91. การไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่เกี่ยวกับอายุ
หลายปีมานี้ฉันต้องต่อสู้กับโรคความดันโลหิตสูงและสุขภาพที่ย่ำแย่ จึงใช้เวลาพักผ่อนอยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ และเพียงแค่ทำหน้าที่บางอย่างเท่าที่สามารถทำได้ ในเดือนกรกฎาคมปี 2022 ผู้ดูแลงานให้น้ำของเราได้ยินมาว่าฉันเคยให้น้ำผู้มาใหม่ จึงมอบหมายให้ฉันทำหน้าที่ให้น้ำ ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ทำหน้าที่นี้อีกครั้ง และฉันก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำหน้าที่ของตนให้ดี พอฉันเห็นว่าผู้ดูแลทั้งสองคนมีอายุราวๆ สามสิบปี มีขีดความสามารถดี และเรียนรู้หลักธรรมอย่างรวดเร็ว และพี่น้องหญิงซินซินก็กระตือรือร้นและศึกษาได้ไว ในหัวใจฉันก็ไม่มีอะไรที่จะสุขไปกว่านี้แล้ว ฉัันอายุหกสิบปี และยังได้มีโอกาสทำหน้าที่กับบรรดาพี่น้องหนุ่มสาวเหล่านี้ ฉันรู้สึกเหมือนว่าสิ่งนี้ทำให้ฉันอายุน้อยลงเช่นกัน ฉันจะขี่จักรยานไปยังการชุมนุมที่ฉันจัดขึ้นสำหรับผู้มาใหม่ และจะฮัมเพลงสรรเสริญไปด้วยเสมอขณะที่เดินเลาะไป ฉันกระตือรือร้นกับหน้าที่ของตัวเองมาก หลังจากนั้นสักพัก ฉันรู้สึกว่าฉันเติบโตขึ้นทั้งในด้านความเข้าใจในหลักธรรม และความก้าวหน้าในชีวิต ยิ่งทำให้ฉันชอบหน้าที่นี้มากขึ้นไปอีก
แต่ผลที่ตามมาจากความตื่นเต้นของฉัน ปัญหาใหม่บางอย่างก็เกิดขึ้น ความดันโลหิตของฉันสูงมากๆ สุขภาพฉันไม่สู้ดีเลย และฉันจะรู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากทำงานมาทั้งวัน ไม่อยากจะทำอะไรมากไปกว่าการเอนกายพักผ่อน ซินซินกับคนอื่นๆ สามารถสรุปความผิดปกติในหน้าที่ของตนต่อไปได้หลังจากการชุมนุม และทำการเตรียมการสำหรับวันรุ่งขึ้น ฉันอยากจะทำงานให้ได้มากขึ้นเหมือนเพื่อนร่วมงานที่เยาว์วัยกว่า แต่หลังมื้อเย็นไม่นานนัก ฉันก็จะรู้สึกง่วงและสัปหงก ก็เลยลงเอยด้วยการเข้านอนแต่หัวค่ำ มีอยู่ช่วงหนึ่ง ฉันนอนไม่พอเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน แล้วร่างกายของฉันก็ทนไม่ไหว ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างถูกควร ฉันก็เลยต้องขอให้ซินซินเป็นผู้จัดงานชุมนุมแทนฉัน หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกเศร้าใจมาก ฉันไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติด้วยซ้ำ และต้องขอให้คนอื่นมาช่วย ดูเหมือนว่าฉันจะถูกปลดในไม่ช้า บางครั้ง เวลาที่ผู้ดูแลมาร่วมสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมสำหรับการให้น้ำผู้มาใหม่และเส้นทางในการปฏิบัติที่ดี ซินซินกับคนอื่นๆ จะเข้าใจได้ทันที สามารถนำหลักธรรมไปใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันและใช้ในหน้าที่ของพวกเขาอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ ในขณะที่ฉันจะต้องตริตรองสิ่งนั้นอีกสักพักใหญ่ และบางครั้งก็จำเป็นต้องให้ผู้ดูแลมาสามัคคีธรรมกับฉันเพิ่มเติม ระหว่างเวลานั้นฉันรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอด และไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสงบสุขในตอนกลางคืน ฉันกังวลว่าด้วยอายุที่มากขึ้น สุขภาพที่ย่ำแย่ การเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เชื่องช้า และอาการหลงๆ ลืมๆ ของฉัน หากวันหนึ่งฉันไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อีกต่อไป นั่นจะเป็นจุดจบของฉันในฐานะผู้เชื่อหรือเปล่า? ฉันยังจะสามารถบรรลุความรอดได้อยู่หรือไม่? ฉันรู้สึกท้อแท้อยู่เรื่อยๆ และไม่สามารถมุ่งความสนใจไปที่หน้าที่ของตนได้ ฉันทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าซินซินเลย ฉันไม่ชอบความรู้สึกแก่ จำกัดความให้ตัวเองว่าเป็นคนแก่และไร้ประโยชน์ และกังวลอยู่ตลอดว่าจะถูกมอบหมายงานใหม่ ฉันอิจฉาบรรดาคนหนุ่มสาวเหล่านั้นทุกคน และคิดว่าจะดีแค่ไหน หากฉันย้อนเวลากลับไปสักยี่สิบปีและฟื้นคืนความเยาว์วัยที่มีชีวิตชีวาอีกครั้ง! แล้วฉันก็จะสามารถสละตนเพื่อพระเจ้าได้จนถึงที่สุด แล้วก็จะมีความหวังให้ฉันเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่หรือ? พอนึกถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว ฉันก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องบั้นปลายของตัวเอง
วันหนึ่งผู้นำของฉันมาเยี่ยมฉันถึงที่ที่พักอาศัย และพูดกับฉันว่า “ด้วยอายุที่มากขึ้นและโรคความดันโลหิตสูง เรากำลังจะมอบหมายให้คุณไปทำกิจธุระทั่วไป จะได้ไม่ต้องวิ่งวุ่นอยู่ตลอดเวลา” ช่างเป็นข่าวที่ยากจะยอมรับสำหรับฉัน ฉันชอบหน้าที่ให้น้ำของฉันมาก และไม่เคยคิดที่จะล้มเลิกเลย แต่ตอนนี้ฉันถูกมอบหมายงานใหม่อย่างกะทันหัน นับวันฉันก็ยิ่งจะแก่ลงเรื่อยๆ และยิ่งจะมีโอกาสน้อยลงไปอีกที่จะสามารถทำหน้าที่ให้น้ำได้ในภายหน้า ฉันรู้สึกเหมือนมีใครเอาถังน้ำเย็นมาราดใส่หัว ดับไฟแห่งความกระตือรือร้นที่อยู่ในใจของฉัน พี่น้องชายหญิงอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟัง และสามัคคีธรรมถึงเจตนารมณ์ของพระองค์กับฉัน แต่ฉันไม่ได้ฟัง ตอนนั่งอยู่ที่นั้น ฉันรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนแทบจะนั่งตัวตรงไม่ได้ คืนนั้น ฉันนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง นึกถึงความกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของพี่น้องหนุ่มสาว การเข้าใจความจริงและหลักธรรมได้อย่างรวดเร็วของพวกเขา และแม้ว่าพวกเขาควรค่าที่จะได้รับการฝึกฝน หนุ่มสาวเหล่านี้อนาคตทั้งหมดรออยู่เบื้องหน้า ในขณะที่คนแก่อย่างฉัน มีสุขภาพที่ขัดขวางไม่ให้ฉันสละตนเพื่อพระเจ้า ฉันทำความเข้าใจได้ช้า และไม่คู่ควรที่จะได้รับการฝึกฝนแบบนั้น อีกอย่าง ฉันก็ยังป่วยอยู่และร่างกายก็อาจหมดแรงไปเมื่อไหร่ก็ได้ พระเจ้าทรงไม่ชอบใจคนแก่อย่างฉันแน่นอน และยากที่บอกได้ว่าฉันจะมีบั้นปลายที่ดีหรือไม่ ถ้าเพียงแต่ฉันอายุน้อยกว่านี้สักยี่สิบปี ก็คงจะสามารถอุทิศตนอย่างเต็มที่ในการสละตนเพื่อพระเจ้าได้! ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่ ฉันหดหู่ใจมากจริงๆ รู้สึกเหมือนแบกภูเขาทั้งลูกไว้ในอก แน่นอยู่ในอกจนแทบจะหายใจไม่ออก ฉันรู้สึกเป็นทุกข์มากกับการถูกมอบหมายงานใหม่ จนฉันนอนไม่หลับเลยทั้งคืน
บังเอิญมีเหล่าคนทำงานให้น้ำมาร่วมชุมนุมในวันรุ่งขึ้น ฉันเห็นจ้าวเหลียงที่เป็นผู้ดูแลขี่รถผ่านหน้าบ้านที่ฉันพักอยู่ไป การได้เห็นเขาขี่รถไปชุมนุม ทำให้ฉันใจหายมากจริงๆ ถ้าไม่ได้รับมอบหมายงานใหม่ ฉันก็คงได้ไปที่นั่นกับเขา แต่ตอนนี้ี้โอกาสนั้นหลุดลอยไปแล้ว ทำไมฉันต้องแก่และป่วยด้วยนะ? เมื่อคิดถึงเรื่องทั้งหมดนั้น ฉันก็รู้สึกว่างเปล่าอยู่ภายใน และไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อไปดี ฉันนั่งเฉยๆ อยู่บนเก้าอี้ มองจากหน้าต่างออกไปบนท้องฟ้า ฉันคิดว่าโอกาสในภายหน้าของฉันในฐานะผู้เชื่อนั้นไม่ดีแล้ว และไม่มีความหวังที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่ แล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้มฉันลงมา ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่สามารถนบนอบและยอมรับการมอบหมายงานใหม่นี้ได้อย่างแท้จริง ข้าพระองค์รู้ว่านี่เป็นการกบฏต่อพระองค์และทำให้พระองค์ทรงขยะแขยง ข้าแต่พระเจ้า! โปรดนำข้าพระองค์ให้รู้จักตัวเองและนบนอบด้วยเถิด” ต่อมา จ้าวเหลียงเห็นว่าฉันอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ จึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟัง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เจ้าควรเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังเมื่อตนถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่ หลังจากเจ้าได้ฝึกฝนในหน้าที่ใหม่ของเจ้าไปสักพักและได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในการปฏิบัติหน้าที่นั้นแล้ว เจ้าจะพบว่าตนเหมาะกับการปฏิบัติหน้าที่นี้มากกว่า และเจ้าจะตระหนักว่าการเลือกหน้าที่ตามความชอบของตนเองนั้นเป็นความผิดพลาด นี่เป็นการแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่หรือ? ที่สำคัญที่สุดคือ พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้จัดแจงให้ผู้คนปฏิบัติหน้าที่บางอย่างไปตามการเลือกชอบของผู้คน แต่ตามความจำเป็นของงาน และตามความสามารถในการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์จากการปฏิบัติหน้าที่ของคนคนนั้น พวกเจ้าจะพูดว่าพระนิเวศของพระเจ้าควรจัดแจงหน้าที่ไปตามความชอบของแต่ละบุคคลอย่างนั้นหรือ? พระนิเวศของพระเจ้าควรใช้ผู้คนตามเงื่อนไขที่สนองความชอบส่วนบุคคลใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) สิ่งใดบ้างที่ตรงกับหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในการใช้ผู้คน? สิ่งใดที่ตรงกับหลักธรรมความจริง? นั่นคือการเลือกผู้คนตามความจำเป็นของงานในพระนิเวศของพระเจ้าและตามผลลัพธ์จากการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เจ้ามีความชอบและความสนใจบางอย่าง และเจ้ามีความปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนเล็กน้อย แต่ความปรารถนา ความสนใจ และความชอบของเจ้าควรมีความสำคัญกว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือ? หากเจ้ายืนกรานหัวชนฝาว่า ‘ฉันต้องทำงานนี้ให้ได้ ถ้าไม่อนุญาตให้ฉันทำ ฉันก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ถ้าไม่อนุญาตให้ฉันทำงานนี้ ฉันก็จะไม่กระตือรือร้นกับการทำอย่างอื่น และฉันก็จะไม่ทุ่มความพยายามอย่างเต็มที่ให้กับมัน’ นี่แสดงให้เห็นว่าท่าทีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ามีปัญหาไม่ใช่หรือ? นั่นเป็นการไร้มโนธรรมและเหตุผลอย่างสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ? เพื่อสนองความปรารถนา ความสนใจ และความชอบส่วนตนของเจ้า เจ้าทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าและเกิดผลกระทบโดยไม่ลังเล นี่สอดคล้องกับความจริงหรือไม่? คนเราควรปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายที่ไม่สอดคล้องกับความจริงอย่างไร? คนบางคนพูดว่า ‘คนเราควรเสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม’ นี่ถูกต้องหรือไม่? นี่เป็นความจริงหรือไม่? (ไม่) นี่เป็นถ้อยแถลงประเภทใด? (นี่เป็นตรรกะวิบัติเยี่ยงซาตาน) นี่เป็นถ้อยแถลงที่คลาดเคลื่อน ถ้อยแถลงที่มีลับลมคมในและชักพาให้หลงผิด หากเจ้านำวลีที่ว่า ‘คนเราควรเสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม’ มาประยุกต์ใช้กับบริบทของการปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นเจ้าก็กำลังต่อต้านและหมิ่นประมาทพระเจ้า เหตุใดนี่จึงเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า? เพราะเจ้ากำลังใช้เจตจำนงของตนเองมาบังคับพระเจ้า และนั่นคือการหมิ่นประมาท! เจ้ากำลังพยายามแลกเปลี่ยนการเสียสละของตัวบุคคลกับการทำให้เพียบพร้อมและพรของพระเจ้า เจตนาของเจ้าคือการทำข้อตกลงกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เจ้าต้องพลีอุทิศสิ่งใดของตัวเอง สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ก็คือให้ผู้คนปฏิบัติความจริงและขัดขืนเนื้อหนัง หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริง เช่นนั้นเจ้าก็กำลังต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า เจ้าปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีเพราะเจ้ามีเจตนารมณ์ที่ผิด เจ้ามีทัศนะที่ไม่ถูกต้องต่อสิ่งทั้งหลาย อีกทั้งถ้อยแถลงของเจ้าก็ขัดกับความจริงโดยสิ้นเชิง แต่พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ได้ลิดรอนสิทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า นั่นก็แค่การปรับเปลี่ยนหน้าที่เพราะเจ้าไม่เหมาะกับหน้าที่ก่อนหน้านี้ และเจ้าก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ที่เหมาะสมกับเจ้า นี่เป็นเรื่องปกติและเข้าใจได้ง่ายมาก เจ้าควรปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างถูกต้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบสอง: พวกเขาอยากถอนตัวเมื่อไม่มีสถานะและไม่มีความหวังที่จะได้รับพร) หลังจากอ่านบทตอนนั้นแล้ว จ้าวเหลียงก็สามัคคีธรรมกับฉันว่า “เมื่อพระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายงานให้ผู้คนใหม่ นั่นไม่ได้เป็นการลิดรอนโอกาสของพวกเขาที่จะทำหน้าที่และได้รับความรอด แต่เป็นเพียงการจัดการเตรียมการที่สมเหตุสมผลตามความจำเป็นของคริสตจักร คุณรู้สึกไม่สบายอยู่ อายุก็มากขึ้นแล้ว และมีความดันโลหิตสูง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณขณะขี่รถไปทำหน้าที่ หรือระหว่างทางไปชุมนุมในที่ต่างๆ ไม่เพียงแต่จะเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อคุณด้วย เป็นการดีที่สุดสำหรับคุณที่จะกลับไปยังคริสตจักรบ้านและทำหน้าที่ของคุณที่นั่น ก่อนอื่นเรามานบนอบ ยอมรับเรื่องนี้จากพระเจ้าและเรียนรู้บทเรียนกันก่อน” ฉันรู้สึกละอายใจมากเมื่อได้ยินจ้าวเหลียงสามัคคีธรรม ถึงแม้จะเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานาน แต่ฉันก็ยังไม่นบนอบแม้แต่น้อย ฉันชอบทำหน้าที่ให้น้ำและมีความกระตือรือร้นเหมือนกับคนหนุ่มสาว แต่ด้วยอายุที่เกินหกสิบปี และล้มป่วย ฉันไม่มีพลัง ความจำ หรือความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างที่พวกเขามีเลยจริงๆ หากปล่อยให้ฉันให้น้ำต่อไปก็จะส่งผลที่เป็นลบต่อการให้น้ำผู้มาใหม่ คริสตจักรได้มอบหมายใหม่ให้ฉันทำหน้าที่ที่เหมาะสมกว่า ตามผลงานและปัญหาสุขภาพของฉัน ฉันต้องมีเหตุมีผล อีกทั้งยอมรับและนบนอบ ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า บอกว่าฉันเต็มใจยอมตามการจัดการเตรียมการของพระองค์ และจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำหน้าที่ใหม่ของฉัน
ต่อมาฉันเริ่มสงสัยว่า ทำไมฉันถึงไม่นบนอบตอนที่ได้รับมอบหมายงานใหม่? ทำไมฉันถึงรู้สึกท้อแท้ใจมาก? ในการแสวงหา ฉันได้พบกับพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “ยังมีผู้สูงอายุในหมู่พี่น้องชายหญิง ซึ่งอยู่ในวัยตั้งแต่ 60 ไปจนถึงประมาณ 80 หรือ 90 ปี และเพราะสูงวัยจึงพลอยประสบความลำบากบางอย่างไปด้วย แม้พวกเขาจะมีอายุมาก แต่การคิดอ่านของพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องถูกต้องหรือเป็นเหตุเป็นผลนัก แนวคิดและทัศนะของพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามความจริง คนสูงอายุเหล่านี้มีปัญหาเหมือนกันเลย พวกเขาวิตกกังวลเสมอว่า ‘สุขภาพของฉันไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว และฉันก็มีข้อจำกัดว่าจะปฏิบัติหน้าที่อะไรได้บ้าง ถ้าฉันเอาแต่ปฏิบัติหน้าที่เล็กๆ นี้ พระเจ้าจะทรงจดจำฉันหรือไม่? บางครั้งฉันไม่สบาย และต้องมีใครสักคนดูแล เวลาที่ไม่มีใครคอยดูแล ฉันก็ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ แล้วฉันจะสามารถทำอะไรได้? ฉันแก่แล้ว เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าก็จำพระวจนะไม่ได้ และเข้าใจความจริงได้ยาก เวลาสามัคคีธรรมความจริง ฉันก็พูดจาเลอะเลือน ไม่เป็นเหตุเป็นผล และฉันก็ไม่มีประสบการณ์อะไรที่ควรค่าแก่การแบ่งปัน ฉันแก่แล้ว ไม่มีกำลังวังชามากพอ สายตาก็ไม่ดีนัก และฉันก็ไม่ได้แข็งแรงอีกแล้ว ทุกสิ่งยากลำบากสำหรับฉัน ไม่เพียงฉันจะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองไม่ไหวเท่านั้น แต่ฉันยังลืมง่ายและผิดพลาดง่าย บางครั้งฉันก็สับสนและก่อปัญหาให้คริสตจักรและพี่น้องชายหญิง ฉันอยากบรรลุความรอดและไล่ตามเสาะหาความจริง แต่นั่นก็ยากมาก ฉันจะทำอะไรได้?’ เมื่อพวกเขาคิดเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็เริ่มกลัดกลุ้ม คิดไปว่า ‘ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้าในวัยนี้ได้อย่างไร? ทำไมฉันถึงไม่เป็นอย่างคนอายุยี่สิบสามสิบ หรือแม้แต่คนที่อยู่ในวัยสี่สิบห้าสิบปี? ทำไมฉันถึงเพิ่งมาเจอพระราชกิจของพระเจ้าเอาตอนที่ฉันแก่อย่างนี้? ไม่ใช่ว่าชะตากรรมของฉันไม่ดี อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ได้มาเจอพระราชกิจของพระเจ้า ชะตากรรมของฉันนี้ดี และพระเจ้าก็ทรงเมตตาฉันมาตลอด! มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ฉันไม่มีความสุข นั่นก็คือฉันแก่เกินไป ความจำของฉันไม่ค่อยดีนัก สุขภาพของฉันก็ไม่ได้ดีเยี่ยมขนาดนั้น แต่ฉันมีหัวใจที่แข็งแรง เพียงแต่ว่าร่างกายไม่เชื่อฟังฉัน เวลาชุมนุม พอฟังไปสักพัก ฉันก็ง่วงนอน บางครั้งฉันหลับตาอธิษฐานแล้วก็ผล็อยหลับไป เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้า ความรู้สึกนึกคิดของฉันก็ล่องลอยไปไหนๆ พออ่านไปนิดหนึ่ง ฉันก็ง่วงและงีบหลับ พระวจนะเลยไม่เข้าหัว ฉันจะทำอย่างไรได้? เมื่อมีอุปสรรคในทางปฏิบัติเช่นนี้ ฉันจะยังคงไล่ตามเสาะหาและเข้าใจความจริงได้หรือ? ถ้าไม่ได้ และถ้าฉันปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงไม่ได้ เช่นนั้นแล้วความเชื่อทั้งหมดที่ฉันมีจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ? ฉันจะไม่ได้รับความรอดใช่ไหม? แล้วฉันจะทำอะไรได้? ฉันวิตกกังวลเหลือเกิน! พอถึงวัยนี้ อะไรๆ ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ตอนนี้เมื่อฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ไม่มีความวิตกกังวลหรือมีอะไรให้กระวนกระวายใจอีกแล้ว ลูกๆ ของฉันก็โตแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ฉันคอยดูแลหรือเลี้ยงดูอีกต่อไป ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉันก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และท้ายที่สุดก็ได้รับความรอดในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ อย่างไรก็ดี พอมองดูสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ตามจริง ดวงตาก็มืดมัวเพราะวัย ความรู้สึกนึกคิดสับสน สุขภาพก็แย่ การปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ทำได้ไม่ดี และบางครั้งก็สร้างปัญหาเวลาพยายามทำให้มากเท่าที่จะทำได้ การได้รับความรอดเลยดูเหมือนจะไม่ง่ายสำหรับฉัน’ พวกเขาคิดเรื่องเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาและยิ่งกระวนกระวายใจ และแล้วก็คิดไปว่า ‘ดูเหมือนสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นแต่กับผู้คนหนุ่มสาวร่ำไป ไม่ใช่กับคนแก่ ดูเหมือนว่าไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะดีเพียงใด ฉันก็จะไม่สามารถชื่นชมได้อีกต่อไป’ ยิ่งพวกเขาคิดเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็ยิ่งกลัดกลุ้มและยิ่งกระวนกระวาย พวกเขาไม่เพียงวิตกกังวลเรื่องตัวเองเท่านั้น แต่ยังรู้สึกเสียใจอีกด้วย ถ้าพวกเขาร้องไห้ พวกเขาก็รู้สึกว่าแท้จริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าแก่การร้องไห้ และถ้าพวกเขาไม่ร้องไห้ ความเจ็บปวดนั้น ความเสียใจนั้นก็คงอยู่กับพวกเขาเสมอ ดังนั้นพวกเขาควรทำเช่นไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผู้สูงอายุบางคนที่อยากใช้เวลาทั้งหมดของตนในการสละตนเพื่อพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่สุขภาพของพวกเขานั้นไม่ดี บ้างก็มีความดันโลหิตสูง บ้างก็มีน้ำตาลในเลือดสูง บ้างก็มีปัญหาด้านระบบทางเดินอาหาร และเรี่ยวแรงของพวกเขาก็ไม่สามารถตอบสนองตามที่หน้าที่ของตนเรียกร้องได้ ดังนั้นพวกเขาจึงกลัดกลุ้ม พวกเขามองเห็นคนหนุ่มสาวสามารถกินและดื่ม วิ่งและกระโดด พวกเขาจึงรู้สึกอิจฉา ยิ่งพวกเขามองเห็นคนหนุ่มสาวทำเรื่องดังกล่าว พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจ คิดไปว่า ‘ฉันอยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ไล่ตามเสาะหาและเข้าใจความจริง และฉันก็อยากปฏิบัติความจริงด้วย แล้วทำไมถึงได้ยากอย่างนี้? ฉันแก่และไร้ประโยชน์เหลือเกิน! พระเจ้าไม่ทรงต้องการคนแก่หรือไร? คนแก่ไม่มีประโยชน์จริงหรือ? พวกเราบรรลุความรอดไม่ได้กระนั้นหรือ?’ ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรในเรื่องนี้ พวกเขาก็เศร้าและไม่อาจรู้สึกเป็นสุขได้ พวกเขาไม่อยากพลาดช่วงเวลาที่วิเศษเช่นนี้และโอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถสละตนและปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและดวงจิตทั้งดวงเหมือนคนหนุ่มสาวได้ คนสูงอายุเหล่านี้ตกอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลอย่างยิ่งก็เพราะอายุของตน ทุกครั้งที่พวกเขาพบเจอความลำบาก ปัญหา ความทุกข์ยาก หรืออุปสรรคบางอย่าง พวกเขาก็นึกโทษอายุของตนเอง ถึงกับเกลียดตัวเองและไม่ชอบตัวเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีทางออก และพวกเขาก็ไม่มีหนทางให้ไปต่อ เป็นไปได้หรือที่พวกเขาไม่มีหนทางให้ไปต่อจริงๆ? ไม่มีทางออกเลยหรือ? (คนสูงอายุก็ควรปฏิบัติหน้าที่ของตนให้มากเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้เช่นกัน) การที่คนสูงอายุปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้มากเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้นั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ถูกต้องไหม? คนสูงอายุไม่อาจไล่ตามเสาะหาความจริงได้อีกแล้วเพราะอายุของพวกเขากระนั้นหรือ? พวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงได้กระนั้นหรือ? (พวกเขาสามารถ) คนสูงอายุสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่? พวกเขาสามารถเข้าใจได้บ้าง และแม้กระทั่งคนหนุ่มสาวก็ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดเช่นกัน ตลอดเวลาคนสูงอายุมีแนวคิดที่ผิดอยู่อย่างหนึ่ง เชื่อไปว่าตนนั้นสับสน ความจำไม่ดี ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ พวกเขาเข้าใจถูกต้องหรือไม่? (ไม่) แม้คนหนุ่มสาวจะมีกำลังวังชามากกว่าคนสูงอายุมากนัก ร่างกายก็แข็งแรงกว่า แต่แท้จริงแล้วความสามารถในการทำความเข้าใจ จับใจความ และรับรู้ของพวกเขานั้นเหมือนกับของคนสูงอายุไม่มีผิด คนสูงอายุก็เคยเป็นหนุ่มเป็นสาวเช่นกันมิใช่หรือ? พวกเขาไม่ได้เกิดมาแก่ และสักวันหนึ่งคนหนุ่มสาวทุกคนก็จะแก่ตัวด้วย คนสูงอายุต้องไม่คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเพราะตนเองแก่ ร่างกายอ่อนแอ สุขภาพไม่ดี และความจำก็ไม่ดี พวกเขาจึงต่างจากคนหนุ่มสาว ที่จริงแล้วไม่มีความแตกต่าง เวลาที่เราบอกว่าไม่มีความแตกต่าง เราหมายความว่าอย่างไร? ไม่ว่าใครบางคนจะแก่หรือเป็นหนุ่มเป็นสาว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมเหมือนกัน ท่าทีและทัศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ สารพัดรูปแบบย่อมเหมือนกัน มุมมองและจุดยืนที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ นานัปการย่อมเหมือนกัน ดังนั้นคนสูงอายุต้องไม่คิดว่าเพราะตนเองแก่ มีความอยากอันฟุ้งเฟ้อน้อยกว่าคนหนุ่มสาว และดำรงตนได้มั่นคงกว่า พวกเขาจึงไม่มีความทะเยอทะยานหรือความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งซ่าน และมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามน้อยกว่า—นี่เป็นความคิดที่ผิด คนหนุ่มสาวสามารถชิงตำแหน่ง แล้วคนสูงอายุไม่สามารถชิงตำแหน่งกระนั้นหรือ? คนหนุ่มสาวอาจทำสิ่งที่ขัดต่อหลักธรรมและกระทำการตามอำเภอใจได้ แล้วคนสูงอายุทำเรื่องเดียวกันไม่ได้กระนั้นหรือ? (ทำได้) คนหนุ่มสาวโอหังได้ แล้วคนสูงอายุโอหังด้วยไม่ได้กระนั้นหรือ? อย่างไรก็ดี เวลาที่คนสูงอายุโอหัง เนื่องจากความสูงวัย พวกเขาจึงไม่ก้าวร้าวเท่าใดนัก แล้วก็ไม่ได้เป็นความโอหังที่ใหญ่โตอะไร คนหนุ่มสาวนั้นแสดงให้เห็นลักษณะที่โอหังได้ชัดเจนกว่าเพราะมีร่างกายและความรู้สึกนึกคิดที่ยืดหยุ่นกว่า ส่วนคนที่อายุมากกว่าย่อมแสดงลักษณะที่โอหังไม่ชัดเจนเท่าเพราะร่างกายแข็งเกร็งและความรู้สึกนึกคิดก็ไม่ยืดหยุ่น อย่างไรก็ดี แก่นแท้ของความโอหังและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขากลับเหมือนกัน ไม่ว่าคนสูงอายุจะเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าใด หรือปฏิบัติหน้าที่ของตนมานานกี่ปี ถ้าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมจะยังมีอยู่” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) พระเจ้าทรงประทานพระสุรเสียงถึงความคิดภายในของผู้สูงอายุทุกคน ผู้สูงอายุก็ต้องการสละตนเพื่อพระเจ้าอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน แต่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย พวกเขาไม่มีพลังหรือความจำเพื่อการเรียนรู้เหมือนคนหนุ่มคนสาว จึงได้แต่ทำหน้าที่เท่าที่จะสามารถทำได้เท่านั้น แต่พวกเขาก็กังวลว่าตนทำน้อยเกินไปและพระเจ้าจะไม่ทรงจดจำ และด้วยการที่พวกเขามีอายุมากแล้ว มีสายตาฝ้าฟาง จึงไม่สามารถทำความเข้าใจความความจริงได้มากนัก พวกเขาจึงรู้สึกเศร้าใจ กระวนกระวาย และกังวลเกี่ยวกับอนาคตและบั้นปลายของตัวเอง ฉันเองก็อยู่ในสภาวะแบบที่พระเจ้าทรงเปิดโปง ฉันเห็นว่าคนส่วนใหญ่ที่พระนิเวศของพระเจ้าฝึกฝนนั้นยังหนุ่มยังสาว มีขีดความสามารถดี กระฉับกระเฉง และเรียนรู้ได้เร็ว ในขณะที่ฉันแก่กว่ามาก และถึงแม้จะมีแรงขับเคลื่อนในการปฏิบัติหน้าที่ให้ดี แต่พลังและความจำของฉันนั้นก็สู้คนหนุ่มคนสาวไม่ได้ หลังจากทำหน้าที่มาทั้งวัน หนุ่มๆ สาวๆ ก็ยังเต็มไปด้วยพลัง และสามารถทบทวนปัญหาและความเบี่ยงเบนในการทำงานตลอดจนเส้นทางการปฏิบัติของพวกเขาได้ ในขณะที่ฉันต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ บางครั้งเวลาที่ร่างกายของฉันรับภาระงานไม่ได้ ฉันก็ต้องขอให้คนอื่นให้น้ำผู้มาใหม่แทน เมื่อผู้ดูแลมาสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมและวิธีการที่เป็นประโยชน์ เหล่าคนหนุ่มสาวก็จะเข้าใจได้ในทันทีและนำทุกอย่างไปใช้ในหน้าที่ของตัวเอง ในขณะที่ฉันใช้เวลานานกว่ามากในการทำความเข้าใจ เมื่อเทียบกับเหล่าพี่น้องหนุ่มสาว การทำหน้าที่ทำให้ฉันตึงเครียดเยอะกว่ามาก ฉันไม่มีความสุขกับสถานการณ์นี้เลย และโทษตัวเองว่าเป็นคนแก่และไม่สามารถทำหน้าที่อะไรได้มากนัก ต่อให้ฉันไล่ตามเสาะหาความจริงไป ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี และพระเจ้าคงจะไม่พอพระทัย ฉันใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจพระเจ้าผิด และอดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องบั้นปลายในอนาคตของตัวเอง ตอนนั้นเอง ฉันก็ตระหนักว่า คนสูงอายุและคนหนุ่มสาวอาจจะมีพลังและความจำที่ต่างกัน แต่เมื่อพูดถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแล้วพวกเขาก็เหมือนกัน ทั้งคนหนุ่มสาวและคนแก่ต่างก็โอหัง ทั้งคนหนุ่มสาวและคนแก่ต่างก็เห็นแก่ตัว เวลาเผชิญกับสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ซึ่งเราไม่ชอบ เราทุกคนต่างก็เผยให้เห็นอุปนิสัยเป็นกบฏของเรา เราไม่สามารถนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเอง เราก็จะปกป้องตัวเองก่อนเสมอ แล้วเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจของเราออกมา ทั้งคนสูงอายุและคนหนุ่มสาวต่างก็ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างฝังลึกเหมือนกัน เราทุกคนล้วนต้องทบทวนตัวเองบ่อยๆ ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามของเรา ฉันคิดว่าอายุและปริมาณงานที่ฉันทำในหน้าที่เป็นเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงใช้ในการตัดสินว่าฉันควรได้รับการชมเชยหรือไม่ ฉันคิดว่าพระเจ้าทรงไม่ชอบคนแก่ และฉันก็มีโอกาสที่จะได้รับความรอดน้อยมากๆ ทรรศนะและมโนคติอันหลงผิดของฉันนั้นบิดเบี้ยวมาก! ฉันรู้ว่าฉันต้องนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และมุ่งความสนใจไปที่การคิดทบทวนและการรู้จักตนเองและไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในหน้าที่ของตัวเอง เพราะนี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า หลังจากรู้แบบนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกกระจ่างขึ้น
เช้าวันหนึ่งระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันบังเอิญเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ประทับใจฉันอย่างลึกซึ้ง และช่วยให้ฉันเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ดีขึ้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้สูงอายุเป็นคนกลุ่มพิเศษในพระนิเวศของพระเจ้าและในเรื่องของความจริงกระนั้นหรือ? ไม่ได้เป็น อายุไม่เกี่ยวอะไรเมื่อเป็นเรื่องของความจริง เช่นเดียวกับที่ไม่เกี่ยวอะไรเมื่อเป็นเรื่องอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า เรื่องว่าเจ้าเสื่อมทรามมากเท่าใด เจ้ามีคุณสมบัติที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ เจ้าสามารถได้รับความรอดหรือไม่ หรืออะไรคือความน่าจะเป็นของการที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเราสามัคคีธรรมความจริงมาหลายปีมากแล้ว แต่ก็ไม่เคยสามัคคีธรรมถึงความจริงชนิดต่างๆ ตามอายุที่แตกต่างกันของผู้คน ไม่เคยมีการสามัคคีธรรมความจริงและเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนหนุ่มสาวหรือคนสูงวัยกันเป็นการเฉพาะ และไม่เคยมีการกล่าวว่าเพราะพวกเขาอายุมาก คิดอ่านตายตัว และไม่สามารถยอมรับสิ่งใหม่ๆ ได้ จึงเป็นธรรมดาที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะลดน้อยลงและเปลี่ยนแปลง—ไม่เคยมีการกล่าวเรื่องเหล่านี้เลย ไม่เคยมีการสามัคคีธรรมความจริงตามอายุของผู้คนกันเป็นการเฉพาะโดยไม่รวมคนสูงอายุเอาไว้ด้วยแม้แต่เรื่องเดียว ผู้สูงอายุไม่ใช่คนกลุ่มพิเศษในคริสตจักร ในพระนิเวศของพระเจ้า หรือเบื้องหน้าพระเจ้า แต่เป็นเช่นเดียวกับกลุ่มอายุอื่นๆ ไม่มีอะไรพิเศษในเรื่องของพวกเขา เพียงแต่ว่าพวกเขาผ่านชีวิตมานานกว่าคนอื่นนิดหน่อย มาถึงโลกนี้ก่อนคนอื่นไม่กี่ปี ผมเผ้าก็หงอกขาวกว่าคนอื่นบ้าง และร่างกายก็ชราภาพก่อนคนอื่นหน่อยเท่านั้นเอง นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้วก็ไม่มีข้อแตกต่าง” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ว่า ในพระนิเวศของพระเจ้า คนสูงอายุไม่ใช่กลุ่มที่จะถูกเลือกออกมา พวกเขาแค่แก่กว่านิดหน่อยด้วยความเสื่อมโทรมที่มากกว่าเล็กน้อย บางทีก็อาจไม่มีพลังและกำลังวังชาของคนหนุ่มสาว และอาจจะทนทุกข์จากโรคภัยบางอย่าง แต่เบื้องหน้าความจริงไม่มีการแบ่งแยกในเรื่องอายุ ขณะที่พระเจ้าทรงแสดงพระวจนะของพระองค์และพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ในยุคสุดท้าย พระองค์ไม่ได้แบ่งแยกระหว่างคนหนุ่มสาวกับคนแก่ ไม่ว่าจะเป็นคนสูงอายุหรือคนหนุ่มสาว พวกเขาก็ล้วนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างฝังลึก และล้วนต้องการความรอดของพระเจ้า การที่ใครคนหนึ่งจะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ หรือหน้าที่ที่พวกเขาทำ แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าพวกเขาเดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ สิ่งนี้ถูกกำหนดโดยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อนั้น เหล่าคนงานสูงอายุมักไม่เป็นที่ชอบใจ ผู้คนพบว่าพวกเขาเข้าใจได้ช้า อ่อนแอ และไม่น่าจะสามารถสร้างคุณค่าได้ ดังนั้นบรรดาเจ้านายส่วนใหญ่จึงชอบคนงานหนุ่มสาวและไม่ชอบใจคนแก่ ฉันตีกรอบพระเจ้าตามความคิดของผู้ไม่มีความเชื่อ คิดว่าเป็นเพราะพี่น้องหนุ่มสาวสามารถทำหน้าที่ได้มากมายและมีส่วนช่วยได้เยอะ พวกเขาจึงมีโอกาสถูกช่วยให้รอดมากที่สุด ส่วนคนสูงอายุก็ทำหน้าที่ที่ไม่สำคัญและทำสำเร็จได้น้อย พวกเขาจึงไม่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า และมีโอกาสน้อยที่จะได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า ฉันไม่เข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และตัดสินพระองค์ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของฉันเอง นี่เป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า! ฉันยังได้เข้าใจด้วยว่าพระนิเวศของพระเจ้าปกครองด้วยความจริง พระเจ้าทรงประเมินการกระทำของคนทุกคนตามความจริง เหมือนกับที่ฉันรู้จักพี่น้องหญิงคนนี้ เธอยังสาวและฉลาด และรับใช้ในฐานะผู้นำ แต่เธอละเมิดงานจัดการเตรียมการ อีกทั้งขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร แถมยังโต้กลับและกดข่มบรรดาผู้ที่ให้คำแนะนำกับเธออีกด้วย ในที่สุดเธอก็ถูกมองว่าเป็นคนชั่วร้ายและถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร แต่แล้วฉันก็รู้จักพี่น้องหญิงที่แก่กว่ามากอีกคน เป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษาและมีขีดความสามารถระดับปานกลาง แต่เธอก็ทำหน้าที่ของเธออย่างสม่ำเสมอ เธอมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าและจงรักภักดีในหน้าที่ของเธอ พี่น้องสูงอายุเหล่านี้ อาจจะไม่มีกำลังเท่าหรือมีความจำดีที่สุด แต่พวกเขาก็ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด และมุ่งเน้นการคิดทบทวนและรู้จักตนเองและไล่ตามการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในหน้าที่ของตนเอง พวกเขายังอาจได้รับการชมเชยจากพระเจ้าและมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด ฉันยังตระหนักด้วยว่า ความแก่ชราเป็นกระบวนการทางธรรมชาติและเปลี่ยนไม่ได้ ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วล่วงหน้า ดังนั้นฉันจึงควรนบนอบต่อสิ่งนั้น และทำหน้าที่เท่าที่ฉันสามารถทำได้ในช่วงวัยปัจจุบัน ที่จริงแล้ว ตราบใดที่ฉันมีท่าทีที่ถูกต้อง และมุ่งเน้นในการแสวงหาความจริงในหน้าที่ใหม่ของฉัน ฉันจะได้รับการรู้แจ้งและการนำจากพระเจ้าไม่ได้เชียวหรือ? ฉันจะรู้ถึงความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตัวเองไม่ได้เชียวหรือ? ฉันจะยังไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ได้เชียวหรือ? พระเจ้าไม่ทรงลิดรอนสิทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่และบรรลุความรอดของฉัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อฉันแตกต่างออกไปเพราะอายุของฉันเลย แต่ฉันกลับไม่รู้สึกขอบคุณพระเจ้า และถึงกับคิดผิดไปว่าพระองค์ทรงไม่ชอบคนชรา รู้สึกต่อต้านการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ ฉันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย! พอตระหนักได้ทั้งหมดนี้ ฉันก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก ฉันไม่สามารถกบฏและเข้าใจพระเจ้าผิดได้อีกต่อไป ฉันต้องละความกระวนกระวายและความวิตกกังวลออกไป และทำหน้าที่ใหม่อย่างขยันขันแข็งเพื่อไม่ให้งานของคริสตจักรล่าช้า
หลังจากนั้นฉันก็เริ่มสงสัยว่า ทำไมถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่าหน้าที่ของมนุษย์ไม่เกี่ยวอะไรกับพรหรือโชคร้าย แต่ฉันก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับบั้นปลายของฉัน หลังจากได้รับมอบหมายหน้าที่ที่ฉันไม่พอใจ ต้นตอของปัญหาของฉันคืออะไร? ระหว่างการชุมนุม เหล่าพี่น้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟังสองบทตอน แล้วฉันก็ระบุต้นตอของปัญหาผ่านพระวจนะของพระองค์ได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์ ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตัวเองเพื่อพระเจ้า นั่นเป็นไปเพื่อที่จะได้รับพร และเมื่อพวกเขาจงรักภักดีต่อพระองค์ นั่นก็ยังคงเป็นไปเพื่อที่จะได้รับบำเหน็จรางวัลอยู่ดี โดยสรุปแล้ว ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพร ได้รับรางวัล และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ในสังคม ผู้คนทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ทำหน้าที่เพื่อที่จะได้รับพร เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถสู้ทนความทุกข์มากมายได้ ไม่มีหลักฐานถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) “ก่อนตัดสินใจทำหน้าที่ของตน ลึกลงไปในหัวใจของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขากำลังเปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวังต่อจุดหมายปลายทางในอนาคตของตน การได้รับพร บั้นปลายที่ดี และแม้กระทั่งมงกุฎ และพวกเขาก็มีความเชื่อมั่นสูงสุดในการที่จะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ พวกเขามายังพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อทำหน้าที่ของตนด้วยเจตนาและความมุ่งมาดปรารถนาดังกล่าว แล้วการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขามีความจริงใจ ความเชื่อที่ถ่องแท้ และความจงรักภักดีที่พระเจ้าทรงกำหนดหรือไม่? ณ จุดนี้ คนเรายังไม่สามารถมองเห็นความจงรักภักดี ความเชื่อ หรือความจริงใจที่ถ่องแท้ของตนได้ เนื่องจากทุกคนเก็บงำกรอบความคิดเชิงแลกเปลี่ยนโดยสมบูรณ์เอาไว้ก่อนที่พวกเขาจะทำหน้าที่ของตน ทุกคนตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ของตนโดยมีผลประโยชน์เป็นแรงขับเคลื่อน และมีพื้นฐานอยู่บนเงื่อนไขเบื้องต้นเกี่ยวกับความทะเยอทะยานและความอยากอันเปี่ยมล้นของตนด้วย เจตนาของศัตรูของพระคริสต์ในการทำหน้าที่ของตนคืออะไร? คือการทำข้อตกลง ทำข้อแลกเปลี่ยน อาจกล่าวได้ว่านี่คือภาวะที่พวกเขากำหนดในการทำหน้าที่ กล่าวคือ ‘หากฉันทำหน้าที่ของฉัน เช่นนั้นฉันก็ต้องได้มาซึ่งพรและมีบั้นปลายที่ดี ฉันต้องได้มาซึ่งพรและประโยชน์ทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสว่าได้รับการจัดเตรียมให้กับมวลมนุษย์ หากฉันไม่สามารถได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นฉันก็จะไม่ทำหน้าที่นี้’ พวกเขามายังพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อทำหน้าที่ของตนด้วยเจตนา ความทะเยอทะยาน และความอยากดังกล่าว ดูเหมือนว่าพวกเขามีความจริงใจอยู่บ้างจริงๆ และแน่นอนว่าสำหรับบรรดาผู้ที่เป็นผู้เชื่อใหม่ และกำลังเริ่มทำหน้าที่ของตน นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นความกระตือรือร้นได้ด้วยเช่นกัน แต่ไม่มีความเชื่อหรือความจงรักภักดีที่ถ่องแท้ในการนี้ มีเพียงแค่ความกระตือรือร้นในระดับนั้นเท่านั้น นี่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นความจริงใจ เมื่อพิจารณาจากท่าทีนี้ที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อการทำหน้าที่ของตนแล้ว นี่เป็นการแลกเปลี่ยนทั้งสิ้นและเต็มไปด้วยความอยากได้ประโยชน์ของตน เช่น การได้รับพร การเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ การได้มาซึ่งมงกุฎ และการได้บำเหน็จ” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่เจ็ด)) ผ่านการเปิดเผยของพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่าตัวเองก็ไม่ต่างจากพวกศัตรูของพระคริสต์ ที่เชื่อและทำหน้าที่ของตัวเองเพียงเพื่อให้ได้รับพระพรและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าเท่านั้น ก่อนจะมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเอาแต่ใช้ชีวิตอยู่กับน้ำพิษของซาตานอย่าง “ทุกคนทำเพื่อตัวเองและปีศาจคือผู้ที่รั้งท้าย” “อย่ากระดิกแม้แต่นิ้วเดียวหากไม่ได้รางวัล” ฉันคิดว่าการคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองเป็นสิ่งถูกต้องเหมาะสม ตราบใดที่มีบางสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อฉัน ฉันก็จะทำไม่ว่าต้องทนทุกข์มากแค่ไหนหรือต้องจ่ายราคาอะไรก็ตาม หลังจากยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายแล้ว ฉันได้ยินมาว่าฉันสามารถได้รับชีวิตนิรันดร์และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าฉันสละตนเพื่อพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉัน เมื่อเห็นว่าพระพรอันยิ่งใหญ่นี้ไม่อาจซื้อได้ด้วยเงินหรือของมีค่า ฉันจึงละทิ้งครอบครัว ลาออกจากงาน และเริ่มติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉัน ตอนที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายให้ฉันทำหน้าที่ให้น้ำ ฉันคิดกับตัวเองว่า ในหน้าที่ให้น้ำ ฉันสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้มากมาย และมีโอกาสที่จะสามัคคีธรรมความจริงอยู่เยอะมาก ทั้งหมดนี้จะทำให้ฉันมีโอกาสดีที่จะได้รับความจริงและบรรลุความรอด ฉันก็เลยมีกำลังใจที่จะทำหน้าที่ให้ดี โดยหวังว่าจะบรรลุความรอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ฉันมีท่าทีต่อหน้าที่ในแบบเดียวกันกับศัตรูของพระคริสต์ ฉันทำไปเพียงเพื่อให้ได้รับพระพรและกำลังแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า พระเจ้าต้องทรงขยะแขยงแน่! ฉันมีแรงบันดาลใจในหน้าที่สูงมาก แต่ฉันก็มีสุขภาพไม่ดีและไม่ใช่สาวๆ แล้ว ไม่ใช่แค่ไม่มีพลัง กำลังวังชา หรือความจำอย่างที่คนหนุ่มคนสาวมีเท่านั้น แต่ฉันถึงกับต้องให้ผู้อื่นช่วยเพื่อทำหน้าที่ของฉัน ถ้าฉันทำหน้าที่ให้น้ำต่อไปก็คงจะทำให้งานช้าลง และจะส่งผลต่อการให้น้ำ หากฉันมีความตระหนักรู้ในตนเองและมีเหตุผล ฉันก็จะปล่อยวางความอยากได้พระพรและหลีกทางให้เหล่าพี่น้องหนุ่มสาว นี่จะเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร แต่สิ่งที่ฉันคิดคือทำยังไงถึงจะได้รับพระพร ฉันกำลังใช้หน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบให้เพื่อสนองความอยากได้พระพรของตัวเอง พอไม่เห็นความหวังที่จะได้รับพระพรจากหน้าที่ใหม่แล้ว ฉันก็นบนอบไม่ได้ เข้าใจพระเจ้าผิดและถึงกับกล่าวโทษพระองค์ ฉันจะได้รับการคำนึงถึงว่าเป็นคนหนึ่งที่นบนอบและเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ยังไง? ฉันถูกฝังลึกด้วยพิษของซาตานที่ว่า “ทุกคนทำเพื่อตัวเองและปีศาจคือผู้ที่รั้งท้าย” ไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ใด ฉันก็จะคำนึงว่าฉันจะได้ประโยชน์หรือพระพรอันใดจากเรื่องนั้น เอาผลประโยชน์ของตัวเองมาก่อนความจริง ฉันไม่ได้คำนึงถึงงานของคริสตจักรเลย คิดแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเลือกฉัน ได้ชื่นชมยินดีกับการให้น้ำและการเกื้อหนุนจากพระวจนะของพระองค์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาในฐานะผู้เชื่อ ได้เข้าใจความจริงบางอย่าง และสามารถทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ ทั้งหมดนี้เป็นพระคุณอันใหญ่หลวงของพระเจ้า แต่ฉันกลับไม่ขอบพระคุณพระเจ้า หรือคิดหาหนทางที่จะตอบแทนความรักของพระองค์ ถ้ามีอะไรไม่เป็นไปตามหนทางของฉัน ฉันก็จะเข้าใจผิดและกล่าวโทษพระเจ้า ฉันทำตัวไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย! ขอบคุณพระเจ้าที่เปิดโปงฉันได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้น ถ้าฉันยังคงมีท่าทีแลกเปลี่ยนต่อหน้าที่ของฉันอยู่แบบนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับความจริงและไม่บรรลุความรอดเท่านั้น แต่พระเจ้าจะทรงดูหมิ่นและกำจัดฉันออกไปด้วย เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกเสียใจและตำหนิตัวเอง ก็เลยอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ติดตามพระองค์มาก็หลายปีแล้ว แต่ไม่ได้นบนอบต่อพระองค์เลยแม้แต่น้อย และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ผิดไป ข้าพระองค์ทำหน้าที่ที่ควรทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเพื่อเป็นสิ่งต่อรองไว้แลกกับพระพร พระองค์ต้องดูหมิ่นการกระทำนี้มากแน่! ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์พร้อมที่จะกลับใจต่อพระองค์ โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ด้วยเถิด”
ในระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันบังเอิญเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ให้เส้นทางปฏิบัติแก่ฉัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ยามที่มีชีวิตอยู่นั้น คนสูงอายุควรพากเพียรให้มากยิ่งขึ้นอีกในการไล่ตามเสาะหาความจริง ไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิต และทำงานร่วมกับพี่น้องชายหญิงอย่างกลมเกลียวเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน ด้วยวิธีนี้เท่านั้น วุฒิภาวะของพวกเขาจึงจะสามารถเติบโตได้ ผู้สูงอายุต้องไม่ทึกทักเป็นอันขาดว่าตนนั้นอาวุโสกว่าผู้อื่นและอวดอ้างความแก่เฒ่าของตน คนหนุ่มสาวสามารถเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามสารพัดชนิดของตนออกมาได้ เจ้าก็เช่นกัน คนหนุ่มสาวสามารถทำเรื่องโง่เขลาสารพัดอย่างได้ เจ้าก็ทำได้ คนหนุ่มสาวมีมโนคติที่หลงผิด คนสูงอายุก็มีเช่นกัน คนหนุ่มสาวเป็นกบฏได้ คนสูงอายุก็เป็นได้ คนหนุ่มสาวเผยอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ได้ คนสูงอายุก็ทำได้ คนหนุ่มสาวมีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีอันคึกคะนอง คนสูงอายุก็มี ไม่ได้แตกต่างกันแม้แต่น้อย คนหนุ่มสาวสามารถก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนและถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรได้ คนสูงอายุก็ด้วย เพราะฉะนั้น นอกจากจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีอย่างสุดความสามารถแล้ว พวกเขายังสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย มีสิ่งต่างๆ มากมายที่เจ้าควรทำ เว้นแต่เจ้าจะโง่ วิกลจริต ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ และเว้นแต่เจ้าจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เจ้าสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นเดียวกับคนหนุ่มสาวไม่มีผิด สามารถแสวงหาความจริง และควรมาเบื้องหน้าพระเจ้าบ่อยๆ เพื่ออธิษฐาน แสวงหาหลักธรรมความจริง พากเพียรที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการโดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า นี่คือเส้นทางที่เจ้าควรเดิน และเจ้าก็ไม่ควรรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย หรือวิตกกังวลเพราะว่าเจ้าอายุมาก เพราะเจ้าเป็นหลายโรค หรือเพราะร่างกายของเจ้าแก่ตัวลง การรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลไม่ใช่เรื่องพึงทำ—ภาวะอารมณ์เหล่านี้เป็นลักษณะที่สำแดงออกมาอย่างไม่มีเหตุผล” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ว่า ไม่ว่าคริสตจักรจะมอบหมายให้ฉันทำหน้าที่อะไรก็ตาม นั่นเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่ให้ฉันแสวงหาความจริงผ่านหน้าที่ของตน ใช้ความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน จัดการกับกิจธุระในหน้าที่ของฉันตามหลักธรรม และก้าวไปสู่เส้นทางแห่งความรอดในที่สุด ตอนนี้นอกจากจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ในหน้าที่แล้ว ทุกครั้งที่ทำได้ ฉันก็จะคิดทบทวนถึงการแสดงออกถึงความเสื่อมทรามต่างๆ และเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ เวลาได้เจอกับพี่น้อง เราก็หารือกันว่าผู้มาใหม่มีมโนคติอันหลงผิดอะไรบ้าง แล้วฉันก็สามัคคีธรรมเท่าที่ฉันเข้าใจ ฉันรู้สึกสงบและสบายใจมากที่ได้ปฏิบัติในหนทางนี้
สิ่งที่ได้รับมากที่สุดจากประสบการณ์นี้คือพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรม พระเจ้าทรงประเมินสรรพสิ่งด้วยความจริง พระองค์ไม่สนว่าคุณอายุเท่าไรหรือทำหน้าที่อะไร พระองค์สนใจเพียงแต่ว่าคุณได้เดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ตราบใดที่คุณแสวงหาความจริงและเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง คุณก็มีโอกาสที่จะบรรลุความรอด พระเจ้าไม่ได้ทรงไม่ชอบใจคนสูงอายุแม้แต่น้อย เมื่อไรก็ตามที่ฉันนึกย้อนกลับไปว่าฉันเข้าใจพระเจ้าผิดยังไงบ้าง ฉันก็รู้สึกเป็นหนี้พระองค์อย่างมาก แล้วน้ำตาก็รื้นขอบตา ในวัยนี้ฉันยังมีโอกาสได้ต้อนรับพระผู้สร้าง และโชคดีพอที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ได้รับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระองค์ และได้สละตนเพื่อพระองค์ในหน้าที่ของฉัน ช่างเป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่จริงๆ! ไม่ว่าฉันจะได้รับพระพรหรือไม่ก็ตาม หรือจุดจบของฉันจะเป็นยังไง ฉันก็จะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแข็งขัน และทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ในหน้าที่เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า