17. ผลสืบเนื่องของการไม่ทำหน้าที่ตามหลักธรรม

โดย เซียวเซียว ประเทศจีน

เมื่อต้นปี 2022 ฉันรับผิดชอบงานของคริสตจักร 10 แห่ง ในจำนวนนี้ มีคริสตจักรสามแห่งที่ผู้นำและมัคนายกมีขีดความสามารถค่อนข้างต่ำ และชีวิตคริสตจักรก็ไม่ดี นอกจากนี้ คริสตจักรอื่นๆ อีกหลายแห่งก็ขาดผู้นำและมัคนายก ฉันจึงรีบจัดแจงให้พี่น้องชายหญิงจัดการเลือกตั้ง เนื่องจากพี่น้องชายหญิงไม่เข้าใจหลักธรรมของการเลือกตั้งอย่างถ่องแท้ งานเลือกตั้งจึงดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามาก ต่อมา ผู้นำระดับสูงได้จัดการชุมนุมกับพวกเราเพื่อหาสาเหตุที่การเลือกตั้งดำเนินไปอย่างเชื่องช้า พวกเขายังได้สามัคคีธรรมถึงความสำคัญของการเลือกตั้งผู้นำและมัคนายกด้วย พอได้ยินเช่นนี้ หัวใจฉันก็ร้อนรุ่มขึ้นมา ฉันคิดในใจว่า “คริสตจักรที่ฉันรับผิดชอบขาดผู้นำและมัคนายกมากมายขนาดนี้ นี่ไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าความสามารถในการทำงานของฉันแย่เกินไป? แล้วพวกผู้นำจะคิดกับฉันอย่างไร? ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องรีบจัดการเลือกตั้งซ่อมเพื่อบรรจุตำแหน่งผู้นำและมัคนายกที่ว่างอยู่ นี่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าฉันยังสามารถทำงานจริงได้บ้าง” หลังจากนั้น ฉันก็รีบจัดการเลือกตั้งผู้นำและมัคนายก แต่ไม่ได้สามัคคีธรรมถึงหลักธรรมในการเลือกตั้งผู้นำและมัคนายกอย่างละเอียด ฉันคิดว่าตราบใดที่คนที่ได้รับเลือกค่อนข้างกระตือรือร้นในการปฏิบัติหน้าที่ และสามารถทนรับความทุกข์และจ่ายราคาได้ ก็น่าจะใช้ได้แล้ว หลังจากทำงานหนักมาระยะหนึ่ง คริสตจักรต่างๆ ค่อยๆ เลือกตั้งผู้นำและมัคนายก เมื่อเห็น “ผลลัพธ์” ดังกล่าว ฉันก็ดีใจมาก ฉันคิดว่าตอนนี้คงไม่มีใครกังขาความสามารถในการทำงานของฉันแล้ว แต่สิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงก็คือ ต่อมาพี่น้องหญิงสองคนส่งรายงานมาหลายครั้งว่า พี่น้องชายเฉินหลินที่เพิ่งได้รับเลือกตั้ง ไม่มีสำนึกถึงความยุติธรรม มีอุปนิสัยชอบเอาใจคนอื่นขั้นรุนแรง และไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ ฉันคิดในใจว่า “ทุกคนต่างก็มีความเสื่อมทรามและข้อบกพร่อง มาตรฐานของพวกคุณสูงเกินไปแล้ว ถ้าเราใช้มาตรฐานของพวกคุณในการประเมินคน เมื่อไหร่เราจะสามารถบรรจุตำแหน่งผู้นำและมัคนายกได้ครบล่ะ?” ฉันคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรกับการเลือกตั้งเฉินหลิน ปัญหาอยู่ที่พี่น้องหญิงสองคนนั้นไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรมได้ ดังนั้น ฉันจึงเขียนจดหมายไปสามัคคีธรรมกับพวกเธอและพยายามโน้มน้าวพวกเธอ แต่ไม่กี่วันต่อมา พี่น้องหญิงสองคนนั้นก็เขียนจดหมายมาหาฉันอีกครั้งและบอกว่า “อุปนิสัยชอบเอาใจคนอื่นของเฉินหลินรุนแรงมาก เขาไม่ปกป้องงานของคริสตจักร และเขาไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ” แต่ในตอนนั้น ฉันกำลังดำเนินชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และต้องการเลือกตั้งผู้นำและคนทำงานอย่างเร่งด่วน ฉันจึงไม่ใส่ใจเรื่องนี้

ไม่นานหลังจากนั้น ฉันได้รับจดหมายจากผู้นำระดับสูงซึ่งกล่าวว่า “อุปนิสัยชอบเอาใจคนอื่นของเฉินหลินรุนแรงมาก เขาไม่ปกป้องงานของคริสตจักร และแม้แต่ตอนนี้ เขาก็ไม่แสดงท่าทีที่จะกลับใจเลย ตามหลักธรรมแล้ว เขาไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ” ทันทีที่ฉันอ่านจดหมาย ฉันก็ตระหนักว่าก่อนหน้านี้พี่น้องหญิงสองคนนั้นได้ส่งจดหมายมาหลายฉบับเพื่อรายงานปัญหาของเฉินหลิน แต่ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญและไม่ได้แสวงหา แถมยังรู้สึกคัดค้านอย่างมากอีกด้วย ฉันเห็นว่าตัวเองโอหังและคิดว่าตนเองถูกเกินไป! ฉันไม่ยอมรับคำแนะนำของคนอื่น และทำตามความประสงค์ของตัวเอง ในตอนนั้น ฉันรู้สึกละอายใจมากจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ใบหน้าของฉันร้อนผ่าว และความคิดก็เริ่มสับสนวุ่นวาย “ฉันจบสิ้นแล้ว ตอนนี้ผู้นำระดับสูงรู้แล้วว่าฉันไม่ได้ทำหน้าที่ตามหลักธรรม พวกเขาอาจจะตรวจสอบผลงานของฉัน ในกรณีนั้น ฉันจะไม่ถูกปลดหรอกหรือ?” สองสามวันนั้น ฉันรู้สึกเครียดและไม่สบายใจ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากเจ้ามีโอกาสกระทำไปตามเจตจำนงเสรีของเจ้า เจ้าก็มีโอกาสแสวงหาความจริงด้วยเช่นกัน และควรใช้ความจริงเป็นหลักธรรมสำหรับการกระทำทั้งหลายของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (15))  ขณะที่ไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า หัวใจของฉันก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดแทง ใช่ ฉันมีโอกาสที่จะแสวงหาความจริง แต่เพราะฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันจึงไม่แสวงหาหลักธรรมและทำตามความประสงค์ของตัวเองในหน้าที่ สิ่งนี้ขัดขวางและก่อกวนงาน ในช่วงเวลานี้ ฉันกระตือรือร้นที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วกับการเลือกตั้งและไม่ได้แสวงหาหลักธรรม ซึ่งทำให้เลือกคนผิด เมื่อพี่น้องชายหญิงของฉันชี้ให้เห็น ฉันก็ไม่ได้ทบทวนตัวเองและแก้ไขปัญหา นี่เรียกว่าเป็นการทำหน้าที่ได้หรือ? แต่ฉันไม่ได้รับความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับธรรมชาติของตัวเองและเส้นทางที่ฉันกำลังเดินอยู่ และไม่นานปัญหาเก่าก็กลับมาอีก ในช่วงเวลานั้น ผู้นำระดับสูงได้ส่งจดหมายมาบอกว่าคริสตจักรแต่ละแห่งจำเป็นต้องจัดหาคนที่มีความสามารถบางส่วนไปทำหน้าที่ในพื้นที่อื่น เพื่อช่วยเสริมงานข่าวประเสริฐ หลังจากนั้น ฉันก็รีบตรวจสอบผู้ที่มีคุณสมบัติ เมื่อฉันอ่านรายชื่อที่ฉันตรวจสอบแล้ว ฉันก็รู้สึกดีใจมาก ฉันอดคิดไม่ได้ว่า “ยิ่งจัดหาคนได้มาก ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานของฉันมากขึ้นไม่ใช่เหรอ? ฉันต้องพยายามเพื่อให้ผู้นำระดับสูงได้เห็นว่าฉันยังสามารถทำงานจริงได้บ้าง” ในตอนนั้น มีพี่น้องชายคนหนึ่งในรายชื่อที่เคยถูกจับกุมเพราะเชื่อในพระเจ้า ไม่แน่ใจว่าทางการต้องการตัวเขาไหม และจะอันตรายหรือเปล่าถ้าเขาต้องเดินทางไกล ฉันรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย แต่เพื่อที่จะจัดหาคนที่มีความสามารถให้ได้มากขึ้น พวกผู้นำจะได้เห็นว่างานของฉันเกิดผล ฉันจึงจัดแจงให้พี่น้องชายคนนี้ไปทำหน้าที่ในพื้นที่อื่น ฉันคาดไม่ถึงว่าเขาจะถูกจับกุมระหว่างทางไปทำหน้าที่ ไม่นานหลังจากนั้น ผู้นำระดับสูงก็เขียนจดหมายมาบอกว่าคนหลายคนที่พวกเราจัดหาไปนั้นไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่ในพื้นที่อื่น พวกเขาย้ำเตือนพวกเราให้ทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรม และอย่าจัดหาคนตามความกระตือรือร้น พอได้อ่านจดหมาย ฉันก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนี ฉันอยากจะหนีหน้าผู้คนจริงๆ ฉันกุมใจถามตัวเองว่า “นี่คือการทำหน้าที่ของฉันเหรอ? นี่เป็นการขัดขวางและก่อกวนอย่างโจ่งแจ้ง!” ขณะที่ทุกข์ใจ ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทูลขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและนำฉันให้เข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ไม่สำคัญว่าภายนอกพวกเขาดูเหมือนยุ่งมากเพียงใด พวกเขาเดินทางไกลแค่ไหน พวกเขาพลีอุทิศ เลิกล้ม และสละมากเพียงใด คนประเภทที่เพียงแค่พูดและกระทำการเพื่อประโยชน์แห่งสถานะอยู่เสมอจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอนที่สุด  เพื่อสถานะ พวกเขาจะยอมลำบากทุกอย่าง  เพื่อสถานะ พวกเขาจะทนทุกข์กับความยากลำบากใดๆ  เพื่อสถานะ พวกเขาจะทำทุกวิถีทาง  พวกเขาพยายามที่จะค้นหาเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้อื่น ใส่ความผู้อื่น หรือจงใจทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก โดยเหยียบย่ำผู้คนอื่นๆ ไว้ใต้ฝ่าเท้า  พวกเขาไม่แม้กระทั่งกลัวความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษและถูกกรรมสนอง พวกเขากระทำการเพื่อประโยชน์แห่งสถานะโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมาเลย  ผู้คนเช่นนี้ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด?  (สถานะ)  มีความคล้ายคลึงกับเปาโลตรงไหน?  (การไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎ)  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎแห่งความชอบธรรม พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ และปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ดังเช่นการไล่ตามไขว่คว้าที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แทนที่จะเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง  อะไรคือลักษณะเฉพาะที่มาก่อนอื่นของผู้คนดังกล่าว?  นั่นก็คือว่าพวกเขากระทำการเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ด้วยประการทั้งปวง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีการเข้าสู่ชีวิตเพียงในการปฏิบัติความจริงเท่านั้น)  “สำหรับศัตรูของพระคริสต์ ถ้าความมีหน้ามีตาหรือสถานะของพวกเขาถูกเล่นงานและถูกริบไป นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการพยายามเอาชีวิตของพวกเขาเสียอีก  ไม่ว่าพวกเขาจะฟังคำเทศนาหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมายเพียงใด พวกเขาก็จะไม่รู้สึกเศร้าหรือเสียใจที่ไม่เคยปฏิบัติความจริงและเลือกใช้เส้นทางของศัตรูพระคริสต์ หรือมีแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูพระคริสต์  แต่พวกเขากลับเค้นสมองหาทางที่จะได้สถานะและทำให้ตนเองมีหน้ามีตามากขึ้นอยู่เสมอ  อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ศัตรูของพระคริสต์ทำนั้นล้วนทำไปเพื่ออวดตัวต่อหน้าผู้อื่น และไม่ได้ทำเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  เพราะผู้คนดังกล่าวรักสถานะมากเสียจนถือว่านั่นเป็นชีวิตของตนจริงๆ เป็นเป้าหมายชั่วชีวิตของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากพวกเขารักสถานะมากนัก พวกเขาจึงไม่เคยเชื่อว่าความจริงมีอยู่จริง และอาจกล่าวได้ด้วยซ้ำไปว่าพวกเขาไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิงว่าพระเจ้ามีอยู่จริง  ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะคิดคำนวณอย่างไรเพื่อให้มีหน้ามีตาและได้มาซึ่งสถานะ และไม่ว่าพวกเขาจะพยายามใช้รูปลักษณ์เทียมเท็จมาหลอกให้ผู้คนและพระเจ้าหลงเชื่ออย่างไร ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่มีความตระหนักรู้หรือคำติเตียน และยิ่งไม่มีความกระวนกระวายใจ  ในการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะอย่างต่อเนื่อง พวกเขายังปฏิเสธโดยไม่ยั้งคิดอีกด้วยว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดลงไปบ้าง  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  ลึกลงไปในหัวใจของศัตรูพระคริสต์ พวกเขาเชื่อว่า ‘ความมีหน้ามีตาและสถานะทั้งปวงคือสิ่งที่คนเราได้มาด้วยความพยายามของตนเอง  เมื่อมีที่ยืนอันมั่นคงในหมู่ผู้คน มีหน้ามีตา และมีสถานะแล้วเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถชื่นชมพรจากพระเจ้า  ชีวิตมีคุณค่าก็ต่อเมื่อผู้คนมีสถานะและอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเท่านั้น  นี่เท่านั้นคือการดำรงชีวิตอย่างมนุษย์คนหนึ่ง  ในทางตรงกันข้าม การใช้ชีวิตในแบบที่กล่าวไว้ในพระวจนะของพระเจ้า—นบนอบอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าในทุกสิ่ง เต็มใจยืนอยู่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และดำรงชีวิตอย่างคนปกติ—ย่อมเปล่าประโยชน์ ไม่มีใครยกย่องนับถือคนแบบนั้น  สถานะ ความมีหน้ามีตา และความสุขของคนเราต้องได้มาด้วยการดิ้นรนเอาเอง พวกเขาต้องต่อสู้และฉกชิงด้วยท่าทีเชิงรุกและเป็นบวก  ไม่มีใครอื่นจะให้สิ่งเหล่านี้แก่คุณ—การรอคอยอย่างนิ่งเฉยทำได้เพียงพาให้คว้าน้ำเหลวเท่านั้น’  นี่คือการคิดคำนวณของศัตรูพระคริสต์  นี่คืออุปนิสัยของศัตรูพระคริสต์  หากเจ้าหวังให้ศัตรูของพระคริสต์ยอมรับความจริง ยอมรับความผิดพลาด และมีการกลับใจอย่างแท้จริง ย่อมเป็นไปไม่ได้—พวกเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อย่างเด็ดขาด  ศัตรูของพระคริสต์มีแก่นแท้ธรรมชาติของซาตาน และพวกเขาเกลียดชังความจริง ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด แม้จะไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก ความทะเยอทะยานของพวกเขาในการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และทัศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ หรือเส้นทางที่พวกเขาเดินก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเช่นกัน(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม))  พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงว่าศัตรูของพระคริสต์ถือว่าชื่อเสียงและสถานะสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก ไม่ว่าพวกมันจะทำอะไร ก็จะพยายามเสริมสร้างชื่อเสียงของตัวเองอยู่เสมอ พวกมันถือว่าชื่อเสียงและสถานะเป็นเป้าหมายและทิศทางในการไล่ตามไขว่คว้า และยอมจ่ายทุกราคาเพื่อสถานะ พวกมันทำสิ่งต่างๆ ตามความประสงค์ของตัวเอง และไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงแม้แต่น้อย พวกมันแค่ทำสิ่งต่างๆ ในแบบที่จะเป็นประโยชน์ต่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตัวเองมากที่สุด พฤติกรรมฉันในช่วงเวลานี้เป็นแบบนี้เป๊ะเลยไม่ใช่เหรอ? แม้ว่าภายนอกฉันจะสามารถแบกรับความยากลำบากและจ่ายราคาตอนทำหน้าที่ได้ แต่ทุกสิ่งที่ฉันทำก็เพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งผู้นำและมัคนายก หรือการจัดหาคนที่มีความสามารถ ฉันก็กระตือรือร้นที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ฉันอยากแสดงให้พี่น้องชายหญิงเห็นว่าฉันทำหน้าที่ได้เกิดผลและมีความสามารถในการทำงาน เพื่อจะได้รับการชื่นชมและความเห็นชอบจากทุกคน เมื่อไม่สามารถเลือกตั้งผู้นำหรือมัคนายกที่เหมาะสมได้ ฉันก็ตระหนักว่าน่าจะสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงเกี่ยวกับหลักธรรมของการเลือกตั้ง แต่เพื่อที่จะแสดงให้ผู้นำระดับสูงเห็นว่าฉันสามารถจัดการเลือกตั้งผู้นำและมัคนายกให้เสร็จสิ้นได้อย่างรวดเร็ว ฉันก็กระตือรือร้นมากเกินไปที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และไม่ได้จัดการเลือกตั้งตามหลักธรรม เมื่อพี่น้องหญิงของฉันชี้ให้เห็นว่าพวกเราได้เลือกคนที่ไม่เหมาะสม ฉันก็ไม่ยอมรับ และถึงกับคิดว่าข้อกำหนดของพวกเธอนั้นเข้มงวดเกินไป จากนั้นฉันก็คิดหาวิธีที่จะโน้มน้าวพวกเธอและพิสูจน์ว่าคนที่พวกเราเลือกนั้นเหมาะสมแล้ว ในฐานะผู้นำ การที่ฉันทำสิ่งที่ขัดต่อหลักธรรมเพื่อปกป้องชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตัวเองในเรื่องที่สำคัญอย่างการเลือกตั้งของคริสตจักร เป็นการหลอกลวงและต่อต้านพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้ง นอกจากนี้ ในเรื่องของการจัดหาคนที่มีความสามารถ ผู้ที่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริงจะแบ่งเบาภาระของพระเจ้า และจัดหาคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อช่วยเสริมข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แต่ เพื่อที่จะแสดงให้ผู้คนเห็นว่าฉันมีความสามารถในการทำงาน ฉันใส่ชื่อคนบางคนที่ฉันไม่เข้าใจอย่างชัดเจนลงไปในรายชื่อเพียงเพื่อเพิ่มจำนวนให้ครบ อย่างเช่นพี่น้องชายคนนี้ที่เคยถูกจับกุม ฉันไม่แน่ใจสถานการณ์ของเขา เพื่อความปลอดภัย ฉันจึงจำเป็นต้องสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาไปเรื่อยๆ แต่เพราะฉันแค่อยากจะจัดหาคนให้ได้มากขึ้นเพื่อรักษาชื่อเสียงและสถานะของตัวเองไว้ พี่น้องชายคนนั้นจึงถูกจับกุมในที่สุด ฉันเห็นว่าตัวเองไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะ และไม่ได้ทำงานตามหลักธรรมอย่างไร และถึงกับเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงเพื่อรักษาชื่อเสียงและสถานะของตัวเองไว้ แถมยังไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของคริสตจักรอีกด้วย ฉันทำร้ายพี่น้องชายหญิงของฉัน ฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ ถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันก็จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดออกไป

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมว่า “ผู้คนบางคนสนับสนุนการทำงานของคริสตจักร แต่กระนั้นกลับไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะส่วนบุคคลของตัวเอง ประกอบกิจการของตัวเอง สร้างกลุ่มเล็กๆ ของตัวเอง ราชอาณาจักรเล็กๆ ของตัวเอง—บุคคลประเภทนี้กำลังทำหน้าที่ของพวกเขาอยู่หรือไม่?  งานทั้งหมดที่พวกเขาทำนั้นในแก่นแท้แล้วขัดขวาง ก่อกวน และบั่นทอนงานของคริสตจักร  สิ่งใดคือผลสืบเนื่องของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของพวกเขา?  ก่อนอื่นการนี้ส่งผลต่อวิธีที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติและเข้าใจความจริง การนี้ขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา หยุดยั้งพวกเขาจากการเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้า และนำพวกเขาไปบนเส้นทางที่ผิด—ซึ่งทำร้ายผู้ที่ได้รับการเลือกสรร และพาพวกเขาไปสู่ความย่อยยับ  และในท้ายที่สุด การนี้ทำสิ่งใดกับงานของคริสตจักร?  ย่อมเป็นการก่อกวน บั่นทอน และรื้อทำลาย  นี่คือผลสืบเนื่องที่เกิดจากการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของผู้คน  เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนี้ นี่จะนิยามได้หรือไม่ว่าเป็นการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์?  เมื่อพระเจ้าตรัสขอให้ผู้คนละชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ นั่นไม่ใช่ว่าพระองค์กำลังทรงลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกของพวกเขา ตรงกันข้าม นั่นเป็นเพราะขณะที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะอยู่นั้น ผู้คนได้ก่อกวนและทำให้งานของคริสตจักรกับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหยุดชะงัก และถึงขั้นสามารถมีอิทธิพลต่อการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของผู้คนเป็นจำนวนมากขึ้น การเข้าใจความจริง รวมถึงการสัมฤทธิ์ความรอดของพระเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้  เมื่อผู้คนไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตน แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยความสัตย์ซื่อ  พวกเขาจะพูดและทำเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเท่านั้น และงานทุกอย่างที่พวกเขาทำก็ล้วนเป็นไปเพื่อสิ่งเหล่านั้นโดยไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่น้อย  การประพฤติและปฏิบัติในหนทางเช่นนี้คือการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์อย่างไม่ต้องสงสัย ก่อให้เกิดความไม่สงบและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก ผลสืบเนื่องต่างๆ ของการนี้ล้วนขัดขวางการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรและการดำเนินงานตามน้ำพระทัยของพระเจ้าภายในคริสตจักร  ดังนั้น คนเราอาจพูดได้อย่างมั่นใจว่าเส้นทางที่ผู้ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเดินอยู่นั้นเป็นเส้นทางของการต้านทานพระเจ้า  นี่คือการตั้งใจต้านทานพระองค์ ปฏิเสธพระองค์—นี่คือการร่วมมือกับซาตานเพื่อต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดต่อต้านพระองค์  นี่คือธรรมชาติของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของผู้คน  ข้อผิดพลาดในการที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาผลประโยชน์ของตนเองนั้นก็คือว่า เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหานั้นคือเป้าหมายของซาตาน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เลวทรามและไม่ยุติธรรม  เมื่อผู้คนไล่ไขว่คว้าผลประโยชน์ส่วนตน เช่น ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ พวกเขากลายเป็นเครื่องมือของซาตานโดยไม่รู้ตัว พวกเขากลายเป็นทางออกสำหรับซาตาน และที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเขากลายเป็นร่างจำแลงของซาตาน  พวกเขาแสดงบทบาทเชิงลบอยู่ในคริสตจักร ผลกระทบที่พวกเขามีต่องานของคริสตจักร และต่อชีวิตคริสตจักรที่ปกติและการไล่ตามเสาะหาตามปกติของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็คือ การก่อความไม่สงบและลดคุณค่า พวกเขาส่งผลเลวร้ายในเชิงลบ(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่หนึ่ง))  เมื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมของตัวเองกับพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเปิดโปง ฉันก็เห็นว่ามันเหมือนกัน ฉันฉวยโอกาสจากการเลือกตั้งผู้นำและมัคนายก และการจัดหาคนที่มีความสามารถมาทำกิจการของตนเอง พยายามแสดงให้ผู้คนเห็นว่าฉันมีความสามารถในการทำงาน และบรรลุเป้าหมายในการทำให้ผู้คนชื่นชมฉัน แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนว่าฉันทำหน้าที่ด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี เพื่อที่จะไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ฉันจึงทำอย่างสุกเอาเผากินและหลอกลวงในงานที่สำคัญของคริสตจักร พฤติกรรมแบบนี้ของฉันแตกต่างจากพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์ตรงไหน? ทั้งการเลือกตั้งผู้นำและมัคนายก และการจัดหาคนที่มีความสามารถ ล้วนทำไปเพื่องานของคริสตจักรและการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เป้าหมายไม่ใช่การเลือกคนที่ไม่เหมาะสมมาเพื่อเพิ่มจำนวนให้ครบอย่างแน่นอน หากเลือกคนที่ไม่เหมาะสมมารับผิดชอบงาน ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถขับเคลื่อนงานข่าวประเสริฐได้ แต่ยังจะก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน นำความเสียหายมาสู่พี่น้องชายหญิงอีกด้วย ฉันถือว่าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ฉันไม่ได้ใส่ใจหน้าที่ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดถึงการมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย ท่าทีต่อหน้าที่แบบนี้ทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจอย่างแท้จริง! ถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันจะถูกพระเจ้าทรงกำจัดออกไป ก่อนหน้านี้ ฉันเชื่อมาตลอดว่ายิ่งเลือกตั้งผู้นำและมัคนายกได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี และยิ่งจัดหาคนที่มีความสามารถได้มากเท่าไหร่ พระเจ้าก็จะยิ่งทรงเห็นชอบฉันมากขึ้นเท่านั้น มุมมองนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี สิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นคุณค่าคือ เราทำหน้าที่โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมหรือไม่

หลังจากนั้น ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติ ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ไม่ว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่ เจ้าต้องแสวงหาหลักธรรมความจริง เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า รู้ว่าข้อพึงประสงค์ของพระองค์เกี่ยวกับหน้าที่ดังกล่าวคืออะไร และเข้าใจว่าเจ้าควรสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดในการปฏิบัติหน้าที่นั้น  ด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถปฏิบัติด้วยหลักธรรมได้  ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า แน่นอนที่สุดว่า เจ้าไม่สามารถทำไปตามการเลือกชอบส่วนตัวของเจ้า ทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าประสงค์จะทำ สิ่งใดก็ตามที่เจ้ามีความสุขที่จะทำ หรือสิ่งใดก็ตามที่คงจะทำให้เจ้าดูดี  นี่คือการกระทำตามเจตจำนงของคนเราเอง  หากเจ้าพึ่งพาความชอบส่วนตัวของเจ้าเองในการปฏิบัติหน้าที่ คิดไปว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ และว่านี่คือสิ่งที่จะทำให้พระเจ้าเบิกบาน และหากเจ้าบังคับให้พระเจ้าเลือกชอบตามความชอบส่วนตัวของเจ้าหรือปฏิบัติตามความชอบส่วนตนราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง ถือปฏิบัติตามความชอบส่วนตัวราวกับเป็นหลักธรรมความจริง เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นความผิดพลาดมิใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในหนทางนี้จะไม่เป็นที่จดจำของพระเจ้า  ผู้คนบางคนไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาไม่รู้ว่าการทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงไปด้วยดีนั้นหมายถึงสิ่งใด  พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้ทุ่มเทความพยายามและทุ่มเทหัวใจให้กับการทำหน้าที่นั้น ขัดขืนเนื้อหนังของพวกเขาและทนทุกข์ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยสามารถทำหน้าที่ของตนได้มาตรฐาน?  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่พึงพอพระทัยอยู่เสมอ?  ผู้คนเหล่านี้ได้ทำผิดไปตรงไหนหรือ?  ความผิดของพวกเขาก็คือการไม่แสวงหาให้พบข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับปฏิบัติตนไปตามแนวคิดของตนเอง—นี่คือเหตุผล  พวกเขาปฏิบัติต่อความอยากได้อยากมี การเลือกชอบ และสิ่งจูงใจแบบเห็นแก่ตัวทั้งหลายของพวกเขาเองประหนึ่งเป็นความจริง และพวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นราวกับว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงรัก ราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นมาตรฐานและข้อพึงประสงค์ของพระองค์  พวกเขามองสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง ดีงาม และสวยงามว่าเป็นความจริง การนี้ผิด  ในข้อเท็จจริงแล้ว แม้บางคราวผู้คนอาจจะคิดว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นถูก และว่ามันสอดคล้องกับความจริง นั่นก็ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า มันสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ยิ่งผู้คนคิดว่าบางสิ่งถูกต้องมากเท่าไร พวกเขาก็ควรใช้ความระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาควรแสวงหาความจริงมากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่จะมองเห็นว่าสิ่งที่พวกเขากำลังคิดนั้นบรรจบกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าหรือไม่  หากมันวิ่งสวนทางกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์และสวนทางกับพระวจนะของพระองค์อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วนั่นก็ยอมรับไม่ได้ต่อให้เจ้าคิดว่ามันถูก มันก็เป็นแค่เพียงความคิดแบบมนุษย์ และมันจะไม่สอดคล้องกับความจริงโดยไม่สำคัญว่าเจ้าคิดว่ามันถูกต้องเพียงใดก็ตาม  การที่บางสิ่งถูกและผิดนั้นต้องพิจารณาบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าเจ้าคิดว่าบางสิ่งบางอย่างถูกต้องเพียงใดก็ตาม มันไม่ถูกต้องและเจ้าต้องทิ้งขว้างมันไป เว้นเสียแต่ว่ามีมูลฐานสำหรับมันอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า  การนี้สามารถยอมรับได้เฉพาะเมื่อตรงตามความจริงเท่านั้น และมีเพียงการค้ำจุนหลักธรรมความจริงในหนทางนี้เท่านั้น การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจึงจะได้มาตรฐาน  หน้าที่คืออะไรกันแน่?  คือพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ผู้คนทำ เป็นส่วนหนึ่งของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนควรแบกรับ  หน้าที่คืออาชีพของเจ้าใช่หรือไม่?  เป็นเรื่องในครอบครัวของใครหรือไม่?  เป็นธรรมหรือไม่ที่จะพูดว่า ทันทีที่เจ้าได้รับมอบหน้าที่แล้ว หน้าที่นี้ก็กลายเป็นกิจธุระส่วนบุคคลของเจ้า?  ไม่ใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอนที่สุด  ดังนั้นแล้วเจ้าควรทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงอย่างไร?  โดยการทำตามข้อพึงประสงค์ พระวจนะและมาตรฐานของพระเจ้า และโดยการประพฤติตนตามหลักธรรมความจริงมากกว่าความอยากได้อยากมีส่วนตัวของมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแสวงหาหลักธรรมความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่าเพื่อที่จะทำหน้าที่ของเราได้ดีและทำให้พระเจ้าพอพระทัย เราต้องตั้งเจตนาของเราให้ถูกต้องเสียก่อน ละทิ้งความทะเยอทะยานและความอยากส่วนตัว และไม่กระทำเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ และเราก็ไม่ควรถือว่าแนวคิดและความชอบส่วนตัวของเราเป็นหลักธรรมความจริง แต่เราควรแสวงหาข้อกำหนดของพระเจ้า และทำหน้าที่ของเราตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เราจึงจะสามารถทำสิ่งต่างๆ อย่างมีหลักธรรมได้ ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าหน้าที่นั้นจะเป็นด้านใด ล้วนมีหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น เมื่อคริสตจักรเลือกตั้งผู้นำและมัคนายก เราต้องแสวงหาหลักธรรมและมาตรฐานในการเลือกตั้งผู้นำและมัคนายก ประการแรก พวกเขาต้องเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง มีความเป็นมนุษย์ที่ดี และมีสำนึกถึงความยุติธรรม อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพี่น้องชายหญิงบางคนอาจจะรุนแรงกว่าเล็กน้อย แต่พวกเขายังสามารถยอมรับความจริงได้ และสามารถเข้าใจตัวเองหลังจากได้รับการตัดแต่ง และมุ่งมั่นที่จะทำตามข้อกำหนดของพระเจ้า การเลือกคนประเภทนี้เป็นผู้นำนั้นสอดคล้องกับหลักธรรม ในทางตรงกันข้าม บางคนมีสติปัญญาดี มีพรสวรรค์ และมีความกระตือรือร้นภายนอก และสามารถทนรับความทุกข์ในการทำหน้าที่ได้ แต่ไม่มีการเข้าสู่ชีวิตของตัวเองเลย ตอนทำหน้าที่ พวกเขาก็ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะอย่างมืดบอด พล่ามคำพูดและคำสอนเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด เมื่อได้รับการตัดแต่ง ก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง ถ้าคนประเภทนี้เป็นผู้นำ พวกเขาจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ และรังแต่จะทำร้ายพี่น้องชายหญิงและงานของคริสตจักร

ต่อมา พวกเราได้แนะนำพี่น้องหญิงหลี่หลิงให้ไปทำหน้าที่ในพื้นที่อื่น เพียงไม่กี่วันก่อนที่เธอกำลังจะออกเดินทาง พี่น้องชายหญิงบางคนได้เขียนจดหมายรายงานมาว่า หลี่หลิงไม่แบกรับภาระในการทำหน้าที่ตัวเอง ไม่ได้ทำงานจริง และค่อนข้างโอหัง เธอไม่เคยชอบพี่น้องหญิงสองคนที่ทำงานกับเธอ และมักจะตัดสินและดูถูกพวกเธอต่อหน้าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ซึ่งส่งผลให้คนอื่นๆ มีอคติต่อพวกเธอ เรื่องนี้นำมาซึ่งการก่อกวนในทีม และผลก็คือพี่น้องหญิงสองคนนั้นเริ่มคิดลบ ฉันรีบเขียนจดหมายถึงพี่น้องหญิงที่จัดการจดหมายรายงาน และขอให้พวกเธอเปิดโปงปัญหาของหลี่หลิงในแบบง่ายๆ เพื่อที่หลี่หลิงจะได้รีบออกเดินทาง หลังจากนั้น ฉันก็ตระหนักว่าสภาวะของตัวเองไม่ถูกต้อง ฉันรีบร้อนขนาดนั้นเพื่อจัดหาคนที่มีความสามารถให้กับพระนิเวศของพระเจ้าจริงๆ หรือเปล่า? ไม่ได้เป็นเพราะฉันคิดว่าการจัดหาคนที่มีความสามารถเพิ่มอีกหนึ่งคนจะทำให้ฉันดูดีหรอกหรือ? ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ที่จริงแล้วการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้นไม่ยาก และการทำเช่นนั้นด้วยการอุทิศตนและเป็นไปตามมาตรฐานก็ไม่ได้ยากลำบาก  เจ้าไม่ต้องพลีอุทิศชีวิตของเจ้าหรือทำสิ่งใดที่พิเศษหรือยาก เจ้าเพียงจำต้องทำตามพระวจนะและพระบัญชาของพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์และแน่วแน่ ไม่เพิ่มเติมแนวคิดของเจ้าเองหรือดำเนินกิจการของเจ้าเอง แต่เดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง  หากผู้คนสามารถทำการนี้ได้ โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาย่อมจะมีสภาพเสมือนมนุษย์  เมื่อพวกเขานบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง และกลายเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ พวกเขาก็จะมีสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่าเนื่องจากหน้าที่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นพระบัญชาของพระเจ้า เราจึงควรทำหน้าที่ตามข้อกำหนดของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เราถึงจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันควรละทิ้งเจตนาของตัวเอง และเลิกใส่ใจว่าคนอื่นจะชื่นชมฉันหรือไม่ ฉันต้องใส่ใจกับการแสวงหาความจริงและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีตามหลักธรรม นี่คือการจัดการงานที่ถูกควรและเดินบนเส้นทางที่ถูกควร ถ้าฉันไม่ได้ตรวจสอบและจัดการปัญหาของหลี่หลิงอย่างจริงจังเพราะเห็นแก่ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตัวเอง นั่นก็จะเป็นการกระทำที่ละเมิดหลักธรรมอย่างชัดเจน เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันก็ตระหนักว่าจะคำนึงถึงชื่อเสียงและสถานะของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ และรีบเขียนจดหมายขอให้พี่น้องชายหญิงของฉันตรวจยืนยันจดหมายรายงานฉบับนั้น หลังจากการตรวจยืนยัน ก็ได้รับการยืนยันว่าหลี่หลิงไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนได้อย่างยุติธรรม เธอมีแนวโน้มที่จะดูถูกและตัดสินผู้คน และไม่สามารถร่วมมือกับผู้คนได้อย่างกลมเกลียว และไม่แบกรับภาระในการทำหน้าที่ของตัวเอง เมื่อปัญหาของหลี่หลิงถูกเปิดโปงและเธอถูกปลด เธอก็ไม่ได้ทบทวนตัวเอง ไม่ยอมรับ และแสดงความไม่พอใจ พวกเราจึงไม่ปล่อยให้เธอไปทำหน้าที่ในพื้นที่อื่น จากประสบการณ์ส่วนตัว ฉันตระหนักว่าในการทำหน้าที่ของเรา เราต้องตั้งเจตนาของเราให้ถูกต้อง ละทิ้งความอยากของเรา และทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง เมื่อนั้นเท่านั้นที่เราจึงจะรู้สึกสบายใจและสงบสุข

ก่อนหน้า: 9. การตื่นรู้หลังจากถูกขับไล่

ถัดไป: 19. เมื่อความปรารถนาต่อสถานะกำเริบ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger