39. 75 วันที่ถูกกักขัง
วันหนึ่งในเดือนกันยายน ปี 2009 ผมกับพี่น้องหญิงสองคนไปประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้นำศาสนาคนหนึ่ง แต่ผู้นำคนนั้นกลับไม่รับฟัง และเรียกคนในคริสตจักรของเขาสิบกว่าคนมาทุบตีเรา และจับเราส่งสถานีตำรวจท้องถิ่น ตอนนั้นผมกลัวมากทีเดียว และกังวลว่าตำรวจจะทรมานเรา ผมรู้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเกลียดและต่อต้านพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด และฆ่าผู้เชื่อที่พรรคจับได้โดยไม่ต้องรับโทษ พี่น้องชายหญิงหลายคนถูกทรมานหลังจากถูกจับกุม และบางคนถึงกับถูกทุบตีจนตายหรือพิการ ผมกังวลว่าเพราะผมด้อยวุฒิภาวะ ผมจะทนการทรมานของตำรวจไม่ไหว ผมเลยแสร้งทำเป็นใบ้ ตอนพวกเขาถามผมว่ามาจากไหน ผู้นำคริสตจักรของผมเป็นใคร และใครส่งผมไปประกาศข่าวประเสริฐที่นั่น ผมก็ไม่พูดสักคำ จากนั้นพวกเขาก็บังคับให้ผมนั่งยองๆ แต่หลังจากนั่งยองๆ ได้สักพัก ขาของผมก็ล้า และผมล้มลงกับพื้น ตำรวจสองนายเตะและกระทืบผมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วสั่งให้ผมลุกขึ้นมานั่งยองๆ ต่อ หลังจากนั่งยองๆ ต่อไปสักพัก ขาผมก็เริ่มเมื่อยและปวด และผมเหงื่อแตกไปทั้งตัว ตำรวจนายหนึ่งพูดเยาะเย้ยว่า “รู้สึกยังไงบ้าง? สบายมากเลยสินะ? ถ้าไม่ยอมเปิดปาก เราจะให้แกนั่งยองๆ ไปเรื่อยๆ” ตำรวจอีกนายตะคอกใส่อย่างหยาบคายว่า “ดื้อด้านนักใช่ไหม? เห็นทีคงต้องใช้ไม้แข็งซะแล้ว ฉันรู้ว่าฉันง้างปากแกได้!” หลังจากพูดจบ เขาก็สอดขวดเบียร์ไว้ด้านหลังเข่าผม และพูดว่า “ถ้าขวดหล่น แกจะถูกซ้อม” ผ่านไปสักพัก ผมนั่งยองๆ ไม่ไหวจริงๆ และขวดเบียร์ก็หล่นกระทบพื้น พวกเขาเตะผมจนล้มลงกับพื้น แล้วเริ่มเตะและกระทืบผมอย่างร้ายกาจ ขา หลัง ไหล่ และเอวของผมเจ็บปวดแสนสาหัส ผมขดตัวกลม ในใจทุกข์ระทมอย่างมาก เนื่องจากรัฐธรรมนูญของจีนรับประกันเสรีภาพทางศาสนาอย่างชัดเจน เราจึงมีสิทธิตามกฎหมายที่จะเชื่อในพระเจ้าและประกาศข่าวประเสริฐ แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงข่มเหงและทารุณเราเรื่อยมา พวกมันชั่วร้ายจริงๆ! ทันใดนั้นผมก็จำได้ว่าสาวกขององค์พระเยซูเจ้าถูกข่มเหงอย่างไร สเทเฟนถูกขว้างหินใส่จนตายเพราะยึดมั่นในหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนเปโตรก็ถูกจองจำเพราะประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า และสุดท้ายก็ถูกตรึงกางเขนแบบกลับหัว ผมนึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ “คนที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย” (มัทธิว 5:10) เรื่องราวเหล่านี้กินใจผมมาก ธรรมิกชนทุกยุคทุกสมัยผ่านประสบการณ์การข่มเหงอย่างหนักเพราะประกาศข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้า และถึงกับเป็นมรณสักขีเพื่อพระเจ้า พวกเขาเป็นคำพยานที่ยิ่งใหญ่และก้องกังวาน แต่ผมเริ่มอ่อนแอและทุกข์ระทมมากหลังจากถูกข่มเหงและทารุณเพียงเล็กน้อย สิ่งที่ผมประสบไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ธรรมิกชนในยุคก่อนๆ ประสบมาเลย การที่ผมถูกข่มเหงและทารุณ เพราะประกาศข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมาย หลังจากตระหนักเช่นนี้ ผมก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปและกลับมามีความเชื่อ ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างเงียบๆ ขอให้พระองค์ประทานความมุ่งมั่นที่จะแบกรับความทุกข์ ไม่จำนนต่อซาตานและตั้งมั่นในการเป็นพยานเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
เมื่อตำรวจเห็นว่าผมยังไม่ยอมพูด พวกเขาก็ห้ามไม่ให้ผมหลับ ตำรวจสองนายผลัดกันเฝ้าดูผม และทันทีที่เห็นผมหลับตา พวกเขาจะเตะผม เวลาประมาณตีหนึ่ง ตำรวจอีกสองนายที่เพิ่งเริ่มเวรพาผมไปที่โถงหลักของสถานีตำรวจ และบังคับให้ผมนั่งกับพื้น ตำรวจนายหนึ่งตะโกนอย่างร้ายกาจว่า “ฉันได้ยินมาว่าแกหัวรั้นมาก และไม่ยอมบอกอะไรเราเลยเรื่องความเชื่อในพระเจ้าของแก ฉันคงต้องสั่งสอนแกสักหน่อยเพื่อให้แกพูด!” พอพูดจบเขาก็เตะผมลงไปกองกับพื้นอย่างร้ายกาจ แล้วใช้เท้าเหยียบหัวผมอย่างแรง ผมเจ็บมากตอนเท้าเขาจิกหัวผม และผมรู้สึกเหมือนเขาจะบดหัวผมให้เละ ตำรวจอีกนายเอาเท้าเหยียบอกผม ผมรู้สึกหายใจไม่ออกทันทีและเจ็บปวดแสนสาหัส หลังจากนั้น เขาก็กระทืบต้นขาและน่องผมอย่างแรง ในใจผมรู้สึกทุกข์ระทมอย่างถึงที่สุด และคิดว่า “แม้ว่าผมจะไม่ใช่คนสำคัญหรือคนที่มีสถานะสูงในโลกนี้ แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกอับอายที่ถูกเหยียบย่ำมาก่อน” ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าไม่หยุด ขอให้พระองค์ประทานความเข้มแข็งเพื่อให้ผมสามารถทนรับความทุกข์นี้และตั้งมั่นในการเป็นพยานได้ หลังจากอธิษฐาน ผมก็จำได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนอย่างไร พระองค์ทรงสวมมงกุฎหนาม ถูกทหารโรมันทำให้อับอายและเยาะเย้ย ถูกเฆี่ยนตีจนร่างของพระองค์มีเพียงแผลลายตาข่าย และสุดท้ายพระองค์ก็ทรงถูกตรึงกางเขนอย่างโหดร้าย ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “บนถนนสู่เยรูซาเลม พระเยซูทรงอยู่ในความเจ็บปวดร้าวราน ประหนึ่งมีดด้ามหนึ่งกำลังถูกบิดคว้านอยู่ในพระทัยของพระองค์ กระนั้นพระองค์ก็มิได้มีเจตนารมณ์ที่จะทรงคืนวาจาของพระองค์เลยแม้แต่น้อย ตลอดเวลานั้นมีกำลังอันทรงพลังอำนาจบีบให้พระองค์จำยอมไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาไปยังที่ที่พระองค์จะทรงถูกตรึงกางเขน ในท้ายที่สุด พระองค์ก็ถูกตอกตรึงกับกางเขนและกลายเป็นสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป เป็นการเสร็จสิ้นพระราชกิจในการทรงไถ่มวลมนุษย์ พระองค์ได้ทรงหลุดพ้นจากโซ่ตรวนแห่งความตายและแดนคนตาย เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ความตาย นรก และแดนคนตายสูญเสียพลังอำนาจของตน และได้ถูกกำราบโดยพระองค์ พระองค์ทรงมีพระชนม์อยู่เป็นเวลาสามสิบสามปี ตลอดช่วงเวลานี้พระองค์ได้ทรงทำอย่างสุดความสามารถของพระองค์เสมอเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสอดคล้องกับพระราชกิจของพระเจ้าในเวลานั้น