60. ภาระของความหน้าซื่อใจคด

โดย ซู หว่าน, ประเทศจีน

ในเดือนสิงหาคมปี 2020 ฉันถูกปลดจากตำแหน่งผู้นำเพราะว่า ฉันไล่ตามสถานะและขาดความเชี่ยวชาญ ในเวลานั้น ฉันรู้สึกแย่และสำนึกเสียใจอย่างมาก หลังจากนั้นฉันอยากกลับใจ และทำหน้าที่ให้ดี ต่อมา ทางคริสตจักรก็จัดให้ฉันอยู่ทีมผลิตวิดีโอกับพี่น้องหญิงคนอื่นๆ

มีวันหนึ่ง ฉันคุยกับพวกเธอถึงเรื่องความคิดของฉันหลังจากที่ถูกปลดออก แล้วหนึ่งในนั้น พี่หยาง ก็บอกฉันว่านั่นเป็นประโยชน์สำหรับเธอจริงๆ จากนั้น ฉันก็สังเกตเห็นว่าเธอมองฉันด้วยสายตาต่างไปจากเดิม เวลาที่ฉันพูด ในการชุมนุมต่างๆ เธอก็ตั้งใจฟังมาก และพยักหน้าตาม ปกติเธอจะเห็นด้วยกับความเห็นของฉัน และในแต่ละวัน เธอก็ดูเป็นห่วงเป็นใยฉันมากขึ้นอีกด้วย ในตอนนั้น ฉันคิดว่าเธอดูยกย่องเทิดทูนฉัน คิดว่าฉันก็แค่พูดถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ และดูเหมือนว่าได้กลับใจ ฉันจึงควรทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าพวกเขาไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวฉันเลย พวกเขาจะคิดยังไง? พวกเขาจะคิดว่าฉันดีแต่พูดไปเรื่อยเปื่อย และไม่ปฏิบัติความจริงไหม? ตอนนั้น ฉันค่อนข้างเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันมักจะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อผลิตวิดีโอ และหลังของฉันจะปวดไปหมด จนฉันอยากจะพักผ่อน แต่ฉันก็กลัวคนอื่นๆ จะคิดว่าฉันทำตัวขี้เกียจ คิดว่าฉันพูดเรื่องทำหน้าที่ของฉันให้ดี แต่ฉันไม่ได้ทำอะไร เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงๆ เลยสักนิด ดังนั้น แม้ฉันจะเหนื่อยฉันก็ไม่พัก เพราะกลัวว่าคนอื่นๆ จะคิดว่าฉันไม่จริงจังกับหน้าที่ ถึงฉันจะง่วง ฉันก็ไม่ยอมไปนอน ถึงแม้ฉันจะทำงานเสร็จแล้ว ฉันก็จะบังคับตัวเองให้ทำงานต่อไปจนถึง 5 ทุ่มครึ่งหรือเที่ยงคืน บางครั้งฉันก็อดหลับอดนอนทั้งคืน จนตื่นเช้าไม่ไหว แต่ฉันก็จะบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นพร้อมคนอื่น ฉันกลัวว่าคนอื่นจะมองฉันไม่ดีสินะคะ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันเห็นว่าพี่หยางมีวิดีโอต้องทำสองเรื่อง ฉันก็ไม่ได้มีความคิดที่จะช่วยเธอ เพราะว่าวิดีโอทั้งสองเรื่องนั้น มีความยากและซับซ้อน ซึ่งฉันไม่อยากทำความเข้าใจ แต่ฉันก็รู้ว่า ฉันไม่มีโครงการใดๆ ของตัวเองเลย ดังนั้นถ้าฉันไม่เสนอตัวเข้าช่วยเหลือ ก็จะดูไม่เหมือนกับว่าฉันพยายามทำหน้าที่ให้ดี และพี่น้องหญิงของฉันก็จะคิดว่าฉันนั้นดีแต่พูด และไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเลย ดังนั้นฉันก็เลย เดินตรงเข้าไปบอกกับพี่หยางว่า ฉันช่วยเธอทำวิดีโอพวกนั้นได้

ดูราวกับว่า ฉันกำลังทุ่มเททำหน้าที่ของตัวเอง แต่ในใจฉันกลับรู้ดีว่า ที่ฉันทำไปทั้งหมดก็เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเอง ฉันรู้สึกไม่สบายใจ และอยากจะเปิดใจกับคนอื่นๆ ถึงเรื่องแรงจูงใจของฉัน แต่ฉันก็กลัวว่า พวกเขาจะรู้ว่าที่ผ่านมาฉันมีเจตนาแอบแฝงมาโดยตลอด และพวกเขาจะคิดว่าฉันยังไม่ได้กลับใจ และฉันไม่ได้ปฏิบัติความจริง พวกเขาคงจะมองว่าฉันเป็นคนหน้าซื่อใจคด และปฏิเสธทุกอย่างที่ฉันพูดว่าได้เรียนรู้หลังจากที่ฉันถูกปลด ความคิดนั้นทำให้ ฉันอึก​อักที่จะตีแผ่ตัวเอง ดังนั้นในการชุมนุม ฉันเอาแต่พูดถึงเรื่องความเสื่อมทรามที่คนอื่นๆ พากันพูดถึง และประสบการณ์ดีๆ บางส่วน ในขณะที่ซ่อนเร้นความคิดอันอัปลักษณ์ไว้ภายในใจลึกๆ ในเมื่อฉันแค่แบ่งปันเกี่ยวกับสิ่งดีๆ เท่านั้น ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง พี่หยางสรรเสริญฉันเรื่องปฏิบัติความจริง และแบ่งปันสามัคคีธรรมที่ยอดเยี่ยม ต่อมา ฉันได้ยินว่าพี่น้องหญิงสองคนพูดว่าฉันไล่ตามความจริงจริงๆ ฉันเปิดใจเรื่องความเสื่อมทรามของตัวเองตรงๆ และทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ฉันรู้สึกพอใจทีเดียว แต่กลับรู้สึกละอายใจเสียยิ่งกว่า เพราะว่าฉันรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาพากันพูดถึง ไม่ได้ตรงกับความเป็นจริงของฉันเลยสักนิด ฉันไม่ได้ตรงไปตรงมาเลย และฉันไม่เคยเปิดใจเกียวกับความเสื่อมทรามอันอัปลักษณ์ในตัวฉันเลย ฉันมีแรงจูงใจเบื้องหลังความกระตือรือร้นในหน้าที่ของฉัน ฉันรู้สึกเหมือนว่ามันเลวร้ายมาก ทุกคนต่างก็หลงเชื่อฉากหน้าอันหลอกลวงของฉันเสียสนิท ฉันทำอะไรได้บ้าง? ฉันรู้สึกผิดจริงๆ และฉันอยากจะเปิดใจกับพวกเขา เพื่อเลิกหลอกลวงพวกเขา แต่ฉันก็กลัวว่าถ้าฉันเปิดใจออกไป ทุกคนก็จะรู้เกี่ยวกับความคิดอันอัปลักษณ์ของฉัน ถ้าพวกเขารู้ว่าการกลับใจของฉันเป็นแค่ความหน้าซื่อใจคด การตบตา พวกเขาก็จะมองฉันออก และคิดว่าฉันเป็นคนฉลาดแกมโกง และชั่วร้าย ภาพลักษณ์ที่ดีของฉันจะเสียหาย และจะไม่มีใครยกย่องนับถือฉัน จากนั้นฉันก็สูญเสียความกล้าที่จะเปิดใจของฉันให้กับคนอื่นๆ

ฉันคิดใคร่ครวญ และทบทวนตัวเอง อยู่ตลอดเวลา และฉันอ่านพระวจนะบางส่วน พระเจ้าตรัสว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าอันที่จริงแล้วพวกฟาริสีเป็นใคร?  มีพวกฟาริสีรอบตัวพวกเจ้าบ้างหรือไม่?  เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงถูกเรียกว่า ‘พวกฟาริสี’?  สิ่งใดคือคำจำกัดความของนามว่า ‘ฟาริสี’?  พวกเขาเป็นผู้คนที่หน้าซื่อใจคด ปลอมอย่างสิ้นเชิง และเล่นละครตบตาในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ ขณะที่แสร้งทำตัวเป็นคนดี ใจดี และเป็นบวก  พวกเขาเป็นเหมือนดังนี้จริงๆ หรือ?  ด้วยเหตุว่าพวกเขาเป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทุกสิ่งทุกอย่างที่สำแดงและเปิดเผยในตัวพวกเขาจึงเทียมเท็จ เป็นการเสแสร้งทั้งสิ้น—ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขา  ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาซ่อนเร้นอยู่ภายในหัวใจของพวกเขา อยู่นอกสายตา  หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และหากพวกเขาไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับทฤษฎีเหล่านั้นที่พวกเขาได้รับไว้แล้ว?  ทฤษฎีเหล่านั้นไม่กลายเป็นตัวอักษรและหลักคำสอนที่ผู้คนอ้างอิงถึงบ่อยๆ หรอกหรือ?  ผู้คนใช้สิ่งที่เรียกว่าหลักคำสอนที่ถูกต้องเหล่านี้เพื่ออำพรางและตกแต่งตัวพวกเขาเองอย่างดีเหลือเกิน  ที่ใดก็ตามที่พวกเขาไป สิ่งที่พวกเขาคุยกัน สิ่งที่พวกเขาพูด และพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาล้วนดูเหมือนถูกต้องและดีต่อผู้อื่น ทั้งหมดนั้นสอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดและรสนิยมของมนุษย์  ในสายตาของผู้อื่น พวกเขาทั้งเคร่งศาสนาและถ่อมใจ สามารถมีความอดกลั้นและความอดทน และสามารถรักผู้อื่นและรักพระเจ้าได้  แต่อันที่จริงแล้ว ทั้งหมดนี้ปลอม ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การเสแสร้ง และเป็นหนทางหนึ่งที่พวกเขาตกแต่งตัวพวกเขาเอง  ภายนอกแล้วพวกเขาดูเหมือนจงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่อันที่จริงแล้ว พวกเขาเพียงแค่กำลังแสดงให้ผู้อื่นมองเห็น  เมื่อไม่มีใครกำลังมองดูอยู่ พวกเขาก็ไม่จงรักภักดีแม้แต่น้อย และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำก็เป็นแบบขอไปที  ดูภายนอกแล้ว พวกเขาได้ทิ้งครอบครัวและอาชีพของพวกเขา โดยดูเหมือนทำงานหนักและสละตัวพวกเขาเอง อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังดำเนินงานของพวกเขาเอง หากำไรจากคริสตจักร และลอบลักเครื่องบูชา  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเปิดเผยภายนอก—พฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขานั้น—ปลอม  นี่คือสิ่งที่หมายถึงคนฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด(“หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  นี่ทำให้ฉันคิดถึง พวกฟาริสีที่ภายนอกดูมีศรัทธาอย่างมาก ถ่อมตน และดีงาม พวกเขามักจะยืนอยู่บนถนน อธิษฐานและอธิบายพระคัมภีร์ แต่พวกเขาไม่ได้ทำตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาสวมหน้ากาก ทำให้ตัวเองดูดี เพื่อหลอกลวงผู้คน เพื่อสร้างความประทับใจผิดๆ ให้ผู้คน พวกเขาจะได้เป็นที่เลื่อมใส ตอนนั้นฉันทำตัวเหมือนฟาริสีหน้าซื่อใจคดพวกนั้นไม่มีผิดเลยไม่ใช่เหรอคะ? พอฉันคิดย้อนกลับไป ตอนฉันพูดถึงเรื่องสิ่งที่ได้เรียนรู้หลังจากถูกปลด พี่น้องหญิงเหล่านั้นนับถือฉันอยู่บ้าง ตอนที่ฉันว่าต้องการกลับใจอย่างแท้จริง ฉันกลัวว่าถ้าฉันไม่กระตือรือร้นในหน้าที่ ก็อาจจะทำลายความประทับใจดีๆ ที่พวกเขามีต่อฉัน ฉันก็เลยแสร้งทำเพื่อเก็บซ่อนตัวตนที่แท้จริง เพื่ออำพรางตัวเอง ฉันไม่กล้าพักตอนที่เหนื่อยล้า หรือนอนในคืนที่เหน็ดเหนื่อย และฝืนไม่ยอมเข้านอนจนนอนหลับไม่เพียงพอ ฉันไม่อยากช่วยพี่หยางทำวิดีโอนั้น แต่ฉันอยากให้เธอยกย่องนับถือฉัน ฉันก็เลยแสร้งทำว่ายินดีจะช่วยเธอ ฉันรู้ว่าฉันมีแรงจูงใจที่ผิดในหน้าที่ แบบที่พระเจ้าจะทรงไม่เห็นชอบ และฉันควรเปิดใจกับคนอื่นๆ แต่เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเอง ฉันซ่อนแรงจูงใจอันไม่พึงปรารถนาเหล่านั้น และไม่ปริปากบอกใคร แล้วพี่น้องหญิงเหล่านั้นก็ค่อนข้างยกย่องนับถือฉัน และเป็นห่วงเป็นใยฉันมากกว่า โดยทั่วไป ฉันกำลังหลอกลวงพวกเขาอยู่ ไม่ใช่เหรอคะ? ฉันเห็นว่าฉันฉลาดแกมโกงจริงๆ และฉันอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด ตอนนั้นฉันเสแสร้างแกล้งทำอยู่ตลอดเวลา มันทั้งน่าเหน็ดเหนื่อย และทำให้ฉันรู้สึกผิด อีกทั้ง พระเจ้าก็ทรงไม่เห็นชอบ หลังจากเห็นว่าปัญหานี้ร้ายแรงแค่ไหน ฉันก็รวบรวม ความกล้าในการชุมนุมครั้งหนึ่งเพื่อเปิดใจกับเหล่าพี่น้องหญิงเกี่ยวกับแรงจูงใจ และความหน้าซื่อใจคดของฉัน หลังจากนั้น ฉันก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก แต่ฉันก็รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะแก้ไขแรงจูงใจของตัวเองให้ถูกต้อง ฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้ทำหน้าที่ ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์​และซื่อสัตย์

แล้วฉันก็ ดูวิดีโอประสบการณ์ของใครบางคน ซึ่งมีพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าไม่ทรงทำให้พวกที่หลอกลวงมีความเพียบพร้อม  หากหัวใจของเจ้าไม่ซื่อสัตย์—หากเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่มีวันทรงรับเจ้าไว้  ในทำนองเดียวกัน เจ้าจะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่สามารถได้รับพระเจ้าอีกด้วย(“หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  นี่ช่างปวดร้าวและลำบากยากเย็นสำหรับฉันจริงๆ ฉันเป็นคนฉลาดแกมโกง ด้วยหัวใจของฉัน ที่เต็มไปด้วยความมืดมิดและชั่วร้าย เต็มไปด้วยเล่ห์กล ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องความจริงหรือหน้าที่ของฉัน กลับคิดถึงแต่การได้รับการยกย่องนับถือ คิดถึงวิธีสร้างความประทับใจที่ดีต่อผู้อื่น แม้แต่เมื่อมาถึงเรื่องนอน ฉันก็เป็นกังวลและคิดคำนวณในเรื่องนั้น พระเจ้าทรงชอบคนซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา และคนซื่อสัตย์เท่านั้นที่ได้รับความเห็นชอบและความรอดของพระองค์ได้ แต่แรงจูงใจและจุดเริ่มต้นของฉันนั้นฉลาดแกมโกงและชั่วร้ายเสมอ ไม่ว่าฉันจะแต่งตัวดีและได้รับความเคารพบูชาจากทุกคนแค่ไหน พระเจ้าก็ไม่มีทางทรงเห็นชอบ ดังนั้นสุดท้ายฉันก็จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจและสาปแช่งเหมือนฟาริสีหน้าซื่อใจคดพวกนั้น ในเวลานั้น ฉันผิดหวังในตัวเองมากค่ะ ตลอดหลายปีแห่งความเชื่อเหล่านั้น ฉันไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง ในฐานะของสิ่งพื้นฐานแบบเดียวกับความซื่อสัตย์ และฉันก็ฉลาดแกมโกงเหมือนที่ผ่านมา ฉันห่างไกลจากสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จริงๆ และเป็นคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

จากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง พระเจ้าตรัสว่า “ในทุกเรื่อง เจ้าควรเปิดกว้างต่อพระเจ้าและเจ้าควรเปิดเผยตรงไปตรงมา—นี่คือภาวะและสภาวะเดียวเท่านั้นซึ่งควรได้รับการธำรงไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  แม้ในยามที่เจ้าไม่เปิดกว้าง เจ้าก็เปิดกว้างเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  พระเจ้าทรงรู้ ไม่ว่าเจ้าจะเปิดกว้างหรือไม่  เจ้าไม่โง่หรอกหรือหากเจ้าไม่สามารถเห็นการนั้นได้?  ดังนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถมีปัญญาได้อย่างไร?  เจ้ารู้ว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์และทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นแล้ว จงอย่าคิดว่าพระองค์อาจจะไม่ทรงรู้ เนื่องจากเป็นที่แน่นอนว่า พระเจ้าทอดพระเนตรความรู้สึกนึกคิดของผู้คนอย่างลับๆ ผู้คนคงจะมีปัญญาหากเปิดเผยตรงไปตรงมามากขึ้นสักหน่อย ปราศจากราคีมากขึ้นสักหน่อย และซื่อสัตย์—นั่นเป็นสิ่งอันหลักแหลมที่จะทำ(“พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่สอง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)  พออ่านบทตอนนี้ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองโง่เขลามากค่ะ พระเจ้าทรงเห็นจิตใจของเรา พระองค์จึงทรงรู้แรงจูงใจของฉัน และรู้ว่าฉันเป็นคนประเภทไหน ดีกว่าใครๆ ไม่ว่าฉันจะซ่อนความเสื่อมทรามของฉันจากพี่น้องหญิงเหล่านั้นยังไง พระเจ้าก็ทรงล่วงรู้ ในฐานะผู้เชื่อที่ไม่ต้องการ ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า ฉันไม่ใช่ผู้ปราศจากความเชื่อเหรอ? ฉันรู้สึกสมเพชมาก ความพยายามแสร้งทำเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและกลับใจอย่างแท้จริง เพื่อให้ได้รับความยกย่องนับถือ ทำให้ฉันสำลักจริงๆ ค่ะ เวลาเราเหนื่อย หรือง่วงนอนก็จำเป็นต้องพัก มันเป็นเรื่องธรรมชาติมากสำหรับมนุษย์ อีกอย่าง การพักผ่อนเป็นการเติมพลังแล้วฉันก็ทำหน้าที่ได้ดีขึ้น และจะไม่มีใครกล่าวโทษว่าเป็นการขี้เกียจหรือตามใจตัวเอง แต่ฉันพยายามปฏิเสธความต้องการขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ คิดถึงแต่ว่าจะทำให้ผู้คนเคารพยกย่องฉันยังไง มันน่าเหน็ดเหนื่อยมากค่ะ พระเจ้าตรัสว่าคนฉลาดต้องเรียนรู้ที่จะจริงใจ ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าและซื่อสัตย์ เป็นทางเดียวที่จะใช้ชีวิตอิสระ พอถึงจุดนั้น ฉันก็ไม่อยากเสแสร้งอีกต่อไป เวลาที่ฉันเหนื่อย ฉันก็จะหยุดพัก และเข้านอนเมื่อง่วงนอนตอนกลางคืนค่ะ ฉันเปิดใจถึงสภาวะจริงของฉันในการชุมนุม และลุล่วงความรับผิดชอบในหน้าที่ของฉันอย่างแข็งขัน เมื่อเจอความลำบากยากเย็น ฉันก็บอกตัวเองว่าเป็นหน้าที่ของฉัน และไม่ใช่สำหรับให้คนอื่นเห็น เมื่อไหร่ที่ฉันอยากเสแสร้งแกล้งทำ ฉันก็จะคิดถึงพระวจนะเหล่านี้ “บรรดาผู้ที่มีความสามารถในการนำความจริงมาปฏิบัติ ย่อมสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้เมื่อทำสิ่งทั้งหลาย  เมื่อเจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า หัวใจของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไขให้เข้าใจถูกต้อง(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  นั่นจะช่วยให้ฉันตรงไปตรงมา และพร้อมยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้ามากขึ้น

หลังผ่านไปสักพัก ฉันก็สังเกตว่าพี่เฉินหงุดหงิดและรำคาญพี่หยางนิดหน่อย เวลาที่สอนเธอบางอย่าง พี่หยางมีอาการต่อต้าน และไม่อยากเรียนรู้ และเกิดอคติกับพี่เฉิน ฉันคิดว่า ฉันมีส่วนช่วยการอบรมนี้ได้ พวกเธอจะได้เห็นว่าฉันเป็นคนน่ารักและใจเย็น แล้วก็จะชอบฉันมากขึ้น สุดท้าย ฉันก็ทำแบบนั้นไปจริงๆ ค่ะ ตอนแรกฉันก็ใจเย็นและพูดกับเธออย่างอ่อนโยนจริงๆ แต่พอฉันเห็นว่าเธอเรียนรู้ได้ช้าและทำผิดพลาดเยอะมาก ฉันก็เริ่มรำคาญใจค่ะ ฉันรู้สึกว่าเธอหัวช้ามาก แล้วก็เริ่มดูหมิ่นดูแคลนเธอ แต่ฉันก็ระงับอารมณ์เอาไว้และสอนต่อไป ฉันรู้ว่าอารมณ์ของฉันกำลังปะทุขึ้น แต่ฉันไม่เปิดใจเรื่องความรู้สึกที่แท้จริงของฉันในการชุมนุม เพราะฉันมัวแต่กังวลว่า ถ้าฉันพูดอะไรออกไป พวกพี่น้องหญิงก็จะคิดว่าฉันไม่ยุติธรรมเหมือนกับพี่เฉิน ขาดความรักและความอดทน และนั่นจะทำลายภาพลักษณ์ของฉัน อีกอย่าง ในการปฏิสัมพันธ์ปกติของเรา เวลาฉันเห็นคนอื่นแสดงความเสื่อมทราม หรือมีความคิดลบ ฉันก็จะรู้สึกดูถูกเหยียดหยามพวกเขา ถึงแม้ว่าฉันจะแสร้งทำเป็นเข้าอกเข้าใจและห่วงใย ฉันก็ไม่เคยวางแผนจะแบ่งปันเรื่องทั้งหมดนั้น เนื่องจากกลัวว่าพวกเขาจะพูดว่าฉันขาดความเห็นอกเห็นใจและเข้าด้วยได้ยาก

วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ฉันได้รับจดหมายจากผู้นำบอกว่าฉันต้องไปทำหน้าที่ที่อื่นในวันรุ่งขึ้น พี่น้องหญิงต่างบอกว่าเสียใจที่เห็นฉันไป พี่หลี่พูดว่าสามัคคีธรรมของฉันสอนใจและเป็นประโยชน์สำหรับเธอแค่ไหน ว่าฉันยุติธรรมกับคนอื่นจริงๆ และไม่เคยเย่อหยิ่งเลย อีกทั้งคนที่เข้าใจ และไล่ตามความจริง ไปที่ไหนก็มีแต่คนต้อนรับ การได้ยินเธอสรรเสริญเยินยอฉันขนาดนั้น ทำให้ฉันลำบากใจทีเดียวค่ะ ฉันบอกเธอไม่ให้สรรเสริญหรือยกย่องคนอื่นเกินไป มันไม่ดีสำหรับพวกเขา หลังจากนั้นฉันก็ได้คุยกับพี่หยาง เธอไม่ได้สรรเสริญฉันตรงๆ แต่ฟังได้จากน้ำเสียงของเธอว่าเธอมองฉันในทางเดียวกับพี่หลี่เลยค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักกดทับหัวใจฉัน ห่วงกังวลว่าฉันได้ทำให้พวกเขาหลงผิด และฉันก็มีปัญหา แต่พอมองมันอีกมุมหนึ่ง ฉันคิดว่าฉันมีอุปนิสัยเสื่อมทราม แต่ฉันก็พยายามทบทวนตัวเอง และอาจเป็นว่าฉันดีกว่าพวกเธอในเรื่องนั้น พวกเธอจึงเคารพยกย่องฉัน พอคิดแบบนั้น ฉันก็ปัดความกังวลเหล่านั้นออกไปจากใจและไม่คิดถึงมันอีกค่ะ

ตอนนั้น ฉันเห็นวิดีโอคำพยานเรื่อง การกลับใจของคนหน้าซื่อใจคด ที่พี่น้องหญิงคนหนึ่งพูดถึงเรื่องการแบ่งปันแต่สิ่งดีๆ ในการสามัคคีธรรมของเธอ และคนอื่นๆ ต่างก็เคารพนับถือเธอ เธอถูกปลดออก แต่พี่น้องชายหญิงก็ยังลงคะแนนให้เธออย่างเป็นเอกฉันท์ ให้รับหน้าที่นั้นอีกครั้ง รู้สึกว่าพวกเขาขาดเธอไม่ได้ บางคนเคารพนับถือเธอมากเสียจนเกือบจะปฏิบัติต่อเธอเหมือนพระเจ้า วิดีโอนี้ ปลุกฉันจริงๆ ว่า มันเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก ฉันคิดถึงเรื่องที่พักหลังมานี้คนอื่นๆ ชื่นชมนับถือฉันแค่ไหน และคิดว่าฉันอาจจะเหมือนพี่น้องหญิงคนนั้น พูดถึงแต่การเข้าสู่ในด้านบวก และฉันอาจจะจำเป็นต้องทบทวนตัวเอง จากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ต่อหน้าผู้อื่น พวกศัตรูของพระคริสต์เสแสร้งแกล้งทำเป็นสามารถยอมผ่อนปรน อดกลั้น อ่อนน้อมถ่อมตน และสามารถใจดีมีเมตตาอย่างยิ่ง  สำหรับทุกคนแล้ว พวกเขาดูเหมือนใจกว้างและเอื้อเฟื้อ  หากยื่นปัญหาสักอย่างให้และมอบสิทธิอำนาจแก่พวกเขาบ้าง พวกเขาก็ดูจะจัดการรับมือปัญหานั้นได้ในทุกแง่มุมด้วยความปรานี โดยไม่คิดเล็กคิดน้อย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาประเสริฐเพียงใด  ศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ครองแก่นแท้ทั้งหลายดังกล่าวอย่างแท้จริงหรือไม่?  อะไรคือจุดมุ่งหมายเบื้องหลังความใจดีมีเมตตา ความยอมผ่อนปรน และการใส่ใจต่อผู้อื่นของพวกเขา?  พวกเขาจะทำสิ่งทั้งหลายดังกล่าวหรือไม่หากนั่นไม่ใช่การทำให้ตัวเองเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ไม่ใช่เพื่อเอาชนะใจผู้คนเหล่านั้น?  นี่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาหรือไม่?  แก่นแท้ อุปนิสัย และสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นถ่อมใจ อดกลั้น ยอมผ่อนปรน และสามารถให้ความช่วยเหลืออันเปี่ยมรักที่จริงแท้ได้อย่างที่ปรากฏจริงหรือ?  ไม่เลยแม้แต่น้อย  เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากขึ้น เพื่อเอาชนะใจผู้คนจำนวนมากขึ้น เพื่อสอดแทรกตัวเองเข้าไปอยู่กับผู้คนเหล่านั้น เพื่อทำให้ศัตรูของพระคริสต์เป็นคนแรกที่ผู้คนเหล่านั้นนึกถึงเมื่อผู้คนเหล่านั้นมีประเด็นปัญหา และเป็นผู้ที่ผู้คนเหล่านั้นเสาะแสวงเมื่อผู้คนเหล่านั้นจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ—เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายเหล่านี้ พวกศัตรูของพระคริสต์จงใจทำตัวให้เป็นที่ประทับใจ โดยกล่าวคำพูดทั้งปวงที่ถูกต้องและทำสิ่งทั้งปวงที่ถูกต้อง  ก่อนที่คำพูดทั้งหลายจะออกจากปากของพวกเขา ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาได้กลั่นกรองและปรับปรุงคำพูดเหล่านั้นใหม่ไปแล้วกี่ครั้งในหัวใจของพวกเขา ในจิตใจของพวกเขา  พวกเขาไตร่ตรองถึงการใช้คำ การเรียบเรียงถ้อยวลี และการเปล่งเสียง แม้กระทั่งการแสดงออกทางใบหน้าของพวกเขาและน้ำเสียงของพวกเขา ด้วยการคิดคำนวณและการใคร่ครวญอันยอดเยี่ยม ขณะที่พวกเขาเอ่ยสิ่งเหล่านั้นและคิดคำนึงถึงว่าพวกเขากำลังกล่าวคำพูดเหล่านี้กับใคร ผู้คนเหล่านั้นอายุเท่าใด ผู้คนเหล่านั้นอายุน้อยกว่าหรืออายุมากกว่าพวกเขา ผู้คนเหล่านั้นคิดกับพวกเขาอย่างไร ผู้คนเหล่านั้นเก็บงำความคับแค้นใจส่วนบุคคลอันใดต่อพวกเขาหรือไม่ บุคลิกภาพของผู้คนเหล่านั้นเข้ากันได้ดีกับพวกเขาหรือไม่ ผู้คนเหล่านั้นถือครองตำแหน่งประเภทใดในคริสตจักรและในท่ามกลางเหล่าพี่น้องชายหญิง ผู้คนเหล่านั้นปฏิบัติหน้าที่ใด—พวกเขาเฝ้าสังเกตและใคร่ครวญทั้งหมดนี้อย่างระมัดระวังก่อนที่จะคิดกลวิธีขึ้นมาใช้ว่าจะประพฤติตนกับผู้คนนานาอย่างไร  และไม่ว่ากลวิธีเหล่านั้นจะเป็นอะไร โดยทั่วไปแล้วศัตรูของพระคริสต์ก็มีวัตถุประสงค์เดียวกัน ไม่สำคัญว่าวัตถุประสงค์นี้มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ผู้ใดหรือบุคคลประเภทใด นั่นคือ การทำให้บุคคลนี้คิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง การพาผู้คนออกจากการดูแคลนพวกเขา ไปสู่การพิจารณาพวกเขาว่าเท่าเทียมกัน ไปจนถึงการเคารพยกย่องพวกเขา การทำให้ผู้คนฟังอย่างตั้งใจเมื่อพวกเขาพูด และให้เวลาและโอกาสที่จะพูดแก่พวกเขา การได้รับความยินยอมจากผู้คนมากขึ้นเมื่อพวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย การทำให้ผู้คนมากขึ้นช่วยให้พวกเขาพ้นจากความผิดเมื่อพวกเขาทำความผิดพลาด และการทำให้ผู้คนมากขึ้นสนับสนุนพวกเขา ช่วยพูดให้พวกเขา และพยายามที่จะต้านทานและใช้เหตุผลกับพระเจ้าเมื่อพวกเขาถูกเปิดเผยในสิ่งที่พวกเขาเป็นจริงๆ ถูกพระนิเวศของพระเจ้าละทิ้ง และถูกคริสตจักรโยนออกไป  การนี้บ่งชี้ว่าสถานภาพและอิทธิพลที่พวกเขาได้ออกแบบสร้างขึ้นอย่างจงใจเช่นนั้นฝังตัวลึกอยู่ในคริสตจักร เป็นที่ชัดเจนว่าการที่ผู้คนจำนวนมากมายเหลือเกินมอบความช่วยเหลือ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และการปกป้องแก่พวกเขาในยามที่พวกเขาสูญเสียอำนาจ ย่อมหมายความว่าความพยายามทั้งหลายของพวกเขาไม่ได้สูญเปล่า(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สิบ)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)  พระวจนะเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์แสดงว่า พวกเขาเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนที่ยอดเยี่ยม ให้ได้รับ การนับถือจากผู้อื่น นี่คือการทำให้ผู้อื่นหลงผิด ตอนนั้นฉันกำลังทำตัวเหมือนศัตรูของพระคริสต์ ฉันต้องการการชื่นชมยกย่อง ดังนั้นตอนที่ฉันกำลังฝึกฝนพี่หยาง แม้ว่าฉันจะรู้สึกเบื่อหน่าย ฉันก็ยัง ไม่แสดงออกใดๆ นอกจากความใจเย็น และเมื่อฉันเห็นความเสื่อมทรามในพี่น้องหญิงเหล่านั้น ฉันก็ดูหมิ่นดูแคลนพวกเขา แต่ฉันก็ยังเสแสร้งแกล้งทำ ไม่เคยเปิดใจกับพวกเธอคนใดเลยจริงๆ ฉันกลัวว่ามันจะทำลายภาพลักษณ์ที่พวกเธอมองฉัน นั่นเป็นการพยายามหลอกตาพวกเธอ เพื่อให้พวกเธอสรรเสริญฉันต่อไป ฉันเห็นว่าฉันฉลาดแกมโกงจริงๆ

ฉันเริ่ม คิดว่าทำไมฉันจึงไม่สามารถเลิกเสแสร้งแกล้งทำได้ มันคืออุปนิสัยอะไร? ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งซึ่งฉันอยากแบ่งปันค่ะ พระเจ้าตรัสว่า “เล่ห์ลวงเป็นที่ประจักษ์ภายนอกอยู่บ่อยครั้ง  เมื่อพูดกันว่าใครคนหนึ่งกลิ้งกลอกและฉลาดแยบยลมาก นั่นก็คือเล่ห์ลวง  แล้วอะไรหรือคือลักษณะเฉพาะหลักของความชั่ว?  ความชั่วก็คือ ในยามที่สิ่งที่ผู้คนพูดนั้นเสนาะหูเป็นพิเศษ ในยามที่ทุกอย่างดูเหมือนว่าถูกต้อง และไม่มีที่ตำหนิ และดีงามโดยไม่สำคัญว่าเจ้ามองดูสิ่งนั้นในหนทางใด แต่การกระทำของพวกเขานั้นชั่วเป็นพิเศษ และลับๆ ล่อๆ เป็นอย่างสูง และไม่สามารถหยั่งรู้ได้โดยง่าย  บ่อยครั้งที่พวกเขานำคำพูดที่ถูกต้องและวลีที่ฟังดูดีบางอย่างมาใช้ และใช้คำสอน ข้อโต้เถียง และเทคนิคเฉพาะอย่างซึ่งอยู่ในแนวเดียวกับความรู้สึกของผู้คน เพื่อหลอกตาผู้คนเหล่านั้น พวกเขาแสร้งทำทีว่าจะไปทางหนึ่งแต่อันที่จริงแล้วไปอีกทางเพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายลับของพวกเขา  นี่คือความชั่ว  โดยปกติแล้วผู้คนเชื่อว่านี่คือเล่ห์ลวง  พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับความชั่วน้อยกว่า และชำแหละความรู้นี้น้อยกว่าเช่นกัน ความชั่วนั้นอันที่จริงแล้วระบุแยกแยะได้ลำบากยากเย็นกว่าเล่ห์ลวง ด้วยเหตุที่ความชั่วนั้นซ่อนเร้นกว่า และวิธีการและเทคนิคทั้งหลายที่เกี่ยวข้องนั้นซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่า  เมื่อผู้คนมีอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงภายในตัวพวกเขา โดยปกติแล้วภายในเวลาเพียงแค่สองหรือสามวันเท่านั้นก่อนที่ผู้อื่นจะสามารถมองเห็นได้ว่า ผู้คนเหล่านั้นเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง หรือว่าการกระทำของพวกเขาและสิ่งทั้งหลายประเภทที่พวกเขาพูดนั้น เปิดเผยอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  แต่เมื่อพูดกันว่าใครคนหนึ่งชั่ว นี่ไม่ใช่บางสิ่งซึ่งสามารถหยั่งรู้ได้ในหนึ่งหรือสองวัน  ด้วยเหตุที่หากไม่มีสิ่งใดเลยที่มีนัยสำคัญหรือพิเศษเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันสั้น และหากเจ้าฟังคำพูดของพวกเขาแต่เพียงอย่างเดียว คงจะเป็นเวลาที่ยากเย็นสำหรับเจ้าในการบอกพวกเขาว่าจริงๆ แล้วพวกเขาคืออะไร  พวกเขาพูดสิ่งที่ถูกต้องและทำสิ่งที่ถูกต้อง และสามารถพรั่งพรูคำสอนได้คำแล้วคำเล่า  หลังจากอยู่กับบุคคลเช่นนั้นได้สองสามวัน เจ้าก็คิดว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ดี เป็นใครบางคนที่สามารถเลิกล้มสิ่งทั้งหลายและสละตนเองได้ ที่เข้าใจสิ่งทั้งหลายฝ่ายจิตวิญญาณ ที่มีหัวใจซึ่งรักพระเจ้า ที่ปฏิบัติตนด้วยมโนธรรมและสำนึกรับรู้  แต่แล้วเจ้าก็เริ่มไว้วางใจมอบหมายกิจทั้งหลายให้พวกเขา และในไม่ช้าเจ้าก็ตระหนักว่าพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ ว่าพวกเขาเคลือบแฝงยิ่งกว่าผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเสียด้วยซ้ำ—ว่าพวกเขาคือบางสิ่งที่ชั่ว  บ่อยครั้งที่พวกเขาเลือกคำพูดที่ถูกต้อง คำพูดซึ่งเหมาะกับความจริง ซึ่งอยู่ในแนวเดียวกับความรู้สึกของผู้คนและกับสภาวะความเป็นมนุษย์ คำพูดซึ่งฟังดูดี และคำพูดล่อลวงในการสนทนากับผู้คน ในด้านหนึ่งนั้นก็เพื่อสถาปนาตนเอง และในอีกด้านหนึ่งนั้นก็เพื่อหลอกลวงผู้อื่น เพื่อที่พวกเขาสามารถมีสถานะและเกียรติยศท่ามกลางผู้คน ซึ่งทั้งหมดนั้นทำให้พวกที่ไม่รู้เท่าทัน ผู้ที่มีความเข้าใจอันตื้นเขินเกี่ยวกับความจริง ผู้ที่ไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลายฝ่ายจิตวิญญาณ และผู้ที่ขาดพร่องรากฐานในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นเคลิบเคลิ้มอย่างง่ายดาย  นี่คือสิ่งที่ผู้คนที่มีอุปนิสัยชั่วนั้นทำ(“พวกเขาทำให้ผู้คนประหลาดใจสับสน ดึงผู้คนมาเข้าร่วม ข่มขู่ และควบคุมผู้คน” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)  นี่แสดงให้ฉันเห็นว่า เบื้องหลังทั้งหมดนั้น อุปนิสัยชั่วร้ายกำลังควบคุมฉัน ซึ่งเห็นยากกว่าที่ฉลาดแกมโกง ฉันพยายามนำผู้คนให้หลงผิด และชนะใจพวกเขาเพื่อแรงจูงใจแอบแผงของฉันเอง ฉันจึงทำสิ่งต่างๆ ที่จะดูดีและดูเหมือนสอดคล้องกับความจริง และทำให้คนอื่นๆ หลงเชื่อ ฉันก็เป็นแบบนั้นเลยค่ะ ฉันรู้ว่าทุกคนชอบคนที่ไล่ตามความจริง และมีความรักต่อผู้อื่น ว่าพวกเขาได้รับการยกย่องในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันจึงแสร้งทำเป็นคนแบบนั้น ฉันดูพร้อมจะทนทุกข์ ยอมลำบาก ทำหน้าที่ของตังเอง และแสดงความรัก และฉันทำตัวเหมือนฉันประพฤติตัวตามความจริง แต่จุดประสงค์ของฉันไม่ใช่เพื่อปฏิบัติความจริง แต่เพื่อให้ได้รับการเคารพยกย่อง ฉันอยากดูดีในสายตาของคนอื่น จับใจของพวกเขา ฉันช่างชั่วร้ายและเลวทรามจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะการพิพากษาของพระวจนะ ฉันคงคิดว่าการสวมหน้ากากเป็นแค่การฉลาดแกมโกง แต่ฉันคงไม่เห็นมันเป็นอุปนิสัยชั่วร้ายประเภทหนึ่ง นั่นเป็นวิถีทางต่อต้านพระเจ้า จริงค่ะ ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งมาก แต่ต้องการได้รับการยกย่อง และมีที่ว่างในหัวใจของคนอื่นเสมอ ช่างไร้ยางอายอะไรอย่างนั้น! พระเจ้าทรงสร้างพวกเรา เราจึงควรนมัสการพระองค์ มีเพียงพระเจ้าที่ควรอยู่ในหัวใจของเรา แต่ฉันแค่ ต้องการครอบครองหัวใจของผู้คน ต่อสู้เพื่อที่ของพระเจ้า ฉันทำตัวเหมือนอัครทูตสวรรค์ไม่มีผิด พระอุปนิสัยชอบธรรมของพระเจ้าไม่อาจถูกล่วงเกินได้ ดังนั้นถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันรู้ว่าสุดท้ายฉันจะถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งเหมือนกับพวกฟาริสี พอคิดแบบนี้ มันทำให้ฉันกลัวมากค่ะ ฉันรู้ว่าถ้าฉันเป็นเช่นนั้นต่อไป ฉันจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ฉันตกลงใจที่จะละทิ้งเนื้อหนัง เป็นคนเรียบง่ายและซื่อสัตย์

หลังจากนั้น ฉันก็พยายามละทิ้งตัวเอง และฉันก็เริ่มเปิดใจในการชุมนุมต่างๆ มีครั้งหนึ่ง ฉันแอบอู้ในการทำวิดีโอ และมันก็มีปัญหาเยอะมากเลยค่ะ การต้องทำมันใหม่ ทำให้งานของเราล่าช้า เมื่อพี่สาวคนหนึ่งบอกว่าฉันไม่มีความรับผิดชอบและพึ่งพาไม่ได้ ฉันก็รู้สึกต่อต้าน และเถียงในใจ ต่อมา ผู้นำถามฉันถึงสภาวะของฉัน ฉันคิดว่า ถ้าฉันแบ่งปันทุกอย่างจริงๆ พี่น้องชายหญิงอาจจะคิดว่าฉันไม่สามารถยอมรับความจริงได้ ว่าฉันเอาแต่แก้ต่างให้ตัวเอง แล้วทุกคนจะคิดกับฉันยังไงล่ะ? แล้วฉันก็เห็นชัดเจนว่าฉันกำลังเสแสร้งแกล้งทำอีกแล้ว ฉันจึงอธิษฐาน และนึกถึงพระวจนะนี้ พระเจ้าตรัสว่า “ทุกครั้งที่เจ้าแล้วเสร็จการทำบางสิ่ง ส่วนทั้งหลายที่เจ้าคิดว่าเจ้าได้ทำถูกต้องนั้นต้องได้รับการนำขึ้นมาเพื่อการพินิจพิเคราะห์—และที่มากกว่านั้น ส่วนที่เจ้าคิดว่าเจ้าได้ทำผิดพลาดนั้นก็ยังต้องได้รับการนำขึ้นมาเพื่อการพินิจพิเคราะห์ด้วยเช่นกัน  การนี้พึงประสงค์ให้เหล่าพี่น้องชายหญิงใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นในการสามัคคีธรรม แสวงหา และช่วยเหลือแบ่งเบากันและกัน  ยิ่งพวกเราสามัคคีธรรมมากขึ้นเท่าใด ความสว่างก็ยิ่งเข้าสู่หัวใจของพวกเรามากขึ้นเท่านั้น เมื่อนั้นพระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเราในเรื่องของประเด็นปัญหาทั้งหมดของพวกเรา  หากไม่มีผู้ใดเลยในบรรดาพวกเราที่พูดขึ้นมา และพวกเราทั้งหมดก็แค่อำพรางตัวพวกเราเองให้ดูดี โดยหวังว่าจะทิ้งความประทับใจอันดีไว้ในจิตใจของคนอื่น และต้องการให้พวกเขาคิดถึงพวกเราในแง่ดีและไม่พูดเยาะเย้ยพวกเรา เช่นนั้นแล้วพวกเราย่อมจะไม่มีวิถีทางที่จะเติบโต  หากเจ้าอำพรางตัวเจ้าเองให้ดูดีอยู่เสมอ เจ้าจะไม่เติบโต และเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ในความมืดไปตลอดกาล  เจ้ายังจะไม่สามารถแปลงสภาพได้ด้วยเช่นกัน  หากเจ้าปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องจ่ายราคา ตีแผ่ตัวเจ้าเอง และเปิดใจต่อคนอื่น และโดยการทำเช่นนั้น เจ้าจะทำประโยชน์ต่อทั้งตัวเจ้าเองและผู้คนอื่นๆ(“การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  นี่ให้เส้นทางปฏิบัติแก่ฉัน ฉันต้องยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า และไม่ว่าคนอื่นจะคิดยังไง ฉันก็ต้องเปิดใจและปฏิบัติความจริง พอถึงจุดนั้น ฉันรวบรวมความกล้าเพื่อเปิดใจถึงสภาวะของฉัน และเปิดเผยความเสื่อมทรามของตัวเอง หลังทำแบบนั้น ฉันก็รู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาก และการสามัคคีธรรมกับคนอื่นช่วยให้ฉันเข้าใจปัญหาของตัวเองค่ะ

สิ่งที่ถูกเปิดโปงในช่วงเวลานั้น แสดงว่าฉันมีอุปนิสัยฉลาดแกมโกงและชั่วร้าย ฉันเสแสร้ง แกล้งทำอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้อื่นเคารพเทิดทูนฉัน ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงจัดวางสิ่งต่างๆ แบบนั้น ฉันก็คงไม่มีทางเห็นว่าฉันอยู่บนเส้นทางต่อต้านพระเจ้า ว่าฉันกำลังต่อต้านพระเจ้า และฉันคงถูกทำลายในท้ายที่สุด ฉันเห็นด้วยว่าแรงจูงใจของเราในการทำสิ่งต่างๆ นั้นสำคัญแค่ไหน เรียนรู้ที่จะยอมรับการทรงพินิจ และแก้ไขแรงจูงใจของฉัน ให้เปิดใจจริงๆ และเป็นคนซื่อสัตย์ นั่นเป็นทางเดียวที่พระเจ้าจะทรงเห็นชอบ และทรงยินดี

ก่อนหน้า: 59. ความสำคัญของท่าทีที่ถูกต้องในหน้าที่

ถัดไป: 61. ผลสืบเนื่องของการเป็นคนชอบเอาใจคนอื่น

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger