38. เหตุใดฉันจึงไม่อาจยอมรับหน้าที่ของตนด้วยใจที่สงบได้

ช่วงสิ้นเดือนมีนาคม ปี 2023 ผู้นำขอให้ฉันดูแลงานชำระคริสตจักรให้สะอาด ฉันรู้สึกกดดันอย่างมากเมื่อพวกเขาบอกเรื่องนี้ และคิดในใจว่า “ฉันมีความเข้าใจความจริงเพียงตื้นเขินและขาดวิจารณญาณแยกแยะ ถ้าฉันไม่สามารถทำงานจริงได้ ก็อาจจบลงด้วยการถูกปลดในไม่ช้า นั่นคงเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก! การเป็นสมาชิกในทีมแบกรับความรับผิดชอบน้อยกว่า และยังมีผู้ดูแลคอยตรวจสอบสิ่งต่างๆ ให้ ทำให้โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดมีน้อยลง ถ้าฉันกลายมาเป็นผู้ดูแล ภาระงานก็จะหนักขึ้น และทันทีที่ฉันทำพลาด ก็อาจทำให้งานล่าช้า หรือที่แย่กว่านั้น อาจนำไปสู่การถูกกล่าวหาและการลงโทษโดยไม่เป็นธรรม นั่นถือเป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง! การปฏิบัติหน้าที่นั้นมุ่งหมายเพื่อเป็นทางในการตระเตรียมความดี แต่ถ้ากระทำผิดมากเกินไป แบบนั้นสถานเบาฉันก็คงขายหน้าเพราะถูกปลด แต่ถ้าแย่กว่านั้นฉันก็อาจถึงขั้นถูกขับไล่ออกจากคริสตจักรเลยก็ได้ อย่างนั้นฉันจะยังมีจุดจบและบั้นปลายที่ดีอยู่หรือเปล่า?” พอคิดแบบนี้ ฉันก็ปฏิเสธหน้าที่ไปโดยอ้างว่า การเข้าสู่ชีวิตของฉันนั้นตื้นเขิน และฉันยังไม่เหมาะสมกับหน้าที่นี้ ผู้นำไม่ได้พูดอะไรมาก แต่บอกให้ฉันแสวงหาต่อไป ในช่วงหลายวันหลังจากนั้น ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงคำพูดของผู้นำ ฉันก็รู้สึกหนักใจ และพอดีกับช่วงเวลานั้น ฉันก็มีปัญหาในการประเมินพฤติกรรมของใครบางคน ฉันมองแค่ผลพวงที่ร้ายแรงจากการกระทำชั่วของเธอ และตีตราว่าเธอเป็นคนชั่ว โดยไม่ได้ตรวจสอบแก่นแท้ธรรมชาติหรือพฤติกรรมที่เธอแสดงออกมาอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาฉันจึงตระหนักว่า แม้บุคคลผู้นี้มีความประพฤติชั่วบางอย่าง แต่เธอก็ไม่ใช่คนชั่ว เหตุการณ์นี้ทำให้ฉันรู้สึกหนักใจยิ่งกว่าเดิม ความผิดพลาดของฉันครั้งนี้ เกือบทำร้ายใครบางคน และขัดขวางงานชำระให้สะอาด ฉันขาดวิจารณญาณแยกแยะจริงๆ ถ้าฉันกลายเป็นผู้ดูแลแล้วทำผิดพลาดอีก ฉันจะไม่ลงเอยด้วยการกระทำผิดมากขึ้นหรือ? จากนั้นฉันก็นึกถึงพี่น้องหญิงหลินฟาง ซึ่งเป็นผู้ดูแลที่เพิ่งถูกปลดออก เพราะเธอไม่ทำงานจริง และไม่ดูแลหรือควบคุมงานเลย ผู้ดูแลสองคนก่อนหน้าเธอ ก็จบลงด้วยการถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร เพราะได้กระทำความประพฤติชั่วมากเกินไป เรื่องนี้ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกชัดเจนขึ้นว่า การเป็นผู้ดูแลนั้นเสี่ยงเกินไป และถ้าฉันทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ ก็คงลงเอยด้วยการถูกปลดหรือถูกกำจัดออกไปในไม่ช้า การเป็นเพียงสมาชิกในทีมรู้สึกปลอดภัยกว่า แต่การปฏิเสธหน้าที่ออกไปตรงๆ ก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน จึงทำให้ฉันรู้สึกขัดแย้งในใจ ในช่วงหลายวันถัดมา ฉันครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ตลอด รู้สึกว่าตัวเองอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมาก และนั่นก็ส่งผลกระทบต่อสภาวะของฉัน ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาการชี้แนะจากพระองค์

ระหว่างที่ฉันเฝ้าเดี่ยวครั้งหนึ่ง ฉันได้อ่านบทความคำพยานจากประสบการณ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งตัวเอกของเรื่องมักหาข้ออ้างและปฏิเสธหน้าที่ เพราะมัวแต่คิดถึงศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ต่อมาเขาก็ตระหนักว่า หน้าที่เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพระเจ้าทรงสังเกตท่าทีของเขาต่อหน้าที่ เขาจึงจำเป็นต้องนบนอบก่อน ฉันเองก็จำเป็นต้องเข้าสู่ความจริงเรื่องการนบนอบพระเจ้าให้ได้ก่อน ฉันจึงไปหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บทตอนหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “เมื่อโนอาห์ได้ทำตามที่พระเจ้าได้ทรงชี้นำ เขาไม่รู้ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร  เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงต้องการที่จะทำอะไรให้สำเร็จลุล่วง  พระเจ้าเพียงได้ทรงให้พระบัญชาแก่เขา และสั่งให้เขาทำบางอย่าง และโดยไม่ต้องอธิบายมากความ โนอาห์ก็เดินหน้าและทำตามนั้น  เขาไม่ได้พยายามเข้าใจความพึงปรารถนาของพระเจ้าอย่างลับๆ และเขาไม่ได้ต้านทานพระเจ้าหรือแสดงความไม่จริงใจ  เขาเดินหน้าและทำตามนั้นเลยด้วยใจที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย  ไม่ว่าพระเจ้าทรงให้เขาทำสิ่งใด เขาก็ทำ และการนบนอบและการฟังพระวจนะของพระเจ้าก็คือการเชื่อที่ค้ำจุนการกระทำของเขา  นั่นเป็นวิธีที่เขาจัดการกับสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้อย่างตรงไปตรงมาและเรียบง่าย  แก่นแท้ของเขา—แก่นแท้ของการกระทำของเขาคือการนบนอบ ไม่ใช่การเดาสุ่ม ไม่ใช่การต้านทาน และยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่การนึกถึงผลประโยชน์ส่วนตัวของเขาเอง หรือผลกำไรและขาดทุนของเขา  ยิ่งกว่านั้น เมื่อพระเจ้าได้ตรัสว่าพระองค์จะทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วม โนอาห์ก็ไม่ได้ทูลถามว่าเมื่อใด หรือทูลถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งต่างๆ และแน่นอนเขาไม่ได้ทูลถามพระเจ้าว่าพระองค์จะทรงทำลายโลกอย่างไร  เขาเพียงทำตามที่พระเจ้าทรงชี้นำ  ไม่ว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้สร้างมันอย่างไร และสร้างด้วยอะไร เขาก็ได้ทำตามที่พระเจ้าได้ทรงขออย่างถูกต้อง และได้เริ่มดำเนินการโดยทันที  เขาปฏิบัติตัวโดยสอดคล้องกับคำชี้นำของพระเจ้าด้วยท่าทีแห่งความต้องการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1)  จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่า การสามารถนบนอบในทุกสถานการณ์ คือสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คน และเป็นเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมี ฉันเห็นว่าโนอาห์มีหัวใจที่บริสุทธิ์ในท่าทีที่เขามีต่อพระบัญชาของพระเจ้า เขาเพียงแค่เชื่อฟังและนบนอบ เขาไม่ได้คำนึงว่าตัวเองจะต้องเผชิญกับความยากลำบากมากเพียงใดในการสร้างเรือ หรือจะต้องแบกรับความรับผิดชอบอะไรบ้างหากทำได้ไม่ดี เขาเพียงต้องการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในการสร้างเรือตามที่พระเจ้าทรงกำหนดโดยเร็วที่สุด เพื่อให้สามารถดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ แต่เมื่อหน้าที่ตกมาถึงฉัน ฉันกลับคิดวิตกกังวลอย่างหนัก เอาแต่ครุ่นคิดถึงความยากลำบาก อนาคต และบั้นปลายของตัวเอง ฉันคิดว่าการเป็นผู้ดูแลนั้นเสี่ยงเกินไป และอาจทำให้ฉันง่ายต่อการกระทำผิด และถ้าฉันกระทำผิดมากเกินไป ก็คงมีจุดจบที่ไม่ดี เมื่อมีความคิดเหล่านี้อยู่ในใจ ฉันก็พบว่าตัวเองไม่สามารถนบนอบได้เลย และยังคงหาข้ออ้างต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงหน้าที่นี้อยู่ตลอด เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกละอายใจมาก ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังขาดความนบนอบพื้นฐาน ฉันไม่มีความเป็นจริงความจริงเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่อาจปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปได้ แม้ว่าจะมีความลำบากยากเย็นและความกังวลใจ แต่ฉันต้องนบนอบเสียก่อน และรับหน้าที่นี้ไว้

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง และได้รับความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับสภาวะของตัวเอง  พระเจ้าตรัสว่า “ดูจากท่าทีที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อพระเจ้า ต่อสภาพแวดล้อม ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมเอาไว้ให้ ต่อการที่พระเจ้าทรงเผยและบ่มวินัยพวกเขา และอื่นๆ พวกเขามีเจตนาที่จะแสวงหาความจริงแม้สักนิดหรือไม่?  พวกเขามีเจตนาที่จะนบนอบพระเจ้าแม้สักนิดหรือไม่?  พวกเขามีความเชื่อแม้สักนิดหรือไม่ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า?  พวกเขามีความเข้าใจและความตระหนักรู้เช่นนี้หรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่มี  สาเหตุที่พวกเขาระวังตัวนั้นกล่าวได้ว่ามาจากการที่พวกเขาสงสัยพระเจ้า  สาเหตุที่พวกเขาเคลือบแคลงพระเจ้าก็กล่าวได้เช่นกันว่ามาจากการที่พวกเขาสงสัยพระเจ้า  ผลที่เกิดจากการที่พวกเขาพินิจพิเคราะห์พระเจ้าทำให้พวกเขาเคลือบแคลงพระเจ้ามากขึ้น และพร้อมกันนั้นก็ระแวดระวังพระเจ้ามากขึ้น  ดูจากความคิดและทัศนะต่างๆ ที่เกิดจากการคิดอ่านของศัตรูของพระคริสต์ รวมทั้งแนวทางและพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้การครอบงำของความคิดและทัศนะเหล่านี้แล้ว ผู้คนเหล่านี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ไม่สามารถเข้าใจความจริง ไม่สามารถเกิดความเชื่ออันแท้จริงในพระเจ้า ไม่สามารถเชื่อและยอมรับการมีอยู่ของพระเจ้าได้อย่างหมดใจ ไม่สามารถเชื่อและยอมรับว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสิ่งทรงสร้างทั้งปวง และพระองค์ทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง  ทั้งหมดนี้เกิดจากแก่นนิสัยอันเลวทรามของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, บทความเสริม ห้า: สรุปลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์และแก่นนิสัยของพวกเขา (ภาคที่สอง))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่า เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เชื่อในความชอบธรรมของพระเจ้า แทนที่จะแสวงหาความจริงเพื่อรู้จักอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเขากลับใช้มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ การจินตนาการ และปรัชญาของซาตาน ในการวิเคราะห์พระราชกิจของพระเจ้าและสถานการณ์ที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการ ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มระแวดระวังและเข้าใจพระเจ้าผิดไป ซึ่งสิ่งนี้เกิดจากธรรมชาติอันเลวร้ายของพวกศัตรูของพระคริสต์ เมื่อฉันตรวจสอบตัวเองโดยยึดพระวจนะของพระเจ้าเป็นกระจกสะท้อน ฉันก็เห็นว่าสภาวะของฉันก็ไม่ต่างกันเลย เมื่อเห็นว่าผู้ดูแลสามคนก่อนหน้านั้นถูกปลดและถูกกำจัดออกไป ฉันกลับไม่ได้แสวงหาความจริง ไม่ได้คำนึงถึงสาเหตุที่พวกเขาล้มเหลว หรือไม่มีวิจารณญาณแยกแยะและเรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลวของพวกเขาเลย แต่ฉันกลับกลายเป็นคนระแวดระวัง ดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตาน เช่น “การระวังระไวเป็นบ่อเกิดของความปลอดภัย” และ “ตัวใหญ่ล้มดัง”  ฉันรู้สึกว่าการเป็นผู้ดูแลนั้นเสี่ยงเกินไป และถ้าฉันเป็นสาเหตุให้เกิดการกล่าวหาและการลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม ก็จะถือเป็นการกระทำผิดใหญ่หลวง และฉันก็คงไม่มีจุดจบหรือบั้นปลายที่ดี ฉันคิดว่าฉันต้องปกป้องตัวเองและหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จึงเอาแต่หาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงหน้าที่นี้ ต่อมาฉันก็ไตร่ตรองว่า “เจตนารมณ์ของพระเจ้าในการมอบหมายหน้าที่นี้ให้ฉันคืออะไร? การดูแลงานชำระให้สะอาดเป็นความรับผิดชอบที่หนักหนา แต่ก็จะทำให้ฉันได้รู้จักกับผู้คนที่ชั่วในรูปแบบต่างๆ พวกศัตรูของพระคริสต์ และผู้ไม่เชื่อ ซึ่งจะช่วยให้ฉันก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในการใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คน นอกจากนี้ การเป็นผู้ดูแลยังต้องจัดการกับปัญหามากมาย ซึ่งจะผลักดันให้ฉันแสวงหาหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้อง และเสริมสร้างตัวเองด้วยความจริง นับเป็นโอกาสอันดีในการฝึกฝน แต่แทนที่จะแสวงหาความจริงในเรื่องนี้ ฉันกลับเอาแต่คิดว่าการเป็นผู้ดูแลคือการแบกรับความรับผิดชอบที่มากขึ้น และจะถูกเผยหรือกำจัดออกไปเร็วขึ้น ฉันจึงเต็มไปด้วยความสงสัยและความระแวดระวังต่อพระเจ้า ฉันทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวดพระทัยจริงๆ!”

จากนั้นฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “พระเจ้าทรงชอบธรรมและทรงเป็นธรรมกับทุกคน  พระเจ้าไม่ทรงดูว่าก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนอย่างไร หรือปัจจุบันเจ้ามีวุฒิภาวะอย่างไร  พระองค์ทรงดูว่าเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และเจ้าเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่… พระเจ้าทรงอนุญาตให้เจ้าสะดุด ล้มเหลว และทำผิดพลาด  พระเจ้าจะประทานโอกาสและเวลาให้เจ้าได้เข้าใจความจริง ปฏิบัติความจริง ค่อยๆ เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ทำทุกสิ่งตามเจตนารมณ์ของพระองค์ นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง และสัมฤทธิ์ความเป็นจริงความจริงที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนมี  อย่างไรก็ตาม ใครคือผู้ที่พระเจ้าทรงเกลียดมากที่สุด?  นั่นก็คือผู้ที่แม้จะรู้จักความจริงอยู่ในหัวใจ พวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริงนั้น นับประสาอะไรกับการนำความจริงนั้นไปปฏิบัติ  กลับกัน พวกเขายังคงใช้ชีวิตด้วยหลักปรัชญาของซาตาน แต่คิดว่าตนเองเป็นคนที่ค่อนข้างดีและนบนอบพระเจ้า ขณะเดียวกันก็แสวงหาที่จะชักพาผู้อื่นให้หลงผิดและมีตำแหน่งในพระนิเวศของพระเจ้าไปด้วย  พระเจ้าทรงเกลียดคนประเภทนี้มากที่สุด พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์  ถึงแม้ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การกระทำเหล่านี้ย่อมมาจากธรรมชาติที่แตกต่างกัน  นี่ไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั่วๆ ไป และไม่ใช่การเปิดเผยความเสื่อมทรามตามปกติ กลับกัน เจ้าต้านทานพระเจ้าอย่างหัวชนฝาไปจนถึงปลายทางโดยที่รู้ตัว  เจ้ารู้ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ เจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่เจ้าจงใจเลือกที่จะต้านทานพระองค์  นี่ไม่ใช่การมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและไม่ใช่ปัญหาเรื่องการเข้าใจผิด แต่กลับเป็นการที่เจ้าจงใจที่จะต้านทานพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง  พระเจ้าจะทรงช่วยคนเช่นนี้ให้รอดได้หรือ?  พระเจ้าไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด  เจ้าคือศัตรูของพระเจ้า ด้วยเหตุนั้นเจ้าจึงเป็นมารและซาตาน  พระเจ้ายังทรงช่วยพวกมารและซาตานให้รอดได้หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ในการเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่า พระเจ้าทรงยุติธรรมต่อผู้คน พระเจ้าไม่ทรงกำจัดใครเพราะความผิดพลาดหรือความล้มเหลวเพียงชั่วคราว แต่จะทรงเผยและกำจัดผู้คนเมื่อพวกเขาปฏิเสธความจริงอย่างต่อเนื่อง และต่อต้านพระองค์อย่างดื้อรั้น ฉันคิดย้อนถึงการที่ฉันยังไม่เข้าใจความจริง จนทำให้ฉันทำผิดพลาดในการใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คน แต่ก็ไม่มีใครเรียกร้องให้ฉันรับผิดชอบ หรือห้ามไม่ให้ฉันทำหน้าที่นี้เพราะความผิดพลาดนั้น พระเจ้าทรงใช้ความผิดพลาดของฉันในการเสริมสร้างฉันด้วยความจริงเกี่ยวกับการใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนที่ชั่ว เพื่อชดเชยข้อบกพร่องของฉัน ฉันคิดใคร่ครวญมากขึ้นว่าเหตุใดหลินฟางจึงล้มเหลว เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้ยินเธอพูดถึงการที่เธอทำหน้าที่ด้วยเจตนาผิดๆ เมื่อเธอเห็นผลการทำงานออกมาไม่ดี เธอก็โยนงานไปให้คู่ทำงานของเธอ โดยไม่รับผิดชอบด้วยตัวเอง เมื่อผู้นำระดับสูงสามัคคีธรรมและแก้ไขเธอ เธอกลับเอาแต่หาข้ออ้างและพยายามปกป้องตัวเอง และปฏิเสธที่จะทบทวนและรู้จักตัวเองในเรื่องเหล่านี้ หลินฟางไม่ได้ถูกปลดเพราะความผิดพลาดของเธอ แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะเธอปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงและไม่รับผิดชอบ ยังมีผู้ดูแลอีกสองคน คนหนึ่งมีอุปนิสัยโอหัง ชอบเผด็จการ และมักต้องการกุมอำนาจไว้ทั้งหมด เมื่อคนอื่นไม่เชื่อฟัง เขาก็จะพยายามกดข่มและระรานคนเหล่านั้น ผู้ดูแลอีกคนหนึ่งก็เอาแต่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะอยู่ตลอดเวลา คอยกดข่มและขจัดความคิดเห็นที่แตกต่าง ทั้งสองเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ และถูกขับไล่เพราะประพฤติชั่วไปมากมาย ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม และพระองค์ไม่ได้ทรงปลดหรือเอาตัวใครออกไปเพียงเพราะทำผิดพลาดในหน้าที่ แต่ทรงพิจารณาจากท่าทีของผู้คนต่อความจริงและต่อพระเจ้า และเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดิน จากพฤติกรรมของพวกเขาที่แสดงออกอย่างสม่ำเสมอ ก็เห็นได้ชัดว่าแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขารังเกียจและเกลียดชังความจริง พวกเขาเอาแต่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะ โดยไม่ปกป้องงานของคริสตจักรเลยแม้แต่น้อย จนพระเจ้าทรงเผยและกำจัดพวกเขาออกไป แต่ฉันกลับเคยคิดว่า ผู้ที่มีสถานะหรือหน้าที่รับผิดชอบมาก ก็มีโอกาสถูกเผยและถูกกำจัดมากกว่า ในขณะที่พี่น้องชายหญิงธรรมดาที่มีงานน้อยกว่า ก็จะก่อการกระทำผิดน้อยกว่าเพราะเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายน้อยกว่า จึงหลีกเลี่ยงการถูกเผยและถูกกำจัดได้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นแค่มโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของฉันเอง ฉันมักเอาแต่ระแวดระวังพระเจ้าและหลีกเลี่ยงหน้าที่ของตัวเอง ต่อให้ฉันจะไม่ได้กระทำผิดอะไรเลย ถ้าฉันไม่แสวงหาความจริง อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉันก็จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์หรือเปลี่ยนแปลง และฉันก็จะไม่ได้รับความรอด ท้ายที่สุด ฉันก็จะไม่มีจุดจบที่ดีอยู่ดี เมื่อคิดได้แบบนี้ ฉันก็ยินดีที่จะยอมรับหน้าที่นี้ พระเจ้าทรงยอมให้มีความเบี่ยงเบนและปัญหาในหน้าที่ของคนคนหนึ่งได้ และตราบใดที่คนคนหนึ่งสามารถแสวงหาความจริงได้ในภายหลัง ทบทวนตัวเอง และแก้ไขความเบี่ยงเบนเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที พระเจ้าก็จะทรงชี้แนะพวกเขาต่อไป พอนึกย้อนดู ฉันก็เห็นว่าฉันได้ทำงานชำระให้สะอาดมาสักระยะหนึ่งแล้ว และฉันก็เริ่มเข้าใจหลักธรรมบางประการในเรื่องวิจารณญาณแยกแยะ งานของคริสตจักรกำลังต้องการคนอย่างเร่งด่วน ฉันจึงต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และพยายามอย่างเต็มที่ในการทำงานชำระให้สะอาดนี้ เพราะนี่คือเหตุผลและการนบนอบที่ฉันต้องมี แต่จิตใจของฉันกลับมัวแต่คิดถึงผลประโยชน์ จุดจบ และบั้นปลายของตัวเอง ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจมาก!

ต่อมาฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมว่า “การปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้าพรดังเช่นวัตถุประสงค์นั้นผิดในหนทางใด?  การปฏิบัติดังกล่าวขัดแย้งกับความจริงอย่างสิ้นเชิง และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยผู้คนให้รอด  เนื่องจากการได้รับพรไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่ถูกต้องเหมาะสมที่ผู้คนจะไล่ตามเสาะหา อะไรคือวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องเหมาะสม?  การไล่ตามเสาะหาความจริง การไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย และการที่สามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้า เหล่านี้คือวัตถุประสงค์ที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหา  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าการถูกตัดแต่งทำให้เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิด และเจ้ากลายเป็นไร้ความสามารถที่จะนบนอบ  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถนบนอบได้?  เพราะเจ้ารู้สึกว่าบั้นปลายของเจ้าหรือความฝันที่จะได้รับพรของเจ้าถูกท้าทาย  เจ้ากลายเป็นคิดลบและหัวเสีย และต้องการล้มเลิกหน้าที่ของตน  อะไรคือเหตุผลสำหรับการนี้?  มีปัญหากับการไล่ตามเสาะหาของเจ้า  แล้วการนี้ควรแก้ไขอย่างไร?  การที่เจ้าละทิ้งแนวคิดที่เข้าใจกันผิดเหล่านี้ทันที และการที่เจ้าแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด  เจ้าควรพูดกับตัวเองว่า ‘ฉันต้องไม่ล้มเลิก ฉันยังคงต้องทำหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำให้ดี และละวางความพึงปรารถนาที่จะได้รับพรของฉัน’  เมื่อเจ้าละทิ้งความพึงปรารถนาที่จะได้รับพรและเจ้าเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็ย่อมโล่งอก  และเจ้าจะยังคงสามารถคิดลบได้อยู่หรือไม่?  แม้ว่ายังคงมีช่วงเวลาที่เจ้าคิดลบ แต่เจ้าก็ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จำกัดควบคุมเจ้า และในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าคอยอธิษฐานและต่อสู้เรื่อยไป โดยเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของการไล่ตามเสาะหาของตน จากการไล่ตามเสาะหาการได้รับพรและการมีบั้นปลายเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าก็พูดกับตัวเองในใจว่า ‘การไล่ตามเสาะหาความจริงคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เพื่อเข้าใจความจริงบางอย่างในวันนี้—ไม่มีการเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่กว่า นี่คือพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาพรทั้งปวง  ต่อให้พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ฉัน และฉันไม่มีบั้นปลายที่ดี และความหวังที่จะได้รับพรของฉันถูกทำให้แตกกระจัดกระจาย ฉันก็จะยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ฉันมีภาระผูกพันที่จะต้องทำ  ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม ฉันจะไม่ยอมให้ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของฉันอย่างถูกควร ฉันจะไม่ยอมให้ส่งผลต่อการทำพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีต่อฉันให้สำเร็จลุล่วง นี่คือหลักธรรมที่ฉันใช้ในการปฏิบัติตน’  และในการนี้ เจ้ายังไม่ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดควบคุมแห่งเนื้อหนังหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีการเข้าสู่ชีวิตเพียงในการปฏิบัติความจริงเท่านั้น)  “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือประสบเคราะห์ร้ายหรือไม่  หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำให้ลุล่วง เป็นงานของเขาที่สวรรค์ส่งมาให้ ซึ่งมนุษย์ควรปฏิบัติโดยไม่แสวงหาสิ่งตอบแทน ปราศจากเงื่อนไขหรือเหตุผล  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา  การได้รับพรหมายถึงพรทั้งหลายที่คนคนหนึ่งได้รับเมื่อพวกเขาได้รับการทำให้เพียบพร้อมหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา  การประสบเคราะห์ร้ายหมายถึงการลงโทษที่คนคนหนึ่งได้รับเมื่ออุปนิสัยของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากที่พวกเขาได้ก้าวผ่านการตีสอนและการพิพากษาแล้ว—นั่นคือ เมื่อพวกเขาไม่ได้รับการทำให้เพียบพร้อม  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือประสบเคราะห์ร้ายก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำเป็นอย่างน้อย  เจ้าไม่ควรปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และไม่ควรปฏิเสธการปฏิบัติหน้าที่ของตนเพราะกลัวว่าจะประสบเคราะห์ร้าย  เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้าว่า การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา  โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา  ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น  พวกที่เพียงแต่เสแสร้งทำไปอย่างพอเป็นพิธีในการทำหน้าที่ของพวกเขาและไม่แสวงหาความจริงย่อมจะถูกกำจัดออกไปในท้ายที่สุด เพราะผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาในการปฏิบัติความจริง และไม่ปฏิบัติความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขาคือพวกที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะประสบเคราะห์ร้าย  ไม่เพียงแต่การแสดงออกของพวกเขาไม่บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ทุกสิ่งที่พวกเขาแสดงออกยังชั่วอีกด้วย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่า ไม่ว่าผู้คนจะได้รับพระพรหรือทนทุกข์กับโชคร้าย การที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทำหน้าที่ของตนเองนั้น เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ ในเมื่อผู้คนเดินตามพระเจ้า พวกเขาก็ควรลุล่วงในความรับผิดชอบของตน เพราะนั่นคือหนทางที่จะมีชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมาย เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือให้ผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงผ่านหน้าที่ของตน ในการปฏิบัติหน้าที่ อุปนิสัยเสื่อมทรามต่างๆ จะถูกเผยออกมา และข้อบกพร่องมากมายจะถูกเปิดโปง ในโอกาสนี้เอง เราสามารถแสวงหาความจริงและทบทวนตัวเอง จนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลง แม้ว่าตอนนี้ฉันจะเผชิญความลำบากยากเย็นในการฝึกฝนทำหน้าที่ผู้ดูแล แต่ฉันก็สามารถพึ่งพาพระเจ้าได้มากขึ้น มุ่งเน้นการแสวงหาความจริง ทำหน้าที่ตามหลักธรรม ดำเนินความรับผิดชอบของตน และแสดงความจงรักภักดีของฉันออกมา หลังจากผ่านการฝึกฝนไปช่วงหนึ่ง ถ้าฉันลงเอยด้วยการถูกมอบหมายงานใหม่เพราะขีดความสามารถไม่เพียงพอ ฉันก็จะไม่เสียใจเลย

ต่อจากนี้ไป ในการทำหน้าที่ผู้ดูแล ไม่ว่าจะเผชิญกับความลำบากยากเย็น หรือมีความเบี่ยงเบนในหน้าที่ ฉันก็มองว่าเป็นโอกาสอันดีในการได้รับความจริง ได้สามัคคีธรรมและสรุปสิ่งต่างๆ เหล่านี้ร่วมกับพี่น้องชายหญิง และแสวงหาหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้อง ความจริงที่ฉันไม่เข้าใจมาก่อนก็ค่อยๆ เริ่มชัดเจนขึ้น และฉันก็มีความก้าวหน้าบางอย่าง ฉันไม่ได้ระแวดระวังพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว และแค่ต้องการเรียนรู้บทเรียนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในทุกสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการ ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้ฉันได้รับประโยชน์ที่แท้จริง และได้รับความเข้าใจอันลึกซึ้งบางประการอย่างแท้จริง

ก่อนหน้า: 34. โผล่พ้นจากเงามืดแห่งการจากไปของแม่

ถัดไป: 42. ฉันรู้ถึงประโยชน์ของการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์แล้ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger