87. การศึกษาที่กดดันสูงทำร้ายลูกสาวของฉัน

พ่อแม่ฉันหย่ากันตอนฉันยังเด็กมาก ฉันกับพี่สาวอยู่กับพ่อ และชีวิตของเราก็ลำบากมาก ครอบครัวของเราไม่ได้ร่ำรวย อีกทั้งผลการเรียนของฉันก็ไม่ดี ดังนั้นตอนที่ฉันเข้าชั้นมัธยมต้น ฉันจึงดรอปเรียนและเริ่มทำงาน ฉันการศึกษาน้อยจึงทำได้แค่งานที่ใช้แรงงานคนบางอย่าง ซึ่งน่าเหนื่อยล้าและน่าอับอาย เมื่อเรียนมาน้อย ชีวิตนี้ฉันก็เป็นได้แค่คนงานชั้นต่ำเท่านั้น ดังนั้้นพอฉันแต่งงานและมีลูกสาวคนแรก ฉันก็หวังว่าลูกจะขยันเรียนและเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ในอนาคต เพื่อที่ไม่เพียงลูกจะได้มีอนาคตที่ดี แต่เพราะนั่นจะสะท้อนภาพที่ดีของฉันในฐานะแม่ของลูก ในช่วงนั้น ฉันทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ที่บ้านกับสามีพร้อมกับเลี้ยงลูกไปด้วย ตอนลูกอายุสองขวบ ฉันซื้อหนังสือระดับเริ่มต้นทางออนไลน์เพื่อเอามาสอนลูก ระหว่างที่ทำอาหารหรือซักผ้า ฉันก็จะสอนกลอนจีนสามพยางค์ หรือให้ลูกท่องจำบทกวีสมัยราชวงศ์ถัง บางครั้งเวลาฉันเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค ลูกสามารถบอกฉันได้ว่าประโยคต่อไปคืออะไรจากความทรงจำ ฉันเห็นว่าลูกเรียนรู้ได้เร็วมาก และคิดว่าลูกสาวของฉันหัวดีทีเดียว ในอนาคตแกต้องทำได้ดีเลิศในด้านวิชาการแน่นอน ตอนลูกอายุสี่ขวบ ฉันส่งแกเข้าโรงเรียนอนุบาล หลังจากครึ่งปี เมื่อเห็นว่าแกไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนักในชั้นเรียนระดับล่าง ฉันก็ให้ลูกเปลี่ยนไปเข้าชั้นเรียนระดับกลาง และลูกยังไม่ทันจบชั้นนั้นด้วยซ้ำ ฉันก็เปลี่ยนให้แกไปเข้าชั้นเรียนระดับสูง โรงเรียนอนุบาลแรกที่ฉันเลือกให้ลูกอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเรา แต่ภายหลังฉันสังเกตว่าลูกสาวของฉันไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนักที่นั่น และฉันก็คิดกับตัวเองว่า “นี่เป็นเวลาที่เด็กๆ สร้างรากฐานของตัวเอง ถ้าลูกยังเรียนที่นี่ต่อไป จะต้องเป็นอุปสรรคกับลู่ทางในอนาคตของแก” ฉันเลยให้คนไปถามให้ตามที่ต่างๆ และฉันก็เจอโรงเรียนอนุบาลที่ดีแต่ค่อนข้างไกลจากที่ที่เราอยู่ ฉันพาลูกสาวไปโรงเรียนและรับกลับบ้านทุกวัน ในช่วงนั้ั้นฉันคิดว่า “การส่งลูกของฉันไปโรงเรียนอนุบาลที่ดีเป็นผลดีกับอนาคตของแก ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็คุ้มค่า” เพื่อที่ลูกจะได้มีผลการเรียนที่ดี ฉันประหยัดค่าอาหารกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ และใช้เงินกว่า 500 หยวนไปกับปากกาสมาร์ทเพน ฉันคิดว่าสิ่งนี้จะช่วยผลการเรียนของลูก ต่อมา ลูกสาวฉันเริ่มเข้าชั้นป.1 และแกก็ติดเล่นมากเกินไป ฉันเลยตั้งกฎว่าทุกวันหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ แกต้องฝึกเขียนตัวอักษร หลังจากนั้น ก็ต้องท่องบทตอนจากตำราเรียน เสร็จแล้วจึงจะออกไปเล่นได้ พอลูกเห็นว่าฉันจัดแจงการเรียนไว้ให้ทั้งหมดนั้น และแกจะไม่ได้เล่นจนกว่าจะเสร็จ แกก็ร้องไห้และทำอิดออด ฉันโกรธและดุลูกไปว่า “ถ้าลูกขยันเรียนและทำการบ้านทั้งหมดนี้ได้ แม่ก็คงไม่ต้องตั้งกฎพวกนี้ กฎพวกนี้ก็เพื่อประโยชน์ของลูกเองไม่ใช่หรือไง? ดูอย่างลูกสาวบ้านนั้นสิ เห็นไหมว่าผลการเรียนเขาดีแค่ไหน? พ่อแม่เขาไม่เคยอยู่บ้าน แต่เขายังรู้จักขยันเรียน ถ้าลูกไม่ขยันเรียน พอเรียนจบก็จะหางานไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่มีอนาคตที่สดใสเลย พอถึงเวลานั้นและไม่มีข้าวกิน ไม่ต้องวิ่งมาหาแม่ล่ะ” คำดุด่าของฉันทำให้ลูกสาวฉันเงียบไป และแกก็ยอมไปตามความต้องการของฉันอย่างไม่เต็มใจและเล่าเรียน ดังนั้นแล้ว ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของฉัน ผลการเรียนของลูกสาวฉันก็ดีขึ้น แกจะได้คะแนนอยู่ในช่วง 90 กว่าและบางครั้งถึงขั้นได้ 99 ในการสอบ แต่ฉันก็ยังดุลูกว่า “ทำไมได้แค่ 99 แทนที่จะเป็น 100 คะแนน?” หลังจากนั้นฉันก็จะกระตุ้นให้ลูกขยันเรียน ซื้ออุปกรณ์ให้แกใช้เรียนเพิ่มเติมในเวลาว่าง เพื่อที่แกจะได้ 100 คะแนนในการสอบโดยเร็วที่สุด

ในเดือนมิถุนายนปี 2021 ลูกสาวฉันอยู่ป.2 และผลการเรียนของแกก็ตกลงอย่างต่อเนื่อง ฉันเลยดุลูกว่า “ทำไมคะแนนสอบถึงลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ!” ฉันยังกล่าวหาลูกด้วยว่าไม่ตั้งใจในห้องเรียน ที่บ้าน ฉันจะดูลูกเรียนหนังสือ และบางครั้งเมื่อลูกไม่ฟังฉัน ฉันก็จะตีแก ลูกสาวฉันกลัวทุกครั้งที่เห็นฉัน และเพราะไม่กล้าต่อต้านฉัน แกก็เลยจะตีตัวเอง และแกไม่ยอมเข้าใกล้ฉันด้วย ถึงกับไปบอกคุณยายของแกว่าฉันไม่รักแก ตอนนั้น ฉันโกรธมาก และฉันพูดกับลูกสาวว่า “ลูกยังเด็กและไม่เข้าใจอะไร แม่ทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อประโยชน์ของลูกเองนะ ตอนแม่อายุเท่าลูก เพราะแม่ไม่ใช่นักเรียนที่ดี แม่เลยไม่มีลู่ทางอะไรในอนาคตเลย และเป็นได้แค่ชนชั้นล่าง ลูกต้องเป็นนักเรียนที่ดี จะได้ไม่เป็นเหมือนแม่” ลูกสาวฉันไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามความต้องการของฉัน

