89. การคิดทบทวนของ “ผู้นำที่ดี”
ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พ่อแม่ก็สอนให้ฉันเป็นมิตรกับผู้คน และให้เป็นคนที่เข้าหาง่ายและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าผู้คนรอบตัวฉันมีปัญหาหรือข้อบกพร่อง ฉันไม่ควรจะเปิดโปงพวกเขาโดยตรง แต่ต้องเห็นแก่หน้าพวกเขาด้วย เพราะการอบรมสั่งสอนนี้ ฉันไม่เคยมีความขัดแย้งหรือการโต้เถียงใดๆ กับใครเลย และผู้คนรอบตัวก็คิดว่าฉันเป็นคนดีและต้องการจะคบหาด้วย ฉันเองก็คิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีในการประพฤติตัวด้วยเช่นกัน หลังจากฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงด้วยวิธีเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันเชื่อว่าฉันควรจะเป็นมิตรกับพี่น้องชายหญิงและไม่ตำหนิข้อผิดพลาดของผู้อื่นง่ายๆ ด้วยวิธีนั้น ฉันก็จะไม่ทำลายความสัมพันธ์ที่ดีที่ฉันมีกับพวกเขา และพี่น้องชายหญิงก็จะอยากคบหากับฉัน และชื่นชมฉันว่าเป็นผู้นำที่ดีและมีไมตรีจิต
ต่อมา ฉันพบว่าผู้นำกลุ่มคนหนึ่งคือพี่น้องหญิงโจน ไม่ได้แบกรับภาระในหน้าที่ของเธอและไม่ได้ทำงานจริงเลย ฉันเตือนเธอหลายครั้งว่า “ในฐานะผู้นำกลุ่ม คุณควรใส่ใจและเข้าใจสภาวะของพี่น้องชายหญิงของคุณ และติดตามงานของพวกเขาด้วย” แต่เธอก็ยังไม่ทำตามที่ฉันบอก ฉันจึงต้องเตือนเธออีกครั้งและถามเธอว่าทำไม เธอบอกว่าเธอมีเวลาว่างแค่ชั่วโมงเดียว แต่เธอกลับใช้เวลานั้นไปกับการเล่นเฟซบุ๊กและดูหนัง เธอจึงไม่ได้ติดตามงานใดๆ เลยค่ะ หลังจากได้ยินเช่นนี้ ฉันก็โกรธมากและคิดว่า “เธอขี้เกียจมาก และไม่แบกภาระเลยสักนิด พี่น้องชายหญิงบางคนไม่เข้าร่วมการชุมนุมแล้ว แต่เธอก็ไม่คิดหาวิธีที่จะเกื้อหนุนพวกเขาเลย” ฉันอยากจะตัดแต่งเธอที่เธอทำหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินและไม่มีความรับผิดชอบ แต่แล้วฉันก็คิดว่ามันอาจจะทำให้เธอตีตัวออกห่างจากฉัน และพูดว่าฉันไม่ใช่ผู้นำที่ดีและเข้าหาง่าย ฉันไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ที่กลมเกลียวของเรา แทนที่จะตัดแต่งเธอฉันกลับพยายามให้กำลังใจเธอ ฉันพูดว่า “คุณสามารถใช้เวลาว่างหนึ่งชั่วโมงนี้ พยายามทำความเข้าใจสภาวะของพี่น้องชายหญิงของคุณ แล้วคุณก็จะสามารถทำหน้าที่ของคุณได้ดี” หลังจากได้ฟังเช่นนี้ เธอก็ทำได้ดีขึ้นสองสามวัน แต่ไม่นานก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม เพราะเธอทำหน้าที่อย่างสุกเอาเผากิน จึงมีผู้มาใหม่หยุดเข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้มาใหม่บางคนก็ไม่มาอีกเลย ฉันโกรธจริงๆ เธอช่างไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย! ฉันอยากจะตัดแต่งเธอจริงๆ แต่ฉันก็กังวลว่าเธอจะตีตัวออกห่างจากฉัน ฉันจึงไม่ได้พูดอะไร และต้องไปให้น้ำและเกื้อหนุนผู้มาใหม่เหล่านั้นด้วยตัวเอง หลังจากที่ฉันได้พูดคุยกับพวกเขา ฉันก็ได้รู้ว่า พวกเขาไม่มาเข้าร่วมการชุมนุมเพราะพวกเขามีความลำบากยากเย็นหลายอย่างที่ไม่ได้รับการแก้ไข แต่ก่อนหน้านี้โจนกลับบอกฉันว่าพวกเขาแค่ไม่ตอบข้อความ หลังจากเห็นท่าทีที่ไม่ใส่ใจต่อหน้าที่ของโจน ฉันก็อยากจะตัดแต่งเธอจริงๆ และอยากให้เธอรู้ว่าการขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ของเธอได้นำไปสู่ผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงเช่นนี้ แต่ฉันก็อยากเป็นผู้นำที่ดีที่มีไมตรีจิตและเข้าหาง่าย ฉันจึงเปลี่ยนใจ และพูดให้กำลังใจเธอเพียงไม่กี่คำอีกครั้ง ผลก็คือ เธอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง โจนบ่นว่า “ฉันอยู่ในกลุ่มนี้นานแล้ว ทำไมฉันถึงไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งคะ?” หลังจากได้ยินเช่นนี้ ฉันก็คิดว่า “เธอขี้เกียจขนาดนี้ ทำหน้าที่อย่างสุกเอาเผากิน และไม่มีความรับผิดชอบ เธอจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งได้ยังไงกัน?” แม้ว่าฉันจะโกรธเธอ แต่ฉันก็ยังปลอบใจเธอว่า “ไม่ว่าเราจะปฏิบัติหน้าที่ใด ที่เราทำเช่นนั้นได้ก็เพราะอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า แม้ว่าหน้าที่ของเราจะแตกต่างกัน แต่เราทุกคนต่างก็กำลังให้น้ำผู้มาใหม่” ฉันคิดว่านี่จะทำให้เธอรู้สึกว่าฉันเข้าใจและใส่ใจเธอ และว่าฉันเป็นผู้นำที่ดี ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่ฉันต้องเผชิญกับปัญหาของพี่น้องชายหญิง ฉันจึงไม่เคยเปิดโปงหรือตัดแต่งพวกเขาเลย แต่กลับพูดสิ่งดีๆ เพื่อปลอบใจและหนุนใจพวกเขาแทน ฉันคิดว่าการทำเช่นนี้จะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีและเข้าหาง่ายของฉันในใจของทุกคนเอาไว้
อีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือ มัคนายกข่าวประเสริฐชื่อเอ็ดน่า และผู้นำกลุ่มชื่อแอนน์ ไม่ได้ร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว เอ็ดน่าพูดกับฉันอย่างโกรธเคืองว่า “แอนน์ขี้เกียจเกินไปแล้ว! เวลาฉันถามเธอถึงสภาวะและความลำบากยากเย็นของพี่น้องชายหญิงในกลุ่มของเธอ เธอกลับใช้เวลานานกว่าจะตอบ นั่นทำให้ฉันไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว เธอทำหน้าที่ได้ไม่ดีเอาเสียเลย!” ฉันรู้ว่าเอ็ดน่ามีอุปนิสัยที่ค่อนข้างโอหัง และเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนเป็นการสั่งหรือการเรียกร้อง ซึ่งคนอื่นยอมรับได้ยาก แอนน์ค่อนข้างหยิ่งทะนง และเป็นไปได้ว่าเธอทนน้ำเสียงของเอ็ดน่าไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่อยากตอบ ฉันอยากจะชี้เรื่องนี้ให้เอ็ดน่าเห็น แต่ฉันก็ไม่อยากให้เธอรู้สึกเจ็บปวดหรือรู้สึกว่าฉันไม่เข้าใจเธอ ฉันจึงบอกเธออย่างเป็นมิตรว่า “บางทีแอนน์อาจจะยุ่งอยู่และไม่เห็นข้อความของคุณ” หลังจากนั้น ฉันก็ไปหาแอนน์ และแอนน์ก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “เอ็ดน่าโอหังเกินไป! เธอเรียกร้องจากฉันอยู่เสมอ ฉันเลยไม่อยากตอบข้อความของเธอ” เมื่อฉันเห็นว่าเธอไม่ยอมรับคำแนะนำจากคนอื่น ฉันก็อยากจะเตือนเธอเรื่องนี้ แต่ฉันกังวลว่าเธอจะไม่ยอมรับ และมันจะทำลายความกลมเกลียวระหว่างเรา ฉันจึงพูดว่า “บางทีคุณอาจจะเข้าใจเอ็ดน่าผิดไป เธอแค่ต้องการให้คุณทำหน้าที่ของคุณให้ดี” ฉันจึงได้แต่พูดถ้อยคำปลอบใจและคำเตือนสติพวกเธอเท่านั้น และไม่ได้ชี้ให้พวกเธอเห็นปัญหาของตัวเอง พวกเธอทั้งสองคนไม่เข้าใจตัวเอง เอ็ดน่ายังคงไม่สามารถติดตามงานของแอนน์ได้ และแอนน์ก็เชื่อว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรม ถึงขนาดที่เธอรู้สึกว่าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเธอได้ ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำ นั่นคือเหตุผลที่พวกเธอไม่ตระหนักถึงปัญหาของตัวเอง ฉันเป็นคนทำให้เกิดเรื่องนั้นขึ้น ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ฉันเพื่อที่ฉันจะได้รู้จักตัวเอง
วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “การปฏิบัติความจริงไม่ใช่เรื่องของการกล่าวคำพูดที่ว่างเปล่าหรือการโห่ร้องคำขวัญ แต่คือการที่ไม่ว่าผู้คนจะเผชิญสิ่งใดในชีวิต ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติตน มุมมองที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ หรือเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของตน พวกเขาย่อมเผชิญกับการเลือก และพวกเขาควรแสวงหาความจริง ค้นหาพื้นฐานและหลักธรรมในพระวจนะของพระเจ้า แล้วจากนั้นจึงหาเส้นทางปฏิบัติ ผู้ที่สามารถปฏิบัติในหนทางนี้ได้คือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง การสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงในหนทางนี้ไม่ว่าคนเราจะประสบกับความลำบากยากเย็นมากมายเพียงใดก็คือการเดินบนเส้นทางของเปโตรซึ่งเป็นเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ตัวอย่างเช่น ควรค้ำชูหลักธรรมใดเมื่อเป็นเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น? มุมมองเดิมของเจ้าก็คือ ‘ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง’ และเจ้าควรทำให้ทุกคนพึงพอใจ หลีกเลี่ยงการเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นเสียหน้า และไม่ล่วงเกินผู้ใด เพื่อให้เป็นการง่ายที่จะไปด้วยกันได้ดีกับผู้อื่นในอนาคต เมื่อถูกจำกัดโดยทัศนคตินี้ เจ้าก็เอาแต่เงียบเวลาที่รู้เห็นว่าผู้อื่นทำสิ่งที่ไม่ดีหรือละเมิดหลักธรรม เจ้ายอมให้งานของคริสตจักรประสบกับการสูญเสียดีกว่าที่จะล่วงเกินใคร ไม่ว่าเจ้าจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด เจ้าก็เสาะแสวงที่จะทำให้พวกเขาพึงพอใจ เวลาที่เจ้าพูด เจ้าคิดถึงอารมณ์อ่อนไหวของมนุษย์และการรักษาหน้าเสมอ และเจ้าก็กล่าววาจาที่ฟังดูดีเพื่อให้ผู้อื่นพอใจอยู่เสมอ ต่อให้เจ้าค้นพบว่าใครบางคนมีปัญหา เจ้าก็เลือกที่จะทนยอมรับพวกเขา และพูดถึงพวกเขาลับหลังเท่านั้น แต่ต่อหน้าพวกเขาแล้ว เจ้ายังคงรักษาสันติสุขและธำรงไว้ซึ่งสัมพันธภาพของเจ้า เจ้าคิดว่าการประพฤติปฏิบัติตัวเจ้าเองในลักษณะนี้เป็นอย่างไร? นั่นไม่ใช่การประพฤติปฏิบัติของคนที่ชอบเอาใจผู้คนหรอกหรือ? นั่นไม่ปลิ้นปล้อนไปหน่อยหรือ? นั่นละเมิดหลักธรรมเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติตน การประพฤติปฏิบัติตนในลักษณะนี้ไม่ต่ำช้าหรอกหรือ? พวกที่กระทำการเช่นนี้ไม่ใช่คนดี และนี่ไม่ใช่หนทางที่สูงส่งในการประพฤติปฏิบัติตน ไม่สำคัญว่าเจ้าทนทุกข์มามากเพียงใด และไม่สำคัญว่าเจ้าจ่ายราคาไปมากเพียงใด หากเจ้าประพฤติปฏิบัติตนโดยไม่มีหลักธรรม เช่นนั้นเจ้าย่อมล้มเหลวในแง่มุมนี้แล้ว และเจ้าก็จะไม่ได้รับการยอมรับ จดจำ หรือเห็นชอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีนั้น คนเราต้องมีมโนธรรมและสำนึกเป็นอย่างน้อย) หลังจากไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่า การปฏิบัติความจริงหมายถึงการกระทำตามหลักธรรมความจริงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และไม่กลัวที่จะล่วงเกินผู้คนค่ะ แต่ทว่าเมื่อฉันมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง ฉันกลับต้องการสร้างความประทับใจที่เป็นบวกให้กับพวกเขาและรักษาความกลมเกลียวระหว่างเราอยู่เสมอ ฉันพยายามอย่างหนักที่จะเป็นผู้นำที่เข้าหาง่ายและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เพื่อจะได้รับคำชมจากพวกเขา แต่ฉันไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติความจริง เมื่อฉันเห็นโจนให้น้ำผู้มาใหม่โดยไม่แบกภาระและขี้เกียจ ฉันก็อยากจะตัดแต่งเธอที่เป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ แต่เพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอ และทำให้เธอคิดว่าฉันเป็นผู้นำที่ดีและเข้าหาง่าย ฉันจึงไม่เปิดโปงปัญหาของเธอ ผลก็คือ เพราะเธอไม่มีความรับผิดชอบ ปัญหาของผู้มาใหม่บางคนจึงไม่ได้รับการแก้ไขและพวกเขาก็ไม่มาเข้าร่วมการชุมนุม กับเอ็ดน่าและแอนน์ ฉันเห็นว่าพวกเธอไม่ได้ร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวและไม่รู้จักตัวเอง ฉันควรจะชี้ให้เห็นปัญหาของพวกเธอและช่วยให้พวกเธอเข้าใจตัวเอง นี่จะเป็นประโยชน์ต่องานและจะช่วยในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเธอ แต่ฉันกลับพยายามกลบเกลื่อนสถานการณ์ และพูดถ้อยคำปลอบใจและคำเตือนสติแก่พวกเธอ ผลก็คือ พวกเธอทั้งสองคนไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของฉันในฐานะผู้นำที่ดีที่มีไมตรีจิตและเข้าหาง่าย ฉันไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรเลยแม้แต่น้อย ฉันยอมปล่อยให้งานของคริสตจักรเสียหายเพื่อจะได้รักษาความสัมพันธ์ของฉันกับผู้คนไว้ ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจมาก ฉันเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและเป็นคนหลอกลวง วิธีที่ฉันกระทำและประพฤติปฏิบัติตนนั้น มีพื้นฐานมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันทั้งสิ้น ฉันไม่ได้ปฏิบัติความจริงเลย ต่อให้ฉันจะได้รับการยกย่องจากผู้อื่น แต่ฉันก็จะไม่มีวันได้รับการชมเชยจากพระเจ้า ฉันไม่ได้เปิดโปงหรือชี้ให้เห็นปัญหาของพี่น้องชายหญิงของฉัน และฉันไม่ได้สามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ทำให้พวกเขาไม่รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองหรือปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ซึ่งส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร ฉันไม่ได้ช่วยให้พี่น้องชายหญิงรู้จักตัวเองหรือก้าวหน้าในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา แต่ฉันกลับปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาผู้คนว่าเป็นผู้นำที่ดี เพื่อที่พวกเขาจะได้ยกย่องและนับถือฉัน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชิงชังสำหรับพระเจ้า เมื่อฉันตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกเศร้ามาก ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันในการแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทราม
ต่อมา หลังจากได้รู้เกี่ยวกับสภาวะของฉัน พี่น้องหญิงคนหนึ่งจึงได้ส่งพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งมาให้ฉันใจความว่า “แก่นแท้เบื้องหลังพฤติกรรมอันดีงาม เช่น การคุยด้วยง่ายและมีไมตรีจิต สามารถอธิบายได้ด้วยคำคำเดียวคือเสแสร้ง พฤติกรรมอันดีงามเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากพระวจนะของพระเจ้า และไม่ได้เป็นผลจากการปฏิบัติความจริงหรือกระทำการตามหลักธรรม นี่คือผลผลิตของสิ่งใด? นี่มาจากเหตุจูงใจและอุบายของผู้คน มาจากการที่พวกเขาเสแสร้ง เล่นละครตบตาและหลอกลวง เมื่อผู้คนยึดติดพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ จุดมุ่งหมายย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่มีวันทำกับตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมในหนทางนี้ และจะไม่มีวันใช้ชีวิตตรงข้ามกับความอยากได้อยากมีของตนเอง การใช้ชีวิตตรงกันข้ามกับความอยากได้อยากมีของตนเองหมายความว่ากระไร? หมายความว่าธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขาไม่ได้ประพฤติดี ไร้เล่ห์เหลี่ยม อ่อนโยน ใจดี และมีคุณธรรมตามที่ผู้คนจินตนาการ พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามมโนธรรมและสำนึก แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับมีชีวิตอยู่เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายหรือข้อเรียกร้องบางอย่าง ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์เป็นเช่นไร? เลอะเลือนและไม่รู้ความ หากไม่มีธรรมบัญญัติและพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานมา ผู้คนจะไม่รู้เลยว่าบาปคือสิ่งใด มวลมนุษย์เคยเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? ต่อเมื่อพระเจ้าทรงกำหนดธรรมบัญญัติและพระบัญญัติเท่านั้น ผู้คนจึงมีแนวคิดเกี่ยวกับบาปอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับความถูกต้องและความผิด หรือเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบอยู่ดี และในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถตระหนักรู้หลักธรรมที่ถูกต้องของการพูดและการกระทำได้อย่างไร? พวกเขาจะรู้ได้หรือไม่ว่าการกระทำในหนทางใด พฤติกรรมดีแบบใด ควรมีอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ? พวกเขาจะรู้ได้หรือไม่ว่าสิ่งใดก่อกำเนิดพฤติกรรมที่ดีงามอย่างแท้จริง พวกเขาควรทำตามหนทางใดเพื่อใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์? พวกเขาไม่สามารถรู้ได้ เพราะธรรมชาติเยี่ยงซาตานของผู้คน เพราะสัญชาตญาณของพวกเขา พวกเขาจึงทำได้เพียงเสแสร้งและเล่นละครเพื่อให้มีชีวิตที่ดีและมีศักดิ์ศรี—ซึ่งก่อให้เกิดการหลอกลวงต่างๆ อาทิ เป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่าย เล่ห์เหลี่ยมและกลวิธีหลอกลวงเหล่านี้จึงอุบัติขึ้นด้วยประการฉะนี้ และทันทีที่สิ่งเหล่านี้อุบัติขึ้น ผู้คนก็เลือกที่จะยึดติดกับการหลอกลวงเหล่านี้สักอย่างหรือหลายอย่าง บางคนเลือกที่จะเป็นผู้มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่าย บางคนเลือกที่จะเป็นผู้ที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท บางคนเลือกที่จะสุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ บางคนเลือกที่จะเป็นสิ่งทั้งหมดนี้ และถึงกระนั้นเราก็นิยามผู้คนที่มีพฤติกรรมอันดีงามเช่นนี้ด้วยคำคำเดียว คำนั้นคืออะไร? ‘กรวดมน’ กรวดมนคืออะไร? คือกรวดที่เกลี้ยงเกลาในแม่น้ำซึ่งถูกสายน้ำกัดเซาะและขัดเกลาขอบที่แหลมคมมาเป็นเวลานานหลายปี และแม้การเหยียบกรวดเหล่านั้นอาจไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ แต่หากไม่ระวัง ผู้คนก็สามารถลื่นล้มได้ กรวดเหล่านี้สวยงามมากทั้งรูปลักษณ์และรูปทรง แต่ครั้นเจ้านำกลับบ้าน กรวดหินเหล่านี้กลับไร้ประโยชน์ยิ่ง เจ้าไม่อาจโยนทิ้งได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บเอาไว้เช่นกัน—ซึ่งก็คือสิ่งที่ ‘กรวดมน’ เป็น สำหรับเราแล้ว ผู้คนที่มีพฤติกรรมดีงามอย่างเห็นได้ชัดเหล่านี้ล้วนเฉื่อยชา พวกเขาเสแสร้งให้เห็นภายนอกว่าดี แต่กลับไม่ยอมรับความจริงเลย พวกเขาพูดสิ่งที่เสนาะหู แต่ไม่ทำสิ่งใดที่เป็นจริง พวกเขาเป็นได้เพียงกรวดมนเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (3)) เมื่อก่อน ฉันรู้สึกเสมอว่า คนที่เข้าหาง่ายและมีไมตรีจิตคือคนดี โดยไม่เคยคาดคิดว่าอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทราม และเป้าหมายกับเจตนาส่วนตัว จะอยู่เบื้องหลังพฤติกรรม “ดี” แบบนี้ ฉันพยายามอย่างหนักที่จะเป็นคนที่เข้าหาง่ายและมีไมตรีจิตมาตั้งแต่เด็ก และคนรอบข้างต่างก็ยกย่องว่าฉันเป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่จริงๆ แล้ว ทุกสิ่งที่ฉันทำก็เพื่อทำให้คนอื่นนับถือและยกย่อง ฉันใช้พฤติกรรมดีที่เห็นได้ชัดเจนของการเป็นคนที่เข้าหาง่ายและมีไมตรีจิต เพื่อทำให้พี่น้องชายหญิงของฉันมืดบอดและหลอกลวงพวกเขา พระเจ้าทรงระบุลักษณะของผู้คนที่มีพฤติกรรม “ดี” แบบนี้ว่าเป็น “หินที่เรียบลื่น” หินเหล่านี้ภายนอกดูสวยงาม และเหยียบไปก็ไม่เจ็บ แต่มันกลับลื่นล้มได้ง่าย พวกมันแม้จะดูดี แต่ก็ไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ นั่นคือตัวตนของฉัน ฉันดูเหมือนเป็นคนที่เข้าหาง่ายและมีไมตรีจิต และฉันจะไม่มีวันทำร้ายใคร แต่ฉันก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือที่แท้จริงแก่พี่น้องชายหญิงของฉันด้วยเช่นกัน แต่หัวใจของฉันกลับเต็มไปด้วยการหลอกลวงและเล่ห์เหลี่ยม ฉันเข้ากับทุกคนได้และไม่เคยล่วงเกินใครเลย ฉันเป็นเพียง “หินที่เรียบลื่น” เป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนที่ยึดมั่นในทางสายกลางอยู่เสมอ และเป็นคนหน้าซื่อใจคดที่เจ้าเล่ห์ เป็นดังที่พระวจนะของพระเจ้าทรงเผยว่า “พวกที่เดินบนเส้นทางสายกลางนั้นเป็นผู้คนที่มีเงื่อนงำที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง พวกเขาไม่ล่วงเกินใคร พวกเขาคล่องแคล่วและลื่นไหล พวกเขาเก่งกาจในการเออออไปตามสถานการณ์ทั้งปวง และไม่มีใครสามารถมองเห็นความผิดของพวกเขา พวกเขาก็คือซาตานตัวเป็นๆ!” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถสลัดโซ่ตรวนแห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทิ้งได้) ฉันเคยคิดว่าการเป็นคนที่เข้าหาง่ายและมีไมตรีจิตจะทำให้คนอื่นชอบฉัน และพระเจ้าก็จะทรงเห็นชอบฉันด้วย ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า การกระทำของฉันไม่ได้สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเลย สิ่งเหล่านั้นเป็นการเผยให้เห็นอุปนิสัยที่หลอกลวงของฉัน คนที่กระทำตนเช่นนี้ไร้ศักดิ์ศรีและไร้คุณธรรม และพระเจ้าทรงเกลียดชังพวกเขา ฉันรู้ว่าถ้าฉันไม่กลับใจและเปลี่ยนแปลง สักวันหนึ่งฉันจะถูกพระเจ้าทรงเผยและกำจัดออกไป ฉันไม่อยากเป็นคนแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าและกลับใจ ขอให้พระองค์ทรงช่วยฉันเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ประทานความเข้มแข็งให้ฉันปฏิบัติความจริง และให้ฉันจริงใจต่อพระองค์และพี่น้องชายหญิง
วันหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งได้ส่งพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้มาให้ฉันใจความว่า
สิ่งใดคือมาตรฐานที่ใช้ตัดสินการกระทำและพฤติกรรมของคนว่าดีหรือชั่ว? คือการที่ว่าในความนึกคิด สิ่งที่พวกเขาเผยออกมา และการกระทำทั้งหลายของพวกเขานั้น พวกเขามีคำพยานของการนำความจริงไปปฏิบัติและใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงหรือไม่ หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงนี้หรือใช้ชีวิตตามนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือคนทำชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น
หน้าที่รับผิดชอบของบรรดาผู้นำและคนทำงาน ได้แก่
1. นำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจพระวจนะของพระองค์ และเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า
2. มีความเข้าใจสภาวะทั้งหลายของบุคคลแต่ละประเภท และแก้ไขความลำบากยากเย็นนานัปการซึ่งสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตที่พวกเขาเผชิญในชีวิตจริง
3. สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่พึงเข้าใจเพื่อปฏิบัติหน้าที่แต่ละอย่างให้ถูกควร
4. คอยติดตามสภาวการณ์ของบรรดาผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทกับบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พวกเขาหรือปลดพวกเขาทันทีเมื่อจำเป็น เพื่อป้องกันหรือบรรเทาความสูญเสียที่เกิดจากการใช้ผู้คนที่ไม่เหมาะสม และเพื่อรับประกันประสิทธิภาพและความก้าวหน้าของงานอย่างราบรื่น
5. คงไว้ซึ่งการทำความเข้าใจและความเข้าใจที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับสถานะและความคืบหน้าของงานแต่ละงาน และสามารถแก้ไขปัญหา แก้ไขความเบี่ยงเบน และแก้ไขข้อบกพร่องในงานได้อย่างทันท่วงทีเพื่อที่งานนั้นจะได้คืบหน้าไปอย่างราบรื่น
…………
—พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (1)
หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่า มาตรฐานของพระองค์ในการประเมินความเป็นมนุษย์ของเรา ไม่ใช่ว่าเราแสดงออกว่ามีพฤติกรรม “ดี” มากแค่ไหน หรือมีคนยกย่องเรามากแค่ไหน แต่คือเราสามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่ และในการคิดและการกระทำของเรา เรามีคำพยานของการนำความจริงไปปฏิบัติหรือไม่ต่างหาก มีแต่คนแบบนั้นเท่านั้นที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดี ฉันเคยเห็นโจนทำหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินและไม่มีความรับผิดชอบ เช่นเดียวกับเอ็ดน่าและแอนน์ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและความเกลียดชังต่อกันค่ะ การกระทำของพวกเธอส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรแล้ว ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันควรจะสามัคคีธรรมเพื่อช่วยพวกเธอ เปิดโปง และชำแหละธรรมชาติของสิ่งที่พวกเธอทำ แต่ฉันกลับพูดแต่สิ่งดีๆ กับพวกเธอและพยายามเป็นผู้สร้างสันติ แม้ในขณะที่ฉันเห็นงานของคริสตจักรเสียหาย ฉันก็ยังคงพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของฉันไว้ ไม่เพียงแต่ฉันไม่มีคำพยานของการปฏิบัติความจริง แต่ยังล้มเหลวในการลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเองในฐานะผู้นำคริสตจักรด้วย และไม่ได้ช่วยเรื่องการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงของฉันเลยแม้แต่น้อย ในอดีต ฉันเคยเชื่อว่าถ้าฉันสามารถอยู่ร่วมกับพี่น้องชายหญิงของฉันได้อย่างกลมเกลียว และทำให้พวกเขาคิดว่าฉันเข้าหาง่ายและมีไมตรีจิต ฉันก็จะเป็นผู้นำที่ดี ในความเป็นจริง นั่นเป็นความเข้าใจผิด และไม่สอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเลย นั่นเป็นเพราะผู้นำที่ดีคือคนที่สามารถปฏิบัติความจริงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร ผู้ที่สามารถสามัคคีธรรมความจริงได้ทันท่วงทีเพื่อแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นของพี่น้องชายหญิง และนำพวกเขาเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ในขณะที่ฉันไม่ได้เปิดโปงหรือชี้ให้เห็นปัญหาของพี่น้องชายหญิง หรือช่วยให้พวกเขาเข้าใจความจริงและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แต่ฉันกลับเล่นลูกไม้เพื่อปกป้องหน้าตาและภาพลักษณ์ของตัวเอง ฉันให้คำปลอบใจและคำเตือนสติแก่พวกเขา และไม่ได้แก้ไขปัญหาที่แท้จริงใดๆ เลย การทำเช่นนั้น ฉันกำลังหลอกลวงและล่อลวงพี่น้องชายหญิงของฉัน ตอนนั้นฉันจึงตระหนักว่าการที่จะเป็นผู้นำที่ดีอย่างแท้จริง ทุกคำพูดและการกระทำของฉันต้องเป็นไปตามมาตรฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า และถ้าฉันไม่ปฏิบัติความจริง ฉันก็จะเดินอยู่บนเส้นทางของการต่อต้านพระเจ้า นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงต้องการผู้คนที่สามารถกระทำตามพระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ และไม่ใช่ผู้นำที่ยึดมั่นในคุณธรรมตามวัฒนธรรมดั้งเดิม ไล่ตามไขว่คว้าการยกย่องจากผู้อื่น และไม่ปฏิบัติความจริง เมื่อคิดเช่นนั้น ฉันก็ตระหนักว่าฉันต้องเปลี่ยนวิธีในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ฉันไม่สามารถทำตามปรัชญาทางโลกต่อไปได้ ในขณะที่มีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงหรือในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ฉันต้องช่วยพี่น้องชายหญิงแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นของพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาทุกคนจะได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามหลักธรรมความจริง นั่นคือความรับผิดชอบของฉัน ในพระวจนะของพระเจ้า ฉันพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ ดังนั้น ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า และทูลขอให้พระองค์ทรงนำฉันในการปฏิบัติความจริงเพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามของฉัน
ต่อมา ฉันได้อ่านบางอย่างในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “สิ่งที่ผู้คนควรเพียรพยายามที่จะสัมฤทธิ์ที่สุดคือการทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของพวกเขา และทำให้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในความสว่างและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนบุคคลปกติธรรมดา หากเจ้าปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ในความสว่าง เจ้าก็ควรกระทำการตามความจริง เจ้าควรเป็นคนซื่อสัตย์ที่กล่าวคำพูดที่ซื่อสัตย์ และทำสิ่งที่ซื่อสัตย์ สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือการมีหลักธรรมความจริงในการวางตัวของคนเรา ทันทีที่ผู้คนสูญเสียหลักธรรมความจริงและมุ่งเน้นที่พฤติกรรมอันดีงามเท่านั้น นี่ย่อมก่อให้เกิดความเทียมเท็จและการเสแสร้งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หากไม่มีหลักธรรมในการวางตัวของผู้คน เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะดีงามเพียงใด พวกเขาก็คือคนหน้าซื่อใจคด พวกเขาอาจสามารถชักพาผู้อื่นให้หลงผิดได้ชั่วระยะหนึ่ง แต่จะไม่มีวันไว้วางใจพวกเขาได้ ต่อเมื่อผู้คนกระทำการและวางตนตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีรากฐานที่แท้จริง หากพวกเขาไม่วางตนตามพระวจนะของพระเจ้า และมุ่งเน้นเพียงการเสแสร้งว่าประพฤติดีเท่านั้น นี่จะส่งผลให้พวกเขาสามารถกลายเป็นคนดีได้กระนั้นหรือ? แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้ คำสอนและพฤติกรรมอันดีงามไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของเขาได้ มีเพียงความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ความคิด และข้อคิดเห็นอันเสื่อมทรามของผู้คน และกลายเป็นชีวิตของพวกเขาได้… ในกรณีพิเศษบางกรณีก็จำเป็นต้องเปิดโปงข้อผิดพลาดของผู้อื่นโดยตรงและตัดแต่งพวกเขา เพื่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงและมีหัวใจที่สำนึกกลับใจ เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะสัมฤทธิ์ผลได้ การปฏิบัติเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างใหญ่หลวง เป็นการช่วยเหลือพวกเขาอย่างแท้จริงและยังความเจริญใจแก่่พวกเขามิใช่หรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (3)) พระวจนะของพระเจ้าชี้ให้เห็นเส้นทางสำหรับฉันในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ฉันจำเป็นต้องประพฤติและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า และใช้ความจริงเป็นเกณฑ์ของฉัน ฉันต้องเลิกอำพรางตัวเองด้วยพฤติกรรมที่ดูเหมือนดีภายนอก และฉันจำเป็นต้องปฏิบัติความจริงและกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เมื่อฉันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งขัดต่อหลักธรรมความจริง หรือเมื่อฉันเห็นพี่น้องชายหญิงปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยอาศัยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ฉันจำเป็นต้องซื่อสัตย์กับพวกเขา และปฏิบัติต่อพวกเขาตามหลักธรรม เมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือผ่านการสามัคคีธรรม ฉันก็ต้องสามัคคีธรรมและช่วยพวกเขา เมื่อมีบางอย่างที่ต้องชี้ให้ใครเห็น ฉันก็ต้องชี้ให้เห็น เมื่อใครต้องการการตัดแต่ง ฉันก็ต้องตัดแต่งพวกเขา มีเพียงการทำสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น ที่จะทำให้พี่น้องชายหญิงตระหนักได้ว่ามีความเบี่ยงเบนในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง และพลิกสถานการณ์ได้ทันท่วงที นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยพวกเขาได้อย่างแท้จริง ฉันต้องสร้างความสัมพันธ์ของฉันกับพวกเขาบนรากฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า นั่นคือสิ่งที่ความสัมพันธ์ปกติระหว่างผู้คนควรเป็น หลังจากที่ฉันเข้าใจเส้นทางในการปฏิบัติความจริงแล้ว ฉันก็บอกกับตัวเองว่า “อย่ากลัวที่จะพูดถึงข้อผิดพลาดของคนอื่น และอย่าเอาแต่พูดสิ่งดีๆ กับพวกเขาตลอดเวลา พระเจ้าทรงเกลียดชังผู้ที่อำพรางตัวเองและหลอกลวงผู้อื่น คำพูดและการกระทำของฉันต้องสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า และฉันควรทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง” ต่อมา เมื่อฉันเห็นโจนขี้เกียจอีกครั้ง แม้ว่าฉันจะยังกังวลว่าฉันจะสูญเสียภาพลักษณ์ที่ดีในใจของเธอไปถ้าฉันชี้ให้เธอเห็นโดยตรง แต่ฉันก็นึกย้อนไปถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนต่างๆ ที่ฉันเคยอ่านมาก่อน และตระหนักว่าฉันยังคงทำตามแนวคิดของการเป็นคนที่เข้าหาง่ายและมีไมตรีจิต ในลักษณะการวางตนและการประพฤติตนของฉัน ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันในการปฏิบัติความจริง หลังจากนั้น ฉันก็ไปหาโจนและพูดกับเธอว่า “เพราะคุณทำหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินและไม่มีความรับผิดชอบ ผู้มาใหม่หลายคนจึงไม่มาเข้าร่วมการชุมนุม การทำหน้าที่ของคุณแบบนี้ทำให้การเข้าสู่ชีวิตของผู้มาใหม่และงานของคริสตจักรล่าช้าจริงๆ” หลังจากชี้ให้เห็นปัญหาของเธอแล้ว ฉันก็สามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของตัวเองด้วย ฉันคิดว่าเธอจะโกรธและไม่สนใจฉัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฉันประหลาดใจ ไม่เพียงแต่เธอไม่โกรธ เธอยังทบทวนตัวเองและพูดว่า “นี่คือข้อบกพร่องของฉัน และฉันจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงมัน” หลังจากนั้น โจนก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของเธออย่างขยันขันแข็ง และผู้มาใหม่ที่เธอให้น้ำก็เข้าร่วมการชุมนุมอย่างสม่ำเสมอมากขึ้น ความสัมพันธ์ของเราไม่ได้พังทลายลงเพราะฉันให้คำแนะนำและช่วยเธอ แต่มันกลับดีขึ้นจริงๆ ต่อมา เมื่อฉันเห็นเธอเผยความเสื่อมทรามบางอย่างออกมาอีกครั้ง ฉันก็แค่ชี้ให้เธอเห็นโดยตรง และเธอก็สามารถยอมรับคำแนะนำของฉันและรู้จักตัวเองได้ ตอนนี้ ท่าทีต่อหน้าที่ของเธอเปลี่ยนไปมาก และเธอก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันยังชี้ให้เห็นปัญหาของเอ็ดน่าและแอนน์ด้วย เอ็ดน่าตระหนักถึงความโอหังและความทะนงตนของเธอ และบอกว่าเธอต้องเปลี่ยนวิธีในการพูดคุยกับผู้อื่น แอนน์ก็รู้จักอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเองเช่นกัน และบอกว่าเธอยินดีที่จะเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้ทำให้ฉันมีความสุขมาก ขอบคุณพระเจ้า! พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้!
ประสบการณ์เหล่านี้แสดงให้ฉันเห็นว่า คนที่ดีอย่างแท้จริงไม่ใช่คนที่ภายนอกดูเหมือนมีพฤติกรรมดีอย่างที่ผู้คนเชื่อกัน แต่เป็นคนที่กระทำและประพฤติปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า ปฏิบัติความจริง และเป็นคนที่ซื่อสัตย์ นี่คือคนประเภทที่พระเจ้าทรงรัก ฉันยังตระหนักด้วยว่าเมื่อเห็นปัญหาของพี่น้องชายหญิง ฉันจำเป็นต้องสามัคคีธรรมและช่วยพวกเขาทันที เปิดโปงและตัดแต่งพวกเขาเมื่อจำเป็น นี่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตนเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามและทำหน้าที่ของตนตามหลักธรรม นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยพี่น้องชายหญิงของฉัน ตอนนี้ฉันไม่กลัวที่จะชี้ให้พวกเขาเห็นปัญหาของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรกับฉัน ฉันจะฝึกฝนการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ยึดมั่นในหลักธรรม และปกป้องงานของคริสตจักร ขอบคุณพระเจ้า!