ไม่เคยทรงคำนึงถึงผลที่จะได้หรือความสูญเสียส่วนพระองค์เองเลย และทรงนึกถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าพระบิดาอยู่เสมอ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรับใช้ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์พระเจ้า) ผมนึกถึงว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างและเป็นกษัตริย์แห่งจักรวาล แต่ถึงแม้พระองค์จะทรงมีสถานะที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติเช่นนั้น พระองค์ก็เต็มพระทัยที่จะทนรับความทุกข์และความอับอายเพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษย์ ฉะนั้นความทุกข์และความอับอายเล็กน้อยต่อมนุษย์ที่โสมมและเสื่อมทรามอย่างผม ที่ไม่ได้มีค่าไปกว่ามดตัวเดียวจะเป็นอะไรไป? ถือเป็นพร ที่ได้มีโอกาสแบกรับความทุกข์นี้และเป็นพยานให้พระเจ้า ผมเลยควรมีความสุข เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ ผมก็รู้สึกถึงแรงจูงใจใหม่ และมีความมุ่งมั่นที่จะแบกรับความทุกข์ หลังจากนั้น พวกเขาก็เปลี่ยนไปใช้การทรมานรูปแบบอื่น ตำรวจนายหนึ่งจุดบุหรี่แล้วยัดมันเข้าไปในจมูกผม จากนั้นก็เอาแก้วน้ำวางบนหัวผม แล้วพูดว่า “ถ้าบุหรี่หรือแก้วร่วงลงพื้น แกจะโดนดี” เมื่อบุหรี่ไหม้เกือบจะถึงจมูกผม ผมก็หายใจออกทางจมูกเพื่อดันบุหรี่ออกไป ทันทีที่ตำรวจเห็นบุหรี่หล่นลงพื้น เขาก็เตะและกระทืบผม แล้วคว้าข้าวเปลือกสี่หรือห้ากำมือมาวางบนคอผม และยกคอเสื้อผมขึ้นเพื่อให้ข้าวเปลือกร่วงลงไปข้างใน ผมรู้สึกคันคะเยอไปทั้งตัวทันทีซึ่งยากจะทนไหว ประมาณตีห้า เจ้าหน้าที่สองคนมาถึง เมื่อพวกเขาได้รับแจ้งว่าผมไม่ได้เปิดเผยข้อมูลใดๆ คนหนึ่งในนั้นก็หยิบเข็มขัดออกจากกระเป๋าตัวเอง แล้วเริ่มใช้ฝั่งที่เป็นหัวเข็มขัดเฆี่ยนผมที่หลังมือ หน้าแข้ง และเข่าอย่างร้ายกาจ การเฆี่ยนทำให้ผมเจ็บแสบมาก หลังจากที่ผมยังคงไม่ยอมพูด หลังจากถูกเฆี่ยนมากกว่ายี่สิบครั้ง พวกเขาก็ถอดใจและกลับไป
ในช่วงบ่ายวันที่สอง ผมถูกส่งไปยังสถานกักกันของอำเภอ เจ้าหน้าที่สถานกักกันบอกนักโทษว่า “คนนี้เป็นผู้เชื่อที่ถูกจับตอนกำลังชักชวนให้เปลี่ยนศาสนาและไม่ยอมบอกอะไรเราเลย ดูแลเขาให้ดีล่ะ!” นักโทษล้อมผมและมองผมอย่างมุ่งร้าย ทุกคนเปลือยท่อนบน และบางคนถึงกับมีรอยสัก ซึ่งทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ผมถูกเจ้าหน้าที่ที่สถานีตำรวจทรมานไปแล้ว จนผมบาดเจ็บไปทั้งตัว ตอนนี้ผมต้องต่อกรกับนักโทษที่ชั่วร้ายและดูร้ายกาจทั้งกลุ่ม ถ้าพวกเขาทรมานผมต่อ ร่างกายผมจะทนการทารุณได้เหรอ? ถ้าผมทนการทารุณไม่ไหว และทรยศพระเจ้าเหมือนยูดาส แล้วถูกสาปและลงโทษล่ะ ความเชื่อในพระเจ้าของผมจะไม่เป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเหรอ? เอาหัวโขกผนังแล้วจบชีวิตตัวเองจะดีซะกว่าที่จะทรยศพระเจ้า ทันใดนั้นผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “ความทุกข์ของผู้คนบางคนไปถึงจุดขีดสุด และความคิดของพวกเขาหันเข้าหาความตาย นี่มิใช่ความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนขลาด พวกเขาไม่มีความเพียรพยายาม พวกเขาอ่อนแอและไร้กำลัง! พระเจ้าทรงใคร่กระหายที่จะให้มนุษย์รักพระองค์ แต่ยิ่งมนุษย์รักพระองค์มากขึ้นเท่าใด ความทุกข์ของมนุษย์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งมนุษย์รักพระองค์มากขึ้นเท่าใด บททดสอบของมนุษย์ก็จะหนักหนาขึ้นเพียงนั้น… ด้วยเหตุนี้ในยุคสุดท้าย พวกเจ้าจึงต้องเป็นคำพยานให้พระเจ้า ไม่ว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าก็ควรเดินไปให้สุดทาง แม้จะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเจ้าก็ตาม พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ผมตระหนักว่า ผู้ที่ปรารถนาจะตายเมื่อเผชิญความทุกข์อันใหญ่หลวงและความยากลำบาก เป็นคนขี้ขลาด เป็นตัวตลกของซาตาน และไม่อาจตอบสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ ก่อนถูกจับกุม ผมพูดชัดเจนกว่าใครๆ เรื่องการรักพระเจ้า การตอบสนองพระเจ้า และการเป็นพยานให้พระองค์ แต่ตอนผมถูกทรมานและเริ่มทนทุกข์ ผมก็เริ่มคิดลบและอ่อนแอ และอยากใช้ความตายหลีกหนีทุกอย่าง วุฒิภาวะของผมอยู่ที่ไหนกัน? เมื่อตระหนักเช่นนี้ ผมก็รู้สึกอับอายและรู้สึกผิดมาก ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะทรมานข้าพระองค์อย่างไร ข้าพระองค์ก็จะพึ่งพาพระองค์และตั้งมั่นในการเป็นพยานเสมอ”
ตามคำสั่งของตำรวจ หัวหน้านักโทษต้องการรู้ชื่อและที่อยู่ของผม เขาตะคอกอย่างร้ายกาจว่า “แกเป็นผู้เชื่อและเป็นนักโทษการเมือง ความผิดของแกเลยร้ายแรงยิ่งกว่าความผิดของฆาตกรด้วยซ้ำ ถ้าแกไม่พูด ก็รอดูว่าฉันจะทำอะไรแก!” แต่ผมก็ยังไม่พูดสักคำ เมื่อเห็นว่าผมไม่มีเจตนาจะพูด เขาก็ลุกขึ้นแล้วบิดแขนผม ในขณะที่นักโทษอีกสองคนกดข้อเท้าผม จากนั้นนักโทษอีกสี่หรือห้าคนก็ผลัดกันต่อยผมที่น่องและต้นขา แต่ละหมัดนั้นเจ็บปวดแสนสาหัส และผมรู้สึกว่าจะทนต่อไปอีกไม่ไหว ผมคิดในใจว่า “ผมจะถูกนักโทษพวกนี้ทารุณจนตายไหม?” ผมร้องหาพระเจ้าอย่างต่อเนื่องให้ทรงคุ้มครองและประทานความเข้มแข็งให้ผม ทนการทำลายล้างของปีศาจพวกนี้ หลังจากอธิษฐาน ผมก็นึกถึงตอนที่พระเยซูเคยตรัสไว้ว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรกได้” (มัทธิว 10:28) แท้จริงแล้ว ปีศาจพวกนี้ร้ายกาจจริงๆ แต่พวกมันทำได้เพียงทำลายและทรมานร่างกายผมเท่านั้น พวกมันไม่อาจฆ่าวิญญาณผมได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความตายของร่างกายไม่ใช่ความตายที่แท้จริง การถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนข่มเหงและฆ่าเพราะผมเป็นพยานให้พระเจ้า หมายความว่าผมถูกข่มเหงเพราะความชอบธรรม และพระเจ้าทรงชมเชยการกระทำเช่นนั้น ผมนึกถึงเพลงสรรเสริญเพลงหนึ่ง “ด้วยการฝากฝังของพระเจ้าในหัวใจของฉัน ฉันจะไม่วันคุกเข่าให้ซาตาน แม้ว่าศีรษะของพวกเราอาจถูกบั่นและเลือดของพวกเราอาจสาดกระเซ็น แต่กระดูกสันหลังของประชากรของพระเจ้าก็ไม่สามารถทำให้งอได้ ฉันจะเป็นคำพยานที่ดังกึกก้องให้แก่พระเจ้า และทำให้เหล่ามารและซาตานได้อับอาย ความเจ็บปวดและความยากลำบากได้ถูกพระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า ฉันจะจงรักภักดีและนบนอบพระองค์จนตาย ฉันจะไม่มีวันเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงร่ำไห้อีก และไม่มีวันเป็นเหตุให้พระองค์ทรงกังวลอีกเลย ฉันจะมอบถวายความรักและความจงรักภักดีของฉันต่อพระเจ้า และทำภารกิจของฉันจนครบบริบูรณ์ในการถวายพระเกียรติแด่พระองค์” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ, ฉันปรารถนาที่จะเห็นวันแห่งพระสิริของพระเจ้า) ขณะที่ผมครุ่นคิดถึงเนื้อเพลง ความมุ่งมั่นที่จะทนรับความทุกข์ทั้งหมดและตั้งมั่นในการเป็นพยานให้พระเจ้าก็เพิ่มมากขึ้นในตัวผม หลังจากถูกทุบตี ขาผมก็มีรอยฟกช้ำดำเขียวและบวมมาก การสัมผัสเพียงเล็กน้อยทำให้ยิ่งเจ็บ เนื่องจากกล้ามเนื้อขาของผมได้รับบาดเจ็บสาหัส ผมนั่งยองๆ ไม่ได้ เลยต้องนั่งบนขอบโถส้วมแบบนั่งยองตอนขับถ่าย การทุบตีอย่างโหดร้ายกลายเป็นเรื่องปกติ นักโทษที่เคยฝึกเป็นนักมวยคนหนึ่งใช้ผมเป็นกระสอบทรายเพื่อซ้อมออกหมัดและตบด้วยฝ่ามือ และมักจะใช้มือฟันคอผม ทุกครั้งที่เขามีอารมณ์รุนแรงและฟันคอผม ผมจะรู้สึกมึนหัว และมีนักโทษคนหนึ่งที่ดูร้ายกาจเป็นพิเศษ ที่กดผมกับเตียง ใช้มือสองข้างจับคอผมไว้อย่างดุดัน และเกือบจะบีบคอผมจนตายเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมบอกข้อมูลใดๆ เรื่องความเชื่อในพระเจ้าของผม ไม่ว่าผมจะถูกทรมานยังไง หลายครั้งหัวหน้านักโทษกับลูกสมุนจะห่อเชื้อเพลิงจากหัวไม้ขีดไว้ในสำลีก้อน แล้วสอดสำลีระหว่างนิ้วมือกับนิ้วเท้าผม แล้วจุดไฟเผา ไฟลวกนิ้วมือและนิ้วเท้าผม และผมรู้สึกปวดแสบปวดร้อน จากนั้นหัวหน้านักโทษจะจงใจเหยียบนิ้วเท้าผมที่ถูกไฟลวก จนเลือดซึมออกจากบาดแผล ทุกครั้งที่นักโทษทารุณและทำร้ายผม ผมจะร้องหาและอธิษฐานขอความเข้มแข็งจากพระเจ้า การทรงนำของพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยให้ผมทนการทารุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเหล่าปีศาจได้
วันหนึ่งในปลายเดือนพฤศจิกายน สำนักงานอัยการพิจารณาคดีผมใหม่เป็นครั้งที่สี่ แต่ผมก็ยังไม่ยอมพูด เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอกหัวหน้านักโทษว่า “มันไม่ยอมบอกอะไรเรา และอัยการเริ่มเบื่อหน่ายแล้ว ทำยังไงก็ได้ ให้มันบอกอะไรออกมาบ้าง” หลังจากนั้น หัวหน้านักโทษก็สั่งให้นักโทษอีกสี่หรือห้าคนถอดเสื้อผ้าผมออกจนหมด จากนั้นเขาก็จุดไฟเผาชามพลาสติกและปล่อยให้พลาสติกหลอมร้อนๆ หยดลงบนผิวหนังผม แต่ละหยดทำให้ผมบิดตัวด้วยความเจ็บปวด มันทรมานมากจนผมทนไม่ได้ ผมดิ้นสู้พวกเขาอย่างรุนแรง แต่พวกเขากดผมไว้ ผมเลยขยับตัวไม่ได้ ผมร้องหาพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทนไม่ไหวแล้ว โปรดคุ้มครองข้าพระองค์ โปรดประทานความเข้มแข็งและความมุ่งมั่นที่จะแบกรับความทุกข์นี้ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ไม่ยอมจำนนต่อซาตานและสามารถตั้งมั่นในคำพยานให้พระองค์ได้จนตัวตาย” ผมนึกถึงองค์พระเยซูเจ้าอีกครั้งที่ถูกทหารโรมันตรึงกางเขนทั้งเป็น ที่พระโลหิตค่อยๆ หยดจนแห้ง แม้ว่าพระองค์จะทรงยิ่งใหญ่และมีเกียรติ แต่พระเจ้าผู้ทรงอยู่เหนือสรรพสิ่งก็ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และทรงทนรับความทุกข์แสนสาหัสบนโลกเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และไม่สมควรได้รับความทุกข์เช่นนั้น แต่พระองค์ก็ทรงทนรับทั้งหมดนั้นอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด เมื่อผมเป็นเพียงมนุษย์ที่เสื่อมทราม การทนรับความทุกข์เล็กน้อยนี้จึงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่เลย ในประเทศจีนซึ่งพระเจ้าถูกมองว่าเป็นศัตรู ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความทุกข์จากการข่มเหงหากคนคนหนึ่งอยากติดตามพระเจ้าและบรรลุความจริงและชีวิต แต่ก็คุ้มค่าและมีความหมายที่จะทนทุกข์ เพราะทำไปเพื่อบรรลุความจริงและถูกช่วยให้รอด การทารุณที่โหดร้ายนี้ช่วยให้ผมมองเห็นแก่นแท้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เกลียดความจริง รังเกียจเดียดฉันท์พระเจ้า และเลวทรามได้อย่างชัดเจน พวกเขาต่อต้านพระเจ้า ทำร้ายผู้คนอย่างโหดร้าย และเป็นเพียงวิญญาณที่ชั่วร้ายและปีศาจ เมื่อตระหนักเรื่องทั้งหมดนี้ ผมก็เกิดความเกลียดพญานาคใหญ่สีแดงยิ่งกว่าเดิม ยิ่งพวกมันข่มเหงผมมากเท่าไร ผมก็ยิ่งพึ่งพาพระเจ้าเพื่อตั้งมั่นในคำพยานของตนเองและทำให้พวกมันขายหน้ามากขึ้นเท่านั้น! ผมต่อสู้ฝ่าฟันความเจ็บปวด และด้วยเหตุผลบางประการผมก็ผ่านความทุกข์ยากสาหัสนี้มาได้ คืนนั้นขณะที่นักโทษนอนหลับ ผมครุ่นคิดเรื่องการบาดเจ็บของตัวเอง ต้นขาและน่องของผมฟกช้ำอย่างหนัก หน้าอกถูกไฟลวก และผิวหนังบนนั้นมีเลือดออกและเสียโฉม ทั่วทั้งร่างกายผมเต็มไปด้วยแผลไหม้ ผมคิดในใจว่า “พวกเขาทำให้ผมเหลือสภาพนี้แล้ว ผมจะทนได้ไหมถ้าพรุ่งนี้พวกเขาทรมานผมแบบนี้อีก?” ผมตัวสั่นเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสที่รอผมอยู่ และรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด ผมรู้สึกว่าสถานการณ์เกินขีดจำกัดที่ร่างกายผมจะรับไหวแล้ว และผมจวนเจียนจะสติแตก ผมรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า หัวใจของข้าพระองค์เต็มไปด้วยความกลัว และข้าพระองค์ไม่น่าจะทนรับสิ่งนี้ได้มากไปกว่านี้ โปรดประทานความเข้มแข็งให้ข้าพระองค์ตั้งมั่นด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐานแล้ว ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงต้นเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างยอมจำนนจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะพลีอุทิศตัวพวกเขาเองจะสามารถข้ามไปได้ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดอายและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6) พระวจนะของพระเจ้าชี้ให้ผมเห็นเส้นทางข้างหน้า การพึ่งพาความเชื่อและการเอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยงเท่านั้นที่จะช่วยให้ผมผ่านพ้นสิ่งนี้ไปได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล ผมแค่หลงกลแผนการของซาตานโดยใช้ชีวิตอย่างขี้ขลาดและหวาดกลัวไม่ใช่หรือ? ผมอธิษฐานถึงพระเจ้า ไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวและถูกซาตานหลอกอีกต่อไป ผมพร้อมที่จะมอบตัวเองไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างสมบูรณ์ และจะตั้งมั่นในการเป็นพยานและทำให้ซาตานอับอายแม้ว่าจะต้องถูกทุบตีจนตาย ผมรู้สึกโล่งอกและมีความเชื่อที่จะเผชิญไม่ว่าต่อไปจะมีอะไรเข้ามา ทันใดนั้นผมก็นึกถึงเพลงสรรเสริญที่ชื่อว่า “การยืนหยัดท่ามกลางความมืดและการกดขี่” “การข่มเหงอันโหดร้ายของพญานาคใหญ่สีแดงทำให้ฉันเห็นโฉมหน้าของซาตานอย่างชัดเจน ผ่านบททดสอบและความทุกข์ลำบากนานัปการ ฉันได้เห็นพระปัญญาและมหิทธานุภาพของพระเจ้า เมื่อได้เข้าใจความจริงและได้รับความเชื่อ ฉันจะพึงพอใจได้อย่างไรหากไม่ติดตามพระเจ้า? ฉันกลียดซาตานเข้ากระดูก และเกลียดพญานาคใหญ่สีแดงเสียยิ่งกว่า การมีชีวิตอยู่ใต้การปกครองของราชาปีศาจก็คือการใช้ชีวิตอยู่ในคุก ซาตานตามติดทุกย่างก้าวของฉัน ไม่มีที่ปลอดภัยให้พักอาศัย การเชื่อและการนมัสการพระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ เมื่อได้เลือกที่จะรักพระเจ้าแล้ว ฉันก็จะจงรักภักดีไปจนกระทั่งถึงปลายทาง ซาตาน เจ้าราชาปีศาจ มันโหดร้ายอย่างถึงที่สุด ไร้ยางอายและน่ารังเกียจอย่างแท้จริง ฉันเห็นโฉมหน้าเยี่ยงปีศาจของซาตานอย่างชัดเจน และหัวใจของฉันก็รักพระคริสต์ยิ่งขึ้นไปอีก ฉันจะไม่มีวันทนฝืนมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร้ศักดิ์ศรีโดยคุกเข่าให้ซาตาน และไม่มีวันทรยศต่อพระเจ้า ฉันจะทนทุกข์ต่อความยากลำบากและความเจ็บปวดทุกอย่าง และจะสู้ทนผ่านราตรีที่มืดมิดที่สุด เพื่อนำความชูใจมาสู่พระหทัยของพระเจ้า ฉันจะเป็นพยานที่มีชัยชนะ” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) เพลงสรรเสริญเพลงนี้มีความหมายกับผมอย่างลึกซึ้ง และยิ่งผมร้องมากขึ้นเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นเท่านั้น หลังจากที่ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนข่มเหงอย่างโหดร้าย ผมก็เห็นแก่นแท้ที่ต่อต้านพระเจ้า โหดร้าย และชั่วร้ายของพวกมันอย่างชัดเจน ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า เราเดินบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง ประกาศข่าวประเสริฐ เป็นพยานให้พระเจ้า และช่วยให้ผู้อื่นได้รับความรอดจากพระเจ้า นี่เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกลับจับกุมและข่มเหงผู้เชื่ออย่างบ้าคลั่ง ทรมานคนที่ถูกจับจนพวกเขาเจียนตาย เพื่อบังคับให้พวกเขาทรยศพระเจ้า และเพื่อบรรลุเป้าหมายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการใช้อำนาจและมีการควบคุมเหนือผู้คนตลอดไป พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นเพียงกลุ่มปีศาจที่เกลียดพระเจ้าและความจริง! ทันทีที่ผมได้เห็นว่าจริงๆ แล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนน่ารังเกียจและชั่วร้ายเพียงใด ผมเกลียดมันสุดหัวใจ ละทิ้งมัน และมุ่งมั่นว่าจะไม่ยอมจำนนให้มันอีก!
วันรุ่งขึ้น เมื่อหัวหน้านักโทษเห็นว่าเนื้อที่หน้าอกผมเสียโฉมจากแผลไหม้แค่ไหน เขาก็เริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อย และพูดกับนักโทษคนอื่นๆ ว่า “เราทรมานมันต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าเราฆ่ามัน ความผิดจะตกอยู่กับเรา และเราจะต้องรับโทษนานขึ้น” เมื่อผมได้ยินอย่างนั้น ผมก็รู้สึกว่าพระเจ้าทรงเปิดทางออกให้ผม และผมก็ขอบคุณพระองค์อย่างเงียบๆ ในที่สุดตำรวจก็ไม่สามารถหาหลักฐานอะไรมาดำเนินคดีงผมได้ แต่ยังยืนกรานที่จะตั้งข้อหา “ทำลายความสงบเรียบร้อยในสังคม” กับผม ซึ่งผมถูกตัดสินจำคุก 75 วัน
ผมทนรับความทุกข์แสนสาหัส และถูกข่มเหงด้วยน้ำมือของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่พระวจนะของพระเจ้าได้ให้ความรู้แจ้งและชี้นำผมทุกย่างก้าว เติมเต็มผมด้วยความเชื่อและความเข้มแข็ง และช่วยให้ผมสามารถตั้งมั่นได้ตลอดความทุกข์เข็ญเหล่านี้ หากไม่ได้การคุ้มครองจากพระเจ้าและการชี้นำจากพระวจนะของพระองค์ ผมอาจถูกพวกนั้นทรมานจนตายได้ทุกเมื่อ ในเวลาเดียวกัน ผมก็ได้เห็นว่าพระเจ้าทรงควบคุมดูแลและครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งอย่างไร ไม่ว่าซาตานจะโหดร้ายและอาละวาดยังไง ซาตานก็เป็นเพียงศัตรูที่พ่ายแพ้ให้พระเจ้าแล้ว ดังที่พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่กล่าวว่า “ไม่ว่าซาตานจะ ‘ทรงพลัง’ เพียงใด ไม่ว่ามันจะฮึกเหิมหรือทะเยอทะยานเพียงใด ไม่ว่าความสามารถของมันในการก่อความเสียหายจะมีมากเพียงใด ไม่ว่ากลเม็ดที่มันใช้ยั่วยวนและทำให้มนุษย์เสื่อมทรามจะมีขอบเขตกว้างขวางเพียงใด ไม่ว่าเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายที่มันใช้ข่มขวัญมนุษย์จะฉลาดแยบยลเพียงใด ไม่ว่ารูปสัณฐานที่มันใช้ในการดำรงอยู่จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายเพียงใด แต่มันก็ไม่เคยสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้สักสิ่งเดียว ไม่เคยสามารถกำหนดธรรมบัญญัติหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ สำหรับการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง และไม่เคยสามารถปกครองและควบคุมวัตถุใดๆ ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ทั่วทั้งจักรวาลและพื้นฟ้านั้นไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดที่กำเนิดจากมัน หรือดำรงอยู่เพราะมัน ไม่มีบุคคลใดหรือวัตถุใดที่อยู่ใต้ปกครองของมัน หรือในการควบคุมของมัน ในทางตรงกันข้าม มันไม่เพียงต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันยังต้องนบนอบคำสั่งและพระบัญชาทั้งหมดของพระเจ้าอีกด้วย หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ก็เป็นการยากที่ซาตานจะแตะต้องแม้น้ำสักหยดหรือทรายสักเม็ดบนแผ่นดินได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ซาตานก็ไม่มีอิสระที่จะเคลื่อนย้ายฝูงมดไปมาบนแผ่นดินด้วยซ้ำ ไม่พักต้องพูดถึงมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา ในสายพระเนตรของพระเจ้า ซาตานด้อยค่ากว่าดอกลิลลี่บนภูเขา นกที่บินอยู่ในอากาศ ปลาในทะเล และหนอนแมลงบนแผ่นดินโลก บทบาทของมันท่ามกลางสรรพสิ่งก็คือการรับใช้ทุกสิ่ง รับใช้มวลมนุษย์ และรับใช้พระราชกิจของพระเจ้าและแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ไม่ว่าธรรมชาติของมันจะมุ่งร้ายเพียงใด และไม่ว่าแก่นแท้ของมันจะชั่วเพียงใด สิ่งเดียวที่มันสามารถทำได้คือทำงานของมันไปตามหน้าที่ นั่นคือ การปรนนิบัติพระเจ้า และการเป็นคู่ตรงข้ามให้พระเจ้า เช่นนั้นเองที่เป็นธาตุแท้และตำแหน่งของซาตาน แก่นแท้ของมันไม่ได้เชื่อมโยงกับชีวิต ไม่ได้เชื่อมโยงกับฤทธานุภาพ ไม่ได้เชื่อมโยงกับสิทธิอำนาจ มันเป็นเพียงของเล่นในพระหัตถ์ของพระเจ้า แค่เครื่องจักรที่รับใช้พระเจ้าเท่านั้น!” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1)