44. ฉันไม่รักษาหน้าของตัวเองอีกต่อไป

โดย เทรซี่ ประเทศเมียนมาร์

ในเดือนกันยายน ปี 2023 พี่น้องชายหญิงเลือกฉันให้เป็นผู้นำในคริสตจักร โดยรับผิดชอบงานให้น้ำเป็นหลัก เมื่อได้ยินข่าวนี้ ฉันก็รู้สึกกดดันมาก คิดว่า “งานของคริสตจักรมีหลายอย่าง ฉันเพิ่งจะเริ่มฝึกฝนและยังไม่มีประสบการณ์ ถ้าฉันไปติดตามงานของพี่น้องชายหญิง แล้วมีบางเรื่องที่ฉันจัดการไม่ได้ พวกเขาจะมองฉันยังไง?  พวกเขาจะพูดไหมว่าฉันขาดสำนึก ไปติดตามงานของคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ยังทำไม่เป็น?” เพราะฉันไม่อยากให้พวกเขาพบข้อบกพร่องและดูถูกฉัน ฉันจึงปฏิเสธหน้าที่ผู้นำ ฉันพูดกับผู้ดูแลว่า “ให้ฉันตั้งใจทำหน้าที่ปัจจุบันของฉันให้ดีดีกว่าค่ะ” ผู้ดูแลมาหาและสามัคคีธรรมกับฉันว่า “คุณเรียกร้องจากตัวเองสูงเกินไป ทุกคนล้วนมีข้อบกพร่อง และเป็นเรื่องปกติมากที่งานของเราจะมีข้อด้อยอยู่บ้าง ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเราไม่ได้สูงขนาดนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงให้ความสำคัญคือท่าทีที่เรามีต่อหน้าที่ และพระองค์ทรงทอดพระเนตรว่าเราทุ่มเทความพยายามทั้งหมดให้กับงานของเราหรือไม่” เมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้ดูแลพูด ฉันก็คิดว่าเขาพูดถูก ทุกคนล้วนมีข้อบกพร่องและข้อด้อย ดังนั้นเราทุกคนจึงจำเป็นต้องฝึกฝนและเรียนรู้ให้มากขึ้น ฉันไม่ควรปฏิเสธหน้าที่นี้เลย หลังจากนั้น ฉันก็ทบทวนตัวเอง ทำไมฉันถึงเอาแต่พยายามปฏิเสธเมื่อหน้าที่นี้มาถึงฉันนะ?

วันหนึ่งระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “หากเจ้าปรารถนาที่จะอุทิศตนในทุกสรรพสิ่งเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจ้าไม่สามารถทำได้ด้วยการปฏิบัติเพียงหน้าที่เดียว เจ้าต้องยอมรับพระบัญชาใดๆ ที่พระเจ้าประทานให้กับเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นไปตามรสนิยมของเจ้าและตรงกับความสนใจของเจ้า หรือเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่ชื่นชอบ ไม่เคยทำมาก่อน หรือยากลำบากก็ตาม เจ้ายังควรยอมรับและนบนอบ  เจ้าไม่เพียงต้องยอมรับ แต่เจ้าต้องร่วมมือในเชิงรุก และเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ระหว่างการได้รับประสบการณ์และการเข้าไปสู่  ต่อให้เจ้าทนทุกข์กับความยากลำบาก เหนื่อยล้า อับอาย หรือสังคมไม่ยอมรับ เจ้าก็ยังต้องทุ่มเททำเช่นนั้นอย่างอุทิศตน  ด้วยการปฏิบัติในหนทางนี้เท่านั้น  เจ้าจึงจะสามารถอุทิศตนได้ในทุกสรรพสิ่งและสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้  เจ้าต้องถือว่านี่เป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องปฏิบัติ ไม่ใช่ในฐานะกิจธุระส่วนตัว  เจ้าควรเข้าใจหน้าที่ต่างๆ อย่างไร?  เป็นสิ่งที่พระผู้สร้าง—พระเจ้า—ประทานให้ใครบางคนทำ หน้าที่ของผู้คนเกิดขึ้นโดยหนทางนี้  พระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้เจ้าคือหน้าที่ของเจ้า และการนี้เป็นไปตามธรรมชาติและสมเหตุสมผลอย่างที่สุดที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตามที่พระเจ้าพึงประสงค์  หากเจ้าเข้าใจชัดเจนว่าหน้าที่นี้คือพระบัญชาของพระเจ้า และนี่เป็นความรักของพระเจ้าและเป็นพรของพระเจ้าที่มาสู่เจ้า เช่นนั้นเจ้าจะสามารถยอมรับหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจที่รักพระเจ้า และเจ้าจะสามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าในขณะที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน และเจ้าจะสามารถเอาชนะความยากลำบากทั้งหมดเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  ผู้ที่สละตนเองเพื่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริงไม่มีวันสามารถปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้า พวกเขาไม่มีวันสามารถปฏิเสธหน้าที่ใดได้  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายหน้าที่ใดให้เจ้า ไม่ว่าหน้าที่นั้นจะนำความยากลำบากใดมาให้ เจ้าก็ไม่ควรปฏิเสธ แต่ควรยอมรับเอาไว้  นี่คือเส้นทางการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการปฏิบัติความจริงและอุทิศตนให้กับทุกสรรพสิ่งเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  จุดสนใจในที่นี้คืออะไร?  จุดสนใจอยู่ตรงคำว่า ‘ให้กับทุกสรรพสิ่ง’  ‘ทุกสรรพสิ่ง’ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงสิ่งทั้งหลายที่เจ้าชอบหรือทำได้ดี นับประสาอะไรกับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าคุ้นเคย  บางครั้งสิ่งเหล่านั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้ดี สิ่งทั้งหลายที่เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้ สิ่งทั้งหลายที่เป็นความยากลำบาก หรือสิ่งทั้งหลายที่เจ้าต้องทนทุกข์  อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่เจ้า เจ้าก็ต้องยอมรับจากพระองค์ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด เจ้าต้องยอมรับมาและปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดี ทำหน้าที่นั้นด้วยการอุทิศตนและสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  นี่คือเส้นทางปฏิบัติ  ไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องแสวงหาความจริงอยู่เสมอ และทันทีที่เจ้าแน่ใจว่าการปฏิบัติจำพวกใดเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า นั่นก็คือหนทางที่เจ้าควรปฏิบัติ  มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นที่เจ้าจะได้ปฏิบัติความจริง และในหนทางนี้เท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่าการที่จะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้นั้น เราต้องยอมรับหน้าที่ใดๆ ก็ตามที่มาจากพระเจ้า หน้าที่ที่มาถึงเราอาจเป็นหน้าที่ที่เราไม่เคยทำมาก่อน ดังนั้นเราต้องทุ่มเทเวลาและความพยายามเพื่อเรียนรู้ และเนื้อหนังของเราก็จำเป็นต้องทนทุกข์มากขึ้น หรืออาจเสียหน้าเพราะความบกพร่องของเรา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราต้องมีหัวใจที่เรียบง่ายและเชื่อฟัง นี่คือท่าทีที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมีต่อหน้าที่ ฉันมองย้อนกลับมาที่ตัวเองเพื่อเปรียบเทียบ เมื่อฉันรู้ว่าตัวเองได้รับเลือกให้เป็นผู้นำในคริสตจักร ฉันรู้ว่าผู้นำต้องติดตามงานด้านต่างๆ ของคริสตจักร แต่ฉันขาดตกบกพร่องในทุกด้าน ฉันจึงกังวลว่าถ้าฉันเจอปัญหาบางอย่างที่ฉันไม่รู้วิธีจัดการขณะติดตามงาน และไม่สามารถชี้แนะแนวทางแก้ไขให้พี่น้องชายหญิงได้ ทุกคนจะต้องดูถูกฉันและพูดว่าฉันไร้ความสามารถแน่ๆ ดังนั้น ฉันจึงหาข้ออ้างที่จะบอกว่าฉันทำงานหลายอย่างไม่เป็นและไม่สามารถรับหน้าที่นี้ได้ เมื่อหน้าที่นี้มาถึง ฉันไม่ได้คิดว่าจะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและแบกรับหน้าที่นี้ไว้อย่างไร แต่กลับอยากจะปฏิเสธเพื่อไม่ให้คนอื่นมาดูถูกฉัน ฉันไม่ได้ปกป้องดูแลงานของคริสตจักรเลยแม้แต่น้อย ฉันเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจเป็นพิเศษ พระเจ้าทรงมีพระคุณยอมให้ฉันได้ทำหน้าที่ผู้นำ นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับความจริง และฉันควรทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีด้วยท่าทีที่กระตือรือร้นและเป็นบวก เมื่อเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ฉันก็เต็มใจที่จะปรับเปลี่ยนกรอบความคิดที่ผิดของฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะมีข้อบกพร่องและข้อด้อยมากมาย แต่ฉันก็เต็มใจที่จะเรียนรู้จากพี่น้องชายหญิง ดังนั้น ฉันจึงบอกผู้ดูแลว่าฉันเต็มใจที่จะฝึกฝนเพื่อเป็นผู้นำ

หลังจากนั้น ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ประเภทแรกคือผู้ที่สามารถเป็นผู้กำกับดูแลงานต่างๆ ได้  เงื่อนไขแรกสำหรับพวกเขาคือต้องมีความสามารถและขีดความสามารถในการเข้าใจความจริง  นี่คือเงื่อนไขขั้นต่ำ  เงื่อนไขที่สองคือพวกเขาต้องแบกรับภาระ—นี่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (5))  “บางคนอาจถามว่า ‘เหตุใดหลักเกณฑ์ที่คนมีความสามารถพิเศษควรจะมีคุณสมบัติตรงตามเพื่อจะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ จึงไม่รวมถึงการเข้าใจความจริง การมีความเป็นจริงความจริง การสามารถที่จะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เหตุใดจึงไม่รวมถึงการสามารถที่จะรู้จักพระเจ้า การสามารถที่จะนบนอบพระเจ้า การจงรักภักดีต่อพระเจ้า และการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐานเล่า?  สิ่งเหล่านี้ตกหล่นไปหรือเปล่า?’  จงบอกเราที หากใครสักคนเข้าใจความจริงและได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว ทั้งยังสามารถนบนอบพระเจ้า จงรักภักดีต่อพระเจ้า มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ยิ่งกว่านั้นยังรู้จักพระเจ้า ไม่ขัดขืนพระองค์ และเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐานแล้ว พวกเขายังจำเป็นต้องรับการบ่มเพาะอีกหรือ?  หากพวกเขาบรรลุทั้งหมดนี้อย่างแท้จริงแล้ว นั่นไม่ถือว่าเป็นผลสำเร็จของการบ่มเพาะแล้วหรอกหรือ?  (ใช่)  ด้วยเหตุนี้ ข้อกำหนดสำหรับผู้มีความสามารถที่จะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะจึงไม่ได้รวมหลักเกณฑ์เหล่านี้ไว้  เพราะว่าผู้ที่เราจะส่งเสริมและบ่มเพาะนั้น คัดเลือกมาจากหมู่มนุษย์ผู้ไม่เข้าใจความจริงและเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนเหล่านี้ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการส่งเสริมและบ่มเพาะ จะมีความเป็นจริงความจริงอยู่แล้ว หรือจะนบนอบพระเจ้าได้อย่างเต็มที่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และแน่นอนว่าพวกเขายิ่งห่างไกลจากการรู้จักพระเจ้าและมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  หลักเกณฑ์สำคัญที่สุดที่คนมีความสามารถพิเศษทุกประเภทควรมีคุณสมบัติตรงตามเพื่อจะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ ก็คือหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่พวกเราเพิ่งกล่าวถึงไป—สิ่งเหล่านี้แหละคือหลักเกณฑ์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงและเจาะจงที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (5))  “จงบอกเราทีว่า เจ้าสามารถเป็นผู้คนที่ปกติและธรรมดาได้อย่างไร?  เจ้าสามารถเข้ารับที่ทางอันถูกควรของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตามที่พระเจ้าตรัสได้อย่างไร? —เจ้าจะไม่พยายามเป็นยอดมนุษย์หรือบุคคลที่ยิ่งใหญ่บ้างได้อย่างไร?  เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อที่จะเป็นบุคคลที่ปกติและธรรมดาคนหนึ่ง?  การนี้ทำได้อย่างไร?  ใครจะตอบ?  (ก่อนอื่น พวกเราต้องยอมรับว่าพวกเราเป็นผู้คนธรรมดา ผู้คนที่ปกติธรรมดาอย่างมาก  มีหลายสิ่งที่พวกเราไม่เข้าใจ จับใจความไม่ได้ และไม่สามารถมองทะลุได้  พวกเราต้องยอมรับว่าพวกเราเสื่อมทรามและมีข้อติ  หลังจากนั้น พวกเราก็ต้องมีหัวใจที่จริงใจและมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยครั้งเพื่อแสวงหา)  ก่อนอื่นจงอย่าตั้งชื่อตำแหน่งให้ตัวเองและผูกมัดอยู่กับชื่อตำแหน่งนั้นโดยพูดว่า ‘ฉันคือผู้นำ ฉันคือผู้นำทีม ฉันคือผู้ดูแล ไม่มีใครรู้เรื่องธุรกิจนี้ดีไปกว่าฉัน ไม่มีใครเข้าใจทักษะทั้งหลายมากไปกว่าฉัน’  จงอย่าติดอยู่กับชื่อตำแหน่งที่เจ้าตั้งขึ้นเอง  ทันทีที่เจ้าทำเช่นนั้น นั่นจะพันธนาการมือและเท้าของเจ้า รวมทั้งส่งผลต่อสิ่งที่เจ้าพูดและทำ  การคิดและการตัดสินที่เป็นปกติของเจ้าก็จะได้รับผลไปด้วย  เจ้าต้องปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการตีกรอบของสถานะนี้  ก่อนอื่น จงลดตัวจากตำแหน่งและชื่อตำแหน่งที่เป็นทางการนี้ และยืนในที่ทางของบุคคลธรรมดา  หากเจ้าทำเช่นนี้ ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าก็จะกลายเป็นปกติขึ้นมาบ้าง  เจ้าต้องยอมรับและพูดด้วยว่า ‘ฉันไม่รู้ว่าจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร และฉันไม่เข้าใจสิ่งนั้นอีกด้วย—ฉันกำลังจะทำการศึกษาค้นคว้าบางอย่าง’ หรือ ‘ฉันไม่เคยได้รับประสบการณ์นี้มาก่อน ฉันเลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร’  เมื่อเจ้าสามารถพูดสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่จริงๆ และพูดอย่างซื่อสัตย์ได้ เจ้าย่อมจะมีสำนึกที่ปกติ  ผู้อื่นจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเจ้า และจะมีทัศนะที่ปกติต่อเจ้าด้วยเหตุนี้ และเจ้าก็จะไม่ต้องแสร้งเล่นละครและจะไม่มีแรงกดดันใหญ่หลวงอันใดต่อตัวเจ้า แล้วเจ้าก็จะสามารถสื่อสารกับผู้คนได้อย่างเป็นปกติ  การใช้ชีวิตเช่นนี้เป็นไปอย่างอิสระและง่ายดาย ผู้ใดก็ตามที่พบว่าการใช้ชีวิตนั้นช่างน่าเหนื่อยล้า ก็เป็นเพราะพวกเขาทำให้เป็นแบบนี้เอง  จงอย่าเสแสร้งหรือสร้างภาพ  ก่อนอื่น จงเปิดใจเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ในหัวใจ เกี่ยวกับความคิดที่แท้จริงของเจ้า เพื่อให้ทุกคนตระหนักและเข้าใจสิ่งเหล่านั้น  ผลลัพธ์ก็คือ ความห่วงใย อุปสรรค และข้อสงสัยระหว่างเจ้ากับผู้อื่นก็จะหมดสิ้นไป  เจ้ายังถูกสิ่งอื่นจำกัดเอาไว้อีกด้วย  เจ้ามักมองว่าตัวเองเป็นหัวหน้าทีม ผู้นำ คนทำงาน หรือใครบางคนที่มีชื่อตำแหน่ง สถานะ และจุดยืนเสมอ หากเจ้าพูดว่าเจ้าไม่เข้าใจบางอย่าง หรือไม่สามารถทำบางสิ่งได้ เจ้ากำลังดูหมิ่นตัวเองอยู่ไม่ใช่หรือ?  เมื่อเจ้าเอาโซ่ตรวนเหล่านี้ในหัวใจของเจ้าออกไป เมื่อเจ้าหยุดนึกถึงตัวเองในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน และเมื่อเจ้าเลิกคิดว่าเจ้าดีกว่าผู้คนอื่น และรู้สึกว่าเจ้าเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกับคนทุกคน และว่ามีบางด้านที่เจ้าด้อยกว่าผู้อื่น—เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงและเรื่องที่สัมพันธ์กับงานด้วยท่าทีเช่นนี้ ผลย่อมต่างออกไป เช่นเดียวกับบรรยากาศ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าในการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คน ไม่ใช่ว่าต้องเป็นคนที่มีความเป็นจริงความจริงหรือสามารถทำงานต่างๆ ได้ทุกอย่างเท่านั้น ถึงจะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะให้เป็นผู้นำได้ แต่ขอเพียงแค่เรามีความสามารถที่จะจับความเข้าใจความจริง มีความเป็นมนุษย์ที่ดี แบกภาระในการทำหน้าที่ และเต็มใจที่จะเรียนรู้แม้จะไม่มีประสบการณ์ เราก็สามารถได้รับการบ่มเพาะ นอกจากนี้ หากเราได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ เราต้องไม่ยกตัวเองให้สูงส่ง และควรวางตัวเองในตำแหน่งที่ถูกต้องและยอมรับว่าเราเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง และไม่ว่าจะเป็นงานอะไร ก็ใช่ว่าจะเกิดมาแล้วทำเป็นเลย เมื่อเจอกับสิ่งที่เราทำไม่เป็นหรือไม่เข้าใจ เราก็สามารถแสวงหาจากพี่น้องชายหญิงได้ ฉันจำได้ว่าตอนที่ฉันเริ่มฝึกฝนเพื่อให้น้ำผู้มาใหม่ครั้งแรก ฉันไม่รู้วิธีทำงาน แต่ในตอนนั้นฉันตระหนักว่าการให้น้ำผู้มาใหม่คือการฝึกฝนการใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉัน ฉันจึงมีแรงผลักดันที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี เมื่อฉันฝึกฝนร่วมกับพี่น้องชายหญิงทีละเล็กทีละน้อย หลังจากนั้นสักพักฉันก็สามารถแก้ไขปัญหาบางอย่างได้เช่นกัน ฉันตระหนักว่าไม่ว่าจะเป็นงานอะไร ไม่ใช่ว่าเราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราทำเป็นและเข้าใจแล้วเท่านั้น แต่เราจำเป็นต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้และฝึกฝนอยู่เสมอ แต่ฉันถูกอุปนิสัยโอหังของตัวเองควบคุม และคิดว่าถ้าฉันเป็นผู้นำในคริสตจักร ฉันก็ต้องเข้าใจมากกว่าคนอื่นและทำงานเก่งกว่าคนอื่น มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ฉันจะมีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะไปติดตามงานของคนอื่นได้ ฉันยังคิดด้วยว่าถ้าฉันทำไม่เป็นหรือไม่เข้าใจด้วยตัวเอง คนอื่นจะต้องดูถูกฉันแน่ๆ ฉันจึงปฏิเสธหน้าที่นี้ ฉันไม่รู้จักประมาณตนเองอย่างแท้จริง ฉันขาดสำนึกเกินไปแล้ว!  ที่จริงแล้ว ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเราไม่ได้สูงเลย เพียงแค่เป็นคนธรรมดาและเผชิญหน้ากับข้อด้อยของเราอย่างสงบ ขอความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงอย่างกระตือรือร้นในเรื่องที่เราไม่เข้าใจ และแสวงหาความจริงเพื่อชดเชยข้อบกพร่องของเรา หากเราฝึกฝนอย่างค่อยเป็นค่อยไปในลักษณะนี้ เราก็จะก้าวหน้าเร็วขึ้น เมื่อฉันเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ฉันก็เต็มใจที่จะละทิ้งทัศนะที่คลาดเคลื่อนที่ว่า “ฉันเป็นผู้นำ ฉันต้องเก่งกว่าคนอื่นและเข้าใจมากกว่าคนอื่น” และปฏิบัติตนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ฉันยอมรับหน้าที่ผู้นำจากส่วนลึกของหัวใจ

ในตอนแรก ฉันรับผิดชอบแค่คริสตจักรที่ฉันอยู่เท่านั้น ฉันค่อนข้างคุ้นเคยกับบุคลากรและงานของคริสตจักรนี้ แต่ไม่นานหลังจากนั้น ผู้ดูแลก็ขอให้ฉันรับผิดชอบงานของคริสตจักรอีกหลายแห่งค่ะ ฉันคิดในใจว่า “ความสามารถในการทำงานของพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรเหล่านี้ดีมาก พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานกว่าฉัน ฉันไม่เก่งเท่าพวกเขา ถ้าฉันทำงานหลายอย่างไม่ได้ตอนที่ไปติดตามงานของพวกเขา พวกเขาจะคิดกับฉันยังไงนะ?  พวกเขาจะดูถูกฉันไหม?” ฉันส่งข้อความไปหาผู้ดูแล บอกว่าฉันไม่เก่งพอและทำงานนั้นไม่ได้ ผู้ดูแลขอให้ฉันลองฝึกฝนดูก่อน ต่อมาฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ฉันเคยอ่านก่อนหน้านี้ที่ว่า “สำหรับทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริงจะลุ่มลึกหรือตื้นเขินเช่นไร หนทางที่เรียบง่ายที่สุดของการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และการปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนาส่วนตน เหตุจูงใจ ความภาคภูมิใจ และสถานะของตน  จงวางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—อย่างน้อยที่สุดคนเราควรทำเช่นนี้  หากแม้เพียงเท่านี้ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วจะพูดได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน?  นั่นย่อมไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  ก่อนอื่นเจ้าควรนึกถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และคำนึงถึงงานของคริสตจักร  จงให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เหนือสิ่งอื่นใด เฉพาะหลังจากนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถคิดเกี่ยวกับเสถียรภาพของสถานะของเจ้าหรือนึกถึงสายตาที่ผู้อื่นมองเจ้าได้  พวกเจ้าไม่รู้สึกหรอกหรือว่านี่พอจะง่ายขึ้นบ้างเมื่อเจ้าแบ่งมันออกเป็นสองขั้นตอนและทำการประนีประนอมบ้าง?  หากเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ไปสักพัก เจ้าก็จะมารู้สึกว่าการทำให้พระเจ้าพอพระทัยนั้นไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรมีความสามารถที่จะลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า วางความอยากได้อยากมี ความตั้งใจและแรงจูงใจอันเห็นแก่ตัวของเจ้าลง เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า งานของคริสตจักร และหน้าที่ที่เจ้าพึงปฏิบัติเป็นอันดับแรก  หลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางปฏิบัติตนอันดีงาม  เป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ไม่เป็นคนที่เลวทรามต่ำช้า นี่คือการดำรงชีวิตอย่างยุติธรรมและมีเกียรติ แทนที่จะเป็นคนที่น่าดูหมิ่น ต่ำช้า และไม่มีอะไรดี  เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่คนคนหนึ่งควรปฏิบัติตน และเป็นภาพลักษณ์ที่พวกเขาควรใช้เป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต  ความอยากที่จะตอบสนองผลประโยชน์ของตัวเจ้าเองก็จะค่อยๆ ทุเลาลง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  ขณะไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่าการที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้นั้น ฉันต้องละทิ้งความทะนงตนและสถานะของตัวเอง และให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าในทุกๆ เรื่อง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ การที่หน้าที่นี้มาถึงฉันเป็นการที่พระเจ้าทรงยกชูฉัน กระตุ้นให้ฉันแสวงหาความจริงมากขึ้นและเดินบนหนทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันนึกถึงสถานการณ์ในเมียนมาร์ที่ตึงเครียดเพียงใด ซึ่งมีสงครามอยู่ตลอดเวลา ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถทำหน้าที่ได้อีกนานแค่ไหน ตอนนี้ฉันมีโอกาสที่จะทำหน้าที่ ฉันก็ควรจะทะนุถนอมมันอย่างดี และฉันไม่สามารถปฏิเสธได้เพียงเพราะกังวลว่าคนอื่นจะคิดกับฉันอย่างไร ไม่ว่าปัญหาอะไรจะถูกเปิดโปงในหน้าที่ของฉันต่อไป ฉันก็ควรเผชิญหน้ากับข้อด้อยของตัวเองอย่างสงบ เมื่อฉันคิดแบบนี้ หัวใจก็รู้สึกโล่งขึ้นเล็กน้อย วันหนึ่ง ฉันได้พบกับพี่น้องชายและพี่น้องหญิงที่ฉันทำงานด้วยและหารือเกี่ยวกับงานที่จะทำต่อไป ฉันเปิดใจกับพวกเขาทั้งสองคนและพูดว่า “ฉันมีข้อบกพร่องมากมายและทำงานหลายอย่างไม่เป็น ดังนั้นเราต้องทำงานร่วมกันนะคะ” ขณะที่ฉันอ้าปากพูดประโยคนี้ หน้าของฉันก็แดงก่ำ ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกเสียหน้าไปบ้าง แต่หัวใจของฉันก็รู้สึกโล่งขึ้นมากหลังจากยอมรับข้อบกพร่องของตัวเองกับพวกเขาและพูดออกมาจากใจ พี่น้องชายหญิงของฉันไม่ได้ดูถูกฉัน และเต็มใจที่จะทำงานร่วมกับฉันเพื่อทำงานให้ดี

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง และได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับต้นตอที่ทำให้ฉันปฏิเสธหน้าที่ของตัวเอง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แทนที่จะสำรวจค้นหาความจริง ผู้คนส่วนใหญ่มีวาระซ่อนเร้นอันหยุมหยิมของพวกเขาเอง  ผลประโยชน์ หน้าตาของพวกเขาเอง และตำแหน่งแห่งที่หรือจุดยืนที่พวกเขามีในจิตใจของผู้อื่นล้วนมีความสำคัญอย่างใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา  เหล่านี้เป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทะนุถนอม  พวกเขาเกาะติดสิ่งเหล่านี้ไว้แน่นหนาและถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นชีวิตของพวกเขา  และการที่พระเจ้าทรงมีทัศนะหรือปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรนั้นมีความสำคัญเป็นอันดับรอง ในชั่วขณะนี้พวกเขาเพิกเฉยต่อการนั้น ในชั่วขณะนี้พวกเขาเพียงพิจารณาว่าพวกเขาเป็นเจ้านายของกลุ่มหรือไม่ ว่าผู้อื่นเคารพยกย่องพวกเขาหรือไม่ และคำพูดของพวกเขามีน้ำหนักหรือไม่  ความกังวลอันดับแรกของพวกเขาอยู่ที่การครอบครองตำแหน่งนั้น  เมื่อพวกเขาอยู่ในกลุ่ม ผู้คนเกือบจะทั้งหมดมองหาฐานะประเภทนี้ โอกาสเหมาะประเภทนี้  เมื่อพวกเขามีความสามารถพิเศษสูง แน่นอนว่าพวกเขาต้องการที่จะเป็นจ่าฝูง หากพวกเขามีความสามารถปานกลาง พวกเขาก็จะยังคงต้องการครองตำแหน่งที่สูงกว่าในกลุ่มอยู่ดี และหากพวกเขาครองตำแหน่งที่ต่ำในกลุ่ม มีขีดความสามารถและความสามารถโดยเฉลี่ย พวกเขาก็จะต้องการให้ผู้อื่นเคารพยกย่องพวกเขาเช่นกัน พวกเขาจะไม่ต้องการให้ผู้อื่นดูแคลนพวกเขา  หน้าตาและศักดิ์ศรีของพวกเขาคือสิ่งที่พวกเขายอมไม่ได้ กล่าวคือ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องยึดเกาะสิ่งเหล่านี้เอาไว้  พวกเขาไม่อาจมีความซื่อตรงและไม่อาจเป็นที่รับรู้และยอมรับของพระเจ้าได้ แต่ก็ไม่สามารถสูญเสียความเคารพ สถานะ หรือความนับถือที่พวกเขาเพียรพยายามที่จะได้จากผู้อื่นมาโดยตลอดอย่างเด็ดขาด—ซึ่งเป็นอุปนิสัยของซาตาน  แต่ผู้คนไม่ตระหนักรู้ถึงการนี้ เป็นความเชื่อของพวกเขานั่นเองว่าพวกเขาต้องเกาะติดอยู่กับหน้าตาอันกระจิริดนี้ไปจนถึงปลายทาง  พวกเขาไม่ตระหนักรู้ว่า มีเพียงเมื่อปล่อยมือและละวางสิ่งที่ไร้ประโยชน์และผิวเผินเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงเท่านั้น พวกเขาจึงจะกลายเป็นคนที่แท้จริง  หากคนคนหนึ่งปกป้องสิ่งเหล่านี้ที่ควรละทิ้งไปเสียว่าเป็นชีวิต พวกเขาก็ย่อมสูญเสียชีวิตไปแล้ว  พวกเขาไม่รู้ว่าเสี่ยงที่จะสูญเสียอะไรบ้าง  ดังนั้นแล้ว เมื่อพวกเขากระทำการ พวกเขาจึงยื้อยุดบางสิ่งเอาไว้อยู่เสมอ พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะปกป้องหน้าตาและสถานะของพวกเขาเอง พวกเขาให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เป็นอันดับแรก โดยพูดเพียงเพื่อจุดหมายปลายทางของพวกเขาเอง เพื่อการแก้ต่างอันจอมปลอมให้ตัวพวกเขาเองเท่านั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำเป็นไปเพื่อตัวพวกเขาเอง  พวกเขารีบรุดไปยังสิ่งใดก็ตามที่สาดแสง เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น  อันที่จริงแล้ว สิ่งนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย แต่พวกเขาไม่เคยต้องการที่จะถูกทิ้งไว้หลังฉาก พวกเขากลัวอยู่เสมอว่าผู้คนอื่นๆ จะดูแคลนพวกเขา พวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวอยู่เสมอว่าผู้คนอื่นๆ จะพูดว่าพวกเขาไม่มีตัวตน ว่าพวกเขาไร้ความสามารถที่จะทำสิ่งอันใดได้ ว่าพวกเขาไม่มีทักษะ  ทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาชี้นำหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งทั้งหลายอย่างเช่นหน้าตาและสถานะไปได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายขึ้นและเป็นอิสระขึ้นมาก เจ้าจะก้าวเท้าไปบนเส้นทางของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  แต่สำหรับหลายคนแล้ว นี่ไม่ง่ายที่จะสัมฤทธิ์  ตัวอย่างเช่นเมื่อมีกล้องปรากฏให้เห็น พวกเขาแย่งกันไปอยู่ด้านหน้า พวกเขาชอบให้มีหน้าของตัวเองติดในกล้อง ยิ่งออกสื่อมากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น พวกเขากลัวว่าจะไม่ได้เป็นข่าวมากพอ และจะจ่ายทุกราคาเพื่อโอกาสที่จะได้ออกสื่อ  แล้วทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาชี้นำหรอกหรือ?  เหล่านี้คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขา  ดังนั้น เจ้าจึงได้เป็นข่าว—แล้วอย่างไรต่อเล่า?  ผู้คนคิดกับเจ้าอย่างสูงส่ง—แล้วอย่างไรเล่า?  พวกเขาชื่นชูเจ้า—แล้วอย่างไร?  มีสิ่งใดบ้างในการนี้ที่พิสูจน์ว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริง?  ไม่มีสิ่งใดในการนี้ที่มีคุณค่าเลย  เมื่อเจ้าสามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้—เมื่อเจ้ากลายเป็นไม่แยแสสิ่งเหล่านี้และไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญอีกต่อไป เมื่อหน้าตา ความถือดี สถานะ และความเลื่อมใสจากผู้คนไม่ได้ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของเจ้าอีกต่อไป และยิ่งไม่ได้ควบคุมวิธีที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—เมื่อนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะมีประสิทธิผลมากขึ้นทุกทีและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นทุกที(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่าผู้คนล้วนทะนุถนอมสถานะ และพวกเขาคำนึงถึงชื่อเสียงและสถานะของตัวเองในทุกๆ เรื่องที่ทำ ฉันนึกย้อนกลับไปตอนแรกที่ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำในคริสตจักร เพราะฉันเพิ่งเริ่มฝึกฝนและมีข้อบกพร่องมากมาย ฉันจึงกลัวว่าถ้าฉันติดตามงานของพี่น้องชายหญิงในขณะที่มีหลายสิ่งที่ฉันทำไม่เป็น ฉันจะดูไร้ความสามารถจริงๆ เพื่อไม่ให้โดนคนอื่นดูถูก ฉันจึงปฏิเสธหน้าที่ของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า การที่ฉันสามารถฝึกฝนเพื่อเป็นผู้นำได้นั้นเป็นการที่พระเจ้าทรงยกชูฉัน พระเจ้าทรงหวังว่าฉันจะสามารถก้าวสู่หนทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง และค่อยๆ ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองได้ แต่ฉันกลับไม่เห็นคุณค่าในความโปรดปรานนี้ และเอาแต่พยายามปฏิเสธหน้าที่เพื่อรักษาหน้าของตัวเอง นี่เป็นการกบฏต่อพระเจ้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันได้ชื่นชมยินดีกับการให้น้ำและการจัดเตรียมจากพระวจนะของพระเจ้ามากมาย แต่เมื่องานของคริสตจักรต้องการให้ฉันทำ ฉันกลับไม่ได้คิดว่าจะลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเองได้อย่างไร หรือจะตอบแทนพระคุณของพระเจ้าได้อย่างไร ฉันช่างขาดความเป็นมนุษย์เสียจริง! ที่จริงแล้ว ตั้งแต่ฉันได้เป็นผู้นำ ฉันก็ค่อยๆ เตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยความจริงบางอย่างในด้านวิจารณญาณแยกแยะ และฝึกฝนการใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา ในฐานะผู้นำ ฉันได้รับประสบการณ์หลายอย่างและมีโอกาสมากมายที่จะได้รับความจริง ทั้งหมดนี้คือผลประโยชน์ที่แท้จริงค่ะ! ถ้าฉันไม่ได้ทำหน้าที่ผู้นำและไม่ได้ติดตามงานของคนอื่น ข้อบกพร่องของฉันก็จะไม่ถูกเปิดโปงและฉันก็จะรักษาหน้าไว้ได้ แต่ทว่า ในท้ายที่สุดฉันก็จะไม่ได้รับความจริงและอุปนิสัยของฉันก็จะไม่เปลี่ยนแปลง สุดท้ายแล้ว มันจะไม่กลายเป็นความว่างเปล่าหรอกหรือ?  ในท้ายที่สุด ฉันก็จะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดและทำลายตัวเองไปเท่านั้น คิดแล้วก็น่ากลัว ต่อมา ฉันสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติโดยไม่ถูกเรื่องหน้าตามาบีบคั้นมากนัก

ครั้งหนึ่ง ฉันไปที่คริสตจักรแห่งหนึ่งเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมของพวกเขา พี่น้องหญิงคนหนึ่งแสดงความคิดที่ชัดเจนในการสื่อสารเรื่องงาน และฉันอยากจะเสริมให้ค่ะ แต่ทว่า เพราะฉันรู้สึกว่าพี่น้องหญิงของฉันพูดได้ดีและครอบคลุมมาก ฉันจึงไม่ได้พูดอะไร ฉันคิดในใจว่า “ถ้าฉันมาที่นี่แล้วไม่ให้คำแนะนำสักหน่อย พี่น้องชายหญิงจะคิดกับฉันยังไง?  พวกเขาจะไม่คิดว่าฉันไร้ประโยชน์จริงๆ และไม่มีความสามารถอะไรในการทำงานหรือ?” เมื่อฉันคิดเช่นนี้ ฉันรู้สึกอายเล็กน้อย และคิดว่าพี่น้องชายหญิงของฉันมองฉันทะลุปรุโปร่งแล้วแน่ๆ ดังนั้นฉันจึงไม่อยากเข้าร่วมการชุมนุมของพวกเขาอีกต่อไป ในช่วงหลายวันนั้น ฉันไม่ได้ติดตามหรือเรียนรู้เกี่ยวกับงานของพวกเขาเลย ในตอนนั้น ฉันรู้สึกตำหนิตัวเองอยู่บ้างว่า “ฉันไม่ได้ติดตามงานเพราะกลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะดูถูก นี่ไม่ใช่การละเลยหน้าที่หรอกหรือ?  ถ้าฉันไม่ติดตามงานเป็นเวลานาน ฉันจะต้องสูญเสียหน้าที่นี้ไปอย่างแน่นอน และจะสูญเสียโอกาสมากมายที่จะได้รับความจริง ฉันจะคำนึงถึงแต่สิ่งที่คนอื่นคิดกับฉันอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ ไม่ว่าผู้คนจะยกย่องฉันมากแค่ไหน มันก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งสำคัญคือพระเจ้าทรงคิดกับฉันอย่างไร และนั่นสำคัญที่สุด” ดังนั้น ฉันจึงละทิ้งความทะนงตนของตัวเองและไปติดตามงาน ต่อมา ฉันได้วางแผนสำหรับตัวเอง โดยร่างเค้าโครงว่าจะติดตามคริสตจักรไหนในหนึ่งสัปดาห์ และจะติดตามงานในด้านใดบ้าง ในตอนแรก ฉันประหม่ามาก ฉันกลัวว่าจะแสดงความคิดเห็นได้ไม่ดีและพี่น้องชายหญิงจะดูถูกฉัน เมื่อใดก็ตามที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ฉันจะสงบใจลงและอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองฉันไม่ให้ถูกเรื่องหน้าตามาบีบคั้น เมื่อฉันแก้ไขกรอบความคิดให้ถูกต้อง ฉันก็สามารถสงบใจและติดตามงานได้ตามปกติ นอกจากนี้ จากการติดตามงาน ฉันได้ค้นพบว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนต่างก็มีจุดแข็งบางอย่าง และจากสิ่งเหล่านี้ฉันก็สามารถชดเชยจุดอ่อนของตัวเองได้ บางครั้ง ถ้าฉันเจอปัญหาที่ยังเข้าใจไม่ถ่องแท้ตอนติดตามงาน ฉันก็จะบอกพวกเขาไปตรงๆ ว่า “ปัญหานี้ฉันยังเข้าใจได้ไม่ถ่องแท้เลยค่ะ เดี๋ยวจะไปแสวงหาทีหลังนะคะ” ด้วยการปฏิบัติในหนทางนี้ หัวใจของฉันรู้สึกโล่งขึ้นมาก การที่ฉันสามารถได้รับความเข้าใจเล็กน้อยและมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ได้ เป็นผลสำเร็จจากพระวจนะของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 32. การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่บิดาของฉัน

ถัดไป: 49. การคิดทบทวนหลังถูกตัดแต่ง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger