4. ผลพวงของการไม่ลงมือทำงานที่แท้จริง
ฉันรับผิดชอบงานข่าวประเสริฐในคริสตจักร ครั้งหนึ่ง เหล่าพี่น้องชายหญิงรายงานว่าหัวหน้ากลุ่มซินเยว่นั้นโอหัง เผด็จการ และไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีหรือไม่รับฟังคำแนะนำ ทุกคนรู้สึกว่าถูกเธอจำกัดและนั่นส่งผลกระทบต่องานข่าวประเสริฐ ทุกคนพยายามชี้ให้เห็นเรื่องนี้และช่วยเธอ แต่เธอเพียงแค่รับรู้และยอมรับด้วยวาจา และไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยหลังจากนั้น ต่อมาเราหารือกันและตัดสินใจปลดเธอจากตำแหน่ง ฉัน อับอายกับเรื่องนี้มากๆ เพราะฉันได้สามัคคีธรรมกับซินเยว่เกี่ยวกับปัญหาของเธอหลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่น่าประหลาดใจที่แทนที่จะได้รับการแก้ไข ปัญหาของเธอกลับยิ่งเลวร้ายลง นี่ทำให้ฉันทบทวนและสงสัยว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร ฉันนึกย้อนกลับไปตอนที่ฉันเพิ่งรับงานนี้ ฉันสังเกตว่ากลุ่มของซินเยว่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในงานข่าวประเสริฐและทุ่มเทในหน้าที่อย่างมาก ฉันชื่นชมพวกเขาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเมื่อฉันเห็นว่าซินเยว่มีความสามารถแค่ไหน ฉันรู้สึกว่าไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่กับเธอในฐานะหัวหน้ากลุ่ม ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ติดตามการทำงานของพวกเขามากนัก ถึงแม้ว่าพี่น้องหญิงบางคนจะรายงานปัญหาของพวกเขากับฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ฉันคิดว่าเพราะพวกเขาทำงานข่าวประเสริฐได้ดี ถึงแม้จะมีปัญหาบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ บางครั้งเมื่อฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขา ฉันก็แค่ให้คำแนะนำเล็กน้อย และไม่ได้ติดตามผลว่าได้มีการแก้ไขปัญหาหลังจากนั้นหรือไม่ ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งเมื่อเรากำลังหารืองาน ฉันสังเกตว่าซินเยว่และเสี่ยวลี่มีความเห็นไม่ตรงกัน พวกเธอทั้งคู่โอหังและติดอยู่กับทัศนะของตัวเอง ฉันพบพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนที่กล่าวถึงสภาวะของพวกเธอเพื่อสามัคคีธรรมด้วย และเมื่อเห็นว่าทั้งคู่ทบทวนตนเองได้และยินดีที่จะเปลี่ยนแปลง ฉันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่จากนั้น พวกเธอก็มีปัญหาในการทำงานร่วมกันเป็นเวลานาน ฉันก็เลยรู้ว่าการสามัคคีธรรมกับพวกเธอเพียงครั้งเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และฉันควรจะติดตามสถานการณ์ต่อไป และดูว่าสภาวะของพวกเธอเปลี่ยนแปลงไปจริงหรือไม่ แต่แล้วฉันก็คิดว่า เพื่อสามัคคีธรรมเพิ่มเติมกับพวกเธอ ฉันต้องหาบทตอนในพระวจนะของพระเจ้าและพยายามทำความเข้าใจสภาวะของพวกเธอ ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนื่อยยาก นอกจากนี้ พวกเธอก็ทำหน้าที่ของตนตามปกติ ดังนั้นฉันจึงคิดว่าคงไม่เป็นไรถึงจะไม่ตรวจสอบพวกเธอ ฉันก็เลยปล่อยไปตามนั้น ยังมีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อฉันเห็นซินเยว่และพี่น้องหญิงคนหนึ่งมีความเห็นไม่ตรงกันระหว่างการสามัคคีธรรม พี่น้องหญิงอีกคนให้คำแนะนำที่สมเหตุสมผล แต่ซินเยว่ปฏิเสธที่จะยอมรับและยังคงยืนกรานว่าเธอถูก สุดท้ายพี่น้องหญิงคนนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอม เมื่อเห็นว่าซินเยว่คิดว่าตนเองถูกเพียงใด ฉันจึงอยากจะเผยให้เห็นปัญหาของเธอ แต่แล้วฉันก็นึกถึงเวลาและพลังงานที่ฉันจะต้องทุ่มเทในการสามัคคีธรรมถึงปัญหานั้น รวมถึงงานอื่นๆ ที่ฉันยังต้องดูแล เนื่องจากไม่มีความขัดแย้งหรือความบาดหมางที่ชัดเจนระหว่างพวกเธอ บางทีปัญหาอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่ฉันคิด ยิ่งปัญหาน้อยยิ่งดี อีกทั้งซินเยว่เป็นหัวหน้ากลุ่ม หากเธอได้เผยความโอหังออกมาบ้าง เธอก็ควรจะสามารถแก้ไขได้ผ่านการเสาะแสวง ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ชี้ให้เธอเห็นปัญหาของตัวเอง เมื่อมองย้อนกลับไปถึงเรื่องทั้งหมด ฉันรู้ดีว่าซินเยว่โอหังและไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี นอกจากนี้ เธอยังเป็นหัวหน้าอีกด้วย ดังนั้นการเพิกเฉยเรื่องสำคัญเช่นนี้ ถือเป็นการไร้ความรับผิดชอบอย่างยิ่ง!
ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ไม่สำคัญว่าผู้นำหรือคนทำงานจะทำงานสำคัญใด และธรรมชาติของงานนี้คือสิ่งใด ลำดับความสำคัญข้อแรกก็คือการเข้าใจและรู้ซึ้งว่างานดำเนินไปอย่างไร พวกเขาต้องอยู่ที่นั่นด้วยตัวเองเพื่อติดตามผลสิ่งทั้งหลายและถามคำถาม โดยรับข้อมูลโดยตรงด้วยตัวเอง พวกเขาต้องไม่เพียงแค่พึ่งพาคำบอกเล่าหรือรับฟังรายงานจากผู้อื่นเท่านั้น แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาต้องเฝ้าสังเกตด้วยตาของตัวเองถึงสถานการณ์ของบุคลากรและงานกำลังคืบหน้าไปอย่างไร และเข้าใจว่ามีความลำบากยากเย็นใดบ้าง มีด้านใดบ้างหรือไม่ที่ไม่ลงรอยกันกับข้อพึงประสงค์จากเบื้องบน ว่ามีการล่วงละเมิดหลักธรรมหรือไม่ ว่ามีการก่อกวนหรือการขัดขวางอันใดหรือไม่ ว่ามีการขาดพร่องในอุปกรณ์ที่จำเป็นหรือวัสดุในการให้คำแนะนำที่เกี่ยวข้องในส่วนของงานอย่างมืออาชีพหรือไม่—พวกเขาต้องจัดการทั้งหมดนี้ให้อยู่หมัด ไม่สำคัญว่าพวกเขารับฟังรายงานกี่ฉบับ หรือพวกเขารวบรวมข้อมูลจากคำบอกเล่ามาได้มากเพียงใด ทั้งสองอย่างนี้ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง จะถูกต้องแม่นยำและพึ่งพาได้มากกว่าหากพวกเขาได้เห็นสิ่งทั้งหลายด้วยตาของตัวเอง ทันทีที่พวกเขาคุ้นเคยกับสถานการณ์นี้ในทุกแง่มุม พวกเขาย่อมจะรู้เป็นอย่างดีถึงสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (4)) “ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังตรวจสอบงานใด ผู้นำที่มีภาระจะสามารถระบุปัญหาได้เสมอ สำหรับปัญหาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ทางวิชาชีพ หรือที่ขัดต่อหลักธรรม พวกเขาก็จะสามารถระบุ สอบถาม และทำความเข้าใจปัญหาเหล่านั้นได้ และเมื่อพบปัญหา พวกเขาก็แก้ไขในทันที ผู้นำและคนทำงานที่ชาญฉลาดย่อมมุ่งแก้ไขเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักร ความรู้ทางวิชาชีพ และหลักธรรมความจริงเท่านั้น พวกเขาจะไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิมในชีวิตประจำวัน พวกเขาจะดูแลทุกแง่มุมของงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐซึ่งเป็นพระบัญชาของพระเจ้า พวกเขาจะสอบถามและตรวจสอบทุกปัญหาที่พวกเขาสามารถรับรู้หรือค้นพบได้ หากพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเองในขณะนั้น พวกเขาก็จะรวมกลุ่มกับผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ สามัคคีธรรมกับพวกเขา แสวงหาหลักธรรมความจริง และคิดหาวิธีแก้ไข หากพวกเขาประสบปัญหาใหญ่ที่แก้ไขไม่ได้จริงๆ พวกเขาก็จะแสวงหาจากเบื้องบนทันที และให้เบื้องบนเป็นผู้จัดการและแก้ไข ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้คือคนที่มีหลักธรรมในการกระทำของตน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร ตราบใดที่พวกเขาได้เห็นแล้ว พวกเขาก็จะไม่ปล่อยผ่านไป พวกเขายืนกรานที่จะทำความเข้าใจปัญหาเหล่านี้อย่างถ่องแท้แล้วจึงแก้ไขไปทีละปัญหา แม้ว่าจะแก้ไขได้ไม่หมดจดนัก ก็สามารถมั่นใจได้ว่าปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (4)) ฉันรู้สึกละอายใจมากเมื่อได้เห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากเหล่าผู้นำและคนทำงาน ฉันไม่ได้แบกรับภาระในงานข่าวประเสริฐเลย ฉันไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการติดตามงานข่าวประเสริฐอย่างทันท่วงที แต่ฉันยังไม่ทำความเข้าใจถึงสภาวะของพี่น้องชายหญิงอย่างละเอียดถี่ถ้วน เช่น ซินเยว่ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มแต่กลับเป็นคนที่ทำงานด้วยยาก ฉันควรแก้ไขปัญหานี้ผ่านสามัคคีธรรม แต่ฉันกลับชี้ให้เห็นปัญหาของเธอเพียงคร่าวๆ โดยไม่ได้พูดคุยกับคนอื่นๆ เพื่อทำความเข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน ฉันยังไม่ได้เปิดโปงธรรมชาติของปัญหาของเธอหรือผลพวงของปัญหานั้น หลังจากนั้น ฉันก็ไม่ได้สอบถามว่าเธอได้เปลี่ยนแปลงหรือไม่ ฉันไม่ได้ไตร่ตรองว่านี่เป็นปัญหาของแก่นนิสัยหรือการเผยความเสื่อมทรามของเธอ หรือว่าเธอเหมาะสมจะเป็นหัวหน้ากลุ่มหรือไม่ และรายละเอียดอื่นทำนองนั้น ดังนั้น ปัญหาของเธอจึงไม่เคยถูกแก้ไขและงานข่าวประเสริฐก็ได้รับผลกระทบ ภายหลัง ฉันเห็นว่าซินเยว่ยังคงโอหัง คิดว่าตนเองถูกและเผด็จการ และฉันรู้ว่าควรจะสามัคคีธรรมกับเธอเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้งานล่าช้า แต่ฉันก็ยังไม่ได้จัดการเพราะไม่ต้องการความยุ่งยาก ฉันทำเพียงแค่แก้ปัญหาแบบผิวเผินไปตามหน้าที่ พอใจกับการทำงานอย่างผิวเผิน เพียงแค่พูดถึงปัญหาโดยไม่ทำอะไรเพิ่มเติม ฉันไม่ใส่ใจว่าปัญหาได้รับการแก้ไขจริงหรือไม่ ฉันไร้ความรับผิดชอบ ฉันไม่ได้ทำงานของตัวเองหรือทำงานที่เป็นจริงอะไรเลย นั่นคือพฤติกรรมของผู้นำเทียมเท็จ คริสตจักรได้มอบหมายให้ฉันรับผิดชอบงานข่าวประเสริฐ โดยหวังว่าฉันจะสามารถทำหน้าที่ได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้า เอาจริงเอาจังและรับผิดชอบในงานของฉัน และใช้หลักธรรมความจริงในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องชายหญิง เพื่อให้งานข่าวประเสริฐดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เมื่อมีปัญหาที่จำเป็นต้องแก้ไข ฉันกลับไม่ได้ทำอะไรเลย คิดเพียงว่ายิ่งปัญหาน้อยยิ่งดี ฉันกำลังทำตัวเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแท้จริง และขัดขวางความก้าวหน้าของงานข่าวประเสริฐ ท่าทีที่ฉันมีต่อหน้าที่นั้น ช่างน่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้าจริงๆ!
หลังจากนั้น ฉันได้แสวงหาและไตร่ตรองถึง รากเหง้าที่แท้จริงของความล้มเหลวของฉันในการทำงานที่แท้จริง ฉันได้อ่านบางอย่างจากพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เหล่าผู้นำและคนทำงานพึงคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าในงานของตนและจงรักภักดีต่อพระองค์ หนทางที่ดีที่สุดที่พวกเขาควรประพฤติตนคือรับรู้และแก้ไขปัญหาทั้งหลายในเชิงรุก พวกเขาต้องไม่อยู่เฉย โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามีวจนะและการสามัคคีธรรมในปัจจุบันเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติตน พวกเขาควรเป็นฝ่ายริเริ่มแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นที่แท้จริงทั้งหลายอย่างถี่ถ้วนด้วยการสามัคคีธรรมความจริง และทำงานของตนอย่างถูกต้องตามที่ควรจะเป็น พวกเขาควรติดตามความคืบหน้าของงานอย่างกระตือรือร้นและทันท่วงที พวกเขาไม่อาจรอคอยคำสั่งและการกระตุ้นจากเบื้องบนก่อนที่จะลงมือทำอย่างไม่เต็มใจอยู่ตลอดเวลา หากผู้นำและคนทำงานมีความคิดลบและนิ่งเฉยอยู่เสมอ ไม่ทำงานที่แท้จริงเลย พวกเขาย่อมไม่คู่ควรกับการรับใช้ในฐานะผู้นำและคนทำงาน พวกเขาสมควรถูกปลดและปรับเปลี่ยนหน้าที่ ทุกวันนี้มีผู้นำและคนทำงานจำนวนมากที่ขาดความกระตือรือร้นในงานของตนเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาทำงานเพียงเล็กน้อยหลังจากเบื้องบนมอบคำสั่งและผลักดันพวกเขา ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็หย่อนยานและผัดวันประกันพรุ่ง งานในคริสตจักรบางแห่งค่อนข้างวุ่นวาย บางคนที่ทำหน้าที่อยู่ที่นั่นก็หย่อนยานและสุกเอาเผากินเกินไปจนไม่มีผลลัพธ์ที่แท้จริงเลย ปัญหาเหล่านี้รุนแรงและมีธรรมชาติที่เลวร้ายมากอยู่แล้ว แต่ผู้นำและคนทำงานของคริสตจักรเหล่านั้นก็ยังคงปฏิบัติตนเหมือนเจ้าหน้าที่หรือเจ้าขุนมูลนาย ไม่เพียงพวกเขาไม่สามารถทำงานที่แท้จริงใดๆ ได้ แต่ยังไม่สามารถรับรู้หรือแก้ไขปัญหาทั้งหลายได้อีกด้วย นี่ย่อมทำให้งานของคริสตจักรเป็นอัมพาตและหยุดชะงัก ที่ใดก็ตามที่งานของคริสตจักรอยู่ในความยุ่งเหยิงอย่างยิ่งและไม่มีสัญญาณของความเป็นระเบียบ ที่นั่นย่อมมีผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจอยู่อย่างแน่นอน ในทุกๆ คริสตจักรที่มีผู้นำเทียมเท็จกุมอำนาจ งานของคริสตจักรย่อมอยู่ในความโกลาหลและความยุ่งเหยิงโดยสิ้นเชิง—ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้… จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้คนไม่คิดว่ามีงานที่จำเป็นต้องทำ? (พวกเขาไม่แบกรับภาระ) พูดให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาไม่แบกรับภาระ พวกเขาเกียจคร้านและละโมบความสะดวกสบาย หยุดพักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อมีโอกาส และพยายามหลีกเลี่ยงงานเพิ่มเติมใดก็ตาม คนเกียจคร้านเหล่านี้มักคิดว่า ‘ทำไมฉันต้องกังวลมากขนาดนั้น? การกังวลมากเกินไปรังแต่จะทำให้ฉันแก่เร็วขึ้น ฉันจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำเช่นนั้น จากการวิ่งวุ่นมากมาย และทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนั้น? จะเกิดอะไรขึ้นหากฉันเหนื่อยจนหมดแรงแล้วล้มป่วยขึ้นมา? ฉันไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา แล้วใครจะดูแลเวลาฉันแก่เฒ่า?’ คนเกียจคร้านเหล่านี้ก็แค่เฉื่อยชาและล้าหลังเช่นนี้ พวกเขาไม่มีความจริงเลยแม้แต่น้อย และไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อย่างชัดเจน พวกเขาคือกลุ่มคนที่เลอะเลือนอย่างเห็นได้อย่างชัดเจนใช่หรือไม่? พวกเขาล้วนเลอะเลือน ไม่ตระหนักถึงความจริงและไม่สนใจความจริง แล้วพวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร? เหตุใดผู้คนจึงไร้วินัยและเกียจคร้านเสมอ ราวกับพวกเขาเป็นซากศพที่มีชีวิต? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาธรรมชาติของพวกเขา ในธรรมชาติของมนุษย์มีความเกียจคร้าน ไม่ว่าผู้คนกำลังทำกิจใดอยู่ก็ตาม พวกเขาจำเป็นต้องให้ใครบางคนกำกับดูแลและกระตุ้นพวกเขาอยู่เสมอ บางครั้งผู้คนก็คำนึงถึงเนื้อหนัง ละโมบความสะดวกสบายทางกาย และเก็บซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้เพื่อตัวเองเสมอ—คนเหล่านี้เต็มไปด้วยเจตนาเยี่ยงมารและอุบายเจ้าเล่ห์ พวกเขาไม่มีความดีเลยจริงๆ ไม่ว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่สำคัญอันใด พวกเขาก็ไม่ทำให้ดีที่สุดอยู่เสมอ นี่คือการไม่รับผิดชอบและไม่จงรักภักดี” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (26)) “ผู้นำเทียมเท็จทุกคนไม่เคยทำงานจริง พวกเขาทำเหมือนบทบาทผู้นำของตนคือตำแหน่งบางอย่างของรัฐ สุขสำราญกับผลประโยชน์ที่มากับสถานะ และพวกเขาปฏิบัติต่อหน้าที่ที่พวกเขาพึงปฏิบัติและงานที่พวกเขาพึงทำในฐานะผู้นำเหมือนเป็นภาระ เหมือนเป็นสิ่งกวนใจ ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาเปี่ยมล้นไปด้วยการไม่ยอมรับงานของคริสตจักร กล่าวคือ หากพวกเขาถูกขอให้กำกับดูแลงานและเรียนรู้ถึงปัญหาที่มีอยู่ในงาน ซึ่งจำเป็นต้องติดตามและแก้ไข พวกเขาก็จะเต็มไปด้วยความไม่สมัครใจ นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำ นี่คืองานของพวกเขา หากเจ้าไม่ทำงานนั้น และเจ้าไม่เต็มใจทำงานนั้น เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเจ้าจึงอยากเป็นผู้นำหรือคนทำงานอยู่อีก? เจ้าทำหน้าที่ของตนเพื่อที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะ? หากเจ้ากลายมาเป็นผู้นำเพื่อที่ว่าเจ้าจะสามารถดำรงตำแหน่งบางอย่างของรัฐ นั่นไม่น่าละอายไปหน่อยหรือ? ไผู้คนลักษณะนี้มีบุคลิกที่ต่ำต้อยที่สุด ไม่มีเกียรติ และไม่มีความละอาย หากเจ้าอยากสุขสำราญกับความสุขสบายทางเนื้อหนัง เจ้าก็ควรรีบกลับไปหาโลก ต่อสู้ แก่งแย่งและฉกฉวยเท่าที่เจ้าสามารถทำได้ และจะไม่มีใครก้าวก่ายกับเรื่องนั้น พระนิเวศของพระเจ้าคือสถานที่ให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทำหน้าที่ของตนและนมัสการพระองค์ เป็นสถานที่ให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการช่วยให้รอด นี่ไม่ใช่สถานที่ให้ใครก็ได้มาดื่มด่ำกับความสุขสบายทางเนื้อหนัง และยิ่งไม่ใช่สถานที่ที่จะปล่อยให้ผู้คนใช้ชีวิตเหมือนเจ้าชายได้ ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้จักละอาย พวกเขาหน้าด้านจนไม่มียางอาย ทั้งยังไร้เหตุผล! ไม่ว่าได้รับมอบหมายงานจำเพาะใดมา ก็ไม่เคยเอาใจใส่จริงจัง ปัดออกไปจากความคิดเสีย ปากรับคำอย่างดีแต่ไม่เคยลงมือทำอะไรให้เป็นรูปธรรม นี่คือการขาดศีลธรรมมิใช่หรือ?… ไม่ว่าผู้คนบางคนจะทำงานอะไรหรือปฏิบัติหน้าที่อะไร พวกเขาก็ไร้ความสามารถในเรื่องนั้น พวกเขาไม่สามารถแบกรับ และไม่สามารถทำให้ภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบใดๆ ที่บุคคลหนึ่งควรจะทำนั้นลุล่วง พวกเขาไม่ใช่ขยะหรอกหรือ? พวกเขายังคู่ควรที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์อยู่อีกหรือ? ยกเว้นพวกคนเขลา ผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และผู้ที่ทุกข์ทนจากความบกพร่องทางร่างกายแล้ว คนที่ยังมีชีวิตนั้นมีผู้ใดบ้างที่ไม่ควรทำหน้าที่ของตนและทำให้ความรับผิดชอบของตนลุล่วง? แต่คนแบบนี้ก็กลับกลอกและอู้งานอยู่เสมอ และไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบของตน ความหมายโดยนัยคือพวกเขาไม่อยากเป็นมนุษย์ที่ถูกควร พระเจ้าประทานโอกาสในการเป็นมนุษย์แก่พวกเขา และพระองค์ก็ประทานขีดความสามารถและพรสวรรค์แก่พวกเขา แต่พวกเขากลับไม่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่ของตน พวกเขาไม่ทำอะไร แต่ก็อยากดื่มด่ำอยู่ในความสุขสำราญทุกครั้งที่มีโอกาส บุคคลเช่นนี้เหมาะที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์กระนั้นหรือ? ไม่ว่าจะให้งานอะไรแก่พวกเขา—จะเป็นงานสำคัญหรือธรรมดา ยากหรือเรียบง่าย—พวกเขาก็สุกเอาเผากิน กลับกลอก และย่อหย่อนอยู่เสมอ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาก็พยายามผลักความรับผิดชอบในปัญหาเหล่านั้นไปให้ผู้อื่น ไม่ยอมรับผิดชอบอะไร และอยากใช้ชีวิตเยี่ยงกาฝากของตนไปเรื่อยๆ พวกเขาคือขยะที่ไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8)) พระวจนะของพระองค์ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมา พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมอย่างละเอียดเกี่ยวกับความรับผิดชอบของเหล่าผู้นำและคนทำงาน แต่ฉันไม่ได้เข้าสู่เรื่องเหล่านี้เลย ฉันย่อหย่อน ไร้ความรับผิดชอบ ตามใจเนื้อหนัง และไม่ได้ผลลัพธ์ใดในหน้าที่ของตนเองเลย ฉันเป็นเหมือนกาฝากและคนไร้ประโยชน์ที่พระเจ้าทรงเปิดโปง เมื่อฉันจัดการปัญหาของซินเยว่ ฉันรู้ดีว่าปัญหานั้นยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ฉันก็เจ้าเล่ห์ ทำแค่สิ่งที่ทำให้ตนเองไม่ต้องลำบาก ฉันตระหนักว่า ฉันมักไม่มีประสิทธิผลในหน้าที่ของตนเอง เพราะฉันเกียจคร้านและสนใจแต่ความสะดวกสบายของตนเอง แรกเริ่ม เมื่อคนอื่นมีปัญหาในการประกาศข่าวประเสริฐ หรือไม่แน่ใจในบางหลักธรรม ฉันจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ แต่เพราะบางคนก้าวหน้าช้าหรือมีปัญหาที่ซับซ้อน ฉันจึงรู้สึกว่ามันยุ่งยากมากไป และเหนื่อยล้าเกินไปที่จะช่วยพวกเขา ฉันต้องเสาะแสวงและไตร่ตรอง รวมถึงสามัคคีธรรมกับพวกเขาด้วยความอดทน ฉันจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องนั้น แล้วแก้ไขเฉพาะปัญหาที่เห็นได้ชัดและเก็บปัญหาที่ยากไว้ก่อน ฉันทำให้ปัญหาใหญ่ดูเล็กลงและละเลยปัญหาเล็กๆ ดังนั้นปัญหามากมายจึงไม่เคยได้รับการแก้ไข ฉันตามใจเนื้อหนังมาตลอดโดยไม่ได้แก้ไขอะไรจริงๆ เลย ด้วยเหตุนี้ งานข่าวประเสริฐจึงไม่ก้าวหน้ามาเป็นเวลานาน ทั้งหมดเป็นเพราะฉันมีธรรมชาติที่ขี้เกียจ หวงแหนเนื้อหนัง และไม่ทุ่มเทหรือรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “นี่คือการละทิ้งความรับผิดชอบอย่างร้ายแรง! เจ้าได้สูญเสียท่าทีและความรับผิดชอบที่ควรมีในบทบาทของผู้นำหรือคนทำงานถึงวิธีที่พึงปฏิบัติต่อหน้าที่” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (26)) “บุคคลเช่นนี้เหมาะที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์กระนั้นหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8)) ฉันเป็น ผู้นำ ดังนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบของฉันที่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขปัญหาที่พบเจอ แต่ฉันไม่ยอมเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ฉันคิดถึงแต่ความสะดวกสบายของตนเองเสมอ ทุกครั้งที่ฉันต้องลงมือทำจริงและทำงานที่แท้จริงบางอย่าง ฉันกลับหลีกเลี่ยง สิ่งนี้สร้างความเสียหายต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง การทำหน้าที่เช่นนั้นเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง! ฉันนึกถึงเรื่องที่ว่า พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามของมนุษย์ พระองค์ทรงแสดงพระวจนะนับล้านคำ ทรงเตือนสติและทรงตักเตือน ทรงพิพากษาและทรงตีสอน ทรงตักเตือนและทรงเปิดโปง ทรงใช้ทุกวิถีทางเพื่อสามัคคีธรรมกับเราอย่างพิถีพิถัน ด้วยทรงเกรงว่าเราจะไม่เข้าใจและไม่สามารถเข้าสู่ความจริงได้ เพื่อช่วยมนุษยชาติที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนักให้รอด พระองค์ทรงเป็นกังวลและทนทุกข์อย่างมาก ทรงใช้ความพยายามและยอมลำบากใหญ่หลวง แต่ในขณะที่ชื่นชมการค้ำจุนของความจริงมากมายจากพระเจ้า ฉันได้รับหน้าที่สำคัญในคริสตจักร โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องการตอบแทนความรักของพระองค์ ฉันไม่สามารถทนทุกข์หรือยอมลำบากเล็กน้อยเพื่อหน้าที่ของตนเองได้ ทันทีที่ฉันต้องลงมือจริงจังและทำงานที่แท้จริงบางอย่าง ฉันก็หนีไป ฉันมักต้องการบำเหน็จและการอวยพรของพระเจ้าเพื่อแลกกับความพยายามเพียงเล็กน้อย ฉันเห็นแก่ตัวและเลวทราม ขาดมโนธรรมและเหตุผล ณ จุดนั้น ฉันได้เห็นในที่สุดว่า การคิดถึงแต่เนื้อหนังและปรารถนาความสะดวกสบายอยู่เสมอ เป็นการใช้ชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรีและไม่น่าไว้วางใจ เป็นผู้นำที่เกียจคร้าน เป็นผู้นำเทียมเท็จ การทำหน้าที่เช่นนั้นให้ความสะดวกสบายชั่วคราวกับฉัน แต่ฉันเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงเพราะความเกียจคร้านของตนเอง และในที่สุดพระเจ้าจะทรงกำจัดฉันออกไป ฉันรักษาไว้ได้เล็กน้อยแต่สูญเสียมากมาย ฉันช่างโง่เขลาเหลือเกิน! ฉันนึกถึงบางอย่างจากพระคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวว่า “และการที่คนโง่หลงเพลิดเพลินก็ทำลายตนเอง” (สุภาษิต 1:32) ฉันรู้จักพี่น้องชายหญิงบางคน ที่ถูกปลดเพราะพวกเขามักคิดถึงเนื้อหนังและความสะดวกสบาย โดยไม่ทำงานที่แท้จริง การมีความละโมบในความสะดวกสบายทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจและอาจถึงขั้นทำลายโอกาสการได้รับความรอดของเรา พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และชอบธรรม และพระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์เจตนาของฉันในการทำหน้าที่ ฉันไม่สามารถทำหน้าที่เช่นนั้นต่อไปได้ พระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่สถานที่ให้ฉันละโมบในความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง แต่เป็นสถานที่ที่ให้ฉันลุล่วงหน้าที่ของตนและปฎิบัติความจริง ในเมื่อฉันยอมรับหน้าที่นั้น ฉันก็ควรทุ่มเทเต็มที่เพื่อทำให้ดี ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าในการกลับใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงจัดเตรียมสถานการณ์นี้ เพื่อแสดงให้ข้าพระองค์เห็น ว่าข้าพระองค์ละโมบในความสะดวกสบายทางเนื้อหนังในหน้าที่และไม่ได้รับผิดชอบเลย จากนี้ไป ข้าพระองค์อยากทำสุดความสามารถเพื่อทำงานในหน้าที่อย่างแท้จริง”
หลังจากนั้น ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า การเสาะแสวงและการทบทวน ฉันเห็นว่าฉันมีทัศนะที่ผิดพลาดอีกอย่างหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้นำและคนทำงานต้องอาศัยแหล่งต่างๆ มาทำความเข้าใจผู้ดูแลงานสำคัญๆ ผู้อำนวยการข่าวประเสริฐ ผู้นำทีมทุกคน ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภาพยนตร์ และอื่นๆ และเฝ้าสังเกตและตรวจสอบผู้คนเหล่านี้ให้มากขึ้นเสียก่อน จึงจะมั่นใจในตัวพวกเขาได้ ด้วยการมอบหมายหน้าที่ให้ผู้คนอย่างรอบคอบเช่นนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะแน่ใจได้ว่าการจัดแจงต่างๆ เป็นไปอย่างเหมาะควร และผู้คนจะมีประสิทธิผลในหน้าที่ของตน บางคนกล่าวว่า ‘แม้กระทั่งผู้ไม่มีความเชื่อยังบอกว่า “ใช้คนอย่าสงสัย ถ้าสงสัยก็อย่าใช้” พระนิเวศของพระเจ้าช่างระแวงถึงขนาดนี้ได้อย่างไร? พวกเขาเป็นผู้เชื่อกันทุกคน จะเป็นคนไม่ดีได้ถึงขนาดไหน? พวกเขาล้วนเป็นคนดีไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมพระนิเวศของพระเจ้าต้องทำความเข้าใจพวกเขา กำกับดูแล และเฝ้าสังเกตพวกเขา?’ คำพูดเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่? มีปัญหาหรือไม่? (มี) การทำความเข้าใจใครสักคน เฝ้าสังเกตพวกเขาในเชิงลึก และมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาอย่างใกล้ชิด ใช่การปฏิบัติตามหลักธรรมหรือไม่? เป็นการปฏิบัติตามหลักธรรมทุกประการ ปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใด? (หน้าที่รับผิดชอบประการที่สี่ของผู้นำและคนทำงาน ได้แก่ ‘คอยติดตามสภาวการณ์ของบรรดาผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทกับบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนหน้าที่หรือปลดพวกเขาอย่างทันท่วงทีตามความจำเป็น เพื่อป้องกันหรือบรรเทาความสูญเสียที่เกิดจากการใช้ผู้คนที่ไม่เหมาะสม และเพื่อรับประกันประสิทธิภาพและความก้าวหน้าของงานอย่างราบรื่น’) นี่เป็นจุดอ้างอิงที่ดี แต่สาเหตุที่แท้จริงของการทำเช่นนี้คืออะไร? นี่เป็นเพราะผู้คนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม แม้ทุกวันนี้จะมีผู้คนมากมายทำหน้าที่ แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง น้อยคนนักที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงขณะทำหน้าที่ของตน สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ยังคงไม่มีหลักธรรมในหนทางที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขายังคงไม่ใช่ผู้คนที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาเพียงกล่าวอ้างเท่านั้นว่าพวกเขารักความจริง และเต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริงและเต็มใจเพียรพยายามเพื่อความจริง แต่ก็ยังคงไม่รู้กันว่าความแน่วแน่ของพวกเขาจะคงอยู่นานเท่าใด ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีแนวโน้มที่จะเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมาเมื่อใดหรือในที่ใดก็ได้ พวกเขาไร้ซึ่งสำนึกรับผิดชอบใดๆ ในหน้าที่ของตน มักจะทำตัวสุกเอาเผากิน กระทำการตามที่ตนปรารถนาและถึงกับไม่สามารถยอมรับการตัดแต่งได้ ทันทีที่พวกเขาคิดลบและอ่อนแอ พวกเขาก็โน้มเอียงที่จะทิ้งงานของตน—นี่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และเป็นเรื่องปกติที่สุด นี่คือหนทางในการประพฤติตนของทุกคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และดังนั้น เมื่อผู้คนยังไม่ได้รับความจริง พวกเขาจึงไม่น่าเชื่อถือและไม่น่าไว้วางใจ ที่ว่าพวกเขาไม่น่าไว้วางใจหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเมื่อพวกเขาเผชิญความลำบากยากเย็นหรือความถดถอย พวกเขามีแนวโน้มที่จะล้มลงและกลายเป็นคิดลบและอ่อนแอ ใครบางคนที่คิดลบและอ่อนแอบ่อยๆ คือคนที่น่าไว้วางใจหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน แต่ผู้คนที่เข้าใจความจริงย่อมต่างออกไป ผู้คนที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริงย่อมมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและหัวใจที่นบนอบพระเจ้า เฉพาะผู้คนที่มีหัวใจยำเกรงพระเจ้าเท่านั้นที่ไว้ใจได้ ผู้คนที่ไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าย่อมไว้ใจไม่ได้ ควรรับมือผู้คนที่ไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอย่างไร? แน่นอนว่าพวกเขาควรได้รับความช่วยเหลือและการเกื้อหนุนที่เปี่ยมรัก เวลาที่พวกเขาทำหน้าที่ของตนก็ควรตามดูพวกเขามากขึ้น ช่วยเหลือและสอนพวกเขาให้มากขึ้น เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะรับรองได้ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิผล และจุดมุ่งหมายของการทำเช่นนี้คืออะไร? จุดมุ่งหมายหลักคือการค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า รองจากนี้คือเพื่อระบุชี้ปัญหาอย่างทันท่วงที เพื่อจัดเตรียมให้พวกเขา เกื้อหนุนพวกเขา หรือตัดแต่งพวกเขาอย่างทันท่วงที พลางแก้ไขความเบี่ยงเบนของพวกเขาให้ถูกต้อง ชดเชยจุดอ่อนและความขาดตกบกพร่องของพวกเขา นี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้คน นี่ไม่มีความมุ่งร้ายอยู่เลย การกำกับดูแลผู้คน เฝ้าสังเกตพวกเขา และพยายามทำความเข้าใจพวกเขา—ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อช่วยพวกเขาให้เข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้า เพื่อทำให้พวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามที่พระเจ้าทรงขอและตามหลักธรรม หยุดยั้งไม่ให้พวกเขาก่อให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางใดๆ และหยุดยั้งพวกเขาจากการทำงานที่เปล่าประโยชน์ จุดมุ่งหมายที่ทำเช่นนี้ล้วนเป็นเรื่องของการรับผิดชอบพวกเขาและรับผิดชอบงานในพระนิเวศของพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่มีความมุ่งร้ายในการนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (7)) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เราเห็นถึงหนึ่งในหลักธรรมเพื่อปฏิบัติในงานของเรา เราควรคอยจับตาดูพี่น้องชายหญิงที่อยู่ภายใต้ความดูแลของเรา โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานสำคัญ เพราะทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและขาดความเป็นจริงความจริง และห้ามใจไม่ให้ทำสิ่งต่างๆ ตามความเสื่อมทรามไม่ได้ เราไม่สามารถหลับหูหลับตาเชื่อใครได้ หรือใช้วิธีไม่ก้าวก่ายไม่ได้ เพราะนั่นแสดงว่าเราไม่มีความรับผิดชอบในงานของเรา ฉันเองก็เป็นเช่นนั้น บางครั้งคนอื่นชี้ให้ฉันเห็นปัญหาของตัวเอง และในขณะนั้น ฉันรู้สึกมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลง แต่บ่อยครั้งก็เป็นเพียงความกระตือรือร้นชั่วครู่ เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือทำจริง ฉันยังคงถูกจำกัดด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ นั่นคือเหตุผลที่ฉันจำเป็นต้องได้รับการกำกับดูแลและความช่วยเหลือจากผู้อื่น เพื่อการปฏิบัติและการเข้าสู่ที่ดีกว่า ทุกคนมีข้อบกพร่องและไม่สามารถจับความเข้าใจหลักธรรมความจริงได้ ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีปัญหาหรือการละเลยบางอย่างปรากฎขึ้นในหน้าที่ของเรา และบางครั้งเราก็เผยความเสื่อมทรามและกระทำตามอำเภอใจ ในเวลานั้น ผู้นำต้องคอยดูแลและติดตาม เพื่อทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าหน้าที่ของผู้คนดำเนินไปอย่างไร ค้นหาปัญหาและแก้ไขข้อเบี่ยงเบน และป้องกันไม่ให้งานของคริสตจักรเสียหาย แต่ฉันมืดบอดและโง่เขลาเหลือเกิน เห็นว่าซินเยว่ดูเหมือนจะกระตือรือร้นในหน้าที่และทำงานข่าวประเสริฐได้ดี ฉันจึงไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเธอ ฉันมอบงานที่สำคัญขนาดนี้ให้กับเธอ แล้วก็ไม่ได้คิดถึงงานนั้นอีกเลย คู่ร่วมงานของฉันกล่าวว่ามีปัญหาในกลุ่ม แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจจริงจัง เมื่อฉันรู้ว่าซินเยว่โอหังและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ไม่ดี ฉันก็ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด ฉันคิดว่าในเมื่อเธอเป็นหัวหน้ากลุ่ม เธอคงเสาะแสวงและเข้าสู่ได้หลังจากได้รับคำแนะนำเล็กน้อย และฉันไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ แต่สิ่งต่างๆ กลับไม่เป็นไปตามที่ฉันคิดไว้เลย คนที่ฉันกังวลน้อยที่สุดกลับมีปัญหาร้ายแรงที่สุด เนื่องจากอุปนิสัยโอหังของเธอ คนอื่นๆ จึงถูกจำกัดและไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ฉันไม่ได้ทำงานที่แท้จริง และไม่ได้มองสิ่งทั้งหลายและผู้คนผ่านพระวจนะของพระเจ้า ภายหลังเราได้ทบทวนงานของกลุ่มนั้น และพบว่ายังคงมีปัญหาอยู่บ้าง พวกเขาได้นำผู้คนมากมายเข้ามาผ่านการแบ่งปันประเสริฐ แต่ผู้มาใหม่บางคนไม่ได้ตรงตามหลักธรรม บางคนไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีและจำเป็นต้องถูกเอาตัวออกไป ซึ่งไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองทรัพยากร แต่ยังสร้างปัญหาให้กับคริสตจักร ยิ่งฉันติดตามงานของพวกเขามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบปัญหาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งเห็นว่าก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ทำงานที่แท้จริง ฉันมองเพียงผิวเผิน เมื่อเห็นว่างานดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ฉันคิดว่าไม่มีใครมีปัญหาในหน้าที่ของพวกเขา ฉันมองสิ่งทั้งหลายอย่างผิวเผินมาก ฉันเห็นว่าน่าสมเพชแค่ไหนที่ฉันไม่เข้าใจความจริง และเตือนตัวเองว่าในอนาคต ฉันต้องมองสิ่งทั้งหลายตามความจริง ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง และดูแลงานของผู้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของฉัน ฉันยังรู้สึกด้วยว่า ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่ให้ผู้นำทำงานอย่างละเอียดถี่ถ้วน ด้วยตนเองนั้นสำคัญแค่ไหน นี่ช่วยให้เราก้าวเข้าสู่เส้นทางการทำหน้าที่ให้เป็นไปตามมาตรฐานได้อย่างแท้จริง
หลังจากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมที่ว่า “ถ้าเจ้าพอจะมีขีดความสามารถจริง เข้าใจทักษะในสายงานที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของเจ้าจริง และไม่ใช่คนนอกสายงานที่เจ้าทำอยู่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เพียงต้องยึดปฏิบัติตามวลีหนึ่ง แล้วเจ้าจะสามารถจงรักภักดีต่อหน้าที่ของตนได้ เป็นวลีใดหรือ? ‘จงใส่ใจ’ ถ้าเจ้าใส่ใจสิ่งต่างๆ และใส่ใจผู้คน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถจงรักภักดีและรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเจ้าได้ วลีนี้ปฏิบัติง่ายหรือไม่? เจ้าจะนำไปปฏิบัติได้อย่างไร? นี่ไม่ได้หมายถึงการใช้หูฟัง หรือใช้จิตใจคิด—นี่หมายถึงการใช้หัวใจของเจ้า ถ้าคนคนหนึ่งสามารถใช้หัวใจของตนได้จริง เช่นนั้นแล้วเมื่อดวงตาของพวกเขามองเห็นใครสักคนทำอะไรบางอย่าง กระทำการในหนทางบางอย่าง หรือมีการตอบสนองบางอย่างต่อบางสิ่ง หรือเมื่อหูของพวกเขาได้ยินความคิดเห็นหรือข้อโต้แย้งของบางคน ด้วยการใช้หัวใจของพวกเขาตรึกตรองและใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้ ก็ย่อมเกิดแนวคิด ทัศนะ และท่าทีบางอย่างขึ้นในใจของพวกเขา แนวคิด ทัศนะ และท่าทีเหล่านี้จะทำให้พวกเขามีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง จำเพาะ และถูกต้องในตัวคนหรือเรื่องนั้นๆ พร้อมกันนั้นก็จะทำให้เกิดการตัดสินและหลักการที่เหมาะสมและถูกต้อง เฉพาะเมื่อคนคนหนึ่งมีการสำแดงเหล่านี้ในการใช้หัวใจของตนเท่านั้น จึงจะหมายความว่าพวกเขาจงรักภักดีต่อหน้าที่ของตน” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (7)) พระวจนะของพระเจ้าชี้แนะเส้นทางแห่งการปฏิบัติให้กับฉัน ในการทำหน้าที่ให้ดี ฉันต้องเรียนรู้ที่จะใส่ใจและมีความรับผิดชอบ ฉันต้องลงมือทำจริง เพื่อให้สิ่งที่ฉันเห็นและได้ยินเข้าสู่ใจของฉัน และค้นพบปัญหาในหน้าที่ของฉัน ไม่เช่นนั้น ฉันก็เพียงแค่ทำหน้าที่อย่างไม่ตั้งใจ ไม่เห็นปัญหาใดๆ ฉันต้องทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อแก้ปัญหาที่ฉันพบ เสาะแสวงความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่เหนือฉันเมื่อไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ทำและบรรลุสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง มีมโนธรรมที่แจ่มชัด และยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า ฉันไม่สามารถพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของตนเองในหน้าที่ได้ ฉันต้องปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า จนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข แม้ว่ายังคงมีปัญหามากมายในงานของเรา แต่ฉันก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น และไม่ว่าผลจะออกมาดีแค่ไหน ฉันจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะใส่ใจในงานและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนเองก่อน งานข่าวประเสริฐสำคัญต่อพระนิเวศของพระเจ้า และในสมัยสุดท้ายอันสำคัญนี้ ถ้าฉันยังคงไม่จริงจังกับหน้าที่ของตนเอง เสาะแสวงความสะดวกสบายและปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง นั่นจะเป็นการใช้ชีวิตอย่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า วุฒิภาวะของข้าพระองค์ยังน้อยนิดและไม่มีขีดความสามารถมากนัก แต่ข้าพระองค์อยากจะทุ่มเททุกสิ่งในหน้าที่ของตนเอง และปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์”
ภายหลัง ฉันค้นพบว่างานข่าวประเสริฐของคริสตจักรไม่ค่อยมีประสิทธิผล ส่วนใหญ่เป็นเพราะคนทำงานข่าวประเสริฐบางคนยังใหม่ และยังไม่ชัดเจนในเรื่องความจริงเกี่ยวกับการเป็นพยานให้พระราชกิจของพระเจ้า ดังนั้นฉันจึงจัดแจงให้ลี่เหมยไปให้คำแนะนำที่เป็นจริงแก่พวกเขา ในตอนแรก ฉันใช้เวลาในการวิเคราะห์มโนคติอันหลงผิดทางศาสนาของผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ และทำความเข้าใจปัญหาของคนทำงานข่าวประเสริฐร่วมกับลี่เหมย แต่ต่อมา เมื่อฉันมีงานยุ่ง ฉันคิดจะมอบปัญหาเหล่านั้นทั้งหมดให้ลี่เหมย เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องกังวลถึงปัญหาเหล่านั้นมากเกินไป เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้นมา ฉันก็รู้สึกผิด งานข่าวประเสริฐไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น และลี่เหมยอยากหารือกับฉันหลังจากที่เธอได้ไปเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้น แต่ฉันหวังจะผลักงานหนักนั้นให้เธอ เหมือนข้าราชการ นั่นช่างน่ารังเกียจ ดังนั้น ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าและตั้งใจต่อต้านเนื้อหนัง เมื่อหลี่เหมยให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ฉันก็มีส่วนร่วมอย่างจริงจัง สามัคคีธรรมกับเธอและเสาะแสวงความจริงเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น ด้วยความร่วมมือที่เป็นจริงนี้ ฉันสามารถเข้าใจงานและความก้าวหน้าของกลุ่มได้รวดเร็วขึ้น และค้นหาและแก้ปัญหากับความยากลำบากของคนทำงานข่าวประเสริฐได้อย่างทันท่วงที ฉันเห็นการทรงนำของพระเจ้าผ่านการร่วมมือที่แท้จริงนี้ คนทำงานข่าวประเสริฐใหม่บางคนเริ่มจับความเข้าใจหลักธรรมอย่างค่อยเป็นค่อยไป งานข่าวประเสริฐมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และผู้มาใหม่บางคนเข้ารับหน้าที่ในเวลาไม่นานหลังจากยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า แม้ว่าช่วงนี้ฉันจะใช้เวลาและพลังงานมากขึ้น แต่พอฉันใส่ใจในหน้าที่ ก็ไม่ได้รู้สึกยากหรือเหน็ดเหนื่อย จริงๆ แล้ว ฉันได้เรียนรู้หลักธรรมความจริงมากขึ้น และโดยการสงบจิตใจ เฉพาะพระพักต์พระเจ้าในการอธิษฐานและเสาะแสวงเมื่อมีปัญหา ฉันได้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้นและมุ่งมั่นในหน้าที่มากขึ้น ฉันยังคงมีข้อบกพร่องมากมายในหน้าที่ของตนเอง ฉันยังคงห่างไกลจากการปฏิบัติหน้าที่ให้ได้ตามมาตรฐาน แต่ผ่านประสบการณ์ของฉัน ฉันได้ทบทวนและเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาของตนเองในการไม่ทำงานที่แท้จริง และฉันมีทิศทางในการทำหน้าที่ในอนาคต ทุกสิ่งที่ฉันได้รับเป็นผลจากความรู้แจ้งและการนำทางของพระวจนะของพระเจ้า