ต่อมา ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันค่อนข้างยุ่งกับหน้าที่ผู้นำ และไม่มีเวลามากนักในการดูแลการเรียนของลูกสาวที่บ้าน ผลการเรียนของลูกตกลงพอสมควร ตอนแรกแกได้คะแนนในช่วง 90 กว่า แล้วก็ค่อยๆ ตกลงมาจนถึง 70 กว่า ฉันคิดกับตัวเองว่า “ถ้าอะไรๆ เป็นแบบนี้ต่อไป แกอาจจะเรียนให้จบมัธยมต้นไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ และมีอนาคตที่สดใสเลย ถ้าลูกฉันไม่มีลู่ทางในอนาคต นั่นจะสะท้อนให้ฉันดูไม่ดีไปด้วย” ดังนั้น ฉันจึงง่วนกับงานของคริสตจักรในตอนกลางวัน และกลางคืนก็สอนพิเศษให้ลูกสาว แต่แกติดเล่นและไม่ค่อยมีวินัยในตัวเองนัก และผลการเรียนของแกก็แย่ลงเรื่อยๆ ครูของลูกโทรหาฉัน บอกฉันว่าผลการเรียนของลูกฉันตกลงอย่างมาก และบอกอีกด้วยว่าไม่ว่าฉันจะยุ่งแค่ไหน ฉันก็ยังควรจะใส่ใจการเรียนของลูก พอได้ฟังที่ครูพูด ฉันตำหนิตัวเอง คิดว่าเป็นเพราะฉันยุ่งกับหน้าที่มากเกินไป จนไม่ได้จัดการดูแลการเรียนของลูก และนั่นคือเหตุผลที่ผลการเรียนของแกตกลงอย่างหนัก เพราะเหตุนี้ ฉันจึงไม่อยากทำหน้าที่ผู้นำ แค่อยากมาชุมนุมทุกสัปดาห์ และเรียกว่านี่คือดีแล้ว แบบนั้น ฉันจะมีเวลามากขึ้นเพื่อไปดูแลการเรียนของลูกที่บ้าน บ่ายวันนั้น ผู้นำคนหนึ่งมาชุมนุมกับเรา และฉันไม่อยากไป ฉันรู้ว่าคิดอย่างนั้นมันผิด และฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า “พระเจ้า ผลการเรียนของลูกสาวข้าพระองค์กำลังตกฮวบอย่างหนัก และข้าพระองค์กังวลว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป จะเป็นอุปสรรคกับลู่ทางในอนาคตของแก ด้วยเหตุนี้ ข้าพระองค์จึงไม่อยากทำหน้าที่ผู้นำ ข้าพระองค์รู้ว่าสิ่งนี้ผิด ได้โปรดทรงนำและแสดงเส้นทางสู่การปฏิบัติแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันไปร่วมการชุมนุม และฉันบอกกับผู้นำถึงสภาวะของฉัน เธอสามัคคีธรรมกับฉัน อีกทั้งได้เตือนให้ฉันกลับบ้านไปอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดเผยว่าพ่อแม่ควรสอนลูกๆ อย่างไร

เมื่อมาถึงบ้าน ฉันพบและได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าในหัวข้อนี้  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พ่อแม่หรือผู้อาวุโสทุกคนมีความคาดหวังในตัวลูกหลานของตนมากน้อยต่างกันไป  พวกเขาหวังให้ลูกหลานขยันเรียน ประพฤติตัวดี เป็นเลิศในโรงเรียน เป็นนักเรียนที่ได้คะแนนดีเยี่ยมทุกวิชา และไม่เกียจคร้าน  พวกเขาต้องการให้ลูกหลานของตนเป็นคนที่ครูและเพื่อนร่วมชั้นให้เกียรติ และทำคะแนนได้เกิน 80 เป็นประจำ  ถ้าเด็กทำคะแนนได้สัก 60 ก็จะถูกตี และถ้าทำคะแนนต่ำกว่า 60 เด็กก็ต้องหันหน้าเข้ากำแพงและใคร่ครวญความผิดของตน หรือให้ยืนนิ่งๆ เป็นการทำโทษ  เด็กจะไม่ได้รับอนุญาตให้กิน นอน ดูโทรทัศน์ หรือเล่นคอมพิวเตอร์ อีกทั้งเสื้อผ้าสวยๆ กับของเล่นที่เคยสัญญาไว้ก่อนหน้านี้ก็จะไม่ซื้อให้อีกต่อไป  พ่อแม่ทุกคู่มีความคาดหวังหลากหลายในตัวลูกของตนและตั้งความหวังอันยิ่งใหญ่ต่างๆ ไว้ให้กับลูก  พวกเขาหวังว่าลูกๆ จะประสบความสำเร็จในชีวิต ก้าวหน้าในอาชีพการงานอย่างรวดเร็ว นำเกียรติและชื่อเสียงมาให้บรรพชนและครอบครัวของตน  ไม่มีพ่อแม่คนใดต้องการให้ลูกกลายเป็นขอทาน เป็นชาวไร่ชาวนา หรือแม้กระทั่งเป็นโจรและผู้ร้ายปล้นชิงทรัพย์  พ่อแม่ไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นพลเมืองชั้นสองเวลาเข้าสังคม คุ้ยขยะ เร่ขายของตามทางเท้า เป็นผู้ค้าหาบเร่ หรือถูกผู้อื่นดูแคลนเช่นกัน  ไม่ว่าลูกๆ จะสามารถทำให้สิ่งที่พ่อแม่คาดหวังเหล่านี้กลายเป็นจริงได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด พ่อแม่ย่อมมีความคาดหวังสารพัดอย่างในตัวลูก  ความคาดหวังของพ่อแม่คือการฉายภาพการไล่ตามไขว่คว้าหรือสิ่งที่พวกเขาคิดว่าดีงามและสูงส่งให้กับลูก ฝากความหวังไว้กับพวกเขา หวังว่าพวกเขาจะสามารถเติมเต็มความปรารถนาเหล่านี้ให้พ่อแม่ได้  แล้วความอยากของพ่อแม่ก่อให้เกิดสิ่งใดกับลูกๆ โดยไม่เจตนาบ้าง? (ความกดดัน)  สร้างความกดดันกับอะไรอีก?  (ภาระ)  ความอยากเหล่านี้ยังกลายเป็นแรงกดดันและกลายเป็นโซ่ตรวนอีกด้วย  เมื่อพ่อแม่มีความคาดหวังในตัวลูก พวกเขาย่อมจะบ่มวินัย ชี้นำ และอบรมสั่งสอนลูกของตนตามความคาดหวังเหล่านั้น พวกเขาจะถึงกับทุ่มเทให้ลูกๆ หรือยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกของตนลุล่วงความคาดหวังของตน  ตัวอย่างเช่น พ่อแม่หวังว่าลูกๆ จะเป็นเลิศในโรงเรียน ได้ที่หนึ่งของชั้นเรียน ทำคะแนนเกิน 90 ในการสอบทุกครั้ง เป็นอันดับหนึ่งเสมอ—หรืออย่างแย่ที่สุดก็ไม่เคยอยู่ต่ำกว่าอันดับที่ห้า  หลังจากแสดงความคาดหวังเหล่านี้แล้ว พ่อแม่ไม่ได้กำลังเสียสละบางอย่างไปพร้อมกันเพื่อช่วยให้ลูกบรรลุเป้าหมายเหล่านี้หรอกหรือ?  (ใช่)  เพื่อให้ลูกๆ ของตนสัมฤทธิ์เป้าหมายเหล่านี้ ลูกๆ ก็จะต้องตื่นแต่เช้าตรู่มาทบทวนบทเรียนและท่องจำข้อความ ส่วนพ่อแม่ก็จะตื่นแต่เช้ามาอยู่เป็นเพื่อนลูกด้วย  วันไหนอากาศร้อน พวกเขาก็จะช่วยพัดวีให้ลูก ทำเครื่องดื่มเย็นๆ หรือซื้อไอศกรีมมาให้กิน  พวกเขาจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ และไข่ให้กับลูกๆ ของตนเป็นอันดับแรก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสอบ พ่อแม่จะให้ลูกกินปาท่องโก๋หนึ่งตัวกับไข่สองฟอง โดยหวังว่านี่จะช่วยให้ลูกทำคะแนนเต็มร้อย  ถ้าเจ้ากล่าวว่า ‘ลูกกินทั้งหมดนี้ไม่ไหว ไข่ฟองเดียวก็พอ’ พวกเขาก็จะตอบว่า ‘เด็กโง่ ถ้าลูกกินไข่หนึ่งฟองก็จะทำได้แค่สิบคะแนน กินอีกฟองเพื่อแม่นะ  พยายามให้สุดความสามารถ ถ้าลูกกินไข่ฟองนี้ได้ ลูกก็จะได้ร้อยคะแนนเต็ม’  ลูกจึงบอกว่า ‘ลูกเพิ่งตื่นนอน ยังกินไม่ลงหรอก’  ‘ไม่ได้ ลูกต้องกิน!  เป็นเด็กดีและเชื่อฟังแม่  แม่ทำอย่างนี้ก็เพื่อให้ลูกได้ดี ดังนั้นกินเข้าไป เพื่อแม่เถิด’  ลูกก็ไตร่ตรองว่า ‘แม่ดูแลเอาใจใส่มากมาย  ทุกสิ่งที่แม่ทำก็เพื่อให้ฉันได้ดี ดังนั้นฉันก็จะกิน’  สิ่งที่กินเข้าไปคือไข่หนึ่งฟอง แต่สิ่งที่กลืนลงไปจริงๆ แล้วคืออะไร?  คือความกดดัน ความลังเลและไม่ยินยอมพร้อมใจ  การกินเป็นสิ่งที่ดี และแม่ก็คาดหวังไว้สูง จากจุดยืนของความเป็นมนุษย์และมโนธรรมแล้ว คนเราควรยอมรับความคาดหวังเหล่านั้น แต่ตามเหตุผลแล้ว คนเราควรแข็งขืนต่อความรักประเภทนี้และไม่ยอมรับวิธีทำสิ่งต่างๆ แบบนี้  แต่นั่นแหละ เจ้าไม่สามารถทำอะไรได้  ถ้าเจ้าไม่กิน แม่ก็จะโกรธ และเจ้าก็จะถูกตี ดุว่า หรือแม้กระทั่งถูกสาปแช่ง… ด้วยความคาดหวังของพ่อแม่ เจ้าได้รับการอบรมสั่งสอนว่าอย่างไร?  (จำเป็นต้องทำผลสอบให้ดีและมีอนาคตที่ประสบความสำเร็จ)  เจ้าต้องแสดงให้เห็นว่ามีแววว่าจะประสบความสำเร็จ เจ้าต้องทำให้สมกับความรัก ความเหนื่อยยาก และความเสียสละของแม่ และเจ้าต้องลุล่วงสิ่งที่พ่อแม่ของเจ้าคาดหวังโดยไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง  พวกเขารักเจ้ามากนัก มอบทุกสิ่งให้แก่เจ้า และกำลังทำทุกสิ่งเพื่อเจ้าด้วยชีวิตของพวกเขาเอง  ดังนั้นความเสียสละทั้งหมด การอบรมสั่งสอน และแม้กระทั่งความรักของพวกเขาได้กลายเป็นสิ่งใด?  กลายเป็นสิ่งที่เจ้าต้องตอบแทน และในเวลาเดียวกันก็กลายเป็นภาระของเจ้า  ภาระจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (16))  พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าเมื่อพ่อแม่มีความคาดหวังในตัวลูกๆ พ่อแม่คิดเสมอว่าทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นก็เพื่อประโยชน์ของลูกเอง พวกเขาอยากให้ลูกๆ ตั้งใจเรียน เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ และมีผลการเรียนที่ดี เพื่อที่ลูกจะได้นำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษและมีสถานะทางสังคมที่สูงส่ง พวกเขายังเรียกร้องให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ในหนทางใดหนทางหนึ่งตามความคาดหวังที่พวกเขามีอีกด้วย แต่พวกเขาไม่พิจารณาถึง ความเครียดทั้งหมดที่การเรียกร้องอันไม่ลดละของพวกเขาก่อให้กับลูก สิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดโปงตรงกับสภาวะของฉัน ฉันเห็นว่าลูกค่อนข้างหัวดีตอนแกอายุราวสองขวบ ฉันเลยหวังว่าลูกจะสามารถขยันเรียนและเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้เมื่อโตขึ้น แบบนั้น ไม่เพียงผู้อื่นจะคิดถึงฉันในแง่ดี แต่จะสร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูลเราด้วย ทันทีที่ฉันมีความคาดหวังเหล่านี้ ฉันก็เริ่มค้นหาโรงเรียนดีๆ ให้ลูก เพื่อที่ลูกจะได้มีรากฐานที่มั่นคงตั้งแต่เล็กๆ ฉันประหยัดค่าอาหารกับค่าใช้จ่ายประจำวันด้วย และซื้อปากกาสมาร์ทเพนให้ลูกใช้ในการเรียน เรียกร้องให้ลูกทำคะแนนเต็มในการสอบ และเปรียบเทียบแกกับลูกข้างบ้านที่ผลการเรียนดีอยู่เสมอ ถ้าลูกสาวของฉันไม่อยากทำตามแผนที่ฉันวางเอาไว้ ฉันก็บอกแกว่าทุกอย่างที่ฉันทำก็เพื่อประโยชน์ของแกเอง และถ้าลูกยังไม่ฟัง ฉันจะสั่งสอนแก บอกแกว่าต่อไปภายหน้าจะใช้ชีวิตเหมือนขอทาน นี่นำไปสู่การทำให้แกไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟังฉันและไม่มีอิสระใดๆ เลย ลูกไม่กล้าใช้เหตุผลกับฉัน ได้แค่ทุบตีตัวเองแทน และห่างเหินจากฉันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการทำทั้งหมดนี้ ฉันไม่ได้นำสิ่งใดนอกจากการทำร้ายมาสู่จิตใจอันอ่อนเยาว์ของแก แต่ฉันก็ยังคิดว่าฉันทำเพื่อประโยชน์ของลูกเอง ไม่ตระหนักเลยว่าการสั่งสอนลูกแบบนี้ที่จริงแล้วผิด

ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมต่อไป  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อเชื้อสายของตนก่อนที่พวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่เริ่มจาก ‘พวกเขาต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย พวกเขาแพ้ตั้งแต่ยกแรกไม่ได้’ ไปจนถึง ‘หลังจากที่พวกเขาโตขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องเจริญก้าวหน้าไปในโลกและตั้งตัวขึ้นมาในสังคม’ ค่อยๆ กลายเป็นข้อเรียกร้องประเภทหนึ่งที่พวกเขามีต่อลูกของตน  ข้อเรียกร้องนั้นก็คือ หลังจากที่เจ้าโตขึ้นและตั้งตัวขึ้นมาในสังคมแล้ว จงอย่าลืมรากเหง้าของตัวเอง จงอย่าลืมพ่อแม่ พ่อแม่ของเจ้าคือคนที่เจ้าต้องจ่ายคืนให้เป็นอันดับแรก เจ้าต้องแสดงความกตัญญูต่อพวกเขา และช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดี เพราะพวกเขาเป็นผู้มีพระคุณของเจ้าในโลกนี้ พวกเขาเป็นคนที่ฝึกฝนเจ้า การที่เจ้าตั้งตัวในสังคมได้ในตอนนี้ ตลอดจนทุกสิ่งที่เจ้าชื่นชมยินดีและทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามีนั้นซื้อมาด้วยความพยายามอันอุตสาหะของพ่อแม่ ดังนั้นเจ้าควรใช้ชีวิตที่เหลือของเจ้าจ่ายคืนให้กับพวกเขา ชดใช้คืนให้กับพวกเขา และดีต่อพวกเขา  ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่—ที่พวกเขาจะตั้งตัวขึ้นในสังคมและก้าวหน้าไปในโลก—ค่อยๆ วิวัฒนาการไปเป็นสิ่งนี้ โดยเปลี่ยนจากความคาดหวังของพ่อแม่ที่ปกติมากไปเป็นข้อเรียกร้องและการร้องขอประเภทหนึ่งที่พ่อแม่มีต่อลูกของตน  สมมุติว่าในช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาไปถึงวัยผู้ใหญ่ ลูกของพวกเขาไม่ได้ระดับคะแนนที่ดี สมมุติว่าลูกขัดขืน ลูกไม่ต้องการเล่าเรียนหรือเชื่อฟังพ่อแม่ของตน และพวกเขาไม่เชื่อฟังพ่อแม่  พ่อแม่ก็จะพูดว่า ‘แกคิดว่าฉันได้อะไรมาง่ายๆ หรือ?  แกคิดว่าฉันกำลังทำทุกอย่างนี้เพื่อใคร?  ฉันกำลังทำสิ่งนี้เพื่อให้ตัวแกเองได้ดีไม่ใช่หรือ?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำก็เพื่อแก แล้วแกก็ไม่ซาบซึ้ง  แกเบาปัญญาหรือยังไง?’  พวกเขาจะใช้คำพูดเหล่านี้ขู่เข็ญลูกของตัวเองและยึดลูกเป็นตัวประกัน  แนวทางแบบนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  นั่นไม่ถูกต้อง  ส่วนที่ ‘สูงส่ง’ ของพ่อแม่ก็คือส่วนที่น่าดูหมิ่นของพ่อแม่เช่นกัน(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18))  พระเจ้าทรงเปิดโปงว่ามีเจตนาและแรงจูงใจซ่อนอยู่เบื้องหลังความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อลูก พ่อแม่หวังว่าหลังจากทุ่มเทในการเลี้ยงดูลูก เมื่อสุดท้ายแล้วลูกๆ ของพวกเขาโดดเด่นขึ้นมาจากผู้อื่น และสร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูล พ่อแม่ก็จะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้บ้าง ถ้าพระเจ้าไม่ทรงเปิดโปงข้อนี้ ฉันคงจะคิดไปตลอดว่าการสอนลูกให้ขยันเรียนและควบคุมลูกอย่างเข้มงวด ก็เพื่อที่ลูกจะมีอนาคตที่สดใสได้ แต่เบื้องหลังทั้งหมดนั้น ปรากฎว่าฉันแค่ทำไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของฉันเอง ฉันได้ปลูกฝังลูกสาวตั้งแต่ยังเล็ก หวังว่าลูกจะพัฒนารากฐานที่แข็งแกร่งขณะที่ยังเด็ก และลูกจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยที่ดี และโดดเด่นเหนือเพื่อนฝูงในอนาคตได้ ด้วยวิธีนี้ ลูกไม่เพียงจะนำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของเรา การที่ลูกมีชีวิตที่ดีในอนาคตก็จะเป็นผลดีกับฉันในฐานะแม่เช่นกัน และลูกจะกตัญญูต่อฉันในอนาคต เมื่อฉันเห็นว่าลูกออกจะติดเล่น ฉันกังวลว่าเรื่องนี้จะกระทบกับผลการเรียนของแก ฉันก็เลยดุและตีแก เนื่องจากฉันไม่มีเวลามากนักที่จะแนะแนวลูกสาวด้านการเรียนขณะที่ทำหน้าที่ของฉัน ผลการเรียนของแกจึงตกลงอย่างมาก และเมื่อฉันเห็นแบบนี้ ฉันเลยไม่อยากแม้แต่จะทำหน้าที่ผู้นำของฉัน มาคิดดูตอนนี้ มีเจตนาและแรงจูงใจอยู่เบื้องหลังสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่ฉันทำให้ลูกสาว และทั้งหมดก็เพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวฉันเอง ฉันใชัชีวิตอยู่กับน้ำพิษของซาตานอย่างเช่น “อย่ากระดิกแม้แต่นิ้วเดียวหากไม่ได้รางวัล” และ “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” ฉันเห็นแก่ตัวและเลวทรามอย่างแท้จริง

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าและพบเส้นทางสู่การปฏิบัติ  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “โดยผ่านทางการชำแหละแก่นแท้ของความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อลูกของตน พวกเราสามารถเห็นได้ว่าความคาดหวังเหล่านี้เห็นแก่ตัว ว่าความคาดหวังเหล่านี้ขัดต่อความเป็นมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ความคาดหวังเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับความรับผิดชอบของพ่อแม่เลย  ในเวลาที่พ่อแม่ยัดเยียดความคาดหวังและข้อพึงประสงค์นานาสารพันให้กับลูกของตน พวกเขาไม่ได้กำลังลุล่วงหน้าที่ของตัวเอง  แล้ว ‘ความรับผิดชอบ’ ของพวกเขาคืออะไร?  ความรับผิดชอบพื้นฐานที่สุดที่พ่อแม่พึงลุล่วงก็คือการสอนให้ลูกของตนพูด อบรมสั่งสอนลูกให้ใจดีมีเมตตาและไม่เป็นคนไม่ดี รวมทั้งนำลูกไปในทิศทางบวก  เหล่านี้เป็นความรับผิดชอบซึ่งพื้นฐานที่สุด  นอกจากนั้นพวกเขาก็ควรอนุเคราะห์ลูกของตนในการศึกษาความรู้ ความสามารถพิเศษ และอะไรอื่นๆ ประเภทใดก็ตามที่เหมาะกับลูกบนพื้นฐานของอายุของลูก ปริมาณที่ลูกสามารถรับมือได้ รวมทั้งขีดความสามารถและความสนใจของลูก  พ่อแม่ที่ดีกว่าหน่อยก็จะช่วยให้ลูกของตนเข้าใจว่า ผู้คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างมา และว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริงในจักรวาลนี้ นำทางให้ลูกของตนอธิษฐานและอ่านพระวจนะของพระเจ้า บอกเล่าบางเรื่องราวจากพระคัมภีร์ให้พวกเขาฟัง อีกทั้งหวังว่าพวกเขาจะติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างหลังจากที่พวกเขาโตขึ้น แทนที่จะไล่ตามกระแสนิยมทางโลก ติดกับดักอยู่ในสัมพันธภาพระหว่างบุคคลอันซับซ้อน และถูกกระแสนิยมสารพัดของสังคมและโลกนี้พร่าผลาญ  ความรับผิดชอบที่พ่อแม่พึงลุล่วงนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับความคาดหวังของพ่อแม่  ความรับผิดชอบที่พวกเขาควรลุล่วงในบทบาทพ่อแม่ก็คือการจัดเตรียมการแนะนำที่เป็นบวกและการอนุเคราะห์อันเหมาะควรให้กับลูกก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่ รวมทั้งดูแลชีวิตทางเนื้อหนังของลูกอย่างทันท่วงทีในด้านอาหาร เสื้อผ้า ที่พักอาศัย หรือเวลาที่ลูกเกิดเจ็บป่วย  หากลูกของพวกเขาเกิดป่วยขึ้นมา พ่อแม่ควรให้การรักษาความเจ็บป่วยใดก็ตามที่จำเป็นต้องรักษา พวกเขาไม่ควรเพิกเฉยต่อลูกหรือบอกลูกว่า ‘ไปโรงเรียนต่อเถอะลูก ไปเรียนหนังสืออย่าให้ขาด—ลูกรั้งท้ายในห้องไม่ได้  ถ้าลูกรั้งท้ายห่างเกินไป ลูกจะตามไม่ทัน’  เมื่อลูกของพวกเขาจำเป็นต้องพัก พ่อแม่ก็ควรปล่อยให้ลูกพัก ยามที่ลูกมีอาการป่วย พ่อแม่ต้องช่วยลูกให้ได้พักฟื้น  เหล่านี้คือความรับผิดชอบของพ่อแม่  ในด้านหนึ่งนั้น พ่อแม่ต้องดูแลสุขภาพกายของลูก อีกด้านหนึ่งนั้น พ่อแม่ต้องอนุเคราะห์ ให้การศึกษา และช่วยลูกของตนเกี่ยวกับสุขภาพจิตของพวกเขา  เหล่านี้เป็นความรับผิดชอบที่พ่อแม่พึงลุล่วง แทนที่จะนำความคาดหวังหรือข้อพึงประสงค์ที่ไม่สมจริงอันใดมายัดเยียดให้ลูก  พ่อแม่ต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตนทั้งเมื่อเป็นเรื่องของสิ่งจำเป็นต่อจิตใจของลูกและสิ่งที่ลูกจำเป็นต้องมีในชีวิตทางกายของพวกเขา  พ่อแม่ไม่ควรปล่อยให้ลูกหนาวเหน็บในฤดูหนาว พ่อแม่ควรสอนความรู้เรื่องชีวิตทั่วไปบางอย่างให้กับลูก เช่น ภายใต้สภาพการณ์ใดที่ลูกจะเป็นหวัด สอนว่าลูกควรกินอาหารอุ่น สอนว่าลูกจะปวดท้องหากกินอาหารเย็น และสอนว่าลูกไม่ควรตากลมตามสบาย หรือไม่สวมเสื้อผ้าในสถานที่ซึ่งมีลมกรรโชกแรงยามที่อากาศหนาวเย็น อันเป็นการช่วยให้ลูกเรียนรู้ที่จะดูแลสุขภาพของตัวพวกเขาเอง  นอกจากนั้นแล้วเมื่อความคิดแบบสุดขั้ว หรือแนวคิดเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองแบบเด็กยังไม่โตบางอย่างผุดขึ้นในจิตใจอันเยาว์วัยของลูก พ่อแม่ต้องจัดเตรียมคำแนะนำที่ถูกต้องให้กับลูกอย่างทันท่วงทีในทันทีที่พวกเขาค้นพบสิ่งนี้ แทนที่จะปรามลูกในเชิงบังคับ กล่าวคือ พ่อแม่ควรให้ลูกได้แสดงออกและระบายแนวคิดของพวกเขา เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง  นี่คือการลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่  ในแง่หนึ่งนั้น การลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่หมายถึงการดูแลลูกของตน และในอีกแง่ก็หมายถึงการแก้ไขและการชี้ทางให้ลูกของตน รวมทั้งการให้คำแนะนำพวกเขาเกี่ยวกับความคิดและทัศนะที่ถูกต้อง  อันที่จริงแล้วความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วงไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความคาดหวังที่พวกเขามีต่อเชื้อสายของตน  เจ้าสามารถหวังว่าลูกของเจ้าจะมีสุขภาพกายที่ดีและมีความเป็นมนุษย์ มีมโนธรรม และมีเหตุผลหลังจากที่พวกเขาโตขึ้น หรือเจ้าสามารถหวังว่าลูกของเจ้าจะแสดงความกตัญญูต่อเจ้า แต่เจ้าไม่ควรหวังว่าลูกของเจ้าจะกลายเป็นคนเด่นคนดังหรือบุคคลที่ยิ่งใหญ่ประเภทนี้นั้นหลังจากที่โตแล้ว และเจ้ายิ่งไม่ควรบอกลูกอยู่เป็นนิจว่า ‘ดูสิว่าเสี่ยวหมิงที่อยู่บ้านถัดไปเชื่อฟังแค่ไหน!’  ลูกของเจ้าก็คือลูกของเจ้า—ความรับผิดชอบที่เจ้าพึงลุล่วงไม่ใช่การบอกลูกว่าเสี่ยวหมิงที่เป็นเพื่อนบ้านนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด หรือให้ลูกเรียนรู้จากเสี่ยวหมิงที่เป็นเพื่อนบ้านของพวกเขา  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่พ่อแม่ควรทำ  บุคคลทุกคนแตกต่างกัน  ผู้คนต่างกันในแง่ของความคิด ทัศนะ ความสนใจ งานอดิเรก ขีดความสามารถ บุคลิกภาพ รวมทั้งการที่แก่นแท้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นดีหรือเลวทราม  คนบางคนเกิดมาช่างพูดเป็นต่อยหอย ในขณะที่คนอื่นมีโลกส่วนตัวสูงมาแต่กำเนิด และจะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเลยหากพวกเขาผ่านวันทั้งวันไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ  เพราะฉะนั้นหากพ่อแม่ปรารถนาที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตน พวกเขาก็ควรพยายามเข้าใจบุคลิกภาพ อุปนิสัย ความสนใจ ขีดความสามารถ และสิ่งจำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์ของลูกของตน  แทนที่จะแปรการไล่ตามไขว่คว้าทางโลก เกียรติยศ และผลกำไรแบบผู้ใหญ่ของตนไปเป็นความคาดหวังที่มีต่อลูก ยัดเยียดสิ่งเหล่านี้ที่เป็นเกียรติยศ ผลกำไร และโลกซึ่งมาจากสังคมให้กับลูกของตน  พ่อแม่เรียกสิ่งเหล่านี้ในชื่อที่ฟังดูดีว่า ‘ความคาดหวังที่มีต่อลูก’ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้น  เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขากำลังพยายามผลักลูกของตนเข้าสู่กองเพลิงและส่งลูกเข้าไปในอ้อมแขนของหมู่มาร  หากเจ้าเป็นพ่อแม่ที่ดีพอจริงๆ เจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าที่เกี่ยวกับสุขภาพกายและใจของลูก แทนที่จะยัดเยียดเจตจำนงของเจ้าให้กับลูกก่อนที่พวกเขาจะถึงวัยผู้ใหญ่ บังคับจิตใจอันเยาว์วัยของลูกให้แบกสิ่งทั้งหลายที่ลูกไม่ควรต้องแบก(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่า พ่อแม่ควรปล่อยวางข้อเรียกร้องและความคาดหวังไม่เหมาะควรที่พวกเขาตั้งไว้กับลูก พ่อแม่ต้องปฏิบัติกับลูกโดยอิงจากสถานการณ์จริง และไม่อาจเอาความปรารถนาของตนในการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ไปยัดเยียดให้กับลูก เมื่อเป็นเรื่องวิธีสั่งสอนลูกสาว ฉันไม่ได้ปฎิบัติตนให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า ลูกของฉันอาจจะฉลาดเฉลียวตั้งแต่ยังเล็ก แต่แกไม่มีทางได้คะแนนเต็มร้อยในการสอบ ฉันควรพิจารณาเรื่องนี้อย่างถูกต้อง ฉันไม่ควรเอาลูกไปเปรียบเทียบกับลูกของเพื่อนบ้าน และไม่ควรปลูกฝังความคิดหลงผิดให้กับลูกตอนที่ลูกยังเล็ก พยายามให้ลูกเป็นนักเรียนที่ดีและเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ เพื่อจะได้โดดเด่นเหนือเพื่อนฝูง และนำพาเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของเรา อีกอย่าง เมื่อพิจารณาเด็กในวัยต่างๆ เราควรสร้างข้อเรียกร้องจากเด็กโดยอิงจากสถานการณ์จริงของพวกเขา ลูกสาวฉันยังไม่สิบขวบเลย เป็นธรรมดาที่แกจะชอบสนุกสนานและเล่นสนุกสักพักก่อนทำการบ้าน ฉันไม่ควรตั้งข้อเรียกร้องตามวิธีสั่งสอนลูกของตัวเอง แล้วไปดุลูกเมื่อลูกทำอะไรบางอย่างไม่ได้ สิ่งนี้รังแต่จะไปทำร้ายจิตใจอันอ่อนเยาว์ของแก และไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของแกอย่างแท้จริง การทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อลูกอย่างแท้จริงนั้น คนเราควรปฏิบัติสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า ปฏิบัติต่อลูกโดยอิงจากขีดความสามารถ บุคลิกนิสัย และวัยของลูก ถ้าคนเรามีวิธีของตนเองในการสั่งสอนลูก เช่นนั้นต่อให้เราลุล่วงเป้าหมายที่ให้ลูกโดดเด่นเหนือเพื่อนฝูง เด็กคนนั้นก็จะห่างจากพระเจ้าออกไปอีก ขณะที่พวกเขาได้รับความรู้มากขึ้น เมื่อพ่อแม่เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ฟังในอนาคต พวกเขาก็อาจใช้ความรู้ที่ได้เรียนมาในการต่อต้านและปฏิเสธพระเจ้า ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้น เด็กก็จะย่อยยับ เมื่อเข้าใจทั้งหมดนี้ ฉันก็ไม่สนใจผลการเรียนลูกสาวมากขนาดนั้นอีก และไม่หวังอีกต่อไปว่าลูกจะได้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ และนำเกียรติยศมาสู่ชื่อเสียงของฉันในอนาคต ฉันเพียงหวังว่าลูกจะได้ร่ำเรียนความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงขณะที่เป็นนักเรียน ในข้อที่ว่าแกจะได้รับความสำเร็จทางวิชาการและได้งานดีๆ ในอนาคตหรือไม่ และในข้อที่ว่าลู่ทางในอนาคตของแกจะเป็นอย่างไรนั้น ฉันนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม “เมื่อคนเราจากบิดามารดาของคนเรามา และกลายมามีอิสระ ทั้งเงื่อนไขต่างๆ ทางสังคมที่คนเราเผชิญ และประเภทของงานและอาชีพที่มีให้คนเราทำ ต่างก็ถูกประกาศิตโดยชะตากรรมและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับบิดามารดาของคนเราเลย  ผู้คนบางคนเลือกวิชาเอกที่ดีในมหาวิทยาลัยและจบลงด้วยการได้งานที่พึงพอใจหลังจากสำเร็จการศึกษา สร้างก้าวย่างแรกแห่งชัยชนะในการเดินทางแห่งชีวิตของพวกเขา  ผู้คนบางคนเรียนรู้และชำนาญในทักษะแตกต่างมากมาย แต่กระนั้นก็ยังไม่เคยเจอสักงานที่เหมาะสมกับพวกเขา หรือไม่เคยได้ตำแหน่งที่พวกเขาต้องการ นับประสาอะไรกับอาชีพการงาน กล่าวคือ ณ จุดเริ่มของการเดินทางแห่งชีวิต พวกเขาพบว่าตัวเองติดขัดไปทุกการขยับตัว ถูกรุมเร้าด้วยอุปสรรคปัญหา  ความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จอับเฉา และชีวิตของพวกเขานั้นไม่แน่นอน  ผู้คนบางคนพยายามอย่างขยันขันแข็งในการศึกษาของพวกเขา ทว่ากลับพลาดโอกาสไปอย่างฉิวเฉียดที่จะได้เรียนต่อขั้นอุดมศึกษา พวกเขาดูเหมือนถูกกำหนดชะตากรรมให้ไม่มีวันสัมฤทธิ์ความสำเร็จ ความมุ่งมาดปรารถนาแรกสุดของพวกเขาในการเดินทางแห่งชีวิตของพวกเขาได้สลายไปในอากาศ  ด้วยความที่ไม่รู้ว่าถนนที่ทอดไปข้างหน้านั้นราบเรียบหรือขรุขระ พวกเขาจึงรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าโชคชะตาของมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความปรวนแปรขนาดไหน และดังนั้นจึงมองชีวิตด้วยความมุ่งหวังและความหวาดหวั่น  ผู้คนบางคนทั้งที่ไม่ได้มีการศึกษาดีนัก กลับเขียนหนังสือและสัมฤทธิ์ชื่อเสียงในระดับหนึ่ง บางคนแม้ว่าแทบจะไม่รู้หนังสือเอาเสียเลย ก็หาเงินได้จากการทำธุรกิจและด้วยเหตุนั้นจึงสามารถค้ำจุนตัวเองได้… อาชีพที่คนเราเลือก วิธีที่คนเราหาเลี้ยงชีพ ผู้คนควบคุมได้หรือไม่ว่าพวกเขาจะเลือกตัวเลือกที่ดีหรือตัวเลือกที่ไม่ดีในบรรดาสิ่งเหล่านี้?  สิ่งเหล่านี้เป็นไปโดยสอดคล้องกับความอยากได้อยากมีและการตัดสินใจของผู้คนหรือไม่?  ผู้คนส่วนใหญ่มีความปรารถนาดังต่อไปนี้คือ ทำงานน้อย ได้เงินมาก ไม่ต้องกรำงานตากแดดตากฝน แต่งกายดี เรืองรองรุ่งโรจน์ไปทุกแห่งหน ตระหง่านง้ำเหนือคนอื่น และนำเกียรติมาสู่บรรพบุรุษของพวกเขา  ผู้คนหวังที่จะมีความเพียบพร้อม แต่เมื่อพวกเขาเหยียบย่างก้าวแรกในการเดินทางของชีวิตพวกเขา พวกเขาจึงค่อยๆ มาตระหนักว่า โชคชะตาของมนุษย์นั้นไม่สมประกอบเพียงใด และเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจับความเข้าใจได้อย่างแท้จริงในข้อเท็จจริงที่ว่า แม้คนเราสามารถวางแผนการอันอาจหาญสำหรับอนาคตของคนเรา และแม้คนเราอาจเก็บงำความเพ้อฝันอันบ้าบิ่นต่างๆ เอาไว้ แต่ไม่มีใครมีความสามารถหรือพลังอำนาจที่จะทำให้ความฝันของพวกเขาเองเป็นจริงขึ้นมา และไม่มีใครอยู่ในฐานะที่จะควบคุมอนาคตของตนเองได้  จะมีระยะห่างอยู่เสมอระหว่างความฝันของคนเรากับความเป็นจริงต่างๆ ที่คนเราต้องเผชิญ สิ่งต่างๆ ไม่เคยเป็นดั่งที่คนเราต้องการให้พวกมันเป็น และเมื่อเผชิญกับความเป็นจริงต่างๆ ดังกล่าว ผู้คนก็ไม่มีวันที่จะสามารถสัมฤทธิ์ความพึงพอใจหรือความสุขสมใจได้เลย  ผู้คนบางคนจะพยายามทุกทางที่จินตนาการได้ จะใช้ความอุตสาหะใหญ่หลวงและการพลีอุทิศที่ยิ่งใหญ่เพื่อประโยชน์ของชีวิตความเป็นอยู่และอนาคตของพวกเขา โดยขวนขวายที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง  แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้พวกเขาสามารถทำให้ความฝันและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมาด้วยวิถีทางแห่งการทำงานหนักของพวกเขาเอง พวกเขาก็ไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้ และไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างหัวเด็ดตีนขาดเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีวันไปได้เกินกว่าสิ่งที่โชคชะตาได้จัดสรรไว้ให้พวกเขา  ไม่ว่าความสามารถ เชาวน์ปัญญา และพลังใจมีความแตกต่างกันอย่างไร ผู้คนทั้งหมดล้วนเสมอภาคกันเมื่ออยู่ต่อหน้าชะตากรรมซึ่งไม่แยกความต่างระหว่างคนยิ่งใหญ่กับคนตัวเล็ก คนสูงส่งกับคนต่ำต้อย คนที่ได้รับการยกย่องกับคนต่ำศักดิ์  อาชีพที่คนเราเสาะหา สิ่งที่คนเราทำเพื่อเลี้ยงชีพ และความอุดมสมบูรณ์ในโภคทรัพย์ที่คนเราสั่งสมได้ในชีวิตไม่ได้ถูกชี้ขาดโดยบิดามารดาของคนเรา พรสวรรค์ของคนเรา ความพยายามของคนเรา หรือความทะเยอทะยานของคนเรา แต่ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วโดยพระผู้สร้าง(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่า ลู่ทางในอนาคตของคนเราและชะตากรรมในช่วงชีวิตของพวกเขานั้นล้วนอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า ลูกฉันจะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ และหางานที่ดีได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าฉันเรียกร้องอะไรจากแก อีกทั้งไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำงานหนักของแก ทัั้งหมดนี้อยู่ที่สิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ เมื่อแต่ละคนเกิดมา พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการชีวิตของพวกเขาเอาไว้แล้ว บางคนเรียนมหาวิทยาลัยและได้วุฒิที่ดี แต่ไม่สามารถหางานที่น่าพอใจได้ ขณะที่บางคนไม่ได้เรียนมาสูง แต่สามารถสร้างอาชีพให้ตนเองได้ ฉันเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง ลูกชายของเธอได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ไม่เคยหางานทำ และว่างงานอยู่แต่บ้าน เช่นกัน ลูกสะใภ้ของยายฉันก็ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่สามารถหางานที่ดีได้ และกลับบ้านมาเป็นชาวนา ขณะที่ลุงของสามีฉันไม่จบแม้แต่ชั้นประถม และอ่านตัวอักษรไม่ได้มากนัก แต่ก็เปิดโรงงานและกลายเป็นเถ้าแก่ หาเงินได้มากมาย จากประสบการณ์ในชีวิตจริงเหล่านี้ ฉันเห็นว่าคนเราจะหางานที่ดีและมีอนาคตที่สดใสได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเข้ามหาวิทยาลัยได้ไหม และไม่ได้มาจากวิธีสั่งสอนของพ่อแม่ ทั้งหมดล้วนอยู่ที่สิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ ฉันต้องเปลี่ยนทัศนะที่ผิดพลาดของฉันในอนาคต และปล่อยวางความคาดหวังที่ฉันมีกับลูกสาว เลิกเรียกร้องให้ลูกใช้การเรียนมาสนองความปรารถนาของฉันที่อยากโดดเด่นจากผู้อื่น

หลังจากนั้น ฉันก็ทำหน้าที่ของฉันตามปกติ และเลิกสอนลูกสาวอย่างที่เคยทำ ในช่วงพักของลูก ฉันก็จะคุยกับลูกเรื่องการเชื่อในพระเจ้าอีกด้วย ให้ลูกเข้าใจว่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง รวมถึงมวลมนุษยชาติ คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง และทุกอย่างที่เรามีนั้นพระองค์ทรงประทานให้เรา และทุกคนควรมีศรัทธาและนมัสการพระองค์ ลูกเต็มใจอ่านพระวจนะของพระเจ้ากับฉัน และฟังการสามัคคีธรรมของฉัน ฉันมีความสุขมาก เวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง และลูกสาวฉันเริ่มเชื่อฟัง แกทำการบ้านเสร็จตรงเวลา และผลการเรียนก็กระเตื้องขึ้นอย่างช้าๆ และแกจะได้คะแนนราว 80 ในการสอบแต่ละครั้ง ถึงฉันจะมีความสุข แต่เป็นความสุขคนละแบบกับที่ฉันเคยรู้สึก ฉันพูดกับลูกว่า “ไม่สำคัญว่าลูกสอบได้คะแนนเท่าไร แม่จะไม่เรียกร้องให้ลูกได้ 100 คะแนน และจะไม่เรียกร้องให้ลูกเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ในอนาคต นั่นเป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้าได้สอนแม่ว่า ลู่ทางและชะตากรรมของมนุษย์นั้นล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ชีวิตมนุษย์มาจากพระเจ้า และเมื่อลูกโตขึ้น แม่ก็หวังได้แต่ว่าลูกจะเชื่อในพระเจ้าอย่างถูกควร และทำหน้าที่ของลูกในพระนิเวศของพระเจ้า” ลูกพูดอย่างชื่นบานยินดีว่า “หนูรู้ค่ะ” และบอกฉันด้วยว่าตอนนี้ลูกมีความสุขกว่าเด็กคนอื่นมาก ฉันเห็นว่าเมื่อฉันปฏิบัติสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า ลูกสาวฉันก็ไม่ทนทุกข์อีกต่อไป อีกทั้งฉันได้พาลูกเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ฉันรู้สึกได้รับการปลดปล่อย และสามารถใช้พลังงานมากขึ้นไปกับการทำหน้าที่ของฉัน

ด้วยประสบการณ์นี้ ฉันเข้าใจแล้วว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือชีวิตของมนุษย์ และพระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของลูกสาวฉันด้วย ชะตากรรมไม่ได้อยู่ในมือของแก และยิ่งกว่านั้นก็ไม่ได้อยู่ในในมือของฉันด้วย ฉันได้เข้าใจด้วยว่า ความต้องการให้ลูกเป็นนักเรียนที่ดีและมีอนาคตสดใสนั้น ล้วนเพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตัวฉัน เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวและเลวทราม ตอนนี้ฉันสามารถปล่อยวางความคาดหวังที่ฉันมีต่อลูกสาวและปฏิบัติสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าได้ ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 81. ฉันพบชีวิตที่สุขสันต์อย่างแท้จริงแล้ว

ถัดไป: 90. ฉันจะไม่คร่ำครวญเรื่องชะตากรรมของตัวเองอีกต่อไป

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger