80. เรื่องราวของฉันในการทำงานกับผู้เชื่อใหม่

ในเดือนเมษายน ปี 2020 ฉันได้รับเลือกให้รับใช้ในฐานะมัคนายกคริสตจักร ตอนแรกฉันค่อนข้างประหม่า และกังวลว่าจะทำผลงานได้ไม่ดี แต่เป็นเพราะพี่น้องช่วยเหลือและสนับสนุน ฉันค่อยๆ เข้าใจหลักธรรมบางประการและสามารถทำงานได้บ้าง ต่อมา ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักรและดูแลงานมากขึ้นอีก บางครั้งผู้นำระดับสูงของฉันก็ชื่นชมฉันเต็มที่ อย่างเช่น เขาบอกว่าเวลามอบหมายงานให้ฉันแล้วไม่ต้องมากังวล ขณะที่มอบหมายงานเดียวกันให้คนอื่นแล้วต้องมาดูแล นี่ทำให้ฉันคิดว่าฉันทำได้ดีทีเดียว ต่อมา พี่น้องชายชื่อคริสโตเฟอร์ที่ฉันเคยให้น้ำ ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร คริสโตเฟอร์มีขีดความสามารถแค่ระดับกลางๆ แต่เขาชอบเผยแผ่ข่าวประเสริฐและได้ผลลัพธ์ที่ดี ฉันดีใจที่เขาได้รับเลือก เพราะนั่นสะท้อนถึงความช่ำชองของฉันเอง เพราะฉันได้ให้น้ำและฝึกฝนเขา

ในเดือนมิถุนายน ปี 2022 ฉันไปหมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อตรวจสอบงานข่าวประเสริฐ คริสโตเฟอร์ไม่สามารถเข้าร่วมด้วยตนเองได้เนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัย เขาเลยร่วมมือกับฉันทางออนไลน์ เขาจะถามฉันถึงสถานการณ์ของฉันในหมู่บ้าน และนั่นจะช่วยให้เราระบุปัญหาและแก้ไขได้ทันเวลา แต่ตอนนั้น ฉันคิดว่าเพราะเขาเพิ่งมาเชื่อไม่นาน และเพิ่งมาเป็นผู้นำ เขาจึงไร้ความสามารถที่จะทำงาน ฉันเป็นผู้นำมาสองปีแล้ว และเข้าใจหลักธรรมบางประการแล้ว ยิ่งกว่านั้น ฉันเป็นคนให้น้ำคริสโตเฟอร์เอง ฉันเลยไม่อยากเป็นคู่ทำงานกับเขา และไม่อยากให้เขามีส่วนร่วมในงานที่ฉันดูแล วันหนึ่งคริสโตเฟอร์ส่งข้อความถึงฉันว่า “ต่อจากนี้คุณมีแผนสำหรับหมู่บ้านนี้ยังไง? พอคุณมีเวลาแล้วมาคุยกันนะ” เมื่อเห็นข้อความนั้น ฉันรู้สึกต่อต้านเล็กน้อย “เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันก็ถามถึงความคืบหน้าในการทำงานของฉันแล้วเหรอ? งานไม่ได้เดินเร็วขนาดนั้นนะ ถึงยังไง นี่ก็ไม่ใช่โครงการเดียวของฉันสักหน่อย” ฉันไม่อยากหารือเรื่องนี้กับเขาต่อ ฉันเลยตอบไปแค่ว่า “ฉันเพิ่งมา ยังไม่ได้เริ่มวางแผนเลย” เขาตอบว่า “ถ้างั้นคุณควรเริ่มวางแผนโดยเร็วที่สุดนะ” พอเห็นข้อความของเขา ฉันก็คิดว่า “โครงการนี้จะสำเร็จได้จริงเหรอ ถ้าฉันปล่อยให้ คนที่มีขีดความสามารถน้อยกว่า และมีประสบการณ์น้อยกว่า มาเป็นคู่ทำงานกับฉัน” ฉันไม่พอใจกับทั้งหมดนี้เลย หลังจากนั้น เมื่อคริสโตเฟอร์เข้ามาถามความคืบหน้าในการทำงานของฉัน ฉันอยากจะเมินไปซะเฉยๆ ฉันแทบไม่ได้คุยเรื่องงานกับเขาเลย รู้สึกว่าคุยไปก็เปล่าประโยชน์ สุดท้ายก็ต้องทำเองทั้งหมดอยู่ดี ฉันเลยจัดการงานทั้งหมดในหมู่บ้านเอง ครั้งหนึ่ง คริสโตเฟอร์ส่งข้อความมาหาฉันว่า “มีผู้มาใหม่สองสามคนในหมู่บ้านใกล้เคียงที่ไม่เผยแผ่ข่าวประเสริฐเพราะกลัวถูกจับกุม พวกเขาเคยมีแรงจูงใจสูง แต่ช่วงนี้พวกเขาหยุดเข้าร่วมการชุมนุมแล้ว คุณช่วยไปเกื้อหนุนพวกเขาหน่อยได้ไหม?” พอฉันเห็นข้อความของเขา ฉันก็คิดว่า “ฉันไม่ต้องให้คุณมาบอกฉัน แน่นอนว่าพวกเขาต้องการการเกื้อหนุนจากฉัน แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลา หมู่บ้านนั้นก็ค่อนข้างไกลด้วย ไม่ใช่นึกจะไปก็ไปได้เลยนะ สุดท้ายแล้ว ฉันต่างหากที่ต้องไปที่นั่น ไม่ใช่คุณ ยังไงคุณก็ไม่ทำอะไรเลยจริงๆ อยู่แล้ว เพราะงั้นหารือกับคุณไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันมีความคิดและแผนของตัวเองสำหรับโครงการเหล่านี้ และฉันจะดำเนินการตามกำหนดการของฉันเอง ฉันไม่ต้องการคำแนะนำและการประเมินจากคุณ” ฉันเลยตอบไปว่า “ฉันยังไม่มีเวลาไป ผู้มาใหม่ทำงานตอนกลางวัน ตารางงานยังไม่ลงตัว” คริสโตเฟอร์ตอบกลับบรรทัดเดียวว่า “อ๋อ งั้นก็โอเค” ตอนนั้นฉันรู้สึกว่า เขารู้สึกว่าฉันตีกรอบเขา กับคนอื่น เขาคงจะสอบถามรายละเอียดงานเพิ่มเติม แต่หลังจากที่ฉันตอบ เขาไม่กล้าทำแบบนั้น หลังจากนั้น ฉันหยุดคุยเรื่องงานกับคริสโตเฟอร์ไปดื้อๆ และเวลาที่เขาพยายามจัดตารางการประชุมกับฉัน ฉันก็มักจะบอกว่า “ฉันยุ่งกับงานอื่น ไว้ฉันมีเวลาแล้วค่อยประชุมกันทีหลัง” ถึงมีเวลาว่าง ฉันก็ไม่ติดต่อเขา และฉันก็แค่ไปทำงานอื่น ทีละน้อย พี่น้องในสามทีมที่ฉันดูแล ไม่สามารถทำงานร่วมกันอย่างกลมเกลียว พวกเขาต่างคนต่างทำงานและไม่ค่อยหารือกัน บรรยากาศระหว่างที่เราชุมนุมกันไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าคริสตจักรอื่นๆ ผลของงานข่าวประเสริฐของเราก็ไม่ดี ตอนนั้นฉันมีความตระหนักรู้ตนเองงว่าเป็นเพราะฉันไม่ได้ร่วมงานกับคริสโตเฟอร์ และพระเจ้ากำลังเตือนฉันผ่านสถานการณ์นี้ แต่ฉันกลับหาข้อแก้ตัว ฉันไม่ได้เลี่ยงการร่วมงานกับเขา ฉันแค่มีงานอื่นที่ต้องทำ และไม่มีเวลาคุยกับเขามากนัก หลังจากนั้นฉันก็ทำงานของตัวเองต่อไป ครั้งหนึ่ง คริสโตเฟอร์ชวนให้ฉันไปพบผู้ดูแลของทั้งสามทีม เพื่อสรุปและหารือเกี่ยวกับปัญหาที่เราเผชิญในการปฏิบัติหน้าที่ คริสโตเฟอร์อ้างอิงถึงพระวจนะของพระเจ้าว่า “พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่าเมื่อเราพบกับความชะงักงันในการทำหน้าที่ เราควรหยุดเพื่อสรุปปัญหาต่างๆ และระบุความเบี่ยงเบนต่างๆ ปัจจุบันเราไม่ได้ร่วมงานกันอย่างกลมเกลียว ทุกคนทำงานกันเอง ใจเราไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเราไม่ได้สนับสนุนพี่น้องอย่างแท้จริง ส่งผลให้การงานของเราหยุดชะงักลง จากนี้ไป เราควรสื่อสารและหารือกันมากขึ้น และทำงานร่วมกันเพื่อให้งานออกมาดี” เขากับคนอื่นๆ ก็ร่วมสามัคคีธรรมด้วยวิธีปฏิบัติที่ดีซึ่งคริสตจักรอื่นๆ นำมาใช้ แต่ฉันไม่รู้สึกอยากฟัง แล้วฉันก็ปฏิบัติต่อไปในแบบของตัวเอง ผลคือ งานที่ฉันดูแลไม่ได้ผลลัพธ์ใดเลยตลอดสามเดือนเต็ม ต่อมา มีเจ้าหน้าที่ห้าคนจากหมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่มาถามฉัน พยายามค้นดูโทรศัพท์ของฉัน และเตือนฉันว่า ถ้าพวกเขาจับได้ว่าฉันกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐในหมู่บ้าน พวกเขาจะส่งฉันไปที่การปกครองส่วนท้องถิ่น และปล่อยให้พวกเขาจัดการกับฉัน ฉันตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้? สองสามเดือนมานี้ ผลลัพธ์การทำงานของฉันไม่ดีเลย และไม่ค่อยได้หารือเรื่องงานกับคริสโตเฟอร์ พระเจ้ากำลังใช้สถานการณ์นี้เพื่อเตือนให้ฉันเรียนรู้จากความล้มเหลวเหล่านี้งั้นเหรอ? ถ้าฉันไม่ทบทวนและแก้ไขปัญหาของตัวเอง ฉันอาจจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่นี้อีกต่อไป”

เมื่อปลายเดือนสิงหาคมวันหนึ่ง ฉันประชุมออนไลน์กับเพื่อนร่วมงานสองสามคนเพื่อหารือว่าฉันควรออกจากหมู่บ้านนั้นหรือไม่ หัวหน้าทีมคนหนึ่งถามฉันว่า “ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา คุณไม่มีผลลัพธ์เลยในหมู่บ้านนั้น คุณคิดว่าทำไมเป็นอย่างนั้น?” ฉันตอบว่าฉันไม่แน่ใจ หัวหน้าทีมคนนั้นเลยบอกว่า “ไม่ใช่ว่าคุณควรทบทวนเรื่องนี้สักหน่อยเหรอ? พี่น้องต่างบอกว่าคุณทำตัวตามอำเภอใจและไม่ร่วมมือกับผู้อื่น คุณไม่ว่างเวลาพวกเขาอยากพบคุณเพื่อหารือเรื่องงาน เราให้คุณไปที่หมู่บ้านนี้เพื่อกระตุ้นพี่น้องและส่งเสริมงานข่าวประเสริฐ แต่คุณไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ” หัวหน้าทีมอีกคนบอกว่า “ถ้าคุณยังไม่ได้ทำสิ่งที่คุณได้รับมอบหมายให้เสร็จ คุณควรกลับมา!” ฉันรู้สึกได้ว่าหน้าแดง แต่ละคำของพวกเขาเสียดแทงใจฉัน ณ ตอนนั้น ฉันอยากแทรกแผ่นดินหนี ฉันรู้สึกว่ามันผิดมาก ฉันไม่ได้ไม่ให้ความร่วมมือเลย และไม่ใช่ความผิดฉันคนเดียวที่เราไม่ได้ผลลัพธ์ รัฐบาลข่มเหงเราอย่างหนัก และฉันก็รับผิดชอบโครงการอื่นด้วย พวกเขาพูดได้ยังไงว่าฉันไม่ได้ทำสิ่งที่ฉันควรทำ? หัวหน้าทีมคนนั้นถามว่าฉันมีความคิดอะไรไหม แต่ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เลยได้แต่ตอบไปว่า “งั้นฉันจะกลับ” แล้วฉันก็รีบวางสายไป หลังจากวางสาย ฉันก็ทรุดลงบนเตียงและร้องไห้ออกมา คำพูดของหัวหน้าทีมคนนั้นก้องอยู่ในใจฉัน “ยังทำอะไรอยู่ที่นั่นอีก ถ้ายังไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ” กับ “ถ้าคุณยังไม่ได้ทำสิ่งที่คุณได้รับมอบหมายให้เสร็จ คุณควรกลับมา!” ยิ่งคิด ฉันยิ่งเริ่มคิดลบ ช่วงสองสามวันต่อจากนี้ ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าต่อเนื่อง และผู้นำของฉันก็ร่วมสามัคคีธรรมและช่วยเกื้อหนุนฉัน นี่ทำให้ฉันสงบจิตสงบใจและคิดทบทวนเรื่องสภาวะของตัวเองในช่วงนั้น ฉันคิดว่า “ช่วงนี้ฉันทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ฉันดูถูกคริสโตเฟอร์และไม่ยอมหารือเรื่องงานกับเขา เวลาเขาพยายามคุยกับฉันเรื่องงาน ฉันมักจะบอกว่าฉันไม่ว่าง จริงๆ แล้วฉันแค่ไม่อยากให้เขามีส่วนร่วมในงานของฉัน เห็นได้ชัดว่าฉันจมอยู่ในอุปนิสัยเสื่อมทรามและทำให้งานล่าช้า แต่เมื่อถูกตัดแต่ง ฉันก็เถียงกลับ และไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อย” ฉันนึกถึงที่พี่น้องบอกว่าฉันทำหน้าที่ตามอำเภอใจและไม่คุยงานกับผู้อื่น นี่เป็นปัญหาร้ายแรงมาก ฉันจึงหาอ่านพระวจนะบทตอนที่เกี่ยวข้อง  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ภายนอกนั้น อาจดูเหมือนว่าศัตรูของพระคริสต์บางคนมีผู้ช่วยหรือหุ้นส่วน แต่ข้อเท็จจริงก็คือเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้น ไม่สำคัญว่าผู้อื่นจะถูกต้องเพียงใด ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เคยรับฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูดเลย  พวกเขาไม่แม้แต่จะพิจารณาสิ่งนั้นเลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการเสวนาถึงสิ่งนั้นหรือสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งนั้น  พวกเขาไม่ให้ความสนใจแม้แต่น้อย ราวกับว่าผู้อื่นไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกด้วย  เมื่อศัตรูของพระคริสต์รับฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูด พวกเขาก็แค่ทำอย่างขอไปทีหรือแสดงละครให้ผู้อื่นเห็น  แต่ในท้ายที่สุดแล้วเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจขั้นสุดท้าย เป็นศัตรูของพระคริสต์นั่นเองที่เป็นผู้ชี้ขาด กล่าวคือ คำพูดของผู้อื่นคือลมปากที่สูญเปล่าและไม่สำคัญแม้แต่น้อย  ตัวอย่างเช่น เมื่อคนสองคนรับผิดชอบบางสิ่ง และหนึ่งในสองคนนี้มีแก่นแท้ของศัตรูพระคริสต์ สิ่งที่แสดงออกมาให้เห็นในตัวคนคนนี้คืออะไร?  ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขาและมีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นคนริเริ่มเขี่ยบอล เป็นคนตั้งคำถาม เป็นคนจัดแจงสิ่งทั้งหลาย และเป็นคนคิดหาทางออก  และโดยมากแล้ว เขาย่อมกีดกันคู่ทำงานของตนให้ไม่รู้อะไรโดยสิ้นเชิง  คู่ทำงานคืออะไรในสายตาของเขา?  ไม่ใช่ผู้ช่วยของตน แต่เป็นแค่ของตกแต่งให้ตนดูดี  ในสายตาของศัตรูพระคริสต์ คู่ทำงานของพวกเขาไม่มีอยู่จริง  เมื่อใดก็ตามที่มีปัญหา ศัตรูของพระคริสต์ย่อมคิดจนจบกระบวนการ และทันทีที่พวกเขาตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรแล้ว พวกเขาก็แจ้งทุกคนว่าจะต้องทำเช่นนี้ และไม่เปิดโอกาสให้ใครตั้งคำถาม  แก่นแท้ของการที่พวกเขาร่วมมือกับผู้อื่นคืออะไร?  โดยพื้นฐานแล้วก็คือการตัดสินชี้ขาด ไม่เคยหารือปัญหากับใครอื่น รับผิดชอบงานแต่เพียงผู้เดียว และทำให้คู่ทำงานกลายเป็นของตกแต่งให้ตัวเองดูดี  พวกเขาลงมือคนเดียวเสมอและไม่เคยร่วมมือกับใคร  พวกเขาไม่เคยหารือหรือสื่อสารเรื่องงานกับใครอื่น มักจะตัดสินใจตามลำพังและจัดการปัญหาเพียงคนเดียว และในหลายๆ เรื่อง ผู้อื่นมาพบว่าสิ่งต่างๆ เสร็จสิ้นหรือได้รับการจัดการไปแล้วอย่างไรก็หลังจากที่การกระทำนั้นเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น  ผู้คนอื่นๆ บอกพวกเขาว่า ‘ปัญหาทั้งหมดจำเป็นต้องมีการหารือกับพวกเรา  คุณรับมือคนคนนั้นตั้งแต่เมื่อใด?  คุณรับมือเขาอย่างไร?  ทำไมพวกเราถึงไม่รู้เรื่อง?’  พวกเขาทั้งไม่ให้คำอธิบายและไม่ให้ความสนใจ สำหรับพวกเขา คู่ทำงานของตนไม่มีประโยชน์อะไรเลย เป็นเพียงเครื่องประดับหรือของตกแต่งให้ตัวเองดูดีเท่านั้น  เมื่อเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ขบคิด ตัดสินใจ และกระทำไปตามที่พวกเขาปรารถนา  ไม่ว่าจะมีผู้คนรอบตัวพวกเขากี่คนก็เหมือนผู้คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ตรงนั้น  สำหรับศัตรูของพระคริสต์ คนเหล่านี้อาจเป็นอากาศธาตุเช่นกัน  เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่พวกเขาจับคู่ทำงานกับผู้อื่นมีแง่มุมใดที่เป็นจริงบ้างหรือไม่?  ไม่เลย พวกเขาเพียงทำอย่างขอไปทีและเล่นไปตามบท  ผู้อื่นถามพวกเขาว่า ‘ทำไมคุณถึงไม่สามัคคีธรรมกับคนอื่นเวลาที่คุณพบเจอปัญหา?’  พวกเขาก็ตอบว่า ‘พวกเขาจะไปรู้อะไร?  ฉันเป็นหัวหน้าทีม มันขึ้นอยู่กับฉันที่จะตัดสินใจ’  ผู้อื่นถามว่า ‘แล้วทำไมคุณถึงไม่สามัคคีธรรมกับคู่ทำงานของคุณ?’  พวกเขาตอบกลับว่า ‘ฉันบอกเขาแล้ว เขาไม่มีความเห็นอะไร’  พวกเขาใช้การที่ผู้อื่นไม่มีความเห็นหรือไม่สามารถคิดด้วยตัวเองได้มาเป็นข้ออ้างเพื่อปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขากำลังทำตัวอยู่เหนือกฎเกณฑ์  และไม่มีการสำรวจตัวเองตามมาแม้แต่น้อย  การที่คนแบบนี้จะยอมรับความจริงจึงย่อมจะเป็นไปไม่ได้  นี่เป็นปัญหาอย่างหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของศัตรูพระคริสต์(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง))  พระเจ้าทรงเปิดโปงวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์กระทำตามอำเภอใจ ไม่ร่วมมือกับผู้อื่น ตัดสินใจเอาเอง เป็นคนชี้ขาดเสมอ ไม่หารือเรื่องงานกับคู่ทำงานของพวกเขา และหลังจากตัดสินใจเอาเองแล้วก็ลงมือทำเลย พวกเขาไม่รับคำแนะนำดีๆ จากผู้อื่น และมักดูถูกผู้อื่นโดยคิดว่าตัวเองมีความคิดที่ยอดเยี่ยม ในสายตาของศัตรูของพระคริสต์ คู่ทำงานเป็นไม่มากไปกว่าเสียงพื้นหลังหรืออุปกรณ์เล็กๆ ประกอบฉากเท่านั้น ฉันตระหนักว่าฉันกำลังทำตัวเหมือนเป็นศัตรูของพระคริสต์ ตั้งแต่เริ่มร่วมงานกับคริสโตเฟอร์ ฉันดูถูกเขาเพราะขีดความสามารถแย่ ทักษะการทำงานด้อยกว่า และประสบการณ์เทียบไม่ได้ ฉันไม่อยากให้เขามีส่วนร่วมในโครงการของฉัน ฉันคิดว่าฉันเป็นผู้นำมานานกว่าเขา เข้าใจมากกว่าเขา และจัดการเตรียมการงานเองได้ ฉันรู้สึกว่าเขาไม่สามารถจัดเตรียมคำแนะนำที่ดีให้ได้ การหารือกับเขาจึงไม่มีความหมาย พอเขาถามถึงแผนงานของฉัน ฉันต่อต้าน และรู้สึกว่าเขาทำตัวเหมือนเป็นผู้ดูแลของฉัน โดยถามถึงความก้าวหน้าของฉันทันที ฉันเลยเพิกเฉยต่อเขา เมื่อพี่น้องไม่กล้าทำหน้าที่เพราะกลัวโดนจับ และคริสโตเฟอร์ถามฉันว่าได้เกื้อหนุนพวกเขาหรือยัง เขาก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ฉันกลับคิดอย่างโอหังว่า “คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมาสั่งฉัน? ทั้งที่เขาแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้” ต่อมา เมื่อเราชุมนุมกันเพื่อสรุปประเด็นต่างๆ พี่น้องบอกแนวทางปฏิบัติบางประการ แต่ฉันไม่นำมาใช้ เป็นเพราะฉันกระทำตามอำเภอใจ ไม่ร่วมมือกับผู้อื่นหรือรับฟังข้อเสนอแนะของพวกเขา ฉันจึงคว้าน้ำเหลวต่อเนื่องในการที่จะได้ผลลัพธ์ในหน้าที่ตัวเอง ฉันปฏิบัติหน้าที่ตามความเชื่อของตัวเองเสมอ ทำทุกอย่างที่คิดว่าถูก ไม่ร่วมมือกับผู้อื่นเลย ส่งผลให้การทำงานล่าช้า ฉันกำลังทำชั่ว! เมื่อคิดทบทวนเรื่องนี้แล้ว ฉันก็ยอมรับการชี้นำและการตัดแต่งของหัวหน้าทีมได้ พฤติกรรมของฉันส่งผลลบต่องานของคริสตจักรไปแล้ว ถ้าพวกเขาไม่ได้ตัดแต่งฉันแบบนั้น ฉันคงไม่คิดทบทวนเรื่องตัวเองหรือตระหนักว่าปัญหาของฉันร้ายแรงขนาดไหน การตัดแต่งเป็นรูปแบบหนึ่งของความรักของพระเจ้า!

หลังจากนั้นฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา ว่าทำไมฉันถึงร่วมมือกับผู้อื่นในหน้าที่ของฉันไม่ได้ และต้องเป็นคนชี้ขาดเสมอ ต่อมา ฉันพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่กล่าวถึงสภาวะของฉันได้ตรงเผง  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เจ้าอาจปฏิบัติหน้าที่ของตนมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่มีความก้าวหน้าในการเข้าสู่ชีวิตของตนให้เห็น เจ้าเพียงแต่เข้าใจคำสอนที่ผิวเผินเพียงเล็กน้อย ไม่รู้จักพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่มีพัฒนาการสำคัญๆ ให้พูดถึง—ถ้านี่คือวุฒิภาวะของพวกเจ้าในวันนี้ พวกเจ้าย่อมมีแนวโน้มที่จะทำสิ่งใด?  พวกเจ้าจะเผยความเสื่อมทรามอะไรออกมา?  (ความโอหังและความทะนงตน)  ความโอหังและความทะนงตนของพวกเจ้าจะรุนแรงขึ้นไหม หรือเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง?  (ย่อมจะรุนแรงขึ้น)  ทำไมถึงจะรุนแรงขึ้น?  (เพราะพวกเราย่อมจะนึกว่าตนเองมีคุณสมบัติสูงส่ง)  แล้วผู้คนใช้หลักอะไรมาตัดสินระดับคุณสมบัติของตนเอง?  ดูว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่บางอย่างมากี่ปีแล้ว มีประสบการณ์มามากเท่าใดแล้วใช่หรือไม่?  และเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าจะไม่ค่อยๆ เริ่มคิดในแง่ของอาวุโสขึ้นมาหรอกหรือ?  ตัวอย่างเช่น พี่น้องชายคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและปฏิบัติหน้าที่มาเป็นเวลานาน เขาจึงเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติมากที่สุดที่จะพูด พี่น้องหญิงคนหนึ่งอยู่ที่นี่มาไม่นาน และแม้ว่าเธอจะมีขีดความสามารถเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติหน้าที่นี้ และเชื่อในพระเจ้ามาไม่นาน ดังนั้นเธอจึงเป็นคนที่มีคุณสมบัติน้อยที่สุดที่จะพูด  คนที่มีคุณสมบัติมากที่สุดที่จะพูด คิดในใจว่า ‘ในเมื่อฉันมีอาวุโส ก็แสดงว่าผลการทำหน้าที่ของฉันได้มาตรฐาน และการไล่ตามเสาะหาของฉันถึงจุดสูงสุดแล้ว ไม่มีอะไรที่ฉันควรพากเพียรหรือเข้าสู่อีกแล้ว  ฉันปฏิบัติหน้าที่นี้มาเป็นอย่างดี ทำให้งานนี้เสร็จสมบูรณ์ไม่มากก็น้อย พระเจ้าควรที่จะพอพระทัย’  และเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงเริ่มลำพองใจ  นี่แสดงว่าพวกเขาเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้วหรือเปล่า?  พวกเขาหยุดสร้างความก้าวหน้า  พวกเขายังคงไม่ได้รับความจริงหรือชีวิต กระนั้นพวกเขาก็คิดว่าตนเองมีคุณสมบัติอันสูงส่ง พูดในแง่ของอาวุโส และเฝ้ารอรางวัลจากพระเจ้า  นี่ไม่ใช่การเผยอุปนิสัยอันโอหังออกมาหรอกหรือ?  ยามที่ผู้คนไม่มี ‘คุณสมบัติอันสูงส่ง’ พวกเขาก็รู้จักระวัง พวกเขาเตือนตัวเองไม่ให้ทำอะไรผิดพลาด พอพวกเขาเชื่อว่าตนเองมีคุณสมบัติอันสูงส่ง พวกเขากลับโอหัง เริ่มสำคัญตนว่าสูงส่ง และมีแนวโน้มที่จะลำพองใจ  ในเวลาเช่นนั้น พวกเขาไม่มีแนวโน้มที่จะร้องขอรางวัลและมงกุฎจากพระเจ้าเช่นเดียวกับเปโตรหรอกหรือ?  (มี)  อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า?  นี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นี่เป็นเพียงความสัมพันธ์เชิงธุรกรรมแลกเปลี่ยน  และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนจึงไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า และพระเจ้าก็น่าจะซ่อนเร้นใบหน้าของพระองค์จากพวกเขา—ซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงด้วยการยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอด)  พระเจ้าเปิดโปงว่าถ้าใครไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแล้วมารู้จักตัวเอง พวกเขาจะคิดว่าพอทำหน้าที่มาระยะหนึ่งแล้ว ตัวเองมีต้นทุนและประสบการณ์ แล้วจะเริ่มถือสิทธิ์ความอาวุโสของตัวเอง ดูถูกผู้อื่น อวดเบ่งด้วยความโอหัง ไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงและร่วมมือกับผู้อื่นในหน้าที่ของตัวเอง กระทำตามอำเภอใจ ทำสิ่งต่างๆ ตามที่ตัวเองต้องการ และเดินบนเส้นทางแห่งการต่อต้านพระเจ้า ตั้งแต่เข้าสู่ความเชื่อ ฉันก็ทำหน้าที่มาตลอด และเป็นผู้นำมาสองปีแล้ว ฉันคิดว่าตัวเองเชื่อมานานแล้ว มีทักษะในการทำงานดี และมีประสบการณ์ทำงานอยู่บ้าง ฉันจึงโอหัง ฉันมีความสุขมากที่ได้ฝึกฝนผู้อื่นและตรวจสอบงานของพวกเขา แต่ฉันไม่พอใจเมื่อคริสโตเฟอร์มาเป็นคู่ทำงานของฉันและเริ่มมีส่วนร่วมในงานของฉัน ฉันคิดอยู่ตลอดว่าฉันเป็นคนให้น้ำและฝึกฝนเขา และขีดความสามารถของเขาด้อยกว่าของฉัน และเขาเพิ่งเริ่มต้นและไม่มีประสบการณ์มากนัก ฉันเลยไม่อยากให้เขามีส่วนร่วมในงานของฉัน พอเขาถามว่าฉันเกื้อหนุนผู้มาใหม่หรือยัง และตารางงานของฉันเป็นยังไงแล้ว ฉันก็ระอาใจและตอบเขาไปส่งๆ ฉันไม่คิดว่าจำเป็นต้องหารือกับเขา และแม้ฉันจะหารือกับเขา เขาก็คงไม่มีข้อเสนอที่คุ้มค่า ฉันทำเองได้โดยไม่มีเขา ฉันคิดอย่างนั้น ฉันเลยไม่ได้หารือหรือร่วมมือกับเขา และตัดสินใจและจัดการเตรียมการส่วนใหญ่ด้วยตัวเอง ฉันเห็นเขาเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบฉาก พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เราเรียนรู้ที่จะร่วมมือกับผู้อื่นในหน้าที่ของเรา นี่เป็นหลักธรรมสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของเรา แต่ฉันเพิกเฉยต่อการเรียกร้องของพระเจ้าและหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้า ฉันคิดมาตลอดว่าฉันทำตามลำพังได้ สามารถทำงานด้วยตัวเอง และไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับใครอีก ฉันคิดว่าฉันจัดการได้ทั้งหมดและไม่ต้องการใครมาดูแลงานของฉัน ฉันช่างโอหังและทะนงตนนัก! นิสัยโอหังของฉันทำให้ฉันไม่ใส่ใจผู้อื่น และไม่มีพื้นที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจ ฉันไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และกำลังเดินบนเส้นทางของการเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า ตอนฉันมาถึงหมู่บ้านครั้งแรก ฉันเต็มไปด้วยความเชื่อ และต้องการทำหน้าที่เพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย ไม่คิดเลยว่าสิ่งต่างๆ จะเป็นอย่างที่เป็นนี้ ฉันโอหังและไม่มีความรู้สึกขนาดนี้ได้ยังไง? ฉันไม่มีความตระหนักเลยแม้แต่น้อยถึงเส้นทางอันผิดพลาดที่ฉันกำลังเดิน ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า แล้วในที่สุดจะถูกพระเจ้าเปิดโปงและกำจัดออกไป หลังจากนั้นชีวิตแห่งความเชื่อของฉันก็จบลง เมื่อตระหนักถึงทั้งหมดนี้แล้ว ฉันรู้สึกกลัวเล็กน้อย แล้วอธิษฐานในใจถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ขัดขวางงานของคริสตจักรแล้ว ตอนนี้ข้าพระองค์ตระหนักถึงอุปนิสัยและความรุนแรงของปัญหาของข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ต้องการกลับใจและไม่อยากต่อต้านพระองค์ด้วยอุปนิสัยเสื่อมทรามของข้าพระองค์”

ฉันยังทบทวนด้วยว่าได้ทำผิดไปกับนิสัยที่ชอบเพ่งเล็งขีดความสามารถ และประสบการณ์การทำงานของผู้คนในการมีปฏิสัมพันธ์ของเรา แง่มุมใดสำคัญที่สุดในหน้าที่ของฉัน? ขณะที่ฉันพยายามดิ้นรนกับคำถามเหล่านี้ ฉันบังเอิญเจอพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าทำสิ่งใด เจ้าไม่ได้กำลังทำงานอยู่ในการประกอบการของเจ้าเอง นั่นเป็นงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า นั่นเป็นพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าต้องจดจำความรู้และการตระหนักรู้นี้ไว้ในจิตใจเป็นนิตย์และพูดว่า ‘นี่ไม่ใช่กิจการของฉันเอง ฉันกำลังทำหน้าที่ของฉันและทำให้ความรับผิดชอบของฉันลุล่วง  ฉันกำลังทำงานของคริสตจักร  นี่คือกิจที่พระเจ้าวางพระทัยมอบหมายให้ฉันและฉันกำลังทำภารกิจนั้นเพื่อพระองค์  นี่คือหน้าที่ของฉัน ไม่ใช่กิจส่วนตัวของฉันเอง’  นี่คือสิ่งแรกที่ผู้คนควรเข้าใจ  หากเจ้าทำเหมือนหน้าที่คือกิจธุระส่วนตัวของเจ้า และไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงเมื่อเจ้าลงมือกระทำการ และทำหน้าที่ตามสิ่งจูงใจ ทรรศนะ และเจตนาซ่อนเร้นของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่แคล้วที่จะทำความผิดพลาด  แล้วเจ้าควรกระทำการอย่างไรหากเจ้าจำแนกความต่างระหว่างหน้าที่ของเจ้าและกิจธุระส่วนตัวของเจ้าได้อย่างชัดเจน และตระหนักว่านี่คือหน้าที่?  (แสวงหาสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ และแสวงหาหลักธรรม)  ถูกต้อง  หากมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าและเจ้าไม่เข้าใจความจริง และเจ้ามีแนวคิดบางอย่างแต่สิ่งทั้งหลายยังคงไม่ชัดเจนสำหรับเจ้า เช่นนั้นเจ้าต้องค้นหาพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริงเพื่อสามัคคีธรรมด้วย นี่คือการแสวงหาความจริง และเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือท่าทีที่เจ้าควรมีต่อหน้าที่ของตน  เจ้าไม่ควรตัดสินสิ่งต่างๆ บนพื้นฐานของสิ่งที่เจ้าคิดว่าถูกต้องเหมาะสม จากนั้นก็ทุบโต๊ะและพูดว่าเอาตามนั้น—นี่ย่อมนำไปสู่ปัญหาได้โดยง่าย… พระเจ้าไม่สนพระทัยว่าในแต่ละวันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า หรือเจ้าทำงานมากเพียงใด เจ้าทุ่มเทพยายามมากแค่ไหน—สิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรคือท่าทีของเจ้าต่อสิ่งเหล่านี้เป็นเช่นไร  แล้วท่าทีที่เจ้ามีในการทำสิ่งเหล่านี้ กับหนทางที่เจ้าทำสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใด?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ อีกทั้งเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าด้วย  พระเจ้าทอดพระเนตรการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรเส้นทางที่เจ้าเดิน  หากเจ้าเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้ามีการเข้าสู่ชีวิต เจ้าจะสามารถร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวกับผู้อื่นในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน และเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่ดีพออย่างง่ายดาย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?)  พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนทีเดียว การทำหน้าที่ของเราในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ได้นำมาซึ่งการทำอะไรเองตามความพอใจตัวเอง โดยไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หน้าที่ของเราเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และหากเรากระทำตามอำเภอใจและไม่ให้ความร่วมมือ เราก็อาจขัดขวางและรบกวนการทำงานได้ ฉันยังเรียนรู้ด้วยว่า พระเจ้าไม่ได้วัดผู้คนโดยอิงจากว่า เชื่อมานานแค่ไหน ทำงานไปมากเท่าไร หรือมีประสบการณ์ในการปฏิบัติหน้าที่มากน้อยเพียงใด แต่ขึ้นอยู่กับท่าทีต่อความจริง การปรับตัวในหน้าที่ของตัวเอง และพวกเขาเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ถ้าไม่แสวงหาความจริง ไม่ยอมรับข้อเสนอแนะที่ดีจากผู้อื่น และต้องเป็นคนชี้ขาดเสมอ ฉันก็จะไม่ได้รับผลลัพท์ที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ ฉันเห็นขีดความสามารถของตัวเอง และการได้เป็นผู้นำมาระยะหนึ่ง และการมีประสบการณ์ของฉันเป็นต้นทุนมาตลอด ฉันคิดว่าด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ฉันจะทำหน้าที่ได้ดี ความจริงแล้ว การมีประสบการณ์และขีดความสามารถนั้น ไม่ได้หมายความว่าฉันมีหลักธรรมความจริง นั่นเป็นเพียงเครื่องมือที่ฉันใช้เพื่อทำหน้าที่ได้ ฉันตระหนักว่าฉันเอาประสบการณ์และขีดความสามารถเป็นหลักธรรมความจริง แล้วคิดว่าตัวเองเข้าใจความจริงและปฏิบัติตามหลักธรรม ฉันโอหังมากขึ้น ดูถูกพี่น้อง และทำทุกอย่างตามความพอใจ ผลคือ หลังจากฉันทำงานมาสามเดือน ก็ไม่ได้เกิดผลใดๆ เลย ฉันตระหนักว่า การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีนั้น ไม่สำคัญว่าเป็นผู้เชื่อมานานแค่ไหน ร่วมสนับสนุนมากเพียงใด หรือมีประสบการณ์มากน้อยเพียงใด สิ่งสำคัญคือการแสวงหาความจริง ปฏิบัติตามหลักธรรม และร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมกลืน

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกสองบทตอน นั่นทำให้ฉันมีเส้นทางที่ชัดเจนมากขึ้นในการร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมกลืน  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ความร่วมมือที่กลมเกลียวเกี่ยวพันกับหลายสิ่งหลายอย่าง  อย่างน้อยที่สุดหนึ่งในหลายสิ่งนี้ก็คือการเปิดโอกาสให้ผู้อื่นพูดและเสนอแนะอะไรที่ต่างออกไป  ถ้าเจ้าเป็นคนที่มีเหตุผลจริง ไม่ว่าเจ้าจะทำงานประเภทใด เจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหาหลักธรรมความจริงเสียก่อน และเจ้าควรริเริ่มแสวงหาข้อคิดเห็นของผู้อื่นด้วย  ตราบใดที่พวกเจ้าจริงจังกับทุกข้อเสนอแนะ แล้วแก้ไขปัญหาด้วยหัวใจและจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียว ในแก่นแท้แล้วเจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์ความร่วมมือที่กลมเกลียว  ด้วยวิธีนี้ เจ้าย่อมจะเผชิญความลำบากยากเย็นในหน้าที่ของตนน้อยลงมาก  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดขึ้นมาก็ย่อมง่ายที่จะแก้ไขและจัดการปัญหาเหล่านั้น  นี่คือผลลัพธ์ของความร่วมมือที่กลมเกลียว  บางครั้งมีความขัดแย้งในเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ แต่ตราบใดที่ความขัดแย้งเหล่านี้ไม่มีผลต่องาน ก็ย่อมจะไม่เป็นปัญหา  อย่างไรก็ตาม ในเรื่องที่สำคัญและเรื่องใหญ่ๆ ที่เกี่ยวพันกับงานของคริสตจักร พวกเจ้าต้องบรรลุฉันทามติและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องเหล่านั้น… เจ้าต้องปล่อยมือจากตำแหน่งผู้นำทั้งหลาย ปล่อยมือจากการทำตัวราวกับเจ้ามีสถานะอันยิ่งใหญ่ ปฏิบัติต่อตนเองเหมือนคนทั่วไป ยืนอยู่ระดับเดียวกับผู้อื่น และมีท่าทีที่รับผิดชอบหน้าที่ของตน  หากตลอดเวลาเจ้าปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าเหมือนเป็นตำแหน่งและสถานะของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเป็นความสำเร็จประเภทหนึ่ง และจินตนาการว่าผู้อื่นอยู่ตรงนั้นเพื่อทำงานและรับใช้ตำแหน่งของเจ้า นี่ย่อมเป็นปัญหา และพระเจ้าก็จะทรงชิงชังและรังเกียจเจ้า  หากเจ้าเชื่อว่าเจ้าทัดเทียมกับผู้อื่น เจ้าเพียงแต่มีพระบัญชาและความรับผิดชอบจากพระเจ้าเพิ่มขึ้นมาบ้างเท่านั้น หากเจ้าสามารถเรียนรู้ที่จะวางตัวเสมอพวกเขา และถึงกับสามารถถ่อมตัวถามว่าผู้อื่นคิดอย่างไร หากเจ้าสามารถรับฟังอย่างจริงจัง ใกล้ชิด และตั้งใจ ว่าพวกเขาพูดอะไร เช่นนั้นแล้วเจ้าจะร่วมมือกับผู้อื่นได้อย่างกลมเกลียว  การร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวนี้จะสัมฤทธิ์ผลอันใดบ้าง?  ผลที่เกิดขึ้นย่อมมีมากมาย  เจ้าจะได้รับสิ่งที่เจ้าไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งก็คือความสว่างของความจริงและความเป็นจริงของชีวิต เจ้าจะค้นพบคุณความดีของผู้อื่นและเรียนรู้จากจุดแข็งของพวกเขา  ยังมีอย่างอื่นอีกก็คือ เจ้าคิดเห็นว่าคนอื่นนั้นโง่เขลา ไม่ฉลาด เบาปัญญา ด้อยกว่าเจ้า แต่พอเจ้าฟังความคิดเห็นของพวกเขา หรือเมื่อผู้อื่นเปิดใจกับเจ้า เจ้าก็จะค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจว่าไม่มีใครธรรมดามากอย่างที่เจ้าคิด ทุกคนสามารถเสนอความคิดอ่านและแนวคิดที่ต่างออกไป และทุกคนมีคุณความดีเป็นของตนเอง  ถ้าเจ้าเรียนรู้ที่จะให้ความร่วมมือด้วยความสมัครสมาน นอกจากจะช่วยเจ้าเรียนรู้จากจุดแข็งของผู้อื่นแล้ว นี่ยังสามารถเผยให้เห็นความโอหังและความคิดว่าตนเองถูกเสมอและหยุดเจ้าจากการคิดไปว่าตนเองชาญฉลาดได้  เมื่อเจ้าไม่คิดอีกต่อไปว่าตนเองฉลาดกว่าและเก่งกว่าทุกคน เจ้าก็จะเลิกใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะหลงตัวเองและมัวซาบซึ้งในคุณค่าของตนเอง  และนั่นก็จะปกป้องเจ้ามิใช่หรือ?  เช่นนั้นคือบทเรียนที่เจ้าควรเรียนรู้และเป็นผลดีที่เจ้าควรได้รับจากการร่วมมือกับผู้อื่น(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง))  “เจ้าคิดว่ามีคนที่เพียบพร้อมกระนั้นหรือ?  ไม่สำคัญว่าผู้คนจะแข็งแรงเพียงใด หรือมีศักยภาพและมีความสามารถเพียงใด พวกเขายังคงไม่เพียบพร้อม  ผู้คนต้องระลึกถึงการนี้ นี่คือข้อเท็จจริง  และนี่คือท่าทีที่ผู้คนควรมีเพื่อที่จะเข้าหาข้อดี รวมถึงจุดแข็งหรือความผิดของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง นี่คือความมีเหตุผลที่ผู้คนควรจะครองไว้  ด้วยความมีเหตุผลเช่นนี้ เจ้าจะสามารถรับมือกับจุดแข็งและจุดอ่อนของเจ้าเอง ตลอดจนจุดแข็งและจุดอ่อนเหล่านั้นของผู้อื่นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และนี่จะทำให้เจ้าสามารถทำงานเคียงข้างกับพวกเขาได้อย่างปรองดอง  หากเจ้าเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริงและสามารถเข้าสู่แง่มุมนี้ของความเป็นจริงความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถเข้ากันได้อย่างปรองดองกับบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า โดยดึงจุดแข็งของพวกเขามาชดเชยจุดอ่อนใดๆ ที่เจ้ามี  ในหนทางนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใด หรือเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าจะทำสิ่งนั้นได้ดีขึ้นและมีพระพรของพระเจ้าเสมอ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันตระหนักว่า ในการเป็นคู่ร่วมงาน เราควรยึนในระดับเดียวกับคนอื่นๆ และเรียนรู้ที่จะตั้งใจฟังพวกเขา และกระตือรือร้นถามในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ การปฏิบัติในแบบนี้ เราจะค้นพบจุดแข็งของพี่น้อง และด้านที่พวกเขาเชี่ยวชาญกว่าเรา แล้วเราจะไม่ดูถูกพวกเขา และจะหยุดการพอใจในตัวเองและกระทำตามอำเภอใจ เราควรเข้าใจตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้นและหยุดถือตนให้สูง เราต้องเรียนรู้ที่จะระบุจุดแข็งของผู้อื่นและมีท่าทีที่ถูกต้องต่อจุดอ่อนของพวกเขา เมื่อมองย้อนกลับไป ถึงจะรับหน้าที่เป็นผู้นำมาสองปีแล้ว แต่ฉันก็ไม่มีพรสวรรค์ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และต้องการความช่วยเหลือเวลาตรวจสอบงานข่าวประเสริฐ สำหรับคริสโตเฟอร์ เขาเข้าสู่ความเชื่อมาไม่นาน แต่เขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐมาตลอด ได้รับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม และเปลี่ยนความเชื่อผู้คนมากมาย เขามีประสบการณ์มากกว่าในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ฉันจึงควรขอความช่วยเหลือจากเขาอย่างจริงจัง นอกจากนี้ คริสโตเฟอร์ยังรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองอย่างมาก แบกภาระในงานของเขา พยายามติดต่อฉันเพื่อสรุปงานของเรา และจะนำแนวปฏิบัติที่ดีจากคริสตจักรอื่นมาใช้ นี่คือจุดแข็งทั้งหมดที่ฉันเรียนรู้จากเขาได้ ฉันเคยโอหังเกินไปและตระหนักถึงจุดแข็งของคริสโตเฟอร์ไม่ได้ ถึงกับดูถูกเขาด้วยซ้ำ ฉันไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของเขาและไม่ให้เขามีส่วนร่วมในงานของฉัน ฉันไม่ได้ดีอะไรแต่ก็มั่นใจในตัวเองเหลือเกิน ช่างน่าอายจริงๆ ฉันไม่มีความตระหนักรู้ในตนเองเลยแม้แต่น้อย ถ้าก่อนหน้านี้ฉันร่วมมือกับคริสโตเฟอร์ได้ดี งานก็คงไม่ล่าช้า คิดย้อนกลับไปแล้วก็รู้สึกเสียใจมาก การกระทำผิดในอดีตของฉันนั้นไม่อาจแก้ไขได้ แต่ต่อไปฉันก็เต็มใจทำหน้าที่ให้ดี ฉันจะหารือและสื่อสารกับผู้อื่นเมื่อเจอปัญหา จัดลำดับความสำคัญของผลประโยชน์ของคริสตจักร เรียนรู้ที่จะร่วมมือกับผู้อื่น และเลิกเดินไปตามเส้นทางเก่า

ต่อมา ฉันออกจากหมู่บ้าน ฉันได้รับมอบหมายโครงการต่างๆ และได้รับคู่ทำงานใหม่ ครั้งนี้ฉันคู่กับพี่น้องหญิงมีนา ฉันมีความสุขที่ได้ร่วมมือกับเธออย่างกลมกลืนเพื่อให้หน้าที่ของเราลุล่วงไปด้วยดี ต่อมา ฉันค่อยๆ เริ่มเห็นว่า ถึงมีนาจะอายุมากกว่าฉัน แต่เธอก็ไม่ได้เข้าสู่ความเชื่อหรือทำหน้าที่ของเธอนานเท่าฉัน ส่วนวิธีการดูแลและตรวจงาน เธอยังขาดอยู่ บางครั้งฉันก็ได้ยินพี่น้องพูดถึงปัญหาบางอย่างของเธอด้วย นิสัยโอหังของฉันเริ่มปรากฏอีกครั้ง ฉันเริ่มคิดว่าฉันมีบทบาทสำคัญในงานของเราและพี่น้องหญิงมีนาแค่อยู่เพื่อปฏิบัติ ครั้งหนึ่ง เมื่อเราต้องเขียนข้อเสนองาน ผู้นำของเราบอกเจาะจงว่าเราควรหารือเรื่องงานร่วมกัน แต่ฉันคิดกับตัวเองว่า “นี่ไม่ใช่งานยาก ฉันจัดการเองได้ง่ายๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำกันทั้งคู่ ไม่ใช่ว่าฉันทำเองไม่ได้ซะหน่อย” หลังชุมนุมเสร็จ ฉันอยากไปทำงานต่อด้วยตัวเอง แต่มีนาโทรหาฉันทันที และฉันรู้ว่าเธออยากหารือ ฉันไม่รู้สึกอยากหารือเลยจริงๆ จึงไม่ได้รับสาย หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ฉันคิดถึงว่าความโอหังและไม่เต็มใจร่วมงานกับคริสโตเฟอร์ได้ขัดขวางการทำงานก่อนหน้านี้ยังไง ถ้าฉันทำแบบนั้นต่อไป ก็คงส่งผลต่องานของเราแน่นอน ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า มีนาพยายามติดต่อข้าพระองค์เพื่อหารือเรื่องงาน แต่ข้าพระองค์โอหังและไม่อยากร่วมมือกับเธอ พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากกระทำตามอำเภอใจและรบกวนงานของคริสตจักรแล้ว โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์หยุดใช้ชีวิตตามอุปนิสัยโอหังของข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ร่วมมือกับมีนาอย่างกลมกลืน” จากนั้นฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “พวกเจ้าต้องสัมฤทธิ์การร่วมมือกันอย่างปรองดองเพื่อจุดประสงค์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า เพื่อผลประโยชน์ของคริสตจักร และเพื่อกระตุ้นพี่น้องชายหญิงของพวกเจ้าไปข้างหน้า  เจ้าควรประสานงานกัน โดยที่แต่ละคนแก้ไขอีกคนหนึ่งและบรรลุถึงผลลัพธ์ของงานที่ดีกว่า เพื่อดูแลเอาใจใส่น้ำพระทัยของพระเจ้า  การร่วมมือกันที่แท้จริงคือสิ่งนี้ และมีเพียงบรรดาผู้ที่มีส่วนร่วมในการนี้เท่านั้นที่จะได้รับการเข้าสู่ที่แท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงรับใช้เหมือนที่คนอิสราเอลทำ)  พระวจนะกระทบใจฉันอย่างลึกซึ้ง เพื่อทำหน้าที่ของฉันให้ดี ฉันต้องเรียนรู้ที่จะร่วมมือกับมีนาอย่างกลมกลืน และเลิกใช้ชีวิตตามอุปนิสัยโอหังและกระทำตามอำเภอใจ จากนั้นฉันก็โทรหามีนาแล้วหารือเกี่ยวกับการเตรียมงานของเราในวันข้างหน้า มีนาแบ่งปันความคิดของเธอให้กับฉัน แล้วฉันพบว่ามันดีทีเดียว ฉันเลยลงเอยด้วยการนำไปปฏิบัติ ในเวลาไม่นาน เราก็รวบรวมแผนได้เร็วกว่าที่ก่อนหน้านี้ฉันเคยทำด้วยตัวเองมาก ฉันมีความสุขจริงๆ นี่ไม่ใช่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็รู้สึกดีมากที่ได้ละทิ้งตัวเองและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า หลังจากนั้น ฉันเรียนรู้ที่จะร่วมมือกับพี่น้องคนอื่นๆ และพบว่า งานของเรามีผลลัพท์ดีขึ้นกับทุกๆ เดือนที่ผ่านไป ฉันขอบคุณพระเจ้าในหัวใจค่ะ!

ก่อนหน้า: 79. ฉันไม่ใช้ชีวิตเพื่อเงินอีกต่อไป

ถัดไป: 96. เป็นอิสระจากความริษยา

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger