8. ฉันได้รับประโยชน์มากมายจากประสบการณ์ความเจ็บป่วย

ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา สิ่งที่ผู้คนแสวงหาก็คือการได้มาซึ่งพระพรสำหรับอนาคต นี่คือเป้าหมายของพวกเขาในความเชื่อของพวกเขา  ผู้คนทั้งหมดมีเจตนาและความหวังนี้  แต่ความเสื่อมทรามในธรรมชาติของพวกเขาต้องได้รับการแก้ไขโดยผ่านทางการทดสอบทั้งหลายและกระบวนการถลุง  ในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเผยให้เห็นความเสื่อมทราม ในแง่มุมเหล่านี้เองที่เจ้าต้องได้รับการถลุง—นี่คือการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  พระเจ้าทรงสร้างสภาพแวดล้อมหนึ่งให้กับเจ้า อันเป็นการบังคับให้เจ้าได้รับการถลุงตรงนั้นเพื่อให้เจ้าสามารถรู้ความเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง  ในท้ายที่สุด เจ้าก็ไปถึงจุดที่เจ้ายอมตายเพื่อล้มเลิกกลอุบายและความอยากได้อยากมีของเจ้า และเพื่อนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น หากผู้คนไม่มีกระบวนการถลุงอยู่เป็นเวลาหลายปี หากพวกเขาไม่สู้ทนความทุกข์ในปริมาณหนึ่ง พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะขจัดการจำกัดบังคับแห่งความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในความคิดของพวกเขาและในหัวใจของพวกเขาออกไปจากตัวพวกเขาได้  ในแง่มุมใดก็ตามที่ผู้คนยังคงอยู่ภายใต้การจำกัดบังคับของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขา และในแง่มุมใดก็ตามที่พวกเขายังมีความอยากได้อยากมีของตนเองและมีข้อเรียกร้องของตนเอง ในแง่มุมเหล่านี้เองที่พวกเขาควรทนทุกข์  เฉพาะโดยผ่านทางความทุกข์เท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้บทเรียนทั้งหลายได้ ซึ่งก็หมายถึงการมีความสามารถที่จะได้รับความจริง และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ในข้อเท็จจริงนั้น การรับประสบการณ์กับความทุกข์และบททดสอบทั้งหลายทำให้เกิดการเข้าใจความจริงมากมาย  ไม่มีใครสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ตระหนักรู้ความทรงมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาของพระเจ้า หรือซาบซึ้งในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกและสบาย หรือเมื่อรูปการณ์แวดล้อมเป็นใจ  นั่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้เลย!(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ทีไร ฉันก็นึกถึงประสบการณ์เจ็บป่วยของตัวเอง หากไม่ใช่เพราะความเจ็บป่วยเผยฉันออกมา ฉันก็คงไม่มีวันตระหนักถึงทัศนะที่ผิดพลาดของฉันที่เชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพร และฉันคงไม่ได้ปล่อยวางความวิตกกังวลและความเป็นห่วงที่ฉันมีต่อโอกาสในอนาคตและบั้นปลายของตัวเองได้ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมสภาพการณ์นี้ที่ทำให้ฉันได้ประสบกับความเจ็บป่วย และได้รับบำเหน็จที่คาดไม่ถึง

ฉันเป็นคนที่เจ็บป่วยง่ายมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนอายุได้ 21 ปี ฉันก็เป็นโรคหลอดลมอักเสบและมีไข้ต่ำๆ อยู่สามเดือน ฉันไปทั้งโรงพยาบาลเล็กและใหญ่อยู่หลายแห่ง แต่ก็ไม่มีที่ไหนรักษาให้หายขาดได้ แถมยาน้ำที่ฉันกินเพื่อการรักษาก็ทำให้กระเพาะอาหารและหลอดเลือดของฉันเสียหายรุนแรง ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากกลับไปพักฟื้นที่บ้าน พอกลับถึงบ้าน ฉันกินอะไรไม่ได้ และสุขภาพของฉันก็แย่ลงเรื่อยๆ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังรอความตาย เมื่อแม่เห็นว่าฉันเจ็บปวดมากแค่ไหน แม่ก็เลยเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้ายกับฉัน จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจความจริงที่ว่า มนุษย์ถูกพระเจ้าสร้างขึ้น ต้นกำเนิดของความเสื่อมทรามของมนุษย์ ทำไมชีวิตของผู้คนถึงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พวกเขาจะหลุดพ้นจากความเจ็บปวดนี้ได้อย่างไร คนเราควรทำอย่างไรเพื่อใช้ชีวิตที่มีความหมาย และอื่นๆ ในเวลานั้น ไม่มีอะไรสุขใจไปกว่าการได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน การอ่านทำให้ฉันลืมความเจ็บป่วยของตัวเองไปได้ ต่อมา สุขภาพของฉันก็ดีขึ้นบ้าง และฉันก็เริ่มใช้ชีวิตคริสตจักร ผ่านไปครึ่งปี ฉันก็หายเป็นปกติ เมื่อได้ชื่นชมในพระคุณของพระเจ้า ฉันจึงแน่วแน่อยู่ในหัวใจ ที่จะถวายทั้งชีวิตและสละตนเพื่อพระองค์เป็นการตอบแทนความรักของพระองค์ หลังจากนั้น ฉันได้ทุ่มเทตัวเองให้กับหน้าที่ของฉันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหรือลมแรง หนาวเหน็บหรือร้อนจัด หรือแม้แต่เมื่อเราต้องเผชิญกับการจับกุมและการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์ ฉันก็ยังคงทำหน้าที่ของฉันอย่างไม่หยุดหย่อน

เก้าปีผ่านไปในพริบตาเช่นนั้นเอง และการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันโชคดีพอที่จะหนีออกจากประเทศจีนมายังประเทศที่เสรีและมีประชาธิปไตย ซึ่งฉันยังคงเชื่อในพระเจ้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ช่วงเวลาหนึ่ง ฉันอยู่ในเขตเวลาที่ต่างจากผู้มาใหม่ที่ฉันกำลังให้น้ำ และฉันต้องอยู่ดึกทุกวันเพื่อทำหน้าที่ แม้ว่าบางครั้งฉันจะรู้สึกเหนื่อยล้ามาก แต่เมื่อนึกถึงบั้นปลายยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรา ฉันก็รู้สึกว่าการสู้ทนความทุกข์เท่าไรก็คุ้มค่า ในปี 2021 ฉันมีอาการแน่นหน้าอกและใจสั่นบ่อยๆ และอัตราการเต้นของหัวใจฉันก็ขึ้นๆ ลงๆ นอกจากนั้นแล้ว ร่างกายของฉันก็อ่อนล้าและง่วงนอนอยู่บ่อยๆ ตอนแรกฉันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าถ้าพักผ่อนบ้างคงจะดีขึ้น นอกจากนี้ ผู้มาใหม่เพิ่งจะยอมรับในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และยังไม่มีรากฐานที่มั่นคง หากฉันไม่ได้ให้น้ำพวกเขาทันที ชีวิตของพวกเขาก็จะทนทุกข์กับผลเสียหาย แต่ทว่า หลายเดือนผ่านไป อาการของฉันก็แย่ลงเรื่อยๆ บางครั้งฉันก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจขึ้นมากะทันหัน ฉันกังวลเล็กน้อย กลัวว่าฉันอาจเป็นโรคร้ายแรงบางอย่าง แต่ฉันก็คิดว่า “แม้ว่าฉันจะมีสุขภาพไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เด็ก แต่ฉันก็ไม่เคยมีโรคร้ายแรงมาก่อน บางทีนี่อาจเป็นปฏิกิริยาทางกายทั่วไปที่เกิดจากการอดหลับอดนอนในช่วงนี้ คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่าง ในช่วงหลายปีมานี้ ฉันได้ละทิ้งทุกอย่างและสละตนเพื่อพระเจ้า ดังนั้น พระองค์ควรจะคุ้มครองฉันและไม่ปล่อยให้ฉันป่วยหนัก”

เย็นวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ฉันกำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตามปกติ ตอนที่ฉันรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่หัวใจ ตอนแรกฉันอยากจะทนเอาไว้และรอให้มันผ่านไป แต่อาการก็แย่ลงเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนเป็นตะคริวหน่อยๆ ฉันเริ่มหายใจไม่ออก และในที่สุดก็ไม่สามารถนั่งตัวตรงได้และล้มพับลงกับพื้น ขณะที่เกิดเหตุการณ์นี้ ฉันกลัวมาก และน้ำตาก็ไหลไม่หยุด พี่น้องหญิงอีกคนที่อยู่ในบ้านมาพบเข้าแล้วพยุงฉันขึ้นไปนอนบนเตียง และไม่นานฉันก็หลับไป พอตื่นขึ้นมาก็เลยสามทุ่มไปแล้ว ฉันจ้องมองเพดาน นึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นและคิดว่า “ฉันเป็นลมเพราะเจ็บหัวใจหรือเปล่านะ? ฉันเป็นโรคหัวใจจริงๆ เหรอ? โรคหัวใจเป็นอันตรายถึงชีวิตนะ แล้วฉันจะตายไหม? ฉันละทิ้งทุกอย่างและทำหน้าที่ แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองฉันล่ะ?” ฉันไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในการให้ฉันเผชิญกับความเจ็บป่วยนี้ ฉันต้องสงบจิตใจและอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเห็นพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ที่ว่า “ขณะก้าวผ่านบททดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือไม่ชัดเจนในเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเส้นทางปฏิบัติ  แต่โดยภาพรวมแล้ว เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า และเช่นเดียวกับโยบ เจ้าต้องไม่ปฏิเสธพระเจ้า  แม้ว่าโยบอ่อนแอและสาปแช่งวันเกิดของเขาเอง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่า สรรพสิ่งที่ผู้คนมีหลังจากที่พวกเขาถือกำเนิดมานั้น พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่จะพรากสิ่งเหล่านั้นไปเช่นกัน  ไม่ว่าเขาจะก้าวผ่านบททดสอบอะไรมา เขาก็ได้ธำรงรักษาการเชื่อนี้ไว้  ไม่ว่าผู้คนจะถูกพระวจนะของพระเจ้าถลุงเช่นไรในประสบการณ์ของพวกเขา โดยรวมแล้วสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ก็คือความเชื่อและหัวใจของพวกเขาที่รักพระเจ้า  พระองค์ทรงพระราชกิจในหนทางนี้เพื่อทำให้ความเชื่อ ความรัก และความแน่วแน่ของผู้คนมีความเพียบพร้อม  พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมกับผู้คน และพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ ไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ย่อมต้องมีความเชื่อ  เมื่อไม่สามารถมองเห็นบางสิ่งได้ด้วยตาเปล่า ย่อมต้องมีความเชื่อ  เมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเองได้ ก็ย่อมต้องมีความเชื่อ  เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงทำก็คือมีความเชื่อและจุดยืนที่มั่นคง และตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า  เมื่อโยบได้มาถึงจุดนี้ พระเจ้าได้ทรงปรากฏต่อเขาและตรัสกับเขา  นั่นคือ เฉพาะเมื่อเจ้ามีความเชื่อเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถมองเห็นพระเจ้า  เมื่อเจ้ามีความเชื่อ พระเจ้าก็จะทรงทำให้เจ้าเพียบพร้อม และถ้าเจ้าไม่มีความเชื่อ พระองค์จะไม่สามารถทำการนี้ได้  พระเจ้าจะทรงมอบสิ่งใดก็ตามที่เจ้าหวังจะได้รับให้แก่เจ้า  หากเจ้าไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและเจ้าจะไร้ความสามารถมองเห็นการกระทำของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรกับฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์  ในประสบการณ์จริง เมื่อเจ้ามีความเชื่อที่จะมองเห็นกิจการของพระองค์ พระเจ้าก็จะทรงปรากฏต่อเจ้า และพระองค์จะทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเจ้าจากภายใน  หากปราศจากความเชื่อนั้น พระเจ้าจะทรงไร้ความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้  หากเจ้าได้สูญเสียความหวังในพระเจ้าไปแล้ว เจ้าจะสามารถผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ได้อย่างไรเล่า?  เพราะฉะนั้น เฉพาะเมื่อเจ้ามีความเชื่อและเจ้าไม่ได้เก็บงำความคลางแคลงใจต่อพระเจ้า เฉพาะเมื่อเจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงในพระองค์โดยไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด พระองค์จึงจะให้ความรู้แจ้งและให้ความกระจ่างแก่เจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ของเจ้า และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความสามารถมองเห็นการกระทำของพระองค์ได้  สิ่งเหล่านี้ล้วนสัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางความเชื่อ  ความเชื่อมาโดยผ่านทางการถลุงเท่านั้น และในกรณีที่ไม่มีการถลุง ความเชื่อก็ไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันสงบลงได้บ้าง ฉันตระหนักได้ว่าฉันกำลังเผชิญกับหนึ่งในบททดสอบของพระเจ้า และมีเจตนารมณ์ของพระเจ้าในการให้ฉันเกิดการเจ็บป่วยนี้ เพียงแต่ฉันยังไม่เข้าใจ ตอนที่โยบเผชิญกับบททดสอบ เขาก็ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่เขาก็ยังไม่ทำบาปด้วยปากของเขา กลับกัน เขาอธิษฐานและแสวงหาการชี้นำ และได้เป็นพยานอย่างงดงามให้พระเจ้า ในที่สุด พระเจ้าก็ทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่โยบ ช่างเป็นพรที่ยิ่งใหญ่อะไรอย่างนี้ ตอนนี้ ฉันเป็นลมเพราะปัญหาหัวใจ และถึงฉันยังไม่เข้าใจว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร แต่ฉันก็ควรเรียนรู้จากโยบและไม่ทำบาปด้วยปากของฉัน อีกอย่าง พระเจ้าทรงกำลังมองดูอยู่ด้วยว่าฉันมีความเชื่อที่แท้จริงหรือเปล่า เมื่อก่อน ตอนที่ฉันมีสุขภาพดี ฉันสามารถสละตนเพื่อพระองค์ ทนทุกข์และยอมลำบากในหน้าที่ได้โดยไม่พร่ำบ่น พอตอนนี้ที่ฉันต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยนี้ ฉันจะมาพร่ำบ่นพระเจ้าไม่ได้ ฉันต้องแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันจะสูญเสียความเชื่อในพระองค์ไปไม่ได้

ในช่วงเวลาหลังจากนั้น สุขภาพของฉันก็แย่ลง ฉันมีอาการใจสั่นและแน่นหน้าอกบ่อยๆ และรู้สึกอ่อนแรงไปหมดทั้งตัว เวลาพูด ฉันก็มักจะหายใจลำบากและเริ่มหอบหายใจเอาอากาศ และแม้แต่งานบ้านง่ายๆ ฉันก็ทำไม่ได้เลย เมื่อเห็นว่าสภาพของตัวเองเป็นยังไง ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจ คิดว่า “ฉันเพิ่งจะอายุ 30 เองนะ ต่อไปฉันจะต้องใช้ชีวิตอยู่แบบกึ่งพิการจริงๆ เหรอ? ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้าตั้งแต่อายุ 21 ปี สละวัยเยาว์และละทิ้งทุกอย่าง ตอนที่เผชิญกับการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์ ฉันก็ยังไม่ท้อถอย ทำไมพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองฉัน? ตอนนี้ ทุกคนกำลังทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างกระตือรือร้น แต่ฉันกลับมีอาการป่วยนี้ ในช่วงเวลาวิฤตินี้ ฉันไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองหรือเตรียมการทำความดีได้ ฉันยังจะมีจุดจบและบั้นปลายที่ดีอยู่หรือเปล่านะ?” ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ และฉันก็แอบร้องไห้คนเดียวตัวอยู่บนระเบียง ยิ่งร้องไห้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ คิดว่าสถานการณ์ยากลำบากของฉันตอนนี้น่าสังเวชจริงๆ หลังจากร้องไห้แล้ว จิตใจของฉันก็สงบลงบ้าง แล้วฉันก็คุกเข่าลงและอธิษฐานถึงพระเจ้า “พระเจ้า ความเจ็บป่วยนี้ทำให้ข้าพระองค์ไม่สบายใจอย่างมาก และข้าพระองค์ไม่รู้ว่าเจตนารมณ์ของพระองค์คืออะไร ข้าพระองค์รู้ว่าไม่ควรบ่นหรือไร้เหตุผลในการเรียกร้องจากพระองค์ แต่ใจของข้าพระองค์อ่อนแอมาก และวุฒิภาวะก็น้อยนิด โปรดทรงชี้นำข้าพระองค์ให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ให้รู้จักตัวเองและเรียนรู้บทเรียนท่ามกลางสภาพการณ์เหล่านี้ด้วยเถิด” หลังจากการอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “พระเจ้าทรงมองว่ามนุษย์เป็นสมาชิกครอบครัว แต่พวกเขาปฏิบัติต่อพระองค์เยี่ยงคนแปลกหน้า  อย่างไรก็ตาม หลังพระราชกิจของพระเจ้าผ่านไปสักพักหนึ่ง พวกมนุษย์ก็ได้มาทำความเข้าใจกับสิ่งที่พระองค์ทรงพยายามที่จะสัมฤทธิ์ผล และพวกเขาก็ได้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พวกเขาได้มารู้ด้วยว่าพวกเขาสามารถได้รับอะไรจากพระเจ้า  ผู้คนคำนึงถึงพระเจ้าอย่างไร ณ เวลานี้?  พวกเขาได้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นสายชูชีพ และหวังว่าจะได้รับประทานพระคุณ พระพร และพระสัญญาของพระองค์  ณ เวลานี้พระเจ้าทรงคำนึงถึงพวกมนุษย์อย่างไร?  พระองค์ทรงเห็นว่าพวกเขาเป็นเป้าหมายสำหรับการพิชิตชัยของพระองค์  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ใช้พระวจนะเพื่อพิพากษาพวกเขา เพื่อตรวจสอบพวกเขา และเพื่อให้พวกเขาก้าวผ่านบททดสอบ  อย่างไรก็ตาม ในความคิดเห็นของผู้คนในตอนนั้น พระเจ้าทรงเป็นเพียงวัตถุที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาเอง  ผู้คนได้เห็นว่าความจริงที่พระเจ้าทรงแจกจ่ายให้สามารถพิชิตและช่วยพวกเขาให้รอดได้ ได้เห็นว่าพวกเขามีโอกาสได้รับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องการจากพระองค์ ตลอดจนบรรลุบั้นปลายที่พวกเขาต้องการ  ด้วยเหตุนี้ ความจริงใจเล็กน้อยจึงได้ก่อเกิดในหัวใจพวกเขา และพวกเขาก็เต็มใจที่จะติดตามพระเจ้าองค์นี้(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์)  เมื่อตริตรองถึงพระวจนะของพระเจ้า ฉันรู้สึกทุกข์ใจและเสียใจมาก พระเจ้าได้ทรงนำฉันเข้าสู่พระนิเวศของพระองค์และทรงปฏิบัติต่อฉันเหมือนครอบครัว ทรงให้โอกาสฉันในการทำหน้าที่ และทรงช่วยให้ฉันได้รับความจริงหลายประการในหน้าที่ของฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามและบรรลุถึงความรอดของพระเจ้าในท้ายที่สุด แต่ฉันกลับปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนเป็นสายชูชีพ ต้องการเพียงได้รับพระคุณและพรจากพระองค์เท่านั้น เมื่อเผชิญกับความเจ็บป่วยนี้ ฉันคำนวณว่าฉันได้ละทิ้งอะไรไปเพื่อพระเจ้าบ้าง คิดว่าเป็นเพราะฉันได้ละทิ้งและสละตนเพื่อพระองค์ไปแล้ว ฉันจึงไม่ควรจะล้มป่วย และพระเจ้าควรจะทรงอวยพรฉันด้วยสุขภาพที่ดี เมื่อฉันไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ฉันก็รู้สึกท้อแท้และผิดหวัง กลายเป็นว่าฉันไม่ได้ละทิ้งและสละตนเพื่อพระเจ้า เพื่อเป็นการตอบแทนความรักของพระองค์ แต่ฉันกำลังทำธุรกรรมกับพระองค์ ฉันละทิ้งและสละตนเพื่อให้ได้รับพระคุณและพร เมื่อได้เห็นว่าตัวเองยังคงมีแรงจูงใจอันน่ารังเกียจมากมายแอบแฝงอยู่ในการเชื่อในพระเจ้า ฉันก็รู้สึกเสียใจมาก และคิดว่าฉันไม่คู่ควรได้รับความรอดจากพระเจ้า ฉันคิดว่าพระเจ้าจะต้องเสียพระทัยแค่ไหนที่ทรงเห็นว่า ฉันทำหน้าที่เพียงเพื่อให้ได้รับพรจากพระองค์ ถ้าลูกคนหนึ่งดูแลพ่อแม่เพียงเพื่อให้ได้สืบทอดมรดก พ่อแม่คงจะรู้สึกเสียใจอย่างแน่นอน ฉันก็เหมือนกับลูกที่อกตัญญูคนนั้น ทำงานหนักและสละตนเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการเห็น เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าและกลับใจ ฉันยินดีที่จะปล่อยวางความตั้งใจที่จะได้รับพร และทำหน้าที่เพื่อเป็นการตอบแทนความรักของพระเจ้า หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มปรับตารางเวลานอนของฉัน โดยทั่วไปฉันจะมุ่งเน้นไปที่การพักผ่อนให้บ่อยขึ้น ควบคุมอาหารการกิน และทำหน้าที่ของฉันตามปกติทุกวัน ที่น่าประหลาดใจคือ หนึ่งสัปดาห์ต่อมา สุขภาพของฉันก็ค่อยๆ ดีขึ้น ฉันอดไม่ได้ที่จะขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า

ในเดือนธันวาคมของปีเดียวกัน ฉันได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ เนื่องจากฉันต้องทำความคุ้นเคยกับงานและยังต้องตรวจสอบงานของพี่น้องในกลุ่ม จึงมีอยู่หลายวันที่ฉันนอนค่อนข้างดึก วันหนึ่ง หลังจากห้าโมงเย็นไม่นาน ฉันรู้สึกเจ็บหัวใจแผ่วๆ เป็นอย่างั้นอยู่นานพอสมควรและเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ และพอกลับออกมา ก็รู้สึกเหมือนหัวใจฉันมีอะไรผิดปกติอย่างมาก และหายใจลำบาก ฉันไม่สามารถยืนตัวตรงได้ ฉันจึงเอามือจับประตูแล้วค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น ฉันนอนอยู่บนพื้นประมาณครึ่งชั่วโมง รู้สึกว่าหัวใจฉันไม่ดีเลย และทั้งตัวฉันก็สั่นไม่หยุด พี่น้องหญิงคนหนึ่งตกใจมากที่มาพบฉันนอนอยู่ตรงนั้น และเธอช่วยพยุงฉันไปที่เตียง ต่อมา หลังจากสี่ทุ่ม ฉันอยากจะลุกขึ้นไปหยิบโต๊ะวางโน้ตบุ๊กบนเตียง แต่ฉันก็ไม่มีแรงเลย ในเวลานั้น หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม และคิดว่า “ถ้าสุขภาพของฉันแย่อย่างนี้ต่อไป ฉันจะทำยังไงดีล่ะ?” วันถัดมา ฉันไปโรงพยาบาลกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งเพื่อตรวจสุขภาพ แต่ผลออกมาว่าทุกอย่างปกติ ฉันไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือวิตกกังวลดี เป็นเรื่องดีที่ฉันไม่ได้เจ็บป่วย แต่ก็มีบางอย่างผิดปกติกับฉันจริงๆ และหากอาการป่วยนี้วินิจฉัยไม่ได้ ก็ไม่มีทางรักษาให้หายได้ ต่อมา เมื่อคำนึงถึงสภาพสุขภาพของฉัน หัวหน้าจึงลดภาระงานของฉันลง เมื่อเห็นว่าหน้าที่ของฉันถูกลดลงครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันอดไม่ได้ที่จะกังวล และคิดว่า “หน้าที่ของฉันหายไปทีละเล็กละน้อย นั่นหมายความว่าฉันจะมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ในการเตรียมการทำความดีหรือเปล่า? ฉันจะเตรียมการทำดีและบรรลุความรอดในอนาคตได้ยังไง?” เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฉันก็เริ่มคิดลบเล็กน้อย หลังจากนั้น สุขภาพของฉันก็แย่ลงไปอีก และถึงกับต้องใช้มือพยุงผนังเวลาเดินจากห้องไปห้องน้ำ ฉันมักจะนั่งอยู่บนเตียง และเวลาที่นั่งตัวตรงไม่ได้ ฉันก็พิงผนังหรือพาดบนโต๊ะ ฉันคิดกับตัวเองว่า “เมื่อก่อน พอได้พักผ่อนสักหน่อย ฉันก็มักจะหายดี แล้วทำไมตอนนี้ถึงแย่ลงเรื่อยๆ ล่ะ? ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการทำหน้าที่ของพวกเขา ถ้าฉันไม่สามารถทำหน้าที่ของฉันได้เพราะอาการป่วยนี้ ฉันจะไม่สูญเสียโอกาสที่จะบรรลุความรอดหรอกหรือ? หลังจากนี้ ตราบใดที่สุขภาพของฉันเป็นใจ ฉันก็จะยืนหยัดทำหน้าที่ต่อไป ตอนนี้ฉันสามารถทำหน้าที่ได้จำกัด แต่ตราบใดที่ฉันยืนหยัดในหน้าที่ บางทีพระเจ้าจะทรงเห็นว่าฉันสามารถยืนหยัดได้และจะทรงทำให้ฉันดีขึ้นเร็วขึ้น” หลังจากนั้น สุขภาพของฉันก็ยังคงย่ำแย่ และอาการเจ็บหัวใจของฉันก็เป็นบ่อยขึ้นๆ ฉันไม่สามารถรับมือกับการตกใจกลัวกับบางสิ่งได้ และถ้ามีเสียงดัง ฉันก็จะรู้สึกอึดอัดที่หัวใจ ฉันคิดว่า “ฉันได้ทำทุกอย่างตามกำลังในการปฏิบัติหน้าที่ของฉันในขณะที่เจ็บป่วยนี้ แล้วทำไมสุขภาพของฉันถึงแย่ลงเรื่อยๆ อย่างนี้ล่ะ? ทำไมพระเจ้าไม่ทรงรักษาฉัน? ความเจ็บป่วยนี้กินเวลามาเกือบสองปีแล้ว ฉันไปโรงพยาบาล แต่พวกเขาก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ และฉันก็ทำอะไรเพื่อการรักษาไม่ได้เลย ตอนนี้แม้แต่การดูแลตัวเองก็ยังยาก และฉันก็ไม่มีพลังงานพอที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันจะถูกกำจัดหรือเปล่านะ?” ฉันอ่อนแอลงเรื่อยๆ อยู่ภายใน ก็เลยอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาการชี้นำ

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “เมื่อคนปกติเจ็บป่วย พวกเขาจะทนทุกข์และรู้สึกหมดกำลังใจเสมอ พวกเขามีขีดจำกัดว่าจะสามารถสู้ทนอะไรได้บ้าง  อย่างไรก็ดี มีสิ่งหนึ่งที่ควรรู้ไว้ก็คือ เวลาเจ็บป่วย ถ้าผู้คนคิดพึ่งพาพละกำลังของตนในการขจัดและหลบหนีให้พ้นจากความเจ็บป่วยอยู่เสมอ ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร?  เช่นเดียวกับความเจ็บป่วย พวกเขาจะยิ่งทนทุกข์และรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมมิใช่หรือ?  นั่นคือสาเหตุที่ยิ่งผู้คนถูกความเจ็บป่วยห่อหุ้มเอาไว้ พวกเขาก็ยิ่งควรแสวงหาความจริงและยิ่งควรแสวงหาวิธีปฏิบัติที่ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ยิ่งผู้คนถูกห่อหุ้มด้วยความเจ็บป่วย พวกเขาก็ยิ่งควรที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทำความรู้จักความเสื่อมทรามของตนและข้อเรียกร้องอันไร้เหตุผลที่พวกเขามีต่อพระเจ้า  ยิ่งเจ้าถูกความเจ็บไข้ได้ป่วยห่อหุ้มเอาไว้ ความนบนอบที่แท้จริงของเจ้าก็ยิ่งถูกทดสอบ  เพราะฉะนั้นเมื่อเจ้าล้มป่วย ความสามารถของเจ้าในการนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าอย่างต่อเนื่องและต่อต้านคำพร่ำบ่นและข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลของตนเอง ย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้และนบนอบพระเจ้าจริง เจ้าเป็นคำพยาน ความจงรักภักดีและความนบนอบที่เจ้ามีให้พระเจ้านั้นจริงแท้และสามารถผ่านการทดสอบได้ ความจงรักภักดีและความนบนอบที่เจ้ามีต่อพระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อและคำสอนเท่านั้น  นี่คือสิ่งที่ผู้คนพึงปฏิบัติเวลาที่พวกเขาล้มป่วย  เวลาเจ้าล้มป่วย นี่เป็นการเผยข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลของเจ้า ความคิดเพ้อฝันที่ไม่อยู่กับความเป็นจริง และมโนคติอันหลงผิดที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าทั้งหมดออกมา และนี่ยังเป็นการทดสอบความเชื่อในพระเจ้าและความนบนอบที่เจ้ามีในพระองค์อีกด้วย  ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบในเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีคำพยานที่แท้จริงและหลักฐานที่เป็นจริงมายืนยันความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า ความจงรักภักดีต่อพระเจ้าของเจ้า และความนบนอบที่เจ้ามีต่อพระองค์ของเจ้า  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์ และเป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีและควรใช้ในการดำเนินชีวิต  สิ่งเหล่านี้เป็นบวกทั้งสิ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหา  ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพระเจ้าเปิดโอกาสให้เจ้าล้มป่วย พระองค์ก็ย่อมทรงเอาโรคภัยไข้เจ็บไปจากเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลาเช่นกันมิใช่หรือ?  (ใช่)  พระเจ้าทรงเอาโรคภัยไข้เจ็บไปจากเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา ดังนั้นพระองค์ย่อมทรงทำให้โรคภัยไข้เจ็บเรื้อรังอยู่ในตัวเจ้าและไม่มีวันไปจากเจ้าได้อีกด้วยมิใช่หรือ?  (ใช่)  และถ้าพระเจ้าทรงทำให้โรคภัยไข้เจ็บเดียวกันนี้ไม่มีวันไปจากเจ้า เจ้ายังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้หรือไม่?  เจ้าสามารถรักษาความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเอาไว้ได้หรือไม่?  นี่คือการทดสอบมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้าล้มป่วย แล้วหายป่วยในหลายเดือนให้หลัง เช่นนั้นความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า ความจงรักภักดีและความนบนอบที่เจ้ามีต่อพระองค์ย่อมไม่ถูกทดสอบ และเจ้าย่อมไม่มีคำพยาน  การสู้ทนความเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ไม่กี่เดือนนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าการเจ็บไข้ได้ป่วยของเจ้ายืดเยื้อไปสักสองหรือสามปี แล้วความเชื่อของเจ้า ความปรารถนาของเจ้าที่จะนบนอบและจงรักภักดีต่อพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่กลับเป็นจริงมากขึ้น นี่แสดงว่าเจ้าเติบโตในชีวิตแล้วมิใช่หรือ?  เจ้าย่อมได้เก็บเกี่ยวดอกผลนี้มิใช่หรือ? (ใช่)  ดังนั้น ระหว่างที่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงล้มป่วย พวกเขาย่อมก้าวผ่านและมีประสบการณ์ด้วยตนเองเป็นประโยชน์มากมายเหลือคณานับที่การเจ็บไข้ได้ป่วยของตนนำมาให้  พวกเขาไม่ได้พยายามหลบหนีโรคภัยด้วยความกระวนกระวายหรือวิตกกังวลว่าจุดจบจะเป็นเช่นไรถ้าการเจ็บป่วยนั้นยืดเยื้อ การเจ็บป่วยนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาเช่นใด การเจ็บป่วยจะทรุดหนักลงหรือไม่ หรือพวกเขาจะตายหรือไม่—พวกเขาไม่วิตกกังวลในเรื่องดังกล่าว  และเช่นเดียวกับการไม่วิตกกังวลในเรื่องดังกล่าว พวกเขาสามารถเข้าสู่ในหนทางที่เป็นบวก มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า นบนอบและจงรักภักดีต่อพระองค์อย่างแท้จริง  ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ พวกเขาจึงมีคำพยาน และนี่ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เป็นการสร้างรากฐานอันมั่นคงให้กับการได้รับความรอดของตน  ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้!(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (4))  พระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนแสงสว่างท่ามกลางความมืด ชูใจฉันและให้เส้นทางแห่งการปฏิบัติ พระเจ้าทรงรู้ว่าในขณะนี้ฉันต้องการอะไรมากที่สุด พระองค์ได้จัดเตรียมสภาพการณ์เหล่านี้เพื่อช่วยให้ฉันแสวงหาความจริง และเข้าใจอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงต้องการทดสอบความเชื่อและการนบนอบของฉัน การที่พระเจ้าจะเอาความเจ็บป่วยนี้ออกไปจากฉันคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น กลับกัน อาการของฉันยิ่งแย่ลง และแน่นอนว่ามีเจตนารมณ์ของพระองค์อยู่ในเรื่องนี้ ประสบการณ์การเจ็บป่วยทั้งสองครั้งนี้เผยให้เห็นถึงความเป็นกบฏของฉันมากมาย ทุกครั้งที่ฉันเผชิญกับความเจ็บป่วยนี้ แม้ว่าความปรารถนาส่วนตัวของฉันในตอนแรกอาจจะเป็นการนบนอบและไม่พร่ำบ่น แต่เมื่ออาการเจ็บป่วยแย่ลง ฉันก็เริ่มพร่ำบ่นและหาเหตุผลกับพระเจ้า ตลอดสองปีที่ผ่านมา ฉันได้มีประสบการณ์กับสภาพการณ์เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แต่ฉันไม่เคยยืนหยัดในการเป็นพยานของฉันเลย มีเจตนาที่จะทำธุรกรรมกับพระเจ้าแอบแฝงอยู่ตลอด พระเจ้าได้จัดเตรียมสภาพการณ์เหล่านี้ให้ฉันได้มีประสบการณ์มาอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นการที่พระองค์แสดงความรับผิดชอบต่อชีวิตของฉันและช่วยฉันให้รอด ฉันจะไม่มีมโนธรรมและพร่ำบ่นต่อพระเจ้าไม่ได้ เมื่อเผชิญกับสภาพการณ์เหล่านี้ ในแง่มุมหนึ่ง ฉันต้องมีการนบนอบอย่างแท้จริง และทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุด ในอีกแง่มุมหนึ่ง ฉันยังต้องเข้าใจอุปนิสัยเสื่อมทรามที่ฉันได้เผยออกมา และแสวงหาความจริงที่ฉันควรเข้าสู่

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ที่ว่า “พวกเราเพิ่งคุยกันไปว่าศัตรูของพระคริสต์รังเกียจความจริง พวกเขาชอบสิ่งที่เลวและไม่ชอบธรรม ไล่ตามไขว่คว้าผลประโยชน์และพร ไม่เคยปล่อยมือจากเจตนาและความอยากได้พร และพยายามอยู่เสมอที่จะเจรจาต่อรองกับพระเจ้า  ดังนั้นควรใช้วิจารณญาณจำแนกเรื่องนี้กันอย่างไร?  ถ้าพวกเราเรียกเรื่องนี้ว่าเป็นการให้ความสำคัญกับผลประโยชน์เหนือสิ่งอื่นใด นั่นก็จะเบาไป  เหมือนที่เปาโลยอมรับว่าเขามีหนามยอกอก และควรทำงานเพื่อชดใช้บาปของตน แต่ท้ายที่สุดก็อยากได้มงกุฎแห่งความชอบธรรมอยู่ดี  นี่มีธรรมชาติเป็นเช่นใด?  (เป็นความชั่วช้า)  นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วช้าอย่างหนึ่ง  แต่ธรรมชาติของเรื่องนี้เป็นเช่นใด?  (เป็นการเจรจาต่อรองกับพระเจ้า)  ย่อมมีธรรมชาติเช่นนี้  เขามองหาผลประโยชน์ในทุกสิ่งที่ตนทำ ทำเหมือนทุกสิ่งเป็นธุรกรรมแลกเปลี่ยน  มีสำนวนในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งคือ ‘ไม่มีสิ่งใดที่ไม่มีค่าใช้จ่าย’  ศัตรูของพระคริสต์ก็มีตรรกะแบบนี้ นึกไปว่า ‘ถ้าฉันทำงานให้คุณ คุณจะให้อะไรตอบแทน?  ฉันจะสามารถได้ประโยชน์อะไรบ้าง?’  ควรสรุปธรรมชาติแบบนี้ว่าอย่างไร?  นี่คือการถูกผลประโยชน์ขับเคลื่อน ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์เหนือสิ่งอื่นใด เป็นการเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่น  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติในตัวศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อจุดประสงค์ที่จะได้ผลประโยชน์และพรเท่านั้น  ต่อให้พวกเขาสู้ทนความทุกข์บ้างหรือจ่ายราคาบ้าง นั่นก็เป็นไปเพื่อที่จะเจรจาต่อรองกับพระเจ้าทั้งสิ้น  เจตนาและความอยากของพวกเขาที่จะได้พรและรางวัลนั้นแรงกล้าอย่างยิ่ง และพวกเขาก็ยึดมันไว้แน่น  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงมากมายที่พระเจ้าทรงแสดงเอาไว้ คิดอยู่ในใจเสมอว่าการเชื่อในพระเจ้าล้วนเป็นเรื่องของการได้พรและมีบั้นปลายที่ดี นี่คือหลักธรรมสูงสุด และไม่มีสิ่งใดเลิศไปกว่านี้ได้  พวกเขาคิดว่าถ้าไม่ใช่เพื่อให้ได้พร ผู้คนก็ไม่ควรเชื่อในพระเจ้า และถ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อพร การเชื่อในพระเจ้าก็ย่อมจะไร้ความหมายหรือคุณค่า ย่อมจะสูญสิ้นความหมายและคุณค่า  แนวคิดเหล่านี้ในตัวศัตรูของพระคริสต์ถูกใครอื่นปลูกฝังให้หรือไม่?  ได้มาจากการอบรมสั่งสอนหรืออิทธิพลของใครอื่นหรือไม่?  ไม่ เป็นแนวคิดที่แก่นแท้ธรรมชาติประจำตัวศัตรูของพระคริสต์กำหนดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้  แม้ทุกวันนี้พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์จะตรัสพระวจนะไว้มากมาย แต่ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ยอมรับแต่อย่างใด กลับแข็งขืนและกล่าวโทษพระวจนะ  ตัวตนของพวกเขามีธรรมชาติที่รังเกียจความจริง และการเกลียดความจริงนี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้  ถ้าพวกเขาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่บ่งชี้สิ่งใด?  บ่งชี้ว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นเลว  นี่ไม่ใช่ปัญหาของการไล่ตามเสาะหาหรือไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง นี่คืออุปนิสัยที่เลว เป็นการเหิมเกริมส่งเสียงประท้วงพระเจ้าและเป็นปรปักษ์กับพระเจ้า  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติในตัวศัตรูของพระคริสต์ นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เจ็ด: พวกเขาเลว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่สอง))  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตกอยู่ในสภาวะแห่งการคิดทบทวนอย่างลึกซึ้ง พระเจ้าทรงเปิดโปงว่า ศัตรูของพระคริสต์เชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพร และทำธุรกรรมกับพระเจ้าในหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและเปลี่ยนอุปนิสัยในชีวิตของตน การป่วยอยู่ตลอดในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้เผยให้เห็นถึงวุฒิภาวะที่แท้จริงของฉัน ในตอนแรก ฉันสามารถประสบกับความเจ็บป่วยได้ตามปกติ แต่ในระยะยาว เมื่ออาการของฉันแย่ลง การพร่ำบ่นและความเข้าใจผิดของฉันก็เริ่มแสดงออกมา และฉันก็เริ่มใช้การละทิ้งและสละตนมาเป็นเหตุผลกับพระเจ้า ทุกคนต่างประสบกับความเจ็บป่วยและความตาย เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ การละทิ้งทุกอย่างเพื่อเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉันนั้นเป็นทางเลือกของฉันเอง และเป็นสิ่งที่ฉันทำด้วยความเต็มใจ การสละตนในหน้าที่และความเจ็บป่วยของฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน แต่ฉันกลับใช้การสละตนของตัวเองเป็นทุนในการเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลจากพระเจ้า ฉันคิดว่าเป็นเพราะฉันละทิ้งทุกอย่างเพื่อติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ พระเจ้าก็ควรจะคุ้มครองฉัน ไม่ปล่อยฉันล้มป่วยหรือทนทุกข์มากขนาดนี้ และควรประทานบั้นปลายที่ดีในภายหน้าให้แก่ฉัน พอสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น ฉันก็พร่ำบ่น หาเหตุผล และโวยวายกับพระเจ้า ฉันนึกถึงเปาโล ผู้ที่เดินทางไปเกือบทั่วทวีปยุโรปเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐและปฏิบัติงานมากมาย ที่ทำไปทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ได้รับมงกุฎและบั้นปลายที่ดีในอนาคต เปาโลกล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8)  ในการพูดคำเหล่านี้ เปาโลกำลังทำธุรกรรมกับพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้ง การทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง และยิ่งกว่านั้น นี่คือการที่พระเจ้ายกชูมนุษย์ขึ้น แต่เปาโลก็มองเรื่องของการสละตนเพื่อพระเจ้าผ่านมุมมองของการทำธุรกรรม บิดเบือนความหมายของการทำหน้าที่ของคนเราไปโดยสิ้นเชิง หากเขาไม่สามารถได้รับบำเหน็จจากพระเจ้า เขาก็จะโวยวายและหาเหตุผลกับพระองค์ ซึ่งเปิดโปงอุปนิสัยชั่วช้าและเลวร้ายของเขาอย่างสิ้นเชิง ฉันเห็นว่าเส้นทางที่ฉันเดินในการเชื่อในพระเจ้าก็เหมือนกับเส้นทางของเปาโล หากฉันเดินต่อไปในเส้นทางนี้ ในที่สุดฉันก็จะต้องถูกลงโทษเช่นเดียวกับเขาอย่างแน่นอน เมื่อตระหนักได้อย่างนี้ ฉันก็เริ่มกลัวขึ้นมาเล็กน้อย คิดว่า “กลายเป็นว่า ธรรมชาติและผลที่ตามมาจากการไล่ตามพรในการเชื่อในพระเจ้าของคนเรานั้นร้ายแรงมาก ฉันเดินตามทัศนะที่ผิดพลาดในการไล่ตามเสาะหานี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”

แม้ว่าสภาวะของฉันจะพลิกกลับมาบ้าง แต่สุขภาพของฉันก็ยังไม่ดีขึ้น และแย่ลงเรื่อยๆ ฉันคิดว่าวันเวลาของฉันอาจเหลือไม่มากแล้ว และบางครั้งฉันก็มีความคิดลบอยู่บ้าง อย่างเช่น “ความเจ็บป่วยนี้เป็นหนทางที่พระเจ้าทรงเผยและลงโทษฉันหรือเปล่านะ? ไม่อย่างนั้น ทำไมมันถึงได้แย่ลงแทนที่จะดีขึ้น?” เมื่อคิดถึงอย่างนี้ หัวใจของฉันก็เจ็บปวดมากและยากที่จะรับมือไหว วันหนึ่ง ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสไว้ว่า “ผู้คนต้องตรวจสอบสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในหัวใจของตนซึ่งเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า หรือเป็นการเข้าใจพระองค์ผิดอยู่เนืองๆ”  ดังนั้น ฉันจึงหาพระวจนะของพระเจ้าเต็มบทตอนมาอ่าน ใจความว่า “ผู้คนต้องตรวจสอบสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในหัวใจของตนซึ่งเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า หรือเป็นการเข้าใจพระองค์ผิดอยู่เนืองๆ  ความเข้าใจผิดทั้งหลายเกิดขึ้นมาอย่างไร?  เหตุใดผู้คนจึงเข้าใจพระเจ้าผิด?  (เพราะผลประโยชน์ส่วนตนของพวกเขาได้รับผลกระทบ)… พระเจ้าทรงรักผู้คนในหนทางใดอีกบ้าง นอกเหนือจากด้วยความกรุณา ความรอด การใส่พระทัย การทรงคุ้มครอง และการสดับตรับฟังคำอธิษฐานของพวกเขา? (ด้วยการทรงสั่งสอน บ่มวินัย ตัดแต่ง พิพากษา ตีสอน บททดสอบ และการถลุง)  ถูกต้อง  พระเจ้าทรงแสดงความรักของพระองค์ให้เห็นด้วยหนทางมากมาย นั่นคือ ด้วยการโบยตี บ่มวินัย ตำหนิติเตียน พิพากษา ตีสอน และด้วยบททดสอบ การถลุง และอื่นๆ  ทั้งหมดนี้คือแง่มุมแห่งความรักของพระเจ้า  เพียงมุมมองนี้เท่านั้นที่ครอบคลุมและตรงกับความจริง  หากเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ เมื่อเจ้าตรวจสอบตนเองและตระหนักว่าเจ้ามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เมื่อนั้นเจ้าย่อมสามารถตระหนักรู้ความบิดเบือนของตนและคิดทบทวนได้เป็นอย่างดีมิใช่หรือว่าเจ้าทำสิ่งใดผิดไป?  นี่ย่อมช่วยเจ้าแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าได้มิใช่หรือ? (ช่วยได้)  เพื่อที่จะทำให้สำเร็จลุล่วงดังนี้ เจ้าต้องแสวงหาความจริง  ตราบใดที่ผู้คนแสวงหาความจริง พวกเขาย่อมสามารถกำจัดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของตนออกไป และทันทีที่พวกเขากำจัดความเข้าใจผิดของตนเกี่ยวกับพระเจ้าแล้ว พวกเขาย่อมสามารถนบนอบต่อการจัดแจงเตรียมการทั้งปวงของพระเจ้าได้… พระเจ้าประทานพระคุณและพรแก่ผู้คน และประทานขนมปังแก่พวกเขาได้ทุกวัน แต่พระองค์ทรงริบทั้งหมดนั้นได้ด้วยเช่นกัน  นั่นคือสิทธิอำนาจ แก่นแท้ และพระอุปนิสัยของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงด้วยการเข้าใจความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถรู้จักกิจการของพระเจ้าได้)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้หัวใจของฉันรู้สึกสว่างขึ้นทันที กลายเป็นว่าฉันมีมุมมองที่ไม่ถูกต้องมาโดยตลอดที่ว่า ฉันเชื่อว่าถ้าพระเจ้าทรงรักใคร พระองค์จะทรงอวยพรพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกอย่างราบรื่นและมีสวัสดิภาพสำหรับพวกเขา แต่ถ้าพระองค์ไม่ทรงรักใคร พระองค์จะทำให้พวกเขาทนทุกข์กับสิ่งเจ็บปวดมากมายในรูปแบบของความยุ่งยาก อุปสรรค ความเจ็บป่วย และอื่น ๆ ดังนั้น เมื่อสุขภาพของฉันแย่ลงเรื่อยๆ ฉันจึงคิดว่านั่นอาจเป็นหนทางที่พระเจ้ากำลังลงโทษฉัน และฉันก็ใช้ชีวิตอยู่ในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเอง คิดลบและเจ็บปวด เมื่อคิดดูให้ละเอียด แม้ว่าความเจ็บป่วยตลอดสองปีนี้จะเป็นความเจ็บปวด แต่ฉันก็ได้อธิษฐานและแสวงหาการชี้นำจากพระเจ้ามากขึ้นไปอีกตลอดทั้งกระบวนการนี้ และฉันรู้สึกว่าฉันได้ใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น ฉันยังได้ตระหนักด้วยว่าฉันมีเจตนาในการไล่ตามพรอย่างแรงกล้าแอบแฝงอยู่ ทั้งหมดนี้เป็นหนทางที่พระเจ้าทรงอวยพรฉัน นี่เป็นเอกสิทธิ์ของฉัน เป็นอย่างที่พระวจนะของพระเจ้าแสดงไว้ว่า ความรักของพระเจ้าไม่ใช่แค่ความกรุณาและความเมตตา การดูแลและการคุ้มครองเท่านั้น การพิพากษาและการตีสอน เช่นเดียวกับบททดสอบและการถลุง ก็เป็นความรักของพระเจ้าเช่นกัน สิ่งเหล่านี้เป็นพรและพระคุณของพระองค์ วิธีการแสดงความรักแบบนี้อาจไม่ใช่วิธีที่ฉันชอบ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อฉัน หากไม่มีสภาพการณ์เหล่านี้ ฉันคงจะไม่ได้เข้าใจตัวเอง ในครั้งนี้ ฉันได้มีประสบการณ์ตรงกับความใส่พระทัยของพระเจ้าในการช่วยผู้คนให้รอด พระเจ้าทรงช่วยฉันให้รอดมาตลอด และพระองค์ก็ต้องสู้ทนกับความเข้าใจผิดและการพร่ำบ่นของฉัน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็เกลียดตัวเอง ในขณะเดียวกัน ฉันก็รู้สึกตื้นตันในความรักของพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง

ในช่วงเวลานั้น ฉันมักจะคิดถึงสิ่งที่เปโตรเคยประสบ ฉันรู้ว่าฉันไม่อาจเทียบความเป็นมนุษย์กับเปโตรได้ หรือแม้แต่ความมุ่งมั่นของเขาในการไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้า แต่ฉันก็อยากจะรู้ว่า ประสบการณ์ของเขาเป็นยังไงตอนที่เขาต้องทนทุกข์กับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุง และเขาผ่านช่วงเวลาของความเจ็บปวดและความอ่อนแออย่างรุนแรงมาได้ยังไง ฉันเริ่มดูวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้า 2 ตอนคือ “ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา” และ “เปโตรได้มารู้จักพระเยซูได้อย่างไร” ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ “บัดนี้เจ้าควรเห็นได้อย่างชัดแจ้งถึงเส้นทางที่แท้จริงที่เปโตรเลือก  หากเจ้าสามารถเห็นเส้นทางของเปโตรได้อย่างชัดแจ้ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมั่นใจได้ในเรื่องพระราชกิจที่กำลังดำเนินอยู่ในวันนี้ ดังนั้นเจ้าก็จะไม่พร่ำบ่นหรือคิดลบ หรือถวิลหาสิ่งใดๆ เลย  เจ้าควรได้รับประสบการณ์กับอารมณ์ของเปโตรในเวลานั้น กล่าวคือ เขาได้รับผลกระทบรุนแรงจากความโศกเศร้า  เขาไม่ได้ร้องขออนาคตหรือพรใดอีกต่อไป  เขาไม่ได้แสวงหาผลกำไร ความสุข ชื่อเสียง หรือโชควาสนาในโลก เขาเพียงแค่พยายามที่จะใช้ชีวิตที่เปี่ยมความหมายที่สุด ซึ่งก็คือการชดใช้คืนความรักของพระเจ้าและทุ่มเทอุทิศสิ่งที่เขาถือว่าล้ำค่ามากที่สุดแด่พระเจ้า  เช่นนั้นแล้วเขาจึงจะพึงพอใจในหัวใจของเขา  บ่อยครั้งที่เขาอธิษฐานต่อพระเยซูด้วยถ้อยคำที่ว่า ‘องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ครั้งหนึ่งข้าพระองค์เคยรักพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่เคยรักพระองค์อย่างแท้จริง  แม้ว่าข้าพระองค์จะพูดว่าข้าพระองค์มีความเชื่อในพระองค์ แต่ข้าพระองค์ก็ไม่เคยรักพระองค์ด้วยหัวใจที่แท้จริง  ข้าพระองค์เพียงแค่นิยมบูชาพระองค์ ชื่นชมบูชาพระองค์ และคิดถึงพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่เคยรักพระองค์และไม่เคยมีความเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง’  เขาอธิษฐานอยู่เนืองนิตย์ที่จะตั้งปณิธานของเขา และเขาได้รับการหนุนใจจากพระวจนะของพระเยซูและได้รับแรงจูงใจจากพระวนจะเหล่านี้อยู่เสมอ  ต่อมา หลังผ่านประสบการณ์ไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง พระเยซูได้ทรงทดสอบเขา ทรงยั่วยุให้เขาโหยหาพระองค์ยิ่งขึ้นไปอีก  เขาพูดว่า ‘องค์พระเยซูคริสต์เจ้า!  ข้าพระองค์ช่างคิดถึงพระองค์และถวิลหาที่จะเฝ้ามองพระองค์อะไรเช่นนี้  ข้าพระองค์ยังขาดพร่องอยู่มากเกินไป และไม่สามารถชดเชยความรักของพระองค์ได้  ข้าพระองค์ขอร้องให้พระองค์ทรงนำตัวข้าพระองค์ไปโดยเร็ว  เมื่อไรพระองค์จะทรงมีความต้องการในตัวข้าพระองค์หรือ?  เมื่อไรพระองค์จะทรงนำตัวข้าพระองค์ไป?  เมื่อไรข้าพระองค์จะได้เฝ้ามองพระพักตร์ของพระองค์อีกครั้ง?  ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปในร่างกายนี้ เพื่อกลายเป็นถูกทำให้เสื่อมทรามต่อไป อีกทั้งข้าพระองค์ไม่ปรารถนาที่จะกบฏมากไปกว่านี้อีก  ข้าพระองค์พร้อมแล้วที่จะทุ่มเทอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์มีแด่พระองค์ทันทีที่ข้าพระองค์ทำได้ และข้าพระองค์ไม่ปรารถนาที่จะทำให้พระองค์เสียพระทัยมากไปกว่านี้อีก’  นี่คือวิธีที่เขาอธิษฐาน แต่ในเวลานั้นเขาไม่ได้รู้ว่าพระเยซูจะทรงทำให้สิ่งใดในตัวเขามีความเพียบพร้อม  ในช่วงระหว่างความร้าวรานจากการทดสอบของเขา พระเยซูได้ทรงปรากฏต่อเขาอีกครั้งแล้วตรัสว่า ‘เปโตร เราปรารถนาที่จะทำให้ท่านมีความเพียบพร้อม เพื่อที่ท่านจะได้กลายเป็นชิ้นผลไม้ ชิ้นผลไม้ที่เป็นการตกผลึกของการทำให้ท่านมีความเพียบพร้อมของเรา และซึ่งเราจะชื่นชม  ท่านสามารถให้คำพยานกับเราอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  ท่านได้ทำสิ่งที่เราขอให้ท่านทำหรือยัง?  ท่านได้ใช้ชีวิตตามวจนะที่เราได้พูดไว้หรือยัง?  ครั้งหนึ่งท่านได้รักเรา แต่แม้ว่าท่านได้รักเรา ท่านได้ใช้ชีวิตตามเราหรือไม่?  สิ่งใดหรือที่ท่านได้ทำไปเพื่อเรา?  ท่านระลึกรู้ว่าท่านไม่คู่ควรกับความรักของเรา แต่ท่านได้ทำสิ่งใดไปเพื่อเราหรือ?’  เปโตรได้เห็นว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อพระเยซูเลยและจดจำได้ถึงคำปฏิญาณก่อนหน้านั้นของเขาที่จะมอบชีวิตของเขาแด่พระเจ้า  และดังนั้น เขาจึงไม่ปริปากบ่นอีกต่อไป และคำอธิษฐานของเขานับแต่นั้นก็ดีขึ้นมาก  เขาอธิษฐานด้วยการพูดว่า ‘องค์พระเยซูคริสต์เจ้า!  ครั้งหนึ่งข้าพระองค์ได้ทิ้งพระองค์ไป และครั้งหนึ่งพระองค์ก็ได้ทรงทิ้งข้าพระองค์ไปเช่นกัน  พวกเราได้ใช้เวลาโดยแยกห่างจากกัน และได้ร่วมใช้เวลาอยู่ด้วยกัน  กระนั้นพระองค์ก็ทรงรักข้าพระองค์ยิ่งกว่าอื่นใดทั้งสิ้น  ข้าพระองค์ได้เป็นกบฏต่อพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและได้ทำให้พระองค์ตรอมพระทัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ข้าพระองค์จะสามารถลืมเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า?  ข้าพระองค์จำใส่ใจและไม่เคยลืมพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติแล้วกับข้าพระองค์และสิ่งที่พระองค์ได้ไว้วางพระทัยมอบหมายต่อข้าพระองค์เสมอมา  ข้าพระองค์ได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์สามารถทำได้สำหรับพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติแล้วกับข้าพระองค์  พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์สามารถทำอะไรได้ และพระองค์ทรงทราบยิ่งไปกว่านั้นว่าข้าพระองค์สามารถเล่นบทบาทใดได้  ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะยอมตนอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ และข้าพระองค์จะทุ่มเทอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์มีแด่พระองค์  พระองค์เท่านั้นที่ทรงทราบว่าข้าพระองค์สามารถทำอะไรเพื่อพระองค์ได้  แม้ว่าซาตานได้หลอกข้าพระองค์มากมายและข้าพระองค์ก็ได้กบฏต่อพระองค์ แต่ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ไม่ทรงจดจำข้าพระองค์เพราะการล่วงละเมิดเหล่านั้น และเชื่อว่าพระองค์ไม่ทรงปฏิบัติต่อข้าพระองค์บนพื้นฐานของการล่วงละเมิดเหล่านั้น  ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะทุ่มเทอุทิศทั้งชีวิตของข้าพระองค์แด่พระองค์  ข้าพระองค์ไม่ขออะไร และข้าพระองค์ก็ไม่มีความหวังหรือแผนอื่นใด ข้าพระองค์ปรารถนาเพียงแค่ได้กระทำการตามเจตนารมณ์ของพระองค์และทำตามน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้น  ข้าพระองค์จะดื่มจากถ้วยที่มีรสขมของพระองค์ และข้าพระองค์จะเป็นของพระองค์ตามที่จะทรงบัญชา’(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เปโตรได้มารู้จักพระเยซูได้อย่างไร)  “พวกเจ้าจำต้องชัดแจ้งเกี่ยวกับเส้นทางที่พวกเจ้าเดิน พวกเจ้าจำต้องชัดแจ้งเกี่ยวกับเส้นทางที่พวกเจ้าจะใช้ในอนาคต อะไรคือสิ่งที่พระเจ้าจะทรงทำให้มีความเพียบพร้อม และอะไรคือสิ่งที่ได้รับความไว้วางใจในตัวพวกเจ้า  วันหนึ่ง บางที พวกเจ้าอาจจะได้รับการทดสอบ และเมื่อเวลานั้นมาถึง หากพวกเจ้าสามารถได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ของเปโตร นั่นจะแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ากำลังเดินบนเส้นทางของเปโตรอย่างแท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เปโตรได้มารู้จักพระเยซูได้อย่างไร)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตื้นตันใจมาก และความมุ่งมั่นของเปโตรในการไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้าก็ทำให้ฉันรู้สึกทึ่งเช่นกัน หลังจากอ่านประสบการณ์ของเปโตรแล้ว ฉันรู้สึกอับอายขายหน้า ในท่ามกลางบททดสอบ เปโตแสวงหาอยู่เสมอว่าเขาควรรักพระเจ้าอย่างไรให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น และเขาเกลียดตัวเองเมื่อไม่สามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ เขามักจะแสวงหาว่าเขาควรจะถวายสิ่งที่มีค่าที่สุดของเขาให้กับพระเจ้าอย่างไร แต่ทว่า ในระหว่างความเจ็บป่วยของฉัน ฉันกลับเผยแต่ความเป็นกบฏและความเข้าใจผิดเท่านั้น ฉันกังวลเพียงว่า หากอาการเจ็บป่วยของฉันแย่ลง บั้นปลายในภายหน้าของฉันจะเป็นยังไง หรือฉันกลัวว่าตัวเองจะตาย ฉันคิดว่าพระเจ้าได้จัดเตรียมสภาพการณ์เหล่านี้ก็เพื่อเผยและลงโทษฉัน ฉันคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง และไม่ได้ทำอะไรเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัยเลย วุฒิภาวะของฉันช่างเล็กน้อยอย่างน่าสมเพช และฉันก็ไม่สามารถทนต่อความยากลำบากใดๆ ได้เลย แม้ว่าตอนนี้เนื้อหนังของฉันจะอ่อนแอมาก และหน้าที่ที่ฉันสามารถทำได้ก็มีจำกัด แต่ฉันจะสูญเสียความตั้งใจในการแสวงหาความจริงไปไม่ได้ ไม่ว่าฉันจะอยู่ในสภาพการณ์ใด ฉันก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และการไล่ตามเสาะหาการรักและการรู้จักพระเจ้าเป็นเป้าหมายที่ฉันควรไล่ตามเสาะหาในชีวิตนี้ หากฉันยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ฉันต้องไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ที่ฉันควรทำให้ดี

วันหนึ่ง ฉันรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแรงตั้งแต่เช้าเลย อาการเจ็บหัวใจของฉันถี่ขึ้นกว่าเดิม และเป็นอยู่นานขึ้นด้วย ฉันใช้เวลาเกือบทั้งวันนอนอยู่บนเตียง ตกเย็น อาการก็แย่ลงและหายใจลำบาก พี่น้องหญิงที่ฉันอยู่ด้วยโทรเรียกรถฉุกเฉิน และฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าในหัวใจว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์คิดว่าไม่สามารถทนต่อไปได้อีกแล้ว พระองค์ทรงกำหนดล่วงหน้าไว้หรือไม่ว่าข้าพระองค์จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินวัยนี้? ข้าพระองค์กำลังจะตายใช่ไหม?” ในขณะนั้น ประโยคหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าก็ผุดขึ้นมาในใจฉันอย่างชัดเจนว่า “ตราบเท่าที่เจ้ายังคงมีลมหายใจ พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าตาย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6)  เหมือนลำแสงแห่งความสว่าง พระวจนะของพระเจ้าทำให้หัวใจของฉันแจ่มใสขึ้น ไม่ว่าฉันจะยังคงหายใจต่อไปได้หรือไม่ ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ปล่อยให้ฉันตาย ฉันก็จะไม่ตาย ฉันนึกถึงประสบการณ์ของเปโตรที่ฉันมักจะอ่านในช่วงเวลานี้ แม้เมื่อเผชิญกับความตาย เปโตรก็อธิษฐานถึงพระเจ้า โดยบอกว่าเขายังไม่สามารถรักพระองค์ได้เพียงพอ ประสบการณ์ของเปโตรเป็นแรงบันดาลใจให้ฉัน และฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ในหัวใจว่า “พระเจ้า ไม่ว่าข้าพระองค์จะตายหรือไม่ ข้าพระองค์เชื่อมั่นว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ หากพระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าข้าพระองค์จะมีชีวิตอยู่ได้แค่วัยนี้ ข้าพระองค์ก็ไม่มีคำพร่ำบ่นใด แม้ว่าข้าพระองค์จะไม่สามารถเทียบเคียงกับเปโตรได้ ข้าพระองค์ก็ยินดีที่จะเรียนรู้จากเขาและนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ทุกประการ นี่คือสิ่งที่ข้าพระองค์ควรทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะถวายคำขอบคุณและการสรรเสริญแด่พระองค์” ต่อมา เมื่อรถฉุกเฉินพาฉันไปส่งที่โรงพยาบาล และหมอก็ทำการตรวจต่างๆ ฉันรู้สึกสงบมาก จากการตรวจ หมอก็ยังไม่แน่ใจว่าฉันเป็นโรคอะไร และไม่มีหนทางใดที่จะดำเนินการเพื่อรักษา หมอจึงส่งฉันกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ฉันเชื่อมั่นยิ่งขึ้นไปอีกว่าชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และหมอไม่สามารถตัดสินได้ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่หรือตาย หากฉันต้องตาย ก็ไม่มีหนทางใดที่หมอจะช่วยชีวิตฉันได้ และหากฉันยังไม่ถึงที่ตาย ฉันก็จะไม่ตาย พอฉันกลับถึงบ้าน ฉันยังคงอ่อนแอมาก และฉันก็เอนตัวลงนอนหลับ เมื่อตื่นขึ้นมา ฉันก็เผลอกำหมัด นึกไม่ถึง ฉันรู้สึกว่ามือมีกำลังขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ ฉันสวมรองเท้าแตะและลุกจากเตียง รู้ตัวว่าฉันสามารถเดินได้ตามปกติโดยไม่ต้องจับอะไรเพื่อพยุง ฉันไม่อยากจะเชื่อ อาการฉันดีขึ้นดื้อๆ แบบนี้เลยเหรอ? หลังจากนั้น ฉันผ่านหนึ่งสัปดาห์ไปได้โดยไม่รู้สึกอ่อนแอและอ่อนแรงใดๆ เลย และต่อมา ฉันก็เริ่มทำหน้าที่ตามปกติ ตอนนี้ หนึ่งปีผ่านไปแล้ว ร่างกายของฉันค่อยๆ ฟื้นตัว และฉันก็สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ

หลังจากประสบการณ์นี้ ฉันเข้าใจอย่างแท้จริงด้วยตัวเองว่า บททดสอบและการถลุงของพระเจ้ามีเพื่อชำระให้บริสุทธิ์และช่วยมนุษย์ให้รอด แม้ว่าฉันจะทนทุกข์บ้างในระหว่างความเจ็บป่วยนี้ แต่สิ่งที่ฉันได้รับนั้นยิ่งใหญ่กว่าความเจ็บปวดที่ฉันรู้สึกมากนัก นี่เป็นสิ่งที่ฉันจะไม่ยอมแลกกับอะไรทั้งนั้น สิ่งนี้ได้นำความมั่งคั่งมาสู่ชีวิตของฉัน

ก่อนหน้า: 5. ความเจ็บปวดที่ไม่อาจลบเลือน

ถัดไป: 10. ความคาดหวังสูงของฉันทำร้ายลูกชายของฉัน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger