าอีกครั้งโดยไม่ทันรู้ตัว ฉันได้สัมผัสถึงการชี้ทางและการนำจากพระวจนะของพระเจ้า และฉันรู้สึกว่าหัวใจได้รับการเติมเต็มมากขึ้น
สองปีต่อมา วันหนึ่ง ตอนที่ฉันได้ยินพี่น้องหญิงคนหนึ่งพูดว่าคริสตจักรต้องการรับฉันกลับไป ฉันดีใจอยู่ภายใน แต่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อนัก คิดในใจว่า “ถ้าฉันได้กลับไปที่คริสตจักรอีกครั้ง ฉันจะไม่พัวพันกับการทำความชั่วเหมือนที่เคยทำเมื่อก่อน” สองวันต่อมา ผู้นำก็มาพบฉันอย่างไม่คาดคิด และพูดว่า “เรารู้เรื่องพฤติกรรมการกลับใจของคุณหลังจากถูกขับไล่แล้ว รวมถึงการเป็นเจ้าภาพและการเกื้อหนุนพี่น้องชายหญิง และการเปิดโปงการทำความชั่วของตัวคุณเอง อิงจากการประเมินตามหลักธรรม คริสตจักรตัดสินใจที่จะฟื้นฟูชีวิตคริสตจักรของคุณ คุณยินดีที่จะกลับมาไหม?” ฉันตื่นเต้นมากจนพูดซ้ำๆ ว่า “ยินดีค่ะ ฉันยินดีค่ะ” ขณะที่เดินกลับบ้าน หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความชื่นบานยินดี และฉันอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ว่า “พระเจ้า! พระเจ้า! ข้อพระองค์ได้กลับไปยังพระนิเวศของพระองค์อีกครั้งแล้ว” ในตอนนั้น รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างวิเศษไปหมด และความขมขื่นในอดีตก็จางหายไป เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันตื่นเต้นมากจนไม่รู้จะพูดอะไรกับพระเจ้า ฉันทำได้แค่อธิษฐานทั้งน้ำตาว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์สามารถมีชีวิตคริสตจักรร่วมกับพี่น้องชายหญิงอีกครั้งได้ พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์! พระเจ้า! ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์!” หลังจากนั้น ฉันได้ทำหน้าที่ของฉันอีกครั้ง ฉันถนอมโอกาสในการทำหน้าที่นี้เอาไว้ และไม่ต้องการต้านทานพระเจ้าด้วยการทำชั่วเหมือนในอดีต ฉันได้มีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นชัดแจ้งและแท้จริง ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงพระพิโรธหรือทรงเปี่ยมกรุณาและผ่อนปรนต่อมนุษย์หรือไม่ นั่นคือการสำแดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ฉันได้เห็นว่าการกระทำของพระเจ้าต่อผู้คนล้วนออกมาจากความรักและเพื่อความรอด
ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2020 ระหว่างการเลือกตั้งในคริสตจักร ฉันได้รับเลือกเป็นมัคนายกข่าวประเสริฐ เมื่อย้อนนึกถึงการทำความชั่วของฉันในอดีตที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ฉันก็ตระหนักว่า ครั้งนี้พระนิเวศของพระเจ้าได้มอบโอกาสให้ฉันกลับใจ และฉันต้องทำให้ดี ฉันไม่สามารถพึ่งพาอุปนิสัยอันโอหังของตัวเองในการทำหน้าที่อีกต่อไป วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งว่า “ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น และสุขสำราญในหน้าที่ของเจ้าเสมือนเจ้าหน้าที่รัฐ ปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงไปกับผลประโยชน์แห่งสถานะของเจ้าอยู่เสมอ สร้างแผนการของตัวเองอยู่เสมอ คิดคำนึงและชื่นชมกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตัวเองอยู่เสมอ ดำเนินการของตัวเองอยู่เสมอ และพยายามให้ได้รับสถานะที่สูงขึ้นอยู่เสมอ พยายามบริหารจัดการและควบคุมผู้คนให้มากขึ้น และพยายามขยายขอบเขตอำนาจของเจ้า นี่ย่อมสร้างความเดือดร้อน การปฏิบัติต่อหน้าที่อันสำคัญเสมือนโอกาสที่จะสุขสำราญกับตำแหน่งของเจ้าราวกับว่าเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นสิ่งที่อันตรายมาก หากเจ้าปฏิบัติตัวเช่นนี้ตลอดเวลา ไม่ปรารถนาที่จะร่วมมือกับผู้อื่น ไม่ต้องการลดทอนและแบ่งปันอำนาจของตนกับผู้อื่น ไม่ต้องการให้ผู้ใดได้เปรียบเจ้า ขโมยความเป็นจุดสนใจ หากเจ้าต้องการสุขสำราญกับอำนาจเพียงลำพังตัวเจ้าเท่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือศัตรูของพระคริสต์ แต่หากมีบ่อยครั้งที่เจ้าแสวงหาความจริง ปฏิบัติการกบฏต่อเนื้อหนัง แรงจูงใจและแนวคิดของเจ้า และสามารถอาสาเข้ามาร่วมมือกับผู้อื่น เปิดใจปรึกษาหารือและแสวงหาร่วมกับผู้อื่น รับฟังแนวคิดและข้อเสนอแนะของผู้อื่น และยอมรับคำแนะนำที่ถูกต้องและเป็นไปตามความจริงไม่ว่าจะมาจากผู้ใด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังปฏิบัติอย่างมีปัญญาและถูกต้อง และสามารถหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางที่ผิด ซึ่งเป็นการปกป้องตัวเจ้า เจ้าต้องปล่อยมือจากตำแหน่งผู้นำทั้งหลาย ปล่อยมือจากการทำตัวราวกับเจ้ามีสถานะอันยิ่งใหญ่ ปฏิบัติต่อตนเองเหมือนคนทั่วไป ยืนอยู่ระดับเดียวกับผู้อื่น และมีท่าทีที่รับผิดชอบหน้าที่ของตน หากตลอดเวลาเจ้าปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าเหมือนเป็นตำแหน่งและสถานะของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเป็นความสำเร็จประเภทหนึ่ง และจินตนาการว่าผู้อื่นอยู่ตรงนั้นเพื่อทำงานและรับใช้ตำแหน่งของเจ้า นี่ย่อมเป็นปัญหา และพระเจ้าก็จะทรงชิงชังและรังเกียจเจ้า หากเจ้าเชื่อว่าเจ้าทัดเทียมกับผู้อื่น เจ้าเพียงแต่มีพระบัญชาและความรับผิดชอบจากพระเจ้าเพิ่มขึ้นมาบ้างเท่านั้น หากเจ้าสามารถเรียนรู้ที่จะวางตัวเสมอพวกเขา และถึงกับสามารถถ่อมตัวถามว่าผู้อื่นคิดอย่างไร หากเจ้าสามารถรับฟังอย่างจริงจัง ใกล้ชิด และตั้งใจ ว่าพวกเขาพูดอะไร เช่นนั้นแล้วเจ้าจะร่วมมือกับผู้อื่นได้อย่างกลมเกลียว” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) พระวจนะของพระเจ้าแสดงเส้นทางแห่งการปฏิบัติให้ฉันเห็น สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากเราคือการเลิกวางตัวเป็นผู้นำ และร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียว ไม่ยืนกรานในหนทางของตัวเอง รับฟังคำแนะนำจากผู้อื่นมากขึ้น และเรียนรู้จากจุดแข็งของพวกเขา ด้วยการกระทำเช่นนี้เท่านั้น เราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเราได้อย่างพอเหมาะพอดี เมื่อก่อน ฉันเคยคิดว่าฉันปฏิบัติหน้าที่ผู้นำมาหลายปีและมีประสบการณ์การทำงาน และสิ่งนี้เป็นเหมือนต้นทุนของฉัน ฉันเชื่อเสมอว่าตัวเองดีกว่าผู้อื่น ไม่สามารถมองเห็นจุดแข็งของพี่น้องชายหญิง และมีแต่สร้างความเสียหายให้แก่พวกเขา สิ่งที่ฉันนำมาสู่การงานของคริสตจักรคือการก่อกวน ตอนนี้ฉันตระหนักได้แล้วว่า พี่น้องหญิงที่ทำงานคู่กับฉันมีความมั่นคงและแบกรับภาระในการปฏิบัติหน้าที่ของเธอ หากเธอเห็นใครกระทำสิ่งที่ขัดกับหลักธรรม เธอจะให้การชี้แนะและช่วยเหลือ แต่ฉันกลับไม่เห็นคุณค่าในจุดแข็งของเธอและมักดูถูกเธอ บ่อยครั้งที่ฉันไม่เอาใจใส่ต่อคำแนะนำของเธอและถึงขั้นจำกัดเธอ เมื่อคิดทบทวนถึงเรื่องนี้ ฉันรู้สึกละอายและสำนึกเสียใจต่อพี่น้องหญิงของฉัน ทุกคนมีจุดแข็งของตัวเอง พระเจ้าทรงให้เราได้จับคู่กัน เพื่อที่้เราจะได้ช่วยเหลือกัน เรียนรู้จากอีกฝ่าย และคอยกำกับดูแลซึ่งกันและกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เราเดินไปผิดทาง การปฏิบัติแบบนี้เป็นประโยชน์ต่อการงานของคริสตจักร ตอนนี้ฉันจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ในการทำหน้าที่ ฉันต้องแสวงหาความจริง ฟังคำแนะนำจากผู้อื่นมากขึ้น และไม่พึ่งพาประสบการณ์และคุณสมบัติของตัวเอง ฉันต้องเดินตามเส้นทางที่พระวจนะของพระเจ้าแสดงไว้
ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง เรากำลังหารือกันถึงความลำบากยากเย็นและปัญหาเกี่ยวกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ ฉันมีมุมมองที่แตกต่างจากพี่น้องหญิงคนหนึ่ง และเมื่อฉันบอกเล่ามุมมองของฉัน เธอก็ไม่เห็นด้วย ฉันรู้สึกอับอายเล็กน้อย คิดในใจว่า “ฉันเพิ่งมีผลลัพธ์จากการเผยแผ่ข่าวประเสริฐตามวิธีการของฉันเองเมื่อไม่นานมานี้ แล้วเธอที่อายุน้อยกว่าและไม่มีประสบการณ์ในงานข่าวประเสริฐ จะเข้าใจวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ยังไง?” ฉันเริ่มยืนกรานในความคิดเห็นของตัวเองอย่างโอหังอยู่ในใจ ในตอนนั้น ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ที่ว่า “หากเจ้าเชื่อว่าเจ้าทัดเทียมกับผู้อื่น เจ้าเพียงแต่มีพระบัญชาและความรับผิดชอบจากพระเจ้าเพิ่มขึ้นมาบ้างเท่านั้น หากเจ้าสามารถเรียนรู้ที่จะวางตัวเสมอพวกเขา และถึงกับสามารถถ่อมตัวถามว่าผู้อื่นคิดอย่างไร หากเจ้าสามารถรับฟังอย่างจริงจัง ใกล้ชิด และตั้งใจ ว่าพวกเขาพูดอะไร เช่นนั้นแล้วเจ้าจะร่วมมือกับผู้อื่นได้อย่างกลมเกลียว” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) ในตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักได้ว่า การที่พี่น้องหญิงปฏิเสธมุมมองของฉันนั้น สามารถช่วยให้ฉันเลิกวางตัวสูงส่ง เรียนรู้ที่จะร่วมมืออย่างกลมเกลียวกับผู้อื่น และรับฟังคำแนะนำของพวกเขา เมื่อคิดคำนึงดูอย่างรอบคอบ ฉันก็พบว่า คำแนะนำของพี่น้องหญิงนั้นเหมาะสมและมีคุณค่า ในตอนนั้นเองที่ฉันรู้ตัวว่า ในอดีต ฉันคิดว่าตัวเองถูกมากเกินไป คิดว่าตัวเองเหนือกว่าและไม่เอาใจใส่ต่อคำแนะนำของผู้อื่น ฉันโอหังเกินไป ฉันยังได้เห็นอีกด้วยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในแต่ละบุคคลแตกต่างกัน ไม่ว่าใครจะเสนอคำแนะนำมา เราต้องลองฟังและแสวงหามากขึ้น เรียนรู้จากจุดแข็งและข้อบกพร่องของกันและกัน เพื่อให้ทำงานได้ดี ตอนนี้เมื่อคำแนะนำของพี่น้องหญิงเหมาะสม ฉันก็ควรยอมรับ ฉันพูดว่า “งั้นเราดำเนินตามแผนของคุณกันเถอะ” เมื่อฉันวางความคิดเห็นของตัวเองลง และฟังคำแนะนำของพี่น้องหญิงเพื่อประโยชน์ของงานในคริสตจักร ฉันรู้สึกมั่นใจมาก ต่อมา เมื่อเผชิญกับปัญหาในการทำหน้าที่ ทุกคนก็แบ่งปันมุมมองของตน ฉันรับเอาคำแนะนำที่เหมาะสมจากพี่น้องชายหญิงที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ บางครั้ง เมื่อพี่น้องชายหญิงชี้ให้เห็นปัญหาของฉัน แม้ว่าฉันจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ฉันก็สามารถยอมรับและทบทวนดู หลังจากปฏิบัติในหนทางนี้ไปสักระยะ ฉันก็มีความก้าวหน้า และสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงได้ตามปกติ
แม้ว่าฉันจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากหลังจากการถูกขับไล่ แต่นั่นก็ช่วยให้ฉันรู้จักธรรมชาติอันโอหังของตัวเองที่ฝังรากลึกได้มากขึ้น หากไม่ได้มีประสบการณ์กับสภาวะการณ์เช่นนี้ คนอย่างฉันที่โอหังมากคงเปลี่ยนแปลงได้ยาก และในท้ายที่สุด หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง ฉันคงจะถูกเผยและกำจัดออกไป การถูกปลดและถูกขับไล่ครั้งนี้คือความรักและความรอดอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อฉัน ฉันขอสรรเสริญพระเจ้าด้วยความจริงใจจากก้นบึ้งของหัวใจ!